บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย ท่มี า : http://thailitsxedu.wordpress.com รวบรวมไวเ้ พอ่ื ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษาวรรณคดไี ทย นพดล นอ้ ยเหนอื่ ย (ผรู้ วบรวม) ๒๕๕๘.
สารบญั หน้า ขุนช้างขุนแผน ๑ พระมะเหลเถไถ ๑๐ ระเด่นลันได ๑๐ อณุ รุท ๑๑ พระสธุ นคาฉันท์ ๑๗ บทเห่กากี ๑๙ กาพยพ์ ระไชยสุรยิ า ๒๐ สังขท์ อง ๒๑ ไกรทอง ๒๑ โคบุตร ๒๒ ลกั ษณวงศ์ ๒๔ สิงหไกรภพ ๒๖ ลิลิตพระฤๅ ๒๙ สมทุ รโฆษคาฉันท์ ๓๒ พระอภัยมณี ๓๓ กากกี ลอนสภุ าพ ๔๔
สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ ลลิ ิตพระลอ ๔๗ จนั ทโครพ ๕๓ ลิลติ เพชรมงกฎุ ๕๔ อิเหนา ๕๖ โคลงทวาทศมาส ๖๔ รามเกยี รต์ิ ๖๕ บรรณานกุ รม
บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๑ บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย เร่อื ง ขนุ ช้างขนุ แผน เอนอิงพงิ ประทับลงกบั หมอน สะอื้นอ้อนออ่ นแอบลงแนบหนา้ กระเดอื กเสือกด้ินอย่ไู ปมา เกิดมหาเมฆมืดโพยมบน ฮอื ฮืออื้อเสียงพยพุ ัด กล้ิงกลดั เกลื่อนกลมุ้ ชอ้มุ ฝน เปน็ หา่ แรกแตกพยับโพยมบน ไมท่ านทนทว่ั กระท่งั ท้งั แดนไตร (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พลายแกว้ กับ นางพมิ พลิ าไลย) (ขุนช้าง – ขนุ แผน เลม่ ๑ , ๒๕๔๖, น. ๗๙) อัศจรรยล์ ัน่ เลอ่ื นในคงคา เภตราระลอกกระฉอกไหว ฟูมฝั่งกระทง่ั ฝาซา่ เซ็นไป ไหลเหลงิ ดาดฟ้าลงมารมิ ขุนช้างเพลดิ เพลินเจรญิ ใจ หยอกเยา้ เคล้าไปกระหยิม่ กรมิ่ ตั้งจติ คดิ เอาวา่ เจ้าพมิ นอนย้มิ อยใู่ นมุง้ จนรุ่งราง (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง ขุนช้าง กับ อีกริม) (ขนุ ช้าง – ขนุ แผน เลม่ ๑ , ๒๕๔๖, น. ๘๓) กาเริบราคเสยี วกระสนั ประหวนั่ จิต หวดุ หวิดว่นุ วายกายกระฉ่อน พระพายพดั ซัดคล่ืนในสาคร กระท้อนกระทบกระท่ังฝ่ังกระเทือน เรอื ไหหลาแลน่ ล่องเข้าคลองน้อย ฝนปรอยฟ้าลนั่ สนั่นเล่ือน ไตก้ ง๋ หลงบ่ายศรี ษะเชอื น เบือนเข้าติดต้นื แตกกบั ตอ (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พลายแก้ว กับ นางพมิ พลิ าไลย) (ขุนชา้ ง – ขุนแผน เล่ม๑ , ๒๕๔๖, น. ๑๑๐)
บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๒ คอ่ ยขยับจับเขยอื้ นแตน่ อ้ ยนอ้ ย ฝนปรอยฟา้ ล่ันสนนั่ เปรี้ยง ลมพัดซัดคล่นื สาเภาเอียง ค่อยหลีกเล่ียงแล่นเลียบตลิ่งมา พายหุ นกั ชกั ใบไดค้ ร่ึงรอก แต่เกลือกกลอกกลับกลง้ิ อยหู่ นกั หนา ทอดสมอรอท้ายเปน็ หลายครา เภตราหยดุ แล่นเป็นคราวคราว สมพาสพิมดจุ รมิ แมน่ า้ ตนื้ ไมม่ คี ลืน่ แตร่ ะลอกกระฉอกฉาว ปะสายทองดจุ ตอ้ งพายวุ ่าว พอออกอ่าวกพ็ อจมลม่ ลงไป (บทอศั จรรย์ระหว่าง พลายแกว้ กับ นางสายทอง) (ขนุ ช้าง – ขุนแผน เลม่ ๑ , ๒๕๔๖, น. ๑๑๕) เผยออกยกนางขน้ึ วางตัก กาเริบรักเชยชดิ สนทิ สนม ป่วนปน่ั กระสนั เสียวเกลียวกลม ก็เกดิ ลมพายใุ หญป่ ระลยั กลั ป์ พัดกระพือโผงผางจะล้างโลก พระสเุ มรุเอนโยกตลอดลน่ั สะเทอื นทอ้ งคงคาพนาวนั มดื อาทิตยม์ ดิ จันทร์จลาจล พฤกษาดอกงอกงามอยู่ตามฝั่ง กย็ ่อยยบั พับพังกระทงั่ ตน้ ฟา้ เปรีย้ งเสียงรอ้ งก้องคารน แตพ่ อฝนตกหลายพายฮุ ือ (บทอัศจรรย์ระหว่าง พลายแกว้ กับ นางพิมพิลาไลย) (ขนุ ชา้ ง – ขุนแผน เลม่ ๑ , ๒๕๔๖, น. ๑๒๖) ออ่ นนุ่มเนื้อหนังสนิทน่ิม จ้มิ ลม้ิ น่ารกั เป็นหนกั หนา เตา้ ตง้ั ดังดอกประทุมา เมื่อกลีบแย้มผกาเสาวคนธ์ คกึ คึกพายกุ ล้าเมฆาเกลือ่ น ลเี ลอื่ นฝนุ่ ฟงุ้ เป็นลมฝน ประเปรย้ี งเสียงซา่ ในสากล ไมท่ านทนไหลนองทั้งแดนไตร
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๓ (บทอัศจรรย์ระหว่าง พลายแก้ว กับ นางลาวทอง) (ขุนชา้ ง – ขุนแผน เล่ม๑ , ๒๕๔๖, น. ๑๘๒) ปล้าลม้ จมเตียงเสยี งตา้ เฮอื ก วนั ทองเสือกตาฝาตาป๋อหลอ อัศจรรยฟ์ ้าลัน่ ฝนตกปรอ เสียงจ้อไหลอาบซาบแผ่นดิน กงุ้ ปลาดใี จไล่ผดุ โผล่ แตล่ ้วนตวั โตโตเข้าเคลา้ หิน เทโพเทพาเทีย่ วหากนิ วา่ ยวารินชาแรกแทรกถงึ พน้ื (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง ขนุ ช้าง กับ นางวนั ทอง) (ขุนช้าง – ขนุ แผน เล่ม๑ , ๒๕๔๖, น. ๒๓๗) พระพายชายพดั บุปผาชาติ เกสรสาดหอมกลบตรลบห้อง ริ้วรวิ้ ปลิวชายสไบกรอง พระจันทร์ผันผยองอยยู่ บั ยบั พระอาทิตย์ชิงดวงพระจนั ทรเ์ ดน่ ดาวกระเดน็ ใกลเ้ ดอื นดาราดับ หิง่ หอ้ ยพร้อยไมไ้ หวระยบั แมลงทบั ทอ่ งเท่ยี วสะเทอื นดง (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง ขุนแผน กบั นางแกว้ กิรยิ า) (ขนุ ชา้ ง – ขุนแผน เลม่ ๒ , ๒๕๔๖, น. ๓๗) ว่าพลางเกยี่ วกอดสอดกระสัน ฟา้ ลัน่ เกดิ ฝนหลน่ เปรียะปรบิ ตอ้ งใบไทรยอ้ ยหยอยหยอยหยบิ แซกซบิ ซมึ ช่มุ ชอ่มุ ใบ พระพายชายพดั สะบดั โบก ต้นโยกก่งิ กา้ นสะทา้ นไหว ทงั้ สองคลึงเคล้าเย้ายวนใจ สาราญรนื่ ร่มไทรในพนา (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง ขุนแผน กบั นางวนั ทอง)
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๔ (ขนุ ชา้ ง – ขุนแผน เล่ม๒ , ๒๕๔๖, น. ๖๓) ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมยร์ ัก ไมป่ ระจักษเ์ สนห่ ามาแต่ก่อน กาเรบิ รกั เหลือทนทุรนร้อน พอรว่ มหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์ เหมอื นเกิดพายุกลา้ มาเปน็ คล่นื ครืนครืนฟา้ รอ้ งกอ้ งสนั่น พอฟ้าแลบแปลบเปรย้ี งลงทนั ควนั สะเทือนลั่นดนิ ฟ้าจลาจล นทีตฟี องนองฝงั่ ฝา ทอ้ งฟา้ โปรยปรายด้วยสายฝน โลกธาตหุ วาดไหวในกมล ทั้งสองคนรสรกั ประจักษใ์ จ (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง พลายงาม กบั นางศรมี าลา) (ขุนช้าง – ขุนแผน เลม่ ๓ , ๒๕๔๖, น. ๕๒ ) เกดิ โกลาฟ้าล่นั สนนั่ เสยี ง เปรี้ยงเปร้ยี งอสนคี ะนองสาย พิรุณโรยโปรยสาดกระเซ็นปราย พระพายพดั พา่ งเพยี งพภิ พพงั ล่นั พลิ ึกครึกคร้ืนคล่ืนระลอก แฉะกระฉอกฟองเฟอะขน้ึ ฟมู ฝ่ัง ตล่ิงกระทบกลบกระแทกกระเทอื นดงั พอฝนถ่ังลมก็ถอยผอยนทิ รา (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระไวย กับ นางศรีมาลา) (ขุนช้าง – ขุนแผน เล่ม๓ , ๒๕๔๖, น. ๑๙๑ ) พลิกผลักชักชวนให้ชื่นชิด เบอื นบดิ แบ่งรกั หารว่ มไม่ สยดสยองพองเสยี วแสบงใจ พระพายพดั มาลัยตรลบลอย แมลงภเู่ ฝ้าเคล้าไมใ้ นป่าชัฎ ไม่เบิกบานก้านกลดั เกสรสรอ้ ย บนั ดาลคงคาทพิ ย์กะปริบกะปรอย พรมพร้อยท้องฟ้านภาลัย
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๕ อสนีคร้ืนครั่นสนน่ั ก้อง นา้ ฟ้าหาตอ้ งดอกไม้ไม่ กระเซ็นรอบขอบสระสมุทไท หววิ ใจแล้วกห็ ลับกับเตยี งนอน (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง ขนุ แผน กบั นางวนั ทอง) (ขนุ ชา้ ง – ขุนแผน เลม่ ๓ , ๒๕๔๖, น. ๒๒๖ ) ประคองเคล้นเต้าเต่งเคร่งกาดดั พึ่งรุ่นคัดเปน็ ไตให้ไฝฝ่ ัน นางพลิกแพลงแว้งวัดค่อยปดั กนั อย่าบีบค้ันเจ็บนกั หมอ่ มจะตรอม เจ้าพลายน้อยคอ่ ยว่าเป็นยาทพิ ย์ แลว้ ค่อยหยบิ แย้มผา้ อา้ ขยาย กรกระหวดั รัดรงึ อย่ตู ึงกาย นางโฉมฉายหลบั ตาม่พาที อัศจรรยห์ ว่ันไหวให้ลือลนั่ เหมอื นชา้ งคนั งาแรงแทงคนข่ี เลือดไหลออกงาก็ล้มสิน้ สมประดี ทงั้ สองศรสี ุขเกษมค่อยเปรมใจ ดว้ ยหนมุ่ สาวคราวกาดัดซดั จนรุ่ง พอพวยพงุ่ แดดเขง็ ข้นึ แสงไข เจ้าพลายยงเยือ้ งย่างเข้าห้องใน มาสนทนาปราศรัยกับมารดา (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พลายยง กับ นางเวสวิ ) (เสภาเรอื่ งขนุ ช้างขนุ แผนภาคปลาย, ๒๕๑๐, น. ๙๖ ) อัศจรรยห์ ว่ันไหวท้ังโลกา ดินฟ้าเลอ่ื นลั่นสนนั่ ดงั เรื่อกลไฟมาในมหาสมุทร อตุ ลุดท้งั กัปตันท่านฝร่งั คลื่นระดมลมตงึ เสียงปึงปงั แขกฝรงั่ ในกาปัน่ ก็หวัน่ ใจ สองสาราญดัง่ ไดผ้ ่านพมิ านมขุ กาจดั ทุกข์โรคร้อนค่อยผอ่ นได้ สมสอู่ ยู่คูหาพนาลัย กนิ แตผ่ ลไม้ทกุ เวลา (บทอัศจรรย์ระหว่าง พลายสรุ ิยนั กับ นางบวั ทอง)
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๖ (เสภาเรือ่ งขนุ ช้างขนุ แผนภาคปลาย, ๒๕๑๐, น. ๒๓๙ ) ปลอบประโลมโฉมงามดว้ ยความรกั งามพักตรท์ าแสนงอนแล้วคอ้ นให้ เจา้ พลายเขา้ ประคองเลยี มลองใจ นางทรามวัยผ่อนตามความสบาย เหมือนจกั รยนต์เรืออุบลบรู พทศิ เมอ่ื ไฟตดิ หวั หนั ออกผันผาย เสียงครึกครน้ื คลน่ื ซัดกระจัดกระจาย พวกไพร่นายหกลม้ ลงจมเรอื เมขลาล่อแกว้ แสงแพรวพรรณ สลาตนั พดั ใหญ่ทัง้ ใต้เหนือ น้าเข้าเรือเอียงเสียงเครือ อนิ ทเนยี รอ้ นเหลอื เหง่อื โซมไป (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง พลายสุรยิ นั กบั นางตะเคยี นทอง) (เสภาเรือ่ งขนุ ชา้ งขนุ แผนภาคปลาย, ๒๕๑๐, น. ๓๔๒ ) ปลา้ ลม้ จมเตียงเสยี งต้าเฮอื ก วันทองเสือกตาฝาตาปอ๋ หลอ อศั จรรยฟ์ ้าลัน่ ฝนตกปรอ เสียงซู่ซ่อไหลอาบท้งั แผน่ ดิน กุ่งปลาดีใจไล่ผุดโผล่ แตล่ ว้ นโตๆเขา้ เคล้าหิน เทโพเทพาเท่ียวหากนิ หวั เกล้ียงเงีย่ งบิ่นอย่ตู ามเฟอื ย ปลาไหลไขรูอยู่ไม่ได้ ขึ้นนา้ ออกไปดูเล้ือยเจอื้ ย ไก่กอ้ ยพลอยแทงกันจมเดือย คนค่อยพลอยเปลอื ยเมอ่ื กลางคนื (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง ขนุ ช้าง กบั นางวนั ทอง) (ขุนชา้ งขนุ แผนฉบับวัดเกาะ ๒๕๕๖, น. ๒๐๒ ) อัศจรรย์ลนั่ เล่อื นสะเทอื นหลา้ นา้ ฟา้ หยดยอ้ ยอยู่ปรอยปริบ ตอ้ งใบไทรยอ้ ยลอยละลิบ หยดั หยดั หยิบหยิบยะเย็นใจ
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๗ ไม้ที่งอกงามอยู่ตามฝั่ง กย็ ่อยยบั พบั พังไม่ตงั้ ได้ นาคราชพน่ พศิ มส์ ิ้นฤทธไ์ิ ป ขุนแผนกพ็ บั หลบั ใหลไมล่ มื ตา (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง ขนุ แผน กับ นางวันทอง) (ขุนช้างขุนแผนฉบบั วดั เกาะ ๒๕๕๖, น. ๒๖๗ ) ว่าพลางอิงแอบแนบนวล เชยชวนชืน่ ชดิ พสิ มยั เปนพยบั อับอน้ั คร่ันครน้ื ไป รามสรู ยเ์ ลยี้ วไลใ่ นเมฆา เมฆขลาล่อแก้วอยู่แววเวียง เปร้ยี งเปรย้ี งเสยี งสน่ันล่ันเวลา ชมเนตรเกาแก้มกลั ยา สองราศุขเกษมเปรมใจ (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง พลายงาม กับ นางศรมี าลา) (ขุนช้างขนุ แผนฉบับวดั เกาะ ๒๕๕๖, น. ๔๑๖ ) เกดิ พยบั พยหุ ์พัดอัศจรรย์ สลาตันเปน็ ระลอกกระฉอกฉาน ทะเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ กระทบดานกระแทกดังกาลงั แรง สาเภาจนี เจียนจมด้วยลมซัด สลุบลัดเลยี บบังเขา้ ฝ่งั แฝง ไหหลาแลน่ ตดั แหลมแคมตะแคง ตลบตะแลงเลาะเลียมมาตามเลา ถึงปากนา้ แลน่ สง่ เข้าตรงรอ่ ง ใหข้ ดั ข้องแข็งขนื ไมใ่ ครเ่ ข้า ดว้ ยร่องนอ้ ยนา้ คับอับสาเภา ขึ้นตดิ ต้ังหลงั เต่าอยู่โตงเตง พอกาลังลมจดั พัดกระโชก กระแทกโคกกระท้อนโขดเรอื โดดเหยง เข้าคร่งึ ลาหายแคลงไม่โคลงเคลง จ้นุ จเู๊ กรงเรอื หักคอ่ ยยักยา้ ย ดว้ ยคลองน้อยเรอื ถนดั จงึ ขัดขึง เขา้ ตดิ ตรงึ ครึง่ ลาระสา่ ระสาย พอชกั ใจขนึ้ กบรอกลมตอกท้าย กม็ ดิ หายเขา้ ไปทั้งลาพอนา้ มา
บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย ๘ พอฝนลงลมถอยเรือลอยลา ก็ตามน้าแล่นล่องออกจากท่า ท้ังสองเสร็จสมชมช่นื ดงั จนิ ดา กแ็ นบหน้าผาศุกมาทุกวัน (บทอัศจรรย์ระหว่าง ขุนแผน กบั นางบวั คล่ี) (หนุม่ อักษรนอนตื่นสาย, ขนุ ช้างขนุ แผน สานวนครแู จง้ [ออนไลน]์ ) เจา้ สรอ้ ยฟา้ แวง้ วดั อย่อู ดั อึด พระไวยยดึ บีบตอ้ งของสงวน นางสลัดปดั คอ้ นงอนกระบวน ป่วนตอ่ ปว่ นปนปะประทะกนั ถอยขยดถดขยับทบั ขยี้ ขยิกขยบิ แยะขยบั เขยอ้ื นหัน สะดงุ้ ดิน้ กาดัดเดาะกระเดือกดัน ดเู ชงิ ชัน้ ตะละชาติเชือ้ อาชา ปากออ่ นพึง่ จะสอนใส่บงั เหียน ฉวัดเฉวียนคนขี่ไม่เคยขา ปล่อยใหญ่ไปสักครูด่ กู ิรยิ า ลงยกั นา้ ท่าเป็นทนี ้อย ย่อท้ายยา้ ยคอตะแคงข้าง กระทบแผงผางโผนโจนผลอ็ ย เฉาะเฉาะเดาะกะเดอื กกระโดดลอย พยศหยอยดูผยองทานองงาม ครัน้ รทู้ เี ข้าก็ดเี หมอื นมา้ ฝกึ เคยขาเข้ากค็ กึ ไม่เขด็ ขาม ไมต่ ้องชกั ดอยแต่ยักกระบวนตาม จนเหง่อื ซามโซมกีบแล้วแกอ้ าน (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง พระไวย กบั นางสร้อยฟา้ ) (ปรามนิ ทร์ เครือทอง, ขนุ ช้างขนุ แผน สานวนครแู จง้ [ออนไลน]์ ) พระพายชายชวยมารวยรนิ ฟุ้งกลิ่นบปุ ผชาติสะอาดกระจา่ ง ฉวิ ฉวิ ปลิวชายสไบนาง พระจนั ทรจ์ รแจม่ กระจ่างอยพู่ ราวพราย เรอ่ื เรืองเหลอื งใสอยู่ในเมฆ ดาวชว่ งเดอื นเอกรับเดอื นฉาย ดาวฤกษเ์ บกิ เมฆอย่คู ลบั คลา้ ย พระพายพัดยงิ่ เย็นเปน็ ลมลาง
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๙ (บทอศั จรรย์ระหว่าง ขนุ แผน กับ นางแกว้ กริ ิยา) (เทาชมพู,เสภาขนุ ช้างขุนแผนสานวนอ่ืนท่ไี ม่ใช่ฉบับหอพระสมุด [ออนไลน]์ ) วา่ พลางกอดกระหวัดรัดรึง เคล้าคลึงควา้ ไขวด่ ังใจหวงั เหมอื นนาคารึงรดั กระหวดั วัง อกทงั้ ทบั สอดมอื กอดกลม กาเมเรรวนป่นั ปว่ นจิต สองสนทิ แนมแนบเกษมสม ถ้อยทกี อดเกี่ยวเปน็ เกลยี วกลม ต่างภริ มย์ตา่ งชน่ื ด้วยแรกชม พระพายพาคนั ธรสมารวยรน่ื เหมือนชวนช่นื เชยชิดในเชิงสม ภุมเรศรอ่ นประเวศวงเวยี นชม ก็เชยฉมบุษบงประจงชวน ฟุ้งหอมกลอ่ มกลัว้ กับกล่ินแก้ม แกมกลีบเกสรตระหลบหวน ถนอมชมกอดชิดสนิทนวล อุน่ อุ่นเหมือนจะชวนให้หลงชม (บทอัศจรรยร์ ะหว่าง ขุนแผน กบั นางแก้วกิรยิ า) (เทาชมพ,ู เสภาขนุ ชา้ งขนุ แผนสานวนอ่นื ท่ีไม่ใชฉ่ บบั หอพระสมดุ [ออนไลน]์ )
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๑๐ บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดีไทย เรือ่ ง พระมะเหลเถไถ ว่าพลางทางถดมะหลดตดิ อยา่ อายเอยี งเบ่ยี งบดิ มะลิดเป๋ นางป้องปัดหัตถามะลาเท มะโลโตโปเปมะเลตุง สองภิรมยช์ มเชยมะเลยปม สาราญรมยร์ ่นื เริงมะเลิงตงุ๋ สพั ยอกหยอกเยา้ มะเลาชงุ สมสวาดม์ิ าดมุ่งมะลุงแชง (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระมะเหลเถไถ กบั นางตะแลงแกง) (รวมวรรณคดี ๕ เรอื่ ง,คุณสุวรรณ , ๒๕๑๖, น. ๒๓ ) บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดไี ทย เรือ่ ง ระเด่นลนั ได น้อยหรอื นมแตล่ ะข้างชา่ งครัดเครง่ ปล่ังเปล่งใจหายคล้ายกลว้ ยปิ้ง อุม้ ขนึ้ ใส่ตกั รกั จรงิ จรงิ อยา่ สะอง้ิ สะบัดตดั ไมตรี ยิง่ ดิ้นยิง่ กอดสอดสมั ผัส อยุ หนา่ อย่ากัดพระหตั ถ์พ่ี ปัดปอ้ งวอ่ งไวอย่ใู นที จนล้มกล้ิงอยูบ่ นทบี่ รรทมใน อศั จรรย์ลัน่ พลิ ึกกกึ กอ้ ง ฟ้ารอ้ งครนั่ คร้นื ดังปืนใหญ่ เกดิ พายุโยนยวบสวบสาบไป หลังคาพาไลแทบเปิดเปิง ฝนตกหา่ ใหญใ่ สซ่ ู่ซู่ ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจ่งิ คางคกขน้ึ กระโดดโลดลองเชงิ องึ่ อ่างเริงร่าร้องแลว้ พองคอ นกกระจอกออกจากวิมานมะพรา้ ว ตอ้ งฝนทนหนาวอยูง่ อนหงอ่ ขนคางหางปีกเปยี กจนมอซอ ฝนก็พอขาดเม็ดเสรจ็ บันดาล (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง ระเด่นลันได กับ นางประแดะ) (รวมวรรณคดี ๕ เรอ่ื ง,พระมหามนตรี (ทรัพย์) , ๒๕๑๖, น. ๒๓๓ )
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๑๑ บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย เร่ือง บทละครเรอ่ื งอุณรุท ว่าพลางเยา้ ยวนชวนชิด จุมพติ เชยโฉมประโลมขวญั เลียมลอดสอดควา้ พัลวนั แสนกระสันฤทัยดง่ั ไฟฟอน เชยเนตรเกศแกม้ แกมสวาท สมั ผัสพาดปทุมเกสร รื่นรสสดดวงอรชร ภมรมาศฟอนเคล้าคลึงผกา เรณูนวลหวนอบตลบฟุ้ง จรงุ สระทิพเทพดงึ ษา สนุ ีบาตฟาดสายในเมฆา เมขลาลอ่ แกว้ แพรวพราย โพยมพยับอับดวงสุรยิ ัน ฝนสวรรค์เซ็งแซก่ ระแสสาย ตอ้ งทพิ มาลีคลี่คลาย สองสาเรงิ จิตกายเปรมปรีดิ์ (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง ทา้ วกรงุ พาณ กับ นางสุจิตรา) (บทละครเร่อื งอณุ รุท, ๒๕๑๕, น. ๙๕ ) ขึ้นสถติ ยงั แทน่ ทพิ อาสน์ แลว้ กลา่ วพจนารถปราศรัย เชยแกม้ แนมโอษฐอ์ รไท ควา้ ไขวส่ ัพยอกไปมา กรลอดสอดเลี้ยวเกีย้ วกระหวัด สมั ผัสเย้ายวั่ เสน่หา องิ แอบแนบเนอื้ วนิดา วญิ ญาณด์ า่ วดิน้ แดยัน (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอนิ ทร์ กับ นางสุจิตรา) (บทละครเร่ืองอุณรุท, ๒๕๑๕, น. ๙๗) วา่ พลางจุมพติ วนิดา ลบู ไล้ไขว่ควา้ พลั วนั กรสอดกอดเกีย่ วเกลยี วกลม ร่วมรมยป์ ลม้ื เปรมเกษมสันต์
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๑๒ ค่อยประคองต้องดวงบษุ บนั เชยชมรบั ขวัญเยาวมาลย์ ภุมรินบินเคลา้ สบุ งกช เชยรสเสาวคนธห์ อมหวาน ฝนสวรรคค์ รนั่ ครื้นทั้งจกั รวาล สองสาราญในรสฤๅดี (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระอณุ รุท กับ นางศรสี ุดา) (บทละครเรอ่ื งอุณรุท, ๒๕๑๕, น. ๑๔๐) เม่ือนัน้ พระทรงโฉมประโลมเสนห่ า ถนอมลบู จมุ พติ พนิดา เลยี้ วลอดสอดควา้ พัลวัน กลั ยาหยบิ กรแลว้ คอ้ นคม พระทรงฤทธ์ชิ ืน่ ชมภิรมยข์ วัญ แสนสวาทด่าวด้นิ แดยัน เสียวกระสันรญั จวนปว่ นใจ เอนองค์ลงแอบแนบนอ้ ง สอดคล้องดว้ ยความพสิ มยั เชยแกม้ แนมโอษฐ์อรไท จรงุ ใจชน่ื รสสุคนธา ฟ้าลัน่ ครั่นครนื้ โพยมบน สุนบี าตฟาดสายในเวหา ฝนฝอยพรอยพรมลงมา ตอ้ งผกาโกเมศแบง่ บาน ภมรมาศผาดเคล้าเอาซาบ ละอองอาบกลนิ่ หวนหอมหวาน สองสมชมรสชื่นสาราญ ในสถานแทน่ ทพิ สถาวร (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พระอุณรุท กบั นางอุษา) (บทละครเรื่องอุณรุท, ๒๕๑๕, น. ๒๐๓) ตรัสพลางสอดเคลา้ เย้าหยอก สัพยอกปลืม้ เปรมเกษมศานต์ คอ่ ยประคองตอ้ งเต้าสุคนธ์ธาร บรรสานสมนอ้ งตระกองกาย เชยปรางเปรมปรางปราโมทย์ เชยโอษฐแ์ นบโอษฐ์โฉมฉาย
บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย ๑๓ จมุ พิตพศิ วาสไม่คลาดคลาย เก่ียวก่ายกรกระหวัดรดั องค์ สองพานมาพานพบกนั เกษมสันต์แสนสนทิ พศิ วง เชยช่นื รื่นรสบษุ บง สององค์สองสมภริ มยา (บทอัศจรรย์ระหว่าง พระอุณรุท กบั นางอุษา) (บทละครเร่อื งอุณรทุ , ๒๕๑๕, น. ๒๖๓) แสงเดือนจรสั ต้องส่องพกั ตร์ พระนชุ นาฏนงลกั ษณเ์ ฉลิมขวัญ นวลละอองผอ่ งพร้ิมพรายพรรณ กว่านวลจันทร์อันแจม่ โพยมบน พระพายพาเกสรขจรรน่ื ตระหลบพนื้ ตน้ ไม้ไพรสณฑ์ กลวั้ กลนิ่ ยุพเรศนฤมล เสาวคนธ์อวลอาบซาบใจ พระเชยรสกสุ มุ จุมพติ ตระกองนาฏแนบชิดพิสมัย สาเริงรมย์สมสาราญฤทัย หลบั ไปในราษราตรี (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง พระอุณรทุ กบั นางอุษา) (บทละครเรอื่ งอณุ รุท, ๒๕๑๕, น. ๔๔๒) วา่ พลางสัพยอกหยอกนาง โลมลบู ปฤษฎางคแ์ ลว้ รบั ขวญั ชมเนตรเกศแกม้ แกมกัน เชยถันคอื ทิพย์ปทมุ มาลย์ คลงึ เคล้าเยา้ ยวนชวนสนิท จมุ พิตเสาวรสหอมหวาน เกลียวกลมสมสรอ้ ยยุพินพาล เกษมสันต์ซาบซา่ นสาราญใจ (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง พระอณุ รทุ กบั นางศรีสุดา) (บทละครเร่ืองอณุ รุท, ๒๕๑๕, น. ๔๖๔)
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๑๔ เม่อื นนั้ พระอณุ รทุ ภุชพงศ์รงั สรรค์ เห็นสองนางต่างกล่าวราพัน เปน็ ช้นั เชิงคมขาทง้ั สองรา ย้ิมแยม้ ละไมในพกั ตร์ ดสู องเยาวลักษณ์เสนห่ า หยอกเย้าสรวลสนั ตจ์ านรรจา ด้วยสองวนดิ านารี พระลบู ปฤษฎางคท์ ้งั สององค์ รับขวญั อนงคท์ ้งั สองศรี เชยชมสมสองเทวี ท่ใี นแท่นแกว้ แพรวพรรณ (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอณุ รทุ กบั นางอุษาพรอ้ มด้วยนางศรสี ุดา) (บทละครเรือ่ งอุณรุท, ๒๕๑๕, น. ๔๗๑) ว่าพลางอิงแอบแนบชิด จุมพติ ด้วยความพิสมัย เชยดวงมณฑาสุมาลัย หอมหวานซ่านไปในวญิ าณ์ ปโรตเทวาพลาหก ดาลตกพรอยพราในเวหา อสนสี นั่นลัน่ ฟา้ เมขลาลอ่ แกว้ แพรวพราย อนั ดวงปทุมมาลย์ก็บานแบง่ รบั แสงสรุ ยิ งจารัสฉาย เกสรรว่ งโรยโปรยปราย แสนสาราญจติ กายทง้ั สององค์ (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอุณรุท กับ นางแก้วกนิ นร) (บทละครเรือ่ งอุณรุท, ๒๕๑๕, น. ๕๑๙) เมื่อน้ัน พระทรงโฉมประโลมพิสมัย เหน็ สามกินนรายาใจ ตา่ งนางหนีไปตามกนั ยงั แตน่ าฎรชั ฎานารี ภูมีกุมกรไวไ้ ดม้ น่ั เกย่ี วกระหวดั รดั รวบพลั วัน รับขวญั เชยชมภริ มยา
ประคองดวงโกสุมภ์จุมพติ บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๑๕ ฟา้ ลัน่ บันลือโลกา อันดวงบุปผาผกากร เปรมปรางแนบสนิทนาสา สองสมชมรสอันโอฬาร ฝนสวรรคเ์ ซ็งซา่ สุธาธาร กแ็ บ่งบานเกสรหอมหวาน ครน้ั เสร็จภริ มยช์ มสวาท เกษมศานต์โสมนสั สวสั ดี จึงเสดจ็ ย่างเยือ้ งจรลี วรนาฏรชั ฎามารศรี นง่ั แนบแอบองคน์ งลักษณ์ ไปหอ้ งมณนี างสวุ รรณ ค่อยประคองต้องดวงบษุ บนั กรสะพกั เชยโฉมประโลมขวัญ ภมรเมาเคล้าซาบเรณนู วล เกษมสนั ตร์ ว่ มรสกรีฑา เสรจ็ แลว้ กรายกรลีลา สองสาราญซา่ นหวนหรรษา แตเ่ ทยี่ วภริ มย์ชมสวาท ไปหานางจันทมาลี แสนเกษมเปรมรสฤดี ขนิษฐานานาฏอนงค์ทัง้ ส่ี ในทีถ่ ้าแกว้ สุรกานต์ เมอื่ น้นั สี่นางเยาวยอดสงสาร ร่วมรรู้ สรักสมั ผสั พาน ในหลานสมเด็จพระสก่ี ร แสนสวาทประดพิ ัทธ์ผูกพนั เป็นมหนั ตส์ ุโขสโมสร พศิ วงหลงรสสถาวร บังอรแยม้ ยิ้มพรมิ้ พราย ดั่งได้ทพิ เทพสมบัติ พระลกั ษมศี รีสวัสดโ์ิ ฉมฉาย สาราญรนื่ ช่นื ซาบสกนธก์ าย ลมื อายลมื องคน์ งคราญ องิ แอบแนบเคลา้ พระทรงฤทธิ์ แสนสนทิ ปรีด์ิเปรมเกษมศานต์ หมอบเมียงเคียงเฝา้ บทมาลย์ สนุ ทรออ่ นหวานพาที
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๑๖ เมอ่ื น้นั พระอณุ รุททรงสวสั ด์ริ ัศมี เกษมสมชมรสฤดี ดว้ ยสนี่ วลนางกินรา เพยี งสรงสระทิพเทเวศ นคเรศแดนดาวดึงสา เย็นซ่านซาบผิวพระกายา เกษมสุขมหาโอฬาฬาร ยวนเย้าเคลา้ ละอองทองปทุม ผจงจุมพิตสวาทหอมหวาน ตระกองเกยเชยชอ่ ผกากาญจน์ บรรสานเสียดสร้อยสอ่ี นงค์ ประคองซา้ ยยา้ ยลบู ประโลมขวา เอนแอบแนบหนา้ นวลหง สาราญเริงวิญญาณ์ทงั้ ห้าองค์ พิศวงหลงสวาทเปรมปรีดิ์ (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอุณรทุ กับ นางรัชฎา,นางสุวรรณ,นางจนั ท มาลี,นางมณฑาเกสร) (บทละครเรอื่ งอณุ รุท, ๒๕๑๕, น. ๕๓๐)
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๑๗ บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย เร่ือง พระสุธนคาฉันท์ สองเสพสมศุขกรีฑา เทียรทิพกามา กระมลพิมลมวั มนท์ กล้วั กามรศคนธ์ ประพาษชลทรงึ ทรับทราบชิวหากามกล ตระการฤดี อันแรงดาฤษณราพึง คอื ทิพทองอัน เกอ้ื กามภริ มย์ คือสรงสระแกว้ ไตรตรึงษ์ ยัว่ ยวนแยงยนต์ ภุชงคชรล่องชลธี คือแผ่นสวุ รรณ หล่อกามพศิ ไสมย เชยชิดเสาวรศมาลี แรงราครนั รวั อธึกดึกดาบรรพ์ แนบฟั่นเฝอื กามกานลั ประสานสนิทชดิ ชม ดุจวลั ทองทพิ เกลยี วกลม อามฤตราคแรงรณ ตระกองกรบงกชเกลียวกล กระเหม่นกระมลยรรยรร นาภีสพ้านพงิ เกาะกนั รแทบแลแนบเนยี รใน ลาลองเล่หท์ พิ ประไพ คอื ฝาอนั สบสมตัว สองเร่มิ รุ่นรศมนั มัว
บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๑๘ ฤดีกาดัดดัษกาม ยงยวรเยาวโยคยา่ ยาม บมิชามศุขซาม เกษมกระสรรตสมพอง หฤหรรษารศประลอง โล้เล่นเลาทอง บันเทงิ หฤทยั เรมิ รณ แรกรู้รศกามตระกล เพียงพริ ุณโชรชล แลต้องผกาจาวแจรง เฟ้อื งฟุ้งเรณูรวยแรง ทราบช่นื ชแู ชรง ละอองแลอายกาจร สองสวสั ดสิ งั วาศ สมศุขพิลาศ พศิ วงองค์อร ตระการกามกล ตระกองสองสมร พเิ ศษสมสอน บันสานสมกัน เสพสร้อยสาโรช ตระอรเอมโอช อรอ่ ยยวลยรร พิไลไหลนอง มลายจาบลั ย์ รเหมิ หน่ื หรรษ รหวนหาใจ ประสงค์สงสาร ประสมสมภาร ภริ มย์รมย์ใน สาเรงิ เริงรศ ฤดดี ีใด พงึ พดิ พศิ ไสมย ดาฤษณไป่ปาน ตระการบวั บน ตระโบมโกมล ตระบอกแบง่ บาน ยว่ั แยม้ ยวนยนต์ กระมลมนทมาลย์ ตฤษรศคนธาร ละอบเอาใจ ชชดิ ชิดเชย กรเกย่ี วก่ายเกย ประโลมโนมใน รลุงลวงสวาสด์ิ พิลาศพไิ ลย ทราบสิน้ สดุ ใจ กระสรรเสียวสมร เน้นแนบแนบนิทธ์ ประจงจมุ พติ สวาสดิ์ยวรยอน ผสาญดาลแด ผแงผงอน รทวยทรวงทอน รเทมิ้ ยนตย์ รร
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๑๙ คลึงเคล้าเคลา้ เคล้น เฝ้าเฟีย้ มเฟี้ยมเฟ้น สาราญสรวญสรรต รื่นรศเสาวคนธ์ พิมณบวั บัณ คอื ทิพสุคันธ์ ชโลมโลมใจ เสร็จสองสงั วาศนานใน คฤหาศอนั ไพ รจุ ิตรจารสั รามเรือง (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง พระสธุ น กับ นางมโนรา) (อิศรานุภาพ(อ้น),พระยา,พระสุธนคาฉนั ท,์ ๒๔๗๐, น. ๖๖) บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย เรื่อง บทเหเ่ ร่ืองกากี สองสขุ สองสงั วาส แสนสดุ สวาทสองสู่สม สองสนทิ นทิ รารมณ์ กลมเกลยี วชู้ส่สู มสอง แย้มยมิ้ พริม้ พกั ตรา สาภิรมสมจิตปอง แสนสนกุ สขุ สมพอง ในห้องแกว้ แพรวพรรณราย ลมพัดกลดั เมฆเกลื่อน ฟา้ ลน่ั เล่อื นแลบแสงพราย วลาหกตกโปรยปราย สายสินธุ์นองท้องธารา เหราร่าเรงิ รื่น วา่ ยเคล้าคล่ืนหนื่ หรรษา สองสมกลมกรฑี า เปนผาสุกทุกนริ ันดร์ (บทอัศจรรย์ระหว่าง พญาครฑุ กับ นางกากี) (เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศ, ๒๕๑๖, น. ๓๘)
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๒๐ บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย เร่อื ง กาพย์พระไชยสุริยา ข้ึนกดบทอัศจรรย์ เสียงคร้นื ครน่ั ชนั้ เขาหลวง นกหกตกรังรวง สัตว์ท้งั ปวงง่วงงนุ โงง แดนดนิ ถิ่นมนษุ ย์ เสยี งดังดุจเพลิงโพลง ตึกกว้านบา้ นเรือนโรง โคลงคลอนเคลื่อนขะเย้อื นโยน บา้ นชอ่ งคลองเลก็ ใหญ่ บา้ งต่นื ไฟตกใจโจน ปลุกเพอ่ื นเตือนตะโกน ลุกโลดโผนโดนกนั เอง พณิ พาทยร์ ะนาดฆอ้ ง ตะโพนกลองร้องเปน็ เพลง ระฆงั ดังวังเวง โหงง่ หง่างเหงง่ เกง่ กา่ งดัง ขุนนางต่างลุกว่ิง ทา่ นผหู้ ญงิ ว่งิ ยุคหลงั พนั ละวันดันตงึ ตัง พล้ังพลดั ตกหกคะเมน พระสงฆ์ลงจากกุฏิ วงิ่ อุตลดุ ฉุดมือเณร หลวงชหี นีหลวงเถร ลงโคลนเลนเผน่ ผาดโผน พวกวดั พลัดเขา้ บ้าน ล้านตอ่ ลา้ นซานเซโดน ต้นไม้ไหวเอนโอน ลิงคา่ งโจนโผนหกหัน พวกผีที่ปน้ั ลกู ติดจมกู ลกู ตาพลนั ขิกขกิ รรกิ กัน ป้ันไมท่ นั มันเดือดใจ สององค์ทรงสงั วาศ โลกธาตุหวาดหว่ันไหว ตน่ื นอนออ่ นอกใจ เดินไม่ไดใ้ ห้อาดูร (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พระไชยสุริยา กับ นางสมุ าลี) (แบบสอนหนังสือไทย,สุนทรภ,ู่ ๒๕๐๘, น. ๔๙)
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๒๑ บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย เรื่อง บทละครนอกเรื่องสงั ขท์ อง พระอมุ้ องค์อรไทขึ้นใส่ตัก อะไรเลา่ เฝา้ ผลกั มือพี่ ความรกั รัญจวนยวนยี เปรมปรดี ์ปิ ระดิพัทธก์ าหนัดนาง อศั จรรย์บนั ดาลในกลางหาว เดอื นดาวส่องแสงแจ้งกระจ่าง เย็นซาบอาบละอองนา้ ค้าง คอ่ ยสระสร่างเศรา้ หมองทง้ั สองรา (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พระสังข์ กับ นางรจนา) (บทละครนอกพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ - นภาลัย, ๒๕๔๕, น. ๑๐๖) บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย เรื่อง บทละครนอกเร่อื งไกรทอง ว่าพลางจูงนางเขา้ ห้องใน น่งั บนเตียงเคยี งไหล่ไขว่คว้า อย่าฮึกฮดั วัดแวง้ เครื่องแป้งจะหก หยบิ กระจกมาให้น้องส่องดหู นา้ ชว่ ยตกแต่งแป้งกระแจะละลายทา วมิ าลาเคืองขดั ปัดมือ นี่จะหยกิ จะทึ้งไปถึงไหน จะทาให้พีป่ ว่ ยไปเสยี หรอื ชักชายผ้าหม่ หลุดยุดยื้อ ถกู ถอื ตามธรรมเนียมเลยี มทอง คล่นื ซัดอัศจรรย์ล่นั เลือ่ น สะทา้ นสะเทือนถ้าเหวเปลวปลอ่ ง เลา้ โลมเลีย้ วลอดสอดคลอ้ ง ทง้ั สองถ่อยทีปรดี า (บทอศั จรรย์ระหว่าง ไกรทอง กบั นางวิมาลา) (บทละครนอกพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ - นภาลยั , ๒๕๔๕, น. ๓๔๔)
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๒๒ ไหนเล่าเจ้าจะตกรางวลั พ่ี หนั หนา้ มานจี่ ะบอกให้ สะกิดแกม้ แนมนมชมสไบ ควา้ ไขวย่ อนเย้าเฝ้าตอแย อัศจรรย์บันดาลอยบู่ อ่ ยบ่อย รสอรอ่ ยมิไดจ้ ืดให้ชืดแช่ พริ ณุ รว่ งตวงไวจ้ นเต็มแล้ รักกนั คุม้ แกไ่ มแ่ ชเชือน การสมั ผัสเยา้ ยวนชวนชน่ื จะหาอนื่ มาใหไ้ มม่ เี หมือน หยดุ สวาทขาดเพลาเข้ามาเตือน มไิ ดเ้ คลือ่ นคลาดคลาดรารอ (บทอัศจรรยร์ ะหว่าง ไกรทอง กับ นางวมิ าลา) (บทละครนอกพระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้า- นภาลยั , ๒๕๔๕, น. ๓๔๖) บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย เร่อื ง โคบตุ ร จงแยม้ เยือ้ นเบือนพักตรรบั รกั บา้ ง ประโลมนางแนบกายสายสมร แสนสาราญอยู่ในรม่ นิโครธร กางพระกรประดพิ ทั ธ์วัจนา อัศจรรย์บรรดาสาคเรศ อรญั เวศหว่ันไหวไพรพฤกษา เทพทัง้ ตัง้ โห่เป็นโกลา สนน่ั ปา่ ลน่ั เสยี งสาเนียงดัง บรรดาฝูงเทพาวลาหก กต็ ่นื ตกใจวิ่งไมเ่ หลยี วหลงั อึกทึกกึกกอ้ งฆอ้ งระฆงั ด้วยกาลงั พระอาทิตยฤ์ ทธริ งค์ สมสนทิ พิสวาสนนางสวรรค์ เกษมสนั ต์สบเชงิ ละเลิงหลง แบง่ กาลงั ตงั้ ครรภ์ให้โฉมยง แลว้ เอื้อนโองการตรสั กับกัลยา (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง พระอาทิตย์ กับ สาวสวรรค์ทมี่ าเกิดในดอกบวั ) (นิทานคากลอนสุนทรภู่ เล่ม๑, ๒๕๑๕, น. ๕)
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๒๓ พระโอบอุ้มจมุ พติ สนิทสนม พระเชยชมโฉมนชุ สดุ สงวน ปลอบประโลมโฉมน้องต้องกระบวน ทัง้ สองสรวลสขุ เกษมประสานกร ดังนาครัดดวงแก้วประคองกอด พระหัตถ์สอดพุ่มพวงดวงสมร ดงั ราหจู ู่จับพระจนั ทร ประชากรก็ประโคมระฆงั ดัง บ้างกรายกรีดดดี เลบ็ ฉะฉบั เฉาะ เอาขนั เคาะฆ้องกระแตท้ังแตรสังข์ เสยี งปืนตึงผึงตามกนั สามตงั ราหูยังหยดุ ยนื แล้วคืนคาย พริ ุณโรยโปรยปรอยลงย้อยปรบิ มณฑาทิพปทุมมาลย์บานขยาย ภมุ รินหอมกลนิ่ ลงเกลอื กกาย ทงั้ สองฝา่ ยสบกระบวนให้ยวนยี ต่างหลงเชิงพระละเลิงดว้ ยชมโฉม หลงประโลมลมื รักเจ้าปักษี นางลืมสองจกั รพรรดิสวัสดี พระลมื ทสี่ วนขวญั อนุชา (บทอัศจรรย์ระหว่าง โคบุตร กับ นางอาพนั ) (นิทานคากลอนสนุ ทรภู่ เล่ม๑, ๒๕๑๕, น. ๖๕) พระกลอ่ มนางพลางลอดเขา้ กอด เคล้าพระสอดหัตถ์สัมผัสเตา้ ประสมสอง ประทบั ทรวงชมดวงมณฑาทอง มณฑาทพิ ที่พป่ี องสวาทนาง ถนอมมิตรจุมพิตสวาทช่ืน สวาทสมภิรมยร์ น่ื เกษมศานต์ เกษมสขุ อัศจรรยก์ ็บนั ดาล เสยี งสะท้านอสุนีคะนองครวญ นา้ ค้างหยัดหยดยอ้ ยประปรอยปริบ อาบละอองตอ้ งทพิ ปทุมสงวน หอมระรื่นชน่ื ชูเรณนู วล ก็ชืน่ ชวนสัมผสั ระบัดบาน ภุมเรศรอ่ นเคลา้ เสาวรส เกสรสดสดุ ถนอมกห็ อมหวาน
บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๒๔ เกษมสุขสองกษัตริย์สัมผัสพาน ฤดีดาลแดดน้ิ ในวิญญา ต่างละโมบโลภลมื ละลานจิต รกั สนทิ หลงเลห่ ์เสนห่ า อยเู่ หนือแทน่ บรรทมภิรมยา ท้ังสองราชื่นรสด้วยชมกนั (บทอศั จรรย์ระหว่าง โคบุตร กับ นางอาพันมณสี าคร) (นิทานคากลอนสนุ ทรภู่ เล่ม๑, ๒๕๑๕, น. ๘๘) บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย เร่อื ง ลักษณวงศ์ อมุ้ อนงคต์ รงเขา้ คูหาหอ้ ง พระหตั ถต์ ้องพวงพุม่ ประทมุ ถนั นางผลกั หัตถป์ ดั ปอ้ งประคองกัน พระทรงธรรม์สวมสอดกอดประคอง ดงั เทวาจบั ระบาราฟ้อน สโมสรชืน่ ชมประสมสอง เกิดวบิ ตั ิสัตว์สิงว่งิ คะนอง กก็ ึกก้องอศั จรรย์ทง้ั โลกา สองภริ มย์สมพาสสวาทเพ่มิ เชยเฉลมิ ชมช่นื เสน่หา กินรศี รสี วสั ด์ริ ัตนา บังคมแทบบาทาพระภธู ร เชิญเสด็จไปคิรีมณรี ัตน์ พระทรงสวัสด์จิ ะไดพ้ บพ่เี กสร ป่านฉะนค้ี อยหาจะอาวรณ์ ทนิ กรจวนเยน็ เรง่ ยาตรา (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง ลักษณวงศ์ กบั นางรัตนา) (นทิ านคากลอนสนุ ทรภู่ เลม่ ๑, ๒๕๑๕, น. ๒๗๕) ปา่ งพระหน่อบดินทร์นรินทรร์ าช ประโลมนาฏนชุ น้องนวลหง พระจมุ พิตชิดนอ้ งประคององค์ นางโฉมยงเสนห่ าพระสามี ไม่เคยชายกายสั่นประหว่ันหวาด ภูวนาถเลา้ โลมนางโฉมศรี
บทอัศจรรย์ในวรรณคดีไทย ๒๕ เกดิ วิกลโลกาทงั้ ธาตรี เทวดาในราศีเสียดายนาง กระฉอ่ นฉาวข่าวลือระบือเลื่อง ทร่ี เู้ รื่องค่อนทรวงเข้าผางผาง ท้ังดินฟ้าครื้นเครงทาเพลงพลาง ดังเขาตีดุรยิ างคอ์ ยู่คนเดยี ว พยุกลา้ ฟ้ารอ้ งคะนองเปรีย้ ง สน่นั เสยี งปเู่ จ้าภเู ขาเขียว บา้ งกร็ ้องเฮโลแลว้ โห่เกรยี ว บา้ งไลเ่ ลีย้ วจับนางอยกู่ ลางแปลง ฝนสวรรค์ล่นั ฟูอยู่ฟงุ้ ฟา้ เมขลาล่อแลบออกแปลบแสง รามสรู เดือดดาลทะยานแรง กก็ วดั แกว่งขว้างขวานเปน็ ควันดงั แสงแกว้ แวบแปลบพกั ตรยักษ์ขยกิ นางแบพลกิ ปาปับขยบั ปง๋ั แวบเปรีย้ งเสยี งเปรือ่ งกระเดอ่ื งดัง นางล่อพล้ังล้มแผละจนแก้วพลดั อสรุ าแกว่งขวานประหารเฉาะ ถกู จาเพาะกลางแปลงตะแคงขัด อสรุ าแรงโรมกระโจมรดั นางพลกิ พลดั ฉวยแกว้ แลว้ กากาง หน่อนรินทรร์ ว่ มรักสมัครสมร ทิพากรเรืองแสงข้ึนสรางสราง ตืน่ บรรทมปลกุ น้องประคองพลาง รงุ่ สวา่ งงามช่ืนจงตน่ื พลนั (บทอัศจรรยร์ ะหว่าง ลักษณวงศ์ กบั นางเกสร) (นิทานคากลอนสนุ ทรภู่ เล่ม๑, ๒๕๑๕, น. ๒๗๙) แลว้ จุมพติ ปรางปรุงจรงุ รน่ื เขา้ เชยชืน่ ถันนอ้ งประคองถอื เกดิ พะยบั เปน็ พยุกระพือฮอื นกก็ปรอื๋ บนิ ปรอ๋ ถลาลอย สองภริ มยช์ มเชยเสวยสวาท กินนรนาฏหายโรคทีโ่ ศกสรอ้ ย พอเพลาสายัณห์ตะวนั คล้อย กเ็ หาะลอยลงจากครวี นั (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง ลักษณวงศ์ กับ นางสรอ้ ยสวุ รรณ)
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๒๖ (นิทานคากลอนสุนทรภู่ เล่ม๑, ๒๕๑๕, น. ๒๘๒) เข้าผลกั องค์ภนู าถบนอาสนแ์ กว้ เจ้ากรรมแล้วทาอะไรอยา่ งไรนี่ พระทรงโฉมฉวยกรนางเทวี นางโฉมศรเี ดอื ดดน้ิ ไม่ผินพักตร นางแกะปลดิ บิดกรภธู รกอ นาสกิ สอดศรีสวัสด์ิสะบัดผลัก นางยิ่งข่วนพระยงิ่ เรียกเขา้ เพยี งพักตรยิง่ หยิกหนกั พระยง่ิ จบู ประจงชม ดงั ระเด่นปางอยใู่ นคูหา สมพาสนุชบษุ บาภริ มยส์ ม สองสาเรงิ ละเลงิ ลานสาราญรมย์ ดงั ตรีโลกจะล่มทาลายลง นางลมื เหล่าสาวสวรรคก์ านัลอนงค์ พระลมื องคเ์ กสรสุมามาลย์ สองสนกุ ดังไดเ้ ชยเสวยสวรรค์ จนไก่แก้วแจว้ ขนั สน่นั ขาน แสงหิรัญเรอื งรอบขอบจกั รวาล นฤบาลสาวสวรรคก์ บ็ รรทม (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง ลักษณวงศ์ กับ นางยีส่ ุ่น) (นิทานคากลอนสนุ ทรภู่ เลม่ ๑, ๒๕๑๕, น. ๓๑๗) บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย เร่อื ง สิงหไกรภพ พระว่าพ่นี ้ีมติ ายถงึ วายวอด จะสกู้ อดทรามสงวนนวลหง พลางคลงึ เคลา้ เยา้ ยวนนางโฉมยง ประคององค์อมุ้ แอบแนบนิทรา ตระกองกรชอ้ นชมภริ มยร์ นื่ ถนอมช่นื เชยชดิ ขนษิ ฐา ประทุมมาลยบ์ านแยม้ แกมผกา ภมุ รารอ่ นเคลา้ เสาวคนธ์ สุนบี าตฟาดเปรี้ยงเสียงสนน่ั พลิ ึกลัน่ โลกาโกลาหล พอฟ้าแลบแปลบสวา่ งกลางอมั พน เปน็ สายฝนฟุ้งฟา้ สุธานอง
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๒๗ เมอื่ แรกเริม่ เดมิ รักประจกั ษ์รส เหน็ โสฬสลบิ ลิบกระซิบสนอง นางนบนอบลอบเชิงละเลิงลอง กรประคองชนื่ ชิดสนิทใน พระไปอยบู่ ูรถี งึ มที กุ ข์ คงจะปลุกปลมื้ จิตพิศสมัย ดว้ ยพร้อมพรกั นางสนมกรมใน เห็นจะไมเ่ หมอื นน้องนองนา้ ตา พระแย้มยิม้ พริม้ เพราวา่ เจ้าพ่ี ถงึ แม้นมมี ิได้มาดปรารถนา เคยถนอมกลอ่ มกลอกถึงดอกฟ้า เห็นดอกหญ้าไม่นิยมจะชมเชย รลู้ ืมปลื้มใจวิไลลักษณ์ พีเ่ คยรักเคยเรียงเคยี งเขนย พลางชดิ ชมสมสองตระกองเกย ถนอมเชยโฉมน้องประลองโลม อัศจรรยช์ น้ั เชิงเหมอื นเพลงิ ดับ พอลมกลับพดั กระพอื ติดฮือโหม เปน็ ควนั คลุม้ กลมุ้ พะยบั จับโพยม สะทา้ นระทกึ ครึกโครมโพยมบน สลาตันป่ันป่วนเมอ่ื จวนรงุ่ เปน็ ฝนฟงุ้ ฟา้ ผ่าถงึ หา้ หน ต่างแช่มชืน่ รื่นสาราญบานกมล พระสรุ ิยนเยยี่ มฟา้ นภาลัย (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง สงิ หไกรภพ กับ นางสร้อยสดุ า) (ธรรมชาตใิ นวรรณกรรมสุนทรภ,ู่ ๒๕๓๘, น. ๓๓๒) พลางอิงแอบแนบชิดจุมพติ พักตร์ นางพลกิ พลักพลางว่าน่าบดั สี พระสวมสอดกอดกวนใหย้ วนยี นางจะหนใี ห้พ้นก็จนใจ พระสอดช้อนกรกมุ ประทมุ ประทับ นางพลิกกลบั ผนั พกั ตรด์ ้วยผลกั ไส พระก่ายกอดสอดคล้องทานองใน นางจนใจจาเปน็ ดว้ ยเกินกาย อปุ ระมาราหูเข้าจู่จับ เหมอื นเมฆทบั กลับเกล่อื นดวงเดือนหาย เคย้ี วขมา้ กล้ากลืนไม่คืนคาย ฝงู หญิงชายต่างตืน่ เสยี งครน้ื เครง
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๒๘ เอาขนั จอกออกเคาะกกุ เกราะกริ่ง ปนื ใหญ่ยงิ ยัดดนิ สน้ิ เขนง ประโคมฆ้องกลองระฆงั เสียงวงั เวง ดังเหง่งเหง่งเกง่ กา่ งโหงง่ หง่างดงั ประเดย๋ี วดลฝนลั่นเสยี งคร่นั ครกึ ทีล่ มุ่ ลึกแหลง่ หลา้ คงคาขัง พอดาวเดอื นเคลอื่ นรถไม่บดบงั ตา่ งลกุ นงั่ ขน้ึ สบายไม่อายกัน (บทอศั จรรยร์ ะหวา่ ง รามวงศ์ กับ นางแก้วกนิ รี) (ธรรมชาตใิ นวรรณกรรมสุนทรภ,ู่ ๒๕๓๘, น. ๓๓๔) พระฟงั คารา่ ว่ายงิ่ ปรารภ จะใคร่พบวรนชุ สุดสงสาร ปลอบประโลมโฉมเฉลาเยาวมาลย์ แมน้ พบพานภคั ินีของพ่ยี า จะรกั เจ้าเยาวเรศเหมอื นเนตรซา้ ย จะรกั ฝ่ายอัคเรศเหมือนเนตรขวา พลางหยดุ ย้งั นัง่ แทน่ แผ่นศลิ า นางศรฟี ้าหมอบเมียงเขา้ เคยี งองค์ พระอิงแอบแนบเคลา้ ทัง้ เศร้าสร้อย นางอองออยคล้อยตามความประสงค์ เหมือนคชสารควาญหมอข้นึ คอทรง จะไสลงทา่ น้าทากระบวน ขย้ันย่อรอรั้งถอยหลังกลับ กระดิกผลับขืนขดั ฮดึ ฮัดหวน ยงิ่ ไสสัน่ หนั เหซุนเซซวน กระหมวดม้วนงวงเงยเสยสา่ ยงา ต้องเกยี่ วหลู ่ลู ากกระชากชัก กลับฮึกฮกั ฮมู แปร๋นแลน่ ถลา ลงเลน่ น้าดากระเดอื กเสอื กสธุ า กลับเป็นบ้าแทงกระทั่งถงึ ฝัง่ ชล ถบี สะบัดวดั เหว่ียงเสยี งสนนั่ ดว้ ยซมึ มันมนั ย้อยดงั ฝอยฝน คารามรอ้ งกอ้ งกระหึมครึมคารณ ทั้งผดุ พ่นน้าพ่งุ พอรงุ่ ราง นางอองออยชอ้ ยชดรู้รสชาติ จนเลอื ดฝาดข้นึ หน้าดังทาฝาง
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๒๙ พระสรอ้ ยเศร้าเฝ้าถามถึงความนาง เจ้ารู้อยา่ งไรเลา่ ให้เข้าใจ (บทอัศจรรยร์ ะหว่าง รามวงศ์ กบั นางอองออย) (ธรรมชาติในวรรณกรรมสนุ ทรภู่, ๒๕๓๘, น. ๓๓๕) พระน่ังแนบแอบประโลมโฉมเฉลา พ่รี ักเท่านัยเนตรของเชษฐา คนอน่ื ไกลใครเลา่ จะเข้ามา ไมค่ วรแก้วแววตาจะราคี ระลกึ ถึงจงึ อุตสา่ ห์มาหาน้อง อย่าขัดข้องแหนงวิญญามารศรี พลางองิ แอบแนบนวลปว่ นฤดี พอสบทีถกู ต้องทานองใน เปรียบเหมอื นดังพงั แปรกที่แตกฝูง เขาจับจงู จากดงด้วยหลงใหล ตามชา้ งตอ่ หมอขลงั ท่นี ง่ั ไพร เห็นกิง่ ไมเ้ หมอื นปา่ อุตสา่ หเ์ ดิน ต้องผกู กูบฟบุ เทา้ ก็แคลว่ คล่อง ทานทิ านองเปลี่ยนผลดั ไม่ขดั เขิน เหมอื นปเ่ี ป่ากราวเชิดต่างเพลิดเพลิน ไม่กา้ เกินแกห่ ดั สนั ทัดกัน (บทอศั จรรยร์ ะหว่าง สิงหไกรภพ กับ นางเทพกนิ รี) (ธรรมชาตใิ นวรรณกรรมสุนทรภ่,ู ๒๕๓๘, น. ๓๓๖) บทอศั จรรย์ในวรรณคดไี ทย เร่ือง ลลิ ิตพระฤๅ ตรสั พลางโลมลูบต้อง เตอื นใจ ทรวงเสยี ดเบยี ดแนบใน นมุ่ เนอ้ื ภริ มยร์ ่นื หฤไทย ในท่วง ทีนา กรกอดกรเกย่ี วเก้อื กอดแกว้ กับองค์
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๓๐ ภุชงลงเลน่ สรอ้ ย สระสวรรค์ กลั้วเกลือกเยอื กเยน็ ยัน ย่ัวเย้า กาเรบิ ฤทธิ์โรมรัน แรงเร่ยี ว ค่อยคลี่คลายคลึงเคลา้ เร่งเรา้ รุกราน ภุมรินเสียดสร้อย สมุ ามาลย์บานคลี่คลอ้ ย แซรกไซรเ้ สาวคนธ์ ปลาชืน่ ชมเคลื่อนคลอ้ ง ฟา้ ฝนโปรยปรายต้อง ชมช่นื เชิงชู้ป้อน ทอ่ งท้องสระศรี เชยพระพรรณผอ่ งแผว้ กินรีรอ่ นร้อน รอ่ นเร้าแรงรมย์ งาง่าแทงแรงร้า พระชมพระพมิ พ์แล้ว ยา่ งยา้ ซรา้ รอยรอ้ ย เล่หล์ ้าหลากกัน สายสมร ดจุ สารเมามนั กล้า ฝั่งฟ้า เรื่อยเร้อื ยภริ มยส์ มร เจยี รชีพ วายแม่ จ่ึงได้ชพี คง ดุจอัศดรถูกนอ้ ย ภูธร เรียบลา้ ใดปาน ภูบาลตรัสปลอบสร้อย รกั แม่สุดดนิ ดอน เรียมจากนครจร มาประสบหน่มุ หนา้ โฉมยงปลงจติ รปล้ืม
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๓๑ นบนอบชวลกี ร แก่นไท้ พระจงโปรดส่ังสอน ผดิ ชอบ แลนา น้องไป่รรู้ อบไซร้ พระไดโ้ ปรดปราน อยา่ แหนง เยาวมาลย์การขอ้ น้นั เคลือบไซร้ พ่ีไป่ถือโทษแคลง ฝากชีพ แลแม่ พ่หี วงั จะฝังแฝง หา่ งห้องโหยหน นอ้ งอย่าละพ่ใี ห้ ราพรรณ ช่นื แฮ เอกแท้ นฤมลฟงั พระพรอ้ ง ซ่านซาบ ทรวงนา เสมออมฤตยอนั เลห์ล้าคาขาน หวานฉา่ ชนื่ กระสรร บ่อนบวั ดังจะกลนื ช่นื แล้ ชื่นชื้น หมอกเมฆ ภบู าลบ่เบอื่ เบือ้ ง เฟ่ืองฟื้นฟูมฟอง บัวบเ่ บือนชมชวั นองไหล อาทติ ย์ก็มดื มัว ใช่น้อย วายพุ ดั คร่ันครน้ื ทัว่ ป่า ลลู่ ้มระเนนนอน สมทุ คะนองนา่ นนา้ ไกรสหี ์ ซรึมซราบอาบเอิบใน ลาศเลา้ สตั วส์ ิงหว์ ง่ิ วนไป หญ้าแพรกแยกยน่ ย้อย ไกรสรสมสูส่ ร้อย สารสู่สาวสารลี
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๓๒ กวางทรายม่ายเมยี งมี มองคู่ กระตา่ ยกระแตเต่าเตา้ ไตเ่ ตน้ ตามกนั อัศจรรย์ลน่ั เล่หพ์ นื้ เพียงทลาย ป่ันปว่ นสวนศรีสลาย แลง่ ไล้ สองนางกบั สองนาย เนาเน่ือง กนั นา ร่วมภิรมย์รศไร้ ราคร้อนแรมนาน (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระฤๅ กับ พระพิมพระพรรณ) (ลิลิตพระฤๅ ,หลวงศรมี โหสถ , ๒๕๐๑, น. ๘๙) บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย เรือ่ ง สมุทรโฆษคาฉนั ท์ กรท้าวธตระกองเอวองค์ อนชุ และอนงค์ เตอื นฤทัยเตรียมตรู ธรพกั ตรพธู ทรวงแนบชิดชน พระพักตรสมเด็จพระภู- กรกรรนฤบดี และเทียมชชดิ รสคนธ์ โลมนอ้ งโฉมงาม มือพานแนบนา นาภีแนบนาภผี ล บรรทบั และเบียดบวั ศรี นางนองในใจเปรมปรดี ิ์ และนาสขู้ ัดขาม พระเชยชมแกว้ เกลากาม ตระการตระกองกรรฐา เชยชดิ รสโอษฐสุรา
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๓๓ ภีท้องสรแทบทรวงสมร นมต้องตราติดอกอร เอวองคพ์ ระกร กระหวดั กระเหม่นกามา สองเสวยสุขสดุ สงกา ชมลาภมหา อนั เทพยแสรง้ เอาสม สองเสวยรสกรฑี ารมย์ สุขในพระบรรธม เลวงดว้ ยสรอ้ ยเสาวคนธ์ สองสมสุขเลน่ กลอยกล กามาโดยดล ตระการเทยี รทุกลบอง (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระสมทุ รโฆษ กบั นางพนิ ทุมดี) (สมทุ รโฆษคาฉันท์ , ๒๕๔๖, น. ๖๙) บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย เรื่อง พระอภัยมณี พระฟงั คาจาจิตพิศวาส ฝนื อารมณส์ มพาสทั้งโศกเศร้า การโลกยี ์ดชี ่วั ยอ่ มมัวเมา เหมือนอดขา้ วกินมันกนั เสบยี ง เกิดกลุ าคว้าว่าวปักเป้าตดิ กระแซะชดิ ขากบกระทบเหนียง กุลาสา่ ยย้ายหนีตแี ก้เอยี ง ปกั เป้าเหว่ียงยกั แผละกระแซะชดิ กลุ าโคลงไมส่ คู้ ล่องกะพล่องกะแพล่ง ปักเปา้ แทงตะละทีไมม่ ีผิด จะแกไ้ ขก็ไมห่ ลุดสุดความคดิ ประกบติดตกผางลงกลางดิน สมพาสยักษร์ กั รว่ มภิรมย์สม เหมือนเดด็ ดอกหญ้าดมพอได้กลนิ่ เปน็ วิสัยในภพธรนินทร์ ไม่สดุ สิ้นเสน่ห์ประเวณี
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๓๔ (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง พระอภัยมณี กบั นางผีเสื้อ) (พระอภัยมณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๑๖) พระโลมลูปรปู งามทรามสงวน พอสมควรอย่แู ลว้ นอ้ งอย่าหมองหมาง เจา้ เป็นที่พเี่ ลย้ี งอยู่เคียงนาง จะเคยี งขา้ งพี่ยาอยา่ อาวรณ์ แลว้ เอนแอบแนบน้องประคองเคลา้ พระตอ้ งเต้าเตง่ ทรวงดวงสมร นางกอดทบั กบั เพลาเฝ้าฉะออ้ น พระสอดกรกอดประทบั ไวก้ บั ทรวง แนบสนิทชิดชมภริ มยร์ กั นางเบือนพักตร์ผ่อนตามไม่ห้ามหวง ดงั มาลีคล่ีคลายขยายดวง ระรืน่ รว่ งเรณูฟขู จร แมลงผ้ึงคลึงเคล้าเสาวรส เมอื่ ยามอตุ ส่าห์แทรกแหวกเกสร ลงกลงิ้ เกลือกเยอื กเย็นเฝา้ เฟ้นฟอน ละอองอ่อนอาบเอิบกาเรบิ แรง พริ ณุ โรยโปรยปรายเป็นสายสาด สนุ ฟี าดฟ้าแลบวะแวบแสง นา้ ฝนนองท้องทางทีก่ ลางแปลง พระโรยแรงเอนองคล์ งบรรทม ศรสี ุดาเคารพอภิวาท ไมห่ ่างบาทบพติ รสนทิ สนม จนแสงทองสอ่ งสว่างน้าค้างพรม จึงบงั คมลากลบั ไปหลบั นอน (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง ศรสี ุวรรณ กบั นางศรีสดุ า) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมุดแห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๒๒๘) ค่อยเชยปรางทางวา่ นจิ จานอ้ ง กับเจา้ ของนก่ี แ็ คน่ จะแหนหวง เป็นหลายหนหลายครั้งต้ังแตล่ วงแต่หนักหนว่ งอยนู่ ่ันนอ้ ยหรอื กลอยใจ ร้ทู านองน้องแกว้ เสยี แล้วนะ ทจี่ ะละเชิงลาอย่างสงสัย พลางประโลมโฉมฉายสายสุดใจ คอ่ ยเคล้นเคล้าพุม่ ประทมุ มาลย์
บทอัศจรรย์ในวรรณคดไี ทย ๓๕ ประคองเคียงเอยี งแอบแนบเขนย ตระกองเกยกรกอดสอดประสาน สายสมรผ่อนตามความสาราญ ฤดดี าลเดือดคะนองทัง้ สองรา ดงั กาลงั มงั กรสาแดงฤทธิ์ ให้มืดมดิ กลางทะเลแลเวหา ลงเล่นน้าดาด่งิ ถงึ สธุ า สะท้านกระทั่งหลังปลาอนนตน์ อน ปลากระดิกพลกิ ครีปทวปี ไหว เมรุไกรโยกยอดจะถอดถอน มตั ติมงิ กลง้ิ เลน่ ชโลธร คงคาคลอนคลื่นคลงั่ ฝ่งั สินธู สลบุ แลน่ ลมหวนใหป้ ว่ นคลืน่ จะฝ่าฝืนไปไม่รอดก็จอดสู้ มังกรผดุ พน่ ฟองขนึ้ ฟ่องฟู ตา่ งรว่ มรรู้ สรกั ประจักษ์ใจ สองสนทิ ชดิ ชมสมสวาท ไมเ่ คลอ่ื นคลาดคลายจิตพิสมยั จนเท่ียงคืนรื่นรสสมุ าลยั หลับอยใู่ นแท่นทองทัง้ สองรา (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง ศรีสวุ รรณ กบั นางเกษรา) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๒๓๖) ประเวณีมที ่วั ทุกตัวสัตว์ ไมจ่ ากดั ห้ามปรามตามวิสยั นาคมนุษย์ครุฑาสรุ าลยั สุดแต่ใจปรองดองจะครองกนั เจา้ กับพ่ีนกี้ ็เหน็ เป็นกศุ ล จงึ หนพี น้ มารมาไม่อาสญั จะเคยี งค่ชู ชู นื่ ทกุ คนื วัน โอเ้ จา้ ขวัญนัยนาไม่ปรานี พลางองิ แอบแนบนอ้ งประคองเคล้า คอ่ ยต้องเต้าเต่งอุรามารศรี พระเชยปรางทางฉะออ้ นออ่ นอนิ ทรยี ์ รว่ มฤดเี ดอื นหงายสบายใจ อัศจรรย์ครั่นคร้นื เปน็ คล่นื คล่ัง เพยี งจะพังแผน่ ผาสธุ าไหว กระฉอกฉาดหาดเหวเป็นเปลวไฟ พายใุ หญ่เขย้อื นโยกกระโชกพัด
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๓๖ เมขลาลอ่ แก้วแววสวา่ ง อสูรขวา้ งเขวี้ยงขวานประหารหตั พอฟา้ วาบปลาบแปลบแฉลบลัด เฉวียนฉวัดวงรอบขอบพระสุเมรุ พลาหกเทวบุตรกผ็ ดุ พุ่ง เปน็ ฝนฟ้งุ ฟ้าแดงดงั แสงเสน สีขรินทรอ์ สิ ินธรกอ็ อ่ นเอน ยอดระเนนแนบน้าแทบทาลาย สมพาสเงือกเยือกเยน็ เหมอื นเล่นนา้ ค่อยเฉื่อยฉ่าชนื่ ชมด้วยสมหมาย สัมผสั องิ องิ แอบเป็นแยบคาย ไม่เคลอื่ นคลายคลึงเคลา้ เยาวมาลย์ (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอภัยมณี กบั นางเงือก) (พระอภยั มณี ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๒๖๖) พระตรัสพลางทางเรียกขึน้ ร่วมอาสน์ ทรงสมพาสเพมิ่ รักขึน้ หนักหนา ดูผวิ พรรณสรรพางคอ์ ย่างคลุ า แตว่ ชิ าพางามขนึ้ ครามครัน ถนอมแนบแอบอ่นุ คอ่ ยฉนุ ช่นื สาราญรน่ื รว่ มประทมภริ มยข์ วัญ ถึงขาวขานา้ ตาลยอ่ มหวานมนั ดว้ ยเชงิ ช้นั แนบชดิ สนิทนาง เหมือนมา้ ดขี ข่ี ับสาหรับรบ ทง้ั ดดี ขบโขกกดั สะบดั ย่าง ท้งั เรียบรอ้ ยนอ้ ยใหญท่ ี่ไวว้ าง สันทดั ทางถกู ต้องคลอ่ งอารมณ์ ถึงรปู ชั่วตัวดาดงั น้ารัก แตร่ หู้ ลักลา้ สุรางคน์ างสนม พระโปรดปรานพานสนิทไดช้ ิดชม ร่วมบรรทมแท่นทองท่รี องทรง (บทอศั จรรย์ระหว่าง พระอภยั มณี กับ นางวาลี) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมุดแหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๔๗๖) พลางโอบอุ้มจมุ พิตสนิทถนอม งามละมอ่ มละมนุ จิตพิสมัย ร่วมภิรมย์สมสองทานองใน แผ่นดนิ ไหวจนกระทัง่ หลงั อานนท์
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๓๗ ในนทตี ีคลน่ื เสยี งครืน้ ครกึ ลน่ั พลิ กึ โลกาโกลาหล หบี ดนตรปี ีพ่ าทยร์ ะนาดกล ไม่มีคนไขดงั เสยี งวงั เวง อัศจรรย์ลนั่ ดงั ระฆงั ฆอ้ ง เสียงกกึ กอ้ งเกง่ ก่างโงง่ หงา่ งเหงง่ ปนื ประจากาปั่นก็ลนั่ เอง เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน สนุ บี าตฟาดเสียงเปรี้ยงเปรีย้ งเปรือ่ งกระดอนกระเด่อื งดนิ ฟ้าเป็นหา่ ฝน ทกุ ธารถ้าน้าพุทะลุล้น ท่วมถนนแนวฝัง่ เกาะลงั กา สองสนทิ ชิดชมอารมณ์ช่ืน ระเริงรนื่ เร่ิมแรกแปลกภาษา พระลมื องค์พงศพ์ ันธุศ์ วรรยา นางลมื วังลงั กาไมอ่ าลยั พระหลงรืน่ ชน่ื กลิ่นดินถนนั นาหลงช้นั เชิงชดิ พสิ มัย แตค่ ลงึ เคล้าเยา้ ยวนรญั จวนใจ จนระงบั หลับไปในไสยา (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระอภัยมณี กับ นางละเวง) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๘๑๕) พระกอดเก้ยี วเกยี วกลมประทมประทับ นางคานบั น้อมรกั สมัครสมาน ไม่ห่างเหินเพลนิ เชงิ ละเลิงลาน เหมอื นคชสารสู้หมอลงขอฟัน จนเลอื ดฟูมฮูมแปร้นแลน่ เตลิด ระเหจ็ ระเหดิ งางวงทะลวงถลัน ลงแทงเงาเซาซึมกระหึ่มมัน ขยบั ยั่นยาขอระยอ่ ยืน พายุพยบั กลบั กลอกเมฆหมอกกลมุ้ ดมู ดื คลมุ้ ฝนฟา้ ก็ฝา่ ฝนื ทใ่ี นวังคร้งั นน้ั เสยี งครนั่ ครนื้ ดังเหมอื นปืนตมู ตามเขา้ สามตงึ ฝนตกพราน้าเหนือก็เหลือล้น ทว่ มพื้นพน้ ปัถพหี ยัง่ มิถึง เมอื่ แรกรกั ปลักปล้มื ลมื ตะลงึ เหน็ ดางดงึ ส์ลบิ ลบิ เหมอื นทิพรส
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๓๘ (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง สินสมทุ กับ นางยุพาผกา) (พระอภัยมณี ฉบบั หอสมุดแห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๘๔๓) พลางกอดเกย่ี วเกลียวกลมสมสงั วาส ไมเ่ คล่ือนคลาดเคล้าเคล้นเหมอื นเช่นฝนั ดวงดาวเดอื นเลื่อนสวา่ งออกกลางวนั อศั จรรยจ์ วนเทีย่ งเหมอื นเสยี งโทน ทัง้ มดท้าวเจ้าเข้าถกู เหล้าเขม้ จนเมาเตม็ ประดาออกท่าโขน ซัดชาตรีตีกรบั ขยบั โยน ราเพลงโทนเทิม้ เท้ิมระเริ่มระริก อานนทใ์ หญใ่ ตแ้ ผน่ ดนิ ด้ินขยับต่างกลงิ้ กลับกลอกเกล่อื กกระเดือกกระดกิ พระสเุ มรเุ อนทบพภิ พพลกิ พลอยถงึ มิคสัญญกี ลียคุ ท้งั หญิงชายหมายเหน็ กันเปน็ เนือ้ เขา้ แล่เถือแทงทาถงึ ปลา้ ปลุก คร้ันโลกีย์พิกลเกิดฝนซุก นา้ ท่วมทุกฝากฝ่ังถึงวังใน (บทอัศจรรย์ระหว่าง ศรีสุวรรณ กับ นางราภาสะหรี) (พระอภยั มณี ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๘๔๖) ดว้ ยโลกีย์นม้ี นั ปลม้ื ใหล้ ืมไตร เหมอื นสกึ ใหม่มเี มียเฝ้าเคลยี คลอ เขา้ คลงึ เคล้าเฝ้าพลอดทางกอดเก้ียว เราผัวเดยี วเมยี เดียวกนั เจยี วหนอ นางแกล้งว่าอย่าเพอ่ หวังคอยรง้ั รอ น้องไม่ลอ่ ลวงจรงิ จะยิงยอม แตร่ อรกั สักหน่อยค่อยค่อยรกั มิใช่ภัดโหยหวิ ให้ผวิ ผอม ดูฤกษ์พานาทีให้ดพี ร้อม น้องจะยอมอยา่ งประสงค์จานงใน พระอิงแอบแนบชิดจุมพติ พกั ตร์ จะผดั รักรอ้ื ตะบึงไปถงึ ไหน อันอดอ่ืนหม่นื แสนทงั้ แดนไตร พอี่ ดได้อยูด่ อกดว้ ยนอกกาย
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๓๙ แต่ครั้งนที้ ่จี ะอดซึง่ รสรัก สุดจะหักหา้ มสวาทให้ขาดหาย เขาเปน็ ทั้งลงั กาไม่น่าอาย อย่ากลบั กลายแกล้งวา่ ทารกรรม พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมย์ร่นื ถนอมชื่นเชยชิมไม่อม่ิ หนา นางวา่ เบ่ือเหลือเขญ็ เฝ้าเคลน้ คลา จะชอกช้าไปเสียแลว้ ไม่แคลว้ เลย ห้ามเทา่ ไรไมย่ ้งั ไม่ฟงั หา้ ม ตามเถิดตามบญุ กรรมแกลง้ ทาเฉย พระกอดชอ้ นกรต้องประคองเชย ตา่ งไม่เคยขามเขนิ เผอิญเป็น กระดี้กระดิกพลกิ เพลย่ี งเบือนเบียงบิด เหมอื นเรอื ติดตมตนื้ จะขนื เข็น แต่สาวหนุ่มชมุ่ ช่ืนระรืน่ เย็น บงั เกดิ เป็นอัศจรรยไ์ มท่ นั รู้ ดว้ ยรวดเรว็ เปลวไฟประลยั ราค เหมอื นขนึ้ ปากนกหินใสห่ นิ หู พอล่ันฉับสับไกกไ็ ฟพรู เสียงฟบุ ฟู่ฟุ้งฟูมดงั ตูมตึง ต่างระเรงิ เชิงชมภิรมย์ร่ืน อนั รสอ่ืนหรือจะเปรียบประเทียบถงึ นางเมียยว่ั ผวั เยา้ เฝา้ เคล้าคลงึ จนเหนอ่ื ยจงึ เคลม้ิ หลับระงบั ไป (บทอัศจรรย์ระหว่าง สดุ สาคร กับ นางสุลาลีวัน) (พระอภัยมณี ฉบบั หอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๙๐๕) ประคองนางวางแทน่ แสนสวาท สมั ผัสพาดเพ่ิมจิตพสิ มยั อัศจรรยล์ ัน่ เลือ่ นสะเทอื นไป ทถี่ า่ นไฟเกา่ ดับกก็ ลับโพลง เหมอื นเมือ่ ปมี วี ันจันทร์องั คาส โลกธาตเุ ลอื่ นล่ันควนั โขมง เขาเนมินธ์อิสนิ ธรเคล่ือนคลอนโคลง ทะเลโล่งลมคลืน่ เสยี งครน้ื ครกึ พวกสาเภาเหล่าท่ีรอค้างมรสมุ ออกแล่นกลมุ้ กลางคืนจนดื่นดึก ส้กู ราฝนทนหนาวออกอา่ วลกึ ตา่ งสมนกึ เลยหลับระงบั ไป
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๔๐ (บทอัศจรรย์ระหว่าง พระอภยั มณี กับ นางสวุ รรณมาลี) (พระอภยั มณี ฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๐๒๒) ตงั้ แตพ่ ่มี ไิ ดพ้ บประสบเจ้า ดูโศกเศร้าซบู ลงนา่ สงสาร เพราเรศิ ร้างหา่ งชมมานมนาน อยา่ อยงู่ านเลยขยับมาหลับนอน พ่ีกซ็ ูบรปู เจา้ ก็เศร้าผอม แตย่ งั หอมอยหู่ ายเลยสายสมร พลางอิงแอบแนบนอ้ งประคองกร ถนอมช้อนเชยพุ่มประทมุ ทอง กอดประทับกบั กายสายสวาท นุชนาฏถนอมจติ สนทิ สนอง เสนห่ แ์ นบแอบเอียงเคียงประคอง ตามทานองสองสนิทไมบ่ ดิ พลวิ้ อศั จรรย์หว่นั ไหวไม่เรง่ รัด เปน็ ลมพดั เรื่อยเรอื่ ยเฉ่ือยเฉ่ือยฉิว ช่อใบไมไ้ หวกระดิกริกริกริว้ ระหวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป (บทอศั จรรย์ระหว่าง ศรสี ุวรรณ กับ นางเกษรา) (พระอภยั มณี ฉบบั หอสมดุ แห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๐๒๔) แล้วถอดธามรงคบ์ ุษย์ท่ีสุดอย่าง ยน่ื ให้นางแล้วว่าพ่มี แี ตแ่ หวน เก็บไวเ้ ถิดเกดิ ลกู ไว้ผกู แทน ถา้ มาตรแม้นชีวนั ไมบ่ รรลัย จะกลบั มาหาเจา้ อยา่ เศร้าสร้อย ไมข่ าดลอยลมื มิตรพสิ มยั พลางลบู หลงั ตามเคยเชลยใจ เหมือนเปลวไฟฝอยนดิ กต็ ิดเช้อื เขา้ เคยี งข้างพลางพลอดแลว้ กอดกา่ ย ไม่รู้หายหอมใหอ้ าลัยเหลือ ระรื่นกลิน่ ดินถนันจวงจันทนเ์ จือ ไม่รู้เบ่อื รสฝรงั่ เมืองลังกา อัศจรรย์นนั้ เพียงตะเกยี งดับ หง่ิ หอ้ ยวับแวมเรืองริมเฝืองฝา เฝา้ ส่งั ซา้ ร่าไห้อาลัยลา แลว้ ตา่ งไปไสยาในราตรี
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย ๔๑ (บทอัศจรรย์ระหว่าง สนิ สมุท กับ นางยุพาผกา) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมุดแหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๐๔๕) แมก่ ็รู้อยวู่ ่าพ่ีเป็นท่ีรัก อย่าทุกขห์ นกั เนอื้ ละม่อมจะผอมเหลือง ไปจดั แจงแตง่ งานอยบู่ ้านเมอื ง พอปลดเปลือ้ งสนิ ธรุ ะไมล่ ะเลย จะกลับมาหานชุ เยี่ยมบุตรบ้าง ให้เหมอื นอย่างดวงเดือนไมเ่ ชอื นเฉย พลางเอนแอบแนบน้องประคองเกย ถนอมเชยปรางนอ้ งท้ังสองปราง แอบประทุมอมุ้ ประทับนางรับพกั ตร์ ภิรมย์รกั รว่ มสัมผสั ไมข่ ดั ขวาง เหมอื นไขกลดนตรีดุริยางค์ เสียงตา่ งตา่ งตีย้ายได้หลายเพลง กระจบั ปี่สีซอกรดี กรอเสียง ระนาดเรียงรบั ฆอ้ งเสยี งหนอ่ งเหนง่ ดีดบณั เฑาะว์เคาะระฆงั เสยี งวงั เวง เหมือนชมเพลงเพลนิ ประทมภิรมยา (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระอภัยมณี กบั นางละเวง) (พระอภัยมณี ฉบับหอสมดุ แห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๐๔๗) พระกอดเกยเชยปรางถึงอย่างยอด เสียงฟอดฟอดเฟน้ ซา้ ยแล้วยา้ ยขวา ถนอมแนบแอบอรณุ อุ่นอรุ า เหมือนสายฟ้าแลบรอบขอบทะเล สลาตันลัน่ พิลกึ เสยี งครกึ ครืน้ โคลงเคลงคลื่นโดนดนั กาป่นั เห กลับทา้ ยหกผกโผนดงั โยนเปล ปลิงทะเลลอยเกลอื กเสยกรอกกระบอกหู นาคราชผาดผยองพ่นฟองฟู เสียงซู่ซู่สายฝนปนน้าเคม็ สาเภาโยงโคลงเคลงเขยง่ โขยด ทะล่งึ โลดเล้ียงท้ายตามปลายเข็ม ถกู คลน่ื สาดดาดฟ้าคงคาเตม็ ต้องและเล็มแลน่ กระตดื ดว้ ยมดื มัว
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๔๒ (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง สนิ สมุท กบั นางอรุณรศั มี) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมุดแหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๑๐๖) พระแอบอ้มุ จมุ พติ วนดิ า พี่อตุ สาห์ตดิ ตามด้วยความรัก พลางรบั ขวญั มัน่ หมายว่าตายราบ นางก้มกราบซบทบั ลงกับตกั พระลบู โลมโฉมเฉลาเยาวลกั ษณ์ นางแกลง้ ผลักพลางวา่ ไม่ปรานี พอมาถงึ คลึงเคล้าเฝ้าเย้าย่วั ไม่เกรงกลัวบาปหรอื เปน็ ฤๅษี พระปลอบนางข้างนอกดอกเป็นชี แตใ่ จพเ่ี ปน็ คฤหัสถ์อยู่อตั รา พลางปลดเปลือ้ งเคร่ืองครองออกกองไว้ เคร่ืองทรงในนนั้ เปน็ พราหมณ์งามหนกั หนา กอดประทับรบั ขวญั จานรรจา อยา่ หนว่ งช้าทารกรรมให้ช้าใจ อนั ตัวพนี่ เ้ี หมือนแมงภผู่ ้งึ มาพบซ่ึงเสาวรสอันสดใส สดุ จะหา้ มความรกั หักฤทยั พลางลูบไล้โลมนอ้ งประคองเชย ถนอมแนบแอบชดิ จมุ พิตพกั ตร์ ภริ มยร์ ักรว่ มเรยี งเคยี งเขนย นางเบอื นหนนี ี่อะไรฉนั ไม่เคย พระก่ายเกยกอดประทับไว้กบั ทรวง พอสบเชิงเรงิ ร่นื ชชู น่ื แชม่ ต่างยิ้มแย้มหยอ่ นตามไมห่ ้ามหวง มณฑาทิพยก์ ลีบหุม้ เป็นพุม่ พวง ขยายดวงเดน่ กระจ่างเมือ่ กลางวนั เกษมสขุ ทุกสถานพมิ านทพิ ย์ เห็นลิบลบิ ลอยสรา้ งกลางสวรรค์ พวกราเตน้ เล่นงานคา้ งการนน้ั กลับประชนั โรงราตามลาพัง เหมอื นราตรมี โี ขนละครห่นุ กลางวนั วนุ่ วงิ่ เตน้ กลับเล่นหนัง ตะโพนฆ้องกลองตไี มม่ ดี ัง เหมอื นสองสงั วาสสวาทไมค่ ลาดคลา
บทอศั จรรย์ในวรรณคดีไทย ๔๓ พระคลงึ เคลา้ เย้ายวนให้ปว่ นปล้ืม นางหลับลมื หลงเล่หเ์ สน่หา พระเอนแอบแนบชิดวนดิ า อนุ่ อุราพลอยหลบั ระงบั ไป (บทอัศจรรยร์ ะหว่าง สดุ สาคร กับ นางเสาวคนธ์) (พระอภยั มณี ฉบับหอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๑๖๘) นางราภาสามีคลุกคลีเคล้า เหมือนถา่ นเก่าเพลิงพร่งุ สิ้นสุง้ เสยี ง เข้าอิงแอบแนบขา้ งอยกู่ ลางเตียง เหมือนนกเอี้ยงเลี้ยงควายตะกายเลน อัศจรรย์นนั้ เหมือนเชน่ เขาเล่นโขน ตกี ลองโยนแยกเทา้ ท่ากราวเขน เขยง่ หยง่ ก่งศรเอี้ยวออ่ นเอน ต่างจดั เจนจับกมุ ตะลุมบอน เปรยี บเหมอื นบททศพกั ตร์เขา้ หกั หาญ พระอวตารแผลงถกู ดว้ ยลูกศร เข้าปกั อกหกคะเมนระเนนนอน คอ่ ยหายเหือดเดอื ดร้อนผ่อนสาราญ (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง ศรีสวุ รรณ กับ นางราภาสะหรี) (พระอภยั มณี ฉบบั หอสมุดแห่งชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๓๗๙) เคยไดเ้ สยี เมยี ของข้าเจ้าอยา่ ดอ้ื พลางฉุดมอื มาบนตกั ทาหักหาญ นางผลักผละพระขยาทาประจาน ประเดยี๋ วใจได้การสาราญเริง อศั จรรยน์ น้ั เหมือนอย่างช้างเปน็ บา้ สะบดั งางวงแกว่งแทงเถลิง คนถอื พดั ผดั ให้ไล่ละเลิง แลน่ เตลิดเปดิ เปิงเข้าเซงิ ซุ้ม พอมดื มนฝนอู้ซ่ซู ู่สาด คเชนทร์ฟาดฟูมหน้าถลาหลมุ ตะคลุกคลานควาญหมอขีค่ อคมุ เหมอื นสาวหนุ่มชมุ่ ชน่ื ตา่ งตน่ื นอน ที่มคี ่อู ยไู่ หนก็ไมท่ กุ ข์ เกดิ สนกุ สโุ ขสโมสร สามบุรมี ีนักเลงโขนละคร เลน่ ราฟ้อนวันคืนเสยี งครนื้ ครกึ
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๔๔ (บทอศั จรรย์ระหว่าง สนิ สมทุ กับ นางยุพาผกา) (พระอภัยมณี ฉบับหอสมดุ แหง่ ชาติ , ๒๕๕๕, น. ๑๓๘๑) บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย เรอื่ ง กากีกลอนสภุ าพ ซง่ึ เรียมพามานริ านริ าศรัก ประยูรศักดน์ิ คเรศอันไพศาล เพราะสวาทนาฏนอ้ งยพุ าพาล ไม่เกรงการอรริ าชแลเวรา ดงั ได้ดวงมณฑามหาวเิ ศษ ของตรเี นตรในดาวดงึ สา อันหอมหวนอวลอบทัง้ โลกา จะหนว่ งช้ามใิ หช้ มน้ันสุดใจ จะสรา่ งโศกมาเกษมสวาทบา้ ง อย่าใหร้ า้ งเริดชดิ พิสมัย พลางกระหวัดรัดรวบภริ มยใ์ น ชงฆะไขวใ้ นเชิงละเลงิ ลาน บันดาลพลาหกเทวบุตร ก็ผึง่ ผดุ ต้งั ท่วั ทิศาศาล โพยมพยับอบั อึงอนธการ สะท้านถึงเมรุราชสีขรนิ ทร์ สัตภณั ฑ์บรรพตก็ไหวหวั่น คงคาล่นั เปน็ ระลอกกระฉอกสนิ ธุ์ ฝงู มหามจั ฉาในวารนิ กโ็ ดดด้นิ เล่นน้าลาพองกาย อันดอกดวงสมิ พลีท่ีตมู กลัด ครั้นฝนซัดเชยแช่มแยม้ ขยาย ท่ีตูมบานกา้ นกลีบขจรจาย ราพายกลน่ิ รืน่ รสเสาวคนธ์ แมลงภู่ทพิ รีบร่อนมาเอาซาบ อาบละอองตอ้ งท่ัวทุกขุมขน สองสขุ สองเกษมเปรมสกนธ์ สองกมลสองสวาทไมค่ ลาดกนั ครฑุ ลมื ลงเลน่ อโนดาต วรนาฏลมื มง่ิ มไหศวรรย์ ครุฑลืมลงเล่นสัตภณั ฑ์ สุดาจนั ทร์ลมื พักตรพ์ ระภสั ดา ครฑุ ลมื ร่อนเลน่ โพยมบน นฤมลลืมสนมสนิทหน้า
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๔๕ ครฑุ ลืมไลค่ าบนาคา กัลยาลืมเลน่ อุทยาน ครฑุ หลงชมทรงสมรชื่น นางหลงรน่ื รสทิพปักษาศาล ครุฑละเลิงหลงเชิงยุพาพาล เยาวมาลย์หลงเล่ห์ประหลาดโลม ครุฑหลงกลิ่นแกว้ ขจรร่ืน นางหลงชน่ื รสทพิ อนั เฉดิ โฉม ครุฑหลงกระบวนชวนตระโบม นางหลงโสมนัสในสกุณา ครัน้ ศศธิ รคลอ้ ยเคล่อื นลับ ดาราดบั สิ้นแสงสวา่ งหลา้ พระพายชายพัดราเพยพา สกุณาพรอ้ มเพรยี งพิมานทอง ดุเหว่าทพิ ที่ประจาสมิ พลี กร็ ้องมสี่ ง่ เสียงสาเนียงกอ้ ง ภานุมาศเร่งราชรถทอง ผาดผยองเย่ยี มยอดยคุ นุ ธร (บทอัศจรรย์ระหวา่ ง พระยาราชเวนไตร กับ นางกากี) (ตู้หนังสือเรือนไทย, กากีกลอนสภุ าพ [ออนไลน]์ ) ฝา่ ยคนธรรพ์เป็นไรเข้าเร้นซอ่ น ทบี่ ัญชรพิมานชัยไพศาล ส่วนครุฑแนบนุชนงพาล สองสนานรว่ มรสฤดีทวี เปรยี บด่ังองค์ปโรตเทวญั เมือ่ ฤดูวสนั ตเ์ กษมศรี เมขลาชชู ่วงดวงมณี อสรุ รี ามสรู กโ็ กรธา ถือขวานเหาะทะยานขยกิ ไล่ เวียนระไวในจงั หวัดพระเวหา นางแบแก้วแวววับใหจ้ ับตา อสรุ าขวา้ งขวานไปราญรอน เมขลาล่อแก้วอสุรนิ ทร์ ไม่สุดส้นิ ทจ่ี ะรว่ มสโมสร เกิดสาหรับกัปกัลปน์ ิรันดร เหมอื นสมรสมานสุขสกุณินทร์ คร้นั อรณุ เรอื่ รางสว่างภพ จบจกั รวาไลแลไพรสนิ ธ์ุ
บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๔๖ ครุฑตะโบมโลมลายุพาพิน พจี่ ะบินไปเทย่ี วพระหิมพานต์ จงเนาในแทง่ ทองอยา่ งหมองพักตร์ ไมช่ ้านักจะกลบั มาสูส่ ถาน ส่ังสมรแล้วกจ็ รจากพมิ าน ร่ายเวทผกู ทวารแลว้ บนิ ไป (บทอศั จรรย์ระหวา่ ง พระยาราชเวนไตร กับ นางกากี) (ตหู้ นงั สอื เรือนไทย, กากกี ลอนสุภาพ [ออนไลน]์ ) คนธรรพร์ ับขวัญแล้วจุมพิต กรสะกิดเลี้ยวลอดสอดประสาน เคลา้ เคล้นเลน่ ดวงปทุมาลย์ ยพุ าพานแมอ่ ย่าหมองกมลใน ซงึ่ โทษผดิ ชิดโฉมประโลมเล้า ดว้ ยร้อนเร่าสวาทหวงั ไมย่ ง้ั ได้ อย่าถอื ความจงประณามประนอมใจ พจี่ ะไว้ชีพดว้ ยพนิดา วา่ พลางทางประจงปลงจิต เน้ือสนิทแนบกันกระสนั หา สองชื่นรนื่ รสภริ มยา ดัง่ ราหูจ่จู บั พระจนั ทร อ้าโอษฐ์โกรธเกร้ยี วกระหยับยา้ กรกาเรอื นรถจะสงั หร แสงจนั อบั ชอา่ ในอัมพร ด้วยกาลังฤทธิรอนอสรุ นิ ทร์ พสธุ าอากาศก็อบั แสง ไมแ่ จม่ แจ้งแหลง่ หลา้ วนาสินธ์ุ ประจกั ษจ์ ันทรอ์ ปุ ราทงั้ แดนดนิ ก็อึงอนิ ทเภรรี ะดมปนื ฆอ้ งระฆงั กงั สดาลประสานเสียง สาเนยี งโหล่ น่ั หล้าไม่ฝ่าฝนื ประเวณีคลี่คลายขยายคืน ก็แช่มชน่ื เด่นดวงศศิธร สองสขุ สองสมภริ มย์รส ยงั ไม่หมดสุขสโมสร คนธรรพ์คร้นั บ่ายรวีวร ส่ังสมรแลว้ ก็จรเข้าซ่อนกาย (บทอัศจรรยร์ ะหวา่ ง คนธรรพ์ กับ นางกาก)ี
บทอัศจรรยใ์ นวรรณคดไี ทย ๔๗ บทอศั จรรยใ์ นวรรณคดีไทย เรอ่ื ง ลิลิตพระลอ นางโรยนางเรยี กดว้ ย คางาม ขวัญอ่อนดง่ั ขวญั กาม ย่ัวแย้ม ใบบัวหนั่นหนาตาม กนั ลอด ไปนา หอมกล่ินบวั รสแก้ม กลิ่นแก้มไกลบัว ใจบวั ใบบัวบงั ขา้ ขอบ เรยี กเต้า ดอกดง่ั จะหัวรวั ซมซาบ บัวนา เชยชมภริ มย์ชัว พเี่ หลน้ กบั ตน ถนดั ดงั่ เรียมชมเจ้า บัวบาน รสเร้า บัวนมบัวเนตรหนา้ ใจบา่ นีน้ า บัวกลน่ิ ขจรหอมหวาน เกศแกว้ งามจรงิ บวั สมรละลงุ ลาญ โกมล พเ่ี อย บวั บาทงามจวบเท้า กลนิ่ แก้ว รสรว่ ม กนั นา โกมุทกาเมศแกว้ กอ่ เก้ือกรฑี า หอมกลนิ่ จงกลกล บัวพระ พี่นา จงกามินปี น ดอกไม้ จงกอบอย่ารูแ้ คล้ว กนั ช่นื ชมนา สรนุกบวั ซ้อนดอก ปลาชอ่ นปลาไซพ้ ระ สลิดโพตะเพียนพะ
Search