Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กฎหมายธุรกิจ บทที่ 1

กฎหมายธุรกิจ บทที่ 1

Published by kanjana281119, 2019-06-17 08:25:28

Description: กฎหมายธุรกิจ บทที่ 1

Search

Read the Text Version

กฎหมายธุรกจิ 3200 – 9001 หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพช้ันสูง พทุ ธศักราช 2557 ประเภทวชิ าบริหารธุรกจิ กระทรวงศึกษาธิการ

บทท่ี 1 กฎหมายลกั ษณะบุคคล

 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. บอกความหมายของบุคคลได้ 2. บอกการเริ่มสภาพบุคคลและการสิ้นสภาพบุคคลได้ 3. บอกหลกั เกณฑ์และผลทางกฎหมายของการเป็ นคนสาบสูญได้ 4. แก้ปัญหากรณไี ม่ทราบวนั เกดิ และเดือนเกดิ ของบุคคลได้ 5. อธิบายส่วนประกอบและลกั ษณะพเิ ศษของช่ือบุคคลได้ 6. อธิบายความหมายของภูมลิ าเนาและปัญหาในการกาหนดภูมลิ าเนาได้ 7. อธิบายเรื่องการจดทะเบยี นสถานะของบุคคลได้ 8. อธิบายเรื่องผู้เยาว์ได้ 9. อธิบายเรื่องคนไร้ความสามารถได้ 10. อธิบายเรื่องคนเสมือนไร้ความสามารถได้ 11. อธิบายเรื่องนิตบิ ุคคลได้

บุคคล คือสิ่งทสี่ ามารถมสี ิทธิและหน้าทไี่ ด้ ตามกฎหมาย บุคคลแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ 1. บุคคลธรรมดา 2. นิตบิ ุคคล

บุคคลธรรมดา ได้แก่มนุษย์ท้งั ปวงไม่ ว่าจะเป็ นเดก็ ผู้ใหญ่ ผู้หญงิ หรือผู้ชาย ไม่ ว่าจะเป็ นคนโง่หรือคนฉลาด คนดีหรือคน บ้า

การเร่ิมสภาพบุคคล สภาพบุคคลย่อมเร่ิมเมื่อ 1. คลอด และ 2. อยู่รอดเป็ นทารก

ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถ มีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลัง คลอด แล้วอยู่รอดเป็ นทารก

ทารกในครรภ์มารดาท่ีสามารถมี สิทธิต่าง ๆ ได้ คือทารกที่เกิดภายใน 310 วัน นับแต่วันท่ีเจ้ามรดกคือบิดา ตาย หรือภายใน 310 วันนับแต่วันท่ี ขาดจากการสมรส

 การสิ้นสภาพบุคคล \"สภาพบุคคล.....สิ้นสุดลงเม่ือตาย\" เม่ือบุคคลถึงแก่ความตาย สิทธิ และหน้าทข่ี องผ้ตู ายย่อมตกทอดไปยงั ทายาทของผู้ตาย การสิ้นสภาพของบุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็ น 2 กรณคี ือ 1. การตาย เป็ นการสิ้นสภาพบุคคลโดยธรรมชาติ บุคคลจะถึงแก่ความ ตายตามธรรมชาติ เมื่อหยดุ หายใจและหัวใจหยดุ เต้น 2. การสาบสูญ เป็ นการสิ้นสภาพบุคคลโดยผลของกฎหมาย ผู้ใดถูกศาลสั่ง ให้เป็ นคนสาบสูญกเ็ ท่ากบั ว่าถงึ แก่ความตาย

หลกั เกณฑ์ของการเป็ นคนสาบสูญ 1.กรณีธรรมดา ถ้าบุคคลใดได้ไปจาก ภูมิลาเนาหรือถ่ินท่ีอยู่ และไม่มีใครรู้แน่ ว่ า บุ ค ค ล น้ั น ยัง มี ชี วิต อ ยู่ ห รื อ ไ ม่ ต ล อ ด ระยะเวลา 5 ปี

2. กรณพี เิ ศษ ระยะเวลาตาม 1. ให้ลดเหลือ 2 ปี 2.1 นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลน้ันอยู่ ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดงั กล่าว 2.2 นับแต่วันทีย่ านพาหนะท่ีบุคคลน้ันเดินทาง อับปาง ถูก ทาลาย หรือสูญหายไป เช่น เรืออบั ปาง หรือเคร่ืองบนิ ตก เป็ นต้น 2.3 นับแต่วันท่ีเหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน 2.1 หรือ 2.2 ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลน้ันตกอยู่ในอนั ตรายเช่นว่าน้ัน เช่น ไปสารวจในป่ าทึบแล้วไม่กลับมา หรือถูกโจรก่อการร้ายจับตัวไป เป็ นต้น

3. ผู้มสี ิทธิร้องขอต่อศาลให้ศาลมคี าสั่ง แสดงการสาบสูญ 3.1 ผู้มสี ่วนได้เสีย หรือ 3.2 พนักงานอยั การ

4. ต้องมคี าส่ังของศาลแสดงการสาบสูญ เมื่อเข้า หลกั เกณฑ์ตาม 1. หรือ 2. แล้ว ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลน้ัน เป็ นคนสาบสูญก็ได้ ผู้มีส่วนได้เสีย คือผู้มีส่วนได้ หรือส่ วนเสียในความเป็ นความตายของผู้น้ัน เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา หรือบุตรเป็ นต้น เม่ือศาล สั่งให้เป็ นคนสาบสูญแล้ว ให้โฆษณาคาส่ังแสดง สาบสูญของศาลในราชกจิ จานุเบกษา

 ผลทางกฎหมายของการเป็ นคนสาบสูญ บุคคลซึ่งศาลได้มคี าส่ังให้เป็ นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถงึ แก่ความตาย เม่ือครบกาหนดระยะเวลา (1) 5 ปี นับแต่บุคคลผู้น้ันได้ไปจากภูมิลาเนาหรือถิ่นทอี่ ยู่และไม่มี ใครรู้แน่ว่าบุคคลน้ันยงั มีชีวติ อยู่หรือไม่ (2) 2 ปี นับแต่วันท่ีการรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลน้ันอยู่ ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว หรือ นับแต่วันที่ยานพาหนะท่ีบุคคลน้ันเดินทางอบั ปาง ถูกทาลาย หรือสูญ หายไป หรือนับแต่วันท่ีเหตุอันตรายแก่ชีวิตอย่างอื่นได้ผ่านพ้นไป ถ้า บุคคลน้ันตกอยู่ในอนั ตรายเช่นว่าน้ัน

กรณไี ม่ทราบวนั เกดิ แน่นอนของบุคคล 1. การนับอายุของบุคคล ให้เร่ิมนับแต่วนั เกดิ 2. ในกรณที ร่ี ู้ว่าเกดิ ในเดือนใดแต่ไม่รู้วนั เกดิ ให้นับวนั ทหี่ นึ่งแห่งเดือนน้ันเป็ นวนั เกดิ

3. แต่ถ้าพ้นวสิ ัยทจี่ ะหยงั่ รู้เดือนและวนั เกดิ ของบุคคล ใด ให้นับอายุบุคคลน้ันต้ังแต่วันต้นปี ปฏิทินซ่ึงเป็ นปี ท่ี บุคคลน้ันเกิด ตามพระราชบัญญัติปี ปฏิทินหลวง พ.ศ.2483 ให้ถือเอาวนั ท่ี 1 มกราคม เป็ นวนั ต้นปี บุคคล ใดท่ีเกิดก่อน พ.ศ.2484 ให้ถือเอาวันท่ี 1 เมษายน เป็ นวัน เกิด แต่ต้ังแต่ พ.ศ.2484 เป็ นต้นไป ให้ ถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็ นวนั เกิด เช่น นายเขียวเกิด พ.ศ.2484 แต่ไม่รู้ ว่าเกิดวนั ไหน ให้ถือเอาวนั ท่ี 1 มกราคม 2484 เป็ นวันเกิด ของนายเขียว

กรณไี ม่ทราบลาดบั แน่นอนแห่งการ ตายของบุคคล ในกรณบี ุคคลหลายคนตายในเหตุภยนั ตราย ร่วมกัน ถ้าเป็ นการพ้นวิสัยท่ีจะกาหนดได้ว่า คนไหนตายก่อนหลงั ให้ถือว่าตายพร้อมกนั

ส่ิงทไี่ ด้แก่สภาพบุคคล 1. ช่ือ 2. ภูมิลาเนา 3. สถานะ 4. ความสามารถ

 ส่วนประกอบของช่ือบุคคล 1. ช่ือตวั หมายความว่า ชื่อประจาบุคคล 2. ช่ือรอง หมายความว่า ช่ือประกอบถัดจากช่ือตวั 3. ช่ือสกุล หมายความว่า ช่ือประจาวงศ์สกุล ไม่เป็ นช่ือ ของบุคคลใดบุคคลหน่ึงโดยเฉพาะ ชื่อสกลุ ได้มาโดยผลทไ่ี ด้เกดิ มามสี ภาพบุคคล บุตรทเ่ี กดิ มาย่อมมีสิทธิใช้ชื่อสกลุ ของบิดา ใน กรณที บี่ ดิ าไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกลุ ของมารดา

 พระราชบญั ญตั ชิ ่ือบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 12 “คู่สมรสมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ง ตามทตี่ กลงกนั หรือต่างฝ่ ายต่างใช้ชื่อสกลุ เดมิ ของตน การตกลง กันตามวรรคหนึ่ง จะกระทาเมื่อมีการสมรสหรือในระหว่าง สมรสก็ได้ ข้อตกลงตามวรรคหน่ึง คู่สมรสจะเปล่ียนแปลง ภายหลงั กไ็ ด้”

 พระราชบญั ญตั ชิ ่ือบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 13 “ เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่าหรือศาล พพิ ากษาให้เพกิ ถอนการสมรส ให้ฝ่ ายซ่ึงใช้ชื่อสกลุ ของอกี ฝ่ าย หนึ่งกลับไปใช้ช่ือสกุลของตน เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วย ความตาย ให้ฝ่ ายซึ่งยงั มีชีวติ อยู่และใช้ชื่อสกลุ ของอกี ฝ่ ายหน่ึง มีสิทธิใช้ช่ือสกุลน้ันได้ต่อไป แต่เม่ือจะสมรสใหม่ ให้กลับไป ใช้ชื่อสกลุ เดมิ ของตน”

 พระราชบัญญตั ชิ ่ือบุคคล (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2548 มาตรา 9 “หญิงมีสามีซึ่งใช้ ชื่อสกุลของสามีก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิใช้ช่ือสกุลของสามีได้ ต่อไป แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะกลับไปใช้ช่ือสกุลเดิมของตนหรือมี ข้อตกลงระหว่างสามีภรรยาเป็ นประการอื่น”

สาระสาคญั ของช่ือบุคคล 1. ผู้มสี ัญชาตไิ ทยต้องมชี ื่อตวั และช่ือสกลุ และจะมชี ื่อรองกไ็ ด้

2. ชื่อตัวหรือชื่อรองต้องไม่พ้องหรือมุ่ง หมายให้คล้ายกบั พระปรมาภิไธย พระนามของ พระราชินีหรือราชทินนามและต้องไม่มีคาหรือ ความหมายหยาบคาย

3. ชื่อรองต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 2. และต้องไม่พ้องกับช่ือสกุลของบุคคลอ่ืน เว้นแต่เป็ น กรณีที่คู่สมรสใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ ายหน่ึง หรือกรณี บุตรใช้ช่ือสกลุ เดมิ ของมารดาหรือบิดาเป็ นช่ือรองของ ตน คู่สมรสอาจใช้ช่ือสกุลของอีกฝ่ ายหน่ึงเป็ นช่ือรอง ได้เมื่อได้รับความยนิ ยอมของอกี ฝ่ ายน้ันแล้ว

4. ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิ หรือผู้เคยได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิ แต่ได้ออกจากบรรดาศักด์นิ ้ันโดยมิได้ถูก ถอด จะใช้ราชทินนามตามบรรดาศักด์ิ น้ันเป็ นช่ือตัวหรือชื่อรองกไ็ ด้

5. ชื่อสกลุ ต้อง 5.1 ไม่พ้อง หรือมุ่งหมายให้คล้ายกบั พระปรมาภไิ ธยหรือพระนามของ พระราชินี 5.2 ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกบั ราชทนิ นาม เว้นแต่ราชทนิ นาม ของตนของผู้บุพการี หรือของผ้สู ืบสันดาน 5.3 ไม่ซ้ากบั ชื่อสกลุ ทไี่ ด้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์หรือชื่อ สกลุ ทไี่ ด้จดทะเบียนไว้แล้ว 5.4 ไม่มคี าหรือความหมายหยาบคาย 5.5 มีพยญั ชนะไม่เกนิ กว่าสิบพยญั ชนะ เว้นแต่กรณีใช้ราชทนิ นามเป็ น ช่ือสกลุ

ลกั ษณะพเิ ศษของช่ือบุคคล 1. ช่ือบุคคลไม่อาจได้มาหรือสูญเสียไปโดย อายุความ 2. ช่ือบุคคลเป็ นส่ิงทจ่ี าหน่ายให้แก่กนั มไิ ด้ 3. ชื่อบุคคลต้องอยู่คงทไ่ี ม่เปลย่ี นแปลง

พระราชบัญญัติคานาหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 1. พระราชบัญญัติคานาหน้านามหญิงพ.ศ. 2551 ให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกาหนด 120 วันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็ นต้นไป (ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาวนั ท่ี 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2551)

2. พระราชบัญญัติคานาหน้านาม หญิง พ.ศ.2551 ไม่กระทบการใช้คา นาหน้านามหญิงเป็ นอย่างอื่นตามท่ีมี กฎหมายบัญญตั ิ

3. หญิงซ่ึงมีอายุ 15 ปี บริบูรณ์ขึน้ ไป และยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ให้ใช้คา นาหน้านามว่า “นางสาว”

4. หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะ ใช้คานาหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ โดย ให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่า ด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

5. หญิงซ่ึงได้จดทะเบียนสมรสแล้ว หาก ต่ อมาการสมรสได้ สิ้ นสุ ดลงจะใช้ คานาหน้ า นามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความ สมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตาม กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบยี นครอบครัว

6. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รั ฐมนตรี ว่ าการ กระทรวงการต่ างปร ะเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคม แ ล ะ ค ว า ม ม่ั น ค ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ รั ก ษ า ก า ร ต า ม พระราชบัญญัติคานาหน้านามหญิง พ.ศ. 2551

การกาหนดภูมลิ าเนา 1. เป็ นถน่ิ อนั เป็ นสถานทอี่ ยู่ของบุคคล 2. สถานทอ่ี ยู่น้ันต้องเป็ นแหล่งสาคญั

ปัญหาในการกาหนดภูมลิ าเนา 1. กรณที ี่บุคคลมีที่อยู่หลายแห่งและแต่ละ แห่งมคี วามสาคญั เท่า ๆ กนั \"ถ้ าบุคคลธรรมดามีถ่ินท่ีอยู่หลายแห่ งซึ่งอยู่ สับเปลี่ยนกันไป หรือมีหลกั แหล่งที่ทาการงานเป็ นปกติ หลายแห่ง ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหน่ึงเป็ นภูมิลาเนาของ บุคคลน้ัน\"

2. กรณีท่ีภูมิลาเนาของบุคคล ไม่ปรากฏ \"ถ้าภูมิลาเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถนิ่ ทอ่ี ยู่เป็ นภูมลิ าเนา\"

3. กรณีบุคคลไม่มีที่อยู่ปกติเป็ นหลักแหล่ง \"บุคคลธรรมดาซ่ึงเป็ นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็ นหลัก แหล่ง หรือเป็ นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมา ปราศจากหลักแหล่งท่ีทาการงาน พบตวั ในถิ่นไหน ให้ถือว่าถน่ิ น้ันเป็ นภูมิลาเนาของบุคคลน้ัน\"

ภูมลิ าเนาของบุคคลบางประเภททกี่ ฎหมาย กาหนดให้ 1. ภูมิลาเนาของสามีและภรรยา ได้แก่ถ่ินที่อยู่ที่ สามีและภรรยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา เว้นแต่ สามีหรือภรรยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฎว่ามีภูมิลาเนา แยกต่างหากจากกนั

2. ภูมิลาเนาของผู้เยาว์ ได้แก่ภูมิลาเนาของ ผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งเป็ นผู้ใช้อานาจปกครองหรือ ผู้ปกครอง ในกรณีที่ผู้เยาว์อยู่ใต้อานาจปกครองของบิดามารดา ถ้ าบิดาและมารดามีภูมิลาเนาแยกต่างหากจากกัน ภูมิลาเนาของผู้เยาว์ได้แก่ภูมิลาเนาของบิดาหรือมารดา ซึ่งตนอยู่ด้วย

3. ภูมลิ าเนาของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ภูมลิ าเนาของผู้อนุบาล

4. ภูมิลาเนาของข้าราชการ ได้แก่ ถิ่นอันเป็ นที่ทาการตามตาแหน่งหน้าท่ี หาก มิใช่เป็ นตาแหน่งหน้าท่ีช่ัวคราว ช่ัวระยะเวลา หรือเป็ นเพียงแต่งต้ังไปเฉพาะการคร้ังเดียว คราวเดยี ว

5. ภูมิลาเนาของผู้ที่ถูกจาคุก ภูมิลาเนา ของผู้ที่ถูกจาคุกตามคาพิพากษาถึงที่สุดของ ศาลหรื อตามคาส่ังโดยชอบด้ วยกฎหมาย ไ ด้ แ ก่ เ รื อ น จ า ห รื อ ทั ณ ฑส ถ า น ท่ีถู ก จ า คุ ก อ ยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว

การจดทะเบยี นสถานะของบุคคล 1. การเกดิ 1.1 คนเกดิ ในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือ มารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ท่ีคน เกดิ ในบ้านภายใน 15 วนั นับแต่วนั เกดิ

เจ้าบ้าน หมายความว่า ผู้ซ่ึงเป็ น หั วห น้ าค รอ บคร องบ้ าน ในฐ าน ะ เป็ นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่น ใดกต็ าม

1.2 คนเกดิ นอกบ้าน ให้บิดาหรือมารดา แจ้ งต่ อนายทะเบียนผู้รั บแจ้ งแห่ งท้ องท่ีที่จะพึง แจ้งได้ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิด ในกรณีจาเป็ น ไม่ อาจแจ้ งได้ ตามกาหนดให้ แจ้ งภายหลังได้ แต่ ต้องไม่เกนิ 30 วนั นับแต่วนั เกดิ

1.3 เดก็ ในสภาพแรกเกดิ หรือเด็ก อ่อนถูกทอดทิ้ง ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรก เกดิ หรือเดก็ อ่อนซึ่งถูกทอดทิง้ ให้นาเดก็ น้ันไป ส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ ายปกครองหรือตารวจ หรือเจ้าหน้าทปี่ ระชาสงเคราะห์แห่งท้องทท่ี ี่ตน พบเดก็ น้ันโดยเร็ว

2. การตาย 2.1 คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียน ผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ทมี่ ีคนตายภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้านให้ผู้พบศพแจ้งภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ

2.2 คนตายนอกบ้าน ให้บุคคลทไี่ ปกบั ผู้ตาย ห รื อ ผู้ พบศพแ จ้ ง ต่ อ น า ย ทะเ บีย น ผู้ รั บแ จ้ ง แ ห่ ง ท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพแล้วแต่กรณี หรือแห่ง ท้องท่ีท่พี งึ แจ้งได้ภายใน 24 ช่ัวโมง นับแต่เวลาตาย หรือเวลาพบศพ ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงาน ฝ่ ายปกครองหรือตารวจกไ็ ด้

2.3 เม่ือมีคนเกิดหรือคนตาย ผู้ทา คลอดหรื อผู้รักษาพยาบาลต้ องออก หนังสื อรั บรองการเกิดหรื อการตายตาม แบบพิมพ์ที่ผู้อานวยการทะเบียนกลาง กาหนดให้แก่ผู้มหี น้าทตี่ ้องแจ้ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook