Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดวิชาวิถีชีวิตชาวไทลื้อ

ชุดวิชาวิถีชีวิตชาวไทลื้อ

Published by รัตติกรณ์ วงศ์ใหญ่, 2021-06-10 04:49:07

Description: ชุดวิชาวิถีชีวิตชาวไทลื้อ

Search

Read the Text Version

1 คำแนะนำในกำรใช้ชุดวิชำ เพอ่ื ใหก้ ารศึกษาชุดวชิ าน้ี บรรลุความสาเร็จตามจุดมุ่งหมาย ใหผ้ ศู้ กึ ษาทุกท่านปฏบิ ตั ติ าม ข้นั ตอน ดงั น้ี ๑. ชุดวชิ าวถิ ีชีวติ ชาวไทล้ือท่ีทา่ นกาลงั ศกึ ษาอยนู่ ้ี มีเน้ือหาท้งั หมด ๓ ตอน ใชเ้ วลาศึกษา โดยตอ่ เน่ืองหรือควรใชเ้ วลาไม่เกิน ๑ สปั ดาห์ ๒. ชุดวชิ าน้ี ใชศ้ กึ ษาดว้ ยตนเอง ผศู้ กึ ษาควรศึกษา โครงสรา้ งชุดวิชา สาระสาคญั จดุ ประสงคแ์ ละขอบข่ายเน้ือหาในแต่ละตอนใหเ้ ขา้ ใจ ๓. เพอื่ ทดสอบวา่ ผศู้ กึ ษาทีค่ วามรู้พน้ื ฐานเร่ืองวถิ ีชีวติ ชาวไทล้ือมากนอ้ ยเพยี งใด ใหผ้ ู้ ศกึ ษาทาแบบทดสอบตนเองก่อนศึกษาชุดวชิ า แลว้ ตรวจคาตอบจากเฉลยทา้ ยเล่ม ๔. ผศู้ ึกษาควรศึกษาชุดวชิ าแต่ละตอน ต้งั แต่ตอนท่ี ๑ - ๓ และทากิจกรรมทา้ ยตอนท่ี กาหนดใหใ้ นแตล่ ะตอน ๕. เพอื่ ทดสอบความรูค้ วามเขา้ ใจตนเองหลงั ศึกษาชุดวชิ าน้ี ใหผ้ ศู้ กึ ษาทาแบบทดสอบ ตนเองหลงั ศึกษาชุดวชิ า แลว้ ตรวจคาตอบจากเฉลยทา้ ยเล่มอีกคร้ัง …………………………………

2 โครงสร้ำงชุดวชิ ำ วถิ ีชีวติ ชำวไทลือ้ สำระสำคญั ไทล้ือเป็น เผา่ ไทสาขาหน่ึงท่ีต้งั ถิ่นฐาน ณ แควน้ สิบสองปันนา มณฑลยนู นาน ในประเทศ จีน ชาวไทล้ือเป็นชนชาติที่เก่าแก่ มีศลิ ปวฒั นธรรมของตนเอง ไดอ้ พยพเขา้ สู่ประเทศไทยทางดา้ นลา้ นนา ในเขตพ้นื ทหี่ ลายจงั หวดั เช่น เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ เชียงใหม่ ลาพนู และลาปาง มีวถิ ีชีวติ ความเป็ นอยู่ วฒั นธรรมประเพณีทย่ี งั คงรกั ษาเอกลกั ษณ์ของตนเองไวเ้ ป็ นอยา่ งดี ยงั คงสภาพวฒั นธรรมแบบไทล้ือไว้ อยา่ งเหนียวแน่น นบั ต้งั แต่ประเพณีการแต่งกาย เคหะสถานบา้ นเรือนและโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ จริยธรรมแบบ ไทล้ือ ความสะอาด ความสงบ ความขยนั และความสามคั คี สภาพแวดลอ้ มของบา้ นเรือนจะสะอาดร่มรื่น มี สวนครัวแปลงดอกไมร้ อบ ๆ บา้ น มีกี่ทอผา้ ใชใ้ นครัวเรือน และเป็ นอาชีพเสริมรายไดม้ ี ความรัก ความ สามคั คีระหวา่ งคนในหมู่บา้ น ความเอ้ืออาทรระหวา่ งกนั ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะเป็ น เอกลกั ษณ์ท่ดี ีงามของชาว ไทล้ือทจี่ ะรกั ษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมอนั ดีงามไวอ้ ยา่ งมนั่ คง วตั ถุประสงค์ เมื่อศึกษาชุดวชิ าน้ีแลว้ ผศู้ ึกษาสามารถ ๑. ทราบถึงประวตั คิ วามเป็นมาของชาวไทล้อื ๒. ทราบถึงวฒั นธรรมและวถิ ีชีวติ ของชาวไทล้ือ ๓. ทราบถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทล้ือ ๔ .บอกแหล่งเรียนรูว้ ฒั นธรรมไทล้ือได้

3 ขอบข่ำยเนื้อหำ ชุดวิชาน้ี แบง่ เน้ือหาออกเป็ น ๓ ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี ๑ ประวตั ิควำมเป็ นมำของไทลือ้ ๑.๑ ไทล้ือคอื ใคร ๑.๒ การต้งั ถิ่นฐานของไทล้ือในประเทศไทย ๑.๓ ชุมชนไทล้ือในภาคเหนือ ตอนที่ ๒ วฒั นธรรมและวถิ ชี ีวติ ของชำวไทลอื้ ๒.๑ บา้ นเรือนของชาวไทล้ือ ๒.๒ ภาษาและตวั อกั ษรไทล้ือ ๒.๓ อาหารของชาวไทล้ือ ๒.๔ การละเล่นของชาวไทล้ือ ๒.๕ การแต่งกายของชาวไทล้ือ ตอนที่ ๓ ควำมเช่ือและประเพณพี นื้ บ้ำนไทลอื้ ๓.๑ ความเช่ือของชาวไทล้ือ ๓.๒ ประเพณีพน้ื บา้ นไทล้อื ๓.๓ แหล่งเรียนรูว้ ฒั นธรรมประเพณีไทล้ือ

4 แบบทดสอบตนเองก่อนศึกษำชุดวชิ ำ ให้เขยี นเคร่ืองหมำย X ลงบนตวั อกั ษรที่ท่ำนพจิ ำรณำแล้วว่ำถูกต้องทส่ี ุดเพยี งข้อเดียว ๑. ไทล้ือ อพยพมาจากที่ใด ก. ลาว ข. พม่า ค. แควน้ สิบสองปันนา ง. เวยี ดนาม ๒. ชาวไทล้ือ อาศยั อยใู่ นอาเภอใดในจงั หวดั พะเยา ก. แม่ใจ , เมือง ข. ปง , จนุ ค. เชียงคา , เชียงม่วน ง. ถูกทกุ ขอ้ ๓. บา้ นเรือนของชาวไทล้ือ มีลกั ษณะอยา่ งไร ก. บา้ นเด่ียวช้นั เดียว ข. บา้ นเดี่ยวสองช้นั ค. บา้ นทรงไทย ง. บา้ นใตถ้ ุนสูงขนาดใหญ่ ๔. ภาษาล้ือจดั อยใู่ นกลมุ่ ภาษาใด ก. ไท (ไต) ข. ไทยกลาง ค. ไทยคาตี่ ง. ไทยลา้ นนา

5 ๕. ประเพณีการแตง่ กายของชาวไทล้ือ มกั จะยดึ ถือสีอะไร ก. แดง , ขาว ข. แดง , ดา ค. แดง , เขยี ว ง. แดง , น้าเงนิ ๖. งานทาบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ งานบวช งานฉลอง ชาวไทล้ือ นิยมทาขนมใด ก. ขนมเทยี นกบั ขนมปาด ข. ขนมขา้ วตน้ มดั กบั ขนมเทยี น ค. ขนมปาดกบั ขา้ วหนมเสน้ ง. ถูกทุกขอ้ ๗. การละเล่นทกุ ขอ้ เป็ นของชาวไทล้ือ ยกเวน้ ขอ้ ใด ก. การเล่นขโ่ี ก๊ะเก๊ะ ข. การเล่นหมากเกบ็ ค. การเล่นโคบไขเ่ ตา่ ง. การเล่นมา้ กา้ นกลว้ ย ๘. อาหารทย่ี กเวน้ สาหรบั ผหู้ ญิงอยไู่ ฟของชาวไทล้ือ คืออะไร ก. ไข่ ข. ปลาดุก ค. ปลาหางขาว ง. ถูกทุกขอ้ ๙. ของใชป้ ระจาตวั ที่สตรีและบรุ ุษชาวไทล้ือทีใ่ ชป้ ระจาตวั เวลาทแ่ี ต่งกายชุดไทล้ือคอื อะไร ก. กาไล ข. ผา้ ขาวมา้ ค. ถุงยา่ ม ง. ตะกรา้

6 ๑๐. ภาษาล้ือจะมีหลายคาทอ่ี อกเสียงตรงกบั ภาษาทางภาคใด ก. ภาคใต้ ข. ภาคเหนือ ค. ภาคอีสาน ง. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ “””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””

7 ตอนท่ี ๑ ประวตั คิ วำมเป็ นมำของไทลือ้ สำระสำคญั กลุ่มชนทเ่ี รียกตวั เองวา่ “ล้ือ” เป็ นกลุ่มชาติพนั ธุท์ ่ีพดู ภาษาตระกลู ไท คือ ไทล้ือ หรือ ไตล้ือ อาศยั อยใู่ นเขตสิบสองปันนา ทางตอนใตข้ องมณฑลยนู นาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซ่ึงอยู่ ระหวา่ งเสน้ ละตดิ จดู ที่ ๒๑ ๓๑ – ๒๒ ๓๐ เหนือ และลองตจิ ดู ท่ี ๑๐๐-๑๐๑ ๓๐ ตะวนั ออก มีพน้ื ท่ี ประมาณ ๒๕,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร พน้ื ที่ส่วนใหญ่เป็นป่ าเขา มีทร่ี าบแคบ ๆ อยตู่ ามหุบเขาและลุ่มแม่น้าอนั เป็นบริเวณที่อยอู่ าศยั และท่ที ามาหากินของชาวไทล้ือ ซ่ึงมีวฒั นธรรมดา้ นเพาะปลูก โดยเฉพาะการ ทานาในที่ลุ่มเช่นเดียวกบั คนไทยทวั่ ไป แม่น้าโขง เป็ นแม่น้าสายสาคญั ทีไ่ หลผา่ นดินแดนสิบสองปันนา ชาวไทล้ือเรียกวา่ แม่น้าของ ส่วนจีนเรียกวา่ แม่น้าลา้ นชา้ ง และเรียกชาวไทล้ือวา่ ไพอิ (PAI-I) หรือ เสียวไพอิ (SHUI-PAI-I)สิบสองปันนาประกอบดว้ ยเมืองตา่ ง ๆ รวม ๔๔ เมือง โดยมีเมืองสาคญั ๒๘ เมือง ไดแ้ ก่ เมืองเชียงรุ่ง หรือเจียงฮ่ง เมืองลวง เมืองแจ้ เมืองฉาย เมืองสูง เมืองเชียงเจียง เมืองฮุน เมืองปาน เมืองเชียงลอ เมืองวงั เมืองงาด เมืองออน เมืองยาง เมืองฮิง เมืองลา เมืองฮา เมืองเชียงตอง เมืองงอน เมืองหน เมืองแวน เมืองเฮม เมืองลา่ เมืองบอ่ แห้ เมืองพง เมืองหยว่ น เมืองอูเหนือ และเมืองอูใต้ โดยมีเมือง เชียงรุง้ เป็นเมืองหลวง เดิมดินแดนสิบสองปันนาจดั การปกครองเป็ นระบบปันนา โดยการแบ่งหวั เมือง ออกเป็ นกลุ่ม ๆ ท้งั น้ีเพอ่ื ความสะดวกในการจดั เก็บส่วยและผลประโยชนข์ องรฐั โดยแบ่งออกเป็ น ๑๒ ปัน นา ประกอบดว้ ยปันนาเมืองลา่ ปันนาเมืองพง ปันนาเชียงตอง ปันนาอีงู ปันนาอูเหนือ อูใต้ ปันนาอีอู ปันนา เมืองหลวง ปันนาเมืองฮาย ปันนาเมืองหน ปันนาเมืองแจ้ ปันนาเมืองงาด และปันนาม่อนตา่ น โดยมีพระเจา้ แผน่ ดินเป็นประมุข เรียกวา่ เจา้ ฟ้าแสนหวี ประทบั อยทู่ ี่เมืองเชียงรุ่งปกครองดินแดนสิบสองปันนา สืบตอ่ กนั มาต้งั แต่สมยั พญาเจงิ เม่ือ พ.ศ. ๑๗๒๓ รวมท้งั สิ้น ๔๔ พระองค์ นอกจากน้ี ชาวไทล้ือยงั อาศยั อยใู่ น บริเวณภาคตะวนั ออกของรฐั ฉาน ประเทศสาธารณรัฐสงั คมนิยมแห่งสหภาพพม่าอยใู่ นเขตเมืองยอง บางส่วนต้งั ถิ่นฐานอยทู่ างภาคเหนือของประเทศ สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว แถบตะวนั ออก ของแควน้ พงสาลี หลวงน้าทา เมืองสิง ยงั มีหมู่บา้ นไทล้ือกระจายอยตู่ ามลุ่มแมน่ ้าทา และลมุ่ น้าแยงเหนือ ของเมืองหลวงของแม่น้าดาตามแนวชายแดนทต่ี ดิ ตอ่ กบั จีน \\

8 จดุ ประสงค์ เม่ือศึกษำตอนที่ ๑ จบแล้ว ผู้ศึกษำสำมำรถ ๑. ทราบประวตั ิ ความเป็นมาของไทล้ือ ๒. ทราบถึงแหล่งต้งั ถ่ินฐานของไทล้ือในประเทศไทย ๓. ทราบถึงแหล่งต้งั ถ่ินฐานของไทล้ือในภาคเหนือ ขอบข่ำยเนื้อหำ เร่ืองที่ ๑.๑ ไทล้ือคือใคร เร่ืองท่ี ๑.๒ การต้งั ถิ่นฐานของไทล้อื ในประเทศไทย เรื่องท่ี ๑.๓ ชุมชนไทล้ือในภาคเหนือ

9 เร่ืองท่ี ๑.๑ ไทลอื้ คือใคร ระสำคญั ไทล้ือคอื ใคร มีความเป็นมาอยา่ งไร ทาไมจงึ เรียกวา่ เมืองล้ือ ยงั เป็นปัญหาทีย่ งั ไม่กระจ่าง เจีย แยน จอง นกั วจิ ยั ชาวยนู นาน อา้ งถึงตานานปฐมกลั ป์ พรหมสรา้ งโลกของสิบสองปันนา กล่าววา่ “ใน สมยั โบราณ” ไทล้ือไดอ้ พยพจากเมืองล้ือหลวง ซ่ึงอยทู่ างเหนือลงมา ต้งั ถิ่นฐานทเ่ี มืองล้ือใหม่ คือเมือง เชียงรุ้งในปัจจุบนั ( สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ๒๕๓๕ – ๒๕๓๗, หนา้ ๘๑. ) แต่ยงั ไม่อาจคน้ พบไดว้ า่ เมืองล้ือหลวงอยทู่ ีไ่ หนจากขอ้ ความน้ี เราพอสนั นิษฐานไดว้ า่ คาวา่ ล้ือ เป็ นช่ือเมืองใด เมืองหน่ึงในยนู นาน ชนชาตไิ ทยสรา้ งเมืองมาแลว้ ต้งั ช่ือเมืองของตนวา่ “เมืองล้ือ” คาวา่ ล้ือ น้ีอาจเป็ นช่ือ แม่น้าหรือสถานทสี่ กั แห่งหน่ึง ซ่ึงคนเผา่ ไทยมีคตนิ ิยมนามาต้งั ช่ือเป็ นมงคลนาม กลุ่มชนชาติไทยที่อาศยั อยู่ ใน เมืองล้ือ จงึ ถูกเรียกชื่อวา่ ไทล้ือหรือชาวไทล้ือเหมือนอยา่ งท่เี ราเป็ นประชากรของ อาเภอเชียงม่วนวา่ ชาวเชียงม่วน เรียกประชากรของอาเภอเชียงคาวา่ ชาวเชียงคา ตามภาษาพดู ทใ่ี ชใ้ นชีวติ ประจาวนั แตค่ นไทยกลุ่มใดเล่าท่สี ร้างเมืองล้อื อาจารยพ์ เิ ศษ เจียจนั ทร์พงษ์ กล่าววา่ ไทยนอ้ ยไดแ้ ยก ออกเป็ นสองกลุ่ม คอื พวกไทลาว ไดแ้ ก่พวกท่ีมาต้งั หลกั แหล่งในอาณาบริเวณ ฟากตะวนั ออกของแม่น้าโขง ฝั่งประเทศลาว กลุ่มท่สี องพวกไทล้ือหรือไทเมือง คอื พวกท่ีมาต้งั หลกั แหล่งทางฟากตะวนั ตกของแม่น้า โขง ฝั่งประเทศไทย ( มสธ.๒๕๓๖, หนา้ ๑๙๔. ) อาจารยพ์ เิ ศษ ใชค้ าวา่ “ไทล้ือหรือไทเมือง” แสดง วา่ ไทล้ือกบั ไทเมืองคอื คนกลุ่มเดียวกนั โดยนยั น้ีก็แสดงวา่ กลุ่มไทเมืองพระเจา้ สิงหนวตั ิกค็ อื ไทล้ือนนั่ เอง ที่เรียกวา่ ไทล้ือ เพราะไปสรา้ งเมืองล้ือ (หลวง) เป็ นถ่ินอาศยั ใหม่ จงึ ไดช้ ่ือใหม่ตามชื่อเมือง ท้งั น้ีอาจเป็ น เพราะวา่ เม่ือไทเมืองเสียอาณาจกั รน่านเจา้ แก่จีนแลว้ ไทเมืองกลุ่มหน่ึง คงช่วยกนั ฟ้ื นฟูสร้างบา้ นเมืองข้ึนมา ใหม่เรียกชื่อวา่ เมืองล้ือ และน่าจะเป็นเมืองคอ่ นขา้ งใหญเ่ พราะใชค้ าวา่ ล้ือหลวง ต่อมายา่ คาแดง ไดน้ าไทล้ือกลุ่มหน่ึงจากเมืองล้ือหลวง เดินทางมุ่งลงใต้ ใชเ้ วลาเดินทางอพยพถึง สองปี มาถึงริมแม่น้าแห่งหน่ึง จงึ ไดส้ ร้างบา้ นแปงเมืองข้นึ เป็ น “เมืองล้ือใหม”่ ปัจจบุ นั คือเมืองเชียงรุ้ง แต่ อยา่ งไรก็ตาม หลกั ฐานท่ี เจีย แยน จอง นามาเสนอไวแ้ สดงวา่ “ล้ือ” ในช้นั แรกเป็ นช่ือเมือง เม่ือชนชาติไทย กลุ่มหน่ึงไปต้งั ถน่ิ ฐานในเมืองล้ือ จงึ ไดช้ ื่อวา่ “ไทล้ือ” และคนไทยกลุม่ น้นั น่าจะเป็นกลุ่มไทเมืองของ สิงหนวตั ิกมุ าร โดยสรุปจากหลกั ฐานของอาจารยพ์ เิ ศษ เจียจนั ทร์พงษ์ ทอ่ี า้ งมาแลว้ น้นั และพระเจา้ สิงหวตั ิ ก็เป็ นกษตั ริยข์ องชาวไทล้ือ โยนกนคร (เชียงแสน) ก็เป็นอาณาจกั รของชาวไทล้ือ

10 เรื่องที่ ๑.๒ กำรต้งั ถน่ิ ฐำนของไทลอื้ ในประเทศไทย 2.2 สาหรบั ในประเทศไทย ชาวไทล้ือไดอ้ พยพเขา้ มาต้งั ถ่ินฐานตามหวั เมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือ ดว้ ยเหตุผลทางการเมืองระหวา่ งรฐั ตามนโยบาย “เก็บผกั ใส่ซา้ เกบ็ ขา้ ใส่เมือง” ของเจา้ ผคู้ รองลา้ นนาใน อดีต โดยเฉพาะสมยั รตั นโกสินทร์ตอนตน้ ไทยตอ้ งทาศึกสงครามกบั พม่าเพอ่ื ขบั ไล่พม่าออกไปจากลา้ นนา ดว้ ยการสนบั สนุนของเจา้ นายฝ่ายเหนือจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๔๗ ก็สามารถยดึ เมืองเชียงแสนซ่ึงเป็นทม่ี น่ั แห่งสุดทา้ ยของพม่าในลา้ นนาไดส้ าเร็จ แต่พม่ากย็ งั มีอิทธิพลอยสู่ ิบสองปันนา และหวั เมืองล้อื เขิน ดงั น้นั กองทพั ของเจา้ นายฝ่ ายเหนือโดยการนาของเจา้ กาวลิ ะ จึงไดย้ กข้ึนไปตสี ิบสองปันนา แลว้ ถือโอกาส อพยพผคู้ นลงมาสู่บา้ นเมืองเพอ่ื ตดั กาลงั ของขา้ ศึกและป้องกนั ไม่ใหก้ องกาลงั ของพม่าท่ถี กู ขบั ไลอ่ อกจาก ลา้ นนาไปใหห้ วั เมืองตา่ ง ๆ ในสิบสองปันนาทเี่ ป็ นช่องสุมกาลงั กลบั มาโจมตีหวั เมืองฝ่ายเหนืออีก ดงั น้นั ในปัจจุบนั จึงมีชุมชนไทล้ือกระจายอยใู่ นจงั หวดั ต่าง ๆ ทางภาคเหนือ คอื เชียงใหม่ ลาพนู ลาปาง แพร่ น่าน เชียงราย และพะเยา นอกจากน้ี มีชาวไทล้ือบางกลุ่มทอ่ี พยพเขา้ มาเพมิ่ เตมิ เพอ่ื ล้ีภยั ทางการเมือง ภายหลงั จากจีนเปลี่ยนแปลงเขา้ สู่ระบบคอมมิวนิสตแ์ ละบางส่วนไดอ้ พยพโยกยา้ ยออกจากหมู่บา้ น เพอ่ื แสวงหา พน้ื ทท่ี ากินท่เี หมาะสม

11 3 เร่ืองท่ี ๑.๓ ชุมชนไทลือ้ ในภำคเหนือ ในปัจจบุ นั ชาวไทล้ือไดก้ ระจายกนั ต้งั ถิ่นฐานอยใู่ นจงั หวดั ต่าง ๆ ในภาคเหนือมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี จังหวัดเชียงใหม่ มีชุมชนไทล้ืออยทู่ บี่ า้ นหลวง ตาบลลวงเหนือ อาเภอดอยสะเกด็ ซ่ึงเป็ นชาวไทล้ืออพยพ เขา้ มารุ่นแรก ๆ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ ในสมยั พระเจา้ สามฝั่งแกนและบา้ นแม่สาบ อาเภอ สะเมิง นอกจากน้ียงั มีหมู่บา้ นไทล้ือท่อี าเภอสนั กาแพงและสนั ทรายอีกดว้ ย จงั หวดั ลำพูน เป็ นจงั หวดั ที่มีชาวไทล้ืออพยพเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานมากท่ีสุดส่วนใหญอ่ พยพมาจากเมืองยอง ต้งั หมู่บา้ นอยใู่ นเขตอาเภอเมือง อาเภอป่ าซาง อาเภอบา้ นโฮง้ อาเภอแม่ทา อาเภอล้ี และ ก่ิงอาเภอทุ่งหวั ชา้ ง ดงั น้ี อาเภอเมืองมี ๑๓ ตาบล ไดแ้ ก่ตาบลป่ าสกั ตาบลบา้ นแป้น ตาบลบา้ นกลาง ตาบลมะเขอื แจ้ ตาบลอุโมงค์ ตาบลเหมืองง่า ตาบลบา้ นธิ ตาบลริมปิ ง ตาบลเหมืองจ้ี ตาบลตน้ ธง ตาบล ประตปู ่ า ตาบลหว้ ยยาบ และตาบลเวยี งยอง อาเภอป่ าซางมี ๑๑ ตาบล ไดแ้ ก่ตาบลปากบอ่ ง ตาบลป่ าซาง ตาบลแม่แรง ตาบลม่วงนอ้ ย ตาบลบา้ นเรือน ตาบลมะกอก ตาบลน้าดิบ ตาบลท่าตุม้ ตาบลหนองยอง ตาบลหนองล่อง ตาบลเจดีย์ อาเภอบา้ นโฮง้ มี ๓ ตาบล ไดแ้ ก่ตาบลบา้ นโฮง้ ตาบลเหล่ายาว ตาบลศรีเต้ยี อาเภอแม่ทา มี ๔ ตาบล ไดแ้ ก่ ตาบลทาปลาดุก ตาบลทา่ กาศ ตาบลทาทุง่ หลวง ตาบลทาขนุ เงิน อาเภอล้ี มี ๒ ตาบล ไดแ้ ก่ ตาบลล้ี ตาบลแม่ตื่น ก่ิงอาเภอทงุ่ หวั ชา้ ง มี ๑ ตาบล คอื ตาบลตะเคียนปม จังหวดั เชียงรำย มีชาวไทล้ือมีบา้ นหว้ ยเมง็ บา้ นทา่ ขา้ มและบา้ นศรีดอนไชย ในเขตอาเภอเชียงของ และบา้ นสนั บุญเรือง อาเภอแม่สาย บา้ นโป่ งแดง ตาบลหว้ ยทรายขาว และบา้ นกลว้ ยแม่แกว้ ตาบลสนั มะเคด็ อาเภอพาน จังหวัดพะเยำ มีชาวไทล้ืออาศยั อยจู่ านวนมากท่อี าเภอเชียงคา อาเภอเชียงม่วน อาเภอเชียงคา มีที่ ตาบลหยว่ น ไดแ้ ก่ บา้ นหยว่ น บา้ นธาตุสบแวน บา้ นแดนเมือง บา้ นมาง ตาบลเชียงบาน ไดแ้ ก่ บา้ นชียงบาน บา้ นแพด บา้ นแวน บา้ นทงุ่ มอก บา้ นเชียงคาน ตาบลฝายกวาง ไดแ้ ก่ บา้ นหนองล้ือ ตาบลเวยี ง ไดแ้ ก่ บา้ นลา้ บา้ นไชยพรม ก่ิงอาเภอภซู างมีทีต่ าบลภูซาง ไดแ้ ก่บา้ นหนองเลา บา้ นหว้ ยไฟ ตาบลสบบง ไดแ้ ก่ บา้ นสบบง บา้ นดอนตนั อาเภอเชียงม่วน ไดแ้ ก่ บา้ นทา่ ฟ้าใต้ บา้ นทา่ ฟ้าเหนือ

12 จังหวัดน่ำน มีหมู่บา้ นไทล้ือกระจายอยทู่ วั่ ไปในเขตอาเภอเมือง อาเภอทา่ วงั ผา อาเภอปัว อาเภอ เชียงกลาง อาเภอทุ่งชา้ ง กิ่งอาเภอทุ่งหลวง และก่ิงอาเภอแม่จริม อำเภอเมือง มีทีต่ าบลดู่พงษ์ อาเภอทา่ วงั ผา ที่ตาบลศรีภมู ิ ตาบลสบยม ตาบลจอมพระ ตาบลแสงทอง ไดแ้ ก่ บา้ นแฮะ บา้ น ฮวก บา้ นป่ า คา ไดแ้ ก่บา้ นตน้ ฮาง บา้ นหนองบวั อาเภอปัว มีทีต่ าบลปัว ไดแ้ ก่ บา้ นรอ้ งแง บา้ นมอน บา้ นดอกแกว้ บา้ นต้ดึ บา้ นขอย บา้ นศิลาแลง ไดแ้ ก่บา้ น ตนี ตกุ บา้ นดอนไชย บา้ นศาลา บา้ นหวั น้า บา้ นศลิ าเพชร ไดแ้ ก่ บา้ นนาคา บา้ นป่ าตอง บา้ นดอนมูล บา้ นดอนแกว้ บา้ นทุ่งรตั นา อาเภอเชียงกลาง มีท่ีตาบลยอด ไดแ้ ก่บา้ นปงสา้ น บา้ นผาสิงห์ บา้ นผาหลกั บา้ นยอด อาเภอทงุ่ ชา้ ง มีที่ตาบลงอบ ไดแ้ ก่บา้ นงอบเหนือ บา้ นงอบใต้ ตาบลหอน ไดแ้ ก่บา้ นหว้ ยโก๋น บา้ นหว้ ยแกง บา้ นเมืองเงิน ตาบลแพะ ไดแ้ ก่บา้ นเต๋ย บา้ นสะหลี จังหวดั แพร่ ชาวไทล้ืออาศยั อยตู่ าบลบา้ นถิ่น อาเภอเมืองแพร่ จังหวดั ลำปำง มีหมู่บา้ นไทล้ือทีต่ าบลกลว้ ยแพะ อาเภอเมืองลาปาง ๕ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่บา้ นกลว้ ย หลวง บา้ นกลว้ ยแพะ บา้ นกลว้ ยฝาย บา้ นกลว้ ยกลาง และบา้ นกลว้ ยม่วง ส่วนตาบลน้าโจ้ อาเภอแม่ทะ มี ๒ หมู่บา้ น ไดแ้ ก่บา้ นแม่ปุง และบา้ นฮอ่ งหา้ ซ่ึงเป็ นเขตตดิ ตอ่ กบั ตาบลกลว้ ยแพะ

13 กจิ กรรมที่ ๑ เม่ือท่ำนได้ศึกษำชุดวชิ ำ ตอนท่ี ๑ จบแล้ว ให้ตอบคำถำมดงั ต่อไปนี้ ๑ ชาวไทล้ือ ในประเทศไทยมีประวตั คิ วามเป็ นมาอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. ๒. ในประเทศไทยมีการต้งั ถิ่นฐานของชาวไทล้ือท่ีใดบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. ๓. ในภาคเหนือของไทยมีชุมชนไทล้ืออาศยั อยใู่ นจงั หวดั ใดบา้ ง …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………..

14 ตอนท่ี ๒ วฒั นธรรมชีวติ ควำมเป็ นอยู่ของชำวไทลือ้ สำระสำคญั ชาวไทล้ือเป็นกลมุ่ คนไทยกลุ่มหน่ึงที่อาศยั อยใู่ นประเทศไทยซ่ึงมีประวตั คิ วามเป็ นมาพร้อม ๆ กบั คนไทยอกี หลาย ๆ กลุ่ม ทม่ี ีวถิ ีชีวติ ความเป็นอยขู่ นบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรม ทคี่ ลา้ ยคลึงกนั มี เอกลกั ษณ์เป็นของตนเอง ไทล้ือจะมาจากเมืองใดในสิบสองปันนา ตา่ งก็มีภาพรวมของบคุ ลิกลกั ษณะและ วฒั นธรรมไม่แตกต่างกนั มากนกั เช่น เป็ นคนรูปร่างสนั ทดั ผวิ ขาว สาเนียงภาษาเป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะตน ความงดงามของเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะผหู้ ญิงสามารถทอผา้ ใชเ้ องทีเ่ รียกวา่ ผา้ ทอไทล้ือ วฒั นธรรมและ วถิ ีชีวติ เหล่าน้ีถึงแมเ้ วลาจะเน่ินนาน และระยะทางของการเดินทางจะไกลแสนไกล แต่กย็ งั ฝังอยใู่ น สายเลือดของชาวไทล้ือตลอดไป วตั ถปุ ระสงค์ ๑. อธิบายถึงวถิ ีชีวติ ของชาวไทล้ือได้ ๒. สามารถเขา้ ใจถึงขนบธรรมเนียมประเพณีการละเล่นของชาวไทล้ือ ๓. บอกถึงวฒั นธรรมการสร้างที่อยอู่ าศยั และการดาเนินชีวติ ของชาวไทล้ือได้ ๔. ทราบถึงวฒั นธรรมทางดา้ นภาษาของชาวไทล้ือ ขอบข่ำยเนื้อหำ เรื่อง ๒.๑ บา้ นเรือนของชาวไทล้ือ เรื่อง ๒.๒ ภาษาและตวั อกั ษรไทล้ือ เรื่อง ๒.๓ อาหารของชาวไทล้ือ เรื่อง ๒.๔ การละเล่นของชาวไทล้ือ เร่ือง ๒.๕ การแตง่ กายของชาวไทล้ือ

15 เร่ืองท่ี ๒.๑ บ้ำนเรือนของชำวไทลอื้ บา้ นเรือนของชาวไทล้ือ มีลกั ษณะคลา้ ยกบั เรือนโบราณทางภาคเหนือ ทีเ่ รียกวา่ บา้ นแบบ คนเมือง คอื ใตถ้ ุนสูงเพอื่ ความสะดวกตามสภาพภมู ิอากาศ เรือนไทล้อื น้นั จะปลูกเป็ นเรือนขนาดใหญ่คอื มีตวั เรือนใหญ่ ชาน ยงุ้ ขา้ วมีส่วนที่เรียกวา่ ระเบียง ( ภาษาไทยล้ือ เรียก คอ่ ม ) ส่วนภายในตวั เรือนจะ มีหอ้ งโถง ซ่ึงใชเ้ ป็นท่ีหลบั นอน และสาหรบั สมาชิกในครอบครวั โดยแบง่ กนั อยอู่ ยา่ งสงบสุข จะแบง่ ออกเป็น ๒ ส่วน คอื ส่วนทีใ่ ชส้ าหรบั แขกพกั กบั ส่วนที่ใชส้ าหรับสมาชิกบา้ น ท่ีพกั ของแขกจะมีฝาก้นั แบ่งเป็ นสดั ส่วน ส่วนที่นอนรวมสมาชิกในครัวเรือน จะแบง่ โดยเพยี งใชม้ ่านก้นั เท่าน้นั ส่วนทางดา้ นหนา้ ของหอ้ งนอนแบ่งเป็ นค่อมและครัวไฟ ครัวไฟจะเป็นระบบด้งั เดิม คอื รวมกบั ตวั อาคาร อนั แสดงถึงการท่ี ไม่ไดแ้ ยกเน้ือท่ใี หเ้ ป็นสดั ส่วนท่กี ่อไฟใชไ้ มค้ อ่ นขา้ งหนาประกอบกนั ใหเ้ ป็ นรูปสามเหล่ียม ใส่ดินเหนียวไว้ ขา้ งในใหเ้ ตม็ และใชเ้ ป็นท่สี าหรับหุงหาอาหารใชฟ้ ื นเป็ นเช้ือเพลิง นอกจากน้นั ยงั ใชป้ ระโยชน์ในการก่อ ไฟเพอื่ ใหค้ วามอบอุ่น ลกั ษณะการปลูกเรือน ในลกั ษณะน้ี เป็นลกั ษณะด้งั เดิม ทส่ี ุดทนี่ ิยมกนั มา แมแ้ ต่พวก ชาวเขาในภาคเหนือบางเผา่ ยงั นิยมปฏิบตั ิกนั อยู่ ตอ่ จากเรือนใหญก่ ็เป็ นชาน ( ไทล้ือเรียกแผแ้ หล้ ) ยงุ้ ขา้ ว และรา้ นน้า ( ฮา้ งน้า ) หนา้ ประตูร้ัว กจ็ ะต้งั ฮา้ งน้า สาหรับผเู้ ดินทางและแขกทม่ี าเทยี่ วบา้ น ไดด้ ่ืมน้าตาม ประเพณีอยา่ งหน่ึงของคนไทย แสดงถึงการตอ้ นรับดว้ ยน้าใสใจจริง ยงุ้ ขา้ วยงั แบ่งออกเป็ นสองตอน คอื ตอนที่ใชเ้ ก็บขา้ วและระเบยี ง ระเบียงหนา้ ยงุ้ ขา้ วน้นั เป็นที่นงั่ พกั ผอ่ นทางานอดิเรกเช่น สานตะกรา้ ปั่นดา้ ย ฯลฯ ฝาเรือนของไทล้ือ มีท้งั ฝาแบบตรง ชนิดเอียง ออกมาเหมือนเรือนทางเชียงใหม่ทาใหเ้ ขา้ ใจวา่ เหตุท่ีนิยมทาฝาเรือนเอียงไปน้นั ไดป้ ระโยชนห์ ลายอยา่ ง เช่น ทาใหว้ างของตา่ ง ๆ และเป็นไมค้ ้ายนั หลงั คาอีกดว้ ย โดยใชไ้ มเ้ คร่าฝาต้งั จากพน้ื ข้ึนไปยนั แป และมีเตา้ ยดึ จากเสาอีกช้นั หน่ึง ซ่ึงเหมือนกบั เรือนโบราณทางภาคกลางท่นี ิยมมีทา้ วแขน เพอ่ื กนั ปี กนกอ่อนและช่วย

16 ยดึ ความมนั่ คง ของตวั เรือน ไดอ้ ยา่ งดี บา้ นไทล้ือไมม่ ีหนา้ ตา่ งใชว้ ธิ ีเจาะช่องไวท้ ี่ฝาแตบ่ างช่องเพยี ว การที่ นิยมปลูกเรือนไม่มีหนา้ ต่าง เช่นน้ี เพราะสภาพของดินฟ้าอากาศทางตอนเหนือ ๆ ข้ึนไป มีอากาศหนาวเยน็ และยงั คงยดึ รูปแบบเดิมอยู่ ฝาเรือนของไทล้ือ แยกออกไดเ้ ป็น ๒ ชนิด คือชนิดที่ใชไ้ มจ้ ริงและชนิดทีใ่ ชไ้ มไ้ ผส่ าน แบบราแพนหรือขดั แตะ ถา้ เป็นฝาไมจ้ ะวางเรียงเป็ นรูปต้งั ตามความสูงของตวั บา้ น ส่วนยงุ้ ขา้ วจะเป็ นฝาขดั แตะหลงั คาจะใชห้ ญา้ คามุง โดยการนาเอาหญา้ แหง้ มาสานกบั ไมร้ วกโดยการนาเอาตอกมาถกั เป็ นตวั ยดึ สานใหไ้ ดข้ นาดส้นั ยาวตามความตอ้ งการ แลว้ ใชม้ ุงหลงั คาแทนกระเบ้อื ง หรือสงั กะสี ชาวไทล้ือ ส่วน ใหญ่นิยมใชค้ ามุงหลงั คา เพราะเสียคา่ ใชจ้ ่ายนอ้ ยแลว้ ทาใหอ้ ากาศภายในบา้ นเยน็ สบายไม่รอ้ นเหมือน สงั กะสีและกระเบ้ือง แต่ปัจจุบนั หาคาไดย้ ากข้ึน

17 เร่ืองท่ี ๒.๒ ภำษำและตัวอกั ษรไทลอื้ คนไทล้ือ มีภาษาพดู และตวั อกั ขระหรือตวั เขยี นใชเ้ องมานาน เป็ นเอกลกั ษณ์ของไทล้ือ เหมือนกบั คนไทยอน่ื ทมี่ ีภาษาเป็ นของตวั เอง เช่น ไทยคาต๋ี ในประเทศอินเดีย ไทยใหญ่ หรือไทยเขิน ในสหภาพพม่า ไทยดา ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือไทยขาวในเวยี ดนาม ไทยตงั เก๋ีย ในสาธารณรฐั ประชาชนจีน ไทยโยนก ไทยยวน หรือไทยลา้ นนา ในประเทศไทย ภาษาล้ือจดั อยใู่ นกลุ่มภาษาตระกูลไท (ไต) เพราะภาษาท้งั สองมีความคลา้ ยคลึงกนั มาก ท้งั เสียงพยญั ชนะเสียงสระ คาศพั ทพ์ ้นื ฐานร่วมกนั และการเรียงคาเขา้ ประโยคเป็ นตน้ ภาษาพดู ไทล้ือน่าสนใจศกึ ษามาก ลกั ษณะเด่นของภาษาล้ือคอื การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ ภายในคา โดยการเปล่ียนระดบั ของลิ้น เช่นภาษาไทย หรือภาษาลา้ นนามีเสียงสระ เอ เออ โอ ตรงกบั คา ในภาษาล้ือท่มี ีเสียง อิ อึ อุ ตวั อย่ำง ภำษำล้ำนนำ ภำษำลือ้ ภำษำไทย คน กนุ คน เป่ น ป๊ิ น เป็ น เงนิ งนึ เงนิ และภาษาล้ือมีเสียงสระเด่ียวมีท้งั สระเสียงส้นั สระเสียงยาว และภาษาล้ือจะไม่มีสระ ประสมเลย ตัวอย่ำง ภำษำล้ำนนำ ภำษำลื้อ ภำษำไทย เก๋ีย เกอ๊ เกลือ กว้ ย โก๋ย กลว้ ย เป็ นทีน่ ่าสงั เกตวา่ ภาษาล้ือจะมีหลายคาที่ออกเสียงตรงกบั ภาษาภาคใต้ ถา้ ใหค้ นล้ือพดู ภาษาล้ือกบั คนภาคใตท้ ี่พดู ภาษาปักษใ์ ตจ้ ะพดู กนั พอรู้เรื่อง (แตภ่ าษาปักษใ์ ตพ้ ดู เร็วกวา่ ภาษาไทล้ือ)

18 ตวั อกั ขระไทล้อื อกั ษรไทล้อื กบั ไทยวน (ลา้ นนา) ใชร้ ่วมกนั บางคร้งั จะสะกดเหมือนกนั โดยเฉพาะเสียง สระ อกั ษรธรรมที่จารในคมั ภรี ์จะเป็ นอกั ขระเดียวกนั ดงั น้ี อกั ขระ สระ วรรณยกุ ต์ ตวั เลขของไทล้ือเทยี บอกั ษรไทยกลาง

19

20 เรื่องที่ ๒.๓ อำหำรของชำวไทลือ้ การกินอยขู่ องชาวไทล้ือ มกี ารกินอยอู่ ยา่ งงา่ ย ๆ ไม่พถิ ีพถิ นั อาหารทหี่ าไดจ้ ากธรรมชาติ ตามฤดูกาล เช่นหน่อไม้ ผกั ตา่ ง ๆ รบั ประทานขา้ วเหนียวเป็ นหลกั แต่ละม้ือมกั มีอาหารเพยี งอยา่ งเดียว อาจเป็ นน้าพริกกบั ผกั น่ึง แกงขนุนออ่ นหรือแกงผกั ตา่ ง ๆ อาหารท่ีชาวไทล้ือนิยมรบั ประทานกนั ทว่ั ไปมีแกงผกั ต่าง ๆ เช่น ผกั เสว้ ( ผกั เส้ียว ) ผกั หละ ( ชะอม ) ของชาวลา้ นนา โขลกกบั พริก ตะไคร้ หอมกระเทียม เป็นน้าพริกแกงใส่ปลารา้ หรือ น้าปลา ส่วนอาหารประเภทหน่อไมจ้ ะใส่น้าป๋ ู ( น้าปู ) เช่น ยาหน่อไม้ แกงหน่อไม้ จากแกงยงั มี “ซา้ ” เช่น ซา้ ผกั กาด ซา้ มะเขอื มี “ยา” เช่น ยาหน่อไม้ และอาหารประเภท “ตา” และซา้ ตา่ ง ๆ ชาวไทล้ือนิยมใส่งาดา มีอาหารงา่ ย ๆ กินแกข้ ดั เมื่อไม่มอี าหารอื่นคอื การนางาดามาคว่ั ใหห้ อมป่ นใหล้ ะเอียดคลุก กบั ขา้ วเหนียวน่ึง ใส่เกลือนิดหน่อย เรียกวา่ “ขา้ วก้นั งา” หรืออาจใชง้ าอีกชนิดหน่ึงแทนโดยไม่ตอ้ งควั่ ทา วธิ ีเดียวกนั จะได้ “ขา้ วก้นั งาข้มี อ้ น” หอมอร่อยน่ารบั ประทาน อำหำรไทลอื้ ท่ีนิยมกนั มำก นำ้ ปู หรือ นำ้ ป๋ ู น้าปหู รือน้าป๋ ู ทามาจากปนู าโขลกละเอียด คน่ั เอาแตน่ ้าใส่หมอ้ ท้งิ ไวป้ ระมาณ ๒ วนั จนมี กลิ่นฉุนนิด ๆ แลว้ นาไปเค้ยี วจนแหง้ งวด จะไดน้ ้าปขู น้ ๆ เหนียว ๆ สีดาคล้า เวลาจะนามาปรุงเป็ นอาหาร ใหโ้ คลกพริกหนุ่มเผา กระเทียม ตะไคร้ ใชจ้ มิ้ หน่อไมห้ รือผกั ต่าง ๆ นำ้ ผกั น้าผกั ใชท้ าน้าพริกไดจ้ ากการหมกั ดองผกั กาดจอ้ นบดละเอียด ผสมน้า เกลือ ขา้ วเหนียว ทง้ิ ไวร้ าว ๒-๓ คืน จนไดร้ สเปร้ียวแลว้ นาไปเค้ยี วจนแหง้ จะไดก้ ากน้าผกั สีเขยี วคล้า เกบ็ ไวก้ ินไดน้ าน เช่นเดียวกบั น้าปู เวลาจะนามาปรุงอาหาร ก็ใหโ้ ขลกเครื่องปรุง พริก กระเทยี ม กินกบั ปลายา่ งหรือปลาปิ้ ง ไก “ไก” หรือ “เตา” เป็ นสาหร่ายน้าจดื นามาจากแม่น้าโขงซ่ึงจะนามาตากแหง้ เป็ นแผน่ ที่เห็น วางขายในตลาด มีบางฤดูกาลเท่าน้นั โดยนามาป้ิ งไฟอ่อน ๆ ระหวา่ งป้ิ งใหท้ าน้ามนั ไปดว้ ย พอเร่ิมกรอบ ใชส้ องมือยจี นร่วนคลุกกบั กากหมู กระเทียมเจยี ว เกลือ ทานกบั ขา้ วเหนียว แอ่งแถะ “แอ่งแถะ” เป็ นอาหารไทล้ือโดยเฉพาะ โดยจะใชใ้ นแอ่งแถะซ่ึงเป็ นพชื ทีม่ ีลกั ษณะเป็ น เถา นาท้งั ใบและเครือมาบดละเอียดผสมกบั น้านิดหน่อย ค้นั แลว้ กรองเอาแตน่ ้า ประมาณ ๓-๔ คร้งั เม่ือได้

21 น้าสีเขยี ว นาใส่ภาชนะทิง้ ไวข้ า้ มคนื เพอื่ ใหแ้ ข็งตวั เหมือนวนุ้ จากน้นั ตดั ออกมาเป็ นช้ิน ๆ ใส่เครื่องปรุง พริกป่ น เกลือ ถวั่ ลิสงป่ น มะกอกเปร้ียว ตน้ หอม ผกั ชี จะไดย้ าแอ่งแถะซ่ึงเป็ นอาหารโปรดของชาวไทล้ือ อำหำรคนชรำ ผเู้ ฒ่าชาวล้ือโดยเฉพาะผหู้ ญงิ บางคนนิยมกินขา้ วกบั ผลไมเ้ ช่นเดียวกนั ชาวชนบทไทยอ่ืน เช่นกินขา้ วเหนียวกบั กลว้ ยสุก มะม่วงสุก บางคร้ังกินกบั น้าออ้ ยปึ ก อำหำรเดก็ อ่อน สมยั ก่อนทารกแรกเกิดจนอายุ ๗ วนั จะไดด้ ื่มแต่นมแม่เพยี งอยา่ งเดียว เมื่อออกเดือน แลว้ จึงกิน “ขา้ วหม่าม” เป็ นขา้ วเหนียวน่ึงของเดก็ เค้ียวจนละเอียด คายใส่ถว้ ย ตกั ป้อนเดก็ โตอีกหน่อยอายุ ประมาณ ๓ เดือน กิน “ขา้ วหม่ามสูนกลว้ ย” คือแม่เดก็ เค้ยี วขา้ วเหนียวปนกลว้ ยน้าวา้ สุกคายใส่ถว้ ย ตกั ป้อนเดก็ โดยไม่ตอ้ งนาไปทาใหส้ ุก ปัจจุบนั ไม่นิยมกนั แลว้ ใชว้ ธิ ีบดขา้ วสุกสาหรับทารกแรกเกิด เด็กโต หน่อยใชข้ า้ วบดกบั กลว้ ยสุก เมื่อเด็กรอ้ ง “ปา ปา” ไดใ้ หป้ ้อนขา้ วกบั ปูนา ตอ้ งใหเ้ กิดกินปกู ่อนกินปลา ถา้ กินปแู ลว้ ไม่เกิดโรคภยั อนั ใดตอ่ ไปจงึ จะใหก้ ินปลาไดเ้ มือ่ กินปลาไดอ้ ายุ ๓ ปี จงึ เร่ิมใหก้ ินอาหารอยา่ ง ผใู้ หญไ่ ด้ อำหำรของผู้หญิงหลงั คลอดบุตร ผหู้ ญิงทีค่ ลอดลูกขณะอยไู่ ฟเรียกวา่ “อยเู่ ดิน” ในสมยั ก่อนตอ้ งระวงั เรื่องอาหารการกิน หากกินอาหารผดิ จะเกิดอาการผดิ เดือน เป็ นอนั ตรายแก่หญิงอยไู่ ฟมาก ๗ วนั แรกจะกินไดแ้ ตข่ า้ วเหนียวน่ึง นาไป “แองไฟ” คอื ยา่ งไฟพลิกกลบั ไปกลบั มา จนไหมเ้ กรียม กินกบั น้าพริกดา ซ่ึงทาจากพริก “หิงไฟ” จนไหมด้ านาไปโขลกกบั เกลือควั่ จนละเอียดอยา่ งอ่ืนทจ่ี ะกินไดม้ ีปลาป้ิ ง ซ่ึงตอ้ งเลือกปลาบว้ ง (ปลาเกลือ) ปลาหางดา เน้ือหมูป้ิ ง หา้ มกินปลาดุก ปลาหางขาว จาพวกผกั กินไดแ้ ต่ผกั สีขาว เช่นผกั กาด หา้ มกินไขจ่ ะ ทาใหแ้ ผลหายยาก อำหำรตำมเทศกำล ชาวไทล้ือจะกินอยา่ งประหยดั แต่ถึงคราวมีงานบุญจะทาอาหารเล้ียงดูกนั อยา่ งเตม็ ท่ี อาหารคาวนิยมทาลาบ หลู้ คลา้ ยกบั ชาวชนบทลา้ นนา ส่วนอาหารหวานนิยมทาตามฤดกู าล เช่น ขนมจอ๊ ก หรือขนมเทยี น นิยมทาในเทศกาลเขา้ พรรษา ออกพรรษา ประเพณี ก๋ินขา้ วสลาก หรือ ตานก๋วยสลาก ขนมปำด ทาจากแป้งขา้ วเหนียวกวนกบั น้าตาลและกะทิ นิยมทาในงานทาบญุ ข้ึนบา้ นใหม่ งานบวช งานฉลอง ข้ำวแคบ หรือขา้ วเกรียบวา่ ว ทาจากขา้ วสารท่ีใชห้ ุงแช่น้าแลว้ เอาไปโม่ใหล้ ะเอียดนามา ผสมกบั งาดาใส่เกลือไปนิดหน่ึง มีวธิ ีทาเช่นเดียวกบั ขา้ วเกรียบวา่ ว โดยทว่ั ไป คือพอราดเทลงบนหมอ้ ขา้ ว เกรียบแลว้ นาไปตากใหแ้ หง้ ถึงเวลากินก็นาไปทอดเพอื่ กินกบั ขนมปาดหรือจะนาไปยา่ งไฟ กินกไ็ ด้ จะทา เฉพาะในเทศกาลสงกรานต์ ซ่ึงนบั เป็ นวนั ข้ึนปี ใหม่ ข้ำวหนมเส้น หรือขนมจีน นิยมทากนั ในงานฉลองตา่ ง ๆ งานบวช และงานสงกรานต์

22 กำรอีดอ้อย การอีดออ้ ยเป็นการนาออ้ ยมาบดโดยการใชค้ วานหรือเคร่ืองท่นุ แรง เช่น รถไถมาติดกบั อุปกรณ์ในการรีดน้าออกจากกา้ นออ้ ย แลว้ นาน้าออ้ ยมาทาเป็นน้าออ้ ยสด หรือน้าออ้ ยกะทิ - น้าออ้ ยสด นามาผสมกบั น้าแขง็ หรือแช่เยน็ ไวด้ ื่มแกก้ ระหาย  น้าออ้ ยกะทิ นาน้าออ้ ยสดมาเคย่ี วใหง้ วดแลว้ เอามาหยอดเป็ นกอ้ น ๆ เพอื่ ใชแ้ ทน น้าตาลใน การทาขนมต่าง ๆ สามารถเก็บไวไ้ ดน้ าน บ้งั นำ้ ทาจากการเอาไมไ้ ผเ่ ลือกใหม้ ีขนาดความยาวของขอ้ ปลอ้ งประมาณ ๑ เมตร มาตดั แลว้ นามาเจาะขอ้ ปลอ้ งออก ๑ ขอ้ เพอื่ จะเอาน้าใส่ลงไปในกระบอกไมใ้ ชส้ าหรับด่ืมชาวไทล้ือสมยั ก่อนเวลาทา นา ทาสวน ก็จะเอาบ้งั น้าใส่น้าไวด้ ื่มกินดว้ ย บ้งั ซอก ทามาจากไมไ้ ผห่ รือไมร้ วกก็ไดน้ ามาตดั ใหป้ ลายเปิ ดหมดทางดา้ นบนเหลือขอ้ ตอ่ ไวั ๑ ขอ้ สาหรับไวเ้ ป็ นฐานรองรับ เวลานาเอามะม่วง มะขาม มะยม มะปราง ฯลฯ เกลือกระเทยี มลงไปตา เทลงใน กระทงที่ทาจากใบตอง (คดต๋อง) รับประทานได้ สากทท่ี าไวต้ ากจ็ ะทาจากไมไ้ ผเ่ หลาใหก้ ลมเป็ นแกนยาว แลว้ จะตาและคลุกใหเ้ ขา้ กนั อำหำรของชำวไทลื้อ

23 เร่ืองที่ ๒.๔ กำรละเล่นของชำวไทลอื้ การละเล่นของไทล้อื มกั เป็ นการละเล่นทีห่ าอุปกรณ์ไดง้ า่ ย ๆ ส่วนใหญ่คลา้ ยกบั การละเล่น ชาวไทยทอ้ งถิ่นอ่ืน แตม่ ีชื่อเรียกตา่ ง ๆ กนั การละเล่นของชาวไทล้อื ในสมยั ก่อนทน่ี ่าสนใจ ดงั น้ี เมื่อเป็ นเด็กเลก็ ขณะทีพ่ อ่ แม่ทางาน บางบา้ นไมม่ ีคนดูแลให้ จงึ ตอ้ งปล่อยใหเ้ ล่นดินเล่นทราย เมื่อโตข้นึ เด็ก จะเล่นป้ันดินเหนียวเป็นรูปสตั วต์ า่ ง ๆ เช่น ววั ควาย ฯลฯ แลว้ นามาขวดิ กนั เล่น ซ่ึงมกั จะเป็ นการละเล่น ของชาย มากกวา่ หญงิ กำรเล่นจู้จีจ้ ะหลบุ เป็ นการละเล่นกบั เด็กเล็ก มีผเู้ ล่น ๒ คน คนหน่ึงปิ ดตาแบมือ อีกคนอาจเป็นผใู้ หญ่ ท่ีเป็ น พเ่ี ล้ียงของเดก็ ก็ได้ ใชน้ ิ้วจม้ิ ลงบนฝ่ ามือของเด็ก แลว้ รีบดึงออกใหท้ นั ก่อนทฝ่ี ่ ายหน่ึงจะจบั มือไวไ้ ด้ หากจบั มือไดท้ นั ทีฝ่ายถูกจบั ไดต้ อ้ งเป็นฝ่ ายปิ ดตาแบมือใหอ้ ีกฝ่ายจ้มิ ที่ฝ่ามือแทน ผลดั กนั เล่นอยา่ งน้ี จนกวา่ จะเบอ่ื จงึ เลิก กำรเล่นขก่ี ๊อบแก๊บ บางคนเรียกวา่ อีเปะปะ อุปกรณ์ทาจากกะลามะพรา้ ว ๒ ซีก เจาะรูก่ึงกลางใหเ้ ชือกความยาว เม่ือทบแลว้ ยาวเท่ากบั ความสูงระดบั ของผเู้ ล่น ร้อยรูกะลาท้งั ๒ อนั ขมวดเป็ นปมไวใ้ นกะลาอยา่ ใหห้ ลุดได้ เวลาเล่นข้นึ ขก่ี ะลาควา่ ขาละซีกดึงเชือกใหต้ ึง ใชง้ ่ามนิ้วเทา้ ท้งั สองคีบเชือกใหแ้ น่น แลว้ เดินบนกะลาได้ อยา่ งสนุกสนาน กำรขโี่ ก๊ะเก๊ะ ชาวลา้ นนาเรียกวา่ “ขโ่ี ก๋งเก๋ง” ใชไ้ มไ้ ผข่ นาดจบั ไดเ้ หมาะมอื คนเล่นยาวประมาณ ๒-๔ เมตร แลว้ แต่ความชอบของผเู้ ล่น ถา้ ผเู้ ล่นใจกลา้ ก็ตอ้ งใชไ้ มท้ ีม่ ีความยาวมาก เม่ือต้งั ไมข้ ้นึ จะไดส้ ูงจุใจคนเล่น แต่ถา้ เร่ิมเล่นหรือของเดก็ หญงิ ผปู้ กครองจะไม่อนุญาตใหใ้ ชไ้ มส้ ูงนกั หากพลดั ตกลงมาหรือเดินไม่แขง็ หกลม้ ลงจะไดไ้ ม่เป็ นอนั ตรายมาก นาไมไ้ ผท่ ้งั สองลามาตอกล่ิมใหเ้ หลือความยาวของไมไ้ วเ้ ทา้ ระดบั ความ สูงของผเู้ ล่น นาไมไ้ ผอ่ ีกคู่หน่ึงที่มีขนาดใหญ่พอทผ่ี เู้ ล่นจะวางเทา้ ไดส้ บาย บากดา้ นท้งั สองขา้ งใหไ้ ดร้ ูป ขนาดใชส้ อดไมล้ ายาวเขา้ ไปในรูไดพ้ อดีไมท้ ่วี างเทา้ ท้งั สองช้ินน้ี จะลงไปตดิ อยลู่ ิ่มท่ีตอกไว้ ท่ีไมล้ ายาว ดูแลใหม้ น่ั คงแลว้ นาไปขเ่ี ล่น เล้ียงตวั บนไมโ้ กะเกะน้ีได้ เดก็ บางคนใจกลา้ ทาไมส้ ูงขนาดไล่เล่ียกบั ชาน

24 เรือนเวลาจะลงจากเรือนอาจไม่ลงทางบนั ได แตจ่ ะนาไมโ้ กะเกะมาเทียบกบั ชานเรือน แลว้ เล้ียงตวั เดินดว้ ย ไมน้ ้ีไดส้ นุกสนาน เป็นท่หี วาดเสียวสาหรบั พอ่ แม่ผปู้ กครองเป็ นอยา่ งยง่ิ กำรเล่นขำยของ ส่วนมากจะนิยมของเด็กหญิง จะเล่นไปพรอ้ มกบั การเล่นหมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง เดก็ หญิงเล็ก ๆ จะ เก็บใบไม้ ใบหญา้ มา สมมุติเป็นส่ิงของซ้ือขายกนั กำรเล่นควำยขตี่ ๋ี เด็ก ๆ มกั เล่นกนั ตาม “กอง” คนั ดนิ ริมน้าแหง้ หรือเล่นบนคนั นา การเล่นจะมีกี่คนกไ็ ดแ้ ต่จะมี คนหน่ึงอยใู่ นคูหรือในนา สมมุตวิ า่ เป็นควาย ส่วนทเี่ หลือนอกน้นั เป็ นคนวงิ่ อยบู่ นคนั ดิน ใหค้ วายไล่ชก หากควายชกถูกใครคนน้นั จะมาเป็ นควายไล่ชกคนอ่ืนต่อไป กำรเล่นโคบไข่เต่ำ มีผเู้ ล่นเป็นเต่าอยู่ 1 คน ขดุ หลุมเอกไมห้ รือกอ้ นดินกอ้ นหินกไ็ ดส้ มมุตวิ า่ เป็ นไข่เตา่ ใส่ใน หลุมนง่ั ครอบไว้ เด็ก ๆ คนอ่ืนจะพยายามแยง่ ไขเ่ ตา่ แตต่ อ้ งไม่ใหผ้ นู้ งั่ ครอบอยนู่ ้นั เอาเทา้ ถีบหรือจบั หรือ ถูกเน้ือตอ้ งตวั ไดห้ ากถูกตวั คนใดผนู้ ้นั จะตอ้ งไปนงั่ ครอบไขเ่ ตา่ แทน กำรเล่นเกำะเอวขำยหวี ผเู้ ล่นกี่คนกไ็ ดย้ นื เกาะเอวกนั เป็ นแถวแลว้ กางขามีอีกผหู้ น่ึงเอาไมห้ รือกอ้ นหินลอดหวา่ งขาไม้ หรือกอ้ นหินปาถูกขาผใู้ ดน้นั ตอ้ งออกจากแถวมาเป็ นคนปาไมแ้ ทนผลดั กนั เช่นน้ีจนกวา่ จะเหนื่อยจึงจะเลิก กำรเล่นสักกะเด๊ะ คอื การเล่นตาหวั กระโหลกขีดตารางบนพน้ื ดินนาเบ้ียหรือกอ้ นลกั ษณะแบน ๆ โยนใส่ ตาราง เรียงตามลาดบั ท่ตี กลงกนั ไว้ สกั กะเดะ๊ คอื กระโดดขาเดียวไปหยบิ คนื มาแลว้ กระโดดขาเดียวกลบั ออกมา นอกตารางหากพลาดไปเหยยี บเสน้ ท่ขี ีดไวต้ อ้ งเปล่ียนใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงเล่นตอ่ ฝ่ ายใดโยนเบ้ียไปถึงตาราง สุดทา้ ยแลว้ เกบ็ ออกมาไดก้ อ่ นถือเป็ นฝ่ายชนะ

25 กำรเล่นบะถบ คอื การเล่น “บอกถบ” ของลา้ นนา หรือปื นลม ของเดก็ ภาคกลางประมาณคร่ึงเซนตเิ มตร ใช้ ไมไ้ ผข่ นาดเล็กเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณคร่ึงเซนติเมตร ใชไ้ มไ้ ผอ่ ีกอนั ขนาดเหมาะมือจบั ของเดก็ ท่จี ะเล่น มีความยาวกวา่ ตวั กระบอกประมาณ ๑ ฝ่ามือของผเู้ ล่น ไมไ้ ผช่ ้ินน้ีเหลือส่วนมือจบั ไวน้ อกน้นั เหลาใหเ้ ล็ก พอจะสอดในกระบอกไมอ้ ีกอนั ไดพ้ อเครือ ๆ เมื่อใส่เขา้ ไปในรูกระบอก ใหป้ ลายไมส้ ้นั กวา่ รูกระบอก ประมาณคร่ึงเซนติเมตร จะไดป้ ื นลมไปเล่นได้ ลูกปื นใชใ้ บไมห้ รือดอกไมส้ ดป้ันเป็นกอ้ นกลมอดั เขา้ ไปใน รูกระบอกใหแ้ น่น ใชไ้ มอ้ ีกสองอนั สอดลมเขา้ ในกระบอก ใหล้ ูกปื นใบไมน้ ้นั ทะลุออกอีกดา้ นหน่ึง จะเกิด เสียงดงั เป็ นทถ่ี ูกใจผูเ้ ล่น กำรเล่นสะบ้ำ การเล่นสะบา้ หรือการเล่นหมะบา้ เป็นที่ประทบั ใจของผสู้ ูงอายหุ ลายคน เป็นการละเล่นของ หนุ่มสาวจะไดม้ ีโอกาสมาชุมนุมเก้ียวพาราสีกนั นิยมต้งั วงเล่นเวลากลางคนื ในฤดูหลงั การเก็บเกี่ยวขา้ วใน นาเสร็จประมาณเดือน ๖-๗ เหนือ หรือราว ๆ เดือนมีนาคม เมษายนมีวธิ ีการเล่นดงั น้ี จานวนผเู้ ล่นก่ีคนก็ไดแ้ ตต่ อ้ งไม่นอ้ ยกวา่ ๒ คนแบง่ ออกเป็ น ๒ ฝ่าย ฝ่ายต้งั ลูกสะบา้ จะมี ลูกสะบา้ ๒๐ ลูก ฝ่ายยงิ อาจมี ๒ ลูก ลูกสะบา้ ทาจากไมส้ กั เจยี นใหก้ ลม ๆ แบน ๆ ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง ประมาณ ๒ นิ้ว หนาประมาณคร่ึงน้ิว หรือใชเ้ มลด็ สะบา้ อนั เป็นไมป้ ่ าชนิดหน่ึงกไ็ ด้ แต่ปัจจบุ นั น้ีหาไดย้ าก หากจะเล่นจึงนิยมใชไ้ มส้ กั เจียนแทนเม่ืองเร่ิมเล่นฝ่ายต้งั ลูกสะบา้ จะนาลูกสะบา้ ท้งั หมด ๒๐ ลูก มาเรียง หนา้ กระดาน บอกใหอ้ ีกฝ่ายยงิ ทลี ะลกู ตามทช่ี ้ีใหย้ งิ ฝ่ายยงิ ลูกใชว้ ธิ ีเรียงตามลาดบั ดงั น้ี ๑. ต้งั เกา้ เซิ้ง ใชล้ ูกสะบา้ วางบนหลงั เทา้ กระโดดขาเดียว ไปใหใ้ กลแ้ ถวสะบา้ ที่อกี ฝ่ายต้งั ไว้ ไดแ้ ค่สุดเขตทกี่ าหนดไวพ้ ยายามใชห้ ลงั เท่าเหวี่ยงลูกสะบา้ ไปใหถ้ ูกลูก ท่ฝี ่ ายต้งั กาหนดใหห้ ากยงิ พลาดไม่ ถูกตอ้ งเปล่ียนไปเป็นฝ่ ายต้งั ใหฝ้ ่ ายต้งั พลดั ไปเป็ นฝ่ายยงิ หากยงิ ถูกจะไดย้ งิ ลูกตอ่ ไป จนหมดครบ ๒๐ ลูก แลว้ เปลี่ยนท่ายงิ เป็ นอีโท ๒. อีโท คือโยนลูกสะบา้ จากทกี่ าหนดให้ ไปใหถ้ ูกฝ่ายต้งั กาหนดให้ ถา้ พลาดก็กลบั เป็ นฝ่ าย ต้งั ถา้ ยงิ ไดห้ มดทุกลูกจะข้ึนทา่ ยงิ ใหม่เป็ น อีหวั เข่า ๓. อีหวั เขา่ หรืออีดีด ผยู้ งิ จะนงั่ ยอง ๆ วางลูกสะบา้ บนขาใกล้ ๆ กบั หวั เข่าเลง็ ใหด้ ีแลว้ ดีด ลูกสะบา้ ไปใหถ้ ูกลูกทฝี่ ่ายต้งั ช้ีบอก ตอ้ งยงิ ใหไ้ ดห้ มดตามทฝี่ ่ายต้งั ช้ี หากฝ่ ายใดยงิ ครบ ๓ ท่า ยงิ โดยแต่ละ ทา่ ตอ้ งลม้ ลูกสะบา้ ท่ฝี ่ายต้งั ลูกไวไ้ ดห้ มดตะโกนวา่ “โสดๆ” หรือสุด แปลวา่ จบเกมตอ้ งเริ่ม “ต้งั เกา้ เซิ้ง” ระหวา่ งทยี่ งิ หากใครทาพลาดจะร้องกนั วา่ “ชุมๆ” แปลวา่ แพ้ ตอ้ งเปล่ียนใหอ้ ีกฝ่ายมาเป็ นฝ่ ายยงิ แทน พลดั กนั เล่นอยอู่ ยา่ งน้ีจนกวา่ จะเลิกเล่น

26 กำรเล่นปื นก้ำนกล้วย ทาจากกา้ นใบของกลว้ ยทม่ี ีขนาดพอดียาวประมาณ ๑ เมตร แลว้ ใชม้ ีดปาดดา้ นสนั นูน เฉียงลึกลงไป ๑-๒ นิ้ว ยกส่วนทป่ี าดข้ึนมาใหต้ ้งั ฉากสูงประมาณ ๒-๓ น้ิว ทาประมาณ ๖-๑๐ อนั ห่างกนั พอประมาณ เวลาเล่นกใ็ ชส้ นั มือพนั ปาดไปตามสนั นูนกา้ นกลว้ ยเม่ือไดส้ ่วนท่ีปาดข้นึ มาตกลงไปตามร่อง จะทาใหเ้ กิดเสียงดงั คลา้ ยเสียงลูกปื น หากมีการแข่งขนั กนั ก็ใหส้ ญั ญาณเล่น ตดั สินผลแพช้ นะที่การเกิดเสียง ดงั และรวดเร็ว กำรเล่นม้ำก้ำนกล้วย ก็เป็นการเล่นอีกอยา่ งหน่ึงท่ีทาจากกา้ นกลว้ ย ขนาดความยาวของกา้ นกลว้ ยประมาณ ๒ เมตร ตรงโคนของกา้ นกลว้ ยทาเป็นรูปหวั มา้ แลว้ ใชไ้ มเ้ สียบตวั มา้ กา้ นกลว้ ย ส่วนเชือกมา้ ก็ทาจากริม กาบของตน้ กลว้ ย เด็ก ๆ จะใชข้ ี่เล่นแขง่ ขนั เป็นทสี่ นุกสนาน

27 เร่ืองที่ ๒.๕ กำรแต่งกำยของชำวไทลอื้ การแต่งกายของชาวไทล้อื มีขนบธรรมเนียมประเพณีการแตง่ กายดว้ ยสีดาและสีแดง ซ่ึง การแตง่ กายเช่นน้ีสตรีชาวไทล้ือยงั ยดึ ถืออยแู่ ตเ่ ท่าท่ีไดศ้ กึ ษาเรื่องของไทล้ือทอ่ี าเภอเชียงคา ไดป้ ระจกั ษว์ า่ ชาวไทล้ือและอาเภอเชียงคา ตลอดจนทางจงั หวดั พะเยา กไ็ ดม้ องเห็นความสาคญั ที่จะอนุรกั ษป์ ระเพณีของ ชาวไทล้ือไวโ้ ดยการจดั งาน “สืบสานตานานไทล้ือ” ข้นึ ในคร้ังแรกใน พ.ศ. ๒๕๓๗ ณ วดั พระธาตสุ บแวน ตาบลหยว่ น ซ่ึงเป็นหมู่บา้ นชาวไทล้ือ ในปี ต่อมาทางจงั หวดั พะเยาไดเ้ ล็งเห็นความสาคญั ของงานจงึ รับเป็ น การจดั งานระดบั จงั หวดั ข้นึ โดยจะนามาจดั รวมกบั งานฉลองอนุสรณ์ผเู้ สียสละ พตท. ๒๓๒๔ ซ่ึงจะจดั ใน ระหวา่ งวนั ท่ี ๓๑ มกราคม ถึง ๖ กุมภาพนั ธ์ ของทุกปี ผา้ ทอมือสีน้าเงนิ ของชาวไทล้อื เรียกวา่ ผา้ ฮา เป็ นผา้ ทีท่ อข้ึนเอง แลว้ นามายอ้ มสีแบบเส้ือ ม่อฮ่อม ของชาวไทยลา้ นนา อยทู่ ่จี งั หวดั แพร่ ลาปาง น่าน ลาพนู เชียงใหม่ ฯลฯ ผหู้ ญงิ ชาวไทล้ือนิยมเส้ือ สีดา กุ๊นดว้ ยผา้ สีแดง เรียกวา่ “เส้ือป้ัด” โดยใชเ้ ชือกผกู ไวท้ เ่ี อวดา้ นขา้ งแทน กระดุมมีแหว (แว๋) ขา้ งเส้ือ เป็นลกั ษณะกระดุมกลม ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๒ นิ้ว ทาดว้ ยเงินมีกระดุมลายอยา่ งสวยงาม ใชป้ ระดบั ขา้ ง ตรงทีผ่ กู เชือกของเส้ือป้ัด ส่วนผา้ ถุงของชาวไทล้ือ มีสีสนั สวยงาม เรียกวา่ ผา้ ถุงลายน้าไหล ประกอบดว้ ย ลวดลายของผา้ ถุงแต่ละอยา่ งเรียกวา่ ลายเกาะ การแต่งกายของสตรีชาวไทล้ือ เริ่มต้งั แต่การเกลา้ มวยผมแบบหลวม ๆ ปัดไปทางซา้ ยปอยผม ทาเป็ นห่วงอยบู่ นมวยมีปิ่ นปัก โพกศีรษะดว้ ยผา้ ขาว ใส่เส้ือสีดา เรียกวา่ เส้ือป้ัด ขา้ ง ๆ เส้ือป้ัดมีเชือกผกู ไว้ ทีส่ ีขา้ ง ก๊นุ สีดาดว้ ยดา้ ยแดง มีแหวขา้ งเส้ือทาดว้ ยเงนิ สลกั และดุนอยา่ งงดงาม นุ่งผา้ ถุงลายน้าไหล ลวดลาย เกาะตา่ ง ๆ อยา่ งงดงาม คาดเอวเอาตวั เขม็ ขดั เงิน ตอ่ จากเขม็ ขดั เงนิ ดา้ นขา้ งจะมีสร้อยดอกปี บ โดยทาดว้ ย เงนิ มีขนาดความยาวพอสมควรแขวนไวข้ า้ ง ๆ ตวั เวลาเดินจะมีเสียงจากเคร่ืองเงนิ กระทบกนั ส่วนรองเทา้ ใช้ รองเทา้ แตะ ผชู้ ายไทล้ือนิยมการสกั หมึกลงใตผ้ วิ หนงั และตามร่างกาย ตามหนา้ อก กลางหลงั ขอ้ มือ แขน เป็นการสกั เพอื่ ความกลา้ หาญ คาถาอาคมและความสวยงาม ส่วนใหญใ่ นหมู่ผหู้ ญงิ ก็เช่นเดียวกนั สกั ตาม แขน เรียกวา่ แขนแป๋ เป็นการสกั เพอ่ื ความสวยงาม ผหู้ ญงิ ชาวไทล้ือจะสวมกาไลท่ีขอ้ มือทาดว้ ยเงินเรียกวา่ ก่ิงไมญ้ า่ ยโดยทาเงินใหเ้ ป็นเสน้ ๆ แลว้ นามามว้ นหลวม ๆ ใชป้ ระดบั ตามขอ้ มอื เป็ นการตกแต่งร่างกาย โดย จะมีสรอ้ ยเงินถกั อยา่ งประณีตสวยงามเรียกวา่ สายถวั่ แปบ (มะแปป) ใชค้ วบคู่กิ่งไมญ้ ่าย จะมีดอกไมเ้ งนิ ประดบั อยดู่ ว้ ย ส่วนติง่ หูมีการประดบั เช่นเดียวกนั ดว้ ยแผน่ ทองดี มว้ นแลว้ มีดา้ ยสีแดง สอดอยขู่ า้ งใน เรียกวา่ ลายปัน (พนั หรือมว้ นใหม้ ีลกั ษณะกลม ๆ )

28 ของใช้ประจำสตรีและบุรุษชำวไทลือ้ ใช้อยู่เป็ นประจำ ถุงย่ำมลอื้ เป็นสีแดงทอสลบั อยา่ งสวยงาม ใชส้ ะพายเพอ่ื ใส่ของใชจ้ าเป็นโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สตรีชาว ไทล้ือจะนิยมกินหมาก จะมีอุปกรณ์สาคญั คอื ตลบั หมาก (แอ๊บหมาก) สีแดงเป็นเคร่ืองเขินสาหรบั ใส่ หมากพลู ซ้ำตบี (ตะกรา้ ใส่ของ) มีลกั ษณะเป็นตะกรา้ ๒ หู และบีบเขา้ หากนั ได้ เวลาถอื ซา้ ตบี น้ีเป็นตะกรา้ ใส่ของ ใชป้ ระจาครอบครวั อีกดว้ ย ลวดลายของผา้ ห่ม ซ่ึงทอเป็นลายกระดูกงเู ป็นการทอจากดา้ ยซ่ึงปั่นเองจากฝ้ายมีสีขาวแดงลวดลาย ของฟกู หรือทีน่ อน จะทอเป็นผา้ ผนื เล็ก ๆ ขนาด ๑ ฟตุ ทอใหม้ ีลวดลายเป็นลายใหม้ ีรูปส่ีเหลี่ยม หมอนใน ลกั ษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกวา่ หมอนหก หรือหมอนแปด ส่วนหมอนสามเหล่ียมเรียกว่าหมอนผา้ ลวดลายทีป่ รากฎอยบู่ นหมอน จะมีการปักดว้ ยดา้ ยสีต่าง ๆ หรือใชด้ ิ้นเงนิ ปักใหม้ ีลวดลาย ส่วนมากแลว้ จะ ปักใหม้ ีลวดลายเครือเถาว์ อยหู่ ลายรูปแบบ เช่น เกาะขอ เกาะผกั แวน่ (ภาษาไทล้ือออกเสียงเป็ นผกั แหวน่ ) จากลวดลายของเกาะขอ และเกาะผกั แวน่ น้ีเป็ นลวดลายด้งั เดิมของชาวไทล้ือ ซ่ึงต่อมาไดม้ กี าร ววิ ฒั นาการทาลวดลายผา้ ถุงไทล้ือน้าไหลมากมาย เช่น ลายจรวดนอ้ ย จรวดใหญ่ ลายพฒั นา ซ่ึง ความคิดของสตรีชาวไทล้ือรุ่นใหม่ ทีไ่ ดม้ ีการววิ ฒั นาการไปดงั กล่าวมาแลว้ กำรเตรียมเส้ นด้ ำยสำหรับทอผ้ ำ เกบ็ ดอกฝา้ ยทีแ่ ก่แลว้ นามาตากแหง้ จากน้นั ก็นามาเขา้ เครื่องรีดฝ้ายเพอื่ ทจ่ี ะรีดฝา้ ยใหแ้ บนและเอา เมลด็ ฝ้ายออก แลว้ กม็ ว้ นฝ้ายเพอ่ื ที่จะนามาเขา้ เครื่องปั่นฝา้ ยใหเ้ ป็ นเสน้ นาไปยอ้ มสีใชท้ อผา้ ต่อไป

29 กำรย้อมผ้ำของไทลอื้ สมยั โบรำณ จากการไปเยยี่ มบา้ นคุณลุงสาโรจน์ วงศใ์ หญ่ (ลุงเยน็ ) คุณลุงเป็นลกู หลานไทล้ืออยทู่ ่บี า้ นหยว่ น บา้ นคุณลุงยอ้ มผา้ ขายมานานต้งั แต่สมยั ป่ ยู า่ ตายาย จนตกทอดมาสู่ลูกหลาน คุณลุงเล่าวา่ ไดช้ ่วยพอ่ แม่ทา การยอ้ มผา้ มาต้งั แตเ่ ลก็ ๆ รู้ถึงวธิ ีการและความชานาญในการยอ้ มผา้ ทมี่ ีการนาเอาวตั ถุดิบทม่ี ีอยใู่ นทอ้ งถิ่น มายอ้ มผา้ ใหเ้ ป็นสีต่าง ๆ ตามธรรมชาตใิ นสมยั ก่อนน้นั การยอ้ มผา้ จะใชว้ ธิ ีการหมกั ผา้ กบั วตั ถุดิบท่ีหามาได้ และไดบ้ อกถึงข้นั ตอนและส่วนผสมของการยอ้ มผา้ ข้นั แรก ใหเ้ ตรียมผา้ ท่ีทอเป็ นผนื สาเร็จแตย่ งั ไม่ได้ ยอ้ มสี (ผา้ ทท่ี อจากฝา้ ยจะเป็นสีขาว) มาซกั ดว้ ยน้าสะอาด บดิ พอใหห้ มาด ๆ เตรียมกาละมงั ใบใหญห่ รือใช้ ถงั น้าใบใหญก่ ไ็ ด้ เกลือเม็ดทีใ่ ชป้ รุงอาหาร (ผา้ ๒ พบั หรือผา้ ๖ เมตร ใชเ้ กลือ ๕ ชอ้ นโตะ๊ ) วตั ถุดิบทใี่ หส้ ี ตามตอ้ งการปริมาณน้าตอ้ งใส่ใหท้ ่วมผา้ สีเขียวออกเหลือง วตั ถุดิบ เปลือกตน้ มะม่วง วสั ดุอุปกรณ์ กาละมงั ใบใหญ่หรือถงั น้าใบใหญ่ก็ได้ เกลือ ผา้ ทอจากฝา้ ยท่ีเตรียมไว้ ปริมาณน้าใส่ใหท้ ว่ มผา้ วธิ ีกำรทำ นาตน้ มะม่วงมาตดั เป็นท่อนยาวพอประมาณใชม้ ีดปอกเอาส่วนทเี่ ป็ นเปลือกนอกสุดท้ิงจะใชส้ ่วนท่ี อยถู่ ดั ไปเปลือกส่วนน้ีจะเป็นสีขาวออกเหลือง จากน้นั ตดั เป็ นชิ้นกะพอประมาณไม่ตอ้ งลา้ งน้า นาไปแช่ใน น้าที่เตรียมไวแ้ ลว้ นาผา้ แช่หมกั ทงิ้ ไวป้ ระมาณ ๓ วนั ก็นามาขย้หี รือนวดผา้ ทจ่ี ะใหส้ ีตดิ ผา้ อยา่ งทวั่ ถึง จากน้นั ก็หมกั ทงิ้ ไวต้ อ่ อีก ๓ วนั ก็นาออกมาซกั ดว้ ยน้าเปล่าบิดพอหมาด ๆ นาไปตากในท่ีร่มหรือใตถ้ ุนบา้ น ท่ีมีอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวกจะไม่นาออกตากแดดเพราะจะทาใหผ้ า้ มีสีซีด ตากไวจ้ นแหง้ สนิทดีแลว้ ก็เกบ็ พบั หรือมว้ นไว้ กเ็ ป็นอนั เสร็จสมบรู ณ์ของวธิ ีการยอ้ มผา้ ดว้ ยการหมกั คุณลุงยงั เล่าต่อมาอีกวา่ ในสมยั ก่อนน้นั ไม่มีผา้ สีกากีทจ่ี ะตดั ชุดลูกเสือก็จะนาเอาผา้ ทหี่ มกั ดว้ ยเปลือกมะม่วงมาตดั เป็ นชุดลูกเสือแลว้ ก็ทาการเยบ็ ดว้ ยมือ สาหรบั สีอ่ืน ๆ ก็มีวธิ ีการทาท้งั วสั ดุอุปกรณ์ก็เหมือนกนั เช่น สีเหลืองทองไดจ้ ากการหมกั ดว้ ย เปลือกขนุน สีแดงเปลือกมงั คุดไดจ้ ากการหมกั ดว้ ยคลง่ั ท่ีตดิ อยตู่ ามตน้ ไม้ สีเหลืองอ่อนไดจ้ ากการหมกั ดว้ ย ขม้ิน สีเขียวข้ีมา้ ไดจ้ ากการหมกั ดว้ ยเปลือกตน้ เพกา (ตน้ มะล้ินไม)้ สีดาไดจ้ ากการหมกั ลูกมะเกลอื สี ม่อฮอ่ มไดจ้ ากการหมกั ตน้ ฮ่อม ตน้ ฮ่อมจะเป็นพชื ลม้ ลุกตน้ สูงขนาดเทา่ กบั ตน้ พริกลกั ษณะของใบจะเรียว เลก็ เหมือนใบของตน้ ฟ้าทะลายโจร สีดาหม่น (คลา้ ยกบั สีน้าเงิน) คุณลุงเล่าวา่ ในสมยั ก่อนน้นั ใชผ้ า้ ทอจาก ฝ้ายมว้ นเป็น กอ้ น ๆ แลว้ นาไปหมกั กบั โคลนท่อี ยรู่ ิมแม่น้าระยะเวลา ๓ วนั หลงั จากน้นั ก็นาผา้ มาขย้หี รือ

30 นวดตอ่ ไปอีก ๓ วนั ก็นามาซกั ผ่งึ ไวใ้ นท่รี ่มหรือใตถ้ ุนบา้ นทม่ี ีอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก สีม่วงไดจ้ ากการตม้ ดอกอญั ชญั ซ่ึงวธิ ีการตม้ จะมีเขา้ มาหลงั วธิ ีการหมกั เม่ือตม้ ดอก อญั ชญั แลว้ กก็ รองเอากากออกเหลือไวแ้ ต่ น้าแลว้ ผสมเกลือลงไปจากน้นั ก็นาผา้ ลงไปตม้ ในน้าดอกอญั ชญั ตอ่ ไปนานประมาณ ๑ ชวั่ โมง กน็ าผา้ ออก ซกั ดว้ ยน้าเปล่าผ่งึ ไวใ้ นท่ีร่มหรือใตถ้ ุนบา้ นทม่ี ีอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก สาหรับดา้ ยทีไ่ ดจ้ ากการป่ันฝา้ ย ก่อนทจ่ี ะนามาทอเป็นผนื กจ็ ะทาการยอ้ มสีดว้ ยการหมกั ดว้ ยวตั ถุดิบเช่นเดียวกบั วธิ ีการทกี่ ล่าวมา เมื่อไดส้ ี ต่าง ๆ แลว้ ก็นามาทอเป็นผา้ ไทล้ือ ปัจจุบนั วธิ ีการแบบด้งั เดิมคุณลุงก็ยงั ใชอ้ ยแู่ ละใชค้ วบคู่ไปกบั การยอ้ มผา้ แบบสมยั ใหม่ ก่ีทอผ้ำ กี่กระตกุ หรือกี่ทอผา้ ประกอบไปดว้ ย - ตวั กี่จะทาดว้ ยไมเ้ น้ือแขง็ เพอ่ื ความแขง็ แรงทนทาน - ทส่ี าหรับนง่ั ทอผา้ ทาดว้ ยไมแ้ ผน่ หนาประกอบเขา้ กบั ตวั กี่ทอผา้ - ทเ่ี หยยี บ (แปร) ทาจากไมไ้ ผม่ ีความยาวประมาณ ๒ เมตร จะมีเชือกรอ้ ยยดึ ติดกบั ตวั รอก (มะลอ้ ลื่น) เพอื่ เชือกจะไหลข้ึนลงไดส้ ะดวกเวลาเหยยี บทอผา้ - ฟืมทาจากไมห้ รือเหล็กกไ็ ดจ้ ะมลี กั ษณะเป็ นซี่เลก็ ๆ คลา้ ยหวใี ชต้ เี สน้ ดา้ ยเวลาทอ จะทาใหด้ า้ ยติดแน่นเวลาทอ - ตดั รอก (จะขดั ,มะลอ้ ลื่น) - สะป้ัน จะอยดู่ า้ นล่างของผา้ ทอจะช่วยยดึ ขอบของผา้ ท้งั สองเวลาทอผา้ จะทาใหผ้ า้ ตึงไม่หยอ่ น สะดวกตอ่ การดูลายผา้ เวลาทอ - เขา เป็นเสน้ ดา้ ยท่ีช่วยยดึ เสน้ ดา้ ยยนื - เสน้ ดา้ ยยนื เป็นดว้ ยท่ีไดจ้ ากการปั่นฝา้ ยเป็นเสน้ จะเป็นตวั พน้ื ในการทอผา้ เป็ น ลวดลายตา่ ง ๆ - ดา้ ยไหมหก (เขาหยก) ใชย้ ดึ กบั เสน้ ดา้ ยทเี่ ป็ นตวั ยนื - การกรอดา้ ยดว้ ยเคร่ืองป่ันฝา้ ย (โก่งปั่นฝา้ ย) จะทาการกรอเป็นหลอด ๆ (แวน่ ) สาหรับนาไปใส่ในกระสวย (โซย้ ) เพอื่ ใชท้ อผา้ ต่อไป - เปฝ้าย จะใชค้ ลอ้ งดา้ ยหรือวนดา้ ยใหเ้ ป็นวง

31 กจิ กรรมที่ ๒ เม่ือท่ำนได้ศึกษำชุดวชิ ำ ตอนท่ี ๒ จบแล้ว ให้ตอบคำถำมดงั ต่อไปนี้ ๑. การปลูกสรา้ งบา้ นเรือน ของคนไทยลา้ นนามีความเหมือนหรือแตกต่างจากชาวไทล้ืออยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ๒. ประเพณีการแต่งกายของชาวไทล้ือมีการแต่งกายแบบใดท้งั ชายและหญิง จงอธิบาย ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ๓. ท่านมีแนวทางท่จี ะอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมและประเพณีของชาวไทล้ืออยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ……………………………………………………………………………………………………………... ………………………………………………………………………………………………………………

32 ตอนท่ี ๓ ควำมเชื่อและประเพณพี ืน้ บ้ำนไทลือ้ สำระสำคญั ประเพณี หมายถึง พฤติกรรมหรือความประพฤตทิ ีค่ นในส่วนรวมยดึ ถือเป็ นธรรมเนียม หรือเป็ นระเบยี บแบบแผนและปฏิบตั ิสืบต่อกนั มาชา้ นานจนลงรูปเป็ นพมิ พเ์ ดียวกนั เป็นท่ียอมรับของสงั คม ประเพณีเกิดจากความเชื่อในส่ิงทม่ี ี อานาจเหนือมนุษย์ เช่น อานาจของดินฟ้าอากาศและ เหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้นึ โดยไม่ทราบสาเหตตุ า่ ง ๆ ประเพณีเป็นสิ่งทีม่ นุษยส์ ร้างข้นึ เพอ่ื ใหเ้ กิดความสุขความ เจริญเหมาะสมกบั ชีวติ และความเป็ นอยคู่ วามเชื่อถือของคนส่วนมากในสงั คมของแต่ละยคุ คร้นั เม่อื สงั คม เปล่ียนแปลง ประเพณีบางอยา่ งทไี่ ม่เหมาะสมจาเป็ นจะตอ้ งพฒั นารูปแบบหรือเปล่ียนแปลงรูปแบบไป ประเพณีบางอยา่ งอาจตอ้ งเส่ือมสูญไป อยา่ งไรก็ตามประเพณีหลายอยา่ งยงั คงปฏิบตั สิ ืบเน่ืองกนั ต่อมา จนถึงปัจจุบนั น้ีการเปลี่ยนแปลงประเพณีจะเป็ นไปไดม้ ากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ความเป็นไปไดท้ าง ประวตั ิศาสตร์ และวฒั นธรรมของแตล่ ะสงั คม โดยทวั่ ไปประเพณีแบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท คือ 1. จารีตประเพณี 2. ขนบธรรมเนียมประเพณี 3. ธรรมเนียมประเพณี จารีตประเพณี เป็ นประเพณีที่เก่ียวขอ้ งกบั กฎศีลธรรม ซ่ึงเป็นกฎท่ีมีความสาคญั ตอ่ สวสั ดิการของสงั คม หากใครฝ่ าฝืนหรืองดเวน้ ไม่ปฏบิ ตั ิตาม ถือวา่ เป็ นสิ่งทผี่ ดิ เป็ นความชวั่ ดงั น้นั จะตอ้ ง ปฏิบตั ติ ามเพอ่ื ประโยชนข์ องส่วนรวม จารีตประเพณี เป็ นส่ิงท่นี ิยมยดึ ถือปฏบิ ตั กิ นั สืบตอ่ มาโดย การเลียนแบบหรือการสง่ั สอนในสงั คมของชาวไทยในภาคเหนือเรียกจารีตประเพณีวา่ “ฮีต” เป็ นส่ิงทที่ กุ คนในสงั คมตอ้ งปฏบิ ตั ิ หากผใู้ ดฝ่ าฝืนเรียกวา่ ผดิ ฮีต หรือผดิ ผี ทาให้ “ขดึ ” หมายถึงไม่เป็ นมงคล ผใู้ ดผดิ ผี จะตอ้ งประกอบพธิ ีกรรมปัดเป่ า ดว้ ยการทาพธิ ีเซ่นสงั เวย เพอื่ แกไ้ ขผอ่ นหนกั ใหเ้ ป็ นเบา ในสงั คมของชาว ไทล้ือ การปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั ฮีตมี ลกั ษณะท่ีคลา้ ยคลึงกบั สงั คมลา้ นนา เช่นประเพณีการนบั ถือผปี ระเพณีทาง สงั คม อื่น ๆ ขนบประเพณี เป็ นประเพณีทวี่ างไวเ้ ป็ นระเบียบแบบแผน เพอ่ื ใหเ้ ป็ นแนวปฏิบตั ทิ ้งั ทางตรงและทางออ้ ม ขนบ แปลวา่ ระเบยี บแบบแผนขนบประเพณีอาจเปล่ียนไปตามกาลเวลาและตามสภาวะการณ์ของบา้ นเมือง

33 กฎระเบยี บที่วา่ เหมาะสมในสมยั หน่ึงอาจเกิดลา้ สมยั ลง จะตอ้ งปรบั ปรุงและแกไ้ ขตามความจาเป็ น ธรรมเนียมประเพณีเป็ นส่ิงท่เี ก่ียวเน่ืองเรื่องธรรมดาสามญั โดยทวั่ ไปไม่มคี วามผดิ จนเหมือนจารีตประเพณี เป็นเพยี งบรรทดั ฐานทปี่ ฏบิ ตั ิสืบต่อกนั มาจนเป็ นประเพณี เป็นแนวปฏบิ ตั ิจนเกิดความเคยชิน ไม่รู้สึกเป็น ภาระหนา้ ที่ ธรรมเนียมประเพณีเป็นเร่ืองท่นี ิยมปฏบิ ตั ิสืบตอ่ กนั มาในสงั คม เช่น กริยามารยาท การยนื การ เดิน นงั่ นอน การรบั ประทานอาหาร การพดู การแสดงท่าทาง วตั ถุประสงค์ ๑. ทราบถึงประเพณี และความเช่ือของชาวไทล้ือ ๒. ทราบถึงข้นั ตอนวธิ ีการประกอบพธิ ีตามความเช่ือของชาวไทล้ือ ๓. บอกแหล่งเรียนรู้วฒั นธรรมไทล้ือได้ ขอบข่ำยเนื้อหำ เร่ืองที่ ๓.๑ ความเช่ือของชาวไทล้ือ เร่ืองท่ี ๓.๒ ประเพณีพน้ื บา้ นไทล้ือ เร่ืองที่ ๓.๓ แหล่งเรียนรู้วฒั นธรรมประเพณีไทล้ือ

34 เร่ืองท่ี ๓.๒ ควำมเช่ือของชำวไทลอื้ 3.1 หมู่บา้ นของชนชาตไิ ทล้อื กระจายอยทู่ วั่ ไปในดินแดนอนั อุดมสมบูรณ์ดว้ ยน้าและพชื พนั ธุ์ ธรรมชาติ เราพบหมู่บา้ นไทล้ือตามแนวทร่ี าบลุ่ม แม่น้าสายสาคญั ตามเชิงเขาและตามหุบเขาสูงท่มี ีป่ าไม้ ข้นึ หนาแน่น แตไ่ ม่วา่ จะอยทู่ ีใ่ ด ชนชาติไทล้ือลว้ นมีชีวติ ชิดใกลก้ บั ธรรมชาติ ดว้ ยเหตทุ ่สี งั คมของชนชาตไิ ทล้ือมีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติ น้ีเอง ทท่ี าใหช้ นชาตไิ ทล้ือมีรูปแบบวถิ ีชีวติ ท่ีสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ สมตามคากล่าวท่วี า่ “มนุษย์ เปล่ียนแปลงโลก และโลกหล่อหลอมมนุษย”์ นอกจากน้ีประเพณีทางศาสนายงั ยนื ยนั คากล่าวน้ีไดด้ ี บรรพ บุรุษในอดีตกาลของชนชาตไิ ทล้อื สภาพตามธรรมชาติของภเู ขา แม่น้า ป่ าไม้ ตลอดจนพชื และสตั วใ์ น บริเวณทพี่ วกเขาอาศยั อยู่ มาผสมผสานเขา้ กบั อารมณ์ ความคิดและความมุ่งหวงั เพอื่ หาคาตอบ และ อธิบายถึงส่ิง ลึกลบั ต่าง ๆ อนั น่าทา้ ทายของชีวติ ระบบความเชื่อทพ่ี วกเขากาหนดข้ึนในเวลาน้นั หรือทีม่ กั เรียกกนั อยา่ ง ไม่เหมาะสมนกั วา่ เป็ นศาสนาด้งั เดิม แบบนบั ถือผแี ละบรรพบุรุษ ไดผ้ สมผสานเขา้ กบั ศาสนาพทุ ธนิกาย หินยานท่แี ผเ่ ขา้ มาอยา่ งชา้ ๆ จากเอเชียตะวนั ออก ตามเสน้ ทางการคา้ กบั อินเดียในช่วงหลายร้อยปี ที่ผา่ นมา ไม่นานหลกั ธรรมในพทุ ธศาสนาก็เป็ นที่ยอมรบั สูงสุดของชนชาตไิ ทล้ือแมว้ า่ พธิ ีกรรมและประเพณีปฏิบตั ิ ตามศาสนาด้งั เดิมจะยงั คงอยู่ ความเช่ือตามศาสนาด้งั เดิม ศาสนาพทุ ธ ตลอดจนลทั ธินบั ถือผแี ละลทั ธิ พราหมณ์ไดผ้ สมกลมกลืนจนกลายเป็นแกนหลกั ของโลกทศั น์ของชนชาตไิ ทล้ือ ซ่ึงแสดงออกเป็ นรูปธรรม ในการวางผงั หมู่บา้ นและการกาหนดรูปทรงบา้ นเรือน ศำสนำด้ังเดิมกบั หมู่บ้ำน ศาสนาด้งั เดิมนบั เป็นรูปแบบความเช่ือทหี่ ลากหลายและเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ศาสนาด้งั เดิมท่ชี นชาตไิ ทล้ือ นบั ถือน้นั แสดงออกครบทุกรูปแบบ ไม่วา่ จะเป็ นการบชู าธรรมชาติ การบวงสรวงเจา้ ที่ เช่นไหวบ้ รรพบุรุษ ตลอดจนเชื่อถือไสยศาสตร์และพอ่ มดหมอผี ยอ้ นไปในอดีตบรรพบรุ ุษของชนชาตไิ ทล้ือเช่ือวา่ พลงั และ ปรากฎการณ์ธรรมชาติตา่ ง ๆ น้นั มีตวั ตน มีความรูส้ ึกนึกคดิ ความตอ้ งการและอารมณ์เฉกเช่นเดียวกบั มนุษย์ ความเชื่อโบราณน้ีสืบทอดตอ่ กนั มานบั พนั ปี จนถึงปัจจุบนั เหตทุ ่ีเป็ นเช่นน้ี ส่วนหน่ึงเป็ นผลมาจาก ท่ตี ้งั อนั โดดเดี่ยวห่างไกลจากความสบั สนของโลกยคุ ใหม่ของดินแดนน้ีนนั่ เอง วตั ถุสิ่งของและพลงั ตา่ ง ๆ ท่ชี นชาติไทล้ือยงั คงบชู าและทาพธิ ีบวงสรวงอยนู่ ้นั ส่วนใหญม่ กั มีความเก่ียวเนื่องสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั ความ กินดีอยดู่ ีของสงั คมกสิกรรม ตวั อยา่ งเช่น ชนชาตไิ ทล้ือจะบชู าดวงอาทิตย์ สายฝน แม่น้า ทุ่งนา ตน้ ไม้ ตลอดจนป่ าไม้ ดว้ ยความเช่ือวา่ ท้งั หมดเป็ นทีส่ ถิตยข์ องวญิ ญาณทรงฤทธ์ิท่มี ีอิทธิพลเหนือมนุษย์ เมื่อพวก เขาเช่ือวา่ วญิ ญาณและส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิมีจริง สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิทพี่ วกเขานบั ถือก็ถือกาเนิดเป็ นรูปธรรมข้ึน เทพองค์

35 แรกของพวกเขาคอื พรานเทพ หรือ เสนาะ หนงั สือช่ือ แหล่งที่มาของเส้ือบา้ นและเส้ือเมือง เขียนไวว้ า่ พรานเทพเป็นเทพองคแ์ รกทจ่ี ะพฒั นามาเป็ นสงั คมเกษตรกรรม จากน้นั จึงมีเทพประจาป่ า ภเู ขา ตน้ ไม้ พ้นื ดิน หมู่บา้ น (เส้ือบา้ น) และเมือง (เส้ือเมือง) ทยอยถือกาเนิดในเวลาต่อมา พธิ ีกรรมบวงสรวงบนบาน ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิและวญิ ญาณ ถือกาเนิดในยคุ เดียวกนั ก่อนจะออกล่าสตั ว์ บรรพบรุ ุษชาวไทล้ือจะเซ่นไหว้ พรานเทพใหป้ กป้องคุม้ ครองพวกเขาจากภยั อนั ตรายและช่วยใหก้ ารล่าสตั วส์ มั ฤทธ์ิผล นบั เป็ นเวลากวา่ 5,000 ปี มาแลว้ ที่ชนชาติไทล้อื ทาการเพาะปลกู ขา้ วเช่นเดียวกบั ชนชาตอิ ่ืนในเขตมรสุมของเอเชีย ชนชาติ ไทล้ือจะปักดากลา้ ลงในทุง่ นาที่มีน้าทว่ มขงั ดว้ ยวธิ ีน้ีทาใหพ้ วกเขาสามารถรกั ษาสภาพดินใหอ้ ุดมสมบรู ณ์ ไวไ้ ดแ้ ละไดผ้ ลผลิตจากขา้ วในปริมาณสม่าเสมอสืบต่อเน่ืองกนั มาหลายชวั่ อายคุ น ชนชาติไทล้ือจึงมีความ ผกู พนั อนั ลกึ ซ้ึงต่อพน้ื ดินทากินในถิ่นทอี่ ยแู่ ละยงั เช่ือในวญิ ญาณทส่ี ิงสู่อยใู่ นธรรมชาติรอบกายดว้ ย ก่อนที่ จะลงมือปลูกหรือคดั เมล็ดพนั ธุข์ า้ วในแต่ละปี หรือเม่ือเก็บเกี่ยวขา้ วแลว้ ชนชาตไิ ทล้ือจะเซ่นไหวแ้ ม่พระ ธรณีและแม่พระโพสพ ตลอดจนส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิอ่ืน ๆ ที่ส่งผลเก่ียวเน่ือง ไม่วา่ จะเป็ นเทพประจาภเู ขา ป่ า แม่น้า ตา่ งไดร้ บั การบวงสรวงเซ่นไหว้ เช่นกนั ตน้ ไมใ้ ดเป็นท่เี ชื่อวา่ มีเทพสถิตยอ์ ยู่ ตน้ ไมน้ ้นั ก็จะเป็ นท่ี ตอ้ งหา้ มตดั โคน่ นอกจากน้ีน้านบั เป็นสิ่งสาคญั ยง่ิ ทข่ี าดเสียไม่ไดใ้ นการยงั ชีพจงึ ถือเป็ นส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิอนั สาคญั และเทศกาลฉลองท่ีจดั ข้ึนเป็ นประจาทุกปีกถ็ ือเป็ นเทศกาลยง่ิ ใหญ่ สาหรับไฟ ซ่ึงใหค้ ุณอนนั ต์ เทา่ ๆ กบั ทใี่ หโ้ ทษมหนั ตน์ ้นั ก็นบั เป็นส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิเช่นกนั เพราะนอกจากไฟจะใหค้ วามอบอุ่น แสงสวา่ งและ ใชใ้ นการหุงตม้ แลว้ ไฟยงั ใชใ้ นการเผาฟางและถางป่ าเพอื่ ใหไ้ ดท้ ีด่ ินในการเพาะปลูกดว้ ย ดว้ ยเหตุน้ีชน ชาติ ไทล้ือจงึ เคารพและบชู าไฟ เตาไฟบนเรือนจึงเสมือนสถานที่ศกั ด์ิสิทธ์ิและมีขอ้ หา้ มมากมายท่ีตอ้ ง ปฏิบตั กิ นั อยา่ งเคร่งครดั ในความเช่ือของชนชาติไทล้ือ ไฟช้ีชะตาและทรงไวซ้ ่ึงพลงั อนั ยง่ิ ใหญ่เหนือมนุษย์ พวกเขาจึงใชไ้ ฟในการกาหนดอาณาบริเวณทตี่ ้งั ของหมู่บา้ นทต่ี ้งั ข้นึ ใหม่ มีตานานเล่าถึงเร่ืองน้ีไวว้ า่ เมื่อ พญาสมมุติ ผนู้ าของบรรพบุรุษชนชาตไิ ทล้ือ ยา้ ยถ่ินที่ต้งั จากชุมชนล่าสตั วม์ าต้งั หลกั แหล่ง เป็นสงั คม เกษตรกรรม ดว้ ยการอพยพผคู้ นลงจากเขา ซ่ึงแต่เดิมใชถ้ ้าเป็ นที่อาศยั น้นั พญาสมมุติไดจ้ ดุ ไฟเผาทุ่งหญา้ และ ดงแขมในหุบเขาข้ึน ลมพดั พาไฟลามออกเป็ นบริเวณกวา้ งและเมื่อไฟดบั ลงตรงท่ใี ดก็ถือเอกทต่ี รง น้นั เป็ นสุดเขตแดนหมู่บา้ น และยงั สงั่ ใหป้ ลูกไผแ่ ละตน้ ไมต้ ่าง ๆ ไวเ้ ป็ นหลกั เขตรอบบริเวณหมู่บา้ นดว้ ย ตานานน้ีแสดงใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธอ์ นั ใกลช้ ิดระหวา่ งมนุษยแ์ ละพลงั เหนือธรรมชาติ และวธิ ีการตาม ตานานน้ียงั สืบทอดต่อมากนั หลายชวั่ คน ตามทีป่ รากฎในประวตั ิศาสตร์ของชนชาตไิ ทล้ือส่ิงหน่ึงท่ีทาให้ สงั คม ของชนชาตไิ ทล้ือรวมตวั กนั ไดเ้ หนียวแน่นท้งั ในระดบั หมู่บา้ นและเมืองน้นั อยทู่ ช่ี นชาตไิ ทล้ือให้ ความเคารพนบั ถือต่อบรรพชนผลู้ ่วงลบั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผทู้ ่ีไดป้ ระกอบคุณงามความดไี วใ้ หก้ บั ชนรุ่น หลงั ไม่วา่ จะเป็นผนู้ าตามตานาน หรือผกู้ ่อต้งั หมู่บา้ นคนใดคนหน่ึง ผมู้ ีคุณูปการ ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ผปู้ ระกอบความดีเหล่าน้ีจะไดร้ ับการยกยอ่ งและเซ่นสรวงบชู าเหมือนหน่ึงเป็ นเทพประจาหมู่บา้ น หรือท่ี เรียกอยา่ งยกยอ่ งวา่ เส้ือบา้ น

36 ศำลเจ้ำประจำหมู่บ้ำน สาหรับศาสนาแลว้ ชาวไทล้ือโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ไทล้ือเมืองมาง นบั ถือพทุ ธศาสนา อนั เป็ น ความศรัทธา เล่ือมใส และเคารพบชู ามาจากบรรพบรุ ุษแตแ่ รกเริ่มจดุ กาเนิด สืบต่อมาถึงลูกหลานจนถึง ปัจจุบนั น้ี ตามความเขา้ ใจสาหรบั ผูเ้ ขียน ๆ มีความรู้สึกวา่ ดว้ ยความเชื่อความศรทั ธาอยา่ งมน่ั คงตอ่ พทุ ธ ศาสนาน่ีเอง ทีท่ าใหช้ าวไทล้ือไม่ยอมลืมถ่ินกาเนิดเดิมของตวั เองรวมไปถึงบรรบรุ ุษผใู้ หก้ าเนิดตามที่ได้ กล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ และยงั เป็ นสาเหตุอนั สาคญั ทาใหเ้ กิดขนบธรรมเนียมอีกอยา่ งหน่ึงข้ึนในหมู่ของชาว ไทล้ือ ส่ิงน้นั กค็ อื “ศาลเจา้ ประจาหมู่บา้ น” หากใหข้ อ้ สงั เกต จะพบวา่ หมู่บา้ นชาวไทล้ือเกือบจะทุกหมู่บา้ น ในภาคเหนือของประเทศไทยดงั ท่ีกล่าวมา จะมีส่ิงที่ ๒ สิ่ง ท่ขี าดไม่ได้ ประการแรกคือ “วดั พระพทุ ธศาสนา” ประจาหมู่บา้ นอยา่ งที่ ๒ คอื “ศาลเจา้ ประจาหมู่บา้ น” ไม่วา่ จะไปสร้างบา้ น สร้างเมืองทา มาหากินอยใู่ นถิ่นฐานใดกต็ าม ดว้ ยความศรทั ธาเลื่อมใสเคารพบูชาในพระพทุ ธศาสนา และดว้ ยความ สานึกกตญั ญูรูค้ ุณในบรรพบรุ ุษไม่ลืมชาติกาเนิดของชาวไทล้ือ สองส่ิงน้ีจงึ ไดป้ รากฎข้นึ กลายเป็ น ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทล้ือตลอดมา จากอดีตจนถึงปัจจบุ นั และเช่ือวา่ ยงั คงจะเป็ น ขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่ คู่ชาวไทล้ือตลอดไปในอนาคตดว้ ย กำรเลยี้ งผปี ่ ูย่ำ หลงั จากมีการเซ่นบวงสรวงเทวดาปลวงเมืองมาง (เล้ียงผเี มือง) ได้ ๗ วนั กจ็ ะมีพธิ ีการเซ่น สงั เวยผบี า้ น (การเล้ียงผปี ่ ูยา่ ) เครื่องเซ่นบวงสรวงหาผบี า้ นจะตา่ งกบั เครื่องเซ่นบวงสรวงของผเี มือง คือ ผี เมือง (เทวดาเมือง) จะใชห้ มู เป็นเครื่องเซ่นบวงสรวง ส่วนผบี า้ นจะใชไ้ ก่บา้ น ๑ คู่ ตวั เมีย ๑ ตวั ตวั ผู้ ๑ ตวั เหลา้ ขาว ๑ ขวด (เหลา้ ปันไก๊ก่)ู ใชด้ อกไมข้ าว และเทยี น ๔ คู่ (ถา้ ไม่มีดอกไมข้ าวกใ็ ชส้ าลีป้ันเป็ นกอ้ น กลม ๆ แทนกไ็ ด)้ ผทู้ าพธิ ีอญั เชิญดวงวญิ ญาณหาผบี า้ น (ผปี ่ ยู า่ ) กจ็ ะเป็ นผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ในบา้ นจะแตง่ กายดว้ ย ชุดสีดาหรือชุดม่อฮ่อม เหมือนกบั เล้ียงผเี มือง แตก่ ารเล้ียงผเี มืองจะสะพายถุงยา่ มสีดากนั ทกุ คน คากล่าวเชิญดวงวญิ ญาณของผบี า้ น (ผปี ่ ูยา่ ) มีคาเชิญดงั น้ี ภำษำไทลื้อ บอ๊ เดี๊ยวน่ีกอถ๊ึงยามเล่ง ยา้ มดูอ๊ ีป่ อู ียา่ ครบรองได๋มาเลา้ มาดฮู๊ ๋ือได๋กิ๊นอิ๋ม ก๊ินติ๊มขอฮ๋ืออี๊ป๋ ู อียา ป๊ กปั๊ก ฮกั ส๊า ลูกเต๋าหลายเหล็น กูป่ ูกูกนุ ฮ๋ือได๋อยดู่ ี๊กิ๊นด๊ี มีสุก ขอ๊ ฮื๋อลูก เต๋มหลา๊ นเหล๊นฮิมา๊ ก่าข๋นึ ซื่อโมนขา๊ นหมา๊ น ถ่าอี ป่ อู ียา่ มาฮบั ขอ๊ งก๊ินต่ีลกู หล๊านเอา๊ มาอื๋อกอฮอื๋ เก๊บเข๋าได๋กู่ฮาบกู่บุง๊ เนอ้

37 ภำษำไทย เด๋ียวน้ีก็ถึงเวลาเล้ียงดูผปี ่ ยู า่ ใหไ้ ดก้ ินอ่ิมกินเตม็ ขอใหป้ ่ ูยา่ ปกป้องรกั ษาลูกเตา้ หลานเหลน ทุกคน ใหไ้ ดอ้ ยดู่ ีกินดี มีสุขใหม้ ีการคา้ ขายดีมีเงนิ ใชจ้ ่ายอยา่ งสบาย ถึงป่ ยู า่ มารบั ของเซ่นบวงสรวงก็ขอให้ จบั เม็ดขา้ วให้เป็นคูห่ ลงั จากเก็บเม็ดขา้ วไดเ้ ป็ นคู่แลว้ ก็จะรอเวลาประมาณ ๑๕ นาที ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ก็จะไปเกบ็ สาหรบั เครื่องเซ่นสรวง แลว้ กน็ ามาปรุงเป็ นอาหารเล้ียงลูกหลานหรือสมาชิกทุกคนทน่ี บั ถอื ผปี ่ ยู า่ ใหท้ ุกคน ไดก้ ินกนั เพอื่ ความเป็นศิริมงคล ไทลื้อไหว้ผี “วนั น้ีเป็นวนั กรรมเมิงขอ้ ยตงั หลายไดเ้ อาขา้ วปลาอาหาร เครื่องหยอ้ ง ชา้ งมา้ ววั ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ สุรา ยาแดงและสรรพส่ิงนานาประการมาอบั ฮ้ือแก่ป่ แู ถน ยา่ แถน (ผสู้ รา้ งโลก) ตลอดจนบรรดาผตี งั หลาย เป็นตน้ วา่ ผดี ิบ ผปี อบ ผนี ้า ผโี พรง ผตี ายโหง ผที ่ที าใหต้ นปวดโห๋ ปวดฟัน ปวดหลงั ปวดไหล่ ผตี งั หมดตงั มวล ใหม้ ารบั เอาเครื่องเราจะ๊ ตานอยา่ ไดม้ ารบกวนป้ี นอ้ งชาวเมืองล่าใหอ้ ยดู่ ีกินหวานดงั ผกู้ นุ (คน) และสตั วเ์ ล้ียงนอ้ ยใหญต่ วั หลายขอใหเ้ คราะหก์ รรมเป็นตน้ วา่ เคราะห์ไข้ เคราะหห์ นาว เคราะหเ์ จบ็ ป่ วย ๕๒ เคราะห์ไปหลงั ใหห้ มดไปแลว้ ในวนั น้ี ใหห้ มดไปอยา่ งไฟ ใหล้ อยไปอยา่ งลม ๓๐ ปี อยา่ งไดม้ ารอ ถา้ ๕๐ ปี อยา่ ไดม้ าใกลข้ อ้ ยตงั หลาย” เน้ือหาทห่ี มอเมืองผชู้ านาญ ขอ้ ยตงั หลายในเชิงไสยศาสตร์และ โหราศาสตร์ร่ายเรียงคาพดู บอกกล่าวส่ือ ถึงส่ิงล้ีลบั ไมม่ ีใครรู้วา่ ส่ิงล้ีลบั ทวี่ า่ น้ีส่ิงสถิตย์ หรือเวียนวา่ ยอยู่ ณ ทใี่ ด อาจอยใู่ นป่ าในเขา ในทงุ่ ทอ้ งนาหรือบางทมี นั อาจจะวนุ่ วายอยใู่ นจติ ใจทีม่ ืดดาของคนอยกู่ เ็ ป็ นได้ ผปี อบ ผี ดิบ ผสี ือ ผตี ายโหง ผตี งั หมดตงั มวลหรือผที ้งั หมดท้งั มวลทหี่ มอเมืองเอ่ยขานแบบรวบยอด ถูก เรียงใหม้ ารบั เครื่องเซ่นไหวบ้ ชู า สะทอ้ นวธิ ีความเป็ นอยแู่ ละความเชื่อถือของชาวไทล้ือไดเ้ ป็ นอยา่ งดี แมว้ า่ พน้ื ฐานความเช่ือชาวไทล้ือจะนบั ถือพทุ ธศาสนากต็ ามที แตเ่ ร่ืองของผชี าวไทล้ือไม่เคยละเลยเช่นกนั ผหี รือ เทวดาสาหรบั ล้ือดูจะแยกออกจากกนั ไดย้ าก แตจ่ ะวา่ ไปแลว้ เทวดาทว่ี า่ รา้ ย ๆ กไ็ ม่ตา่ งอะไรไปกบั ผนี ้นั เอง คนท่ชี าวล้ือเรียกวา่ เทวดาอารกั ษห์ รือผเี มืองน้นั จะวา่ ไปแลว้ เม่ือก่อนน้ีก็เป็ นคนเราดี ๆ น้ีเอง แตค่ น ๆ น้นั ทตี่ อ้ งกลายเป็ นผเี มืองของล้อื ไปมีอะไรพเิ ศษกวา่ คนทวั่ ๆ ไปอยา่ งแน่นอน ดงั เช่นเทวดาหรือผีเมืองในเมือง ลา้ สิบสองปันนามีตานานเล่าขานพศิ ดารแตต่ า่ งกนั ไปแตล่ ะตนเทวดานางแมน เมื่อยงั มีชีวติ อยเู่ ป็ นหญิงรูป งาม สามีเป็นขนุ หาญ (ทาหนา้ ที่คลา้ ยเป็นตารวจประจาเมือง) เวลามีศึกเสือเหนือใตไ้ ดน้ าชาวบา้ นรบพงุ่ ประสบชยั ชนะเสมอกบั กมุ โจรผรู้ า้ ยฆ่าตายหลายศพ วนั หน่ึงขนุ หาญผนู้ ้ีพานางแมนผเู้ ป็ นภรรยาไปทาข่าย ดกั นกในป่ า บงั เอิญนางแมนเดินไปถูกกบั ดกั นกน้นั เป็ นเหตุใหไ้ มข้ า่ ยตีมาถูกตาของนางทะลกั ออกมานอก เบา้ ต่อมานางแมนเสียชีวติ ลงดวงวญิ ญาณของนางสาแดงเดชหลอกหลอนทเ่ี ป็ นน่าหวนั่ เกรงของชาวบา้ นจงึ ไดส้ รา้ งศาลใหป้ ระทบั และยกยอ่ งเป็นเทวดาอารักษห์ รือผเี มือง เทวดาหมวกดา เดิมเป็ นขนุ หาญประจา เมืองลา้ ยกพวกไปรบนครเชียงใหม่ร่วมกบั เจา้ ฟ้าเมืองเชียงรุ่งสมยั ก่อน กลบั มาป่ วยเป็นไขใ้ นระหวา่ งทาง

38 สาหรับชาวล้ือท่บี า้ นมาง ต.หยว่ น อ.เชียงคา จ.พะเยา เทวดาหรือผเี มืองทีเ่ ขาเลื่อมใสศรัทธามีอยู่ ๗ ตน คอื เทวดาเมืองมาง พอ่ พญาคาลวงคาคาก เจา้ มุลิวาสสายวนั เจา้ ชอ้ ยด่างคาลือ เจา้ จอมฝาง นางจอมไกรและพอ่ พญาหลวงจนั ทร์คนที่นน่ั บอกเล่ากนั วา่ ผเี มืองของพวกตนแตก่ ่อนเป็นผนู้ าท่เี ก่งกลา้ สามารถอพยพชาวล้ือ เมืองมางทางตอนใตข้ องจนี มาเป็นไทล้อื บา้ นมาง อาเภอเชียงคาทกุ วนั น้ีนน่ั เอง ในพธิ ีกรรมเมืองหรือพธิ ี เซ่นไหว้ บูชาผเี มือง หมอเมืองจะกาหนดวนั เวลาในการประกอบพธิ ีกรรมข้ึน จากน้นั กอ่ นจะถึงวนั งาน ชาวเมืองกจ็ ะร่วมกนั โดยถือเอาบริเวณที่มีศาลอารักษห์ มู่บา้ นต้งั อยู่ ในการสืบสานตานานไทล้ือท่ีเชียงคา ชาวไทล้ือบา้ นธาตุ ไดจ้ ดั ทาศาลเทวดาจาลองข้นึ พธิ ีเร่ิมข้ึนเม่ือหมูที่จะใชเ้ คร่ืองเซ่นในพิธีถูกวางลงบน เขียง เลือดสีแดงในถว้ ยท่รี องลงมาจากคอหมูทถ่ี ูกเชือดนามาทาตาแหล่วสานจากไมไ้ ผ่ ทาเป็ นรูปวงกลม คลา้ ยรัศมีของดวงอาทติ ย์ ตามความเช่ือของไทล้อื โบราณ นามาปักไวท้ ส่ี ่ีมุมของพธิ ีเหมือนเป็ นเคร่ืองหมาย ก้นั บริเวณเพอื่ ป้องกนั วญิ ญาณรา้ ยอื่น ๆ ไม่ใหเ้ ขา้ มา จากน้นั หมอเมืองไดท้ าพธิ ีเชิญเทวดาโดยการจดุ เทยี น และเส่ียงทายขา้ วสารกินเวลาไม่นาน เทวดาก็ลงมาประทบั เพอ่ื รับเครื่องเซ่น เคร่ืองทที่ ามาจากหมูตม้ สุก ขา้ วเหนียวและเลือดสด เป็นส่วนประกอบทีส่ าคญั ทชี่ าวไทล้ือต้งั ใจถวายแด่เทวดาทพ่ี วกเขาเคารพ และท่ี ขาดไม่ไดค้ ือเหลา้ เม่ือเทวดากินเคร่ืองเซ่นแลว้ อาหารเหล่าน้นั ถูกนามาแจกจ่ายใหค้ นที่มาร่วมงานไดก้ ิน และในระหวา่ งน้นั กจ็ ะมีการขบั ล้อื เพอ่ื ถวายเป็นสกั การะแด่เทวดาและขบั กลอ่ มคนในงาน เสียงขบั ล้ือดว้ ย ท่วงทานองเยอื กเยน็ ผสมกบั เสียงจากปี่ ไมด้ งั กงั วาลจนดูขลงั ตอกย้าใหเ้ รารูซ้ ้ึงถึง ความเชื่อความศรัทธาตอ่ วญิ ญาณ และเรื่องราวของบรรพบรุ ุษไม่ใช่เรื่องงมงายไร้สาระ แตเ่ ป็นส่วนหน่ึงของวถิ ีชีวติ เป็นหลกั สาคญั ของสงั คมทไ่ี ม่มีใครกลา้ ละเมิด หรือละเลยส่ิงยนื ยนั ความเช่ือมน่ั ศรทั ธาน้ีคอื ประเพณีไหวเ้ ส้ือบา้ น เส้ือเมือง ราวเดือนพฤษภาคม หรือเดือนมิถุนายนของทุกปี แมส้ งั คมจะพฒั นาไปแลว้ ผคู้ นส่วนใหญส่ บั สนและเริ่ม หลงทางแต่โชคดีทีช่ าวบา้ น บา้ นมาง ยงั มีความเคารพศรทั ธาในวญิ ญาณของบรรพบรุ ุษจึงทาใหพ้ วกเขา รูส้ ึกถึงรากฐานของเขาวา่ เขามาจากไหน และปัจจุบนั เขาเป็นใคร ศำลเจ้ำหอเทวดำประจำหมู่บ้ำนมำง อำเภอเชียงคำ

39 เรื่องที่ ๓.๒ ประเพณพี นื้ บ้ำนไทลอื้ 3.2 กำรเรียกขวัญ การเรียกขวญั หรือฮา้ งขวญั หมู่บา้ นไทล้ือ มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั ประเพณีเรียกขวญั ของ ชาวเหนือโดยทวั่ ไปวตั ถุประสงคข์ องการประกอบพธิ ีเรียนขวญั เพอ่ื เรียกขวญั คนทีเ่ พง่ิ หายจากการเจบ็ ป่ วย ใหม่ ๆ ใหม้ ีขวญั และกาลงั ใจดีข้นึ เช่ือกนั วา่ คนทีเ่ จบ็ ป่ วยเบือ่ อาหารเมื่อทาพธิ ีเรียกขวญั แลว้ จะกลบั มา รับประทานอาหารไดต้ ามปกติ ลำดับข้นั ตอนในกำรประกอบพธิ ี เจา้ บา้ นหรือญาตขิ องผปู้ ่ วย จะจดั เตรียมส่ิงของ เพอื่ ประกอบพธิ ีไดแ้ ก่ หมาก ๑ หวั พลู ๑ เรียง บหุ รี่ ๑ มวน เม่ียง ๑ อม กลว้ ย ๑ ลูก ขา้ วเหนียว ๑ กอ้ น ปลาป้ิ ง ๑ ตวั ไข่ตม้ ๑ ฟอง ไก่ตม้ ๑ ตวั (โดยปกติจะไม่นิยมฆ่าไกถ่ า้ ไม่จาเป็นเพราะเช่ือวา่ จะทาใหค้ นป่ วยหายชา้ ) นอกจากน้นั ยงั มีดา้ ย สายสิญจนอ์ ีกจานวน ๑ เสน้ หรือ ๙ เสน้ กไ็ ด้ ขา้ วสารจานวน ๖๔ เมด็ หรือ ๓๒ คู่ ใส่ในถว้ ยใบเลก็ ๆ ไวใ้ น ท่ีประกอบพธิ ี เมื่อเตรียมสิ่งของเรียบรอ้ ยแลว้ หมอขวญั ก็จะเร่ิมประกอบพธิ ีเรียกขวญั ถอ้ ยคาและสานวน โวหารเป็ นแบบพ้นื เมืองภาคเหนือ ใชเ้ วลาประมาณ ๕๐ นาที ในขณะทีห่ มอขวญั กาลงั ทาพธิ ีใกลจ้ บจะมี การเส่ียงทาย เพอ่ื ดูวา่ ขวญั ของผปู้ ่ วยกลบั คืนมาหรือยงั โดยหยบิ ขา้ วสารจากในถว้ ยข้ึนมานบั ถา้ หยบิ ได้ จานวนคูแ่ สดงวา่ ขวญั ของผปู้ ่ วยกลบั คืนมาแลว้ แต่ถา้ หยบิ ไดจ้ านวนคแ่ี สดงวา่ ขวญั ยงั ไม่มาหมอขวญั กจ็ ะ ทาพธิ ีแลว้ กจ็ ะนาปลาป้ิ ง ไข่ตม้ และไก่ตม้ ใหผ้ ปู้ ่ วยรับประทาน การเรียกขวญั อีกอยา่ งหน่ึงไม่มีพธิ ีการ คือ เวลาลูกหลายตกใจร้องไหห้ รือหกลม้ ผใู้ หญ่กจ็ ะอุม้ แลว้ ใชม้ ือลูบหวั และหลงั แลว้ กล่าวปลอบใจ “ ขวญั มา ๆ ขวญั มาอยกู่ บั เน้ือกบั ตวั \" ซ่ึงนิยมปฏิบตั กิ นั เป็ นประจา การเรียกขวญั เป็นประเพณีพ้นื บา้ นที่มี ผลทางดา้ นจิตใจเป็ นการสรา้ งขวญั และกาลงั ใจใหแ้ ก่บุคคลทีเ่ สียขวญั ใหม้ ีสภาพจิตใจทด่ี ีข้นึ อีกอยา่ งหน่ึง กำรส่ งเครำะห์ ส่งเคราะห์เป็นประเพณีพ้นื บา้ นของชาวไทล้ือทคี่ ลา้ ยกนั ของภาคเหนือโดยทวั่ ไปการส่ง เคราะหเ์ ป็นการส่งสิ่งชวั่ ร้ายตา่ ง ๆ ออกไปจากผมู้ ีเคราะหห์ รือผปู้ ระสบเคราะหก์ รรมต่าง ๆ เพอื่ ใหอ้ ยสู่ ุข สบายปลอดภยั จากโรคภยั ไขเ้ จบ็ และอนั ตรายท้งั ปวง รวมท้งั เป็ นการเสริมแรงใจใหแ้ ก่ผปู้ ระสบเคราะห์ กรรมอีกดว้ ย การประกอบพธิ ีกรรมส่งเคราะห์จะกระทาเม่ือมีเหตุ ๒ ประการ ๑. การส่งเคราะห์ตามราศี ตามวนั เดือน ปี เกิด ตามโชคชะตาท่ีหมอดูหรือผรู้ ู้ไดท้ านาย ทายทกั ไวว้ า่ ปี ใดคนเกิดวนั ไหนจะมีเคราะห์ โดยการกาหนดจากการถือฤกษต์ ามวนั สงกรานต์ เช่น ปี ใดวนั

40 สงกรานต์ ตรงกบั วนั อาทติ ย์ ผทู้ ่ีเกิดวนั พุธจะตอ้ งเขา้ พธิ ีส่งเคราะห์ เพอื่ จะไดอ้ ยสู่ ุขสบายปราศจากเคราะห์ ภยั ต่าง ๆ ตลอดปี ๒. ทาพธิ ีส่งเคราะหเ์ ม่ือประสบภยั พบิ ตั ิต่าง ๆ เช่นประสบอุบตั เิ หตุ เจบ็ ป่ วย ก็จะทาการส่ง เคราะหเ์ พอ่ื ใหพ้ นั จากภยั พบิ ตั ิท้งั ปวง กำรเตรียมทำพิธีส่งเครำะห์ เตรียมทาสะตวง โดยนากาบกลว้ ยมาพบั เป็นรูปส่ีเหลี่ยมจตั ุรัส กวา้ งยาวราว ๑ ศอก ใชไ้ มไ้ ผเ่ ล็ก ๆ เสียบเป็ นแนวขวางปทู บั ดว้ ยใบตอง แบ่งออกเป็ นหอ้ งหรือช่องจานวน ๙ หอ้ ง แต่ละ หอ้ งจะใส่ส่ิงของลงไปใหค้ รบจานวนเท่า ๆ กนั อยา่ งละ ๘ ชิ้น เรียกวา่ เคร่ืองแปด ไดแ้ ก่ แกงสม้ ป้าว (มะพร้าว) ตาล (น้าตาล) กลว้ ย ออ้ ย หมาก พลู บหุ ร่ี ขา้ วจ่ี (ขา้ วเหนียวน่ึง) ใส่เกลือขา้ งใน ๑ เม็ด ขา้ วตอก ดอกไม้ ธูปเทยี น ตรงมุมท้งั ๔ ดา้ นของสะตวงปักดว้ ยธง ๖ สีคอื ดา แดง ขาว เหลือง เขยี ว น้าเงนิ หรือคราม บางคร้ังใชส้ ีขาวแทนท้งั หมด เพราะมีความเช่ือวา่ สีขาวจะทาใหป้ ราศจากเคราะห์อยา่ งขาวบริสุทธ์ิขนั ต้งั ยก ครู สาหรับหมอประกอบพธิ ี ประกอบดว้ ย ดอกไม้ ๔ ดอก เทยี น ๔ เล่ม เงนิ ๑๐ บาท ข้นั ตอนของกำรประกอบพธิ ีกรรม พธิ ีจะเริ่มโดยหมอผปู้ ระกอบพธิ ียกครู โดยหนั หนา้ ไปทางทิศ ตะวนั ออกแลว้ กล่าวคายกครูเสร็จแลว้ ก็ประกอบพธิ ีส่งเคราะห์ โดยใหผ้ เู้ ขา้ พธิ ีนง่ั ลงแลว้ วางสะตวงไวต้ รง ขา้ งหนา้ ส่วนขนั น้าไวท้ หี่ นา้ หมอผปู้ ระกอบพธิ ี ซ่ึงนง่ั อยดู่ า้ นหลงั ผเู้ ขา้ พธิ ีเมื่อพรอ้ มแลว้ ก็จะเริ่มกล่าว สรรเสริญพระพทุ ธคุณ พระธรรมคุณ พระพรหม จากน้นั กร็ ่ายคาถาสาหรับปัดเคราะห์ ใหอ้ อกจากร่างกาย ของผเู้ ขา้ ในพธิ ี จบแลว้ หมอพธิ ีก็จะเก็บเอาเครื่องยกครูใส่ยา่ มส่วนตวั ส่วนสะตวงนาไปทงิ้ ไวน้ อกบา้ น เป็ น เสร็จพธิ ี การส่งเคราะห์เป็นฮีตของชาวไทล้ือท่ีปฏิบตั ิสืบตอ่ กนั มา เพอื่ เป็ นสิ่งยดึ เหนี่ยวจิตใจเป็นการบารุง ขวญั และใหก้ าลงั ใจแก่ผทู้ ่ีประสบเคราะห์กรรมใหห้ ายจากความวติ กกงั วล ทาใหม้ ีความเช่ือมนั่ ในตนเอง มากข้ึน ในการประกอบอาชีพการงานและพรอ้ มจะตอ่ สูก้ บั อุปสรรคอนั ตรายภายภาคหนา้ กำรสืบชะตำ การสืบชะตาเป็นจารีตประเพณีของหมู่บา้ นชาวไทล้อื และภาคเหนือ มีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ให้ เป็นสิริมงคล และขบั ไล่สิ่งชวั่ รา้ ยท่ีเป็ นเสนียดจญั ไรใหอ้ อกไปจากบุคคลหรือสถานที่ พธิ ีสืบชะตาเป็ น ประเพณีไดร้ ับอิทธิพลจากธรรมเนียมของพราหมณ์ ซ่ึงไดน้ ามาผสมผสานกบั พธิ ีกรรม ของพทุ ธศาสนาได้ อยา่ งกลมกลืน การสืบชะตาในหมู่บา้ นไทล้ือมี ๒ ประเภทคอื สืบชะตาคน และสืบชะตาหมู่บา้ น พธิ ีสืบชะตำคน จะจดั ทาในโอกาสต่าง ๆ กนั เช่นข้นึ บา้ นใหม่ ภายหลงั การเจบ็ ป่ วย หรือทาในโอกาสท่ี หมอดูทานายทายทกั วา่ ดวงชะตาไม่ดีบางคร้งั กท็ าเพอ่ื การสะเดาะเคราะห์ภายหลงั จากการประสบเคราะห์

41 กรรม เมื่อสืบชะตาแลว้ เชื่อวา่ จะช่วยเสริมสรา้ งดวงชะตาใหด้ ีข้นึ อีกท้งั เป็ นการบารุงขวญั และกาลงั ใจของผู้ ประสบเคราะหก์ รรมหรือผเู้ จบ็ ป่ วย ใหก้ ลบั คืนสภาพปกติ สถานที่ประกอบพธิ ีใชบ้ ริเวณบา้ นของผเู้ ขา้ ในพธิ ีสืบชะตา โดยใชห้ อ้ งโถง ห้องรับแขก ลานบา้ นหรือบริเวณบนบนั ไดบา้ นสาหรับสิ่งของเครื่องใชใ้ นพธิ ีมีไมง้ า่ มขนาดเลก็ นามามดั รวมกนั มี จานวนมากกวา่ อายขุ องผสู้ ืบชะตา ๑ อนั ไมค้ ้าสณีขนาดความยาวเทา่ กบั ความสูง และผเู้ ขา้ พิธีจานวน ๓ ทอ่ น นอกจากน้ีมีกระบอกขา้ ว กระบอกทราย กระบอกน้า สะพานลวดเงิน สะพานลวดทอง เบ้ียแถว (ใชเ้ ปลือกหอยแทน) หมากแถว มะพรา้ วอ่อน กลว้ ย ออ้ ย หมอน เส่ือ ดอกไมธ้ ูปเทยี น และมีเทยี นชยั เล่ม ยาว ๑ เล่ม การจดั สถานที่ใชไ้ มต้ ้งั เป็นกระโจมสามเหล่ียมตรงกลางเป็ นทีว่ า่ งสาหรบั วางสะตวงและสิ่งของ เคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ ในพธิ ี จดั ที่วา่ งใกล้ ๆ กระโจมใหเ้ ป็นท่ีนงั่ สาหรบั ผูเ้ ขา้ ไปรบั การสืบชะตาแลว้ วนดา้ ย สายสิญจน์ ๓ รอบโยงกบั เสากระโจมท้งั สามขา แลว้ นาไปพนั รอบพระพทุ ธรูป และพระท่ีสวดพธิ ี โดยปกติ การสืบชะตาคนในภาคเหนือ โดยทวั่ ไปใชพ้ ระสงคป์ ระกอบพธิ ี ๙ รูป แต่ท่หี มู่บา้ นไทล้ือใชพ้ ระเพยี ง ๑ รูป สาหรบั ทอ่ งคาถาและบทสวดจบแลว้ ใชด้ า้ ยสายสิญจน์ผกู ขอ้ มือผปู้ ่ วยเป็ นเสร็จพิธี ส่วนการสืบชะตาคน พร้อมกบั ข้นึ บา้ นใหม่ใชพ้ ระ ๕ รูป ข้ึนไป เพอื่ สวดพระปริต สวดชยนั โต ใหศ้ ลี ใหพ้ ร ฟังเทศนส์ งั คหะ และ เทศน์สืบชะตา ตวั แทนที่เขา้ ไปนง่ั ในสายสิญจน์คือผนู้ าครอบครวั หรือผทู้ ี่อาวโุ สสูงสุดในครอบครวั เพอ่ื เป็นสิริมงคลแก่บา้ นและครอบครัว พธิ ีสืบชะตำบ้ำน การสืบชะตาบา้ นมีจดุ มุ่งหมายเพอื่ สรา้ งความเป็นสิริมงคลใหแ้ ก่หมู่บา้ นโดยจะประกอบ พธิ ีกรรมทีห่ อเส้ือบา้ นหรือศาลากลางบา้ นอนั เป็นศนู ยร์ วมในการประกอบพธิ ีของหมู่บา้ นก่อนถงึ วนั ประกอบพธิ ี ชาวบา้ นจะช่วยกนั ประดบั ประดาตกแตง่ หอเส้ือบา้ น หรือศาลากลางบา้ นใหส้ วยงามทา ความสะอาดบริเวณรอบ ๆ แลว้ ขดั ราชวตั ิ ปักฉัตรและธงทวิ ใชต้ น้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ประดบั โดยรอบ วงดา้ ย สายสิญจนร์ อบบริเวณพธิ ี ทาแท่นบูชาทา้ วท้งั ส่ีและพระเทพารกั ษใ์ นบริเวณน้นั มีสิ่งของที่ขอมาประกอบ พธิ ีไดแ้ ก่ ขา้ ว พริกแหง้ เกลือ ขนม ขา้ วตม้ ดอกไม้ ธูปเทยี น หมาก พลู บหุ ร่ี เมี่ยง ซ่ึงได้ จากการบริจาคของชาวบา้ น ในวนั ประกอบพธิ ีจะมีการทาบญุ ตกั บาตรกนั ในตอนเชา้ ในบริเวณพธิ ี หลงั จาก น้นั พระสงฆส์ วดชยั มงคลคาถา และสวดพระปริต เทศนาธรรมใบลานเจด็ คมั ภรี ์และเทศนาสืบชะตา เพอื่ ขบั ไล่สิ่งชว่ั ร้ายและเสนียดจญั ไร หรือส่ิงอปั มงคลท้งั หลายออกไปจากหมู่บา้ น เมื่อจบพธิ ีแลว้ กจ็ ะปะพรม น้ามนตแ์ ก่ผมู้ าร่วมพธิ ีทกุ คน กาหนดวนั ประกอบพธิ ีสืบชะตาของหมู่บา้ นไทล้ือ จะทาหลงั สงกรานตข์ อง ทุกปี ประเพณีสืบชะตาบา้ น เป็ นการรวมน้าใจของชาวบา้ นใหม้ ีความสามคั คี โดยมีกิจกรรมทาบุญร่วมกนั เป็นการสรา้ งขวญั และกาลงั ใจใหแ้ ก่คนในหมู่บา้ นและสืบทอดมรดกที่เก่ียวกบั ประเพณีใหแ้ ก่ลูกหลานแต่ เป็นทนี่ ่าสงั เกตวา่ การประกอบพธิ ีในระยะหลงั ๆ ผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมมกั เป็ นผสู้ ูงอายสุ ่วนคนรุ่นหลงั มกั จะ ไม่ใหค้ วามสนใจมากนกั

42 ป่ ูจำเตยี น ป่ จู าเตียน หรือบูชาเทยี น เป็ นประเพณีการ สะเดาะเคราะห์อีกแบบหน่ึง เพอ่ื บชู า หลีกเคราะห์ภยั ต่าง ๆ ทีม่ ีมาถึงตนเองและครอบครวั รวมท้งั ญาติพนี่ อ้ งนิยมประกอบพธิ ีในวนั เขา้ พรรษา ออกพรรษา และเทศกาลสงกรานต์ แตว่ นั วนั อื่นๆ กส็ ามารถทาไดต้ ลอดปี บางคนทาพธิ ีเพอ่ื ความมี โชคลาภ บางคนก็ทาเพอ่ื แผเ่ มตตามหานิยมเทียนท่ใี ชบ้ ูชาเทียน หรือเทียนข้ผี ้งึ ธรรมดา ผปู้ ระกอบพธิ ีไดแ้ ก่ พระสงฆส์ ามเณร อาจารย์ หรือผทู้ เี่ คยบวชเรียนมาแลว้ เขยี นคาถาเป็ นอกั ขระพ้นื เมืองลา้ นนาลงบนเทยี นไข วธิ ีเขียนทาได้ ๓ แบบ คอื บชู าเพอื่ หลีกเคราะห์ บูชาเพอ่ื รับโชค และบูชาสืบชะตา ประเพณีบูชาเทยี นใน ปัจจุบนั น้ียงั ปฏบิ ตั ิกนั ในหมู่บา้ นไทล้ือ เพอ่ื เป็นการเสริมกาลงั ใจใหแ้ ก่ตนเองและครอบครัวการประกอบ พธิ ีบูชาเทียนสามารถทาแทนกนั ได้ เช่นกรณีทสี่ มาชิกในครอบครวั อยหู่ ่างไกลพอ่ แม่หรือญาตผิ ใู้ หญอ่ าจจะ ประกอบพธิ ีใหไ้ ด้ เป็นการส่งจิตใจถึงกนั เพอื่ สร้างความอบอุน่ ใหแ้ ก่ครอบครัว ป่ ูจำข้ำวหลกี เครำะห์ การป่ จู าขา้ วหลีกเคราะห์ หรือบชู าขา้ วหลีกเคราะห์ เป็นการประกอบพธิ ีทางศาสนาเพอื่ ยดึ เอาพระรัตนตรยั เป็นสรณะ มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื สะเดาะเคราะหไ์ วล้ ่วงหนา้ ใหแ้ ก่ตนเอง และสมาชิกใน ครอบครัว นิยมประกอบพธิ ีกนั ในเทศกาลสงกรานต์ เขา้ พรรษา ออกพรรษา โดยยดึ ถือเป็ นประเพณีทีป่ ฏิบตั ิ สืบต่อกนั มานานแลว้ เป็นการเสริมสรา้ งความเป็ นสิริมงคลแก่ครอบครวั โดยเชื่อวา่ จะปราศจากเคราะห์ภยั และอนั ตรายท้งั ปวง สิ่งของทีใ่ ชป้ ระกอบพธิ ีมีกระทงซ่ึงเรียกวา่ ควกั๊ บรรจุ ใบขนุน ใบดอกแกว้ ใบคา กลว้ ย ออ้ ย มะพรา้ ว น้าตาล เทียนไข หมาก พลู บุหร่ี เม่ียง ช่อ (ธงสามเหลี่ยมเลก็ ๆ ทาดว้ ยกระดาษ) ขา้ วเหนียว น่ึงป้ันเป็นกอ้ นใหค้ รบจานวนสมาชิกในครอบครัว ผา้ ตดี (ใชด้ า้ ย ๕ เสน้ รวมกนั ไวส้ าหรบั จดุ ไฟขณะทา พธิ ี) สีลายยาว (ใชด้ า้ ย ๕ เสน้ แต่ยาวกวา่ ผา้ ตีด) และเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครวั ทกุ คน การจดั เตรียม ส่ิงของ จะดาเนินการล่วงหนา้ ๑ วนั เรียกวา่ วนั ดา จะจดั เตรียมทาควกั๊ สาหรับใส่สิ่งของและจดั หาสิ่งของท่ี จะใชป้ ระกอบในพธิ ีใหพ้ ร้อม และทาควก๊ั อีกอนั หน่ึงใส่ขา้ ว ๑ กอ้ น กลว้ ย ๑ ใบ เรียกวา่ ใส่ขา้ วป้ันกลว้ ย หน่วยสาหรับบชู าแม่พระธรณี โดยนาไปวางไวท้ ี่ ประตูร้ัวหนา้ บา้ น ส่วนเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครัว บรรจุใส่กระบงุ เตรียมไว้ ข้นั ตอนกำรประกอบพธิ ีในวดั การประกอบพธิ ีจะกระทาในตอนเชา้ เม่ือชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั ทศ่ี าลาวดั พระสงฆจ์ ะสวดมนตร์ ับศลี เสร็จแลว้ กจ็ ะเริ่มกล่าวคาบูชาขา้ วหลีกเคราะห์ ในขณะเดียวกนั ชาวบา้ นก็จะทา พธิ ี จดุ ไฟเผาตดี คอื ดา้ ยสีขาวท่ีเตรียมมาและจุดเทียน มีชาวบา้ นบางส่วน นาผา้ ตีดและเทียนไข จุดขา้ งวหิ าร และขา้ งกาแพงวดั เม่ือพระกล่าวคาบชู าหลีกเคราะห์จบแลว้ ผปู้ ระกอบพธิ ีกจ็ ะคว่ากระบุงทบ่ี รรจุเส้ือผา้ กลบั ดา้ นล่างใหเ้ ป็นดา้ นบน แลว้ สลดั เป็ นการไล่เคราะห์ใส่ในควก๊ั เครื่องเซ่นบูชาจากน้นั จะนาควกั๊ ไปถวาย พระพทุ ธรูปในวหิ ารแลว้ นากลบั ลงมาทศ่ี าลาเม่อื เสร็จพธิ ีแลว้ ก็จะนาควก๊ั ขา้ วหลีกเคราะหไ์ ปทิ้งนอกวดั

43 พธิ ีบชู าขา้ วหลีกเคราะห์ในปัจจบุ นั น้ียงั คงพบเห็นในวดั ไทล้ือทุกแห่ง เป็ นทีน่ ่าสงั เกตวา่ ผปู้ ระกอบพธิ ีกรรม ส่วนมากจะเป็นผหู้ ญิงเป็นแม่บา้ น หรือหญงิ ทส่ี ูงอายุ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงความรกั และความห่วงใยท่ีมีตอ่ สมาชิกทกุ คนในครอบครวั กำรป๊ กเฮิน ป๊ กเฮิน คือประเพณีการปลูกบา้ นของชาวไทล้ือ เป็นประเพณีทแ่ี สดงใหเ้ ห็นถึงความร่วมมือ ร่วมใจทาใหเ้ กิดความสมานสามคั คี ช่วยเหลือเก้ือกูลกนั ในบรรดาเพอ่ื นบา้ นและญาตมิ ิตรซ่ึงตา่ งก็มีความ สานึกวา่ เป็ นหนา้ ทที่ ีจ่ ะตอ้ งช่วยเหลือกนั ในเชา้ วนั ประกอบพธิ ีป๊ กเฮิน เพอื่ นบา้ นและญาติมิตรซ่ึงส่วนใหญ่ เป็นผชู้ าย จะหยดุ งานภารกิจประจาวนั ของตนไปช่วยทาพธิ ียกเสาขวญั หรือเสามงคลอ่ืน ๆ รวมท้งั ติดต้งั โครงสรา้ งหลกั ทีส่ าคญั ของบา้ นจนเสร็จเรียบรอ้ ย หลงั จากน้ีเจา้ บา้ นก็จะดาเนินการก่อสรา้ งต่อไป ก่อนทจี่ ะทาการปลูกบา้ น อนั ดบั แรกเจา้ ของบา้ นก็จะไปดูฤกษย์ าม จากอาจารยป์ ระจาหมู่บา้ น เพอื่ ความเป็ น สิริมงคล เช่น เดือนออก (ขา้ งข้นึ ) ๑ ค่า ชนะขา้ ศกึ ศตั รู ออก ๒ ค่า จะไดท้ ุกขโ์ ศกไหม้ ออก ๓ ค่า ไดล้ าภ ออก ๔ ค่า บด่ ี ออก ๕ ค่า ไฟจกั ไหม้ ออก ๖ ค่า เจา้ เฮือนจกั ตาย ออก ๗ ค่า บ่ดี ออก ๘ ค่า ทกุ ขโ์ ศกไหม้ ออก ๙ คา่ ดี ออก ๑๐ ค่า อยดู่ ีกินดี ออก ๑๑ ค่า ดีนกั ออก ๑๒ ค่า ดีนกั การป๊ กเฮินหรือปลูกบา้ นของชาวไทล้ือ นิยมทาในเดือนคู่คอื เดือน ๔ เดือน ๖ และเดือน ๘ เหนือ ยกเวน้ เดือน ๑๐ เหนือ เ พราะเป็นเดือนเขา้ พรรษา ชาวบา้ นไม่นิยมประกอบ พธิ ีมงคลส่วนเดือนค่นี ้นั ถือวา่ ไม่ดี การขดุ หลุมจะนามูลดินไปวาง กจ็ ะตอ้ งพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั โหรศาสตร์ เช่น เดือน ๔ เอาปลายเสาวางไวท้ างทิศใต้ เอามูลดินวางไวท้ ศิ ตะวนั ออก เดือน ๖ และเดือน ๘ ใหว้ างเสาไวท้ างทิศ เหนือ เอามูลดินไวท้ างทิศใต้ เป็นตน้ ก่อนขดุ หลุมอาจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ ี จะทาพธิ ีข้ึนทา้ วท้งั ส่ี เมื่อเสร็จพธิ ี แลว้ ก็จะทาการขดุ หลุมและทาพธิ ียกเสาขวญั ซ่ึงเสาหลกั ของบา้ นสิ่งของในพธิ ีมีกลว้ ย ๑ เครือ มะพรา้ ว ๑ ทะลาย ตน้ กกุ๊ หน่อกลว้ ย หน่อออ้ ย หมากพลู บหุ ร่ี ดา้ ย ซ่ึงทาดว้ ยฝา้ ยดินจานวน ๑๐๘ เสน้ ผกู ติดไวก้ บั เสา

44 ขวญั การปลูกบา้ นของไทล้ือเสาขวญั จะตอ้ งอยทู่ างดา้ นตะวนั ออกเสมอและเป็ นตน้ ท่ี ๒ ส่วนเสานางจะอยู่ ทางทิศตะวนั ตก เพอื่ ใหค้ ูก่ บั เสาขวญั เมื่อเสร็จการป๊ กเฮินแลว้ เจา้ ของบา้ นจะเล้ียงอาหารเป็ นการตอบแทน น้าใจไมตรี โดยไม่ตอ้ งจา่ ยเงินหรือใหส้ ่ิงตอบแทนแตอ่ ยา่ งใด ประเพณีป๊ กเฮินยงั คงมีปฏบิ ตั กิ นั อยใู่ น หมู่บา้ นไทล้อื กำรขนึ้ เฮินใหม่ ข้ึนเฮินใหม่ คือประเพณีข้ึนบา้ นใหม่ของหมู่บา้ นไทล้ือ เป็ นเพณี ทป่ี ฏบิ ตั สิ ืบทอดกนั มาจาก บรรพบุรุษเพอื่ เป็ นสิริมงคลแก่ผทู้ ่ีอาศยั นอกจากน้ียงั เป็ นการสร้างความสามคั คีในหมู่ญาตมิ ิตรและผทู้ ่ี เคารพนบั ถือ ลำดับข้นั ตอนในกำรประกอบพธิ ี การประกอบพธิ ีแบง่ ออกเป็น ๒ วนั คอื วนั ดากบั วนั ทาบญุ วนั ดา เป็ นการ จดั เตรียมสิ่งของ จะจดั ก่อนวนั ทาบญุ ๑ วนั เป็นญาติมิตรและผใู้ กลช้ ิดมาช่วยกนั จดั เตรียมส่ิงของจดั สถานท่ไี วป้ ระกอบพธิ ีและรับแขก บางบา้ นทเี่ จา้ ภาพมีฐานะดีก็อาจใหม้ ีคณะช่างซอมาซอ เพอื่ ใหเ้ กิด ความสนุกสนานร่ืนเริงต้งั แต่เยน็ วนั ดาจนถึงเชา้ วนั ทาบุญ หนา้ ทข่ี องผชู้ ่วยเตรียมงานฝ่ ายหญงิ กจ็ ะเตรียม งานฝ่ายหญิงโดยเตรียมหาอุปกรณ์การประกอบอาหาร ซ่ึงยมื จากวดั หรือเพอื่ นบา้ นในหมู่บา้ น ส่วนฝ่ายชาย เป็นฝ่ายจดั เตรียมอาหาร เช่น ลม้ ววั ควาย หมู่ ไก่ มากมายข้นึ อยกู่ บั จานวนผมู้ าร่วมในพธิ ีสาหรบั ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ก็ จดั เตรียมเคร่ืองไทยทาน และสิ่งของที่ใชใ้ นพิธีสืบชะตา วนั ทาบุญตอนเชา้ มีการทาบญุ ตกั บาตร ถวาย ภตั ตาหารเชา้ เล้ียงอาหารแขกผมู้ าร่วมงาน หลงั จากน้นั ฟังเทศน์ และทาพธิ ีสืบชะตาแก่เจา้ บา้ นเสร็จพธิ ี ประเพณกี ำรเกดิ ประเพณีการเกิดแบบด้งั เดิมของชาวไทล้ือน้นั เม่ือเดก็ คลอดออก เมื่อตดั สายสะดืออาบน้าให้ เดก็ แลว้ หมอตาแยผทู้ าคลอดจะส่งให้ “แม่ฮบั ” หรือแม่รับ ซ่ึงส่วนใหญจ่ ะเป็ นยายของเด็กหรืออาจเป็นผทู้ า คลอด เอาผา้ ขา้ วพนั รอบตวั แลว้ ใสกระดง้ นาไปวางไวท้ หี่ วั บนั ได กระทืบเทา้ แลว้ พดู วา่ “ผปี ่ อเกิดแม่ก๋าย กนั วา่ เป๋ นลูกสูกม็ าเอาไปเหวนั น้ี กนั เป๋ นลูกกนุ ก่าบ่ฮ้ือเอาไป” (ถา้ เป็ นลูกผใี หเ้ อาไปเสียวนั น้ี ถา้ เป็ นลูกคนก็ อยา่ ไดเ้ อาไป) ทาเช่นน้ี ๓ คร้ัง แลว้ จงึ นาเดก็ มานอนไวข้ า้ งแม่ เมื่อคลอดลูกแลว้ ชาวไทล้ือสมยั ก่อนจะตอ้ ง “อยเู่ ดิน” คืออยไู่ ฟจนครบเดือน ในระหวา่ งท่ีอยไู่ ฟมีขอ้ หา้ มหลายประการกล่าวคือ ๗ วนั แรกหลงั คลอดจะ กินไดแ้ ต่ ขา้ วจี่ หรือ “ขา้ วแองไฟ” เป็นขา้ วเหนียวน่ึงปิ้ งจนเกรียมรบั ประทานกบั เกลือควั่ และน้าพริกดา ส่วนน้าดื่ม น้าตม้ ใส่หวั ไพลที่ ทีเ่ รียกวา่ (ปูเลย) นิยมใหด้ ่ืมน้ามาก ๆ เพราะเชื่อวา่ จะทาใหม้ ีน้านมใหล้ ูกมาก เม่ือครบ ๗ วนั กเ็ ริ่มรบั ประทานผกั ตม้ จ้มิ น้าพริกดา หมูป้ิ ง ปลาช่อน และปลาประเภทปลาดุก ปลาหางขาว ส่วนผกั เป็นประเภทผกั ทีม่ ีสีขาวเท่าน้นั เช่น ผกั กาดขาว เป็นตน้

45 ภายหลงั การคลอดจะตอ้ ง “อยเู่ ดิน” หรืออยไู่ ฟ ฟื นทน่ี ามาใชข้ ณะอยไู่ ฟจะใชแ้ ต่ “ไมแ้ งะ” (ไมเ้ ตง็ ) เท่าน้นั เพราะเผาไฟแลว้ ไม่มีกล่นิ และควนั มาก ซ่ึงสามีจะตอ้ งเตรียมหา ไวต้ ้งั แต่ภริยาทอ้ งใกลค้ ลอด ในขณะอยไู่ ฟ จะใส่เส้ือผา้ หนา ๆ มีผา้ รดั เอวและผกู ผม เพอ่ื ใหเ้ หง่อื ออกหญงิ อยไู่ ฟจะตอ้ ง “เขา้ ฟืนกรรม” คอื คีบถ่ายไฟ ใส่ “เบ้อื ง” ซ่ึงเป็ นอ่างดินเผา ใชเ้ กา้ อ้ีหวายหรือไมใ้ ผส่ านเป็ นทรงกลมมีช่องตรงกลางเพอื่ ใหห้ ญงิ อยไู่ ฟนง่ั ครอบ เป็ นการนงั่ ยา่ งไฟเช่ือวา่ จะทาใหม้ ดลูกเขา้ อู่เร็วข้ึนในขณะอยไู่ ฟ หา้ มอาบน้าร่วมกบั ผอู้ ื่น ตอ้ งนา ฟางมาก้นั เป็นหอ้ งน้าแยกจากผอู้ ่ืนท่ีบริเวณลานบา้ น เมื่อครบ ๑๕ วนั จึงจะอาบน้าได้ ใชน้ ้าสม้ ใส่ใบกลว้ ย ใบเปลา้ และใบหนาด หลงั จากน้นั จะอาบทุก ๗ วนั จนครบเดือน ระยะเวลาของการอยไู่ ฟข้นึ อยกู่ บั ลูกทีเ่ กิด ใหม่ ถา้ เป็นลูกสาวจะอยเู่ กินเดือนไป ๑ วนั คือ ๓๑ วนั เพราะเช่ือวา่ เป็ นการเผอื่ กี่ เผอื่ ดา้ ย เดก็ โตข้ึนจะได้ เป็นคนขยนั ขนั แขง็ รักงานบา้ นงานเรือน แตถ่ า้ เป็ นลูกชายจะหยดุ ๑ วนั คืออยู่ ๒๙ วนั เพอื่ หยดุ คมหอก คมดาบ เมื่อโตข้ึนตอ้ งออกสูร้ บ อนั ตรายจากศาตราวธุ ต่าง ๆ จะไดไ้ ม่มาแผว้ พาน เมื่อครบกาหนดออกเดนิ (ออกเดิน) จะมีพธิ ีออกเดอื นโดย ใหอ้ าจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ ีมาทาพธิ ี “ส่งผขี ้ีฮา้ ยตายอยาก” โดยนาขา้ วเหนียว ไปจิ้มอาหารตา่ ง ๆ ใส่เบ้ืองนาไปวางไวท้ ี่นอกบา้ นแลว้ พดู วา่ “เอา้ ผฮี า้ ยต๋ายอยากเอาไปกิน๋ เหกาน้ีไปนงั่ ถา้ ก๋ิน นอนถา้ ก๋ิน” (ใหผ้ รี ้ายเอาไปกินเสียใหน้ ง่ั กินนอนกิน) การทาพธิ ีน้ีเช่ือวา่ จะทาใหห้ ญงิ แม่ลูกอ่อนไม่ มีนิสยั “ข้ีกะ๊ ” (ตะกละ) คอื เห็นอะไรก็ใหม้ ีอาการอยากกินไปหมด สาหรับเดก็ แรกเกิดในสมยั ก่อนนิยมใช้ ผวิ ไมไ้ ผต่ ดั สายสะดือเมื่อรกออกพอ่ ของเดก็ จะนาไปฝ่ังไวก้ ลางทงุ่ นาหรือใตบ้ นั ได การห้ิวรกไปฝังเช่ือวา่ ถา้ ห้ิวดว้ ยมือขา้ งไหนจะถนดั ขา้ งน้นั เช่น หิ้วดว้ ยมือซา้ ยเดก็ จะเป็ นคนถนดั ซา้ ย ถา้ ห้ิวท้งั ๒ ขา้ ง เด็กจะมี ความถนดั ท้งั สองขา้ ง การต้งั ช่ือเด็ก จะไปหาผรู้ ูใ้ นหมู่บา้ นเป็ นผตู้ ้งั ใหโ้ ดยยดึ หลกั โหรา ดูวนั เดือน ปี เกิด เช่น เกิดวนั อาทติ ย์ ชื่อ พู เฮิน อุ่นใจ เกิดวนั จนั ทร์ ชื่อ ก๋อง แกว้ ขนั ปา คา เกิดวนั องั คาร ช่ือ อุม ไจ จ๋อม จุ๋มป๋ า จนั ต๊ิบ เกิดวนั พธุ ชื่อ ดงดี ดงแกว้ เกิดวนั พฤหสั บดี ช่ือ บุญตนั เป็ง ป้อ หมู ฟั่น เกิดวนั ศุกร์ ชื่อ สุก ชิง เกิดวนั เสาร์ ช่ือ ตนั ตบ๊ิ ไจ เฮิน ในประเพณีการเกิดของชาวไทล้ือในสมยั ก่อน ผเู้ ป็นแม่จะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามจารีตอยา่ งเคร่งครัดเชื่อกนั วา่ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตามจะทาใหเ้ จบ็ ป่ วยไม่สบาย เรียกวา่ “ผดิ เดิน” ซ่ึงอาจทาใหถ้ ึงตายได้ แต่ในปัจจุบนั ส่วนใหญ่ไป คลอดทโ่ี รงพยาบาลการปฏิบตั ติ วั จงึ ไม่พถิ ีพถิ นั เหมือนแตก่ ่อน ทาใหป้ ระเพณีแต่ด้งั เดิมเสื่อมความนิยม ลงไป

46 กำรอยู่ข่วง อยขู่ ว่ งเป็นประเพณีแอ่วสาวเพอื่ แสวงหาคู่ใจของหนุ่มไทล้ือ ในสมยั ก่อนชายหนุ่มไทล้ือ ทุกคนท่ีจะตอ้ งแตง่ งานตอ้ งผา่ นการอยขู่ ่วงป่ันดา้ ยกบั หญงิ คนรกั มาก่อนซ่ึงจะไมม่ ีการคลุมถุงชนหนุ่มสาว มีโอกาสและมีความอิสระในการเลือกคูค่ รองแตท่ ้งั น้ีตอ้ งอยใู่ นกรอบของประเพณีทีด่ ีงาม หากฝ่ าฝืนถือวา่ เป็นการผดิ ผี หรือผดิ ฮีตอยา่ งร้ายแรง ขว่ ง หมายถึงลานบา้ น มีรา้ นนง่ั สาหรับพกั ผอ่ นหรือทางานในเวลา กลางคนื โดยยกพ้นื ท่สี ูงประมาณ คร่ึงเมตรมคี วามกวา้ งยาวพอสาหรบั บรรจุคนนงั่ ได้ ๔-๕ คน มีสิ่ง ประกอบสาคญั คอื เตาไฟ หรือตะเกียง น้าตน้ (คนโท) ขนั น้าและอุปกรณ์ใชส้ าหรับป่ันฝ้าย พอตกเยน็ สาว ๆ แถบบา้ นใกลเ้ รือนเคยี งทีน่ ดั กนั อยขู่ ่วง กจ็ ะเตรียมหาฟื นมาไว้ เพอื่ ใชก้ ่อกองไฟใหเ้ กิดความอบอุ่นและ แสงสวา่ งในหนา้ หนาว ส่วนหนา้ ร้อนจะใชต้ ะเกียงแทน พอถึงยามดึกบรรดาหนุ่มไทล้ือก็จะไปแอ่วสาว อยขู่ ่วง ก่อนถึงบา้ นจะเร่ิมจอ๊ ยเก้ียวสาวมาแตไ่ กล เช่น “ถา้ บา้ นบ่ไกล๋ ป่ าไมบ้ ก่ ้นั จะเตียวมาหาวนั ละ รอ้ ยปิ๊ ก” (ถา้ บา้ นไมไ่ กล ป่ าไมไ้ ม่ก้นั จะเทยี วมาหาวนั ละร้อยคร้งั ) เมื่อฝ่ายสาวไดย้ นิ ก็เตรียมตวั ไวค้ อยรบั โดยการทางานปั่นฝา้ ยพลาง ๆ สาหรับการเก้ียวพาราสีระหวา่ งหนุ่มสาวในสมยั ก่อนตา่ งจะพดู กนั ดว้ ยคาคม และสานวนโวหารเป็น “ค่าว” ทีม่ ีความไพเราะและความหมาย คร้ันเมอ่ื เวลาดึกมากแลว้ หนุ่มก็จะขอลาสาว กลบั บา้ นในระหวา่ งที่เดินทางกลบั จะจอ๊ ยเป็นการอาลาอีกคร้งั อยขู่ ว่ งเป็นจารีตประเพณีทง่ี ดงามของสงั คม ไทล้ือ ท่ีเปิ ดโอกาสใหห้ นุ่มสาว ไดม้ ีโอกาสพบปะกนั หลงั จากทางานประกอบภารกิจประจาวนั แลว้ ถา้ ชาย หญงิ ใดไม่เคยอยขู่ ่วงเลยถือวา่ เป็ นสิ่งผดิ ปกติ อยา่ งไรก็ตามเสรีภาพในการเลือกคูค่ รองดงั กล่าว จะตอ้ งอยู่ ในสายตา ของพอ่ แม่ฝ่ายหญิงท่ีคอยดูแล ไม่ใหเ้ กินเลยจนนอกกรอบประเพณีไป แตใ่ นสงั คมปัจจุบนั ประเพณีการอยขู่ ่วงมีเหลืออยนู่ อ้ ย เพราะความเจริญของบา้ นเมืองและอิทธิพลจากภายนอกเขา้ มาแทนทาให้ เกิดปัญหาความสบั สนแก่พอ่ แม่ผปู้ กครองทเี่ ป็ นคนรุ่นเก่า ทา่ มกลางความเปลี่ยนแปลงของสงั คมในยคุ ใหม่ ประเพณกี ำรแต่งงำน ประเพณีการแต่งงานของชาวไทล้ือ มีความแตกต่างไปจากประเพณีการแต่งงานของชาวไทย ภาคเหนือ เป็ นประเพณีทป่ี ฏบิ ตั สิ ืบทอดต่อกนั มาเป็นเวลานาน ซ่ึงในปัจจบุ นั ก็ยงั คงมีปฎิบตั ิการอยบู่ า้ ง กล่าวคอื ภายหลงั จากการอยขู่ ว่ งปั่นฝ้ายแลว้ หนุ่มสาวคูใ่ ดทมี่ ีความชอบพอกนั จนเกิดเป็นความรัก กจ็ ะมี ฐานะเป็ นคูร่ กั กนั เรียกวา่ “ตวั๋ ป้อตวั๋ แม่กนั๋ ” (ตวั พอ่ ตวั แม่) จากน้นั ฝ่ ายหนุ่มก็จะเป็ นแขกประจาทจี่ ะแอ่วบน บา้ น แตจ่ ะไม่ไปทกุ วนั เพราะถือวา่ เป็ นการเสียมารยาทอาจเวน้ ๒-๓ วนั ไปคร้งั หน่ึง ส่วนฝ่ ายหญงิ จะปั่น ฝา้ ยคอยเมื่อถึงวนั นดั หมาย เม่ือท้งั คูต่ กลงท่จี ะใชช้ ีวติ ร่วมกนั ฉนั สามีภรรยาฝ่ ายชายกจ็ ะดบั ตะเกียง เป็ น สญั ญาณวา่ ไดถ้ ูกเน้ือตอ้ งตวั แลว้ และลงจากบา้ นไป แต่ปัจจบุ นั ใชว้ ธิ ีปิ ดไฟฟ้าแทน ถือวา่ เป็ นการผดิ ผซี ่ึง ฝ่ายชายจะตอ้ งไดเ้ สียผี

47 พอถึงตอนเยน็ ของวนั รุ่งข้นึ ฝ่ายหญงิ สาวจะส่งตวั แทนไปบอกผที ี่บา้ นฝ่ ายชายเรียกวา่ “ไจก้ า” (ใชค้ า) โดยตวั แทนจะกล่าวกบั พอ่ แม่และญาตขิ องฝ่ ายชายวา่ “เอองวั ควายสูฮา้ ยฮ้วั ไปเขา้ สวน เปิ้ น ฮ้ือไปแปงฮ้วั เหียเนอ้ ” (ววั ควายของท่านพงั ร้วั บา้ นของเขา ขอใหไ้ ปทาร้วั ใหเ้ รียบรอ้ ยดว้ ย) ถา้ ฝ่ ายชาย เตม็ ใจจะส่งธูป ๑๒ คู่ ไปไหวผ้ ี แตถ่ า้ ไม่ตกลงกจ็ ะส่งผแู้ ทนไปเจรจา เพอื่ ขอเงนิ ใชค้ ่าทาขวญั ซ่ึงอาจมีการ พดู จากระทบกระทง่ั กนั อยา่ งรุนแรงถึงตดั ญาตขิ าดมิตรกนั แต่ถา้ ฝ่ ายชายไปไหวผ้ แี สดงวา่ มีความพอใจก็จะ รอใหฝ้ ่ายหญิงมาขอใหไ้ ปอยบู่ า้ นตอ่ ไป นบั ต้งั แตม่ ีการถูกเน้ือตอ้ งตวั หญงิ โดยการดบั ไฟเป็นสญั ญาณแลว้ ตามจารีต ประเพณีของ สงั คมไทล้อื ถือวา่ ท้งั คู่เป็นสามีภรรยากนั โดยชอบ แตจ่ ะยงั ไม่ไปอยกู่ ินดว้ ยกนั ฉนั สามีภรรยาแยกกนั อยู่ ตามปกติจนกวา่ ฝ่ายหญิงจะมาขอใหอ้ ยใู่ นระหวา่ งน้นั ชายจะตอ้ งทางานหนกั เพอ่ื เก็บออมเงนิ ทองและ ทรพั ยส์ ินไว้ ส่วนหญงิ กเ็ ตรียมตวั เป็นแม่บา้ น พอถึงเทศกาลสงกรานต์ ในวนั พญาวนั (วนั เถลิงศก) หญิงก็ จะไปดาหวั พอ่ แม่ฝ่ายชาย พรอ้ มกบั ส่งของเรียกวา่ ส่งครวั ซ่ึงมีอาหารประเภทอาหารแหง้ เช่น ปลาเกลือ ขนาดใหญ่ วนุ้ เสน้ ขนม หมาก เมี่ยง บุหร่ีพ้นื เมือง นาบรรจุในยา่ มขนาดใหญซ่ ่ึงทอไวใ้ ชเ้ อง ไทล้ือเรียกวา่ ถุงป๋ื อ ไปส่งบา้ นพอ่ แม่ฝ่ายชาย พรอ้ มกบั มีเพอ่ื นสาวไปส่งอีก ๑ คน เม่ือนาไปมอบใหแ้ ลว้ ก็ตกั น้า ปัด กวาดถูบา้ นใหด้ ว้ ย ส่วนทางพอ่ แม่ ฝ่ ายชาย กจ็ ดั เตรียมส่ิงของไวใ้ ห้ เช่น ผา้ ห่ม ผา้ ปทู นี่ อน ปลอกหมอน พรอ้ มกบั ใหเ้ งนิ เป็ นขวญั ถุงอีกจานวนหน่ึง จะมากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ฐานะของพอ่ แม่ฝ่ ายชาย การเลือกคู่ นิยมปฏบิ ตั กิ นั ในเดือนส่ี เดือนหก หรือเดือนแปดเหนือ คร้ันถือเดือนแปดราวเดือนพฤษภาคมซ่ึงเป็ นระยะ เริ่มตน้ ของฤดูการทาไร่ทานา ผใู้ หญฝ่ ่ายหญิงก็จะไปขอฝ่ ายชายใหม้ าอยบู่ า้ นเพอ่ื อยกู่ ินฉนั สามีภรรยาโดย สมบูรณ์เป็นทน่ี ่าสงั เกตวา่ ธรรมเนียมของไทล้ือถือวา่ สามคืนแรกท่ไี ปอยนู่ ้นั หา้ มแตะตวั ภรรยา และพอถึง เชา้ ตรู่สามีจะตอ้ ง รีบกลบั ไปอยบู่ า้ นของตน ปฏิบตั เิ ช่นน้ีเป็ นเวลา ๓ วนั ท้งั น้ีเพราะวา่ ท้งั คูย่ งั ไม่คุน้ เคยกบั การอยใู่ กลช้ ิดกนั แบบสามีภรรยามาก่อนจงึ ตอ้ งอาศยั ปรับตวั อีกระยะหน่ึง หลงั จากน้นั จะอยกู่ บั สามีภรรยา ตลอดไป ส่วนภรรยากจ็ ะหาเส้ือผา้ ใหม่มาสวมใส่แทนชุดเดิม มีธรรมเนียมอีกอยา่ งหน่ึงในสงั คมไทล้อื กล่าวคือก่อนที่เขยใหม่จะมาอยบู่ า้ น ทางพอ่ แมฝ่ ่ายหญิงจะหาไมท้ าฟื นมาเตรียมไว้ ดงั น้นั ทกุ เชา้ เขยใหม่ จะตอ้ งตื่นแต่เชา้ เพอื่ ผา่ ฟืนเก็บไวใ้ ชต้ ลอดปี หลงั จากน้นั จะช่วยพอ่ แม่ของภรรยาทางานทกุ อยา่ งไปจนครบ ๓ ปี และจากน้นั ๓ ปี กจ็ ะไปอาศยั อยกู่ บั แม่สามี ในระหวา่ งน้นั จะหาไมเ้ ก็บรวบรวมไวป้ ลูกบา้ น เม่ือครบ ๖ ปี จึงสามารถแยกครอบครวั ไปสร้างบา้ นของตนเอง อยใู่ นบริเวณบา้ นพอ่ แม่ส่วนจะเป็ นฝ่ ายสามีหรือ ภรรยา กแ็ ลว้ แต่จะตกลงกนั สาหรบั ลูกสาวคนเลก็ จะอยรู่ ่วมกบั พอ่ แม่เป็ นผสู้ ืบแทนมรดกต่อไป การ แตง่ งานของไทล้ือแต่เดิม เป็ นส่ิงทีเ่ รียบงา่ ยเคร่งครดั ในจารีตประเพณีทถ่ี ือปฏิบตั ิกนั มานานแลว้ แต่ใน ปัจจบุ นั สภาพสงั คมเปล่ียนไปจึงมีการผสมผสานกนั ระหวา่ งจารีตประเพณีด้งั เดิมกบั ประเพณีของภาคเหนือ และประเพณีไทย เช่น การทาพธิ ีผกู ขอ้ มือ พธิ ีหลงั่ น้าสงั ข์ โดยการเชิญแขกมาร่วมงานเป็ นจานวนมาก

48 ประเพณปี ี ใหม่ ประเพณีปี ใหม่ของไทล้ือคอื สงกรานตข์ องไทย มีการประกอบพธิ ีท้งั หมดรวม 6 วนั ต้งั แต่ วนั ที่ ๑๓-๑๘ เมษายนของทุกปี วนั แรกคอื วนั ที่ ๑๓ เมษายน เรียกวนั วา่ “จงั๋ ขารล่อง” หรือ “สงั ขารล่อง” ในตอนเชา้ ตรู่ชาวบา้ นจะยงิ ปิ น จุดพลุ ประทดั เสียงดงั สนนั่ ไปท้งั หมู่บา้ นเพอื่ ขบั ไล่ตวั จงั๋ ขารซ่ึงเป็ นตวั อปั มงคล จากการบอกเล่าของผเู้ ฒ่าผแู้ ก่กล่าววา่ ก่อนวนั จงั๋ ขารล่อง ๑ วนั ผใู้ หญจ่ ะชวนเดก็ ๆ ลูกหลานทา ความสะอาดบา้ น และกวาดขยะมูลฝอยในบริเวณบา้ นกองไวโ้ ดยหลอกเด็กวา่ ในตอนเชา้ ตรู่ของวนั รุ่งข้นึ จะ มีป่ สู งั ขารนาเขง่ ขนาดใหญม่ าขนไปทิง้ พอเชา้ วนั ท่ี ๑๓ เมษายน ผใู้ หญ่จะตื่นแต่เชา้ แลว้ เผาขยะทิง้ โดยเช่ือ กนั วา่ เป็นการเผาขบั ไล่อปั มงคลต่าง ๆ ดว้ ย เมื่อเดก็ ๆ ตนื่ มากเ็ ช่ือวา่ ป่ จู ง๋ั ขารขนขยะไปท้งิ จริง ๆ วนั ท่ี ๑๔ เมษายน เรียกกนั วา่ วนั เน่า (วนั เนาว)์ เป็ นวนั สุกดิบ ชาวบา้ นถือวา่ เป็นวนั อปั มงคล ผใู้ หญ่จะ วางตวั สงบเสง่ยี มไม่ด่าหรือเฆ่ียนตลี ูกหลานและหา้ มลูกหลานไม่ใหด้ ่าหรือทะเลาะเบาะแวง้ กนั โดยบอกวา่ จะทาใหป้ ากเน่า ในวนั น้ีชาวบา้ นจะเตรียมทาขนม และอาหารไวท้ าบญุ ในวนั รุ่งข้นึ เช่น แกงฮงั เล แกงอ่อม ตม้ จืดวนุ้ เสน้ ห่อน่ึง (ห่อหมก) ขนมจอ๊ ก(ขนมเทยี น) ขา้ วตม้ มดั ในขณะเดียวกนั จะเตรียมสิ่งของ เช่น เส้ือผา้ น้าอบ น้าหอม น้าขม้ินสม้ ป่ อยไวส้ าหรบั ดาหวั พอ่ แม่ญาตผิ ใู้ หญ่ และบุคคลที่เคารพนบั ถือกนั ใน วนั รุ่งข้นึ ส่วนในตอนเยน็ ของวนั ท่ี ๑๔ เมษายน จะพาลูกหลานไปขนทรายเขา้ วดั ก่อเป็นเจดียท์ ราย เช่ือกนั วา่ ในรอบปี ผา่ นมาศาสนิกชนทาบญุ ท่วี ดั ได้ เหยยี บยา่ เอาดินจากวดั ทตี่ ดิ ออกไปดว้ ย ถือวา่ เป็นบาปกรรม ดงั น้นั จงึ ขนทรายเขา้ วดั เป็นการทดแทน วนั ที่ ๑๕ เมษายน เรียกวา่ วนั “พญาวนั ” (วนั เถลิงศก) ตอนเชา้ ผใู้ หญก่ จ็ ะพาลูกหลานไปทาบญุ “ตานขนั ขา้ ว” กนั ทวี่ ดั เพอื่ อุทศิ ส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาตทิ ล่ี ่วงลบั ไปแลว้ ตอน สายเร่ิมพธิ ีดาหวั เร่ิมจากผอู้ าวโุ สสูงสุดในครอบครวั ก่อน ไดแ้ ก่ ป่ ู ยา่ ตา ยาย และพอ่ แม่ จากน้นั ก็จะไปดา หวั ญาติผใู้ หญแ่ ละบุคคลทเี่ คารพนบั ถือในละแวกใกลเ้ คยี ง ส่วนบคุ คลทอ่ี ยหู่ ่างไกลอาจเดินทางไป ในวนั อื่นหลงั จากวนั พญาวนั ไปแลว้ ส่วนตอนบา่ ยผเู้ ฒ่าผแู้ ก่จะไปฟังเทศน์อานิสงส์ปี ใหม่ทว่ี ดั สาหรับหนุ่มสาว ก็จะนดั กนั ไปยงั จดุ นบั พบที่บริเวณกลางหมู่บา้ น เพอื่ แข่งขนั กีฬาพ้นื เมือง เช่น เล่นหมากบา้ (สะบา้ ) เล่น กอ๊ บแก๊ป โก๋งเก๋ง ในขณะเดียวกนั กจ็ ะเล่นน้าสงกรานตก์ นั อยา่ งสนุกสนาน วนั ท่ี ๑๖ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากป๋ี ” (วนั ปากปี ) เป็ นวนั ท่ีเริ่มตน้ ปี ใหม่ของไทล้ือตอนเชา้ ชาวบา้ นจะนาเอาสะตวงพร้อมท้งั เครื่องบชู า พระรตั นตรัย และเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครวั ไปประกอบพธิ ีบชู าขา้ วหลีกเคราะห์กนั ท่วี ดั เพอ่ื ใหเ้ ป็ น สิริมงคลปราศจากเคราะห์ภยั ท้งั ปี ตอนสายกจ็ ะเตรียมน้าขมิ้นสม้ ป่ อยไปสรงน้าพระร่วมกนั เรียกวา่ ลงอุโบสถ วนั ที่ ๑๗ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากเดือน” ตอนสายชาวบา้ นพร้อมใจกนั ไปสรงน้าพระพทุ ธรูปในวหิ าร สรงน้าเจา้ อาวาสทว่ี ดั ของตน จากน้นั กจ็ ะช่วยกนั ลา้ งกฏุ ิ วหิ าร ศาลาการเปรียญ และทาความสะอาดวดั เรียกวา่ “วนั ลา้ งวดั ” วนั ท่ี ๑๘ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากวนั ” เป็ นวนั สุดทา้ ยของเทศกาลปี ใหม่ล้ือชาวลา้ นนา บางส่วนยงั สนุกสนานอยแู่ ต่ส่วนใหญจ่ ะเตรียมตวั สาหรบั การประกอบอาชีพตามปกติ เป็ นท่นี ่าสงั เกตวา่ ในช่วงเทศกาลปี ใหม่ของชาวไทล้ือ ต้งั แต่วนั ที่ ๑๓-๑๘ เมษายน ชาวบา้ นจะหยดุ ประกอบภารกิจหนา้ ท่ี

49 การงานประกอบอาชีพตามปกติ เพอ่ื ทาบญุ ดาหวั และสนุกสนานกบั ญาติมิตรเพอื่ นฝงู โดยท่ีในยามปกติ ชาวไทล้ือจะมธั ยสั ถ์ แตใ่ นเทศกาลสาคญั เช่นน้ี จะใชจ้ า่ ยจานวนมาก เพราะถือวา่ ปี หน่ึงมีเพยี งคร้ังเดียว กำรเกบ็ ขวญั ข้ำว เกบ็ ขวญั ขา้ ว เป็นประเพณีของชาวนาทีป่ ระกอบพธิ ีภายหลงั ฤดูเกบ็ เก่ียว เพอ่ื เป็ นสิริมงคล แก่ยงุ้ ฉางและครอบครวั เพราะมีความเชื่อวา่ เม่ือไดท้ าพธิ ีเกบ็ ขวญั ขา้ วแลว้ “กิ๋นบม่ ีตก๊ จก๊ บ่มีลง” หมายถึง กินไม่ส้ินเปลอื ง พอถึงฤดูการเก็บเกี่ยว ชาวนาจะหาฤกษย์ าม จากอาจารยป์ ระจาหมู่บา้ น เพ่อื หาวนั ทีเ่ หมาะสมสาหรับการเกบ็ เก่ียวตามตาราแบง่ วนั ออกเป็ น ๒ ประเภท คือ วนั จม กบั วนั ฟู ยดึ ตามจนั ทรคติ ขา้ งข้ึนขา้ งแรมเป็ นหลกั วนั จมเป็ นวนั ทไี่ ม่ดเี ชื่อกนั วา่ หากทาสิ่งใดมีแตจ่ ะล่มจม ส่วนวนั ฟูเป็ นวนั ดี ประกอบการงานส่ิงใดจะเจริญรุ่งเรืองและกา้ วหนา้ เมื่อไดฤ้ กษด์ ีแลว้ ชาวนาจะลงมือเกี่ยวขา้ วเม่ือนาขา้ วไป เก็บทยี่ งุ้ ฉางเรียบรอ้ ยแลว้ กจ็ ะทาพธิ ีเก็บขวญั ขา้ ว ถา้ หากมีนาอยหู่ ลายแห่งจะประกอบพธิ ี ณ ท่งุ ทเ่ี สร็จ ภายหลงั สิ่งของทีใ่ ชป้ ระกอบในพธิ ีมี กระบุง สวงิ บายศรีปากชาม ๑ ชุด ดอกไม้ ๑ คู่ ธูปเทยี น ๒ คู่ ไข่ ตม้ ๑ ฟอง ตาแหลว ๑ กนั เพอื่ นาไปประกอบพธิ ีที่ลานนวดขา้ ว ผปู้ ระกอบพธิ ีส่วนใหญม่ กั จะเป็น ผหู้ ญงิ การประกอบพธิ ีเร่ิมตน้ ดว้ ยการใชม้ ือซา้ ยจบั ขา้ วใส่กระบงุ มือขวาจบั พดั เรียกวา่ กาพดั โบกขา้ วไป ในกระบงุ ๓ คร้งั พร้อมกบั กล่าวคาเชิญขวญั ขา้ วมา “มาเนอขวญั ขา้ ว มาอยใู่ นเลา้ ในเย จา้ งจกั ยา่ หวั ววั จกั ยา่ หวั ห้ือมาอยเู่ ลา้ อยเู่ ย” (มาเถิดขวญั ขา้ วมาอยใู่ นยงุ้ ในฉาง ชา้ งจะเหยยี บหวั ววั จะเหยยี บเกลา้ ใหม้ าอยใู่ น ยงุ้ ในฉาง) ในขณะทาการเก็บขวญั ขา้ ว กจ็ ะเรียกขวญั เดินไปเดินมาทาพธิ ีวนไปเร่ือย ๆ รอบลานนวด ขา้ วใชส้ วงิ ตกั ขวญั ขา้ ว และรวงขา้ วท่ียงั ตกหล่นอยใู่ นกระบงุ เสร็จแลว้ นากระบุงไปยงั ยงุ้ ขา้ ว เลือกมุมใดมุมหน่ึงของยงุ้ ฉางโดยใหส้ ูงพอสมควร นากระบุงขวญั ขา้ วลงไปพรอ้ มกบั พดู วา่ “ก๋ินอยา่ ไปตก๊ จก๊ อยา่ ไปลง ห้ือมนั่ เหมือนปาหินกอ้ นหนา บา่ ผากอ้ นใหญ่” (กินอยา่ ใหส้ ิ้นเปลือง ใหม้ นั่ คงเหมือนกบั หินผา) แลว้ เอาสวงิ ลง ไวใ้ กล้ ๆ เป็นเสร็จพธิ ี แห่พระอุปคตุ ประเพณีของชาวไทล้ือ เวลามีงาน “ตานหลวง” ไดแ้ ก่การฉลองวหิ าร ศาลา กฏุ ิ กาแพง วดั ฯลฯ ก็จะมีการแห่อญั เชิญพระอุปคุตใหม้ าช่วยหา้ มมาร เพอ่ื ช่วยรกั ษางาน ไม่ใหม้ ารท้งั หลายหรือส่ิง ชว่ั ชา้ ท้งั หลายมารบกวนในงาน ลกั ษณะอุปคุตเป็ นหินแกะสลกั หรือบางวดั เป็ นหินลูกกลม ๆ ไม่ได้ แกะสลกั ตามตานานอุปคุตผใู้ หส้ มั ภาษณ์กไ็ ดย้ นิ เขาเล่าสืบ ๆ กนั ตอ่ มาเหมือนกนั เล่าวา่ ในสมยั พทุ ธกาลมี พระภกิ ษุรูปหน่ึงท่ยี งั ไม่สาเร็จอรหนั ต์ แต่ใกลจ้ ะหมดกิเลสอาสานท้งั ปวงแลว้ ขณะจาวดั อยนู่ ้นั เกิดอสุจิ ไหลโดยไม่รูต้ วั พระภิกษรุ ูปน้นั ก็นาผา้ สบงไปซกั ทีแ่ ม่น้า ปลาซิววา่ ยน้ามาบริเวณน้นั พอดจี งึ กินอสุจิ

50 พระภิกษุรูปน้นั ปลาซิวเกิดต้งั ทอ้ ง แต่เป็นทอ้ งท่ีไม่ใช่ปลากลบั กลายเป็ นหิน บรรดาปลาท้งั หลายในแม่น้า จงึ ไดต้ ้งั ช่ือวา่ “อุปคุต” ต้งั แต่น้นั มาอุปคุตก็เป็ นใหญ่ในแม่น้า โดยทไี่ ม่มีส่ิงใดท่จี ะไปรบกวนได้ การแห่อุปคุตจะเร่ิมข้นึ ก่อนงานฉลอง ๑ วนั โดยทีค่ ณะกรรมการนาลูกหินหรืออุปคุตไปทงิ้ ไวใ้ นน้าแลว้ ทา เครื่องหมายไวเ้ ป็นทเี่ รียบร้อย ขบวนแห่งเชิญอุปคุตซ่ึงประกอบดว้ ย ฆอ้ งกลาง ชาวบา้ นจานวนหน่ึงและ พระอีก ๔ รูปแทนสารับใส่อุปคุตเป็นลกั ษณะคร่ึงวงกลม ผา่ กลางยาวประมาณ ๒ ฟตุ มีคานไมไ้ ผ่ ๒ เล่ม และมีคน ๒ คนสาหรบั หาม เม่ือไปถึงยงั ทห่ี มายแลว้ กจ็ ะมีคนอาสาประมาณ ๔-๕ คน เพอื่ ลงคน้ หา ลกั ษณะการหาคลา้ ยกบั การจบั ปลา อาจจะมีลูกเล่นเขา้ ประกอบดว้ ยทาใหเ้ กิดความสนุกสนาน เมื่อพบแลว้ กจ็ ะจบั พร้อมกนั แลว้ โห่ร้องกนั อยา่ งสนุกสนานแลว้ นาข้นึ มายงั บนฝ่ัง พระจะใหศ้ ลี และสวดชยั มงคลคาถา เสร็จแลว้ นาอุปคุตข้นึ แท่น แห่นาไปยงั บริเวณงานไปต้งั ไวส้ ถานทเี่ หมาะสม เพอื่ เป็ นประธานรักษาความ สงบเรียบร้อยของงาน เมื่อเสร็จงาน ขบวนแห่กลบั ไปท่ีเดิม เป็ นเสร็จพธิ ี จะเห็นวา่ การแห่อุปคุตเพอ่ื เป็ นการ สร้างขวญั และกาลงั ใจในการจดั งาน เชื่อวา่ เม่ือเชิญอุปคุตมาเป็ นประธานรักษาความสงบแลว้ จะไม่มีสิ่ง ชว่ั ร้ายหรือมารมารบกวนตลอดงาน กำรสู่ขวญั ควำย สู่ขวญั ควาย ประเพณีท่เี ตือนสตแิ ละจติ ใจใหค้ นเรามีความกตญั ญูกตเวที ระลึกถึง บญุ คุณของสตั วท์ ่ไี ดช้ ่วยเหลือเก้ือกลู แก่เรา โดยเฉพาะควายทไ่ี ดใ้ ชแ้ รงงานไถนาเพอ่ื พลิกแผน่ ดินใหค้ นได้ ปลูกขา้ ว ในขณะทไี่ ถคราดน้นั บางคร้งั ได้ ดุ ด่า เฆี่ยน ตี ดงั น้นั เมื่อสิ้นฤดูกาลไถคลาดจงึ มกี ารประกอบพธิ ี สู่ขวญั ควาย สิ่งทใ่ี ชป้ ระกอบในพธิ ีมี ไก่ตม้ ตวั เมีย ๒ ตวั ขา้ วกลา้ ๑ มดั ดา้ ยสายสิญจนน์ ามาทบกนั ๗ เสน้ สวยดอกไม้ (กรวย) ๑ คู่ แอกควาย ๑ อนั ลำดบั ข้นั ตอนในกำรประกอบพธิ ี เมื่อจดั เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ที่ใชป้ ระกอบพธิ ีเรียบรอ้ ยแลว้ เจา้ ของจะนา ควายไปอาบน้าทาความสะอาด แลว้ นามาเขา้ สู่พธิ ี ใชด้ า้ ยสายสิญจนผ์ กู สวยดอกไมต้ ิดเขาท้งั สองขา้ ง ส่วน ไก่ตม้ น้นั นาไปบรรจุใส่ถาดวางไวใ้ กล้ ๆ ควาย เริ่มตน้ พธิ ีโดยหมอทาขวญั กล่าวพรรณนาถึงบุญคุณของ ควายและการใชง้ านไถคลาดพลิกแผน่ ดินใหไ้ ดเ้ พาะปลูก จากน้นั ก็ขออโหสิกรรมที่ไดล้ ่วงเกิน ดุ ด่า เฆ่ียน ตี ในระหวา่ งฤดูกาลทานา อญั ชะในวนั น้ีกเ็ ป็นวนั ดี ยา่ สงั สีกบั ยา่ สงั่ ใสค้ ดดินมาป้ันไวแ้ ป๋ งควายดาก่อน ส่วนไถนาฝนตกลงมาลงจจุ มุ่ แผน่ ดิน จุ่มแผน่ ดินต๋มุ ฝนตกห่าใหญ่ไม่ใสน้านาดอน เอาปอนเอาป๋ อมาผกู คอ เจา้ แลว้ มาขอสูมา ขวญั หางไดก้ วดั ไดแ้ กวง่ สูมาขวญั แขง้ สูมาขวญั ขา สูมาขวญั ตา สูมาขวญั หนา้ ไดจ้ กั หนา้ ห้ือขา้ ไดก้ ิ๋น น้าป่ ามาแฮง ถา้ สตั วต์ วั ใดบด่ ีเป๋ิ นเอาไปฟ้านแทงกนิ เลือดมาก สตั วต์ วั๋ น้ีดีจกั ลาภไดข้ า้ วเตม็ เลา้ เตม็ ถุง ฯลฯ เมื่อกล่าวจบแลว้ กจ็ ะเอาแอกข้นึ ใส่คอควาย แลว้ ทาพธิ ีปลดแอกโดยกล่าววา่ “ปลดจากแอก แยกจากไถ ฝนตกจะไปฝันเป็นเกลา้ ฟ้าฮอ้ งจะไปฝันใส่นา ปล่อยกิ๋นหญา้ อ่อนน้าใส เสร็จแลว้ เอารางหญา้ และหญา้ อ่อนท่ีเตรียมไวใ้ หค้ วายกินเป็ นเสร็จพิธี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook