Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โกรธทำไม

โกรธทำไม

Description: โกรธทำไม

Search

Read the Text Version

อะไรคือเสน่ห ์ อะไรคือเคร่อื งล่อ  อะไรคือกำ�ไร  ข้อหน่ึงที่คนชอบ มาก  โดยเฉพาะคนที่ปกติไม่มี อำ�นาจ  เวลาโกรธ  ความรู้สึก ในขณะที่โกรธคือเรามีอำ�นาจ แล้วคนจะเมาต่อเร่ืองนี้  เมา ต่อความรู้สึกนี้  หลงใหลอยู่ กับความรู้สึกอย่างน้ี  กำ�ไรอีก ข้อหนึ่ง  รู้สึกสะใจ  ได้ระบาย ความเครียด  น่ีก็คือสิ่งท่ีคิดว่า เปน็ ก�ำ ไร เมื่อเราโกรธแล้วเราขู่คนได้  ถ้าโกรธมาก  แผลงฤทธิ์มาก คนอาจจะกลัวเรา  ก็สามารถได้บางส่ิงบางอย่างดังใจ  หรือว่า บังคบั คนไดด้ ้วยพลงั ความโกรธ สง่ิ นเ้ี รากช็ อบเหมอื นกัน ต้องการ ใหค้ นเชอ่ื ฟัง ตอ้ งการให้คนทำ�ตาม ถา้ การแสดงความโกรธมสี ว่ น : 91​

ในการทำ�ใหค้ นทปี่ กตไิ ม่ท�ำ กลบั ยอมท�ำ ตาม กน็ บั เป็นเสน่ห์ของ มันเหมอื นกัน ส่ิงเหล่าน้ีคือตัวอย่างของเคร่ืองล่อท่ีเราไม่เบ่ือหน่าย  เรา ต้องเทียบกับผลเสียว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม  เม่ือเราโกรธแล้วร่างกายเรา ผิดปกติทันที  เป็นการเบียดเบียนกายอย่างเห็นได้ชัด  โกรธแล้ว จะมกี ารหลงั่ สารทีเ่ ปน็ พิษอยู่ในกระแสเลือดทนั ที ผทู้ ี่โกรธบ่อยๆ มีสิทธ์ิจะเปน็ โรคตา่ งๆ เช่น โรคหวั ใจ เปน็ ต้น ถา้ เปน็ คนขีโ้ กรธ สมมุติว่าเราเป็นผู้บริหาร  ถ้าเราข้ีโกรธขี้โมโห  บางทีข้อมูลต่างๆ ทเ่ี ราควรจะรบั ทราบที่จะเป็นประโยชน์ เช่น เกิดความผดิ พลาด บางส่ิงบางอย่างกลับกลายเปน็ วา่ ไมม่ ีใครกลา้ บอก ปญั หาเล็กๆ น้อยๆ ทเ่ี ราแก้ไดใ้ นเบ้ืองตน้ มนั ลุกลาม มนั บานปลายเพราะวา่ ไมม่ ใี ครกลา้ บอกเจา้ นาย เพราะกลวั เจา้ นายจะโกรธ ไมบ่ อกดกี วา่ หวังว่าจะดไี ปเอง ฉะนน้ั ความโกรธของเรา มนั จงึ เปน็ อนั ตรายตอ่ ประสทิ ธภิ าพ ในการทำ�งานของเราได้  เม่ือเราโกรธเรามักจะพูด  พอโกรธแล้ว 92​ : ไม่มผี ู้พายเรือ

เกิดอาการติดลม  การพูดอะไรมันเกินกว่าที่ตั้งใจจะพูด  อาจจะ ได้ผลเร็วเฉพาะเรื่องน้ัน  แต่เป็นการท�ำ ลายสมรรถภาพในองค์กร หรือในครอบครัว เราอาจได้ประโยชน์ทนั ตาเห็นเพราะความโกรธ แต่ในระยะยาวจะขาดทุน  เกิดมีปัญหา  คนท่ีโกรธทำ�ได้ทุกอย่าง พูดได้ทุกอย่าง  ซึ่งในกรณีปกติไม่เคยคิดจะทำ�  ไม่เคยคิดจะพูด เม่อื โกรธแล้วทำ�ได้ พดู ไดท้ กุ อยา่ ง มันจงึ เป็นส่งิ ท่นี ่ากลวั อย่างยิง่ บุญกุศลท่ีสะสมมาหลายภพหลายชาติ  โกรธวินาทีเดียวสามารถ ทำ�ลายได้ มันรุนแรงถึงขนาดน้นั การพิจารณาในลักษณะอย่างน้ีจะนำ�ไปสู่ความเบ่ือหน่าย ในตวั ความโกรธ จติ ใจจะเปน็ บญุ เรยี กวา่ ปญั ญาเกดิ แลว้ วา่ เรอ่ื ง ความโกรธจะอะลุ้มอล่วยไม่ได้  เพราะถ้าเรายังคิดในลักษณะ ว่าเร่ืองอย่างน้ีจะไม่โกรธ  แต่ถ้าเจออีกอย่างหน่ึงก็อดโกรธ ไม่ได้  เราคิดอย่างน้ีไม่ได้  มันไม่ใช่อย่างน้ัน  มันไม่ใช่ว่าจะไป แบ่งเขตได้ว่าจะโกรธเฉพาะเร่ืองน้ันเร่ืองนี้  เร่ืองน้ีไม่โกรธ  มันทำ�ไม่ได้  เหมือนกับเร่ืองกาม  ไม่ใช่ว่าจะบอกตัวเองว่าเรื่องน้ี : 93​

จะสำ�รวม  แต่เร่ืองน้ัน ขอไม่สำ�รวม  ทุกเรื่อง มันตอ่ เนือ่ งกันหมด มนั แบ่งอย่างที่เราคิดไม่ได้  การใช้ปัญญาพิจารณา เห็นโทษของความโกรธ  เห็นคนอื่นเวลาเขาโกรธ  เขาหน้าแดง  บางคน หน้าแดงกำ่�  แต่ปากก็ ยังบอกว่า  ไม่โกรธๆ  แค่ผิดหวังเฉยๆ  บางคนพูดอย่างน้ีโดยไม่รู้ตัว  เราเห็นเขาแล้ว คงบอกไดว้ ่าเวลาเราโกรธกค็ งจะเป็นอย่างนนั้ เหมือนกนั เราต้องถามตัวเองว่าในชีวิตเรานี้  เราต้องการจะส่งเสริม ความโกรธหรือไม่  ทุกวันนี้ถ้าเราเห็นโทษของมันแล้ว  เรากำ�ลัง ท�ำ อะไรให้มนั ลดนอ้ ยลงได้บา้ ง เร่ิมต้นต้องเด็ดขาด จะไมย่ นิ ดใี น 94​ : ไม่มีผพู้ ายเรอื

ความโกรธ ไมว่ า่ ด้วยเหตุผลใดๆ เราจะขอให้สรรพสตั ว์ทง้ั หลาย ทงั้ ปวงมคี วามสขุ ๆ เถิด เว้นแตใ่ ครคนหน่งึ คนเดยี ว ทำ�อย่างน้ี ไม่ได้  เราแผ่เมตตากับคนที่เราไม่ต้องเจอทุกวันน่ีไม่ยากเท่าไหร่ และเราจะขอยกเว้นกรณีของคนท่ีอยู่ในบ้านเดียวกันก็ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติอยู่ท่ีตรงจุดนี้  หวังดีเมตตา  ในการปฏิบัติธรรม คุณธรรมข้อท่ีสำ�คัญมากท่ีพยายามจะยำ้�คือการหม่ันสังเกต  การ สังเกตเป็นการได้ข้อมูล  คือธรรมะของพระพุทธองค์พิสูจน์ได้ ทุกข้อ  เพียงแต่ว่าบางข้อจิตใจจะต้องรับการฝึกพอสมควรจึงมี คณุ สมบัตพิ อที่จะพิสูจน์ได้ สำ�หรับโทษของความโกรธเราไม่ต้องเช่ือ  แต่ขอให้เราต้อง สังเกต  เมื่อความโกรธหายไป  หรือเราชนะความโกรธได้  เรา เคยโกรธเคยโมโหเคยด่าเคยว่า  แต่คร้ังนี้เราชนะได้สำ�รวมได้  อันน้ีดีแล้ว  แต่ขอให้สังเกตจิตใจที่ไม่โกรธ  ในกรณีท่ีเราเคยเป็น ผู้มักโกรธ  เรารู้สึกอย่างไรบ้าง  รู้สึกดีใช่ไหม  อันนี้ต้องสังเกต ตรงจุดนีด้ ว้ ย มนั เปน็ กำ�ลังใจ เป็นการพิสูจนถ์ งึ บุญกุศลทเ่ี กิดขนึ้ : 95​

ในจติ ใจทไ่ี มโ่ กรธ ถา้ เราเจอคนท่พี ูดหยาบคาย พูดไม่นา่ ฟงั เลย แต่จิตใจเราเป็นปกติ  ไม่มีอคติ  พอเร่ืองน้ีผ่านไป  เราเอามาคิด มาทบทวนมาระลึกถึง  มันเกิดปีติ  เกิดความปลาบปลื้ม  จิตใจ สงบเป็นสมาธิได้  เป็นการภาวนาที่เรียกว่า  อนุสติภาวนา  คือ เราท�ำ ความดี แล้วระลกึ ในความดี ระลกึ ในผลสำ�เร็จ ท�ำ ใหม้ ี กำ�ลงั ใจ มคี วามสขุ ท�ำ ใหม้ ุ่งมน่ั ในการปฏบิ ตั ิไดม้ ากข้ึนด้วย เมื่อเราอยู่กับผู้ไม่โกรธ  ผู้มีความโกรธน้อย  เราก็หมั่น สังเกต  บางทีเราเห็นผู้ใหญ่  หรือผู้ท่ีเราเคารพนับถืออยู่ใน เหตุการณ์  เราอาจคิดว่าถ้าเป็นเราก็โกรธแล้ว  แต่ทำ�ไมท่านไม่ โกรธเลย ยังปกติ ยงั ผ่องใสเบิกบาน ไมม่ ีอาการแห่งความโกรธ เราก็ฝึกสังเกตและชื่นชมอนุโมทนาในสิ่งที่เห็น  มันจะเป็นการ สร้างเหตุปัจจัยทำ�ให้จิตใจน้อมไปสู่ความไม่โกรธได้มากขึ้น  ให้เห็นว่าความไม่โกรธมันงามเหลือเกินงามจริงๆ ฉะนน้ั เราตอ้ งฝกึ จนสามารถเหน็ วา่ ความโกรธมนั นา่ เกลยี ด มันดูไม่ได้  คนข้ีโกรธดูแล้วแย่  ดูคนท่ีไม่โกรธมันงามจริงๆ 96​ : ไมม่ ผี ้พู ายเรอื

เป็นการส่ังสอนจติ ใจ เป็นการอบรม จิตใจ  เป็นการสร้างสัญญาใหม่ให้ กับตัวเอง  พอเราสร้างสัญญาใหม่ เราจะพร้อมท่ีจะเห็นความงามใน ความไม่โกรธมากข้ึน  และพร้อมท่ี จะเห็นความน่ากลัว  น่าเกลียดของ ความโกรธไดม้ ากข้ึน เราจะสังเกตว่าส่ิงทั้งหลาย มันเป็นเร่อื งของธรรม  ไม่ใช่เร่อื งของ บุคคล  อย่างเช่นอยู่ด้วยกัน  มีใครพูดอะไรบางอย่าง  เราเห็นว่า อีกคนหนึ่งรู้สึกถูกสบประมาท  พอได้ยินเสียงก็มีอาการทันที แล้วเริ่มมีปฏิกิริยา  เราเห็นปฏิกิริยาทางกายบ้าง  ท่ีแววตาบ้าง นำ้�เสียงเปลี่ยน  สีหน้าเปล่ียน  ทุกอย่างดูมันเป็นอัตโนมัติ  คือ ตัวเจ้าของเองก็ไม่รู้สึกตัวว่าถูกกำ�หนด  แต่ในขณะน้ันชีวิตเขา  ความเปน็ อยูข่ องเขา กาย ใจ ขันธ์ ๕ ทุกอยา่ ง ถูกก�ำ หนดด้วย : 97​

เสยี งของคนอ่ืน ด้วยค�ำ พดู ของคนอน่ื ในขณะน้ันเขาไม่เปน็ มนษุ ย์ ไม่มคี วามเปน็ อิสระอะไรเลย เพราะในขณะทค่ี ำ�พดู น้นั ถงึ ห ู สติ เขาขาดไปแล้ว  จิตใจเขามีแต่ปฏิกิริยาไม่ชอบ  คิดว่าคนอ่ืนดูถูก ดูหมิ่นเขา  สบประมาทเขา  มนั จะเกิดกระบวนการโตต้ อบทันที เราจะเห็นว่ามันเป็นเร่ืองของการมีสติหรือไม่มีสติ  ความ สำ�รวม ความไมส่ �ำ รวม จะเห็นว่าเป็นเรื่องของกิเลส เปน็ เรอื่ งของ คณุ ธรรม หรอื การขาดคุณธรรม อันน้ีกเ็ ปน็ สตปิ ัฏฐาน เป็นสตทิ ่ี ไมไ่ ด้สรา้ งอตั ตาตวั ตนวา่ เป็นเราเปน็ เขา จึงเปน็ เรอื่ งของวิญญาณ เกิดที่หูของคนน้ัน  เขามีสัญญาแปลความหมายของส่ิงที่เขาพูด ว่าเป็นการดูถูกดูหม่ิน  ความรังเกียจต่อความดูถูกดูหม่ินเกิดขึ้น ทำ�ให้เกิดปฏิกิริยาท้ังทางกายวาจาและใจ  เราจะเห็นเป็น กระบวนการเกดิ ดับท่เี ป็นธรรมชาติ เมอ่ื เราได้ฝึกหดั จติ ใจ เราได้ ปฏิบัตมิ ากขน้ึ มนั จะเรม่ิ มีนสิ ยั ทจี่ ะพจิ ารณาอยา่ งน้มี ากขึน้ ไมม่ ี เรามีเขาท่ีชัดเจนตายตัวเหมือนแต่ก่อน  ความหวังดีต่อคนทุกคน ต่อสรรพสัตวท์ งั้ หลายจะเกดิ ขน้ึ 98​ : ไม่มีผพู้ ายเรือ

ความแบ่งแยกว่าเราว่าเขาจะไมช่ ัดเจน  ในความตอ้ งการให้ สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นจากทุกข์  เราเป็นทุกข์ตรงไหนเราก็อยาก จะดบั ตรงน้นั โดยไม่ไดค้ ดิ ว่าเปน็ ญาตเิ ปน็ มติ รเป็นคนกลาง เห็น ความทุกข์ตรงไหนก็อยากจะดับถ้าดับได ้ มีโอกาสท่ีจะทำ�ให้เกิด ความสขุ ตรงไหน ไมต่ อ้ งเลอื กวา่ เปน็ ใครทไ่ี หนอยา่ งไร หากท�ำ ได้ เราก็ทำ�ไป  ฉะน้ันให้จิตใจของเรามีเมตตาธรรม  พระพุทธองค์ บอกว่าผู้มีเมตตาสงบเร็วสงบง่าย  เพราะส่ิงท่ีจะเป็นอุปสรรคต่อ ความสงบ สง่ิ ทจ่ี ะท�ำ ใหจ้ ติ ใจเราวา้ วนุ่ ขนุ่ มวั จะมนี อ้ ยลง ในพระสูตรพระพุทธองค์สอนเรื่องคารวะ  สิ่งที่พระสงฆ์ ต้องเคารพ  คือเคารพในพระพุทธ  ในพระธรรม  ในพระสงฆ์ ในสิกขา  ในความไม่ประมาท  ข้อสุดท้ายคือเคารพในการ ปฏิสันถารต้อนรับ  ต้องการให้พระเราเป็นมิตรต่อกันและกัน  มีความหวังดีต่อกนั และกนั ฉะน้ันให้เรามองคนอื่นในแง่ดีไว้ก่อน  ซึ่งก็ไม่ใช่ความ ประมาท  แต่มองเพื่อนมนุษย์ว่าบริสุทธิ์จนกว่ามีอะไรพิสูจน์ว่า : 99​

มีความผิด มองในแง่ดีไว้ก่อน แต่นนั่ ไม่ได้หมายความว่ามองเขา ในแง่ดีเกนิ ไป นัน่ กเ็ ป็นการขาดสตเิ หมือนกัน เราต้องระมัดระวงั ถ้าเราปฏิบัติธรรมเป็นประจำ�  เราจะไวต่อกิเลสมาก  เพราะเรา เรียนรู้จากตัวเราเอง  คนรอบข้างเวลามีกิเลสจะมีการแสดงออก อยา่ งนี้ จะมีค�ำ พูดอย่างน้ี มีกิรยิ าอาการอยา่ งนี้ๆ  เราก็ได้ขอ้ มลู มากเหมอื นกนั พอมอี ะไรผิดปกติเราจะจับได้เรว็ เมตตาภาวนาเราใชก้ บั บคุ คลใชก้ บั สรรพสตั วท์ ง้ั หลาย  แตว่ า่ เมตตาก็ยังมีบทบาทในการภาวนาอีกด้วย  เช่น  การปฏิบัติต่อ ทกุ ขเวทนา ปวดหลงั ปวดเขา่ ปวดตรงไหน พรอ้ มกบั ความเกดิ ขน้ึ ของเวทนา จติ ใจจะมีปฏิกิริยา มีความยดึ ติดอย่ใู นเวทนา ไม่ชอบ ไมอ่ ยากใหเ้ ป็นอยา่ งนี้ นอ้ ยใจ วติ กกังวล กลัว เป็นต้น เวทนาทางกาย เราไปแกไ้ ม่ได้นอกจากจะเปลี่ยนอริ ยิ าบถ แต่ถา้ จะไม่เปลยี่ นอิรยิ าบถ เรากต็ ้องรับร้วู ่านีค่ ือกาย นค่ี อื เวทนา แต่ท่ีเราแก้ได้ก็คือความยึดมั่นถือม่ันในเวทนาว่าเราว่าของเรา และความรงั เกียจตอ่ เวทนา 100​ : ไมม่ ผี พู้ ายเรอื

วิธีง่ายท่ีสุดคือการปรุงแต่ง  ปรุงแต่งความรู้สึกที่เป็นกุศล จิตใจของเราในขณะหน่ึงขณะใดต้องเป็นกุศลหรืออกุศล  ถ้าเป็น อกุศลก็ไม่ใช่กุศล  ถ้าเป็นกุศลก็ไม่ใช่อกุศล  ถ้าเราสามารถสร้าง ความรสู้ กึ ที่เป็นกุศลขึ้นมา สงิ่ ทเ่ี ป็นอกศุ ลตอ้ งตกไปทันที นเ่ี ป็น เทคนคิ เปน็ วธิ ีอยา่ งหน่ึง ถ้าเราเจริญเมตตา ภาวนาบอ่ ยๆ จนกระทัง่ เรา คุ้นเคยกับความรู้สึกที่เรา สมมตชิ ือ่ ว่าเมตตา เมือ่ เรา เกิดเวทนาตรงไหนเราก็แผ่ เมตตาตรงจุดนั้น  คือปรุง แต่งความรู้สึกที่ดี  ยอมรับ ค ว า ม รู้ สึ ก อ บ อุ่ น   แ ล้ ว พยายามให้ความรู้สึกน้ันตก อย่ทู ่จี ดุ ท่ีกำ�ลังปวดอย่ ู : 101​

เราแผเ่ มตตากบั สงั ขารรา่ งกายเรา  คอื ไมต่ อ้ งไปคดิ วา่ ขอให้ หวั เขา่ ของขา้ พเจา้ เปน็ สขุ ๆ  เถดิ   มนั ไมใ่ ชอ่ ยา่ งนน้ั   แตห่ มายถงึ ว่า ความรู้สึกท่ีดีที่เราสมมติชื่อว่าเมตตา  ทำ�ให้มีขึ้นอยู่ในใจ  ทำ�ให้ มีขึ้นอย่างไรอาจจะต้องใช้คำ�แผ่เมตตาทั่วไป  เราอาจจะระลึก ถึงบุคคลหรือสัตว์หรือสิ่งใดท่ีนึกถึงแล้วรู้สึกรักทันที  รู้สึกเอ็นดู ทันที  อาจจะเป็นทารก  อาจจะเป็นลูกเป็นหลาน  จะเป็นลูกหมา  ลูกแมวอะไรก็แล้วแต่พอนึกถึงว่าน่ารักเหลือเกิน  ให้ปรุงแต่ง ความรู้สึกนี้ให้เกิดขึ้นแบบเอ็นดูแล้วกำ�หนดความรู้สึกอันน้ัน  ให้แผ่ไปท่ีกำ�ลังปวดกำ�ลังทรมานอยู่  น่ีเป็นการใช้เมตตาภาวนา ในอีกความหมายหนึ่ง  อีกแง่หนึ่งเพื่อจะแก้อคติ  ความรังเกียจ  ความพยาบาทท่เี กิดขึ้นต่อเวทนาอยู่ในกายเรา เมื่อจิตใจเราเจอปัญหาต่างๆ  ในการปฏิบัติก็เป็นไปได้ว่า จะรู้สึกหดหู่บ้าง  หมดกำ�ลังใจบ้าง  การเจริญเมตตาภาวนาเป็น วิธีแก้ความรู้สึกหดหู่ที่ง่ายท่ีได้ผลดี  ถ้าจิตใจเรากำ�ลังรู้สึกหดหู่ แล้วเราปรุงแต่งความร้สู ึกเมตตาความเบิกบานใจให้เกิดข้นึ   เราก็ 102​ : ไม่มีผพู้ ายเรือ

สามารถปล่อยวางความเศร้าหมองอยู่ในใจด้วยพลังของเมตตา เราก็จะได้หลักในการบริหารอารมณ์ตัวเอง  ทำ�ให้เกิดความเช่ือ มั่นว่าเราแก้ปัญหาของตัวเองได้เหมือนกัน  แต่เราไม่ต้องไปกลัว อารมณ์ตา่ งๆ พอเราเร่ิมรวู้ า่ อารมณ์เศรา้ หมอง เชน่ ความหดหู่ เกิดขึ้น  เรายังมีวิธียังมีเทคนิคแก้ได้  ไม่ต้องไปหาที่พ่ึงนอกตัว ไม่ต้องไปหากำ�ลังใจนอกตัว  เราสามารถรับผิดชอบอารมณ์ของ เราเองได้ อันนก้ี ็เป็นศลิ ปะในการภาวนาดว้ ย เวลาจติ ใจของเรามนั ฮกึ เหมิ มันมีก�ำ ลังมาก เราก็ตอ้ งมีวิธี ภาวนาท่ีให้จติ ใจเยน็ ลงสงบลง แต่เวลาจิตใจมันเฉ่อื ยชาหรือหดหู่ เราก็ต้องมีแนวความคิดแนวทางภาวนาที่จะให้มีก�ำ ลัง  ฉะนั้นใน การภาวนา เรามีอารมณ์กรรมฐานเปน็ หลัก เชน่ อานาปานสติ แต่เรายังจะต้องฝึกในวิธีอื่นที่จะเสริม  แก้ปัญหาในโอกาสที่มี ปัญหาเกิดขึ้น  เป็นการใช้เมตตาภาวนาเมื่อจิตใจกำ�ลังมองใน แง่ร้าย มองตัวเองในแง่ร้าย เราไม่เก่ง ทำ�ตั้งนานแล้วยังไม่ได้ เรื่องเลย ตวั เองนแ่ี ย่ บาปหนา มองตวั เองในแงร่ า้ ย ว่าตัวเองไมไ่ ด้ : 103​

อะไรเลย อนั นกี้ ็คอื ความคดิ ผดิ นี่คอื ตวั มาร เราต้องแกด้ ว้ ยความ เมตตา เมตตาตวั เองให้กำ�ลังใจตัวเอง ถา้ จิตกำ�ลงั หลงใหลอย่กู ับ ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง  เราก็มีการเจริญอสุภกรรมฐานไปแก้  จิตใจขี้เกียจ ขค้ี ร้านเราก็มีมรณสติมาแก้ 104​ : ไมม่ ีผพู้ ายเรอื

ข่าวดีคือไม่มีกิเลสตัวไหนที่ไม่มีธรรมะเป็นข้อแก้  กิเลสมี ๑๐๘ ประการก็จริง  แต่ธรรมะมี  ๑๐๙  มันมีมากกวา่   ทีจ่ ริงมนั มากกวา่ น้นั มีตง้ั   ๘๔,๐๐๐ ถ้าเรานอ้ มจติ ไปส่หู ลกั ธรรม  ไม่มี กิเลสตัวไหนจะชนะเราได้  เพียงแต่ว่าเราทำ�ไม่สมำ่�เสมอเท่าน้ัน เอง จติ ใจยงั เขา้ ไม่ถึง แต่ทุกคนท�ำ ได้ ไม่มอี ะไรท่คี นเราจะทำ�ไม่ ได้ถา้ ตง้ั อกตัง้ ใจ ทำ�ถกู ต้องตามหลักแลว้ ทำ�ดีไดด้ แี น่... : 105​

ชยสาโร ภิกขุ นา​ ​ม​เด​ ิ​ม ฌอน​ ​ชเิ ​วอรต์​ นั​ (​S​ha​un Ch​ i​​vert​on)​ พ​ .ศ.​๒๕๐​ ๑​​ ​เกดิ​ ท​ ่​ปี ระ​ เ​​ทศอังก​ฤษ พ.ศ​.​​๒๕๒๑​ ​ ได​ พ้ บก​ ับ​พร​ ะอาจาร​ ยส์ เุ ​มโ​ธ (พระราชสเุ มธาจารย์ วดั อมราวดี ประเทศองั กฤษ) ท่วี หิ ารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ ถือเพศเปน็ อนาคารกิ (ปะขาว) อยกู่ ับพระอาจารยส์ เุ มโธ ๑ พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเปน็ สามเณร ที่วดั หนองปา่ พง ​จงั หวดั อุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุ ทวี่ ดั หนองป่าพง โดยมี พระโพธิญาณเถร (หลวงพอ่ ชา สุภัทโท) เป็นพระอปุ ัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๔ รักษาการเจา้ อาวาส วัดป่านานาชาติ จงั หวดั อบุ ลราชธานี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปจั จุบัน พำ�นัก ณ สถานพำ�นักสงฆ์ จังหวดั นครราชสมี า

มลู นธิ ิ​ปัญญา​ประทีป คว​ ​า​ม​เป็นม​ ​า​ ​ มูล​นิธปิ ​ัญญา​ประที​ป จ​ัดต้​ังโด​ยค​ณะผ​ูบ้ ร​หิ ารโ​รงเ​รยี นทอส​ี ด้วยควา​มร่ว​ม​ม​ือ​ จากคณะค​รู ผู​้ปกค​รอ​งแล​ะญาติ​โย​มซึ่งเ​ป็น​ลูกศิ​ษย์​พระอาจา​รย์ช​ย​สาโ​ร ก​ระทรวง​ มหาด​ไทยอนุ​ญา​ตให​้จดทะ​เบี​ยนเ​ป็นนิ​ติบ​ุคค​ล​อ​ย​่า​งเป็นทางการ ​เลขท่ี​ทะ​เบียน ​กท. ๑๔๐๕ ตงั้​ แตว่ ันท​ ี่ ๑ เ​​มษาย​ น ​๒๕๕๑ ​วตั ถุประส​ งค​์ ๑) สนับส​นุน​การพัฒ​นาสถา​บัน​การศ​ึกษาวิ​ถีพุทธที่​มี​ระบบ​ไ​ต​รสิ​กขา​ของ พระพทุ ธศา​สนาเปน็ ​หลกั ​ ​๒) เผย​ แผห่ ลกั​ ธรรม​คำ�สอ​ นผ่​านการจัดการฝกึ ​อบรมและปฏบิ ัติธรรม และการ เผยแผ่ส่ือธรรมะรูปแบบต่างๆ โดยแจกเปน็ ธรรมทาน ๓) เพ่ิมพูนความเข้าใจในเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมการด�ำ เนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ๔) รว่ มมอื กบั องคก์ รการกศุ ลอน่ื ๆ เพอ่ื ด�ำ เนนิ กจิ การทเ่ี ปน็ สาธารณประโยชน์ ​

​คณะ​ที​ป่ รกึ ษา​ ​ พระอาจารย์ชยสาโรเป็นองค์ประธานที่ปรึกษา โดยมีคณะที่ปรึกษาเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ อาทิ ด้านนิเวศวิทยา พลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม เกษตรอินทรีย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาศาสตร์สุขภาพ การเงิน กฎหมาย การสื่อสาร การละคร ดนตรี วัฒนธรรม ศิลปกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คณะกรรมการบริหาร มูลนิธิฯ ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์นายแพทย์ปรีดา ทัศนประดิษฐ เปน็ ประธานคณะกรรมการบรหิ าร และมคี ณุ บบุ ผาสวสั ด์ิ รชั ชตาตะนนั ท์ ผอู้ �ำ นวยการ โรงเรียนทอสเี ปน็ เลขาธกิ ารฯ ก​ ารด​ �ำ เนนิ ก​ าร​ ​ ​•​ มลู นธิ ฯิ เปน็ ผจู้ ดั ตง้ั โรงเรยี นมธั ยมปญั ญาประทปี ในรปู แบบโรงเรยี นบม่ เพาะ ชีวิตเพื่อดำ�เนนิ กิจกรรมต่างๆ ดา้ นการศึกษาวิถีพุทธ ใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์ของมลู นธิ ิฯ ข้างตน้ โรงเรยี นน้ตี ้งั อยูท่ ่ี บา้ นหนองนอ้ ย อ�ำ เภอปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสมี า ​ ​• ​ มูลนธิ ฯิ รว่ มมอื กับโรงเรยี นทอสี ในการผลติ และเผยแผส่ อื่ ธรรมะ แจกเป็น ธรรมทาน โดยในสว่ นของโรงเรยี นทอสฯี ไดด้ ำ�เนินการต่อเนื่องต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕



พมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน www.thawsischool.com, www.panyaprateep.org ชยสาโร ิภก ุข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook