Communicable and Non Communicable Diseases
2 (ก) คำนำ หนังสือรายวิชาพ้ืนฐาน (สุขศึกษา) เร่ือง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ (Communicable and Non- Communicable Diseases) เลม่ นเี้ รียบเรียงขึน้ เพ่ือเรียนการสอน นักเรียนระดับประถมศึกษา เรียบเรียงโดย กนกวรรณ เหลืองน้ำเพ็ชร ตำแหน่ง อาจารย์ชำนาญการ สาขาวิชาสุขศึกษาและ พลศึกษา โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนา การศึกษา ท่ีมีเนื้อหาสาระตรงตามหลักสูตร โดยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งความรู้ต่างๆผสมผสาน กบั ประสบการณ์เดิม รวบรวมเรียบเรียงข้ึนเปน็ รูปเล่ม เนือ้ หาของเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ แบ่งออกเป็น 9 บท ประกอบด้วย ความหมายของ โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ แนวคิดระบาดวิทยา การจำแนกชนิดของโรค โรคไม่ติดต่อ (NCD) การติด เชอ้ื ปจั จยั เส่ียงทางสุขภาพ การป้องกันและควบคมุ โรคของโรคติดต่อและโรคไม่ติดตอ่ โรค (Disease) อาการ (Symptom) ภาวะ (Condition) การสร้างเสริมภูมิคมุ้ กนั โรค การทำแผน การสอนและกรณีศึกษา ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียน นักศกึ ษา ครู อาจารย์ บคุ ลากรทางการศกึ ษาและผู้สอนวิชาสาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ เพ่อื นำไปประยกุ ต์ใชต้ ามความเหมาะสม กนกวรรณ เหลอื งนำ้ เพช็ ร กรกฎาคม 2566
(1) 3 สารบญั หนา้ คำนำ (ก) สารบัญ (1) สารบญั ภาพ (4) สารบญั ตาราง (6) บทที่ 1 1 ความหมายของโรคติดตอ่ และโรคไม่ติดต่อ 1 ความหมายของโรคตดิ ตอ่ 6 ความหมายของโรคไม่ติดตอ่ 13 บทท่ี 2 30 แนวคดิ ระบาดวทิ ยา 35 พระราชบัญญัติโรคตดิ ตอ่ 2558 กฎหมายระหว่างประเทศในการปอ้ งกันโรค 44 44 บทท่ี 3 60 การจำแนกชนดิ ของโรค 62 โรคตดิ ตอ่ โดยเชือ้ ,เชื้อไวรสั ,เช้อื บคั เตร,ี เชือ้ รา,เชอ้ื ปรสติ 63 โรคติดตอ่ อนั ตราย 64 โรคติดต่อตามประกาศ 66 โรคติดตอ่ ทตี่ อ้ งแจ้งความ โรคติดต่อทเี่ ป็นปญั หาตอ่ สาธารณสุขของประเทศ โรคติดต่อในปัจจบุ นั ท่คี วรทราบ
(2) 4 สารบญั (ตอ่ ) หน้า บทท่ี 4 77 โรคไมต่ ิดต่อ(NCD) 80 โรคอว้ น 83 โรคไขมนั ในเสน้ เลอื ด 96 โรคหัวใจ 98 โรคเลอื ดออกในสมอง 90 โรคเบาหวาน 97 โรคมะเร็ง 103 โรคสรุ าและเหล้า 105 บทท่ี 5 105 การตดิ เชื้อ 111 การติดเชอื้ ทางการหายใจ 115 การตดิ เชอ้ื ทางการกิน 121 การติดเชอ้ื ทางผิวหนงั 125 การตดิ เชือ้ ทางเพศสมั พนั ธ์ การติดเชื้อทางรกและชอ่ งคลอด 128 140 บทท่ี 6 ปจั จัยเสยี่ งทม่ี ีผลตอ่ สขุ ภาพ 147 การเฝ้าระวังโรค 162 บทท่ี 7 การป้องกนั และควบคมุ โรคของโรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ติดต่อ วคั ซีน
(3) 5 สารบัญ (ต่อ) หนา้ บทที่ 8 169 โรค (Disease) อาการ (Symptom) ภาวะ (Condition) 177 โรคท่ีนักเรียนในชัน้ ต่างๆควรรู้ในแตล่ ะระดับช้นั 182 พาหะของโรค ระยะตดิ ตอ่ ของโรค 188 บทที่ 9 188 การสรา้ งเสริมภมู ิคุ้มกันโรค 196 การสง่ เสรมิ สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรค 208 การออกกำลังกายทีช่ ่วยป้องกนั การเกิดโรค 211 219 บรรณนกุ รม ภาคผนวก ประวัติการศกึ ษาและการทำงาน
6 (4) สารบญั ภาพ ภาพที่ หน้า 1 โรคตา่ งๆไดเ้ ป็นหลายประเภท 10 2 Spot map การกระจายของผู้เสยี ชวี ิตจากอหวิ าตกโรคใน กรงุ ลอนดอนสอบสวนโดยนายแพทย์ John Snow คศ 1854 16 3 ความสัมพันธข์ องทั้งสามปัจจยั 20 4 วงจรการแกไ้ ขปญั หาโดยประยกุ ตใ์ ช้ความรู้และเครื่องมอื ทางระบาดวทิ ยา 27 5 นายแพทย์สุชาติเจตนเสนและนายแพทย์ประยรู กนุ าศล และ นายแพทยธ์ วัช จานยี โยธิน อาจารย์ผู้ริเร่ิมและปูรากฐาน งานระบาดวิทยาเพื่อการบรหิ ารงานสาธารณสขุ 29 6 แสดงภาพกฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 36 7 ทางเดินหายใจ 49 8 เชื้อรา 55 9 แมลงสัตว์พาหะเชอื้ ปรสติ 58 10 ภาพเงาทบึ แสดงเสน้ รอบเอวของคนปกติ นำ้ หนกั เกินและภาวะอ้วน 80 11 ยคุ ประวตั ิศาสตร์วิทยาการระบาด 82 12 กระบวนการเมตาบอลซิ ึม 83 13 หัวใจ 86 14 แสดงอาการโรคเลือดออกในสมอง 88 15 โรคเลือดออกในสมอง 88 16 การเกิดความผิดปกติสาเหตุของเบาหวานข้ึนตา 94 17 โรคซ่ึงเกดิ มีเซลลผ์ ดิ ปกตขิ ้ึนในรา่ งกาย 97 18 คนสรุ าและเหลา้ 103 19 กลากทีง่ า่ มเท้า 117 20 กลากผวิ หนงั 118 21 เรมิ ทป่ี าก 119 22 อาการงูสวัด 120 23 แสดงการตดิ เชื้อทางเพศสัมพันธ์ 121
(5) 7 สารบัญภาพ (ต่อ) หน้า ภาพที่ 125 128 24 แสดงการติดเช้อื ทางรถและชอ่ งคลอด 140 25 พฤตกิ รรมอะไรเป็นปจั จยั เสี่ยงทางสขุ ภาพ 162 26 การเฝา้ ระวังโรคแนวทางปอ้ งกนั 164 27 วัคซนี (อังกฤษ: Vaccine) 184 28 แสดงระบบภมู คิ ้มุ กัน 185 29 หนพู าหะของอหวิ าตกโรค 186 30 สตั วท์ ีค่ ลอดออกมา และมเี ช้อื ปนเปอื้ น 188 31 การสัมผัสกบั แหลง่ นำ้ หรอื ดนิ เปยี กช้นื ทีป่ นเป้อื นเชอ้ื 32 การสร้างเสริมสุขภาพและปอ้ งกนั โรค 196 33 การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอเป็นวถิ ี การดำรงชีวติ ในรูปแบบที่สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ
8 (6) สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 อตั ราตายจากอหิวาตกโรคตอ่ 10,000 บ้าน จำแนกตามบรษิ ัทท่ีซ้อื นำ้ 17 กรุงลอนดอน คศ 1854 180 2 แยกระดบั ชั้นและเรอื่ งโรคท่ตี อ้ งเรยี นในแต่ละระดบั ชนั้ ปี
1 บทท่ี 1 โรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ติดตอ่ ความหมายของโรคติดตอ่ ความหมาย โรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ contagion - non contagion หมายถึง อะไร ประเภทของโรคทเี่ กิดจากอาหารเปน็ สอ่ื แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความหมายของโรคติดต่อ การเกิดโรคติดต่อจะส่งผลต่อสุขภาพของบุคคลโดยตรง แม้ว่า โรคติดต่อสามารถแพรก่ ระจายได้ แตก่ ็สามารถป้องกันไดเ้ ช่นเดียวกัน การเกิดโรคติดตอ่ มอี งค์ประกอบ 3 ชนิด ได้แก่ คน สิ่งแวดล้อม และเช้ือโรค โดยเฉพาะเช้ือโรคที่ทำให้เกิดโรคติดต่อมีหลายประเภท ซึ่ง ความรุนแรงของโรคก็มีความแตกต่างกันไป ดังนั้น ความเข้าใจเก่ียวกับสาเหตุ อาการ การติดต่อและ การป้องกันและควบคุมโรค ก็จะทำให้สามารถปฏิบัติตัวในการป้องกันมิให้เกิดเป็นโรคติดต่อได้อย่าง ถูกตอ้ ง โรคติดต่อ หมายถึง โรคท่ีเกดิ ข้ึนกับคนหรอื สตั ว์ โดยเกดิ จากเช้อื โรคท่เี ป็นส่ิงมีชวี ติ หรือพษิ ของ เชอ้ื โรค และเม่ือเกดิ โรคขึน้ แลว้ สามารถแพร่กระจายจากคนหรอื สัตว์ที่ป่วยเป็นโรคนั้นไปสู่คนหรือสัตว์ อ่นื ได้ โดยการแพร่กระจายจากโรคน้นั อาจเปน็ ไดท้ ั้งทางตรงและทางอ้อม โรคติดต่ออันตราย หมายถึง โรคติดต่อพวกหนึ่งที่มีอาการรุนแรง มีการแพร่ระบาดอย่าง รวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้มีผู้เจ็บป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดกลุ่มของ โรคติดต่อตามความรุนแรงของโรคไว้ การแพร่กระจายโรค หมายถึง การที่คนหรือสัตว์ไดร้ ับเชื้อโรคหรือพิษของเช้ือโรคจากคนป่วย หรือสัตวป์ ่วยแลว้ ทำให้เกดิ เป็นโรคนนั้ ข้ึน ซง่ึ ได้รบั เช้อื โรคหรือพิษของเช้ือโรคน้ันอาจได้รับโดยตรงหรือ ไดร้ ับโดยทางออ้ มโดยมีตวั นำเช้อื โรคที่เรยี กวา่ พาหะนำโรค พาหะของโรค คือ คนหรือสัตว์ท่ีมีเช้ือโรคแต่ไม่แสดงอาการ และสามารถนำเช้ือโรคนั้นไปสู่ ผ้อู ่นื ได้ วัคซนี หมายถึง ตัวเช้อื โรคที่ตายแลว้ หรือมีชีวิตแต่หมดอันตรายแล้ว หรอื สว่ นหน่ึงสว่ นใดของ เช้อื โรค เม่อื ฉีดเขา้ ไปในรา่ งกายแล้ว จะมีผลกระตนุ้ ใหร้ ่างกายสรา้ งภูมคิ ุ้มกันโรคได้ โรคที่ติดต่อได้ หมายถึง โรคซึ่งเกิดกับผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อ่ืนได้ โรค เหล่านม้ี สี าเหตุมาจาก
2 1. แบคทเี รยี เชน่ อหิวาตกโรค ไทฟอยด์ วณั โรค 2. พยาธติ า่ งๆ เช่น พยาธติ ัวตดื พยาธใิ บไม้ตบั พยาธิตวั จี๊ด 3. ไวรสั เช่น โปลโิ อ ตับอักเสบ โรคติดต่อ คือ โรคท่ีสามารถถ่ายทอด ติดต่อถึงกันได้ระหว่างบุคคล โดยมีเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ เป็นสาเหตุของโรค ได้แก่ วัณโรค กามโรค โรคเร้ือน อหิวาตกโรค โรคเอดส์ เป็นต้น แม้ว่าเช้ือโรคจะ เป็นตัวก่อเหตุ แตพ่ ฤตกิ รรมทีไ่ มเ่ หมาะสมของมนุษยก์ ็เปน็ ปัจจยั ร่วมทส่ี ำคญั สำหรับในเขตร้อน อากาศอบอุ่นจนถึงร้อนจัดตลอดปี และมีฝนตกมากสเปรดสูงทำให้เช้ือโรค และแมลงต่างๆ ต่างๆ เหล่าน้ตี ้องพาหะเติบโตและผลขา้ งเคยี งตามมา ซึ่งจะทำให้การติดต่อกบั โรคอ่ืนๆ ที่อาจพบได้บ่อยกว่าอากาศหนาวเย็น โรคเหล่านี้รวมถึงโรคท่ีอาจเกิดจากเชื้อโรคในบทความนี้เป็น ระยะไวรสั ขนาด เลก็ มากไปหาสัตว์เซลลเ์ ดยี วและกันเอง จุลินทรีย์หรือจุลชีพ คือ ส่ิงมีชีวิตเล็ก ๆ เป็นสิ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้ กล้องจลุ ทรรศน์ท่ีมีกำลังขยายเปน็ พนั เท่าหรือหมื่นเท่าจงึ จะมองเหน็ ได้ ในบรรยากาศท่ีลอ้ มรอบตัวเรา ในดิน ในน้ำ ในอาหาร บนผิวกาย หรือในร่างกายของเรา จะสามารถตรวจพบจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ มากมายหลายชนิดจุลินทรีย์บางชนิด มีชวี ิตอยู่โดยไม่ทำอันตรายต่อคนหรือสัตว์หรือส่ิงมีชีวิตอ่ืน บาง ชนดิ มีประโยชน์ช่วยสงั เคราะหส์ ารตา่ งๆ ให้ประโยชน์ในทางกสิกรรมและอตุ สาหกรรม แต่บางชนิดก่อ โรคให้กับคน สัตว์และพืช จุลินทรีย์ที่ก่อโรคน้ีรวมเรียกว่า \"เชื้อโรค\" นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บป่วย เล็กน้อยอีกมากมาย ท่ียังไม่ถึงขั้นที่จะจัดเป็นโรค มักเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโรคดังกล่าวแล้ว โรคชนิดหน่ึง ๆ มักปรากฏหลาย ๆ อาการ เช่น อาการปวด อาการคลื่นไส้ อาการอาเจียน อาการ ปวดท้อง อาการท้องเสีย อาการท้องผกู อาการไอ อาการหอบ อาการนอนไมห่ ลบั เป็นตน้ ในปจั จบุ นั เราทราบแน่ชดั แลว้ วา่ การปรากฏอาการหรือโรคต่อร่างกายนัน้ จิตใจมสี ่วนสมั พันธ์ กัน เช่น ความเครียดทางจิตใจ เป็นปัจจัยร่วมของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น โรคภัยไข้เจ็บมีมากมาย หลักการดูแลสุขภาพท่ีถูกต้อง จึงควรเน้นเร่ืองการส่งเสริมสุขภาพและการ ปอ้ งกันโรคเปน็ สว่ นสำคัญ โดยจะต้องศกึ ษาลักษณะของโรคและสาเหตขุ องการเกิดโรคเหล่าน้ดี ว้ ย และ ประพฤติปฏิบัติเพ่ือไมใ่ ห้เกิดโรค ซ่ึงในรายละเอียดจะต้องคำนึงถึงความสมดุล และธรรมชาติ ไม่ควรมี พฤติกรรมที่ประมาทหรือเสี่ยงต่อโรคภัยไขเ้ จ็บแล้วหวังผลการรักษาตรงปลายเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิดท่ีเช่ือว่ายาคือพระเจ้าที่จะแก้ปัญหาสุขภาพได้ทุกกรณี เป็นความเช่ือท่ีผิด เพราะใน ขณะเดียวกัน ยาก็มีพิษภัยที่ก่อปัญหาได้เช่นเดียวกัน ความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นธรรมชาติท่ีสามารถ เกิดข้ึนได้กับทุก ๆ คน แม้ว่าจะได้ดูแลป้องกันเป็นอย่างดีแล้ว เน่ืองจากมนุษย์ไม่สามารถกำหนด สิ่งแวดล้อมให้เป็นไปได้ดังใจนึกในทุกขณะหากเกิดการป่วยไข้ข้ึนมา การแก้ปัญหาก็ยังคงต้องอาศัย แนวคิดในเร่ืองของธรรมชาติเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ควรใจเร็วด่วนได้ แก้ปัญหาปลายเหตุโดยขาดการ พิจารณาไตร่ตรองถึงสาเหตุของปัญหาและแก้ปัญหาอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างย่ิงการแก้ปัญหาต่อ การเจ็บป่วยเลก็ ๆ น้อย ๆ โดยการใชย้ า มีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ มากมาย ทไ่ี ม่จำเปน็ ตอ้ งใชย้ า
3 หรืออาจพูดไดว้ า่ การใช้ยาบำบดั หรอื บรรเทาอาการนั้น ๆ เป็นประจำเป็นสิ่งท่ผี ิด อันท่ีจริงแล้ว อาการ เจ็บป่วยหลาย ๆ อาการเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงผลของการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของร่างกาย สะท้อนให้ร่างกายได้รู้สึกว่ามีการเสยี สมดุลย์เกิดข้ึน เพื่อเตือนให้ร่างกายปรบั วิถีการดำรงชีวิตที่ผิดนั้น เสยี ใหม่ให้เหมาะสม อนั จะทำให้เกดิ การคืนสสู่ มดลุ ยข์ องร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีชีวิตที่ยืนยาวอย่าง ปกติสุข การใช้ยาแก้ปัญหาอาการโดยไม่จำเป็น จะทำให้เกิดการละเลยต่อการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกดิ ผลเสียมากขน้ึ ในท่สี ดุ หรอื ในบางกรณจี ะสง่ ผลเสยี ในระยะยาวได้ โรคตดิ ต่อหมายถึง โรคท่ีสามารถถา่ ยทอด หรือติดตอ่ จากส่งิ มชี ีวติ หน่ึงไปยังอีกสิ่งมชี วี ติ หน่ึงได้ โดยไม่จำกัดวา่ ส่ิงมชี ีวิตนั้นจะเป็นมนุษยห์ รือไม่กต็ าม โรคตดิ ต่ออาจสามารถแพร่ไปสู่สง่ิ มชี ีวิตอนื่ ไดโ้ ดย การสัมผัสโดยตรง การสดู ดมหายใจเอาเช้อื โรคทแี่ พรจ่ ากผปู้ ่วย การรบั ประทานอาหารหรือ นำ้ ดื่มทีม่ ี เชื้อปนอยู่ หรือแม้แต่ผ่านตัวกลางที่เรียกว่าพาหะ หากโรคติดต่อนั้นๆมีการแพร่กระจาย ไปอย่าง รวดเรว็ สู่ชุมชนท่ีมีประชากรจำนวนมาก โรคดังกลา่ วกก็ ลายเป็นโรคระบาด ตวั อยา่ งโรคติดต่อ โรคตาแดง เปน็ โรคติดตอ่ ท่ีระบาดได้ง่ายมาก โรคนี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถงึ ชีวิตแต่ถา้ ไม่รีบ รักษาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ เปน็ โรคที่เกิดจากเช้ือไวรสั เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ระบาดได้ตลอดปี มกั เกิดในชว่ งท่ีมอี ากาศเปลย่ี นแปลง เช่น ฤดูฝนต่อกับฤดหู นาว โรควัณโรค (ทีบี) เกิดจากการที่ร่างกายไดร้ ับเชื้อแบคทีเรียติดมากบั ละอองเสมหะและละออง น้ำลายท่ีกระจายในอากาศ สมัยก่อนคนเรียกโรคน้ีว่า ฝีในท้อง ถ้าใครเป็นละก็ตายทุกราย ไม่มียาแก้ แถมคนทีป่ ่วยยงั ถูกรังเกียจด้วย แต่ปจั จุบนั โรคนสี้ ามารถรักษาได้ วัณโรคในเด็กและผู้ใหญต่ ่างกันมาก ในผู้ใหญม่ ักจะมจี ุดท่ีปอด มีไข้ต่ำ อ่อนเพลยี ไอแห้งๆและ ผอมแห้งแรงนอ้ ย ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีจะมีความต้านทานต่ำเมื่อได้รบั เชื้อ จะไม่สามารถสกดั กันเช้ือ ได้ และเช้ือจะกระจายไปตามร่างกายและอาจรุนแรงมากเมื่อเชื้อไปถงึ สมอง ทางติดตอ่ ของเช้ือโรค ไดแ้ ก่ 1. ทางการหายใจหรือสูดดม นับว่าเป็นทางที่สำคัญที่สุด ผู้ป่วยจะปล่อยเชื้อโรคออกมากับ น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ โดยการไอหรือจาม เกิดเป็นละอองฝอยกระจายอยู่ในอากาศ ถ่ายทอดให้ผู้อื่น โดยการสูดดมละอองเชื้อโรคเข้าไป ทำใหต้ ิดเชื้อป่วยเป็นโรค ตัวอย่างเช่น วณั โรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไขค้ อตีบ ไอกรน และหัด เป็นต้น
4 2. ทางการกนิ โดยการกินอาหารหรอื น้ำด่ืมท่ีมีเชอ้ื โรคปนเป้ือนเช้ือโรคจะเข้าไปเพม่ิ จำนวนใน ลำไส้ ออกมากับอุจจาระแล้วปนเป้ือนกับอาหารหรือเคร่ืองด่ืม ติดต่อสู่ผู้อื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น อหิวาตกโรค บิด ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย โปลิโอ ตับอักเสบ พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิตืดหมู พยาธิตดื ววั พยาธใิ บไม้ในปอด และพยาธติ วั จี๊ด เปน็ ตน้ 3. ทางผิวหนัง ทางบาดแผล รอยถลอกหรือฉีดยา โดยทั่วไปผิวหนังและเยื่อบุของคนปกติจะ สามารถป้องกนั การบุกรกุ ของเชอ้ื โรคเข้าสู่ร่างกาย แตถ่ ้าเกิดบาดแผลหรอื รอยถลอก หรอื แทงเข็มผ่าน ไปก็จะทำให้เชือ้ โรคเขา้ ไปเพิม่ จำนวนได้ ตวั อยา่ งเชน่ โรคพษิ สนุ ขั บา้ บาดทะยกั และหนองฝี เป็นต้น แมลงหลายชนิดเป็นพาหะนำโรค เชน่ ยุง หมดั เหบ็ เหา และไร แมลงจะกดั กนิ เลือดผูป้ ว่ ยทม่ี ี เชื้อโรคเขา้ ไป เช้ือโรคไปเพ่มิ จำนวนในตัวแมลงและเมอ่ื แมลงไปกัดกนิ เลือดผอู้ ่ืนก็จะปล่อยเชอื้ ถา่ ยทอดไป ตัวอย่างเช่น มาลาเรีย ไข้เลือดออก และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น แมลงบางชนิดเป็นพาหะ นำโรคโดยเป็นส่ือกลางนำเชื้อจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึงโดยตรงไม่มีการเพิ่มจำนวนของเช้ือ เช่น โรค ไวรสั ตับอักเสบ บี เป็นต้น 4. ทางเพศสัมพันธ์ โรคที่ติดต่อทางเพศเดิมเคยเรยี กว่า กามโรค ปัจจุบันเรียกว่า โรคท่ีติดต่อ ทางเพศสัมพนั ธ์ ซง่ึ มมี ากมายหลายโรค เชน่ หนองใน ซฟิ ิลิส หูดหงอนไก่ เรมิ และแผลริมอ่อน 5. ทางรกและชอ่ งคลอด ถ้ามารดามีการติดเช้ือโรคบางอย่างขณะต้ังครรภ์ ทำให้ทารกติดเช้ือ เกดิ ความพิการแต่กำเนิด แท้ง หรอื ตายตั้งแตแ่ รกคลอด เชือ้ ทีส่ ำคัญได้แก่ ซฟิ ลิ สิ หัดเยอรมัน เป็นต้น นอกจากน้ี ถ้ามารดามีการติดเช้ือบริเวณช่องคลอด ทารกจะได้รับเชื้อโดยการกลืนกิน สูดดม หรือสัมผัสขณะคลอด ทำให้เกิดโรคอาการรุนแรง ตัวอย่างเช่น ตาอักเสบจากหนองใน หนองในเทียม และโรคเริม เปน็ ต้น โรคติดต่อในประเทศไทย ใน พ.ศ.2523 ได้ยกเลิกกฎหมายท้ัง 5 ฉบับและประกาศใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2523 ได้มีประกาศรัฐมนตรี เร่ืองโรคติดต่ออันตราย โรคตดิ ต่อตามประกาศกระทรวงสาธารณสขุ และโรคตดิ ต่อที่ต้องแจ้งความ เรียงตามลำดบั ดังนี้ 1. โรคตดิ ตอ่ อนั ตราย มอี ยู่ 4 โรค ได้แก่ อหิวาตกโรค ไขท้ รพิษ ไข้เหลือง และกาฬโรค 2. โรคติดตอ่ ตามประกาศกระทรวงสาธารสขุ ลงวันท่ี 18 ธันวาคม พ.ศ.2524 มีอยู่ 44 โรค คือ อหิวาตกโรค กาฬโรค ไข้ทรพิษ ไข้เหลอื ง ไข้กาหลงั แอ่น คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก โปลิโอ ไข้หัด ไขห้ ัดเยอรมัน โรคคางทมู ไข้อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ไข้สมองอกั เสบไข้เลือดออก โรคพษิ สนุ ัขบา้ โรคตับ
5 อักเสบ โรคตาแดงจากไวรัส อาหารเป็นพิษ โรคบิดบะซิลลารี (bacillary dysentery) โรคบิดอะมีบา (amoebic dysentery) ไข้รากสาดน้อย ไข้รากสาดเทียม ไข้รากสาดใหญ่ สครับไทฟั ส (scrub typhus) มรู ีนไทฟัส (murine typhus)วัณโรค โรคเรื้อน ไข้จบั สัน่ แอนแทร็กซ์ (antrax) โรคทริคิโนซิส (trichinosis) โรคคุดทะราด โรคเล็พโทสไปโรซิส ซิฟิลิส หนองในหนองในเทียม กามโรคของต่อมและ ท่อน้ำเหลือง แผลริมอ่อน แผลกามโรคเรื้อรังท่ีขาหนีบ โรคไข้กลับซ้ำ โรคอุจจาระร่วง โรคแผลเรื้อรัง และโรคเท้าช้าง 3. โรคติดตอ่ ท่ีตอ้ งแจ้งความ มอี ยู่ 15 โรค ได้แก่ อหวิ าตกโรค กาฬโรค ไขท้ รพิษ ไขเ้ หลอื ง คอ ตบี บาดทะยักในเด็กเกิดใหม่ โปลิโอไข้สมองอักเสบ ไข้พิษสุนัขบ้า ไข้รากสาดใหญ่ แอนแทร็กซ์ โรคท ริคิโนซิส ไข้กาฬหลังแอ่น โรคคุดทะราดระยะติดต่อ โรคเอดส์ (AIDS) หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันโรค เสอ่ื ม โรคที่สามารถถ่ายทอด หรือติดต่อจากส่ิงมีชีวิตหน่ึงไปยังอีกส่ิงมีชีวิตหนึ่งได้ โดยไม่จำกัดว่า สิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม โรคติดต่ออาจ สามารถแพร่ไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่นได้โดยการสัมผัส โดยตรง การสูดดมหายใจเอาเชื้อโรคท่ีแพรจ่ ากผู้ป่วย การรับประทานอาหารหรอื น้ำดื่มที่มีเชื้อปนอยู่ หรือแมแ้ ต่ผา่ นตวั กลางที่เรียกว่าพาหะ หากโรคตดิ ต่อน้ันๆมกี ารแพร่กระจายไปอยา่ งรวดเร็ว สชู่ ุมชนที่ มปี ระชากรจำนวนมาก โรคดังกล่าวก็กลายเป็นโรคระบาดโรคตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ โรคติดต่อ ตามความหมายในพระราชบัญญัตโิ รคติดตอ่ พทุ ธศักราช 2523 โรคติดตอ่ หมายความว่า รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศใหเ้ ป็นโรคติดต่อ และ รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุหรือผูว้ ่าราชการจังหวัดประกาศเฉพาะใน เขตของตนโดยประกาศ การใหเ้ ป็นโรคติดต่อในกรณที ่ตี รวจพบ และมีเหตุสงสยั วา่ โรคใด โรคหนงึ่ นอกเหนอื จากข้อ 1 เป็นโรค ซึ่งอาจติดต่อแพร่กระจายเป็นอนั ตรายแก่ประชาชนได้ โรคตดิ ตอ่ รวม 45 โรค คอื 1) อหวิ าตกโรค 2) กาฬโรค 3) ไข้ทรพษิ 4) ไขเ้ หลอื ง 5) ไข้กาฬหลังแอ่น 6) คอตีบ 7) ไอกรน 8) บาดทะยกั 9) โปลโิ อ 10) ไข้หดั 11) ไขห้ ัดเยอรมัน 12) คางทูม 13) ไข้อีสุกอีใส 14) ไขห้ วดั ใหญ่ 15) ไข้สมองอกั เสบ 16) ไขเ้ ลือดออก 17) พษิ สนุ ขั บา้ 18) ตบั อักเสบ 19) ตาแดงจากไวรัส 20) อาหารเปน็ พษิ 21) บิดแบบ ซลิ ลาร่ี 22) บดิ อมีบา 23) ไขร้ ากสาดน้อย 24) ไข้รากสาดเทยี ม 25) ไขร้ ากสาดใหญ่ 26) สครปั ไทฟสั 27) มรู นิ ไทฟัส 28) วัณโรค 29) เรอื้ น 30) ไขจ้ ับสั่น 31) แอนแทรก 32) ทรโิ คโนซสี 33) คุดทะราด 34) เลปโตสไปโรซีส 35) ซฟิ ิลิส 36) หนองใน 37) หนองในเทยี ม 38) กามโรคของตอ่ มและท่อ นำ้ เหลอื ง 39) แผลรมิ ออ่ น 40) แผลกามโรคเร้ือรงั ทขี่ าหนบี 41) ไข้กลบั ซ้ำ 42) อจุ จาระร่วง 43) แผล เร้ือรัง (แผลปากหมู) 44) เท้าช้าง 45) เอดส์ ดังนั้นจะเห็นว่า ประเทศไทยมีโรคติดต่ออยู่หลายชนิด ในปัจจุบันโรคติดต่อท่ีเป็นอันตราย ร้ายแรงบางชนิด ได้ถูกควบคุมและกำจัดให้สูญสิ้นไปแล้ว เช่นไม่มีรายงานผู้ป่วยกาฬโรคอีกเลย นบั ต้ังแต่ พ.ศ.2495 และไข้ทรพิษก็ไม่พบอกี เลยในประเทศไทยหลังจาก พ.ศ.2504 (ไข้ทรพิษถูกกำจัด ให้หมดไปจากทุกประเทศในโลกต้ังแต่ พ.ศ.2521) โรคติดต่อบางชนิดแม้ว่าคงมีอยู่บ้าง ก็ได้ลดความ
6 รนุ แรงลงไป เช่น อหิวาตกโรค อย่างไรกต็ าม โรคตดิ ต่อหลายชนิดยังคงปรากฏอยรู่ วมท้ังโรคติดต่อบาง ชนิดที่พบใหม่ ฉะน้ันโดยทั่วไปแล้ว โรคติดต่อและโรคเขตร้อนยังคงเป็นปัญหาต่อการแพทย์และการ สาธารณสุขของประเทศอยตู่ ่อไป ความหมายของโรคไม่ติดต่อ โรคที่ไม่ติดต่อ หมายถึง โรคท่ีเกิดกับผู้หน่ึงผู้ใดแล้ว ทำให้ผู้น้ันเจ็บป่วย หรือตาย แต่ไม่แพร่ ขยายไปสู่ผอู้ ืน่ โรคนีม้ ีสาเหตมุ าจาก 1. พิษของแบคทเี รยี เช่น พษิ จากแผล ฝี หนอง 2. พิษของเช้อื รา เช่น อะฟลาทอกซิน 3. พิษจากสารเคมี เช่น สารพิษกำจดั ศัตรพู ืช 4. พษิ ธรรมชาติในพืชและสัตว์ เชน่ คางคก เหด็ พิษ โรคไม่ตดิ ต่อ หมายถึง โรคที่เกิดจากความผิดปกติหรือความเสื่อมโทรมของร่างกายและจิตใจ ไม่สามารถที่จะติดต่อไปหาบุคคลอ่นื ได้ เชน่ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคนวิ่ โรคจิต และโรค ประสาท โรคความดันเลอื ดต่างๆเป็นตน้ ขณะนค้ี วามสำคัญของโรคไม่ติดต่อกำลังเพิม่ มากขน้ึ ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่รวมถึงประเทศ ท่กี ำลังพัฒนาจำนวนมาก สำหรับประเทศไทยโรคติดต่อลดลงเหลือเพียง 3 โรคใหญ่ คือ โรคเอดส์ วัณ โรค และไข้เลือดออก แต่โรคไม่ติดต่อกำลังมีบทบาทในการเป็นภัยต่อสุขภาพของประเทศ โดยเฉพาะ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดการเสยี ชวี ติ จากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และทีเ่ ป็นปัญหาเพิ่มข้ึน เร่อื ยๆ คือ โรคท่ีเกิดจากการบาดเจบ็ หรืออุบตั ิเหตุ สำหรับกลุ่มเส่ียงของโรคไม่ติดต่อ ที่ผ่านมาคือวัยทำงาน เพราะมีความเครียด ขาดการออก กำลังกาย เป็นกลุ่มที่มีความเส่ียงสูง แต่ปัจจุบันเริ่มตั้งแต่แม่และเด็ก แม่ต้องมีความรู้ในการเลี้ยงลูก เพราะเด็กไทยเป็นเด็กท่ีอว้ นมากขนึ้ อย่างน่าเปน็ ห่วง และเดก็ ท่ีอว้ นเม่อื เติบโตกจ็ ะเป็นคนอ้วน มคี วาม เส่ียงต่อการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ซึ่งขณะน้ีเด็กไทยท่ีเป็นโรคเบาหวานก็มีอายุน้อยลงเร่ือยๆ ดังนั้น ตอนนี้ทุกกลุ่มต้องทราบว่าตัวเองมีสิทธิ์จะมีความเส่ียง (น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวง สาธารณสขุ ) เนื่องจากปัญหาสาธารณสุขไทยได้เปล่ียนไปตามการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จากสังคม เกษตรสู่สังคมอตุ สาหกรรม ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น การบริโภคเปล่ียนไป มี วิถีชีวิตท่ีรีบเร่ง การออกกำลังกายน้อยลง และมีความเครียดเพิ่มข้ึน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเส่ียงต่อ การเจบ็ ป่วยด้วยโรคเร้ือรังซ่ึงเปน็ โรคทไี่ มต่ ิดตอ่ กำลังทวีความรุนแรงข้นึ จากสถติ ิปญั หาสาธารณสุขไทย มอี ุบตั ิการณข์ องโรคเพิ่มขึ้น 5 อนั ดบั แรกของผู้ป่วยทม่ี ารกั ษาในโรงพยาบาลลว้ นเปน็ โรคท่ีไมต่ ดิ ตอ่
7 ในปัจจุบันพบวา่ โรคเหล่าน้ีต้องใชย้ ารักษาเพื่อควบคุมอาการตลอดชวี ติ การรกั ษาดว้ ยยาเพยี ง อยา่ งเดียวไมเ่ พยี งพอ จำเป็นตอ้ งรักษาโดยการปรบั เปล่ียนพฤติกรรม การบริโภคอาหาร การออกกำลัง กาย ทีมสุขภาพได้เห็นความสำคัญของการดูแลตนเอง การพัฒนาศักยภาพผู้ป่วย (Empowerment) การแลกเปลี่ยนเรยี นรูเ้ พ่ือปรับพฤติกรรม การใช้กิจกรรมค่ายเบาหวาน กิจกรรมค่ายความดันโลหิตสูง สถานท่ีจดั ค่ายในชุมชน การดูแลสขุ ภาพท่ีบา้ นโดยเพื่อนแกนนำ/ผู้นำท้องถ่นิ /ทีมสุขภาพ ให้ครอบครัว ได้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วม ศูนย์สุขภาพชุมชนบ้านปากพูนคิดวา่ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นนวตั กรรมการ สง่ เสรมิ สขุ ภาพแบบยัง่ ยนื จงึ ได้จดั ทำโครงการนี้ขึ้นร่วมกบั อบต. / แกนนำชุมชน / ผู้นำทอ้ งถน่ิ โรคที่เกิดกับผู้หน่ึงผู้ใดแล้ว ทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วย หรือตาย แต่ไม่แพร่ขยายไปสู่ผู้อ่ืน โรคน้ีมี สาเหตุมาจาก 1) พิษของแบคทีเรยี เชน่ พิษจากแผล ฝี หนอง 2) พษิ ของเชื้อรา เชน่ อะฟลาทอกซิน 3) พิษจากสารเคมี เชน่ สารพษิ กำจดั ศัตรูพืช 4) พษิ ธรรมชาติในพชื และสัตว์ เชน่ คางคก เหด็ พษิ ปัจจัยท่ีก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อและการป้องกันโรคไม่ติดต่อเกิดจากพฤติกรรมของคนที่ไม่ ถูกต้อง และอิทธิพลของส่ิงแวดล้อมท่ีไม่เหมาะสม ซึ่งไม่มีการติดต่อและแพร่กระจายของโรค แต่ สามารถป้องกันได้หากรู้เข้าใจ และปฏิบัติตนในการดูแลสุขภาพได้ถูกต้อง เพราะจะช่วยให้สามารถ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การเกิดโรคได้ โรคไม่ติดต่อ คือ โรคท่ีเกิดจากความผิดปกติหรือความ เสื่อมโทรมของรา่ งกายและจิตใจ ไม่สามารถท่ีจะติดต่อไปหาบุคคลอ่ืนได้ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคน่ิว โรคจิต และโรคประสาท โรคความดนั เลือดต่างๆเป็นต้น การดูแลสขุ ภาพเพ่ือปอ้ งกันโรคไมต่ ิดตอ่ 1. หลีกเลี่ยงการเป็นโรคด้วยการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรค เช่น การรับประทาน อาหารท่ีมปี ระโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2. สร้างเสริมชีวิตครอบครัวให้มีความสุขด้วยการดูแลบ้านให้สะอาด เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ รว่ มกันแก้ปัญหาครอบครัวท่ีเกิดขึ้นด้วยความเข้าใจกัน การมีครอบครัวดีมีความอบอ่นุ เป็นการรักษา สขุ ภาพจิตเบอื้ งตน้ 3. ป้องกันการเป็นโรคจากการประกอบอาชีพ ด้วยการใช้เครื่องป้องกันตามระเบียบปฏิบัติ ของหนว่ ยงานน้ันๆ เช่น ใสห่ มวกนริ ภัยเมือ่ ทำงานในเขตกอ่ สรา้ ง 4. ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้สะอาด สร้างบรรยากาศส่ิงแวดล้อมที่ดีด้วยการ ป้องกันมลภาวะทั้งในนำ้ และในอากาศ เชน่ ทิง้ ขยะถกู ท่ี 5. หลกี เลยี่ งสิง่ ทีเ่ ปน็ อนั ตราย เช่น การใชย้ าผดิ การสูบบุหร่ี
8 โรคไม่ตดิ ต่อที่พบในชวี ติ ประจำวัน 1. โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง โรคท่ีมแี ผลในกระเพาะอาหารหรือลำไสเ้ ลก็ สว่ นตน้ หรือมี การอักเสบของเยอ่ื กระเพาะอาหาร คนท่ีเปน็ โรคน้ีแล้วสามารถรกั ษาให้หายขาดได้ สว่ นมากมักจะเป็น เร้ือรัง หรือเป็นนานๆ ถา้ ไม่รักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเปน็ ๆ หายๆ และถ้าปล่อยใหเ้ ป็น มาก จะทำให้เกดิ โรคแทรกซอ้ น ซ่ึงเป็นอันตรายถึงชีวติ ได้ สาเหตุ การเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่าสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากมีกรดใน กระเพาะอาหารมาก และเย่ือบกุ ระเพาะอาหารอ่อนแอลง 1) สาเหตทุ ีก่ ระเพาะอาหารมกี รดมากข้ึน 2) มีการทำลายเยอ่ื บุกระเพาะอาหาร อาการ 1) ปวดทอ้ ง 2) จกุ เสยี ด แนน่ ท้อง ท้องอดื ทอ้ งขนึ้ ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง รอ้ น ในทอ้ ง คล่ืนไส้อาเจียน 3) อาการโรคแทรกซอ้ น การรักษา 1) กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่ กินอาหารให้เป็นเวลา งดอาหารรสเผ็ดจัด เปร้ียวจัด งดด่ืมเหล้า เบียร์ หรือยาดอง งดดื่มน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อ กระเพาะอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความตึงเครียด 2) การให้ยารักษา โดยกินยาอย่าง ถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลา ท่ีแพทย์สั่งยารักษาโรค กระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังน้ันภายหลัง กินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะลดยา หรือหยุดยาได้ 3) การผ่าตัด ซึง่ ในปัจจุบัน มียาทีร่ ักษาโรคกระเพาะอาหารอยา่ งดีจำนวนมากถ้าให้การ รักษาทีถ่ กู ต้อง ก็ไม่จำเป็นตอ้ งผา่ ตัด สำหรับการผ่าตัดอาจจะทำใหเ้ ปน็ กรณีทเี่ กดิ โรคแทรกซ้อน 2. โรคมะเร็ง เป็นเนื้องอกชนิดร้ายที่เนื้อมะเร็งมีการแทรกซึมเข้าไปในเน้ือเยื่อปรกติท่ีอยู่ โดยรอบ เป็นเซลล์ร่างกายท่ีมีการแบ่งตัวไม่เป็นไปตามแบบแผนอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุม สามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นของร่างกายท่ีห่างไกลออกไป และไม่ติดต่อกับก้อนมะเร็งเดิม มะเร็งสามารถเกิดจากเซลล์ทุกชนิดในรา่ งกาย ยกเว้น ขน ผม เลบ็ ท่งี อกออกมาแล้วเท่าน้ัน สาเหตุ เกิดจากการได้รบั สารก่อมะเรง็ ซึง่ มาจากการได้รับควนั บหุ ร่ี การเป็นแผลเรื้อรัง และ ยงั คาดวา่ เกดิ จากยนี ทีถ่ ่ายทอดไดท้ างพนั ธกุ รรม อาการ มะเร็งเปน็ เน้ืองอกทเี่ จริญอย่างรวดเรว็ ผิดปกติ อาการเรมิ่ แรกเป็นกอ้ นเนือ้ หรอื เป็น แผลเร้อื รงั ต่อไปจึงกลายเปน็ เนอื้ ร้าย การรักษา ควรเร่ิมต้ังแต่เริ่มมีอาการผิดปกติจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาของ แพทยแ์ ผนปจั จบุ นั มีทัง้ การรักษาทางยา รักษาดว้ ยการผ่าตัดและรักษาด้วยรังสี
9 3. โรคอ้วน หมายถึง สภาพร่างกายท่ีมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยการสะสมของไขมันจนเพิ่ม ปริมาณมากเกินความต้องการในร่างกายของคน สาเหตุ 1) เกิดจากสาเหตุภายนอก เป็นสาเหตุใหญ่ท่ีเกิดโรคอ้วน เพราะตามใจปากมาก เกินไป กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารท่ีกิน เนือ้ ไขมนั หรือแป้ง ของหวาน สงิ่ เหล่านี้จะ ถูกเก็บสะสมไว้ในรา่ งกาย ถา้ มมี ากเกินไปก็จะกลายเปน็ ไขมันพอกพูนตามส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย ออก กำลังกายน้อย กินแล้วนอนนิสยั ในการรับประทาน คนที่มนี ิสัยการรับประทานท่ีไม่ดี เรียกว่า กินจุบกิน จบิ ไม่เป็นเวลา ขาดการออกกำลงั กาย ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกวา่ ท่รี ่างกายตอ้ งการ แต่ได้ออก กำลังกายบ้างกอ็ าจทำให้อว้ นช้าลง แต่หลายคนไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ไมช่ ้าจะเกิดการสะสมเปน็ ไขมันใน ร่างกาย 2) มาจากสาเหตภุ ายใน พบไดจ้ ากความผดิ ปกตขิ องต่อมไร้ทอ่ เชน่ ต่อมใต้สมอง ตอ่ มไทรอยด์ ทำใหม้ ไี ขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และหนา้ ท้อง 2.1) จติ ใจและอารมณ์ มีคนเป็นจำนวนมากท่ีการ กินอาหารขึ้นอยกู่ ับจิตใจหรืออารมณ์ ได้แก่ กินดบั ความโกรธ ดับคับแค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจ หรอื ดีใจ บุคคลเหล่าน้ี จะมีอาการว่าอาหารทำให้จิตใจสงบ จึงเห็นความสำคัญยึดเอาอาหารไว้เป็นท่ีพ่ึงทางใจ ตรงกันขามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ 2.2) ควร่างกายของคนไม่มีความสมดุล ระหว่าง การรู้สึกอิ่มกับคการหิว เม่ือใดท่ีอาการอยากเพ่ิมขึ้น ทำให้การกินก็มีการเพ่ิมมากขึ้น จนถึง อาการเรยี กวา่ รปั ระทานจุ ในทสี่ ุดก็อว้ นเอาๆ 3. ผลของกรรมพันธุ ท่ีพบได้บ้างแต่น้อย กรรมพันธุ์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อกับแม่อ้วน 2 คน บุตรมโี อกาสท่จี ะอว้ น ถา้ พ่อกับแมค่ นหน่ึงเปน็ คนอ้วน บุตรมโี อกาสอว้ นถึง 40% 4. ตวั อยา่ งโรค ได้แก่ เบาหวาน ความดัน 5. การกินยาบางตัวเข้าไป ผู้ป่วยบางโรค กส็ ่งผลใหอ้ ้วน ไดร้ ับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นท่ียาว ไกล ก็ทำใหอ้ ้วนได้ และในผู้หญงิ ท่ฉี ีดยาหรอื กินยาคุมกำเนิดกท็ ำให้ร่างกายอ้วนงา่ ยเชน่ กัน 6. เพศ เพศหญิงส่วนมาก มักจะอ้วนกวา่ เพศผู้ชาย ก็ธรรมชาติเธอมักสรรหาจะรับประทาน หรือกิน ตลอดเวลา อีกทั้งตอนต้ังครรภ์ ก็ต้องกินมากข้ึน เพ่ือบำรุงร่างกายและลูกน้อยในครรภ์ แต่ หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายก็ลดนำ้ หนักลงมาได้ แต่บางรายก็ลดไม่ได้ ผหู้ ญิงทำงานนอ้ ย ออกกำลัง นอ้ ยกว่าชาย ผหู้ ญงิ อว้ นมากกวา่ ผูช้ าย 4 : 1 สรุปสิ่งที่ควรรู้เรื่องโรคต่างๆทั้งโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับโรค โรคต่างๆท่ีน่าสนใจในปัจจุบัน ว่าสาเหตุของโรคเป็นอย่างไร อาการของโรค การรักษาโรค และการ ป้องกันโรค ซึ่งเพ่ือนๆสามารถตรวจสอบอาการเกี่ยวกับโรค ได้ทั้งโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคภูมิแพ้ โรคเอดส์ โรคหวั ใจ โรคซิฟลิ ิส หนองใน มะเร็งปากมดลูก อาการไข้เลือดออก โรคกระเพาะ เราสามารถ แบ่งโรคตา่ งๆได้เปน็ หลายประเภท เราได้รวบรวมโรคต่างๆให้เพื่อนๆได้ศึกษาถึงสาเหตแุ ละอาการของ โรค เพ่ือรู้เท่าทัน ความรเู้ บ้ืองต้นสำหรบั การป้องกนั และรกั ษาโรค ด่ังภาพตวั อย่าง
10 ภาพท่ี 1 โรคตา่ งๆได้เป็นหลายประเภท โรคไม่ติดต่อ โรคตดิ ต่อ โรคติดเช้อื โรคตา โรคเกย่ี วกับต่อมไรท้ อ่ โรคระบบประสาท โรคเก่ียวกบั สมอง โรคในช่องปาก โรคขอ้ และกระดูก โรคเกย่ี วกับตบั โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดนิ อาหาร
11 โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรค หู คอ จมูก โรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคผวิ หนัง โรคเดก็ (ที่มา: http://beezab.com)
12 กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง โรคติดตอ่ และโรคไม่ตดิ ตอ่ วัตถุประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายโรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ตดิ ตอ่ ได้ นักเรียนสามารถนำเสนอรายละเอียดโรคไม่ตดิ ตอ่ ทพี่ บในชวี ติ ประจำวนั ได้ กิจกรรมการเรียนรู้ ใหน้ กั เรียนทำกิจกรรมนำเสนอรายละเอียดโรคติดตอ่ และโรคไม่ตดิ ต่อ ที่พบในชีวิตประจำวนั รูปโรคไม่ติดต่อท่ีพบในชีวติ ประจำวนั 2. ความหมายโรคติดตอ่ และโรคไมต่ ดิ ตอ่ โดยสังเขป ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 3. การดแู ลสุขภาพเพอื่ ปอ้ งกันโรคติดต่อและโรคไมต่ ิดต่อ มดี งั น้ี ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ผสู้ อนและนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายสรปุ เน้ือหาความหมายโรคติดต่อและโรคไม่ตดิ ตอ่ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................
13 บทท่ี 2 แนวคิดระบาดวิทยา แนวคิดระบาดวิทยา (Overview of Epidemiology) คำนวณ อ้งึ ชูศักด์ิ (2549) พบว่า แนวคดิ ระบาดวทิ ยา ซ่ึงหวังวา่ เม่ือทกุ ท่านอา่ นจนจบจะไดข้ ้อ สรุปว่า ระบาดวิทยาเป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญของการดำเนินงานทางด้านสาธารณสุขและทาง การแพทย์ จะเข้าใจหลักการสำคัญของศาสตร์แขนงนี้ และมีทัศนคติท่ีดีตลอดจนแรงจูงใจว่าเรา สามารถประยุกต์ใช้ระบาดวิทยาในการแก้ไขปัญหาทางด้านสาธารณสุขและการแพทย์ที่อยู่ในความ รบั ผิดชอบ ในสาระสำคัญบทน้ีจะครอบคลุม 1. ประวัติความเป็นมา และบุคคลสำคัญที่ปูฐานรากของศาสตร์และการดำเนินงานทางด้าน ระบาดวิทยา 2. นิยามและจุดม่งุ หมายสำคัญทางระบาดวทิ ยา 3. แนวคดิ หรือหลกั การสำคัญทางระบาดวิทยาในการแกไ้ ขปญั หา 4. การประยุกต์ใช้ระบาดวิทยาเพื่อการควบคุมโรคหรือแก้ไขปัญหาสาธารณสุข โดยอาศัย แนวคิดและเคร่ืองมอื สามประการอันไดแ้ ก่การเฝา้ ระวัง การสอบสวน และการศกึ ษาวิจัย 5. วิวัฒนาการของงานระบาดวิทยาในประเทศไทยและแหลง่ เรียนรเู้ พ่ิมเติม ประวัตคิ วามเปน็ มา สิ่งใดท่ีมีประวัติศาสตร์สิ่งนั้นมีคุณค่าในการศึกษา โดยเฉพาะสิ่งท่ีมีประวัติความเป็นมา ยาวนานและยังคงสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันได้ นักระบาดวิทยาสมควรที่จะได้ภาคภูมิใจวา่ แนวคิด ทางด้านระบาดวิทยาน้ันก่อกำเนิดมาในระยะเวลาใกล้เคียงกับพุทธศาสนาคือสองพันกว่าปีแล้ว แม้ จะต้องใช้ระยะเวลาอยู่ในท้องแม่นานถึงเกือบสองพันปี ก่อนท่ีจะก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่างในช่วง ประมาณศตวรรษท่ี 17 และ 18 เม่ือคลอดแล้วก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนมาถงึ ปัจจุบันยิ่งสำคญั และยิ่ง ทำประโยชน์ต่อวงการสาธารณสุขและวงการแพทย์ กรีซเป็นประเทศท่ีส่งออกมากท่ีสุดในโลก มี ประโยคถัดมาใต้คำอย่างนอ้ ยทุกประเทศต้องใชอ้ ักษรหรือภาษากรีกโดยเฉพาะศัพท์ทางการแพทย์และ วิทยาศาสตร์ ซึ่งรวมถงึ คำวา่ ระบาดวิทยาดว้ ย (Epidemiology) ก าร ศึ ก ษ า เรื่ อ ง ข อ ง ก รี ก ก็ จ ะ รั บ รู้ ได้ ว่ า ก รี ก เป็ น ต้ น ต ำรั บ ข อ ง ต ำน าน เท พ เจ้ า ส า ร พั ด แ ต่ ขณะเดียวกัน กก็ อ่ เกิดวทิ ยาศาสตร์ด้วย บุคคลสำคญั คนหน่ึงทท่ี ุกคนต้องเคยได้ยินชื่อ คือ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) ท่านดำรงชีวิตอยู่ในสมัย 400 ปีก่อนคริสตกาล สมัยนั้นวิทยาศาสตร์ต้องแข่งกับไสย ศาสตร์อย่างหนัก เนื่องจากชาวกรีกนับถือเทพเจ้ามากมายจนจำกันไม่ไหว เวลาเกิดเหตุ เภทภัย บางอย่างก็จะตอ้ งบวงสรวงเทพเจ้าใหม้ าปัดเปา่ แกไ้ ขความเดอื ดรอ้ น ซ่ึงรวมไปถงึ โรคภยั ไข้เจ็บและโรค
14 ระบาดต่างๆ ท่านฮิป (ขอเรียกสัน้ ๆ) เป็นคนแรกท่ีอาจหาญออกมาบอกว่าโรคภยั ไขเ้ จ็บไม่ได้เกิดจาก การสาปแช่งของเทพแต่เกิดจากมนุษย์เราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ีไม่ดีและมีพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสม สิ่งแวดล้อมท่ีสำคัญคืออากาศที่เราหายใจ น้ำที่เราดื่ม อาหารท่ีเรากิน สถานที่ที่เราอยู่อาศัย และ พฤติกรรมท่ีเป็นโทษเช่นชอบด่ืมชอบกินจนเกินพอดี แทนที่จะชอบออกกำลังกายและทำงาน คนที่ได้ อ่านหนังสือของท่านฮิปเรื่อง “On Airs, Waters, and Places” บอกว่านี้แหละคือปฐมบทของ ระบาดวิทยา เราจะไปดูกันต่อว่ามันเกี่ยวอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้ภาคภูมิใจว่าระบาดวิทยาเป็น เรื่องทางวิทยาศาสตร์ท่ีจะพยายามอธบิ ายปรากฎการณท์ เี่ กย่ี วกบั การเจ็บป่วยของประชาชน มนุษย์เราไปอยู่ในส่ิงแวดลอ้ มของดีมักตอ้ งบ่มเพาะนานเหมือนดอกกล้วยไม้กว่าจะออกก็นาน แสนนาน แต่ออกคราใดก็งามเด่น เมล็ดพันธ์ระบาดวิทยาท่ีท่านฮิปหว่านไว้กเ็ ช่นเดียวกัน บ่มเพาะอยู่ เกือบสองพันปีจนโลกพ้นจากยุคมืด (Dark Age) เข้าสู่ยุคฟ้ืนฟูศลิ ปวัฒนธรรม (Renaissance) ศาสตร์ อ่ืนๆเช่นภูมิศาสตร์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ฟสิ ิกซ์ และการแพทยก์ ็เจริญรดุ หนา้ ไปก่อนหลายช่วงตัว แต่ระบาดวิทยายังกบดานอยู่ จนกระท่ังปี คศ 1662 เกิดงานช้ินหน่ึงข้ึนมาในอังกฤษ สมัยนั้นคนเกิด คนตายต้องมีการมาแจ้ง แต่ไม่เคยมใี ครเอาข้อมูลมาวิเคราะหเ์ ป็นจริงเปน็ จังว่ามปี ระโยชน์อะไร ใช้แต่ เพียงบอกว่าปีหนึ่งๆมีเกิดกีค่ น ตายกค่ี น แลว้ ก็มีนักวชิ าการชาวอังกฤษคนหน่ึงทำการวเิ คราะห์ว่าคนท่ี ตายน้ันตายจากสาเหตุอะไร อยู่ท่ีไหน ตายเดือนไหน ฤดูไหน ผู้หญิงหรือผู้ชายตายมากกว่ากัน คนท่ี ทำการรวบรวมตัวเลขเหล่านี้และวิเคราะห์จนเห็นภาพและเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ช่ือ จอห์น กรุนท์ (John Graunt) แกบุกเบิกในสิ่งที่พวกเราปัจจุบันเรียกกันว่าสถิติชีพ จนได้รับสมญานามว่า “Columbus of statistics” งานของคุณจอห์น นับเป็นฐานรากที่สำคัญต่อยอดงานของท่านฮิป โดย บรรยายสง่ิ ต่างๆออกมาเป็นสิ่งที่แจงนบั ได้ (Quantify) มาถึงตอนนี้กเ็ ห็นแล้วว่า การเจ็บป่วยไมใ่ ช่เร่ือง เหนือธรรมชาติ เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับเวลาและสถานที่และสง่ิ แวดล้อมทค่ี นอยู่อาศัย นบั จากนั้นมาก็ มีการรวบรวม สถิติชีพเป็นช้ินเป็นอันเรื่อยมาจนมีหน่วยงานท่ีเรียกว่าสำนักงานทะเบียน (General Register Office) มีคนสำคัญอีกคนที่ควรกล่าวถึง ชื่อเหมือนเจ้าฟ้าชายของราชบัลลังค์อังกฤษที่เข้าพิธีมงคล สมรสปลายเมษายน 2011 น้ี ท่านน้ีคือคุณวิลเล่ียม ฟาร์ (William Farr) วิลเลี่ยม เป็นนายทะเบียน ใหญ่ทางสถิติชีพตั้งแต่ปี 1839 และเป็นอยู่ 40 ปีจนได้เป็นอธิบดี ได้ทำการพัฒนาวิธกี ารแจงนับการ ปว่ ยการตายอย่างเปน็ ระบบหมวดหมู่มากยิ่งขึ้น มกี ารกำหนดนิยามว่าอย่างไรเรียกวา่ ตายจากอะไร จน เป็นฐานรากของการทำ Classification of Diseases ทำใหก้ ารบอกเลา่ เกา้ สบิ เก่ียวกับการกระจายของ การป่วยและการตายของประชากรเป็นไปอย่างมีระบบ และท่ีสำคัญคือมีการคิดอัตราป่วยตายต่อ ประชากร 1000 คน เพื่อให้มีการเปรยี บเทียบกันได้ ตัวอย่างเช่นคณุ วิเลียมทำการวิเคราะหแ์ ละแจก แจงว่า คนท่ีไปอยู่อาศัยในถ่ินของทีมฟุตบอลหงส์แดง ที่เมือง Liverpool น้ันเฉล่ียแล้วตายปีละ ประมาณ 22 ตอ่ ประชากร 1000 คน นบั ว่ามีโอกาสตายมากกว่าคนท่ีอาศัยในเมืองอ่ืนๆที่มีประชากร หนาแน่นน้อยกว่าและอธิบายว่าทั้งนี้เพราะเมืองใหญ่มีอุตสกรรมมาก คนก็อพยพมาอยู่กันแออัด อากาศก็ไม่ดี น้ำก็เน่าฯลฯ สำนักงานสถิตขิ องคุณวิเลียมน้ันทำหน้าท่ีคล้ายกบั การเฝ้าระวังโรค (คล้าย
15 แต่ยังไม่เหมือน) กลายเป็นสำนักงานท่ีเวลาพูดคนต้องฟงั แต่ทำไมยังไม่มีสำนกั งานทางระบาดวิทยาใน องั กฤษ ยังไมถ่ งึ เวลาครบั ต้องรอจนเกิดวกิ ฤต สมัยเดียวกบั อธบิ ดี วิลเลียม ฟาร์ ก็มีหมอดมยาชื่อ จอห์น อีกแล้ว เรียกเต็มๆว่า จอห์น สโนว์ (John Snow) หมอสโนว์เป็นคนที่มาเปิดหน้าประวตั ิศาสตรท์ างด้านระบาดวิทยา ยุคนั้นเปน็ ยุคท่ีเรียก กนั ว่าจักรภพองั กฤษตะวันไม่ตกดนิ ราชนิ ีของอังกฤษสมัยน้นั คือควีนวคิ ตอเรียทมี่ ีช่อื เสียงระบือไกลไป ท่ัวโลกคงจะตรงกับสมัยราชการสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทย หมอจอห์นที่ทำหน้าท่ีดมยา ทำไมมาเก่ียวกับระบาดวิทยาได้ ที่เก่ียวก็เพราะมีการระบาดของอหิวาตกโรค ที่เร่ิมจากทวีปเอเชีย และขยายตัวไปยุโรปและบุกเข้าไปแพร่ระบาดในเกาะอังกฤษในปี ค.ศ. 1848-9 ก็เพราะความเป็นเจ้า อาณานิคมมีการติดต่อค้าขายและการเดินทางจากทุกประเทศไปยังกรุงลอนดอน โรคก็ระบาดตามไป ด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะควบคุมอย่างไร โชคดีท่ีหมอดมยาคนน้ีแกเป็นหมอหลวงคือเป็นคนดมยาทำ คลอดให้ควีนวิคตอเรีย และบ้านแกอยู่ในย่านโซโหที่มีการระบาดใหญ่ของอหิวาตกโรค เลยต้องพลอย เดอื นรอ้ นออกมาดูว่าจะควบคมุ โรคได้อยา่ งไรเปน็ ธรรมดา เมอื่ เกดิ การระบาดของอหวิ าตกโรคสมยั นนั้ ยังไม่รูว้ ่าเกิดจากอะไรและถ่ายทอดอย่างไรวธิ ีเดียว ท่ีคนจะหนีตายได้คือการย้ายไปอยู่ที่อื่น อธิบดี วิลเลียม ฟาร์ เอาทะเบียนสถิติมาดูแล้วก็ทำการต้ัง สมมุติฐานว่าคนท่ีปว่ ยนัน้ ส่วนใหญอ่ ยู่ในย่านท่ีผูค้ นแออัดและชว่ งนน้ั อากาศกรุงลอนดอนก็เตม็ ไปด้วย หมอกควันจากโรงงานเหมือนแถวสมุทรสาครในเมืองไทยปัจจุบัน วิเลียม ฟาร์ เสนอสมมุติฐานว่าการ ป่วยด้วยโรคท้องร่วงจนเสียชีวิตกันอย่างรวดเร็วและมากมายน้ันเกิดจากความสกปรกของอากาศ พอวิ เลียมพดู คนอืน่ ก็ตอ้ งเห็นด้วย ยกเวน้ หมอหลวง จอห์น สโนว์ สโนว์เป็นหมอดมยารู้เรื่องเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจดี เพราะดมยาให้คนไข้อยู่เสมอๆ รู้ว่าหากหายใจเอาสง่ิ ผิดปกติเขา้ ไปก็นา่ จะเกิดอาการทางระบบหายใจ คือไอ หอบ เหนื่อยฯลฯ ไม่ใช่ข้ี ไหลเรยี่ ราด ถ้าป่วยเป็นท้องรว่ งก็น่าจะมาจากการกินอะไรที่ไม่สะอาด คนอ่ืนๆไม่กล้าแย้งวิเลียม แต่ส โนว์กล้า แต่ท่ีแย้งก็ไม่ใช่แย้งแบบสุ่มส่ีสุ่มห้าหรือแย้งเพราะคิดว่าตนเองเป็นหมอหลวง สโนว์ทำส่ิงท่ี เรียกว่าการสอบสวนโรคในชุมชน เขาไปเดินด้อมๆในชุมชนย่านท่ีมีคนตายจากอหิวาตกโรคกัน มากมาย เขาทำการเคาะประตบู ้านและแจงนบั ผปู้ ว่ ยในแต่ละถนนและนำมาจดุ บนแผนท่ี หมอสโนวส์ งั เกตว่าบางพ้ืนท่ีมีผู้ป่วยมากโดยเฉพาะทถ่ี นน Broadstreet ซงึ่ มีปม๊ั โยกน้ำและ มคี นไข้กระจกุ ตัวมากสโนว์ไปดูน้ำท่ีออกมาจากปั้มนตี้ ิดตอ่ กันทุกวนั วันแรกเขายังไม่เห็นว่านำ้ สกปรก เลยยังลังเลว่าจะใช่สาเหตุหรือไม่ แต่ต่อมาอีกสองวนั เขาเขยี นบรรยายวา่ น้ำที่ออกมาจากปัม้ มีลกั ษณะ สกปรกจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเม่อื ตรวจสอบว่าน้ำน้นั มาจากไหนก็พบวา่ มาจากแม่นำ้ เทมส์อันแสน เน่า ในช่วงเวลานั้นมีคนป่วยเสียชีวิตวันละ 50 ถึง 120 คน หมอสโนว์ได้ทำสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่า “การควบคุมโรคระบาด” (Outbreak containment) เม่ือเห็นว่าน้ำจากปั้มอาจเป็นสาเหตุของการ แพร่ระบาด สโนว์ก็ส่ังให้ถอดปั้มคันโยกออกและเฝ้าสังเกตต่อว่าผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงอย่างไร และ เปน็ ไปตามคาดจำนวนผปู้ ว่ ยลดน้อยลงไปเรอื่ ยๆ
16 ภาพท่ี 2 Spot map การกระจายของผเู้ สยี ชีวติ จากอหวิ าตกโรคในกรงุ ลอนดอน สอบสวนโดยนายแพทย์ John Snow คศ 1854 John Snow, M.D. (1813 -1858) เนื่องจากสมัยน้ันยังไม่มีความรู้เรื่องเชื้อโรค มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ดังน้ันทฤษฏีของสโนว์ ท่ีว่าอหิวาตกโรคมากับน้ำสกปรกก็มีคนเชื่อบ้างไม่เช่ือบ้าง บริษัทขายน้ำประปาบางบริษัทเช่น Lambeth ทีเ่ ช่ือ กย็ า้ ยตำแหน่งสูบนำ้ ให้ไปทางเหนอื ๆของแม่นำ้ เทมส์ท่ยี ังใสแจ๋ว ส่วนบางบรษิ ัทเช่น Southwark ก็ยังสูบน้ำทางตอนใต้ที่ผ่านแหล่งชุมชนมาแล้ว จนกระทั่งในปี 1854 ก็เกิดการระบาด ใหญ่อีก คร้ังน้ีคุณหมอสโนว์ได้ทำการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าน้ำประปาที่บริษัทเดินท่อมาขายชาวบ้าน นั้นป็นแหลง่ แพร่โรค สมัยนนั้ แตล่ ะบริษัทกจ็ ะเดินทอ่ มาตามถนนและมีหวั จ่ายน้ำตามจุดจ่ายที่กำหนด บ้านไหนอยู่ใกล้จุดจ่ายของบริษัทไหนก็ไปซื้อจากบริษัทน้ัน สโนว์ก็อาศัยเทคนิคของวิเลี่ยม ฟาร์ ใน การเปรยี บเทยี บดูอัตราป่วยของชาวบา้ นต่อ 10,000 บา้ นท่ีซือ้ นำ้ จากบริษัทต่างๆ เพ่ือดูว่ากินน้ำบริษัท ไหนจะมีโอกาสป่วยมากกว่ากนั ดังตาราง
17 ตารางท่ี 1 อตั ราตายจากอหวิ าตกโรคต่อ 10,000 บา้ น จำแนกตามบรษิ ัทท่ซี ้ือน้ำ กรงุ ลอนดอน คศ 1854 บริษัทเจ้าของนำ้ ประปา จำนวนบ้านทีเ่ ปน็ จำนวนทตี่ ายดว้ ย อัตราตาย/10,000 บา้ น ลูกคา้ อหวิ าตกโรค Southwark&Vauxhall 40,046 1,263 315 Lambeth 26,107 98 38 อ่นื ๆ 256,423 1,422 56 หมายเหตุ ดัดแปลงจาก Snow : On the mode of communication of Cholera ใน หนังสอื Snow on Cholera: A reprint of two papers by John Snow, M.D. New York, The Commonwealth Fund, 1936 หมอสโนว์พบความจริงว่าคนใช้น้ำจากบริษัท Southwark & Vauxhall มีอัตราป่วย 315 ต่อ หม่ืนหลังคาเรือน ในขณะที่คนซ้ือน้ำจากบริษัท Lambeth มีอัตราป่วย 38 ต่อหม่ืนหลังคาเรือน เม่ือเทียบกันแล้วจะเห็นว่าชาวบ้านท่ีกินน้ำจากบริษัท Southwark & Vauxhall จะป่วยมากกว่า ชาวบ้านที่กินน้ำจากบริษัท Lambeth 9 เท่า สโนว์ยัง ตามไปดูว่าแต่ละบริษัทเอาน้ำมาจากไหน ปรากฎว่าบรษิ ทั Lambeth ไปเอานำ้ มาจากตน้ น้ำเทมส์ทไ่ี มค่ ่อยมผี ู้คนอย่อู าศยั แต่บริษัท Southwark สูบน้ำท่ีผ่านโรงพยาบาลและโรงงานต่างๆมามากแล้ว น้ำจึงสกปรกผิดกันมาก และคนกนิ น้ำสกปรกก็ เป็นสาเหตุใหป้ ว่ ยเปน็ อหวิ าตกโรค วีรกรรมของสโนว์ทั้งสองรอบนี้ถือเป็นแม่บทของระบาดวิทยาเลยทีเดียว โดยเป็นเรื่องการ ค้นหาความจริงว่าอะไรเป็นสาเหตุของการระบาดของโรค เริ่มจากการรวบรวมข้อมูลด้วยการแจงนับ นำมาทำเป็นอัตรา และต้ังสมมุตฐิ านว่าอะไรน่าจะเป็นปัจจัยท่ีส่งเสริมให้เกิดโรค แลว้ นำอตั ราป่วยของ ประชากรที่มแี ละไม่มีปัจจยั นัน้ มาเปรยี บเทียบว่าแตกต่างกนั อย่างไร นักวชิ าการส่วนใหญ่จึงถอื วา่ หมอ ดมยาทชี่ ื่อ จอหน์ สโนว์ เป็นต้นตำรบั ของระบาดวทิ ยา ในเวลาไล่เลี่ยกันท่ีกรุงเวียนนาเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีคลาสสิกอันเลื่องช่ือก็มีสูติ แพทย์อีกท่านหนึ่งท่ีใช้วิธีการศึกษาคล้ายกับของจอห์น สโนว์ ในการหาสาเหตุการตายของแม่หลัง คลอดสูติแพทย์ท่านนี้ชื่อ อิกญา แซมเมลไวซ์ (Ignaz Semmelweis) คุณหมอแซมเมลไวซ์สังเกตว่า อัตราการเสียชีวิตของแม่ภายหลังคลอดที่โรงพยาบาลในกรุงเวียนนาที่ท่านทำงานอยู่ในตึกสองตึกไม่ เท่ากันตึกที่เป็นท่ีฝึกงานของนักศึกษาแพทย์น้ันมีอัตราตายของแม่หลังคลอดประมาณร้อยละ10 ในขณะท่ีอีกตึกหนึ่งที่เป็นท่ีฝึกงานของนักศึกษาพยาบาลผดุงครรภ์น้ันมีอัตราตายของแม่หลังคลอด ประมาณ ร้อยละ 3 พอดรู ายละเอียดมากเข้า แซมเมลไวซ์ก็พบว่าในตึกท่ีนักศึกษาแพทย์มาฝึกงานนั้น ผู้เสียชวี ิตมักเป็นผู้ป่วยอยูเ่ ตียงแรกๆใกล้ประตทู างเข้า เขาตั้งคำถามว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่าง การปฎิบัติของนักศึกษาแพทย์และพยาบาล และก็พบวา่ ในหลักสูตรการเรียนนั้นนักศึกษาแพทย์ต้อง เรียนการผ่าศพ พอเรียนเสรจ็ กร็ ีบว่ิงมาดูคนไข้หลงั คลอดสมยั น้ันยังไมม่ คี วามรูเ้ รือ่ งเช้ือโรคแต่ แซมเมล ไวซ์ก็ตั้งสมมุติฐานว่าระหว่างผ่าศพมือของนกั ศึกษาแพทย์นั้นสกปรกและพอมาตึกคลอดก็ทำการตรวจ
18 คนไขห้ ลงั คลอดต้งั แต่เตียงแรกๆเลย เขาเสนอให้ตั้งอา่ งล้างมอื ที่หน้าตึกและบังคบั ให้นกั ศกึ ษาแพทยท์ ุก คนล้างมอื กอ่ นเข้าตึก แต่ปรากฎวา่ สร้างความไมพ่ อใจให้กบั บรรดานักศึกษาแพทย์และอาจารย์แพทย์ บางคน หาว่าไม่มเี หตุผลในการบังคับให้ลา้ งมือ ความจริงข้อนี้ต้องใช้เวลาอีกร้อยปีในการยอมรับว่ามือ ของบคุ ลากรทางการแพทย์นน้ั เป็นพาหะสำคญั ในการก่อให้เกิดโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล ข้อคดิ ในเรือ่ ง นคี้ อื หลายครั้งท่ีความจรงิ ปฎิเสธนักระบาดวิทยาจึงไมค่ วรทอ้ แทห้ มดหวงั ในปี 1882 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ Robert Koch ก็สร้างประวตั ิศาสตร์โดยการเพาะ เชอ้ื อหิวาตกโรคไดส้ ำเรจ็ และเสนอทฤษฏีเชอ้ื โรค (Germ Theory) ท่ีวา่ การเจ็บป่วยเกดิ จากการไดร้ ับ เช้ือโรคเข้าไปในรา่ งกาย การจะพสิ จู น์ว่าเช้ือโรคท่ีพบเปน็ สาเหตุให้เจบ็ ป่วยจรงิ จะตอ้ งมีองค์ส่คี อื 1. สามารถแยกเชื้อโรคนั้นจากผปู้ ว่ ยท่มี ีอาการอย่างเดยี วกันทกุ คน 2. สามารถเพาะเชอ้ื และนำมาเลีย้ งขยายจำนวนในอาหารเลีย้ งเชอื้ ได้ 3. เมือ่ นำเชอ้ื ทีเ่ ล้ียงไปฉดี ให้สัตวท์ ดลอง ต้องทำให้สตั วป์ ว่ ยได้ 4. สามารถแยกเชอื้ โรคในสตั วท์ ีป่ ่วยได้เชน่ กนั ทฤษฏีเช้ือโรคเป็นการเปิดศักราชให้มีการค้นพบเช้ือโรคและอธิบายโรคติดต่อต่างๆว่าเกิดจาก เช้ือชนิดใดและด้วยวิธีการใด และเช้ือโรคก็กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเกิดโรคทางระบาด วทิ ยาดังจะได้อธิบายต่อไป ศตรวรรษท่ี 19 คือระหว่างปี 1800-1900 จึงเป็นปีทองของการก่อกำเนิด ทางระบาดวิทยาอยา่ งคึกคัก นิยาม จุดมุ่งหมาย ทุกคร้ังท่ีสอบสัมภาษณ์แพทย์ท่ีสนใจมาเรียนระบาดวิทยาจะต้องมี กรรมการตั้งคำถามมาตรฐานว่า “ไหนลองบอกนยิ ามของระบาดวทิ ยามาซิ” ผู้สอบกจ็ ะยิ้ม (เพราะร้วู ่า ต้องถามแน่) พร้อมท่องอย่างรวดเร็วว่า “เป็นวิชาที่ศึกษาเก่ียวกับการเกิด การกระจาย และปัจจัยที่ เกี่ยวข้องของโรคหรือภัยสุขภาพท่ีเกิดกับกลุ่มประชากร” ผู้เข้าสอบบางคนก็แสดงภูมิเพ่ิมโดยอธบิ าย รากศพั ท์ว่า “Epidemiology” มาจากรากภาษากรกี 3 คำ คือ Epi = upon , Dermos = people และ Logos = study แล้วก็ได้คะแนนเตม็ ไปตามระเบยี บ คำว่า Epidemiology พอมาแปลเป็นภาษาไทยว่า “ระบาดวิทยา” ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเป็น ศาสตรท์ ี่วา่ ดว้ ยโรคระบาดหรือโรคติดเชื้อ แตแ่ ท้จริงแลว้ ระบาดวิทยาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเร่ืองของโรค ระบาดและโรคติดเช้ือ เพียงแต่ตอนก่อร่างสร้างตัวน้ันมาจากพ้ืนเพของโรคติดเชื้อและโรคระบาด เท่านั้น ในปัจจุบันมีการประยุกต์ศาสตร์ทางด้านน้ีไปในอีกหลายด้านทั้งโรคไม่ติดต่อ โรคจากการ ประกอบอาชีพ โรคจากส่ิงแวดล้อม รวมถึงระบาดวิทยาคลินิกเพ่ือทำให้การดูแลรักษาพยาบาลมี ประสิทธภิ าพและไดผ้ ลดี
19 ปจั จุบันคำว่าระบาดวิทยาได้รับการยอมรบั อย่างกว้างขวางในวงการกระทรวงสาธารณสุขของ ประเทศไทย เวลาไดย้ ินคนพูดถึงระบาดวิทยาจะมีสองนัย คือ นัยของความเป็นศาสตรห์ รอื วธิ ีการที่จะ ใช้ศึกษาแก้ปญั หาสขุ ภาพ เช่นต้องทำระบาดวิทยาใหเ้ ข้มแขง็ ถึงจะควบคุมโรคระบาดตา่ งๆได้ และนัย ขององค์ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับโรคภัยต่างๆ เช่นระบาดวิทยาของโรคไข้เลือดออกในประเทศไทยก็จะ เป็นการบรรยายว่าโรคนเ้ี กิดจากอะไร เปน็ กับใครเป็นส่วนใหญ่ ท่ีใด ฤดกู าลใด มีแนวโนม้ เป็นอย่างไร ติดต่ออย่างไร ควบคุมได้อย่างไร ฯลฯ คนท่ีจะต้องทำงานส่งเสริม ป้องกัน ควบคุมโรค รวมถึงรักษา ผูป้ ว่ ย หากร้เู รือ่ งระบาดวิทยาก็จะมหี ลักวชิ าการที่ดใี นการทำงาน เสมอื นหน่ึงเปน็ “มังกรติดปกี ” จุดมุ่งหมาย : เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ บางคนเปรียบระบาดวิทยาว่าเป็น “Population Medicine” ควรจะแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยสะท้อนให้เห็นจุดมุ่งหมายว่ามีอะไรท่ี คล้ายคลึงกับวิชาทางการแพทย์ เพียงแต่ขอบเขตและภาระหน้าท่ีแตกต่างกันวิชาการแพทย์เน้นการ รักษาผู้ป่วยแต่ละรายให้หายและกลับมามีชีวิตท่ีเป็นปกติสุข แต่ระบาดวิทยาเน้นการปกป้องให้กลุ่ม ประชากรมีสุขภาพดี มิให้เจ็บป่วย เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นก็พยายามป้องกันมิให้มีการแพร่ระบาดใน วงกว้าง จดั การใหก้ ารระบาดสงบลงอย่างรวดเร็ว และเกดิ ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสงบ สขุ ของสังคมใหน้ อ้ ยท่ีสุด เม่ือจุดมุ่งหมายมีความครอบคลุมกว้างขวางเช่นนี้ ระบาดวิทยาจึงกลายเป็นศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับการดำเนินงานทางด้านสาธารณสุข คนที่ทำงานทางด้านสาธารณสุขทุกคนต้องเรียนรู้ระบาด วิทยา และในหลักสูตรปริญญาโททางด้านสาธารณสุขจะมีระบาดวิทยาเป็นวิชาหลักอยู่เสมอ ท่าน อดตี ปลัดกระทรวงสาธารณสขุ อาจารย์ไพโรจน์ นิงสานนท์ เคยกล่าวว่า “เจา้ หนา้ ทีส่ าธารณสุขทุกคน จะต้องมียาดำ 2 อย่างในตัว ระบาดวิทยาและสุขศึกษา เม่ือเราอยากให้ประชาชนทำอะไรโดยเราจะ สนับสนุนเขาเราต้องใช้สุขศึกษา แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ต้องการทำอะไร (อย่างมีเหตุผล) และหวังให้คนอื่น สนบั สนนุ เราตอ้ งใชร้ ะบาดวทิ ยา” หลกั คิดสำคัญทางระบาดวิทยา จากจุดมุ่งหมายของระบาดวทิ ยาก็เพ่ือการสง่ เสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคในประชากร เราจึงจำเป็นต้องรู้หลักคิดท่ีสำคัญเพ่ือเราจะได้พยายามหาข้อมูล และข้อความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการ เกดิ ขึ้น ตงั้ อยู่ และดับไปของโรคหรือภัยที่คุกคามสขุ ภาพอย่างน้อยใน 3 ด้านคือ เหตุปัจจัยทที่ ำให้เกิด โรค/ภัยสุขภาพ (Determinants) การกระจาย (Distribution) และธรรมชาติของโรค 6 Natural history of diseases) ดังนี้ 1. โรคหรือปัญหาทางด้านสุขภาพไม่ได้เกิดด้วยความบังเอิญ แต่เกิดจากการเสียสมดุลย์ของ เหตปุ ัจจยั ท่ีเกี่ยวข้อง (Determinants) ซ่ึงทางระบาดวิทยามกั จะแบ่งปัจจยั ออกเป็น 3 กลมุ่ คือปัจจัย เกี่ยวข้องกับคน (Host) ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับตัวก่อโรค (Agent) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม (Enviroment) เรียกความสัมพันธ์ของท้ังสามปัจจัยนีว้ า่ Epidemiologic Triad
20 ภาพท่ี 3 ความสมั พนั ธ์ของทงั้ สามปัจจัย โรคหรือทกุ ข์ภาพเกดิ จากการเสียสมดุลย์ ส่ิงแวดล้อม •ธรรมชาติ •ระบบสั งคม • ระบบเศรษฐกจิ •ระบบการเมือง เชื้อโรค- สารเคม-ี Vector/media คน/ประชากร ภัยสุขภาพ • Gene • จากคน •ภูมิต้านทาน • จากสัตว์ •การศึกษา • โรงงานฯลฯ • วิถีชีวิต พฤตกิ รรม • ยาเสพตดิ • การเข้าถึงบริการสุขภาพ • อาวุธ • กมั มนั ตภาพรังสี ความเขา้ ใจอย่างง่ายๆ คือ เราตอ้ งเสรมิ สร้าง Host ให้ประชาชนมภี มู ิตา้ นทาน มพี ฤตกิ รรมท่ี เหมาะสม ลด Agent ที่เป็นภัยคุกคามสุขภาพ จัดหรือปรับ Environment ให้เข้าข้าง Host อย่าให้ เอียงไปฝกั ใฝต่ วั ก่อโรค เราลองมาดูตัวอย่างและรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ Host ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคนและเป็นตัวกำหนดว่าทำไมบางคนป่วย บางคนไม่ป่วย ประกอบด้วย พันธุกรรม: คนบางคนมีพันธุกรรมท่ีจะเป็นโรคบางโรคได้ง่ายเช่น เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฯลฯ เราแก้ไขพันธุกรรมไม่ได้ แต่ทำให้คนท่ีมีพันธุกรรมดูแลตวั เองให้มากข้ึน หรอื เข้ากระบวนการคัด กรองบางอย่างในชว่ งท่ีเสีย่ งต่อการเกิดโรค จะไดร้ ้เู ร็วแกไ้ ขทัน เพศ: บางโรคมักเลือกเพศ เชน่ น่ิวในถงุ นำ้ ดี เป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เราไมส่ ามารถแก้ไข เพศได้ จงึ ต้องระวงั ตัวให้มากขน้ึ อายุ: บางวยั เสีย่ งต่อบางปัญหามากกวา่ วัยอ่ืนๆ เช่น คนแก่มกั จะมปี ัญหาโรคกระดูกพรนุ ทำ ใหเ้ กิดกระดูกหักเวลาหกล้ม เราแก้ไขอายุไม่ได้ แต่การเพิม่ การออกกำลังกาย ทานอาหารมีประโยชน์ และออกแบบบา้ นหรือหอ้ งน้ำให้ลดการลื่นหกลม้ ก็จะลดความเสย่ี งได้ ภูมิตา้ นทานต่อโรค: คนท่ีเคยป่วยเป็นบางโรคหากมภี ูมิตา้ นทานแล้วก็มกั จะไม่เปน็ อีก เช่น หัด ดังนั้น หากมีวัคซีนป้องกนั โรคก็ควรต้องหามาฉดี เช่นวัคซีนปอ้ งกันคอตบี ไอกรน บาดทะยัก หัด ตับ อกั เสบบี ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ การฉีดวคั ซีนก็เหมือนนักมวยท่ีหมั่นฝึกซ้อมก่อนเจอคู่ชก ถ้าอ่อนซ้อมก็ คาดคะเนไดว้ ่ามโี อกาสโดนน๊อคโดยโรคต่างๆไดง้ ่าย การศึกษา: คนท่ีมีการศึกษาดีมักจะดูแลสุขภาพดีกว่าผู้มีการศึกษาน้อยกว่า เช่น ผู้ติดเช้ือ เอดสส์ ว่ นใหญม่ ักมีการศกึ ษาน้อย ตอ้ งใช้แรงงาน ขาดความรู้ความเขา้ ใจในการป้องกันโรค ดังนั้นสังคม
21 ควรลงทุนให้เด็กๆมีการศึกษาอย่างน้อยในระดับมัธยม และการศึกษาก็ควรเป็นการศึกษาเพื่อชีวิต รูจ้ ักดแู ลตนเองและสังคม ไมใ่ ชเ่ พือ่ ทำงานเฉยๆ ความเช่ือทางศาสนา: บางความเชื่อทำให้เส่ียงต่อการติดโรคต่างๆ เช่น ความเช่ือบางลัทธิใน อเมริกาห้ามฉีดวัคซีน ทำให้เกิดโรคระบาดท่ีควรป้องกันได้ด้วยวัคซีน ดังน้ันจึงต้องหาทางพูดคุยกับ ผู้นำทางศาสนาหรือผู้นำลัทธคิ วามเช่อื ให้มกี ารอนุโลมผ่อนปรน อาชีพ: บางอาชีพทำให้ต้องสัมผสั กับเช้ือโรคบางอย่างได้มากกว่าคนอาชพี อืน่ ๆ เชน่ เกษตรกร เล้ียงแพะเส่ยี งต่อโรคบลูเซลโลซิสมากกว่าชาวไร่ที่ปลูกผลไม้ เกษตรกรเหล่านี้ต้องรู้ว่าอาจมีเช้ือโรคใน สิง่ คดั หลั่งตา่ งๆจากแพะ โดยเฉพาะเวลาที่มนั แท้งหรือปว่ ยจะได้ไมต่ ดิ โรคจากมัน รายได้: ผู้มรี ายได้นอ้ ยมักเจ็บป่วยมากกว่าผู้มีฐานะดีเช่นเป็นโรคขาดสารอาหาร โรคจากการ ประกอบอาชีพท่ีมีความเส่ียง หากเราสามารถทำให้ประชาชนมีรายได้ดีจนพ้นระดับยากจนได้ก็ควร ตอ้ งรีบทำ หากทำไมไ่ ดก้ ็ต้องมีระบบที่ปกป้องสขุ ภาพของผมู้ ีรายไดน้ ้อยใหเ้ ทา่ เทยี มคนกลมุ่ ท่ีมฐี านะดี การมีคู่ครอง: คนแกท่ ่มี ีคู่ครองมกั มชี วี ิตยืนยาวกวา่ คนที่อยู่ตวั คนเดยี ว สำหรบั คนทีไ่ มม่ คี ู่ครอง กค็ วรตอ้ งใหอ้ ยูก่ บั ญาตเิ พือ่ ช่วยดแู ล พฤติกรรม: หากมีพฤติกรรมเส่ียงก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยง่าย เช่น ชอบสุบุหรี่ กง๊ สุรา เอา แต่เที่ยวเตร่ ก็จะเส่ียงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นมะเร็ง ติดเอดส์ แต่หากมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพก็ จะทำใหก้ ารเจบ็ ปว่ ยน้อยลง ตรงไปตรงมา 2. Agent: ในสมยั กอ่ นเรามกั จะหมายถงึ เช้ือโรค Infectious agent เชื้อโรคแตล่ ะชนดิ ก็ทำให้ เกิดการป่วยที่แตกต่างกันไป แม้แต่ในเชื้อเดียวกันแต่ต่างสายพันธ์ก็ทำให้เกดิ ความรุนแรงแตกต่างกัน การระบาดในวงกว้างมักจะเกิดจากเชื้อสายพันธ์ใหม่ๆท่ีประชาชนไม่ค่อยจะมีภูมิต้านทาน เช่น เชื้อ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ดังนั้นการศึกษาเร่ืองเชื้อโรคจึงต้องดูว่าเป็นสายพันธ์อะไร มีแบบ แผนการดื้อต่อยาอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ฯลฯ ในปัจจุบันคำว่า Agent ไม่ได้หมายถึงเชื้อโรค เทา่ นนั้ แตย่ งั หมายรวมถงึ Chemical agent ได้แก่สารเคมีต่างๆเช่นสารพษิ ในบุหรที่ ่ีเราสูบ ยาฆ่าแมลง สารโลหะหนกั ท่ี ทำอันตรายสขุ ภาพเชน่ พษิ จากสารตะกั๋ว พิษจากแคดเมี่ยม Radioactive Agent กัมมันตภาพรังสีท่ีทำให้เกิดการเจ็บป่วยเช่นกรณีการป่วยการตายจาก โคบอลท์ 60 ท่ีจังหวัดสมุทรปราการในไทย หรือโรงงานไฟฟ้าปฎิกรณ์นิวเคลียรร์ ะเบิดท่ีเชอร์โนบิลใน ประเทศรสั เซยี
22 Energy Agent คือพลงั งานตา่ งๆทก่ี ่อให้เกิดการบาดเจบ็ เชน่ รถชนคนตายได้ เพราะว่ิงมาเรว็ มี พลังงานสูงเม่ือชนคนก็ถ่ายพลังงานมาปะทะคนจนกระเด็นและบาดเจ็บตาย หากรถว่ิงมาช้ามากๆ พลังงานก็น้อย ชนคนก็อาจเพียงแค่ล้มบาดเจ็บถลอก ฯลฯ ในกรณีท่ีคนเสียชีวิตจากปืนก็เป็นผลรวม ของพลังงานท่ีขบั เคลื่อนให้ลกู ปืนทะลุทะลวงรา่ งกายทำอันตรายอวยั วะต่างๆ ในอเมรกิ าถึงกับมีระบาด วิทยาศึกษาว่าจะลดการป่วยการตายจากปืนได้อย่างไร สารเสพติดต่างๆ (Addict agent) เช่น เหล้า และไล่เลียงมาถงึ ย้าบา้ ฝ่ิน เฮโรอีนฯลฯ รกั ษาโรค (Pharmaceutical agent) ก็สามารถทำอันตรายร่างกายได้ จึงต้องมีการเฝ้าระวัง ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ตัวอย่างที่ดังระเบิดเทิดเถิงคือ การใช้ยา Thalidomide เพ่ือรักษาอาการ แพท้ อ้ งในหญงิ ตั้งครรภ์ จนทำใหเ้ กิดความพิการในทารกจำนวนมากในช่วงปลายทศวรรษ 1950 และ ในปี 1961 ได้มกี ารส่ังถอนตำรับยานีอ้ อกไปเพือ่ ใหป้ ระชาชนมสี ขุ ภาพดี สังคมน้ันๆตอ้ งออกกฎหมาย หรือกฎระเบียบหรือมาตรการทางภาษีหรือแนวปฎิบัติต่างๆฯลฯ เพ่ือควบคุมมิให้ Agent ที่เป็น อันตรายเพิ่มจำนวนและเข้าไปถึงประชาชนได้ง่ายๆ เชน่ การออกกฎหมายควบคุมการโฆษณาการขาย บหุ รี่ และสุราการควบคมุ การปล่อยสารเคมจี ากโรงงานส่ธู รรมชาติ การควบคมุ อาวุธ การควบคุมการใช้ ยา และสารเสพตดิ ฯลฯ การจะควบคุม Agent ได้นั้นมสี ว่ นเกย่ี วข้องกับส่งิ แวดลอ้ มและระบบทางสังคม 3. Environment คือปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่หากเข้าข้างคนก็จะทำให้สุขภาพดี แต่หาก เข้าข้าง Agents ก็จะทำให้มีภัยคุกคามสุขภาพมากขึ้นเร่ือยๆ ยกตัวอย่าง เช่น ขณะที่เขียนบทความน้ี ประเทศโซมาเลียในทวีปอาฟริกากำลังเกิดการอดอยากแสนสาหัส เพราะฝนไม่ตกมาเป็นปีๆ อาหาร การกินและน้ำมีไม่พอเด็กๆ ป่วยเป็นโรคขาดสารอาหารมากกว่าร้อยละ 50 แต่ละวันมีคนเสียชีวิต มากกวา่ 2 ตอ่ หมืน่ ประชากร ซึง่ นับวา่ สงู มากจนเป็นภาวะฉุกเฉนิ ท่ีตอ้ งรีบระดมความช่วยเหลอื นักการ สาธารณสุขจึงต้องสนับสนุน ให้มีส่ิงแวดล้อมที่ดี ลดปัญหาโรคร้อน และสนับสนุนกระบวนการสร้าง สันติ หากปล่อยให้มีสงครามกลางเมืองคนจะตายท้ังจากความรนุ แรงและโรคภยั ไข้เจ็บ ฯลฯ นอกจากส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาตหิ รือทางกายภาพแล้ว ระบบเศรษฐกิจสังคมและการเมอื งยัง ถือเป็นส่วนหน่ึงของส่ิงแวดล้อมมนุษย์ที่เราเรียกว่า Social Determinants นักวิชาการหลายคนแยก Social determinants ออกมาเพราะมันมีความสำคญั มากกว่าปัจจัยตัวอน่ื ๆ เช่นการควบคุมโรคเอดส์ ต้องประสบกับปญั หาการกีดกันผู้ติดเช้ือหรือผปู้ ่วย ขาดสทิ ธมิ นษุ ยชนขั้นพ้ืนฐานหากไมแ่ ก้ไขปัจจัยน้ีก็ ไมอ่ าจท่ีจะควบคุมการแพรร่ ะบาดของโรคได้ เพราะผตู้ ิดเช้อื หรือผู้ป่วยจะไมย่ อมเปิดเผยตวั หรือเข้าไม่ ถงึ บรกิ ารป้องกนั ควบคมุ โรคหรือการรกั ษาพยาบาล แตย่ งั คงแพรเ่ ชื้อตอ่ ไปเรอ่ื ยๆ โรคหรือปัญหาทางด้านสุขภาพมีแบบแผนการกระจายของมัน (Distribution of Disease) ทางระบาดวิทยาจะพยามยามวิเคราะห์แบบแผนการกระจายตามเวลา (Time) สถานท่ี (Place) และบุคคล (Person) ยกตวั อย่างเช่น โรคไข้สมองอักเสบจากเช้ือ Japanese Encephalitis มักจะเกิด ในช่วงฤดูฝนเพราะต้องอาศัยยุงรำคาญท่ีอยู่ในท้องนาเป็นตัวนำเช้ือจากสกุ รมาปล่อยเข้าสู่คนโดยการ กัด โรคนี้เกิดในชนบทไม่เกิดในเมือง ผู้ป่วยมักเป็นเด็กในวยั เรียน เพราะยังไม่มภี ูมิต้านทานและเป็น
23 วัยที่ว่ิงเล่นรอบบ้านโดนยุงกัดง่าย ไม่เลือกเพศเป็นทงั้ ชายและหญิงไม่แตกต่างกัน ไม่เลือกศาสนาเป็น หมดทง้ั พทุ ธ คริสต์ อสิ ลาม เม่ือคราวเกิดการระบาดของโรคนิปาห์ไวรัสในมาเลเซียตั้งแต่ตุลาคม 2541 ถึง 31 มีนาคม 2542 มผี ู้ป่วย 208 ราย เสียชีวิต 71 ราย ในระยะแรกหน่วยงานสาธารณสุขของมาเลเซียเข้าใจวา่ เป็น ไข้สมองอักเสบจากเช้ือ Japanese Encephalitis จึงได้ดำเนินการควบคุมโรคโดยพ่นทำลายยุง และ ระดมฉีดวัคซีนป้องกันโรคน้ีให้กับชาวบ้าน แต่ก็ควบคุมไม่ได้สักที เม่ือมีการวิเคราะห์แบบแผนการ กระจายของโรคก็พบว่าแตกต่างจาก Japanese Encephalitis หลายด้านที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยเกือบ ท้ังหมดเปน็ ผู้ใหญ่ เป็นผู้ชาย เป็นคนจีน ท้ังๆที่คนมาเลย์เป็นประชากรสว่ นใหญข่ องประเทศ ไม่คอ่ ยมี คนอิสลามเป็น ฯลฯ สุดท้ายแล้วพบว่าการระบาดของไข้สมองอักเสบท่ีว่าน้ีเกิดจากVirus ตวั ใหม่เรียก ตามชื่อหมู่บ้านที่พบคนป่วยและแยกเช้ือไดว้ ่าเป็นไวรัส Nipah ไวรัสตัวนี้อยู่ในกระแสเลือดและสารคัด หลั่งต่างๆของสุกร คนมาเลย์รังเกียจสุกร เกษตรกรท่ีเลี้ยงสุกรจึงเป็นคนเชื้อชาติจีน และเป็นผู้ใหญ่ท่ี เปน็ ผู้ชาย จึงเป็นกล่มุ ท่ีติดเช้ือมากและเสียชีวิต การเข้าใจแบบแผนการกระจายของโรคต่างๆ จะช่วย ในการวินิจฉัยโรคและสอบสวนโรค เหมือนการจับผู้ร้าย ผู้ร้ายแต่ละคนจะมีแบบแผนการลงมือ ประกอบอาชกรรมทีแ่ ตกตา่ งกัน โรคหรือปัญหาทางสุขภาพมีธรรมชาติของมันเอง (Nature of disease or Natural history of disease) ปรากฎการณ์ทุกอย่างรวมถึงโรคภัยไข้เจบ็ ย่อมมีการเกิดขึน้ ดำรงอยู่และสิ้นสุด เราเรียก สงิ่ น้วี ่าธรรมชาตขิ องโรคซง่ึ หมายถึงเหตุการณ์ของโรคนับต้ังแต่การเร่ิมก่อเกิดในคนและเปลย่ี นแปลงไป ตามกาลเวลา ความรเู้ ร่ืองธรรมชาตขิ องโรคเร่ิมจากความเขา้ ใจในโรคติดเช้ือ แต่ตอ่ มาก็นำไปใช้ในเรอ่ื ง โรคไม่ติดเชื้อด้วย โดยท่ัวไปหากเราดูเหตุการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคติดเช้ือในคนก็จะเห็นเหตุการณ์ 4 ระยะคอื ระยะเสี่ยง (Stage of susceptibility) ระยะน้ีร่างกายยังเป็นปกติไม่ได้เกิดพยาธิสภาพอะไร แต่มีเงื่อนไขของความเส่ียงท่ีจะสนับสนุนให้เชื้อโรค หรือ สารเคมี หรือ ภัยสุขภาพต่างๆเข้าหาคนได้ ง่ายและเกิดการเจ็บป่วยตามมา เช่น คนที่มีคู่ทางเพศสัมพันธ์หลายคนแม้ว่าจะยังไม่ติดเช้ือหรือป่วย แตก่ ถ็ อื วา่ อย่ใู นระยะเสยี่ งต่อโรคเอดส์ คนทีไ่ มย่ อมออกกำลงั กายถือวา่ อยใู่ นระยะเส่ียงต่อโรคหวั ใจ ระยะก่อนมีอาการ (Preclinical stage) ได้แก่ระยะที่ Agent เช่นเช้ือโรค หรือส่ิงที่เป็น อนั ตรายได้เขา้ สู่รา่ งกายแล้ว แตย่ ังไม่แสดงอาการ เช่นได้รับเชื้อเอดส์แล้ว สามารถยืนยันการติดเช้ือ ได้แน่นอน แม้จะยังไม่มีอาการแต่ก็สามารถแพร่เชื้อได้เรียก Asymptomatic infection ศัพท์ทาง ระบาดวทิ ยาทป่ี ระมาณช่วงเวลาตัง้ แต่รับเชอื้ เข้ารา่ งกายจนสามารถแพร่เชื้อได้เรยี กว่า latent period (แตกตา่ งจาก incubation)
24 ระยะแสดงอาการ (Clinical stage) ระยะนี้ Agent ได้ทำให้เกิดพยาธิสภาพจนร่างกายไม่ สามารถทำงานได้ตามปกตแิ ละเกิดอาการแสดงของการเจบ็ ป่วยเร่ิมต้น และ ค่อยๆมากขึ้นจนมีอาการ เต็มขั้นกรณีของการติดเชื้อเอดส์และมีอาการบางอย่างเรียกว่า HIV related diseases หากมีอาการ เตม็ ข้นั โดยมีการติดเช้อื ฉวยโอกาส จึงเรียกว่า AIDS ระยะเวลาจากเชื้อเขา้ ส่รู า่ งกายจนถึงแสดงอาการ ชัดเจนนี้เรียกวา่ ระยะฟักตวั Incubation period ในกรณที ี่ไม่ใช่โรคตดิ เชื้อแตเ่ กดิ จากการสัมผัสสารก่อ โรค ระยะเวลาตั้งแต่การสัมผสั สารก่อโรคจนถึงมีอาการ มักใช้คำวา่ Latent period เช่นผู้สัมผัสสาร กัมมันตภาพรังสีท่ีรุนแรงจะมี Latent period ประมาณ 5 ปีก่อนท่ีจะพบว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เปน็ ตน้ (คำวา่ latent period ในโรคตดิ ต่อและในโรคไมต่ ิดตอ่ จึงมคี วามหมายแตกต่างกนั ) ระยะส้ินสดุ ของโรค (Diminish stage) เมี่อเกดิ โรคแลว้ บางคนหายโดยรา่ งกายกำจดั เชื้อหรอื สารก่อ โรคได้เอง บางคนหายแต่มคี วามพิการ บางคนตายในเวลาไม่นาน บางคนอย่รู อดแต่ก็จะไปเสียชีวิตใน อนาคต ดังนั้นการศึกษาธรรมชาติของโรคจึงมีข้อมูลอย่างน้อย 2 ด้านท่ีเกี่ยวพันกันคือการดำเนินไป ของโรคในช่วงเวลาต่างๆ และโอกาสที่จะเกิดผลลัพธ์ต่างๆเมื่อการดำเนินของโรคไปถึงจุดส้ินสุด (Disease Progression and Outcomes) ยกตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของโรคเอดส์นั้น ผู้ติดเช้ือทุกคน จะป่วยและเสียชวี ิตหากไม่ได้รบั การรกั ษา แต่กวา่ จะมีอาการนั้นอาจใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี เม่ือปรากฎอาการแล้วไม่ไดร้ ับการรกั ษาก็จะเสียชีวิตทกุ รายโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ถึง 2 ปี สำหรับการ แพรเ่ ชื้อนัน้ สามารถแพร่เชอื้ ไดห้ ลงั ตดิ เชอื้ ประมาณ 3 เดอื นและแพรเ่ ช้อื ไดต้ ลอดจนวาระสดุ ท้าย โรคหรือปัญหาทางสุขภาพของประชากรสามารถป้องกันและควบคุมได้โดยหลักวิชาการเรา สามารถท่ีจะกำหนดมาตรการทจ่ี ะนำมาป้องกันและบรรเทาปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บในแต่ละบุคคลได้ โดยแบง่ เปน็ 4 ระดบั ง่ายๆดังนี้ 1. Primodial prevention หรือการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) เช่น การส่งเสริม ให้ประชาชนหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพื่อจะได้ไม่เส่ียง ตอ่ การเกิดโรคเบาหวาน ความดัน หวั ใจ หลอดเลือด ในภาษาทางระบาดเราถือว่าเป็นการป้องกนั โดย การลดความเสยี่ ง (Risk reduction) 2. Primary prevention ได้แก่การใช้มาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเจ็บหรือการป่วย ในนิยามทางระบาดวิทยาคือการลดการป่วยรายใหม่ (Incidence reduction) ซึ่งมาตรการในระดับนี้ อาจเป็น มาตรการป้องกันเฉพาะโรค ( Specific Health Protection) เช่น การส่งเสริมให้ใส่หมวก กนั น๊อคขณะขับจักรยานยนต์ การคาดเข็มขัดเวลาขับรถ การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ การ ฉดี วัคซีนปอ้ งกันโรค หรอื
25 การสร้างเสริมภูมิค้มุ กนั โรค (Immunization) เช่น การให้วัคซีนปอ้ งกันโรคหัด หรือการทาน ยาป้องกันลว่ งหน้า (Prophylaxis) การใหย้ าต้านไวรัสในหญิงตั้งครรภ์ท่ตี ดิ เช้ือเอดส์เพือ่ ป้องกนั มิให้ลูก ตดิ เช้อื เอดส์จากแม่ 3. Secondary prevention คือการใช้มาตรการในคนที่ป่วยแล้วเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการ รุนแรงหรือเสียชีวิต จุดมุ่งหมายอยู่ท่ีการค้นหาผู้ป่วยและตรวจให้พบในระยะแรกๆเพื่อจะได้รีบให้ คำแนะนำการปฎิบัติตัวและให้การรักษาจะได้ชะลอการป่วยออกไป หรือไม่ให้ป่วยมาก หรือลด ระยะเวลาการป่วย หรือลดการเสียชีวิต ในนิยามทางระบาดวิทยาคือการลดความชุกของการป่วย (Prevalence reduction) ความชุกคือผู้ท่ีป่วยท้ังหมดไม่ว่าจะเป็นการป่วยท่ีเพ่ิงเกิดหรือป่วยมานาน แล้วเช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หากพบในระยะแรกก็สามารถทำการผ่าตัดออกได้ง่าย ยอดรวมของผู้ป่วยก็จะลดลงไป การคัดกรองโรคความดนั โลหิตสูงและให้การดูแลทเี่ หมาะสมจะทำให้ ควบคุมระดับความดันได้ดี ไม่เกิดความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆเช่นโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือ แตก 4. Tertiary prevention ในกรณีท่ีป่วยจนเกิดความพิการและการสูญเสียคุณภาพชีวติ ก็จะใช้ มาตรการเพ่ือฟื้นฟู (Rehabilitation) ให้มีคุณภาพชีวิตที่ใกล้เคียงของเดิม เช่น การใช้กายอุปกรณ์ ต่างๆ รวมถึงการฟ้ืนฟูทางด้านจิตใจ การดูแลรักษาผู้ป่วยติดยาเสพติดชนิดฉีดในบางประเทศก็ใช้ มาตรการให้สาร Methadone ทดแทนตลอดทุกวันแทน ทางระบาดวิทยาอาจเรียกว่าเป็นการลด ความพกิ าร (Disability reduction) สรุปจรงิ อยู่ท่วี ่าเราต้องดำเนินการปอ้ งกันควบคุมโรคในทุกระดบั แต่ในบรรดาการป้องกันมิให้ เกิดโรคในแต่ละปัจเจกบุคคลทั้ง 4 ระดับน้ัน การลงทุนทำ Primodial และ Primary prevention จะ ได้ประโยชน์มากที่สุด แต่เป็นที่น่าเสียดายเนื่องจากการป้องกันในสองระดับนี้ยังทำกันน้อย เราจึงมี ผู้ป่วยจำนวนมากเลยต้องไปคลุกอยู่กับการทำ Secondary หรือ Tertiary prevention ซ่ึงได้แก่การ รักษาพยาบาลต่างๆ เป็นการลงทุนสูงและการแก้ไขปัญหาท่ีปลายเหตุ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ ดังน้ันระบบ สขุ ภาพทดี่ ีจงึ ต้องทำทง้ั หมดแตต่ อ้ งพยายามทำการปอ้ งกนั ให้มากขึน้ เร่ือยๆ การประยุกต์ระบาดวิทยาเพื่อการควบคุมโรค (Disease Control) และการแก้ปัญหาทาง สาธารณสุขอ่ืนๆ หากเราประยุกต์ใช้แนวคิดการป้องกันท้ัง 4 ระดับเข้ากับโรคใดโรคหนึ่งหรือกลุ่มโรค อย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในกลุ่มประชากรหรือชุมชนแทนท่ีจะเป็นปัจเจกบุคคล เราเรียกการ ดำเนินงานแบบน้ีว่า การควบคมุ โรค (Disease Control) ดังน้ันการควบคมุ โรคในความหมายวงกว้าง ก็จะครอบคลุมการป้องกันโรคด้วย ไม่ได้หมายถึงการดำเนินงานภายหลังเกิดโรคแล้ว แต่เป็นการ ดำเนินงานตั้งแต่ลดความเส่ียงในชุมชน ลดการแพร่ระบาด ลดอัตราป่วย ลดอัตราตาย และความ เสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมจากโรคใดโรคหนึ่งในการควบคุมโรคใดๆในประชากรจำเป็นต้องตอบ คำถามทสี่ ำคัญอย่างน้อย 6 ข้อดงั น้ี
26 1. Magnitude หรือขนาดของปัญหา เพ่ือให้ทราบว่า ณ. ขณะใดขณะหน่ึงขนาดของปัญหา ของโรคน้นั ๆใหญ่โตเพียงใด โดยดูจากความถ่ีและความรุนแรงของโรค นักระบาดวิทยาจึงจำเป็นต้อง ใชว้ ธิ ีการวดั ความถแี่ ละความรุนแรงของโรคอย่างเป็นมาตรฐานเดยี วกนั ซึ่งส่วนใหญ่จะวดั เปน็ อัตราต่อ พันหรือต่อแสนประชากร และวัดเป็นรายใหม่ (Incidence) หรือทุกรายไม่สนใจว่าเก่าหรือไม่ (Prevalence) การทราบขนาดปัญหาจะสามารถทำให้ไปเปรียบเทียบกับโรคอ่ืนๆเพ่ือจัดลำดับ ความสำคัญ (Prioritization) ในกรณีที่มีข้อจำกัดทางด้านทรัพยากร รายละเอียดในเรื่องการวัดทาง ระบาดวทิ ยาจะขยายความในบทตอ่ ๆไป 2. Distribution จำเป็นต้องทราบแบบแผนการกระจายของโรคว่าเกิดมากกับใครท่ีไหน เม่ือไร เพ่อื นำมาตรการควบคุมโรคไปใช้ใหเ้ หมาะกบั เวลา สถานท่ี บคุ คล 3. Cause and Determinant จำเป็นต้องทราบว่าอะไรคือสาเหตุและปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ การเกดิ โรค เพอื่ คดิ คน้ มาตรการป้องกันควบคมุ โรคตงั้ แต่ท่ีตน้ นำ้ จนถงึ ปลายทาง 4. Preventive measures ต้องทบทวนดูว่ามีมาตรการในการป้องกันในระดับไหนบ้าง และประสิทธิผลหรือความสามารถของมาตรการนั้นในการลดการติดเชื้อหรือการป่วยลงไปทางการ ทดลองหรอื ทดสอบ (Efficacy) เปน็ อย่างไร หากนำมาใชจ้ รงิ น่าจะมีประสทิ ธภิ าพจรงิ เทา่ ใด 5. Disease Control Program คอื ระบบการนำมาตรการควบคุมโรคที่เหมาะสมลงดำเนนิ การ ให้ครอบคลุมในกลุ่มชุมชนหรือกลุ่มประชากรเป้าหมายอย่างรวดเร็วทันเวลา มีประสิทธิภาพ ควร จะต้องบริหารจดั การอยา่ งไร 6. Program Evaluation คือ การติดตามประเมินผลว่าผลการดำเนินงานได้ผลหรือไม่ ซึง่ หากไดผ้ ลจริง ขนาดปญั หาย่อมลดลงไปเรอ่ื ยๆ หากไม่ไดผ้ ลกจ็ ะไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี น เราสามารถผูกโยงความสัมพันธ์ของคำถามท้ัง 6 ข้อดังวงจรภาพท่ี 4 แต่ในการตอบคำถามท้ัง 6 นักระบาดวิทยาจำเป็นต้องมีเคร่ืองมือ (Tools) หรืออาวุธประจำกายประจำหน่วย 3 ด้าน ซง่ึ ประกอบด้วย 6.1 การเฝ้าระวัง (Surveillance) เพื่อใหท้ ราบสถานการณ์แนวโน้ม และแบบแผนการเกิด โรคติดต่อ โรคไม่ติดตอ่ และโรคจากการประกอบอาชีพและส่งิ แวดล้อม โรคจากการบาดเจบ็ หนา้ ทีก่ าร เฝ้าระวังก็เหมือนหน่วยข่าวกรองท่ตี ้องหาข่าวติดตามความเคลื่อนไหวของข้าศึกตลอดเวลา ให้รวู้ ่าอยู่ ทไ่ี หน คดิ อะไรอยู่ วางแผนทำอะไร 6.2 การสอบสวนโรค (Investigation) เพื่อให้ทราบสาเหตุของการเกิดโรคและปัจจัยเสี่ยง หรือกลไกการเกิดแพร่ระบาด นักระบาดวิทยาท่ีทำหน้าท่ีสอบสวนโรคก็เหมือนนักสืบที่คลี่คลายปม
27 ปรศิ นาคดีฆา่ ต่อเนือ่ งหรอื การก่อการรา้ ยตา่ งๆ เพอื่ จับตวั ผ้กู อ่ การรา้ ยและทำลายเครอื ข่ายกระบวนการ ตลอดจนอดุ จุดอ่อนของระบบปอ้ งกันควบคมุ โรคทีใ่ ช้อยู่ 6.3 การศึกษาทางระบาดวิทยา (Review and Research) เพื่อค้นหามาตรการที่เหมาะสม สำหรับการควบคุมโรค หรือทำความเข้าใจในเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนข้ึนบทบาทหน้าที่นี้ ก็เหมือนกับนักวิจัยแต่มักจะเป็นการวิจัยที่เก่ียวข้องกับภาคสนาม เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของ มาตรการตา่ งๆ (Field Trial) ท้ังนี้จะได้กล่าวรายละเอียดที่เก่ียวข้องกับการเฝ้าระวัง การสอบสวน และการศึกษาทาง ระบาดวทิ ยาในบทต่อๆไป ของหนงั สอื เลม่ นี้ ภาพท่ี 4 วงจรการแกไ้ ขปญั หาโดยประยุกต์ใช้ความรู้และเครอื่ งมือทางระบาดวทิ ยา การประยกุ ต์ระบาดวทิ ยาเพ่ือแก้ปัญหาสาธารณสุข Magnitude (โรคอะไร ความถ่ี ความรุนแรง) Evaluation Distribution (สถานที่ เวลา บุคคล) • Effectiveness • Efficiency Management Cause & Determinants • Resource & Support • Agent • coverage • timeliness •Environment • Coordinate •Social Preventive measures (Primodial- Primary-Secondary-Tertiary) ตอ้ งทราบ Efficacy วิวัฒนาการของระบาดวทิ ยาในประเทศไทย ในสมัยเรียนประวัติศาสตร์ พวกเราอาจจำได้ว่ามีการย้ายเมืองหลวงสมัยอยุธยาตอนต้นหนี โรคห่า เดิมคิดว่าห่าหมายถึงอหิวาตกโรคแต่ตอนหลังน่าเช่ือว่าเป็นกาฬโรคท่ีระบาดจากจีนไปยัง ตะวันตกและมีการระบาดในไทยด้วย เกิดโรคระบาดคร้ังใดก็มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในปีที่ 5 ของรัชกาลท่ี 3 ปี พ.ศ. 2371 การแพทย์และ สาธารณสุขแผนตะวันตกได้เร่ิมเข้ามามีบทบาทโดย นายแพทย์แดน บีซ บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) ผู้เผยแพร่ครสิ ตศาสนาชาวอเมริกัน ได้รเิ ร่ิมการปอ้ งกันโรคตดิ ต่อคร้ังแรก โดยปลูกฝีป้องกัน ไข้ทรพิษซ่งึ ได้ผลดี คนที่ไดร้ บั การปลูกฝไี ม่ป่วยและเสียชีวิต จนถึงกบั ทรงโปรดให้หมอหลวงไปเรียนวธิ ี ปลกู ฝจี ากหมอบรัดเลย์เพอ่ื ปลูกใหแ้ กข่ า้ ราชการและประชาชน
28 ในสมยั รัชกาลที่ 4 มีการควบคุมอหิวาตกโรคโดยการใช้ทงิ เจอร์ผสมน้ำให้ด่ืม ในสมัยรัชกาลท่ี 5 มีการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับสุขาภิบาลเป็นครั้งแรกเรียกว่า พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง พ.ศ. 2413 เพ่ือให้มีการรักษาความสะอาดของคลองไม่ให้เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ มีการจัดตั้ง โรงพยาบาลศิริราชข้ึน และต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี 6 ในปี พ.ศ. 2461 มีการจดั ตง้ั กรมสาธารณสุขข้ึนใน กระทรวงมหาดไทย มีกรมพระยาชัยนาทนเรนทร เปน็ อธิบดคี นแรก รูปปัน้ ของท่านตง้ั เดน่ อยทู่ ห่ี นา้ ตึก สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน และท่านได้มีส่วนทำให้สมเด็จพระบรมราชชนก สนใจ ในเร่ืองการแพทย์และการสาธารณสขุ คงทราบกนั ดีว่าสมเด็จฯพระบรมราชชนกทรงมุ่งม่ันไปเรยี นต่อ ทางด้านการสาธารณสุขและการแพทย์จนจบท้ังสองปริญญา เหตุผลท่ีพระองค์ท่านตัดสนิ ใจเรียนการ สาธารณสุขดว้ ยก็เพราะทรงตระหนักดวี า่ การป้องกันดกี วา่ การรกั ษา ท่านได้บรรยายวา่ งานสาธารณสุข ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ 3 ด้าน คือ สุขวิทยา เวชกรรมกันโรคและปราบโรค และงานสุขาภิบาล ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 8 ในปี 2485 ได้มีการจัดต้ังกระทรวงสาธารณสุขข้ึน และมีการดำเนินงานเพ่ือ ปราบโรคระบาดตา่ งๆ เชน่ คุดทะราด มาเลเรีย พยาธลิ ำไส้ ฯลฯ มกี ารต้ังกองควบคุมโรคติดตอ่ ภายใต้ กรมอนามัย มีการสง่ บคุ ลากรไปเรียนต่อด้านสาธารณสขุ ในต่างประเทศ จนในปี 2504 ได้มีการจัดตั้ง แผนกระบาดวิทยา มีอาจารย์นายแพทย์สุชาติ เจตนเสน เป็นหัวหน้าแผนกนี้ จวบจนมีการปฏิรูป กระทรวงสาธารณสขุ ครัง้ ใหญ่ในปี 2516 โดยให้มีสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขข้ึนมาบังคับบัญ ชาโรงพยาบาลและสำนั กงาน สาธารณสุขจังหวัดท่ัวประเทศ แผนกระบาดวิทยาก็เปล่ียนจากสังกัดกรมอนามัยมาอยู่สำนักงาน ปลดั กระทรวงยกฐานะเป็นกองระบาดวิทยา มีอาจารย์สุชาติ เจตนเสนทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกอง คนแรก อาจารย์และคณะผูบ้ ุกเบิกได้มีการจัดระบบการรายงานโรคติดต่อท่ีมักมีการระบาดอย่เู สมอๆ ทำให้เกิดรูปธรรมของการเฝ้าระวังโรคอย่างเป็นระบบ เม่ือมีโรคระบาดเกิดขึ้นก็มีเจ้าหน้าท่ีออกไป สอบสวนโรคค้นหาความจรงิ มีการอบรมบุคลกรสาธารณสุขให้ร้เู รื่องระบาดวิทยาทำการเฝ้าระวังโรค ได้ สอบสวนโรคเป็น มีเจ้าหนา้ ที่ระบาดวิทยาประจำอยู่ในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง เม่ือมี บคุ ลากรในระดับรากหญ้าแล้วจึงเกิดความคิดที่จะพฒั นาให้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาจริงๆ อาจารย์สุชาติและทีมงานทส่ี ำคัญอันไดแ้ กอ่ าจารย์ประยรู กุนาศล และอาจารย์ธวัช จายนียโยธินที่รว่ ม บุกเบิกงานระบาดวิทยาของประเทศด้วยกันมาจึงเริ่มโครงการพัฒนาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาระบาด วทิ ยาหรือFETP (Field Epidmiology Training Program) โดยใช้รูปแบบเรียนจากการปฎิบัติงานจริง เหมือนหน่วยEIS ( Epidemic Intelligence Service) ท่ีดำเนินการในศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติของ สหรัฐอเมริกาปัจจุบันมีแพทย์ที่จบจาก FETP รวม 30 รุ่น ท้ังสิ้น 162 คน ปฎิบัติงานเป็นผู้บริหาร โครงการควบคุมป้องกันโรคที่สำคัญหลายโครงการ ท้ังในส่วนกลางและภูมิภาค มหาวิทยาลัยและ องคก์ ารตา่ งประเทศ
29 ภาพท่ี 5 นายแพทย์สชุ าติ เจตนเสน และนายแพทย์ประยรู กนุ าศล และ นายแพทย์ธวัช จานยี โยธนิ อาจารยผ์ รู้ ิเร่ิม และปรู ากฐานงานระบาดวทิ ยาเพอ่ื การบริหารงานสาธารณสุข การศึกษาหาความรทู้ างระบาดวิทยาในสมัยก่อนเวลาที่คนต้องการเรยี นระบาดวิทยากจ็ ะต้อง ไปเรยี นกันที่เมืองนอกเช่นที่อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ แต่ในระยะประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา ได้มีการเรียน การสอนระบาดวิทยาในประเทศพอสมควรท้ังในกระทรวงสาธารณสุข คณะแพทย์ศาสตร์ คณะ พยาบาลศาสตรแ์ ละคณะสาธารณสขุ ศาสตร์ โดยอาจแบง่ ลักษณะการเรยี นออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกนั คอื 1. การเรียนภาคทฤษฎี มีการเรียนการสอนระบาดวิทยาในฐานะวิชาหน่ึงของนักศกึ ษาด้าน วิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่นการสอนใน ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ชุมชน เวชศาสตร์สังคม ฯลฯ ในคณะแพทย์ หรือภาควิชาระบาดวิทยาในคณะสาธารณสุข อาจมีท้ังเป็นหน่วยกิต หรือเป็น ปรญิ ญาโท ปริญญาเอก 2. การเรียนเพื่อใช้ระบาดวิทยาในงานวิจัยทางการแพทย์ประมาณ พ.ศ 2523 เร่ือยมา ได้มี เครือข่ายท่ีเรียกว่า Clinical Epidemiology สอนหลักระบาดวิทยาให้กับบรรดาอาจารย์แพทย์หรือ แพทย์ที่ทำด้านการรักษาพยาบาลให้มีความรู้และทักษะในการออกแบบการศึกษาวิจัย (Design) การวัดผลการศึกษา ( Measurement) และ การประเมินคุณค่าและผลการศึกษาต่างๆ (Evaluation) ทำให้มีการประยุกต์ใช้ระบาดวิทยาในการศึกษาวิจัยประสิทธิผลในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาล (Hospital-based) ทำให้รู้ว่ายาหรือมาตรการอะไรได้ผลอย่างไร โดยมีงานวิจัยหรือหลักฐานอ้างอิง (Evidence-based medicine) ไม่ใช่อา้ งอิงจากบริษทั ยาหรือครบู าอาจารย์ท่ีถา่ ยทอดกนั มาจากปากสู่ ปาก 3. การเรียนเพ่ือประยุกต์ใช้ระบาดวิทยาในงานสาธารณสุข ส่วนใหญ่แล้วดำเนินงานโดย กระทรวงสาธารณสุข โดยมีการฝึกอบรมท้ังระยะสั้น (สัปดาห์) ระยะกลาง (เดือน) และระยะยาว (ปี) โดยเน้นในเร่ืองการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค และการศึกษามาตรการต่างๆในภาคสนาม (Field- based) โดยใช้หลักการเรียนรู้จากการทำงานจริง หลักสูตรระยะส้ันและระยะกลางจะมีการจัดเพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้ท่ีทำงานในระดับรากหญ้าหรือด่านหน้าเช่นระดับตำบล อำเภอ จังหวัด หลกั สูตรระยะยาวที่สำคัญได้แก่ FETP เพื่อให้แพทย์ท่สี นใจจะเป็นผู้เช่ียวชาญทางด้านระบาดวทิ ยา ใช้ เวลา 2 ปี
30 แม้ว่าจะมีการเรียนการสอนท่ีกว้างขวางข้ึนแต่คนท่ีรู้เร่ืองระบาดวิทยาจริงๆจังๆยังมีน้อย ยิ่ง การประยุกต์ใชก้ ็ยิ่งน้อยไปอีก จงึ สมควรท่พี วกเราทกุ คนจะได้ศกึ ษาและขยายความรู้และการปฎบิ ัตใิ น ด้านน้ีใหก้ ว้างขวางย่งิ ๆขึ้น เคลด็ ไมล่ ับของการเรยี นรู้และเพ่ิมพูนทักษะทางดา้ นระบาดวิทยาคือการเรยี นรหู้ ลกั การสำคัญ เบ้ืองต้นก่อน ไม่จำเป็นต้องเรียนรายละเอียดทั้งหมด แล้วลงมือปฎิบัติประยุกต์ใช้หลักหรือวิธีการ ต่างๆ และย้อนกลับมา ค้นคว้าหาความรู้เพ่ิมเติมที่ยังขาดหรือไม่เข้าใจจากผู้รู้ เอกสารตำรา Websites ต่างๆ ย่ิงทำมากก็จะยิ่งรู้มากข้ึนลึกซ้ึงและเจนจัด หนังสือเล่มน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เป็นส่วน หนงึ่ ของการใหร้ ้หู ลักการและความรเู้ บ้อื งตน้ เพอื่ ใหล้ งมือปฏิบัติและตดิ ตามหาความรูเ้ พิม่ เตมิ ต่อไป สรุประบาดวิทยาเป็นศาสตร์ทางด้านการค้นหาความจริงที่เก่ียวข้องกับการเกิดโรคหรือภัยที่ เกดิ ขึ้นกบั มวลมนษุ ยเ์ พ่ือนำไปสู่การปอ้ งกนั และแก้ไขโดยเฉพาะทตี่ ้นตอสาเหตุ นอกจากเป็นเร่ืองสำคัญ ทขี่ าดไม่ได้ในการดำเนินงานสาธารณสุขแล้ว ระบาดวิทยายังไม่ใชเ่ ร่ืองยุ่งยากแต่เป็นเร่ืองเหตุเรื่องผล เร่ืองสามัญสำนึกที่อาศัยข้อมูลท่ีผา่ นการวิเคราะห์ตรวจสอบมาเป็นส่ิงสนับสนุนข้อสรุปของเรา หลาย คนเข้าใจผิดว่าระบาดวทิ ยากับสถิตเิ ปน็ เรื่องเดียวกัน แท้จริงแล้วสถิติเป็นเพยี งเครอื่ งมือหน่ึงที่จะช่วย ให้นักระบาดวิทยารู้ว่าสิ่งท่ีสังเกตเห็นนั้นเป็นเร่ืองท่ีเกิดโดยบังเอิญหรือไม่ เราไม่จำเป็นต้อ งเป็น ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นการวิเคราะหท์ ดสอบทางสถิติเน่ืองจากมี program computer จำนวนมากท่ีทำหน้าที่ แทนได้ แตย่ ังไม่มีสงิ่ ใดมาแทนการออกสอบสวนหาข้อเท็จจริงและใช้วจิ ารณญาณทางระบาดวิทยาได้ นอกจากเป็นเร่ืองของการใช้เหตุผลแล้ว คนทำงานทางด้านระบาดวิทยาย่อมทราบดีว่าระบาดวิทยา เป็นศาสตร์ท่ีมีความสนุกเพราะได้เห็นข้อเท็จจริงต่างๆด้วยตนเอง สามารถทำให้ปะติดปะต่อเร่ืองราว ของการเกิดโรคภัยตั้งแต่ต้น สุดท้ายระบาดวิทยาไมใ่ ชเ่ ร่ืองศาสตร์อย่างเดียวแต่เป็นเรื่องศิลป์ ยิ่งฝึกฝน มากย่ิงมีความเชี่ยวชาญมาก ยิ่งประยุกต์ในเร่ืองต่างๆได้มากขึ้น และยังมีเครือข่ายให้ได้แลกเปลี่ยน เรียนรแู้ ละสร้างความสัมพันธท์ ีด่ ตี ่อกันทงั้ ในประเทศและทัว่ โลก พระราชบัญญัตโิ รคติดตอ่ 2558 สรุปสาระสำคัญของพระราชบัญญัติ 1. กำหนดใหย้ กเลิกพระราชบญั ญตั โิ รคตดิ ต่อ พ.ศ. 2523 2. กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัตนิ ้มี ีผลใชบ้ งั คับเมอื่ พ้นกำหนดหน่ึงร้อยแปดสบิ วันนบั แตว่ นั ท่ี ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป 3. กำหนดให้มคี ำนยิ ามคำว่า “โรคตดิ ตอ่ ” “โรคติดตอ่ อนั ตราย” “โรคติดตอ่ ท่ีต้องเฝ้าระวงั ” “โรคระบาด” เป็นตน้
31 4. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเก่ียวกับการประกาศชื่อ อาการสำคัญของโรคติดต่อ โรคตดิ ต่ออนั ตราย โรคตดิ ต่อทต่ี ้องเฝ้าระวัง และโรคระบาด 5. กำหนดให้มีคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงมีอธิบดีกรม ควบคมุ โรค เปน็ กรรมการและเลขานุการ โดยใหค้ ณะกรรมการมีอำนาจหนา้ ทต่ี ามท่กี ำหนด 6. ให้กรมควบคมุ โรคทำหน้าที่เปน็ สำนักงานเลขานกุ ารของคณะกรรมการนโยบายโรคติดต่อ แห่งชาติ คณะกรรมการด้านวิชาการ และคณะอนุกรรมการ โดยให้รับผิดชอบงานธุรการ และเป็น หน่วยงานกลางในการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดต่อของประเทศ โดยให้มีอำนาจหน้าท่ีตามท่ี กำหนด 7. กำหนดใหค้ ณะกรรมการโรคตดิ ต่อจงั หวดั คณะกรรมการโรคตดิ ต่อกรุงเทพมหานคร ซึง่ มี องคป์ ระกอบตามทกี่ ำหนด โดยให้คณะกรรมการมอี ำนาจหน้าทต่ี ามทกี่ ำหนด 8. กำหนดหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเงือ่ นไขการเฝ้าระวัง การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคติดตอ่ 9. กำหนดให้มีเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ โดยให้มีอำนาจหน้าท่ีตามท่ีกำหนด และให้ เจ้าพนกั งานควบคุมโรคตดิ ตอ่ เปน็ เจ้าพนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญาดว้ ย 10. กำหนดให้มีการจ่ายค่าทดแทนกรณีการดำเนินการของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตามพระราชบัญญัติน้ีท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้หนึ่งผู้ใด (ท่ีประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโ์ อชา (นายกรัฐมนตร)ี วันท่ี 10 มนี าคม 2558) ในพระราชบญั ญตั ิ โรคตดิ ตอ่ (2558) ไดม้ มี าตราตรากฎหมายมปี ระเดน็ ท่ีสำคัญ ดงั นี้ มาตรา 1 พระราชบญั ญัตนิ ีเ้ รยี กว่า “พระราชบัญญตั ิโรคตดิ ต่อ พ.ศ. 2558” มาตรา 2 พระราชบญั ญตั ิน้ีให้ใชบ้ งั คับเม่อื พน้ กําหนดหนงึ่ รอ้ ยแปดสบิ วันนับแตว่ นั ประกาศ ในราชกจิ จานุเบกษาเป็นตน้ ไป มาตรา 3 ให้ยกเลกิ พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 มาตรา 4 ในพระราชบญั ญตั นิ ี้
32 โรคติดต่อ หมายความว่า โรคที่เกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเช้ือโรคซ่ึงสามารถแพร่โดย ทางตรงหรือทางออ้ มมาสู่คน โรคตดิ ตอ่ อันตราย หมายความว่า โรคติดตอ่ ที่มคี วามรนุ แรงสงู และสามารถแพรไ่ ปสผู่ ู้อ่นื ได้ อยา่ งรวดเรว็ โรคติดตอ่ ที่ตอ้ งเฝา้ ระวงั หมายความว่า โรคตดิ ตอ่ ทต่ี ้องมกี ารติดตาม ตรวจสอบ หรอื จัดเกบ็ ขอ้ มลู อย่างต่อเนื่อง โรคระบาด หมายความว่า โรคตดิ ตอ่ หรือโรคทย่ี ังไม่ทราบสาเหตขุ องการเกดิ โรคแน่ชัด ซึ่งอาจแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หรือมีภาวะของการเกิดโรคมากผิดปกติกว่าท่ีเคย เป็นมา พาหะ หมายความว่า คนหรอื สัตวซ์ ึ่งไม่มอี าการของโรคติดตอ่ ปรากฎแต่รา่ งกายมีเชือ้ โรคนน้ั ซึ่งอาจติดต่อถงึ ผู้อนื่ ได้ ผสู้ มั ผสั โรค หมายความวา่ คนซึง่ ได้เขา้ ใกลช้ ดิ คน สัตว์ หรือสง่ิ ของติดโรค จนเชื้อโรคนั้น อาจติดตอ่ ถงึ ผู้น้นั ได้ ระยะติดต่อของโรค หมายความว่า ระยะเวลาท่ีเช้ือโรคสามารถแพร่จากคนหรอื สัตว์ทม่ี ีเช้ือ โรคไปยังผอู้ ่ืนได้โดยทางตรงหรือทางออ้ ม แยกกัก หมายความวา่ การแยกผู้สัมผัสโรคหรอื พาหะไวต้ า่ งหากจากผอู้ นื่ ในทีเ่ อกเทศ เพื่อป้องกันมใิ หเ้ ชอื้ โรคแพร่โดยทางตรงหรือทางออ้ มไปยังผ้ซู งึ่ อาจได้รับเชอื้ โรคนั้น ๆ ได้ จนกว่าจะพ้น ระยะติดต่อของโรค กักกัน หมายความว่า การควบคมุ ผสู้ มั ผสั โรคหรือพาหะให้อยู่ในที่เอกเทศ เพ่อื ป้องกัน มิใหเ้ ชอ้ื โรคแพรโ่ ดยทางตรงหรอื ทางอ้อมไปยังผูซ้ ึง่ อาจไดร้ ับเชื้อโรคนั้น ๆ ได้ จนกว่าจะพน้ ระยะฟักตัว ของโรคหรอื จนกวา่ จะพน้ ความเป็นพาหะ คมุ ไวส้ ังเกต หมายความวา่ การควบคุมดแู ลผู้สัมผสั โรคหรอื พาหะโดยไมก่ ักกัน และอาจจะ อนุญาตให้ผ่านไปในท่ีใด ๆ ก็ได้ โดยมีเงือ่ นไขวา่ เมอื่ ไปถึงท้องที่ใดทกี่ ําหนดไว้ ผู้นนั้ ต้องแสดงตวั ต่อ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจําท้องที่นั้นเพื่อรับการตรวจในทางแพทย์ เพื่อป้องกันมิให้เช้ือโรค แพรโ่ ดยทางตรงหรือทางออ้ มไปยังผ้ซู ่งึ อาจได้รับเชื้อโรคนั้น ๆ ได้
33 ระยะฟักตวั ของโรค หมายความว่า ระยะเวลาต้งั แต่เชือ้ โรคเข้าสูร่ ่างกายจนถงึ เวลาทผี่ ู้ตดิ โรค แสดงอาการปว่ ยของโรคนนั้ เขตตดิ โรค หมายความวา่ ทอ้ งทีห่ รอื เมืองทา่ ใดนอกราชอาณาจกั รทีม่ ีโรคตดิ ตอ่ อันตราย หรอื โรคระบาดเกิดขึน้ การสอบสวนโรค หมายความว่า กระบวนการเพ่ือหาสาเหตุ แหล่งท่ีเกิดและแหล่งแพร่ของ โรคเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค การเฝ้าระวงั หมายความวา่ การสงั เกต การเก็บรวบรวม และการวเิ คราะหข์ ้อมูล ตลอดจน การรายงาน และการติดตามผลของการแพร่ของโรคอย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนการที่เป็นระบบ เพ่ือ ประโยชน์ในการควบคมุ โรค พาหนะ หมายความวา่ ยานพาหนะ สัตว์ หรอื วตั ถุ ซงึ่ ใช้ในการขนส่งคน สตั ว์ หรอื ส่ิงของ โดยทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ เจา้ ของพาหนะ หมายความรวมถึง ตวั แทนเจ้าของ ผูเ้ ช่า ตัวแทนผ้เู ช่า หรือผู้ครอบครอง พาหนะนั้น (หนา้ 28 เลม่ 132 ตอนที่ 86) ผู้ควบคุมพาหนะ หมายความวา่ ผ้รู บั ผดิ ชอบในการควบคมุ พาหนะ ผูเ้ ดนิ ทาง หมายความว่า คนซง่ึ เดนิ ทางเข้ามาในราชอาณาจักร และให้หมายความรวมถึง ผู้ควบคุมพาหนะและคนประจาํ พาหนะ การสรา้ งเสรมิ ภูมิคุม้ กันโรค หมายความว่า การกระทาํ ทางการแพทย์ต่อคน หรอื สตั ว์ โดยวิธีการใดๆ เพ่ือใหค้ นหรือสตั ว์เกดิ ความต้านทานโรค ที่เอกเทศ หมายความวา่ ท่ีใดๆ ซึ่งเจา้ พนักงานควบคุมโรคตดิ ต่อกาํ หนดให้เปน็ ท่สี ําหรบั แยก กักหรือกักกันคนหรือสัตว์ท่ีเป็นหรือมีเหตุสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อใดๆ เพ่ือป้องกันมิให้โรคน้ันแพร่โดย ทางตรงหรือทางอ้อมไปยังผ้ซู ง่ึ อาจไดร้ ับเชื้อโรคนัน้ ๆ ได้ สุขาภบิ าล หมายความวา่ การควบคุม ป้องกัน หรือรักษาสภาพส่งิ แวดลอ้ มและปจั จยั ท่มี ผี ล ต่อการเกิดหรอื การแพรข่ องโรคติดต่อ ช่องทางเข้าออก หมายความว่า ช่องทางหรือสถานที่ใดๆ ที่ใช้สําหรับผ่านเข้าออกระหว่าง ประเทศของผ้เู ดินทาง พาหนะ และสิง่ ของต่างๆ ท้ังน้ี ให้หมายความรวมถึงพืน้ ท่หี รือบรเิ วณที่จดั ไวเ้ พื่อ
34 ใหบ้ ริการดงั กล่าว คณะกรรมการ หมายความว่า คณะกรรมการโรคตดิ ต่อแห่งชาติ คณะกรรมการโรคติดตอ่ จงั หวดั หมายความวา่ คณะกรรมการปอ้ งกันและควบคุมโรคตดิ ตอ่ ประจาํ จงั หวัด คณะกรรมการโรคตดิ ต่อกรงุ เทพมหานคร หมายความวา่ คณะกรรมการป้องกนั และควบคมุ โรคตดิ ต่อประจาํ กรุงเทพมหานคร หนว่ ยงานของรัฐ หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภมู ภิ าค ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ รฐั วิสาหกิจ องค์การมหาชน และหนว่ ยงานอืน่ ของรฐั เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งต้ังให้ปฏิบัติการตาม พระราชบัญญตั นิ ้ี อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมควบคุมโรค รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการ ตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ มาตรา 5 ให้รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญตั นิ ้ี และใหม้ ี อํานาจแตง่ ตัง้ เจา้ พนกั งานควบคมุ โรคตดิ ต่อ ออกกฎกระทรวงกาํ หนดกิจการอ่ืน ตลอดจนออกระเบยี บ หรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศนั้น เม่ือได้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใชบ้ ังคับได้ในการการเฝา้ ระวงั โรคติดต่อตาม มาตรา 31 ในกรณที ่ีมีโรคตดิ ตอ่ อนั ตราย โรคตดิ ต่อท่ีต้องเฝ้าระวัง หรอื โรคระบาดเกดิ ขึน้ ให้บุคคลดงั ต่อไปนีแ้ จ้งต่อเจ้าพนกั งานควบคมุ โรคตดิ ต่อ มาตรา 32 เม่อื เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อได้รบั แจง้ ตามมาตรา 31 วา่ มเี หตสุ งสัย มขี ้อมลู หรือหลักฐานว่ามีโรคติดต่ออันตราย โรคติดต่อท่ีต้องเฝา้ ระวัง หรอื โรคระบาด ให้เจ้าพนักงานควบคุม โรคติดต่อแจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร แล้วแต่ กรณี และรายงานข้อมูลน้ันให้กรมควบคมุ โรคทราบโดยเรว็ มาตรา 33 ในกรณที ีม่ เี หตอุ ันควรสงสยั วา่ มีโรคตดิ ต่ออันตราย โรคตดิ ตอ่ ท่ีตอ้ งเฝ้าระวงั หรือโรคระบาดเกิดขน้ึ ในต่างประเทศ ให้กรมควบคุมโรคประสานงานไปยงั องค์การอนามัยโลกเพื่อขอ ข้อมูลเกย่ี วกบั โรคดงั กลา่ ว
35 สรุปพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติ บางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมีการแพร่กระจายของโรคติดต่อที่รุนแรงและ ก่อให้เกิดโรคระบาดมากผิดปกติกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งโรคติดต่อท่ีอุบัติใหม่และโรคติดต่อที่อุบัติซ้อน ประกอบกับประเทศไทยได้ใหก้ ารรับรองและดําเนินการตามข้อกําหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2548 ในการน้ี จึงต้องพัฒนาและปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายท่ีเก่ียวกับการเฝ้าระวัง การ ป้องกันและการควบคุมโรคติดต่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและข้อกําหนดของกฎอนามัย ระหว่างประเทศจึงจาํ เป็นต้องตราพระราชบัญญัติ กฎหมายระหวา่ งประเทศในการปอ้ งกนั โรค ความตกลงระหว่างประเทศ หมายถึง เอกสารหรือตราสารท่ีตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปทำข้อตกลง ร่วมกันในเรื่องใดเรือ่ งหน่ึงว่า แต่ละฝ่ายจะปฏิบัติอย่างหน่ึงอย่างใดระหว่างกัน โดยอาจจัดทำระหว่าง รัฐกับรัฐ หรือระหว่างรฐั กับองค์การระหว่างประเทศ หรอื ระหว่างองค์การระหว่างประเทศกบั องคก์ าร ระหวา่ งประเทศ หรอื ระหว่างหน่วยงานภายในประเทศกบั หน่วยงานต่างประเทศ ก็ได้ ความตกลงระหว่างประเทศท่ีจัดทำขึ้นระหว่างรัฐกับรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่าง ประเทศ หรอื ระหวา่ งองค์การระหวา่ งประเทศกับองค์การระหวา่ งประเทศ อาจมสี ถานะเป็นสนธิสญั ญา (treaty) ที่มีผลผูกพันภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศก็ได้ ขึ้นกับเจตนาของภาคี ทั้งนี้ “สนธิสัญญา (Treaty)” เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไป ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ใช้คำว่า “หนังสือสัญญา” ซ่ึงหมายถึงสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง สนธิสัญญาอาจใช้ชื่อ เรียกอื่นได้หลายช่ือ เช่น ความตกลง (Agreement) พิธีสาร (Protocol) บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MoU) บันทึกความตกลง (Memorandum of Agreement) หนังสือแลกเปล่ียน (Exchange of Notes) ขอ้ ตกลง (Arrangement) เป็นตน้ กฎอนามยั ระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 (International Health Regulations 2005) ชื่อย่อ ว่า IHR เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศท่ีเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization) มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือป้องกันควบคุมโรคทีอ่ าจมีผลกระทบต่อการเดินทางและการค้าขาย ระหว่างประเทศ ซึ่งได้กำหนดภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) หมายถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขท่ี ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประเทศอื่นๆ จากการแพร่ระบาดระหว่างประเทศและต้องอาศัยความร่วมมือ จากนานาประเทศในการรบั มอื กับเหตุการณน์ ัน้ เหตุการณ์ท่ผี ่านมาอาทิ เชน่ โรคซารส์ ท่ีเริ่มเกิดขึน้ ทีฮ่ ่องกง ไข้หวดั ใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ท่ีระบาดทั่วโลก โรคไข้หวัดนก H5N1 ในคนท่ีระบาดในหลายประเทศการระบาดของเช้ือแบคทีเรียอี โคไลชนดิ รุนแรง (EHEC) สายพันธุ์ O104:H4 ที่เริ่มเกิดขนึ้ ท่ีเยอรมัน กรณีนมผงปนเป้ือนเมลามนี จาก จีน
36 ทีส่ ่งออกไปขายในหลายประเทศ การปนเป้อื นกัมมนั ตรังสีจากกรณีการระเบิดของโรงไฟฟา้ นิวเคลยี ร์ ฟูกูชิมะ ประเทศญ่ีปุ่น การระบาดของการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธ์ุใหม่ ที่เริ่มเกิดข้ึนที่ ซาอุดอิ าระเบยี โรคโปลโิ อ Wild type ท่ียงั คงระบาดอยูใ่ นหลายประเทศ เช่น บังคลาเทศ ซเี รีย ซูดาน เปน็ ต้น โดยมีการกำหนดภาวะอนั ตราย (Hazard) 5 เรือ่ ง คือ 1) โรคติดเช้ือ 2) โรคตดิ ต่อระหว่างสัตว์ และคน3) อาหารปลอดภยั 4) สารเคมี 5) กัมมนั ตรงั สีและนวิ เคลียร์ กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) เป็นข้อตกลง ระหว่างประเทศท่ีเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันควบคุมโรคท่ีอาจมีผลกระทบต่อการเดินทางและการค้าขายระหว่าง ประเทศกฎอนามยั ระหว่างประเทศฉบับแรกเร่มิ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2512 (1969) ซ่ึงประเทศสมาชิกองค์การ อนามัยโลกได้ถือปฏิบัติติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ. 2550 เน่ืองจากข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย อนามัยฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน และจากการท่ีมีบางประเทศใช้ ปัญหาโรคติดต่อระหว่างประเทศเป็นข้อกีดกันทางการค้า การปกปิดข้อมูล การใชม้ าตราการที่รุนแรง เกินจำเป็น เช่น การกักตัว การห้ามเข้าประเทศ การเลือกปฏิบัติ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล องค์การ อนามยั โลกจงึ ได้ร่วมกบั ประเทศสมาชิกจัดทำกฎอนามยั ระหวา่ งประเทศฉบับใหม่ขน้ึ มา เพอื่ ให้สามารถ ตรวจจับการระบาดของโรคหรือภัยคุกคามด้านสาธารณสุขวางมาตรการป้องกันควบคุมโรค และลด ผลกระทบต่อการเดินทางขนส่งระหว่างประเทศ โดยได้ผ่านการรับรองจากสมาชิกทุกประเทศ ในท่ี ประชุมสมชั ชาอนามัยโลกเม่อื เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 (2005) กฎอนามัยระหว่างประเทศฉบบั ใหม่ นี้ มีผลบังคับใช้ตง้ั แตว่ ันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เปน็ ต้นไป (กฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 International Health Regulations 2005: IHR) ภาพท่ี 6 แสดงภาพกฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 (ท่ีมา: http://203.157.15.110/ihr/TH/history.php) ตามกฎอนามัยระหว่างชาติ พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) สมาชิก และองค์การอนามัยโลก เดนิ หน้าพัฒนาสร้างความแขง็ แกร่ง และรักษาระดบั ในการตรวจจบั ความสารมาถ ในการประเมิน แจ้ง ความและได้กำหนด เก่ียวกับความถูกต้องของข้อมูล พร้อมท้ังข้อพึงปฏิบัติต่างๆ สำหรับประเทศ
37 สมาชิกและองค์การอนามัยโลก หากเกิดหรืออาจเกิดภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergencies of International Concern หรือ PHEIC) ขณะประเทศต่างๆ ต้อง พฒั นาสมรรถนะหลักของประเทศในการดำเนิน การเฝ้าระวังสถานการณ์ รวมทั้งพัฒนาสมรรถนะของ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ และจุดผ่านแดนทางบกต่างๆ เพ่ือเป็นการรักษาความปลอดภัยทางด้าน สาธารณสุขท้ังในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก ซ่ึงจะครอบคลุมการเฝ้าระวังและการแก้ไข ภาวะฉุกเฉินทั้งทางด้านโรคติดเช้ือ โรคท่ีเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี สารเคมี และอาหาร ท่ีเกิดข้ึน ใน ชุมชนทำให้เป็นอันตราย หรือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขในประเทศหรือระหว่างประเทศ โดยมี กำหนดไม่เกิน 5 ปี นับจากวนั ท่ีกฎอนามัยฉบับนี้มีผลบังคับใช้กฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2548 (2005) ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องแจ้งเหตุแก่องค์การอนามัยโลกภายใน 24 ชั่วโมง รีบ ดำเนินการควบคุม โรคหากพบโรคแม้เพียง 1 คนในประเทศน้ันๆ ได้แก่ ไขท้ รพิษ (Smallpox) โปลิโอ (Polio) ซาร์ส (Sars) และไข้หวัดใหญ่ในคนท่ีเกิดจากเช้ือไวรัสสายพันธ์ุใหม่ (Human influenza caused by a new subtype) สาระสำคัญของกฎอนามัยระหวา่ งประเทศ ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2512 (1969) ประเทศสมาชิกกับองค์การอนามัยโลก ร่วมกันกำหนดโรคที่ต้องควบคุมทำการรายงานไว้ 3 โรค ได้แก่ อหิวาตกโรค กาฬโรค และไข้เหลือง โดยได้กำหนดวิธีการรายงาน มาตรการควบคุมโรค การกักกัน การสุขาภิบาล การดำเนินการด้านการ เขา้ เมือง ศลุ กากร ขนส่งทางเรือ ทางอากาศ การดำเนินการของการท่าและด่านต่าง ๆ ประเทศไทยได้ นำขอ้ ตกลงดังกล่าวมากำหนดในพระราชบัญญตั ิควบคมุ โรคตดิ ตอ่ พ.ศ. 2558 และพระราชบญั ญัติการ สาธารณสขุ พ.ศ. 2548 ตลอดจนกฎระเบยี บของหน่วยงานทเี่ กยี่ วขอ้ ง องค์การอนามัยโลก ร่วมกับประเทศสมาชิกได้มีการทบทวนกฎอนามัยระหว่างประเทศใหม่ เน่ืองจากฉบับเดิมไม่เหมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจบุ ัน เพราะมีบางประเทศใชป้ ัญหาโรคตดิ ต่อระหว่าง ประเทศเป็นข้อกีดกันทางการค้า การปกปิดข้อมูล การใช้มาตรการท่ีรุนแรงเกินความจำเป็น โดยกฎ อนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจจับการระบาดของโรคและภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข ซึ่งกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่ได้รับการรับรองจากการประชุมสมัชชาองค์การ อนามัยโลก และมีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันท่ี 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 สาระสำคัญของกฎอนามัยระหว่าง ประเทศ ประกอบไปดว้ ย 1. วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการแพร่ของโรค และการควบคุมโรคที่อาจเกิดจากภัยสุขภาพ การเดินทางข้ามประเทศ (ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศหมายถึงนี้) โรคหรือภัยสุขภาพที่เกิดจาก ผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนต่อสุขภาพของมนุษย์และชีวภาพ (พืชสัตว์,แบคทีเรีย,สารเคมี,หรือรังสี) โดย ไม่ให้มผี ลกระทบตอ่ การขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ.(International traffic and trade) ซ่ึงต้อง ไมล่ ะเมดิ สิทธมิ นษุ ยชนและอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศ
38 2. ผู้ดำเนินการสมาชิกจะดำเนินการผ่านจุดประสานงานกฎอนามัยระดับชาติ ( National IHR Focal Point) ในประเทศไทยได้มีการมอบหมายให้สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวง สาธารณสขุ ทำหน้าท่เี ป็นจดุ ประสานงานกฎอนามยั ระดับชาติ 3. โรคและภัยสุขภาพท่เี ข้าเกณฑต์ ามแนวทางทีก่ ำหนด 3.1 โรคติดต่อที่ประเทศภาคีตอ้ งแจ้งต่อองค์การอนามัยโลก แมจ้ ะมีผปู้ ่วยเพียงรายเดียว ภายใน 24 ชั่วโมง และต้องรีบดำเนินการควบคุมป้องกันโรคทันทีท่ีทราบว่ามีการระบาด ได้แก่ โรค ฝีดาษ (Smallpox) โปลิโอ ซาร์ส และไข้หวัดใหญ่ (ในคน) ที่เป็นเชื้อไวรัสสายพันธ์ุใหม่ (Human influenza caused by a new subtype) 3.2 โรคที่ต้องแจง้ องค์การอนามัยโลก เม่ือมีความรุนแรงหรือเกิดการระบาดท่ีจะกระทบ ประเทศอ่ืน ได้แก่ อหิวาตกโรค (Cholera, Pneumonic plague, ไข้เหลือง (Yellow fever), Viral hemorrhagic fevers (Ebola, Lassa, Marburg), West Nile Fever และโรคอ่ืน ๆ ท่ีประชาคมโลก หว่ งกังวล เชน่ Dengue fever rift valley fever และ Meningococcal disease 4. รายงานผลหากเกิดการระบาดของโรค ระหว่างสมาชิกต้องรายงานองค์การอนามัยโลก ภายใน 24 ชั่วโมง และองค์การอนามัยโลกสามารถใชข้ ้อมูลการเกิดโรคจากแหล่งข้อมูลอนื่ ท่ีไม่ใช่ของ ประเทศนนั้ ตรวจสอบกบั ประเทศสมาชกิ เพื่อยืนยันด้วยประเทศสมาชิกตอ้ งจดั การควบคมุ ป้องกันโรค และองค์การอนามยั โลกจะส่งทมี ผูเ้ ชย่ี วชาญเขา้ ไปช่วยเหลือ เมอื่ มกี ารรอ้ งขอประเทศนัน้ ๆ 5. พัฒนาปรับปรงุ ระบบ มองการเฝา้ ระวังควบคุมโรค ด้วยสามารถตรวจจบั ประเมินรายงาน และควบคมุ โรคภัยสุขภาพ ต้ังแตร่ ะดบั หมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ พัฒนามาตรกการการป้องกันและ ควบคมุ โรค ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ โดยให้มีความพร้อมภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากรับรองกฎอนามัยระหวา่ งประเทศ 6. คณะทำงานจัดให้มีคณะผู้เช่ียวชาญ 2 คณะ คือ Review Committee มีหน้าท่ีทบทวน ร่างกฎอนามัยระหว่างประเทศ และ Emergency Committee มีหน้าที่พิจารณาภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุขและให้ข้อเสนอแนะตอ่ องค์การอนามยั โลก 7. ด้านมาตรฐานสาธารณสุขที่ด่านเข้าออกระหว่างประเทศ ให้มีการพัฒนามาตรฐานงาน ควบคมุ โรคตดิ ตอ่ ระหวา่ งประเทศ ณ ชอ่ งทางการเขา้ ออกระหว่างประเทศ (กรมควบคุมโรคสำนกั ระบาดวทิ ยา: http://203.157.15.110/ihr/TH/history.php) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เก่ียวข้อง รับการประเมินสมรรถนะ ของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (IHR 2005) โดยใช้
39 เครื่องมือ Joint External Evaluation (JEE) ผลการประเมินประเทศไทยผ่านสมรรถนะตาม ข้อกำหนด นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข (2517) กล่าวว่า จากทอี่ งคก์ ารอนามยั โลกส่งทีมประเมนิ สมรรถนะ ของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (IHR 2005) ใน ประเทศไทย ระหว่างวันท่ี 26–30 มถิ ุนายน 2560 โดยมี นพ.เดเนียน เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัย โลกประจำประเทศไทย นพ.นิรมอล แคนเดล หัวหน้าทีมประเมิน JEE และ IHR จากองค์การอนามัย โลกระดับภมู ิภาค อธบิ ดกี รมควบคุมโรค ส่วนประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย พญ.มยุรา กุสุมภ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานเปิดการประชุมเพ่ือรับการประเมิน พร้อมด้วย นพ. สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค, นพ.โสภณ เอี่ยมศริ ิถาวร ผู้อำนวยการศนู ย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข และ พญ.พจมาน ศิ รอิ ารยาภรณ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักระบาดวทิ ยา และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง รว่ ม การประชุมเพื่อรับการประเมินสมรรถนะของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกตาม Joint External Evaluation นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข (2517) กล่าวต่อว่า ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่าง ประเทศ พ.ศ.2548 มาตั้งแต่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันท่ี 15 มิถุนายน 2550 โดยกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงต่างๆ ที่เก่ียวข้อง ได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรมตามภารกิจ ความ รับผิดชอบ และอำนาจหน้าท่ีของแต่ละหน่วยงานภายใต้แผนพัฒนาด้านกฎอนามัยระหว่างประเทศ ปัจจุบันกำลงั ดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตรก์ ารพฒั นางานด้านกฎอนามัยระหวา่ งประเทศ สำหรบั ชว่ ง ปพี .ศ.2560–2564 ดงั นั้นประเทศไทยได้มีโครงการฝึกอบรมระบาดวิทยาภาคสนาม (FETP) ต้ังแต่ปี พ.ศ.2523 ซ่ึงผลิตนักระบาดวิทยาไปแล้วอย่างน้อย 300 คน ซ่ึงโครงการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนาม (FETP) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ.2548 (2005) เน่ืองจากนักระบาดวิทยาดังกล่าวเป็นตัวหลักในการดำเนินการตามกฎอนามัยระหว่างประเทศของ ประเทศไทย เป็นเครือข่ายของทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนท่ีเร็ว (SRRT) ในระดับพ้ืนท่ี และทำงาน ร่วมกบั องค์การอนามัยโลก ทำใหป้ ระเทศไทยมีสมรรถนะหลกั ตามกฎอนามยั ระหว่างประเทศทีอ่ งคก์ าร อนามยั โลกกำหนด ต้งั แตป่ ี 2557 นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข (2517) กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค มีการดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR 2005) ข้ึน โดยผู้ประเมินจากองค์การอนามัยโลก เพ่ือรับการประเมิน 19 สมรรถนะตาม Joint External Evaluation tools ในระหว่างวันท่ี 26–30 มิถุนายน 2560 นั้น ผลการประเมินสมรรถนะพบว่า
40 ประเทศไทยผ่านการประเมินสมรรถนะตามข้อกำหนด จากคะแนนเต็ม 5 ไทยมีสมรรถนะที่ยั่งยืน (ระดับคะแนน 5) 4 ตัวชี้วัด จากตัวช้ีวัดทั้งหมด 48 ตัวช้ีวัด มีสมรรถนะที่แสดงให้เห็นจริง (ระดับ คะแนน 4) 30 ตัวชว้ี ัด และมสี มรรถนะทพ่ี ฒั นา (ระดบั คะแนน 3) 12 ตัวช้วี ัด สรุปการพัฒ นาสมรรถนะหลักของประเทศตามกฎอนามัยระหว่างประเทศเป็น กระบวนการพัฒนาตามสถานการณ์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงต้องทำการประเมิน รักษาให้ ยั่งยืน และเสรมิ สร้างความเขม้ แข็งอย่างตอ่ เน่อื ง ซง่ึ ทางองค์การอนามยั โลกจะต่อยอดความสำเรจ็ ของ ไทยในเรื่องน้ีด้วยการสนับสนุนประเทศอ่ืนๆ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกของ อ งค์ ก าร อ น ามั ย โล ก ให้ มี ส ม ร ร ถ น ะ ห ลั ก ต าม ที่ ก ฎ อ น ามั ย ร ะ ห ว่ างป ระ เท ศ ก ำห น ด (กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . มปป.) ดังน้ันแต่ละภาวะอันตราย เหล่านี้ เป็นต้องพัฒนาสมรรถนะหลัก (Core Capacity) ของ ประเทศ ให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานตามข้อกําหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ เพ่ือ ป้องกันตลอดจนรองรับการตรวจจับการระบาดของโรคและภัยคุกคามด้านสาธารณสุขในทุกระดับ กำหนดมาตรการป้องกนั ควบคมุ โรค และลดผลกระทบต่อการเดนิ ทาง การขนสง่ ระหว่างประเทศ มีการ แจ้งโรคและแจง้ เตือนโรคติดต่ออื่นๆ ทีม่ ีโอกาสแพรร่ ะบาดข้ามประเทศ รวมท้ังโรคติดต่อระหว่างสัตว์ และคน ความปลอดภัยด้านอาหาร เหตุการณ์ฉุกเฉินท่ีเกิดจากสารเคมีและกัมมันตรงั สีและนิวเคลียร์ ทมี่ ีความเสี่ยง ของการแพรก่ ระจายข้ามประเทศได้ ในปี 2558 กรมควบคมุ โรค ได้นำเอาแนวคิด ของ Global Health Security ด้าน prevent detect response โดยกำหนดเป้าหมายกับกิจกรรม เพื่อ เรง่ รัดการพัฒนาสู่มาตรฐาน IHR 2005 ใน 12 เป้าหมายของจงั หวดั แตล่ ะเปา้ หมาย คอื เป้าหมายท่ี 1 Infectious disease เป้าหมายที่ 2 Zoonosis เป้าหมายท่ี 3 Food Safety เป้าหมายที่ 4 Chemical เป้าหมายท่ี 5 Radiological and nuclear เปา้ หมายท่ี 6 Hospital Infection Control เป้าหมายท่ี 7 การพฒั นาหอ้ ง /เครือข่ายหอ้ งปฏิบตั ิการ เป้าหมายที่ 8 Point of entry เปา้ หมายท่ี 9 Situation Awareness Team เปา้ หมายท่ี 10 SRRT เปา้ หมายที่ 11 EOC เป้าหมายที่ 12 การพฒั นานักระบาดวทิ ยาภาคสนาม
41 การเตรียมความพร้อมตามเป้าหมายท่ี 4 และ 5 (ด้านสารเคมี กัมมันตรังสีและนิวเคลียร์) ดังน้ันการเตรียมความพรอ้ มของประเทศท่ีเกิดจากสารเคมีกัมมันตรังสีและนิวเคลียร์เป็นหนึ่งในภาวะ อันตราย (Hazard) ท่ปี ระเทศไทย จำเปน็ ต้องพัฒนาสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามกฎอนามัยระหว่าง ประเทศ ใน 8 ด้าน คือ 1) ด้านกฎหมาย นโยบายระดับชาติ 2) ด้านการประสานงานและการสื่อสาร กบั จุดประสานงานกฎอนามัยฯ 3) ด้านการเฝา้ ระวัง4) ด้านการตอบโต้ 5) ด้านการเตรยี มความพร้อม 6) ดา้ นการสอ่ื สารความเสีย่ ง 7) ดา้ นการพัฒนาความสามารถของบุคลากร 8) ด้านหอ้ งปฏบิ ัติการ สรุปโรคจากการประกอบอาชีพและส่ิงแวดลอ้ ม กรมควบคุมโรคเป็นหนว่ ยงานประสานหลัก ในการประสานใหม้ ีการเตรียมความพร้อมตามข้อกำหนดของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ด้านสารเคมี กัมมันตรังสีและนิวเคลียร์ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั แหง่ ชาติตามระดับความรุนแรง ของสาธารณภัยและความรับผดิ ชอบของหน่วยงานท่ีเกย่ี วข้อง (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. มปป.) สำหรบั กฎหมายที่เกย่ี วข้องกบั การป้องกัน ควบคุม และเฝา้ ระวังโรคตดิ ตอ่ นนั้ มีจำนวนมากมาย ท้ังที่เป็นกฎหมายโดยตรงและโดยอ้อม เป็นกฎหมายระดับแม่บท และกฎหมายลำดับรอง ซ่ึงเป็น กฎหมายที่เก่ียวข้องกับการดำเนินงานด้านสาธารณสุข สามารถสรุปและจำแนกออกได้เปน็ 3 ประเภท คือ 1. เป็นกฎหมายท่ีรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการตาม พระราชบัญญัติ นัน้ เช่น พระราชบญั ญตั โิ รคติดตอ่ พ.ศ.2523 พระราชบัญญัติการสาธารณสขุ พ.ศ.2535 เป็นตน้ 2. เป็นกฎหมายท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการร่วมกับ รัฐมนตรีอื่น เช่น พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย ของบ้านเมือง พ.ศ.2535 พระราชบัญ ญั ติสุสาน และฌ าปน สถาน พ .ศ.2518 ซ่ึงรักษาการร่วมกับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย เปน็ ต้น 3. เป็นกฎหมายท่ีอยู่ในการรักษาการของรัฐมนตรีอื่นๆ โดยไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขร่วมรักษาการอยู่ด้วย แต่มีบทบัญญัติให้มีส่วนร่วมในการ ดูแลรักษาการสาธารณสุข ส่ิงแวดล้อมอยดู่ ้วย เช่น พระราชบัญญัติส่งเสริมและรกั ษา คุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ซึ่ง รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผรู้ ักษาการ เปน็ ต้น สรุปควรกำหนดใหม้ ีคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ เพื่อเป็นกลไกในการให้คำแนะนำ ควร ปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเร่ืองการแต่งตั้ง เจ้าพนักงานสาธารณสุขให้มีความชัดเจน ควรจะต้องมีการ สร้างความรู้ความเข้าใจ ในบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการสาธารณสุข ให้ กับเจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพ่ือให้การปฏิบัติหน้าท่ีเกิดประสิทธิผลสูงสุด นอกจากน้กี ระทรวงสาธารณสขุ ควรให้ความสำคญั ในการบรู ณาการ และประสานการบังคับใช้กฎหมาย โรคตดิ ตอ่ และกฎหมายการสาธารณสขุ ร่วมกนั
42 กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง แนวคดิ ระบาดวิทยา ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ๙๙ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ นักเรยี นสามารถอธบิ ายถงึ ความหมายแนวคดิ ระบาดวิทยา ไดอ้ ย่างถูกต้อง นกั เรียนสามารถอธบิ าย ความหมายพระราชบญั ญัตโิ รคตดิ ตอ่ 2558 การเปลีย่ นแปลงไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม นักเรียนสามารถอธบิ าย กฎหมายระหวา่ งประเทศในการปอ้ งกนั โรคได้อย่างถกู ตอ้ ง กิจกรรมการเรียนรู้ ใหน้ ักเรยี นทำกิจกรรม “แนวคดิ ระบาดวิทยา” โดยมีข้นั ตอนดงั ต่อไปนี้ 1. นกั เรียนแบง่ กล่มุ เปน็ 5 กลุม่ เท่ากัน 2. ผู้สอนอธบิ ายรายละเอยี ดของเน้ือหาและกิจกรรม คือ ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุม่ ชว่ ยกันระดม ความคดิ ในหวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปนี้ ก. ความหมาย แนวคิดระบาดวิทยา ข. ความหมาย พระราชบญั ญตั ิโรคตดิ ต่อ 2558 การเปล่ียนแปลงได้อยา่ งเหมาะสม ค. ความหมาย กฎหมายระหวา่ งประเทศในการป้องกันโรคไดอ้ ย่างถูกต้อง 3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถาม 4. ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ สง่ ตัวแทนออกมานำเสนอผลงานของตนเองโดยการอธิบายตาม หัวข้อท่ี ได้รบั โดยการหาความหมาย แนวคิดระบาดวิทยา พระราชบญั ญัติโรคตดิ ต่อ 2558 กฎหมาย ระหวา่ งประเทศในการป้องกันโรค เพอ่ื การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม พร้อมตอบขอ้ สงสัยจากเพอ่ื นๆ และผสู้ อน 5. ผู้สอนและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายสรปุ เน้ือหา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234