Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

Published by รัตติกรณ์ วงศ์ใหญ่, 2021-06-10 06:06:38

Description: ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

51 ตำนำนวดั นันตำรำม วดั นนั ตาราม ต้งั อยบู่ า้ นทุง่ บานเยน็ หมู่ท่ี ๑๐ ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ไม่ปรากฏหลกั ฐานแน่ชดั วา่ สรา้ งมาแต่สมยั ใด เป็ นอารามหรือสานกั สงฆ์ สร้างโดยชาวไทยใหญช่ ่ือ พอ่ หม่องโพธ์ิ เดิมเรียกวา่ วดั จองคา เพราะหลงั คาวหิ ารมุงดว้ ยหญา้ คา ประชาชนทว่ั ไปมกั เรียกวา่ วดั จองเหนือ เพราะอยทู่ างทิศเหนือของอาเภอเชียงคา ( จอง เป็นคาไทยใหญ่ หมายถึง วดั ) ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ พอ่ เฒ่านนั ตา ( อู๋ ) วงศอ์ นนั ต์ คหบดีผู้ มีศรทั ธาแรงกลา้ ที่จะทานุบารุง พระพทุ ธศาสนา ไดเ้ ป็นเจา้ ภาพสร้างพระวหิ ารข้นึ ๑ หลงั แทนวหิ ารท่ีมุงดว้ ยหญา้ คา ไดว้ า่ จา้ งช่างชาวพม่า มาออกแบบและทาการกอ่ สรา้ ง พระวหิ ารสรา้ งดว้ ยไมส้ กั ท้งั หลงั รูปทรง เป็ นแบบสถาปัตยกรรมไทยใหญ่ หลงั คามุงจวั๋ ยกเป็ นช่อช้นั ลดหลนั่ กนั สวยงาม หลงั คามุงดว้ ย แป้นเกล็ด ( ทาดว้ ยไม้ ) เพดานภายในตกแต่งประดบั ดว้ ย กระจกสีลวดลายวจิ ติ รพสิ ดาร มีเสาไมล้ งรักปิ ดทองท้งั ส้ิน ๖๔ ตน้ ค่าก่อสร้างประมาณ ๔๕,๐๐๐ บาทเศษ เมื่อก่อสร้างพระวหิ ารเสร็จ พอ่ เฒ่านนั ตา ( อู๋ ) ทราบวา่ ท่วี ดั จองเหม่ล่า ( สถานีอนามยั บา้ น ดอนแกว้ ตาบลออย อาเภอปง จงั หวดั พะเยาในปัจจบุ นั ซ่ึงเป็ นวดั ร้าง มีพระประธานไมส้ กั ทองตน้ ใหญ่ท้งั องค์

52 เป็นศลิ ปะแบบไทยใหญ่สวยงามมาก จึงไดร้ ะดมคนประมาณ ๘๐ คน เดินทางไปอญั เชิญพระประธาน ไมส้ กั ทอง ดงั กล่าวมาประดิษฐานเป็ นพระประธานท่ี วดั จองคา สมยั น้นั การคมนาคมยงั ไม่สะดวก ขบวนอญั เชิญพระประธานจงึ เดินทางดว้ ยเทา้ โดยผลดั กนั หามพระพทุ ธรูปมาตามทางเทา้ ใชเ้ วลาในการเดินทางประมาณ ๑ สปั ดาห์ จึงถึงวดั จองคา ระยะทาง ๕๐ – ๖๐ กิโลเมตร การก่อสร้างและปฏิสงั ขรณ์วดั จองคา คร้ังใหญ่น้ีใชเ้ วลาร่วม ๑๐ ปี พอ่ เฒ่านนั ตา ( อู๋ ) วงศอ์ นนั ต์ จงึ ไดเ้ ป็นประธานจดั งานฉลองคร้ังใหญข่ ้ึนมีมหรสพสมโภชน์ แจกวตั ถุทานแก่ยาจกวณิพก คนยากจนทว่ั ไป มีประชาชนมาร่วมงานเป็นจานวนมากนบั เป็ นมหากุศลคร้ังยงิ่ ใหญ่ และเป็ นคร้ังแรกของ วดั จองคา พอ่ เฒ่านนั ตา ( อู๋ ) วงศอ์ นนั ต์ เป็นคหบดีท่ีมีจิตใจเลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา และมีจติ ศรทั ธา เป็นมหากุศลรักษาอุโบสถศลี จาวดั อยเู่ สมอมิไดข้ าด ท้งั ยงั เป็ นผมู้ ีใจบญุ ก่อสรา้ งวดั ถวายเพอื่ เป็ นสมบตั ิของ พระพทุ ธศาสนา จึงไดร้ ับขนานนามวา่ พอ่ จองตะก่านนั ตา ต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็ นตน้ มา ( พอ่ ตะก่า เป็ นคายกยอ่ ง ผรู้ กั ษาอุโบสถศลี นอนวดั ตลอดพรรษา พอ่ จอง เป็ นคายกยอ่ งผสู้ รา้ งวหิ ารหรือปฏสิ งั ขรณ์ถวายเป็ นสมบตั ขิ อง พระพทุ ธศาสนา ) ภำพวำดพ่อเฒ่ำนันตำ ( อู๋ ) เพอื่ เป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของทา่ นทายกผสู้ ร้าง วดั จองคา พทุ ธบริษทั ท้งั หลายจึง พรอ้ มใจกนั เปล่ียนช่ือวดั จองคา เป็นวดั นนั ตาราม เพอื่ เป็นเกียรติแก่พอ่ เฒ่านนั ตา ( อู๋ ) และวงศต์ ระกลู วงศอ์ นนั ต์ นบั แต่น้นั มา

53 เมื่อวนั ท่ี ๑๑ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ กองหอสมุดแห่งชาติ ไดด้ าเนินการขอใหก้ รมศลิ ปากร ข้ึนทะเบยี นเป็นโบราณวตั ถุและโบราณสถาน สงวนรกั ษาไวน้ บั เป็นโบราณสถานแห่งแรกของอาเภอเชียงคาท่ี กรมศลิ ปากรไดข้ ้นึ ทะเบยี นไวเ้ พอื่ เป็ นสมบตั ิของชาตสิ ืบไป วดั นนั ตาราม เป็นโบราณวตั ถุและโบราณสถานทสี่ าคญั ของอาเภอเชียงคา เป็ นแหล่งทอ่ งเที่ยว ทางวฒั นธรรม แหล่งความรู้ คือ เป็น สานกั ศาสนศกึ ษาปริยตั ิธรรม แผนกนกั ธรรมและบาลี ประจา จงั หวดั พะเยา ใชเ้ ป็นสถานท่ีอบรมแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะของนกั เรียนทว่ั ไป และยงั เป็ นสถานทเี่ พอื่ อบรม โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูรอ้ นอีกดว้ ย ปัจจบุ นั วดั นนั ตาราม ไดบ้ รู ณะปรบั ปรุงในส่วนท่ผี พุ งั ไปแตย่ งั คงรักษาศลิ ปะแบบไทยใหญ่ มีเพยี งแห่งเดียวไม่เหมือนกบั วดั อ่ืนๆ ในอาเภอเชียงคา ไดร้ บั อุปถมั ภจ์ ากคณะศรทั ธาบา้ นทงุ่ บานเยน็ และชาวตลาดร้านคา้ บา้ นเชียงคา เนื่องจากเดิมอยใู่ นเขตตลาดเชียงคา ปัจจุบนั เจา้ อาวาสวดั คือ พระครูปริยตั ิธุราทร ( จานง ประวงั ) เป็นเจา้ อาวาสวดั นนั ตาราม พระพุทธรูปไม้สักภำยในวหิ ำร โบรำณสถำนบริเวณวดั นันตำรำม ต้นสำระต้นไม้ในวรรณคดีปลูกภำยในวัดนันตำรำม

54 วดั นันตำรำม นันตำรำมงำมเด่นเป็ นสง่ำ ดจุ เทวำเนรมติ จำกสวรรค์ สู่โลกใต้ให้คนได้ยลกนั วจิ ิตรบรรเจดิ อยู่คู่เชียงคำ ท่ำนพ่อเฒ่ำตะก่ำนันตำอู๋ เศรษฐีผู้มีใจประเสริฐลำ้ สละทรัพย์ถวำยศำสน์ศรัทธำธรรม นำสร้ำงวดั จองคำนันตำรำม

55 ตำนำนวดั พระน่ังดิน ตามตานานเล่าวา่ พญาผคู้ รองเมืองพทุ ธรสะ ไดค้ น้ พบประวตั ิ ( ตานาน ) เมื่อนมจตุจลุ ศกั ราช ๑๒๓๓ ปี ระกา เดือน ๖ แรม ๓ วนั จนั ทร์ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ถึงเมืองชราวพทุ ะรสะ ( เมืองเชียงคา ) ไดท้ รงประทบั ท่ีบนดอย สิงหก์ ตุ ตระ ( ดอยคา ) ไดท้ รงพบเห็นชายเขญ็ ใจผหู้ น่ึงช่ือวา่ คาแดง ดว้ ยทพิ ยญาณ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงเลง็ เห็นบุญญาธิการของชายเขญ็ ใจผนู้ ้ีวา่ ต่อไปภายภาค หนา้ จะไดถ้ ึงฐานนั ดรศกั ด์ิอนั สูงยงิ่ จงึ เทศนาโปรดชายผนู้ ้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ชาวา่ “ เจา้ ทรงสร้างรูปของเราตถาคตไวใ้ นเมืองสิงห์ธรณีมหาเทพนคร ชยั เถิด ” ขณะเดียวกนั ก็โปรดใหพ้ ระอินทร์ พญานาค พระฤาษี ๒ ตน และพระอรหนั ต์ ๔ องค์ ไปเอาดิน ในเมืองลงั กาทวปี มาสรา้ งซ่ึงใชเ้ วลานานถึง ๑ เดือน ๗ วนั จงึ สร้างเสร็จ เมื่อพระพทุ ธเจา้ เสด็จโปรดชาวโลกจนทวั่ ถึงแลว้ จึงเสดจ็ กลบั มาในเมืองสิงหม์ หาเทพนครชยั อีกคร้งั หน่ึง ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ พระพทุ ธรูปเจา้ ทสี่ ร้างข้ึนน้นั มีขนาดเลก็ กวา่ องคจ์ ริง จงึ จะ มีอิทธิฤทธ์ิและ รัศมีงดงาม

56 ในขณะน้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปาฏหิ าริยไ์ ดเ้ ปล่งรัศมีพระองคโ์ ชติช่วงไปทว่ั จกั รวาล พระพทุ ะรูปองคท์ เี่ พงิ่ สรา้ งเสร็จน้นั จึงไดล้ ดองคล์ งจากแท่นมากราบพระพทุ ธเจา้ เมื่อน้นั พระพทุ ธเจา้ รับสงั่ วา่ ใหร้ ักษาศาสนาของตถาคต ไวใ้ หถ้ ึง ๕,๐๐๐ พรรษา พร้อมท้งั ทรงเทศนาโปรดเสนาอามาตยท์ ้งั หลายทีม่ า ชุมนุมกนั พระพทุ ธรูปเหมือนจึงนอ้ มรบั แลว้ ประดิษฐานอยู่ บนพ้นื ดิน น้นั พระพทุ ธรูปดงั กล่าวคอื พระเจา้ นงั่ ดิน พระเจา้ นง่ั ดิน องคน์ ้ีไม่ไดป้ ระทบั บนฐานชุกชีเหมือนพระพทุ ธรูปในอุโบสถวดั อื่นๆ มีผเู้ ฒ่า ผแู้ ก่ เล่าวา่ เคยมีชาวบา้ นพากนั สรา้ งฐานชุกชีแลว้ อญั เชิญพระเจา้ นงั่ ดินข้นึ ประทบั แตม่ ีปาฏิหาริยเ์ กิดฟ้าผา่ ลงมาที่อุโบสถถึง ๓ คร้งั พทุ ธบริษทั ท้งั หลายจึงอาราธนาลงมาประดิษฐานพ้นื ดินดงั เดิมจนทุกวนั น้ี ภายหลงั เม่ือพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั แลว้ เสนาอามาตยท์ ้งั หลายจงึ พรอ้ มใจกนั อญั เชิญ พระพทุ ธรูปองคน์ ้นั ไปประดิษฐานไวใ้ นเมือง ชราวพทุ ธรสะ และพรอ้ มใจกนั ยกเมือง ชราวพทุ ธรสะ ถวายแด่ พระพทุ ธเจา้ และทาพธิ ีราชาภเิ ษกชายเขญ็ ใจผรู้ ่วมสรา้ ง ใหเ้ ป็นพระยาคาแดง ครองเมืองสืบต่อมา รูปองค์พระนั่งดนิ ภำยในอุโบสถทีป่ ระดิษฐำนพระน่ังดิน บริเวณด้ำนประตูทำงเข้ำวดั พระน่ังดนิ อโุ บสถด้ำนนอกของวัด

57 วดั พระนั่งดนิ โอ้ว่ำวดั พระน่ังดิน ณ ถ่นิ นี้ สถำนที่ศักด์สิ ิทธ์ยิ ง่ิ หนักหนำ อยู่คูบ้ำนคู่เมืองเลอื่ งลอื มำ สูงลำ้ ค่ำของเชียงคำรำลกึ ไว้ โอ้องค์พระน่ังดนิ ปิ่ นสัตถำ แหล่งศรัทธำชำวพทุ ธผู้เลอ่ื มใส เทศกำลงำนบุญมำคร้ังใด อยู่ใกล้ไกลต้องมำกรำบบูชำ

58 ตำนำนวัดพระธำตุสบแวน คร้ันพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาถึงป่ าแห่งหน่ึง ท่นี นั่ มีตน้ มะม่วงใหญ่อยู่ ๓ ตน้ มีกิ่งกา้ นสาขา หนาแน่นน่าพกั พงิ ยงิ่ นกั พระองคจ์ ึงไดเ้ สดจ็ ประทบั ยนื อยใู่ ตต้ น้ มะม่วงตน้ หน่ึง พระอานนทไ์ ดร้ ับพระบญั ชา จากพระองค์ ใหเ้ กบ็ กวาดสถานทตี่ รงน้นั ใหส้ ะอาด แลว้ เอาผา้ มาปลู าดเป็ นอาสนะ ทใี่ ตต้ น้ มะม่วงแห่งน้นั และไดอ้ าราธนาพระองคม์ าประทบั นง่ั ขณะน้นั ไดม้ อี ุบาสกคนหน่ึงเป็ นพรานป่ า ช่ือวา่ นายเชียงบาน ไปเท่ียวป่ า ไดไ้ ปพบเห็น พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยู่ ณ ทีน่ ้นั เขาไม่รู้วา่ เป็นพระพทุ ธเจา้ จงึ เขา้ ไปแอบดูใตต้ น้ ไม้ พระพทุ ธเจา้ ทอดพระเนตร เห็นอุบาสกคนน้นั จงึ ตรสั วา่ “ ดูก่อนอุบาสกทา่ นจงแวนใกลๆ้ เราเถิด ” ( เขา้ มานง่ั ใกลเ้ รา ) แลว้ ตรสั วา่ เราคอื พระพทุ ธเจา้ แต่อุบาสกคนน้นั ไม่สามารถเขา้ หาพระองคไ์ ดเ้ พราะกลวั รัศมีของพระองค์ พระอานนท์ จึงไดถ้ ามอุบาสกคนน้นั วา่ “ บริเวณน้ีมีแหล่งน้าอยไู่ กลไหม ” อุบาสกคนน้นั ก็ กราบทลู วา่ “ แหล่งน้ามีอยไู่ ม่ไกลเทา่ ไหร่ ” คร้ันกราบทลู เสร็จก็ไดน้ ามะม่วงคา ๓ ผล มาถวายแด่พระองค์ เม่ือพระองคร์ ับมะม่วงคามา ก็ทรงปรารถวา่ “ มีอุบาสกเอามะม่วงคามาถวายแต่เรา เวลาน้ีเป็ น คิมหนั ตฤดู

59 ( ฤดูร้อน ) ตรงกบั เดือน ๘ ข้ึน ๑๕ ค่า ( ซ่ึงยดึ ถือเป็ นประเพณีบูชาธาตุทุกปี ) สถานท่แี ห่งน้ีสงบร่มเยน็ ยง่ิ นกั ควรต้งั ศาสนาไวเ้ พอ่ื ให้เป็ นทส่ี กั การะบชู าแก่คนท้งั หลาย ” ดงั น้นั พระอานนทจ์ ึงทลู ขอพระเกศาธาตุ กบั พระองค์ พระองคจ์ ึงยกพระหตั ถเ์ บ้ืองขวาลูบ พระเกศา ไดเ้ สน้ พระเกศาเสน้ หน่ึงยนื่ ใหแ้ ก่พระอานนท์ ขณะน้นั พระยาอินทร์และเทวดา ทรี่ ักษาตน้ มะม่วง ท่พี ระองคป์ ระทบั อยนู่ ้นั ไดเ้ นรมิตอุโมงคค์ าลึก ๗๐ วา สาเภาคา ลาใหญ่ ๓ วา ลอยไวใ้ นอุโมงคค์ าแลว้ เอาพระเกศาของพระองคเ์ ขา้ ไป ประดิษฐานเหนืออาสนะคา แลว้ เนรมิตแผน่ หินหนา ๓ ศอก ปิ ดไวพ้ นั ดว้ ย ยนั ต์ ๑๒ แห่ง เพอื่ ป้องกนั มิใหใ้ ครมาทาลาย พระยาอินทร์ ใหเ้ ทวบุตรองคห์ น่ึงช่ือวา่ เทโว และเทวดาท่ีรกั ษาตน้ มะม่วงช่ือ สุระเท ใหร้ ักษา พระเกศาธาตุอยา่ ใหใ้ ครมาทาลายจนกวา่ จะหมด ๕,๐๐๐ พรรษา พระพทุ ธเจา้ ทรงใหก้ ่อพระเจดีย์ สูง ๗ ศอก แลว้ ตรสั วา่ ถา้ หากพระองคน์ ิพพานไปแลว้ ใหเ้ อาพระธาตุ ( กระดูก ) ริมฝีปาก ( สบ ) ขา้ งล่างมาประดิษฐานไว้ กบั พระเกศา “ ต่อไปพระเจดียน์ ้ีจะไดช้ ่ือวา่ ธาตุสบแวน ” ( แวนเรียก ตามทพี่ ระองคไ์ ดต้ รัสกบั อุบาสกคนน้นั ท่ี ใหม้ า แวนใกลๆ้ ) ภายหลงั เจดียน์ ้นั กไ็ ดผ้ พุ งั ไปเหลือแต่ฐาน ตอ่ มามีเจา้ เมืองผศู้ รัทธาแรงกลา้ ไดบ้ ูรณะรุ่งเรือง มี การบชู าถวายทานโดยไดใ้ ชด้ อกไมส้ ีเหลือง ๔ ดอก สีขาว ๔ ดอก ขา้ วขาว ขา้ วเหลืองอยา่ งละ ๔ ห่อ แก่เทวดาทร่ี กั ษาตน้ ไม้ การบชู าธาตใุ หบ้ ูชาดว้ ยดอกไมส้ ีเขยี ว ๘ ดอก สีแดง ๘ ดอก พร้อมดว้ ยอาหาร การบชู าเทวดาและบชู าธาตดุ งั กล่าว พทุ ธศาสนิกชนชาวบา้ นธาตุสบแวน ไดถ้ ือปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มาจนถึงปัจจุบนั โดยถือวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ ตรงกบั วนั วสิ าขบูชา เป็ นประเพณีข้ึนธาตุหรือบูชาธาตทุ กุ ๆ ปี อโุ บสถวดั พระธำตสุ บแวน กฏุ ทิ ีพ่ ำนักพระสงฆ์

60 รูปจิตรกรรมฝำผนังในอุโบสถวัดบ้ำนธำตุ ภำยในอุโบสถประดับตกแต่งด้วยตุงอย่ำงสวยงำม วดั พระธาตสุ บแวน ต้งั อยู่ บา้ นธาตุ หมู่ที่ ๑ ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา เป็นวดั โบราณเก่าแก่วดั หน่ึงของอาเภอเชียงคา ตามประวตั คิ วามเป็ นมา สรา้ งไดก้ ่ีปี ยงั ไม่มีใครทราบได้ แตเ่ ทา่ ที่ คน้ จากตานานเดิมพอจะทราบวา่ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ หลงั จากชาวไทล้ือไดพ้ ากนั อพยพมาจากอาเภอเชียงม่วน และไดม้ าต้งั ถ่ินฐานอยทู่ อ่ี าเภอเชียงคา ไดส้ ารวจท่ีจะสรา้ งวดั ไวเ้ ป็ นทเ่ี คารพยดึ เหน่ียวจิตใจ พอดีมาพบเจดีย์ องคห์ น่ึงสวยงามมาก ขณะน้นั มีแตห่ ญา้ และตน้ ไมป้ กคลุมไว้ จงึ ไดช้ ่วยกนั แผว้ ผางปรบั ปรุงพ้นื ท่ี บรู ณะเจดีย์ เสียใหม่ นอกจากน้นั ยงั ไดส้ ร้างกฏุ ทิ อ่ี ยอู่ าศยั ของพระภกิ ษุสามเณรข้ึน ไดต้ ้งั ช่ือวดั ใหม่วา่ “ วดั พระธาตุสบแวน ” ซ่ึงประจวบเหมาะกบั ตอนน้นั มีแม่น้าแวนไหลมาบรรจบกบั น้าฮ่อง จงึ ต้งั ช่ือกนั วา่ สบแวน ใหค้ ลอ้ งกบั พระเจดีย์ หรือพระธาตทุ ีช่ าวไทล้ือเรียกกนั สืบมาจนกระทงั่ ปัจจุบนั น้ี สาหรับวดั พระธาตุสบแวนน้ี จะมีประเพณีทสี่ าคญั ของชาวไทล้ือ คอื ประเพณีข้ึนธาตุ ทางภาคกลางเรียกวา่ วนั วสิ าขบูชา ตรงกบั วนั ข้นึ ๑๕ ค่า เดือน ๖ เป็นประจาทุกปี เม่ือออกพรรษาแลว้ จะมีการทาบญุ ตานก๋วยสลากภตั รเป็ นประจาทุกปี และมีพระภิกษุท่ดี ารงตาแหน่งเจา้ อธิการหรือเจา้ อาวาสสืบ ตอ่ กนั มาตามลาดบั จนบดั น้ี

61 วัดพระธำตสุ บแวน งำมพระธำตสุ บแวนแดนพุทธศำสน์ งำมพิลำศท้งั กฏุ แิ ละวิหำร งำมน้ำใจเปี่ ยมเมตำท่ำนสมภำร งำมวัดบ้ำนเสริมรุ่งเรืองเชียงคำเรำ ซุ้มหน้ำวดั น้ันเล่ำก็เข้ำท่ำ มุงหลงั คำด้วยกระเบือ้ งแบบเก่ำ อนุรักษ์วัฒนธรรมล้ำนนำเฮำ ลูกหลำนเฝ้ำสืบสำนไว้นำนมำ

62 ตำนำนหลวงพ่อหิน หลวงพอ่ หิน เป็นพระพทุ ธรูปที่สร้างข้นึ มาจากหินทงั่ องค์ โดยแกะสลกั มาจากหินกอ้ นใหญ่ ผแู้ กะสลกั คงเป็ นผทู้ ี่มีฝีมือดีมาก เพราะองคพ์ ระมีลกั ษณะสวยงาม ถูกตอ้ งตามพทุ ธลกั ษณะ แตจ่ ะสร้างใน สมยั ใดน้นั ไม่มีหลกั ฐานปรากฏแน่ชดั เดิมทีพระพทุ ธรูปหิน มีผไู้ ปพบเห็น ต้งั โดดเด่ียวอยใู่ นป่ ากลางท่งุ ลอ ซ่ึงขณะน้นั เป็ นเมืองร้าง มีอาณาบริเวณเป็นท่ีราบกวา้ งอยทู่ างทศิ ตะวนั ตกของอาเภอเชียงคา คาดวา่ ทุ่งลอ คงเป็ นเมืองหรือหมู่บา้ นใหญ่ หลายหมู่บา้ น และยงั เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนเพราะมีซากวดั วาอารามและโบราณวตั ถุอยจู่ านวนมาก พระพทุ ธรูปหินมีขนาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๖๔ นิ้ว สูงจากฐานล่างถึงพระเกศา ๘๔ น้ิว ประดิษฐาน อยบู่ นแท่นปรักหกั พงั อยใู่ นป่ าดงั กล่าว ซ่ึงขณะน้นั ผคู้ นยงั เขา้ ไปไมถ่ ึง เนื่องจากเป็ นป่ ารา้ ง และ การเดินทางเป็นไปดว้ ยความยากลาบาก ตอ้ งเดินดว้ ยเทา้ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๕ ไดม้ ีนกั ขดุ คน้ โบราณวตั ถุคณะหน่ึง ซ่ึงมีคุณสาราญ ชูฤกษ์ หรือสาราญ ดาวเหนือ อดีตนกั มวยช่ือดงั สมยั ก่อนเป็ นหวั หนา้ คณะ เพอ่ื ไปขดุ คน้ หาวตั ถุโบราณ จึงไดเ้ ดินทางบกุ ป่ าฝ่าดงเขา้ ไปดว้ ยความยากลาบากใชค้ วามพยายามอยหู่ ลายวนั จึงพบพระพทุ ธรูปดงั กล่าว ขณะน้นั ทาง วดั บุนนาค กาลงั สรา้ งพระวหิ ารแลว้ เสร็จแต่ยงั ไม่มีองคพ์ ระประธาน จึงไดส้ ่ง ตวั แทนไปสืบเสาะดูตามทมี่ ีคนเล่าลือวา่ มีผคู้ น้ พบพระพทุ ธรูปหิน ปรากฏวา่ มีพระพทุ ธรูปดงั กล่าวจริง คณะศรัทธา วดั บุนนาค จึงตกลงกนั ไปอญั เชิญมาประดิษฐาน เป็ นองคป์ ระธานในพระวหิ ารหลงั ใหม่

63 เมื่อวนั ท่ี ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕ คณะศรทั ธาวดั บญุ นาคจานวนหน่ึงประมาณ ๖๓ คน รวมท้งั พระสงฆ์ ๔ รูป นาโดยเจา้ อาวาสวดั บนุ นาคขณะน้นั คอื พระบุญทวงศ์ และคณะคุณสาราญ ชูฤกษ์ ได้ นารถจิ๊บขนาดใหญ่ร่วมเดินทางไปดว้ ย ในสมยั น้นั การเดินทางคอ่ นขา้ งลาบาก ในวนั ทค่ี ณะเดินทางไปน้นั เป็นวนั ทที่ อ้ งฟ้าโปร่ง อากาศแจม่ ใส ไม่มีลกั ษณะคร้ึมฟ้าคร้ึมฝน แต่อยา่ งใด ขณะเดินทางจวนจะถึง ณ ท่ปี ระดิษฐานพรุพทุ ธรูปน้นั รถจบ๊ิ ก็เกิดยางระเบิดเสน้ หน่ึง จงึ เดินทาง ต่อไปไม่ได้ ตอ้ งใหค้ นไปเอายางใหม่ในตวั เมืองมาเปลี่ยน พระสงฆแ์ ละผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ ตอ้ งรออยทู่ ่ีรถจนกวา่ จะ เปลี่ยนยางรถเสร็จจึงจะออกเดินทางต่อไป ขณะทีเ่ ปลี่ยนยางรถอยนู่ ้นั คณะศรทั ธาคนหนุ่มๆ ประมาณ ๒๐ กวา่ คน รวมท้งั นายวสนั ต์ โสรจสฤษฏก์ ลุ ( เสียชีวติ แลว้ ) ไดอ้ อกเดินทางดว้ ยเทา้ ไปก่อน เมือ่ ไปถึงกไ็ ม่ยอม หยดุ พกั ต่างกม้ หนา้ กม้ ตาขดุ รอบฐานพระพทุ ธรูปหินเพอ่ื หาวตั ถุโบราณ ประมาณหน่ึงชว่ั โมง รถจิบ๊ จึงตาม ไปถึง คร้นั ใกลเ้ วลาเยน็ พระสงฆก์ าลงั จะทาพธิ ีบวงสรวง ขณะน้นั เองท้งั ๆทท่ี อ้ งหา้ โปร่งอากาศแจ่มใส โดยไม่มีใครคาดคิด ก็เกิดพายพุ ดั แรงจนตน้ ไมร้ อบๆ บริเวณทีพ่ กั โคน่ ลม้ ระเนระนาด ทอ้ งฟ้าเกดิ วปิ ริตป่ันป่ วน มืดคร้ึม พายฝุ นพดั แรง ฟ้าผา่ คารามตลอดเวลา คณะทไ่ี ปดว้ ยกนั ต่างตกใจไปตามๆ กนั วงิ่ หาที่หลบฝน กนั จา้ ละหวน่ั บา้ งกม็ ุดใตท้ อ้ งรถ ทุกคนตา่ งคิดวา่ คงตอ้ งเอาชีวติ มาสงั เวยเป็ นแน่แท้ ดว้ ยศรทั ธาและเจตนาอนั บริสุทธ์ิ ท้งั พระสงฆท์ ี่เดินทางไปดว้ ยลว้ นแตเ่ ป็ นเกจอิ าจารยผ์ เู้ ก่งกลา้ วชิ าท้งั ๔ รูป ทา่ น จึงไดป้ ระกอบพธิ ีท่ามกลางพายฝุ น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ เสียงตน้ ไมห้ กั โค่นอยา่ งรุนแรง คร้ันพระสงฆท์ าพธิ ีประมาณ ๒๐ นาที พายฝุ นก็พลนั สงบลงทนั ทีอยา่ งน่าอศั จรรยย์ งิ่ นกั ทอ้ งฟ้ากลบั โปร่งใส อากาศแจ่มใสดงั เดิม ทกุ คนต่างยกมือสาธุกนั ทว่ั หนา้ ทรี่ อดชีวติ มาไดอ้ ยา่ งปาฏิหาริย์ คณะศรทั ธาไดพ้ ยายามเคลื่อนยา้ ยองคพ์ ระพทุ ะรูปหินซ่ึงหนกั มาก เขา้ สู่บริเวณทางเขา้ บา้ นผาลาด พกั คา้ งคืนทน่ี น่ั หน่ึงคนื วนั ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ไดเ้ คล่ือนยา้ ยขบวนออกจาก หมู่บา้ นผาลาดมุ่งสู่วดั บนุ นาค ตลอดทางมีพทุ ธศาสนิกชน จานวนมาก มารอรบั ตามถนนจนถึงวดั บนุ นาค เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. จึงไดอ้ ญั เชิญพระพทุ ธรูปหินข้นึ ประดิษฐานไวบ้ นแทน่ ในวหิ ารหลงั ใหม่ ของวดั บุนนาคจนถึงปัจจุบนั วดั บุญนาค เดิม เป็นวดั พม่า ซ่ึงมีคหบดีพอ่ คา้ พม่าชื่อ ผก่าปุนนะ ตน้ ตระกูล “ คุณารัตน์ ” เป็นผบู้ ริจาคที่ดินและสรา้ งวดั ข้นึ เม่ือประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยต้งั ชื่อวา่ “ วดั จองใต้ ” (จอง หมายถึง วดั ) และไดม้ ีพระภกิ ษชุ าวพม่าเป็นเจา้ อาวาสสืบต่อกนั มาเป็นเวลานาน จนถึงองคส์ ุดทา้ ยของพม่าชื่อ อูนาเขง่ ต่อมา ไดล้ าสิกขาบท ทาใหว้ ดั ไม่มีพระภกิ ษุ สามเณรจาพรรษาเลย จึงกลายเป็ นวดั ร้างมานาน โดยในขณะน้นั มีเพยี ง กุฏิ ๑ หลงั เจดีย์ ๑ องค์ ศาลา ๑ หลงั เหตุทก่ี ารก่อสร้างไม่เสร็จเป็นเพราะวา่ คหบดีผก่าปุนะ ไดถ้ ูก โจรปลน้ และฆ่าตายเสียก่อนในระหวา่ งท่ดี าเนินการก่อสรา้ งเพยี งเลก็ นอ้ ยเท่าน้นั จึงเป็ นวดั รา้ งเรื่อยมา ตอ่ มาไดม้ ีราษฎร์จากบา้ นมาง ยา้ ยมาต้งั บา้ นเรือนรวมกนั เป็ นหมู่บา้ นทีม่ อี ยเู่ ดิมจงึ ทาใหเ้ ป็น หมู่บา้ นใหญ่ข้ึน การทจ่ี ะไปทาบญุ วดั เดิม ( วดั มาง หรือแสนเมืองมา ในปัจจุบนั ) เป็ นการไมส่ ะดวกจึงไดข้ อ เอาวดั ร้างน้ีจากทายาทของพอ่ ผก่าปุนนะคอื พอ่ ส่างเหม่ถา คุณารตั น์ ต้งั เป็ นวดั ไทยข้ึน โดยนิมนต์

64 พระจนั ตะ๊ วสิ ยั พระใบฎีกาจากวดั แสนเมืองมา มาเป็นเจา้ อาวาสประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๔ และไดเ้ ปลี่ยนชื่อ วดั จองใต้ มาเป็ น วดั บุนนาค โดย ใชช้ ่ือจากสญั ลกั ษณ์ซ่ึงมีอยคู่ ือ “ตน้ ดอกบนุ นาค” ซ่ึงยงั มีอยจู่ นถึงปัจจุบนั น้ี ต่อมาไดส้ ร้างวหิ ารข้ึนหน่ึงหลงั และไดน้ าเอาพระเจา้ หินจากทุง่ ลอมาประดิษฐานไวท้ ี่วดั น้ี เมื่อวนั ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕ และไดม้ ีการพฒั นาวดั มาเรื่อยๆ จนไดร้ บั พระราชทานวสิ ุงคามสีมา เมื่อวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๒ ตอ่ มาไดร้ ้ืออุโบสถหลงั เก่า ซ่ึงชารุดทรุดโทรมมาก เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และไดส้ รา้ งอุโบสถ หลงั ใหม่ข้ึน เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ดาเนินก่อสร้างมาเรื่อยๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ไดร้ ับพจิ ารณาจากกรมศาสนา ยกฐานะเป็นวดั ตวั อยา่ งตามโครงการ พฒั นาวดั ทว่ั ราชอาณาจกั ร ในสมยั พระอธิการคีรีเขตรธีรปัญโญ “ ตุเ๊ จา้ แกว้ ” เป็ นเจา้ อาวาส ตอ่ มาไดถ้ ึงแก่มรณภาพ เม่ือ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่การดาเนินการก่อสร้างอุโบสถ ยงั ดาเนินการมาเรื่อยๆ โดยไดร้ ับความร่วมมือจากคณะศรทั ราประชาชนทวั่ ไปและก่อสรา้ งไดแ้ ลว้ เสร็จ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยกาหนดเอาวนั มาฆบูชา ของทกุ ปี เป็ นวนั จดั งานสืบต่อกนั มาจนถึงปัจจุบนั อโุ บสถวัดบญุ นำคทป่ี ระดิษฐำนหลวงพ่อหิน สถูปเจดีย์ภำยในบริเวณวัดบุญนำค

65 วดั บุญนำค วดั บุญนำคงำมวิหำรหน้ำลำนกว้ำง มที กุ อย่ำงให้ศึกษำค้นคว้ำไขว่ ท้งั ประวัตคิ วำมเป็ นมำอันยำวไกล พระเจ้ำหินทเี่ ล่ือมใสชวนใจเพลนิ จำกต้นเสำจว่ั มกุ ทกุ มมุ แง่ ซึ่งควรแก่กำรอวดอ้ำงสรรเสริญ ในเชียงคำไม่มที ีง่ ำมเกิน ช่ำงจำเริญจำรัสหัตถศิลป์

66 บทท่ี ๔ บทสรุป สรุปตำนำนพืน้ บ้ำนในอำเภอเชียงคำ ตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคาเป็ นเรื่องราวทีห่ ายาก ท่ี ถ่ายทอดใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดท้ ราบถึง ตานานหรือประวตั ิความเป็นมาของทอ้ งถ่ินตนเอง ทาใหต้ ระหนกั และรกั ในทอ้ งถ่ินของตนเองเพมิ่ มากข้ึน หอ้ งสมุดประชาชน อาเภอเชียงคาเป็ นศนู ยก์ ลางการเรียนรูข้ องชุมชน และเป็ นศนู ยก์ ลางขอ้ มูลทอ้ งถิ่นตานาน เรื่องราวของทอ้ งถิ่นเองทท่ี กุ คนควรไดร้ บั รู้เรื่องราวความเป็ นมาและความสาคญั ของทอ้ งถ่ิน ประชาชน จะไดต้ ระหนกั ถึงความสาคญั ของตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคา และร่วมกนั อนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ ตานานพน้ื บา้ น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ใหค้ งอยตู่ ลอดไป ตานาน เป็นท่มี าของแบบแผนทางพฤตกิ รรมใหก้ บั คนในสงั คม ตานานตา่ งๆ เป็ นทม่ี าของ ความเชื่อและพธิ ีกรรมในวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น มกั มีนิยายประจาถ่ิน ( legend ) ท่ชี าวบา้ น เล่ากนั เช่นในรูปของ นิยายอธิบายประวตั ิสถานท่ี ดว้ ยการผกู เป็ นเรื่องและมกั กล่าวอา้ งเป็ นเร่ืองทีเ่ กิดข้นึ จริงในอดีต เราจะพบวา่ ทอ้ งถ่ินใด มีสภาพธรรมชาติท่ีแปลกจากธรรมดามกั จะมีตานาน หรือนิยายทอ้ งถ่ิน ประกอบ ส่ิงน้ี สะทอ้ นใหเ้ ห็นระบบการคิดของคนโบราณ ทพ่ี ยายามอธิบายธรรมชาตใิ นทอ้ งถ่ิน บางคร้ัง เร่ืองเล่าทเี่ ป็นทีน่ ิยมมาก ก็ถูกนามาโยงใหเ้ ขา้ กบั สถานที่ในทอ้ งถิ่น เราจะพบวา่ ในสงั คมทอ้ งถ่ินมีเรื่องราวที่ ชาวบา้ นเล่าในลกั ษณะตานาน ฟังดูเหมือนจะเป็นเร่ืองจริง ในทางคตชิ นวทิ ยา ไดจ้ าแนกเรื่องเล่าประเภทตานาน ( myth ) วา่ เป็ นเรื่องราว ทอ่ี ธิบายถึง การกาเนิดส่ิงตา่ งๆ และปรากฏการณ์ธรรมชาติท้งั หลาย ตวั ละครมกั จะเป็ นเทพเจา้ ผทู้ รงอิทธิฤทธ์ิ ตานาน มีคุณค่าหลายประการในการอธิบายประวตั ิศาสตร์ชาตพิ นั ธต์ า่ งๆ ประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิ่น สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึง ประเพณีและวฒั นธรรมของทอ้ งถิ่น มกี ารบนั ทึกความคดิ เกี่ยวกบั ธรรมชาติโดยผา่ นตานานเร่ืองราวต่างๆ ของคนในทอ้ งถิ่น หนา้ ที่ที่สาคญั ของตานาน กค็ อื การเป็นสะพานใหเ้ รากา้ วขา้ มผา่ นโลกแห่งกาลเวลา กลบั ไปสู่จุดกาเนิด ความวา่ งอนั เป็ นอนนั ตกาล ความสมบรู ณ์ อนั เป็ นตน้ กาเนิดของสรรพส่ิง ยามท่ผี คู้ นเจบ็ ไข้ เกิดภยั ธรรมชาติ เหตุการณ์ร้ายแรงทาใหผ้ คู้ นเสียขวญั ภตู ผวี ญิ ญาณรา้ ย หรือแมน้ จะไม่มอี ะไรเกิดข้ึนแต่เป็ น ช่วงเปลี่ยนผา่ นของฤดูกาล ข้นึ ปี ใหม่ หรือ ภยั ธรรมชาตเิ พง่ิ ผา่ นพน้ พิธีกรรมรวมถึงวธิ ีการเล่าตานาน หรือ เทพปกรณมั จะเป็นหนทางทจี่ ะนาใหผ้ คู้ นเขา้ ไปสมั ผสั ถึงการเร่ิมตน้ ที่สดใหม่อีกคร้ัง และดูเหมือนโลกและ จกั รวาลอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ มีชีวติ จะเขา้ ใจความหมายอนั เป็ นสากลแห่งพธิ ีกรรมเหล่าน้นั เป็นอยา่ งดี จนกลายเป็ น

67 ความสมั พนั ธอ์ นั แนบแน่น ทไ่ี ม่สามารถแยกขาดกนั ไดร้ ะหวา่ งจิตวญิ ญาณของความมนุษยก์ บั ความศกั ด์ิสิทธ์ิ ของธรรมชาติในสากลจกั รวาล ปัญหำ/ข้อเสนอแนะ ตานานพน้ื บา้ น เป็ นเรื่องราวทีเ่ กิดข้นึ มานานหลายชว่ั อายคุ น จึงทาใหเ้ ร่ืองราวถูกถ่ายทอดตอ่ ๆ กนั มาตานานบางเร่ืองเป็นเรื่องเล่าขาน เอกสารอา้ งอิงมีนอ้ ย มีความยงุ่ ยากซบั ซอ้ นมากในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลเพอื่ ทจ่ี ะไดข้ อ้ มูลท่ีสมบรู ณ์ที่สุด และเอกสารในเรื่องตานานหรือประวตั ิของสถานที่ต่างๆ ในอาเภอเชียงคายงั ไม่มีการเกบ็ รวบรวมเผยแพร่อยา่ งแพร่หลายเป็นเอกสารทห่ี ายากมากในปัจจุบนั ตานาน ประวตั คิ วามเป็นมาของชุมชนทเ่ี ราอาศยั อยู่ พร้อมท้งั โบราณสถานเป็ นส่ิงสาคญั ที่ควร ทราบควรศกึ ษาและบอกเล่าใหล้ ูกหลานไดท้ ราบถึงเรื่องราวของทอ้ งถิ่นตนเอง และควรช่วยกนั อนุรกั ษพ์ ฒั นา ใหด้ ียง่ิ ข้ึนเพอื่ เป็นมรดกทางวฒั นธรรมสืบต่อไป ในวฒั นธรรมพ้นื เมืองน้นั วถิ ีชีวติ ของผคู้ นเป็ นวถิ ีชีวติ ทเ่ี ปิ ดรับขอ้ ความทส่ี ่งมาจากโลกเหนือ มนุษยอ์ ยเู่ สมอ คุณคา่ เหล่าน้นั เป็นคณุ ค่าทอ่ี ยเู่ หนือจิตสานึกดา้ นสวา่ งทีบ่ ่งบอกถึงแบบแผนตายตวั ที่คบั แคบ แทนท่พี วกเขาจะใหค้ วามสาคญั กบั สิ่งทเ่ี ขารู้ กลบั พยายามสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั มณฑลแห่งความไม่รู้ ความ เปล่ียนแปลง และความไม่แน่นอน โดยใชต้ านานและพธิ ีกรรมเป็ นสะพานเช่ือมตอ่ เพอื่ เขา้ สู่ธรรมชาตอิ นั มี ชีวติ อนั มีเราเป็ นส่วนหน่ึงในน้นั อยา่ งแทจ้ ริง แตป่ ัจจบุ นั ในโลกวทิ ยาศาสตร์วตั ถุนิยมสมยั ใหม่ คุณค่าและ ความหมายของพธิ ีกรรม ตานาน และความศกั ด์สิ ิทธ์ิ ดูจะคอ่ ยๆถูกลบเลือนลงไปเร่ือยๆ เกิดเป็ นปรากฏการณ์ ของการสูญคา่ ความศกั ด์ิสิทธ์ิแห่งตานาน ( demythicization ) กลายเป็ นจกั รวาลท่เี ปราะแตกแยกส่วน โลกวทิ ยาศาสตร์ไดน้ ามามนุษยส์ ู่วถิ ีการมองโลกเป็นวตั ถุ ท่ีตอ้ งอาศยั การพสิ ูจนท์ าง วทิ ยาศาสตร์ โดยตดั ขาดจากแง่มุมทางประสบการณ์ตรงท่เี กินกวา่ คาอธิบาย อีกท้งั ยงั ไดเ้ ปลี่ยนนิยามของ “เร่ืองจริง” กบั “เร่ืองเทจ็ ” จากหนา้ มือเป็นหลงั มือ เรื่องอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริยศ์ กั ด์ิสิทธ์ิเหนือมนุษยถ์ ูกตดั สิน วา่ เป็ นเรื่องเทจ็ ไรข้ อ้ พสิ ูจน์ อยา่ งทไ่ี ม่ตอ้ งใหค้ วามสนใจใดๆ จงึ ทาให้ ตานาน ถูกลดทอนคุณค่า กลายเป็ นเหมือนนิทานหลอกเดก็ เรื่องหน่ึงก็เท่าน้นั เม่ือจกั รวาลแห่งประสบการณ์อนั กวา้ งใหญ่ไดถ้ กู ปิ ดลง เหลือเพยี งส่ิงทเ่ี รา “ คดิ วา่ เรา รู้” แลว้ กีดกนั เอาจกั รวาลอนั กวา้ งใหญ่ของความไม่รู้ (เร่ืองที่พสิ ูจนไ์ ม่ได)้ เป็ นเรื่อง งมงายหรือเร่ืองเทจ็ เสียแลว้ ความหลากหลายทางศกั ยภาพของมนุษยก์ ถ็ ูกลดทอนลงอยา่ งน่าใจหาย เราไดแ้ ยกตวั เองออกมาจากองคาพยพ อนั ศกั ด์ิสิทธ์ิของการเล่ือนไหลแห่งจกั รวาล นามาซ่ึง ความหยงิ่ ทะนง ความโลภ ความเกลียดชงั ฯลฯ เรากาลงั ตดั ขาดตวั เองออกจากประสบการณ์การเรียนรูจ้ ากความสมั พนั ธอ์ นั แนบแน่นของสิ่งมีชีวติ เหนือมนุษย์ หรือบรรพบรุ ุษ ในตานาน หมกมุ่นอยแู่ ต่กบั ความรู้อนั คบั แคบแบบแยกส่วน ที่ถูกพฒั นาข้นึ ในช่วงเวลาเพยี ง ไม่ก่ีร้อยปี เท่าน้นั ความศกั ด์ิสิทธข์ องประสบการณ์ท่เี ลือนหาย หมายความถึง จนิ ตนาการและความคิด สรา้ งสรรคท์ ีค่ อ่ ยๆเลือนคา่ ตามไปดว้ ย เพราะมนั ถูกมองเป็ นเพยี งแค่ ฝันลมๆแลง้ ๆ หรือ อุดมคตทิ ่ีกินไม่ได้ จนในทส่ี ุดชีวติ ก็ถูกจากดั อยใู่ นมิตขิ องเวลาและสถานที่ ถูกลดทอนความเป็ นไปไดอ้ นั ไพศาล จนหลงเหลือ

68 เพยี งเปลือกที่ถูกกาหนดข้ึนตามปัจจยั ภายนอก ท่ีกาลงั บนั่ ทอนคุณค่า ความหมาย และลมหายใจของความเป็ น มนุษยท์ ่ีแทอ้ ยา่ งน่าเศรา้ เป็นท่สี ุด บทวเิ ครำะห์/แนวควำมคดิ /ข้อเสนอ 1. ควรมีการนาตานานพน้ื บา้ น มาจดั ทาเป็ นหลกั สูตร หรือพยายามทจ่ี ะสอดแทรกเน้ือหา ในหลกั สูตรใหม้ ากทส่ี ุด เพอื่ เป็นการถ่ายทอดและเผยแพรความรู้ใหก้ บั เยาวชน 2. ควรมีการนาตานานพ้นื บา้ นทมี่ ีผรู้ วบรวมไวม้ าเผยแพร่ และนาขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าใชเ้ ป็ นเอกสาร คน้ ควา้ และอา้ งอิงได้ 3. ควรรวบรวมประวตั คิ วามเป็นมาตานาน เร่ืองราวตา่ งๆทเี่ กี่ยวกบั สถานท่ี โบราณสถานท่ี สาคญั ๆของอาเภอเชียงคาเพอื่ ใชป้ ระโยชน์ในการศึกษาหาความรูส้ าหรับ นกั เรียน นิสิต นกั ศึกษาและประชาชน ผสู้ นใจ 4. ควรร่วมกนั อนุรกั ษ์ ส่งเสริมและเผยแพร่ ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ซ่ึงนบั วนั จะสูญหายและเป็นเรื่องทห่ี ายากในการจดั กระบวนการเรียนรู้ใหก้ บั คนรุ่นหลงั 5. หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอ เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน มีบทบาทหนา้ ที่ในการจดั กระบวน การเรียนรู้ ไดเ้ ลง็ เห็นความสาคญั ของตานานพน้ื บา้ นต่างๆ ซ่ึงสามารถบอกกล่าวเล่าขานตานานทอ้ งถ่ินไดเ้ ป็ น อยา่ งดี ซ่ึงถา้ ไดร้ วบรวมเป็นรูปเล่มแลว้ จะเป็นประโยชน์ทางการศกึ ษาสาหรบั คนรุ่นหลงั ต่อไป 6. การศกึ ษาตานานหรือประวตั ิความเป็นมาของทอ้ งถิ่น ทาใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดศ้ กึ ษาและ ทราบประวตั คิ วามเป็ นมาในอดีตของตนเอง ซ่ึงจะทาใหค้ นตระหนกั ถึงความสาคญั รักและหวงแหนร่วมกนั อนุรกั ษไ์ วใ้ ห้ คงอยสู่ ืบตอ่ ไป

69 บรรณำนุกรม เกศรินทร์ ชลสินธุ์ . เอกสำรประกอบกำรเรียนเสริมทักษะกำรอ่ำนโบรำณสถำนในท้องถน่ิ อำเภอเชียงคำ . ๒๕๔๓ . ทวี่ า่ การอาเภอเชียงคา . หนังสือทรี่ ะลึกเปิ ดทท่ี ำกำรอำเภอเชียงคำ . พะเยา : พะเยานิวส์การพมิ พ์ , ๒๕๓๙ . บญุ ส่ง สมฤทธ์ิ . ตำนำนพระธำตุสบแวน อำเภอเชียงคำ จังหวดั พะเยำ . พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒ , ๒๕๓๙ . รัตตกิ รณ์ วงศใ์ หญ่ . ชุดวชิ ำวถิ ชี ีวติ ชำวไทลื้อ . พะเยา : หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอเชียงคา , ๒๕๔๖. ศรีศกั ด์ิ วลั ลิโภดม และคณะ . เล่ำขำนตำนำนใต้ . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พว์ ชั รินทร์ พี . ที , ๒๕๕๐ . ศริ าพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง . ในท้องถิน่ มนี ิทำนกำรละเล่น ... กำรศึกษำคตชิ นในบริบทสังคมไทย . กรุงเทพมหานคร : มติชน , ๒๕๓๗ . สภาวฒั นธรรมอาเภอเชียงคา . เอกสำรแนะนำอำเภอเชียงคำ . พะเยา : สานกั งานศึกษาธิการ อาเภอเชียงคา , ๒๕๒๑ . ไสว เช้ือสะอาด . ไทลือ้ – ล้ำนนำถงึ สิบสองปนั นำ . พะเยา : สานกั งานศกึ ษาธิการอาเภอเชียงคา , ๒๕๓๘ .

70 คณะกรรมกำรท่ปี รึกษำ ๑. นายพทิ กั ษ์ ธนะเพทย์ ผอู้ านวยการสานกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอธั ยาศยั จงั หวดั พะเยา ๒. นางวลิ าวลั ย์ ไชยมงคล ผอู้ านวยการศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอเชียงคา ๓. พระครูสุนทรวฒุ ิสาร เจา้ อาวาสวดั แสนเมืองมา ๔. นางเกศรินทร์ ชลสินธุ์ ครู คศ. ๓ โรงเรียนบา้ นทงุ่ หล่ม อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ๕. นางผอ่ งพรรณ สุทธทรพั ยท์ วี ขา้ ราชการบานาญ ผู้จัดทำ นางรตั ติกรณ์ วงศใ์ หญ่ บรรณารักษ์ ๖ ว หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอเชียงคา ..........................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook