Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือดี 100 เรื่องที่คนไทยควรอ่าน

หนังสือดี 100 เรื่องที่คนไทยควรอ่าน

Description: หนังสือดี 100 เรื่องที่คนไทยควรอ่าน

Search

Read the Text Version

ประเภทบนั เทิงคดี (FICTION) ค. เร่ืองส้นั 51. ลาว คาหอม (พ.ศ. 2473 - ). ฟ้าบก่ ้นั . พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2501 โดยสานักพมิ พเ์ กวียนทอง, พิมพค์ ร้งั ท่ี 2 พ.ศ. 2512 โดยสานักพมิ พศ์ ึกษิตสยาม ของ ส. ศิวรกั ษ์ พมิ พค์ ร้งั ที่ 9 พ.ศ. 2535 โดยสานักพมิ พก์ าแพง เร่ืองส้นั ของ \"ลาว คาหอม\" (คาสิงห์ ศรีนอก 2473-) โดยเฉพาะในยุคแรก 2501-2505มีลกั ษณะเด่นร่วมกนั อยู่อยา่ งหน่ึงคือเป็ น การสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงภาพชนบทท่ียากไร้ ขมขืน่ งมงาย อยา่ ตรงไปตรงมาและ มอี ารมณข์ นั เป็ นภาพพจน์แบบเห็นอกเห็นใจ เยย้ หยนั ตนเองเพราะ \"ลาว คา หอม\" เองเกิด และเติบโตมาจากชนบท ท่ีเขาเขียนถึงในหลายเร่ืองหลายตอน \"ลาว คาหอม\" เขยี นดว้ ยอารมณข์ นั อยา่ งมีศิลปะ และทาใหม้ นั เป็ นเรื่องที่ ขมขื่นเจ็บปวดมากข้ ึนสาหรบั คนอ่านท่ีช่างคิด ศิลปะในการเขียนของ \"ลาว คาหอม\" เป็ นการเขียน เร่ืองแบบสมยั ใหม่ คือ ใหเ้ ร่ืองดาเนินไปเอง แทนท่ีจะบอกผูอ้ ่านทุกส่ิงทุกอย่าง ก็ใหผ้ ูอ้ ่านไดค้ ่อยๆ ไดร้ เู้ ร่ืองไปทีละนอ้ ย เร่ืองท่ีมีลกั ษณะของเร่ืองสน้ั ท่ีดีมากเรื่องหนึ่งของเขา คือ \"เขียดขาคา\" คือ ดีท้งั โครงเร่ือง,สานวน,เน้ ือหา ถึงแมจ้ ะเป็ นการเยย้ หยนั ธรรมชาติ เยย้ หยนั รฐั บาล อยา่ งขมขืน่ โดยไมไ่ ด้ เสนอทางออกหรือความหวงั อะไร แต่ก็ไดใ้ หภ้ าพพจน์ที่สะเทือนใจ พอที่เราคิดกนั ต่อไปไดว้ ่า สภาพ เช่นน้ ีเป็ นสภาพที่น่าสงั เวช ควรเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขอยา่ งไม่ตอ้ งสงสยั เร่ืองส้นั ส่วนใหญ่ของ \"ลาว คา หอม\" แมจ้ ะพูดถึงคนยากจนอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่ไดเ้ ขียน โดยใชท้ ่วงทานองแบบวรรณกรรม เพื่อ ชีวติ ท่ีมุง่ ช้ ีทางออก หากมีลกั ษณะเป็ นการเยย้ หยนั ธรรมชาติ เยย้ หยนั วฒั นธรรมท่ีลา้ หลงั เเละเยย้ หยนั ชนช้นั ปกครองเสียมากกว่า เช่น เรื่อง \"คนพนั ธุ์\" ซึ่งเยย้ หยนั การเห่อฝรงั่ \"คนหมู\" เยย้ หยนั นักพฒั นาจากเมือง \"นักกานเมือง\" เยย้ หยนั ผูแ้ ทน เป็ นตน้ มีบางเรื่อง ซ่ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นการกดขี่ ของนายทุน เช่น \"ชาวไร่เบ้ ีย\" แต่ก็ไมไ่ ดเ้ สนอหรือแนะทางออก เรื่อง \"ไพร่ฟ้า\" จะมีแนวคิดกา้ วหน้า มากกว่าเพื่อน ตรงท่ีผูถ้ ูกกดข่ีไดต้ ่อสูก้ บั คนช้นั สูง แย่งคู่รกั ของเขาไปอย่างถึงเลือดถึงเน้ ือ แมว้ า่ จะ จบค่อนขา้ งเศรา้ ตรงที่ผูถ้ ูกกดขต่ี อ้ งพลอยเสียชีวติ ไปดว้ ย

ประเภทบนั เทิงคดี (FICTION) ค. เรื่องส้นั 52. เสนอ อินทรสุขศรี. เพอ่ื นเก่า. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ.2509 หนังสือเรื่องเพื่อนเกา่ น้ ี แบ่งออกเป็ น 2 เลม่ มเี ร่ืองท้งั หมดดว้ ยกนั 11 เรื่อง ความดีเด่นของหนังสือท้งั 2 เล่มน้ ี คือ เป็ นการบนั ทึกภาพชีวิตของยุคสมยั หนึ่ง ท่ีผูเ้ ขียนยงั เด็กอยู่ โดยผูเ้ ขียนไดบ้ นั ทึกวิถีชีวิตของเด็กๆ ไวอ้ ยา่ งละเอียดทาใหไ้ ด้ ภาพสังคมที่กาลังถูกลืมเลือนไป แต่ที่สาคัญท่ีสุด คือ บุคลิกตัวละครท่ีเสนอ อินทรสุขศรี สรา้ งข้ ึนมาหรือบนั ทึกข้ ึนมาจากชีวิตจริงของเพ่ือนเก่าบางคนน้ัน กลบั เป็ นชีวติ ท่ีมตี วั ตนอยใู่ นสงั คมปัจจุบนั แมว้ า่ เวลาท่ีผูเ้ ขยี นเขยี นถึงน้ันจะ ผ่านไปแลว้ กวา่ 30 ปี แลว้ ก็ตามบุคลิกตวั ละครเหล่าน้ัน มีท้งั คนโกง คนเอาเปรียบเพ่ือนฝูง คนเอา เปรียบสงั คมหรือคนท่ีถูกสงั คมเอาเปรียบ แลว้ แต่อาชีพของแต่ละคนไป หนังสือชุดน้ ี คือ มีแก่นเรื่อง ท่ีมองคน และมองโลกในแง่ดี มีความเช่ือมนั่ ในความเป็ นคนและเขา้ ใจคน ผูเ้ ขียนเขียนไดอ้ ย่างมี อารมณข์ นั ที่ลุ่มลึก โดยเฉพาะการใชว้ ิธีการเขียนในสไตลเ์ สียดสีเช่น คร้งั น้ัน ตลอดเมืองไทยกาลงั ครึกโครมอยู่ดว้ ยเสียงโฆษณาวนั หนึ่งผมลองเปิ ดเคร่ืองวิทยุฟัง แลว้ ลองทาสถิติโดยการหมุนหาคลื่น ของสถานีต่างๆหมุนไปหมุนมาเป็ นเวลา 3 ชวั่ โมง ปรากฏว่าผมไดย้ ินช่ือยาที่ไม่ซ้ากันเลยน้ัน 78 ขนานผมคิดว่าถ้าขืนฟังต่อไปอีก จะกลายเป็ นวิธีล้างกระเพาะอาหารด้วยการนาเอาเสียงม า ประยุกตใ์ ชง้ านทางวงการแพทย์ แทนสายยางลา้ งกระเพาะอาหารก็อาจเป็ นได้ จึงเลิกฟังเสีย

ประเภทบนั เทิงคดี (FICTION) ค. เร่ืองส้นั 53. ฮิวเมอรร์ ิสต์ (อบ ไชยวสุ).(พ.ศ.2444-2540 .รวมเรื่องส้นั บางเรื่องของฮิวเมอรร์ ิสต.์ พิมพค์ ร้งั แรก องคก์ ารคา้ คุรุสภา, 2516 ทีเด็ดของฮิวเมอรร์ ิสตอ์ ยูท่ ่ีวิธีคิด และผลแห่งการขบคิดของเขาเอง อยา่ งเช่น เร่ืองส้นั 7 เร่ือง ที่ไดค้ ดั เลือกมารวมอยู่ในรวมเร่ืองส้นั ของฮิวเมอร์ริสต์”น้ ี เป็ นตัวอย่างงานช้ ินเอก ที่แสดงทัศนะอันเฉียบแหลมด้วยสายตาที่ สงั เกตการณ์ สงั คมอย่างใกลช้ ิด ในอารมณ์แสนสบาย ฮิวเมอรร์ ิสตเ์ ป็ นผูซ้ ่ึง รูส้ ึกว่า สังคมไทย ซึ่งกา้ วไปสู่ความเป็ นสมยั ใหม่และเป็ นแบบตะวันตกน้ ี ปราศจากรากฐานแห่งความเขา้ ใจสิ่งใหมน่ ้ ีอยา่ งถ่องแทข้ าดความเขา้ ใจ และ กระทงั่ ขาดสติที่จะวินิจฉยั ผูค้ นเฮโลกนั ไปกบั การเปล่ียนแปลงโดยปราศจากการยง้ั คิด คนในสงั คม กาลงั ใชช้ ีวติ หยาบลง และการดาเนินไปของสิ่งต่างๆเริ่มไรส้ าระ สิ่งใหมไ่ มไ่ ดง้ อกงามมาจากของเดิม เต็มไปดว้ ยการกา้ วกระโดดขา้ มไปมาบนทางอนั สบั สนอยา่ งลวกๆ สุกเอาเผากิน และไรเ้ หตุผลมาก ข้ นึ เรื่อยๆผูค้ นในสงั คมไทยดจู ะพอใจหรือยอมจานนที่จะอยู่ (กบั ) สงั คมแบบน้ ีไป เพราะไม่มีทางจะ เลือกหรือข้ ีเกียจเลือก รวมท้งั ยงั มีพวกที่มีแต่หาทางฉกฉวยโอกาส จากการไรท้ างเลือกของผูอ้ ื่นอีก ดว้ ยฮิวเมอร์ริสต์ยืนอยู่ท่ามกลางสังคมในยุคสมัย ที่ความสุขสงบของผู้คนมีน้อยลงเรื่อยๆ และ ปัญหากลบั มีมากข้ ึน เขาใหข้ อ้ สงั เกตโดยการวาดภาพเมืองไทย ที่เต็มไปดว้ ยความฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม อานาจมีลกั ษณะทวิอย่างเต็มที่ ระหวา่ งใตด้ ินกบั อานาจถูกกฎหมาย หากแต่ฉอ้ ฉลท้ังคู่เศรษฐกิจที่ คนรวยเหนือกวา่ คนจนอย่างเห็นไดช้ ดั รฐั บาลมอมเมาประชาชน โดยการออกลอ๊ ตเตอรี่ ขณะท่ีการ บนั เทิงก็โน้มเอียงไปสู่ เมโลดรามาอย่างสุดตวั นักแสดงไม่ว่าตวั เอกตวั รา้ ยทาท่าทางโอเวอรเ์ หมือน คนวกิ ลจริต ในบรรดาหมผู่ ูม้ ีอานาจน้ัน วางอานาจกร่างไปทวั่ บนทอ้ งถนนการจราจรไรร้ ะเบียบส้ ินดี และโสเภณีน้ันเลา่ เกล่ือนเมือง ฮิวเมอรร์ ิสตไ์ ดต้ ีแผ่ใหเ้ ห็นเน้ ือในของสงั คมไทยว่า ระบบต่างๆ น้ัน มี วางไวห้ มดแลว้ ท้ังส้ ินแต่ไม่จาเป็ นตอ้ งมีการปฏิบัติ รูปแบบของส่ิงท้ังปวง ไม่สามารถหรือหมด ความสามารถที่สะทอ้ นเน้ ือหาภายใน ตลกรา้ ยอนั คมคายของฮิวเมอรร์ ิสตน์ ้ัน มีใจความตอนหนึ่งวา่ ไทยนิยมใชข้ องฟ่ ุมเฟื อยกนั ตลอดเวลา ที่มีเงินทองบิดาหรือเตี่ยสะสมสารองไวม้ ีอยู่ (หน้า 49) ระเบียบการครองชีพของไทยแลนดด์ ีท่ีหนึ่งในโลกยงั ง้ ีเลย (มีภาพยกหวั แมม่ ือประกอบ) แต่มอี ีกหลายประเทศเหลือเกิน ซึ่งท่ีหนึ่งกวา่ และท่ีหนึ่งที่สุด เวลาน้ ีลดลงมาลดลงมาลดลงมาทุกที จนค่าเกือบจะไมม่ ีเหลือ สาหรบั จะครองชีพแลว้ และอีกประการหน่ึงเมือ่ ประกาศลดค่าครองชีพ สิ่งซ่ึงจะไดม้ าดว้ ยคา่ ท่ีลดแลว้ ก็ลดปริมาณลงดว้ ย เพราะฉะน้ันถา้ ลดคา่ ครองชีพลงไดถ้ ึงท่ีสุด ชีพก็อาจถึงท่ีสุดไดด้ ว้ ยเหมอื นกนั (หนา้ 49)

ประเภทบนั เทิงคดี (FICTION) ค. เรื่องส้นั 54. วทิ ยากร เชยี งกูล(พ.ศ. 2489 - ). ฉนั จึงมาหาความหมาย. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2514 ฉนั จึงมาหาความหมาย เป็ นหนังสือรวมเร่ืองส้นั บทละคร และบทกวีท่ีผูเ้ ขียน เขยี นข้ นึ ในขณะท่ีเป็ นนักศึกษา มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ชว่ งปี 2508 - 2512 หนังสือเล่มน้ ี ไดม้ ีบทบาทเป็ นหลักเขตทางความคิด ในยุคแห่งการแสวงหา คาตอบของชีวิตมหาวิทยาลัย และการต้ังคาถามต่อระบบสงั คมชีวิตทางสังคม และการพฒั นาเศรษฐกิจและการเมือง ในยุคมืดทางปัญญาท่ีสืบเนื่องติดต่อกนั มาต้งั แต่ การปฏิวตั ิของ จอมพล สฤษด์ิ ธนะรชั ต์ ในปี พ.ศ. 2501 แก่นเรื่องของ เร่ืองส้นั และบทละคร นอกจากจะสะทอ้ นความคิดและการต้งั คาถามต่อชีวิตมหาวิทยาลยั ต่อสงั คม ชีวิตทางสงั คมและการพฒั นาทางเศรษฐกิจ และการเมืองท่ีก่อใหเ้ กิดความแตกต่างและช่องว่างท้ัง ระหวา่ งเมืองกบั ชนบท และคนมงั่ มกี บั คนยากไรใ้ หแ้ ตกต่างหา่ งออกไปยิ่งข้ ึนน้ันแลว้ ยงั เป็ นตวั แทนท่ี สะทอ้ นความคิดของยุคสมยั ของคนหนุ่มสาวในมหาวทิ ยาลยั จานวนไมน่ อ้ ยในยุคน้ัน ท้ัง \"กระตุน้ \" ให้ ความคิด และการต้ังคาถามในหนังสือฉันจึงมาหาความหมาย กระจายแพร่หลายออกไปในหมู่ นักเรียนนักศึกษาจนพัฒนากลายเป็ นขบวนการนักศึกษาประชาชนในเวลา 2-3 ปี ต่อมา คือ ขบวนการ 14 ตุลาคม 2516 หนังสือเล่มน้ ี มีส่วนและเป็ นปัจจยั ทางออ้ ม ปัจจยั หนึ่งในหลายๆ ปัจจยั ที่นามาสูเ่ หตุการณ์ การเคล่ือนไหวเพ่ือเรียกรอ้ งระบอบประชาธิปไตยสมบรู ณ์ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516จุดเด่นในความคิด และการต้งั คาถามในเชิงแสวงหา ในหนังสือฉนั จึงมาหาความหมายอยู่ ที่บทกวี และกลอนเปลา่ ซ่ึงมวี รรคทองที่ยงั จดจากนั มาจนถึงทุกวนั น้ ี นัน่ คือ ฉนั เยาว์ ฉนั เขลา ฉนั ท่ึง ฉนั จึง มาหา ความหมาย ฉนั หวงั เก็บอะไร ไปมากมาย สุดทา้ ย ใหก้ ระดาษ ฉนั แผ่นเดียว (จากบทกวี ชื่อ เพลงเถ่ือนแห่งสถาบนั )

ประเภทบนั เทิงคดี (FICTION) ค. เรื่องส้นั 55. นิคม รายยวา (พ.ศ. 2487- ). คนบนตน้ ไม.้ พิมพใ์ นนิตยสาร ในชว่ งปี พ.ศ. 2510-2516 หนังสือรวมเร่ืองส้ันจานวน 13 เร่ือง รวมท้ังเรื่องคนบนตน้ ไม้ซึ่งเป็ นเด่น เร่ืองหนึ่งในหนังสือเลม่ น้ ี เร่ืองสน้ั เหล่าน้ ี เคยตีพิมพใ์ นวารสารรายคาบในช่วง ปี พ.ศ. 2510-2519 ก่อนท่ีนามารวมตีพิมพเ์ ป็ นเล่มภายหลงั (ปี 2527 โดยสานักพิมพ์ตน้ หมาก)เรื่องส้ันของนิคม รายยวา มีความเด่นในเร่ือง การสร้างโครงเร่ือง และการใช้ฉาก (Setting)จากธรรมชาติ สภาพภูมิ ประเทศ และธรรมชาติชีวิตของสตั วค์ วบคไู่ ปกบั การใชป้ ระสบการณจ์ ริง ของชีวิตของเขา ที่ไดไ้ ปสมั ผสั ต่อสูม้ า ในการไปบุกเบิกทางานการเกษตรอยู่กบั ชาวบ้าน ไดค้ ลุกคลี และไดเ้ ห็นชีวิตของคนหลายๆ แบบ ที่โยกยา้ ยจากถิ่นฐานต่างๆ มาเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อ แสวงหางานสกั อย่าง ทาเพ่ือท่ีจะไดม้ ีรายไดม้ าประทงั ชีวิตหรือธรรมชาติของการต่อสู้กบั ธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มความขดั แยง้ ของจิตสานึก และความตอ้ งการทางวตั ถุทรพั ยส์ ิน เพ่ือความอยรู่ อดหรือ กิเลสกบั ความโลภขอ้ เด่นอีกขอ้ หน่ึงของนิคม คือ เขาเป็ นนักคิด และเขียนหนังสืออย่างมีเป้าหมาย และดว้ ยภูมิหลงั การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตรม์ า ทาใหเ้ ขาสะทอ้ นชีวติ และการต่อสทู้ างเศรษฐกิจของ ตวั ละครออกมาอย่างลึกๆ ตวั ละครไม่ไดล้ ่องลอยอยู่ในความคิดน้ันแต่เป็ นคนจริงๆ ท่ีตอ้ งทามาหา กิน ต่อสกู้ บั การทามาหาเล้ ียงชีพเป้าหมายที่นิคมตอ้ งการสื่อกบั ผูอ้ ่าน คือ บทสรุปของปรชั ญาชีวิตท่ี เขาประสบพบเห็นมาในชนบทเขามกั เสนอภาพหรือสมการของความขดั แยง้ ระหว่างสองสิ่งออกมา เสมอ และทางออกหรือคาตอบของสมการ มักจะออกมาอย่างสมจริงกบั ธรรมชาติที่แทจ้ ริงของ มนุษย์ ที่เห็นแก่ตวั เห็นแก่ผลประโยชน์ และมุ่งเอาตวั รอดก่อนอ่ืน โดยท่ีบางคร้ังตอ้ งทาลายชีวิตท่ี อ่อนแอกว่าหรือการถูกทาลาย ดว้ ยวิถีหรือกฎธรรมชาติ ซ่ึงไม่เขา้ ขา้ งใคร เช่น เรื่องมากบั ลมฝน หรือไม่ก็ตอ้ งแลกดว้ ยความสูญเสียของบุคคลที่ตนรกั ก็ตาม ซ่ึงตามกนั ขา้ มกบั นักเขียนแนวพาฝัน ตวั อย่างของเร่ืองส้นั ท่ีเสนอภาพความขดั แยง้ น้ ี คือ เรื่องเป็ นลม เร่ืองเชา้ วนั หนึ่ง และเรื่องคนบน ตน้ ไม้ เป็ นตน้

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 56. ร. แลงกาต(์ พ.ศ. 2435 - 2515). ประวตั ิศาสตรก์ ฎหมายไทย เล่ม 1-2. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ.2478 ร. แลงกาต์ ได้ใชเ้ อกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์สาคัญๆ นอกไปจาก หลักฐานในทางกฎหมายเอง ด้วยความสามารถทางภาษาไทย และเขา้ ใจ ภาษาไทยโบราณอย่างดี จึงสามารถใชค้ วามรู้ ความสามารถในการขุดค้น อธิบายกฎหมายอย่างน่าทึ่ง ดุจเดียวกับยอร์ช เซเดส์ มีความสามารถ ใน การศึกษาศิลาจารึกไทยก่อนท่ี ร.แลงกาต์ จะได้เขียนตารา หรือเอกสาร ประวตั ิศาสตรก์ ฎหมายน้ ีนายปรีดี พนมยงค์ ผูป้ ระสาธน์การมหาวทิ ยาลยั วิชา ธรรมศาสตร์ และการเมืองไดม้ อบให้ ร. แลงกาต์ ชาระกฎหมายตราสามดวง หรือประมวลกฎหมาย รชั กาลที่ 1พรอ้ มกบั เป็ นบรรณาธิการจดั พิมพ์ กลายเป็ นฉบับมหาวิทยาลยั วิชาธรรมศาสตร์ และ การเมือง ท่ีถือว่าเป็ นมาตรฐานดีท่ีสุด ที่มีอยู่ในขณะน้ ี ประกอบกบั ร.แลงกาตเ์ ขา้ มาเป็ นที่ปรึกษา ทางกฎหมายของรัฐบาลไทย ขณะประเทศไทยกาลังปฎิรูประบบกฎหมาย และจัดทาประมวล กฎหมาย ดังน้ัน ความรูท้ ี่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตรก์ ฎหมายไทย ร.แลงกาต์ จึงเป็ นการ แสดงออกถึงความรูข้ องนักวิชาการ ท่ีศึกษาประวตั ิศาสตรก์ ฎหมายมาเป็ นอย่างดี กับความรูข้ อง ผูป้ ฏิบตั ิงานนิติศาสตร์ ที่ผ่านการจดั ทาประมวลกฎหมายสมยั ใหม่ ประสานเขา้ ดว้ ยกนั และเผยแพร่ ในการใหก้ ารศึกษาแก่ผูเ้ รียนผลในฐานะที่เป็ นสื่อการเรียนการสอน อนั ผ่านการทดสอบ ใหค้ วามรู้ ผ่านการจดั พิมพค์ รง้ั ต่างๆ และปรบั ปรุงในการจดั พิมพค์ ร้งั ต่อมา ทาใหต้ าราประวัติศาสตรก์ ฎหมาย น้ ีดารงทรงคุณค่ายิ่งข้ นึ ประวตั ิศาสตรก์ ฎหมายของ ร. แลงกาต์ มิไดอ้ ธิบายเพียงพระธรรมศาสตรท์ ี่ เลิกใชแ้ ลว้ แต่ยงั ไดอ้ ธิบายถึงอิทธิพลตกคา้ งทางความคิด และวฒั นธรรมกฎหมาย และขยายความ ต่อถึงการรบั อิทธิพลกฎหมายตะวนั ตก ท้งั เปรียบเทียบความเป็ นมา หรือกระบวนทศั น์น้ั นในส่วนที่ พึงเปรียบเทียบ หรือพึงต้ังขอ้ สังเกต ผลงานน้ ี จึงเป็ นผลงานสาคัญในฉบับภาษาไทย ท่ี เป็ นงาน คลาสสิก ดุจเดียวกับผลงานประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 หรือกฎหมายตราสามดวง ควรแก่ การศึกษาของนักนิติศาสตร์ และรวมถึงผูศ้ ึกษาดา้ นไทยศึกษาทวั่ ไปดว้ ย จิตร ภูมิศักด์ิ ไดอ้ า้ งงานน้ ี เร่ืองกฎหมายที่ดินในงานของจิตร

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 57. พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (พ.ศ. 2405 - 2486). นิทานโบราณคดี. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2487 นักประวัติศาสตร์ เช่น ศาสตราจารย์ ดร.แถมสุข นุ่มนนท์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เห็นวา่ งานเด่นๆ ทางประวตั ิศาสตรข์ องพระองค์ ไดแ้ ก่ พงศาวดาร กรุงสยาม, ไทยรบพมา่ , พระราชวจิ ารณใ์ นพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา, พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสินทรร์ ัชกาลท่ี 4 เป็ นตน้ แต่ท่ีเลือกหนังสื นิทานโบราณคดี เป็ นหนังสือดีท่ีคนไทยน่าจะไดอ้ ่าน เป็ นเพราะหนังสือเล่มนี เหมาะสาหรบั ผูอ้ า่ นสามญั ชน ที่มีการศึกษาทวั่ ไป และเป็ นหนังสือท่ีไมเ่ นน้ วิชาการเฉพาะเรื่องนิทานโบราณคดี เป็ นเร่ืองราวต่างๆ ที่ทรงรบั รูจ้ ากการเดินทางไปตรวจราชการ ต่างจงั หวดั ในช่วงที่ทรงมีตาแหน่งเป็ นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (2435 - 2457)และความรูท้ ่ี ไดจ้ ากการทูลถามเร่ืองเก่าๆ เมื่อทรงร่วมโต๊ะเสวยกบั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว สมควรที่จะมีการบันทึกไวใ้ หค้ นรุ่นหลังไดร้ ับรู้ มิฉะน้ันความรูต้ ่างๆ ที่เกี่ ยวขอ้ งกับภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตรโ์ บราณคดี และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ท่ีทรงรบั รูก้ ็จะสูญหายสมเด็จฯ กรม พระยาดารงฯ ทรงมีวิธีการเขียนแบบใหม่ ท่ีต่างจากนักเขียนร่วมสมยั กับพระองค์ คือ ทรงอา้ ง หลักฐาน และแทรกพระวิจารณ์เขา้ ไปด้วย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักปรัชญาประวัติศาสตร์ (ปรชั ญาประวตั ิศาสตร,์ หนา้ 210)อธิบายวา่ งานของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงฯ คลา้ ยคลึงกบั รนั เก (Ranke) นักปรชั ญาประวตั ิศาสตร์ ชาวเยอรมนั ท่ีมีช่ือเสียงซ่ึงเนน้ การใช้ และตรวจสอบหลกั ฐาน เอกสารอา้ งอิง เป็ นการวางหลกั ของการศึกษาทางประวตั ิศาสตรแ์ บบใหม่ ขณะเดียวกนั ท่านก็ทรง กระทาหน้าท่ีเป็ นผูอ้ ธิบาย โลกเก่าและโลกใหม่ใหเ้ ขา้ ดว้ ยกนั ในนิทานโบราณคดี ทรงนิพนธ์ดว้ ย การโยงเร่ืองที่กาลงั เล่าอยู่ขณะน้ัน ไปสู่ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวขอ้ งในอดีต เม่ือทรงจาไดห้ รือสามารถ หาหลักฐานอา้ งอิงได้ เท่ากับในการเล่าเร่ืองๆ หน่ึงจะทรงเล่าอย่างรอบด้านมีลักษณ ะเป็ น พฒั นาการ จนเกือบครบองคค์ วามรูข้ องเร่ืองน้ันๆ เลยที่เดียวหนังสือนิทานโบราณคดี จึงไม่เป็ น เพียงหนังสือที่อา่ นสนุกเท่าน้ัน แต่ใหค้ วามรมู้ หาศาล สมเด็จฯ กรมพระยาดารงฯทรงใชภ้ าษาง่ายๆ ในการเขียน ทรงคดั แต่เรื่องท่ีน่าสนใจท่ีมีลกั ษณะแปลกๆ โดยเฉพาะบรรยากาศของยุคสมัยที่เป็ น สงั คมของชาวบา้ นทอ้ งถิ่น บุคลิก อารมณ์ ความรูส้ ึก ความเช่ือ ชีวิตความเป็ นอยู่ของสามญั ชนไทย ในสมยั น้ัน ซ่ึงไมส่ ามารถหาอ่านไดง้ ่ายนัก ไดอ้ ยา่ งน่าสนใจ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 58. สมสมยั ศรีศทู รพรรณ (นามแฝง จิตร ภมู ิศกั ด์ิ)(พ.ศ. 2473-2509). โฉมหนา้ ศกั ดินาไทยปัจจุบนั . พิมพค์ ร้งั แรก ในนิติศาสตร์ 2500 โฉมหน้าศกั ดินาไทยปัจจุบนั เขียนและพิมพค์ ร้งั แรก ในหนังสือนิติศาสตร์ ฉบบั รบั ศตวรรษใหมห่ รือนิติศาสตร์ 2500 โดยสมสมยั ศรีศูทรพรรณ ที่เป็ นนามแฝง ของ จิตร ภูมิศกั ด์ิ ในการพิมพค์ ร้งั หลงั ๆ ไดต้ ดั คาว่า ปัจจุบนั ออก และใชช้ ่ือจริง จิตร เช่ือวา่ คนไทยไมร่ จู้ กั และเขา้ ใจความหมายของศกั ดินาที่แทจ้ ริงดงั น้ัน จิตร ตอ้ งการเขียน โฉมหน้าศกั ดินาไทยข้ ึน เพื่อใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะที่แทจ้ ริงของศกั ดินา ในฐานะท่ีเป็ นระบบการผลิต โดยใชแ้ นวคิดของมารก์ ซเ์ ป็ นทฤษฎีในการศึกษา จิตรไดแ้ บ่งเน้ ือหาในโฉมหน้าศกั ดินาไทย ออกเป็ นลกั ษณะของระบบผลิตศักดินา และกาเนิดระบบ ศกั ดินาโดยทวั่ ไป กล่าวถึงความหมายของคาว่า ศกั ดินา ลกั ษณะทางเศรษฐกิจสงั คม และการเมือง เป็ นการวางกรอบทฤษฎีไวใ้ นเบ้ ืองตน้ กล่าวถึงระบบศกั ดินาในไทยโดยเฉพาะจิตรอธิบายให้เห็นว่า สงั คมไทยมีพฒั นาการ ผ่านข้นั ตอนการผลิตอย่างท่ีมารก์ ซอ์ ธิบายไว้ กล่าวคือ ก่อนท่ีจะพฒั นาเป็ น สังคมศักดินา ประเทศไทยไดผ้ ่านสังคมทาส ในสมัยสุโขทัยมาก่อน จิตรไดพ้ ิสูจน์ด้วย การอา้ ง หลักฐานจากพงศาวดารลา้ นชา้ ง เพ่ือเป็ นการลม้ ลา้ งความเชื่อถือ ในวงการศึกษาไทยว่า สังคม สุโขทยั ไมเ่ คยมที าส และไทยไมเ่ คยผ่านระบบทาส จิตรยงั ไดค้ น้ ควา้ ยอ้ นไปไกลกวา่ สงั คมสุโขทยั เพื่อ แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยเคยผ่านยุคชุมชนบุพกาลมาแล้วอีก ด้วย จิตรได้ใช้หลักฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ พิสจู น์ใหเ้ ห็นวา่ ชนช้นั ศกั ดินามีเพทุบายอย่างไรบา้ ง ในการแสวงหาผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจ แมว้ า่ การแสวงหาผลประโยชน์น้ัน บางคร้งั เป็ นส่ิงที่ใหโ้ ทษแก่ประชาชน เช่น การเปิ ดบ่อน การพนันเพียงเพื่อรฐั ไดร้ ายไดจ้ ากการเก็บภาษีอากร ดงั ท่ีจิตรใหต้ วั เลขไวว้ า่ ในพ.ศ.2431มีบ่อนเบ้ ีย ในกรุงเทพฯ ถึง 403 บ่อน บ่อนใหญ่ 126 บ่อนเล็ก 277 กระจายอยู่อย่างทัว่ ถึงทุกตาบลใน ชว่ งเวลาที่ประชาธิปไตยเบ่งบานหลงั เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ไดม้ ีการนาโฉมหนา้ ศักดินาไทย มาตีพิมพห์ ลายคร้งั และมีการวิพากษ์วิจารณ์กนั อย่างกวา้ งขวาง โฉมหนา้ ศกั ดินาไทย เป็ นการเปิ ด มิติใหม่ของการศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ไทยก่อใหเ้ กิดการถกเถียง คน้ ควา้ หาขอ้ เท็จจริงต่อไปจากท่ี จิตรไดป้ ทู างไว้

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 59. ร.ต.เหรียญ ศรีจนั ทร,์ ร.ต.เนตร พนู ววิ ฒั น์. กบฏ รศ.130. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ.2503 (พมิ พค์ ร้งั ท่ี 5 พ.ศ.2519) หนังสือกบฏ รศ.130 ผูท้ ่ีอยู่ในเหตุการณ์เอง แมจ้ ะมาเขียนภายหลังจาก ความทรงจาซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนบา้ ง แต่ก็เป็ นงานเขียนที่สะท้อนอารมณ์ ความรูส้ ึกนึกคิดของนายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ในสมยั รชั กาลท่ี 6 ไดอ้ ย่างดี งานเขียนช้ ินน้ ีช่วยใหผ้ ูอ้ ่านเห็นความภาคภูมิใจต่อสถาบนั ทหาร ความรูส้ ึก ห่วงใยต่อประเทศชาติ เม่ือเห็นความลา้ หลงั ความยากจนของผูค้ นในชนบท ประเทศไทย ที่ไมเ่ จริญกา้ วหนา้ เมอ่ื เปรียบเทียบกบั ประเทศอ่ืนๆ เชน่ ญ่ีป่ ุน กบฏรศ.130 คือ ความพยายามของนายทหารรุ่นหนุ่มกลุ่มหน่ึง ในปี พ.ศ.2454(ซึ่งถา้ นับเป็ น รตั นโกสินทรศ์ กหรือ รศ. คือ 130) ท่ีจะคบคิดกนั ยึดอานาจ เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน จาก สมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็ นประชาธิปไตย นอกจากอุดมการณท์ างความคิดท่ีตอ้ งการใหป้ ระเทศ ไทยเจริญกา้ วหน้าแลว้ ยงั มีสาเหตุเสริมมาจาก ความรูส้ ึกถึงความไม่ยุติธรรม และความรูส้ ึกว่า สถาบนั ทหารทาลายเกียรติภูมิจากการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ ฯ เมื่อคร้งั ที่ยงั ทรงเป็ นพระ ยุพราช ไดท้ รงสงั่ โบยทหารผูห้ น่ึง คือ รอ.โสม ที่มีเร่ืองกบั \"มหาดเล็กสมเด็จพระบรมฯ\" และการท่ี ทรงต้งั กองเสือป่ าข้ ึนมา มีลกั ษณะซ้าซอ้ นกบั ทหาร และยงั แสดงความโปรดปรานกองเสือป่ าเป็ น พิเศษ ทาใหเ้ กิดเป็ นชนวนสาคญั \"กลายเป็ นไฟลามทุ่งแห่งความรูส้ ึกของพวกมนั สมองปฏิวตั ิข้ ึน บา้ ง\" (หนา้ 8) ผูก้ ่อการ รศ.130 เป็ นกลุ่มนายทหารหนุ่มผูท้ ่ีมีความรกั ชาติ พวกเขาเห็นว่า ระบบ การปกครองแบบสมบรู ณาญาสิทธิราช ทาใหส้ งั คมไทยกลายเป็ นสงั คมที่ลา้ หลงั ชาวชนบทยากจนมี ชีวิตที่แรน้ แคน้ การไดร้ บั รขู้ า่ วสารการปฏิรปู ของญี่ป่ ุนสมยั เมจิ การประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญของญ่ีป่ ุน พ.ศ.2432 ชยั ชนะของญ่ีป่ ุนท่ีมตี ่อรสั เซีย พ.ศ.2448 การปฏิวตั ิจีนสมยั ดร.ชุนยดั เซ็น พ.ศ.2454- 2455 ที่ทาใหป้ ระเทศจีนปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยมีส่วนปลุกใหพ้ วกเขาเกิดความเร่ารอ้ น ตอ้ งการเปลี่ยนแปลงสงั คม ที่พวกเขาเห็น วา่ ลา้ หลงั กวา่ ประเทศอื่น เช่น ประเทศญ่ีป่ ุนมาก หนังสือ กบฏรศ.130 บรรยายถึงการเริ่มตน้ ก่อกระแสความคิด และวิธีการขยายสมาชิกของผูก้ ่อการจนได้ สมาชิกหลายสิบคน โดยเฉพาะนายทหารหนุ่มๆ ที่ \"ใจร้อนท่ีใคร่จะได้เห็นชาติภูมิของตน เจริญกา้ วหน้าเทียบทันอารยประเทศ\" แต่กระบวนการขยายสมาชิก และวางแผนการก็ดาเนินไป ไมไ่ ดน้ าน เน่ืองจากมสี มาชิกผูห้ น่ึงเกิดหกั หลงั กลุ่มผูก้ ่อการ ดว้ ยการกราบทูลรายงานแผนการ และ ชื่อผูก้ อ่ การแกผ่ ูบ้ งั คบั บญั ชา และความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ฯ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 60. พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จุลจกั รพงษ์(พ.ศ. 2450-2506). เจา้ ชวี ติ : สยามกอ่ นยุคประชาธิปไตย. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2505 เจา้ ชีวติ เป็ นพงศาวดารสมยั ใหม่ ท่ีใหภ้ าพเกี่ยวกบั พระมหากษัตริยใ์ นราชวงศจ์ กั รี ต้ังแต่รัชกาลท่ี 1-7 อย่างละเอียด จนกระทัง่ พระราชกรณียกิจประจาวนั ของ กษัตริย์ และเจา้ นายองคส์ าคญั ทาใหพ้ ระมหากษัตริยไ์ ทย มีภาพเคล่ือนไหว มี เลือดเน้ ือดูมชี ีวติ จิตใจ มีการยกพระราชดารสั ของกษัตริยแ์ ต่ละพระองคป์ ระกอบ ในแต่ละส่วน เป็ นระยะๆ อีกท้ัง มีการเปิ ดเผยพระอุปนิสัยส่วนพระองค์ของ เจา้ นายบางองค์ เชน่ ทรงเลา่ วา่ พระอนุชาของรชั กาลที่ 1เป็ นผูม้ บี ุคลิกซอ้ น การ นาเกร็ดประวตั ิศาสตรม์ ารวบรวม เลา่ ไวใ้ นหนังสือเจา้ ชีวติ น้ ีทาใหก้ ษัตริย์ และเจา้ นายในราชวงศจ์ กั รี เป็ นดุจตัวละครทางประวตั ิศาสตร์ที่เกิดข้ ึนจริง ที่ผูอ้ ่านสามารถซึมทราบผ่านทางการรับรู้ และ ประสบการณส์ ่วนพระองคข์ องผูท้ รงพระราชนิพนธท์ ่ีไดถ้ ่ายทอดออกมาในหนังสือเลม่ น้ ี ไม่เพียงเท่าน้ัน เจา้ ชีวิตยงั มีเน้ ือหาครอบคลุมประวตั ิศาสตรก์ ารเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ ความสมั พนั ธต์ ่างประเทศสงั คม และขนบประเพณีในราชสานัก โดยเฉพาะระเบียบวิธีการสถาปนา ยศเจา้ นาย ที่ทรงอธิบายอยา่ งละเอียดอีกดว้ ย

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 61. ประยุทธ สิทธิพนั ธ.์ ศาลไทยในอดีต. พมิ พค์ ร้งั แรก สานักพิมพส์ าสน์ สวรรค์ 2506 ศาลไทยในอดีต ของ ประยุทธ สิทธิพันธ์ เป็ นหนังสือท่ีใหส้ าระความรู้ เก่ียวกับพระราชอานาจในการตัดสินคดีความ กฎระเบียบแบบแผนหรือ วิธีการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ในสมยั สุโขทัย อยุธยามาจนถึงรตั นโกสินทร์ ก่อน เปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 ซ่ึงคนไทยยุคหลงั น้อยคนนัก จะเรียนรูค้ วาม เป็ นมาของศาลสถิต ยุติธรรมวา่ เป็ นเชน่ ไร ความดีเด่นของเน้ ือหาสาระ ไดแ้ ก่ การรวบรวมเอาประวตั ิศาสตร์ บนั ทึกเหตุการณ์ จดหมายเหตุ และกฎหมาย เก่าเก่ียวกบั การพิจารณคดีความ หรือปัญหาคดีความท่ีเกิดข้ ึน รวมตลอดไปจนคาประกาศ และการ ใชพ้ ระราชอานาจของพระมหากษัตริยท์ างตรง (ทรงกระทา) และทางออ้ ม (ผ่านขุนนางและตุลา การ) ซึ่งถือวา่ เป็ นกฎหมายท่ีบุคคลใดจะขดั ขืนมิได้ มาอธิบายง่ายๆ อย่างกระทดั รัด เพ่ือช้ ีใหเ้ ห็น ภาพรวมของระบบศาลสมยั สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ หรือความสาคญั ของแต่ละคดีความ ที่ยกมาอา้ ง ไวอ้ ย่างชัดเจน เร่ืองศาลไทยในอดีตน้ ี มิไดม้ ุ่งหมายจะใหเ้ ป็ นตาราว่าดว้ ยกฎหมาย หากแต่ได้ พยายามรวบรวมเรื่องราวในอดีต ที่เป็ นคดีคึกโครม น่าศึกษาในเชิงประวตั ิศาสตรโ์ บราณคดี และ จารีตประเพณีเท่าน้ัน นอกจากน้ ี ก็ไดร้ วบรวมบรรดาพระบรมราชวินิจฉยั และพระบรมราชโองการ ท้ังท่ีเกี่ยวกับคดีโดยตรง และเกี่ยวพนั อยู่บา้ งมาบรรจุไวด้ ว้ ย ในดา้ นที่จะให้ความรอบรูเ้ ก่ียวกับ เรื่องราวของอดีต ซึ่งอาจเป็ นเรื่องแปลกในสมยั โบราณ (จากคานา)ถา้ หากมองสงั คมไทย จากภาพ สะทอ้ นทางกฎหมายหรืออานาจทางการเมือง การปกครองสมยั ก่อน หนังสือศาลไทยในอดีต จะให้ ภาพรูปธรรมท่ีแตกต่างกนั ของสังคมชนช้นั อย่างกระจ่างชดั ว่ามีลกั ษณะเช่นใด มีวิถีชีวิต จารีต ประเพณี ระเบียบกฎเกณฑ์ และฐานะความเป็ นอยทู่ ่ีต่างกนั อยา่ งไร

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 62. ชยั เรืองศิลป์ (พ.ศ. 2447 - 2518).ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมยั พ.ศ.2352-2453 ดา้ นสงั คม.พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ.2517 คร้งั ที่ 2 พ.ศ. 2519 คร้งั ที่ 3 พ.ศ. 2526 (ฉบบั ที่ใชใ้ นการแนะนาคือ ฉบบั ที่พมิ พค์ ร้งั ที่ 2 โดยสานักพิมพเ์ รืองศิลป์ ) การที่เลือกหนังสือประวตั ิศาสตร์ไทยสมยั พ.ศ.2352-2453 ดา้ นสงั คมเป็ น หนังสือดีแทนที่จะเลือกหนังสือเล่มอื่นๆ ของชัย เรืองศิลป์ ที่เป็ นงานคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางดา้ นสงั คมเหมือนกนั ไดแ้ ก่ ประวตั ิศาสตรเ์ ศรษฐกิจ และสังคมไทยใน ศตวรรษท่ี 24 เหตุผลก็เป็ นเพราะหนังสือประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมยั 2352-2453 ตอนที่ 1 ดา้ นสงั คม เป็ นการเขียนรวบรวมขอ้ มลู ที่สมบรู ณก์ ว่างาน 2 เล่มแรก ท่ี กล่าวขา้ งตน้ งาน 2 เลม่ ดงั กล่าว มีลกั ษณะเป็ นงานที่เขียนข้ นึ เหมือนการรา่ ง รวบรวมประเด็นสาหรบั เขยี น ประวตั ิศาสตรไ์ ทย ดา้ นสงั คม เล่มท่ีแนะนามากกวา่ ส่วนประวตั ิศาสตร์ ไทยสมยั 2352-2453 ตอนที่ 2 ดา้ นเศรษฐกิจน้ัน ก็เป็ นหนังสือดีอีกเล่มหนึ่ง ท่ีบุคคลทวั่ ไปควร อ่าน แต่ที่ไม่ไดย้ กข้ ึนมา เป็ นเล่มท่ีแนะนาก็เป็ นเพราะ เม่ือเปรียบเทียบกบั ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมยั 2352-2453 ดา้ นสงั คมแลว้ ดา้ นเศรษฐกิจจะดอ้ ยกว่า ในแง่ของการใหภ้ าพ ท่ีไม่เป็ นระบบตาม ลกั ษณะการเขยี นในเชิงเศรษฐศาสตร์ เพราะดูเหมอื นวา่ ผูเ้ ขยี นจะใหร้ ายละเอียดของตน้ ไมใ้ นป่ าบาง ตน้ มากกวา่ การใหภ้ าพของป่ าไปดว้ ยในขณะเดียวกนั แต่ดว้ ยวธิ ีการเขยี นเช่นเดียวกนั น้ ี เม่ือนามาใช้ ในดา้ นสงั คมกลบั จะใหเ้ ห็นภาพทางสงั คมท่ีละเอียด ซบั ซอ้ น มีสีสนั น่าอ่านการที่หนังสือเล่มน้ ี ไดร้ บั การพิจารณาว่า เป็ นหนังสือดีในรอบศตวรรษ เพราะเป็ นหนังสือท่ีใหภ้ าพสงั คมไทยในช่วงเวลาที่ สาคญั คือ 100 ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสงั คมไทยด้งั เดิมโบราณ มาเป็ นสังคมไทยสมยั ใหม่ ที่ ไดร้ บั อิทธิพลจากตะวนั ตก (ตรงกบั รัชกาลท่ี 2-5) ไดอ้ ย่างดี คนทวั่ ไปก็จะอ่านไดอ้ ย่างท้งั ความรู้ และความเพลิดเพลินจุดเด่นของหนังสือเล่มน้ ี อยู่ท่ีขอ้ มูลที่ไดจ้ ากเอกสารเก่าแก่หายาก ท่ีอยู่ใน ครอบครองของผูเ้ ขียนจานวนมากไมว่ ่าจะเป็ นสมุดข่อย สมุดไทยดา ตาราโหราศาสตร์ หนังสือ เช่น นิราศเกาะจาน นิราศเดือน สุทยาลงั การที่ชยั เรืองศิลป์ ใช้ ก็เป็ นหนังสือท่ีนักประวตั ิศาสตรเ์ องก็ไม่ เคยเห็น และไมเ่ คยนามาใช้ รวมท้งั การใชข้ อ้ มลู จากกฎหมายตรา 3 ดวง พงศาวดารฉบบั ต่างๆ เป็ น แหล่งขอ้ มลู ที่สาคญั ในการเขยี น

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ก. ประวตั ิศาสตร์ 63. ม.ร.ว.อคิน รพพี ฒั น์ (แตง่ ) .ม.ร.ว.ประกายทอง สิริสุข พรรณี สรงบุญมี (แปล). บณั ฑร อ่อนดา (บก.). สงั คมไทยในสมยั ตน้ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. 2325-2416. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2518 หนังสือเล่มน้ ี เป็ นงานแปลจากตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษ The Organization of Thai Soiciety in the Early Bangkok Period 1782 - 1873 โดย ม.ร.ว.อคิน รพีพฒั น์ ซ่ึงเป็ นวิทยานิพนธป์ ริญญาโท สาขาวิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลยั คอรแ์ นล สหรฐั อเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1969 แต่เน่ืองจากเป็ นงานที่เขียนโดย คนไทย และเป็ นงานท่ีใหค้ วามรูเ้ รื่องไทยท่ีสาคญั เราจึงคดั ให้เป็ นหนังสือดีที่ คนไทยน่าจะไดอ้ ่านจุดมุง่ หมายของหนังสือเล่มน้ ี คือ การศึกษาถึงเร่ืองการ จดั ระเบียบสังคมไทย โดยเน้นการจดั ระเบียบสงั คมไทย โดยเน้นการจดั ระเบียบชนช้นั การเขยิบ ฐานะทางสงั คม ผูเ้ ขียนกาหนดระยะเวลาในการศึกษาต้ังแต่พ.ศ. 2325 - 2416 คือ ต้งั แต่การ สถาปนากรุงเทพเป็ นราชธานี จนถึงตน้ รชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว เหตุผลใน การเลือกระยะเวลาดังกล่าวน้ ีก็คือประการแรก การจัดระเบียบทางสงั คมในช่วงเวลาดังกล่าว มี ลกั ษณะเป็ นแบบไทยๆ ก่อนถึงการเปล่ียนแปลงคร้งั ใหญ่ ท่ีไดอ้ ิทธิพลในช่วง พ.ศ. 2411 - 2451 ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ ซ่ึงมผี ลใหก้ ารการจดั ระเบียบทางสงั คม และความสัมพนั ธ์ ทางชนชน้ั เปลี่ยนแปลงไป ไดแ้ ก่ การเลิกทาส เลิกไพร่ เหตุผลประการต่อมา คือ เอกสารในชว่ งเวลา น้ ี มีมากเพียงพอท่ีจะเป็ นขอ้ มลู สาหรบั ทาการวิจยั ไดแ้ มว้ า่ เน้ ือหาขอ้ มูลจะอยูใ่ นช่วงตน้ รตั นโกสินทร์ ต้ังแต่เริ่มสถาปนากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงตน้ รัชกาลท่ี 5 แต่งานช้ ินน้ ีมีนัยกวา้ งขวาง มากกวา่ เพียงสมยั ท่ีระบุ ท้งั สมยั ท่ียอ้ นข้ นึ ไป และสมยั ที่ตามมา กล่าวคือ เป็ นงานท่ีสามารถใหค้ วาม กระจ่างเก่ียวกบั สถานะดา้ นต่างๆ ของชนช้นั ในอยุธยา เขา้ ใจถึงเหตุผลของการปฏิรูปการปกครอง ในสมยั อยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 2112-2310) ไดล้ ุ่มลึกมากข้ ึน ส่วนในสมยั หลงั ต่อมาจากช่วงตน้ รชั กาลท่ี 5 งานน้ ีก็ช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลงสงั คม และการก่อตัวเป็ นรฐั -ชาติ ซ่ึงเป็ นหน่อให้ สยามพฒั นาเป็ นประเทศตามรูปท่ีปรากฏในปัจจุบนั

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ว่ มสมยั , เศรษฐศาสตร์ 64. พระยาสุริยานุวตั ร(พ.ศ. 2405 - 2479). ทรพั ยศาสตร.์ เลม่ 1-2 พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2454 โดย โรงพิมพบ์ ารุงนุกลู กิจ คร้งั ท่ีสาม พ.ศ. 2518 โดยสานักพมิ พพ์ ฆิ เณศ เลม่ 3 พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ.2477 พิมพค์ ร้งั ที่สอง พ.ศ. 2519 ทรพั ยศาสตร์ ประกอบดว้ ยหนังสือ 3 เล่ม ซ่ึงมหาอามาตยเ์ อกพระยาสุริยานุวตั ร (เกิด บุนนาค พ.ศ. 2405-2479) เขียนข้ ึนต่างวาระกนั 2 เล่มแรก ท่านเขียน ข้ ึนเม่ือปี พ.ศ. 2454 หลงั จากลาออกจากราชการ เน่ืองจากขดั แยง้ กบั เจ้าภาษี ฝิ่นเพราะท่านไดโ้ อนระบบเก็บภาษีฝ่ิน จากเจา้ ภาษีนายอากรมาเป็ นของรฐั ท่าน ใชเ้ วลาหลงั ออกจากราชการ เขียนหนังสือทรพั ยศาสตรข์ ้ ึน แต่เม่ือพิมพอ์ อกมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ไมพ่ อพระทยั ทรงสง่ เสนาบดีผูห้ นึ่ง ไป พบพระยาสุริยานุวตั รท่ีบา้ น ขอมิใหเ้ ขียนอีกต่อไปท่านจึงเขียนทรพั ยศาสตร์ ออกมาเพียง 2 เล่ม ยงั ไมจ่ บ ขณะเดียวกนั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ไดท้ รงเขยี นวิจารณ์ ทรพั ยศาสตร์ ลงใน วารสารสมุทรสารของราชนาวีสมาคม พระองคท์ รงเกรงว่า \"ทรพั ยศาสตร\"์ จะทาใหค้ นไทยแตกแยก แบง่ กนั เป็ นชนช้นั ทางราชการจึงไดข้ อรอ้ งไมใ่ หผ้ ูพ้ ิมพน์ าหนังสือทรพั ยศาสตร์ ออกเผยแพร่ หลงั จาก น้ันไม่มีใครกลา้ เขียนตารา หรือศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์โดยเปิ ดเผยอีก ต่อมาในสมยั รัชกาลที่ 7 รฐั บาลไดอ้ อกกฎหมาย หา้ มสอนลทั ธิเศรษฐกิจ โดยถือว่าการกระทาดังกล่าว เป็ นความผิดอาญา ราว 20 ปี ต่อมา (หลงั การตีพิมพค์ ร้งั แรก) ศาสตราจารย์ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ไดน้ า ทรัพยศาสตร์ เฉพาะเล่มที่ 1มาพิมพใ์ หม่ เปล่ียนช่ือเป็ น เศรษฐวิทยาเบ้ ืองตน้ ต่อมาหลงั การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง พ.ศ. 2475 คือในปี พ.ศ. 2477 ทรพั ยศาสตร์ เล่ม 3 จึงไดร้ บั การตีพิมพ์ ออกมาเป็ นคร้งั แรก ภายในช่ือ \"เศรษฐกิจ-การเมือง หรือ เศรษฐวิทยาเล่ม 3\" หลงั เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทรพั ยศาสตร์ เล่ม 1 และ 2 จึงไดร้ บั การตีพิมพร์ วมเป็ นเล่มเดียวกนั ในปี พ.ศ. 2518 ส่วน ทรพั ยศาสตร์ เลม่ 3 ไดร้ บั การพิมพอ์ ีกครง้ั เป็ นท่ีระลึกในงานฌาปานกิจศพ นางกุณฑลี วรศะริน ใน ปี พ.ศ. 2519 ทรพั ยศาสตรเ์ ขยี นข้ นึ เพ่ือเป็ นตาราเศรษฐศาสตร์

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 65. กุหลาบ สายประดิษฐ.์ เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ 2475. พิมพค์ ร้งั แรกในสุภาพบุรุษ ปี 2484 กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส และนักประพันธ์เจ้าของ นามปากกา \"ศรีบรู พา\"ผูต้ ่อสูก้ บั เผด็จการ และเรียกรอ้ งประชาธิปไตยมาโดย ตลอด ช้ ีแจงถึงเจตนารมณ์ในการเขียน\"เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ\" ไว้ ในปี พ.ศ. 2484 มีความตอนหน่ึง ดังน้ ีความมุ่งหมายพิเศษของขา้ พเจา้ ในการเขียน เรื่องน้ ี อยู่ท่ีจะหาวิธีใหม่ต่อต้านมรสุมของระบอบเผด็จการในเวลาน้ัน ขา้ พเจา้ นาพฤติการณข์ องการปฏิวตั ิ มาเรียบเรียงลงไว้ ก็ประสงคจ์ ะใหเ้ ป็ นขอ้ ตกั เตือนแก่นักปฏิวตั ิกลุ่มหน่ึง ท่ีถืออานาจการปกครองในสมยั น้ัน ไดส้ าเหนี ยกถึงอุดมคติของการ ปฏิวตั ิว่าเขาไดแ้ สดงไวอ้ ย่างไร และความประพฤติท่ีเขาปฏิบตั ิอยู่ เป็ นปฏิปักษ์ต่ออุดมคติของเขา อย่างไร ขา้ พเจา้ หวงั จะใหเ้ ขาเหล่าน้ัน บงั เกิดความละอายใจ และไดส้ านึกตนว่า เม่ือเขาทรยศต่อ อุดมคติของเขา ซ่ึงในเวลาต่อมา ไดก้ ลายเป็ นอุดมคติของประชาชนไปแลว้ ก็เท่ากบั ว่า เขาไดท้ รยศต่อประชาชน นัน่ เอง...\" ผูเ้ ขียนเองในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย คดั คา้ นเผด็จการ ภายหลงั จาก การเขียนหนังสือเล่มน้ ี ไดป้ ระสบชะตากรรมนานาประการ นับต้ังแต่ถูกโจมตี ใส่รา้ ยป้ ายสี ทาง สถานีวิทยุกระจายเสียง ของกรมโฆษณาการสมยั น้ัน ซึ่งมีเพียงสถานีเดียวท้งั ประเทศ จนกระทงั่ ถึง ถูกจบั กุมขงั ในขอ้ หากบฏภายในราชอาณาจกั ร อนั เป็ นขอ้ หากระทาความผิดท่ีรา้ ยแรงใหญ่หลวง เป็ นอุกฉกรรจม์ หนั ตโทษ ในฐานะท่ีเป็ นเอกสารหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ \"เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ 2475\" มีคุณค่าน่าเชื่อถือ ยิ่งกว่าหนังสือประเภทน้ ีหลายเล่ม เพราะประการแรก ผู้เขียนในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ได้มี ประสบการณก์ บั เหตุการณท์ างการเมอื ง ในช่วงหวั เล้ ียวหวั ต่อของไทยมาอย่างโชกโชน ในประการที่ สอง ผูเ้ ขียนพยายามใหค้ วามเป็ นธรรมแก่คณะผูก้ ่อการ โดยเรียบเรียงอย่างถูกตอ้ งเท่ี ยงตรงต่อ ความเป็ นจริง โดยเฉพาะคาใหส้ มั ภาษณข์ องพระยาพหลพยุหเสนา หวั หนา้ คณะก่อการ ที่ไดเ้ ปิ ดเผย ถึงมูลเหตุจูงใจ ในการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง แผนการยึดอานาจ ฯลฯ โดยแสดงใหเ้ ห็นถึง บทบาทของผูน้ าคนสาคญั ๆ ท่ีสามารถกระทาการยึดอานาจรฐั จนสาเร็จ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 66. ปรีดี พนมยงค(์ พ.ศ. 2443 2526). ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม. พมิ พค์ ร้งั แรก 2500 \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" มีลกั ษณะเด่น ต่างไปจากงานอื่นๆที่คลอ้ งกนั ทาง โลกทศั น์ อยู่อย่างนอ้ ย 5 ขอ้ คือ(1) เป็ นการประสานระหว่างความคิดปรชั ญา แนวสงั คมนิยมกบั พุทธธรรมท่ีสามารถสาวโยงรากศพั ท์ฮินดีบาลี พรอ้ มๆ ไปกนั กบั ความรูเ้ กี่ยวกบั ประวตั ิศาสตรร์ ากศัพท์ โรมนั ละติน อย่างคล่องแคล่ว ท้งั ใน เวทีตะวนั ตกและตะวนั ออก ท่ีสาคญั กว่าความรูท้ างนิรุกติศาสตร์ คือ พุทธธรรม อาจจะไมเ่ ป็ นท่ีรบั รกู้ นั กวา้ งขวางนักวา่ แทจ้ ริงแลว้ ปรีดี เคยไดผ้ ูกสมั พนั ธก์ บั กบั ท่านพุทธทาส สนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซ้ ึง มีความเช่ือมนั่ ศรทั ธาในกฎแห่งกรรมอย่าง จริงจงั ผูท้ ่ีสามารถจะกล่าวไดว้ ่า \"ไดอาเล็กติเก\" (Dialektike) ของกรีกโบราณก็คือ วิธีธรรมสากจั ฉา หรือปุจฉาวสิ ชั นาธรรมของพระพุทธองคน์ ัน่ เอง\" (น. 71) จาตอ้ งมีความรู้ ท้งั ในอารยธรรมตะวนั ตก และพุทธปรชั ญาเป็ นอยา่ งดี (2) สาหรบั องคค์ วามรูท้ างสงั คมศาสตร์ และการเผยแพร่แนวคิดสงั คม นิยม ในสงั คมไทยเป็ นงานริเริ่ม แปลกใหม่ ในความเห็นของ ฉตั รทิพย์ นาถสุภา นักวิชาการ ผูศ้ ึกษา งานของปรีดีอย่างจริงจงั ผูห้ น่ึง ยกย่อง \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" ว่า เป็ นงานบุกเบิกที่สาคญั ยิ่ง ของ \"ผู้นาทางทฤษฎี\" ที่ผูศ้ ึกษาสังคมไทยไม่ว่า จะก่อนหรือหลงั 2475 ตอ้ งใหค้ วามสนใจ (3) เน้ ือหาของหนังสือซ่ึงเก่ียวกบั เรื่อง กฎแห่งอนิจจงั ของสมั มาสมั พุทธเจา้ อนั นามาใชไ้ ดก้ บั กรณีของ มนุษยส์ งั คม ตรงกบั กฎธรรมชาติ และวิทยาศาสตรท์ างสงั คม (น. 15) น้ ีน้ัน สอดคลอ้ งกับสานวน ภาษา ภาษาท่ีใชเ้ ป็ นภาษาไทย สานวน ศพั ทล์ ายครามและใชก้ ารอธิบายอยา่ งยอ่ ความกระชับเขา้ ใจ ไดง้ ่าย เพราะฉะน้ัน หนังสือจึงมีเน้ ือความมาก แมจ้ ะส้นั เพียงประมาณ 100 หน้า (ขนาดพ็อค เก็ตบุ๊ก) (4) เช่นเดียวกบั ขอ้ เขียนเล่มอ่ืนๆ ที่ \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" ไดเ้ สนอบญั ญตั ิศพั ทอ์ ยู่ หลายต่อหลายคาศัพท์(5) ถา้ ความรูจ้ ะเสริมส่งจริยธรรมได้ \"ความเป็ นอนิจจงั ของสังคม\" น้ ีก็ให้ ความตระหนักถึงชีวิตสงั คมว่า ยืนยาวกว่าชีวิตของปัจเจกบุคคลมากนัก ซ่ึงเราแต่ละคน เป็ นเพียง สว่ นนอ้ ยๆ ของเศษเส้ ียวเล็กๆ สว่ นหน่ึงของความเป็ นไปประวตั ิศาสตร์ เม่ือรูส้ ึกถึงความเป็ นเพียงธุลี หนึ่งน้ ีแลว้ ก็อาจจะไดช้ ่วยลดอตั ตาของตนไดบ้ า้ ง ส่วนสารอีกดา้ นหนึ่ง คือ มองตนเองใหเ้ ป็ นส่วน หน่ึง ของความเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ การมองขา้ งหน้าไปไกลๆ ไมใ่ ช่เป็ นเพียงเรื่องของความ ฝัน วาดความหวงั ในอนาคตที่สุขสว่างขา้ งหน้า จากภาวะที่หมองหมน่ ในปัจจุบนั แต่เป็ นดาวนาทาง แมว้ ่าเราอาจจะไม่มีทางไดไ้ ปถึงดวงดาวได้ แต่ดาวน้ันเป็ นแสงช้ ีทาง ในการกระทาของเรา และ พิจารณาถึงกรรมของแต่ละคน ที่ฝากสงั่ สมไวส้ ูย่ ุคศรีอาริยเมตไตรย์

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 65. กุหลาบ สายประดิษฐ.์ เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ 2475. พิมพค์ ร้งั แรกในสุภาพบุรุษ ปี 2484 กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส และนักประพันธ์เจ้าของ นามปากกา \"ศรีบรู พา\"ผูต้ ่อสูก้ บั เผด็จการ และเรียกรอ้ งประชาธิปไตยมาโดย ตลอด ช้ ีแจงถึงเจตนารมณ์ในการเขียน\"เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ\" ไว้ ในปี พ.ศ. 2484 มีความตอนหน่ึง ดังน้ ีความมุ่งหมายพิเศษของขา้ พเจา้ ในการเขียน เรื่องน้ ี อยู่ท่ีจะหาวิธีใหม่ต่อต้านมรสุมของระบอบเผด็จการในเวลาน้ัน ขา้ พเจา้ นาพฤติการณข์ องการปฏิวตั ิ มาเรียบเรียงลงไว้ ก็ประสงคจ์ ะใหเ้ ป็ นขอ้ ตกั เตือนแก่นักปฏิวตั ิกลุ่มหน่ึง ท่ีถืออานาจการปกครองในสมยั น้ัน ไดส้ าเหนี ยกถึงอุดมคติของการ ปฏิวตั ิว่าเขาไดแ้ สดงไวอ้ ย่างไร และความประพฤติท่ีเขาปฏิบตั ิอยู่ เป็ นปฏิปักษ์ต่ออุดมคติของเขา อย่างไร ขา้ พเจา้ หวงั จะใหเ้ ขาเหล่าน้ัน บงั เกิดความละอายใจ และไดส้ านึกตนว่า เม่ือเขาทรยศต่อ อุดมคติของเขา ซ่ึงในเวลาต่อมา ไดก้ ลายเป็ นอุดมคติของประชาชนไปแลว้ ก็เท่ากบั ว่า เขาไดท้ รยศต่อประชาชน นัน่ เอง...\" ผูเ้ ขียนเองในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย คดั คา้ นเผด็จการ ภายหลงั จาก การเขียนหนังสือเล่มน้ ี ไดป้ ระสบชะตากรรมนานาประการ นับต้ังแต่ถูกโจมตี ใส่รา้ ยป้ ายสี ทาง สถานีวิทยุกระจายเสียง ของกรมโฆษณาการสมยั น้ัน ซึ่งมีเพียงสถานีเดียวท้งั ประเทศ จนกระทงั่ ถึง ถูกจบั กุมขงั ในขอ้ หากบฏภายในราชอาณาจกั ร อนั เป็ นขอ้ หากระทาความผิดท่ีรา้ ยแรงใหญ่หลวง เป็ นอุกฉกรรจม์ หนั ตโทษ ในฐานะท่ีเป็ นเอกสารหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ \"เบ้ ืองหลงั การปฏิวตั ิ 2475\" มีคุณค่าน่าเชื่อถือ ยิ่งกว่าหนังสือประเภทน้ ีหลายเล่ม เพราะประการแรก ผู้เขียนในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ได้มี ประสบการณก์ บั เหตุการณท์ างการเมอื ง ในช่วงหวั เล้ ียวหวั ต่อของไทยมาอย่างโชกโชน ในประการที่ สอง ผูเ้ ขียนพยายามใหค้ วามเป็ นธรรมแก่คณะผูก้ ่อการ โดยเรียบเรียงอย่างถูกตอ้ งเท่ี ยงตรงต่อ ความเป็ นจริง โดยเฉพาะคาใหส้ มั ภาษณข์ องพระยาพหลพยุหเสนา หวั หนา้ คณะก่อการ ที่ไดเ้ ปิ ดเผย ถึงมูลเหตุจูงใจ ในการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง แผนการยึดอานาจ ฯลฯ โดยแสดงใหเ้ ห็นถึง บทบาทของผูน้ าคนสาคญั ๆ ท่ีสามารถกระทาการยึดอานาจรฐั จนสาเร็จ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 66. ปรีดี พนมยงค(์ พ.ศ. 2443 2526). ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม. พมิ พค์ ร้งั แรก 2500 \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" มีลกั ษณะเด่น ต่างไปจากงานอื่นๆที่คลอ้ งกนั ทาง โลกทศั น์ อยู่อย่างนอ้ ย 5 ขอ้ คือ(1) เป็ นการประสานระหว่างความคิดปรชั ญา แนวสงั คมนิยมกบั พุทธธรรมท่ีสามารถสาวโยงรากศพั ท์ฮินดีบาลี พรอ้ มๆ ไปกนั กบั ความรูเ้ กี่ยวกบั ประวตั ิศาสตรร์ ากศัพท์ โรมนั ละติน อย่างคล่องแคล่ว ท้งั ใน เวทีตะวนั ตกและตะวนั ออก ท่ีสาคญั กว่าความรูท้ างนิรุกติศาสตร์ คือ พุทธธรรม อาจจะไมเ่ ป็ นท่ีรบั รกู้ นั กวา้ งขวางนักวา่ แทจ้ ริงแลว้ ปรีดี เคยไดผ้ ูกสมั พนั ธก์ บั กบั ท่านพุทธทาส สนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซ้ ึง มีความเช่ือมนั่ ศรทั ธาในกฎแห่งกรรมอย่าง จริงจงั ผูท้ ่ีสามารถจะกล่าวไดว้ ่า \"ไดอาเล็กติเก\" (Dialektike) ของกรีกโบราณก็คือ วิธีธรรมสากจั ฉา หรือปุจฉาวสิ ชั นาธรรมของพระพุทธองคน์ ัน่ เอง\" (น. 71) จาตอ้ งมีความรู้ ท้งั ในอารยธรรมตะวนั ตก และพุทธปรชั ญาเป็ นอยา่ งดี (2) สาหรบั องคค์ วามรูท้ างสงั คมศาสตร์ และการเผยแพร่แนวคิดสงั คม นิยม ในสงั คมไทยเป็ นงานริเริ่ม แปลกใหม่ ในความเห็นของ ฉตั รทิพย์ นาถสุภา นักวิชาการ ผูศ้ ึกษา งานของปรีดีอย่างจริงจงั ผูห้ น่ึง ยกย่อง \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" ว่า เป็ นงานบุกเบิกที่สาคญั ยิ่ง ของ \"ผู้นาทางทฤษฎี\" ที่ผูศ้ ึกษาสังคมไทยไม่ว่า จะก่อนหรือหลงั 2475 ตอ้ งใหค้ วามสนใจ (3) เน้ ือหาของหนังสือซ่ึงเก่ียวกบั เรื่อง กฎแห่งอนิจจงั ของสมั มาสมั พุทธเจา้ อนั นามาใชไ้ ดก้ บั กรณีของ มนุษยส์ งั คม ตรงกบั กฎธรรมชาติ และวิทยาศาสตรท์ างสงั คม (น. 15) น้ ีน้ัน สอดคลอ้ งกับสานวน ภาษา ภาษาท่ีใชเ้ ป็ นภาษาไทย สานวน ศพั ทล์ ายครามและใชก้ ารอธิบายอยา่ งยอ่ ความกระชับเขา้ ใจ ไดง้ ่าย เพราะฉะน้ัน หนังสือจึงมีเน้ ือความมาก แมจ้ ะส้นั เพียงประมาณ 100 หน้า (ขนาดพ็อค เก็ตบุ๊ก) (4) เช่นเดียวกบั ขอ้ เขียนเล่มอ่ืนๆ ที่ \"ความเป็ นอนิจจงั ของสงั คม\" ไดเ้ สนอบญั ญตั ิศพั ทอ์ ยู่ หลายต่อหลายคาศัพท์(5) ถา้ ความรูจ้ ะเสริมส่งจริยธรรมได้ \"ความเป็ นอนิจจงั ของสังคม\" น้ ีก็ให้ ความตระหนักถึงชีวิตสงั คมว่า ยืนยาวกว่าชีวิตของปัจเจกบุคคลมากนัก ซ่ึงเราแต่ละคน เป็ นเพียง สว่ นนอ้ ยๆ ของเศษเส้ ียวเล็กๆ สว่ นหน่ึงของความเป็ นไปประวตั ิศาสตร์ เม่ือรูส้ ึกถึงความเป็ นเพียงธุลี หนึ่งน้ ีแลว้ ก็อาจจะไดช้ ่วยลดอตั ตาของตนไดบ้ า้ ง ส่วนสารอีกดา้ นหนึ่ง คือ มองตนเองใหเ้ ป็ นส่วน หน่ึง ของความเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ การมองขา้ งหน้าไปไกลๆ ไมใ่ ช่เป็ นเพียงเรื่องของความ ฝัน วาดความหวงั ในอนาคตที่สุขสว่างขา้ งหน้า จากภาวะที่หมองหมน่ ในปัจจุบนั แต่เป็ นดาวนาทาง แมว้ ่าเราอาจจะไม่มีทางไดไ้ ปถึงดวงดาวได้ แต่ดาวน้ันเป็ นแสงช้ ีทาง ในการกระทาของเรา และ พิจารณาถึงกรรมของแต่ละคน ที่ฝากสงั่ สมไวส้ ูย่ ุคศรีอาริยเมตไตรย์

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ว่ มสมยั , เศรษฐศาสตร์ 67. เดือน บุนนาค (พ.ศ. 2448 - 2515). ท่านปรีดี รฐั บุรุษอาวุโส ผูว้ างแผนเศรษฐกิจไทย คนแรก.พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2500. ชื่อหนังสือเน้นที่ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรฐั บุรุษอาวุโส ส่วนเน้ ือหาส่วนใหญ่ น้ัน เป็ นเร่ืองเก่ียวกบั เคา้ โครงเศรษฐกิจ คือ ตวั บทของ เคา้ โครงฯ กฎหมายท่ี จะใหเ้ คา้ โครงฯเกิดผลบงั คบั ใช้ ซึ่งก็คือ ร่างพ.ร.บ. วา่ ดว้ ยการประกนั ความสุข สมบูรณ์ของราษฎร รายงานการประชุม ท่ีจดแบบคาต่อคาของผูท้ ่ีพิจารณา เคา้ โครงฯ รวมไปถึงพระบรมราชวินิจฉัย คุณค่าหลกั ของหนังสือเล่มน้ ีก็คือ ไดร้ วมเอกสารเหลา่ น้ ี ตามตน้ ฉบบั มาไวใ้ นเล่มเดียวกนั ใหผ้ ูอ้ ่านไดใ้ ช้ วิจารณญาณ ตรึกตรองดว้ ยตนเองต่อท้งั เคา้ โครงฯ และปฏิกิริยาอนั มีท้งั ขอ้ สนับสนุ น (ซึ่งแผ่วเบา) และขอ้ คดั คา้ น (ซึ่งแขง็ กรา้ ว) ผูอ้ า่ นอาจจะอดไมไ่ ดท้ ่ีจะมคี วามเห็นของตนเอง จึงอยูใ่ นฐานะเสมือน เขา้ ร่วมถกเถียงดว้ ย ในกาลปัจจุบนั ใครจะมีความเห็นอยา่ งไรต่อเคา้ โครงฯ น้ ี ไมม่ ีผลอยา่ งไรในทาง ปฏิบตั ิ และความเร่ารอ้ น รุนแรง ในฐานะที่เคา้ โครงฯ จะพลิกโฉมหนา้ แผ่นดินไทยก็มอดดบั ไปแลว้ การอ่านหนังสือเล่มน้ ี จึงน่าจะเป็ นการใชป้ ัญญาและเหตุผล ที่อารมณ์และคติต่างๆ จะเจือจางลง มากกวา่ แต่ก่อน โดยสาระหลกั แลว้ หนังสือเล่มน้ ี เป็ นการรวบรวมเอกสาร แมจ้ ะไม่ไดร้ วมเอกสาร สาคญั ที่เกี่ยวขอ้ งกนั อีก 2 ช้ ิน คือ บนั ทึกเรื่องรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามญั ซ่ึงสาภาไดล้ ง มติต้งั เพ่ือใหส้ อบสวนวา่ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็ นคอมมิวนิสตห์ รือไม่ และรายงานการประชุม สภาผูแ้ ทนราษฎรคร้งั ท่ี 25/2576 (สามญั ) สมยั ที่ 2\" แต่ที่ชดเชยได้ คือ ส่วนที่เป็ นขอ้ เขียนของ เดือน บุนนาคเอง คือ ใน 2 บทตน้ เขาไดเ้ สนอประวตั ิของปรีดี พนมยงค์ โดยเฉพาะในส่วนท่ี สมั พันธ์เก่ียวขอ้ งกับเขา และสภาพเหตุการณแ์ วดลอ้ ม สมยั เม่ือเป็ นนักเรียนอยู่ท่ีฝรงั่ เศสดว้ ยกัน และเม่ือไดร้ ่วมงานกนั ในวงการอาจารยส์ อนวิชากฎหมายที่ธรรมศาสตร์ และใน 2 บททา้ ย เมื่อได้ เสนอเอกสารดังกล่าวแลว้ เขาก็แสดงความคิดเห็นต่อความขดั แยง้ ระหว่างผูเ้ สนอเคา้ โครงกับผู้ คดั คา้ น ความเห็นของเขาน้ันถกเถียงกบั ผูท้ ี่คดั คา้ น และระบุถึงความคิดบางประการในเคา้ โครงฯ ไดน้ ามาปฏิบตั ิ ซึ่งนอกจากจะน่าสนใจในตวั ของมนั เองแลว้ ยงั เป็ นการเช้ ือชวนใหผ้ ู้อ่านมีความเห็น แตกต่างออกไปอีกดว้ ย

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ว่ มสมยั , เศรษฐศาสตร์ 68. สนิท เจริญรฐั (พ.ศ. 2450 -2529). โอว้ า่ ...อาณาประชาราษฎร.์ พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2507 \"โอว้ า่ อาณาประชาราษฎร\"์ สารคดีชุดความหลงั ของนักหนังสือพิมพผ์ ู้หน่ึงเสนอ เร่ืองหลกั ๆ 2 เรื่องควบคู่ และเสริมส่งกนั คือ การเมืองเกี่ยวกบั การเปลี่ยนแปลง การปกครองปี 2475 จนถึงช่วงสงครามโลกคร้งั ที่ 2 เร่ืองหน่ึง ส่วนอีกเร่ืองหน่ึง คือ การทางานหนังสือพิมพใ์ นช่วงเดียวกันผูเ้ ขียนเขียนหนังสือเล่มน้ ี หลงั จาก เหตุการณผ์ ่านไปแลว้ กวา่ 30 ปี ความรูส้ ึกที่ตื่นเตน้ ปั่นป่ วน ความขดั ขอ้ ง กงั วล ใจต่างๆ อนั เป็ นวิสยั ของปฏิกิริยา และการตอบสนองต่อส่ิงที่เกิดข้ ึนในบา้ นเมือง น้ัน ไดม้ อดดบั ไปแลว้ สิ่งท่ีคงอยู่ คือ ความทรงจาของความรูส้ ึกหรืออาจจะเรียกว่า เป็ นความรูส้ ึกที่ ตกผลึกแลว้ เพราะฉะน้ัน \"น้าเสียง\" ของการใชภ้ าษา จึงมิไดอ้ อกมาดว้ ยจริตของโทสะหรือจริตอ่ืนๆ อย่างดิบๆ แต่ก็ใช่ว่า จะเป็ นงานเขียนที่แหง้ แลง้ ปราศจากชีวิต อนั เป็ นลกั ษณะร่วมของงานเขียน ประเภทที่จดั ว่าเป็ นงานวิชาการ \"โอว้ ่า...อาณาประชาราษฎร์\" เป็ นงานเขียนจากน้าหมึก ซ่ึงเจือดว้ ย อารมณอ์ นั กลนั่ กรองผ่านเวลา และวุฒิภาวะท่ีสูงข้ นึ แลว้ \"โอว้ ่า...อาณาประชาราษฎร์\" เป็ นหนังสือรวมบทความหลายๆ บทเขา้ ดว้ ยกัน มิใช่เป็ นหนังสือ ท่ี เสนอเรื่องที่เป็ นเรื่องเรื่องหนึ่ง แลว้ นาเสนอเป็ นบทๆ ติดต่อกนั แต่ละบทเป็ นเอกเทศจบในตวั เอง แต่ มิไดห้ มายความว่า แต่ละบทกระจายไปอย่างไรท้ ิศไรท้ าง แทจ้ ริงแลว้ ทางของหนังสืออยู่ท่ี อุดมคติ ประชาธิปไตยที่ผูเ้ ขยี นใฝ่ ฝัน และพยายามมสี ว่ นก่อใหเ้ กิดข้ นึ ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ เมื่อมองสารตั ถะของขอ้ เขียนท้งั 12 บทจากมุมน้ ี จึงทาใหห้ นังสือเล่มน้ ี มิไดม้ ีคุณค่าในฐานะเป็ น บนั ทึก ที่ใหค้ วามรอู้ นั จากดั อยูเ่ ฉพาะยุคสมยั เท่าน้ัน แต่ดว้ ยประพนั ธศิลป์ ในการถ่ายทอดเจตน์จานง เพ่ือประชาธิปไตยน้ันไดย้ กระดับให้ \"โอว้ ่า...อาณาประชาราษฎร์\" เป็ นมรดกแห่งประสบการณข์ อง แรงบนั ดาลใจ และความพยายามจากผูถ้ ือปากกาเป็ นอาวุธ และดว้ ยคุณค่าน้ ี ท่ีเป็ นลกั ษณะของความ เป็ นสากลแฝงอยูห่ นังสือเล่มน้ ี

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ว่ มสมยั , เศรษฐศาสตร์ 69. ศาสตราจารยด์ ิเรก ชยั นาม(พ.ศ.2448-2510). ไทยกบั สงครามโลกคร้งั ที่สอง. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ.2509 สานักพิมพแ์ พรพ่ ทิ ยา (หนังสือปกแข็ง 2 เลม่ จบ) ไทยกบั สงครามโลกคร้งั ท่ีสอง มีเรื่องราวท่ีน่าสนใจมากมายหลายเร่ือง อาทิ ปัญหาเศรษฐกิจที่รฐั มนตรีคลงั ในขณะท่ีญี่ป่ ุนจะเขา้ ยึดครองไทย คือ ดร. ปรีดี พยมยงค์ ไดแ้ สดงความคาดหมายไว้ ถูกตอ้ งนับแต่เร่ิมแรก ที่ญ่ีป่ ุน บงการใหป้ รับอตั ราแลกเปลี่ยนเงินเยนกับเงินบาทเสียใหม่ กล่าวคือ เดิม 100 บาทเท่ากบั 150 เยน กลายมาเป็ น 100 บาทเท่ากบั 100 เยน การท่ี ญ่ีป่ ุนบงั คบั กูเ้ งินจากไทยครง้ั แลว้ ครง้ั เลา่ ดร.ปรีดีเห็นวา่ จะเป็ นผลเสียหาย รา้ ยแรง แก่เศรษฐกิจของชาติ เงินเฟ้อ ราคาสินคา้ จะแพงข้ ึน เพราะประชาชนไทยท้งั ชาติ จะตอ้ ง แบกภาระเล้ ียงดกู องทพั ญ่ีป่ ุน ท่ีเขา้ มายึดครองอีกดว้ ย ฯลฯ ประเด็นสาคัญที่สมควรเน้นใหม้ าก ไดแ้ ก่ อันตรายรา้ ยแรงที่เกิดแก่ประเทศชาติ เม่ือมีผูเ้ ผด็จ การทหารปกครอง เพราะการบริหารงานของผูเ้ ผด็จการน้ัน ไม่ฟังเสียงบุคคลอื่น ยึดถืออัตตาของ ตนเองเป็ นที่ต้งั ผลเสียหายท่ีเกิดแกช่ าติบา้ นเมืองน้ัน เหลือท่ีจะประมาณได้ นอกจากเศรษฐกิจแลว้ ยงั มที ุจริตคอรร์ บั ชนั่ มากมาย ภายหลงั สงคราม นักการเมืองพลเรือนตอ้ งใชค้ วามพยายามกนั อยา่ ง สุดความสามารถ ท่ีจะแกไ้ ขสถานการณ์ ใหเ้ สียหายนอ้ ยที่สุดเท่าท่ีจะน้อยได้ สรุปไดต้ ามเน้ ือหาของ ไทยกบั สงครามโลกคร้งั ที่สอง ถึงผลการทางานของผูเ้ ขียนไดว้ า่ พยายามทาสิ่งท่ีดีที่สุดข้ ึนมาใหจ้ งได้ จากสิ่งที่เลวรา้ ยอยา่ งที่สุด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครท่ีไหนเป็ นคนทาแก่ชาติ ผูเ้ ผด็จการทหารท่ีอวดอา้ งตนเอง วา่ รกั ชาติยงิ่ กวา่ ใครนัน่ เอง หนังสือน้ ี ยงั มีขอ้ เขียนของผูน้ าเสรีไทย ในฐานะรบั ผิดชอบงานเสรีไทยมาโดยตลอด คือ ทวี บุณย เกตุ ขอ้ เขียนของดร.ป๋ วย อ๊ึงภากรณ์ เล่าถึงเร่ืองราวของเสรีไทยในอังกฤษ และขอ้ เขียนของพระ พิศาลสุขุมวิทย์ ที่ไดเ้ ดินทาง (ใตด้ ิน) ไปสหรฐั อเมริกา ในตอนปลายสงคราม เพ่ือลอบบ้ ีใหช้ าว อเมริกันรูจ้ ัก และเขา้ ใจประเทศไทย และประชาชนชาวไทยเป็ นคร้ังแรก ในฐานะที่พระพิศา ล สุขมุ วทิ ย์ กบั หลวงสุขมุ นัยประดิษฐน์ อ้ งชาย เคยเป็ นนักเรียนอเมริกนั รูจ้ กั สนิทสนมกบั ชาวอเมริกนั หลายคน ท้ังที่เป็ นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกัน และที่เคยมาประกอบธุรกิจในเมืองไทยดว้ ย ขอ้ เขียนดงั กล่าว เขา้ ใจว่า ศาสตราจารยด์ ิเรกตอ้ งการให้ผูอ้ ่านไดท้ ราบถึงผลงานของเสรีไทยดา้ น ต่างๆ ใหก้ วา้ งขวางย่ิงข้ ึน เพราะในส่วนของท่านเอง ไดเ้ ขา้ ร่วมงานเสรีไทยในภายหลัง แ ละก็ ปฏิบตั ิการโดยมีฐานะอยูใ่ นกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 70. ป๋ วย อ๊ึงภากรณ์ (พ.ศ. 2459 - ). สนั ติประชาธรรม. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2516 โดยสานักพมิ พเ์ คล็ดไทย สันติ ป ระช าธรร ม เ ป็ นห นั งสื อ รวบร วมบ ท ควา ม แ ละปา ฐกถ าขอ ง ดร. ป๋ วย อ๊ึงภากรณ์ ที่เขียน และเคยตีพิมพ์ในระหว่างปี 2511-2516 แบ่ง ออกเป็ นสี่หวั ขอ้ ใหญ่ คือประสบการณ์ การเมือง แด่ผูท้ ี่จากไป และการศึกษา จดั พิมพโ์ ดยสานักพิมพเ์ คล็ดไทย ในปี 2516ซ่ึงเป็ นปี ที่เยาวชนในประเทศไทย กาลังต่ืนตัวเร่ืองประชาธิปไตย รับความคิดและแนวทางทางการเมืองแบบเสรี นิยม และสงั คมนิยมอยา่ งสงู หลงั จากถูกปิ ดก้นั โดยรฐั บาลทหารมานานปี ” ”เร่ืองเด่นในหนังสือเล่มน้ ีเร่ืองหน่ึง คือ จดหมายของนายเขม้ เย็นยิ่ง เรียน นายทานุ เกียรติกอ้ ง ผูใ้ หญ่บา้ นไทยเจริญ ซ่ึงเขียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2515 หลังจากท่ีจอมพลถนอม กิตติขจร ทา รฐั ประหาร และยกเลิกรฐั ธรรมนูญ นาประเทศไทยกลบั ไปสู่ระบบเผด็จการทหารอีกคร้งั เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2514 ขณะน้ัน ดร. ป๋ วย เป็ นอาจารยพ์ ิเศษ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศ องั กฤษ ดร. ป๋ วย เขยี นออกมาในรปู จดหมายสง่ ถึงจอมพลถนอม ใชท้ ่วงทานองวรรณศิลป์ อุปมาอุป มยั อย่างนิ่มนวล แต่เน้ ือหาหนักแน่นเป็ นแก่นสาร คัดคา้ นการยึดอานาจ และเรียกร้องใหค้ ืน รฐั ธรรมนูญใหก้ บั ประชาชน เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ต้งั แต่ผมรูจ้ กั พ่ีทานุ จนรกั ใคร่นับ ถือเป็ นส่วนตวั มาก็กว่าย่ีสิบปี ผมไดย้ ินอยูเ่ สมอว่าพี่ทานุ (และคณะ) นิยมเสรีประชาธรรม.......ผมก็ ยินดีดว้ ยอย่างจริงใจ ...... สาหรบั หมู่บา้ นไทยเจริญของเรา ก็มีสิ่งแวดลอ้ ม ที่เป็ นพิษอยู่เป็ นอนั มาก แต่ผมว่าอะไรไมร่ า้ ยแรงเท่าพิษของความเกรงกลวั ซึ่งเกิดจากการใชอ้ านาจข่เู ข็ญ และการใชอ้ านาจ โดยพลการ (แมว้ า่ จะใชใ้ นทางที่ถูก) เพราะความเกรงกลวั ยอ่ มมีผลสะทอ้ นเป็ นพิษแก่ปัญญา.... ถา้ หมู่บา้ นของเรา มีแต่การใชอ้ านาจ ไม่ใชส้ มองไปในทางท่ีควร เช่นท่ีบรรพบุรุษไทยเราเคยใชม้ า จน สามารถรกั ษาเอกราชไดม้ าชา้ นาน เมอ่ื อานาจทาใหก้ ลวั ทางชีววทิ ยาท่านวา่ ไวว้ า่ เสน้ ประสาทบงั คบั ใหห้ ลบั ตาเสีย และเวลาหลบั ตาน้ันแหละ เป็ นเวลาแห่งความหายนะ.. (หนา้ 54-55) สนั ติประชา ธรรมเป็ นหนังสือท่ีมีคุณค่า ในแง่วรรณศิลป์ ประวตั ิศาสตร์ และเน้ ือหาสาระ ดา้ นวรรณศิลป์ น้ัน ดร. ป๋ วย ใชล้ ีลาในการเสนอบทความท้งั 26 บท อยา่ งหลากหลายรูปแบบ ตามสถานการณ์ เน้ ือหาสาระ และผูร้ บั ท่ีแตกต่างกนั แต่สิ่งที่เหมือนกนั ในทุกบทความก็คือ ความพิถีพิถนั ในการเลือกใชถ้ อ้ ยคาไทย พ้ ืนๆ ที่เรียบง่าย แต่ใหค้ วามหมายลึกซ้ ึง กินใจ และสื่อความไดอ้ ยา่ งตรงไปตรงมาไม่เสแสรง้ เป็ น การสะทอ้ นการดาเนินชีวิตแบบไทยๆ ท่ีเรียบง่ายของท่านออกมาเป็ นตวั อกั ษร ในแง่ประวตั ิศาสตร์ หนังสือเล่มน้ ี เป็ นหนังสือท่ีพยายามเสนอทางเลือก ในเชิงอุดมคติสาหรบั สงั คมไทยในช่วงปี 2516 ซึ่งเป็ นช่วงเปลี่ยนผ่านท่ีสาคญั ซ่ึงเราน่าจะกลบั ไปอ่านเพื่อเรียนรกู้ นั ใหม่

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 71. ส. ศิวรกั ษ์(พ.ศ. 2476 - ). หา้ ปี จากปริทศั น์. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2512 โดยสานักพิมพศ์ ึกษิตสยาม หา้ ปี จากปริทัศน์ของ ส. ศิวรักษ์ เป็ นหนังสือรวมบทนา บทความ บทแปล บทคน (สมั ภาษณแ์ ละแนะนา) จดหมายจากบรรณาธิการ และบรรณาธิการ และขอ้ เขียนอ่ืนๆ รวม 50 ช้ ิน ที่สุลกั ษณ์ ศิวรกั ษ์เขียน และตีพิมพใ์ นวารสาร สงั คมศาสตร์ปริทัศน์ ซ่ึงเป็ นวารสารราย 3 เดือนของสมาคมสังคมศาสตร์ แห่งประเทศไทย ท่ีเขาเป็ นบรรณาธิการ ในช่วงปี พ. ศ. 2506-2511 ส่วนที่สาคญั ที่สุด คือ บทนา 20 บท เราเลือกเลม่ น้ ี เพราะเป็ นงานกอ่ นปี 2516 ที่มบี ทบาทต่อการสรา้ งบรรยากาศ การแลกเปล่ียนทางภูมิปัญญาในยุคมืดมากที่สุดเล่มหนึ่ง สงั คมศาสตร์ปริทัศน์เป็ นสนามสรา้ ง แหล่งเพาะใหน้ ักเขียน นักคิดของไทย ในสมยั หลังอีกเป็ น จานวนมาก ดงั คาประกาศเกียรติคุณ สุลกั ษณ์ ศิวรกั ษ์ ผูไ้ ดร้ บั รางวลั ศรีบูรพา ประจาปี 2537 ว่า ในยุคที่เผด็จการครองเมือง และสงั คมอบั จนทางปัญญา นายสุลกั ษณ์ ศิวรกั ษ์ ไดเ้ สนอผลงานดา้ น วรรณกรรม และขอ้ เขยี นต่างๆ ซ่ึงไดจ้ ุดประกายความคิด และการคน้ หาทางออก ในยุคดงั กล่าวนาย สุลกั ษณ์ ศิวรกั ษ์ ไดเ้ ป็ นบรรณาธิการหนังสือสงั คมศาสตรป์ ริทศั น์” ซึ่งไดเ้ ป็ นเวทีกลางแห่งดา้ นการ คิด และการเรียนรูข้ องคนหนุ่มสาว ในยุคแห่งการแสวงหา อันเป็ นพ้ ืนฐานของขบวนการต่ อสู้ เพ่ือประชาธิปไตย และความเป็ นธรรมในสงั คม ซ่ึงพฒั นามาเป็ นขบวนการต่อสูเ้ พ่ือประชาธิปไตย 14 ตุลาคม 2516 และสืบต่อมาภายหลงั จากน้ัน (ช่วงแหง่ ชีวิต ของ ส. ศิวรกั ษ์ ริเวอร์ บุค๊ ส์ 2538 หลงั ปก)

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ข. การเมือง,ประวตั ิศาสตรร์ ่วมสมยั , เศรษฐศาสตร์ 72. องคก์ ารนักศึกษามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ \"วนั มหาปิ ติ\" : วารสาร อมธ. ฉบบั , พิเศษ 14 ตุลาคม. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2516 หนังสือเล่มน้ ี มีความสาคญั ในแง่ที่เป็ นหนังสือทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีเกิดจากการ รวบรวมขอ้ มลู ขององคก์ รนักศึกษามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ (อมธ.) ที่มีบทบาท สาคญั ในการเคล่ือนไหวเรียกรอ้ งสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย เมื่อเดือนตุลาคม 2516 อีกท้งั เหตุการณท์ ่ีเกิดข้ ึน ดาเนินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ สนามหลวง ถนนราชดาเนิน การประชุม เพ่ือการเคลื่อนไหวก็กระทากนั ในตึก อมธ. ทาให้ อมธ. เป็ นศนู ยก์ ลางของขา่ วสารขอ้ มลู แทบท้งั หมดหนังสือเลม่ น้ ี บนั ทึกขอ้ เท็จจริงทางประวตั ิศาสตร์ ท่ีครอบคลุมช่วงเวลาต้งั แต่ 5-15 ตุลาคม 2516 มีลกั ษณะของ การใหข้ อ้ มลู วา่ มีเหตุการณอ์ ะไรเกิดข้ นึ บา้ ง มากกวา่ การใส่ความคิดเห็นของฝ่ ายขบวนการนักศึกษา ลงไป ผูอ้ ่านสามารถใชว้ ิจารณญาณ ตดั สินหาขอ้ สรุปไดด้ ว้ ยตนเอง จากขอ้ มลู ซึ่งมีท้ังขอ้ มูลจากฝ่ าย นักศึกษา และฝ่ ายรัฐบาลเอง หนังสือวันมหาปิ ติ น้ ีใหภ้ าพดุจภาพยนตร์จอยักษ์ รายง านการ เคล่ือนไหวของนักเรียน นักศึกษา ทุกจงั หวดั ทวั่ ประเทศในช่วง 2-3 วนั ก่อนและหลงั เหตุการณ์ 14 ตุลาคมวา่ มกี ารเคลื่อนไหว สอดคลอ้ งหนุนช่วยการเคลื่อนไหว ที่มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จนทาให้ เห็นภาพว่า ต้ังแต่วนั ท่ี 11 ตุลาคม นักเรียน นักศึกษาต่างลุกฮือกนั ต่อตา้ นอานาจเผด็จการและ เรียกรอ้ งประชาธิปไตยทัว่ ประเทศ แลว้ ภาพจึงมาเน้นโฟกสั ท่ี การเคล่ือนไหวของศูนยก์ ลางนิสิต นักศึกษา ร่วมกบั องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ก่อน 14 ตุลาคม ซึ่งเป็ น ช่วงเวลาของการต่อรอง เรียกรอ้ งใหร้ ฐั บาลปล่อยตัวปัญญาชน ผูเ้ รียกรอ้ งรฐั ธรรมนูญ 13 คน และ ช่วงการเคล่ือนขบวนออกจาก มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ไปตามถนนราชดาเนิน เพ่ือกดดนั รัฐบาล หนังสือวนั มหาปิ ติน้ ี มีลกั ษณะของการใหข้ อ้ มลู ท้งั สองดา้ น ดว้ ยการรวบรวมแถลงการณข์ องท้งั ฝ่ าย ขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา และรฐั บาลเขา้ ไวด้ ว้ ย จานวนมาก หนังสือเล่มน้ ี มีคุณค่าสมควรท่ีคน ทวั่ ไปควรอ่าน และพิจารณาดว้ ยตนเอง เนื่องจากบนั ทึกข้ ึนสดๆ รอ้ นๆ ภายหลงั เหตุการณ์ เป็ นการ ใหข้ อ้ มูลจากประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์น้ันๆ สมดังเจตนารมณ์ของ อมธ. ท่ีตอ้ งการใหเ้ ป็ น หนังสือ ท่ีรายงานขอ้ เท็จจริง ในเหตุการณ์ใหต้ รงกบั ความเป็ นจริง ใหม้ ากที่สุด โดยใหผ้ ูท้ ่ีอยู่ใน เหตุการณแ์ ต่ละจุดเป็ นผูเ้ ล่า และตอ้ งการใหเ้ ป็ นหนังสือที่รายงานเร่ืองน้ ี อย่างกวา้ งขวางท่ีสุด เพราะ เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็ นเรื่องที่เกิดข้ ึนทวั่ ประเทศ และในต่างประเทศท่ีมีคนไทยอยู่ หนังสือเล่มน้ ี ยงั บรรจุภาพการเคลื่อนไหวของขบวนการ 14 ตุลา ทวั่ ประเทศ สะทอ้ นพลงั อนั ย่ิงใหญ่ของขบวนการ ประชาธิปไตย

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวจิ ารณ์ 73. ดร.วิทย์ ศิวะศริยานนท(์ พ.ศ. 2456-2533). วรรณคดี และวรรณคดีวจิ ารณ์. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2486. วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์ เป็ นหนังสือแนววิชาการดา้ นวรรณคดีและ วรรณคดีวิจารณแ์ บบตะวนั ตกเล่มแรกๆ ท่ีนักวิชาการไทยนาทฤษฎีวรรณคดี วจิ ารณแ์ บบตะวนั ตกมาเผยแพร่ และประยุกตใ์ ชก้ บั วรรณคดีและบริบทสงั คม วฒั นธรรมไทยทศั นะทางวรรณคดี ของ ดร.วิทย์ ศิวะศริยานนท์ ที่ไดแ้ สดงไว้ ในหนังสือเล่มน้ ีเป็ นทศั นะที่ตกผลึก ท่ีไดผ้ ่านการขบคิด ใคร่ครวญกลนั่ กรอง แลว้ อยา่ งรอบคอบงานวรรณคดีวจิ ารณข์ อง ดร.วิทย์ มใิ ช่งานวิจารณเ์ ชิง เชิงทดลองปฏิบตั ิและกา้ วล่วงระดบั วิเคราะห์ (Analysis) แลว้ หากเป็ นงานที่สะทอ้ นถึงระดบั ทฤษฎี ทางวรรณคดี และวรรณคดีวิจารณ์ โดยสื่อออกมาเป็ นภาษาที่เขา้ ใจง่าย และนาเอาทฤษฎีประสาน กบั งานวรรณคดี เร่ืองราวในวรรณคดี หรือตวั ละครในวรรณคดีไปโดยตลอด โดยไดแ้ สดงออกมาเป็ น ทศั นะของตนเองอยา่ งแจ่มแจง้ งานระดบั น้ ีจดั ว่าเป็ นงานระดบั สงั เคราะห์ (Synthesis) ซึ่งหาตวั จบั ยากในวงการ วรรณคดีไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรอบรู้ ลึกซ้ ึง รอบดา้ น และความเป็ นสากล (Universal) ของท่านน้ัน ยากท่ีจะหานักวรรณคดีรุ่นเดียวกบั ท่าน หรือรุ่นหลงั มาเทียบเคียงท่านได้ ท่านสามารถท่ีจะกล่าวอธิบาย ถึงทัศนะทางวรรณคดีหน่ึงๆ โดยประสานไปไดร้ อบทิศ โยงใยถึง วรรณคดีเอกๆ ของมนุษยชาติไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ฉบั ไว และกระชบั ทว่าตอกลึก และสลกั เสลา งานช้ ิน น้ ีจึงมีความงาม ที่มีคุณค่าในตวั เอง นอกเหนือจากความแรงทางทฤษฎี และวิชาการความงาม และ ความแรงทางวิชาการดงั กล่าว ดาเนินต้งั แต่ตน้ เล่มจนถึงปลายเล่ม ตวั อยา่ งเช่น เมื่อเริ่มตน้ อธิบาย ว่า วรรณคดีคืออะไร ดร.วิทย์ จะอธิบายเชิงพรรณนาความอย่างฉับไว แต่ครอบคลุมเน้ ือหา กวา้ งขวาง และแนวคิดที่ลึกซ้ ึง ในขอ้ ความเพียงไม่ก่ีบรรทดั ผูอ้ ่านก็รูส้ ึกเหมือนไดอ้ ่านวรรณคดีไป ทวั่ โลก โดยท่ีวรรณคดีไทยก็มีที่ทางของตนอยา่ งมนั่ คง ในบริบทวรรณคดีของโลก

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์ 74. ศิลป พรี ะศรี(พ.ศ. 2435-2505).แปลโดย พระยาอนุมานราชธน. ประติมากรรมไทย. พมิ พค์ ร้งั แรก พระนคร : กรมศิลปากร. 2490 ประติมากรรมไทยเล่มน้ ี เขียนโดยอาจารยศ์ ิลป พีระศรี (2435 - 2505) ชาว อิตาลี ผูไ้ ดเ้ ขา้ มาทางานศิลปะในประเทศไทย ต้งั แต่วยั หนุ่ม จนโอนสญั ชาติ และ เปล่ียนชื่อเป็ นไทย โดยเร่ิมแรกเขา้ เป็ นช่างป้ันของกรมศิลปากร และต่อมาได้ ผลกั ดันใหม้ ีการก่อต้งั โรงเรียนศิลปากรข้ ึน ในปี 2467 อาจารยศ์ ิลป ไดใ้ ชช้ ีวิต ทางาน และสอนศิลปะอยูใ่ นประเทศไทยตลอดชีวิต หนังสือเล่มน้ ี พระยาอนุมา ราชธน ไดแ้ ปลจากตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษที่อาจารยศ์ ิลป พีระศรี แต่งไว้ เม่ือประมาณปี พ.ศ. 2487 เนื่องจากขณะน้ัน ผูป้ ระพนั ธด์ ารงตาแหน่งอาจารยป์ ระติมากรรม ของ กรมศิลปากร และอาจารยไ์ ดก้ ล่าวชมเชยพระพุทธรูปสมยั สุโขทยั ว่า เป็ นศิลปะของไทย ที่วิเศษยอด เยี่ยมอย่างหาค่าไม่ได้ พระยาอนุมานราชธน ซ่ึงขณะน้ันดารงตาแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรอยู่ ได้ ขอใหอ้ าจารยศ์ ิลป พีระศรี เขียนหนังสือเล่มน้ ีข้ ึน เพ่ือเป็ นการอธิบาย และช้ ีแจงเชิงวิชาการ และ ศิลปะแกผ่ ูท้ ี่สนใจเรื่องศิลปะ ไดร้ กู้ นั อยา่ งแพรห่ ลาย หนังสือเล่มน้ ี เป็ นการเขียนข้ ึนดว้ ยทศั นะความเห็นเชิงศิลปะ ไม่ใช่ในแง่โบราณคดี ดงั น้ัน จึงเสมือน กบั เป็ นการต้งั ตน้ สอนผูอ้ า่ น ใหร้ จู้ กั ศิลปะในแงข่ องสุนทรีย์ ดว้ ยการเร่ิมใหผ้ ู้อ่านลองมองเปรียบเทียบ ระหวา่ งความงามของศิลปะตะวนั ตก คือ เศียรของพระเยซู กบั ความงามของศิลปะไทยเรา คือ เศี ยร ของพระพุทธรปู โดยเฉพาะในสมยั สุโขทยั ซ่ึงถือไดว้ า่ มคี วามงามอยา่ งมาก ก่อนท่ีท่านจะลาดบั เรื่องราว เก่ียวกบั ประติมากรรมไทย ต้งั แต่การก่อเป็ นรูปของศิลปะไทยทีเดียว โดยในทัศนะของท่าน ศิลปะของไทยเกิดข้ ึนเป็ นคร้งั แรกท่ีเชียงแสน จากน้ันจึงถึงสมัยสุโขทยั อ่ทู อง อยุธยา และกรุงเทพฯ ตามลาดบั ประติมากรรมท่ีผูเ้ ขยี นยกยอ่ งวา่ ศิลปิ นไทยน้ันนับไดว้ ่า เป็ นช่างข้นั ฝีมือครู นัน่ ก็คือ ประติมากรรมรูปคนที่สรา้ งดว้ ยโลหะ เพราะผูเ้ ขียนกล่าวว่า การหล่อรูปดว้ ยทอง สมั ฤทธ์ิ เป็ นงานท่ียากลาบากมาก และช่างฝีมือของไทยทางานอย่างไม่เปิ ดเผยตัวเองเพ่ือมุ่งหวงั ชื่อเสียง แต่ทาดว้ ยใจเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงถือเป็ นเร่ืองธรรมดา ขณะท่ีผูเ้ ขียนมองวา่ เทคนิคการ หล่อดว้ ยทองสมั ฤทธ์ิ เป็ นของท่ีสมบูรณ์ท่ีสุด ความยากอยู่ที่ การลดความหนาของทองใหบ้ างท่ีสุด และจะตอ้ งมีพ้ ืนผิวท่ีบางอยา่ งสมา่ เสมอดว้ ย หนังสือเล่มน้ ี อาจทาใหผ้ ูอ้ ่านท่ีเป็ นคนไทยหลายคน ท่ี ยงั มองไมเ่ ห็นความงามของศิลปะสามารถซาบซ้ ึง และค่อยๆ เรียนรูว้ ิธี ซึมซบั ความงามทางศิลปะได้ ทีละน้อย และสามารถมองเห็นความคล่ีคลาย อย่างสงั เขปของประติมากรรมไทย โดยเฉพาะรูปคน หรือพระพุทธรูป ซึ่งถือไดเ้ ป็ นสิ่งท่ีใกลช้ ิดติดตวั มากที่สุด สาหรบั คนไทยท่ีสว่ นใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และในทา้ ยท่ีสุดจะรสู้ ึกท่ึงวา่ ผูเ้ ขียนท่ีเป็ นชาวต่างชาติ สามารถเขียนเร่ืองราวท่ีเป็ นของไทยเราใหเ้ รา ไดอ้ ่าน และซาบซ้ ึงไดอ้ ยา่ งไร

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์ 75. สุภา ศิริมานนท(์ พ.ศ. 2457-2529). วรรณสาสน์ สานึก. พมิ พใ์ นนิตยสารชว่ ง 2492 – 2495 พมิ พร์ วมเลม่ คร้งั แรก พ.ศ. 2529 วรรณสาสน์ สานึก เป็ นหนังสือรวมขอ้ เขียน ดา้ นวรรณกรรมจานวน 2 เล่ม ของสุภา ศิริมานนท์ ซ่ึงเคยตีพิมพใ์ นนิตยสารอักษรสาสน์ อนั เป็ นนิตยสาร เดือนท่ีก่อต้ังโดยสุภา และจินดาผู้เป็ นศรีภรรยา เมื่อปี พ.ศ. 2492 เป็ น นิตยสารเชิงวิเคราะห์วิจารณ์สงั คม ที่มีเน้ ือหาสาระหนักแน่นและกา้ วหน้า ท่ีสุด ท้งั ในยุคน้ันและยุคต่อมา สุภานอกจากเป็ นคนริเร่ิมการศึกษามารก์ ซิ สมอ์ ยา่ งเป็ นนักวชิ าการแลว้ ยงั เป็ นผูบ้ ุกเบิกดา้ นวรรณกรรมวิจารณค์ นหน่ึง วรรณสาสน์ สานึก เล่ม 1 ประกอบดว้ ยบทความประเภทต่างๆ ไวด้ ว้ ยกนั เป็ น 4 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็ นขอ้ เขียนในหวั ขอ้ เรื่องศิลปะ สว่ นท่ี 2 วา่ ในหวั ขอ้ เร่ืองภาษา และหนังสือ สว่ นที่ 3 ในหวั ขอ้ นักเขียนไทย และสว่ นท่ี 4 ในหวั ขอ้ เร่ืองนักเขยี นต่างประเทศ วรรณสาสน์ สานึก เล่ม 2 ประกอบดว้ ย ส่วนที่ 5 ในหวั ขอ้ การวิพากษ์วิจารณว์ รรณกรรม ส่วนท่ี 6 ในหวั ขอ้ วรรณกรรมวิพากษ์ส่วนที่ 7 ในหวั ขอ้ งานแปลวรรณกรรม ชื่อบทความช้ ินแรก ในหนังสือ เลม่ ท่ี 1 คือ ศิลปะท้งั หลาย ยอ่ มเกี่ยวพนั อยูก่ บั สามญั ชนแต่เท่าน้ัน นับวา่ เป็ นชื่อบทความท่ีทา้ ทาย ชวนใหอ้ ่าน และชวนใหเ้ กิดความคิดในการวิวาทะอย่างยิ่ง ดงั ขอ้ เขียนต่อไปน้ ีความทรงอยูข่ องชีวิต เป็ นสิ่งที่ไมอ่ าจจะกาหนดเอาไดโ้ ดยจิตสานึก แต่จิตสานึกน้ันแหละพึงกาหนดเอาได้ โดยความทรง อยขู่ องชีวิตขอ้ สรุปของสุภา คือ ศิลป คือ การส่ือสาสน์ ระหวา่ งผูเ้ สพย์ กบั ผูส้ รา้ งศิลปะ บทความที่ 2 ชื่อ ภาวะของศิลปะภายใตร้ ะบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เป็ นบทความขนาดยาว ท่ีน่าศึกษามากที่สุดช้ ิน หน่ึง ท่ีคุณสุภาไดอ้ าศยั นาเอาศิลปะมาอธิบาย โดยมีเป้าหมายอยู่ท่ีการช้ ีใหเ้ ห็นถึงภัย ของระบอบ เผด็จการฟาสซิสม์ รวมท้งั ช้ ีถึงพลงั ของประชาชน วรรณสาสน์ สานึก เล่ม 2 มีบทความหลกั ช้ ินใหญ่ๆ อีก 3 ช้ ิน ซ่ึงแสดงถึงความเป็ นปราชญข์ องสุภา คือ การเสนอวพิ ากษ์วจิ ารณว์ รรณกรรมคลาสสิกระดบั โลก ต้งั แต่เอนไซโคลปี เดีย จนถึงดิกชนั เนอร่ี และแปลงานวรรณกรรมระดบั โลก

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวจิ ารณ์ 76. พลตรี พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศป์ ระพนั ธ์ (ม.จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ) (พ.ศ. 2434 - 2519). วทิ ยาวรรณกรรม. ฉบบั พมิ พค์ ร้งั แรก 2506 คุณูปการของนักปราชญ์สยาม พระนาม พลตรี พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหมื่น นราธิปพงศป์ ระพนั ธ์ แวดวงวิชาการ และราชบณั ทิตยกยอ่ งว่า ทรงมีอจั ฉริยภาพ ทางด้านอักษรศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ วรรณคดี กฎหมาย และการทูตอย่าง กวา้ งขวาง เน้ ือหาสาระของวิทยาวรรณกรรม อุดมดว้ ยทัศนะทางดา้ นวรรณคดี หลากหลายมุมมอง ประเภทของวรรณคดี ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีกับ ภาษาศาสตร์ รสนิยมวรรณคดี เอกภาพความงามระหวา่ งเน้ ือหาสาระกบั รปู แบบ และหน้าท่ี คุณค่าของคา ลกั ษณะที่เป็ นวรรณศิลป์ ปรชั ญาวรรณศิลป์ ภาษาท่ีพรรณนาถึงบทบาท หน้าท่ี เป็ นเครื่องมือสื่อสาร สัญลักษณ์ และความหมาย ปั ญหาในการจาแนกแยกแยะ วิพากษ์วิจารณว์ รรณกรรม ซ่ึงกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ไดอ้ ธิบายอย่างละเอียด แสดงใหเ้ ห็น ลกั ษณะการเป็ นผูส้ นใจใฝ่ รูอ้ ย่างจริงจงั ทรงเจาะลึกถึงท่ีมาของคาในภาษาขอม (เขมร) ไทย บาลี สนั สกฤต องั กฤษ แลว้ วิเคราะหเ์ ชิงเปรียบเทียบ เพื่อใหเ้ กิดความศรทั ธา ยอมรบั คาที่บญั ญัติข้ ึนมา น้ันอย่างมีเหตุผล จุดเด่นหนังสือวิทยาวรรณกรรม คือ การนาเสนอหลกั คิดในการบญั ญัติศพั ท์ การ ไขความหรืออธิบายความหมายของคา ท่ีใชก้ ันทัว่ ไป ซึ่งมีผูอ้ ่านโตแ้ ยง้ หรือเขียนจดหมายถาม พระองค์ เช่น คาว่า ปรัชญา การศาสนา สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ ศิลปะท่ีมีประโยชน์ วิจิตรศิลป์ รวมถึงการนาคาจากต่างประเทศมาใชใ้ นภาษ าไทย พระองคจ์ ะศึกษาเรียนรูค้ วามเป็ นมาทางประวตั ิศาสตร์ หรือเหตุการณท์ ่ีเกิดข้ ึน เพ่ือใหก้ ารอธิบาย ศพั ทน์ ้ันครอบคลุมรอบดา้ น และรดั กุม จาแนกว่าเป็ นลกั ษณะเฉพาะหรือลกั ษณะทวั่ ไป โดยคานึงถึง หลกั ตรรกวิทยา และความสอดคลอ้ งตอ้ งกันกบั การออกเสียง เหตุน้ ี หนังสือวิทยาวรรณกรรม จึง เสริมคุณค่าการเรียนรูท้ างประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วย จนกล่าวได้ว่าเป็ นคลังปัญญ าแห่งการ บญั ญตั ิศพั ท์ ประวตั ิศาสตร์ และประวตั ิวรรณคดีที่สาคญั ของไทยเลม่ หนึ่ง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์ 77. น. ณ ปากน้า (พ.ศ. 2471- ). ความงามของศิลปะไทย. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2510 สานักพมิ พโ์ อเดียนสโตร์ ผูเ้ ขียนไดร้ ับแรงบันดาลใจ จากการอ่านบันทึกของบาดหลวงเดอ ชัวสี ที่ เดินทางเขา้ มาในอยุธยา อาณาจกั รท่ีรุ่งเรืองของไทยเราเม่ือปี พ.ศ. 2228 บาดหลวงท่านน้ ี ได้บันทึกความประทับใจต่างๆท่ีได้พบเห็นต้ัง แต่ ขนบธรรมเนียม วฒั นธรรม และศิลปะของไทยสมยั สมเด็จพระนารายณ์ จึงทา ใหผ้ ูเ้ ขียนทาการสารวจวดั ต่างๆ ในเมืองบางกอกอย่างละเอียด และเขียนข้ ึน เป็ นบทความแต่ละตอน เพื่อใหผ้ ูอ้ ่านไดม้ องเห็นและเกิดความซาบซ้ ึง ถึงคุณคา่ ศิลปะของไทยเรา ผูเ้ ขยี นปพู ้ ืนใหผ้ ูอ้ ่าน รจู้ กั ซาบซ้ ึงกบั คุณค่าของภาพไทยโบราณ เป็ นเรื่อง แรก เพ่ือใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะพิเศษที่ไมซ่ ้าแบบใคร แมว้ า่ ไทยจะไดร้ บั อิทธิพลจากขอมมาแต่ด้งั เดิม แต่ ไทยก็นามาปรับปรุงเป็ นแบบของไทย ใหม้ ีความอ่อนโยนละมุนละไม ดังเช่น พระพุทธรูปสุ โขทัย จากน้ันผูเ้ ขียนจึงเล่าเรื่องภาพไทย ต้งั แต่สมยั สุโขทยั เร่ือยมา จนถึงสมยั รตั นโกสินทร์ โดยเป็ นไปใน ลักษณะของการอธิบายภาพ พรอ้ มกับการยกตัวอย่างภาพ จากการสารวจตามวัด ต่างๆ ของ เมืองไทย เชน่ ภาพเขยี นในผนังโบสถว์ ดั สุวรรณาราม ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีผลงานช้ ินสาคัญของจิตรกรไทย อนั ทรงคุณค่า ภาพเขียนในวดั บวรนิเวศ ซ่ึงมีผลงานของขรวั อินโข่ง จิตรกรเอกสมยั รัชกาลที่ 3 ที่ สะทอ้ นชีวิตความเป็ นอยู่ ในสมยั น้ัน โดยเฉพาะการติดต่อกบั ต่างประเทศ ผูเ้ ขียนยกย่องความงาม ของภาพไทยว่าความงามของภาพเขียนไทยอยู่ท่ีเสน้ และสีที่ประสานกลมกลืนกนั เม่ือศิลปิ นไทย เขียนความเศรา้ โศก เราจะเห็นสญั ลักษณ์ของความโศกน้ัน ตามเสน้ และท่าทาง เช่น ภาพพร ะ เวสสนั ดร ตอนพระเวสสนั ดรไดพ้ บกบั พระบิดามารดา ต่างพิลาปราพนั เขา้ หากนั นับเป็ นการแสดง อารมณ์ ของศิลปิ นดว้ ยเสน้ แทๆ้ นอกเหนือจากศิลปะดา้ นจิตรกรรมแลว้ ผูเ้ ขียนยงั กล่าวถึงผลงาน ทางดา้ นประติมากรรม ต้ังแต่สมยั แรกจนมาถึงยุคของศิลปะ สมยั ในยุคท่ีเขียนหนังสือเล่มน้ ีดว้ ย โดยเฉพาะเน้นถึงการสรา้ งพระพุทธรูป ศิลปะของลา้ นนา ตลอดจนการพรรณนาถึงประวัติ โดยสงั เขปของศิลปิ นไทยบางคนที่ควรยกย่อง การเปรียบเทียบศิลปะไทยกบั ตะวนั ตก เป็ นต้นรวม บทความดา้ นศิลปะเล่มน้ ี มีความหลากหลายท่ีน่าอ่าน เพราะผูเ้ ขียนใชว้ ิธีการเล่าเร่ือง แทรกไปกบั การพรรณนาความงาม สภาพของสิ่งท่ีพบเห็น และการเสนอแนวความคิดของผูเ้ ขียนในดา้ นต่างๆ ตลอดจนในแง่ของการอนุรกั ษ์เนื่องจากผูเ้ ขียนมีพ้ ืนฐานทางดา้ นศิลปะ และทาการศึกษาคน้ ควา้ มา หลายปี มปี ระสบการณด์ า้ นงานศิลปะมากอ่ น จึงสามารถอธิบายเรื่องราวทางดา้ นศิลปะ ท่ีก่อใหเ้ กิด จินตนาการสาหรบั ผูอ้ ่าน เพื่อการศึกษาคน้ ควา้ ต่อไป ผูเ้ ขียนทาใหผ้ ูอ้ า่ นเกิดความรูส้ ึกร่วมไปดว้ ยวา่ ประเทศไทยเรามีศิลปะความงาม ที่ทรงคุณค่าอยู่มาก แต่ไม่แพร่หลายและนับวนั ก็จะถูกทาลาย ดว้ ยความรเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ์ ซ่ึงถา้ ไมม่ กี ารบนั ทึกเอาไวแ้ ลว้ ความงามเหล่าน้ ีก็จะไมม่ ีผูใ้ ดรจู้ กั

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์ 78. ศาสตราจารยธ์ านินทร์ กรยั วิเชยี ร(พ.ศ. 2470 - ). ภาษากฎหมายไทย. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2511 ก่อนหน้าจะมีหนังสือภาษากฎหมายไทยฉบับน้ ี มีท่านผู้รู้ และผู้สนใจภาษา กฎหมาย เคยแสดงความคิดเห็น เก่ียวกบั ภาษากฎหมาย ท้ังโดยตรง และโดย ออ้ มมาแลว้ แต่ไม่เคยมีท่านใด และหนังสือเล่มใดศึกษาคน้ ควา้ และนาเสนอ เร่ืองภาษากฎหมายไทยอยา่ งจริงจงั และเป็ นระบบเท่ากบั หนังสือภาษากฎหมาย ไทยแสดงใหป้ รากฏเอกสารวชิ าการน้ ี จึงทรงคุณค่าอยา่ งยิง่ ต่อวงนิติศาสตร์ และ ต่อวงการศึกษาอกั ษรศาสตรไ์ ทย ภาษากฎหมายไทย แบ่งออกเป็ นบทต่างๆ อย่างต่อเนื่องกนั นับจากบทนาถึงบทสรุป รวม 8 บทและทาสารบญั คน้ เรื่อง และคน้ คาไวท้ า้ ยเล่ม เพื่อประโยชน์ในการศึกษาง่ายข้ ึน บทนา ไดก้ ล่าวถึง ความสาคญั ของภาษากฎหมายไทย และแง่มุม การศึกษาภาษากฎหมายไทย ตามท่ีท่านผูเ้ ขียนมีความมุ่งหมาย เร่ิมจากประการแรก : การวิจัย กฎหมายภาษาไทย, ประการท่ีสอง : การใหข้ อ้ เสนอแนะ และประการท่ีสาม : การทดลองในเรื่องของภาษากฎหมาย สารคดีภาษากฎหมายไทยน้ ี แมเ้ ป็ นเอกสารวิชาการ ที่ท่านผูเ้ ขียนมุ่งหมายเสนองานวิชาการ ได้ จาแนกแยกแยะถ่ีถว้ นเช่ือมโยงกนั เป็ นระบบ มรี ายละเอียดตวั อยา่ งภาษา จากสภาพความเป็ นจริงท่ีดี และไม่ดี ท่านที่ไมเ่ คยศึกษาเร่ืองน้ ี เมื่อดูโครงสรา้ งเน้ ือหา และการเก็บความบางประเด็นที่กล่าวมา อาจจะสาคญั ผิดต่อขอ้ เท็จจริงไดว้ ่า คงน่าเบื่อเหมือนหนังสือกฎหมายหรือตาราวิชาการทวั่ ไป แทท้ ่ี จริงหาไดเ้ ป็ นเช่นน้ันไม่ ขอ้ ความคิด คาอธิบาย และตวั อย่างในรายละเอียดกลบั เป็ นส่ิงชวนสนใจ ทา้ ทายความรบั รู้ และมีอารมณข์ นั ไดร้ สชาติเป็ นอศั จรรย์

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวจิ ารณ์ 79. เจตนา นาควชั ระ(พ.ศ. 2480 - ) และ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ. (พ.ศ. 2454 - 2525) วรรณไวทยากร ฉบบั วรรณคดี. พิมพค์ ร้งั แรก 2514 ขอ้ เขียนท้งั สองน้ ี พิมพใ์ นชุด \"วรรณไวทยากร\" ชุมนุมบทความทางวิชาการ ถวายพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ในโอกาสที่พระชนม์ ครบ 80 พรรษาบริบูรณ์เจตนา นาควชั ระ เขียนหนังสือหลายเล่มเก่ียวกับ วรรณคดีวิจารณ์ โดยเฉพาะหลงั จากปี 2519 เป็ นตน้ มา แต่เล่มน้ ีเป็ นเล่ม แรก บรรจุความคิดไวม้ าก เล่มอ่ืนๆ ขยายความจากเล่มน้ ี เป็ นหน่อความคิด ซึ่งแตกออกไปตามกาล เจตนา นาควชั ระ เสนอแนวคิดต่างๆ ในวรรณคดี ในเชิงปัญหา กล่าวคือ เป็ นเร่ืองท่ีคิดกนั ไดจ้ ากต่างแง่ต่างมุม\"การวิจารณว์ รรณคดีน้ัน จะหาหลกั ท่ี ตายตวั ลงไปไดย้ าก\" นี่ก็เป็ นการมองจากมุมหน่ึง \"แต่นักวิจารณส์ ่วนมาก ก็มิไดย้ ่อทอ้ ในการที่จะ แสวงหาหลกั เกณฑ\"์ (น. 2) ก็เป็ นอีกมุมหน่ึง ซ่ึงแยง้ มุมแรก แต่การพิจารณาไมใ่ ช่เพียงเสนอ เป็ น 2 แง่มุมน้ ีเท่าน้ัน เจตนา นาควชั ระยงั กา้ วต่อไปอีกว่า \"จริงอยู่การสรา้ งทฤษฎีใดๆ เป็ นเรื่องที่ ล่อแหลม เพราะถา้ ...มิไดม้ ีประสบการณเ์ พียงพอ หรือมิไดใ้ ฝ่ ใจที่จะคน้ หาขอ้ มูลที่เชื่อถือไดม้ าอา้ ง เป็ นหลกั ฐาน หรือ...เป็ นผูม้ กั ง่าย ... ก็อาจจะสรา้ งโทษมากกว่าสรา้ งคุณ“ อย่างไรก็ตาม ก็เสริม แกว้ ่า \"แต่การที่นักวิชาการบางคน มีอคติต่อวรรณคดีวิจารณเ์ ชิงทฤษฎี เป็ นทุนเดิมเสียต้งั แต่ตน้ แลว้ ก็เท่ากับเป็ นการสกัดก้ันทางกา้ วหน้าของวรรณคดีวิจารณ์\" (น. 3) วิธีการใชเ้ หตุใชผ้ ลท่ี พยายามมองคา้ น มองแยง้ มองเติม มองเสริม มองแก้ ทานองน้ ี เป็ นแนวการพิจารณาแนวคิดต่างๆ อย่างเสมอตน้ เสมอปลาย ในขอ้ เขียนน้ ี จะเรียกไดว้ ่าเป็ น \"การใชเ้ หตุใชผ้ ลเชิงสนทนา (dialogic reasoning)อนั ต่างไปจาก การเสนอเหตุผลเชิงเดียว ว่าส่ิงหน่ึงตอ้ งเป็ นเช่นน้ันหรือเช่นน้ ี ทานองให้ ความหมายเป็ นคานิยาม ซ่ึงไม่เปิ ดช่องใหเ้ ห็นเป็ นอื่น\" ได้ (ศพั ทข์ องเจตนา นาควัชระ) การมุง่ ให้ เห็น \"ความเป็ นอ่ืน\" น้ ีสะทอ้ นความคิดเสรีประชาธิปไตย ที่ต่างจากแนวคิดการวิจารณ์แบบช้ ีแนะไป ทางใดทางหนึ่ง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวจิ ารณ์ 80. แสงอรุณ รตั กสิกร (พ.ศ. 2465 - 2522). แสงอรุณ 2 รศ.แสงอรุณ รตั กสิกร. รวมพิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2522 บทความ และข้อเขียนของอาจารย์แสงอรุณ บ่งถึงความรู้และรสนิ ยม ใน สุนทรียภาพทางสถาปัตยกรรม, ศิลปกรรมและสิ่งแวดลอ้ มความเฉียบคมเสมอ ดว้ ยราชสีหแ์ ห่งการวิจารณ์ ประกอบกบั ความสามารถการใชภ้ าษา ท้งั การพูด และฝีมอื เขียนหนังสือ จึงทาใหภ้ าระอนั หนักต่อการทาความเขา้ ใจเรื่องเฉพาะวิชา เช่น สถาปัตยกรรม เป็ นตน้ บรรเทาเบาบาง ไม่เป็ นอุปสรรคแก่ผูม้ ิได้ศึกษา ในทางความรนู้ ้ันเรื่อง ในรงั นกอินทรีกบั ทาไลซินตะวนั ตก เป็ นสองเรื่องจาก ประสบการณต์ รง ท่ีอาจารยแ์ สงอรุณ เคยอยู่ในอาคารสถาปัตยกรรม ของสถาปนิกเอกของโลกคน หนึ่ง คือ แฟรงค์ ลอยไรท์ ในฐานะลูกศิษยท์ ี่สะทอ้ นภาพชีวิต ณ สานักศึกษาน้ัน เป็ นคนไทยคนแรก และคนสุดทา้ ยของท่ีนัน่ ไดบ้ รรยายบุคลิกภาพของมหาพรหมแฟรงค์ และลกั ษณะทางสถาปัตยกรรม ที่ควรสนใจ แมว้ า่ กาลต่อมาท่ีนัน่ จะโทรมลง แต่ผมก็ยงั รกั ที่จะฝันถึงมนั อยู่เสมอ ไม่ใช่อะไร เม่ือเรา ฝัน แมค้ วามทุกขก์ ็มรี สหวาน บทความท่ีเป็ นพลงั ปลุกเรา้ ความสานึกต่อคุณค่า และใหส้ ติที่สถาปนิก หรือผู้มีส่วนกาหนดแบบแผนบริเวณ รวมท้ังตัวอาคาร เพ่ือความงาม และความสงบสงัด คื อ บทความเรื่องอปริหานิยธรรมในสถาปัตยกรรม อปริหานิยธรรม หมายถึง ธรรมะหมวดที่ ผูป้ ฏิบตั ิ ธรรมน้ ี ยอ่ มมีแต่ความเจริญอย่างเดียว หาความเส่ือมมิไดเ้ ลย การเขียนบทความช้ ินน้ ี อาจารยแ์ สง อรุณใชส้ มณฉายาเม่อื คร้งั อุปสมบทวา่ อดีต สุภา กโร ภิกขุ สานักวดั บวรนิเวศวหิ าร งานเขียนท่ีอยูใ่ น กลุ่มเน้ ือหาของเร่ืองเดียวกนั ยงั มีอีกสองบทที่น่าสนใจดว้ ย คือ เร่ืองการอยู่ในบา้ นแบบไทยเดิมกบั อยู่ บา้ นไทย อาจารยแ์ สงอรุณ อธิบายเหตุผลของสถาปัตยกรรมไทยวา่ เหตุใดท่านแต่ก่อนจึงออกแบบ เช่นน้ัน อาทิ บา้ นหลงั คาทรงสูง หรือเอกลักษณข์ องสถาปัตยกรรมไทย ที่เป็ นบา้ นพกั อาศัย ซึ่งใช้ พนั ธุไ์ มล้ อ้ มตวั อาคาร มีสวนสมุนไพร สวนครวั นับเป็ นสถาปัตยกรรมแบบอุทยานนคร เพ่ือความ กลมกลืน และประหยดั การเสนอขอ้ คิดระหวา่ งบรรทดั ของอาจารยแ์ สงอรุณ ในเร่ืองหลงั มีความตอน หน่ึงว่า ความสงบระงบั ควรจะเป็ นเป้าหมายในการดารงชีวิตของเรา และดว้ ยวิธีน้ ีเท่าน้ัน ที่ความ เป็ นมนุษยข์ องเราจะพฒั นาสูงข้ นึ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 81. พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. 2396 – 2453). พระราชพิธีสิบสอง. เดือนฉบบั พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2454 พระราชนิ พนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน แสดงถึงภูมิปั ญญาไทย และ พระปรีชาญาณ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ท่ีทรงรอบรูต้ ่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ พระบรมราชาธิบายช่วงน้ ี นอกจากเป็ นการ ส่งเสริมภาษา และหนังสือไทย จนเกิดวรรณคดีเรื่องหน่ึงแลว้ ยงั เป็ นประหน่ึง สะพานเช่ือมความรูเ้ ก่าใหม่ท่ีมีที่มา และวิวฒั นาการ ท้ังก่อใหเ้ กิดสมั มาทิฐิ ในการจาแนกคติพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา กบั พิธีกรรมทางศาสนา พราหมณ์ ท่ีไทยรบั มาปะปนระคนกนั ในพิธีหนึ่งๆ ซึ่งเลือกรบั และผ่อนปรนโดยไม่ขัดต่อหลกั การ สาคัญ ของพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกนั ไดส้ รา้ งความสานึกร่วมกนั ของหมู่ราษฎร โดยเฉพาะ ประเพณีอนั นับเนื่องจาก การผลิตหรือเกษตรกรรม เป็ นการแสดงความสานึกของชนช้นั นา พึงมีต่อ ราษฎรคุณค่าของพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็ นส่ิงท่ีผูอ้ ่านหรือผู้ศึกษาจะไดข้ ยาย พรมแดนความรู้ ระหว่างเก่าใหม่ของตนใหม้ ีพ้ ืนภูมิไพศาลข้ ึน ยงั จะไดเ้ ห็นโฉมหน้าวิวฒั นาการทาง วฒั นธรรมท่ีคนไทยด้ังเดิมมีวิธีคิด และรับมาปฏิบัติ โดยการปรบั เป็ นลกั ษณะประจาชาติไทยได้ อยา่ งไร ยิง่ กวา่ น้ันการเลือกรบั ใดๆ ท่านแต่ก่อนรบั โดยคานึงถึงจุดยนื สาคญั คือ ตอ้ งไม่เสียหลกั การ ทางพระพุทธศาสนา พระราชพิธีสิบสองเดือน โดยเน้ ือหาน้ันทรงมีพระบรมราชาธิบาย เร่ิมต้งั แต่ เดือนสิบสองเป็ นตน้ ไป และขาดไปเดือนหน่ึง คือ เดือนที่สิบเอ็ด แต่ละเดือนนอกจากมีพระราชพิธี อย่างหน่ึงอย่างใดแลว้ อาจจะมีพิธีอ่ืนๆ ในเดือนน้ันดว้ ย ภาษาท่ีทรงใชอ้ าจจะมีบางคา และบาง สานวน ท่ียากสาหรบั คนรุ่นปัจจุบนั อยู่บา้ ง หากไม่เหลือวิสยั จะศึกษาใหเ้ กิดความเขา้ ใจ แต่โดยรวม น้ัน เป็ นพระราชนิพนธท์ ี่ควรศึกษา เพ่ือรบั ความรู้ เช่น ความรูเ้ ป็ นขนบธรรมเนียมประเพณี พระ ราชพิธี เป็ นตน้ เป็ นการมุง่ ต่อความรดู้ งั กล่าวโดยตรงอยา่ งหนึ่ง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวทิ ยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 82. สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ(์ พ.ศ. 2406-2490). สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ(พ.ศ. 2405-2486). สาสน์ สมเด็จ.(เขียนชว่ งปี พ.ศ. 2457-2486)พิมพค์ ร้งั แรกโดยแพรพ่ ทิ ยา ไม่ทราบปี แน่ชดั พมิ พค์ ร้งั ที่สองโดยคุรุสภา พ.ศ. 2507.สาสน์ สมเด็จฉบบั ท่ียงั ไม่เคยพิมพ์ พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2533 หนังสือชุดสาสน์ สมเด็จ เป็ นหนังสือที่รวบรวมพระหตั ถเลขาส่วนพระองค์ของ เจา้ นายที่เป็ นปราชญ์ 2 ท่าน อนั มีไป-มาระหว่างกนั เพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด จากเรื่องราวที่ปรากฏจึงมีลกั ษณะรอบรู้ หลากหลาย ถึงพรอ้ มดว้ ย อจั ฉริยภาพมีลกั ษณะเป็ นสหวิทยาการ เป็ นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง แก่การรูจ้ กั เร่ืองไทยศึกษาท้ังประวตั ิศาสตร์โบราณคดี ศาสนา ศิลปกรรม วรรณคดี และ อกั ษรศาสตร์ ฯลฯ มีคุณคา่ เป็ นหนังสืออา้ งอิงสาคญั เล่มหนึ่ง ผูอ้ ่านสามารถโดย เสด็จในทางความรูแ้ ละอ่านอยา่ งจาเริญใจได้ เพราะลีลาพระนิพนธ์ เป็ นการเขียนจดหมาย มิใช่เพื่อ แต่งตาราคุณค่าสาคญั ของสาสน์ สมเด็จ เจา้ นายสองพระองค์ ต่างทรงเป็ นกาลงั สาคญั ของบา้ นเมือง มาต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว จนกระทัง่ เปล่ียนแปลงการปกครอง 2475 แลว้ สมเด็จฯกรมพระยาดารงราชานุภาพ จึงเสด็จไปประทบั ที่ปี นัง ขณะสมเด็จเจา้ ฟ้ าฯ กรม พระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ยงั ทรงดารงตาแหน่ง ผูส้ าเร็จราชการแผ่นดิน ในช่วงหลงั วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขณะท่ีพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสด็จไปประทบั ต่างประเทศ โดยพระสถานะที่มี โอกาสจะรู้ และสามารถศึกษาความรไู้ ด้ โดยความสนพระทยั และพระปรีชาในทางส่วนพระองค์ เป็ น ปัจจัยสาคัญต่อการมีส่วนร่วมทางสังคม ทางวิชาการ อันเป็ นท่ีมาแห่งความรู้ และก ารที่ทรง แลกเปลี่ยนความรู้ เมื่อสองพระองคล์ ่วงเขา้ พระปัจฉิมวยั แสดงถึงความถึงพรอ้ มทางความคิด ความ สุขุมคมั ภีรภ์ าพ รสนิยม และพระนิสยั ใฝ่ ดี อนั ควรจงู ใจคนใหโ้ ดยเสด็จ แมโ้ อกาสของแต่ละคน และ ความเป็ นไปไดจ้ ะทาใหด้ ีเสมอเหมอื น น่ีคือคุณค่าในการนาทางความคิด และสุนทรียภาพทางปัญญา ประการหนึ่ง มิไยจะตอ้ งกลา่ ววา่ สาสน์ สมเด็จมีความเป็ นเอกสารสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ และดารง ความสาคญั ทางภาษา และวรรณกรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากนั เฉพาะฉบบั ที่ยงั ไม่เคยพิมพ์ เม่ือทาง ทายาทของสมเด็จฯ กรุณาใหจ้ ัดพิมพ์ ก็เป็ นเล่มท่ีรวมพระหตั ถเลขาในปี 2475 ไวเ้ กือบท้ังหมด นับเป็ นการคานึงถึงมติ ิเวลาการนาเสนอ ดว้ ยความรอบคอบ ในกาลเทศะท่ีน่าศึกษาอีกอยา่ งหน่ึง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวทิ ยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 83. บุญชว่ ย ศรีสวสั ด์ิ. 30 ชาติในเชียงราย. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ.2493 ดว้ ยความห่วงใย ในขนบประเพณีไทย ประกอบกบั วิญญาณนักศึกษา ท่ีมีอยู่ เต็มเป่ี ยมในตัวเขา บุญช่วยเดินทางดว้ ยรถยนต์ ลอ้ เกวียน ถ่อเรือ และเดิน เทา้ เดินฝ่ าทุ่งนาป่ าเขากบั ท้งั ขา้ มดอยสูงดอยแลว้ ดอยเล่า ซ่ึงเป็ นเขตติดต่อ กบั เขตชานสเตทของพม่า มณฑลยูนานของจีน และอินโดจีน เพื่อบนั ทึกชีวิต สงั คมเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชนชาติมากกว่า30 ชนชาติในจังหวัด เชียงราย 30 ชาติในเชียงราย บนั ทึกเร่ืองราวชีวิต ของชนชาติต่างๆ ท่ีอยูใ่ น เชียงราย และบริเวณรอยต่อเม่ือ 50 ปี ก่อนไดแ้ ก่ ไทยใหญ่ เขิน ต่องสู้ อีกอ้ ล้ ือ ฮ่อ ลวั ะ กระเหร่ียง หรือยาง แมว้ ข่า เยา้ แข่ มูเซอ เป็ นตน้ การบนั ทึกน้ ีครอบคลุม เร่ืองการต้ังบา้ นเรือน ชีวิตผูค้ น ภาษา และความคิดความเชื่อ อนั ไดแ้ ก่ นิสยั ใจคอ อาหารการกิน ประเพณี อนั ครอบคลุมต้ังแต่การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปจนถึงประเพณี ท่ีเกี่ยวกบั การผลิต นอกจากน้ ี ยงั ครอบคลุมไปถึ งพิธีกรรม ศิลปะ และบทเพลง เป็ นต้น บุญช่วยเน้นเป็ นพิเศษ ที่จะกล่าวถึงการนับถือ ผี และการ จัด ความสมั พนั ธท์ างเพศ ของชนชาติต่างๆ น่ีก็ทาใหง้ านเขาดูน่าสนใจมากยง่ิ ข้ นึ สาหรบั ผูอ้ ่านชาวบา้ น ทวั่ ไป เพราะเร่ืองเพศ และเรื่องผีเป็ นเร่ืองลึกลบั มกั เป็ นของตอ้ งใจใคร่รสู้ าหรับผูค้ น อยา่ งเชน่ เพลง มิดะ ซ่ึง จรลั มโนเพชร เป็ นผูน้ ามารอ้ ง และเป็ นเร่ืองราวแปลกหขู องชาวกรุง บอกเล่าประเพณีของ หญิงชาวอีกอ้ ผูท้ าหน้าที่สอนกามวิชาแก่ชายหนุ่มน้ัน อนั ที่จริงเป็ นขอ้ คน้ พบ ท่ีบุญช่วยรายงานไว้ หนังสือของเขานานมาแลว้ นอกจากเร่ืองราวของ มิดะ แลว้ บุญช่วยยงั กล่าวถึงบทบาทของ คะจีรา ดะ ซ่ึงเป็ นชายอีกอ้ ผูถ้ ูกเลือกใหส้ อนกามวิชาแก่หญิงสาวแรกรุ่น ในทานองกลบั กันอีกดว้ ย เราได้ เรียนรูจ้ าก 30 ชนชาติในเชียงราย ชนเผ่า และชนชาติซึ่งกระจดั กระจายอยู่ตอนเหนือของไทย มี ลกั ษณะเด่นๆ ท่ีคลา้ ยกนั

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวทิ ยา, มานุษยวทิ ยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 84. สงบ สุริยนิ ทร.์ เทียนวรรณ. พมิ พค์ ร้งั แรก 2495 (สนพ.รวมสาสน์ ) นี่เป็ นหนังสือชีวิต และงานของเทียนวรรณ หรือ ต, ว, ส, วรรณาโภ (2385- 2458) ปัญญาชน คนสาคญั ในสมยั รชั กาลที่ 5 ผูเ้ รียกรอ้ งระบบประชาธิปไตย แบบรฐั สภาและการปฏิรูปทางดา้ นสงั คมอีกหลายขอ้ จนเป็ นสาเหตุหน่ึงที่ทาให้ ตอ้ งติดคุกถึง 17 ปี ความจริงเราอยากใหผ้ ูอ้ ่าน ไดก้ ลับไปอ่านงานเขียนของ หนังสือเล่มน้ ี เขียนข้ นึ ในราวปี พ.ศ.2494 โดยสงบ สุริยินทร์ นักหนังสือพิมพแ์ ละ นักศึกษามหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ และการเมอื ง มนี ักคิดนักเขียนอาวุโสใน สมยั น้ันเขยี นคานาใหห้ นังสือเล่มน้ ีถึง 5 คน คือ หลวงวจิ ิตรวาทการ, กุหลาบ สายประดิษฐ, ส.ธรรม ยศ., เปล้ ือง ณ นคร (ตารา ณ เมืองใต)้ มาลยั ชูพินิจ สาหรบั ส.ธรรมยศ และเปล้ ือง ณ นคร เป็ นผู้ ที่เคยคน้ ควา้ และเขียนบทความถึงชีวติ และงานของเทียนวรรณ มาก่อนแต่คนท่ีคน้ ควา้ และเขียนถึง ชีวิต และงานของเทียนวรรณ ขนาดพิมพเ์ ป็ นเล่ม เป็ นคนแรก คือ สงบ สุริยินทร์ เทียนวรรณ เริ่ม เขยี นบทความแสดงความคิดเห็น ใหป้ รบั ปรุงราชการงานเมือง ตอนที่เขาอายุ 30 ปี โดยมีขอ้ เสนอท่ี กา้ วหนา้ หลายขอ้ เช่น ใหเ้ ลิกทาส ใหเ้ ลิกการพนันบอ่ นเบ้ ีย ใหป้ ราบปราบการทุจริตฉ้อฉล และความ ไมเ่ ป็ นธรรม ใหม้ ีสภาผูแ้ ทน บทความท่ีเขาเขียนบางคร้งั ไมม่ ีหนังสือพิมพไ์ หนลงให้ เขาก็จะยกใหผ้ ู้ มีสตางคพ์ ิมพเ์ ป็ นหนังสือแจกงานศพบา้ ง หรือพิมพแ์ จกเองบา้ ง ในช่วงท่ีเขาไปอยู่จังหวดั ตราด และ จนั ทบุรีกบั ภรรยาคนแรก เขาไดศ้ ึกษากฎหมายดว้ ยตวั เองอย่างจริงจงั และกลบั มาอยู่กรุงเทพตอน อายุ 33 ปี และทางานเป็ นที่ปรึกษากฎหมาย รวมท้งั ศึกษาดว้ ยตนเอง อ่านหนังสือท้งั ภาษาไทย และ องั กฤษอย่างต่อเนื่อง เขาเขียนท้งั บทความ, บนั ทึกประจาวนั , กาพยก์ ลอน รวมท้งั ไปพูดแสดงความ คิดเห็นท้งั ตามวงั เจา้ นาย และตามวดั เขาเป็ นคนแรกๆ ที่เห็นความสาคญั ของผูห้ ญิงว่า รฐั บาลควรจะ ใหก้ ารศึกษาทัดเทียมกบั ชาย เขาทางานเป็ นทนายความแบบนักอุดมคติ ช่วยใหค้ นจนไดร้ ับความ ยุติธรรม เทียนวรรณน้ัน เขียนบทความดว้ ยการใชถ้ อ้ ยคาง่ายชดั เจน ดงั จะเห็นไดจ้ ากตัวอยา่ งเช่นท่ี เขาเขียนว่า โรคของแผ่นดินหรือโรคของประเทศราชการบา้ นเมือง คือ เจา้ นายเสนาบดี อธิบดี พนักงานทุกระดับประพฤติผิดพระราชกาหนดกฎหมาย ใชอ้ านาจอนั ไม่ชอบธรรม ทุจริตในใจตน มไิ ดเ้ มตตาจิตแก่ผูน้ อ้ ย และเพื่อนมนุษย์ มิไดม้ ีหิริโอตตบั ปะธรรม เกรงบาปหรือกลวั กรรม มุง่ แต่จะ หาลาภยศใสต่ นในทางทุจริต กลบั ความจริงใหเ้ ป็ นเท็จกลบั ความเท็จใหเ้ ป็ นจริง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวทิ ยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 85. บรรจบ พนั ธุเมธา(พ.ศ. 2463 - 2535). กาเลหมา่ นไต. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2504 กาเลหม่านไต คือ หนังสือแนวสารคดีเชิงวิชาการ เขียนโดย ดร.บรรจบ พนั ธุเมธา นักอกั ษรศาสตร์ ผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะภาษาไท ถิ่นต่างๆ กาเลหม่านไต เป็ นภาษาไตคาต่ี แปลตรงตัวว่า ไปเที่ยวบ้านไท เขียนข้ นึ โดยใชร้ ูปแบบบนั ทึกการเดินทางประจาวนั ในวาระที่อาจารยบ์ รรจบ พันธุเมธา เดินทางไปคน้ ควา้ เร่ืองของคนไทนอกประเทศในแควน้ อัสสัม ประเทศอินเดีย ในปี 2498 จุดมุง่ หมายด้งั เดิมของการเดินทางคร้งั น้ ี เพ่ือศึกษา และสอบเทียบภาษาอาหม โดยเฉพาะการออกเสียงควบกลา้ วา่ มีมากกว่าภาษาไทย ท่ีใช้ พูดกันในประเทศไทยปัจจุบนั จริงหรือไม่อย่างไร การต้ังจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงไวเ้ ช่ นน้ ี เป็ น วธิ ีการศึกษาทางภาษาศาสตร์ เป็ นท่ีเขา้ ใจไดว้ า่ หากสามารถศึกษาคน้ ควา้ ไดบ้ รรลุวัตถุประสงค์ ผล ของการศึกษา ยอ่ มนาไปสู่ความเขา้ ใจต่อความเป็ นมาด้งั เดิมของชนชาติไทยไดด้ ีข้ ึน หนังสือบนั ทึก การเดินทาง เที่ยวบา้ นไทย ในรัฐอัสสัมเล่มน้ ี มิใช่หนังสือตาราทางภาษา แต่ก็มีการสอดแทรก ถอ้ ยคาภาษาไทย และขอ้ สงั เกตของผูบ้ นั ทึกการเดินทาง ประกอบอยา่ งอุดมสมบรู ณ์ โดยเหตุท่ีแต่ละ ถอ้ ยคาสานวน ไดร้ บั การถ่ายทอดไว้ ในบริบททางสงั คมวฒั นธรรมไทที่เป็ นจริง ในทางกลบั กนั จึงทา ใหห้ นังสือเล่มน้ ี เป็ นตาราทางภาษาไทยถ่ินท่ีมีชีวิตชีวา น่าอ่าน และอ่านเขา้ ใจง่ายที่สุดเล่มหน่ึง เมื่อเทียบกบั ตาราทางภาษาศาสตรภ์ าษาถิ่น ที่ใชศ้ าสตรเ์ ขา้ จบั อย่างเป็ นระบบ แต่แข็งกระดา้ งไม่ ชวนอ่าน หนังสือเล่มน้ ี จึงมีคุณค่าทางภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะภาษาถ่ินต่างๆ ของคนไทยนอก ประเทศ ท่ีประเมนิ คา่ มไิ ด้

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 86. นาวาเอก สวสั ด์ิ จนั ทนี. นิทานชาวไร่. พมิ พค์ ร้งั แรก 2509-2518(ชุดหนึ่ง 12เล่ม) องคก์ ารคา้ คุรุสภา ในบรรดาหนังสือสารคดี ที่เป็ นเกร็ดความรูท้ างดา้ นประวตั ิศาสตร์ชีวประวัติ บุคคล สถานท่ี ประเพณี วิถีชีวิตคนไทยท้งั ขุนนาง เจา้ นาย และส่ิงละอนั พนั ละ น้อย เบ้ ืองหลงั เหตุการณ์สาคญั ในอดีต โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว ท่ีไม่มีบนั ทึกไว้ ในประวตั ิศาสตร์ทัว่ ไปน้ัน อาจกล่าวไดว้ ่า นิทานชาวไร่ของนาวาเอก สวสั ด์ิ จนั ทนี เป็ นหนังสือ ที่อุดมดว้ ยเกร็ดความรูม้ ากท่ีสุดเล่มหน่ึง ท้งั ยงั อ่านสนุกน่า ติดตามอีกดว้ ยเกร็ดความรเู้ ล็กๆ นอ้ ยๆ จะสะทอ้ นใหเ้ ห็นบางมุมของชีวิตบุคคล สาคัญ หรือเสริมใหเ้ หตุการณ์น้ัน มีชีวิตชีวา มีความหลากหลาย และฉายภาพความเป็ นมนุษย์ ออกมา ได้อย่างท่ีบุคคลน้ันพึงเป็ น ไม่เสกสรรค์ป้ั นแต่ง จนเหนือจริงเหนือโลกย์ ดั งเช่นนัก ประวตั ิศาสตรส์ มยั กอ่ นไดบ้ นั ทึกไวเ้ น้ ือหาสาระของเกร็ดความรู้ ในหนังสือนิทานชาวไร่ พอจะจาแนก ไดก้ วา้ งๆ ดงั น้ ี 1.เกร็ดประวัติศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ มีท้ังเหตุการณ์ที่เกิดข้ ึนในสมัยอยุธย า ธนบุรี กรุงรตั นโกสินทรต์ อนตน้ และยุคที่เมืองไทยเขา้ สู่การพฒั นาประเทศแบบตะวนั ตก ต้งั แต่สมยั รชั กาล ที่ 4 กระทงั่ ถึงพ.ศ.2509 จุดเด่นของเกร็ดประวตั ิศาสตร์ในหนังสือเล่มน้ ี ไดแ้ ก่ เรื่องในร้วั ในวงั พระมหากษัตริย์ รชั ทายาท เจา้ นาย และขุนนาง ซ่ึงเรื่องที่คนสนใจอ่าน มักจะเก่ียวกับเบ้ ืองหลังชีวิต ปัญหาผูห้ ญิง ความรัก พฤติกรรมแปลกๆ หรือปัญหาความขดั แยง้ ต่างๆ อนั ยากจะหาอา่ นไดใ้ นประวตั ิศาสตรท์ วั่ ไป 2.เกร็ดชีวประวตั ิขุนนาง ความเป็ นมาของตระกูลขุนนาง ความสมั พนั ธร์ ะหว่างขุนนางคนสาคญั กบั พระมหากษัตริย์ และเจ้านาย ลักษณะเฉพาะหรือพฤติกรรมแปลกๆ ของขุนนางในสมัย สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ ความขดั แยง้ ระหวา่ งขุนนางกบั ขุนนาง หรือกบั เจา้ นาย 3.เกร็ดประวตั ิสถานท่ี ส่ิงของ และการรบั เอาเทคโนโลยีเขา้ มา จะพบเห็นเกร่อไปหมด ผูเ้ ขียนจะ นามาแทรกกล่าวถึงอย่างส้นั ๆ ซึ่งเป็ นความรูท้ ่ีคนไทยรุ่นหลงั ไมอ่ าจจะหาอ่านได้ง่ายนัก เช่น เรื่อง บ่อนในกรุงเทพฯ และวิธีเล่นการพนัน การกาเนิดบา้ นแบบฝรงั่ ในกรุงเทพฯยุคแรก การไฟฟ้า การ สรา้ งตึกกระทรวงกลาโหม การสกั แบบไทย การหลอ่ พระพุทธรปู ประวตั ิการแขง่ มา้ การประหารชีวิต แบบเกา่ และแบบใหม่ เรื่องชื่อสถานที่ถนนหนทางในกรุง วิธีทุบหน่อเน้ ือเช้ ือกษัตริย์ ดว้ ยท่อนจนั ทน์ มิใหเ้ ลือดตกดิน รวมถึงประเพณีวฒั นธรรมอีกมากมาย ฯลฯ 4.เกร็ดความรูเ้ ก่ียวกบั เหตุการณส์ าคญั ที่เกิดข้ ึนในบา้ นเมือง ไม่ว่าจะเป็ นผีบุญในภาคอีสาน กบฎ เง้ ียวในภาคเหนือ อ้งั ยี่ในกรุงเทพฯ กบฎพวกเก็กเหม็ง เกร็ดเบ้ ืองหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง 2475 การจบั ตวั จอมพล ป. พิบลู สงคราม หรือการปฏิวตั ิและกบฏในเมืองไทย รวมไปถึงการขัดแยง้ ทางการเมือง ต้งั แต่สมยั โบราณจนถึงยุคการเมอื งสมยั ใหม่

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวทิ ยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 87. กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสยั (พ.ศ. 2463 - ). ภารตวทิ ยา. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2510 องคก์ ารคา้ ของคุรุสภา ภารตวิทยา คือ วิทยาเกี่ยวกับภารตประเทศ หรือประเทศอินเดียน้ันเอง การศึกษาคน้ ควา้ และเรียบเรียงเร่ืองภารตวิทยาน้ ี ผูเ้ ขียนมิไดน้ าเสนอเฉพาะ ความรูฝ้ ่ ายไทย หรือเม่ือไทยรุ่นก่อนรบั มาจากแขกแลว้ เราปรบั หรือปรุงแต่ง อย่างไร จนกลืนกลายเป็ นไทย ดังเมื่อขยายความว่า ภารตวิทยาคืออะไร ภารตวิทยาในทศั นะของปราชญ์ แห่งอสั ดงคตประเทศมีวา่ กระไร จึงประสาน ความรนู้ ้ ี โดยแสดงปมู หลงั ภารตวิทยาในประเทศไทย เพื่อความสมบรู ณ์ รอบดา้ น จากน้ันจึงจดั ลาดบั เร่ือง ตามเน้ ือหาที่ควรศึกษาในภาพรวม แลว้ ค่อยแยกย่อยเฉพาะบท เฉพาะเรื่อง คือ อินเดีย-จากอดีตถึงปัจจุบนั เป็ นสงั เขปประวตั ิศาสตรอ์ ินเดียจากโบราณ ถึงองั กฤษ จายอมกบั การต่อสูข้ องประชาชนอินเดียท่ีเรียกรอ้ งเอกราช แลว้ เกิดการแบ่งแยกกนั ภายในประเทศ จนเกิดบงั คลาเทศ ที่มิใช่ดินแดนของอินเดียอีกต่อไป ศาสนาในอินเดีย กล่าวถึงสถิติประชากรจาก สามะโนประชากร ประเทศสาธารณรฐั อินเดีย เมอื่ พ.ศ. 2534 มีจานวนประชากรจานวนเท่าใด และจาแนกออกตามศาสนาที่นับถือเท่าใด ต่อจากน้ันจึงกล่าวถึงศาสนาต่างๆ ซ่ึงกาเนิดหรือเขา้ สู่ อินเดียวา่ มคี ติความเช่ืออยา่ งไร ดงั เร่ิมจากศาสนาฮินดู, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาคริสต,์ ศาสนาสิกข,์ ศาสนาเชน, ศาสนาโซโรอาสตร,์ ศาสนายูดาย และพุทธ วรรณคดีอินเดีย ผูเ้ ขียนนาเสนอโดย “แยก ออกเป็ นตอนๆ ตามอุบัติการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ ตามศาสนา ความเชื่อถือ ตามกลุ่มของภาษา และตามลาดบั พฒั นาการของวรรณคดี มีท้งั หมด 7 ตอน เร่ิมจากคมั ภีรพ์ ระเวท และคมั ภีรอ์ ุปนิษัท ถึงวรรณคดีอินเดียในยุคปัจจุบนั หนังสือภารตวิทยาเป็ นผลึกทางปัญญาของท่านผู้เขียนที่รวบรวมเรียบเรียง แมจ้ ะใชเ้ อกสาร ต่างประเทศจานวนมากในการคน้ ควา้ หากการเขียนนาเสนอไดใ้ ชว้ ิจารณญาณ ประสบการณแ์ ละ ความสามารถท่ีเป็ นทุนเดิม การเรียงรอ้ ยดว้ ยภาษาไทยที่อ่านงา่ ยกระชบั ทาใหเ้ รื่องท่ียาก โดยเฉพาะขอ้ ความคิดทางปรชั ญาพลอยเขา้ ใจง่ายข้ ึน ประโยชน์ที่ได้รบั จากหนังสือ น้ ี ไมเ่ พียงผูศ้ ึกษาจะเขา้ ใจอารยธรรม และประวตั ิศาสตรอ์ ินเดียดีข้ นึ ความรูจ้ ากหนังสือน้ ี ยงั เก้ ือกูล ต่อความรคู้ วามคิด และความเขา้ ใจต่อวฒั นธรรมของเรา โดยเฉพาะอย่างต่อภาษา และวรรณคดี รวมท้งั พระพุทธศาสนาท่ีเขา้ ใจมากข้ ึน นอกจากศิลปะการ เขียนแสดงความรูแ้ ลว้ บรรดาภาพประกอบยังเป็ นส่ือท่ีสาคัญ ที่ช่วยใหห้ นังสือมีองค์รวมทาง คุณภาพสมบรู ณข์ ้ นึ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวทิ ยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 88. ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ พระยาอนุมานราชธน(พ.ศ. 2431-2512). ฟ้ ื นความหลงั . พิมพค์ ร้งั แรก 2510 ฟ้ ื นความหลัง เป็ นหนังสืออตั ชีวประวตั ิของนักประพันธ์สามญั ชน ผู้รอบรูด้ า้ น ภาษา ศิลปวรรณคดี มานุษยวิทยา และวฒั นธรรม ผลงานเขียนของท่าน มีส่วน กระตุน้ ความสนใจ อีกท้งั ไดร้ บั การอา้ งอิง ในงานศึกษาวิจยั ของผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ ใน สาขาวิชา ท่ีท่านพระยาอนุมานราชธน หรือเสถียรโกเศศ เคยแสดงผลงานไว้ เสมอ แมฟ้ ้ ื นความหลงั จะเป็ นหนังสือชีวประวตั ิ กระน้ัน สาระส่วนใหญ่ กลบั เป็ น การบนั ทึกความรใู้ นประสบการณช์ ีวติ ที่เด่นกวา่ ขณะประวตั ิชีวิตดปู ระหน่ึงฉาก ประกอบ ดงั น้ัน จะจาแนกประเภทหนังสือน้ ี วา่ เป็ นประวตั ิศาสตรส์ งั คมอีกรปู แบบหนึ่งก็ได้ ความเจริญของมนุษยชาติน้ัน มีปัจจยั สาคญั ประการหน่ึง คือ ความสามารถพฒั นาตน จากการโอน ผลความรูใ้ นอดีตดว้ ยส่วนหนึ่ง ไม่ตอ้ งเสียเวลาแสวงหาประสบการณ์ตรง หากรูจ้ กั ประสบการณ์ ทางออ้ มของผูอ้ ่ืน เก็บรบั บทเรียน และนามาสู่การเลือกใช้ ปรบั ปรนใหเ้ หมาะแก่ตน ยุคสมยั ของตน โดยเหมาะสม เพ่ือพฒั นาส่คู วามยงั่ ยืนต่อไป คนแต่ละคนมเี รื่องราวในชีวิตของคนเป็ นบทเรียน อย่าง นอ้ ยก็เหมาะสาหรบั อบรมบุตรหลานในตระกูล เพียงแต่ความสามารถจะถ่ายทอดสู่สาธารณะ และ ความน่าสนใจอาจจะมีไม่เสมอกนั สาหรบั บุคคลสาคญั เช่น พระอนุมานราชธน ประสบการณ์ย่อม น่าสนใจมากข้ ึนเป็ นทวีคูณ ผนวกความสามารถทางการเขียนเผยแพร่ที่ชวนอ่าน จึงเป็ นผลงานท่ี ทรงคุณค่า คติไทยด้งั เดิมไม่นิยมเล่าเร่ืองตนเอง เพราะเกรงว่าเป็ นการโออ้ วด ทาใหก้ ารจดบนั ทึก ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือผลงานเขียนประเภทความทรงจาของไทยมีไม่มากนัก นับเป็ นการสูญ โอกาสที่ดีไปอยา่ งหนึ่ง งานเขยี นฟ้ ื นความหลงั เชน่ กนั แมจ้ ะเขียนบนั ทึกอตั ชีวประวตั ิแลว้ ส่ิงท่ีลึกเรน้ น่าสงั เกตไว้ คือ ท่านผูเ้ ขียนยงั น่าจะไมพ่ น้ ข่ายเกรงคาครหา จึงกลายเป็ นสารคดีประกอบชีวประวตั ิ กระน้ันก็ทรงคุณค่าอยา่ งสงู เพราะท่านมคี วามรมู้ าก ชา่ งจา ช่างเลา่ หนังสือฟ้ ื นความหลงั ท้งั ชุด เป็ นหนังสือที่คนไทยควรอ่าน มิใช่เพียงเพื่อรูว้ ่า ประวตั ิชีวิตส่วนหนึ่งของ พระยาอนุมานราชธน มีความเป็ นมาอย่างไรเท่าน้ัน แต่จากการรูเ้ ร่ืองผ่านงานเขียนน้ ี เรายังได้ โดยสารไปสู่ความรูจ้ กั เขา้ ใจสงั คมไทย ขนบธรรมเนียมวฒั นธรรมประเพณีไทยมากข้ ึน เป็ นหนังสือ ประวตั ิสงั คมท่ีบนั ทึกผ่านการเขียนอตั ชีวประวตั ิ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวทิ ยา, มานุษยวทิ ยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 89. จติ ร ภมู ิศกั ด์ิ (พ.ศ. 2473 - 2509). ความเป็ นมาของคาสยาม ไทย, ลาว และขอม และลกั ษณะทางสงั คมของชอ่ื ชนชาติ. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2519 งานช้ ินสุดทา้ ยของจิตร นักวิชาการ กวี และนักปฏิวตั ิ คือ ความเป็ นมาของคา สยามฯ เป็ นงานที่มีลกั ษณะเป็ นงานวิจยั ใชเ้ วลายาวนานท่ีสุด (ประมาณ 7 ปี ) แต่คน้ ควา้ ในสภาพ ท่ีมีขีดจากัดมากที่สุด คือ ขณะถูกจองจา ไรซ้ ่ึง เสรีภาพ และอิสรภาพ กระน้ันก็ตาม งานช้ ินสุดทา้ ยน้ ี กลบั เป็ นงานวิชาการที่ โดดเด่นท่ีสุดพิสูจน์ความเป็ นนักวิชาการอย่างแทจ้ ริงของเขา ท่ีเป็ นท้ังนัก อกั ษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ โบราณคดี วรรณคดี โดยท่ีจิตร ภูมศิ กั ด์ิ สามารถนาศาสตรห์ ลากหลาย มาคน้ ควา้ วิจยั หวั ขอ้ ดงั กลา่ ว อยา่ งน่าสนใจ ลึกซ้ ึง รอบด้าน กวา้ งขวาง อีกท้ังยังประสบความสาเร็จ ในด้านที่สามารถนาเสนอผลการ ค้นคว้า อยา่ งมีบรู ณาการ หนังสือ ความเป็ นมาของคาสยาม ไทย, ลาว และขอม และลกั ษณะทางสงั คมของช่ือชนชาติ ใชห้ ลกั วิชาการดา้ นภาษาศาสตร์ เปรียบเทียบเชิงประวตั ิ (Comparative Historical Linguistics) เป็ น จุดเริ่มตน้ ของการศึกษาในช่วงแรก จิตร พยายามช้ ีใหเ้ ห็นราก และตน้ ตอของคาบ่งบอก ‘ชนชาติ ท่ีสาคัญ คือ คา‘สยาม‘ไท - ไต - ไทย ลาว และ ขอม โดยช้ ีใหเ้ ห็นขอ้ บกพร่อง และวิธีคิดวิธี การศึกษา ท่ีไมถ่ ูกตอ้ งในการศึกษาที่ผ่านๆ มาแลว้ ใชค้ าเหล่าน้ ี สืบคน้ ตน้ กาเนิดของคนไทยอย่างมี ระบบ โดยเฉพาะเร่ืองวิเคราะหค์ วามเป็ นมาของ‘สยามกุก’ และ‘พลโว’ น้ันเป็ นการเสาะแสวงหาทาง วิชาการ‘ที่น่าต่ืนเตน้ และน่าท่ึงเป็ นที่สุด ย่ีสิบปี ไดล้ ่วงไปแลว้ สาหรบั การพิสูจน์คุณค่า ที่ยงั ไมอ่ าจ ลบเลือนไดข้ องหนังสือ ท่ีเป็ นผลงานช้ ินสุดทา้ ยชีวิตนักวิชาการอยา่ ง จิตร ภูมิศักด์ิ องคค์ วามรูใ้ หม่ ดา้ นไท/ไทยศึกษา นับวนั ไดง้ อกเงยข้ นึ หลกั ฐาน-ขอ้ มลู ใหม่ โดยเฉพาะจากการวิจยั สนามในพ้ ืนท่ีมี คนสยาม ไท ลาว ขอม คงจะสามารถเสริมสรา้ ง ต่อยอด องคค์ วามรูท้ ี่จิตรไดส้ รา้ งสรรคข์ ้ ึนไวอ้ ย่าง เป็ นระบบ กระทงั่ อาจคดั คา้ น-โตแ้ ยง้ ไดเ้ ป็ นกรณีๆ ไป เพราะหนังสือเล่มน้ ี มีเน้ ือหาที่อุดมสมบูรณ์ มีรายละเอียดแต่ละช่วง แต่ละตอนท่ีลว้ นแลว้ แต่น่าสนใจ น่าสืบคน้ น่าตีความในเชิงท้ังสนับสนุน และโตแ้ ยง้ ได้ แต่สิ่งที่นักวิชาการรุ่นใหม่ ไม่พึงมองขา้ มละเลย ท้งั ยงั ควรใส่ใจ คือ ประเด็นสาคญั ที่ จิตรคงจะไดเ้ ขียนท้ ิงทา้ ยไวก้ ่อนเดินทางจากไป โดยเขยี นไวเ้ ป็ นคานาของหนังสือเล่มน้ ี

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 90. หม่อมศรีพรหมา กฤดากร(พ.ศ. 2431-2521). อตั ชีวประวตั ิของหมอ่ มศรีพรหมา กฤดากร.พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2522. เป็ นหนังสืออัตชีวประวตั ิของสตรีท่ีหาไดย้ ากเล่มหนึ่ง เพราะสตรีผูม้ ีวยั รุ่นราว คราวเดียวกบั ท่านถา้ ไมข่ าดความรู้ ก็จะขาดความสามารถทางการเขียนหนังสือ แมม้ ีความรูด้ ี ก็ไม่นิยมเขียนหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือ ที่เป็ นการบันทึกความ ทรงจาของตน ย่ิงไปกว่าน้ ี หม่อมศรีพรหมา ยงั เป็ นกุลสตรี ผูม้ ีโอกาสเติบโตใน แผ่นดินรชั กาลท่ี 5 เคยไปอยูต่ ่างประเทศท่ีรสั เซีย และภายหลงั เป็ นหมอ่ ม หรือ ภริยาของหมอ่ มเจา้ สิทธิพร กฤดากร ผูบ้ ุกเบิกการเกษตรสมยั ใหม่ และผูต้ ่อสคู้ ดั คา้ นเร่ืองการเก็บภาษีพรีเม่ยี มขา้ วมายาวนาน เจา้ นายผูเ้ คยประทับคุกดว้ ยคดีการเมือง (กบฏบวรเดช) และถูกเนรเทศไปอยู่เกาะตะรุเตา ชีวิตของหม่อมศรีพรหมา ในฐานะคู่ทุกขค์ ู่ยาก จากเคยอยสู่ บายมาผจญชีวิตย่ิงกวา่ คนธรรมดาตอ้ งประสบ เม่ือถ่ายทอดเป็ นตวั อกั ษร จึงมีคุณค่าน่า อ่าน น่าศึกษาอยา่ งยากหาบนั ทึกประวตั ิสตรีไทยคนใดเสมอเหมือน ในส่วนท่ีเป็ นอตั ชีวประวตั ิ และ บทสัมภาษณ์ นอกจากความน่าอ่าน จากลีลาการบันทึกท่ีเรียบง่าย ยังใหค้ วามรูค้ วามคิดแสดง พฒั นาการของสงั คม และเป็ นส่วนหน่ึงของประวตั ิความคิดผูห้ ญิงในกรณีของหมอ่ มศรีพรหมา ท้งั นับ เนื่องเป็ นเอกสารประวตั ิศาสตรด์ ว้ ยเช่นกัน สาหรบั ส่วนท่ีเป็ นเรื่องการถนอมอาหาร มีคุณค่าอัน สามารถนาไปปฏิบัติได้ในปัจจุบัน และแสดงหลักฐานการคน้ คิดประดิษฐ์อาหาร จากผลผลิ ต เกษตรกรรมไทย จากภาคปฏิบตั ิ และประสบการณต์ รง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ง. สงั คมวิทยา, มานุษยวทิ ยา, ประวตั ิศาสตรส์ งั คม 91. กาญจนาคพนั ธ์ (ขนุ วิจิตรมาตรา)(พ.ศ. 2440-2523). 80 ปี ในชวี ิตของขา้ พเจา้ . พมิ พเ์ ป็ นอนุสรณใ์ นงานพระราชทานเพลิงศพขุนวจิ ิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพนั ธ)์ 9 ตุลาคม 2523 ขุนวิจิตรมาตรา มีผลงานเขียนบทความลงในวารสารต่างๆ เกี่ยวดว้ ยสังคม วฒั นธรรมไทยจานวนมาก งานรวมเล่ม ไดแ้ ก่ ภูมิศาสตรว์ ดั โพธ์ิ เด็กคลอง บางหลวง คอคิดขอเขียน ภูมิศาสตรส์ ุนทรภู่และสานวนไทย เป็ นตน้ งานของ ขุนวิจิตรมาตรามีลกั ษณะเด่น คือ เป็ นการบนั ทึกสภาพสงั คม และโดยท่ีท่าน มีภูมิรู้ ถึงรากฐานของส่ิงน้ันๆ อย่างลึกซ้ ึง ขณะเดียวกัน มีภูมิรูเ้ ก่ียวกบั โลก อนั สามารถนามาเป็ นขอ้ เปรียบเทียบหรืออา้ งอิง ยิ่งชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจตาแหน่งแห่ง ที่ของสงั คมที่เป็ นอยู่ และเปลี่ยนแปลงไปชดั เจนยิ่งข้ ึน หนังสือ 80 ปี ในชีวิตของขา้ พเจา้ ไดส้ ะทอ้ น ใหเ้ รารูส้ ึกไดว้ ่า ขุนวิจิตรมาตราไม่ใช่ผูท้ ี่สนใจการเมือง หรือมกั ใหญ่ใฝ่ สูง ท่านไม่สนใจที่จะสรา้ ง ช่ือเสียงจากวิชาความรู้ หากแต่ผลิตผลงาน ก็เพ่ือตวั ความรูน้ ้ันแทๆ้ หรือเพ่ือสนองแก่คุณค่าจิตใจ การทางานใหแ้ ก่รฐั บาลจอมพลป. ในสาระสาคญั ตรงกบั แนวคิดของท่านเอง เกี่ยวกบั ความสาคญั ของเมอื งไทย ชาวนาไทย และสงั คมไทย ไม่ว่าจะเป็ นเพลงชาติสยามท่ีท่านแต่ง บทละคร เรื่องบา้ น ไร่นาเรา หรือหนังสือชุดประวตั ิการคา้ ไทย 80 ปี ในชีวิตของขา้ พเจา้ ไดส้ ะทอ้ นใหเ้ ห็นสามสิ่ง พรอ้ มๆ กัน คือ ประการแรก เราได้เห็นถึงพัฒนาการของสังคมไทยและทางเลือกของคนไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงในระยะต่างๆ ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของกระแสสงั คมโลก ประการท่ีสอง เห็นถึงกระบวนคิดของผูค้ นในวงการชนช้นั ปัญญาชน ผูม้ ีบทบาทในการผลิ ตงาน ศิลปวฒั นธรรม เห็นไดช้ ดั เจนวา่ ในเวลาท่ีกล่าวน้ัน แมว้ ่ากระแสวฒั นธรรม และความเป็ นตะวนั ตก จะรุกเขา้ มา แต่สงั คมไทยก็ยงั มีจุดยืน มีหลกั คิดอยู่พอเพียงในบางระดบั ที่จะสามารถพฒั นา และ ปรบั ตัวเขา้ สู่ยุคใหม่ โดยท่ียงั ไม่ละท้ ิงรากแห่งความเป็ นไทยและประการสุดทา้ ย งานช้ ินน้ ีทาใหไ้ ด้ เห็นถึงชีวติ ของท่านผูป้ ระพนั ธเ์ อง ผูซ้ ึ่งดาเนินชีวติ อยา่ งสงบเรียบง่าย ตรงไปตรงมาต่อความคิด และ ความรขู้ องตนเอง

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) จ. ศาสนา, ปรชั ญา 92. สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส(พ.ศ. 2403 - 2464). พระประวตั ิตรสั เลา่ . พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2476 เป็ นพระนิพนธค์ วามเรียง ที่บนั ทึกความทรงจา ประเภทอตั ชีวประวตั ิดาเนินเรื่อง ตามช่วงวัยของชีวิต และการเกิดสถานะทางสังคม ความมุ่งหมาย เพ่ือใช้ ประสบการณ์สัง่ สอนอบรมศิษย์เป็ นสาคัญ และขอบเขตเน้ ือหาพระนิพนธ์ ตามลาดบั กาลเวลาแห่งพระประวตั ิ จดั แบ่งออกเป็ น 7 หวั ขอ้ คือ คราวประสูติ คราวเป็ นทารก คราวเป็ นพระกุมาร คราวเป็ นพระดรุณ คราวทรงพระเจริญ สมยั ทรงผนวชพระ และสมยั ทรงรบั สมณศกั ด์ิ การท่ีเน้ ือหาพระนิพนธม์ ิไดค้ รอบคลุมพระประวตั ิชีวิต จวบจนถึงพระปัจฉิมวยั ก็เพราะทรงมีพระ ปรารถนาวา่ ศิษยานุศิษยข์ องพระองคร์ จู้ กั และทราบพระประวตั ิเมื่อคราวทรงพระยศสูง แต่ไม่ทราบ พระประวัติช้นั เดิม อันเคยประสบทุกขอ์ ย่างไร ความพยายามเล้ ียงพระองค์มาอย่างไร จึงมีพระ ประสงคป์ ระทานความรไู้ วใ้ หเ้ ป็ นนิทศั น์อุทาหรณก์ ารอา่ นพระนิพนธน์ ้ ี แมจ้ ะรบั ความรตู้ ามที่ทรงจาก เน้ ือเร่ือง หรือขอ้ ความระหว่างบรรทัด กระน้ัน ดว้ ยพระเมตตา ท่ีตอ้ งการสัง่ สอนให้ไดผ้ ลเชิงย้า ความคิด จึงพระนิพนธ์ดว้ ยวิธีเน้นกาชับ เช่น เมื่อตอ้ งอบรมเรื่องผู้หญิงแก่ศิ ษย์ที่ลาสิกขาแลว้ ประทานโอวาทโดยตรงว่า ศิษยข์ องเราผูแ้ ก่วดั สึกออกไป ไม่เคยในทางน้ ี จงประหยดั ใหม้ ากจาก ผูห้ ญิงเสเพล แมจ้ ะหาคู่ จงอยา่ ด่วน จงคอ่ ยเลือกใหไ้ ดค้ นดี ถูกนักเลงเขา้ อาจพาฉิบหาย ต้งั ตวั ไม่ติด” หรือพระโอวาทเรื่องการประหยดั ก็ประทานตักเตือนว่า ความเป็ นหน้ ีเป็ นดุจหล่มอนั ลึก ตกลงแลว้ ถอนตวั ไดย้ ากนัก ขอพวกศิษยข์ องเราจงระวงั ใหม้ าก คุณค่าอีกประการหน่ึง เกิดจากเน้ ือหาสาระของ พระนิพนธ์ เป็ นพระประวตั ิของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ ฯ ผูท้ รงเป็ นบุคคลสาคญั ของชาติ ไดท้ รงพระ กรณียกิจอยา่ งสาคญั ท้งั ต่อการวางรากฐานการศึกษา สมยั ใหมข่ องไทย ทรงปฏิรูปการปกครองคณะ สงฆไ์ ทย และในฐานะพระภิกษุ ที่ทรงเป็ นนักปกครอง และบริหารการคณะสงฆ์ ซ่ึงแมใ้ นบัดน้ ี ก็ยงั มิ อาจแสวงหาพระภิกษุรูปใด ท่ีทรงคุณสมบตั ิดงั กล่าว โดยรวมอยูใ่ นบุคคลน้ันเยี่ยงพระองคท์ ่าน พระ ประวตั ิตรสั เล่า จึงเป็ นหนังสืออตั ชีวประวตั ิบุคคลสาคญั ของชาติไทยท่ีควรศึกษาขณะเดียวกนั พระ ประวตั ิตรัสเล่า ยงั เป็ นเอกสารประวตั ิศาสตร์ท่ีทรงคุณค่า แมค้ วามมุ่งหมาย จะเป็ นการถ่ายทอด ประสบการณส์ ว่ นบุคคล แต่ฉากเหตุการณท์ างสงั คมที่เกี่ยวขอ้ ง ส่วนหนึ่ง คือ สงั คมของชนช้นั นาของ สงั คมไทย ท้ังเป็ นสงั คมไทย ในระยะหวั เล้ ียวหวั ต่อท่ีสาคญั ของการเมืองในประเทศ และหวั เล้ ียว หวั ต่อของไทยกบั การเมืองระหวา่ งประเทศ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) จ. ศาสนา, ปรชั ญา 93. สุชีพ ปุญญานุภาพ(พ.ศ. 2460- ). พระไตรปิ ฎก ฉบบั สาหรบั ประชาชน. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2501 หนังสือเล่มน้ ี มุ่งหวังให้ประชาชนผู้อ่านเกิดประโยชน์ รวม 4 ประการ รคู้ วามหมาย และความเป็ นมาแห่งพระไตรปิ ฎก รูเ้ รื่องท่ีน่าสนใจ เพ่ือใหเ้ ห็น แนวคาสอนทางพระพุทธศาสนา รูค้ วามย่อในพระไตรปิ ฎกแต่ละเล่ม ท้ัง 45 เล่ม เป็ นการย่อที่พยายามใหไ้ ดส้ าระสาคัญ สามารถศึกษาเอกสาร ประวตั ิศาสตรไ์ ทย เพื่อทราบความเป็ นมาแห่งพระไตรปิ ฎกในไทย ซึ่งรวบรวม เพื่อใหค้ น้ สะดวก ไมก่ ระจดั กระจาย ผูจ้ ดั ทาพระไตรปิ ฎกฉบบั สาหรบั ประชาชน ไดก้ าหนดเน้ ือหา เพ่ือจดั ทาแบ่งในการนาเสนอ ตามลาดบั รวมหา้ ภาค ภาคท่ี 1 ความรูเ้ ร่ืองพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎกคืออะไร ประวตั ิการสงั คายนา ลกั ษณะของการจดั หมวดหมู่ ของแต่ละปิ ฎก ลาดบั ช้นั คาภีรท์ างพระพุทธศาสนา ภาคที่ 2 วา่ ดว้ ยเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ เร่ิมจากพระไตรปิ ฎกฉบบั พระราชหตั ถเลขา รัชกาลที่ 1 กรุงรตั นโกสินทร์ ถึงรายงานการสรา้ งพระไตรปิ ฎกสมยั รชั กาลท่ี 7 ภาคท่ี 3 ขอ้ ความน่ารจู้ ากพระไตรปิ ฎก ภาคท่ี 4 ความยอ่ แห่งพระไตรปิ ฎก ฉบบั ภาษาบาลีท่ีจดั ทายอ่ เป็ นภาษาไทย พระวินัยปิ ฎก ต้งั แต่เลม่ 1 ถึงเล่ม 8 พระสุตตนั ตปิ ฎก ต้งั แต่เล่ม 9 ถึงเลม่ 33 รวม 25 เล่ม พระอภิธมั มปิ ฎก เลม่ 34 ถึงเลม่ 45 รวม 12 เลม่ ภาคที่ 5 วา่ ดว้ ยบนั ทึกทางวชิ าการ ผูเ้ ขียนมีความสามารถการใชภ้ าษาไทยที่ดี มีความสละสลวยเขา้ ใจง่าย ท้ังน้ ี อาศัยกลวิธีการ นาเสนอ อยา่ งมวี จิ ารณญาณอีกเชน่ กนั กล่าวคือ ยดึ หลกั ทาใหง้ า่ ยเป็ นพ้ ืนฐาน คร้นั ความจาเป็ นทางวิชาการ ดงั กรณีศพั ทบ์ ญั ญตั ิเป็ นภาษา ธรรมะตอ้ งคงไว้ ก็ช่วยผูอ้ ่านใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ ึนผ่านวิธีต่างๆ เช่น คงรูปศัพท์ไว้ หากแปลหรือทา คาอธิบายกากบั บางกรณีทาเชิงอรรถ เป็ นตน้ คุณค่าของหนังสือพระไตรปิ ฎก ฉบบั สาหรบั ประชาชน เลม่ น้ ี นอกจากทาพระไตรปิ ฎกใหง้ า่ ย เหมาะ แก่ประชาชนแลว้ ยงั นาประชาชนสู่พระไตรปิ ฎก คือ สรา้ งนิสยั ปัจจยั จากฉบบั น้ ี สู่การมีฉันทะต่อ การศึกษาปฏิบตั ิใหล้ ึกซ้ ึงข้ นึ เขา้ ถึงธรรมสาหรบั การดารงชีวิตดว้ ยความไม่ประมาท เช่น ขอ้ ความที่ แปลถึงฐานะ 5 ท่ีควรพิจารณาเนืองๆ คือ ความธรรมดาที่บุคคลไมล่ ่วงพน้ ไปได้ ท้งั ความแก่ ความ เจ็บไข้ ความตาย การตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจท้งั ปวง และมีกรรม คือ การกระทากบั ผลแหง่ การกระทาเป็ นของตน เป็ นผูร้ บั ผลแหง่ กรรม เป็ นตน้

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) จ. ศาสนา, ปรชั ญา 94. พ.อ.สมคั ร บุราวาศ(พ.ศ.2459-2518). ปัญญาวิวฒั น์. พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ.2507 หนังสือชุด ปัญญาวิวฒั น์ ไดแ้ สดงภาพวิวฒั นาการของมนุษย์ นับจากอดีตจนถึง ยุคหลงั สงครามโลกคร้งั ท่ีสอง คือ ราวคริสต์ทศวรรษ 1960 เริ่มตน้ ต้ังแต่ยุคที่ กาเนิดปฐมมนุษยใ์ นแอฟริกา และชวาไปจนถึงสมยั ปรมาณู ซึ่งระบบทุนนิยมกบั ระบบสงั คมนิยม กาลงั ขบั เคี่ยวกนั อย่างรุนแรงทุกดา้ น สมคั ร บุราวาศ เป็ นผู้มี ความเห็นว่า พฒั นาการของปัญญา เป็ นผลิตผลของมนุษยชาติท้งั มวล มิใช่เกิด มาจากจอมปราชญ์ เขาตอ้ งการจะอธิบายวา่ ววิ ฒั นาการแห่งปัญญาของมนุษย์ ในความหมายของเขา เกิดจากน้ามอื ของมนุษยเ์ องสมคั ร บุราวาศ ศึกษา และอธิบายสงั คมของคนป่ า ของพวกอารยชนในสงั คมบุพกาลของมนุษย์ ในสมัยท่ีอารยธรรมโบราณตามลุ่มน้าสาคัญ ไดล้ ง รากฐานชดั เจน จากน้ ีเจาะลึกลงไปวิเคราะหส์ งั คม สมยั อารยธรรมใหม่ ของกรีซ-โรมนั อินเดีย จีน เขาวกกลบั มาวิเคราะห์ สังคมสมยั มืดมนทางปัญญา-ระบบศักดินา สมยั เรอเนสซองส์ จากน้ันก็ เคล่ือนเขา้ สยู่ ุคสะสมทุนยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรม แลว้ เจาะลึกศึกษาวิวฒั นาการของความรู้ ในศตวรรษ ท่ี 19 และ 20 ตามลาดบั เมื่ออ่าน ปัญญาวิวัฒน์ จบลง ก็รูส้ ึกต่อไปอีกว่า สมคั ร บุราวาศ ไม่เพียงแต่เป็ นนักคิด นักเขียน นักวิชาการ ท่ีใหค้ วามสาคัญกับความรูแ้ บบวิทยาศาสตร์เท่าน้ัน เขายงั เขา้ ถึง องค์ความรู้ หรือจิต วิญญาณของโลกตะวนั ออก อย่างลึกซ้ ึงดว้ ย การวิเคราะหข์ องเขาในแต่ละตอน แสดงใหเ้ ห็นว่าเขา ศึกษาความรูต้ ะวนั ออกไม่นอ้ ย ขณะที่กล่าวถึงตน้ กาเนิดชนชาติข้ ึน เขาอา้ งอิงถึงนิยายปรมั ปราของ จีนเร่ืองไคเภ็ก เพ่ืออธิบายยุคที่มนุษยย์ งั นับถือมารดาเป็ นใหญ่ว่า เพียวอ่องสี ต่ีอ่องสี และยี่นอ่องสี คนเหล่าน้ ีเป็ นประมุขของชาติวงศท์ ้งั ส้ ิน ในสมยั ของย่นี ออ่ งสี ราษฎรรคู้ ุณมารดาแต่หารคู้ ุณบิดาไม่ นี่ แสดงถึงความเป็ นอยใู่ นชุมชนบุพกาลโดยแท้ (หนา้ 311)

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) จ. ศาสนา, ปรชั ญา 95.พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)(พ.ศ. 2481- ). พทุ ธธรรม. พมิ พค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2514 พระไพศาล วิสาโล กล่าวไวใ้ นการวิจารณ์หนังสือพุทธธรรม (ปาจารยสาร ฉบบั เมษายน ถึงมิถุนายน 2526) ความวา่ พุทธธรรม เป็ นหนังสือเล่มเดียว ท่ีแสดงถึงหลกั ธรรมในพุทธศาสนาไดอ้ ย่างลุ่มลึก เป็ นระบบและรอบดา้ น ท่ีสุด เท่าท่ีเคยมีมาในภาษาไทย จริงอยู่แมว้ ่าก่อนหน้าน้ ีจะมีหนังสือหลาย เล่ม ที่ว่าดว้ ยหลกั ธรรมอย่างถึงแก่นอนั สะทอ้ นถึงปรีชาญาณของผูเ้ ขียน แต่ ขอ้ เขยี นเหล่าน้ัน ยากท่ีจะมคี ุณสมบตั ิสามประการครบถว้ น ดังมีอยู่ในพุทธธรรมอาจารยส์ ุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผูอ้ าราธนาใหพ้ ระเดชพระคุณท่านนิ พนธ์หนังสือ สาคญั น้ ี กล่าวในบทแนะนาพุทธธรรม (วารสารธรรมศาสตร์ ฉบบั เดือนธันวาคม 2525 ปี ท่ี 11 ฉบบั ที่ 4 ) โดยประเมินคุณค่าผลงานน้ ีทรงคุณค่าอย่างสูง คือหนังสือเล่มน้ ี อาจกล่าวไดว้ ่า เป็ น ขอ้ เขียนสาระสาคัญของคาสอนในพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาท ที่ดีท่ีสุดเท่าที่เคยมีมา ในวรรณกรรม ภาษาไทย การเขียนก็ใชภ้ าษาที่สละสลวย และมีลีลาชวนใหผ้ ูอ้ ่านติดตามอย่างยิ่ง หนังสือน้ ีแบ่ง ออกเป็ นสองภาค คือ ภาคมชั เฌนธรรม หลกั ความจริงท่ีเป็ นกลางตามธรรมชาติ เป็ นการศึกษา คน้ ควา้ อธิบายธรรมบนหลักการอริยสัจ 4 ศึกษาวิจัย และนาเสนออย่างเป็ นระบบ สะดวกต่อ การศึกษาของผูใ้ ฝ่ ใจ กระทงั่ สามารถเลือกอ่านตอนใดก่อนก็ได้ เพราะแต่ละตอนมีความสมบรู ณใ์ น ตวั ถึงผลงานน้ ีหนักแน่นดว้ ยหลกั ธรรมลึกซ้ ึง หากท่านผูน้ ิพนธส์ ามารถสื่อสารกับผูร้ บั ส่ือไดง้ ่ายข้ ึน ดงั การขยายความอริยสจั 4 และนามาวิเคราะหส์ ู่แนวทางดาเนินชีวิตบนพ้ ืนฐานการพึ่งตนเอง เกิด สนั ติสุข และสงั คมมสี นั ติภาพ

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) จ. ศาสนา, ปรชั ญา 96.พทุ ธทาสภิกขุ (พ.ศ. 2449-2536). อิทปั ปัจจยตา. พิมพค์ ร้งั แรก พุทธศกั ราช 2516 งานช้ ินเอก ที่ท่านพุทธทาสศึกษารวบรวมจากพระไตรปิ ฎก และเช่ือมรอ้ ย พุทธวจนะท่ีพระพุทธองคต์ รสั ไวใ้ นที่ต่างๆ มาเชื่อมโยงนัยเขา้ ไวเ้ ป็ นหมวดหมู่ แลว้ อธิบายใหแ้ จ่มกระจ่างเป็ นแก่นปรชั ญาของพุทธศาสนา เป็ นวิธีคิด ท่ีเป็ น วิทยาศาสตรข์ องพุทธศาสนา เป็ นหวั ใจของพุทธศาสนาและเป็ นกฎเหนือกฎท้ัง ปวง คือ หลกั ธรรมวา่ ดว้ ยอิทปั ปัจจยตา ท่านพุทธทาสทุ่มเทชีวิตจิตใจ ใหก้ ับ การศึกษาเร่ืองอิทปั ปัจจยตาเป็ นอยา่ งสงู พยายามอธิบายใหเ้ ห็นวา่ อิทปั ปัจจยตาเป็ นพุทธธรรมอนั ติมะหรือสจั ธรรมความจริงแท้ ท่ีสุดของพุทธศาสนา และเชื่อมโยงคา สอนท้ังปวง ของพระพุทธเจา้ ว่าลว้ นเป็ นไปตามหลกั ธรรม หรือกฎของอิทัปปัจจยตาท้ังส้ ิ น เหตุน้ ี หนังสือเร่ืองอิทัปปัจจยตาของพุทธทาสภิกขุ จึงอุดมดว้ ยการอธิบายหลกั ธรรม เร่ืองอิทัปปัจจยตา อย่างเป็ นกระบวนการ เป็ นวิธีคิดที่ช้ ีใหเ้ ห็นชดั ว่า หลกั อิทปั ปัจจยตาซึมซ่านอยู่ในเหตุปัจจยั แห่งการ กอ่ เกิด การดารงอยู่ การมีปฏิสมั พนั ธ์ และเส่ือมสลายของสรรพสิ่งในจกั รวาล รวมถึงเป็ นวิธีคิด ทาง ทฤษฎีวิทยาศาสตรท์ ุกสาขาดว้ ยหนังสืออิทปั ปัจจยตา มาจากการรวบรวมคาบรรยาย หรือพระธรรม เทศนาประจาวนั เสาร์ ภาคมาฆบูชา ในสวนโมกขพลารามประจาปี 2515 มารวมพิมพเ์ ป็ นเล่ม เน้ ือหาอุดมดว้ ยความรูใ้ นหลกั ธรรมพุทธศาสนามากมาย และการนาหลกั อิทปั ปัจจยตา มาอธิบาย โลก สรรพส่ิงที่เป็ นเหตุผล สะทอ้ นใหเ้ ห็นภูมิปัญญา และปรชั ญาสาคัญของพุทธศาสนาท่ีถูกลืม เลือนๆ ไป ซ่ึงพุทธทาสภิกขุไดฟ้ ้ ื นฟูมาเชิดชูไว้ เป็ นสัจธรรมสาคัญย่ิง เน้ ือหาสาระของหนังสืออิ ทปั ปัจจยตา กล่าวถึง อิทปั ปัจจยตา ในฐานะพุทธวจนะท่ีถูกมองขา้ ม ในฐานะเป็ นวิชาหรือศาสตรท์ ้งั ปวง อิทปั ปัจจยตาในฐานะที่เป็ นตวั เรา เป็ นกฎของทุกส่ิงท้งั ท่ีเป็ นนามธรรมรูปธรรม เช่ือมโยงหลกั อิ ทปั ปัจจยตาเขา้ กบั พระเจา้ ในศาสนาอื่น โดยผ่านหลกั ธรรมท่ีตรงกนั พุทธทาสภิกขุยงั เสนอมุมมองอิ ทปั ปัจจยตา ในหลกั คิดวิทยาศาสตร์ ในฐานะท่ีเป็ นวิวฒั นาการของชีวิต เป็ นกฎเหนือกฎท้งั หลาย เป็ นธรรมหรือส่ิงท้ังปวงรอบตัวมนุษย์ ในดา้ นศาสนาพุทธ อิทปั ปัจจยตามีฐานะเป็ นพระรตั นตรยั และไตรสิกขา ในฐานะเป็ นสิ่งต่อรองระหว่างศาสนา เป็ นส่ิงที่ฆราวาสตอ้ งรูแ้ ละปฏิบตั ิ เพ่ือจะไม่ตอ้ ง ตกนรกท้ังเป็ น และเป็ นฆราวาสช้นั ดี ชาวพุทธพึงใหค้ วามสาคัญของอิทัปปัจจยตา ในฐ านะเป็ น กฎแห่งกรรม สามารถใชแ้ กท้ ุกปัญหาไดท้ ันการณ์เขา้ ใจกรรมประเภทศีลธรรม และกรรมประเภท สจั ธรรม

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ฉ. ธรรมชาติ, วทิ ยาศาสตร์ 97. เจา้ พระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (ขา บุนนาค). หนังสือแสดงกิจจานุกิจ. พมิ พค์ ร้งั แรก ฉบบั พมิ พห์ ิน พ.ศ. 2408 หนังสือเล่มท่ีเป็ นองคค์ วามรู้ หรือองค์ความคิดแบบไทย ซึ่งสะทอ้ นใหเ้ ห็น วิธีคิดและโลกทัศน์ในพุทธปรัชญา ท่ีเป็ นเหตุผลนิยมอย่างเด่นชัด ได้แก่ หนังสือแสดงกิจจานุกิจ ของเจา้ พระยาทิพากรวงษ์โกษาธิบดี (ขา บุนนาค) ตาแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง สมัยรัชกาลท่ี 4 หนังสือแสดงกิจจานุ กิจน้ ี นักวิชาการบางคนยกย่องว่า เป็ นหนังสือเล่มแรกของไทยท่ีอธิบายเร่ืองราว ต่างๆ ดว้ ยหลกั วิทยาศาสตร์ โดยไดร้ บั อิทธิพลจากอารยธรรมตะวนั ตก ผสมผสานอิทธิพลของพุทธศาสนาหรืออา้ งว่า เป็ นตาราวิทยาศาสตรเ์ ล่มแรกของไทย*1 หนังสือ แสดงกิจจานุกิจ มิใช่เป็ นตาราวิทยาศาสตรล์ ว้ นๆ ดา้ นใดดา้ นหน่ึง หากเป็ นหนังสือท่ีแสดงทศั นะ หลากหลาย อีกท้งั การนาเสนอหลกั ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ก็ไมใ่ ชเ่ ป็ นกฎเกณฑท์ างวิทยาศาสตร์ ของ ตะวนั ตกลว้ นๆ หากมีท้งั ส่วนของภูมิปัญญาเดิมที่คนไทย และชาวตะวนั ออกเช่ือถือสืบต่อกนั มา ซ่ึง แสดงใหเ้ ห็นถึงเสน้ พรมแดนแห่งความรูด้ ้งั เดิม (ศาสนาความเช่ือและประสบการณ์) ของคนไทย และชาวตะวันออก เช่น อินเดีย และจีน เป็ นตน้ โดยผู้เขียนนาเสนอความรูใ้ นหลายๆ มุมมอง เชิงเปรียบเทียบเร่ืองสัณฐานของโลก ระบบสุริยะ และปรากฏการณ์ธรรมชาติอ่ืนๆ เพื่อเติมแต่ง ปัญญาใหผ้ ู้อ่านคิด และเชื่อเอาเอง อันเป็ นการนาเสนอเชิงเหตุผลนิยม ในดา้ นประวัติศาสตร์ การศึกษาของสยามประเทศ การเขียนหนังสือแสดงกิจจานุกิจข้ ึนมา มีความสาคญั ยิ่งใหญ่ นับเป็ น คร้งั ที่สอง ที่ปัญญาชนไทยลุกข้ ึนมาต่อตา้ น การครอบงาทางปัญญาของต่างชาติ ด้วยการเสนอวิธี คิดเหตุผลนิยม ในหลักธรรมพุทธศาสนา และกลา้ เสนอเสน้ พรมแดนแห่งความรูข้ องสยามหรื อ ตะวนั ออก เพื่อโตก้ ับหลักศาสนาความเชื่อของตะวนั ตก และหวงั เป็ นตาราเรียนแก่กุลบุ ตรจะได้ ประเทืองปัญญาต่อไป

ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION) ฉ. ธรรมชาติ, วทิ ยาศาสตร์ 98. คณะกรรมการแพทยห์ ลวง ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . แพทยศาสตรส์ งเคราะหฉ์ บบั สมบรู ณ.์ พิมพค์ ร้งั แรก พ.ศ. 2450 แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เป็ นตาราแพทยแ์ ผนโบราณ ฉบับหลวง มีท่ีมาจาก พระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ท่ีทรงเห็นว่าบรรดา คมั ภีรแ์ พทยแ์ ผนโบราณ และตารายาพ้ ืนบา้ นของไทย มีคุณประโยชน์ยวดยิ่งและ ไดม้ ีการศึกษา เล่าเรียน คดั ลอกต่อกนั มา ดว้ ยความเพียรพยายามในหมู่แพทย์ และผูท้ ี่นิยมสนใจ แต่ตน้ ฉบบั พระตาราหลวงท่ีไดส้ รา้ งข้ นึ และไดใ้ ชส้ ืบสายกนั มา ยาวนานก็สญู หายไปบา้ ง ทรงเห็นความจาเป็ นที่จะตอ้ งทานุบารุงให้ พระคัมภีร์แพทย์ปรากฏไว้ เป็ นหลักฐานเผยแพร่ต่อไปในกาลภายหน้า จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระชุมแพทย์หลวง เร่ิมแต่ปี พ.ศ. 2413 นาคมั ภีรแ์ พทยใ์ นที่ต่างๆ มาตรวจสอบ ชาระ ใหต้ รงกันกับฉบับด้ังเดิมจะไดเ้ ห็นว่า จุดมุ่งหมายของตารา แพทยศาสตร์สงเคราะห์ เม่ือ พิจารณาจากพระราชปรารภน้ัน มิไดม้ ีบทบาทเป็ นตาราแพทย์ เฉพาะใหแ้ พทยใ์ ช้ และก็มิไดเ้ ป็ น เพียงตาราแพทยท์ ี่ใชเ้ รียนในราชแพทยาลยั เท่าน้ัน หากยงั เป็ นตาราแพทยป์ ระจาบา้ น สาหรบั สามญั ชนทวั่ ไป ไวใ้ ชช้ ่วยตนเอง และครอบครวั ดว้ ยแพทยศาสตร์สงเคราะห์ นอกจากจะอุดมสมบูรณ์ดว้ ย องคค์ วามรู้ อนั เป็ นภมู ิปัญญาตะวนั ออก และภูมิปัญญาไทย ดา้ นเวชศาสตร์ และสมุนไพรไทยแลว้ ยงั เป็ นหนังสือที่แฝงฝังไวด้ ว้ ยปรชั ญาท่ีมีคุณค่า โดยเฉพาะภาคนาว่าดว้ ย ฉนั ทศาสตร์ ซึ่งเรียบเรียงข้ ึน จาก คัมภีร์ฉันทศาสตร์โบราณ โดยพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ผูว้ ่าราชการเมืองจันทบุรีน้ัน ได้ สะทอ้ นใหเ้ ห็นโลกทศั น์ วิถีชีวติ คนไทย และมรรคปฏิบตั ิอนั ควรของผูไ้ ดช้ ื่อวา่ แพทย์ อยา่ งน่าสนใจย่ิง แพทยศาสตรส์ งเคราะหโ์ ดยองคร์ วม จึงเป็ นท้งั หนังสือแสดงองคค์ วามรูแ้ ห่งภูมิปัญญาไทย อนั มีค่า อเนกอนันต์ และเป็ นท้งั หลกั ปักเขตประกาศภูมิปัญญาไทย และภูมิปัญญาตะวนั ออก ด้านการแพทย์ แผนไทย และสมุนไพรไทย