Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือรายวิชาพื้นฐาน (สุขศึกษา) ระดับประถมศึกษา 1-6

หนังสือรายวิชาพื้นฐาน (สุขศึกษา) ระดับประถมศึกษา 1-6

Published by Chokchai DONGKAEW, 2023-07-26 08:16:37

Description: หนังสือรายวิชาพื้นฐาน (สุขศึกษา) เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ (Communicable and Non- Communicable Diseases)
กนกวรรณ เหลืองน้ำเพ็ชร ตำแหน่งอาจารย์ชำนาญการ สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา พ.ศ. 2566

Search

Read the Text Version

93 4. อาหารการกนิ เนื่องจากปัจจุบันนัน้ วธิ ีการทานอาหารท่ีเปลยี่ นไป โดยพฤตกิ รรมการทาน อาหารทไี่ ม่มีประโยชน์ ซึ่งเต็มไปด้วยแป้งและไขมัน อีกทั้งรวมไปถงึ เครื่องดม่ื แต่ละชนดิ ท่มี นี ำ้ ตาลมาก เกินกวา่ ที่ร่างกายจะสามารถขจัดให้หมดไปจากรา่ งกายไดใ้ น 1 วนั 5. การออกกำลงั น้อยผคู้ นในยคุ นมี้ ีการขยบั ตัวกันน้อยจนเกนิ ไป จนร่างกายมปี ระสิทธภิ าพใน การขจดั นำ้ ตาลไดน้ ้อย เนื่องจากมกี จิ กรรมทางกายนอ้ ยจนเกนิ ไป จงึ ทำให้นำ้ ตาลถูกสะสมในเลือดได้ ง่าย อาการของโรคเบาหวาน ส่วนใหญ่แล้วหากไม่สังเกตให้ดีจะไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังเป็น โรคเบาหวานอยู่ ซึ่งเมื่อมารู้อีกที อาการก็เริ่มรุนแรงจนยากจะรักษาให้ดีข้ึนได้ในเวลารวดเร็ว ดังน้ันจึงควรศึกษาเก่ียวกับอาการของโรคเบาหวานและหม่ันสังเกตตัวเองบ่อยๆ ว่ามีภาวะเส่ียง หรือไม่ โดยสามารถสังเกตได้จากอาการดังต่อไป 1. ปัสสาวะบอ่ ยกวา่ ปกตอิ าการเรม่ิ แรกของโรคเบาหวาน ผู้ปว่ ยจะเรมิ่ มีอาการปวดปัสสาวะ บอ่ ยอยา่ งที่ไม่เคยเปน็ มากอ่ น โดยเฉพาะช่วงกลางคืน แตท่ ัง้ น้ี อาการปวดปสั สาวะบอ่ ยน้นั อาจเกิดจาก หลายสาเหตุ จงึ แนะนำให้สงั เกตดวู า่ หลงั จากปัสสาวะทิง้ ไว้ มมี ดมาตอมหรือไม่ ถ้ามีควรรีบพบแพทย์ โดยด่วน 2. กระหายนำ้ บอ่ ยๆเม่ือเปน็ เบาหวาน รา่ งกายจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ ผปู้ ่วยจงึ มักมี อาการกระหายนำ้ บ่อยๆ และมกั จะดม่ื น้ำครั้งละมากๆ ซง่ึ น่ีก็เป็นอกี เหตผุ ลหน่ึงที่ทำให้ปัสสาวะบ่อย ดว้ ยน่ันเอง 3. เหนอื่ ยและอ่อนเพลียงา่ ยผ้ปู ว่ ยจะมอี าการเหนื่อย ออ่ นเพลยี และอาจมีอาการเบื่ออาหาร รว่ มดว้ ย นอกจากน้ี ยงั อาจมีอาการข้างเคยี งตา่ งๆ ตามมาเชน่ ตาพรา่ มัว ชาตามมอื ตามเท้าและเสยี่ ง ตอ่ อาการแทรกซ้อนสูงมาก 4. แผลหายชา้ หลายคนรดู้ อี ยแู่ ล้ววา่ ผู้ท่เี ป็นเบาหวาน เมื่อมแี ผล แผลยอ่ มหายช้ากวา่ ปกติ อกี ทง้ั ยังอาจลุกลามหนักขึน้ จากแผลเล็กๆ จะกลายเปน็ แผลท่ีมีขนาดใหญ่และยังเส่ียงต่อโรคแทรกซ้อน หรอื เกดิ การตดิ เชื้อได้ง่ายขึ้นด้วย

94 ภาพท่ี 16 การเกิดความผิดปกติสาเหตุของเบาหวานข้นึ ตา เบาหวานขึ้นตาสาเหตุของเบาหวานขึ้นตาคือการเกิดความปิดปกติ ของหลอดเลือด ในดวงตาโป่งพอง จึงทำให้เกิดเลือด และน้ำเหลืองซึมออกมาจากหลอดเลือดบริเวณนั้น หากไม่ทำการรักษาจะทำให้จอตาขาดเลือดไปเล้ียง เนื่องจากปริมาณน้ำเหลองและเลือดที่ ซึมออกมามากเกินไป ปล่อยไว้นานๆ อาจทำให้เซลล์รับรู้ในจอตาพังทลายลดลง ส่งผลให้ มองเห็นได้ไม่ชัด โรคจอตาเสื่อม มักเกิดในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานเรื้อรัง โดยการป้องกันคือ การควบคุมการบริโภคน้ำตาลอย่างเคร่งครัด และปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาเป็นระยะๆ การ คุมอาหาร การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม สามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของ โรคนี้ได้ วิธีป้องกันโรคเบาหวาน การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคเบาหวานนั้น ไม่ใช่เร่ืองยาก แค่เร่ิม จากการป้องกันที่ตน้ เหตุก็สามารถลดความเส่ียงต่อการเกดิ โรคเบาหวานไดม้ ากข้นึ แล้ว สำหรับวิธีการ ป้องกนั คณุ สามารถปฏบิ ตั ิตามไดง้ ่ายๆ ดังนี้ 1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหากไม่อยากใหโ้ รคเบาหวานถามหาก็ควรหมั่นออกกำลังกาย ประจำ และควรออกกำลงั กายอย่างต่อเน่ืองให้ไดอ้ ย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ท้ังนกี้ ็ เพือ่ ให้แป้งและน้ำตาลท่ีสะสมอยู่ในกล้ามเนอื้ ถูกดึงออกไปใชเ้ ปน็ พลังงาน ซ่ึงก็จะทำให้ระดับแปง้ และ นำ้ ตาลลดลงตามความเหมาะสมไปด้วย 2. ควบคุมน้ำหนักให้คงท่ีสำหรับคนท่ีมีหุ่นดีอยู่แล้วก็ควรควบคุมน้ำหนักให้คงท่ีต่อไป โดย พยายามอยา่ ให้น้ำหนักเกินเกณฑ์หรอื หากใครที่เป็นโรคอ้วนก็ควรรีบลดน้ำหนักโดยด่วน ท้ังน้ีก็เพราะ จากการวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินล้วนมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงถึง 80% เลยทีเดียว และ แน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่าน้ัน เพราะฉะนั้น การควบคุมน้ำหนักจึงถือเป็นส่ิงท่ี สำคญั ท่สี ดุ

95 3. รับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าหรือเย็นเพราะแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าและตอนเย็นนั้น จะ อุดมไปด้วยวิตามิน D ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินดีไม่เพียงแต่จะบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปล่ัง มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานอีกด้วย เพราะการขาดวิตามินดีจะทำให้มีโอกาสเป็น เบาหวานได้สูง การเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอ จึงเป็นตัวช่วยท่ีดีที่สุด แต่ทั้งน้ีหากออกกำลังกายไป พร้อมๆ กนั ดว้ ยกจ็ ะยงิ่ ดมี าก 4. รับประทานขา้ วกล้องแทนขา้ วขาว ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่อดุ มไปด้วยวิตามินและสารอาหาร ต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย และที่สำคัญข้าวกล้องยังช่วยลดความเส่ียงในการเกิด โรคเบาหวานได้ดี ดังน้ัน จึงควรรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาวทั่วไป หรือจะหุงรวมกับข้าวขาว ด้วยกไ็ ด้ 5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำลายตับให้เส่ือมสภาพลงและเสี่ยง ต่อภาวะตับแขง็ ซง่ึ เม่อื ตบั ออ่ นเกดิ ความผดิ ปกติก็จะทำให้ผลติ อินซลู นิ ไดน้ ้อยลง สง่ ผลให้เกดิ การสะสม นำ้ ตาลในร่างกายและในเสน้ เลือดเป็นจำนวนมาก กระท่ังเสี่ยงเปน็ โรคเบาหวานในท่ีสดุ 6. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การรับประทานอาหารใหค้ รบ 5 หม่จู ะทำให้รา่ งกายได้รับ สารอาหารและวิตามนิ อย่างเพียงพอ ส่งผลให้ทุกส่วนในร่างกายมีความแข็งแรงสมบรู ณ์มากขึ้น จึงลด ความเสยี่ งเบาหวานได้ดีน่ันเอง แตท่ ้งั นี้ควรเนน้ เมนผู กั ผลไม้ใหม้ ากๆ พร้อมทัง้ ลดคารโ์ บไฮเดตจากแป้ง และไขมันให้น้อยลง เพราะการได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ก็ทำให้เส่ียงต่อการเกิด เบาหวานได้เชน่ กนั แนวทางการรกั ษาโรคเบาหวานจริงอยู่ที่โรคเบาหวานเปน็ โรคทีไ่ มม่ ีวธิ ีรักษาใหห้ ายขาดได้ แต่ เราก็สามารถควบคุมความรุนแรงของโรคให้อยู่ในระดับที่คงที่และบรรเทาเบาลงได้เช่นเดียวกัน โดย แนวทางในการรักษาน้ันจะมีอยู่ 2 วิธใี หญ่ๆ ซึ่งกค็ ือการรกั ษาด้วยยาแพทย์แผนปัจจุบันและการรักษา ดว้ ยธรรมชาตบิ ำบัด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันการรักษาโรคเบาหวานด้วยวิธีทาง แพทย์แผนปัจจุบันนั้น ในเบ้ืองต้นแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ท้ังนี้ก็ขึ้นอย่กู ับอาการ ความรุนแรงของโรคและการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย โดยการรับประทานยาหรือ การฉีดอินซูลินนน้ั ผูป้ ว่ ยจะตอ้ งปฎบิ ัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดต่อเนอ่ื ง ส่วนใหญแ่ ล้วผทู้ ี่ มีอาการรุนแรงมากขึ้น ก็เนื่องจากการไม่ปฎิบัติตามแพทย์ส่ัง และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ ชีวติ ประจำวันใหม่นน่ั เอง 2. วิธีรักษาโรคเบาหวานตามแนวทางธรรมชาติบำบัดการรักษาโรคเบาหวานด้วยธรรมชาติ บำบัดน้ันเป็นวิธีแบบค่อยเป็นคอยไป และเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรก หรือผู้ท่ีมีอาการไม่ รนุ แรงมากนัก โดยวธิ ีธรรมชาติบำบัดน้ันจะชว่ ยบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และหากทำ

96 ควบคู่กับการรับประทานยาหรือการฉีดอินซูลินด้วยแล้วก็จะยิ่งได้ผลดีมากทีเดียว สำหรับวิธีรักษาก็มี ดว้ ยกนั ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1. ควบคุมเมนูอาหาร ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมอื นกับคนปกติ ทั่วไป ซึ่งจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามและเลือกเสริมด้วยอาหารท่ีมีประโยชน์ เพ่ือป้องกันไม่ให้ รา่ งกายขาดสารอาหาร รวมทั้งเลอื กรับประทานอาหารท่ีมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย อย่างเช่น ตำลึง มะระขี้นก และอบเชย เป็นต้น ซึ่งหากสามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้ดังนี้ อาการป่วยเบาหวานกจ็ ะบรรเทาลงอยา่ งแน่นอน 2.2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกาย ถือเป็นทางเลือกหน่ึงในการรักษา เบาหวานด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด เพราะเบาหวานเกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดทีส่ ูงเกินไป เราจึง ต้องรักษาอาการด้วยการลดปริมาณน้ำตาลในเลือดให้ได้ ซ่ึงก็สามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกาย เพือ่ ให้มีการดงึ เอานำ้ ตาลออกมาใชเ้ ป็นพลงั งานมากข้ึนนัน่ เอง 2.3. ทำจิตใจใหผ้ ่อนคลาย ความกลัว ความกังวลและความเครียด อาจทำให้ภาวะนำ้ ตาลใน เลือดพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น จึงควรทำจิตใจให้ผ่อนคลายเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ นอกจากนี้ การทำใจให้ผ่อนคลายอยเู่ สมอยังทำให้เรามีความสุขมากยง่ิ ขึ้นแม้จะเป็นโรคเบาหวานหรือ โรคใดกต็ าม แต่พ้ืนฐานจิตใจท่ีดยี อ่ มชว่ ยยกระดบั การมีคุณภาพชวี ิตให้ดีขนึ้ ไดอ้ ย่างงา่ ยๆ การดูแลตัวเอง เม่ือเป็นโรคเบาหวานอย่างที่เรารกู้ ันดีวา่ คนท่ีป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นตอ้ งมี การดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอยา่ งอื่นข้ึนมาอีก ซึ่งวิธีการดูแลตัวเองของผู้ป่วย โรคเบาหวาน เน้นรับประทานอาหารจำพวกผัก หรือผลไม้ให้มากข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิงผัก เพราะจะ ชว่ ยในเรอื่ งของการขับถา่ ยได้เป็นอย่างดี หากผูป้ ่วยเป็นคนท่ีมีน้ำหนักเกิน หรอื มีภาวะโรคอว้ นรว่ มด้วย แนะนำว่าให้ลดปรมิ าณอาหารลงเหลือเพียงคร่ึงเดียวของท่ีเคยกินในแต่ละม้ือ เพื่อช่วยในการควบคุม น้ำตาล อย่าอดอาหาร เพราะการอดอาหาร หรือทานอาหารน้อยเกินไป จะทำให้ระดับนำ้ ตาลในเลือด ไม่คงที่ และวัดระดับน้ำตาลได้ยากมากขึ้น ระวังอย่าให้เป็นแผล เพราะคนเปน็ โรคเบาหวานมักจะแผล หายชา้ และอาจจะกอ่ ใหเ้ กิดการตดิ เชอ้ื จนตอ้ งตดั อวัยวะทเี่ ป็นแผลทิง้ เพื่อรักษาอาการในส่วนอ่ืน

97 โรคมะเร็ง ภาพท่ี 17 โรคซงึ่ เกดิ มเี ซลล์ผิดปกตขิ น้ึ ในรา่ งกาย (ที่มา: http://beezab.com) โรคมะเร็ง คือ โรคซึ่งเกิดมีเซลล์ผิดปกติขึ้นในร่างกาย และเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบ โต รวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ ดงั นน้ั เซลลเ์ หลา่ นี้ จงึ เจรญิ ลกุ ลามและแพรก่ ระจายไดท้ ัว่ ร่างกาย ส่งผลใหเ้ ซลล์ปกติของเน้อื เยื่อ/อวยั วะต่างๆทำงานไมไ่ ด้ จึงเกดิ เปน็ โรค และมีอาการต่างๆข้ึน และเมื่อ เป็นมะเร็งของอวัยวะสำคัญ หรอื มะเร็งแพร่กระจายเข้าอวัยวะสำคัญ อวัยวะเหล่าน้ันจงึ ล้มเหลว ไม่ สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก และไข กระดกู มะเร็งคอื กล่มุ ของโรคหลายอยา่ ง พบวา่ มีลักษณะรว่ มกัน มีการเจริญของเซลลท์ ี่ผิดปกติ และมี ความสามารถท่จี ะรุกล้ำ และแพรก่ ระจายไปยังส่วนอ่นื ของร่างกายได้จัดเป็นชนดิ หน่ึงของเนื้องอก เน้ือ งอกหมายถงึ กลุ่มของเซลล์ที่มีการเจริญอย่างไม่มีการควบคมุ มักเกิดเป็นก้อน แต่กอ็ าจเกดิ เปน็ ลักษณะ แผ่กวา้ งได้ ปัจจุบันเซลล์ท่ีจะนับวา่ เป็นเซลล์มะเร็ง จะมีลักษณะเฉพาะของความเป็นมะเร็ง สง่ิ เหลา่ นเี้ ป็น ลกั ษณะท่ีจำเป็น ในการดำเนินโรคของมะเร็ง เพิ่มการเจรญิ ของเซลล์ ด้วยการแบ่งเซลลไ์ ดโ้ ดยไมต่ ้องมี สัญญาณกระตุ้น มีการเจริญของเซลล์และการแบ่งเซลล์ได้แม้จะมีสัญญาณยับย้ัง ไม่มีกลไกหลีกเลี่ยง การทำให้เซลล์ตาย มคี วามสามารถที่จะแบง่ เซลล์ได้โดยไม่มีจำนวนจำกัด มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ มี การรกุ รานเนอื้ เยอ่ื ข้างเคยี ง และมีความสามารถที่จะแพร่กระจายไปยังตำแหน่งห่างไกลได้การที่เซลล์ ปกติ จะกลายเป็นเซลล์ท่ีเพ่ิมจำนวนจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งเต็มขั้นนั้นมี ขนั้ ตอนหลายข้ันตอน ขัน้ ตอนเหลา่ นเ้ี รยี กวา่ การพฒั นาของมะเร็ง มะเร็ง หรือทางการแพทย์ว่า เนื้องอกร้าย (อังกฤษ: malignant tumor) เป็นกลุ่มของโรคท่ี เกย่ี วข้องกับการเจริญเตบิ โตของเซลล์ท่ผี ิดปกติ คอื เซลล์จะแบง่ ตวั และเจรญิ อยา่ งควบคุมไม่ได้ กอ่ เป็น เน้ืองอกร้าย และมีศักยภาพในการรุกรานร่างกายส่วนข้างเคียง มะเร็งอาจแพร่กระจายไปยังร่างกาย

98 สว่ นที่อยู่ห่างไกลได้ผา่ นระบบน้ำเหลอื งหรือกระแสเลือด แต่ไม่ใช่เนอ้ื งอกทุกชนิดจะเปน็ มะเร็ง เพราะ เนื้องอกไม่รา้ ยจะไม่ลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงและไม่กระจายไปท่ัวรา่ งกายอาการและอาการแสดง ของโรคมะเร็งท่ีเป็นไปได้รวมถึง:.. มีกอ้ นเนื้อเกดิ ใหม่, มีเลือดออกผิดปกติ, มีการไอเป็นเวลานาน, การ สญู เสียนำ้ หนักที่อธบิ ายไมไ่ ด้, และการเปลย่ี นแปลงในการขับถา่ ยของลำไส้และอนื่ ๆแต่อาการเหลา่ น้ี อาจเกิดขึน้ เนอ่ื งจากปัญหาอ่ืน ๆไดเ้ ช่นกนั มมี ะเร็งทส่ี ่งผลตอ่ มนษุ ยท์ ีท่ ราบแลว้ กวา่ 100 ชนิด สาเหตุเกดิ มะเร็งนน้ั มีหลากหลาย ซับซอ้ น เขา้ ใจเพยี งบางส่วนเท่าน้ัน หลายปัจจยั ท่ีทราบแล้ว ว่าเพ่ิมปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง ตัวอย่าง การสูบบุหรี่ (อัตราการตาย 22%) ผลด้านอาหาร การขาดกิจกรรม การออกกำลังกาย โรคอ้วน การบริโภคแอลกอฮอล์ (อัตราการตายรวมกัน 10%) นอกน้ันเป็นการติด เช้ือบางอย่าง การสัมผัสรังสี และมลภาวะส่ิงแวดล้อม ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เกือบ 20% เกิด โรคมะเร็งจากการติดเชื้อเช่นโรคตับอักเสบของไวรัสชนิด B ชนิด C และ human papillomavirus. โดยท่ัวไปก่อนที่มะเร็งจะพ้ฒนาขึ้น การเปล่ียนแปลงหลายอย่างของยีนจะเกิดขึ้นก่อน ประมาณ 5– 10% ของมะเร็งเกิดจากการตดิ เชือ้ มาจากพันธกุ รรมที่ถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ ปัจจัยเหล่านสี้ ามารถ ทำให้ยีนเสียหายโดยตรง หรอื อาจประกอบกับความบกพร่องทางพันธุกรรมท่มี ีอยู่เดิมในเซลลก์ ่อใหเ้ กิด การกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้ มะเร็งราว 5–10% ไปติดตามยังความบกพร่องทางพันธุกรรมแต่เกิด โดยตรงมะเร็งสามารถตรวจพบได้หลายวธิ ี รวมทั้ง เกิดอาการและอาการแสดงบางอย่าง การตรวจคัด กรองโรค จากน้ัน จะต้องทำการสรา้ งภาพทางการแพทย์ เม่ือตรวจพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งแล้ว จะมี การวนิ ิจฉยั เพอื่ ยืนยนั โดยการตรวจตวั อย่างชนิ้ เนือ้ (องั กฤษ: biopsy) มะเรง็ หลายบางประเภทสามารถป้องกันได้โดยการไม่สูบบุหร่ี, รักษาน้ำหนักตัว มีสุขภาพที่ดี ไม่ด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป รับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ ธัญพืชมากๆ ฉีดวัคซีน ป้องกันโรคติดเช้ือบางอย่าง ไม่กินเน้ือแดงมากเกินไป และหลีกเลีย่ งการสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป การตรวจพบแตเ่ นิ่นๆผา่ นการตรวจคดั กรองจะเปน็ ประโยชน์ กบั โรคมะเร็งปากมดลกู ส่วนมะเร็งลำไส้ ใหญ่ประโยชน์ ในการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งต้านมยังมีความขดั แย้ง ในโรคมะเร็งมักจะได้รบั การ รักษาผสมของการรักษาด้วยรังสีบางอย่าง การผ่าตัด การรักษาด้วยเคมีบำบัด การรักษาด้วยการ กำหนดเป้าหมาย การจัดการกับการปวดและอาการอ่ืนเป็นส่วนสำคัญของการดูแล แบบ ประคับประคองเป็นส่ิงสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยท่ีโรคมีการพัฒนาไปมาก โอกาสของการอยู่ รอดข้ึนอยู่กบั ชนิดของโรคมะเรง็ และระยะของโรคในช่วงเรม่ิ ต้นของการรักษา ในเด็กอายุต่ำกวา่ 15 ท่ี วนิ จิ ฉัยอตั ราการรอดตายในช่วง 5 ปี ในโลกทพ่ี ฒั นาแล้วโดยเฉล่ียอยู่ที่ 80% สำหรับโรคมะเรง็ ในประเทศสหรัฐอเมริกาอัตราการรอดตาย 5 ปี เฉลย่ี อยทู่ ี่ 66% ในปี 2012 มมี ะเร็งรายใหม่เกิดขึ้นท่วั โลกประมาณ 14,100,000 ราย (ไม่รวมโรคมะเร็งผิวหนังอื่นทไ่ี ม่ใชเ่ น้อื งอก) มนั จะทำให้เกิดการเสียชีวิต 8,200,000 รายหรือ 14.6% ในการเสียชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด ชนิดท่ีพบ บ่อยท่ีสุดของโรคมะเร็ง ในเพศชายเป็นมะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็ง กระเพาะอาหาร ในเพศหญิงชนิดที่พบมากท่ีสุด ได้แก่มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด และ มะเร็งปากมดลูก หากมะเร็งผิวหนังอ่ืนท่ีไม่ใช่เน้ืองอกถูกรวมอยู่ใน มะเร็งใหม่ทั้งหมด ส่วนแต่ละปี

99 มะเร็งดังกล่าวจะคิดเป็นประมาณ 40% สำหรับผู้ป่วยในเด็กโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบ lymphoblastic เฉียบพลัน เนื้องอกในสมอง โรคสว่ นใหญ่ร่วมกันยกเวน้ ในทวีปแอฟริกาท่ีมะเร็งต่อม น้ำเหลืองชนิดแพร่กระจายเร็วเกิดข้ึนบ่อย ในปี 2012 เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีประมาณ 165,000 คน ได้รับการวินิจฉัยว่า หน้าเป็นมะเร็ง ความเส่ียงของการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเน่ือง ตามอายุ มะเร็งหลายชนิดเกิดข้ึนได้ท่ัวไปในประเทศท่ีพัฒนาแล้ว อัตราเสี่ยงจะเพ่มิ ขึ้นเมื่อประชาชนมีชีวิตมาก ขนึ้ และวถิ ีชีวติ มีการเปลย่ี นแปลงในประเทศกำลังพฒั นา ต้นทนุ ทางการเงนิ ของโรคมะเร็งอย่ทู ่ปี ระมาณ 1.16 ลา้ นล้านต่อปใี นปี 2010 อาการและอาการแสดงอาการที่เกิดจากการแพร่กระจายของโรคมะเร็งขน้ึ อยกู่ ับตำแหน่งของ เนื้องอกตามรูปที่สมองปวดศีรษะ ชัก หัวหมุน ที่ทางเดินหายใจ ไอเป็นเลือด หายใจลำบาก ที่ต่อม น้ำเหลือง การอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลือง ท่ีตับโต ดีซ่าน ท่ีกระดุกสันหลังเจ็บปวด กระดูก แตกหัก การกดทับกระดูกสันหลังในระยะเริ่มต้นของมะเร็งผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการ ต่อเม่ือขนาดของ ก้อนเริ่มโตข้ึนหรือเร่ิมเกิดเป็นแผลจึงอาจจะมีอาการหรืออาการแสดงได้ ข้ึนอยู่กับชนิดและตำแหน่ง ของมะเร็ง อาการส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่มีความจำเพาะ สามารถพบได้บ่อยในภาวะอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง จงึ ถอื ได้ว่ามะเร็งเป็นโรคนักเลยี นแบบอย่างหนึ่ง ผ้ปู ่วยมะเรง็ สว่ นใหญจ่ ึงมกั ได้รบั การรักษาภาวะอื่นมา ระยะหนง่ึ ก่อน กอ่ นทจี่ ะได้รบั การวนิ จิ ฉัยวา่ เป็นมะเรง็ ม ะ เร็ ง ส า ม า ร ถ แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย จ า ก จุ ด ก ำ เนิ ด เดิ ม ข อ ง มั น โด ย ก า ร แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย เฉ พ า ะ ที่ การแพร่กระจายผ่านทางน้ำเหลืองไปยังต่อมน้ำเหลืองในภมู ิภาคหรือผ่านทางเลอื ด (การแพร่กระจาย แบบ haematogenous) ไปยังเนื้อเย่ืออื่นท่ีไกล ในการแพร่กระจายทั้งหมดนี้เรียกว่า metastasis ส่วนมะเร็งแพร่กระจายไปตามเส้นทาง haematogenous มันก็มักจะแพร่กระจายไปท่ัวร่างกาย อย่างไรก็ตาม 'เมล็ดพันธุ์' มะเร็งจะเจริญเติบโตได้ดีใน 'ดิน' บางจุดที่เลือกโดยเฉพาะ เป็นสมมติฐาน ของการแพร่กระจายโรคมะเร็งในรปู ของ 'ดนิ และเมล็ดพันธ์' โดยอาการของการเกิดโรคมะเร็งในระยะ แพร่กระจายขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเนื้องอกและอาจรวมถึงต่อมน้ำเหลืองโต (สามารถรู้สึกได้หรือ บางคร้ังกเ็ ห็นได้ใตผ้ ิวหนงั และมกั จะแข็ง), ตับโต มา้ มโตซึง่ สามารถรสู้ กึ ได้ในชอ่ งท้อง, รสู้ ึกเจ็บปวดดว้ ย เศษหกั ของกระดกู ส่วนอาการทางระบบประสาท สาเหตุของการเกดิ โรคมะเร็ง90-95% สาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งเนื่องมาจากปจั จยั ดา้ น สิง่ แวดล้อม ส่วนที่เหลืออีก 5-10% เนื่องมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม คำว่า \"สิ่งแวดล้อม\" ท่ีใช้ โดยนักวิจัยโรคมะเร็งหมายถึงสาเหตุใดๆท่ีไม่ได้มาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเช่นวิถีการดำเนิน ชีวิต, ปจั จัยทางเศรษฐกิจและพฤติกรรม, และไมใ่ ช่แค่มลพิษปัจจัยแวดล้อมท่ี เจอบอ่ ยทีน่ ำไปสู่การเสีย ชีวดิ ของโรคมะเร็ง มี ยาสูบ (25-30%) อาหารกับโรคอว้ น (30-35%), การติดเช้ือมาก (15-20%), ด้วย การสัมผัสกับรังสี (โอโซนและไม่โอโซน 10%) ความเครียด, ขาดการออกกำลังกาย, และมลพิษ สงิ่ แวดล้อม

100 มนั แทบจะเป็นไปไม่ไดท้ ี่จะพิสูจน์ว่าส่ิงอะไรทำให้เกิดโรคมะเร็งในบุคคลหน่ึง ๆ เพราะมะเร็ง สว่ นใหญ่มีสาเหตุหลายอยา่ งจนคิดไมถ่ ึง เช่นถ้าคนท่ีใช้ยาสูบอย่างหนักจนพัฒนาเป็นโรคมะเรง็ ที่ปอด ส่วนสาเหตุก็อาจมาจากการใช้ยาสูบ แต่จากทุกคนมีโอกาสเล็กน้อยท่ีพัฒนาโรคมะเร็งปอดโดยเป็นผล มาจากมลพิษทางอากาศ และการฉายรังสี จะมีโอกาสเล็กน้อยท่ี โรคมะเร็งจะได้รับการพัฒนาเพราะ มลพษิ ทางอากาศ และการฉายรังสี ยกเว้นการติดต่อที่หายากที่เกิดขน้ึ กบั การต้งั ครรภ์ มีเพียงเล็กน้อย จากการบริจาคอวัยวะ มะเร็งโดยทว่ั ไปจะไม่เป็นโรคทตี่ ิดตอ่ ถ่ายทอดได้ การสัมผัสกับสารบางอย่างมีการเช่ือมโยงกับบางชนิดของโรคมะเร็ง สารเหล่าน้ีจะเรียกว่า \"สารก่อมะเรง็ \" (องั กฤษ: carcinogens) ยกตวั อย่าง การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคมะเรง็ ปอดถึง 90% นอกจากนีย้ ังเปน็ สาเหตขุ องโรคมะเรง็ ในกล่องเสยี ง ในศีรษะ ในลำคอ ในกระเพาะอาหาร ในกระเพาะ ปัสสาวะ ในไต ในหลอดอาหาร และในตับอ่อนควันของยาสูบมีสารก่อมะเร็งที่รู้จักกันมากกว่าห้าสิบ อยา่ ง รวมทง้ั ไนโตรซามีน และ polycyclic aromatic hydrocarbon ยาสูบรบั ผิดชอบหน่งึ ในสามของ ทั้งหมดที่เสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศท่ีพัฒนาแล้ว และประมาณหนึ่งในห้าทั่วโลกอัตราการตายด้วย โรคมะเร็งปอดในประเทศสหรฐั อเมริกาเปน็ ภาพสะท้อนของการสูบบุหร่ี ทมี่ กี ารเพิม่ ขึ้นของการสบู บหุ ร่ี ตามด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างมากของอัตราการตายเนื่องจากมะเร็งปอดและเมื่อเร็ว ๆ น้ีการลดลงของ อัตราการสูบบหุ รม่ี าตงั้ แต่ปี 1950 ตามด้วยการลดลงของอัตราการตายเน่ืองจากโรคมะเร็งปอดในผู้ชาย ต้ังแตป่ ี 1990 ในยุโรปตะวันตก 10% ของมะเรง็ ในเพศชายและ 3% ของมะเร็งท้งั หมดในเพศหญิงจะมี สาเหตุมาจากการดื่มสุรา โดยเฉพาะอย่างย่ิงมะเร็งตับและมะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งท่ีเกี่ยวข้องกับ การสัมผัสสารเคมีขณะทำงานเช่ือว่าจะเป็นสาเหตุระหว่าง 2-20% ของทุกกรณี ในทุกๆปี อย่างน้อย 200,000 คนทัว่ โลกเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับสถานท่ีทำงานของพวกเขา คนงานหลายล้านมี ความเส่ียงของการพัฒนาสู่โรคมะเร็งเชน่ โรคมะเร็งปอดและโรคจากการสูดดมควันบุหรี่หรือ เสน้ ใยแร่ ใยหินในระหว่างการทำงานหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจากการสัมผัสกับสารเบนซีนท่ีสถานท่ีทำงาน ของพวกเขา อาหารกับโรคมะเร็งอาหาร การไม่ออกกำลังกาย และโรคอ้วนเก่ียวข้องกับการเสียชีวิตจาก มะเร็งได้ถึง 30-35% ของในสหรัฐอเมริกาน้ำหนักตัวเกินเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาของ โรคมะเร็งหลายชนิดและเปน็ ปัจจัยใน 14-20% ของการเสยี ชีวติ จากมะเรง็ ทัง้ หมด การศกึ ษาในสหราช อาณาจกั รรวมทั้งข้อมลู เกี่ยวกบั กวา่ 5 ล้านคนแสดงให้เห็นว่าดัชนีมวลกายที่สูงขนึ้ จะเกี่ยวข้องกับอย่าง นอ้ ย 10 ชนดิ ของโรคมะเร็งและมีความรบั ผิดชอบประมาณ 12,000 กรณีในแต่ละปใี นประเทศน้ัน การ ไม่ออกกำลังกายเช่ือวา่ จะนำไปสู่ความเส่ียงโรคมะเร็ง ไมเ่ พียงแต่ผ่านทางผลกระทบต่อน้ำหนักตัว แต่ ยงั ผ่านผลกระทบด้านลบต่อระบบภูมคิ ุ้มกันและระบบต่อมไร้ท่อ มากกว่าคร่ึงหนึ่งของผลกระทบจาก การรบั ประทานอาหารเกิดจากการมีภาวะโภชนาการเกิน (การรบั ประทานอาหารมากเกินไป) มากกว่า จากการกินผักนอ้ ยเกินไปหรืออาหารทดี่ ตี อ่ สขุ ภาพอืน่ ๆ

101 อาหารบางอย่างจะเช่ือมโยงกับการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด อาหารท่ีมีเกลือสูงเชื่อมโยงกับ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร 'อะฟลาท็อกซินบี 1 สารปนเปื้อนอาหารท่ีพบบ่อยประเภทหนึ่งทำให้เกิด โรคมะเร็งตับ การเคี้ยวพลถู ั่ว (องั กฤษ: Betel nut) ทำให้เกิดโรคมะเรง็ ในช่องปากความแตกตา่ งในการ รบั ประทานอาหารส่วนหน่ึงอาจอธิบายความแตกต่างในการเกิดมะเร็งในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจะพบมากในประเทศญ่ีปุ่นเนื่องจากอาหารมีเกลือสูง[และ มะเร็งลำไสใ้ หญ่จะพบมากในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้อพยพเขา้ เมืองพัฒนาความเส่ียงของประเทศใหม่ ของพวกเขาภายในหนึ่งเจนเนอเรช่ัน แนะนำการเชื่อมโยงท่ีสำคัญระหว่างการรับประทานอาหารและ โรคมะเรง็ สาเหตกุ ารติดเชื้อของโรคมะเร็งทวั่ โลกประมาณ 18% ของการเสยี ชีวิตจากโรคมะเรง็ เก่ียวข้อง กับโรคติดเช้ือ สัดส่วนนี้แตกต่างกันไปในภูมิภาคต่างๆของโลกจากท่ีสูง 25% ในทวีปแอฟริกาจนถึง นอ้ ยกว่า 10% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไวรัสเป็นเชอ้ื โรคปกติของการตดิ เชื้อท่ีก่อให้เกดิ โรคมะเรง็ แต่ แบคทีเรียและปรสิตยังอาจสร้างผลกระทบกับโรคมะเร็งได้เช่นกั นไวรัสที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ เรยี กว่า oncovirus ซ่ึงรวมถงึ humam papillomavirus (มะเรง็ ปากมดลูก) Epstein-Barr ไวรสั (โรค B-cell lymphoproliferative และโรคมะเร็งโพรงหลังจมูก) herpesvirus sarcoma ของ Kaposi (เน้ืองอก Kaposi และ primary effusion lymphomas) ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบ C (มะเร็งตับ) และ human T cell ไวรัส 1 โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemias T-cell) การติดเชื้อ แบคทีเรียยังอาจเพ่ิมความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เท่าที่เห็นในมะเร็งกระเพาะอาหารท่ีเกิดจาก Helicobacter pylori การติดเช้ือปรสิตเกี่ยวข้องอย่างมากกับโรคมะเร็งรวมถึง Schistosoma haematobium (มะเรง็ เซลล์squamous ของกระเพาะปัสสาวะ) และพยาธิใบไม้ในตับ Opisthorchis viverrini และ Clonorchis sinensis (มะเรง็ ท่อนำ้ ดี) พันธุกรรมส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งจะไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม (โรคที่เกิดคร้ังเดียว) โรคมะเร็งท่ีติดต่อทางกรรมพันธ์ุเบ้ืองต้นเป็นสาเหตุมาจากข้อบกพร่องในการถ่ายทอดทางพันธุกรรม น้อยกว่า 0.3% ของประชากรจะเป็นพาหะของการกลายพันทางพันธุกรรมที่มีผลกระทบอย่างมาก ต่อความเสี่ยงโรคมะเร็งและความเส่ียงเหล่าน้ีก่อให้เกิดน้อยกว่า 3-10% ของโรคมะเร็งท้ังหมด บางส่วนของอาการเหล่าน้ีรวมถึง:. การกลายพันธ์ุบางอย่างท่ีได้รับการถ่ายทอดในยีน BRCA 1 และ BRCA 2 ที่มีความเส่ียงมากกว่า 75% ของมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิด hereditary nonpolyposis (HNPCC หรือ Lynch syndrome) ซึ่งมีอยู่ในประมาณ 3% ของผู้ท่ีมี โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สารบางชนิดทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่เนื่องจากการสัมผัสทางกายภาพมากกว่าทางเคมี ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่การสัมผัสกับแร่ใยหินเป็นเวลานาน แร่ใยหินเป็นเส้นใยแร่ธาตุที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ มันเป็นสาเหตุสำคัญของโรค mesothelioma (โรคมะเร็งชนิดหนึ่งของเย่ือเซรุ่ม ซึ่งมักจะ เป็นเย่ือเซรุ่มรอบปอด) สารอ่ืน ๆ ในหมวดหมู่น้ีรวมทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและท่ีเกิดขึ้นผ่านการ สังเคราะห์เช่นเส้นใยคล้ายแร่ใยหินได้แก่ wollastonite attapulgite glass wool และ rock wool

102 สารเหล่านี้เช่ือว่าจะมีผลกระทบท่ีคล้ายกันวัสดุท่ีไม่ใช่ไฟเบอร์ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้แก่ผงโลหะ โคบอลตแ์ ละนิกเกิล และผลึกซิลิกา (ควอทซ์ cristobalite และ tridymite) โดยปกติสารก่อมะเร็งทาง กายภาพจะต้องเข้าไปในร่างกาย (เช่นผ่านการสดู ดมช้ินเล็ก ๆ) และต้องใช้เวลาหลายปีของการสัมผัส จนพัฒนาข้นึ เป็นโรคมะเร็ง การบาดเจ็บทางรา่ งกายจนส่งผลให้เป็นโรคมะเร็งค่อนข้างหายากยกตัวอย่างเช่น การอ้างว่า การที่กระดูกแตกส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งกระดูกไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าจริงในทำนองเดียวกัน การ บาดเจ็บทางร่างกายก็ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกมะเร็งเต้านมหรือมะเร็ง สมองกรณีเดียวที่ยอมรับได้คือการทรี่ ่างกายได้รบั ความร้อนบ่อยและเป็นเวลานอน เป็นไปได้ว่าการเผา ไหม้ซ้ำๆ ในส่วนเดียวกันของร่างกายเช่นความร้อนที่สร้างโดย Kanger (หม้อใส่ถ่านร้อนของชาวแคช เมียร์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย) และเคร่ืองทำความร้อนแบบ Kairo (เคร่ืองอุ่นมือด้วยถ่าน) อาจ สร้างมะเรง็ บนผวิ หนัง โดยเฉพาะอย่างย่งิ ถา้ มีการใช้สารเคมที เี่ ป็นสารก่อมะเรง็ ในการใหค้ วามร้อนทพ่ี บ บ่อยคือการด่ืมนำ้ ชารอ้ นจนลวกอาจสรา้ งมะเร็งหลอดอาหารโดยท่ัวไป เชื่อกันว่ามะเรง็ จะเกดิ ข้ึน, หรือ มะเร็งท่ีมีอยู่ก่อนแล้วได้รับการสนับสนุน, ในระหว่างขั้นตอนการซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ มากกว่า มะเร็งจะเกิดจากการบาดเจ็บโดยตรงอยา่ งไรกต็ าม การได้รับบาดเจบ็ ซ้ำๆทเี่ นอ้ื เย่อื เดยี วกนั อาจสง่ เสริม การเพ่มิ จำนวนเซลลม์ ากเกินไปซ่งึ ก็จะไปเพมิ่ อัตราการกลายพนั ธข์ุ องมะเรง็ เป็นท่ีถกเถียงกันว่าการอักเสบเร้ือรังอาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์โดยตรงได้หรือไม่อย่างไรก็ ตาม เป็นท่ียอมรับว่าการอักเสบสามารถนำไปสู่การขยายจำนวน การอยู่รอด การก่อตัวของเส้นเลือด ใหม่และการย้ายถิ่นของเซลลม์ ะเร็งโดยการสรา้ งอิทธพิ ลต่อจลุ ส่ิงแวดลอ้ มรอบๆเนื้องอก มากไปกวา่ น้ัน ยนี มะเร็ง (องั กฤษ: oncogenes) เปน็ ทรี่ ้จู ักกันวา่ เปน็ ตัวสะสมจุลสง่ิ แวดล้อมแบบสง่ เสริมใหเ้ กิดยีนเน้ือ งอก ทีอ่ ักเสบ (องั กฤษ: inflammatory pro-tumorigenic microenvironment) การป้องกันโรคมะเร็งมีการกำหนดเป็นมาตรการที่จริงจงั เพื่อลดความเส่ียงของโรคมะเร็งส่วน ใหญ่ของผู้ป่วยโรคมะเรง็ เกิดจากปจั จัยเสี่ยงด้านสง่ิ แวดลอ้ ม และจำนวนมากแต่ไม่ใช่ท้ังหมดของปัจจัย แวดล้อมเหล่านี้เป็นการเลือกวิถีชีวิตท่ีสามารถควบคุมได้ ดังน้ันโรคมะเร็งถือว่าเป็นโรคที่สามารถ ป้องกันได้เปน็ สว่ นใหญ่ มากกวา่ 30% ของการเสยี ชวี ิตจากมะเร็งสามารถป้องกันไดโ้ ดยการหลีกเล่ียง ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ยาสูบ การมีน้ำหนักเกิน โรคอ้วน อาหารที่ไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย เคร่อื งดื่มแอลกอฮอล์ การติดเช้ือติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และมลพิษทางอากาศ สาเหตุด้านสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดเช่นการเกิดข้ึนตามธรรมชาติของรังสีที่เป็นพ้ืนหลัง และกรณีอื่น ๆ ของ โรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรม ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันโรคมะเร็งได้ทุก กรณี วคั ซีนได้รับการพัฒนาเพื่อป้องกันการติดเช้ือจากไวรัสสารก่อมะเร็งบางชนิด วัคซีน Human papillomavirus (Gardasil และ Cervarix) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกวัคซีนตับ อักเสบจากไวรัสชนดิ บี ปอ้ งกันการติดเชือ้ จากไวรัสตบั อักเสบชนิดบี ดงั น้ันมนั จงึ ชว่ ยลดความเสีย่ งของ

103 โรคมะเร็งตับ การบริหารงานเพื่อการฉีดวัคซีน human papillomavirus และไวรัสตับอักเสบชนิด B จะแนะนำให้ทำเมอื่ มีทรัพยากรพอเพยี ง วธิ ีป้องกันโรคมะเรง็ ท่ีดที ี่สุด คือ หลีกเลี่ยงปัจจยั เส่ียง ที่หลีกเล่ยี งได้ ดังกล่าวแล้ว ซ่ึงทสี่ ำคัญ คือกินอาหารมีประโยชน์ครบท้ัง 5 หมู่ทุกวัน ในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ให้อ้วนหรือ ผอม เกินไป โดยจำกัดเนื้อแดง แป้ง น้ำตาล ไขมัน เกลือ แต่เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับ สุขภาพ สม่ำเสมอ รับการตรวจคัดกรองโรคมะเรง็ ชนิดมีประสิทธิภาพดังได้กล่าวแล้ว หลีกเล่ียงสารก่อ มะเร็ง โรคสุราและเหล้า ภาพที่ 18 คนสรุ าและเหล้า (ท่ีมา: http://med.mahidol.ac.th) แอลกอฮอล์ หรอื สุรา หรือ เหล้า เป็นเครื่องด่ืมประเภทสารเสพตดิ ชนิดหนง่ึ ท่มี ีพษิ กอ่ ให้เกิด ปัญหาสุขภาพได้ทุกระบบของร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาท (Nervous system) ข้อมูลล่าสุด พบว่าคนไทยบริโภคแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นส่ิงที่ไม่น่าชื่นชมอย่างยง่ิ เพราะนอกจาก จะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย ยังส่งผลต่อสุขภาพจิต และก่อให้เกิดปัญหาสังคมปัญหาท่ีพบทางระบบ ประสาทจากแอลกอฮอล์น้ันมีมากมาย และเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของระบบประสาท โดยเฉพาะสมอง (Brain) ลองติดตามบทความน้ี เพื่อทำความเข้าใจให้ดีขึ้นว่า แอลกอฮอล์นั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ อย่างไร จะได้แนะนำคนที่เรารักให้ห่างไกลจากแอลกอฮอล์ หรือ สุรา มีผลโดยตรงต่อระบบประสาท โดยกดการทำงานของระบบประสาท การไดร้ ับแอลกอฮอลข์ นาดสูงจะมีฤทธิค์ ล้ายกบั ยาสลบ ไดแ้ ก่ ไม่ รสู้ ึกตัวและกดการ หายใจ แต่อาการในช่วงแรกๆของการด่ืมแอลกอฮอล์ ผู้ด่ืมอาจมีพฤติกรรมก้าวรา้ ว เคลอ่ื นไหวมาก กวา่ ปกติ ตืน่ ตวั พูดมากขึ้น เนือ่ งจากช่วงแรกจะมีการเพิ่มขึ้นของสารสื่อประสาททอี่ อก ฤทธิ์กระตุ้นสมอง แต่เมื่อได้รับแอลกอฮอล์ปริมาณมากขึ้น พิษของแอลกอฮอล์ก็จะกดการทำงานของ สมอง โดยเฉพาะ ก้านสมอง (Brain stem) และศูนย์ควบคุมการเต้นของหัวใจ (Reticular formation) ในก้านสมอง

104 พษิ ของแอลกอฮอล์ มที งั้ แบบเฉยี บพลัน และ แบบเรื้อรัง แบบเฉยี บพลนั หมายถงึ ผดู้ ื่มได้รับ แอลกอฮอล์/สรุ าเขา้ ไปเปน็ ปริมาณมาก ส่งผลให้มรี ะดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงข้ึนทันที แอลกอฮอลใ์ น เลือดระดับต่างๆจะส่งผลต่อระบบประสาทดังนี้ ถ้าระดับแอลกอฮอลใ์ นเลือด 30 มิลลกิ รัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มสุรา 4 แก้วๆละ 1 ฝาขวดแม่โขง ผู้ดื่มจะมีอาการครึกคร้ืน สนุกสนานร่าเริง ถ้าระดับ แอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือด่มื สุรา 6 แกว้ ๆละ 1 ฝาขวดแมโ่ ขง ผู้ดื่มจะมีอาการ ของการควบควบคมุ การเคล่ือนไหวเสียไป ไม่สามารถควบคุมได้ดีเทา่ ภาวะปกติ ถ้าระดับแอลกอฮอล์ใน เลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือดื่มสุรา 12 แก้วๆละ 2 ฝาขวดแม่โขง ผู้ดื่มจะมีอาการเดินไม่ตรง ทาง ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือด่ืมสุรา 24 แก้วๆ ละ 2 ฝา ขวดแม่โขง ผู้ด่ืมจะเกดิ อาการสบั สน ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลอื ดมากกวา่ 300 มิลลกิ รมั เปอรเ์ ซน็ ต์ ผู้ ด่ืมจะมีอาการ ง่วง สับสน/งง งวย และซึม ถ้าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 400 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ข้ึนไป ผู้ดมื่ จะเกดิ อาการสลบ และอาจถงึ ตายได้ แบบเร้ือรัง หรือ โรคพิษสุราเรื้อรัง หมายถึงผู้ป่วยที่ด่ืมแอลกอฮอล์/สุราอย่างต่อเนื่องเป็น ประจำ เป็นระยะเวลานาน สว่ นใหญน่ านมากกว่า 10 ปี จนเกิดภาวะตดิ สุรา และมีลักษณะดังต่อไปนี้ คอื ต้องด่ืมสุราตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมหรือหยุดหลังจากดื่มสุรา เมอื่ หยุดสุราจะมีอาการลงแดง เชน่ คล่ืนไส้ เหงือ่ ออก สนั่ ต้องเพ่ิมปริมาณดม่ื สุราขึน้ ไปอีก และเพ่ือให้มีความสุข ซ่ึงเมื่อเกิดภาวะพิษ สุราเร้ือรังนี้ ก็จะส่งผลให้ร่างกายส่วนต่างๆได้รับผล กระทบ เช่น ตับ (โรคตับแข็ง) ตับอ่อน (โรคตับ ออ่ นอักเสบ) และ ระบบประสาทดังจะกลา่ วต่อไปในบทน้ี ในปัจจุบันโรคพิษสุราเร้ือรัง เป็นปัญหาของสังคมมากข้ึนเรอื่ ยๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสังคมมี การเปล่ยี นแปลงไป การใชช้ วี ิตทตี่ ้องอาศัยการดมื่ เหลา้ เบียร์ หรือไวนเ์ พ่ือการสงั คม เพื่อสนุกสนานรื่น เรงิ เพอ่ื การเฉลิมฉลองในทกุ โอกาส จนอาจกล่าวได้วา่ วัฒนธรรมการใชช้ ีวิตของมนุษยน์ ่ีเองทท่ี ำให้เกิด ปัญหาโรคพิษสุราเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรังพบได้มากในผู้ชาย พบในผู้ชายประมาณร้อยละ 9 พบใน ผู้หญิงประมาณร้อยละ 4 อายุส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 35-55 ปี ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าเป็นปัญหาของ กรรมพันธุ์ แต่ครอบครัวใดที่พ่อแม่มีปัญหาโรคพิษสุราเรื้อรัง ลูกหลานมีแนวโน้มที่จะเกิดสูงกว่า ครอบครัวอนื่ ซึ่งเชื่อว่าเกดิ จากสภาวะแวดลอ้ มมากกว่า เมือ่ บรโิ ภคแอลกอฮอล์อย่างตอ่ เนอ่ื งในปริมาณท่ีมากจะทำใหเ้ กิด \"การติด\" ข้ึน โดยการติดนั้น แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ ติดทางกาย และติดทางใจ ลักษณะของการตดิ ทางกาย จะสังเกตไดเ้ ม่ือมีการ หยุดดม่ื หรอื ลดปริมาณการด่ืมลงภายใน 24 ช่ัวโมง คือ จะเกิดอาการกระสับกระสา่ ย หงดุ หงิด มือสั่น นอนไมห่ ลับ ใจส่นั คลืน่ ไส้ อาเจียน และในบางคนจะไดย้ ินเสียงแว่ว ประสาทหลอน สบั สน และชักได้ ส่วนลักษณะของการติดทางใจน้ัน จะสังเกตได้ว่า มีอาการของความอยากอยู่เร่ือยๆ ขาดไม่ได้ ต้อง พยายาม หามาบริโภค แม้ว่าจะเส่ียงต่อความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานก็ตาม เมื่อผู้นั้นเกิดการติด แอลกอฮอล์แล้วก็จะกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังในที่สุด โดยแอลกอฮอล์เริ่มไปมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญ ตา่ งๆของรา่ งกายตามท่กี ล่าวมาแล้วข้างตน้ ไมว่ า่ จะเป็นสมอง ตับ หัวใจ และหลอดเลือด ทำให้เกิดโรค

105 ตับแข็ง ความจำเส่ือม และโรคหัวใจ การตัดสินใจและความมีเหตุผลลดลง ขาดสติ ซึ่งมีผลต่อความ รบั ผิดชอบ และหน้าทก่ี ารงานอย่างมาก อาการเร่ิมแรกของผู้ที่มีปัญหาโรคพิษสุราเรื้อรัง ได้แก่ การดื่มท่ีมากขึ้นเร่ือยๆ ถ่ีขึ้นเรื่อยๆ จนกระท่ังเป็นการดื่มทุกวัน โดยส่วนใหญ่จะอ้างถึงเพื่อการสังคม เพื่อเป็นการคลายความเครียดของ การทำงาน และเร่ืองส่วนตัวต่างๆ ข้อสังเกตของผู้ท่ีติดสุรา ท่านอาจพบว่าคนเหล่านั้น เมื่อต่ืนนอน มักจะจำเหตุการณ์ในคืนก่อนไม่ค่อยได้ ต่อมาอาจจะต้องนำสุราแอบไว้ตามท่ีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่ี ทำงาน ในบ้าน คนเหล่านี้มักจะอายที่คนรู้ว่าตนเองติดสุรา บางคร้ังอาจโมโหฉุนเฉียวง่าย ถ้ามีคน กล่าวถึงการติดสุราของตนเอง และมักชอบปฏิเสธเสมอๆ ว่าตนเองไม่ได้ติดสุรา คนเหล่าน้ีมักมีความ กลัวและหวาดระแวงอย่างไม่มีเหตุผล ความจำและสมรรถภาพในการทำงานจะลดลงเร่ือยๆ หน้าตา อาจจะแดงหรือหมองคลำ้ มีจ้ำเขยี วช้ำตามร่างกาย เสียงแหบแห้ง มอื สั่น และมกั มีอาการของกระเพาะ อาหารอกั เสบเรอื้ รัง โรคติดสุรา หรือพิษสุราเรื้อรัง เป็นคำกว้าง ๆ ท่ีใช้ในการวินิจฉัยผู้ติดสุรา ท่ีทำให้เกิดปัญหา หน้าท่ีการงาน หรือสุขภาพ มีลักษณะการดำเนินโรคอย่างเร้ือรัง ก้าวหน้า โดยมีลักษณะท่ีสูญเสีย ความสามารถในการควบคุมการดื่มสุรา และมีผลเสียตามมา ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสังคม กฎหมาย สุขภาพจิต และสุขภาพทางร่างกาย และผู้ป่วยมักไม่ตระหนักถึงปัญหาเหล่าน้ี ว่าเกิดจากการใช้สุรา การดื่มสุรามาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเปลย่ี นแปลงทางความรู้สึก แลทำใหผ้ ู้ใช้อยากใช้อีก แม้ว่า จะเกิดผลเสียมากมาย เป็นการเสพติดทางใจ และการเสพติดทางร่างกาย ทำให้เกิดการถอนสุรา หรอื ไมส่ บายหากไมไ่ ด้ใช้ สุรามีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรสารออกฤทธ์ิท่ีสำคัญในสุราคือแอลกอฮอล์ ซึ่งทำละลายได้ดี ท้งั ในน้ำและไขมนั สามารถแพรไ่ ปไดท้ ุกส่วนของร่างกาย จงึ มีผลต่อรา่ งกายทุกระบบ 1. ผลตอ่ ระบบประสาท 1.1 จำเหตุการณ์ขณะเมาไม่ได้เป็นลักษณะการสูญเสียความจำ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในขณะทผ่ี ู้นัน้ ด่ืม จำไมไ่ ดว้ า่ คุยกับใครจอดรถไว้ท่ไี หน 1.2 ผลต่อการนอนแม้ว่าการด่ืม การเมาสุรา อาจจะทำให้นอนหลับได้ง่ายข้ึน แต่ แอลกอฮอล์จะรบกวนวงจรการนอน นอนหลบั ไมต่ ่อเน่ือง ทำใหต้ ่นื ข้นึ มามีอาการไม่สดช่ืน รสู้ กึ แฮงค์ 1.3 ผลต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ซ่ึงเปน็ ผลจากการขาดวิตามิน และพิษของแอลกอฮอล์ โดยตรง อาการจะมอี าการชา บริเวณมือและแขน 1.4 ผลต่อสมองส่วนซีรีเบลลั่มมีลักษณะเฉพาะคือ ไม่สามารถยืนหรือทรงตัวน่ิงได้ อาการ ตากระตกุ สมองส่วนนี้จะเสื่อมลงถาวร แม้หยดุ สุราแล้วก็ไม่คอ่ ยหายอย่างสมบูรณ์

106 2. ผลต่อระบบทางเดินอาหารปัญหาคลื่นไส้อาเจียน เลือดออกในทางเดินอาหาร กระเพาะ อาหารอักเสบ ปัญหาตับแข็ง ตับและตับอ่อน ทำให้เกิดโรคตบั แข็ง มีการสะสมของเสียพวก ยูเรีย จน เป็นพิษตอ่ สมอง 3. ระบบหลอดเลือด การดื่มสุราเป็นจำนวนมาก จะทำใหค้ วามดนั โลหิตสูงขน้ึ เพ่ิมระบบไขมัน ท่ีอ่ิมตัว ที่มักจะสะสมตามหลอดเลือด ได้แก่ LDL และ triglyceride จึงเพ่ิมความเส่ียงในการเกิด โรคหวั ใจขาดเลือด 4. ระบบเลือด การดื่มสรุ าในระดับสงู จะลดการผลิตเม็ดเลอื ดขาด ลดความสามารถของเซลล์ ในการเข้าสู่ตำแหน่งติดเชื้อ มีผลต่อเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ซึ่งทำให้มีการสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดง ลดลง รูปรา่ งเม็ดเลอื ดแดงมีขนาดใหญ่ข้นึ และมีผลต่อประสทิ ธิภาพของเกล็ดเลอื ด 5. มะเร็ง พบอัตราการเกิดมะเร็งสูง ในผู้ติดสุรา ตั้งแต่มะเร็งของศีรษะ คอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ตบั ลำไส้ใหญ่ และปอด 6. ผลต่อทารกในครรภ์มารดา เนื่องจากแอลกอฮอล์ สามารถผ่านได้ จึงสามารถทำให้เกิดผล ร้ายแรงในทารกได้ หากมีปริมาณมากพอ จะทำให้เด็กเสียชีวิต หรือคลอดก่อนกำหนด ทารกท่ีคลอด จากครรภม์ ารดาที่ดม่ื สรุ าอยา่ งมาก พบว่าจะมกี ลุ่มอาการ สติปัญญาทบึ อย่างรุนแรง ศรี ษะเล็ก รูปร่าง เล็ก หน้าตาผิดปกติ ภาวะโรคหัวใจแตก่ ำเนิด นวิ้ มือตดิ กัน หญงิ ต้งั ครรภ์ จึงไม่ควรใชส้ ุราตลอดอายุการ ตงั้ ครรภ์ 7. อื่น ๆ ชายไทยหลงั ด่ืมสุรา พบว่ามีความเสี่ยงในพฤติกรรมทางเพศ ในขณะมึนเมา เช่น ไม่ ใช้ถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์ ซ่ึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงในการติดกามโรค รวมทั้งโรคเอดส์ หรือ ประสบอุบติเหตเุ พราะขาดสติ ผปู้ ่วยท่ีเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และเกิดอาการลงแดง เมื่อหยุดสรุ าก็ยังไม่ยอมรับวา่ ตัวเองเป็น โรค ตอ้ งอาศัยเพ่ือนร่วมงาน และครอบครวั สังเกตอาการ และส่งผู้ป่วยเข้ารักษาต้ังแต่เริ่มต้นเป็น โรค พษิ สุราเรือ้ รัง เป็นโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆจนกระทั่งเกิดอาการทางประสาท และทางรา่ งกาย สุขภาพแอลกอฮอล์จะมีผลต่อทุกเซลล์ของรา่ งกายโดยเฉพาะระบบประสาท เมื่อได้รับแอลกอฮอล์เป็น ประจำ สมองจะปรบั ตวั ตอ้ งการแอลกอฮอล์เพ่ือการดำเนินชวี ติ ประจำวัน การทำงาน ความคดิ อารมณ์ และการกระทำทั้งหมดขึน้ กับแอลกอฮอล์ยังไมม่ ีการแยกท่ีเด่นชัดระหว่างติดสุราและพิษสุราเรอ้ื รัง แต่ อาการเตือนว่าจะเปน็ พษิ สรุ าเร้ือรงั ไดแ้ กเม่อื หยดุ สุราจะมอี าการไม่มคี วามสขุ ผู้ทเ่ี ปน็ พิษสรุ าเร้อื รงั จะด่ืมสรุ าโดยไม่จำกัด ด่ืมไดต้ ลอดเวลา มักจะปฏิเสธว่าไม่ติดสุรา ดม่ื ทัง้ ๆ ทร่ี วู้ ่าเปน็ ส่งิ ไมด่ ี หลังจากดื่มไปไดร้ ะยะหนึ่งผู้ป่วยจะเริ่มด้ือต่อแอลกอฮอล์ จะต้องปรมิ าณสุราใน รา่ งกายมาก ผปู้ ่วยมกั จะมีอาการเมาคา้ งทำใหไ้ ปทำงานไม่ทนั ผู้ป่วยมักจะมปี ระวตั ิดมื่ สรุ าตั้งแตเ่ ช้า

107 และมักชอบใช้ความรุนแรงกับครอบครัวผลเสียของโรคพิษสุราเรื้อรังได้รับแอลกอฮอล์เกินขนาดซ่ึง อาจจะทำให้เสยี ชวี ติ มักเกิดในวัยรนุ่ ที่ต้องการแสดงวา่ ตัวเองคอแขง็ อบุ ตั เิ หติ การดืม่ เพียง 1 หนว่ ยสรุ า กท็ ำให้ความสามารถในการขับข่ีลดลงความรุนแรงในครอบครัว ผู้หญิงและเด็กท่ีมีพ่อบ้านขี้เมามักจะ ได้รบั ความรุนแรงบ่อย เด็กมักจะเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ ผลต่อหัวใจ และหลอดเลือด ผู้ทด่ี ื่มมากกวา่ 3 หนว่ ยสุราจะมคี วามดนั โลหิตสูงกวา่ ผ้ทู ไี่ ม่ดม่ื สำหรบั ผู้ท่ีดื่มคร้ังละมากกว่า 9 หน่วยสุราสัปดาห์ละ 2 คร้ังจะมีโอกาสเกิดโรคหัวใจ 2-3 เท่า ของผู้ไม่ดื่มตัวแอลกอฮอล์ไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งแตจ่ ะส่งเสริมให้เกิดมะเร็งจากสารอื่นได้งา่ ย เชน่ บุหร่ี หากใชร้ ่วมกันจะเกิดโรคมะเรง็ ปาก กล่องเสียงและหลอดอาหารได้มากตับอักเสบ และตบั แขง็ การด่ืม สุราทำให้เกิดท้องร่วงและริดสีดวงทวาร และแผลในกระเพาะอาหารการวินิจฉัยการวินิจฉัยทำได้ คอ่ นข้างยากโดยเฉพาะในผ้ปู ่วยสูงอายุเนื่องจากความจำก็ไม่ดี สับสน และหกล้มอาการตา่ งๆเหล่านี้ก็ สามารถพบ ได้ในคนแก่ เมอื่ มีผู้ป่วยที่มีประวัติด่ืมสุรา และสงสัยวา่ จะเปน็ พิษสรุ าเรอ้ื รังการเจาะเลือด ตรวจเปน็ ทางออกที่ดี การวินจิ ฉัย ตอ้ งอาศัยการซกั ประวตั ซิ ึ่งมีคำถามง่ายๆท่คี วรจะถามผปู้ ว่ ย ปริมาณท่ีด่มื ความถี่ในการดื่ม ด่ืมทันท่ีหลังต่ืนนอนหรือไม่ เคยพยายามท่ีจะอดสุราหรือไม่ โกรธเมื่อมีคนวิจารณ์ เรื่องดื่มสรุ า มีความรสู้ กึ ผดิ หรอื ไม่ มีอาการลงแดงเมื่ออดสรุ าหรอื ไม่ พิษสรุ าเรื้อรงั เป็นโรคๆ หนึ่งซึ่งมีลักษณะ มีความอยากหรือกระหายอย่างมากที่ต้องการจะดื่ม สุรา คุมตัวเองไมไ่ ด้ หมายถึงการท่ผี ู้ติดสรุ าพยายามจะเลกิ สรุ าหลายคร้งั หลายหน แตก่ ็ทำไม่สำเรจ็ เมื่อห่างจากสุราจะมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น คล่ืนไส้ อาเจียน เหง่ือออก มือสั่น กระวนกระวายและ อาการดังกล่าวมักจะหายไป เมือ่ ด่มื สรุ าหรือกนิ ยานอนหลับอาการเหมือนด้ือยา คือ มีความต้องการดื่ม สรุ าในขนาดมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ เพอ่ื ที่จะใหส้ ุราออกฤทธ์เิ ทา่ เดิม ซึ่งคำจำกัดความดังกล่าวทำให้เห็นว่า ทำไมผทู้ ่ีมีปัญหาพิษสุราเรอ้ื รงั จึงเลกิ เหล้าไดย้ าก เพราะ จะมคี วามรู้สึกตอ้ งการสุรามากๆ เหมอื นคนทัว่ ไปตอ้ งการอาหารและน้ำ บางคนอาจจะสามารถเอาชนะ ใจตัวเองและเลิกด่ืมสุราได้ แต่ส่วนใหญ่ของผู้ท่ีเป็นพิษสุราเร้ือรังแล้วจะทำไม่ค่อยได้ ถ้าได้รับการ ชว่ ยเหลือและการรักษา หลายคนก็สามารถหยุดสุราได้ หลายคนสงสัยว่าทำไมบางคนที่ด่ืมสุราแตไ่ ม่มี ปัญหา บางคนมีปญั หามากไม่สามารถควบคมุ การดม่ื ของตนได้ ทั้งน้ีข้ึนอยูก่ ับส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ ความหา มาไดง้ ่ายของสุรา กลุ่มเพอ่ื น ฯลฯ นอกจากนก้ี รรมพันธุอ์ าจมีส่วนได้เช่นกนั แตก่ ไ็ ม่ได้หมายความวา่ ผู้ที่ มีญาติเป็นพษิ สุราเรอ้ื รงั จะต้องเป็นโรคนดี้ ้วยเสมอไป การใช้สุราในทางที่ผิดต่างจากพิษสุราเร้ือรังตรงที่ไม่มีความอยากสุราอย่างมาก ไม่เสียการ ควบคุมในการดื่ม และเวลาห่างจากสุราก็ไม่มีอาการอะไร แต่จะมีปัญหาการใช้สุราในทางที่ผิด (ใน ความหมายของรูปแบบการด่มื ) ซึง่ รูปแบบการดื่มน้นั อาจจะเปน็ ข้อใดข้อหน่ึงดังตอ่ ไปนีด้ ื่มแล้วมีผลเสีย ตอ่ งานการเรียน หรือครอบครัวดื่มในสถานที่ท่ีอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น ขณะขับรถ ขณะทำงาน

108 กับเคร่ืองจกั รกล ดื่มแลว้ ทำใหม้ ีปัญหาในด้านกฎหมาย เช่น ถูกตำรวจจับเพราะว่าเมาขณะกำลังขับรถ หรือทำรา้ ยคนอืน่ ดืม่ แล้วทำให้มีปัญหาด้านความสัมพันธร์ ะหว่างคนในครอบครวั และผ้อู ่นื สรุปจรงิ แลว้ ไม่ควรด่ืมเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์เป็นประจำไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆกต็ ามแต่ในทาง ปฏิบัติที่พบนั้น เราจะเห็นว่ามีผู้ท่ีด่ืมเคร่ืองดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำด้วยเหตุผลหลัก คือ การเข้า สังคมและคลายเครียด ด้วยฤทธข์ิ องแอลกอฮอลน์ ั้นจะทำให้ผู้ดม่ื มีอารมณ์ทดี่ ีขนึ้ ชั่วคราว อยา่ งไรก็ตาม การด่ืมเครื่องที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณท่ีเหมาะสม ในผู้มีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว จาก หลายการศึกษา พบว่า ถ้าดื่มในปริมาณท่ีจำกัด คือ ปริมาณเบียร์ไม่ควรเกิน 1 ขวดของเบียร์ หรือ 2 กระป๋อง ถ้าเป็นเหล้าผสมน้ำก็ไม่ควรเกิน 2 แก้ว ก็อาจลดผลเสียต่อสุขภาพลงได้นอกจากนี้ ก็ควรต้องทาน อาหารร่วมด้วยทุกคร้งั ไม่ควรด่ืมแอลกอฮอล์ขณะทอ้ งว่าง ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว และ ไม่ควรขับรถเม่ือดื่มแอลกอฮอล์ และควรมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำแต่ถ้าท่านมีโรคประจำตัว ไม่ ควรด่ืมเครอื่ งดม่ื ท่มี แี อลกอฮอลอ์ ย่างเดด็ ขาด เพราะแอลกอฮอล์นน้ั ไม่ มผี ลดตี อ่ สขุ ภาพเลย สรปุ จะเห็นไดว้ ่าพษิ ภัยของแอลกอฮอล์มอี ันตรายต่อระบบประสาทอย่างยิ่ง ดังนนั้ อย่าลองดื่ม โดยเด็ดขาด เพราะถา้ ดื่มแล้ว จะเกดิ การติดเช่นเดยี วกบั สารเสพตดิ อนื่ ๆทกุ ชนดิ

109 กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง โรคไม่ติดต่อ (NCD) ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนสามารถอธิบาย ทักษะในการเรียนรู้ ความหมาย โรคไมต่ ิดต่อ (NCD) ปจั จยั สำคัญท่ี ทำใหเ้ กิดโรค นกั เรียนสามารถอธบิ ายสาเหตุ อาการ และการป้องกันการเกิดโรคไม่ตดิ ต่อ (NCD) และ จัดการได้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ใหน้ ักเรยี นทำกิจกรรม “โรคไมต่ ิดต่อ (NCD)” โดยมีข้นั ตอนดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ให้นักเรียนแบ่งกล่มุ เป็น 5 กลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กนั 2. ผูส้ อนอธิบายรายละเอยี ดของเนอ้ื หาและกิจกรรม คือ ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มๆละหวั ขอ้ ชว่ ยกนั ระดมความคดิ ศึกษาค้นควา้ แลว้ ออกมานำเสนอกล่มุ ละ 15 นาท่ีในหัวขอ้ ดงั ต่อไปนี้ 2.1 ทักษะในการเรยี นรู้ ความหมายโรคไม่ติดต่อ (NCD) ปัจจยั สำคญั ในการเกิดโรค 2.2 อธบิ ายสาเหตุ อาการ และการปอ้ งกันการเกดิ โรคไมต่ ิดตอ่ (NCD) 2.3 สามารถแยกโรคตา่ งๆ สาเหตุ อาการ และการปอ้ งกนั การเกิดโรคไม่ตดิ ตอ่ (NCD) 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนไดซ้ ักถาม 4. ผู้สอนและนกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายสรุปเน้อื หา

110 บทท่ี 5 การตดิ เช้ือ การติดเชือ้ ทางการหายใจ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือโรคติดเชื้อระบบหายใจ หรือโรคติดเช้ือระบบทางเดินหายใจ (Respiratory tract infection ย่อว่า RTI) คือโรคติดต่อที่เกิดจากอวัยวะ/เนื้อเยื่อต่างๆในระบบ ทางเดินหายใจติดเช้ือโรคซ่ึงส่วนใหญ่ที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กคือการติดเช้ือไวรัส ที่พบรองลงมา คือการติดเชือ้ แบคทีเรีย สว่ นการติดเช้ือราซ่งึ พบได้น้อยมักพบในผูป้ ่วยทีม่ ภี ูมคิ ุม้ กันตา้ นทานโรคต่ำ ระบบทางเดินหายใจแบง่ ย่อยเปน็ 2 สว่ นคอื 1. ระบบทางเดินหายใจส่วนบน/ตอนบน/ส่วนต้น/ตอนต้น (Upper respiratory tract): เน้ือเยื่อ/อวัยวะส่วนน้ีมีหน้าที่หลักเป็นทางผ่าน/ทางเดินลมหายใจ นำอากาศเข้าสู่ปอด ซึ่งเน้ือ เยื่อ/ อวัยวะในสว่ นนี้คือ โพรงจมูก/เยื่อจมูก/เน้ือเยื่อบุโพรงจมูก ไซนัส ท่อยูสเตเชียน ช่องคอ ทอนซิล คอ หอย กล่องเสียง 2. ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง/ตอนล่าง (Lower respiratory tract): เน้ือเยอ่ื /อวัยวะ ส่วน น้ีคือท่อลม และหลอดลมส่วนท่ีอยู่นอกปอดท่ีเรียกว่าหลอดลมประธาน ซ่ึงเน้ือเย่ือ/อวัยวะส่วนนี้มี หน้าที่หลักเป็นทางผ่านของอากาศเข้าสู่ปอด นอกจากน้ันระบบทางเดินหายใจส่วนล่างน้ี ยัง ประกอบด้วยหลอดลมส่วนที่อยู่ในปอด ถุงลม และเน้ือเยื่อปอด ซ่ึงเน้อื เย่ือ/อวัยวะสว่ นน้ีมีหน้าที่ฟอก อากาศคอื แลกเปลย่ี นออกซเิ จนในถุงลมกับคารบ์ อนไดออกไซด์ในเลือดหรือเปล่ียนเลือดดำ (เลือดท่ีมี คาร์บอนไดออกไซด์สงู ออกซิเจนตำ่ ) ใหเ้ ป็นเลือดแดง (เลอื ดทม่ี อี อกซเิ จนสูง คาร์บอนไดออกไซดต์ ำ่ ) ดังนั้นการติดเชือ้ ทางเดนิ หายใจจงึ แบ่งตามลกั ษณะกายวิภาคไดเ้ ปน็ 2 สว่ นคือ 1. การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน/ตอนบน/ส่วนต้น/ตอนต้น (Upper respiratory tract infection ย่อว่า URI หรือ URTI) ที่เป็นการติดเช้ือในเนื้อเยอื่ /อวัยวะส่วนตอนบนของ ทางเดินหายใจ เชน่ เยอ่ื จมูกอกั เสบ ไซนัสอักเสบ โรคหวัด สเตรปโธรท ทอนซลิ อักเสบ กลอ่ งเสียงอักเสบ 2. การติดเชื้อทางเดินหายใจสว่ นล่าง/ตอนล่าง (Lower respiratory tract infection) ท่ีเป็น การตดิ เช้ือของอวยั วะทางเดนิ หายใจสว่ นลา่ งเช่น ปอดอกั เสบ ปอดบวม

111 นอกจากนน้ั ยังแบ่งการตดิ เชือ้ ทางเดินหายใจได้ตามลักษณะอาการเป็น 2 แบบ/ชนดิ คือ 1. การติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน/ฉับพลัน(Acute respiratory tract infection) ที่อาการโรคจะเกิดอย่างรวดเร็ว แต่หายไดภ้ ายในระยะเวลา 1 - 2 สปั ดาห์มกั ไมเ่ กนิ 1 เดือน 2. การติดเชื้อทางเดินหายใจเร้ือรัง (Chronic respiratory tract infection) คือการติด เช้ือ ทางเดินหายใจท่ีอาการจะเป็นๆหายหรือมีอาการต่อเนื่องมาจากการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยมักมีอาการนานเป็นเดือนหรือหลายเดือนข้ึนไป ซึ่งการรักษาจะยุ่งยากซับซ้อน และมีการ พยากรณ์โรคแย่กว่าการติดเชอื้ ชนดิ เฉยี บพลนั การติดเชือ้ ทางเดินหายใจเป็นโรคพบบ่อยทั่วโลก แต่ไม่มี รายงานสถิติเกิดท่ีชัดเจนเพราะ มักแยกรายงานเป็นแต่ละโรคเช่น ไข้หวัดใหญ่ที่ทั่วโลกพบผู้ป่วยได้ ประมาณปีละ 3 - 5 ล้านคน เป็นต้น ซึ่งโรคติดเช้ือทางเดินหายใจพบได้ต้ังแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึง ผู้สูงอายุ และผูห้ ญิงและผชู้ ายมโี อกาสเกิดได้เท่ากัน ผู้มีปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อทางเดิน หายใจได้แก่เด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กท่ีอยู่รวมกันในท่ีแออัดเช่ น โรงเรียน สถานเล้ียงเด็ก ผู้สูงอายุตัง้ แต่อายุ 65 ปีข้ึนไปโดยเฉพาะเมื่ออยู่อาศัยรวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น ในบ้านพักคนชรา ผู้ท่ีมีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง โรคอ้วน ผู้มีโรค ปอดเรื้อรังเช่น โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สตรีต้ังครรภ์ ผู้ติดบุหร่ี ผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ผตู้ ิดเช้ือ เอชไอว/ี HIV ผกู้ ินยากดภมู คิ ุม้ กนั ตา้ นทานโรค(เช่น ผปู้ ลกู ถ่ายอวัยวะ) สรปุ โรคติดเชอื้ ทางเดนิ หายใจโดยทัว่ ไปมีการพยารณ์โรคที่ดี รักษาไดห้ าย แตท่ ้ังนี้ขึ้นกับหลาย ปจั จัยท่สี ำคัญเชน่ ความรุนแรงของเชือ้ เป็นการติดเชือ้ ทางเดนิ หายใจตอนบนหรอื ตอนล่าง (การตดิ เช้ือ ทางเดินหายใจตอนบน การพยากรณ์โรคดกี วา่ ) ผู้ป่วยด้ือยาทใ่ี ช้รักษาหรือไม่ (การพยากรณ์โรคเลวมาก ถ้าเกิดเช้ือด้อื ยา) สขุ ภาพโดยรวมของผู้ปว่ ย (ถ้ามีโรคเร้ือรัง/โรคประจำตัว มีโรคปอดเรอื้ รัง มีภมู คิ ุ้มกัน ต้านทานโรคต่ำ การพยากรณ์โรคไม่ดี) ดังนั้นแพทย์ผู้รักษาจึงเป็นผู้ให้การพยารณ์โรคได้ดีที่สุดเพราะ การพยากรณโ์ รคจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล การติดเช้อื ทางการกิน ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ หรือ Sepsis คือ ภาวะที่ร่างกายของเรามีปฏิกิริยาตอบ สนองต่อการติด เช้ือ หรือต่อพิษของเชื้อโรค โดยทำให้เกิดการอักเสบขึ้นท่ัวท้ังร่าง กาย ซึ่งการติดเชื้อนี้ อาจเกิดข้ึนท่ี ตำแหน่งใดตำแหน่งหน่ึงของร่างกาย หรือเป็นการติดเช้ือทั่วร่างกายก็ได้ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือด (โลหิต) หรอื Septicemia คือ การที่ตรวจพบว่ามีเชอื้ โรคเข้าสู่กระแสเลือด และทำใหเ้ กิดภาวะ Sepsis ข้ึนมา ดังนั้นท้ังสองภาวะจึงเป็นภาวะเกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน และมักใช้ในความหมายเดียวกันคำว่า Sepsis มาจากภาษากรีกโบราณ แปลว่า เน่าเป่ือย พุพัง โดย Sir William Osler แพทย์ชาวแคนาดา เป็นคนแรกท่ีค้นพบว่า บางคร้ังสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยท่ีติดเชื้อ ไม่ได้เป็นผลมาจากเช้ือโรค โดยตรง แต่มาจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อเช้ือโรคน่ันเอง ในปี พ.ศ. 2457

112 Schottmueller แพทย์ชาวเยอรมนั ไดใ้ หน้ ิยามคำว่า Septicemia คือการท่ีเช้อื โรคลุกลามเข้าสกู่ ระแส เลือด และทำให้เกิดอาการต่างๆ หลังจากน้ัน ได้มีการเปล่ียนแปลง และเพ่ิมเติมคำศัพท์ และ ความหมายโดยกลุ่มแพทย์ผู้เช่ียวชาญด้านโรคปอด และด้านการแพทย์ในภาวะวิกฤติ ช่ือ American College of Chest Physicians และ Society of Critical Care Medicine ให้เป็นดังที่ได้กล่าวไว้ใน ตอนต้นและที่จะกล่าวต่อไปภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด พบได้ในคนทุกเช้ือชาติ แต่มักเกิดในผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นวัยที่มีโรคประจำตัวมากกว่าวัยอ่ืน และพบว่าผู้ ชายมีโอกาสเกิด มากกว่าผู้หญงิ เลก็ นอ้ ย ปจั จุบนั พบการเกิดภาวะพิษเหตุตดิ เช้ือ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมากข้นึ เน่ืองจากจำนวน ประชากรผู้สูงอายุมีมากข้ึน รวมทั้งผู้ท่ีมีโรคประจำตัวก็มีอายุยืนยาวข้ึนจากการรักษาโรคประจำตัว เหลา่ นมี้ ปี ระสิทธิภาพดีกวา่ สมัยก่อน นอกจากน้ี ในปัจจบุ นั การรักษาผู้ป่วยทีร่ ักษาอยูใ่ นโรงพยาบาลก็ ซับซ้อนยุ่งยาก มีการใส่เครื่องมือ และสายสวนตา่ งๆเขา้ ร่างกาย และมีการใชย้ าปฏิชีวนะพรำ่ เพร่อื ซึ่ง ตา่ งก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตดิ เชื้อด้วยเช่นกนั ทั้งน้ี โดยประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะพิษ เหตตุ ิดเช้อื /ภาวะติดเชือ้ ในกระแสเลือด เกิดในผปู้ ว่ ยทรี่ ักษาอย่ใู นโรงพยาบาลน่นั เอง การดูแลตนเองและการปอ้ งกนั ภาวะพิษเหตตุ ดิ เชือ้ /ภาวะตดิ เช้ือในกระแสเลอื ด คอื ตามที่ได้กลา่ วไปแล้วว่า ภาวะพิษเหตุติดเช้ือ/ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือดนี้มักเกิดในผู้ป่วยที่ได้รบั การ รักษาอยู่ในโรงพยาบาลซ่ึงมารักษาตัวด้วยโรคอ่ืนๆ ดังน้ันแพทย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความ จำเป็นในการทำหัตถการต่างๆทอ่ี าจเป็นปัจจัยนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ เช่น การสอดใส่ท่อเข้าหลอด เลือดดำเพอ่ื ใหส้ ารนำ้ และ/หรอื การใสส่ ายสวนปัสสาวะ นอกจากน้ีแพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะท่ีตรงกับโรคติดเช้ือที่ผู้ป่วยกำลังเป็น และให้ใน ระยะเวลาที่เหมาะสม หลีกเลยี่ งยาปฏชิ ีวนะชนิดครอบคลุมเชอ้ื แบคทีเรียไดห้ ลายๆชนดิ โดยเฉพาะในผู้ ท่มี ีโรคประจำตวั เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เชอ้ื ราประจำถิ่นในลำไส้ แบ่งตวั เจรญิ เติบโตและลุกลามเข้าสู ร่างกาย จนทำให้เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเช้ือในกระแสเลือดขึ้นมาได้ในกรณีต้องการซื้อยา ปฏิชีวนะกินเองเม่อื เกิดการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น โรคตอ่ มทอนซลิ อกั เสบ โรคอุจจาระร่วง/ท้องเสีย ควรเรมิ่ ใชย้ าปฏชิ วี นะที่ตรงกับโรค โดยปรึกษากับเภสัชกรท่ีประจำรา้ นขายยากอ่ นใช้ ไมค่ วรเร่มิ ใชย้ าท่ี ประสิทธภิ าพสูงเกนิ ไป เพราะเหตุผลเช่นทีก่ ล่าวมาแล้ว และหากยาทซ่ี ้ือกินเองคร้ังแรกไม่ได้ผล กค็ วร รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล ผปู้ ่วยท่ีมีโรคประจำตัวต่างๆเช่นท่ีกล่าวไว้ในข้างต้น หรือไดร้ ับยากดภมู ิคุ้มกันต้านทานโรคอยู่ ควรระมัดระวังการติดเช้ือโดย การรักษาสุขอนามัยพ้ืนฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเล่ียงสถานท่ีแออัด กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ ล้างมือก่อนหยิบจับอาหาร ส่งเสริมร่างกายให้ แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้อ อาหาร นอกจากนนั้ คือ กินยาตามแพทยส์ ่งั ให้ถกู ตอ้ งครบถว้ น และควรพบแพทยต์ ามนดั เสมอ

113 อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) คือ โรคที่เกิดจากการกินอาหาร และ/หรือ ด่ืมน้ำ/ เครื่องด่ืม ท่ีปนเปื้อนเช้ือโรค หรือ สารพิษท่ีสร้างจากเชื้อโรค หรือ สารพิษจากสิ่งอ่ืนๆที่ไม่ใช่เชื้อโรค เชน่ เหด็ พษิ สารหนู และโลหะหนกั (เช่น ตะกั่ว) อาหารเป็นพิษ เป็นโรคพบบ่อยโรคหน่ึงในประเทศท่ีกำลังพัฒนา แต่พบได้ประปรายใน ประเทศ ท่ีพัฒนาแล้ว เกิดได้กับคนทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และโอกาสเกิดในผู้หญิงและ ผู้ชายเท่ากัน ทั้งน้ีเป็นโรคพบในเด็กได้สูงกว่าวัยอ่ืนๆ เพราะแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหาร โรงเรียน ทงั้ นีใ้ นประเทศทก่ี ำลงั พฒั นา มรี ายงานเดก็ เกิดอาหารเปน็ พิษไดส้ ูงถงึ ประมาณ 5 ครั้งตอ่ ปี อาหารเป็นพิษ เม่ือเกิดจากเช้ือโรค สามารถเป็นโรคติดต่อได้ และพบเกิดระบาดได้เป็นครั้ง คราว โดยนยิ ามของการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ คือ เกิด อาการท้องเสีย อาจร่วมกับอาการทาง กระเพาะอาหารและลำไส้อ่ืนๆ เช่น ปวดท้อง ข้ึนพรอ้ มกัน หรือ ตอ่ เนื่องกนั อยา่ งน้อยตงั้ แต่ 2 คนข้ึน ไป โดยมีสาเหตมุ าจากอาหาร และ/หรอื นำ้ ดม่ื โรคอาหารเป็นพิษท่ีเกิดกับนักท่องเที่ยวเดนิ ทาง มักเกิดจากติดเช้ือแบคทีเรีย ซึ่งเรียกว่า โรค ท้องเสียของนักทอ่ งเทย่ี วเดนิ ทาง (Travelers’ diarrhea) สาเหตุและกลไกการเกิดโรคโรคอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่เกิดจากกินอาหาร และ/หรือ ด่ืมน้ำ/ เครื่องดื่มท่ีปนเป้ือน แบคทีเรีย รองลงไป คือ ไวรัส นอกจากน้ันท่ีพบได้บ้าง คือ การปนเป้ือนปรสิต (Parasite) เช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนสารพิษ ท่ีพบบ่อย คือ จากเห็ดพิษ สารพิษ ปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และสารโลหะหนักดังกล่าวแบคทีเรียที่พบก่อโรคอาหารเป็นพิษ มี หลายชนิด ที่พบบ่อย คือ สแตฟฟีโลคอกคัส (Staphylococcus) อีโคไล (E. coli) บิดชิเกลลา (Shigella) ไทฟ อยด์ (Salmonella) เช้ือแบคทีเรียในกลุ่มเดียวกับบาดทะยัก (Clostridium) อหิวาตกโรค (Cholera) และ ลิสทีเรีย (Listeria monocytogenes) ไวรัสท่ีพบเป็นสาเหตุโรคอาหาร เป็นพิษ ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบ เอ และ อะดีโนไวรัส (Adenovirus) เมื่อเช้ือโรค หรือ สารพิษ เข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ จะมีกลไกทำให้เกิดอาการได้เปน็ สองแบบ ท้ังน้ีขน้ึ กบั ชนดิ ของเช้ือ หรือ สารพษิ กลไกแรก เปน็ กลไกทีก่ ่ออาการทอ้ งเสียไมร่ นุ แรง เรยี กวา่ noninflamma tory type โดยเช้ือ จะก่ออาการเฉพาะกับเย่ือเมือกบุลำไส้เล็กเท่าน้ัน ไม่รุกรานเข้าสู่ร่างกาย ดังน้ัน อาการส่วนใหญ่ จึง เป็น ท้องเสียเป็นน้ำ โดยไม่ถ่ายเป็นมูก หรือ เป็นเลือด และมีอาการปวดท้องไม่มาก แต่จะทำให้ ร่างกายขาดน้ำได้มาก เช่น จากเช้ือ อีโคไล สายพันธ์ุไม่รุนแรง (อีโคไล มีหลายสายพันธ์ุย่อย) และไม่ ค่อยมีอาการร่วมอ่ืนๆอีกกลไกหนึ่ง เป็นกลไกที่รุนแรง เรียกวา่ Inflammatory type คือ เช้ือ ทำลาย เยือ่ เมอื กของลำไส้เลก็ และ รุกรานผ่านเยื่อเมือกเข้าส่กู ระแสโลหติ (เลอื ด) ไปทั่วรา่ งกาย ดังนน้ั อาการ ท้องเสียจึงมักเป็นมูก เป็นเลือด หรือ มูกเลือด และมักร่วมกับมีอาการร่วมอ่ืนๆ เช่น ปวดท้องมาก คลน่ื ไส้ อาเจียน ไข้สูง ปวดเม่อื ยเนื้อตัว และปวดขอ้ และเมือ่ เปน็ เช้ือชนดิ รุนแรง เช่น เชื้อแบคทีเรยี ใน

114 กลุ่มบาดทะยัก สารพิษของเช้ือน้ี สามารถทำลายประสาทได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต และรวมทั้งกล้ามเนื้อหายใจ หายใจไม่ได้ หยุดหายใจ และเสียชีวิตในทีส่ ุดสว่ นกลไกจากสารพิษที่ไม่ใช่ จากเช้ือโรค ยงั ไมท่ ราบชดั เจนว่า เกดิ ได้อยา่ งไร อาการของโรคเม่ือเชื้อ หรือ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า (ระยะฟักตัว) ข้ึนกับชนิด และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซ่ึงพบการเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกิน อาหาร/ด่ืมน้ำ ไปจนเปน็ วนั หรือ สปั ดาห์ หรือ เป็นเดือน (เช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แต่โดยท่วั ไป มัก พบเกิดอาการภายใน 2-6 ช่ัวโมง หรือ 2-3วันอาการโดยท่ัวไปท่ีพบได้บ่อย จากอาหารเป็นพิษ ได้แก่ ทอ้ งเสีย อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ดงั กล่าวแล้ว ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความรนุ แรง ของโรค มักเป็นการปวดบิด คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้สูง อาจหนาวสั่น แต่บางคร้ังมีไข้ต่ำได้ ปวดศีรษะ ปวดเมอื่ ยเนื้อตวั อาจปวดขอ้ ขึ้นกับชนิดของเชือ้ หรือ สารพิษดงั กลา่ วแล้ว อาจมผี ่ืนข้นึ ตามเนื้อตัว อาจ มกี ล้ามเนือ้ ออ่ นแรง ดงั กล่าวแลว้ เชน่ กัน ผลข้างเคียงของโรคอาหารเป็นพิษผลข้างเคียงจากโรคอาหารเป็นพิษ โดยท่ัวไปคือ ภาวะขาด นำ้ เม่ือทอ้ งเสียมาก (ออ่ นเพลยี มาก ตวั แหง้ ปากแห้ง ปสั สาวะน้อย/ไม่มีปสั สาวะ ความดนั โลหติ อาจต่ำ สับสน และโคม่าได้) นอกจากน้ัน ข้ึนกับชนิดของเชื้อโรค หรือของสารพิษ เช่น กล้ามเน้ือไม่มีแรงเมื่อ ได้รับเชื้อแบคทเี รียกลุม่ บาดทะยัก เลอื ดออกตามอวยั วะต่างๆโดยเฉพาะไต เมือ่ เกดิ จากเช้อื อโี คไลชนิด รุนแรง หรือ ทำใหเ้ กดิ การแทง้ บุตรในหญงิ ตงั้ ครรภ์เมอื่ เกดิ จากเช้อื ลสิ ทีเรีย ความรุนแรงของโรคโดยท่ัวไป ประมาณ 80-90% ของโรคอาหารเป็นพิษไม่รนุ แรง โรคหายได้ ภายใน 2-3 วัน แตท่ ั้งนี้ข้ึนกับชนิด และปรมิ าณของเช้ือโรค หรือ ของสารพิษดว้ ย นอกจากน้นั จะพบ ความรุนแรงโรคสูงขึ้นมาก และเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้สูง เมื่อโรคเกิดในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในเด็กเล็ก ในผ้ปู ่วยโรคเอดส์ หรือ ในผสู้ งู อายุ การดูแลตนเอง และการพบแพทย์ เม่ืออาหารเป็นพิษ ท่ีสำคัญ คือ ในขณะปวดท้อง หรือ คล่ืนไส้อาเจียน ไม่ควรกินอาหาร หรือ ดื่มน้ำเพราะอาการจะรุนแรงขึ้น ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายท้อง เพราะการทอ้ งเสยี จะช่วยขับเชอื้ และสารพษิ ออกจากรา่ งกาย จบิ น้ำ อมน้ำแข็งสะอาด หรือ น้ำเกลือแร่ บ่อยๆ เพ่ือป้องกันภาวะขาดน้ำ เม่ืออาการคล่ืนไส้ อาเจียน หรือ ปวดท้องบรรเทาลง ควรเริ่มอาหาร ดว้ ยอาหารน้ำ รสจืด เช่น น้ำซุปครั้งละน้อยๆก่อน แล้วสังเกตอาการ หลังจากน้ัน ปรับอาหารไปตาม อาการ ดื่มน้ำสะอาดใหไ้ ดว้ นั ละมากๆ อย่างน้อย 8-10 แก้ว เมอ่ื แพทยไ์ ม่ส่งั ให้ จำกัดนำ้ ด่มื พักผ่อนให้ มากๆ รักษาสุขอนามัยพ้ืนฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพ่ือป้องกันการแพร่กระจายเช้ือสู่ผู้อ่ืน ที่สำคัญ คอื การล้างมอื ใหส้ ะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลงั การขับ ถ่าย และก่อนกินอาหาร

115 รีบพบแพทย์ภายใน 24 ช่ัวโมง หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เม่ือมีอาการ ดังกล่าวภายหลังการกินเห็ด หรือ อาหารทะเล เพราะมักเกิดจากสารพิษท่ีรุนแรง มีคลื่นไส้ อาเจียน มาก ปวดท้องมาก ท้องเสียมาก ด่ืมน้ำไม่ได้ ไม่มีปัสสาวะ (อาการจากร่างกายขาดน้ำมาก) อาการ ท้องเสยี ถงึ แมจ้ ะดีขน้ึ แตย่ งั คงมอี าการอย่นู านเกนิ 3 วนั มไี ขส้ ูง อุจจาระเปน็ เลอื ด วิธีการป้องกันโรคอาหารเปน็ พิษ การป้องกนั โรคอาหารเป็นพษิ ท่สี ำคญั คือ 1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องการล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ และทุกครั้ง กอ่ นกนิ อาหาร และหลังเข้าหอ้ งนำ้ โดยเฉพาะ แม่ครัว และผู้ดูแลด้านอาหาร และน้ำดื่ม 2. รักษาความสะอาด เคร่ืองปรุงอาหารต่างๆ เครอื่ งใชใ้ นครัว และหอ้ งครวั เสมอ 3. กินอาหารสุก สะอาด ไม่กินสุกๆดิบๆ ระวังการกินเห็ดต่างๆ โดยเฉพาะชนิดท่ีไม่รู้จัก ระมดั ระวงั การกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของนำ้ แข็ง 4. เมอื่ กนิ อาหารนอกบ้าน เลอื กร้านที่สะอาด ไวใ้ จได้ 5. เน้ือสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น ต้องเก็บแยกจากอาหารอื่นๆทุกชนิด และต้องอยู่ในภาชนะปิด มิดชิด เพราะเชอ้ื แบคทีเรยี สว่ นใหญ่ จะอยู่ในอาหารสดพวกน้ี 6. ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการต้ังท้ิงไว้ หรือ แช่น้ำ เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรค จากอณุ หภูมิท่ีเหมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตของเชอ้ื โรค ควรละลายดว้ ยไมโครเวฟ 7. รักษาความสะอาดของผักสด เช่น ถั่วงอก สลัด และอาหารสำเรจ็ รปู ต่างๆ 8. ไมค่ วรกนิ น้ำสลัด ซอสตา่ งๆ นำ้ ส้มสายชู ทท่ี ำทิ้งค้างไว้นานๆ การตดิ เชือ้ ทางผวิ หนัง โรคผิวหนงั อักเสบติดเชือ้ มีอะไรบ้าง แลว้ เกิดจากอะไร รกั ษาไดไ้ หม ลองรู้จกั อาการเหล่านี้ให้ มากขนึ้ ผิวหนงั เป็นเน้ือเยอื่ สว่ นนอกสดุ ของร่างกายท่ีหอ่ หุ้มโครงสร้างและอวยั วะทกุ อย่างไว้ ซึ่งในแตล่ ะ บริเวณจะมีความหนา-บางแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพ้ืนท่ีที่ต้องรองรับ และถูกเสียดสี ผิวหนังของเรา แบง่ เป็น 2 ช้นั ใหญ่ ๆ คอื 1. ช้ันหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นท่ีอยู่บนสุด บางและหลุดลอกออกไปได้ง่าย หรือที่ เรียกว่าข้ีไคลนั่นเอง ในช้ันน้ีจะไม่มีเลือดและเส้นประสาทหล่อเลี้ยงครับ แต่มีเซลล์ที่ช่ือ เมลาโนไซด์ (Melanocyte) ซึง่ ทำหน้าท่ีสรา้ งเมด็ สีเมลานิน (Melanin) ทีท่ ำให้แตล่ ะคนมีสผี ิวที่แตกต่างกันออกไป 2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นที่อยู่ลึกถัดจากชั้นหนังกำพร้าลงมา มีความหนากว่าช้ันแรก มาก เป็นทีอ่ ยขู่ องเซลล์ ต่อม หลอดเลอื ด และระบบประสาททม่ี าหล่อเลีย้ ง

116 โรคผิวหนัง หน้าที่ของผิวหนังนอกจากปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตรายแล้ว ยังมี ความสำคัญในการรกั ษาระดบั อุณหภูมิร่างกาย ขับของเสยี ออกทางเหงือ่ รับความรูส้ ึกสัมผัสต่าง ๆ ทั้ง ยังมีส่วนช่วยในการสร้างวิตามินดี และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกด้วยความผิดปกติท่ีเกิด ขึน้ กับผิวหนังของเรามีได้หลายอย่างครับ สำหรับวันน้ีจะกล่าวถึงโรคติดเชื้อท่ีเกิดข้ึนกับระบบผิวหนัง ซง่ึ มีด้วยกันหลายโรคตามตำแหน่งท่ีเกิดการตดิ เชื้อ โดยเช้ือท่ีก่อโรคมี 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ แบคทีเรีย รา และไวรสั ชั้นผวิ หนงั 1. โรคผิวหนังอักเสบจากเช้ือแบคทีเรยี อันที่จริงแลว้ ผิวหนังของคนเราก็มีเช้ือแบคทีเรียอาศัย อยู่นะครบั เรียกว่าเปน็ เชื้อประจำถิ่น (Normal Flora) ซึ่งโดยปกติจะไม่ทำให้เกิดโรคครับ แต่ถ้ามกี าร เปลี่ยนแปลงสภาพของผิวหนังไปจากเดิม เช่น มีบาดแผล มีโรคผิวหนังอ่ืน ๆ อยู่ก่อน สุขอนามัยไม่ดี หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช้ือเหล่าน้ีก็มีโอกาสทำให้เกิดโรคได้ ตัวท่ีก่อให้เกิดการติดเช้ือมากที่สุด ได้แก่ Staphylococcus aureus และ Staphylococcus pyogenes โรคผิวหนังอักเสบจากเช้ือ แบคทเี รียท่พี บมาก ไดแ้ ก่ แผลพุพอง (impetiongo)เป็นการติดเชื้อของชั้นหนังกำพร้า ส่วนใหญ่เกิดจากสุขอนามัยไม่ดี หรือละเลยบาดแผลเล็ก ๆ จะลุกลามจึงพบไดบ้ ่อยในเด็กเล็ก ส่วนมากบาดแผลเกิดขึ้นที่ใบหนา้ บริเวณ รอบจมกู เน่ืองจากการแกะ เกา และตามแขน-ขาท่ัวไป เร่ิมแรกเป็นเพียงผื่นแดงเล็ก ๆ มอี าการคันแล้ว กลายเป็นตุ่มน้ำพองใส เมื่อแตกออกพื้นแผลจะเป็นสีแดง มีน้ำเหลืองไหล พอแห้งจะตกเป็นสะเก็ด เหลอื งเกาะที่แผล ถ้าเกิดทห่ี นังศีรษะมีช่อื เรียกว่าชันนะตุ หากปล่อยไว้นานแผลอาจลุกลามขยายใหญ่ ขนึ้ หรือกินลกึ ลงไปมากขึ้น และเข้าส่กู ระแสเลือดได้ การรักษา เร่ิมต้นด้วยการล้างทำความสะอาดบาดแผล และใช้ยาทาฆ่าเชื้อ Mupiroxin ประมาณ 7-10 วัน ก็เพียงพอ แต่หากบาดแผลกว้างและลึกมาก อาจต้องใช้ยา Dicloxacillin รับประทานรว่ มดว้ ย รขู มุ ขนอักเสบ (Folliculitis, Furuncles Carbuncler) เป็นการติดเช้ือของรูขุมขนจนเกิดเป็นผ่ืนแดง ไม่มีอาการหรืออาจคัน หรือเจ็บเล็กน้อย พบได้ ในบรเิ วณที่มีต่อมขนเยอะ เช่น หนวด เครา รักแร้ เป็นต้น สว่ นมากมักจะหายเอง แต่บางครั้งอาจเกิด การอักเสบมาก จนเป็นตุ่มหนอง แดงและเจ็บ เม่ือแตกออกจะมีหนองไหลออกมาได้ เรียกว่าฝี (Furuncles) ถ้าแผลลึกและกว้างมากจนมรี ูหนองที่เช่อื มต่อกันหลาย ๆ รู เรียกวา่ Carbuncles หรือฝี ฝักบวั นน่ั เอง ซง่ึ มักจะมีใช้ร่วมด้วย เนื่องจากการอกั เสบทมี่ ากข้นึ การรักษา ในข้ันตน้ หากมอี าการ ให้ใช้ยาทาฆา่ เชือ้ 1% Clindamycin ทาบริเวณแผลวันละ 2- 3 คร้ัง สำหรบั Furuncies และ Carbuncles จำเปน็ ต้องผา่ ระบายหนองออก และใช้ยา Dicloxacillin รบั ประทานร่วมด้วย

117 ไฟลามทุ่ง (Erysipelas) เป็นการอักเสบของผิวหนังร่วมกับหลอดน้ำเหลือง เริ่มจากตุ่มแดง แล้วกระจายลามออกไปอย่างรวดเร็วแผลมีสีแดงจัด กดเจ็บ ผิวบริเวณนั้นยกขึ้นมาจากบริเวณที่ปกติ อย่างชดั เจน ผูป้ ่วยจะมใี ช้ร่วมด้วย การรกั ษา รบั ประทานยา Dicloxacillin ประมาณ 5-7 วนั ร่วมกบั การประคบรอ้ น ผวิ หนังอักเสบ (Cellulitis) เป็นการอักเสบของเนือ้ เยื่อช้ันหนังแท้และลึกลงไปยังช้ันได้ผวิ หนัง ลักษณะเป็นผ่ืนแดงจัด ลามอย่างรวดเร็ว กดเจ็บและออกร้อน แยกจากไฟลามทุ่งได้จากขอบเขตท่ีไม่ ชัดเจน มักพบว่ามีอาการไข้ และต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย พบได้บ่อยในรายที่ประสบอุบัติเหตุ ผู้ป่วย เบาหวาน อว้ น หรือติดสรุ า การรกั ษา รบั ประทานยา Dicloxacillin ประมาณ 5-7 วนั รว่ มกบั การประคบร้อน ข้อควรระวัง ไฟลามทุ่งและโรคผิวหนังอักเสบ เป็นโรคท่ีมีความรุนแรงมากขึ้น เช้ือจะ แพร่กระจายเขา้ สู่กระแสเลอื ดได้ง่าย ควรอยู่ในความดแู ลของแพทย์ ภาพท่ี 19 กลากที่งา่ มเท้า (ที่มา: http://www.healthcarethai.com/) 2. โรคผวิ หนังอักเสบจากเชื้อรา เป็นเช้ืออกี กลุ่มท่ีพบได้ท่ัวไปในทุกภมู ิอากาศ แต่มักกอ่ โรคใน สภาวะที่อบั ช้ืน และพบไดม้ ากข้ึนในกลมุ่ ผู้ปว่ ยท่ีมีภูมิตา้ นทานต่ำ หรือกินยาปฏิชวี นะนาน ๆ หรอื เป็น เบาหวาน เป็นต้น โรคตดิ เช้อื ผวิ หนังทเ่ี กิดจากเชอ้ื ราท่ีรู้จกั และเป็นกนั มาก ไดแ้ ก่ กลาก ธรรมชาติของราชนิดน้ีมักเกิดข้ึนในบรเิ วณท่ีมีเคอราติน ซ่ึงเป็นโปรตีนโครงสร้างชนิด หน่งึ พบที่ ผิวหนัง เลบ็ ขน และผม อาการท่ีเกดิ ขนึ้ จะแตกต่างกนั ไปตามอวัยวะทีต่ ดิ เช้ือ อาทิ

118 กลากท่ีผิวหนัง เช่น ลำตัว แขน ขา รักแร้ ขาหนีบ ผื่นจะเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ แล้วขยายวงกว้าง ออกเรอ่ื ย ๆ ขอบนูนแดง มีขยุ สีขาว คันมาก กลากที่ง่ามเท้า เรียกว่าฮ่องกงฟูต หรือน้ำกัดเท้า ผิวหนังบริเวณน้ันจะเป็นแผ่นขาวยุ่ย ลอกออกเป็นแผน่ ไดส้ ง่ กลิ่นเหม็นและคันมาก กลากท่ีเล็บ มักเกิดบริเวณข้างเล็บเข้ามา จะเห็นเป็นสีน้ำตาล หรือขาวขุ่น ด้าน ขรุขระ หรือ อาจเปื่อยยยุ่ ได้ ไม่มีอาการเจ็บหรือคนั แต่มักเป็นเรอ้ื รัง กลากที่หนังศีรษะ ผื่นเป็นวงเหมือนท่ีเกิดตามลำตัว แต่พบร่วมกับอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เสน้ ผมหกั ซ่ึงเกดิ จากเช้ือราทำลาย การรักษา สำหรับแผลเฉพาะท่ีเพียงใช้ยาฆ่าเช้ือทาจนแผลหาย อาจจะประมาณ 4-8 สัปดาห์ ข้ึนอยู่กับบริเวณท่ีติดเช้ือ แต่ถ้าแผลกว้างมาก เป็นหลายจุด หรือผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจใช้วิธี รับประทานยาฆา่ เชือ้ แทน ภาพท่ี 20 กลากผิวหนงั (ท่ีมา: http://healthylifethai.blogspot.com) เกล้ือนเช้ือราชนิดนี้โดยปกติอาศยั อยู่ที่รูขุมขนของทุกคน โดยได้ไขมันจากรูขุมขนเป็นอาหาร ตอ่ เม่ือภูมิต้านทานลดลง จึงทำให้เกดิ โรค โดยมีลักษณะเป็นด่างขาว มีขุยขอบเขตชัดเจน หรือบางคน อาจเป็นสีเข้มขึน้ ก็ได้ แต่มักไม่มีอาการอ่ืน บรเิ วณท่ีพบมาก ได้แก่ ส่วนที่มตี ่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก หลงั การรักษา มีทั้งยาทา ยาสระหรือสบู่ ใช้แค่ 3-5 วัน และซ้ำทกุ เดอื น รวมไปถึงยากินในรายท่ีมี อาการมาก และต้องใช้อย่างต่อเน่ืองจนครบกำหนด แต่ด่างขาวท่ีเกิดข้ึนอาจต้องรอจนเซลล์ผิวสร้าง เม็ดสีขึ้นมาใหม่ จึงจะหายไป ถงึ แมว้ า่ เช้อื จะถกู กำจดั ไปหมดแลว้ ก็ตาม

119 การป้องกัน วิธีที่ดีท่ีสุดคือ การหม่ันดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ต้อง แยกเสอื้ ผา้ รวมท้ังอุปกรณ์ของใช้ออกจากผอู้ น่ื เพื่อปอ้ งกันการตดิ ต่อ ภาพท่ี 21 เริมทปี่ าก (ท่มี า: http://healthylifethai.blogspot.co ) 3. โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัสไวรัสเป็นเชื้อกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในทุก ระบบ รวมไปถึงการตดิ เช้ือทผ่ี ิวหนัง เชื้อวา่ หลายทา่ นคงเคยเปน็ หรือมีคนใกล้ตัวเป็นโรคเหล่านก้ี นั บ้าง แน่ ๆ และไม่ตอ้ งแปลกใจนะครบั หากพบว่าเป็นโรคเหลา่ น้ีอยบู่ อ่ ย ๆ เพราะเป็นธรรมชาติของไวรัส ซ่ึง เมื่อร่างกายได้รับเช้ือมาแล้วจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตัวเช้ือเพื่อพยายามกำจัด และปกป้องตนเอง ไม่ให้เป็นโรค แต่ตัวเชื้อก็จะยังคงหลบซ่อนและอาศัยอยู่ในร่างกายน่ีล่ะครับ จนวันดีคืนดีเม่ือภูมิ ตา้ นทานตำ่ ลงกจ็ ะเกดิ อาการของโรคข้นึ มาได้ โรคตดิ เช้ือผิวหนงั จากเชอ้ื ไวรัสทส่ี ำคญั ได้แก่ เริม (Herpes Simplex)เชื้อเริมเป็นตัวอย่างท่ีดีครับว่าสามารถเป็นได้อยู่บ่อย ๆ ถ้าร่างกาย อ่อนแอลง เช่น อดนอน ทำงานหนัก เครียด เชื้อน้ีมีด้วยกัน 2 ชนิด มักทำให้เกิดอาการในบริเวณที่ แตกตา่ งกนั คอื เช้ือชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Vinus2) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือข้ึนไป ถ้า เกิดที่ปากเรียกว่า Herpes Labialis ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ติดจากการด่ืมน้ำหรือทานอาหาร รว่ มกนั

120 เช้ือชนิดที่ 2 (Hepes Simplex Virus2) มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทาง เพศสัมพนั ธ์ ลักษณะของแผลเริมคือ เป็นตุ่มน้ำพองใสเล็ก ๆ ข้ึนเป็นกลุ่ม เมื่อแตกออกจะเป็นแผลตื้น ๆ อยู่บนฐานสีแดง เจ็บและแสบมาก โดยปกติโรคจะดำเนินไปจนหายเองภายใน 10 วัน แต่มีโอกาสเกิด ซำ้ ถงึ 40 เปอรเ์ ซ็นต์ หรืออาจใชย้ า Acyclovir รับประทานต่อเนือ่ ง 1 สัปดาห์ ภาพท่ี 22 อาการงูสวัด (ท่มี า: http://healthylifethai.blogspot.co ) งสู วัด (Herpes Zoster)เชื้อก่อโรคคือ Hepes Varicella Zoster คือเช้ือชนิดเดียวกับที่ทำให้ เกดิ โรคสุกใส แผลท่เี กดิ ขนึ้ จึงมีลกั ษณะเดียวกันคือตุ่มพองใสบนฐานแดง ข้ึนชิดกัน มักกลายเป็นหนอง แห้ง และตกสะเก็ดภายใน 10 วัน ลักษณะท่ีต่างจากสุกใส คือ ผื่นจะข้ึนเป็นแนวตามแนวของ เส้นประสาท มีไข้ และอ่อนเพลียร่วมด้วย หลายคนถามว่าจริงหรือไม่ ท่ีบอกว่า ถ้างูสวัดพันครบรอบ แล้วจะเสียชีวิต ก็อาจเป็นได้นะครับ เพราะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยต้องต่ำมากจริง ๆ เช้ือถึงแพร่กระจาย เรว็ การรักษา รับประทานยา Acyclovir ตามแพทยส์ ่งั หูด (Wart) หูดคือก้อนที่ผิวหนัง อาจจะผิวเรียบ หรือขรุขระ สีขาว ชมพู หรือน้ำตาล เกิดขึ้น บรเิ วณใดก็ได้ แต่มักพบบอ่ ยที่น้วิ มือ แขน ขา เกิดจากเชื้อ Human Papilloma Vinus หูดมีลกั ษณะท่ี ต่างกันออกไปในแต่ละชนิด คือ Verrucus Vulgairs หูดธรรมดา เป็นเม็ดเดียว หรือหลายเม็ด ขรุขระ กระจายท่ัวไป มักพบบ่อยที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า Verrucus Plana หูดราบ เป็นเม็ดผิวแบนราบ สี เดียวกับผิวหนัง มกั พบท่ีบริเวณใบหน้า Condyloma Accuminata หดู หงอนไก่ เป็นต่ิงเนอ้ื นุ่ม สชี มพู พบที่อวัยวะเพศ Plantar Wart เป็นเม็ดแข็ง ขึ้นที่ได้ฝ่าเท้า Filitorm and Digitate Wart เป็นติ่งย่ืน ออกจากผิวหนัง พบบ่อยท่ีคอและใบหน้า การรักษา มีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดของหูด แต่ท่ีพบ บอ่ ยทส่ี ุดอย่าง Verrucus Vulgaris มกั รักษาด้วยการจ้ดี ้วยกรดซาลิไซลิก จี้ไฟฟ้าหรอื ผ่าตัดออก

121 สรุปทั้งหมดที่กลา่ วมาน้คี อื โรคผวิ หนงั อกั เสบชนิดทเ่ี กิดจากการตดิ เชอ้ื ครับ ซง่ึ ไม่วา่ จะเปน็ ชนิด ใด หลักการสำคัญในการป้องกันก็คือ หม่ันดูแลรักษาสุขอนามัยของผิวหนังให้สะอาดอยู่เสมอ และที่ สำคัญมากกวา่ นนั้ กค็ อื หากพบว่ามีแผล หรอื อาการผดิ ปกตขิ องผวิ หนงั ควรรีบไปพบแพทย์เพอ่ื ทำการ รักษาทันที ไม่ควรปล่อยให้เชื้อลุกลาม เพราะจะทำให้การรักษายากขึ้น หรืออาจเกิดโรคแทรกซ้อน ตามมาได้ การติดเชอื้ ทางเพศสมั พันธ์ ภาพท่ี 23 แสดงการตดิ เชอ้ื ทางเพศสัมพนั ธ์ (ท่ีมา: https://st-disease.blogspot.com/) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรอื โรคส่งผ่านทางเพศสมั พันธ์ (ตามท่ีบัญญัติในราชบัณฑิตยสถาน) (Sexually transmitted disease; STD) อาจเรียกว่า \"กามโรค\" (Venereal disease) หรือ \"วีดี\" เกิดข้ึนจากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือ ทวารหนัก กับผทู้ ีก่ ำลงั มีเชือ้ ปจั จบุ ันใช้คำว่า \"การติดเช้ือทางเพศสมั พนั ธ์\" เพอ่ื ให้มีความหมายกวา้ งขึ้น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคท่ีสามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น เน่อื งจากวยั รนุ่ ในปัจจบุ นั นยิ มมีเพศสัมพันธ์กอ่ นการแต่งงาน โดยทข่ี าดความรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกับการ ป้องกันตัวเอง รวมท้ังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ นอกจากนี้ในปัจจุบันคู่แต่งงานมีอัตราการหย่า ร้างสูงขน้ึ ทำให้คนมีสามี หรือภรรยาหลายคน จงึ เกิด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มากขึ้น ส่ิงทอี่ ันตราย ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เกิดอาการ บางคนจึงติดโรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์แล้วโดยไม่รู้ตัว และเป็นปัญหาในการจัดการทางระบบสาธารณสุข และท่ีสำคัญโรคติดต่อ ทางเพศสมั พันธ์ สามารถติดตอ่ ไปยงั ทารกในครรภ์ได้ สาเหตุของการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สาเหตุของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์แบ่ง ออกเปน็ 3 กลุ่มคอื

122 1. เกิดจากเช้ือไวรัส ซ่ึงบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบาง ชนิดยังสามารถฝงั ตัวอยู่ และกลบั มาเป็นซ้ำได้อีก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท่ีเกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ เรมิ ที่อวยั วะเพศ หูดหงอนไก่ ไวรัสตบั อกั เสบบี ฯลฯ 2. เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ท่อปสั สาวะอักเสบ ชอ่ งคลอดอกั เสบ ฯลฯ 3. เกดิ จากเช้อื อ่นื ๆ เช่น พยาธิ สามารถรักษาใหห้ ายขาดได้ดว้ ยการใชย้ าปฏิชีวนะ กลมุ่ เสี่ยงต่อการเปน็ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คนท่ีมเี พศสัมพันธ์กับชาย หรอื หญิงบริการ ใน 3 เดือนก่อนหน้า คนที่มีคูน่ อนมากกว่า 1 คน ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า คนท่ีมีเพศสัมพันธก์ ับคู่คนใหม่ ในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ผทู้ ่ีมีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ใน 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่มีคู่ครอง อยู่คนละที่ อาการแบบใด สงสยั เปน็ โรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์หากมีอาการเหล่านี้ สามารถสงสัยได้ว่าเป็น โรคติดต่อทางเพศสมั พนั ธ์ ในผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่ม แผล บรเิ วณอวัยวะเพศ มเี มือกใส หรือหนองไหลออกมา ในผู้หญิง จะรู้สึกเจ็บ เสียวท้องน้อย ขาหนีบบวม หรือเป็นฝี เจ็บปวด คันอวัยวะเพศ มีผื่น ตุม่ แผลบรเิ วณอวัยวะเพศ มีตกขาวสเี หลือง มกี ลน่ิ เหม็น โรคเอดสโ์ รคติดตอ่ ทางเพศสัมพันธ์ ท่สี ำคญั ไดแ้ ก่ 1. โรคเอดส์ (AIDS) หรือกลุ่มอ าการภูมิคุ้มกันเส่ือม เกิดจาก การรับเช้ือ Human immunodeficiency virus หรอื HIV เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวท่ีเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้เชื้อโรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น มะเร็ง วัณ โรค และสาเหตุการเสียชีวิตก็มักเกิดข้ึนจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่าน้ี ท่ีจะทำให้อาการ รนุ แรง และเสยี ชีวิตอย่างรวดเรว็ 2. หนองใน (Gonorrhoea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียช่ือ Neisseria gonorrhoeae ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในท่อปัสสาวะ แสบขัดเวลาปัสสาวะ และมี หนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ อาจจะทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง หรือเป็นหมันหากไม่ได้รับการ รักษา

123 3 . ห น อ ง ใน เที ย ม (Non-gonococcal Urethritis/Non gonococcal Cervicitis) เป็ น โรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ ทีท่ ำใหม้ ีอาการแสบปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขดั และมหี นองไหล และมมี ูก ออกเล็กน้อยโดยเฉพาะในช่วงเช้า สว่ นผ้หู ญงิ อาจมีอาการตกขาวผิดปกติ 4. แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ Haemophilus Ducreyi ทำใหเ้ กิดแผลที่อวัยวะเพศ บวมและเจ็บ บางคนมีต่อมน้ำเหลอื งท่ีขาหนบี หรือทชี่ าวบา้ นเรยี ก ไข่ดันบวม หากไม่รักษาหนองจะแตกออกจากต่อมน้ำเหลือง มักมีหลายแผล ขอบแผลนุ่มและไม่เรียบ กน้ แผลสกปรกมีหนอง มีเลือดออกง่าย เวลาสัมผสั เจบ็ ปวดมาก บางรายตอ่ มนำ้ เหลอื งท่ีขาหนบี จะบวม และเป็นฝี เมอ่ื ฝีแตกจะเป็นแผล 5. เริมที่อวัยวะเพ ศ (Genita Herpes Simplex Virus Infection) เป็น โรคติดต่อทาง เพศสัมพันธ์ ท่ีเกิดจากเช้ือไวรัส herpes simplex virus ทำให้เกิดอาการปวดแสบบริเวณขา ก้นหรือ อวัยวะเพศ และตามด้วยผื่นเป็นตุ่มน้ำใส แผลหายได้เองใน 2-3 สัปดาห์ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย เมื่อ ร่างกายออ่ นแอ เชอื้ ก็จะกลบั เป็นใหม่ 6. หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเช้ือไวรัส Molluscum contagiosum virus (MCV) ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนบนผิวหนัง ผิวเรียบขนาดเล็ก ขนาด ประมาณ 2-5 มิลลิเมตร จะพบมากข้ึนในรายท่มี กี ารตดิ เช้อื HIV จำนวนตมุ่ ทเ่ี กิดข้นึ อาจมีมากหรอื นอ้ ย ขน้ึ กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้น วา่ ร่างกายมีความแข็งแรงเพียงใด ถ้าใช้เขม็ สะกิดตรงกลางแล้ว บีบดูจะได้เนื้อหูดสีขาว ๆ คล้ายข้าวสุก มักเป็นที่บรเิ วณหัวหน่าว อวัยวะเพศภายนอกและโคนขาด้าน ใน 7. หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากไวรัส Human papilloma virus ลักษณะเป็นติง่ เนื้อออ่ น ๆ สชี มพคู ล้ายหงอนไก่ ชอบขน้ึ ท่ีอุน่ และอบั ชนื้ ใน ผชู้ ายมกั พบทอ่ี วัยวะเพศบริเวณใต้หนงั หมุ้ ปลายอวัยวะเพศชาย ตลอดท้งั บริเวณรอบรอยเปิดขอบ, ท่อ ปัสสาวะ และอัณฑะ สว่ นผู้หญิงจะพบท่ีปากชอ่ งคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก ปากทวารหนักและ ฝีเยบ็ หูดมขี นาดโตข้ึนเร่อื ย ๆ การต้งั ครรภ์จะทำให้หูดโตเร็วกวา่ ปกติ ถา้ ไม่รบี รักษาจะเป็นมากข้นึ และ ยากต่อการรักษา และทารกอาจติดเช้อื ไดข้ ณะคลอด 8. หดิ (Scabies) เป็นโรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์ เกิดจากตวั ไร Sarcoptes scabei ลักษณะจะ มีตุ่มน้ำใสและตุ่มหนองคันขน้ึ กระจายท้ัง 2 ข้างของร่างกาย มกั พบตามง่ามนิ้วมือ ขอ้ ศอก รักแร้ รอบ หัวนม รอบสะดือ อวัยวะสืบพันธุ์ ข้อเท้า หลังเท้า ก้น ผู้ป่วยมักมีอาการคันมาก โดยเฉพาะเวลา กลางคืน สามารถติดต่อไดจ้ ากการสัมผัสใกลช้ ิด สมั ผัสทางเพศหรอื อย่ใู กลช้ ิดกบั ผู้ป่วย 9. ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเช้ือ Treponema pallidum เป็นโรคท่ีมอี นั ตราย และมีอาการเรือ้ รัง สามารถตดิ ตอ่ ยาวนานกว่า 2 ปี ลกั ษณะการตดิ เช้ือ

124 เริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ หากไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่างๆ ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิส ระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น นอกจากน้ี มารดาท่ีเป็นโรคซิฟิลิสจะ ถา่ ยทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis) จงึ ถอื ว่าซิฟิลสิ เป็นโรค ที่มีอันตราย และมอี าการเร้ือรัง สามารถติดตอ่ ยาวนานกวา่ 2 ปี 10. โลน (Pediculosis Pubis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากแมลงตัวเล็กท่ีเรียกว่า pediculosis pubis อาศัยอย่ทู ขี่ นหวั เหน่า ชอบไชตามรากขนอ่อน และดูดเลอื ดคนเปน็ อาหาร ผทู้ เ่ี ป็น โรคน้ี จะมีอาการคัน เมอื่ เกาจะทำให้เจา้ ตัวเช้อื แพรไ่ ปยงั บริเวณอืน่ ได้ การวินิจฉยั สามารถทำได้ด้วยตา เปล่า จะพบไข่สีขาวเกาะตรงโคนขน ไข่จะมีลักษณะวงรี ส่วนตัวแมลงเมื่อกินเลือดเต็มท่ีจะออกสี นำ้ ตาล ตดิ ต่อได้จากการสัมผัสทางเพศกับผ้ปู ่วย หรอื ใช้กางเกงในรว่ มกัน การรักษาสามารถซื้อยาทาได้ ตามรา้ นขายยา แตค่ นทอ้ งหรือเด็กควรจะปรึกษาแพทย์ 11. พยาธิช่องคลอด (Vaginal Trichomoniasis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ โปรโตซัว Trichomonas vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตกขาวผิดปกติ มีสีเขียวขุ่นหรือเหลืองเข้ม มี ฟองอากาศและมีกลิ่นเหม็น เกิดการระคายเคอื งบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันและ แสบปากช่องคลอด 12. เชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis) เป็นโรคตดิ ต่อทางเพศสมั พันธ์ เกิดจากเช้ือรา กลุ่ม Candida ซึ่งรอ้ ยละ 80 - 90 เกดิ จาก Candida albicans ทำให้มีอาการระคายเคอื งบริเวณช่อง คลอด มีการตกขาวขุ่นจับเป็นก้อน อาจมอี าการปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะร่วมเพศ 13. อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Diseases, PID) หรือโรคปีกมดลูกอักเสบ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเช้อื ของมดลูก รงั ไข่ หรือท่อรังไข่ อาจเสียชีวติ ไดห้ ากติด เชอ้ื รนุ แรง และหากไม่รักษา อาจเกิดโรคแทรกซอ้ นจนเป็นหมนั หรือเสยี ชวี ติ ได้ 14. แผลกามโรคเรือ้ รังที่ขาหนีบ (Granuloma inguinale) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ เกิด จากเชื้อแบคทีเรีย Donovania granulomatis โดยจะมีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ ซอกขา หรือบริเวณหน้า และไม่พบในประเทศไทย มักพบในคนผิวดำการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์วิธี ปอ้ งกันโรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธ์ คือ 1. ใส่ถงุ ยางอนามยั หากจะมเี พศสัมพนั ธก์ บั คนท่ไี ม่แน่ใจว่ามเี ชือ้ หรือไม่ 2. รกั ษาความสะอาดของรา่ งกายและอวยั วะเพศอยา่ งสมำ่ เสมอ 3. ไมเ่ ปล่ยี นค่นู อน ให้มสี ามี หรือภรรยาคนเดียว 4. ไม่ควรมีเพศสัมพนั ธต์ ้งั แต่ยงั อายุน้อย เนอ่ื งจากมีสถติ ิว่า ผู้ที่มเี พศสัมพันธต์ ้ังแต่อายุยังน้อย จะมโี อกาสตดิ โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์สูง

125 5. ตรวจโรคเป็นประจำทุกปี เพ่ือหาเชื้อโรค แม้จะไม่มีอาการใด ๆ โดยเฉพาะคู่ท่ีกำลังจะ แตง่ งาน 6. เรยี นรู้ ศกึ ษาอาการของโรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์ 7. ไม่ควรมเี พศสัมพนั ธข์ ณะมปี ระจำเดือน เพราะจะทำใหเ้ กิดโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ได้งา่ ย 8. ไมค่ วรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนกั หากจำเปน็ ใหส้ วมถงุ ยางอนามยั 9. ไม่ควรสวนล้างชอ่ งคลอด เพราะจะทำให้เกิดการติดเช้ือโรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ไดง้ ่าย วิธปี ฏิบตั ิตัวของผู้ที่เป็น โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพันธ์ 1) ต้องรักษาอย่างรวดเร็ว เพอื่ ปอ้ งกันการ แพร่เชื้อโรค 2) แจ้งคูน่ อนให้ทราบว่า เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพ่ือจะได้ป้องกัน ไมใ่ ห้เช้ือแพร่ ไปสู่คนอื่น 3) รักษาอาการ และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 4) หลีกเลี่ยงการมี เพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการอักเสบลุกลาม 5) งดด่ืม เคร่อื งด่ืมแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทุกชนิด 6) ไม่ควรซื้อยามารกั ษาเอง ควรปรกึ ษาแพทย์ เพ่ือให้ได้รับ การรกั ษาทถ่ี ูกตอ้ ง การตดิ เช้อื ทางรถและช่องคลอด ภาพท่ี 24 แสดงการติดเช้อื ทางรถและชอ่ งคลอด (ท่ีมา: http://www.phyathai-sriracha.com) ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial vaginosis) เป็นการอักเสบของช่อง คลอดสตรีที่เกิดจากการมีเช้ือแบคทีเรีย (ชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิต) มากกว่าปกติภาวะ อกั เสบที่ช่องคลอดจากแบคทีเรียน้ี พบมากท่ีสุดท่ีเป็นสาเหตุทำให้ตกขาวผิดปกติในสตรีวัยเจริญพันธุ์ ในสภาวะปกติ ช่องคลอดสตรีจะมีเชื้อแบคทีเรีย เช้ือรา อยู่ระดับหน่ึง เพ่ือรักษาสมดุลของช่องคลอด และไม่ทำให้เกิดโรค แบคทีเรียท่ีมีประโยชน์ คือ แบคทีเรีย Lacto bacilli ในช่องคลอดสตรีวัยเจริญ พันธ์ุปกตจิ ะมีแบคทีเรยี ชนดิ นเ้ี ป็นจำนวนมาก ประกอบดว้ ยในวยั นจี้ ะมฮี อร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงทำให้ ผนังช่องคลอดหนา แบคทีเรียเหล่านี้จะทำหน้าที่สร้างสาร Hydrogen peroxide (สารชนิดที่มี คณุ สมบัตฆิ ่าเช้อื โรคได้ และมคี วามเป็นกรดอ่อนๆ) มผี ลใหส้ ภาพชอ่ งคลอดเปน็ กรด ชงึ่ ป้องกันไม่ใหเ้ กิดการติดเชอ้ื ในชอ่ งคลอดได้ง่าย แตห่ ากมีเหตุการณ์ที่มาทำให้ความเป็นกรด ลดลง จะทำให้เชื้อแบคทีเรียบางสายพันธุ์แบ่งตัวมากผิดปกติในช่องคลอด คือ กลุ่ม Gardnerella vaginalis ซึ่งพบมากที่สุด นอกจากนี้เช้ือแบคทีเรียตัวอ่ืนๆท่ีพบได้ เช่น แบคทีเรียในกลุ่ม Prevotella

126 species, Porphyromonas species, Bacteroides species, Peptostreptococcus species, Mycoplasma hominis, Ureaplasma urealyticum และในกลุ่ม Mobiluncus species ซึ่งเป็น กลมุ่ แบคทเี รยี ท่ีทำใหเ้ กิดอาการผดิ ปกตใิ นชอ่ งคลอดได้ ปัจจัยเสีย่ งที่ทำให้เกดิ ภาวะชอ่ งคลอดอกั เสบจากเชื้อแบคทเี รีย ได้แก่ การมเี พศสัมพันธ์ การรบั ประทานยาแกอ้ กั เสบติดเช้ือแบคทเี รยี (ยาปฏชิ ีวนะ) บอ่ ยๆ จะทำให้เสยี สมดลุ ของแบคทเี รีย ในช่องคลอด ทำใหเ้ สยี่ งตอ่ การเพม่ิ จำนวนแบคทีเรยี บางชนิด ทำให้เกดิ ภาวะนขี้ ้ึนมา ภาวะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น ในสตรีวัยทอง (วัยหมดประจำเดือน) จะมีจำนวนแบค ที เรยี Lactobacilli ลดลง ความเปน็ กรดในชอ่ งคลอดลดลง ทำให้แบคทเี รยี บางชนิดเพ่ิมจำนวนได้อย่าง รวดเร็ว การสวนลา้ งช่องคลอดบอ่ ยๆ จะทำให้เสยี สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด การมีคู่นอนหลาย คน ภาวะ/โรคช่องคลอดอกั เสบจากเชื้อแบคทีเรีย ไม่จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสมั พันธ์ การรักษา จึงมุ่งรกั ษาทฝ่ี ่ายหญิงฝ่ายเดียว มบี างงานวิจยั ทพ่ี ยายามจะรักษาฝา่ ยชายดว้ ย เพ่อื ลดโอกาสการอกั เสบ ในช่องคลอดซำ้ แต่ยังไม่มีข้อมูลสนับสนนุ พอเน่ืองจากภาวะนี้เกิดจากเชือ้ แบคทีเรีย การรักษาขั้นแรก คอื ยาปฏิชีวนะ ท่ีนิยมใชม้ ากท่ี สดุ คอื ยา Metronidazole ขนาด 500 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 คร้ัง นาน 7 วัน (ส่วนการให้รับประทาน Metronidazole 2 กรัม คร้ังเดียว ปัจจุบันไม่แนะนำแล้ว เพราะประสทิ ธิภาพการรักษาตำ่ ) ซ่ึงอาการข้างเคยี ง (ผลข้างเคียง) ที่พบไดบ้ ่อยจากการรับประทานยา ตัวน้ี คือ คลนื่ ไส้ อาเจียน จึงมีการดัดแปลง Metronidazole มาอย่ใู นรปู แบบของเจล ทาในชอ่ งคลอด วันละ 2 ครั้ง เพอ่ื ตดั ปญั หาอาการขา้ งเคยี ง สรุปการป้องกันภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเส่ียงดังได้ กลา่ วแล้วในหวั ข้อ ปัจจัยเสีย่ ง ซ่ึงที่สำคญั คือ ไมค่ วรสวนล้างช่องคลอดบ่อย ควรใหฝ้ า่ ยชายสวมถงุ ยาง อนามยั เมอ่ื มเี พศสัมพนั ธ์ (อ่านเพิม่ เติมในบทความเรื่อง ถุงยางอนามยั ชาย) มีคนู่ อนคนเดียว

127 กจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง การติดเชือ้ ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรยี นความสามารถอธิบาย การดูแลสขุ ภาพ สร้างเสรมิ สุขภาพ การป้องกันและการเฝ้าระวงั โรคการตดิ เช้อื และไปประยกุ ตใ์ หเ้ ข้ากับตนเองได้ นกั เรียนสามารถอธบิ ายสาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกิดโรคการตดิ เชอื้ ทางการหายใจ ไปประยกุ ตใ์ ช้กบั ผอู้ นื่ ได้ นักเรียนสามารถอธบิ ายสาเหตุ อาการ และการป้องกันการเกิดโรคการตดิ เช้อื ทางการกิน และ นำหลกั การไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื แก้ปัญหาในอนาคตได้ นกั เรียนสามารถอธบิ ายสาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกิดโรคการติดเชอื้ ทางผิวหนังและ นำหลกั การไปประยุกตเ์ พอื่ ใชใ้ นสงั คม ได้ นกั เรียนสามารถอธบิ ายสาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกิดโรคการตดิ เชือ้ ทางเพศสัมพนั ธ์ การติดเชือ้ ทางรกและชอ่ งคลอด และนำหลักการไปประยกุ ต์ใช้เพอ่ื สร้างสรรค์สง่ิ ใหม่ได้ กจิ กรรมการเรียนรู้ ใหน้ ักเรียนทำกิจกรรม “การสรปุ การติดเชอ้ื และนำหลกั การไปประยกุ ตใ์ ช้” โดยมีขัน้ ตอน ดงั ต่อไปน้ี 1. ใหน้ กั เรยี นแบ่งกล่มุ เป็น 5 กลุ่มๆละเท่าๆกนั 2. ผสู้ อนอธบิ ายรายละเอียดของเน้อื หาและกิจกรรม คือ ให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ๆละหัวข้อ ช่วยกันระดมความคดิ ศกึ ษาค้นควา้ ในหวั ข้อดงั ต่อไปน้ี 2.1 สาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกดิ โรคการประยกุ ตใ์ หเ้ ข้ากับตนเอง 2.2 สาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกิดโรคการประยกุ ต์ใชก้ บั ผู้อน่ื 2.3 สาเหตุ อาการ และการปอ้ งกันการเกิดโรคการประยุกตใ์ ชเ้ พอื่ แกป้ ญั หาในอนาคต 2.4 สาเหตุ อาการ และการปอ้ งกนั การเกดิ โรคการประยกุ ตเ์ พื่อใช้ในสงั คม 2.5 สาเหตุ อาการ และการป้องกนั การเกิดโรคการประยกุ ต์ใชเ้ พ่ือสรา้ งสรรค์ส่ิงใหม่ 3. เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนไดซ้ กั ถาม 4. ผู้สอนและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายสรปุ เน้ือหา

128 บทท่ี 6 ปจั จยั เสยี่ งท่ีมีผลตอ่ สขุ ภาพ ภาพท่ี 25 พฤติกรรมอะไรเปน็ ปัจจัยเสี่ยงทม่ี ผี ลตอ่ สขุ ภาพ (ท่ีมา: http://thearokaya.co.th/web/?p=5543) ปัจจัยเส่ยี งที่มผี ลต่อสุขภาพ หมายถึง องค์ประกอบด้านกายภาพ สังคม หรือสถานการณท์ อี่ าจ ก่อใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ สุขภาพ ชีวติ หรือทรพั ยส์ ิน ปัจจัยปัจจัยภายในตัวบคุ คล ประกอบดว้ ย ปัจจัยทางชีวภาพ จติ ใจ และพฤติกรรม ปัจจยั ทาง ชีวภาพ ปจั จยั เส่ยี งที่มีผลต่อสุขภาพ หมายถงึ องคป์ ระกอบด้านสขุ ภาพสังคมหรอื สถานการณ์ท่อี าจ กอ่ ใหเ้ กิดอันตรายต่อสุขภาพชีวติ หรือทรพั ย์สนิ ท้งั นยี้ งั เชอื่ มโยงกับปัดใจบุคคลสภาพแวดลอ้ มทีเ่ อื้อตอ่ การบริการสาธารณสุขอีกดว้ ยประกอบด้วย ปัจจยั ภายใน หมายถงึ ปัจจัยท่เี ก่ียวกบั บุคคลโดยตรงซง่ึ บางปจั จยั ไมส่ ามารถเปล่ียนแปลงได้ ปจั จัยภายในประกอบดว้ ย องค์ประกอบ 3 อยา่ งคือ องคป์ ระกอบทางกาย องค์ประกอบทางจติ และ องค์ประกอบทางพฤติกรรมหรือแบบแผนการดำเนนิ ชวี ิต ดงั นี้ 1. ปจั จยั ด้านบุคคล ประกอบดว้ ย ปัจจัยทางชวี ภาพ จติ ใจ และพฤติกรรม 1.1 ปจั จัยทางชวี ภาพเปน็ ปจั จัยพื้นฐานท่ตี ิดตวั มาแตก่ ำเนิดทีไ่ ด้รบั การถ่ายทอดจากบรรพ บรุ ษุ องคป์ ระกอบทางกาย ทางจิตใจ ทางพฤตกิ รรม

129 1.2 ปจั จัยด้านจติ ใจครอบคลมุ ความรู้สกึ การรับรู้ ความเช่อื และค่านิยมของบคุ คลทม่ี ตี อ่ พฤติกรรมซ่ึงเปน็ ตวั กำเนดิ การเกิดโรค 1.3 ปจั จยั ดา้ นพฤตกิ รรมเปน็ ส่งิ ทส่ี ่งผลโดยตรงตอ่ สขุ ภาพ ซึ่งครอบคลุมทง้ั พฤติกรรมในการ ดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั (ใช้องค์ประกอบทางพฤตกิ รรม) 1. องค์ประกอบทางกาย ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบที่เป็นมาตัง้ แตเ่ กิด และจะเปน็ อยู่เชน่ น้ี ตลอดไป โดยไมอ่ าจเปลีย่ นแปลงได้ ไดแ้ ก่ 1.1 พันธุกรรม การถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั้นเป็นท่ียอมรับว่าทำให้มีผลต่อสุขภาพของวัย ผู้ใหญ่และวัยสูงอายุมาก ทั้งในทางบวกและทางลบ ในทางบวกเช่น การมีอายุยืนยาวเช่ือว่าเป็น พันธุกรรม (บรรลุ ศิริพานิช และคณะ 2531 : 70) ส่วนผลในทางลบคือ ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่ โรคท่ีถ่ายทอดมาทางยีนส์ท้ังหลาย เช่น เบาหวาน ฮีโมฟีเลีย ทาลัสซีเมีย เป็นต้น นอกจากน้ี โรคมะเร็งก็อยู่ในระยะพิสูจน์ว่าถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่ ซ่ึงคงจะทราบคำตอบในระยะเวลาไม่ นานน้ี ปจั จยั ทางพันธุกรรมเป็นปจั จัยทไ่ี มอ่ าจแกไ้ ขได้ 1.2 เชื้อชาติ บางเชื้อชาติป่วยเป็นโรคบางโรคมากกวา่ เชื้อชาติอื่นๆ เช่น โรคโลหิตจางบาง ชนิด เปน็ ในคนผวิ ดำมากกวา่ ผิวขาว 1.3 เพศ โรคบางโรคพบบ่อยในเพศใดเพศหนึ่ง โรคที่พบบ่อยในเพศหญิง เช่น นิ่วในถุงน้ำดี โรคของตอ่ มไทรอยด์ โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคที่พบบ่อยในชาย เชน่ โรคกระเพาะ อาหาร ไสเ้ ลื่อน โรคทางเดนิ หายใจ โรคริดสดี วงทวาร เป็นตน้ 1.4 อายุและระดบั พฒั นาการ โรคเป็นจำนวนมากแตกต่างกันตามอายุ เชน่ วยั กลางคนเป็น โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบมากกว่าวัยหนุ่มสาว พัฒนาการทางด้านร่างกาย และจิตใจ ภาระงาน พฒั นาการของแตล่ ะวยั จะมผี ลกระทบต่อสุขภาพ ท้ังสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผใู้ หญ่และผ้สู ูงอายุ วัยรุ่นเป็นวัยท่ีอยู่ในระยะของการเรียน การเลียนแบบ และทดลองเข้าสู่บทบาทของความเป็นผู้ใหญ่ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้ตัดสินใจปฏิบัติสิ่งต่างๆ ผิดพลาดไปโดยไม่ทันยั้งคิด ทำให้มีผลเสียต่อ สุขภาพได้ เชน่ การววิ าท ยกพวกตีกัน การติดยาเสพติด การตดิ เชือ้ จากการร่วมเพศ เปน็ ตน้ สิ่งเหล่าน้ี มแี รงผลกั ดันมาจากพัฒนาการทางรา่ งกายและจิตใจ ซ่ึงทำให้เกิดผลเสียต่อสขุ ภาพ ในวัยผู้ใหญ่ ภาระ งานพัฒนาทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพท้ังทางร่างกายและจิตใจ เพราะเป็นวัยที่ต้องเลือกอาชีพ ประกอบอาชีพ เลือกคู่ครอง ปรับตัวในชีวิตสมรส ปรับตัวเพ่ือทำหน้าท่ีบิดามารดาทำให้เกิด ความเครยี ด ความวิตกกงั วล และอาจไดร้ บั อันตรายจากการประกอบอาชีพอีกด้วย 2. องค์ประกอบทางจิตใจ ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กัน สภาพอะไรก็ตามที่ กระทบกระเทือนทางด้านร่างกายก็จะกระทบกระเทือนต่อจิตใจด้วย และสภาพอะไรก็ตามที่กระทบ

130 กระเทือนต่อจิตใจก็จะมีผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ นอกจากน้ีองค์ประกอบทางจิตยังเป็นตัวกำหนด พฤตกิ รรมต่างๆ อกี ดว้ ย องค์ประกอบเหล่านี้ไดแ้ ก่ 2.1 อัตมโนทัศน์ (self-concept) เป็นผลรวมของความรู้สึกนึกคิดและการรับรทู้ ่ีลึกซึ้งและ ซับซ้อนที่บุคคลมีต่อตนเอง และมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดพฤติกรรม คือการที่บุคคลจะแสดง พฤติกรรมอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นรับรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างไร (Snugg, and Combs, 1959, อ้างถึงใน กอบกุล พันธ์เจริญวรกุล 2531: 77-106) อัตมโนทัศน์ มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างย่ิง โดยเฉพาะอัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย (physical self) ถ้าบุคคลน้ันมองว่าตนเป็นคนมีรูปร่างหน้าตาตี เป็นคนสวย หรือเป็นคนรปู หลอ่ ก็จะมีอิทธิพลใหบ้ ุคคลน้ันพยายามบำรุงสขุ ภาพและรา่ งกายของตนให้ อยูใ่ นสภาพดตี ่อไป อัตมโนทัศน์ด้านการยอมรับนับถือตนเอง (self-esteem) การยอมรับนับถือตนเองเป็นการ รับรู้เกี่ยวกับคุณค่าของตนเอง บุคคลจะประเมินคุณค่าของตนเองจากลักษณะท่ีตนเป็นอยู่และ เปรยี บเทียบกบั ลกั ษณะท่ีตนอยากใหเ้ ป็น และระดับการยอมรับนบั ถอื ตนเองนี้ สามารถเปลี่ยนอัตมโนทัศน์ด้านต่างๆ ได้ (กอบกุล พันธ์เจริญวรกุล 2531 : 77-106) การที่ บุคคลมีความแตกต่างเกี่ยวกับลักษณะท่ีตนเป็นอย่กู ับลักษณะที่ตนอยากให้เป็นนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ บุคคลน้ันแสวงหาความรู้เพื่อปฏิบัติให้ตนได้เป็นตามท่ีอยากจะเป็น (ประภาเพ็ญ สุวรรณ และสวิง สุวรรณ 2532 : 18-19) ถ้าสิ่งที่แสวงหานั้นเป็นเรื่องของสุขภาพ บุคคลน้ันก็จะมีสุขภาพที่ดีข้ึนได้ใน อนาคต เช่น วัยรนุ่ ที่ประเมินตนเองว่าอ้วน แต่อยากใหต้ นเองผอม จะพยายามแสวงหาความรเู้ พือ่ นำมา ปฏิบัติให้ตนเองผอมลง ซ่งึ อาจจะออกกำลังกาย หรือรับประทานอาหารให้น้อยลง พฤติกรรมเหลา่ น้ีมี ผลตอ่ สขุ ภาพ และจะเปน็ ไปตามอัตมโนทศั น์ 2.2 การรับรู้ (perception) การท่ีบุคคลจะมีพฤติกรรมเช่นใดนั้น ข้ึนอยู่กบั การรับรู้ของตน ตอ่ สิ่งต่างๆ การรับรู้เกีย่ วกบั สขุ ภาพคือ รับรวู้ ่าตนเองมีสขุ ภาพเช่นไรก็จะมีอทิ ธพิ ลต่อพฤติกรรมที่คนๆ น้ันจะกระทำ คนแต่ละคนมีการรับรู้เก่ียวกับสุขภาพแตกต่างกัน โดยเฉพาะถ้าฐานะทางเศรษฐกิจ ต่างกัน จะรับรู้เกี่ยวกับอาการป่วยและตัดสินใจรับการรักษาต่างกัน ฐานะทางเศรษฐกิจดีจะรับรู้ เกี่ยวกับอาการป่วยเร็วกว่า (Koos 1954 quoted in Bradshaw 1988 : 12) บางคนเมื่อรู้สึกว่าคร่ัน เนื้อคร่ันตัวหรือปวดเม่ือยตามตัว จะรู้ว่าตนกำลังไม่สบาย ในขณะท่ีบางคนเดินไม่ไหว หรือทำงานไม่ ไหว จึงจะรับรู้วา่ ไม่สบาย ซึ่งการรับรู้เหล่าน้ีจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมท่ีปฏิบัติในเวลาตอ่ มา เช่นเมื่อ รับรวู้ ่าปว่ ย จะหยดุ จากงานไปพบแพทย์หรอื รับการรกั ษาตามความเชอื่ ของตน ซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพใน เวลาต่อมา การรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนท่ัวไปจะแตกต่างกับบุคคลากรทางการแพทย์ คือ ประชาชนท่ัวไปมักจะใช้อาการที่ปรากฏเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าป่วยหรือไม่ แต่แพทย์จะใช้การ ตรวจพบความผิดปกติเป็นตัวบ่งช้ีการป่วยหรือเป็นโรค ดังนั้นประชาชนท่ีไปให้แพทย์ตรวจบางราย แพทย์อาจตรวจไม่พบ ความผิดปกติใดๆ และบอกว่าคนๆ น้ันไม่ได้ป่วย ในขณะท่ีบางคนไม่มีอาการ ผดิ ปกติเลย เมื่อตรวจร่างกายอาจพบว่าเป็นโรคบางอย่างได้ ดงั น้ันการรบั รู้เก่ียวกบั สุขภาพท่ีจะมีผลดี

131 ต่อสุขภาพ คือ การรับรู้ว่า บางคนอาจป่วยเป็นโรคได้ท้ังท่ีไม่มีอาการผิดปกติใดๆ การรับรู้ว่าการดูแล สุขภาพให้แขง็ แรงและการป้องกันโรคเป็นสิ่งท่สี ำคัญกว่าการรักษาเมอ่ื เจบ็ ปว่ ย และรับรูว้ ่าสุขภาพเป็น สง่ิ มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด 2.3 ความเชื่อ ปกติคนเรามักได้ความเชื่อมาจาก พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย หรือผู้ท่ีเราเคารพ เชือ่ ถือ จะยอมรบั ฟังโดยไม่ต้องพิสูจน์ ความเช่ือเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ความเชื่อเมื่อ เกดิ ข้ึนแล้วมักจะเปล่ียนแปลงยาก ความเชื่อด้านสุขภาพ (health belief) คือความเชื่อเก่ียวกับสุขภาพท่ีคนแต่ละคนยึดถือว่า เป็นความจริง ความเช่ือดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ บุคคลจะปฏิบัติตามความเช่ือเหล่านี้อย่าง เคร่งครัด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เซ่นใดก็ตาม และจะรู้สึกไม่พอใจถ้าใครไปบอกว่าสิ่งที่เขาเชื่อน้ัน เปน็ ส่ิงท่ีไม่ถูกตอ้ ง หรือแนะนำให้เขาเลกิ ปฏิบัตติ ามความเชอ่ื หรอื ให้ปฏิบัตใิ นส่งิ ที่ตรงข้ามกับความเช่ือ ความเช่ือเก่ียวกับสุขภาพในสังคมไทยมีมากมาย การปฏิบัติตามความเชื่อจะทำให้บุคคลมีความม่ันใจ และรู้สึกปลอดภัย ถ้าต้องฝืนปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับความเช่ือจะรู้สึกไม่ปลอดภัย เกรงว่าจะเป็นอันตราย ความเช่ือทพี่ บได้ท่วั ๆ ไปเกี่ยวกับสุขภาพไดแ้ ก่ เช่ือว่าถ้ารับประทานไข่ขณะท่เี ป็นแผล จะทำให้แผลน้ัน เป็นแผลเป็นท่ีน่าเกลียดเมื่อหาย ถ้ารับประทานข้าวเหนียวจะทำให้แผลกลายเป็นแผลเปีอย หญิง ตง้ั ครรภ์ ถ้ารับประทานเน้ือสตั ว์ชนดิ ใด จะทำให้ลูกมพี ฤติกรรมเหมือนสัตว์ชนดิ นั้น เชือ่ วา่ การดื่มเบียร์ วันละ 12 แกว้ จะช่วยป้องกันการตดิ เชอื้ ของลำไส้ เชือ่ วา่ ถ้าด่ืมน้ำมะพร้าวขณะมปี ระจำเดอื น จะทำให้ เลอื ดประจำเดือนหยดุ ไหลเป็นตน้ ความเชอื่ เหลา่ นบี้ างอยา่ งมผี ลกระทบต่อสุขภาพมาก แตบ่ างอยา่ งไม่ มผี ลเสยี หายต่อสุขภาพ 2.4 เจตคติ เจตคติเป็นความรู้สึกของบุคคลต่อส่ิงต่างๆ อาจเป็นบุคคล สิ่งของหรือ นามธรรมใดๆ ก็ได้ การเกดิ เจตคติอาจเกิดจากประสบการณ์ หรือเรียนรจู้ ากบุคคลใกล้ตวั ก็ได้ เจตคติมี ผลกระทบต่อสุขภาพ เน่ืองจากเป็นสิ่งท่ีอย่เู บ้ืองหลังการประพฤติปฏิบัติต่างๆ เช่น ถ้าประชาชนมเี จต คติท่ีไม่ดีต่อสถานบริการสาธารณสุข ก็อาจจะไม่ไปใช้บริการจากสถานท่ีน้ัน หรือเจตคติต่อการรักษา แผนปัจจุบันไม่ดีก็จะไม่ยอมรับการรักษาเม่ือป่วย เป็นตัน หรือเมื่อมีเจตคติไม่ดีต่อเจ้าหน้าท่ี เมื่อ เจ้าหน้าท่ีแนะนำการปฏิบตั ิตนเพ่ือสขุ ภาพ บคุ คลนั้นอาจจะไม่ ยอมรับฟังหรอื ปฏิบัตติ าม ซ่งึ ทำให้มผี ล ตอ่ สุขภาพได้ 2.5 ค่านิยม คือการให้คุณค่าต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึง ค่านิยมของบุคคลได้รับอิทธิพลมาจากสังคม บุคคลพยายามแสดงออกถึงค่านิยมของตนทุกคร้ังที่มีโอกาส ค่านิยมของสังคมใดสังคมหนึ่ง จะมี อิทธิพลต่อการประพฤตปิ ฏิบัติของบคุ คลในสงั คมนนั้ ๆ อย่างมาก ค่านิยมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ค่านิยมของการด่ืมเหลา้ สบู บุหรี่ ซ่งึ แสดงถึงความมีฐานะทางสงั คมสูง ค่านิยมของการเท่ียวโสเภณีว่า แสดงถึงความเปน็ ชายชาตรี คา่ นยิ มทช่ี ่วยส่งเสรมิ สุขภาพ คือ คา่ นยิ มของความมีสุขภาพดี

132 2.6 ความเครียด (stress) ภาวะเครียดมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางด้านบวกและลบ ทางด้านบวก เช่น ในระยะพัฒนาการของร่างกายและจิตใจตามวัยน้ันก็เป็นการก่อความเครียดแก่ รา่ งกาย ซึ่งถ้าสามารถเรียนรู้และปฏิบัติภาระงานพัฒนาการจนผ่านพ้นไปได้บุคคล ๆน้ัน จะเกิด ความสนุกสนาน เพลิดเพลินในชีวิต แต่ละระยะของภาระงานพัฒนาการจะเต็มไปด้วยความเครียด ซึ่ง จะตอ้ งเรยี นรแู้ ละเอาชนะเพื่อเตรยี มพร้อมสำหรับพัฒนาการในข้ันต่อไป เช่น การฝึกสร้างสัมพนั ธภาพ กับเพ่ือนต่างเพศ หรือการฝึกปฏิบัตเิ พ่อื เป็นพยาบาลสง่ิ เหล่านีเ้ ตม็ ไปดว้ ยความเครยี ดเช่นกันหรอื คนที่ ฝกึ วิ่งทุกวันจะทำให้หลอดเลอื ดและหวั ใจมีประสิทธิภาพเพิ่มข้นึ นีค่ ือผลประโยชน์ที่ได้ ซง่ึ มากกว่าคนท่ี ออกกำลังแต่เพียงเปิดปดิ หรือเปล่ียนช่องโทรทัศน์ การฝึก ในครัง้ แรกซ่ึงเต็มไปด้วยความเครียดน้ันจะ ทำให้แต่ละคนได้พัฒนาความสามารถ เกิดความม่ันใจ ความกลัวลดลง ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยคุณภาพ ซึง่ เป็นการยืนยันว่าความเครียดมผี ลกระทบตอ่ สุขภาพทางด้านบวก ในทำนองเดียวกัน ความเครียดก็ ก่อให้เกดิ ผลทางดา้ นลบต่อสุขภาพไดด้ ้วยเช่นกนั ถา้ ความเครียดนน้ั มมี ากเกิน ความสามารถของบุคคล จะเผชิญได้ หรือความสามารถในการเผชิญความเครยี ดของบคุ คลไม่เหมาะสม 3. องค์ประกอบทางพฤติกรรม หรอื แบบแผนการดำเนินชวี ิต (life style) พฤตกิ รรมหรือ แบบ แผนการดำเนินชีวิตประจำวันนั้นเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะเป็น องค์ประกอบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซ่ึงพบว่าประมาณร้อยละ 50 ของประชาชนท่ีเสียชีวิตใน อเมริกามีสาเหตุมาจากการมีแบบแผนการดำเนินชีวิตท่ีไม่ถูกต้อง (Walker et al 1988 :89) แบบ แผนการดำเนนิ ชวี ิตไดแ้ ก่ 3.1 พฤติกรรมเกยี่ วกบั อนามยั ส่วนบุคคล เป็นพฤตกิ รรมท่ีปฏิบัตเิ พ่ือการมีอนามยั ที่ดี ได้แก่ การแปรงฟัน การอาบน้ำ ความสะอาดของเสื้อผ้า การสระผม การดูแลสุขภาพของผิวหนัง การดูแล ความสะอาดของอวัยวะสืบพันธ์ุ ส่ิงเหล่านี้เป็นกิจวัตรประจำวันที่บุคคลปฏิบัติ ในการปฏิบัติกิจกรรม เหล่านั้นมีทั้งปฏิบัติถูกต้อง และไม่ถูกต้อง การปฏิบัติถูกหรือไม่ถูกขึ้นอยู่กับความเช่ือ และการรับรู้ เก่ียวกับปฏิบัติของแต่ละคน และการตัดสินใจว่าถูกต้องของประชาชนท่ัวไปกับบุคคลากรทางแพทย์ อาจจะแตกต่างกนั พฤติกรรมเกีย่ วกบั การแปรงฟนั ถา้ แปรงไม่ถูกวธิ ีอาจทำให้เหงอื กร่น และถ้าใช้ยาสี ฟันท่ีมีสารขัดฟันคมเกินไป อาจทำให้ฟันสึก และเคลือบฟันบางลง การอาบน้ำในหน้าหนาวถ้าถูสบู่ บอ่ ยๆ หรืออาบด้วยน้ำอุ่นอาจจะให้ผิวแห้งและคันได้ การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หรือการดูแล ขณะมีประจำเดือน ถ้าไม่สะอาดพออาจเป็นเหตุให้มีการติดเชื้อของมดลูกได้ สงิ่ เหล่านม้ี ีผลต่อสุขภาพ ท้งั ส้นิ 3.2 พฤติกรรมการรับประทานอาหาร นิสัยการรับประทานอาหารเป็นการถ่ายทอดทาง วัฒนธรรม ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะท้องถิ่น และความชอบของแต่ละคน พฤติกรรมการ รับประทานมีผลกระทบต่อสุขภาพมาก บางคนรับประทานอาหารจุบจิบ ชอบรับประทานอาหาร ประเภทขบเค้ียว ชอบอมทอฟฟี่ ซึ่งจะมีผลทำให้ฟันผุ บางคนไม่ชอบรับประทานอาหาร ประเภทผัก และผลไม้ ทำให้มีกากอาหารน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ อาหารท่ีไม่สะอาดทำให้ ท้องเสีย อาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา ทำให้เป็นโรคพยาธิ บางคนชอบอาหารที่มีไขมันสูง

133 อาจทำให้เป็นโรคอ้วน หรือไขมนั อุดตนั ในเส้นเลือดเป็นตน้ บางคนชอบหรือไมช่ อบอาหารบางประเภท ทำให้ได้อาหารไม่ครบถ้วน อาหารจึงเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญต่อสุขภาพ จากการศึกษาระยะยาว เก่ียวกับปัจจัยซ่ึงมีความสัมพันธ์กับอัตราตายในวัยผู้ใหญ่พบว่า 2 ประการใน 7 ประการเก่ียวข้องกับ อาหารนั้นคืออาหารเช้าและน้ำหนักตัว (Breslow Engstrom : 1980 quoted in Kulbok, Earls, and Montgomery 1986. 21-35) ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ อาหารเช้า ซ่งึ เปน็ ม้ืออาหารที่บุคคลส่วนใหญ่ให้ ความสำคัญน้อยเพราะอยู่ในภาวะเรง่ รีบมีความสัมพันธก์ ับอัตราตาย สว่ นน้ำหนักตัวน้นั คนท่ีน้ำหนัก เกนิ มาตรฐาน หรอื น้ำหนักตัวเปล่ยี นแปลงบอ่ ยก็มีความสัมพันธ์กบั อัตราตาย กล่าวโดยสรุปคือ คนท่ไี ม่ รับประทานอาหารเช้า คนมีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือน้ำหนักเปลยี่ นแปลงบ่อย คนท่ีสูบบุหรี่ ดืม่ เหล้า ผ้ทู ม่ี ีพฤติกรรมเหลา่ น้ีอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ จะมีโอกาสตายง่ายกวา่ บุคคลอ่นื 3.3 พฤติกรรมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ผู้ท่ีถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลา ถ่ายลำบาก อุจจาระมีลักษณะแขง็ ตอ้ งเบง่ ถ่ายอจุ จาระ มีโอกาสเสย่ี งตอ่ การปว่ ยเปน็ โรคริดสีดวงทวารสูงกวา่ คนทม่ี ี การขบั ถา่ ยเป็นเวลาและถ่ายสะดวก พฤติกรรมการกลั้นปสั สาวะทำใหเ้ กิดเป็นโรคติดเช้อื ของกระเพาะ ปัสสาวะไดง้ า่ ย 3.4 การพกั ผ่อนและการนอนหลบั เปน็ ท่ีทราบดอี ยู่แล้วว่าร่างกายต้องการการพักผอ่ นและ การพักผอ่ นที่ดที ี่สุดคือ การนอนหลับ ผู้ที่พกั ผ่อนหรอื นอนหลบั ไมเ่ พียงพอจะมีผลเสียต่อสุขภาพคือ ถ้า อดนอน 48 ช่ัวโมง ร่างกายจะผลิตสารเคมีซ่ึงมีโครงสร้างคล้าย เอส ดี 25 (S.D. 25) สารนี้มีผลให้ พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปจากเดิม ผู้ท่ีอดนอนจะรู้สึกหนักมึนศีรษะ รู้สึกเหมือนตัวลอยควบคุมสติ ไม่ได้ ไม่สนใจส่ิงแวดล้อม ถ้าอดนอน 4 วัน ร่างกายจะไม่ผลิตสารที่สร้างพลังงานแก่เซล ซึ่งเปน็ ตัวเร่ง ปฏิกิริยาเคมีทำให้มีการปล่อยพลังงานออกมาเป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนเพลียต่อมาจะเกิดอาการสับสน ประสาทหลอน และปรากฏอาการทางจิตข้ึน (Hayter 1980 quote in Murray and Zentner, 1985:412) ผู้ที่ได้รับการพกั ผ่อนไมเ่ พยี งพอหรอื นอนหลบั ไม่เพยี งพอไม่สามารถควบคุมตนเองให้ทำงาน อย่างมีประสิทธภิ าพได้ ถ้าต้องทำงานที่ต้องระมัดระวังอันตราย เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรม จะมี ผลใหร้ า่ งกายได้รบั อบุ ตั เิ หตุ เชน่ เคร่อื งจักรตดั นิว้ มอื หรอื อุบตั ิเหตุอน่ื ๆ ได้ 3.5 พฤติกรรมทางเพศ การตอบสนองความตอ้ งการทางเพศเป็นความต้องการพื้นฐานของ มนุษย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ถ้าบุคคลน้ันมีพฤติกรรมทางเพศท่ีไม่ถูกต้อง เช่น สำส่อนทางเพศ พฤติกรรมรักร่วมเพศ หรือมพี ฤติกรรมทางเพศแบบวิตถาร ซง่ึ มีผลกระทบต่อสุขภาพท้ังจากโรคตดิ เช้ือ เช่น กามโรค โรคเอดส์ หรือร่างกายได้รับบาดเจ็บจากการร่วมเพศ แบบวิตถารหรือรุนแรงถึงขนาด สูญเสียชีวติ จากการฆาตกรรม เพราะความรักและความหงึ หวงได้ 3.6 พฤตกิ รรมอ่นื ๆ ไดแ้ กพ่ ฤตกิ รรมท่ีไมใ่ ช่เป็นการปฏิบตั ใิ นกิจวัตรประจำวนั ของบคุ คลทว่ั ๆ ไป แต่อาจเป็นพฤติกรรมที่ปฏิบตั ิเป็นประจำในคนบางคน พฤติกรรมเหลา่ นี้อาจแบง่ เป็น 2 ประเภทคอื

134 3.6.1 พฤติกรรมสุขภาพ ได้แก่ พฤติกรรมท่ีคนทำแล้วเชื่อว่าทำให้ตนมีสุขภาพดี พฤติกรรมท่ีเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเพ่ือดูแลสุขภาพและพฤติกรรมส่วนบุคคลท่ีมีความสัมพันธ์กับ ระบบชมุ ชน และการดูแลสุขภาพส่วนรวม ดงั นค้ี ือ 1. พฤติกรรมทเี่ ชื่อว่าทำให้ตนสุขภาพดเี ปน็ พฤติกรรมท่บี ุคคลปฏิบัติ เพ่ือสง่ เสริมสขุ ภาพ และ ป้องกันโรค เช่น การออกกำลังกาย การชั่งน้ําหนัก การตรวจเต้านมด้วยตนเอง การแสวงหายา อายวุ ัฒนะมารับประทาน การแสวงหาสารต่างๆ ที่เช่ือว่าชว่ ยชะลอความชรามาทาหรอื มารับประทาน สารเหลา่ นี้มีมากมายที่จำหนา่ ยในท้องตลาดซ่ึงโฆษณาชวนเชื่อวา่ สามารถฝืนกฎธรรมชาติคือความชรา ได้ ส่ิงเหล่านีถ้ ือเปน็ อาหารสุขภาพ ไดแ้ ก่ วิตามิน และเกลอื แร่เสริม วติ ามินบรี วม นอกจากนีม้ ีไข่มกุ บด นมผ้ึง บพี อลเลน (Bee-Pollen) รวมทงั้ การรับประทานวิตามินอปี ริมาณสงู โดยเชือ่ วา่ สามารถป้องกัน การทำลายเซลส์จากกระบวนการเปอร์ออกซเิ ดชัน (peroxidation) ได้ รวมทั้งการใช้สเตอรอยด์ พวก ไฮโดรคอร์ติโซน อีพิเดอมอล โกรท แฟคเตอร์ (hydrocortisone epidermal growth factor = EGF) และสารอื่นๆ ท่ีไปกระตุน้ การสร้างไซคลิก เอ เอม พี (Cyclic AMP) เรียกสารเหล่าน้ีว่า เคอราติโนไซท์ (keratinocytes) ซ่ึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และลดการสลายตัวของเซลล์เก่าโดยเฉพาะเซลส์ ผวิ หนัง รวมทง้ั วติ ามนิ แคลเชยี่ มและสารจากรกของมนษุ ย์ สารจำพวกแคโรทนี ซง่ึ เชื่อวา่ สามารถป้องกันไมใ่ หร้ ังสี เหนือม่วง (ultraviolet) ทำลายเคอราติโนไซท์ จึงสามารถป้องกันกระบวนการชราจากแสง (photo aging) ได้นอกจากนย้ี งั เช่ือว่า สารจำพวกโปรเคน ไฮดรอกไซด์สามารถชะลอความชราได้ ซ่งึ สารเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (สิรินทร์ พิบูลย์นิยม 2533:29) พฤติกรรมที่กระทำเพื่อสุขภาพดีนั้นยังต้องการการค้นพบและแสวงหาอีกต่อไป 2. พฤติกรรมเก่ยี วกับการใช้ทรัพยากรเพ่ือดูแลสุขภาพ เป็นพฤตกิ รรมท่บี คุ คลไปรับบริการจาก สถานบริการสาธารณสุข หรือบริการทางการแพทย์แผนโบราณ การเลือกใช้บริการแบบใดข้ึนอยู่กับ ความเช่ือ ค่านิยม เจตคติและการรับรู้ของบุคคลน้ัน ซ่ึงมี 2 แนวคิด คือ อาการเจบ็ ปว่ ยต่างกนั เลือกใช้ บรกิ ารตา่ งกัน และคนต่างกลุ่มกันเลือกใช้บริการตา่ งกัน (เบญจา ยอดดำเนิน, จรรยา เศรษฐบุตร และ กฤตยา อาชวนิจกุล 2523 : 47-49) พฤตกิ รรมเกีย่ วกบั การใช้ทรัพยากรเพ่ือการป้องกันโรคได้แก่ การ ไปรบั ภูมคิ ุ้มกนั การแสวงหาข้อมูลเกยี่ วกับปัญหาสขุ ภาพ เชน่ อาการแสดงของมะเรง็ ระยะแรก การรับ ฟลูโอไรด์เพ่ือรักษาสุขภาพฟัน การตรวจสอบการได้ยินและการมองเห็น การตรวจหามะเร็งปากมดลูก การตรวจร่างกาย การเอกซเรย์ การดแู ลก่อนคลอด เป็นต้น 3. พฤติกรรมสว่ นบุคคลที่มคี วามสัมพันธ์กบั ระบบชุมชนและการดูแลสุขภาพส่วนรวมทั้งหมด ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมท่เี ป็นการอุทศิ ตนเพื่อเขา้ ไปมีส่วนรว่ มในการดแู ลสุขภาพของชุมชนเป็นอาสาสมัครใน โครงการสขุ ภาพ การสนับสนุนทางด้านการเงนิ เพ่ือองค์กรสุขภาพ พฤติกรรมส่วนนี้เป็นท่ตี ้องการของ ระบบการดแู ลสขุ ภาพปจั จุบนั คือ กลวิธสี าธารณสุขมูลฐานเกย่ี วกับการมีส่วนร่วมของประชาชน (ปรชี า ดีสวสั ด์ิ 2531 : 152)

135 พฤติกรรมเสี่ยง คือ พฤติกรรมท่ีปฏิบัติแล้วทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพหรือ เสี่ยงต่อการเกิด อันตรายแก่ร่างกาย เช่น การสูบบุหรี่ การด่ืมเหล้า การกินยาบ้า การขับรถเร็วการประพฤติปฏิบตั ิท่ไี ม่ ถูกตอ้ งของประชาชนในการบริโภค เป็นต้น 1. ภาวะเส่ียงต่อสุขภาพของผู้สูบบุหรี่พบว่าทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจ มะเร็งปอดสูงกว่าบุคคล ท่ัวไป เพศหญิงท่ีสูบบุหร่ีขณะรับประทานยาคุมกำเนิดจะย่ิงเส่ียงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอด เลือดสมองมากยิง่ ขน้ึ และถา้ ตงั้ ครรภ์บตุ รในครรภ์จะมีน้ำหนกั ตัวน้อย 2. ภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ที่ด่ืมเหล้า ผู้ท่ีด่ืมเหล้ามีโอกาสเส่ียงต่อการป่วยเป็นตับแข็ง มากกว่าบุคคลท่ัวไป ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากดื่มเหล้ามากกว่าสาเหตุอย่างอื่น พฤติกรรมการด่มื เหล้าท่ีเปน็ อันตรายตอ่ ตับมากคือ ด่ืมสม่ําเสมอ และด่ืมในภาวะท่ีรา่ งกายขาดอาหาร โปรตีน นอกจากนี้เหล้ายังเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจอีกด้วย การด่ืมเหล้ามักจะก่อให้เกิดกรณี วิวาทและทำร้ายรา่ งกายซึ่งกันและกัน อุบัติเหตุการทำร้ายร่างกายมักมีสาเหตุนำมาจากเหล้า การดื่ม เหล้าแล้วเมา ทำใหส้ ูญเสียการควบคมุ สตติ นเองอาจประกอบพฤติกรรมอื่นๆ ทเ่ี ป็นอันตรายต่อสขุ ภาพ ตามมา เช่น การข่มขืนกระทำชำเรา การร่วมประเวณีกับหญิงให้บริการโดยขาดการป้องกันโรคเอดส์ หรือกามโรค การดื่มเหล้าขณะขับขี่รถยนต์หรือจักรยานยนต์ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งอันตรายที่ เกดิ ข้นึ นอกจากจะเปน็ อันตรายต่อสขุ ภาพของตนเองแล้วยังทำให้เกิดอันตรายแกส่ ุขภาพของบุคคลอ่ืน และเป็นการสญู เสียทรัพยส์ ินทง้ั ของส่วนตัวและสว่ นรวมอกี ด้วย 3. การกินยาบ้า ยาบ้าหรือยาขยันมักจะนิยมกันมากในบุคคลท่ีทำงานกลางคนื โดยเฉพาะผู้ขับ รถบรรทุก เพ่ือให้มีชั่วโมงการทำงานมากข้ึน ยาบ้าเป็นยาท่ีมีส่วนประกอบของแอมเฟตามิน (amphetamine) เม่ือรับประทานเข้าไปจะทำให้รู้สึกกระปร้ีกระเปร่า กระฉับกระเฉงสามารถทำงาน ต่อไปได้ทั้งๆ ท่ีสภาพจริงๆ ของร่างกายต้องการพักผ่อน ผลของยาทำให้เกิดประสาทหลอน มองเห็น ทางข้างหน้าเป็นทางแยก จึงมักหักรถเลี้ยวจนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ซึ่งอุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึนมักจะรุนแรง เป็นอันตรายต่อชีวิตของตนเอง และผู้อื่น สูญเสียท้ังทรัพย์สินส่วนตัว ทรัพย์สินผู้อื่น และทรัพย์สิน สว่ นรวมไดบ้ ่อยครงั้ 4. การขับรถเร็ว มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง และอุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึนมักจะรุนแรง การขับรถเร็ว อาจจะเกิดจากความเร่งรีบ หรือเป็นพฤติกรรมคึกคะนองของวัยรุ่น ทั้ง 2 กรณี เป็นการกระทำที่ตง้ั อยู่ บนความประมาท ซ่งึ เปน็ อันตรายและเสี่ยงต่อสขุ ภาพสูงโดยเฉพาะกบั ผู้ทีไ่ ม่ได้คาดเขม็ ขดั นิรภัย ปจั จัย ภายนอกปัจจัยทม่ี ีผลกระทบต่อสุขภาพทีส่ ำคัญ นอกจากปัจจัยภายในซ่ึงเป็นเรื่องของบุคคลแต่ละคน แล้ว ปจั จัยภายนอกนับวา่ มีความสำคัญไม่น้อยในแง่ของผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจยั ภายนอกอาจแบ่ง ออกได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. องค์ประกอบทางสังคม แต่ละสังคมประกอบด้วยระบบย่อยหรือสถาบันสังคมที่สำคัญ 6 ระบบคือ ระบบครอบครัวและเครือญาติ ระบบการศึกษา ระบบการสาธารณสุข ระบบเศรษฐกิจและ

136 การประกอบอาชีพ ระบบการเมืองและการปกครอง ระบบความเชื่อ หรือสถาบันศาสนา สุขภาพของ บคุ คลในสังคมจะได้รบั อิทธิพลจากระบบต่างๆ เหล่านี้ แต่ละระบบจะกระทบต่อสุขภาพมากหรือน้อย ขนึ้ อยกู่ ับ บรรทัดฐาน (norm) ของสงั คมนัน้ ๆ 1.1 ระบบครอบครัวและเครือญาติ สังคมไทยเป็นสังคมแบบระบบเครือญาติ คือ เครือข่าย ทางสังคมมักจะเกี่ยวขอ้ งสัมพนั ธก์ ันในหมญู่ าติ ญาติผูใ้ หญเ่ ปน็ ผู้ที่มีอิทธพิ ลต่อความเช่ือ และพฤติกรรม ของบคุ คลในครอบครวั ระบบเครือญาติน้ีถือว่าการเจ็บป่วยของบุคคลใดบุคคลหน่ึงไม่ใช่เรอ่ื งเฉพาะตัว ของผนู้ น้ั หากแตเ่ ป็นเรื่องของครอบครัว ญาตพิ ี่น้อง และสังคมท่จี ะมสี ่วนช่วยเหลือและรับผิดชอบ เม่ือ บุคคลในครอบครัวป่วย การจะไปรับการรักษาท่ีใด และการปฏิบัติตัวขณะปว่ ยจะต้องทำอย่างไรข้ึนอยู่ กบั ญาตผิ ้ใู หญว่ ่าจะตัดสินใจอย่างไร แม้ว่าการตดั สินใจนัน้ ตนจะไมเ่ ห็นด้วย แต่กจ็ ะต้องปฏิบัติตาม ซึง่ มี ผลดีในแง่ของจิตใจของผู้ป่วยท่ีทุกคนให้ความสำคัญต่อการเจ็บป่วยของตน และคอยให้กำลังใจ ทำให้ ผปู้ ่วยมกี ำลงั ใจในการรกั ษาและหายป่วยเรว็ ขึ้น แตถ่ ้าพฤติกรรมทีต่ อ้ งปฏบิ ัตนิ นั้ เปน็ การขัดต่อสุขภาพก็ จะทำให้เกดิ ผลเสยี ขึน้ 1.2 ระบบการศึกษา ระบบการศึกษาทจี่ ัดให้แก่บุคคลในสังคมจะมีผลต่อสุขภาพของบุคคล ในสังคมเช่นเดียวกัน การศึกษาท่ีให้ความสำคัญของการดูแลสุขภาพจะช่วยให้เยาวชนมีพฤติกรรม เก่ยี วกับสุขภาพต่างๆ อยา่ งถูกต้อง เช่น การรบั ประทานอาหาร การออกกำลงั กาย การป้องกันอบุ ตั ิเหตุ พฤติกรรมเหล่านี้จะติดตัวเป็นลักษณะนิสัยท่ีก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ต่อไป และเม่ือออกจากระบบโรงเรียน การศกึ ษานอกระบบกจ็ ะมีผลต่อพฤติกรรมของประชาชน เป็น การให้ข้อมูลข่าวสารเก่ยี วกบั สุขภาพ ใหค้ ำแนะนำเกี่ยวกบั การปฏบิ ัติตน การดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บป่วย สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลดีแก่สุขภาพ แต่ถ้าระบบการศึกษาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพก็จะเกิด ผลเสียแก่สุขภาพได้ นอกจากนี้ ระดับการศึกษาของแตล่ ะคนยงั เป็นตวั กำหนดมาตรฐานการดำรงชีวิต อกี ดว้ ย 1.3 ระบบสาธารณสุข ระบบการสาธารณสุขไทยมีทั้งระบบบริการโดยรัฐและบริการโดย เอกชน ปัจจุบันรัฐได้พยายามกระจายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรท่ัวประเทศ โดย คัดเลือกผสู้ ือ่ ขา่ วสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุข เข้ามาชว่ ยปฏิบัตงิ านในชมุ ชนของตนเอง เป็น รปู แบบทพี่ ยายามสนบั สนนุ และช่วยใหป้ ระชาชนชว่ ยเหลือตนเองและเพื่อนบา้ นเกีย่ วกับการดแู ลรักษา โรคหรือการเจ็บป่วยท่ีจำเป็น การรู้จักระวังปอ้ งกันโรคตดิ ต่อท่ีสำคัญ โดยเชื่อว่าระบบดังกล่าวจะช่วย ใหส้ ุขภาพอนามยั ของประชาชนดีข้นึ กว่านโยบายแบบเดิมท่ีรฐั ให้บรกิ ารโดยให้ความสำคัญกบั การรกั ษา เมือ่ เจบ็ ปว่ ยมากกวา่ การส่งเสรมิ สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรค 1.4 ระบบเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ ระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นแบบทุนนิยมและ กำลังเปลย่ี นแปลงจากระบบเกษตรกรรมเป็นระบบอุตสาหกรรม การเปล่ียนแปลงดงั กล่าวมีผลกระทบ ตอ่ สขุ ภาพอนั เนอื่ งมาจากการเปลย่ี นแปลงลักษณะประชากร คอื การยา้ ยถิน่ และการเปล่ยี นแปลงอื่นๆ ไดแ้ ก่ การประกอบอาชีพ สภาพความเป็นอยู่ และวิถีชวี ติ ก่อให้เกิดอนั ตรายแก่สุขภาพท้ังทางกายและ

137 ทางจิต โดยเฉพาะระบบงานกะ และงานล่วงเวลา ทำให้ต้องปรับตัวอย่างมาก ประกอบกับต้องทำงาน ในสภาพแวดล้อมที่เส่ียงต่อสุขภาพ เช่น เสียงดังจากเครื่องจักร ฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการผลิต ความ รอ้ นท่ีเกดิ จากการทำงานของเครื่องจกั รตา่ งๆ เป็นตน้ รวมทั้งลักษณะงานที่ซ้ำซาก ท่าทางการทำงานท่ี ผดิ ธรรมชาติ และอนั ตรายท่ีเกิดจาก เครื่องจกั ร สิ่งเหล่าน้ลี ้วนมีผลต่อการเจ็บป่วย และสุขภาพอนามัย ระยะยาวแก่คนงานท้งั สนิ้ ซึ่งจากการศึกษาเกีย่ วกับภาวะสุขภาพพบวา่ ยิ่งทำงานนานขนึ้ คือนานเกิน 10 ปีข้ึนไป คนงานก็ย่ิงสุขภาพแย่ลง (กุศล สุนทรธาดา และสุรีย์พร พันพึ่ง 2533:249) ระบบ อตุ สาหกรรมทำใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงดงั น้ี 1.4.1 สภาพความเป็นอยู่ อาจจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ไี มเ่ หมาะสมกับสุขภาพ เช่นอาศยั อยู่ ในชุมชนแออัด หรือไม่มีที่อยู่อาศัยที่แน่นอน ภาวะแวดล้อมในสังคมอุตสาหกรรม จะมีสิ่งแวดล้อมท่ี เปน็ พิษมากขนึ้ 1.4.2 วิถีชีวิตต้องเปล่ียนแปลงไปมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพ่ืออำนวยความสะดวกและ เปน็ การประหยัดเวลามากข้นึ ส่งิ เหล่านด้ี เู หมอื นจะเปน็ ผลดีตอ่ สุขภาพ แต่จรงิ ๆ แลว้ กลับทำให้รา่ งกาย มีสมรรถภาพในการทำงานลดลง เพราะเครือ่ งอำนวยความสะดวกตา่ งๆ ทำให้ร่างกายมกี ารใชก้ ำลงั งาน ลดลงทำให้หัวใจ ปอด หลอดเลือด กระดูกและกล้ามเน้ือ ไม่มีความแข็งแรงพอ ส่ิงเหล่านี้ทำให้ภาวะ สขุ ภาพเปลี่ยนแปลงไป ระบบเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อสุขภาพมาก ความพร้อมในการปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับ การดูแลสุขภาพ การดูแลสุขภาพจะแตกต่างกันไประหวา่ งกลมุ่ ท่ีมีรายได้สูงกับกลุ่มท่มี ีรายได้ต่ํา ผู้ที่มี ฐานะยากจน มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการป้องกันโรค โดยจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับกิจกรรม เหล่านั้นแต่จะให้ความสำคัญของการประกอบอาชีพและรายได้มากกว่า จึงมีผลกระทบต่อสุขภาพใน ลกั ษณะวงจรแหง่ ความช่ัวร้าย คือ จน-เจบ็ -โง่ อยู่ต่อไป 1.5 ระบบการเมืองและการปกครอง เป็นระบบท่ีให้อิสระแก่ประชาชนที่จะกำหนดภาวะ สุขภาพของตนเอง โดยรัฐให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางด้านต่างๆ เพื่อความมีสุขภาพดี แต่เน่ืองจากปญั หาสุขภาพเป็นสิ่งที่ประชาชนจะตอ้ งปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะแก้ปัญหาได้ ปัจจุบันรัฐจึง ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปล่ยี นพฤติกรรมของประชาชนให้เป็นไปในทางท่ีถูกต้อง เพื่อใหป้ ระชาชน เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้ ในทางตรงข้ามถ้าระบบ การเมืองและการปกครองมุ่งแสวงหาอำนาจ หรือมุ่งจะพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยไม่ คำนึงถึงคุณภาพของประชาชนย่อมจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างแน่นอน ระบบ การเมอื งและการปกครองจงึ มผี ลกระทบต่อสุขภาพ 1.6 ระบบความเช่ือหรือสถาบันศาสนา ระบบความเชื่อเป็นวัฒนธรรมท่ีถ่ายทอดผ่านระบบ ครอบครัว และสังคม การปฏิบัติตามความเชื่อและค่านิยม ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยในการดำรงชีวิต ความเช้ือจึงเป็นสงิ่ ท่ีเปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก การทา้ ทายต่อความเช่ือ และค่านิยมเก่าของคนยุคใหม่

138 อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไมม่ ่ันคง ไมแ่ นใ่ จ คนส่วนใหญจ่ ึงหลกี เลยี่ งท่ีจะต้องเผชิญกบั ความขดั แย้งนี้ ระบบความเช่ือมีอิทธิพลต่อสุขภาพของประชาซนในสังคมนั้น เป็นอย่างมากเพราะความเช่ือเป็น ตัวกำหนดพฤตกิ รรมของบคุ คล กิจกรรมทางศาสนาบางอย่าง อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ เช่น การ รบั ประทานอาหารมอ้ื เดียว การงดอาหารบางประเภท การนั่งทา่ เดยี วเป็นเวลานานๆ สถาบันศาสนามี อทิ ธพิ ลต่อสขุ ภาพจติ ของคนไทยมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เป็นส่วนหน่ึงทท่ี ำให้ผสู้ ูงอายุไทยมีสุขภาพจิต ที่ดี และปรบั ตวั เขา้ กบั วยั สงู อายุไดด้ ี โดยมสี ถาบนั ศาสนาเป็นทย่ี ึดเหน่ียวทางใจ 2. องค์ประกอบทางสงิ่ แวดลอ้ ม มนุษย์มคี วามสัมพนั ธ์อย่างใกลช้ ิดกบั สิ่งแวดล้อม ปจั จัยอะไรก็ ตามทท่ี ำให้สิ่งแวดลอ้ มเปล่ยี นแปลงไป จะกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วยองค์ประกอบ ท่ีสำคญั ของสง่ิ แวดล้อม ได้แก่ 2.1 สภาพทางภูมิศาสตร์ ลกั ษณะภมู ิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดฤดูกาลแตกตา่ งกันและ อุณหภูมิของแต่ละพ้ืนที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลโดยตรง สภาพภูมศิ าสตร์บาง แหง่ เอื้ออำนวยให้ส่งิ มีชีวิตบางอย่างเจริญเตบิ โตได้ดี เช่น ประเทศไทย ซ่ึงอยูบ่ ริเวณแถบศูนยส์ ตู ร มโี รค เวชศาสตร์เขตร้อนนานาชนิดเกิดขึ้นกับประชาชน โรคเหล่านี้ ได้แก่ โรคพยาธิต่างๆ ไข้มาลาเรีย ซ่ึง ประเทศในเขตหนาวจะไม่ประสบกับปัญหาสุขภาพเหล่าน้ี นอกจากน้ีสภาพภูมิศาสตร์ ยังก่อให้เกิด ภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น นาํ้ ท่วม แผน่ ดินไหว พายุ ทำใหเ้ กิดบาดเจบ็ และตายเปน็ จำนวนมาก การเปล่ียนแปลงของฤดูกาลทำให้บคุ คลต้องปรับตวั ต่อสภาพแวดล้อมในแต่ละฤดูกาล ทำให้คนบางคน เกิดการเจ็บปว่ ยข้ึน เชน่ ในฤดูฝนประชาชนจะป่วยเป็นไข้หวดั กนั มาก ในฤดูหนาวมักป่วยเป็นโรคภมู ิแพ้ กนั มาก ส่วนฤดรู อ้ นทำให้ได้รับอนั ตรายจากการถกู สตั วม์ พี ษิ กัด ตอ่ ยหรอื อุบัติเหตจุ ากการจมน้าํ 2.2 สภาพท่ีอยู่อาศัย ท่ีอยู่อาศัยหรือบ้านเป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวคนมากที่สุด ลักษณะ บ้านที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพคือมีการระบายอากาศได้ดี อยู่ห่างไกลจากแหล่งอุตสาหกรรม ไม่มีเสียง รบกวน มีการกำจัดขยะท่ีถูกวิธี มีท่อระบายน้ําและมีการระบายน้ํา ไม่มีน้ำท่วมขัง มีส้วมที่ถูก สขุ ลักษณะ มีน้ําด่ืม น้ําใช้ท่สี ะอาด มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายและอาชญากรรม ใช้วสั ดุก่อสร้างที่มี ความคงทนถาวร ภายในบา้ นได้รบั การจัดวางสง่ิ ของเคร่ืองใชต้ ่างๆ อย่างเปน็ ระเบียบปลอดภัยจากการ เกิดอุบัติเหตุ ได้รบั การดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี มีสถานท่ีสำหรับอำนวยความสะดวกในการ ทำกจิ กรรมตา่ งๆ และมีความเป็นส่วนตัว สภาพบ้านทีไ่ ม่ถูกสุขลักษณะจะกอ่ ให้เกิดปัญหาสุขภาพแก่ผู้ อยู่อาศยั ท้ังในด้านการเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคตดิ เชอื้ ต่างๆ และอุบัติเหตทุ ่เี กดิ ขึ้นได้จากความประมาท เชน่ ไฟ ไหม้ นำ้ ร้อนลวก การพลัดตก หกลม้ เปน็ ตน้ 2.3 สภาพสง่ิ แวดล้อมอื่นๆ ผลกระทบต่อสุขภาพอันเกิดจากมลพิษทางสิ่งแวดลอ้ ม ท้ังทางนํ้า ทางเสียง ทางอากาศ และทางดนิ ทำใหเ้ กดิ โรคหรืออนั ตรายแก่ชวี ติ ได้ เช่นน้ำทีถ่ กู ปนเปื้อนด้วยเชือ้ โรค หรือสารพิษจะทำให้ผู้บริโภคเป็นโรคของระบบทางเดินอาหาร เช่น บิด ไทฟอยด์ หรือได้รับสารพิษ โดยตรง การได้ยินเสยี งทด่ี ังมากๆ นานๆ ทำให้ประสาทหเู สื่อม ความสามารถในการได้ยนิ ลดลง การสูด อากาศหายใจที่มีแก๊สพิษ หรือสารพิษ ทำให้เป็นโรคเก่ียวกับระบบทางเดินหายใจและเกิดการระคาย

139 เคืองของระบบหายใจ โดยเฉพาะสารตะกว่ั ทอี่ ยูใ่ นบรรยากาศจากการเผาไหม้น้ำมนั เชื้อเพลิง ทำให้เกิด อันตรายต่อสุขภาพหลายประการ เช่น โลหิตจาง ระบบประสาทถูกทำลาย เป็นต้น การรับประทาน อาหารซึ่งปลูกในดินที่มีสารพิษ ร่างกายกจ็ ะเกดิ โรคจากสารพิษเหลา่ นัน้ ดินทีม่ พี ยาธิ เชน่ พยาธปิ ากขอ จะติดตอ่ มาสคู่ นทเ่ี หยียบยำ่ ไปบนดินโดยไม่สวมรองเท้าได้ สรุปมนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตทเ่ี ปน็ ระบบเปิด การมีสุขภาพดจี ะตอ้ งอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบ กนั การเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีผลกระทบต่อสุขภาพ จะช่วยให้คนรู้จักปรับปรุงให้ตนเองมสี ุขภาพท่ีดี ที่สุด โดยหลีกเลีย่ งปจั จยั เสี่ยงต่างๆ และมีส่วนร่วมในการดูแลและปรบั ปรุงสิง่ แวดล้อมให้เหมาะสมกับ การดำรงชวี ติ เพื่อการมสี ขุ ภาพดีตลอดไป 1. สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ไม่ปลอดภัย ในปัจจุบันสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อม ทางดา้ นกายภาพมคี วามเปลยื่ นแปลงไปอย่างตอ่ เนื่อง ทำให้ปัจจัยเสยี่ งตอ่ สุขภาพอย่างมาก ปัจจัยเส่ยี ง จากสิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพทไ่ี มป่ ลอดภยั อาจเกดิ ไดห้ ลายปัจจยั เชน่ 1.1 ปจั จัยเสยี่ งจากธรรมชาติ 1.2 ปจั จัยเสย่ี งจากมลพิษ 1.3 ปจั จัยเส่ยี งจากการเปลื่ยนแปลงทางชีววทิ ยาของสัตวน์ ำโรค และเช้ือโรค 2. ปัจจัยด้านสิ่งแวดลอ้ ม แบง่ เปน็ ด้านกายภาพชีวภาพและสงั คมดังนี้ 2.1 สิ่งแวดล้อมดา้ นกายภาพ ครอบคลมุ สภาพแวดล้อมที่เปน็ กายภาพท้ังหมด เชน่ ทีอ่ ยู่ อาศยั การจราจร สวนสาธารณะ อปุ กรณอ์ อกกำลงั กาย เวชภณั ฑ์ทางการแพทย์ วคั ซีน ฯลฯ 2.2 สงิ่ แวดลอ้ มทางชวี ภาพ เปน็ สิ่งแวดลอ้ มทม่ี ีชีวติ ซึ่งเปรียบเทียบได้กบั agent ในเชงิ ระบาดวทิ ยาท่มี ผี ลต่อการเกิดโรคประกอบดว้ ยเชื้อโรค สตั ว์ มนษุ ย์ ผกั ผลไม้ และสงิ่ แวดลอ้ มทางสังคม ครอบครัว ชุมชน นโยบายสาธารณะ ปัญหาส่งิ สังคมเชน่ การเปลี่ยนแปลงวิถีชวี ิตและค่านยิ มของ ประชาชน ซ่ึงสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพของบคุ คลครอบครวั และชุมชน(ใชอ้ งคป์ ระกอบทางสังคม การศึกษาเศรษฐกิจ) 2.3 ระบบบรกิ ารสาธารณสุข ครอบคลุมทงั้ การสร้างเสริมสขุ ภาพ การปอ้ งกันโรค และฟ้ืนฟู สภาพ 3. ปัจจัยเสี่ยงโรคอุบัติใหม่พฤติกรรมเส่ียง หมายถึง การกระทำของบุคคลท่ีอาจจะส่งผลให้ เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ทรัพย์สิน มีผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อมและอาจถึงขั้น เสยี ชีวติ ได้ พฤติกรรมเส่ยี งมีดงั น้ี

140 1. พฤตกิ รรมเสีย่ งดา้ นสขุ วิทยาส่วนบคุ คล 2. พฤตกิ รรมเสีย่ งจากการมพี ฤตกิ รรมสุขภาพทไี่ ม่เหมาะสม 3. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 4. พฤติกรรมเส่ยี งจากอบุ ตั เิ หตุ 5. พฤตกิ รรมเสี่ยงจากการใชส้ ารเสพตดิ 6. พฤตกิ รรมเสี่ยงดา้ นความรุนแรง การเฝา้ ระวงั โรค แนวทางป้องกันตนเองจากปัจจยั เสี่ยงและพฤตกิ รรมเสี่ยงตอ่ สุขภาพ 1. ศึกษาหาความรูแ้ ละติดตามขอ้ มูลขา่ วสาร 2. มสี ติ 3. ฝกึ ทักษะชีวติ ต่างๆ 4. ตระหนกั ถึงผลเสียหรือโทษที่ตามมาจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกบั ปจั จัยเส่ยี ง 5. รจู้ กั เลือกคบเพ่อื น 6. หลีกเล่ยี งการมพี ฤติกรรมเสี่ยงทางสขุ ภาพ 7. ฝกึ ฝนตนเองใหม้ ีสัญชาตญาณการระแวดระวังภยั ภาพท่ี 26 การเฝา้ ระวังโรคแนวทางปอ้ งกนั (ทม่ี า: www.boe.moph.go.th) การเฝ้าระวังทางด้านสาธารณะสุข แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด ชนิดของการเฝ้าระวังทางด้าน สาธารณะสขุ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คอื แบบเชิงรับ (passive) แบบเชิงรกุ (active) แบบการ เฝา้ ระวงั ตามกลุ่มเส่ยี งสูง หรอื พ้นื ท่เี ฉพาะ (sentinel) และแบบพิเศษ (special) การเฝ้าระวังเชิงรับ จะเป็นระบบการเฝ้าระวังท่ีมีการดำเนินการมากท่ีสุด วิธีการดำเนินการ โดยทั่วไปมักใช้แบบฟอรม์ การรายงานโรคที่เป็นมาตรฐานกระจายไปตามสถานบรกิ ารสาธารณสุขตา่ งๆ เช่น โรงพยาบาล สถานีอนามัย เป็นต้น หลังจากน้ันก็ให้บุคคลากรของสถานบริการเป็นผู้กรอกข้อมูล

141 และรายงานโรคมายังหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง เพ่ือทำการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยท่ัวไปแล้วการทำแบบน้ี จะทำให้ความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลของผู้ปว่ ยทถี่ ูกรายงานมักจะต่ำ แต่ระบบการเฝ้าระวงั เชิงรับ เป็นระบบทม่ี คี ่าใช้จ่ายนอ้ ยท่สี ุด การเฝ้าระวังเชิงรุก จะเน้นเร่ืองของการเสาะหาผู้ป่วยจากแหล่งที่อาจจะพบผู้ป่วยที่ต้องเฝ้า ระวัง ซ่ึงการเฝ้าระวังเชิงรกุ นี้จะได้ข้อมูลของผู้ป่วยค่อนข้างครบถ้วน สมบูรณ์ แต่การดำเนินการมักมี ค่าใช้จา่ ยสงู การเฝ้าระวังตามกลุ่มเสี่ยง เป็นการเฝ้าระวังที่จะดำเนินการรายงานโรคเฉพาะในกลุ่มของ สถานบรกิ ารสาธารณสุข หรือผทู้ ่ีจะรายงานโรคที่เลือกขนึ้ มาอย่างเฉพาะเจาะจง โดยทัว่ ไปพน้ื ท่ีที่จะถูก เลือกน้ัน มักจะเป็นบริเวณท่ีมีการเกิดโรคค่อนข้างสูง หรือมีการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการ สำรวจ หรือวินิจฉัยโรคน้ันๆ เปน็ พเิ ศษ การเฝ้าระวังแบบพิเศษ เป็นระบบที่ตั้งข้ึนมาเพ่ือดำเนินการเฝ้าระวังในกิจกรรมทางสุขภาพ เป็นกรณีพิเศษ โดยอาจจะต้ังระบบเฝ้าระวังเพ่ือติดตามดูผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจากโครงการที่มีการ ดำเนินการอยู่ เช่น การเฝ้าระวงั โรคมะเรง็ เตา้ นม กับโครงการตรวจเต้านมด้วยเครื่องตรวจเตา้ นม หรือ การเฝ้าระวังโรคมะเมง็ ปากมดลูก กบั โครงการตรวจมะเรง็ ปากมดลกู ดว้ ยวธิ ี pap smears เป็นตน้ นอกจากระบบเฝ้าระวงั จะแบ่งตามลกั ษณะวธิ ีการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ยังสามารถแบ่งตาม ชนิดของข้อมูลท่ีจัดเก็บ ได้เป็น 2 แบบ คือ ข้อมูลทุติยภูมิ หรือข้อมูลท่ีมีตามปกติแล้ว (Existing secondary data) กับขอ้ มูลที่ออกแบบมาเพ่ือจดั เก็บสำหรับการเฝ้าระวังโดยเฉพาะ ข้อมูลทุติยภูมิท่ีมีอยู่แล้ว โดยทั่วไปถูกจัดเก็บด้วยวัตถุประสงค์อื่นๆ ท่ีไม่ใช่เพ่ือการเฝ้าระวัง เช่น ใบมรณะบัตร ข้อมูลสรุปผลการรักษา เป็นต้น ซ่ึงจะมีข้อดีตรงท่ีไม่ต้องออกแบบหรือสร้างระบบ ใหม่ขึน้ มารองรบั แตร่ ายละเอยี ดของข้อมูลอาจไมเ่ พียงพอสำหรบั ที่จะใช้ในการเฝ้าระวัง ข้อมูลที่ออกแบบมาเพ่ือใช้ในการเฝ้าระวังโดยเฉพาะ เช่น แบบใบรายงานโรคท่ีรายงานโดย แพทยห์ รือเจา้ หนา้ ท่ีสาธารณสขุ น้นั สามารถท่ีจะตรวจพบสถานการณ์ของโรคได้ โดยท่ัวไปขอ้ มูลชนดิ น้ี มักจะได้มาในช่วงเวลาที่รวดเร็วกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ถ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับ ข้อมูลก็สามารถติดตามกลับกับผู้ที่รายงานมาได้ นอกจากน้ีผู้รับรายงานยังสามารถท่ีจะให้ข้อแนะนำ หรอื ขอรายละเอียดเพิม่ เตมิ จากผรู้ ายงาน หรืออาจเพิ่มเตมิ โรคอน่ื ๆท่ีน่าสนใจท่ีจะทำการเฝ้าระวังต่อไป ไดด้ ว้ ย

142 การเฝ้าระวงั โรคและสอบสวนโรค 1. เกณฑ์ทางคลินกิ (Clinical Criteria) มี ไข้สงู ร่วมกบั อาการอย่างนอ้ ยสองอาการ ดงั นี้ ป ว ด ข้ อ ห รื อ ข้ อ บ ว ม ห รื อ ข้ อ อั ก เส บ (Arthralgia or Joint swelling or Arthritis)มี ผื่ น (Maculopapular rash) ปวดกล้ามเน้ือ (Myalgia) ปวดศีรษะ (Headache) ปวดกระบอกตา ( Peri- orbital pain) 2. เกณฑ์ทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory Criteria) Lab ท่ัวไป Complete Blood Count (CBC) มจี ำนวนเมด็ เลือดขาวต่ำ (WBC < 5000) แต่เกลด็ เลอื ดปกติ (PLT  100,000) Lab จำเพาะ แยกเชื้อพบไวรัสชิคุนกุนย่าได้จากเลือด (Viral Isolation) ตรวจพบไวรัสจีโนมของไวรัสชิคุนกุนย่าได้ จากเลือด โดยวิธี PCR ตรวจพบ Antibody จำเพาะต่อเชื้อไวรัสชิคุนกุนย่าในน้ำเหลืองคู่ (Paired serum ห่างกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์) วิธี Haemagglutination Inhibition (HI) เพิ่มขึ้นมากกว่าหรือ เท่ากับ 4 เท่า (4 fold rising antibody) วิธี ELISA-IgM เพ่ิมขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 2 เท่า (2 fold rising antibody) สรุประยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บตัวอย่างแรก คือห่างจากวันเริ่มมีไข้ 0-4 วัน และ ตัวอย่างที่สองห่างจากวันเร่ิมมีไข้ 14-25 วัน และให้ส่งตัวอย่างแรกไปยังสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุข หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาก่อนโดยไม่ต้องรอ ตัวอย่างที่สอง (ตรวจ PCR) แต่ตอ้ งตามเกบ็ ตัวอย่างท่ีสองตามมาตรวจดว้ ยเสมอ (ตรวจ Antibody) 3. นยิ ามในการเฝ้าระวังโรค ผู้ป่วยสงสัย (Suspected case) หมายถึง ผู้ที่มอี าการตามเกณฑ์ ทางคลินกิ ผู้ป่วยเขา้ ขา่ ย (Probable case) หมายถึง ผู้ทมี่ ีอาการตามเกณฑ์ทางคลินกิ และ มีลักษณะ อย่างใดอยา่ งหน่ึง ดังนี้ มีผลการตรวจ CBC เข้าได้ตามเกณฑ์ทางห้องปฏิบัติการท่วั ไป มีความเชือ่ มโยง ทางระบาดวิทยากับผู้ป่วยยืนยันรายอื่นๆ หรือมาจากพ้ืนที่ที่มีรายงานการระบาดของโรค ไม่เกิน 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มป่วย ผู้ป่วยที่ยืนยันผล (Confirmed case) หมายถึง ผู้ที่มีอาการตามเกณฑ์ทางคลินิก และ มีผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารจำเพาะ 4. ระบบการรายงานโรคไข้ปวดข้อยุงลายจัดเป็นโรคท่ีต้องรายงานทางระบาดวิทยา (ตาม ระบบรายงานโรคเร่งด่วน และ รายงาน 506 เป็นลำดับท่ี 84) เพื่อใช้ข้อมูลในการควบคุมป้องกันโรค ไม่ให้แพร่กระจายออกไป เจ้าหน้าทรี่ ะบาดวิทยาทุกโรงพยาบาลและสถานีอนามัยควรแจ้งไปยังแผนก ผปู้ ว่ ยนอก ผูป้ ่วยใน และแพทย์ประจำโรงพยาบาลทกุ ทา่ น ให้รายงานผู้ป่วยสงสัย(suspected cases) โรคไข้ปวดข้อยุงลายทุกรายไปยังฝ่ายเวชกรรมสงั คมหรือเวชปฏิบัตขิ องสถานบริการน้ันๆ โดยแบง่ พน้ื ที่ ออกเปน็ สีเพอ่ื การเฝา้ ระวังและสอบสวนโรคตามสถานการณก์ ารเกิดโรคในแตล่ ะพ้ืนที่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook