Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

Published by รัตติกรณ์ วงศ์ใหญ่, 2021-06-10 06:06:38

Description: ตำนานเมืองเชียงคำผลงานสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

1 บทที่ ๑ บทนำ ควำมหมำยและควำมสำคญั ของตำนำนพืน้ บ้ำนในอำเภอเชียงคำ หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอ เป็ นแหล่งขอ้ มูลทอ้ งถิ่นและแหล่งเรียนรูข้ องคนในชุมชน มีบทบาท หนา้ ทีใ่ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ จึงเล็งเห็นความสาคญั ของตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคา ซ่ึงเป็ นเรื่องราว ในทอ้ งถ่ินของชุมชนที่ทุกคนควรจะไดร้ ับรู้และร่วมกนั ถ่ายทอดเร่ืองราว ความเป็ นมา ตระหนกั ถึงคุณคา่ ความสาคญั ของตานานพน้ื บา้ น และช่วยกนั ส่งเสริม เผยแพร่และอนุรกั ษไ์ วใ้ หล้ ูกหลาน การรวบรวมประวตั ิความเป็ นมาตานาน เร่ืองราวต่างๆทีเ่ กี่ยวกบั สถานท่ี โบราณสถานท่ี สาคญั ๆของอาเภอเชียงคา สาหรบั ใชป้ ระโยชน์ในการศกึ ษาหาความรู้ เป็นการอนุรกั ษ์ ส่งเสริมและเผยแพร่ ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ซ่ึงนบั วนั จะสูญหายและเป็ นเรื่องทหี่ ายากในการจดั กระบวนการ เรียนรู้ใหก้ บั คนรุ่นหลงั การศึกษาตานานหรือประวตั ิความเป็ นมาของทอ้ งถิ่น ทาใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดศ้ กึ ษา และทราบประวตั คิ วามเป็นมาในอดีตของตนเอง ซ่ึงจะทาใหค้ นตระหนกั ถึงความสาคญั รักและหวงแหน ทอ้ งถิ่นของตนเอง ร่วมช่วยกนั พฒั นาอนุรกั ษไ์ วใ้ หค้ งอยตู่ ลอดไป วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื รวบรวมประวตั คิ วามเป็นมาตานาน เร่ืองราวตา่ งๆท่เี กี่ยวกบั สถานที่ โบราณสถานท่ี สาคญั ๆของอาเภอเชียงคาเพอ่ื ใชป้ ระโยชนใ์ นการศกึ ษาหาความรู้สาหรบั นกั เรียน นิสิต นกั ศึกษาและประชาชน ผสู้ นใจ 2. เพอ่ื เป็นการอนุรักษ์ ส่งเสริมและเผยแพร่ ตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ซ่ึงนบั วนั จะสูญหายและเป็นเรื่องทห่ี ายากในการจดั กระบวนการเรียนรู้ใหก้ บั คนรุ่นหลงั 3. หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอ เป็ นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน มีบทบาทหนา้ ท่ีในการจดั กระบวนการเรียนรู้ ไดเ้ ล็งเห็นความสาคญั ของตานานพ้นื บา้ นตา่ งๆ ซ่ึงสามารถบอกกลา่ วเล่าขานตานานทอ้ งถ่ิน ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ซ่ึงถา้ ไดร้ วบรวมเป็นรูปเล่มแลว้ จะเป็ นประโยชน์ทางการศึกษาสาหรับคนรุ่นหลงั ต่อไป 4. การศกึ ษาตานานหรือประวตั คิ วามเป็นมาของทอ้ งถ่ิน ทาใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดศ้ ึกษาและ ทราบประวตั คิ วามเป็ นมาในอดีตของตนเอง ซ่ึงจะทาใหค้ นตระหนกั ถึงความสาคญั รักและหวงแหนร่วมกนั อนุรักษไ์ วใ้ ห้ คงอยสู่ ืบต่อไป

2 ขอบเขตกำรศึกษำ ศกึ ษาตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคาจากเอกสารหลกั สูตรทอ้ งถ่ินของโรงเรียนสังกดั สานกั งานการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานเพอ่ื เป็ นแนวทางในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล รวบรวมเร่ืองราวตานานพน้ื บา้ น ในอาเภอเชียงคาทีก่ ระจดั กระจายอยมู่ ารวบรวมเป็นรูปเล่มเพอ่ื ใหบ้ ริการคน้ ควา้ และเผยแพร่ เป็ นแหล่งขอ้ มูล ทอ้ งถ่ินและเอกสารหายากของอาเภอเชียงคา เผยแพร่ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา เพอ่ื ใหค้ นในทอ้ งถ่ิน ไดท้ ราบถึงตานานหรือประวตั คิ วามเป็ นมาของทอ้ งถิ่นตนเอง ทาใหต้ ระหนกั และรกั ในทอ้ งถ่ินของตนเอง เพม่ิ มากข้นึ ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา ความเป็นมาและความสาคญั วตั ถุประสงค์ ขอบเขตการศกึ ษา ประโยชน์ท่ีไดร้ บั นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ขอ้ มูลพน้ื ฐานอาเภอเชียงคา สภาพทวั่ ไปของอาเภอ เชียงคา ประวตั ิความเป็นมา สถานที่ทอ่ งเท่ียว ประเพณีพธิ ีกรรม และความเชื่อ อาหารการกิน ความหมาย และขอบขา่ ยตานานพน้ื บา้ น แหล่งขอ้ มูล ตานานเมืองเชียงคา ตานานพระเจา้ นง่ั ดิน ตานานพระธาตุดอยคา ตานานพระธาตุสบแวน ตานานวดั นนั ตาราม ตานานวดั แสนเมืองมา ตานานวดั หยว่ น ตานานหลวงพอ่ หินสรุปตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคา ปัญหาและขอ้ เสนอแนะ ประโยชน์ท่ไี ด้รับ 1. ผลงานที่ไดใ้ ชเ้ ป็ นเอกสารสาหรับคน้ ควา้ และเผยแพร่ ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา เพอ่ื ศกึ ษาหาความรูส้ าหรบั นิสิต นกั ศกึ ษาประชาชาชนผสู้ นใจทวั่ ไป 2. หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอเชียงคาเป็นศูนยก์ ลางการเรียนรูข้ องชุมชน และเป็นศนู ยก์ ลาง ขอ้ มูลทอ้ งถ่ินตานานเรื่องราวของทอ้ งถ่ินทท่ี กุ คนควรไดร้ ับรู้เรื่องราว ความเป็ นมา และความสาคญั ของทอ้ งถิ่น ตนเอง 3. ประชาชนไดต้ ระหนกั ถึงความสาคญั ของตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคาและร่วมกนั อนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ ตานานพ้นื บา้ นอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา นิยำมศัพท์เฉพำะ ตานานพ้นื บา้ น ( myth ) หมายถึง เร่ืองราวทเี่ ล่าขานสืบตอ่ กนั มา อธิบายถึงการกาเนิด ส่ิงต่างๆ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ้งั หลาย ตานานมีคุณคา่ หลายประการในการอธิบายประวตั ิชาติพนั ธุ์ ตา่ งๆ รวมถึงประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิ่น สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงประเพณีและวฒั นธรรมของทอ้ งถ่ิน ซ่ึงมีการบนั ทกึ ความคดิ เรื่องราวผา่ นตานาน ในท่นี ้ีจะกล่าวถึงเฉพาะ ตานานพน้ื บา้ นอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา

3 บทที่ ๒ เอกสำรท่ีเกย่ี วข้อง ประวตั ิอำเภอเชียงคำ ประวตั คิ วำมเป็ นมำ ประเทศไทยในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเหลา้ เจา้ อยหู่ วั ประเทศไทยจดั ระบบการ ปกครองแผน่ ดินในส่วนภมู ิภาคเป็ นมณฑล จงั หวดั อาเภอ ตาบลและหมู่บา้ น คร้งั น้นั อาเภอเชียงคาอยใู่ นแขวง แม่น้าลาว ( รวมพน้ื ที่อาเภอเทงิ จงั หวดั เชียงราย ในปัจจบุ นั ดว้ ย ) และพน้ื ทใี่ นเขตการปกครองของจงั หวดั น่าน โดยมีเจา้ สุริยวงศด์ ารงตาแหน่งขา้ หลวง ทวา่ การแขวงต้งั อยู่ ณ วดั พระแกว้ ปัจจุบนั คอื บา้ นเวยี ง ตาบลเวยี ง อาเภอเชียงคา เม่ือ ร.ศ. ๑๒๑ พวกเง้ียวก่อการจลาจลบกุ ปลน้ สะดมแก่แขวงน้าลาว ทางราชการส่ง เจา้ คุณดสั กร มาปราบปรามจนสงบ เจา้ คุณดสั กรไดย้ า้ ยทว่ี า่ การแขวงมาต้งั ณ บา้ นหยว่ น ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา ต่อมา ทางราชการไดป้ รบปรุงและยบุ แขวงน้าลาว โดยจดั เป็นบริเวณน่านเหนือมีเขต การปกครองครอบคลมุ พ้นื ท่อี าเภอเชียงคา อาเภอปง จงั หวดั พะเยา อาเภอเทงิ อาเภอเชียงของ จงั หวดั เชียงราย เขา้ ดว้ ยกนั พรอ้ มแต่งต้งั ขนุ พราญไพรีรณ ดารงตาแหน่งขา้ หลวงบริเวณน่านเหนือ เม่ือ ร.ศ. ๑๒๘ ทางราชการไดย้ บุ บริเวณน่านเหนือแบ่งพ้นื ท่อี อกเป็นอาเภอเชียงคา อาเภอเทงิ และอาเภอเชียงของ ข้ึนในเขตปกครองของจงั หวดั เชียงราย ซ่ึงเป็ นช่ือมาจากบริเวณเชียงใหม่เหนือ พรอ้ มท้งั แต่งต้งั พระยาพศิ าลครี ี ดารงตาแหน่งนายอาเภอเชียงคา เป็นคนแรก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๕ สมยั หลวงฤทธ์ิภญิ โญยศดารงตาแหน่งนายอาเภอเชียงคา ไดย้ า้ ยท่วี า่ การ อาเภอเชียงคา จากฝั่งตะวนั ออกมาต้งั ณ ฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าลาว ต่อมาเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๔ พนั ตรีชอบ มงคลรัตน์ นายอาเภอเชียงคา ไดย้ า้ ยทว่ี า่ การอาเภอเชียงคากลบั มาต้งั ณ ฝั่งตะวนั ออก ของแม่น้าลาวอีกคร้งั หน่ึง เมื่อ วนั ท่ี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๐ ไดม้ ีพระราชบญั ญตั จิ ดั ต้งั จงั หวดั พะเยาข้นึ โดยโอนพ้นื ที่ เขตการปกครองอาเภอเชียงคามาข้ึนกบั เขตปกครองจงั หวดั พะเยา และเมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๙ กระทรวงมหาดไทยไดป้ ระกาศแบ่งพ้นื ท่ีอาเภอเชียงคาเป็นก่ิงอาเภอภูซาง ประกอบดว้ ย ๕ ตาบล คอื ตาบลภซู าง ตาบลเชียงแรง ตาบลสบบง ตาบลทงุ่ กลว้ ย และตาบลป่ าสกั โดยมีผลในวนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙

4 ลกั ษณะพนื้ ท่ี ลกั ษณะภมู ิประเทศ เป็นทรี่ าบร้อยละ ๔๐ เป็นภเู ขา ป่ าไม้ รอ้ ยละ ๖๐ มีลกั ษณะคลา้ ยแก่ง กระทะ เพราะวา่ มีภเู ขาสูงอยโู่ ดยรอบ และมีเน้ือท่ปี ระมาณ ๖๙๙,๕๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ ๕๐๒,๘๑๖.๘๗ ไร่ ลกั ษณะทต่ี ้งั ต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือของจงั หวดั พะเยา ห่างจากจงั หวดั ประมาณ ๗๘ กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานคร ๘๑๓ กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตติดตอ่ ดงั น้ี ทิศเหนือ ติดต่อกบั อาเภอเทิง จงั หวดั เชียงราย และกิ่งอาเภอภซู าง จงั หวดั พะเยา ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกบั อาเภอปง จงั หวดั พะเยา ทศิ ตะวนั ออก ติดตอ่ กบั สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว และกิ่งสองแคว จงั หวดั น่าน ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อาเภอเทิง จงั หวดั เชียงราย และอาเภอจุน จงั หวดั พะเยา สถำนทท่ี ่องเทยี่ ว อาเภอเชียงคามีแหล่งทอ่ งเที่ยวหลากหลาย ท้งั ในส่วนที่เป็ นธรรมชาตไิ ดแ้ ก่ น้าตก ป่ า เขา และส่วนที่เป็นศิลปวฒั นธรรม เช่น อุโบสถไทล้อื ( วดั แสนเมืองมา ) อุโบสถพม่าแบบไทยใหญ่ ( วดั นนั ตาราม ) ศูนยว์ ฒั นธรรมไทยล้ือ ( วดั หยว่ น ) พระพทุ ธรูปศกั ด์ิสิทธิคู่เมืองเชียงคา ( พระนง่ั ดิน ) ศนู ยท์ อผา้ ไทล้ือ หรือส่วนท่ีเป็นชายแดนไทย – ลาว ทุกวนั ท่ี ๑๐ และ วนั ท่ี ๓๐ ของเดือน อนุสรณ์สถาน ทหารผเู้ สียสละ พตท. ๒๓๒๔ โครงการพระราชดาริฯ บา้ นเล็กในป่ าใหญ่ และบา้ นไทล้ือโบราณ เป็นตน้ วหิ ำรไทลื้อวดั แสนเมืองมำ ศูนย์วฒั นธรรมไทลือ้ บ้ำนหย่วน

5 บ้ำนไทลื้อโบรำณ วิหำรไทยใหญ่วัดนันตำรำม อนุสรณ์สถำนผู้เสียสละ พระนั่งดิน ผ้ำทอไทลือ้ โครงกำรบ้ำนเล็กในป่ ำใหญ่บ้ำนหนองห้ำ

6 ประเพณพี ธิ ีกรรม และควำมเชื่อ ประเพณี หมายถึง พฤติกรรมหรือความประพฤตทิ ี่คนในส่วนรวมยดึ ถือเป็ นธรรมเนียมหรือ เป็นระเบยี บแบบแผนและปฏบิ ตั สิ ืบตอ่ กนั มาชา้ นานจนลงรูปเป็ นพมิ พเ์ ดียวกนั เป็ นท่ยี อมรบั ของสงั คม ประเพณีเกิดจากความเช่ือในส่ิงท่มี ี อานาจเหนือมนุษย์ เช่น อานาจของดินฟา้ อากาศและ เหตกุ ารณ์ที่เกิดข้ึนโดยไม่ทราบสาเหตุต่าง ๆ ประเพณีเป็ นส่ิงทีม่ นุษยส์ รา้ งข้ึน เพอ่ื ใหเ้ กิดความสุขความเจริญ เหมาะสมกบั ชีวติ และความเป็นอยคู่ วามเชื่อถือของคนส่วนมากในสงั คมของแต่ละยคุ คร้นั เมื่อสงั คม เปลี่ยนแปลง ประเพณีบางอยา่ งท่ีไม่เหมาะสมจาเป็นจะตอ้ งพฒั นารูปแบบหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป ประเพณี บางอยา่ งอาจตอ้ งเส่ือมสูญไป อยา่ งไรกต็ ามประเพณีหลายอยา่ งยงั คงปฏิบตั ิสืบเนื่องกนั ต่อมาจนถึงปัจจบุ นั น้ี การเปล่ียนแปลงประเพณีจะเป็นไปไดม้ ากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ความเป็ นไปไดท้ างประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรม ของแต่ละสงั คม โดยทว่ั ไปประเพณีแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คอื 1. จารีตประเพณี 2. ขนบธรรมเนียมประเพณี 3. ธรรมเนียมประเพณี จารีตประเพณี เป็นประเพณีทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั กฎศลี ธรรม ซ่ึงเป็นกฎทม่ี ีความสาคญั ตอ่ สวสั ดิการของสงั คม หากใครฝ่ าฝืนหรืองดเวน้ ไม่ปฏิบตั ติ าม ถือวา่ เป็ นส่ิงที่ผดิ เป็ นความชว่ั ดงั น้นั จะตอ้ ง ปฏบิ ตั ติ ามเพอ่ื ประโยชน์ของส่วนรวม จารีตประเพณี เป็ นสิ่งทน่ี ิยมยดึ ถือปฏิบตั กิ นั สืบต่อมาโดย การเลียนแบบหรือการสง่ั สอนในสงั คมของชาวไทยในภาคเหนือเรียกจารีตประเพณีวา่ “ฮีต” เป็ นสิ่งทีท่ ุกคน ในสงั คมตอ้ งปฏิบตั ิ หากผใู้ ดฝ่ าฝืนเรียกวา่ ผดิ ฮีต หรือผดิ ผี ทาให้ “ขดึ ” หมายถึงไม่เป็ นมงคล ผใู้ ดผดิ ผจี ะตอ้ ง ประกอบพธิ ีกรรมปัดเป่ า ดว้ ยการทาพธิ ีเซ่นสงั เวย เพอ่ื แกไ้ ขผอ่ นหนกั ใหเ้ ป็ นเบา ในสงั คมของชาวไทล้อื การปฏบิ ตั เิ กี่ยว กบั ฮีตมี ลกั ษณะทคี่ ลา้ ยคลึงกบั สงั คมลา้ นนา เช่นประเพณีการนบั ถือผปี ระเพณีทางสงั คม อ่ืน ๆ ขนบประเพณี เป็ นประเพณีที่วางไวเ้ ป็นระเบียบแบบแผน เพอื่ ให้เป็ นแนวปฏิบตั ทิ ้งั ทางตรง และทางออ้ ม ขนบ แปลวา่ ระเบียบแบบแผนขนบประเพณีอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและตามสภาวะการณ์ของ บา้ นเมือง กฎระเบียบที่วา่ เหมาะสมในสมยั หน่ึงอาจเกิดลา้ สมยั ลง จะตอ้ งปรับปรุงและแกไ้ ขตามความจาเป็น ธรรมเนียมประเพณีเป็ นส่ิงทเี่ กี่ยวเน่ืองเร่ืองธรรมดาสามญั โดยทว่ั ไปไมม่ ีความผดิ จนเหมือนจารีตประเพณีเป็ น เพยี งบรรทดั ฐานท่ีปฏบิ ตั สิ ืบต่อกนั มาจนเป็นประเพณี เป็ นแนวปฏบิ ตั ิจนเกิดความเคยชิน ไม่รู้สึกเป็ น ภาระหนา้ ที่ ธรรมเนียมประเพณีเป็นเร่ืองท่ีนิยมปฏบิ ตั สิ ืบตอ่ กนั มาในสงั คม เช่น กริยามารยาท การยนื การเดิน นง่ั นอน การรบั ประทานอาหาร การพดู การแสดงทา่ ทาง

7 ประเพณพี ื้นบ้ำนในอำเภอเชียงคำ กำรเรียกขวญั การเรียกขวญั หรือฮา้ งขวญั มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั ประเพณีเรียกขวญั ของชาวเหนือโดยทว่ั ไป วตั ถุประสงคข์ องการประกอบพธิ ีเรียนขวญั เพือ่ เรียกขวญั คนท่ีเพงิ่ หายจากการเจบ็ ป่ วยใหม่ ๆ ใหม้ ีขวญั และ กาลงั ใจดีข้นึ เชื่อกนั วา่ คนท่ีเจบ็ ป่ วยเบ่ืออาหารเมื่อทาพธิ ีเรียกขวญั แลว้ จะกลบั มารบั ประทานอาหารไดต้ ามปกติ ลำดับข้นั ตอนในกำรประกอบพธิ ี เจา้ บา้ นหรือญาตขิ องผปู้ ่ วย จะจดั เตรียมสิ่งของ เพอื่ ประกอบพธิ ีไดแ้ ก่ หมาก ๑ หวั พลู ๑ เรียง บหุ ร่ี ๑ มวน เมี่ยง ๑ อม กลว้ ย ๑ ลูก ขา้ วเหนียว ๑ กอ้ น ปลาปิ้ ง ๑ ตวั ไข่ตม้ ๑ ฟอง ไก่ตม้ ๑ ตวั (โดยปกติจะไม่นิยมฆ่าไก่ถา้ ไม่จาเป็ นเพราะเช่ือวา่ จะทาใหค้ นป่ วยหายชา้ ) นอกจากน้นั ยงั มีดา้ ยสายสิญจนอ์ ีก จานวน ๑ เสน้ หรือ ๙ เสน้ กไ็ ด้ ขา้ วสารจานวน ๖๔ เม็ดหรือ ๓๒ คู่ ใส่ในถว้ ยใบเลก็ ๆ ไวใ้ นท่ปี ระกอบพธิ ี เม่ือเตรียมสิ่งของเรียบร้อยแลว้ หมอขวญั ก็จะเริ่มประกอบพธิ ีเรียกขวญั ถอ้ ยคาและสานวนโวหารเป็ นแบบ พน้ื เมืองภาคเหนือ ใชเ้ วลาประมาณ ๕๐ นาที ในขณะทห่ี มอขวญั กาลงั ทาพธิ ีใกลจ้ บจะมีการเสี่ยงทาย เพอ่ื ดูวา่ ขวญั ของผปู้ ่ วยกลบั คืนมาหรือยงั โดยหยบิ ขา้ วสารจากในถว้ ยข้ึนมานบั ถา้ หยบิ ไดจ้ านวนคู่แสดงวา่ ขวญั ของ ผปู้ ่ วยกลบั คืนมาแลว้ แต่ถา้ หยบิ ไดจ้ านวนคแี่ สดงวา่ ขวญั ยงั ไม่มาหมอขวญั ก็จะทาพธิ ีแลว้ กจ็ ะนาปลาปิ้ ง ไขต่ ม้ และไก่ตม้ ใหผ้ ปู้ ่ วยรบั ประทาน การเรียกขวญั อีกอยา่ งหน่ึงไม่มีพธิ ีการ คอื เวลาลูกหลายตกใจร้องไหห้ รือหกลม้ ผใู้ หญ่กจ็ ะอุม้ แลว้ ใชม้ ือลูบหวั และหลงั แลว้ กล่าวปลอบใจ “ ขวญั มา ๆ ขวญั มาอยกู่ บั เน้ือกบั ตวั \" ซ่ึงนิยม ปฏิบตั กิ นั เป็นประจา การเรียกขวญั เป็ นประเพณีพ้นื บา้ นทีม่ ีผลทางดา้ นจิตใจเป็ นการสร้างขวญั และกาลงั ใจ ใหแ้ ก่บุคคลที่เสียขวญั ใหม้ ีสภาพจิตใจทดี่ ีข้ึนอีกอยา่ งหน่ึง กำรส่ งเครำะห์ ส่งเคราะหเ์ ป็นประเพณีพ้นื บา้ นของชาวไทล้ือทคี่ ลา้ ยกนั ของภาคเหนือโดยทวั่ ไปการส่ง เคราะห์เป็นการส่งสิ่งชว่ั รา้ ยตา่ ง ๆ ออกไปจากผมู้ ีเคราะหห์ รือผปู้ ระสบเคราะหก์ รรมต่าง ๆ เพอ่ื ใหอ้ ยสู่ ุขสบาย ปลอดภยั จากโรคภยั ไขเ้ จบ็ และอนั ตรายท้งั ปวง รวมท้งั เป็ นการเสริมแรงใจให้แก่ผปู้ ระสบเคราะหก์ รรมอีกดว้ ย การประกอบพธิ ีกรรมส่งเคราะหจ์ ะกระทาเมื่อมีเหตุ ๒ ประการ ๑. การส่งเคราะห์ตามราศี ตามวนั เดือน ปี เกิด ตามโชคชะตาทีห่ มอดูหรือผรู้ ู้ไดท้ านายทายทกั ไวว้ า่ ปี ใดคนเกิดวนั ไหนจะมีเคราะห์ โดยการกาหนดจากการถือฤกษต์ ามวนั สงกรานต์ เช่น ปี ใดวนั สงกรานต์ ตรงกบั วนั อาทิตย์ ผทู้ ี่เกิดวนั พธุ จะตอ้ งเขา้ พธิ ีส่งเคราะห์ เพอ่ื จะไดอ้ ยสู่ ุขสบายปราศจากเคราะห์ภยั ตา่ งๆ ตลอดปี ๒. ทาพธิ ีส่งเคราะหเ์ ม่ือประสบภยั พบิ ตั ติ ่าง ๆ เช่นประสบอุบตั เิ หตุ เจบ็ ป่ วย ก็จะทาการ ส่งเคราะห์เพอื่ ใหพ้ นั จากภยั พบิ ตั ทิ ้งั ปวง

8 กำรเตรียมทำพิธสี ่งเครำะห์ เตรียมทาสะตวง โดยนากาบกลว้ ยมาพบั เป็นรูปสี่เหล่ียมจตั รุ ัส กวา้ งยาวราว๑ ศอก ใชไ้ มไ้ ผ่ เล็ก ๆ เสียบเป็ นแนวขวางปทู บั ดว้ ยใบตอง แบ่งออกเป็นหอ้ งหรือช่องจานวน ๙ หอ้ ง แตล่ ะหอ้ งจะใส่สิ่งของ ลงไปใหค้ รบจานวนเทา่ ๆ กนั อยา่ งละ ๘ ช้ิน เรียกวา่ เครื่องแปด ไดแ้ ก่ แกงสม้ ป้าว (มะพรา้ ว) ตาล (น้าตาล) กลว้ ย ออ้ ย หมาก พลู บหุ รี่ ขา้ วจี่ (ขา้ วเหนียวน่ึง) ใส่เกลือขา้ งใน ๑ เม็ด ขา้ วตอก ดอกไม้ ธูปเทยี น ตรงมุม ท้งั ๔ ดา้ นของสะตวงปักดว้ ยธง ๖ สีคอื ดา แดง ขาว เหลือง เขียว น้าเงินหรือคราม บางคร้ังใชส้ ีขาวแทน ท้งั หมด เพราะมีความเชื่อวา่ สีขาวจะทาใหป้ ราศจากเคราะห์อยา่ งขาวบริสุทธ์ิขนั ต้งั ยกครู สาหรับหมอประกอบ พธิ ี ประกอบดว้ ย ดอกไม้ ๔ ดอก เทยี น ๔ เล่ม เงนิ ๑๐ บาท ข้นั ตอนของกำรประกอบพธิ ีกรรม พธิ ีจะเริ่มโดยหมอผปู้ ระกอบพธิ ียกครู โดยหนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ออกแลว้ กล่าวคายกครู เสร็จแลว้ กป็ ระกอบพธิ ีส่งเคราะห์ โดยใหผ้ เู้ ขา้ พธิ ีนงั่ ลงแลว้ วางสะตวงไวต้ รงขา้ งหนา้ ส่วนขนั น้าไวท้ หี่ นา้ หมอ ผปู้ ระกอบพธิ ี ซ่ึงนงั่ อยดู่ า้ นหลงั ผเู้ ขา้ พธิ ีเม่ือพร้อมแลว้ ก็จะเริ่มกล่าวสรรเสริญพระพทุ ธคุณ พระธรรมคุณ พระ พรหม จากน้นั ก็ร่ายคาถาสาหรับปัดเคราะห์ ใหอ้ อกจากร่างกายของผเู้ ขา้ ในพธิ ี จบแลว้ หมอพธิ ีก็จะเก็บเอา เครื่องยกครูใส่ยา่ มส่วนตวั ส่วนสะตวงนาไปทิง้ ไวน้ อกบา้ น เป็นเสร็จพธิ ี การส่งเคราะห์เป็ นฮีตของชาวพน้ื เมือง ท่ีปฏิบตั สิ ืบตอ่ กนั มา เพอื่ เป็นสิ่งยดึ เหนี่ยวจิตใจเป็ นการบารุงขวญั และใหก้ าลงั ใจแก่ผทู้ ่ปี ระสบเคราะหก์ รรมให้ หายจากความวติ กกงั วล ทาใหม้ ีความเช่ือมน่ั ในตนเองมากข้ึน ในการประกอบอาชีพการงานและพรอ้ มจะต่อสู้ กบั อุปสรรคอนั ตรายภายภาคหนา้ กำรสืบชะตำ การสืบชะตาเป็นจารีตประเพณีของหมู่บา้ นชาวพ้นื เมืองในภาคเหนือ มีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ใหเ้ ป็น สิริมงคล และขบั ไล่ส่ิงชว่ั รา้ ยที่เป็ นเสนียดจญั ไรใหอ้ อกไปจากบุคคลหรือสถานที่ พธิ ีสืบชะตาเป็นประเพณี ไดร้ ับอิทธิพลจากธรรมเนียมของพราหมณ์ ซ่ึงไดน้ ามาผสมผสานกบั พธิ ีกรรม ของพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งกลมกลืน การสืบชะตาในอาเภอเชียงคา มี ๒ ประเภทคือ สืบชะตาคน และสืบชะตาหมู่บา้ น พิธีสืบชะตำคน จะจดั ทาในโอกาสตา่ ง ๆ กนั เช่นข้ึนบา้ นใหม่ ภายหลงั การเจบ็ ป่ วย หรือทาในโอกาสทห่ี มอดู ทานายทายทกั วา่ ดวงชะตาไม่ดีบางคร้งั ก็ทาเพอื่ การสะเดาะเคราะห์ภายหลงั จากการประสบเคราะห์กรรม เม่ือ สืบชะตาแลว้ เชื่อวา่ จะช่วยเสริมสรา้ งดวงชะตาใหด้ ีข้นึ อีกท้งั เป็ นการบารุงขวญั และกาลงั ใจของผปู้ ระสบ เคราะหก์ รรมหรือผเู้ จบ็ ป่ วย ใหก้ ลบั คนื สภาพปกติ สถานทปี่ ระกอบพธิ ีใชบ้ ริเวณบา้ นของผเู้ ขา้ ในพธิ ีสืบชะตา โดยใชห้ อ้ งโถง หอ้ งรับแขก ลาน บา้ นหรือบริเวณบนบนั ไดบา้ นสาหรบั สิ่งของเครื่องใชใ้ นพธิ ีมีไมง้ า่ มขนาดเลก็ นามามดั รวมกนั มีจานวนมากกวา่ อายขุ องผสู้ ืบชะตา ๑ อนั ไมค้ ้าสณีขนาดความยาวเทา่ กบั ความสูง และผเู้ ขา้ พธิ ีจานวน ๓ ท่อน นอกจากน้ี

9 มีกระบอกขา้ ว กระบอกทราย กระบอกน้า สะพานลวดเงนิ สะพานลวดทอง เบ้ียแถว (ใชเ้ ปลือกหอยแทน) หมากแถว มะพร้าวอ่อน กลว้ ย ออ้ ย หมอน เส่ือ ดอกไมธ้ ูปเทียน และมีเทียนชยั เล่มยาว ๑ เล่ม การจดั สถานท่ีใช้ ไมต้ ้งั เป็ นกระโจมสามเหล่ียมตรงกลางเป็นที่วา่ งสาหรับวางสะตวงและสิ่งของเครื่องใชต้ า่ ง ๆ ในพธิ ี จดั ที่วา่ ง ใกล้ ๆ กระโจมใหเ้ ป็นทีน่ ง่ั สาหรับผเู้ ขา้ ไปรับการสืบชะตาแลว้ วนดา้ ย สายสิญจน์ ๓ รอบโยงกบั เสา กระโจมท้งั สามขา แลว้ นาไปพนั รอบพระพทุ ธรูป และพระทีส่ วดพธิ ี โดยปกตกิ ารสืบชะตาคนในภาคเหนือ โดยทวั่ ไปใชพ้ ระสงคป์ ระกอบพธิ ี ๙ รูป แตท่ ่ีหมู่บา้ นไทล้ือใชพ้ ระเพยี ง ๑ รูป สาหรบั ทอ่ งคาถาและบทสวดจบ แลว้ ใชด้ า้ ยสายสิญจนผ์ กู ขอ้ มือผปู้ ่ วยเป็ นเสร็จพิธี ส่วนการสืบชะตาคนพรอ้ มกบั ข้นึ บา้ นใหม่ใชพ้ ระ ๕ รูป ข้ึนไป เพอื่ สวดพระปริต สวดชยนั โต ใหศ้ ลี ใหพ้ ร ฟังเทศนส์ งั คหะ และเทศน์สืบชะตา ตวั แทนทเี่ ขา้ ไปนง่ั ในสายสิญจน์ คือผนู้ าครอบครัวหรือผทู้ อ่ี าวโุ สสูงสุดในครอบครัว เพอ่ื เป็นสิริมงคลแก่บา้ นและครอบครวั พธิ ีสืบชะตำบ้ำน การสืบชะตาบา้ นมีจุดมุ่งหมายเพอื่ สรา้ งความเป็นสิริมงคลใหแ้ ก่หมู่บา้ นโดยจะประกอบ พธิ ีกรรมท่ีหอเส้ือบา้ นหรือศาลากลางบา้ นอนั เป็นศนู ยร์ วมในการประกอบพธิ ีของหมู่บา้ นก่อนถึงวนั ประกอบ พธิ ี ชาวบา้ นจะช่วยกนั ประดบั ประดาตกแต่งหอเส้ือบา้ น หรือศาลากลางบา้ นใหส้ วยงามทาความสะอาด บริเวณรอบ ๆ แลว้ ขดั ราชวตั ิ ปักฉตั รและธงทิว ใชต้ น้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ประดบั โดยรอบ วงดา้ ยสายสิญจน์รอบ บริเวณพธิ ี ทาแท่นบูชาทา้ วท้งั ส่ีและพระเทพารักษใ์ นบริเวณน้นั มีสิ่งของท่ีขอมาประกอบพธิ ีไดแ้ ก่ ขา้ ว พริก แหง้ เกลือ ขนม ขา้ วตม้ ดอกไม้ ธูปเทียน หมาก พลู บุหร่ี เมี่ยง ซ่ึงไดจ้ ากการบริจาคของชาวบา้ น ในวนั ประกอบพธิ ีจะมีการทาบญุ ตกั บาตรกนั ในตอนเชา้ ในบริเวณพธิ ี หลงั จากน้นั พระสงฆส์ วดชยั มงคลคาถา และสวดพระปริต เทศนาธรรมใบลานเจด็ คมั ภรี ์และเทศนาสืบชะตา เพอ่ื ขบั ไล่สิ่งชว่ั รา้ ยและเสนียดจญั ไร หรือสิ่งอปั มงคลท้งั หลายออกไปจากหมู่บา้ น เม่ือจบพธิ ีแลว้ กจ็ ะปะพรมน้ามนตแ์ ก่ผมู้ าร่วมพธิ ีทุกคน กาหนด วนั ประกอบพธิ ีสืบชะตาของหมู่บา้ นไทล้ือ จะทาหลงั สงกรานตข์ องทกุ ปี ประเพณีสืบชะตาบา้ น เป็นการ รวมน้าใจของชาวบา้ นใหม้ ีความสามคั คี โดยมีกิจกรรมทาบญุ ร่วมกนั เป็ นการสร้างขวญั และกาลงั ใจใหแ้ ก่คนใน หมู่บา้ นและสืบทอดมรดกท่เี ก่ียวกบั ประเพณีใหแ้ ก่ลูกหลานแต่เป็ นที่น่าสงั เกตวา่ การประกอบพธิ ีในระยะ หลงั ๆ ผูเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรมมกั เป็นผสู้ ูงอายสุ ่วนคนรุ่นหลงั มกั จะไม่ใหค้ วามสนใจมากนกั ป่ ูจำเตยี น ป่ จู าเตยี น หรือบูชาเทียน เป็นประเพณีการ สะเดาะเคราะห์อีกแบบหน่ึง เพอ่ื บูชาหลีก เคราะหภ์ ยั ตา่ ง ๆ ที่มีมาถึงตนเองและครอบครวั รวมท้งั ญาตพิ น่ี อ้ งนิยมประกอบพธิ ีในวนั เขา้ พรรษา ออกพรรษา และเทศกาลสงกรานต์ แตว่ นั วนั อื่นๆ ก็สามารถทาไดต้ ลอดปี บางคนทาพธิ ีเพอื่ ความ มีโชคลาภ บางคนกท็ าเพอื่ แผเ่ มตตามหานิยมเทยี นที่ใชบ้ ูชาเทียน หรือเทยี นข้ีผ้งึ ธรรมดา ผปู้ ระกอบพธิ ีไดแ้ ก่ พระสงฆส์ ามเณร อาจารย์ หรือผทู้ ่ีเคยบวชเรียนมาแลว้ เขยี นคาถาเป็ นอกั ขระพ้นื เมืองลา้ นนาลงบนเทียนไข วธิ ีเขยี นทาได้ ๓ แบบ คือ บชู าเพอ่ื หลีกเคราะห์ บูชาเพอ่ื รบั โชค และบชู าสืบชะตา ประเพณีบชู าเทยี น

10 ในปัจจบุ นั น้ียงั ปฏบิ ตั กิ นั ในหมู่บา้ นในอาเภอเชียงคา เพอื่ เป็นการเสริมกาลงั ใจใหแ้ ก่ตนเองและครอบครัว การประกอบพธิ ีบูชาเทียนสามารถทาแทนกนั ได้ เช่นกรณีทีส่ มาชิกในครอบครวั อยหู่ ่างไกลพอ่ แม่หรือญาติ ผใู้ หญอ่ าจจะประกอบพธิ ีใหไ้ ด้ เป็ นการส่งจิตใจถึงกนั เพอ่ื สร้างความอบอุ่นใหแ้ ก่ครอบครัว ป่ ูจำข้ำวหลีกเครำะห์ การป่ จู าขา้ วหลีกเคราะห์ หรือบชู าขา้ วหลีกเคราะห์ เป็นการประกอบพธิ ีทางศาสนาเพอื่ ยดึ เอา พระรัตนตรยั เป็นสรณะ มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื สะเดาะเคราะห์ไวล้ ่วงหนา้ ใหแ้ ก่ตนเอง และสมาชิกในครอบครวั นิยมประกอบพธิ ีกนั ในเทศกาลสงกรานต์ เขา้ พรรษา ออกพรรษา โดยยดึ ถือเป็ นประเพณีท่ีปฏิบตั สิ ืบตอ่ กนั มา นานแลว้ เป็นการเสริมสรา้ งความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวโดยเช่ือวา่ จะปราศจากเคราะห์ภยั และอนั ตราย ท้งั ปวง สิ่งของทีใ่ ชป้ ระกอบพธิ ีมีกระทงซ่ึงเรียกวา่ ควก๊ั บรรจุ ใบขนุน ใบดอกแกว้ ใบคา กลว้ ย ออ้ ย มะพร้าว น้าตาล เทียนไข หมาก พลู บหุ ร่ี เมี่ยง ช่อ (ธงสามเหล่ียมเล็ก ๆ ทาดว้ ยกระดาษ) ขา้ วเหนียวน่ึงป้ันเป็ นกอ้ น ใหค้ รบจานวนสมาชิกในครอบครวั ผา้ ตดี (ใชด้ า้ ย ๕ เสน้ รวมกนั ไวส้ าหรับจุดไฟขณะทาพธิ ี) สีลายยาว (ใชด้ า้ ย ๕ เสน้ แต่ยาวกวา่ ผา้ ตดี ) และเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครวั ทุกคน การจดั เตรียมส่ิงของ จะดาเนินการ ล่วงหนา้ ๑ วนั เรียกวา่ วนั ดา จะจดั เตรียมทาควก๊ั สาหรับใส่สิ่งของและจดั หาสิ่งของท่ีจะใชป้ ระกอบในพธิ ี ใหพ้ รอ้ ม และทาควก๊ั อีกอนั หน่ึงใส่ขา้ ว ๑ กอ้ น กลว้ ย ๑ ใบ เรียกวา่ ใส่ขา้ วป้ันกลว้ ยหน่วยสาหรบั บูชา แม่พระธรณี โดยนาไปวางไวท้ ่ี ประตรู ้ัวหนา้ บา้ น ส่วนเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครวั บรรจุใส่กระบงุ เตรียมไว้ ข้นั ตอนกำรประกอบพธิ ีในวดั การประกอบพธิ ีจะกระทาในตอนเชา้ เม่ือชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั ที่ศาลาวดั พระสงฆจ์ ะสวดมนต์ รับศีลเสร็จแลว้ ก็จะเริ่มกล่าวคาบูชาขา้ วหลีกเคราะห์ ในขณะเดียวกนั ชาวบา้ นก็จะทาพธิ ี จดุ ไฟเผาตีดคอื ดา้ ยสีขาวที่เตรียมมาและจุดเทียน มีชาวบา้ นบางส่วน นาผา้ ตดี และเทยี นไข จุดขา้ งวหิ ารและขา้ งกาแพงวดั เมื่อพระกล่าวคาบชู าหลีกเคราะห์จบแลว้ ผปู้ ระกอบพธิ ีกจ็ ะควา่ กระบงุ ที่บรรจเุ ส้ือผา้ กลบั ดา้ นล่างใหเ้ ป็น ดา้ นบน แลว้ สลดั เป็นการไล่เคราะห์ใส่ในควกั๊ เคร่ืองเซ่นบูชาจากน้นั จะนาควก๊ั ไปถวายพระพทุ ธรูปในวหิ าร แลว้ นากลบั ลงมาทศ่ี าลาเมอ่ื เสร็จพธิ ีแลว้ ก็จะนาควกั๊ ขา้ วหลีกเคราะห์ไปทงิ้ นอกวดั พธิ ีบูชาขา้ วหลีกเคราะห์ ในปัจจุบนั น้ียงั คงพบเห็นในวดั ทุกแห่ง เป็นทน่ี ่าสงั เกตวา่ ผปู้ ระกอบพธิ ีกรรมส่วนมากจะเป็ นผหู้ ญงิ เป็ นแม่บา้ น หรือหญิงท่ีสูงอายุ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงความรกั และความห่วงใยทมี่ ีต่อสมาชิกทกุ คนในครอบครัว กำรป๊ กเฮิน ป๊ กเฮิน คือประเพณีการปลูกบา้ นของชาวไทล้ือ ในอาเภอเชียงคา เป็นประเพณีทแี่ สดงใหเ้ ห็น ถึงความร่วมมือร่วมใจทาใหเ้ กิดความสมานสามคั คี ช่วยเหลือเก้ือกลู กนั ในบรรดาเพอ่ื นบา้ นและญาตมิ ิตรซ่ึงต่าง ก็มีความสานึกวา่ เป็ นหนา้ ท่ที ่จี ะตอ้ งช่วยเหลือกนั ในเชา้ วนั ประกอบพธิ ีป๊ กเฮิน เพอื่ นบา้ นและญาติมิตรซ่ึงส่วน ใหญเ่ ป็ นผชู้ าย จะหยดุ งานภารกิจประจาวนั ของตนไปช่วยทาพธิ ียกเสาขวญั หรือเสามงคลอื่น ๆ รวมท้งั ตดิ ต้งั โครงสรา้ งหลกั ที่สาคญั ของบา้ นจนเสร็จเรียบร้อย หลงั จากน้ีเจา้ บา้ นก็จะดาเนินการก่อสร้างต่อไป

11 ก่อนท่จี ะทาการปลูกบา้ น อนั ดบั แรกเจา้ ของบา้ นกจ็ ะไปดูฤกษย์ าม จากอาจารยป์ ระจาหมู่บา้ น เพอ่ื ความเป็ น สิริมงคล เช่น เดือนออก (ขา้ งข้ึน) ๑ ค่า ชนะขา้ ศกึ ศตั รู ออก ๒ ค่า จะไดท้ ุกขโ์ ศกไหม้ ออก ๓ ค่า ไดล้ าภ ออก ๔ ค่า บ่ดี ออก ๕ ค่า ไฟจกั ไหม้ ออก ๖ ค่า เจา้ เฮือนจกั ตาย ออก ๗ ค่า บ่ดี ออก ๘ ค่า ทกุ ขโ์ ศกไหม้ ออก ๙ คา่ ดี ออก ๑๐ ค่า อยดู่ ีกินดี ออก ๑๑ ค่า ดีนกั ออก ๑๒ ค่า ดีนกั การป๊ กเฮิน หรือปลูกบา้ นของชาวไทล้ือ นิยมทาในเดือนคูค่ ือ เดือน ๔ เดือน ๖ และเดือน ๘ เหนือ ยกเวน้ เดือน ๑๐ เหนือ เพราะเป็ นเดือนเขา้ พรรษา ชาวบา้ นไม่นิยมประกอบพธิ ีมงคล ส่วนเดือนคีน่ ้นั ถือวา่ ไม่ดี การขดุ หลุมจะนามูลดินไปวาง ก็จะตอ้ งพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ ใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั โหรศาสตร์ เช่น เดือน ๔ เอาปลายเสาวางไวท้ างทิศใต้ เอามูลดินวางไวท้ ิศตะวนั ออก เดือน ๖ และเดือน ๘ ใหว้ างเสาไวท้ างทศิ เหนือ เอามูลดินไวท้ างทศิ ใต้ เป็ นตน้ ก่อนขดุ หลุมอาจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ ี จะทาพธิ ีข้นึ ทา้ ว ท้งั สี่ เมื่อเสร็จพิธีแลว้ ก็จะทาการขดุ หลุมและทาพธิ ียกเสาขวญั ซ่ึงเสาหลกั ของบา้ นสิ่งของในพธิ ีมีกลว้ ย ๑ เครือ มะพร้าว ๑ ทะลาย ตน้ กุ๊ก หน่อกลว้ ย หน่อออ้ ย หมากพลู บุหร่ี ดา้ ย ซ่ึงทาดว้ ยฝ้ายดินจานวน ๑๐๘ เสน้ ผกู ติดไวก้ บั เสาขวญั การปลูกบา้ นของไทล้ือเสาขวญั จะตอ้ งอยทู่ างดา้ นตะวนั ออกเสมอและเป็ นตน้ ท่ี ๒ ส่วนเสานางจะอยทู่ างทิศตะวนั ตก เพอื่ ใหค้ ู่กบั เสาขวญั เมื่อเสร็จการป๊ กเฮินแลว้ เจา้ ของบา้ นจะเล้ียงอาหารเป็ น การตอบแทนน้าใจไมตรี โดยไม่ตอ้ งจา่ ยเงนิ หรือใหส้ ่ิงตอบแทนแตอ่ ยา่ งใด ประเพณีป๊ กเฮินยงั คงมีปฏิบตั กิ นั อยใู่ นหมู่บา้ นไทล้อื ในอาเภอเชียงคา กำรขนึ้ เฮินใหม่ ข้ึนเฮินใหม่ คอื ประเพณีข้นึ บา้ นใหม่ของหมู่บา้ นไทล้ือ เป็ นเพณี ทป่ี ฏิบตั ิสืบทอดกนั มา จากบรรพบรุ ุษเพอื่ เป็นสิริมงคลแก่ผทู้ อี่ าศยั นอกจากน้ียงั เป็นการสรา้ งความสามคั คีในหมู่ญาตมิ ิตร และผทู้ ่ี เคารพนบั ถือ ลาดบั ข้นั ตอนในการประกอบพธิ ี การประกอบพธิ ีแบ่งออกเป็ น ๒ วนั คอื วนั ดากบั วนั ทาบญุ วนั ดา เป็ นการจดั เตรียมสิ่งของ จะจดั ก่อนวนั ทาบุญ ๑ วนั เป็นญาตมิ ิตรและผใู้ กลช้ ิดมาช่วยกนั จดั เตรียม ส่ิงของ จดั สถานท่ีไวป้ ระกอบพธิ ีและรับแขก บางบา้ นท่เี จา้ ภาพมีฐานะดีก็อาจใหม้ ีคณะช่างซอมาซอ

12 เพอ่ื ใหเ้ กิดความสนุกสนานร่ืนเริงต้งั แต่เยน็ วนั ดาจนถึงเชา้ วนั ทาบญุ หนา้ ท่ีของผชู้ ่วยเตรียมงานฝ่ ายหญงิ ก็จะเตรียมงานฝ่ ายหญงิ โดยเตรียมหาอุปกรณ์การประกอบอาหาร ซ่ึงยมื จากวดั หรือเพอื่ นบา้ นในหมู่บา้ น ส่วนฝ่ายชายเป็นฝ่ายจดั เตรียมอาหาร เช่น ลม้ ววั ควาย หมู่ ไก่ มากมายข้นึ อยกู่ บั จานวนผมู้ าร่วมในพธิ ีสาหรบั ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ก็จดั เตรียมเครื่องไทยทาน และสิ่งของท่ีใชใ้ นพธิ ีสืบชะตา วนั ทาบุญตอนเชา้ มีการทาบุญตกั บาตร ถวายภตั ตาหารเชา้ เล้ียงอาหารแขกผมู้ าร่วมงาน หลงั จากน้นั ฟังเทศน์ และทาพธิ ีสืบชะตาแก่เจา้ บา้ นเสร็จพธิ ี ประเพณกี ำรเกิด ประเพณีการเกิดแบบด้งั เดิมของชาวไทล้ือในอาเภอเชียงคาน้นั เมื่อเด็กคลอดออก เมื่อตดั สาย สะดืออาบน้า ให้เดก็ แลว้ หมอตาแยผทู้ าคลอดจะส่งให้ “แม่ฮบั ” หรือแม่รบั ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็ นยายของเด็ก หรืออาจเป็นผทู้ าคลอด เอาผา้ ขา้ วพนั รอบตวั แลว้ ใสกระดง้ นาไปวางไวท้ หี่ วั บนั ได กระทบื เทา้ แลว้ พดู วา่ “ผปี ่ อเกิดแม่ก๋าย กนั วา่ เป๋ นลูกสูกม็ าเอาไปเหวนั น้ี กนั เป๋ นลูกกุนก่าบฮ่ ้ือเอาไป” (ถา้ เป็ นลูกผใี หเ้ อาไปเสียวนั น้ี ถา้ เป็นลูกคนก็อยา่ ไดเ้ อาไป) ทาเช่นน้ี ๓ คร้ัง แลว้ จงึ นาเด็กมานอนไวข้ า้ งแม่ เมื่อคลอดลูกแลว้ ชาวไทล้ือ สมยั ก่อนจะตอ้ ง “อยเู่ ดิน” คอื อยไู่ ฟจนครบเดือน ในระหวา่ งทอี่ ยไู่ ฟมีขอ้ หา้ มหลายประการกล่าวคอื ๗ วนั แรก หลงั คลอดจะกินไดแ้ ต่ ขา้ วจ่ี หรือ “ขา้ วแองไฟ” เป็ นขา้ วเหนียวน่ึงป้ิ งจนเกรียมรับประทานกบั เกลือคว่ั และ น้าพริกดา ส่วนน้าด่ืม น้าตม้ ใส่หวั ไพลท่ี ทีเ่ รียกวา่ (ปเู ลย) นิยมใหด้ ่ืมน้ามาก ๆ เพราะเชื่อวา่ จะทาใหม้ ีน้านมให้ ลูกมากเม่ือครบ ๗ วนั ก็เร่ิมรบั ประทานผกั ตม้ จมิ้ น้าพริกดา หมูปิ้ ง ปลาช่อน และปลาประเภทปลาดุก ปลาหาง ขาว ส่วนผกั เป็นประเภทผกั ที่มีสีขาวเทา่ น้นั เช่น ผกั กาดขาว เป็ นตน้ ภายหลงั การคลอดจะตอ้ ง “อยเู่ ดิน” หรือ อยไู่ ฟ ฟื นที่นามาใชข้ ณะอยไู่ ฟจะใชแ้ ต่ “ไมแ้ งะ” (ไมเ้ ตง็ ) เทา่ น้นั เพราะเผาไฟแลว้ ไม่มีกล่ินและควนั มาก ซ่ึง สามีจะตอ้ งเตรียมหา ไวต้ ้งั แต่ภริยาทอ้ งใกลค้ ลอด ในขณะอยไู่ ฟจะใส่เส้ือผา้ หนา ๆ มีผา้ รัดเอวและผกู ผม เพอ่ื ใหเ้ หง่อื ออกหญงิ อยไู่ ฟจะตอ้ ง “เขา้ ฟืนกรรม” คอื คบี ถ่ายไฟใส่ “เบ้ือง” ซ่ึงเป็ นอ่างดินเผา ใชเ้ กา้ อ้ีหวายหรือ ไมใ้ ผส่ านเป็นทรงกลมมีช่องตรงกลางเพอ่ื ใหห้ ญงิ อยไู่ ฟนง่ั ครอบ เป็ นการนง่ั ยา่ งไฟเช่ือวา่ จะทาใหม้ ดลูกเขา้ อู่ เร็วข้ึนในขณะอยไู่ ฟ หา้ มอาบน้าร่วมกบั ผอู้ ่นื ตอ้ งนาฟางมาก้นั เป็ นหอ้ งน้าแยกจากผอู้ ื่นทบ่ี ริเวณลานบา้ น เม่ือครบ ๑๕ วนั จึงจะอาบน้าได้ ใชน้ ้าสม้ ใส่ใบกลว้ ย ใบเปลา้ และใบหนาด หลงั จากน้นั จะอาบทุก ๗ วนั จนครบเดือน ระยะเวลาของการอยไู่ ฟข้ึนอยกู่ บั ลูกทเ่ี กิดใหม่ ถา้ เป็ นลูกสาวจะอยเู่ กินเดือนไป ๑ วนั คือ ๓๑ วนั เพราะเช่ือวา่ เป็ นการเผอื่ กี่ เผอื่ ดา้ ย เดก็ โตข้นึ จะไดเ้ ป็นคนขยนั ขนั แขง็ รกั งานบา้ นงานเรือน แต่ถา้ เป็ นลูกชายจะ หยดุ ๑ วนั คืออยู่ ๒๙ วนั เพอื่ หยดุ คมหอก คมดาบ เมื่อโตข้นึ ตอ้ งออกสูร้ บ อนั ตรายจากศาตราวธุ ตา่ ง ๆ จะไดไ้ ม่มาแผว้ พาน เมื่อครบกาหนดออกเดิน (ออกเดิน) จะมีพธิ ีออกเดือนโดย ใหอ้ าจารยผ์ ปู้ ระกอบพธิ ี มาทาพธิ ี “ส่งผขี ้ฮี า้ ยตายอยาก” โดยนาขา้ วเหนียวไปจิม้ อาหารต่าง ๆ ใส่เบ้อื งนาไปวางไวท้ น่ี อกบา้ นแลว้ พดู วา่ “เอา้ ผฮี า้ ยต๋ายอยากเอาไปก๋ินเหกาน้ีไปนงั่ ถา้ กิน๋ นอนถา้ กิ๋น” (ใหผ้ รี า้ ยเอาไปกินเสียใหน้ ง่ั กินนอนกิน) การทาพธิ ีน้ีเชื่อวา่ จะทาใหห้ ญิงแม่ลูกอ่อนไม่มีนิสยั “ข้ีกะ๊ ” (ตะกละ) คอื เห็นอะไรกใ็ หม้ ีอาการอยากกินไปหมด สาหรบั เด็กแรกเกิดในสมยั ก่อนนิยมใชผ้ วิ ไมไ้ ผต่ ดั สายสะดือเม่ือรกออกพอ่ ของเดก็ จะนาไปฝั่งไวก้ ลางทงุ่ นา หรือใตบ้ นั ได การห้ิวรกไปฝังเช่ือวา่ ถา้ หิ้วดว้ ยมือขา้ งไหนจะถนดั ขา้ งน้นั เช่น หิ้วดว้ ยมือซา้ ยเด็กจะเป็ นคน

13 ถนดั ซา้ ย ถา้ หิ้วท้งั ๒ ขา้ ง เดก็ จะมีความถนดั ท้งั สองขา้ ง การต้งั ช่ือเดก็ จะไปหาผรู้ ู้ในหมู่บา้ นเป็ นผตู้ ้งั ให้โดย ยดึ หลกั โหรา ดูวนั เดือน ปี เกิด เช่น เกิดวนั อาทติ ย์ ช่ือ พู เฮิน อุ่นใจ เกิดวนั จนั ทร์ ชื่อ ก๋อง แกว้ ขนั ปา คา เกิดวนั องั คาร ชื่อ อุม ไจ จ๋อม จ๋มุ ป๋ า จนั ตบ๊ิ เกิดวนั พธุ ชื่อ ดงดี ดงแกว้ เกิดวนั พฤหสั บดี ช่ือ บุญตนั เป็ง ป้อ หมู ฟ่ัน เกิดวนั ศกุ ร์ ชื่อ สุก ชิง เกิดวนั เสาร์ ชื่อ ตนั ติ๊บ ไจ เฮิน ในประเพณีการเกิดของชาวไทล้ือในสมยั ก่อน ผเู้ ป็ นแม่จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามจารีตอยา่ งเคร่งครดั เช่ือกนั วา่ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตามจะทาใหเ้ จบ็ ป่ วยไม่สบาย เรียกวา่ “ผดิ เดิน” ซ่ึงอาจทาใหถ้ ึงตายได้ แต่ในปัจจบุ นั ส่วน ใหญ่ไปคลอดที่โรงพยาบาลการปฏบิ ตั ิตวั จึงไม่พถิ ีพถิ นั เหมือนแต่กอ่ น ทาใหป้ ระเพณีแต่ด้งั เดิมเสื่อมความนิยม ลงไป กำรอยู่ข่วง อยขู่ ว่ งเป็นประเพณีแอ่วสาวเพอื่ แสวงหาคูใ่ จของหนุ่มไทล้อื อาเภอเชียงคา ในสมยั ก่อน ชายหนุ่มไทล้ือทุกคนท่จี ะตอ้ งแต่งงานตอ้ งผา่ นการอยขู่ ว่ งปั่นดา้ ยกบั หญิงคนรักมาก่อนซ่ึงจะไม่มี การคลุมถุงชนหนุ่มสาวมีโอกาสและมีความอิสระในการเลือกคู่ครองแต่ท้งั น้ีตอ้ งอยใู่ นกรอบของประเพณีที่ดี งาม หากฝ่าฝืนถือวา่ เป็ นการผดิ ผี หรือผดิ ฮีตอยา่ งรา้ ยแรง ขว่ ง หมายถึงลานบา้ น มีร้านนงั่ สาหรบั พกั ผอ่ นหรือ ทางานในเวลากลางคนื โดยยกพ้นื ท่ีสูงประมาณ คร่ึงเมตรมีความกวา้ งยาวพอสาหรับบรรจุคนนงั่ ได้ ๔-๕ คน มี ส่ิงประกอบสาคญั คอื เตาไฟ หรือตะเกียง น้าตน้ (คนโท) ขนั น้าและอุปกรณ์ใชส้ าหรบั ปั่นฝา้ ย พอตกเยน็ สาว ๆ แถบบา้ นใกลเ้ รือนเคยี งที่นดั กนั อยขู่ ่วง กจ็ ะเตรียมหาฟืนมาไว้ เพอ่ื ใชก้ ่อกองไฟใหเ้ กิดความอบอุ่น และแสงสวา่ งในหนา้ หนาว ส่วนหนา้ ร้อนจะใชต้ ะเกียงแทน พอถึงยามดึกบรรดาหนุ่มไทล้ือก็จะไปแอ่วสาว อยขู่ ่วง ก่อนถึงบา้ นจะเริ่มจอ๊ ยเก้ียวสาวมาแต่ไกล เช่น “ถา้ บา้ นบ่ไกล๋ ป่ าไมบ้ ก่ ้นั จะเตียวมาหาวนั ละร้อยปิ๊ ก” (ถา้ บา้ นไม่ไกล ป่ าไมไ้ มก่ ้นั จะเทียวมาหาวนั ละร้อยคร้ัง) เม่ือฝ่ ายสาวไดย้ นิ กเ็ ตรียมตวั ไวค้ อยรับโดยการทางาน ป่ันฝ้ายพลาง ๆ สาหรับการเก้ียวพาราสีระหวา่ งหนุ่มสาวในสมยั ก่อนตา่ งจะพดู กนั ดว้ ยคาคมและสานวนโวหาร เป็น “ค่าว” ทีม่ ีความไพเราะและความหมาย คร้ันเมื่อเวลาดึกมากแลว้ หนุ่มกจ็ ะขอลาสาวกลบั บา้ นในระหวา่ ง ทเ่ี ดินทางกลบั จะจอ๊ ยเป็นการอาลาอีกคร้งั อยขู่ ว่ งเป็นจารีตประเพณีทงี่ ดงามของสงั คมไทล้ือ ท่ีเปิ ดโอกาส ใหห้ นุ่มสาว ไดม้ ีโอกาสพบปะกนั หลงั จากทางานประกอบภารกิจประจาวนั แลว้ ถา้ ชายหญิงใดไม่เคย อยขู่ ่วงเลยถือวา่ เป็ นส่ิงผดิ ปกติ อยา่ งไรก็ตามเสรีภาพในการเลือกคู่ครองดงั กล่าว จะตอ้ งอยใู่ นสายตา ของพอ่ แม่ฝ่ายหญิงทคี่ อยดูแล ไม่ใหเ้ กินเลยจนนอกกรอบประเพณีไป แต่ในสงั คมปัจจบุ นั ประเพณีการอยขู่ ่วง

14 มีเหลืออยนู่ อ้ ย เพราะความเจริญของบา้ นเมืองและอิทธิพลจากภายนอกเขา้ มาแทนทาใหเ้ กิดปัญหาความสบั สน แก่พอ่ แม่ผปู้ กครองทีเ่ ป็นคนรุ่นเก่า ท่ามกลางความเปล่ียนแปลงของสงั คมในยคุ ใหม่ ประเพณกี ำรแต่งงำน ประเพณีการแต่งงานของชาวไทล้ือ มีความแตกต่างไปจากประเพณีการแต่งงานของชาวไทย ภาคเหนือ เป็นประเพณีท่ปี ฏบิ ตั สิ ืบทอดต่อกนั มาเป็นเวลานาน ซ่ึงในปัจจุบนั ก็ยงั คง มีปฏิบตั กิ ารอยบู่ า้ งกล่าวคือ ภายหลงั จากการอยขู่ ่วงป่ันฝ้ายแลว้ หนุ่มสาวคูใ่ ดท่ีมีความชอบพอกนั จนเกิดเป็ นความรัก ก็จะมีฐานะเป็ น คูร่ ักกนั เรียกวา่ “ตวั๋ ป้อตว๋ั แม่กน๋ั ” (ตวั พอ่ ตวั แม่) จากน้นั ฝ่ ายหนุ่มกจ็ ะเป็นแขกประจาทีจ่ ะแอ่วบนบา้ น แตจ่ ะ ไม่ไปทกุ วนั เพราะถือวา่ เป็ นการเสียมารยาทอาจเวน้ ๒-๓ วนั ไปคร้งั หน่ึง ส่วนฝ่ายหญงิ จะปั่นฝา้ ยคอย เม่ือถึงวนั นดั หมาย เมื่อท้งั คูต่ กลงทจ่ี ะใชช้ ีวติ ร่วมกนั ฉนั สามีภรรยาฝ่ ายชายกจ็ ะดบั ตะเกียง เป็ นสัญญาณวา่ ไดถ้ ูก เน้ือตอ้ งตวั แลว้ และลงจากบา้ นไป แตป่ ัจจบุ นั ใชว้ ธิ ีปิ ดไฟฟ้าแทน ถือวา่ เป็ นการผดิ ผซี ่ึงฝ่ายชายจะตอ้ งไดเ้ สียผี พอถึงตอนเยน็ ของวนั รุ่งข้ึน ฝ่ายหญิงสาวจะส่งตวั แทนไปบอกผที บ่ี า้ นฝ่ ายชายเรียกวา่ “ไจก้ า” (ใชค้ า) โดยตวั แทนจะกล่าวกบั พอ่ แม่และญาติของฝ่ายชายวา่ “เอองวั ควายสูฮา้ ยฮ้วั ไปเขา้ สวน เป้ิ น ฮ้ือไปแปง ฮ้วั เหียเนอ้ ” (ววั ควายของทา่ นพงั ร้ัวบา้ นของเขา ขอใหไ้ ปทาร้ัวใหเ้ รียบร้อยดว้ ย) ถา้ ฝ่ายชายเตม็ ใจจะส่ง ธูป ๑๒ คู่ ไปไหวผ้ ี แตถ่ า้ ไม่ตกลงก็จะส่งผแู้ ทนไปเจรจา เพอื่ ขอเงินใชค้ า่ ทาขวญั ซ่ึงอาจมีการพดู จา กระทบกระทง่ั กนั อยา่ งรุนแรงถึงตดั ญาตขิ าดมิตรกนั แต่ถา้ ฝ่ายชายไปไหวผ้ แี สดงวา่ มีความพอใจก็จะรอใหฝ้ ่ าย หญงิ มาขอใหไ้ ปอยบู่ า้ นต่อไป นบั ต้งั แตม่ ีการถูกเน้ือตอ้ งตวั หญิง โดยการดบั ไฟเป็นสญั ญาณแลว้ ตามจารีต ประเพณีของ สงั คมไทล้อื ถือวา่ ท้งั คู่เป็นสามีภรรยากนั โดยชอบ แตจ่ ะยงั ไม่ไปอยกู่ ินดว้ ยกนั ฉนั สามีภรรยาแยกกนั อยตู่ ามปกติ จนกวา่ ฝ่ายหญงิ จะมาขอใหอ้ ยใู่ นระหวา่ งน้นั ชายจะตอ้ งทางานหนกั เพอื่ เกบ็ ออมเงนิ ทองและทรัพยส์ ินไว้ ส่วนหญงิ ก็เตรียมตวั เป็นแม่บา้ น พอถึงเทศกาลสงกรานต์ ในวนั พญาวนั (วนั เถลิงศก) หญงิ กจ็ ะไปดาหวั พอ่ แม่ ฝ่ ายชาย พรอ้ มกบั ส่งของเรียกวา่ ส่งครัว ซ่ึงมีอาหารประเภทอาหารแหง้ เช่น ปลาเกลือขนาดใหญ่ วนุ้ เสน้ ขนม หมาก เมี่ยง บหุ ร่ีพน้ื เมือง นาบรรจุในยา่ มขนาดใหญ่ซ่ึงทอไวใ้ ชเ้ อง ไทล้ือเรียกวา่ ถุงป๋ื อ ไปส่งบา้ นพอ่ แม่ ฝ่ ายชาย พรอ้ มกบั มีเพอ่ื นสาวไปส่งอกี ๑ คน เม่อื นาไปมอบใหแ้ ลว้ กต็ กั น้า ปัดกวาดถูบา้ นใหด้ ว้ ย ส่วนทาง พอ่ แม่ ฝ่ายชาย กจ็ ดั เตรียมสิ่งของไวใ้ ห้ เช่น ผา้ ห่ม ผา้ ปทู น่ี อน ปลอกหมอน พร้อมกบั ใหเ้ งนิ เป็ นขวญั ถุง อีกจานวนหน่ึง จะมากหรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ฐานะของพอ่ แม่ฝ่ายชาย การเลือกคู่นิยมปฏิบตั กิ นั ในเดอื นสี่ เดือนหก หรือเดือนแปดเหนือ คร้นั ถือเดือนแปดราวเดือนพฤษภาคมซ่ึงเป็ นระยะเริ่มตน้ ของฤดูการทาไร่ทานา ผใู้ หญ่ ฝ่ ายหญงิ กจ็ ะไปขอฝ่ ายชายใหม้ าอยบู่ า้ นเพอ่ื อยกู่ ินฉนั สามีภรรยาโดยสมบรู ณ์เป็ นที่น่าสงั เกตวา่ ธรรมเนียม ของไทล้ือถอื วา่ สามคนื แรกทไ่ี ปอยนู่ ้นั หา้ มแตะตวั ภรรยา และพอถึงเชา้ ตรู่สามีจะตอ้ ง รีบกลบั ไปอยบู่ า้ น ของตน ปฏิบตั เิ ช่นน้ีเป็นเวลา ๓ วนั ท้งั น้ีเพราะวา่ ท้งั คูย่ งั ไม่คุน้ เคยกบั การอยใู่ กลช้ ิดกนั แบบสามภี รรยามาก่อน จงึ ตอ้ งอาศยั ปรับตวั อีกระยะหน่ึง หลงั จากน้นั จะอยกู่ บั สามีภรรยาตลอดไป ส่วนภรรยากจ็ ะหาเส้ือผา้ ใหม่มา สวมใส่แทนชุดเดิม มีธรรมเนียมอีกอยา่ งหน่ึงในสงั คมไทล้ือ กล่าวคือกอ่ นทเ่ี ขยใหม่จะมาอยบู่ า้ น ทางพอ่ แม่

15 ฝ่ ายหญิงจะหาไมท้ าฟืนมาเตรียมไว้ ดงั น้นั ทุกเชา้ เขยใหม่จะตอ้ งตนื่ แตเ่ ชา้ เพอ่ื ผา่ ฟื นเก็บไวใ้ ชต้ ลอดปี หลงั จากน้นั จะช่วยพอ่ แม่ของภรรยาทางานทุกอยา่ งไปจนครบ ๓ ปี และจากน้นั ๓ ปี ก็จะไปอาศยั อยกู่ บั แม่สามี ในระหวา่ งน้นั จะหาไมเ้ ก็บรวบรวมไวป้ ลูกบา้ น เมื่อครบ ๖ ปี จึงสามารถแยกครอบครวั ไปสรา้ งบา้ นของตนเอง อยใู่ นบริเวณบา้ นพอ่ แม่ส่วนจะเป็นฝ่ ายสามีหรือภรรยา กแ็ ลว้ แต่จะตกลงกนั สาหรับลูกสาวคนเลก็ จะอยรู่ ่วมกบั พอ่ แม่เป็นผสู้ ืบแทนมรดกตอ่ ไป การแต่งงานของไทล้ือแตเ่ ดิม เป็ นสิ่งทเ่ี รียบงา่ ยเคร่งครดั ในจารีตประเพณี ท่ีถือปฏบิ ตั กิ นั มานานแลว้ แต่ในปัจจุบนั สภาพสงั คมเปล่ียนไปจึงมีการผสมผสานกนั ระหวา่ งจารีตประเพณี ด้งั เดิมกบั ประเพณีของภาคเหนือและประเพณีไทย เช่น การทาพธิ ีผกู ขอ้ มือ พธิ ีหลงั่ น้าสงั ข์ โดยการเชิญแขก มาร่วมงานเป็ นจานวนมาก ประเพณปี ี ใหม่ ประเพณีปี ใหม่ของไทล้ือในอาเภอเชียงคา คือสงกรานตข์ องไทย มีการประกอบพธิ ีท้งั หมด รวม 6 วนั ต้งั แต่วนั ที่ ๑๓-๑๘ เมษายนของทุกปี วนั แรกคอื วนั ที่ ๑๓ เมษายน เรียกวนั วา่ “จง๋ั ขารล่อง” หรือ “สงั ขารล่อง” ในตอนเชา้ ตรู่ชาวบา้ น จะยงิ ปื น จดุ พลุ ประทดั เสียงดงั สนนั่ ไปท้งั หมู่บา้ นเพอ่ื ขบั ไล่ตวั จงั๋ ขาร ซ่ึงเป็นตวั อปั มงคล จากการบอกเล่าของผเู้ ฒ่าผแู้ ก่กล่าววา่ ก่อนวนั จงั๋ ขารล่อง ๑ วนั ผใู้ หญจ่ ะชวนเดก็ ๆ ลูกหลานทาความสะอาดบา้ น และกวาดขยะมูลฝอยในบริเวณบา้ นกองไวโ้ ดยหลอกเดก็ วา่ ในตอนเชา้ ตรู่ ของวนั รุ่งข้นึ จะมีป่ สู งั ขารนาเข่งขนาดใหญ่มาขนไปทงิ้ พอเชา้ วนั ท่ี ๑๓ เมษายน ผใู้ หญ่จะตน่ื แต่เชา้ แลว้ เผา ขยะท้ิงโดยเช่ือกนั วา่ เป็นการเผาขบั ไล่อปั มงคลตา่ ง ๆ ดว้ ย เมื่อเดก็ ๆ ตนื่ มากเ็ ชื่อวา่ ป่ ูจง๋ั ขารขนขยะไปท้งิ จริง ๆ วนั ที่ ๑๔ เมษายน เรียกกนั วา่ วนั เน่า (วนั เนาว)์ เป็ นวนั สุกดิบ ชาวบา้ นถือวา่ เป็ นวนั อปั มงคล ผใู้ หญ่จะวางตวั สงบเสง่ียมไม่ด่าหรือเฆี่ยนตีลูกหลานและหา้ มลูกหลานไม่ใหด้ ่าหรือทะเลาะเบาะแวง้ กนั โดยบอกวา่ จะทาให้ ปากเน่า ในวนั น้ีชาวบา้ นจะเตรียมทาขนม และอาหารไวท้ าบุญในวนั รุ่งข้นึ เช่น แกงฮงั เล แกงอ่อม ตม้ จดื วนุ้ เสน้ ห่อน่ึง (ห่อหมก) ขนมจอ๊ ก(ขนมเทยี น) ขา้ วตม้ มดั ในขณะเดียวกนั จะเตรียมส่ิงของ เช่น เส้ือผา้ น้าอบ น้าหอม น้าขมิ้นสม้ ป่ อยไวส้ าหรบั ดาหวั พอ่ แม่ญาตผิ ใู้ หญ่ และบคุ คลที่เคารพนบั ถือกนั ในวนั รุ่งข้ึน ส่วนในตอนเยน็ ของวนั ที่ ๑๔ เมษายน จะพาลูกหลานไปขนทรายเขา้ วดั ก่อเป็นเจดียท์ ราย เช่ือกนั วา่ ในรอบปี ผา่ นมา ศาสนิกชนมาทาบญุ ทว่ี ดั ได้ เหยยี บยา่ เอาดินจากวดั ท่ีตดิ ออกไปดว้ ย ถือวา่ เป็ นบาปกรรม ดงั น้นั จงึ ขนทรายเขา้ วดั เป็ นการทดแทน วนั ท่ี ๑๕ เมษายน เรียกวา่ วนั “พญาวนั ” (วนั เถลิงศก) ตอนเชา้ ผใู้ หญ่ กจ็ ะพาลูกหลานไปทาบญุ “ตานขนั ขา้ ว” กนั ทว่ี ดั เพอ่ื อุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาตทิ ีล่ ่วงลบั ไปแลว้ ตอนสายเร่ิม พธิ ีดาหวั เริ่มจากผอู้ าวโุ สสูงสุดในครอบครวั ก่อน ไดแ้ ก่ ป่ ู ยา่ ตา ยาย และพอ่ แม่ จากน้นั กจ็ ะไปดาหวั ญาติผใู้ หญ่และบุคคลท่ีเคารพนบั ถือในละแวกใกลเ้ คยี ง ส่วนบคุ คลท่ีอยหู่ ่างไกลอาจเดินทางไป ในวนั อ่ืน หลงั จากวนั พญาวนั ไปแลว้ ส่วนตอนบ่ายผเู้ ฒ่าผแู้ ก่จะไปฟังเทศนอ์ านิสงสป์ ี ใหม่ทว่ี ดั สาหรบั หนุ่มสาว ก็จะนดั กนั ไปยงั จดุ นบั พบท่บี ริเวณกลางหมู่บา้ น เพอื่ แข่งขนั กีฬาพน้ื เมือง เช่น เล่นหมากบา้ (สะบา้ ) เล่นกอ๊ บแก๊ป โก๋งเก๋ง ในขณะเดียวกนั ก็จะเล่นน้าสงกรานตก์ นั อยา่ งสนุกสนาน วนั ที่ ๑๖ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากปี๋ ” (วนั ปากปี ) เป็ นวนั ที่เริ่มตน้ ปี ใหม่ของไทล้ือตอนเชา้ ชาวบา้ นจะนาเอาสะตวงพร้อมท้งั เครื่องบูชา

16 พระรัตนตรัย และเส้ือผา้ ของสมาชิกในครอบครัวไปประกอบพธิ ีบูชาขา้ วหลีกเคราะห์กนั ทว่ี ดั เพอ่ื ใหเ้ ป็ นสิริ มงคลปราศจากเคราะหภ์ ยั ท้งั ปี ตอนสายกจ็ ะเตรียมน้าขมิ้นสม้ ป่ อยไปสรงน้าพระร่วมกนั เรียกวา่ ลงอุโบสถ วนั ท่ี ๑๗ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากเดือน” ตอนสายชาวบา้ นพรอ้ มใจกนั ไปสรงน้าพระพทุ ธรูปในวหิ าร สรงน้าเจา้ อาวาสทีว่ ดั ของตน จากน้นั กจ็ ะช่วยกนั ลา้ งกฏุ ิ วหิ าร ศาลาการเปรียญ และทาความสะอาดวดั เรียกวา่ “วนั ลา้ งวดั ” วนั ท่ี ๑๘ เมษายน เรียกวา่ “วนั ปากวนั ” เป็ นวนั สุดทา้ ยของเทศกาลปี ใหม่ล้ือชาวลา้ นนาบางส่วน ยงั สนุกสนานอยแู่ ต่ส่วนใหญ่จะเตรียมตวั สาหรับการประกอบอาชีพตามปกติ เป็ นท่นี ่าสงั เกตวา่ ในช่วงเทศกาล ปี ใหม่ของชาวไทล้ือในอาเภอเชียงคา ต้งั แตว่ นั ที่ ๑๓-๑๘ เมษายน ชาวบา้ นจะหยดุ ประกอบภารกิจหนา้ ที่ การงานประกอบอาชีพตามปกติ เพอ่ื ทาบญุ ดาหวั และสนุกสนานกบั ญาตมิ ิตรเพอ่ื นฝงู โดยทใี่ นยามปกติ จะมธั ยสั ถ์ แต่ในเทศกาลสาคญั เช่นน้ี จะใชจ้ า่ ยจานวนมาก เพราะถือวา่ ปี หน่ึงมีเพยี งคร้งั เดียว กำรเกบ็ ขวญั ข้ำว เก็บขวญั ขา้ ว เป็นประเพณีของชาวนาที่ประกอบพธิ ีภายหลงั ฤดูเกบ็ เก่ียว เพอื่ เป็ นสิริมงคลแก่ ยงุ้ ฉางและครอบครวั เพราะมีความเชื่อวา่ เมื่อไดท้ าพธิ ีเกบ็ ขวญั ขา้ วแลว้ “กิ๋นบม่ ีตก๊ จก๊ บ่มลี ง” หมายถึง กินไม่ ส้ินเปลือง พอถึงฤดูการเกบ็ เกี่ยว ชาวนาจะหาฤกษย์ าม จากอาจารยป์ ระจาหมู่บา้ น เพอื่ หาวนั ทีเ่ หมาะสม สาหรับการเกบ็ เก่ียวตามตาราแบ่งวนั ออกเป็น ๒ ประเภท คอื วนั จม กบั วนั ฟู ยดึ ตามจนั ทรคติขา้ งข้ึนขา้ งแรม เป็นหลกั วนั จมเป็ นวนั ท่ไี ม่ดีเชื่อกนั วา่ หากทาสิ่งใดมีแต่จะล่มจม ส่วนวนั ฟเู ป็ นวนั ดี ประกอบการงานสิ่งใด จะเจริญรุ่งเรืองและกา้ วหนา้ เม่ือไดฤ้ กษด์ ีแลว้ ชาวนาจะลงมือเก่ียวขา้ วเมื่อนาขา้ วไปเกบ็ ที่ยงุ้ ฉางเรียบร้อยแลว้ กจ็ ะทาพธิ ีเก็บขวญั ขา้ ว ถา้ หากมีนาอยหู่ ลายแห่งจะประกอบพธิ ี ณ ทงุ่ ทเ่ี สร็จภายหลงั สิ่งของท่ใี ชป้ ระกอบในพธิ ี มี กระบงุ สวงิ บายศรีปากชาม ๑ ชุด ดอกไม้ ๑ คู่ ธูปเทียน ๒ คู่ ไขต่ ม้ ๑ ฟอง ตาแหลว ๑ กนั เพอ่ื นาไปประกอบพธิ ีที่ลานนวดขา้ ว ผปู้ ระกอบพธิ ีส่วนใหญม่ กั จะเป็นผหู้ ญงิ การประกอบพธิ ีเริ่มตน้ ดว้ ยการ ใชม้ ือซา้ ยจบั ขา้ วใส่กระบุง มือขวาจบั พดั เรียกวา่ กาพดั โบกขา้ วไปในกระบงุ ๓ คร้ัง พร้อมกบั กล่าวคาเชิญ ขวญั ขา้ วมา “มาเนอขวญั ขา้ ว มาอยใู่ นเลา้ ในเย จา้ งจกั ยา่ หวั ววั จกั ยา่ หวั ห้ือมาอยเู่ ลา้ อยเู่ ย” (มาเถิดขวญั ขา้ วมา อยใู่ นยงุ้ ในฉาง ชา้ งจะเหยยี บหวั ววั จะเหยยี บเกลา้ ใหม้ าอยใู่ นยงุ้ ในฉาง) ในขณะทาการเก็บขวญั ขา้ ว กจ็ ะเรียกขวญั เดินไปเดินมาทาพธิ ีวนไปเรื่อย ๆ รอบลานนวดขา้ วใชส้ วงิ ตกั ขวญั ขา้ ว และรวงขา้ วท่ียงั ตก หล่นอยใู่ นกระบงุ เสร็จแลว้ นากระบงุ ไปยงั ยงุ้ ขา้ ว เลือกมุมใดมุมหน่ึงของยงุ้ ฉางโดยใหส้ ูงพอสมควร นากระบงุ ขวญั ขา้ วลงไปพรอ้ มกบั พดู วา่ “กิ๋นอยา่ ไปตก๊ จก๊ อยา่ ไปลง ห้ือมนั่ เหมือนปาหินกอ้ นหนา บา่ ผากอ้ นใหญ”่ (กินอยา่ ใหส้ ้ินเปลือง ใหม้ น่ั คงเหมือนกบั หินผา) แลว้ เอาสวงิ ลงไวใ้ กล้ ๆ เป็นเสร็จพธิ ี

17 แห่พระอปุ คุต ประเพณีของชาวไทล้ือ เวลามีงาน “ตานหลวง” ไดแ้ ก่การฉลองวหิ าร ศาลา กฏุ ิ กาแพงวดั ก็จะมีการแห่อญั เชิญพระอุปคุตใหม้ าช่วยหา้ มมาร เพอื่ ช่วยรักษางาน ไม่ใหม้ ารท้งั หลายหรือส่ิงชวั่ ชา้ ท้งั หลาย มารบกวนในงาน ลกั ษณะอุปคุตเป็ นหินแกะสลกั หรือบางวดั เป็ นหินลูกกลม ๆ ไม่ไดแ้ กะสลกั ตามตานาน อุปคุตผใู้ หส้ มั ภาษณ์ก็ไดย้ นิ เขาเล่าสืบ ๆ กนั ตอ่ มาเหมือนกนั เล่าวา่ ในสมยั พทุ ธกาลมีพระภิกษรุ ูปหน่ึงทย่ี งั ไม่ สาเร็จอรหนั ต์ แตใ่ กลจ้ ะหมดกิเลสอาสานท้งั ปวงแลว้ ขณะจาวดั อยนู่ ้นั เกิดอสุจิไหลโดยไม่รู้ตวั พระภิกษรุ ูป น้นั กน็ าผา้ สบงไปซกั ที่แม่น้า ปลาซิววา่ ยน้ามาบริเวณน้นั พอดีจึงกินอสุจพิ ระภกิ ษรุ ูปน้นั ปลาซิวเกิดต้งั ทอ้ ง แตเ่ ป็นทอ้ งทไ่ี ม่ใช่ปลากลบั กลายเป็ นหิน บรรดาปลาท้งั หลายในแม่น้าจงึ ไดต้ ้งั ชื่อวา่ “อุปคุต” ต้งั แตน่ ้นั มา อุปคุตก็เป็ นใหญใ่ นแม่น้า โดยทไ่ี ม่มีสิ่งใดทจี่ ะไปรบกวนได้ การแห่อุปคุตจะเร่ิมข้ึนก่อนงานฉลอง ๑ วนั โดยทค่ี ณะกรรมการนาลูกหินหรืออุปคุตไปทงิ้ ไวใ้ นน้าแลว้ ทาเคร่ืองหมายไวเ้ ป็ นท่เี รียบรอ้ ย ขบวนแห่งเชิญ อุปคุตซ่ึงประกอบดว้ ย ฆอ้ งกลาง ชาวบา้ นจานวนหน่ึงและพระอีก ๔ รูปแทนสารับใส่อุปคุตเป็ นลกั ษณะ คร่ึงวงกลม ผา่ กลางยาวประมาณ ๒ ฟตุ มีคานไมไ้ ผ่ ๒ เล่มและมีคน ๒ คนสาหรบั หาม เมื่อไปถงึ ยงั ท่ีหมายแลว้ กจ็ ะมีคนอาสาประมาณ ๔-๕ คน เพอ่ื ลงคน้ หา ลกั ษณะการหาคลา้ ยกบั การจบั ปลา อาจจะมีลูกเล่น เขา้ ประกอบดว้ ยทาใหเ้ กิดความสนุกสนาน เม่ือพบแลว้ ก็จะจบั พรอ้ มกนั แลว้ โห่ร้องกนั อยา่ งสนุกสนานแลว้ นา ข้นึ มายงั บนฝ่ัง พระจะใหศ้ ลี และสวดชยั มงคลคาถา เสร็จแลว้ นาอุปคุตข้ึนแท่น แห่นาไปยงั บริเวณงานไปต้งั ไว้ สถานที่เหมาะสม เพอื่ เป็นประธานรกั ษาความสงบเรียบร้อยของงาน เมื่อเสร็จงาน ขบวนแห่กลบั ไปทเ่ี ดิม เป็ น เสร็จพธิ ี จะเห็นวา่ การแห่อุปคุตเพอื่ เป็ นการสรา้ งขวญั และกาลงั ใจในการจดั งาน เช่ือวา่ เมื่อเชิญอุปคุต มาเป็ นประธานรกั ษาความสงบแลว้ จะไม่มีสิ่ง ชว่ั ร้ายหรือมารมารบกวนตลอดงาน กำรสู่ขวญั ควำย สู่ขวญั ควาย ประเพณีทเ่ี ตือนสตแิ ละจิตใจใหค้ นเรามีความกตญั ญกู ตเวที ระลึกถึง บญุ คุณของสตั วท์ ่ไี ดช้ ่วยเหลือเก้ือกลู แก่เรา โดยเฉพาะควายที่ไดใ้ ชแ้ รงงานไถนาเพอ่ื พลิกแผน่ ดินใหค้ นไดป้ ลูก ขา้ ว ในขณะทีไ่ ถคราดน้นั บางคร้งั ได้ ดุ ด่า เฆ่ยี น ตี ดงั น้นั เมื่อสิ้นฤดูกาลไถคลาดจงึ มีการประกอบพธิ ีสู่ขวญั ควาย ส่ิงที่ใชป้ ระกอบในพธิ ีมี ไก่ตม้ ตวั เมีย ๒ ตวั ขา้ วกลา้ ๑ มดั ดา้ ยสายสิญจน์นามาทบกนั ๗ เสน้ สวยดอกไม้ (กรวย) ๑ คู่ แอกควาย ๑ อนั ลาดบั ข้นั ตอนในการประกอบพธิ ี เม่ือจดั เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ทีใ่ ชป้ ระกอบพธิ ีเรียบรอ้ ยแลว้ เจา้ ของจะนาควายไปอาบน้าทาความสะอาด แลว้ นามาเขา้ สู่พธิ ี ใชด้ า้ ยสายสิญจนผ์ ูกสวยดอกไมต้ ดิ เขา ท้งั สองขา้ ง ส่วนไก่ตม้ น้นั นาไปบรรจใุ ส่ถาดวางไวใ้ กล้ ๆ ควาย เริ่มตน้ พธิ ีโดยหมอทาขวญั กล่าวพรรณนา ถึงบญุ คุณของควายและการใชง้ านไถคลาดพลิกแผน่ ดินใหไ้ ดเ้ พาะปลูก จากน้นั กข็ ออโหสิกรรมท่ไี ดล้ ่วงเกิน ดุ ด่า เฆ่ียน ตี ในระหวา่ งฤดูกาลทานา อญั ชะในวนั น้ีกเ็ ป็ นวนั ดี ยา่ สงั สีกบั ยา่ สง่ั ใสค้ ดดินมาป้ันไวแ้ ป๋ งควายดา ก่อน ส่วนไถนาฝนตกลงมาลงจุจมุ่ แผน่ ดิน จมุ่ แผน่ ดินต๋มุ ฝนตกห่าใหญไ่ ม่ใสน้านาดอน เอาปอนเอาป๋ อมาผกู

18 คอเจา้ แลว้ มาขอสูมา ขวญั หางไดก้ วดั ไดแ้ กวง่ สูมาขวญั แขง้ สูมาขวญั ขา สูมาขวญั ตา สูมาขวญั หนา้ ไดจ้ กั หนา้ ห้ือขา้ ไดก้ ๋ิน น้าป่ ามาแฮง ถา้ สตั วต์ วั ใดบ่ดีเปิ๋ นเอาไปฟ้านแทงกนิ เลือดมาก สตั วต์ วั๋ น้ีดีจกั ลาภไดข้ า้ วเตม็ เลา้ เตม็ ถุง ฯลฯ เมือ่ กลา่ วจบแลว้ ก็จะเอาแอกข้ึนใส่คอควาย แลว้ ทาพธิ ีปลดแอกโดยกล่าววา่ “ปลดจากแอก แยกจากไถ ฝนตกจะไปฝันเป็นเกลา้ ฟ้าฮอ้ งจะไปฝันใส่นา ปล่อยก๋ินหญา้ อ่อนน้าใส เสร็จแลว้ เอารางหญา้ และหญา้ อ่อน ทเี่ ตรียมไวใ้ หค้ วายกินเป็นเสร็จพิธี กำรแฮกนำ แฮกนา คอื การแรกนาของชาวบา้ น แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ คอื แฮกนาตอนหวา่ นกลา้ และแฮกนาวนั ปลูกนา (ดานา) ประเพณีแฮกนาชาวบา้ นเชื่อวา่ เป็นการประกอบพธิ ีเพอื่ กราบ ไหวพ้ ระแม่ธรณี รวมท้งั เจา้ ที่เจา้ ทางเพอื่ ขออนุญาตพลิกแผน่ ดินทากิน การแฮกนาหวา่ นกลา้ ก่อนประกอบพธิ ี จะตอ้ งไป ขอคาปรึกษาจาก อาจารยป์ ระจาหมู่บา้ นเพอื่ ดูฤกษว์ นั ใหเ้ ป็ นมงคลเสียก่อน ตาราระบวุ า่ บคุ คลใดกต็ ามจะไถนา ใหด้ ูการกลบั ตวั ของนาคเวลาไถใหเ้ ริ่มจากทศิ หวั นาคไปยงั ทิศหางของนาค ไม่ยอ้ นจากหางไปสู่หวั ของนาค เพราะมีความเช่ือวา่ เป็นการยอ้ นทวนเกลด็ นาค ทาให้เปลืองคลาดและอุปกรณ์การไถ การแฮกนาตอนปลูก การประกอบพธิ ีใชข้ า้ วเหนียว ๑ กอ้ น กลว้ ย ๑ ผล เรียกวา่ “ขา้ วป้ันกลว้ ยหน่วย” เพอื่ ไวบ้ อกกล่าวพระแม่ธรณี โดยกล่าววา่ เอ่อ บดั เด๋ียวน้ี ผขู้ า้ จกั ไดแ้ ฮกนาวนั น้ี จะไดป้ ลูกขา้ วก็ขอห้ือคุณแม่พระธรณี เจา้ ท่มี า ปกปักรกั ษา ทา้ วองอาจนาฎสม กลมทวแี ม่นางนาฎนอ้ ย แม่ธรณีอนั เป็นผหู้ ลา้ แลว้ ลืมต่นื ต่ืนแลว้ หรือยงั สาดตวั โสกวทิ ูร ขา้ พเจา้ จกั แฮกนาน้ีขอพ่งึ เงาแขง้ เงาขา กบั แม่ธรณีเป็ นเจา้ ของกุ่งกา้ นฮกั ษาสตั วร์ า้ ยอยา่ งไดม้ ากระทาร้าย เม่ือเริ่ม ปักดาขา้ วกลา้ ตน้ แรกใหพ้ ดู วา่ พทุ ธ สรณ คจฉามิ ตน้ ทีส่ องพดู วา่ ธรรม สรณ คจฉามิ ตน้ ท่สี ามพดู วา่ สงั ฆ สรณ คจฉามิ ปักดาไปเรื่อย ๆ โดยกล่าว ไตรสรณคมไปจนจบ เรียกวา่ “สรณคมเกา้ บ้งั ” เป็นเสร็จพธิ ี กำรตำนข้ำวใหม่และกนิ ข้ำวใหม่ ตานขา้ วใหม่และกินขา้ วใหม่ เป็นประเพณีที่ชาวไทล้ือ และชาวพ้นื เมืองในอาเภอเชียงคา ปฏิบตั ิตอ่ กนั มาเป็นเวลาชา้ นานแลว้ กล่าวคอื เม่ือเกบ็ เก่ียวขา้ วมาไวใ้ นยงุ้ ฉางแลว้ ก่อนจะนาขา้ วไปตาหรือ นาไปสี ตอ้ งหาฤกษย์ ามวนั ดีโดยดูจากตาราซ่ึงจารึกลงบนแผน่ ไมข้ นาดกวา้ งราว ๔ นิ้ว ยาวราว ๑ ศอก เรียกวา่ ปั๊กกะตนื ซ่ึงจะมีอยปู่ ระจาท่ียงุ้ ขา้ ว การตานขา้ วใหม่จะเริ่มในตอนเชา้ โดยน่ึงขา้ วใหม่พร้อมท้งั ทาอาหาร ไปทาบุญท่ีวดั เพอื่ อุทศิ ส่วนกศุ ลของการกินขา้ วใหม่ไปยงั บุพการีผทู้ ล่ี ่วงลบั ไปแลว้ และเป็ นการนาขา้ วใหม่ ไปถวายพระดว้ ยภายหลงั กลบั จากการทาบุญท่วี ดั กจ็ ะนาขา้ วใหม่และอาหารไปใหบ้ ุพการีท่ียงั มีชีวติ อยู่ รบั ประทานก่อนไดแ้ ก่ ป่ ู ยา่ ตา ยาย และ พอ่ แม่ เม่ือรับประทานเสร็จแลว้ ก็จะใหพ้ รแก่ลูกหลาน เช่นกล่าววา่ “กิ๋นอ่ิมไปห้ือตก จก๊ อิ่มไปห้ือลง ห้ือก๋ินมนั่ ก๋ินยนื กิ๋นยาว” หมายถึงวา่ อยา่ งใหก้ ินเปลืองใหก้ ินไปไดน้ าน ๆ จะเห็นไดว้ า่ ประเพณีตานขา้ วใหม่และกินขา้ วใหม่ เป็นการแสดงกตญั ญกู ตเวที ตอบแทนแก่ผมู้ ีพระคุณ ไดแ้ ก่ บุพการี ท้งั ผทู้ ไ่ี ดล้ ่วงลบั ไปแลว้ และผทู้ ม่ี ีชีวติ อยู่ เพราะทา่ นเหล่าน้ีไดบ้ ุกเบิกสร้างไร่ไวใ้ หล้ ูกหลานทามาหากิน ดงั น้นั เม่ือไดผ้ ลผลิตจงึ ตอบแทนบญุ คุณดว้ ยการตานขา้ วใหม่และกินขา้ วใหม่

19 ประเพณกี ำรตำย ประเพณีการตายของชาวไทล้ือในสมยั ก่อน จะมีลกั ษณะแตกตา่ งไปจากประเพณีไทย โดยทว่ั ไป ซ่ึงมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั การทาศพสิบสองปันนา กล่าวคือ เม่ือมีคนตายจะนาศพห่อดว้ ยไม่ไผแ่ ลว้ ใช้ ผา้ ขาวปิ ดทบั ขา้ งนอก ดา้ นบนสานไมไ้ ผป่ ิ ดทบั เรียกวา่ “หลอ้ ง” โดยทวั่ ไปจะเกบ็ ศพไวเ้ พยี งคนื เดียวแลว้ รับ นาไปฝัง ขณะทน่ี าศพไปยงั ป่ าชา้ เขย (สปั เหร่อ) จะใชไ้ มไ้ ผย่ าวประมาณ ๓ เมตร ๒ ลา ผกู ติดกบั หลอ้ งท้งั สอง แลว้ ใชเ้ ขยจานวน ๔ คน หามไปฝัง เสร็จแลว้ ใชแ้ ผน่ ไมป้ ิ ดทบั และตดั หนามไมไ้ ผม่ าคลุมอีกทหี น่ึงเพอื่ ป้องกนั สตั วม์ าคุย้ เข่ีย ส่วนคนตายทอ้ งกลมหรือเรียกวา่ ตายพราย เป็นสิ่งทนี่ ่ากลวั มากสาหรับชาวบา้ น ถา้ หากมีคนตาย ทอ้ งกลมจะรีบนาไปฝังทนั ที โดยไม่ใหท้ นั ขา้ มวนั ขา้ มคืน ถา้ ตายตรงไหนจะเจาะพ้นื บา้ นเป็ นช่องตรงน้นั เพอ่ื นาศพออกจากบา้ นโดยไม่ใหผ้ า่ นประตูหอ้ งหรือบนั ไดบา้ น การทาศพตอ้ งดาเนินการอยา่ งรีบเร่ง จะห่อดว้ ย เส่ือเพยี งอยา่ งเดียว แลว้ รีบนาไปฝังใหเ้ ร็วที่สุด บริเวณทีฝ่ ังตอ้ งแยกออกไปตา่ งหาก ชาวบา้ นเรียกวา่ ป่ าชา้ ผดี ิบ ส่วนสามีของผตู้ ายตอ้ งรีบเขา้ วดั แลว้ บวช ๓ วนั หรือ ๗ วนั เป็นอยา่ งนอ้ ย ท้งั น้ีเชื่อวา่ ป้องกนั การตดิ ตาม รงั ควาน ประเพณีการทาศพของหมู่บา้ นไทล้ือในสมยั ก่อน ส่วนใหญจ่ ะใชก้ ารฝัง ส่วนการเผาศพจะมีบา้ งเฉพาะ ศพผสู้ ูงอายเุ ทา่ น้นั ส่วนในปัจจบุ นั ไดเ้ ปล่ียนไปมาก จะใชก้ ารเผาท้งั หมดแต่มีขอ้ หา้ มคือถา้ เป็ นศพทอ้ งกลม ตอ้ งแยกเผาต่างหากไม่เผาในบริเวณเชิงตะกอนทใ่ี ชเ้ ผาศพโดยทวั่ ไป ควำมเชื่อของคนในท้องถ่นิ ประชาชนส่วนใหญ่ในอาเภอเชียงคา จะเป็ นชาวไทล้ือทอ่ี พยพมาจามณฑลสิบสองปันนา ประเทศจีน หมู่บา้ นของชนชาติไทล้ือ กระจายอยทู่ ว่ั ไปในดินแดนอนั อุดมสมบรู ณ์ดว้ ยน้าและพชื พนั ธุ์ ธรรมชาติ เราพบหมู่บา้ นไทล้ือตามแนวทีร่ าบลุ่ม แม่น้าสายสาคญั ตามเชิงเขาและตามหุบเขาสูงทมี่ ีป่ าไมข้ ้ึน หนาแน่น แตไ่ ม่วา่ จะอยทู่ ่ีใด ชนชาติไทล้ือลว้ นมีชีวติ ชิดใกลก้ บั ธรรมชาติ ดว้ ยเหตุทสี่ งั คมของชนชาติไทล้ือมีความสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติน้ีเอง ท่ที าใหช้ นชาตไิ ทล้ือมีรูปแบบวถิ ีชีวติ ทสี่ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ สมตามคากล่าวท่วี า่ “มนุษยเ์ ปล่ียนแปลงโลก และโลกหล่อหลอมมนุษย”์ นอกจากน้ีประเพณีทางศาสนายงั ยนื ยนั คากล่าวน้ีไดด้ ี บรรพบรุ ุษในอดีตกาล ของชนชาตไิ ทล้ือ สภาพตามธรรมชาตขิ องภเู ขา แม่น้า ป่ าไม้ ตลอดจนพชื และสตั วใ์ นบริเวณที่พวกเขาอาศยั อยู่ มาผสมผสานเขา้ กบั อารมณ์ ความคิดและความมุ่งหวงั เพอื่ หาคาตอบ และอธิบายถึงสิ่งลึกลบั ตา่ ง ๆ อนั น่าทา้ ทายของชีวติ ระบบความเชื่อทพี่ วกเขากาหนดข้ึนในเวลาน้นั หรือทีม่ กั เรียกกนั อยา่ งไม่เหมาะสมนกั วา่ เป็นศาสนาด้งั เดิม แบบนบั ถือผแี ละบรรพบุรุษ ไดผ้ สมผสานเขา้ กบั ศาสนาพทุ ธนิกายหินยานที่แผเ่ ขา้ มาอยา่ ง ชา้ ๆ จากเอเชียตะวนั ออก ตามเสน้ ทางการคา้ กบั อินเดียในช่วงหลายร้อยปี ท่ีผา่ นมา ไม่นานหลกั ธรรม ในพทุ ธศาสนาก็เป็ นท่ยี อมรบั สูงสุดของชนชาตไิ ทล้ือแมว้ า่ พธิ ีกรรมและประเพณีปฏิบตั ติ ามศาสนาด้งั เดิม จะยงั คงอยู่ ความเชื่อตามศาสนาด้งั เดิม ศาสนาพทุ ธ ตลอดจนลทั ธินบั ถือผแี ละลทั ธิพราหมณ์ไดผ้ สมกลมกลืน

20 จนกลายเป็ นแกนหลกั ของโลกทศั น์ของชนชาตไิ ทล้ือ ซ่ึงแสดงออกเป็ นรูปธรรมในการวางผงั หมู่บา้ นและการ กาหนดรูปทรงบา้ นเรือน ศำสนำด้งั เดิมกบั หมู่บ้ำน ศาสนาด้งั เดิมนบั เป็นรูปแบบความเช่ือทีห่ ลากหลายและเก่าแก่ทส่ี ุดของมนุษย์ ศาสนาด้งั เดิมที่ ชนชาติไทล้ือนบั ถอื น้นั แสดงออกครบทกุ รูปแบบ ไม่วา่ จะเป็ นการบชู าธรรมชาติ การบวงสรวงเจา้ ท่ี เช่นไหว้ บรรพบุรุษ ตลอดจนเช่ือถือไสยศาสตร์และพอ่ มดหมอผี ยอ้ นไปในอดีตบรรพบรุ ุษของชนชาติไทล้ือเช่ือวา่ พลงั และ ปรากฏการณ์ธรรมชาติตา่ ง ๆ น้นั มีตวั ตน มีความรู้สึกนึกคิด ความตอ้ งการและอารมณ์เฉกเช่นเดียวกบั มนุษย์ ความเชื่อโบราณน้ีสืบทอดตอ่ กนั มานบั พนั ปี จนถึงปัจจบุ นั เหตทุ ่ีเป็ นเช่นน้ี ส่วนหน่ึงเป็ นผลมาจากทต่ี ้งั อนั โดดเด่ียวห่างไกลจากความสบั สนของโลกยคุ ใหม่ของดินแดนน้ีนนั่ เอง วตั ถุส่ิงของและพลงั ตา่ ง ๆ ทชี่ นชาติ ไทล้ือยงั คงบูชาและทาพธิ ีบวงสรวงอยนู่ ้นั ส่วนใหญม่ กั มีความเก่ียวเน่ืองสมั พนั ธใ์ กลช้ ิดกบั ความกินดีอยดู่ ีของ สงั คมกสิกรรม ตวั อยา่ งเช่น ชนชาตไิ ทล้ือจะบชู าดวงอาทิตย์ สายฝน แม่น้า ทงุ่ นา ตน้ ไม้ ตลอดจนป่ าไม้ ดว้ ยความเช่ือวา่ ท้งั หมดเป็นท่สี ถิตยข์ องวญิ ญาณทรงฤทธ์ิท่ีมีอิทธิพลเหนือมนุษย์ เม่ือพวกเขาเชื่อวา่ วญิ ญาณ และส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิมีจริง สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิท่พี วกเขานบั ถือกถ็ ือกาเนิดเป็ นรูปธรรมข้นึ เทพองคแ์ รกของพวกเขา คือ พรานเทพ หรือ เสนาะ หนงั สือช่ือ แหล่งที่มาของเส้ือบา้ นและเส้ือเมือง เขยี นไวว้ า่ พรานเทพ เป็นเทพองคแ์ รก ท่จี ะพฒั นามาเป็นสงั คมเกษตรกรรม จากน้นั จงึ มีเทพประจาป่ า ภูเขา ตน้ ไม้ พ้นื ดนิ หมู่บา้ น (เส้ือบา้ น) และเมือง (เส้ือเมือง) ทยอยถือกาเนิดในเวลาตอ่ มา พธิ ีกรรมบวงสรวงบนบาน สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิและวญิ ญาณ ถือกาเนิดในยคุ เดียวกนั ก่อนจะออกล่าสตั ว์ บรรพบุรุษชาวไทล้ือจะเซ่นไหวพ้ ราน เทพใหป้ กป้องคุม้ ครอง พวกเขาจากภยั อนั ตรายและช่วยใหก้ ารล่าสตั วส์ มั ฤทธ์ิผล นบั เป็ นเวลากวา่ 5,000 ปี มาแลว้ ท่ีชนชาตไิ ทล้ือ ทาการเพาะปลูกขา้ วเช่นเดียวกบั ชนชาตอิ ่ืนในเขตมรสุมของเอเชีย ชนชาตไิ ทล้ือ จะปักดากลา้ ลงในทุง่ นาทีม่ ี น้าท่วมขงั ดว้ ยวธิ ีน้ีทาใหพ้ วกเขาสามารถรักษาสภาพดินใหอ้ ุดมสมบรู ณ์ไวไ้ ดแ้ ละ ไดผ้ ลผลิตจากขา้ ว ในปริมาณสม่าเสมอสืบตอ่ เนื่องกนั มาหลายชว่ั อายคุ น ชนชาตไิ ทล้ือจึงมีความ ผกู พนั อนั ลกึ ซ้ึงต่อพ้นื ดินทากินในถ่ินทอี่ ยแู่ ละยงั เชื่อในวญิ ญาณทีส่ ิงสู่อยใู่ นธรรมชาตริ อบกายดว้ ย ก่อนทจ่ี ะลง มือปลูกหรือคดั เมลด็ พนั ธุข์ า้ วในแตล่ ะปี หรือเมื่อเก็บเกี่ยวขา้ วแลว้ ชนชาติไทล้ือจะเซ่นไหวแ้ ม่พระธรณี และแม่พระโพสพ ตลอดจน สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิอ่ืน ๆ ที่ส่งผลเกี่ยวเน่ือง ไม่วา่ จะเป็ นเทพประจาภูเขา ป่ า แม่น้า ตา่ งไดร้ บั การบวงสรวงเซ่นไหว้ เช่นกนั ตน้ ไมใ้ ดเป็นทเี่ ช่ือวา่ มีเทพสถิตยอ์ ยู่ ตน้ ไมน้ ้นั กจ็ ะเป็นที่ตอ้ งหา้ มตดั โค่น นอกจากน้ีน้านบั เป็น ส่ิงสาคญั ยงิ่ ท่ขี าดเสียไม่ไดใ้ นการยงั ชีพจึงถือเป็ นสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิอนั สาคญั และ เทศกาลฉลองที่จดั ข้ึนเป็นประจา ทกุ ปี ก็ถือเป็ นเทศกาลยง่ิ ใหญ่ สาหรบั ไฟ ซ่ึงใหค้ ุณอนนั ต์ เทา่ ๆ กบั ทีใ่ ห้ โทษมหนั ตน์ ้นั ก็นบั เป็น ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิเช่นกนั เพราะนอกจากไฟจะใหค้ วามอบอุ่น แสงสวา่ งและใชใ้ น การหุงตม้ แลว้ ไฟยงั ใชใ้ นการ เผาฟางและถางป่ าเพอ่ื ใหไ้ ดท้ ดี่ ินในการเพาะปลูกดว้ ย ดว้ ยเหตุน้ีชนชาติ ไท ล้ือจงึ เคารพและบูชาไฟ เตาไฟบนเรือนจึงเสมือนสถานท่ศี กั ด์ิสิทธ์ิและมีขอ้ หา้ มมากมายทต่ี อ้ งปฏิบตั ิกนั อยา่ ง เคร่งครัด ในความเช่ือของชนชาตไิ ทล้ือ ไฟช้ีชะตาและทรงไวซ้ ่ึงพลงั อนั ยง่ิ ใหญเ่ หนือมนุษย์ พวกเขาจงึ ใชไ้ ฟ

21 ในการกาหนดอาณาบริเวณทีต่ ้งั ของหมู่บา้ นท่ตี ้งั ข้ึนใหม่ มีตานานเล่าถึงเรื่องน้ีไวว้ า่ เม่ือ พญาสมมุติ ผนู้ าของ บรรพบรุ ุษชนชาตไิ ทล้ือ ยา้ ยถ่ินท่ีต้งั จากชุมชนล่าสตั วม์ าต้งั หลกั แหล่ง เป็ นสงั คมเกษตรกรรม ดว้ ยการอพยพ ผคู้ นลงจากเขา ซ่ึงแตเ่ ดิมใชถ้ ้าเป็ น ทีอ่ าศยั น้นั พญาสมมุตไิ ดจ้ ุดไฟเผาทุ่งหญา้ และ ดงแขมในหุบเขาข้นึ ลมพดั พาไฟลามออกเป็ นบริเวณกวา้ งและเม่ือไฟดบั ลงตรงท่ีใดกถ็ ือเอกท่ตี รงน้นั เป็ นสุดเขตแดนหมู่บา้ น และยงั สง่ั ใหป้ ลูกไผแ่ ละตน้ ไมต้ ่าง ๆ ไวเ้ ป็นหลกั เขตรอบบริเวณหมู่บา้ นดว้ ย ตานานน้ีแสดงใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธ์ อนั ใกลช้ ิดระหวา่ งมนุษยแ์ ละพลงั เหนือธรรมชาติ และวธิ ีการตามตานานน้ียงั สืบทอดตอ่ มากนั หลายชวั่ คน ตามทป่ี รากกฎในประวตั ศิ าสตร์ของ ชนชาติไทล้ือส่ิงหน่ึงท่ีทาใหส้ งั คม ของชนชาติไทล้ือรวมตวั กนั ไดเ้ หนียวแน่นท้งั ในระดบั หมู่บา้ นและเมืองน้นั อยทู่ ่ชี นชาตไิ ทล้ือใหค้ วามเคารพนบั ถือต่อบรรพชนผลู้ ่วงลบั โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ผทู้ ่ีไดป้ ระกอบคุณงามความดีไวใ้ หก้ บั ชนรุ่นหลงั ไม่วา่ จะเป็ นผนู้ าตามตานาน หรือผู้ ก่อต้งั หมู่บา้ น คนใดคนหน่ึง ผมู้ ีคุณูปการ ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ผปู้ ระกอบความดีเหล่าน้ีจะไดร้ ับการยกยอ่ ง และเซ่นสรวงบชู าเหมือนหน่ึงเป็นเทพประจาหมู่บา้ น หรือทเ่ี รียกอยา่ งยกยอ่ งวา่ เส้ือบา้ น อำหำรประจำท้องถน่ิ การกินอยขู่ องชาวเชียงคา มีการกินอยอู่ ยา่ งง่าย ๆ ไม่พถิ ีพถิ นั อาหารทีห่ าไดจ้ ากธรรมชาติ ตามฤดูกาล เช่นหน่อไม้ ผกั ต่าง ๆ รับประทานขา้ วเหนียวเป็ นหลกั แต่ละม้ือมกั มีอาหารเพยี งอยา่ งเดียว อาจเป็ นน้าพริกกบั ผกั น่ึง แกงขนุนอ่อนหรือแกงผกั ต่าง ๆ อาหารที่ชาวเชียงคานิยมรับประทานกนั ทว่ั ไป มีแกงผกั ต่าง ๆ เช่น ผกั เสว้ ( ผกั เส้ียว ) ผกั หละ ( ชะอม ) ของชาวลา้ นนา โขลกกบั พริก ตะไคร้ หอม กระเทยี ม เป็นน้าพริกแกงใส่ปลาร้า หรือน้าปลา ส่วนอาหารประเภทหน่อไมจ้ ะใส่น้าป๋ ู ( น้าปู ) เช่น ยา หน่อไม้ แกงหน่อไม้ จากแกงยงั มี “ซา้ ” เช่น ซา้ ผกั กาด ซา้ มะเขอื มี “ยา” เช่น ยาหน่อไม้ และอาหาร ประเภท “ตา” และซา้ ต่าง ๆ นิยมใส่งาดา มีอาหารงา่ ย ๆ กินแกข้ ดั เมอ่ื ไมม่ ีอาหารอ่ืนคือ การนางาดามาควั่ ใหห้ อมป่ นใหล้ ะเอียดคลุก กบั ขา้ วเหนียวน่ึง ใส่เกลือนิดหน่อย เรียกวา่ “ขา้ วก้นั งา” หรืออาจใชง้ าอีกชนิดหน่ึงแทนโดยไม่ตอ้ งคว่ั ทาวธิ ีเดียวกนั จะได้ “ขา้ วก้นั งาข้ีมอ้ น” หอมอร่อยน่ารับประทาน

22 อำหำรท้องถน่ิ ทนี่ ิยม นำ้ ปู หรือ นำ้ ป๋ ู น้าปหู รือน้าป๋ ู ทามาจากปูนาโขลกละเอียด คนั่ เอาแต่น้าใส่หมอ้ ท้ิงไวป้ ระมาณ ๒ วนั จนมี กล่ินฉุนนิด ๆ แลว้ นาไปเค้ียวจนแหง้ งวด จะไดน้ ้าปูขน้ ๆ เหนียว ๆ สีดาคล้า เวลาจะนามาปรุงเป็ นอาหารให้ โคลกพริกหนุ่มเผา กระเทียม ตะไคร้ ใชจ้ ม้ิ หน่อไมห้ รือผกั ต่าง ๆ นำ้ ผกั น้าผกั ใชท้ าน้าพริกไดจ้ ากการหมกั ดองผกั กาดจอ้ นบดละเอียด ผสมน้า เกลือ ขา้ วเหนียว ทิ้งไว้ ราว ๒-๓ คนื จนไดร้ สเปร้ียวแลว้ นาไปเค้ียวจนแหง้ จะไดก้ ากน้าผกั สีเขียวคล้า เก็บไวก้ ินไดน้ านเช่นเดียวกบั น้าปู เวลาจะนามาปรุงอาหาร ก็ใหโ้ ขลกเครื่องปรุง พริก กระเทียม กินกบั ปลายา่ งหรือปลาป้ิ ง ไก “ไก” หรือ “เตา” เป็นสาหร่ายน้าจืด นามาจากแม่น้าโขงซ่ึงจะนามาตากแหง้ เป็นแผน่ ท่เี ห็น วางขายในตลาด มีบางฤดูกาลเทา่ น้นั โดยนามาปิ้ งไฟอ่อน ๆ ระหวา่ งป้ิ งใหท้ าน้ามนั ไปดว้ ย พอเริ่มกรอบใช้ สองมือยจี นร่วนคลุกกบั กากหมู กระเทียมเจยี ว เกลือ ทานกบั ขา้ วเหนียว แอ่งแถะ “แอ่งแถะ” เป็ นอาหารไทล้ือโดยเฉพาะ โดยจะใชใ้ นแอ่งแถะ ซ่ึงเป็นพชื ท่ีมีลกั ษณะเป็นเถา นาท้งั ใบและเครือมาบดละเอียดผสมกบั น้านิดหน่อย ค้นั แลว้ กรองเอาแต่น้า ประมาณ ๓-๔ คร้ัง เมื่อไดน้ ้าสีเขียว นาใส่ภาชนะท้งิ ไวข้ า้ มคืน เพอ่ื ใหแ้ ขง็ ตวั เหมือนวนุ้ จากน้นั ตดั ออกมาเป็ นช้ิน ๆ ใส่เคร่ืองปรุง พริกป่ น เกลือ ถวั่ ลิสงป่ น มะกอกเปร้ียว ตน้ หอม ผกั ชี จะไดย้ าแอ่งแถะ ซ่ึงเป็ นอาหารโปรดของชาวไทล้ือในอาเภอเชียงคา แกงแค แกงแคเป็นอาหารพ้นื บา้ นในแถบอาเภอเชียงคา หรืออาเภออ่ืนในจงั หวดั ทางภาคเหนือ บางคน เรียกวา่ แกงขา้ วควั่ แตว่ ิธีทาเหมือนกนั นิยมรบั ประทานกนั มากเพราะเป็ นอาหารรสจดั ถูกปาก ท้งั ยงั อุดมไป ดว้ ยสมุนไพร หรือผกั ชนิดตา่ งๆ ที่เหาไดต้ ามร้ัวบา้ น แกงแคน้นั จะใส่เน้ือไดห้ ลายชนิด เช่น ไก่พน้ื เมือง ปลาดุก หรือเน้ือววั แหง้ แต่ทีน่ ิยมมากคือ ไก่พ้นื เมือง มีบางฤดูใส่เน้ือแลนหรือตะกวด ซ่ึงอร่อยมาก

23 ถว่ั โอ่ เป็ นอาหารของชาวไทล้ือทมี่ ีสืบต่อกนั มาชา้ นาน เป็ นลกั ษณะการถนอมอาหารเก็บไวก้ ินได้ นานๆ คาวา่ “ ถวั่ โอ่ ” ถว่ั กค็ ือ ถว่ั เหลืองตม้ สุก แลว้ นาไปหมกั ในภาชนะท่สี านดว้ ยไมไ้ ผ่ แลว้ รองหรือห่อ ดว้ ยใบของตน้ เด่ือปลอ้ ง ปิ ดใหม้ ิดแลว้ ท้ิงไว้ ประมาณ ๒ – ๓ วนั จนถว่ั มีกลิ่นหรือราเขยี วจบั บริเวณรอบๆ ภาชนะ จากน้นั จึงนามาทาเป็นอาหารรับประทานส่วนคาวา่ โอ่ น้นั ภาษาไทล้ือ หมายถึง เหม็น สรุปแลว้ ถวั่ โอ่ ก็คอื ถวั่ เหมน็ แตจ่ ริงๆ แลว้ ไม่เหม็นเลยเม่ือนามาปรุง จะมี กลิ่นหอม น่ารับประทานมาก ขนั โตกอำหำรท้องถน่ิ ของชำวอำเภอเชียงคำ อำหำรตำมเทศกำล ชาวเชียงคาจะกินอยา่ งประหยดั แต่ถึงคราวมีงานบุญจะทาอาหารเล้ียงดูกนั อยา่ งเตม็ ทอ่ี าหาร คาวนิยมทาลาบ หลู้ คลา้ ยกบั ชาวชนบทลา้ นนา ส่วนอาหารหวานนิยมทาตามฤดูกาล เช่น ขนมจอ๊ ก หรือ ขนมเทียน นิยมทาในเทศกาลเขา้ พรรษา ออกพรรษา ประเพณี กิ๋นขา้ วสลาก หรือ ตานก๋วยสลาก ขนมปำด ทาจากแป้งขา้ วเหนียวกวนกบั น้าตาลและกะทิ นิยมทาในงานทาบญุ ข้นึ บา้ นใหม่ งานบวช งานฉลอง ข้ำวแคบ หรือขา้ วเกรียบวา่ ว ทาจากขา้ วสารท่ีใชห้ ุงแช่น้าแลว้ เอาไปโม่ใหล้ ะเอียดนามาผสม กบั งาดาใส่เกลือไปนิดหน่ึง มีวธิ ีทาเช่นเดียวกบั ขา้ วเกรียบวา่ ว โดยทวั่ ไป คือพอราดเทลงบนหมอ้ ขา้ วเกรียบ แลว้ นาไปตากใหแ้ หง้ ถึงเวลากินก็นาไปทอดเพอื่ กินกบั ขนมปาดหรือจะนาไปยา่ งไฟ กินกไ็ ด้ จะทาเฉพาะ ในเทศกาลสงกรานต์ ซ่ึงนบั เป็นวนั ข้ึนปี ใหม่ ข้ำวหนมเส้น หรือขนมจนี นิยมทากนั ในงานฉลองต่าง ๆ งานบวช และงานสงกรานต์

24 กำรอดี อ้อย การอีดออ้ ยเป็นการนาออ้ ยมาบดโดยการใชค้ วานหรือเครื่องทนุ่ แรง เช่น รถไถมาตดิ กบั อุปกรณ์ ในการรีดน้าออกจากกา้ นออ้ ย แลว้ นาน้าออ้ ยมาทาเป็นน้าออ้ ยสด หรือน้าออ้ ยกะทิ น้ำอ้อยสด นามาผสมกบั น้าแขง็ หรือแช่เยน็ ไวด้ ่ืมแกก้ ระหาย นำ้ อ้อยกะทิ นาน้าออ้ ยสดมาเคีย่ วให้งวดแลว้ เอามาหยอดเป็ นกอ้ น ๆ เพอ่ื ใชแ้ ทนน้าตาลในการ ทาขนมตา่ ง ๆ สามารถเก็บไวไ้ ดน้ าน กำรละเล่นพืน้ บ้ำน การละเล่นของเชียงคา มกั เป็ นการละเล่นท่หี าอุปกรณ์ไดง้ า่ ย ๆ ส่วนใหญ่คลา้ ยกบั การละเล่น ชาวพ้นื เมืองทอ้ งถิ่นอื่น แต่มีช่ือเรียกตา่ ง ๆ กนั การละเล่นของชาวเชียงคาในสมยั ก่อนทนี่ ่าสนใจ ดงั น้ี เม่ือเป็ นเด็กเลก็ ขณะท่พี อ่ แม่ทางาน บางบา้ นไม่มีคนดูแลให้ จึงตอ้ งปล่อยให้เล่นดินเล่นทราย เม่ือโตข้ึนเดก็ จะ เล่นป้ันดินเหนียวเป็นรูปสตั วต์ า่ ง ๆ เช่น ววั ควาย ฯลฯ แลว้ นามาขวดิ กนั เล่น ซ่ึงมกั จะเป็ นการละเล่นของชาย มากกวา่ หญงิ กำรเล่นจู้จีจ้ ะหลุบ เป็ นการละเล่นกบั เดก็ เลก็ มีผเู้ ล่น ๒ คน คนหน่ึงปิ ดตาแบมือ อีกคนอาจเป็นผใู้ หญ่ ทเ่ี ป็นพี่ เล้ียงของเด็กกไ็ ด้ ใชน้ ิ้วจ้ิมลงบนฝ่ ามือของเด็ก แลว้ รีบดึงออกใหท้ นั ก่อนท่ฝี ่ ายหน่ึงจะจบั มือไวไ้ ด้ หากจบั มือได้ ทนั ทฝี ่ายถูกจบั ไดต้ อ้ งเป็นฝ่ายปิ ดตาแบมือใหอ้ ีกฝ่ายจ้มิ ทฝี่ ่ ามือแทน ผลดั กนั เล่นอยา่ งน้ี จนกวา่ จะเบอื่ จงึ เลิก กำรเล่นขกี่ ๊อบแก๊บ บางคนเรียกวา่ อีเปะปะ อุปกรณ์ทาจากกะลามะพร้าว ๒ ซีก เจาะรูก่ึงกลางใหเ้ ชือกความยาวเม่ือ ทบแลว้ ยาวเท่ากบั ความสูงระดบั ของผเู้ ล่น ร้อยรูกะลาท้งั ๒ อนั ขมวดเป็ นปมไวใ้ นกะลาอยา่ ใหห้ ลุดได้ เวลาเล่นข้ึนขีก่ ะลาควา่ ขาละซีกดึงเชือกใหต้ ึง ใชง้ ่ามนิ้วเทา้ ท้งั สองคบี เชือกใหแ้ น่น แลว้ เดินบนกะลาไดอ้ ยา่ ง สนุกสนาน กำรขี่โก๊ะเก๊ะ ชาวลา้ นนาเรียกวา่ “ขีโ่ ก๋งเก๋ง” ใชไ้ มไ้ ผข่ นาดจบั ไดเ้ หมาะมือคนเล่นยาวประมาณ ๒-๔ เมตร แลว้ แต่ความชอบของผเู้ ล่น ถา้ ผเู้ ล่นใจกลา้ ก็ตอ้ งใชไ้ มท้ ่มี ีความยาวมาก เม่ือต้งั ไมข้ ้ึนจะไดส้ ูงจุใจคนเล่น แต่ถา้ เร่ิมเล่นหรือของเดก็ หญิง ผปู้ กครองจะไม่อนุญาตใหใ้ ชไ้ มส้ ูงนกั หากพลดั ตกลงมาหรือเดินไมแ่ ขง็ หกลม้ ลง จะไดไ้ ม่เป็นอนั ตรายมาก นาไมไ้ ผท่ ้งั สองลามาตอกลิม่ ใหเ้ หลือความยาวของไมไ้ วเ้ ทา้ ระดบั ความสูงของผเู้ ล่น นาไมไ้ ผอ่ ีกคู่หน่ึงทม่ี ีขนาดใหญ่พอที่ผเู้ ล่นจะวางเทา้ ไดส้ บาย บากดา้ นท้งั สองขา้ งใหไ้ ดร้ ูปขนาดใชส้ อด

25 ไมล้ ายาวเขา้ ไปในรูไดพ้ อดีไมท้ ีว่ างเทา้ ท้งั สองช้ินน้ี จะลงไปตดิ อยลู่ ่ิมท่ตี อกไว้ ท่ไี มล้ ายาว ดูแลใหม้ นั่ คงแลว้ นาไปขเี่ ล่น เล้ียงตวั บนไมโ้ กะเกะน้ีได้ เด็กบางคนใจกลา้ ทาไมส้ ูงขนาดไล่เล่ียกบั ชานเรือนเวลาจะลงจากเรือน อาจไม่ลงทางบนั ได แต่จะนาไมโ้ กะเกะมาเทยี บกบั ชานเรือน แลว้ เล้ียงตวั เดินดว้ ยไมน้ ้ีไดส้ นุกสนาน เป็นทหี่ วาดเสียวสาหรับพอ่ แม่ผปู้ กครองเป็นอยา่ งยง่ิ กำรเล่นขำยของ ส่วนมากจะนิยมของเดก็ หญิง จะเล่นไปพรอ้ มกบั การเล่นหมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง เดก็ หญิงเลก็ ๆ จะเกบ็ ใบไม้ ใบหญา้ มา สมมุติเป็นส่ิงของซ้ือขายกนั กำรเล่นควำยขต่ี ๋ี เด็ก ๆ มกั เล่นกนั ตาม “กอง” คนั ดินริมน้าแหง้ หรือเล่นบนคนั นา การเล่นจะมีก่ีคนก็ไดแ้ ต่จะมีคน หน่ึงอยใู่ นคูหรือในนา สมมุติวา่ เป็นควาย ส่วนทีเ่ หลือนอกน้นั เป็ นคนวง่ิ อยบู่ นคนั ดิน ใหค้ วายไล่ชก หากควาย ชกถูกใครคนน้นั จะมาเป็นควายไล่ชกคนอืน่ ต่อไป กำรเล่นโคบไข่เต่ำ มีผเู้ ล่นเป็นเต่าอยู่ 1 คน ขดุ หลุมเอกไมห้ รือกอ้ นดินกอ้ นหินกไ็ ดส้ มมุตวิ า่ เป็ นไข่เต่าใส่ในหลุมนงั่ ครอบไว้ เด็ก ๆ คนอ่ืนจะพยายามแยง่ ไข่เต่า แต่ตอ้ งไม่ใหผ้ นู้ ง่ั ครอบอยนู่ ้นั เอาเทา้ ถีบหรือจบั หรือถูกเน้ือตอ้ งตวั ได้ หากถูกตวั คนใดผนู้ ้นั จะตอ้ งไปนง่ั ครอบไขเ่ ตา่ แทน กำรเล่นเกำะเอวขำยหวี ผเู้ ล่นก่ีคนกไ็ ดย้ นื เกาะเอวกนั เป็ นแถวแลว้ กางขามีอีกผหู้ น่ึงเอาไมห้ รือกอ้ นหินลอด หวา่ งขาไม้ หรือกอ้ นหินปาถูกขาผใู้ ดน้นั ตอ้ งออกจากแถวมาเป็ นคนปาไมแ้ ทนผลดั กนั เช่นน้ีจนกวา่ จะเหนื่อยจงึ จะเลิก กำรเล่นสักกะเด๊ะ คอื การเล่นตาหวั กระโหลกขีดตารางบนพ้นื ดินนาเบ้ยี หรือกอ้ นลกั ษณะแบน ๆ โยนใส่ ตารางเรียง ตามลาดบั ทต่ี กลงกนั ไว้ สกั กะเด๊ะ คือกระโดดขาเดียวไปหยบิ คนื มาแลว้ กระโดดขาเดียวกลบั ออกมา นอกตารางหากพลาดไปเหยยี บเสน้ ทข่ี ดี ไวต้ อ้ งเปล่ียนใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงเล่นต่อ ฝ่ายใดโยนเบ้ียไปถึงตารางสุดทา้ ย แลว้ เก็บออกมาไดก้ ่อนถือเป็นฝ่ ายชนะ

26 กำรเล่นบะถบ คอื การเล่น “บอกถบ” ของลา้ นนา หรือปื นลม ของเดก็ ภาคกลางประมาณคร่ึงเซนติเมตร ใช้ ไมไ้ ผข่ นาดเลก็ เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณคร่ึงเซนตเิ มตร ใชไ้ มไ้ ผอ่ ีกอนั ขนาดเหมาะมือจบั ของเดก็ ท่ีจะเล่น มีความยาวกวา่ ตวั กระบอกประมาณ ๑ ฝ่ามือของผเู้ ล่น ไมไ้ ผช่ ิ้นน้ีเหลือส่วนมือจบั ไวน้ อกน้นั เหลาใหเ้ ล็กพอ จะสอดในกระบอกไมอ้ กี อนั ไดพ้ อเครือ ๆ เม่ือใส่เขา้ ไปในรูกระบอก ใหป้ ลายไมส้ ้นั กวา่ รูกระบอกประมาณ คร่ึงเซนติเมตร จะไดป้ ื นลมไปเล่นได้ ลูกปื นใชใ้ บไมห้ รือดอกไมส้ ดป้ันเป็ นกอ้ นกลมอดั เขา้ ไปในรูกระบอก ใหแ้ น่น ใชไ้ มอ้ ีกสองอนั สอดลมเขา้ ในกระบอก ใหล้ ูกปื นใบไมน้ ้นั ทะลอุ อกอีกดา้ นหน่ึง จะเกิดเสียงดงั เป็นท่ี ถูกใจผเู้ ล่น กำรเล่นสะบ้ำ การเล่นสะบา้ หรือการเล่นหมะบา้ เป็นท่ีประทบั ใจของผสู้ ูงอายหุ ลายคน เป็ นการละเล่นของ หนุ่มสาวจะไดม้ ีโอกาสมาชุมนุมเก้ียวพาราสีกนั นิยมต้งั วงเล่นเวลากลางคนื ในฤดูหลงั การเกบ็ เกี่ยวขา้ วในนา เสร็จประมาณเดือน ๖-๗ เหนือ หรือราว ๆ เดือนมีนาคม เมษายนมีวธิ ีการเล่นดงั น้ี จานวนผเู้ ล่นก่ีคนกไ็ ดแ้ ตต่ อ้ งไม่นอ้ ยกวา่ ๒ คนแบ่งออกเป็ น ๒ ฝ่าย ฝ่ายต้งั ลูกสะบา้ จะมีลูกสะบา้ ๒๐ ลูก ฝ่ายยงิ อาจมี ๒ ลูก ลูกสะบา้ ทาจากไมส้ กั เจียนใหก้ ลม ๆ แบน ๆ ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ ๒ น้ิว หนาประมาณคร่ึงนิ้ว หรือใชเ้ มลด็ สะบา้ อนั เป็ นไมป้ ่ าชนิดหน่ึงก็ได้ แตป่ ัจจุบนั น้ีหาไดย้ าก หากจะเล่นจงึ นิยม ใชไ้ มส้ กั เจียนแทนเม่ือเร่ิมเล่นฝ่ ายต้งั ลูกสะบา้ จะนาลูกสะบา้ ท้งั หมด ๒๐ ลูก มาเรียงหนา้ กระดาน บอกให้ อีกฝ่ายยงิ ทลี ะลูกตามทชี่ ้ีใหย้ งิ ฝ่ ายยงิ ลูกใชว้ ธิ ีเรียงตามลาดบั ดงั น้ี ๑. ต้งั เกา้ เซ้ิง ใชล้ ูกสะบา้ วางบนหลงั เทา้ กระโดดขาเดียว ไปใหใ้ กลแ้ ถวสะบา้ ทอี่ ีกฝ่ ายต้งั ไวไ้ ดแ้ ค่ สุดเขตทก่ี าหนดไวพ้ ยายามใชห้ ลงั เท่าเหวย่ี งลูกสะบา้ ไปใหถ้ ูกลกู ท่ีฝ่ ายต้งั กาหนดใหห้ ากยงิ พลาดไม่ถูกตอ้ ง เปล่ียนไปเป็นฝ่ายต้งั ใหฝ้ ่ายต้งั พลดั ไปเป็นฝ่ ายยงิ หากยงิ ถูกจะไดย้ งิ ลูกตอ่ ไป จนหมดครบ ๒๐ ลูก แลว้ เปลี่ยน ท่ายงิ เป็ นอีโท ๒. อีโท คอื โยนลูกสะบา้ จากทกี่ าหนดให้ ไปใหถ้ ูกฝ่ายต้งั กาหนดให้ ถา้ พลาดกก็ ลบั เป็ นฝ่ ายต้งั ถา้ ยงิ ไดห้ มดทกุ ลกู จะข้ึนทา่ ยงิ ใหม่เป็น อีหวั เขา่ ๓. อีหวั เข่า หรืออีดีด ผยู้ งิ จะนงั่ ยอง ๆ วางลูกสะบา้ บนขาใกล้ ๆ กบั หวั เขา่ เล็งใหด้ ีแลว้ ดีด ลูกสะบา้ ไปใหถ้ ูกลูกท่ีฝ่ายต้งั ช้ีบอก ตอ้ งยงิ ใหไ้ ดห้ มดตามที่ฝ่ ายต้งั ช้ี หากฝ่ ายใดยงิ ครบ ๓ ทา่ ยงิ โดยแตล่ ะทา่ ตอ้ งลม้ ลกู สะบา้ ท่ีฝ่ ายต้งั ลูกไวไ้ ดห้ มดตะโกนวา่ “โสดๆ” หรือสุด แปลวา่ จบเกมตอ้ งเร่ิม “ต้งั เกา้ เซิ้ง” ระหวา่ งท่ี ยงิ หากใครทาพลาดจะร้องกนั วา่ “ชุมๆ” แปลวา่ แพ้ ตอ้ งเปลี่ยนใหอ้ ีกฝ่ายมาเป็ นฝ่ายยงิ แทน พลดั กนั เล่นอยู่ อยา่ งน้ีจนกวา่ จะเลิกเล่น

27 กำรเล่นปื นก้ำนกล้วย ทาจากกา้ นใบของกลว้ ยทม่ี ีขนาดพอดียาวประมาณ ๑ เมตร แลว้ ใชม้ ีดปาดดา้ นสนั นูนเฉียงลึก ลงไป ๑-๒ น้ิว ยกส่วนท่ีปาดข้นึ มาใหต้ ้งั ฉากสูงประมาณ ๒-๓ น้ิว ทาประมาณ ๖-๑๐ อนั ห่างกนั พอประมาณ เวลาเล่นก็ใชส้ นั มือพนั ปาดไปตามสนั นูนกา้ นกลว้ ยเมื่อไดส้ ่วนท่ปี าดข้นึ มาตกลงไปตามร่องจะทาใหเ้ กิดเสียงดงั คลา้ ยเสียงลูกปื น หากมีการแข่งขนั กนั กใ็ หส้ ญั ญาณเล่น ตดั สินผลแพช้ นะทีก่ ารเกิดเสียงดงั และรวดเร็ว กำรเล่นม้ำก้ำนกล้วย ก็เป็นการเล่นอีกอยา่ งหน่ึงท่ีทาจากกา้ นกลว้ ย ขนาดความยาวของกา้ นกลว้ ยประมาณ ๒ เมตร ตรงโคนของกา้ นกลว้ ยทาเป็นรูปหวั มา้ แลว้ ใชไ้ มเ้ สียบตวั มา้ กา้ นกลว้ ย ส่วนเชือกมา้ ก็ทาจากริมกาบ ของตน้ กลว้ ย เดก็ ๆ จะใชข้ ่เี ล่นแข่งขนั เป็ นทส่ี นุกสนาน ควำมหมำยและขอบข่ำยตำนำนพนื้ บ้ำน นกั ประวตั ศิ าสตร์ ใหค้ วามหมายเก่ียวกบั ตานาน (Myth) วา่ เป็นเร่ือง มายาคติ นกั ประวตั ศิ าสตร์ ใหค้ วามหมายเก่ียวกบั ตานาน (Myth) วา่ เป็ นส่ิงที่ไม่ใช่ความจริงซ่ึง ส่ิงดงั กล่าวน้ีจะเป็นส่ิงท่ีจะตอ้ งมีส่วนเกี่ยวขอ้ งและนามาศึกษาในเร่ืองราวความเป็ นประวตั ิศาสตร์รฐั ตำนำน (Myth) น้นั เกิดจากการเขยี นข้ึนของคนภายในทอ้ งถ่ินหรือชุมชนน้นั ๆ หรือ เรียกวา่ ประวตั ศิ าสตร์ขา้ งใน (Internal History) ตานานน้นั เป็ นประวตั ศิ าสตร์ที่ มี ชีวติ (Living History) กล่าวคือ เกิดการโตต้ อบอยตู่ ลอดเวลาและจะเป็ นส่ิงท่นี ามาซ่ึงการเกิดการปราณีปรานอม จากประวตั ิศาสตร์ภายนอก(External History)หรือบคุ คลภายนอก ซ่ึงจะบอกวา่ ถูกผดิ ไมไ่ ดเ้ พราะมนั เป็ น มายาคตซิ ่ึงจะเป็นการหาขอ้ ยตุ ไิ ม่ไดจ้ ากคนภายนอก แตต่ อ้ งศึกษาและคน้ ควา้ สอบถามจากคนภายในชุมชน น้นั ๆซ่ึงจะมีการโตต้ อบจากคนภายนอกได้ ตำนำน (Myth) คือ ประวตั ิศาสตร์ท่คี นในทอ้ งถ่ินสรา้ งข้ึน หรือจนิ ตนาการหรือสมมุติ ข้ึน เพอื่ สรา้ งใหเ้ กิดสานึกร่วมของคนในกลุ่มชาตพิ นั ธุแ์ ละการเป็นผทู้ ่ีอยใู่ นพ้นื ทวี่ ฒั นธรรมหรือทอ้ งถิ่น เดียวกนั เป็นสาคญั ในการทาใหเ้ กิดชุมชนทางจินตนาการ(Imagined community) ท้งั ในระดบั ทอ้ งถิ่นและ ระดบั ชาติข้ึน ความหมายของคาวา่ “ตานาน” น้นั ไดถ้ ูกบดิ เบอื นไปมาก การจะเอามุมมองแบบตะวนั ตกไป นิยามความหมายของตานาน ซ่ึงเป็นภูมิปัญญาแบบด้งั เดิมน้นั เป็ นสิ่งทไี่ ม่เหมาะสมอยา่ งยงิ่ ยง่ิ ในโลกสมยั ใหม่ ท่มี ีแนวโนม้ ท่ีจะมองตานาน เป็ นเร่ืองเล่าลมๆแลง้ ๆ ประเภทนิทานปรมั ปรา หรือ เร่ืองหลอกเด็กใหก้ ลวั ซ่ึง ท้งั หมดน้ีหาใช่ความหมายทแ่ี ทจ้ ริงในวฒั นธรรมพ้นื เมือง ผคู้ นในสงั คมสมยั ใหม่มกั จะใชม้ าตรวดั ทาง

28 วทิ ยาศาสตร์วตั ถุนิยมไปตีคา่ ความงามในประสบการณ์และวถิ ีชีวติ ผคู้ นอยา่ งปราศจากความเคารพ จึงยากทีเ่ รา จะเขา้ ถึงความลึกซ้ึงของความหมายทีม่ ีชีวติ ในตานานหรือเทพปกรณัมที่วา่ น้ี คุณค่าของตานานในสงั คมด้งั เดิม เกิดข้นึ จากพ้นื ฐานของการใชช้ ีวติ ของผคู้ นใชช้ ีวิตอยา่ งไม่แยกขาดออกจากผนื ดินและธรรมชาติ ความซบั ซอ้ น ของวถิ ีชีวติ การดารงชีพเพอ่ื ความอยรู่ อด ลมฟ้าอากาศ โรคภยั ไขเ้ จบ็ และความสงบสุขของชุมชน ตานาน คอื ระบบการศกึ ษาในตวั ของมนั เอง คอื การเรียนรูท้ แี่ ทรกตวั อยกู่ บั ทุกมุมของชีวติ ประจาวนั เอลิอาเดกลา้ หาญ ทีจ่ ะต้งั คาถามอยา่ งถึงราก ต่อการตคี วามคาวา่ “ความจริง” ของผคู้ นสมยั ใหม่ ควบคูไ่ ปกบั การต้งั คาถามเชิง คุณคา่ วา่ วฒั นธรรมชนพ้นื เมืองไดใ้ หค้ วามหมายของความจริงตา่ งออกไปอยา่ งไร ความสนใจของเขาในงาน ช้ินน้ีมุ่งเนน้ ไปทีต่ านานทมี่ ีชีวติ ซ่ึงหมายถึง ตานานอนั ยงั คงเป็ นพน้ื ฐานของการดาเนินชีวติ ในแตล่ ะวนั ของ ผคู้ นในสงั คม ในบริบทของโลกทีม่ ีชีวติ และศกั ด์ิสิทธ์ิ เทพปกรณมั (ตานานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ) ถือเป็น การเล่าเรื่องในแบบของพธิ ีกรรม ( ritual ) พธิ ีกรรมเป็นหนทางทท่ี าให้ผเู้ ขา้ ร่วมพธิ ีผา่ นเขา้ สู่โลกเหนือกาลเวลา มีส่วนร่วมกบั เหตุการณ์อนั เป็นส่ิงทีเ่ กิดข้นึ ใน “จดุ เริ่มแห่งเวลา (Primordial Time)” ตวั ละครท่เี ป็นสิ่งมีชีวติ เหนือมนุษยเ์ ป็นผกู้ ่อกาเนิดสิ่งตา่ งๆ จนเกิดเป็นจกั รวาลอนั มีชีวติ เกิดเป็นมนุษย์ สรรพสตั ว์ ภูเขา ตน้ ไม้ ฯลฯ เทพปกรณมั จะกล่าวถึงเฉพาะเหตกุ ารณ์อนั เป็ นจดุ กาเนิด ใหเ้ ราเขา้ ใจถึงความหมายของการมีอยขู่ องชีวติ และ สรรพสิ่งรอบตวั ดงั น้นั เทพปกรณัมคือเร่ืองที่เกิดข้นึ จริง พสิ ูจน์ไดจ้ ากการมีอยขู่ องสรรพส่ิงในโลก เร่ืองจริง จะตอ้ งมีนยั ของความศกั ด์ิสิทธ์ิ สามารถพาผฟู้ ังใหเ้ ขา้ ไปสมั ผสั กบั ประสบการณ์เหนือกาลเวลา นามาซ่ึงการ ตระหนกั ถึงคุณคา่ และความหมายของการมีชีวติ อยใู่ นปัจจุบนั ส่วนเทพนิยาย นิทาน เรื่องเล่าทวั่ ไป จะบอกถึง เรื่องราวสามญั การผจญภยั ของเหล่าวรี บุรุษ วรี สตรีบนโลกท่ีเราอาศยั อยู่ โดยไม่ไดท้ าหนา้ ทีเ่ ป็นสะพานเชื่อม ระหวา่ งโลกเหนือกาลเวลา ณ จุดเริ่มตน้ ของจกั รวาลแต่อยา่ งใด เทพปกรณมั หรือตานานอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิท่กี ล่าวถึงจดุ เร่ิมของจกั รวาล จะประกอบดว้ ยตานาน ยอ่ ยๆ อนั แสดงถึงรายละเอียดของความสมั พนั ธอ์ นั ซบั ซอ้ นของชีวติ และสรรพสิ่งในจกั รวาล เช่นเดียวกนั กบั เทพปกรณัม ตานานจะประกอบดว้ ยตวั ละครเหนือมนุษย์ โดยมากมกั จะเป็ นเหล่าทวยเทพทม่ี ีอิทธิฤทธ์ิบนั ดาล สิ่งตา่ งๆ ใหเ้ กิดข้นึ ไดใ้ นพริบตา การกระทาของตวั ละคร ในตานานจะก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงตอ่ โลก ที่เราอาศยั อยโู่ ดยตรง เพราะผลของการกระทาน้นั เกิดข้ึนในจุดเริ่มตน้ แห่งการเวลาและการมีอยู่ ส่วนการกระทา ของตวั ละครในเทพนิยายหรือนิทานหาไดส้ ่งผลใดๆ เป็นเพยี งเร่ืองสอนใจในบริบทของความสามญั ในข้นั โลกๆ ของมนุษยเ์ ดินดินเทา่ น้นั เช่น ในตานานการกาเนิดของมนุษย์ เหตุการณ์น้นั เป็ นเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึนจริงพสิ ูจน์ ไดจ้ ากการดารงอยขู่ องมนุษยใ์ นปัจจบุ นั แตม่ นุษยก์ ็หาไดเ้ ป็นอมตะ วนั หน่ึงเราทุกคนตอ้ งตาย เหตุผลของการ ไม่เป็ นอมตะก็เพราะ มีบางส่ิงบางอยา่ งเกิดข้ึนใน “ จดุ เร่ิมตน้ แห่งกาลเวลา ” ถา้ เหตกุ ารณ์น้นั ไม่อุบตั ขิ ้นึ เราก็ คงมีชีวติ อยเู่ ป็นอมตะอยา่ งภเู ขาหรือทอ้ งฟ้า ตานานแห่งความตายบอกใหเ้ ราไดร้ ู้ถึงสิ่งทเ่ี กิดข้นึ ในโลกศกั ด์ิสิทธ์ิ เหนือกาลเวลา ทีม่ ีผลกระทบสืบเน่ืองมาสู่ความดารงอยู่ ในปัจจบุ นั

29 โครงสร้างของตานาน ประกอบดว้ ยส่วนสาคญั ๆดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) เหตุการณ์ประวตั ิศาสตร์อนั เป็นผลจากการกระทาของเทพเจา้ หรือส่ิงมีชีวติ เหนือมนุษย์ ๒) ประวตั ิศาสตร์น้นั ถือเป็นเรื่องจริง อนั พสิ ูจน์ไดจ้ ากการดารงอยขู่ องผลพวงในปัจจบุ นั ๓) ตานานจะเก่ียวขอ้ งกบั การกาเนิดเกิดข้ึนของบางส่ิงบางอยา่ งเสมอ ๔) เมื่อเราเขา้ ใจถึงตน้ กาเนิด สมั ผสั ถึงความหมายของการดารงอยู่ เราก็จะกลายเป็ นส่วนหน่ึง ของตานาน มีชีวติ อยใู่ นตานาน และสามารถเป็ นส่วนหน่ึงของการปรบั เปล่ียนทีเ่ หมาะสมตามเหตุปัจจยั ใน ปัจจบุ นั จะเห็นไดว้ า่ ตานานหาใช่เร่ืองนอกตวั เรื่องนามธรรมอนั จบั ตอ้ งไม่ได้ แต่ตานานคือปัญญาท่ีเกิดจาก ประสบการณ์ตรงจากการเป็นส่วนหน่ึงของความศกั ด์ิสิทธ์ิในวถิ ีแห่งพธิ ีกรรม อนั เป็นสะพานเชื่อมนาเราจาก โลกสามญั ร่วมสมยั ไปสู่โลกศกั ด์ิสิทธ์ิเหนือกาลเวลาอนั เป็ นจดุ กาเนิดแห่งสรรพสิ่ง เพราะความเปล่ียนแปลง ทีแ่ ทจ้ ริง (transformation) จะเกิดข้ึนไดก้ แ็ ต่เฉพาะในประสบการณ์ศกั ด์ิสิทธ์ิเหนือกาลเวลาเทา่ น้นั ๕) ชีวติ ทีม่ ีความหมายทแ่ี ทจ้ ริง คอื ชีวติ ท่ีดาเนินไปบนพลงั ความศกั ด์ิสิทธ์ิของตานาน (Living a myth) เป็ นชีวติ ทไ่ี ม่แยกขาดจากจุดกาเนิดเดิมแท้ (Primordial Source) ในทกุ ลมหายใจเขา้ ออก ชีวติ ในตานานแสดงถึงประสบการณ์อนั ลึกซ้ึงทางจิตวญิ ญาณ ทแ่ี ตกต่างไปจากประสบการณ์ธรรมดาสามญั ใน ชีวติ อยา่ งโลกๆ ควำมสำคญั ของคตชิ นและคติชนวิทยำ คตชิ นเป็นเรื่องของคนและชุมชน คตชิ นวทิ ยาเป็นความรู้เก่ียวกบั คนและชุมชน อนั เป็ น พ้นื ฐานของศาสตร์ในสาขาวชิ าต่างๆ เพราะคนในชุมชนแสดงวถิ ีชีวติ ที่สะทอ้ นความคดิ ความเชื่อ ความเป็ น ตวั ตน ความเป็นชุมชนออกมาใหป้ รากฏเป็นเอกลกั ษณ์ คตชิ นเป็ นวชิ าทีจ่ ะสรุปเร่ืองราวเหล่าน้นั ใหเ้ ป็ นศาสตร์ นนั่ คอื มีการสารวจรวบรวม ทดลอง วจิ ยั วเิ คราะห์ จนสรุปเป็ นทฤษฎีไดแ้ ละแพร่หลายในวงวชิ าการ เป็ นศาสตร์ พน้ื ฐานทีจ่ ะต่อยอดเป็นศาสตร์อ่ืนต่อไป ควำมสำคญั ของคติชน 1. เป็ นการแสดงเอกลกั ษณ์ประจาถิ่น แตล่ ะทอ้ งถิ่นมีวฒั นธรรมของตนเอง ไม่วา่ จะเป็ นชาวเขา ชาวเผา่ คนกลุ่มนอ้ ย ชาวเกาะ ชาวดอย ชาวเม่ือ ลว้ นมีเอกลกั ษณ์วฒั นธรรมของตนเองสามารถนามารับใชส้ งั คม ของตนได้ เช่น ความเช่ือ การรกั ษาโรค พธิ ีกรรม การหาความบนั เทงิ ท่ีทุกถ่ินมีความเจริญทางวฒั นธรรม 2. แสดงความเป็นชาติ เม่ือมีการรวมกลุ่มทอ้ งถิ่นเป็นการรวมถ่ินที่อยเู่ ป็ นชาติ มีคตชิ นเป็น เอกลกั ษณ์ประจาชาติได้ เช่น ชาตไิ ทย มีอาหารไทย มีแพทยแ์ ผนไทย มีการละเล่นแบบไทย มีอากปั กิริยา แบบไทย (การไหว้ การกราบ รอยยม้ิ ทกั ทาย) และมีวถิ ีไทยตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง 3. แสดงความมีวฒั นธรรมกลุ่มชนทมี่ คี ติชนของตนคือ วา่ เป็นกลุ่มชนทมี่ ีวฒั นธรรม เพราะ คตชิ นผา่ นกระบวนการคดิ สร้างสรรคท์ ่ลี งตวั แลว้ จึงปรากฏใหร้ บั รู้และสืบทอด กลุ่มชนทม่ี ีความคดิ และพฒั นา

30 ความคดิ มาเป็ นการแสดงออกไดเ้ ช่นน้ี ถือวา่ เป็นกลุ่มชนที่เจริญ นบั จากมีภาษาพดู มีศลิ ปะการพดู มีการ ประดิษฐส์ ิ่งของ เครื่องใช้ มีการประดิษฐย์ ารกั ษาโรค มีภาษาเขียน ฯลฯ 4. ก่อเกิดการพฒั นาศาสตร์สาขาต่างๆ คตชิ นเป็ นศาสตร์ประจาชาตกิ ส็ ามารถนาไปพฒั นาเป็ น ศาสตร์อื่นและใชป้ ระกอบศาสตร์อื่นๆ ได้ เช่น แพทยศาสตร์ ชีววทิ ยา คหกรรมศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ นาฏศลิ ป์ ดนตรี จิตรกรรม

31 บทที่ ๓ วิธีดำเนินกำร แหล่งข้อมูล 1. ศกึ ษาตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคาจากเอกสารหลกั สูตรทอ้ งถิ่นของโรงเรียนสงั กดั สานกั งานการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานเพอ่ื เป็ นแนวทางในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 2. รวบรวม เก็บภาพถ่ายสถานทต่ี า่ งๆ ทีป่ รากฏในตานานพ้นื บา้ นเพอื่ นามาประกอบและ เช่ือมโยงกบั เน้ือหา 3. นาเร่ืองราวตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคาทกี่ ระจดั กระจายอยมู่ ารวบรวมเป็ นรูปเล่มเพอ่ื ใหบ้ ริการคน้ ควา้ และเผยแพร่ เป็ นแหล่งขอ้ มูลทอ้ งถ่ินและเอกสารหายากของอาเภอเชียงคาต่อไป 4. เผยแพร่ตานานพน้ื บา้ นในอาเภอเชียงคา เพอื่ ใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดท้ ราบถึงตานานหรือ ประวตั ิความเป็นมาของทอ้ งถ่ินตนเอง ทาใหต้ ระหนกั และรักในทอ้ งถ่ินของตนเองเพมิ่ มากข้ึน ข้นั ตอนดำเนินกำร สารวจ และรวบรวมตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา เกี่ยวกบั สถานท่ี โบราณสถานทีส่ าคญั ๆ ท้งั รูปภาพ และเน้ือหา รวบรวมเน้ือหาเป็นรูปเล่มเพอื่ สะดวกในการคน้ ควา้ และเผยแพร่ โดยมีเน้ือหาสาระคอื ตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา ความเป็ นมาและความสาคญั วตั ถุประสงค์ ขอบเขตการศึกษา ประโยชนท์ ่ี ไดร้ ับ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง ขอ้ มูลพน้ื ฐานอาเภอเชียงคา สภาพทว่ั ไปของอาเภอเชียงคา ประวตั คิ วามเป็นมา สถานทที่ ่องเท่ยี ว ประเพณีพธิ ีกรรม และความเช่ือ อาหารการกิน ความหมายและ ขอบขา่ ยตานานพ้นื บา้ น แหล่งขอ้ มูล ตานานเมืองเชียงคา ตานานพระเจา้ นงั่ ดิน ตานานพระธาตุดอยคา ตานานพระธาตุสบแวน ตานานวดั นนั ตาราม ตานานวดั แสนเมืองมา ตานานวดั หยว่ น ตานานหลวงพอ่ หิน สรุปตานานพ้นื บา้ นในอาเภอเชียงคา ปัญหาและขอ้ เสนอแนะ

32 ตำนำนเมืองเชียงคำ เชียงคำกบั ควำมเป็ นมำ นกั โบราณคดีไดแ้ บง่ ดินแดนภาคเหนือในอดีตออกเป็ น ๓ เขตใหญ่ คอื ดินแดนลุ่มน้าอิง ดินแดนลุ่มแม่น้ากก และดินแดนล่มุ แม่น้าน่าน ( ศรีศกั ด์ิ วลั ลิโกดม , ๒๕๒๕ : ๑๖ – ๑๗ ) ลุ่มแม่น้ากกน้นั รวมถึงแม่น้าสายและแมน่ ้าโขง แม่น้าลาวกินบริเวณนบั แตเ่ ทอื กเขาขนุ ตาล เทอื กเขาแดนลาว ไปทางเขตจงั หวดั น่าน ดา้ นลุ่มแม่น้าอิงถึงเทือกเขาดอยหลวง ฝั่งกวา๊ นพะเยา นกั ประวตั ศิ าสตร์บางทา่ นเรียกดินแดนแถบน้ีวา่ ทร่ี าบเชียงราย ในอาณาบริเวณท่วี า่ น้ี มีชุมชนโบราณต้งั อยมู่ าแตด่ ึกดาบรรพ์ บางชุมชนมีขนาดใหญ่และ มีอานาจทางการปกครองตอ่ มา เช่น เชียงแสน เชียงราย และพะเยา และมีหวั เมืองเลก็ หวั เมืองนอ้ ยอีกหลาย หวั เมือง พอ่ ขนุ มงั รายไดร้ วบรวมหวั เมืองเหล่าน้ีเป็นฐานกาลงั เขา้ ยดึ ครองดินแดนลุ่มน้าอิง สร้างอาณาจกั ร ลา้ นนาในปี พทุ ธศกั ราช ๑๘๓๙ จานวนเมืองโบราณท่ีกล่าวถึงในพงศาวดารหรือตานานในยคุ โบราณท่ีคน้ พบแลว้ ถึง ๑๕ แห่ง ซากโบราณสถานเมืองเชียงคาเก่า ณ บา้ นเวยี ง ตาบลเวยี ง เป็ นหน่ึงในจานวนซากเมืองโบราณเหล่าน้นั ( จิตร ภูมิศกั ด์ิ,๒๕๓๘ : ๑๑๒ ) แสดงวา่ เมืองเชียงคามีประวตั ิยนื ยาวมาแต่อดีต ร่วมสมยั พอ่ ขนุ มงั ราย – งาเมือง หรืออาจจะก่อนหนา้ น้นั

33 เชียงคำยุคตำนำน ชุมชนในท่ีราบลุ่มแม่น้ากก – แม่น้าอิง หรือท่ีราบเชียงราย – พะเยาน้นั มีพฒั นาการมาจากรฐั ขนาดเลก็ และเจริญเติบโตเป็นรัฐขนาดใหญต่ ามลาดบั ซ่ึงอาจแบ่งออกเป็ น ๒ สมยั คอื สมยั ชุมชนในตานาน และสมยั เงินยาง หรือท่ีศรีศกั ด์ิ วลั ลิโภดม ใชค้ าวา่ สมยั นิยาย ( mythical period ) และสมยั ประวตั ิศาสตร์ ชุมชนในตานานของลา้ นนา ก่อนสมยั เงนิ ยาง ( เชียงแสนเก่า ) เป็ นระยะเวลาก่อนพทุ ธ ศตวรรษที่ ๑๖ หรือ ๑๗ ยอ้ นไปในอดีต มีตานานหลายฉบบั ท่ีกล่าวถึงชุมชนในดินแดนทรี่ าบแอ่งเชียงราย ได้ สรา้ งบา้ นแบง่ เมืองเป็นหลกั ฐานมน่ั คง นบั แต่ตานานสุวรรณโคมคา ตานานเมืองเชียงแสน ตานานเมืองสุวรรณ โคมคา กล่าวถึงชุมชนท่อี าศยั อยใู่ นแอ่งเชียงราย ลุ่มแม่น้าสาย แม่น้ากกวา่ เป็ นชุมชนขนาดใหญ่ มีรูปแบบการ ปกครองในลกั ษณะนครรัฐ ส่วนในตานานเมืองเชียงแสน กล่าวถึงชนเผา่ ไทย ท่อี พยพมาจากดินแดนตอนใต้ ของจีน มาสรา้ งเมืองโยนกนคร ( มานิต วลั ลฺโภดม , ๒๕๑๒ : ๒๑๙-๒๓๐ ) ตำนำนพระธำตุดอยคำ – พระเจ้ำน่งั ดนิ เมืองเชียงคา เหมือนกบั หวั เมืองโบราณอ่ืนๆ ในภูมิภาคน้ี กล่าวคอื มีพฒั นาการผา่ นยคุ ตานาน เช่นกนั ตานาน พระธาตดุ อยคา ฉบบั วดั หนองร่มเยน็ ไดก้ ล่าวถึงพญาตนหน่ึง ไดส้ ร้างเมืองเชียงชะราว ณ บริเวณบา้ นคุม้ หมู่ท่ี ๕ ตาบลร่มเยน็ พญาตนน้นั ได้ สรา้ งพระธาตุบรรจุเสน้ พระเกศาของพระพทุ ธเจา้ บนดอยนอกเมือง ดอยน้นั มีชื่อตามตานานวา่ ดอยสิงหก์ ุตระ แต่ตานานพระเจา้ นง่ั ดินกล่าววา่ พญาผสู้ รา้ งเมือง ชื่อวา่ พญาคาแดง และเมืองน้นั ช่ือ พทุ ธรสะ ภายหลงั เมืองน้ีเจริญรุ่งเรือง จึงไดช้ ื่อวา่ เมืองเชียงคา ในตานาน พระธาตุดอยคา ไดข้ ยายความตอ่ ไปวา่ ต่อมาพญาผปู้ กครองเมืองไม่อยใู่ นศีลใน สตั ย์ กดข่เี บยี ดเบียนราษฎรไดร้ ับความทกุ ขย์ ากแสนสาหสั และกล่าวถึงหญิงม่ายไร้ญาติคนหน่ึง ไปหาของป่ า แถบลุ่มแมน่ ้าหลงั ดอยสิงห์กุตระ พบแหล่งทองคาบริเวณเชิงดอยใกลแ้ ม่น้าสายหน่ึง จงึ ขดุ เกบ็ มาขายเล้ียงชีพ วนั ละเล็กละนอ้ ย ดว้ ยเกรงจะเป็ นทีส่ งั เกตของชาวเมือง และจะมีภยั แก่ตนเอง แตค่ วามกท็ ราบถึงพญาเจา้ เมือง ดว้ ยมีผสู้ งั เกตเห็นหญิงม่ายคนน้นั มีอนั จะกินข้นึ กวา่ ปกตทิ ้งั ท่ีไม่ปรากฏอาชีพทามาหากินเป็นล่าเป็ นสนั แตป่ ระการใด จึงนาความไปทลู แก่พญาเจา้ เมือง นางถูกบบี ค้นั จึงสารภาพวา่ ตนไดพ้ บแหล่งทองคาโดยบงั เอิญ และไดน้ าออกมาขายวนั ละเลก็ ละนอ้ ย พญาเจา้ เมืองทราบความจริงแลว้ มีใจโลภ จงึ เกณฑข์ า้ ทาสบริวารไปขดุ ทองคา แต่ดว้ ยมีบุญญาธิการนอ้ ย ทองคาเหล่าน้นั ไดห้ ลบหายเขา้ ไปใตด้ อยท่พี ระธาตปุ ระดิษฐานอยู่ ดอยน้นั ไดช้ ่ือวา่ ดอยคา และพระธาตุไดช้ ื่อ ใหม่วา่ พระธาตดุ อยคา ( เจดียค์ า ) แม่น้าน้นั ก็ถูกเรียกวา่ แม่น้าคา ปัจจุบนั เรียกวา่ หว้ ยคา ไหลลงน้าหยว่ น เหนือ บา้ นสบสา ตาบลร่มเยน็

34 จำกเชียงชะรำวเป็ นเชียงคำ ดว้ ยเหตุท่ีพบขมุ ทองคาอนั มหึมาน้ีเอง เมืองเชียงชะราว จึงไดช้ ่ือวา่ เชียงคา และเมืองเชียงคา ยคุ ตานานก็ลม่ สลาย ดว้ ยเหตทุ ี่พญาเจา้ เมืองไม่ต้งั อยใู่ นสตั ยใ์ นธรรม อน่ึง เชียงคาในยคุ ตานานน้ี มีขอ้ มูลแสดง เหตุแห่งชื่อเชียงคาน้ีอีกสองตานาน คอื ตานานสิงหนวตั กิ ุมาร และตานานพระธาตสุ บแวน ตานานแรก กล่าวถึงเรื่อง สิงหนวตั ิกุมารอพยพยา้ ยถิ่นฐาน ลงมาจากทางใตข้ องจีน แสวงหา ชยั ภมู ิทีเ่ หมาะสม เพอื่ สร้างบา้ นแบง่ เมือง มีหลายเมืองที่สรา้ งแลว้ ละทง้ิ ไป ในบรรดาเมืองเหล่าน้นั มีเมืองหน่ึง ช่ือเมืองเวยี งพางคา เมืองพางคาท่วี า่ น้ี มีผสู้ นั นิษฐานวา่ น่าจะเป็ นเมืองเชียงคาเก่า อยทู่ ี่บา้ นเวยี ง ตาบลเวยี ง ตานานทีส่ องเก่ียวกบั เร่ืองนายเชียงบาน ในตานานพระธาตุสบแวน นามะม่วงไปถวาย พระพทุ ธเจา้ ซ่ึงเสดจ็ มาแสดงธรรมโปรดชาวเมืองเชียงชะราว พระพุทธเจา้ ทรงรับมะม่วงแลว้ ตรสั วา่ มะม่วงมี สีสนั เหลืองอร่าม สุกปลงั่ ดงั ทองคา สืบไปภายหนา้ เมืองน้ีจะเจริญรุ่งเรือง จะไดช้ ื่อวา่ เมืองเชียงคา ( ชานาญ รอดเขตภยั .๒๕๑๗ : ๒๓๔ เล่ม ๒ ) เชียงคำยคุ เงนิ ยำง ลาวเงนิ ครองนครเงินยาง ( เชียงแสนเก่า ) เป็ นกษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๔๑ นบั แตป่ ่ ูเจา้ ลาวจกหรือ ลวจกั ราช ( พระยาปกิจวรจกั ร , ๒๕๑๖ : ๒๓๒ ) ไดส้ งั่ พอ่ ขนุ จอมธรรม พระโอรสองคท์ ่ี ๒ นาไพร่พลมาสรา้ ง เมืองใหม่ คร้ันพบชยั ภมู ิท่ีเหมาะสม ใกลห้ นองน้าใหญแ่ ห่งหน่ึง ( กวา๊ นพะเยา ) และเชิงเขาชมพู ( ดอยดว้ น ) ในปี พทุ ธศกั ราช ๑๖๓๙ จงึ ไดต้ ้งั ชื่อเมืองท่สี ร้างใหม่น้ีวา่ ภกู ามยาว ดว้ ยเหตวุ า่ ต้งั อยบู่ นทางลาดเขาชมพู ทเ่ี ป็นเนิน พอ่ ขนุ จอมธรรม จดั ระบบปกครองเมืองภูกามยาวเป็นปันนา ในบรรดาปันนาเหล่าน้นั มีปันนา หน่ึงระบุชื่อวา่ ปันนาเชียงคา ซ่ึงพระเทพวสิ ุทธิเวที ยนื ยนั วา่ คือเมืองเชียงคา (ศลิ ปวฒั นธรรม ,มีนาคม ๒๕๓๔) พอ่ ขนุ เจอื ง เป็ นวรี บุรุษนกั รบที่ยง่ิ ใหญ่ ผนวกเอาบริเวณในปกครองของนครเงินยางเป็ นส่วนหน่ึงของภกู ามยาว แลว้ ขยายอาณาเขตไปถึงดินแดนสิบสองปันนา ยกกองทพั ไป ทาศึกถึงดินแดนภาคเหนือของเวยี ดนาม ในสมยั น้นั เรียกวา่ เมืองแกวมะกนั ซ่ึงพงศาวดารโยนกไดบ้ รรยายวา่ ถึงแมนตาทอก ขอบฟ้าตายนื หมายความวา่ ไกล สุดขอบฟ้า ถึงฝั่งมหาสมุทร คร้ังทย่ี กทพั ไปตีเมืองแกวมะกนั พอ่ ขนุ เจือง เกณฑไ์ พร่พลจาก ๒๑ หวั เมืองในเขต การปกครอง บญั ชีพลรบระบุ ชื่อเมืองเชียงคา เป็นหัวเมืองหน่ึง ในบรรดา ๒๑ หวั เมือง เหล่าน้นั (ชลธิชา สตั ยาวฒั นา , ๒๕๓๐ : ๑๘๓ )

35 เชียงคำสมยั พ่อขุนมังรำย พอ่ ขนุ มงั รายเป็นกษตั ริยส์ ืบเช้ือสายป่ ูเจา้ ลาวจก เช่นเดียวกบั พอ่ ขนุ เจือง และพระองคไ์ ดค้ รอง เมืองหิรญั เงนิ ยางสืบต่อจากลาวเมง ขณะที่พอ่ ขนุ งาเมืองครองภูกามยาวเป็ นอิสระมิข้นึ แก่กนั และกนั ( แสดงวา่ สมยั หลงั พอ่ ขนุ เจือง นครหิรญั เงนิ ยางแยกตวั เป็ นอิสระ ) พอ่ ขนุ มงั รายมีพระชนมช์ ีพหลงั พอ่ ขนุ เจอื ง ประมาณ ๑๔๐ ปี ทรงสร้างเมืองเชียงราย ในปี พทุ ะศกั ราช ๑๘๐๕ ( ราชบณั ฑติ ยสถาน ๒๕๒๖ : ๖๔๘๒ ) แลว้ ทรงยา้ ย มาประทบั ที่เมืองเชียงรายเตรียมการเพอ่ื ขยายอาณาเขต ทาสงครามกบั ภกู ามยาว และหริภูญไชย (ลาพนู ) ทรงรวบรวมหวั เมืองในแอ่ง เชียงรายเป็นหน่ึงเดียวกนั เมืองใดเขม้ แขง็ ไม่อาจหกั ลา้ งดว้ ยกาลงั ทหารพระองค์ จะผกู มิตรร่วมน้าสาบาน ดงั ทท่ี รงทากบั พอ่ ขนุ งาเมืองแห่งนครภูกามยาว เมืองใดพอจะหกั ดว้ ยกาลงั พระองค์ จะประกาศใหม้ าอ่อนนอ้ ม หากขดั ขนื จะใชก้ าลงั ทหารเขา้ โจมตี ถอดเจา้ เมืองเดิม แต่งคนของพระองคเ์ ขา้ ไป เป็นเจา้ เมืองแทน เมืองเชียงคาแขง็ เมืองไม่มาอ่อนนอ้ ม จึงถูกปราบอยา่ งรุนแรง และเจา้ เมืองเดิมถูกถอดออกไป ( ประชากิจกรจกั ร์ , ๒๕๑๖ : ๒๑๔ ) แสดงง่าเมืองเชียงคาในสมยั ทก่ี ล่าวน้ี เขม้ แขง็ พอสมควร จงึ กลา้ ขดั ขนื อานาจของเชียงราย พอ่ ขนุ มงั รายยดึ หวั เมืองในแอ่งเชียงรายไดแ้ ลว้ จงึ ไปสร้างเมืองฝาง เตรียมขยายอาณาเขตลงสู่ แม่น้าอิง ซ่ึงขณะน้นั มีหริภญู ไชย ( ลาพนู ) เป็น จุดศูนยก์ ลาง ทรงมอบใหพ้ ระโอรสปกครองเมืองเชียงรายแทน พอ่ ขนุ มงั รายปราบหริภญู ไชยไดแ้ ลว้ จึงสร้างเมืองเชียงใหม่เป็ นจดุ ศูนยก์ ลาง ในปี พทุ ะศกั ราช ๑๘๙๓ อนั เป็น ยคุ สมยั เขา้ สู่อาณาจกั รลา้ นนา เชียงคำสมยั พระเจ้ำแสนภู พระเจา้ แสนภปู ระทบั ณ เมืองเชียงใหม่ ทรงส่งองคร์ ชั ทายาทมาปกครองดูแลหวั เมืองในแอ่ง เชียงราย ซ่ึงบางคร้งั ประทบั ทเี่ มืองเชียงราย บางคร้งั ประทบั ท่เี มืองเชียงแสน ( เร่ิมต้งั แต่สมยั พระเจา้ แสนภู ) รอคอยที่จะไปครองเมืองเชียงใหม่ พระเจา้ แสนภเู ป็นพระนดั ดาของพอ่ ขนุ มงั ราย ( พ.ศ. ๑๘๖๘ – ๑๘๗๗ ) ครองเมืองเชียงราย ขณะน้นั หิรัญเงินยางกลายเป็ นเมืองรา้ ง พระเจา้ แสนภูโปรดใหส้ รา้ งเมืองใหม่ ณ บริเวณ เมืองร้างและประทานช่ือวา่ เชียงแสน ตามพระนามของพระองค์ ( ประชากิจกรจกั ร , ๒๕๑๙ : ๒๘๔ ) แลว้ ทรงยา้ ยเมืองเชียงรายไปประทบั ทีเ่ มืองเชียงแสน โดยนยั น้ี เชียงใหม่จึงเป็ นเมืองหลวงของอาณาจกั ร ส่วนเมือง เชียงแสนมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง คอื เมืองที่รชั ทายาทปกครอง พระเจา้ แสนภูโปรดใหป้ รบั ปรุงเขตแดน ระหวา่ งเชียงแสนกบั ภูกามยาว เมืองเชียงคามีฐานะ เป็นปันนาข้ึนตรงตอ่ เมืองเชียงแสน ซ่ึงแสดงวา่ เชียงคาคงสภาพเป็ นบา้ นเป็ นเมืองอยู่

36 เชียงคำสมยั พระเจ้ำคำฟู จวบจนถึงพทุ ธศกั ราช ๑๘๗๘ พระเจา้ คาฟู ปกครองลา้ นนา และทรงทาศึกชนะภกู ามยาม แลว้ ยกกาลงั ไปทาสงครามกบั เมืองน่าน แตไ่ มแ่ พช้ นะแก่กนั พระองคเ์ สด็จมาประทบั ท่เี มืองเชียงแสน ซ่ึง ตานานสุวรรณคาแดง กล่าววา่ พระองคม์ ีพระสหาย คนหน่ึงท่ีเมืองเชียงคาและเสดจ็ มาคา้ งแรม ณ เรือนพระ สหายบอ่ ยคร้งั คร้งั สุดทา้ ยทรงมีจิตปฏพิ ทั ธใ์ นภรรยาของพระสหายน้นั จนถึงเสียสตั ยล์ ะเมิดศีลเป็ นชูแ้ ก่กนั และ กนั ตอ่ มาพระองคล์ งสรงแม่น้าคา ถกู จระเขก้ ดั ถงึ ส้ินพระชนม์ ดว้ ยเหตุแห่งบาปกรรมคอื กาเมสุมิจฉาจาร (สงวน โชติสุขรตั น์ , ๒๕๑๕ : ๒๖๕ ) เชียงคำสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕ ประเทศไทยจดั ระบบการ ปกครองแผน่ ดินในภูมิภาคเป็นมณฑล จงั หวดั อาเภอ ตาบลและหมู่บา้ น คร้ังน้นั อาเภอเชียงคาข้นึ อยกู่ บั แขวงน้าลาว (รวมพ้นื ที่อาเภอเทิง จงั หวดั เชียงรายในปัจจุบนั ดว้ ย ) อยใู่ นเขตการปกครองของจงั หวดั น่าน โดยมีเจา้ สุริยวงศ์ ดารงตาแหน่งขา้ หลวง ท่วี า่ การแขวงต้งั อยู่ ณ วดั พระแกว้ ปัจจบุ นั คือ บา้ นเวยี ง ตาบลเวยี ง จงั หวดั พะเยา เมื่อ ร.ศ.๑๒๑ ( พ.ศ.๒๔๔๕ ) พวกเง้ยี วก่อการจลาจล บกุ ปลน้ สะดม ซ่ึงเป็นเง้ยี วทหี่ นีมาจาก เมืองแพร่ และเมืองเชียงของ ประมาณเดือนตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ทที่ าการแขวงน้าลาวถูกเผาเสียหาย ทางราชการส่ง เจา้ คุณดสั กร มาปราบปรามจนสงบและเห็นวา่ เมืองเชียงคาถูกเผาเสียหายเป็ นอนั มาก จงึ คิด จะยา้ ยและขยายเมือง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๖ เจา้ คุณดสั กร จงึ ยา้ ยทว่ี า่ การแขวงน้าลาวมาต้งั ณ บา้ นหยว่ น ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา ( บริเวณสานกั งานท่ีดินปัจจบุ นั น้ี ) ต่อมาทางราชการ ไดย้ บุ แขวงน้าลาว โดยจดั เป็นบริเวณน่านเหนือแบง่ เขตการปกครองพน้ื ท่ี อาเภอเชียงคา อาเภอปง จงั หวดั พะเยา อาเภอเทงิ อาเภอเชียงของ จงั หวดั เชียงราย เขา้ ดว้ ยกนั พร้อมแต่งต้งั ขนุ พราญ ไพรีรณ ดารงตาแหน่งขา้ หลวง เมื่อร.ศ.๑๒๘ ( พ.ศ. ๒๔๕๒ ) ทางราชการไดย้ บุ บริเวณน่านเหนือแบง่ พน้ื ท่ีอาเภอเชียงคา อาเภอเทิง อาเภอเชียงของ ข้นึ อยใู่ นเขตการปกครองของจงั หวดั เชียงราย พร้อมท้งั แตง่ ต้งั พระยาพศิ าลครี ี ดารงตาแหน่งนายอาเภอเชียงคาคนแรก บริเวณตลาดอาเภอเชียงคา ประชาชนเริ่มมีการติดต่อคา้ ขายหลงั จากขบั ไล่พวกเง้ียวออกไป พระยาพศิ าลคีรี ไดด้ าเนินการสร้างถนนสายหลกั จากอาเภอเชียงคา ไปอาเภอเทงิ ปัจจุบนั เรียกถนนสายน้ีวา่ “ ถนนพศิ าล ” เม่ือ พ.ศ.๒๔๘๕ หลวงฤทธ์ิภญิ โญ ดารงตาแหน่งนายอาเภอในขณะน้นั จึงยา้ ยทท่ี าการอาเภอ เชียงคาจากฝ่ังตะวนั ออก มาต้งั ณ ฝ่ังตะวนั ตก

37 ต่อมา พ.ศ. ๒๕๕๑ พนั ตรีชอบ มงคลรตั น์ นายอาเภอเชียงคา ขณะน้นั ไดย้ า้ ยที่ทาการ อาเภอเชียงคากลบั มาต้งั ณ ฝ่ังตะวนั ออกอีกครงั่ หน่ึง เม่ือวนั ท่ี ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ไดม้ ีพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั จงั หวดั พะเยาข้นึ โดยไดโ้ อน พ้นื ท่ีเขตการปกครองอาเภอเชียงคา มาข้ึนกบั เขตการปกครองจงั หวดั พะเยา เม่ือวนั ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๙ ไดม้ ีประกาศแบง่ พ้นื ทอ่ี าเภอเชียงคา เป็ น กิ่งอาเภอภซู าง มีผลบงั คบั ใชต้ ง่ั แตว่ นั ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ จนถึงปัจจบุ นั ภำพแสดงวถิ ีชีวิตของชำวเชียงคำจำกวหิ ำรวดั แสนเมืองมำ

38 ที่ว่ำกำรอำเภอเชียงคำหลงั เก่ำ ที่ว่ำกำรอำเภอในปัจจุบัน หลำกหลำยวัฒนธรรมของ ชำวเชียงคำ ภำพแสดงถงึ ควำมอุดมสมบูรณ์

39

40 ตำนำนพระธำตุดอยคำ ในสมยั หน่ึงมีพญาผคู้ รองเมืองชะราว หรือเมืองพทุ ธรสะแห่งน้ี ไม่ปรากฏชื่อไวใ้ นประวตั ิ ตานาน ไดพ้ บประวตั ติ านานพระธาตุดอยคา เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๑๒๑๓ ตว๋ั ปี ล่วงไก๊ เดือนโหรา แรม ๓ ค่า วนั จนั ทร์ แลว้ กไ็ ดค้ ดั ลอกเอา ประวตั ิตานานน้ี จารึกใส่ใบลาน แลว้ นาไปถวายตามวดั วาอารามหลายท่หี ลายแห่ง ดว้ ยกนั เพอ่ื ช่วยกนั รกั ษาไว้ ไม่ใหป้ ระวตั ติ านานน้ีสูญหายไป เพอ่ื ใหบ้ ุคคลรุ่นหลงั ไดร้ บั รูถ้ ึงความเป็นมาของ ปูชนียสถานที่สาคญั แห่งน้ีโดยทว่ั ถึงกนั ไปทุกยคุ ทุกสมยั ใจความของประวตั ติ านานกล่าวไว้ ดงั น้ี มีพญาผคู้ รองเมืองผหู้ น่ึงมีนามวา่ “พญาคาแดง” ส่วนมเหสีนามวา่ อยา่ งไร ไม่ปรากฏใน ประวตั ิ ทราบแต่วา่ มีบุตรชายหน่ึงคน มีนามไม่ปรากฏเช่นเดียวกนั บตุ รชายของท่านพญาเป็นผทู้ ่ีเจริญรุ่งเรือง ไปดว้ ยสตปิ ัญญาเฉลียวฉลาด เฉียบแหลมทกุ อยา่ ง ท้งั เป็นผมู้ ีอานาจวาสนาแก่กลา้ มีความปรีชาสามารถรบ ปราบขา้ ศกึ ศตั รูบิดาได้ และพญาคาแดงนอกจากมีบตุ รชายแลว้ ยงั มีบตุ รสาวอีกหน่ึงคน มีนามวา่ นางอินตาสวรรค์ เป็ นหญิงท่เี จริญงอกงามดว้ ยรูปพรรณสณั ฐานอนั ล้าเลิศ ประเสริฐยง่ิ กวา่ หญงิ ท้งั หลาย ไม่มีหญงิ สาวคนใดจะเทยี มหรือเสมอเหมือน มีผวิ พรรณดุจพระจนั ทร์วนั เพญ็ มีกิริยาสดสวยงดงาม กิตติศพั ท์

41 ช่ือเสียงของนางแผฟ่ ุ้งขจรไปทว่ั ทุกบา้ นนอ้ ย เมืองใหญ่ เพราะนางเป็นผมู้ ีรูปร่างอนั สงา่ งาม ยอ่ มเป็นที่ ปรารถนาของบุรุษท้งั หลายที่ไดร้ ู้และเห็น แมแ้ ตพ่ ญาผคู้ รองเมืองอ่ืน ๆ กป็ รารถนานางเช่นกนั ไดม้ ีพญาอยทู่ ่านหน่ึงมีนามวา่ ฤทธี เป็ นผคู้ รองเมืองหงษาวดี ซ่ึงมีอยทู่ างทิศเหนือของเมือง พทุ ธรสะ พอไดท้ ราบชื่อเสียงของนางจากคนท้งั หลายเล่าลือกนั ทวั่ เมือง จงึ มีความประสงคอ์ ยากได้ นางอินตาสวรรคไ์ ปสมสู่อยรู่ ่วมกนั ก็ไดส้ งั่ ตรัสสงั่ ใหเ้ สนาอามาตยน์ า เอาบรรณาการของฝาก ไปทูลขอ บตุ รสาวของพญาคาแดงไปเป็นมเหสี พญาคาแดงปฏเิ สธไม่ยอมยกบุตรสาวให้ ตอ่ จากน้นั มาไม่นานกม็ ีพญา ผหู้ น่ึงมีนามวา่ เดชนุภาพ เป็นผคู้ รองเมืองช่ืออยา่ งไรไม่ปรากฏ อยทู่ างทิศใตข้ องเมืองพทุ ธรสะ ไดใ้ ชใ้ หเ้ สนา อามาตย์ นาเอาข่าวสารมาขอนางอินตาสวรรคอ์ ีก พญาคาแดงไม่อนุญาต จึงพากนั คืนสู่เมืองของตน ตอ่ จากน้นั อีกไม่นานนกั มีพญาผมู้ ีนามวา่ สุริยวงษา ผคู้ รองนครอะไรไม่ปรากฏช่ือ ในตานาน กล่าวไวว้ า่ อยทู่ างทศิ ตะวนั ตกของเมืองพทุ ธรสะ ก็ไดต้ รสั สง่ั ใหเ้ สนาอามาตยม์ าสู่ขออีก พญาคาแดงกไ็ ม่อนุญาต ดงั พญาคนอน่ื ๆ ตอ่ น้นั มาอีกไม่นานกม็ ีพญาอกี เมืองหน่ึงซ่ึงอยทู่ างทิศตะวนั ออก ของเมืองพทุ ธรสะ ไดใ้ หเ้ สนาอามาตยน์ าเอาขา่ วสารมาสู่ขอนางอีก พญาคาแดงกม็ ิไดอ้ นุญาต เช่นเดียวกบั พญาหวั เมืองท้งั สี่เมืองท่ผี ดิ หวงั ตา่ งกโ็ ทมนสั เสียใจเป็ นยงิ่ นกั ทีไ่ ม่ไดน้ างอนิ ตาสวรรคไ์ ปเป็ นมเหสี พญาแต่ ละเมืองจงึ ยกทพั มาตีเมืองชะราวหรือเมืองพทุ ธรสะ ตามลาดบั พญาคาแดงพรอ้ มดว้ ยบตุ รชายและเสนาอามาตย์ ทหาร ไพร่ราษฎร์ ที่มีความชานาญในการสูร้ บ ไดพ้ ร้อมใจกนั ออกต่อสูข้ า้ ศึกดว้ ยอาวธุ หอก ดาบ หลาว เหลก็ หลาวไมล้ วก และศตั ราวธุ อื่น ๆ เท่าท่มี ี ดว้ ยอาศยั สตปิ ัญญาความฉลาดรอบคอบและประกอบดว้ ย อานาจวาสนาของพญาคาแดงและบตุ รชาย จึงไดป้ ระสบชยั ชนะในการออกสู่รบทกุ คร้ัง เม่ือพญาท้งั สี่เมืองเกิดพา่ ยแพจ้ นถึงแก่กรรมไปหมด พญาคาแดงก็เกิดความหวาดสะดุง้ กลวั เป็นบาปกรรม จงึ ไดพ้ าเหล่าเสนาอามาตยไ์ ปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ ในสมยั น้นั พระพทุ ธองคเ์ สด็จประทบั อยทู่ ีไ่ หน ในตานานไมไ่ ดก้ ล่าวไว้ พอไปถึงสานกั ท่พี ระพทุ ธองคป์ ระทบั อยู่ กพ็ ากนั ไปกราบเฝา้ เล่าถึงความเป็นมา ถวายแด่องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ โดยละเอียดทุกประการ เม่ือพระพทุ ธเจา้ ทรงรบั ทราบเช่นน้นั จงึ ไดต้ รัสสงั่ พญาคาแดงวา่ ขอใหท้ ่านจงกลบั คนื สู่ บา้ นเมืองเดิมเถิด และพร้อมใจกนั น้นั ไดใ้ หโ้ อวาทแนะนาวา่ คร้นั ไปถึงบา้ นเมืองแลว้ ใหพ้ ากนั ไปขดุ เอาสรีระ ของพญาท้งั ส่ีเมืองมาเผารวมกนั จนเป็ นฝ่นุ ผง แลว้ นามาบดใหล้ ะเอียดผสมกบั น้าใหไ้ ดส้ ่วนพอดี จากน้นั ให้ ป้ันเป็นรูปสิงห์ ๔ ตวั ใหส้ ร้างผอบทองคาใส่ตวั ละ ๑ ใบ และพระพทุ ธองคก์ ท็ รงสจั จะอธิษฐานเอาฝ่าพระ หตั ถล์ ูบพระเศยี รไดเ้ กศาหน่ึงเสน้ ทรงมอบใหแ้ ก่พญาคาแดง โดยตรสั สงั่ วา่ ใหเ้ อาพระเกศาน้ีบรรจลุ งใน ผอบทองคาอกี ใบหน่ึง แลว้ นาไปบรรจไุ วบ้ นดอย (บนภูเขา) ช่ือสิงหก์ ตุ ตระ จงขดุ เป็นหลุมลึกประมาณ ๗-๘ ศอก กวา้ ง ๔ ศอก ยาว ๔ ศอก แลว้ เอาสิงห์ที่ป้ันน้นั ไวต้ ามทิศท้งั ส่ีทศิ ทศิ ละหน่ึงตวั และเอาผอบ ที่บรรจุเสน้ พระเกศา บรรจตุ รงกลางของหลุมน้นั เม่ือบรรจแุ ลว้ ใหเ้ อาอิฐก่อใหเ้ ป็ นรูปเจดียไ์ วข้ า้ งบน คร้ันเมื่อ สร้างเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ จงทาบญุ อุทิศส่วนกศุ ลไปหาพญาท้งั ส่ี พรอ้ มท้งั เหล่าเสนาอามาตยบ์ ริวารท้งั หลายที่ ไดถ้ ึงแก่กรรมไปแลว้ น้นั บาปกรรมทีไ่ ดก้ ระทาไปกจ็ ะบรรเทาเบาบางลงได้ และพร้อมกนั น้นั พระพทุ ธองค์ ทรงตรัสสัง่ แก่พระอรหนั ตท์ ี่เฝา้ อยใู่ นทนี่ ้นั วา่ เมื่อเราตถาคตปรินิพพานไปแลว้ ขอใหเ้ อาอฐั ิมาบรรจลุ ง

42 ในเจดียด์ งั กล่าว สาหรบั พญาคาแดงคร้นั ไดร้ ับโอวาทคาแนะนาเช่นน้นั แลว้ กราบบงั คมอาลากลบั คืนสู่ บา้ นเมืองของตน แลว้ ก็ปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาทกุ ประการ ตอ่ จากน้นั มาไม่นาน พระพทุ ธเจา้ ก็เสดจ็ ดบั ขนั ธ์ ปรินิพพาน พระอรหนั ตก์ ็ไดน้ าเอาพระอฐั ิ มาบรรจุเขา้ ในเจดียด์ งั กล่าว สาหรับพญาคาแดงหลงั จากสร้างเจดียแ์ ละทาพธิ ีกรรมเสร็จแลว้ กม็ ีกาลงั ใจดีข้ึน ไดป้ กครอง บา้ นเมืองดว้ ยศีลธรรม ประชาชนพลเมืองกไ็ ดอ้ ยเู่ ยน็ เป็ นสุข ไม่มีขา้ ศึกศตั รูมารบกวนจนหมด อายสุ งั ขาร และมีพญาองคใ์ หม่ปกครองสืบตอ่ มาเป็นลาดบั ทำงขนึ้ พระธำตดุ อยคำ พระพทุ ธรูปภำยในวดั ทม่ี ำของช่ือเจดยี ์คำ หรือดอยคำ ทา่ เจดียค์ าหรือพระธาตุดอยคาน้นั มีความเป็นมาอยา่ งน้ี ไดม้ ีหญงิ ม่ายคนหน่ึง ไดพ้ บเห็น ทองคาแท่งใหญย่ าวอยรู่ ะหวา่ งภเู ขาสองลูก หนั ทา้ ยจดกบั ภูเขา นางจึงไดแ้ จง้ ใหป้ ระชาชนท้งั หลายไปดู ต่างก็ เห็นเป็นความจริง นางไม่ไดโ้ กหก คร้ังเม่ือพญาผคู้ รองเมืองรบั ทราบมีความโลภอยากไดท้ องคาท้งั หมดเป็ น ของตนจงึ ตรัสสง่ั ใหข้ า้ ทาสบริวารทาการตดั พอตดั ขาด ทองคาแท่งใหญน่ ้นั ก็แยกกนั เขา้ ไปในดอย หรือภเู ขา ท้งั สองลูกโดยปาฏิหาริยท์ นั ที บนดอยสิงห์กตุ ตระลูกใหญน่ ้นั มีพระธาตุอยกู่ ่อนแลว้ ไดแ้ ก่ เจดียท์ ่ีพญาคาแดง สรา้ งไวน้ น่ั เอง นบั แต่น้นั มาคนท้งั หลายจงึ เรียกเจดียอ์ งคน์ ้ีวา่ “พระธำตดุ อยคำ หรือเจดยี ์คำ” เพราะมีทองคา แท่งใหญ่อยภู่ ายใตด้ อยหรือภูเขาน้นั มาจนกระทง่ั ถึงปัจจุบนั น้ี

43 กฏุ ทิ ีพ่ ำนักสำหรับพระสงฆ์ พระธาตุดอยคา ยกข้นึ เป็นวดั มีพระสงฆอ์ ยจู่ าพรรษาและเรียกวา่ วดั พระธาตดุ อยคา เราไม่อาจ ทราบวา่ เป็ นวดั มาแตส่ มยั ใด ตอ่ มาครูบาคาหลา้ พระอริยสงฆแ์ ห่งอาเภอเชียงคาไดบ้ ูรณะซ่อมแซม จนวดั มี ความเจริญรุ่งเรือง ในเทศกาลออกพรรษา สภาตาบลร่มเยน็ และสภาตาบลเจดียค์ า ไดร้ ่วมกนั จดั พธิ ี ตกั บาตรเทโว เป็นงานบญุ ประจาปี ในปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ อาเภอเชียงคาและสภาตาบลท้งั สองทก่ี ล่าวแลว้ จะร่วมกนั จดั งานตกั บาตรเทโว ใหเ้ ป็นงานบญุ ท่ียง่ิ ใหญ่ระดบั อาเภอ ซ่ึง ส.ส.ลดาวลั ล์ิ วงศศ์ รีวงศ์ ไดส้ นบั สนุน โครงการน้ี ให้เป็นงานส่งเสริมการทอ่ งเที่ยวและแสวงบุญ เพอื่ ให้ ศาสนสถานแห่งน้ีมีช่ือเสียงปรากฏเป็น สญั ลกั ษณ์ของอาเภอเชียงคาอีกแห่งหน่ึง วดั พระธาตุดอยคา อยใู่ นพน้ื ท่ีบา้ นสบสา หมู่ท่ี ๕ ตาบลร่มเยน็ ห่างท่วี า่ การอาเภอ ประมาณ ๗ กิโลเมตร มีถนนลาดยางโดยตลอด การเดินทางไป – กลบั สะดวก ผู้เฒ่ำผู้แก่มำทำบุญทวี่ ดั พระธำตุดอยคำ เน่ืองในวัน วสิ ำขบูชำ

44 วัดพระธำตุดอยคำ องค์พระธำตุดอยคำนำมลือเลื่อง อยู่เมืองเป็ นสง่ำน่ำเลื่อมใส สถติ บนดอยเด่นเหน็ แต่ไกล กลำงแมกไม้นำนำพำใคร่ชม ดูกลมกลืนรื่นรมย์กับร่มไม้ มองด้ำนใต้ด้ำนเหนือให้สุขสม บรรยำกำศเย็นสบำยด้วยสำยลม ที่พลวิ้ พรมพดั ผ่ำนสำรำญใจ

45 ตำนำนวดั แสนเมืองมำ ในสมยั รัชกาลท่ี ๑ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เจา้ ผคู้ รองนครน่าน ไดก้ วาดตอ้ นชาวไทยใหญม่ าจากเมืองมาง มณฑลยนู าน ซ่ึงเป็ นเมืองหน่ึงของแควน้ สิบสองปันนา ไปไวท้ ี่ เมืองเชียงม่วน ต่อมาผนู้ าชาวบา้ นไดข้ ออนุญาตเจา้ นครน่าน พาผคู้ นอพยพมาอยทู่ ี่ อาเภอเชียงคา เป็ น เพราะวา่ ไทล้ือเป็นผทู้ ่ีไม่ลืมชาตอิ ดีต มีความกตญั ญกู ตเวที เมื่อมาต้งั ถิ่นฐานใหม่ กไ็ ม่ลืมบรรพบรุ ุษผมู้ ี พระคุณจึงไดพ้ ากนั ต้งั ชื่อหมู่บา้ นวา่ บา้ นมาง หลงั จากน้นั ไดพ้ ากนั สรา้ งวดั แลว้ ต้งั ช้ือวา่ วดั มาง ตอ่ มาเปล่ียน ช่ือเป็น วดั แสนเมืองมา วดั แสนเมืองมา หรือวดั มาง ในปัจจุบนั ต้งั อยทู่ ี่บา้ นมาง หมู่ ๔ ตาบลหยว่ น อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา ในเขตเทศบาลตาบลเชียงคา ก่อนท่ีจะต้งั รกรากถิ่นฐาน ไดอ้ พยพมาจาก แควน้ สิบสองปันนา มณฑลยนู าน ในประเทศจีนตอนใต้ วดั แสนเมืองมาเป็ นวดั ที่เก่าแก่วดั หน่ึง ในอาเภอเชียงคา ไดร้ บั การ บรู ณปฏิสงั ขรณ์ มาเป็นอนั ดบั คอื ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ไดบ้ รู ณะก่อสรา้ งกาแพงลอ้ มรอบบริเวณวดั ท้งั ส่ีดา้ น พร้อมกนั การบรู ณะวหิ ารไดท้ าการผกู พทั ธสีมาฝังลูกนิมิต ใน ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ กรมศิลปากร ไดน้ าเอา อุโบสถข้นึ ทะเบยี นเป็ นโบราณสถาน ( อุโบสถไทล้ือ) ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ไดก้ ่อสรา้ งหอพพิ ธิ ภณั ฑ์ ข้ึน

46 เพอื่ รวบรวมโบราณวตั ถุลา้ นนา และทาการปฏสิ งั ขรณ์ในรูปแบบเดิมตามคาแนะนาของกรมศลิ ปากร เพอ่ื เป็น การอนุรักษศ์ ลิ ปะของชาวไทล้ือไม่ใหส้ ูญหาย และคงอยใู่ หล้ ูกหลานสืบไป เป็นโบราณสถานและศิลปะของชาวไทล้ือท่ีสวยงามและสามารถเดินทางมาชมไดส้ ะดวก อยใู่ กลก้ บั สถานีขนส่งอาเภอเชียงคา เป็ นศิลปะของชาวไทล้ือท่ีคงอนุรกั ษแ์ บบด้งั เดิมแห่งหน่ึง อุโบสถหรือวหิ ำรแบบไทลือ้ พระประธำนในวิหำรวดั แสนเมืองมำ วิหำรด้ำนข้ำงของวดั แสนเมืองมำ ทำงขึน้ สู่วหิ ำรวัดแสนเมืองมำ

47 วดั แสนเมืองมำ งำมวิหำรสืบสำนบ้ำนไทลือ้ ช่ือวดั คอื แสนเมืองมำมำแต่ไหน วจิ ิตรลำ้ ระยบั ตำจรรโลงใจ รักษำไว้ชำวเมืองมำงมำนำนเนำ ประตูวัดเป็ นซุ้มใหญ่สำมยอดงำม เทพนมนำมตำมรูปกลำงเครือเถำว์ สลบั ลำยแสดงถงึ ปญั ญำเชำว์ สลกั เสลำอลงั กำรงำนศิลปิ น

48 ตำนำนวดั หย่วน ประมาณปี ๒๓๓๐ ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ พระเจา้ แผน่ ดินแห่งกรุงสยาม ไดม้ ีรบั สง่ั ให้ พระเจา้ สุริยวงศผ์ ลิตเดช เจา้ ผคู้ รองนครน่าน ยกทพั หลวงไปรบในมณฑลยนู าน แควน้ สิบสอง ปันนา เมื่อพระเจา้ สุริยวงศผ์ ลิตเดช ยกทพั หลวงข้นึ ไปถึงแควน้ สิบสองปันนา ประชาชนแควน้ สิบสองปันนาซ่ึง มีไพร่พลนอ้ ยกวา่ กไ็ ม่คิดจะตอ่ สู้ ยอมสวามิภกั ด์ติ ่อพระเจา้ แผน่ ดินแห่งกรุงสยาม พระเจา้ สุริยวงศผ์ ลิตเดช ตอ้ งการตดั กาลงั จนี ทางออ้ ม จงึ ไดก้ วาดตอ้ นพลเมืองในแควน้ สิบสอง ปันนา มารวมกบั ไทล้ือในแควน้ ลา้ นนา โดยต้งั ถ่ินที่อยตู่ ามสภาพของหมู่บา้ นที่ ไดอ้ พยพมา ( ตามช่ือเดิม ) ประชากรทีไ่ ดก้ วาดตอ้ นมาจากเมืองหยว่ นน้นั ตามตานานเล่าวา่ เจา้ นครน่านไดใ้ หต้ ้งั ถ่ินฐานบา้ นช่องทีเ่ มือง เชียงม่วน แตเ่ มืองเชียงม่วนมีภูเขามาก ไม่มีทท่ี ามาหากิน ชาวไทล้ือชอบทานา หวั หนา้ หมู่บา้ น จึงขอถอย กลบั มาต้งั ถนิ่ ฐานท่เี มืองเชียงคาในปัจจบุ นั น้ี ชาวไทล้ือ บา้ นหยว่ น ( เมืองหยว่ น ) เม่ือไดม้ าต้งั ถิ่นฐานอยทู่ ี่บา้ นหยว่ นแลว้ เน่ืองจากชาวบา้ น ท้งั หมดนบั ถือศาสนาพทุ ธ จึงไดพ้ รอ้ มใจกนั สรา้ งวดั ข้ึน ทา่ มกลางหมู่บา้ นแลว้ ต้งั ชื่อวดั ตามชื่อหมู่บา้ นคอื วดั หยว่ น หรือวดั บา้ นหยว่ น ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ วดั หยว่ นเร่ิมมีการพฒั นาโดยไดด้ าเนินการซ่อมแซมวหิ าร ทห่ี นา้ มุข จะมีนาค ๒ ตวั เสมือนเล้ือยออกมาจากวหิ าร พ.ศ. ๒๔๘๖ ไดบ้ รู ณปฏิสงั ขรณ์อุโบสถใหแ้ ขง็ แรง สวยงาม ดงั จะ เห็นไดใ้ นปัจจบุ นั

49 หลงั จากทา่ นพระครูศลีคนั ธสาร เจา้ อาวาสองคก์ ่อนมรณภาพลง ท่านพระครูสุภทั รพรหมคุณ ไดด้ ารงตาแหน่งเจา้ อาวาสแทน ไดท้ าการพฒั นาวดั ใหเ้ จริญเรื่อยมา โดยการปลูกตน้ ไมเ้ พอ่ื ใชเ้ ป็ นท่อี าศยั ร่มเงา แลเพอ่ื ความสวยงาม รวมท้งั ดาเนินการก่อสร้างอาคารตา่ งๆ ดว้ ย ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ วดั หยว่ น ไดร้ บั คดั เลือกจากกรมการศาสนายกฐานะวดั ใหเ้ ป็นวดั พฒั นา ตวั อยา่ งดีเด่น ทาใหเ้ ป็ นศรีสงา่ กบั ชาวบา้ นหยว่ น และอาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา เป็ นอยา่ งมากในปัจจุบนั อโุ บสถวดั บ้ำนหย่วน กฎุ ิท่ีพักพระสงฆ์วัดหย่วน บริเวณวัดหย่วนมีต้นไม้ร่มร่ืน ศูนย์วฒั นธรรมไทลือ้ อยู่ในบริเวณวัดหย่วน

50 วัดหย่วน พระปฏิมำในโบสถ์เด่นตระหง่ำน ประจักพยำนในศรัทธำพระศำสนำ ศูนย์รวมใจไทลือ้ เนิ่นนำนมำ น้อมกำยำน้อมใจใฝ่ พระธรรม์ วัดหย่วนอยู่ท่ำมกลำงหมุ่บ้ำนรอบ คนลื้อชอบอำศัยร่วมเขตขณั ฑ์ ไทลือ้ ล้ำนนำร่วมแรงพร้อมใจกัน ลือ้ รังสรรค์เป็ นวดั ของทกุ คน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook