Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Description: 10

Search

Read the Text Version

ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลติ ของหนา้ วัวตัดดอก สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ�กดั 1. สภาพภูมอิ ากาศ 1.1 อณุ หภมู ิ - กลางวนั ประมาณ 18 - 30 องศาเซลเซียส -หากอุณภมู ิตำ่� กว่า 14 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานาน อาจทำ� ให้ใบและ - กลางคืน ประมาณ 2 1- 24 องศาเซลเซียส ดอกหนา้ ววั เสยี หาย (cold damage) และทำ� ใหก้ ารเจรญิ เตบิ โตชา้ ใบลา่ งเหลอื ง 1.2 ความช้ืนสัมพัทธ์ -หากอณุ ภมู สิ งู กวา่ 35 องศาเซลเซยี ส เปน็ ระยะเวลานานและตอ่ เนอื่ ง จะทำ� ให้ ตน้ และใบไหม้ สีจานรองดอกซดี และอายุการปกั แจกนั ส้ันลง 1.3 แสงแดด 1.4 ความเข้มแสง - 70 – 80% - หากความชื้นสัมพัทธ์ตำ่� กว่า 50% หน้าววั จะมีการเจริญเตบิ โตชา้ - หนา้ ววั ต้องการแสงแดดรำ� ไร และสม�่ำเสมอ ตน้ แคระแกรน ดอกเลก็ 2. สภาพพนื้ ที่ตั้งโรงเรอื น - หากความชื้นสัมพัทธ์สูงกว่า 90% เป็นระยะเวลานาน การคายน�้ำของ 2.1 สภาพพ้นื ที่ หน้าวัวจะลดลง ท�ำให้การเจริญเติบโตลดลง ต้นอ่อนแอ และท�ำให้การแพร่ 2.2 ลกั ษณะดนิ ระบาดของโรคเกิดไดง้ า่ ยข้นึ 2.3 ทศิ ทางลม - จ�ำเป็นต้องปลูกภายใต้โรงเรือนพรางแสง หากปลูกกลางแจ้งโดยไม่มีการ พรางแสงตน้ หนา้ วัวจะไหม้ โดยทว่ั ไปจะพรางแสงประมาณ 70 – 80 % - 16,000 – 27,000 ลักซ์ - หากพรางแสงน้อยเกินไป ความเขม้ แสงเกนิ 27,000 ลกั ซ์ แม้ต้นหน้าววั จะ แตกกิ่งก้านดี แตส่ ีของดอกและใบจะซดี เหลือง ใบไหม้ ขอบใบแหง้ และไหม้ได้ - หากพรางแสงมากเกนิ ไป ต้นหน้าววั จะออ่ นแอ ใหผ้ ลผลติ นอ้ ยลง - ควรเปน็ ท่ีราบ น�้ำไมท่ ว่ มขงั หรอื อยู่ในเส้นทางไหลบ่า - ไม่ควรใช้พืน้ ทีใ่ ตร้ ่มเงาไมใ้ หญ่ หรอื ส่งิ ก่อสรา้ งท่ีมีเงาขนาดใหญ่พาดผา่ น ของนำ�้ มแี หลง่ นำ้� ทีม่ ีคุณภาพดี และเพียงพอใช้ตลอดปี พน้ื ทีป่ ลกู - ดนิ ทเ่ี หมาะสมในการสรา้ งโรงเรอื นทว่ั ไปจะเปน็ ดนิ แขง็ - การปลูกเลีย้ งหน้าววั ถงึ แมไ้ ม่ได้ปลูกลงดิน ก็ตอ้ งระบายนำ้� ได้ดดี ว้ ย เพ่ือไม่ แน่น เชน่ ดนิ ลูกรงั ดนิ ดาน หรอื ทรายละเอยี ด ใหน้ �ำ้ ขังและวสั ดปุ ลกู ชื้นแฉะเกินไปซึ่งอาจเป็นแหลง่ เพาะเชอ้ื โรคได้ 45 - ควรเปน็ พ้ืนทีท่ อ่ี ากาศถ่ายเทสะดวก - ไมค่ วรเป็นพน้ื ทีท่มี กี ระแสลมแรงพดั ผา่ นเปน็ ประจำ�

46 ขอ้ มลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและให้ผลผลติ ของหนา้ ววั ตัดดอก (ต่อ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 3. สภาพดนิ / วัสดุปลกู - 3.1 ลักษณะวัสดปุ ลกู - วัสดุปลกู หนา้ วัวควรมีลักษณะโปรง่ ปราศจากเชื้อโรค หาง่าย ราคาถกู ระบายน�ำ้ ดี ไม่ขังแฉะแต่เก็บความช้ืน ไดด้ ี สามารถยดึ รากและลำ� ต้นไมใ่ ห้ล้มเม่อื ต้นโตข้นึ ไม่มีสารที่เป็นพษิ ตอ่ พชื ไม่เน่ายบุ หรอื ย่อยสลายง่าย วสั ดปุ ลกู ท่ีนยิ มใช้ปลกู หนา้ วัว เช่น กาบมะพร้าว ถ่านไม้ ถ่านซังข้าวโพด อิฐมอญทุบ ถ่านกะลาปาล์ม โอเอซิส พีทมอส และหนิ ภเู ขาไฟ เปน็ ต้น 3.2 ความลกึ ของหนา้ ดนิ /วสั ดปุ ลกู - ใส่วัสดปุ ลกู ในแปลงสูงประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร - 3.3 ความเป็นกรด-เป็นดา่ ง (pH) - 5.5 – 6.2 - ถ้าวัสดุปลกู เป็นกรดมาก จลุ ธาตุ ไดแ้ ก่ เหล็ก สงั กะสี ทองแดง แมงกานสี โมลบิ ดนิ มั โบรอน และคลอรนี จะละลายออกมามาก จนอาจเปน็ พษิ ตอ่ พชื ได้ - หากวสั ดุปลูกเป็นดา่ งมาก ธาตอุ าหารสว่ นใหญจ่ ะไม่สามารถแตกตวั ละลาย ออกมาเปน็ ประโยชนก์ บั พชื ได้ แตม่ ธี าตบุ างตวั ทล่ี ะลายออกมา ไดแ้ ก่ แคลเซยี ม และแมกนีเซียม จะท�ำให้เกิดคราบหินปูนทั้งที่ใบและดอก และคุณภาพของ หน้าวัวลดลง 4. ธาตอุ าหาร - 4.1 ปรมิ าณธาตอุ าหารหลกั ในดนิ - เนือ่ งจากหนา้ ววั เปน็ พชื ปลูกในวัสดปุ ลูก ไม่ได้ปลูก ลงดนิ ป๋ยุ เป็นปัจจยั ที่ใหธ้ าตอุ าหารแก่หนา้ วัว ธาตอุ าหารทห่ี นา้ ววั ตอ้ งการมาก คอื ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม แมกนีเซียม และก�ำมะถัน

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลติ ของหนา้ ววั ตดั ดอก (ตอ่ ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กดั 5. สภาพน้�ำ - มีแหล่งน�ำ้ ท่มี คี ณุ ภาพดี สะอาด ไม่มีหนิ ปูนหรอื 5.1 คณุ ภาพน�้ำ เกลือแร่มาก - หากเป็นนำ้� จากแม่น�้ำล�ำคลอง ควรมีบ่อพักนำ�้ ใหด้ ินตกตะกอน และใสสะอาดก่อนมานำ� มาใช้ 5.2 ความเป็นกรด - ดา่ ง (pH) - 5.5 – 6.5 - หากใช้น�้ำประปา ตอ้ งนำ� มาพกั ในบ่อพักก่อนนำ� ไปใชป้ ระมาณ 5 – 7 วัน เพอ่ื ลดปริมาณคลอรนี ลง - 5.3 ค่าการนำ� ไฟฟา้ (EC) - ไมค่ วรเกนิ 0.5 - เนื่องจากหน้าวัวไม่ทนตอ่ ความเคม็ หากนำ�้ ท่ีมีค่าการนำ� ไฟฟ้า (EC) สูงกวา่ 5.2 ปรมิ าณความตอ้ งการ ทก่ี ำ� หนด จะทำ� ใหห้ นา้ วัวมีดอกเล็ก ผลผลติ ตำ�่ และก้านสั้น นำ้� ที่นำ� มาใชค้ วร มกี ารตรวจสอบคณุ ภาพนำ�้ กอ่ นใช้ - ปริมาณน�้ำท่ีให้หน้าวัวข้ึนอยู่กับชนิดของวัสดุปลูก - ใหน้ �้ำทุกๆ 3 – 5 ชัว่ โมง ขน้ึ อยูก่ บั วัสดปุ ลูกทใ่ี ช้ หากอากาศรอ้ น วัสดปุ ลูก ฤดกู าล และอายขุ องตน้ หนา้ ววั โดยเฉลยี่ การใหน้ ำ�้ แบบ ไม่อุม้ น�้ำ ควรใหน้ �้ำ 4 – 5 ครงั้ /วนั สปรงิ เกอรจ์ ะให้นำ�้ 3 – 5 ลติ ร/ตร.ม./วัน สว่ นการใหน้ ้�ำ ระบบน�ำ้ หยดจะใหน้ ำ้� 2 ลติ ร/ตร.ม./วนั 47

แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง่ สบื ค้นขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ การเพม่ิ ผลผลติ และลดต้นทุนการผลติ การใหป้ ๋ยุ ทางระบบน�้ำ เป็นวิธีการให้ปุ๋ยท่ีมีประสิทธิภาพท่ีสุดเพราะจะท�ำให้หน้าวัวได้รับปุ๋ยในปริมาณที่ ถูกต้องทุกคร้ังที่ให้นำ�้ นอกจากน้กี ารใหป้ ยุ๋ ทางระบบนำ้� ชว่ ยให้ใบและดอกสะอาดไม่เป็น คราบปยุ๋ อกี ดว้ ย คำ� แนะนำ� การใหป้ ยุ๋ ทางระบบนำ�้ ของบรษิ ทั Anthura ประเทศเนเธอรแ์ ลนด์ แนะน�ำไวด้ ังน้ี 1.1 แยกถังสารละลายปุย๋ ในถงั เข้มขน้ 2 ถัง คือ ถงั A และถัง B แตล่ ะถัง มคี วามจุ 20 ลิตร มีความเขม้ ข้น 100 เท่า ให้ปุ๋ยเข้าในระบบน�้ำแยกครงั้ ละถงั หรอื ใช้ เครอ่ื งมอื ดดู ปยุ๋ 2 ตวั ดดู แตล่ ะถงั เขา้ ไปในนำ้� พรอ้ มกนั โดยใชผ้ สมกบั นำ้� ปรมิ าณ 2,000 ลติ ร ซง่ึ หากปรมิ าณน�้ำทใ่ี ชม้ ากหรอื นอ้ ยกวา่ น้ี สามารถค�ำนวณปรมิ าณแมป่ ยุ๋ ทใ่ี ชไ้ ดจ้ าก ปริมาณทีใ่ หไ้ วเ้ ปน็ หลัก เช่น ใหน้ �้ำผ่านทอ่ รวม 200 ลติ ร ตอ้ งดูดปุ๋ยจากถงั A และถัง B ถังละ 2 ลติ ร ปรมิ าณธาตอุ าหารกต็ อ้ งคำ� นวณลดลงตามส่วน การให้ปยุ๋ พร้อมระบบ นำ้� สามารถใหไ้ ด้ทุกวนั พร้อมกบั การใหน้ ำ้� เนื่องจากเปน็ ลักษณะการให้จางๆ ใหพ้ ชื ดูดใช้ ประโยชนท์ ลี ะนดิ ทกุ วนั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยอาจใหป้ ยุ๋ พรอ้ มการใหน้ ำ�้ ครง้ั ใดครงั้ หนงึ่ ในแตล่ ะวัน 1.2 ค่าการน�ำไฟฟ้า (EC) ของสารละลายปุ๋ยท่ีได้ไม่ควรเกิน 1.2 mS/cm ค่าความเป็นกรด-ดา่ ง (pH) ของสารละลายปยุ๋ ควรอยรู่ ะหว่าง 5.5 – 6.0 โดยแนะน�ำให้ ใชแ้ มป่ ุ๋ยแตล่ ะชนดิ มาผสม 1.3 การคำ� นวณปรมิ าณปยุ๋ ท่ี บรษิ ทั Anthura แนะนำ� คดิ เปน็ สดั สว่ นธาตอุ าหาร ไนโตรเจน : ฟอสฟอรสั : โพแทสเซียม เท่ากับ 3:1:4 ซ่งึ ในชว่ งการเจรญิ เติบโตทางตน้ (ช่วงทยี่ ังไม่ออกดอก) อาจปรับให้สัดสว่ นโพแทสเซยี มลดลงครงึ่ หนึง่ กไ็ ด้ เป็น 3 : 1 : 2 แล้วเมือ่ เริ่มออกดอกจงึ ปรบั เปน็ 3 : 1 : 4 ปรมิ าณปยุ๋ ทแี่ นะนำ� คำ� นวณไว้ตามตาราง 48

ตาราง : ค�ำแนะนำ� การให้ปุย๋ ทางระบบน้�ำของบริษทั Anthura สดั ส่วน N : P : K = 3 : 1: 4 ถัง A สารละลาย 20 ลิตร แม่ปยุ๋ สูตรเคมี องค์ประกอบ ปริมาณที่ใช้ ปรมิ าณธาตุ อาหารท่ไี ด้รับ แคลเซยี ม Ca(NO3)2.4H2O 1 6 . 9 % C a , 1.5 ก.ก. ไนเตรท 11.6%N Ca = 0.25, โพแทสเซียม KNO3 13%N, 38.2%K 0.4 ก.ก. NO-3 = 0.17 ก.ก. ไนเตรท NO-3 = 0.04, K = 0.11 ก.ก. เหลก็ คเี ลต Fe-EDTA 13.2% Fe 0.012 ก.ก. Fe = 0.0016 ก.ก. ถัง B สารละลาย 20 ลิตร องคป์ ระกอบ ปรมิ าณที่ใช้ ปรมิ าณธาตุ แม่ปุย๋ สูตรเคมี อาหารทีไ่ ดร้ บั โพแทสเซียม KNO3 13%N, 38.2%K 0.2 ก.ก. NO-3 = 0.039, ไนเตรท K = 0.08 ก.ก. โมโน (NH4)H2PO4 12%N, 26.2%P 0.3 ก.ก. NH+4 = 0.03, แอมโมเนียม P = 0.07 ก.ก. ฟอสเฟต 41.51%K, 17%S 0.4 ก.ก. K = 0.17 ก.ก., โพแทสเซียม K2SO4 S = 0.07 ก.ก. ซัลเฟต 9.3%Mg, 12.9%S 0.5 ก.ก. แมกนีเซยี ม MgSO4.7H2O Mg = 0.047, ซลั เฟต 17%B 2.6 ก.ก. S = 0.06 ก.ก. กรดบกรคิ H3BO3 22.7%Zn, 11%S 1.7 ก.ก. ซิงคซ์ ลั เฟต ZnSO4.7H2O B = 0.434 กรัม 25%Cu, 12.8%S 0.2 ก.ก. คอปเปอร์ CuSo4.5H2O Zn = 0.39, ซัลเฟต (NH4) 2Mo2O7 5 6 . 3 % M o , 0.2 ก.ก. S = 0.19 กรมั 8.2%N แอมโมเนยี ม Cu = 0.06, ไดโมลิบเดท S = 0.03 กรมั Mo = 0.095 กรัม 49

การลม้ ตน้ เมอ่ื หนา้ ววั มอี ายไุ ดป้ ระมาณ 5-6 ปี ตน้ จะสงู เกง้ กา้ ง ใหผ้ ลผลติ ลดลง ควรรอื้ แปลง และปลูกใหม่ หรอื ยดื อายกุ ารใหผ้ ลผลติ หนา้ วัวได้โดยการลม้ ต้น ซงึ่ วธิ นี ส้ี ามารถใชไ้ ดก้ ับ ตน้ หน้าววั ทอ่ี ายมุ ากขึน้ ต้นสูงเก้งกา้ งและไม่เปน็ โรค โดยมวี ิธกี ารดงั นี้ 1. เอนต้นหน้าวัวทส่ี ูงเก้งกา้ งให้เอนลงในแนวราบไปในทิศทางเดยี วกัน 2. คลุมล�ำต้นโดยใช้วัสดุปลูกเพ่ือล่อให้เกิดรากและล�ำต้นมากขึ้น วิธีการน้ี ต้นส่วนยอดจะตง้ั ข้ึน และมีรากใหมง่ อกออกมาและเติบโตต่อเน่ือง ใหผ้ ลผลติ ต่อไปไดอ้ ีก โดยไม่ตอ้ งร้อื ปลูกใหม่ การพฒั นาคุณภาพ มาตรฐาน 1. ใชต้ ้นพนั ธ์เุ พาะเล้ยี งเน้อื เยอื่ ทแี่ ข็งแรงปราศจากโรคจากแหลง่ ทีเ่ ชอ่ื ถอื ได้ 2. วเิ คราะห์นำ�้ ทีใ่ ช้รดหน้าววั โดยน�้ำท่ีใชร้ ดหน้าววั ตอ้ งสะอาด มคี ่าความเปน็ กรด- ด่าง (pH) และปริมาณเกลอื แร่ทเ่ี หมาะสม น�้ำทเ่ี หมาะสมใช้รดหนา้ ววั ควรมี pH ระหว่าง 5.2 - 6.2 ซึง่ การแก้ไขและการปรับสภาพนำ้� ให้เหมาะสมกบั การปลูกหน้าวัว ท�ำได้ดงั น้ี 2.1 แก้ไขน้�ำท่ีเป็นด่าง โดยการปรับสภาพน้�ำด้วยกรดซึ่งอาจใช้กรดซัลฟูริก กรดไนตริก หรือกรดฟอสฟอรกิ จนได้ pH ทีเ่ หมาะสม ส�ำหรบั กรดซลั ฟูรกิ กรดไนตริก เปน็ กรดทรี่ นุ แรงและอนั ตราย ควรใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั เปน็ พเิ ศษ สว่ นกรดไนตรกิ และ กรดฟอสฟอริกนอกจากจะช่วยปรบั คา่ pH ของนำ�้ แลว้ ยงั สามารใหธ้ าตุไนโตรเจน (N) และฟอสฟอรสั (P) แกพ่ ชื ไดด้ ว้ ย แตแ่ นะนำ� ใหใ้ ชก้ รดไนตรกิ เนอ่ื งจาก กรดไนตรกิ มรี าคา ถกู กวา่ กรดฟอสฟอรกิ และใชใ้ นปรมิ าณทน่ี อ้ ยกวา่ เนอื่ งจากแตกตวั ไดด้ ี นำ้� ทเ่ี ตมิ กรดไนตรกิ สามารถใชไ้ ดท้ นั ที นอกจากนกี้ รดไนตรกิ เปน็ กรดแกม่ ไี นเตรทไอออนซง่ึ เปน็ ประโยชนต์ อ่ พชื ซึ่งข้อควรระวังในการใชก้ รด คือ 1) กรดเปน็ สารอนั ตราย เมอื่ กรดเขม้ ขน้ ผสมกบั นำ้� จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความรอ้ นสงู ควรมอี ปุ กรณป์ อ้ งกนั ทเ่ี หมาะสมเมอื่ ใชก้ รด ไดแ้ ก่ แวน่ ตา ผา้ กนั เปอ้ื น ถงุ มอื พวี ซี ี (PVC) รองเท้าบูท และใช้ภาชนะท่ีทนกรดเพื่อใส่สารละลายกรดเข้มข้น เช่น ถังน้�ำพีอี (PE) อยา่ งหนา บอ่ ปูนซเี มนต์ เปน็ ตน้ 2) การผสมกรดกับนำ้� ต้องค่อยๆ เทกรดลงในน�้ำอย่างช้าๆ หา้ มเทน้�ำลงใน กรดเขม้ ขน้ เดด็ ขาด เพราะจะทำ� ใหเ้ กดิ ปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงใหก้ รดกระเดน็ ออกมานอกภาชนะ ซง่ึ เปน็ อนั ตรายอยา่ งมาก การเตมิ กรดลงในนำ�้ ใหค้ อ่ ยๆ เตมิ ชา้ ๆ อยา่ งระมดั ระวงั ลงตรง กลางผวิ นำ�้ ระหวา่ งและหลงั การเตมิ กรดลงในน�้ำตอ้ งคนใหท้ วั่ เนอ่ื งจากกรดจะหนกั กวา่ น�้ำ และตอ้ งระวงั ไมใ่ หก้ รดกระเด็น 2.2 การแก้ไขนำ้� ทเ่ี ปน็ กรด น้�ำโดยทว่ั ไปจะมี pH อยรู่ ะหวา่ ง 6 - 8 หากน้�ำ มีสภาพเปน็ กรดต่�ำมาก ปรบั สภาพนำ้� โดยเพ่ิมโพแทสเซยี มไบคาร์บอเนตในน้�ำ 50

แหลง่ สบื ค้นข้อมูลเพิ่มเติม ชญั ญา ทพิ านกุ ะ. 2548. เอกสารวชิ าการหนา้ ววั . กลมุ่ สง่ เสรมิ การผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั , สว่ นการผลติ ผกั ไมด้ อกไมป้ ระดบั และพชื สมนุ ไพร, สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสริมการเกษตร. มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ วทิ ยาเขตชมุ พร. 2545. Anthurium. สำ� นกั พมิ พ์ สริ ินาฏการพิมพ.์ จังหวัดเชยี งใหม่. เศรษฐพงศ์ เลขะวัฒนะ และไพศาล โรจน์สราญรมย.์ 2540. รายงานการวิจยั เรอื่ ง การศกึ ษาหน้าววั พนั ธ์ตุ า่ งประเทศ. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร, กรงุ เทพฯ เศรษฐพงศ์ เลขะวฒั นะ โอฬาร พิทักษ์ และวารี เจรญิ ผล. 2544. หน้าววั ตดั ดอก. สำ� นกั สง่ เสรมิ และฝกึ อบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ โอฬาร พิทกั ษ์ และคณะ. 2539. รายงานการฝกึ อบรม เร่ือง การผลิตหนา้ ววั เป็น อตุ สาหกรรมในประเทศเนเธอรแ์ ลนด.์ กองสง่ เสรมิ พชื สวน, กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 51

เบญจมาศตัดดอก ข้ันตอนการปลูกและการดูแลรกั ษาเบญจมาศตดั ดอก การเตรียมการ 15 วัน 30 วนั 45 วนั 60 วนั 75 วัน 90 วนั 105 วนั การเตรยี มดิน การปลูก การเด็ดยอด การใส่ปยุ๋ การให้น้ำ� - ไถดินตากแดดประมาณ 1 - 2 สปั ดาห์ - ปลูกแบบเดด็ ยอด ปลกู 4 แถว - หลังปลูก 10 - 15 วนั - ปยุ๋ ในระยะเจรญิ - ใชน้ ้ำ� สะอาด pH ยอ่ ยดนิ ใหร้ ว่ น หากดนิ เปน็ กรดปรบั สภาพ ตอ่ แปลง ระยะปลูก 20 x 25 ซม. เด็ดยอดอ่อนให้เหลือใบ ทางตน้ ใหป้ ยุ๋ สูตร 5.5 – 6.5 ดว้ ยปนู ขาวหรอื โดโลไมท์ - ปลกู แบบไมเ่ ดด็ ยอดหรอื แบบตน้ ไว้ประมาณ 3 - 4 คู่ 15.5-0-0 อัตรา 3 - อตั รา 5-6 ลติ รตอ่ - ใส่แกลบ ปุย๋ หมัก และปยุ๋ คอก อัตรา เด่ียว ระยะปลกู 12.5 x 12.5 ซม. การเด็ดดอก กก.ต่อ 100 ตร.ม. ตร.ม.ตอ่ วัน 3:2:1 ผสมใหเ้ ขา้ กัน - ใหแ้ สงวันยาวตง้ั แตเ่ ริม่ ปลูกเพือ่ - เดด็ ดอกหลงั ปลกู 20-30 วนั ทกุ สปั ดาห์ - รดนำ้� ทกุ วนั ๆ ละ -แปลงกวา้ ง 1 – 1.25 เมตร ยกแปลงสูง เจริญเติบโตทางต้นและใบ โดยให้ - พนั ธุ์ดอกเดี่ยว เดด็ ตาข้าง - ปยุ๋ ในระยะสร้าง 1 ครั้ง ไม่ควรเกิน 15 - 20 เซนตเิ มตร แสงไฟชว่ งกลางคนื วนั ละ 3-5 ชว่ั โมง ของกิ่งแขนงให้หมด เหลือ และพฒั นาดอก ให้ เวลา 14.00 น. เพอ่ื การเตรยี มพนั ธ์ุ จนตน้ สูง 30-40 ซม. จึงงดให้ไฟ เพยี งตายอดทจ่ี ะใหด้ อกเพยี ง ปุ๋ยสูตร 13-0-44 หลีกเล่ียงไม่ให้ใบ - เตรียมตน้ แม่พนั ธุ์ดี - ขึงตาข่ายขนาด 12.5 x 12.5 ซม. ดอกเดียว อตั รา 3 กก.ตอ่ 100 เปียกชว่ งกลางคืน - ปักช�ำก่ิงยอดจนแตกรากใหม่ - สปั ดาหท์ ี่ 5-8 คลมุ ผา้ ดำ� เพอื่ ชกั นำ� - พนั ธด์ุ อกชอ่ เดด็ เฉพาะดอก ตร.ม. ทกุ สปั ดาห์ (อายุ 14 วัน) จึงยา้ ยกง่ิ ลงปลูกในแปลง ใหเ้ กดิ วนั สนั้ เพอ่ื ใหเ้ บญจมาศสรา้ ง กลางออก หลังตน้ สูง 30 ซม. และพัฒนาตาดอก การเกบ็ เกี่ยว - หลังจากปลกู ประมาณ 90 - 120 วนั เรมิ่ เกบ็ เกี่ยวได้ ศัตรพู ชื ท่สี �ำคัญและการปอ้ งกันก�ำจดั - เบญจมาศดอกเดี่ยวควรเก็บเก่ียวในระยะท่ีกลีบดอกชั้นในตรงกลวงดอก 1) โรคราสนมิ ขาว ระบาดมากชว่ งฤดหู นาว หมอกหรอื 5) เพลยี้ ไฟ ระบาดมากในสภาพทอี่ ณุ หภมู สิ งู และแหง้ แลง้ เปน็ สีเขียว เส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 2 ซม. น�้ำค้างลงจัด การป้องกันก�ำจัด ใช้ต้นพันธุ์ต้านทานโรค การป้องกันก�ำจัด ใช้กับดักกาวเหนียว ใช้สารเคมีกลุ่ม - เบญจมาศดอกช่อถ้าเป็นดอกชนั้ เดยี วควรเก็บเกยี่ ว เม่ือส่วนของกลีบดอก ใช้สารเคมีประเภทดดู ซึมฉดี พน่ ทุก 5-7 วัน ไพรที รอยด์ กบั กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตหรอื คารบ์ าเมท ช้นั ใน พร้อมท่ีจะบานทั้งหมด ส่วนในดอกชอ่ แบบดอกชอ้ น จะเก็บเกี่ยวเม่อื 2) โรคใบจดุ ระบาดมากในฤดูฝน การป้องกนั กำ� จัด ใช้ก่งิ 6) แมลงวันหนอนชอนใบ การป้องกันก�ำจัด ใช้วิธีกล มดี อก จำ� นวน 3 ดอก บานประมาณ 1/2 - 3/4 ของดอกที่บาน ปกั ชำ� ทปี่ ราศจากโรคและถา้ มโี รคระบาดในแปลงควรเผา เก็บเศษใบทถี่ ูกท�ำลายเพ่อื ชว่ ยลดการระบาด ใช้สารเคมี ทำ� ลาย หรอื ฉีดพน่ ด้วยสารเคมี ฉดี พน่ ในระยะตวั หนอน 3) โรคใบแหง้ ระบาดมากในสภาพอากาศรอ้ นและความชนื้ 7) หนอนกระทู้หอม ระบาดรุนแรงท้ังปี โดยเฉพาะในฤดู สูง เช้ือโรคจะติดมากับเครื่องมือเครื่องใช้ การป้องกัน หนาวและฤดรู อ้ น การปอ้ งกนั กำ� จดั เกบ็ กลมุ่ ไขแ่ ละหนอน การปฎิบัตหิ ลงั การเกบ็ เกีย่ ว ก�ำจดั ใช้ก่งิ ปกั ช�ำทีป่ ราศจากโรค และถา้ มโี รคระบาดใน ท�ำลาย ใช้เช้ือจุลินทรย์ เช่น ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) ของ 1. เมือ่ ตัดดอกจากต้นแลว้ ให้รีบน�ำก้านดอกแช่ในนำ�้ สะอาดทนั ที แปลงควรเผาท�ำลาย หรือฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมี หนอนกระทหู้ อม ใชส้ ารเคมกี ำ� จดั หนอน 2. การคัดขนาด ปกติหนงึ่ กำ� จะหนกั ประมาณ 0.8 – 1 กโิ ลกรัม 4) โรคดอกเน่า ระบาดมากในฤดูฝน การป้องกันก�ำจัด 3. การเกบ็ รกั ษา สามารถเกบ็ แบบแหง้ ทอี่ ณุ ภมู ิ -0.5 องศาเซลเซยี ส เปน็ เวลา ควรฉีดสารเคมีปอ้ งกันก�ำจดั เช้อื รา 3 – 4 สัปดาห์

เทคนิคการปลูกและดูแลรกั ษาเบญจมาศตัดดอก 1. การเตรียมการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรยี มดนิ 1) ไถดนิ ตากแดดประมาณ 1 - 2 สปั ดาห์ 2) ยอ่ ยดนิ และผสมแกลบ ปยุ๋ หมกั ปยุ๋ คอก อตั รา 3 : 2 : 1 คลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กนั หากดนิ เป็นกรด ควรปรบั สภาพด้วยปูนขาวหรอื โดโลไมท์ 3) ยกแปลงสูง 15 - 20 เซนติเมตร การเตรยี มแปลงปลกู ขนาดแปลงกว้าง 1 - 1.25 เมตร ทางเดนิ กวา้ ง 50 - 60 เซนตเิ มตร ความยาวตาม พน้ื ท่ี ระยะทีเ่ หมาะสม 20 เมตร 1.2 การเตรยี มพนั ธ์ุ ก. การจดั การต้นแมพ่ นั ธ์ุ 1) แปลงแมพ่ นั ธม์ุ อี ายปุ ระมาณ 5 -6 เดอื น ดังนัน้ ควรเตรยี มแปลงใหด้ ี โดยย่อยดนิ และ ผสมสารอนิ ทรยี ์ เชน่ ปุ๋ยคอก ใบไม้ผุ แกลบ เพอ่ื ให้ ดนิ รว่ น 2) ปลูกต้นแม่พันธุ์ออกรากแล้วใน แปลงปลูกตน้ แม่พันธ์ุ แปลง ระยะปลูก 15 x 15 เซนติเมตร (ประมาณ 50 ตน้ ต่อตารางเมตร) หลงั ปลกู แล้ว 10 วนั จึงเด็ดยอดให้เหลอื ใบไวก้ ับต้นประมาณ 5 – 6 ใบ 3) ใหแ้ สงวันยาว (>14.5 ชว่ั โมงต่อวัน) ในแปลงแมพ่ ันธ์เุ บญจมาศทนั ที หลงั ปลูก เพือ่ ให้มกี ารเจรญิ เติบโตทางต้นและใบ โดยเปิดไฟใหแ้ สงในช่วงเวลากลางคนื ทุกวัน วันละ 3 – 5 ชั่วโมง ขึน้ อย่กู บั ฤดกู าล ข. การเก็บเก่ียวกงิ่ พนั ธุ์จากต้นแมพ่ นั ธุ์ 1) การเด็ดยอดต้นแม่พนั ธุ์เพอ่ื เปน็ กงิ่ ปักช�ำจะเริ่มได้ตั้งแต่สัปดาห์ท่ี 5 หลังปลูก จนถึง สปั ดาหท์ ี่ 20 หลงั จากนน้ั ควรรอื้ และปลกู ตน้ แมพ่ นั ธใ์ุ หม่ 2) เด็ดให้ยอดเบญจมาศมีความยาว ประมาณ 5.6 - 6 เซนตเิ มตร (ประกอบด้วยใบใหญ่ 2 ใบ และใบเล็ก 2 ใบ) และใหเ้ หลอื ใบท่กี ่ิงเดมิ อย่าง นอ้ ย 2 ใบ เพ่ือใหแ้ ตกกิง่ ใหม่ แปลงปกั ช�ำกิ่งพันธ์ุ 53

3) เมอ่ื เดด็ ยอดแลว้ ใหน้ ำ� เขา้ ทร่ี ม่ โดยเรว็ และจมุ่ ผงฮอรโ์ มน (IBA รอ้ ยละ 0.4 + ยากันรา) เรียงใส่ถุงพลาสติก และเก็บในห้องเย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไดน้ าน 3 สปั ดาห์ ควรทยอยเดด็ ยอดสัปดาห์ละ 2 - 3 คร้ัง แล้วน�ำไปเกบ็ ในหอ้ งเย็นเพอื่ ให้ไดป้ รมิ าณ จากนน้ั จึงนำ� ไปปกั ช�ำพรอ้ มกนั ค. การปกั ช�ำกง่ิ พันธด์ุ ี 1) วสั ดุปกั ชำ� ควรมคี ณุ สมบัติอุ้มความช้นื ได้ดี และระบายนำ�้ ดี เชน่ ถา่ นแกลบ+ ถา่ น หรอื ถา่ นแกลบ+ทราย +ขยุ มะพรา้ ว ในสดั สว่ นทเี่ ทา่ กนั ระยะปกั ชำ� 4 x 4 เซนตเิ มตร 2) ควรใหว้ สั ดชุ ำ� ช้ืนก่อนปักช�ำ จากวันปกั ชำ� ถงึ วนั ที่ 7 ใหน้ ำ�้ แบบพน่ ฝอย 3 -4 ครง้ั ตอ่ ชว่ั โมง 10 -15 วนิ าที ตอ่ ครง้ั วนั ท่ี 8 -11 หลงั ปกั ช�ำ ควรลดน�้ำเหลอื 3 ครง้ั ตอ่ วนั วนั ที่ 12 - 13 ใหน้ �ำ้ วนั ละครงั้ และในวนั สดุ ทา้ ย (วันที่ 14) ก่ิงพนั ธป์ุ กั ช�ำ 14 วนั ออกราก ใหง้ ดน้�ำ 3) ช่วง 8 วันแรกของการปกั ชำ� พรางแสงรอ้ ยละ 80 วนั ที่ 9 - 14 หลัง ปกั ช�ำพรางแสงร้อยละ 40 4) เม่ือปักชำ� 14 วนั ก่ิงชำ� จะมีรากสมบรู ณแ์ ละพรอ้ มปลกู หากไมป่ ลูกทนั ที อาจเกบ็ ไวใ้ นห้องเยน็ 8 องศาเซลเซียส ได้เปน็ เวลานานประมาณ 1 สัปดาห์ 5) ใหแ้ สงวันยาว (>14.5 ช่วั โมงตอ่ วัน) ทนั ทหี ลังปักชำ� เพือ่ ป้องกันการสร้าง ตาดอก โดยเปดิ ไฟใหแ้ สงในชว่ งเวลากลางคนื ทกุ วนั ๆ ละ 3 – 5 ชว่ั โมง ขนึ้ อยกู่ บั ฤดกู าล 2. การปลูก 2.1 การวางแผนการปลกู เบญจมาศ การผลิตเบญจมาศแบ่งได้เปน็ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1) การผลิตเบญจมาศในฤดู ชว่ งฤดฝู น - ฤดูหนาว (ระหว่างเดอื นมถิ ุนายน – มกราคม) เน่ืองจากเบญจมาศเป็นพชื วนั สน้ั จะมดี อกและดอกเจรญิ จนบานไดเ้ ฉพาะ ชว่ งเวลามแี สงน้อย 13.5 ชั่วโมงตอ่ วัน 2) การผลติ เบญจมาศนอกฤดู (ระหวา่ งเดอื นกุมภาพนั ธ์ - พฤษภาคม) มัก ปลกู ในภาคเหนอื หรอื บรเิ วณบนทส่ี งู ซง่ึ ตอ้ งมกี ารจดั การลดชว่ั โมงแสงใหเ้ บญจมาศ ชกั นำ� ใหเ้ กดิ วนั สนั้ โดยการคลมุ พลาสตกิ ดำ� ชว่ งเชา้ และเยน็ เวลา 18.30 – 08.00 น. ของวนั ใหม่ 54

2.2 ระยะปลกู 1) การปลูกแบบเด็ดยอด ปลกู 4 แถวต่อ แปลง ระยะปลูก 20 x 25 เซนติเมตร ใชต้ น้ พนั ธ์ุ ประมาณ 21,500 ต้นต่อไร่ 2) การปลกู แบบไมเ่ ดด็ ยอดหรอื แบบตน้ เดยี่ ว จะใช้ระยะปลูกท่ีถี่กว่าการปลูกแบบเด็ดยอด มีการ ลงทนุ ทสี่ งู กวา่ เพราะใชต้ น้ พนั ธม์ุ ากกวา่ แตก่ ารปลกู การปลูกเบญจมาศ แบบน้ีจะมีช่วงเวลาการเจริญเติบโตสั้นกว่าและคุณภาพดอกจะดีกว่า ใช้ระยะปลูก 12.5 x 12.5 เซนติเมตร ใช้ตน้ พันธุ์ประมาณ 68,500 ตน้ ต่อไร่ 2.3 การเตรียมตาขา่ ย ควรใสต่ าข่ายขนาด 12.5 x 12.5 เซนติเมตร 1 ชัน้ ตง้ั แตเ่ ร่มิ ปลูก และขยับขึ้นทุก 1 - 2 สัปดาห์ ให้สูงประมาณ ½ ของความสูงตน้ 2.4 การปลกู เบญจมาศตดั ดอก 1) รดน้�ำแปลงปลูกใหช้ มุ่ ท้งิ ไวป้ ระมาณ 3 - 4 ชว่ั โมง ควรปลูกในชว่ งบ่าย ถงึ เยน็ นำ� ตน้ กล้าท่ไี ดจ้ ากการปกั ชำ� ปลูกลงแปลงลกึ ¾ น้ิว ระยะปลกู ขนึ้ อยู่กับปลกู แบบเดด็ ยอดหรอื ไมเ่ ดด็ ยอด ถา้ มแี สงมากเกนิ ไปควรพรางแสงใหต้ น้ กลา้ เพอ่ื ไมใ่ หต้ น้ กลา้ เหยี่ ว 2) ใหแ้ สงวนั ยาว (>14.5 ชวั่ โมงต่อวนั ) ตงั้ แตเ่ ริ่มปลูกจนตน้ มีความสงู 30 - 40 เซนตเิ มตร จงึ ปดิ ไฟ โดยเปดิ ไฟใหแ้ สงในชว่ งเวลากลางคนื ทกุ วนั ๆ ละ 3 - 5 ชวั่ โมง ขนึ้ อย่กู ับฤดกู าล 3) ส�ำหรบั การปลูกแบบเด็ดยอด หลงั ต้น ต้ังตวั ได้ (ประมาณ 10 - 15 วัน) ท�ำการเด็ดยอด อ่อนให้เหลือใบไว้ประมาณ 3 - 4 คู่ หลังจากก่ิงใหม่ การให้แสงไฟช่วงเวลากลางคนื แตกควรเด็ดกิ่งที่ไมต่ อ้ งการทง้ิ เหลือกิ่งที่แขง็ แรงท่ีสดุ ไว้ 2 - 3 กิง่ ตอ่ ต้น 4) เม่ือต้นเดย่ี วหรอื กง่ิ ที่แตกใหม่จากการเด็ดยอด เจรญิ ไดค้ วามสงู 30 - 40 เซนตเิ มตร (ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์) จึงงดให้แสง (ปดิ ไฟ) หรือให้แสงวนั สน้ั (<13.5 ช่ัวโมงต่อวัน) เพื่อกระตุ้นการออกดอก (ซ่ึงก่อนหน้านี้จะต้องให้แสงช่วงกลางคืนแก่ เบญจมาศหรอื ปลกู ในช่วงวนั ยาวเพื่อยบั ยง้ั การสรา้ งดอก) 5) ให้แสงวันส้ันแก่ต้นเบญจมาศจนสร้างดอก (งดให้แสงในช่วงกลางคืน เมอื่ ช่วงกลางวันสัน้ กว่า 13 ชว่ั โมง หรือใชผ้ า้ ดำ� คลุมในช่วงวนั ยาว) ง ดใหแ้ สงไฟเม่อื ตน้ สงู ประมาณ 30 ซม. การคลมุ ผา้ ด�ำ 55

6) ถา้ ตอ้ งการดอกแสตนดารด์ หรือ 1 ดอกต่อกิ่ง ควรเด็ดดอกข้างดอกแรก ประมาณ 4 สปั ดาห์ หลังการงดไฟ และเดด็ ครั้งที่ 2 ในสัปดาห์ต่อมา การเดด็ ดอก ท�ำเมอ่ื ดอกขา้ งมีขนาดเทา่ หวั ไมข้ ีดไฟ และเด็ดในตอนเชา้ ถา้ ต้องการดอกเสปรย์ ควร เด็ดดอกปลายสดุ ออก (ดอกทแ่ี ก่ที่สุด) เม่ือดอกยงั ตูมอย่แู ละกา้ นเรมิ่ ยดื สามารถเดด็ ดอก ได้โดยไม่กระทบดอกอนื่ 7) ในระยะท่ดี อกเร่มิ เหน็ สีนนั้ ถา้ มีแสง มากเกนิ ไปควรพรางแสงดว้ ยผา้ ขาวบาง หรอื ตาขา่ ย พรางแสงรอ้ ยละ 30 เพือ่ ปอ้ งกันไมใ่ ห้ดอกไหม้ 3. การดูแลรกั ษา คลุมผา้ ด�ำเพื่อสร้างตาดอก 3.1 การให้นำ้� 1) เบญจมาศต้องการนำ�้ ประมาณ 5 - 6 ลติ รตอ่ ตารางเมตรต่อวัน ในระยะ แรกของการปลกู ใหม่ควรรดนำ�้ เชา้ เยน็ เมอ่ื ตน้ ต้งั ตวั ไดแ้ ล้ว ให้รดวันละครั้ง ควรรดน�้ำ ไม่เกินเวลา 14.00 น. เพ่ือหลีกเลี่ยงไม่ให้ใบเปียกช่วงกลางคืน เป็นการป้องกันการ ระบาดของเช้อื รา 2) การรดนำ้� ทำ� ไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ การใหน้ ำ้� โดยตรงหรอื ใชค้ นรด แบบนำ�้ หยด แบบมินสิ ปริงเกลอร์ และการให้นำ�้ แบบเจท็ . 3.2 การใส่ปุ๋ย การให้ป๋ยุ ต้นแมพ่ ันธเ์ุ บญจมาศ 1) ปุ๋ยรองพ้ืน ผสมปยุ๋ รองพืน้ ในดนิ ก่อนปลูกดงั น้ี ป๋ยุ สูตร 15-15-15 อัตรา 2 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางเมตร ปุ๋ยทริบเปล้ิ ซปุ เปอรฟ์ อสเฟต (0-46-0) อัตรา 3 กโิ ลกรมั ตอ่ 100 ตารางเมตร ปยุ๋ แมกนเี ซยี มซลั เฟต อตั รา 3 กโิ ลกรมั ตอ่ 100 ตารางเมตร ปุ๋ยคอก หรอื ป๋ยุ หมัก เพอื่ ปรับสภาพดนิ และการให้ธาตอาหารจุลภาค และปรับ pH ของดินใหเ้ หมาะสม 2) ปุย๋ หลงั ปลูก ใหป้ ๋ยุ สูตร 20-5-20 หรอื 15-15-15 อตั รา 3 กิโลกรัม ต่อ 100 ตารางเมตร เริม่ ให้ 10 วันหลังปลกู และใหท้ กุ สปั ดาห์ การให้ปุย๋ เบญจมาศตัดดอก 1) ปยุ๋ รองพนื้ ผสมปยุ๋ รองพนื้ ในดนิ กอ่ นปลกู ดงั น้ี ปยุ๋ สตู ร 15-15-15 อตั รา 2 กิโลกรมั ต่อ 100 ตารางเมตร ปุ๋ยทรบิ เป้ลิ ซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) อัตรา 5 - 7 กโิ ลกรมั ตอ่ 100 ตารางเมตร ปยุ๋ แมกนเี ซยี มซลั เฟต อตั รา 3 กโิ ลกรมั ตอ่ 100 ตารางเมตร ป๋ยุ คอก หรือปยุ๋ หมกั เพ่อื ปรบั สภาพดนิ และการใหธ้ าตอาหารจุลภาค และปรับ pH ของดินให้เหมาะสม 56

2) ปยุ๋ ในระยะเจรญิ ทางตน้ (ปยุ๋ วนั ยาว) คอื ตง้ั แตห่ ลงั ปลกู 10 วนั ถงึ งดใหแ้ สง ควรให้ปุ๋ยแคลเซียมไนเตรท (15.5-0-0) อัตรา 3 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางเมตร ทกุ สัปดาห์ อาจใหโ้ ดยหวา่ นหรือผสมนำ�้ รด 3) ป๋ยุ ในระยะสรา้ งและพฒั นาดอก (ปุ๋ยวนั สนั้ ) คือ ต้ังแตง่ ดให้แสงถงึ ดอก เรม่ิ เหน็ สี ควรใหป้ ยุ๋ โปแตสเซยี มไนเตรต (13-0-44) อตั รา 3 กิโลกรัมต่อ 100 ตาราง เมตร ทกุ สปั ดาห์ อาจใหโ้ ดยหวา่ นหรอื ผสมน้�ำรด 3.3 การเดด็ ดอก เดด็ ดอกหลงั ปลกู 20 - 30 วนั โดย 1) พนั ธด์ุ อกเดยี่ ว เดด็ ดอกขา้ งของกงิ่ แขนง ใหห้ มด เหลอื เพยี งดอกยอดทจี่ ะใหด้ อกเพยี งดอกเดยี ว 2) พนั ธด์ุ อกชอ่ เดด็ ดอกแรกทสี่ ว่ นยอดของ ล�ำตน้ ออก หลงั ตน้ สงู 30 เซนตเิ มตร เพื่อใหเ้ กดิ กง่ิ แขนงยอ่ ย เพอ่ื ใหต้ าดอกยอ่ ยๆ เจรญิ ขน้ึ จนมดี อกบาน การเดด็ ดอก หลายดอกพร้อมๆ กนั 4. ศตั รูพชื ท่ีสำ� คัญ 4.1 โรค 1) โรคราสนมิ ขาว เกดิ จากเชอื้ รา ระบาดมากชว่ งฤดหู นาว หมอกหรอื นำ้� คา้ ง ลงจดั อณุ หภมู ติ ำ�่ กวา่ 25 องศาเซลเซยี ส ราสนมิ ขาวมกั แพรร่ ะบาดไปกบั ตน้ พนั ธท์ุ เ่ี ปน็ โรค การปอ้ งกนั กำ� จัด ใชต้ ้นพันธุ์ต้านทานโรค หรอื ตน้ พนั ธปุ์ ราศจากโรค หากมีการระบาด ของโรค ใช้สารเคมปี ระเภทดดู ซมึ ฉดี พ่นทกุ 5 - 7 วัน เพ่ือป้องกนั การดอ้ื ยาควรใช้สาร เคมีซ�้ำกันไมเ่ กนิ 2 - 3 ครง้ั ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของหนา้ ววั ตดั ดอก (ต่อ) เกิดจากเช้อื รา ระบาดมากในฤดูฝน การปอ้ งกนั กำ� จัด ควรใชก้ ิง่ ปักช�ำทป่ี ราศจาก โรคมาปลูก และถ้ามโี รคระบาดในแปลงควรเผาท�ำลาย หรอื ฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมีประเภท เสตรปโตมยั ซนิ 3) โรคใบแห้ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ระบาดมากในสภาพอากาศร้อนและ ความชนื้ สูง เชอื้ โรคจะตดิ มากบั เครอื่ งมือเคร่อื งใช้ เช่น มีดหรือกรรไกร การปอ้ งกัน ก�ำจดั ควรใชก้ ง่ิ ปกั ช�ำทป่ี ราศจากโรคมาปลูก และถา้ มโี รคระบาดในแปลงควรเผาท�ำลาย หรือฉดี พ่นด้วยสารเคมีประเภทเสตรปโตมยั ซนิ 4) โรคดอกเน่า เกิดจากเชื้อรา ระบาดมากในฤดูฝน การป้องกันก�ำจัด ควรฉีดสารเคมีปอ้ งกันก�ำจดั เชือ้ ราร่วมกบั สารจับใบ 57

4.2 แมลงและสตั วศ์ ัตรู 1) เพลี้ยไฟ ระบาดมากในสภาพทอี่ ณุ หภูมิสงู และแห้งแล้ง เพล้ยี ไฟจะทำ� ลาย สว่ นออ่ นหรอื สว่ นทก่ี ำ� ลงั เจรญิ ของพชื เชน่ ใบ ยอด และดอก การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชก้ บั ดกั กาวเหนียว ใช้สารเคมีกลุ่มไพรีทรอยด์ กับกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตหรือคาร์บาเมท ควรใชส้ ารเคมซี ำ้� กนั ไมเ่ กนิ 2 - 3 คร้งั 2) แมลงวนั หนอนชอนใบ ตวั หนอนจะกดั กนิ เนอ้ื เยอ่ื ใตผ้ วิ ใบ เหน็ เปน็ รอยเสน้ สขี าวชอนไชใบพชื ทำ� ใหใ้ บมตี ำ� หนขิ ายไดร้ าคาตำ่� ลง การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชว้ ธิ กี ลเกบ็ เศษใบ ทถี่ กู ทำ� ลายเพอื่ ชว่ ยลดการระบาด ใชส้ ารเคมฉี ดี พน่ ในระยะตวั หนอน ชว่ งเวลาทเี่ หมาะสมใน การฉีดพน่ คือชว่ งเวลาเช้าตรู่ 3) หนอนกระทหู้ อม ระบาดรุนแรงทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูรอ้ น ท�ำลายโดยการกัดกินยอดออ่ น ใบ และดอก การปอ้ งกนั ก�ำจัด เกบ็ กลุ่มไข่และหนอน ท�ำลาย ใช้เชอ้ื จุลนิ ทรย์ เชน่ ไวรสั เอ็นพวี ี (NPV) ของหนอนกระทู้หอม ใชส้ ารเคมีก�ำจดั หนอนเมือ่ ตรวจพบการระบาดในระยะทตี่ วั หนอนยังเล็กอยู่ 5. การปฏิบตั กิ อ่ นและหลงั การเกบ็ เกี่ยว 5.1 การเก็บเกีย่ ว ระยะเหมาะสมในการตัดดอก หลังปลูก เบญจมาศได้ 90 -120 วนั สามารถเกบ็ เกยี่ วผลผลติ ได้ - เบญจมาศดอกเดีย่ วควรเกบ็ เกยี่ วเมอ่ื ดอกเบญจมาศบาน 70% หรือในระยะที่กลีบดอก ชนั้ ในตรงกลางของดอกยงั บานไมห่ มด เหลอื อยปู่ ระมาณ การเก็บเกี่ยว เสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 2 เซนตเิ มตร - เบญจมาศดอกชอ่ ควรเกบ็ เกยี่ วเมอื่ ดอกทง้ั หมดบานแลว้ หรอื บานประมาณ 75% และก่อนทเ่ี กสรตวั ผหู้ รือกลบี ดอกชน้ั ในจะบาน ถา้ เปน็ ดอกชน้ั เดียวควรเกบ็ เกีย่ ว เมอื่ สว่ นของกลบี ดอกชนั้ ในพรอ้ มทจี่ ะบาน สว่ นแบบดอกซอ้ นจะเกบ็ เกย่ี วเมอ่ื มดี อกจำ� นวน 3 ดอก บานประมาณ 1/2 - 3/4 ของดอกทบ่ี าน การตดั ดอก ควรตัดใหช้ ่อดอกมคี วามยาวไมน่ ้อยกว่า 55 เซนติเมตร ควรตดั ดอกเบญจมาศในเวลาเชา้ หรือเยน็ จะช่วยลดความเสียหายได้ อุปกรณ์และวิธกี ารเกบ็ เกี่ยว การตัดดอกควรใชม้ ีดท่คี มและสะอาด 58

5.2 การปฏิบัติหลงั การเก็บเกีย่ ว กระต้นุ ให้เบญจมาศดูดนำ�้ มากทสี่ ดุ - เมอ่ื ตัดดอกแล้วควรแช่นำ้� ใหเ้ ร็วท่ีสุดในที่รม่ (ใชน้ ำ�้ สะอาดเทา่ นนั้ ) เปน็ เวลา 2 ชวั่ โมง - หากปลายก้านแข็งและไมด่ ูดน�ำ้ อาจจุม่ โคนกา้ น (4 - 5 เซนตเิ มตร) ในน้�ำรอ้ นอุณหภูมปิ ระมาณ 38 องศาเซลเซยี ส ประมาณ 10 นาที - อาจปรบั น�้ำใหม้ สี ภาพเป็นกรดดว้ ยกรดมะนาว (ซิติกแอซิด) ใหส้ ภาพ ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ ง(pH) เทา่ กบั 3.5 เนอื่ งจากนำ�้ ทเี่ ปน็ กรดจะชว่ ยใหก้ า้ นดดู นำ�้ ไดด้ ขี น้ึ การคัดขนาด หลังจากเบญจมาศได้รับน้�ำเต็มท่ีแล้ว จึงคัดขนาดและเข้าก�ำ ปกติหน่งึ กำ� จะหนักประมาณ 0.8 - 1 กโิ ลกรมั ห่อด้วยกระดาษหนังสอื พิมพ์ หรอื สวม ด้วยซองพลาสติก แล้วจงึ บรรจุกล่องเพือ่ การขนส่งต่อไป ชลอการเจรญิ ของดอกหลังตัด โดยการลดอณุ หภมู ิ (ลดการหายใจและการ คายนำ�้ ) โดยปฏิบตั ดิ งั น้ี - แชเ่ บญจมาศในนำ�้ สะอาด หรอื สารละลายทเี่ ตรยี มไวใ้ นหอ้ งเยน็ อณุ หภมู ิ 4 - 8 องศาเซลเซียส เปน็ เวลาอย่างนอ้ ย 4 ชั่งโมง ก่อนการขนส่ง - ผสมสารฟอกสี (โซเดยี มไฮโปคลอไรท)์ ชนดิ ซกั ผา้ ขาว (6%) ในอตั รา 0.5 -1.5 มลิ ลลิ ติ ร (ซซี )ี ตอ่ นำ้� 10 ลติ ร ผสมสารฆา่ เชอ้ื ปอ้ งกนั การเจรญิ ของแบคทเี รยี ไมใ่ หอ้ ดุ ตันท่อนำ้� - อาจผสมนำ�้ ตาล อตั รา 15 กรัม ต่อลิตร เพื่อใหด้ อกสไี มซ่ ีด (หากใส่ น้�ำตาลมากกวา่ 30 กรมั ตอ่ ลิตร จะทำ� ให้ใบเหลืองเร็ว) การเกบ็ รกั ษา เบญจมาศสามารถเกบ็ แบบแห้งท่ีอณุ ภูมิ -0.5 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 3 - 4 สปั ดาห์ สว่ นการเกบ็ ท่ีอุณหภมู ิ 2 - 3 องศาเซลเซียส ไม่ควรเกิน 2 สปั ดาห์ เก็บรกั ษาไว้ในหอ้ งเย็น 59

60 ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตและให้ผลผลติ ของเบญจมาศตัดดอก สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 1. สภาพภมู อิ ากาศ 1.1 อุณหภูมิ - กลางวนั 22 - 28 องศาเซลเซยี ส - หากอณุ ภูมสิ งู กวา่ 27.5 องศาเซลเซยี ส ดอกจะพัฒนาช้าลงและคณุ ภาพ 1.2 ความช้ืนสมั พทั ธ์ - กลางคืน 15 – 20 องศาเซลเซียส ของดอกลดลง ท่อี ุณหภูมสิ งู กว่า 30 องศาเซลเซยี ส อาจส่งผลให้การพฒั นา 1.3 ความยาวชว่ งแสง ดอกผิดไป คอื เกดิ bract สเี ขยี วอยู่ตรงกลางดอก 1.4 ความเข้มแสง - 70 – 90% - หากความช้นื สมั พัทธ์ตำ�่ ท�ำให้อัตราการเจริญเติบโตลดลง 2. สภาพพนื้ ที่ - หากความชื้นสัมพัทธ์สูงกว่า 90% ท�ำให้ต้นอ่อนแอ ท�ำให้ง่ายต่อการเข้า ทำ� ลายของเชื้อราและแบคทีเรีย - ความยาวช่วงมีแสงยาวกวา่ 14.5 ชว่ั โมง ทำ� ใหม้ ีการเจรญิ - ในประเทศไทยมีชว่ งวันยาวน้อยกวา่ 14.5 ช่วั โมง ตลอดท้ังปี ดงั น้ัน ตอ้ ง เติบโตทางต้นและใบ บงั คบั ไมใ่ หเ้ บญจมาศออกดอกในชว่ งแรก โดยชกั นำ� ใหเ้ กดิ สภาพวนั ยาว ทำ� ได้ ความยาวชว่ งมแี สงสน้ั กวา่ 14.5 ชวั่ โมง แตย่ าวกวา่ 13.5 ชวั่ โมง โดยการเปดิ ไฟชว่ งเวลากลางคืนประมาณ 3 – 5 ชั่วโมง ทงั้ นี้ ขึน้ อยกู่ บั ความ ท�ำให้เบญจมาศเกิดตาดอก ยาวของช่วงกลางคนื ของแตล่ ะฤดกู าล ความยาวช่วงมีแสงสนั้ กวา่ 13.5 ชว่ั โมง ทำ� ใหต้ าดอก - เมือ่ ตอ้ งการชกั นำ� ให้เบญจมาศสร้างและพฒั นาดอก ใหห้ ยดุ ใหแ้ สงในชว่ ง มีการพฒั นาไปเป็นดอกสมบรู ณ์ กลางคืน หากสภาพชว่ งแสงยาวกว่า 13.5 ชัว่ โมง ต้องใช้ผ้าหรือพลาสติกด�ำ ชักน�ำใหเ้ กิดสภาพวนั ส้ัน เพือ่ บงั คับใหเ้ บญจมาศสร้างและพฒั นาดอกตอ่ ไป - มากกวา่ 32,000 ลกั ซ์ - ถ้าตอ้ งปลกู ในชว่ งที่มคี วามเขม้ แสงเกิน 70,000 ลกั ซ์ หรอื 800 วตั ต์ต่อ ตร.ม.ควรพรางแสงใหเ้ บญจมาศเพอื่ ปอ้ งกนั ดอกฝอ่ และไมใ่ หอ้ ณุ หภมู สิ งู เกนิ ไป - ควรเป็นพื้นท่ที ี่อากาศถ่ายเทสะดวก มแี หลง่ น้�ำทมี่ คี ุณภาพดี สะอาด และเพียงพอใช้ตลอดฤดูการปลกู

ขอ้ มลู สภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของเบญจมาศตัดดอก (ต่อ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กดั 3. สภาพดนิ / วสั ดปุ ลกู 3.1 ลักษณะดนิ - มีความอุดมสมบรู ณ์ โปรง่ ร่วนซยุ ระบายนำ้� ดี - 3.2 ความลึกของหน้าดิน - ยกแปลงสงู ประมาณ 20 – 25 เซนตเิ มตร - 3.3 ความเปน็ กรด–ดา่ ง (pH) - 5.5 – 6.5 - 4. ธาตอุ าหาร - ธาตอุ าหารมหภาค - ไนโตรเจน (N) ในรูป NO3- ปรมิ าณ 178 ppm หรอื มก./ลิตร ฟอสฟอรัส (P) ปรมิ าณ 31.0 ppm หรอื มก./ลิตร ซัลเฟอร์ (S) ปริมาณ 32.0 ppm หรอื มก./ลิตร ไนโตรเจน (N) ในรปู NH4+ปริมาณ 17.5 ppm หรือ มก./ลิตร โพแตสเซยี ม (K) ปรมิ าณ 292.5 ppm หรอื มก./ลิตร แคลเซยี ม (Ca) ปริมาณ 100.0 ppm หรือ มก./ลติ ร แมกนีเซยี ม (Mg) ปรมิ าณ 24.0 ppm หรือ มก./ลติ ร ธาตอุ าหารจลุ ภาค เหล็ก (Fe) ปริมาณ 3.35 ppm หรือ มก./ลิตร แมงกานีส (Mn) ปริมาณ 1.10 ppm หรอื มก./ลิตร ซิงค์ (Zn) ปรมิ าณ 0.20 ppm หรือ มก./ลิตร โบรอน (B) ปริมาณ 0.22 ppm หรือ มก./ลิตร ทองแดง (Cu) ปรมิ าณ 0.03 ppm หรอื มก./ลิตร โมลิบดีน่ัม (Mo) ปริมาณ 0.05 ppm หรอื มก./ลิตร 61 ปรมิ าณ N รวม 196 ppm %N ในรปู แอมโมเนยี มหรอื ยูเรยี 8.9 สัดสว่ น N:P2O5:K2O = 1:0.36:1.8 EC mS2cm = 1.8

62 ข้อมูลสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของเบญจมาศตดั ดอก (ตอ่ ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด 5. สภาพนำ้� 5.1 ความเป็นกรด-ดา่ ง (pH) - 5.5 – 6.5 คา่ การนำ� ไฟฟา้ สงู ทำ� ใหพ้ ืชเจริญเตบิ โตช้าลง เนื่องจากรากพืชไม่สามารถดดู น้�ำไปใช้ได้ 5.2 ค่าการนำ� ไฟฟา้ (EC) - < 0.25 การรดนำ้� จะรดชว่ งเชา้ มดื ถงึ 14.00 น. เพอื่ หลกี เลยี่ งไมใ่ หใ้ บเปยี กชว่ งกลางคนื เปน็ การปอ้ งกนั การระบาดของเชอื้ รา โดยจะใชแ้ รงงานคนใชส้ ายยางตดิ ฝกั บวั 5.3 ปริมาณความตอ้ งการ - 5-6 ลติ รต่อ ตร.ม. ตอ่ วัน เดนิ รดตามแปลง

แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลติ และแหล่งสบื คน้ ข้อมลู เพ่ิมเติม แนวทางการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลติ 1. เลอื กใช้ตน้ พนั ธุ์เบญจมาศท่ปี ลอดโรคและมาจากแหล่งท่ีเชอ่ื ถือได้ 2. มีการจัดการต้นแม่พันธุ์ที่ดี ให้แสงที่เพียงพอและมีการเปล่ียนต้นแม่พันธุ์ทุก 5 - 6 เดือน 3. การควบคมุ การออกดอกของเบญจมาศ 3.1 ให้แสงชว่ งวันยาว (>14.5 ชว่ั โมงตอ่ วัน) เพ่ือให้ตน้ เบญจมาศมกี ารเจริญ เติบโตทางลำ� ตน้ และใบ เพือ่ เป็นการยับยงั้ ไมใ่ ห้เบญจมาศออกดอกเร็ว จงึ ต้องมีการเพ่มิ จ�ำนวนแสงต่อวนั ใหย้ าวข้นึ โดย 1) ให้แสงในช่วงเวลากลางคนื โดยใช้หลอดไฟแบบไส้ 100 วัตต์ เนื่องจาก เปน็ หลอดทีใ่ ห้แสงสีแดงมากกวา่ ซงึ่ เปน็ ช่วงแสงทมี่ ีผลยับย้ังการสรา้ งตาดอกได้ ตดิ ตงั้ เหนือพน้ื ดินประมาณ 2 เมตร แตล่ ะหลอดห่างกันประมาณ 2 เมตร หรอื ใช้หลอดไฟ 150 วตั ต์ ติดต้งั เหนือพ้ืนดนิ ประมาณ 2.5 - 3 เมตร แตล่ ะหลอดหา่ งกนั ประมาณ 3 เมตร ใหค้ วามเขม้ แสงไมน่ อ้ ยกวา่ 100 ลกั ซ์ ทรี่ ะดบั ผวิ ดนิ หรอื 80 ลกั ซ์ ทรี่ ะดบั ยอดพชื 2) ชว่ งระยะเวลาให้แสงประมาณ 3 - 5 ชัว่ โมงตอ่ คนื ขน้ึ อย่กู ับชว่ งฤดู การปลูก ฤดรู ้อน - ฤดฝู น ประมาณ 2 - 2.5 ชว่ั โมง ฤดูหนาว 3 ช่วั โมง เพื่อเปน็ การ ยบั ยง้ั การสรา้ งตาดอก เมอื่ ตน้ มคี วามสงู ประมาณ 30 - 40 เซนตเิ มตร จึงปิดไฟให้ตน้ ไดร้ บั แสงตามปกติ 3.2 ให้แสงช่วงวันส้ัน เม่ือต้องการชักน�ำให้เบญจมาศสร้างและพัฒนาดอก ใหห้ ยดุ ใหแ้ สงในชว่ งกลางคนื หากสภาพแสงชว่ งวนั ยาวกวา่ 13.5 ชวั่ โมง ตอ้ งใชผ้ า้ หรอื พลาสตกิ ด�ำชักน�ำใหเ้ กดิ วันสน้ั เพอื่ บังคับใหเ้ บญจมาศสรา้ งและพัฒนาดอกตอ่ ไป ดังน้ี 1) ชักน�ำให้เกิดวันสน้ั โดยการคลุมด้วยผา้ หรือพลาสติกด�ำใหม้ ืดอย่างนอ้ ย 13 ชวั่ โมง เชน่ เรม่ิ คลุมเวลา 18.00 น. และเปิดผา้ คลมุ เวลา 07.00 น. 2) หยดุ การชกั นำ� วนั ส้ันหลังจากกลบี ดอกของดอกยอดเรม่ิ เห็นสี การใช้ ผ้าด�ำคลมุ เพือ่ ชักนำ� วันสั้นควรดำ� เนินการอย่างตอ่ เนื่องเปน็ เวลาอย่างตำ�่ 21 - 28 วนั ส�ำหรับเบญจมาศดอกเด่ียว และส�ำหรับเบญจมาศดอกช่อใช้เวลานานกว่าประมาณ 35 - 42 วนั 3) ประมาณ 14 วนั หลงั จากเบญจมาศอยใู่ นสภาพวนั ส้นั (คลุมผา้ ดำ� ) ต้นจะสร้างตาดอก และเรม่ิ สรา้ งดอกยอ่ ยชนั้ นอกสุด 63

4. การใช้สารควบคมุ การเจรญิ เติบโตกับเบญจมาศ 4.1 การเพ่ิมความยาวดอก 1) การเพ่ิมความยาวก้านดอก เบญจมาศดอกเดี่ยวสามารถใช้สาร จบิ เบอเรลลินเพมิ่ ความยาวกา้ นดอกได้ โดยใช้โปแตสเซียม จิบเบอเรเลท ความเขม้ ข้น 1.5 - 6 ppm ฉีดพ่น 1 - 3 วนั หลงั ปลูก และฉดี ซ้�ำ 3 สัปดาหห์ ลังจากนัน้ 2) การเพ่ิมความยาวคอดอก เบญจมาศชนิดช่อบางพันธุ์มีคอดอกส้ัน หากตอ้ งการยดื คอดอกฉีดพน่ ดว้ ยจิบเบอเรลลกิ แอซิด (GA) ความเข้มข้น 20 ppm 4 สัปดาห์ หลังเร่ิมช่วงวนั สัน้ GA ท่คี วามเขม้ ข้นสูงกวา่ นี้ หรอื ใหช้ ้ากว่าก�ำหนด อาจมีผล ใหก้ ้านช่อดอกออ่ นแอ 4.2 การลดความยาวคอดอก 1) เบญจมาศดอกเดี่ยว ใชส้ ารดามโิ นไซด์ ฉดี พ่นหลังเดด็ ดอกข้างเสร็จ เพื่อควบคุมไม่ให้คอดอกยาวเดินไป โดยฉีดพ่นจนใบเปียก 1 คร้ัง ด้วยความเข้มข้น 2,500 ppm 2) เบญจมาศดอกช่อ ใช้สารดามโิ นไซดค์ วามเขม้ ข้น 1,000-2,500 ppm ฉีดพน่ ตน้ เบญจมาศ 3 สัปดาห์ หลงั เรม่ิ ชว่ งวนั ส้นั หรือหลังงดใหแ้ สง หรอื ฉดี พน่ 2 สัปดาหก์ อ่ นเด็ดดอก แหล่งสืบค้นขอ้ มูลเพิ่มเติม กรมส่งเสริมการเกษตร. 2539. การผลติ ไม้ดอกไม้ประดบั เชงิ อตุ สาหกรรม. กรุงเทพฯ กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 2542. คำ� แนะน�ำท่ี 80 เรื่อง การปลูกเบญจมาศ. กรุงเทพฯ กรมส่งเสรมิ การเกษตร. เศรษฐพงศ์ เลขะวัฒนะ. 2548. การผลติ เบญจมาศตดั ดอก. กรุงเทพฯ กรมสง่ เสริมการเกษตร. อดิศร กระแสชยั . 2535. เบญจมาศ. กรุงเทพฯ. สำ� นักพิมโอเดยี นสโตร์. http://www.aopdh06.doae.go.th/ การผลิตและขยายพนั ธ์ุเบญจมาศ. 64

กหุ ลาบตัดดอก ข้ันตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษากุหลาบตัดดอก การเตรียมการ 1 เดอื น 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน 6 เดอื น 7 เดอื น การเตรียมดิน การปลกู การใส่ปยุ๋ การใหน้ ำ�้ เด็ดยอด/การตัดแต่ง - ปรบั หนา้ ดนิ ใหเ้ รยี บ มคี วามลาดเท 1. ปลูกในโรงเรือน การใหป้ ยุ๋ ระหวา่ งปลกู - อัตรา 6 -7 ลิตร/ - เด็ดยอดเพ่ือสร้างกิ่งกระโดงเป็น 2-4% เพือ่ การระบายน�้ำ หลงั คาพลาสตกิ แปลง - ให้ปุ๋ยกับระบบน�้ำ ตร.ม./วัน หรือ 49 โครงสร้างหลักให้ต้นกุหลาบมีดอก - ไถลกึ ประมาณ 50 ซม. กวา้ ง 90 ซม. ระยะปลกู โดย N:P:K สัดส่วน ลิตร/ตร.ม./สัปดาห์ คณุ ภาพดี โดยเมอ่ื ตากหุ ลาบแตกขนึ้ มา - ปรบั สภาพดินโดยใช้ ดนิ : 20-25 x 40 ซม.ในพนื้ ที่ 1:0.5:1 หรือปุ๋ยสูตร ให้น้�ำทุกวัน วันเว้น เดด็ ยอดเหนอื สว่ นใบสมบรู ณ์ (5 ใบยอ่ ย) ปุ๋ยอินทรยี ์ : แกลบดิบ อตั ราสว่ น โรงเรอื น 1 ไร่ ใชต้ น้ พนั ธ์ุ 15-15-15 อัตรา 3 วัน หรือข้ึนอยู่กับ ใบทส่ี องจากยอด จากนัน้ ก่งิ กระโดงจะ 3 : 1 : 2 ในระดับความลกึ 20 ซม. 8,000 – 10,000 ต้น กรมั /ต้น/สัปดาห์ สภาพแวดล้อม เร่มิ แทงออกมา ใช้เวลา 2-3 เดอื น - ปุ๋ยท่ีผสมกับเครื่องปลูกหรือปุ๋ย 2. ปลูกกลางแจ้งแปลง - หลงั ตดั แตง่ ใหป้ ยุ๋ สตู ร - นยิ มใหน้ ำ�้ แบบสาย - ตัดแต่งก่ิงเพ่ือตัดดอกจ�ำหน่าย เมื่อ รองพน้ื เชน่ ปยุ๋ อนิ ทรยี แ์ ละปยุ๋ สตู ร กวา้ ง 1 เมตร ระยะปลกู 15-15-15 หรือ 21- ยาง กงิ่ กระโดงเรม่ิ มสี เี ขม้ ขน้ึ ใหต้ ดั ทง้ิ เหลอื 15-15-15 60 x 60 ซม. ใชต้ ้นพันธ์ุ 21-21 ร่วมกับปุ๋ย ใบสมบรู ณ์ไวก้ ับก่ิงกระโดง 5-6 ใบ กิง่ การเตรียมพันธุ์ 3,200 ตน้ /ไร่ อนิ ทรยี ์ ท่ีแตกมาใหม่ 2 เดือน สามารถตดั ดอก ขายได้ ตน้ พนั ธก์ุ หุ ลาบเพอ่ื ผลติ ตดั ดอกนยิ ม การเกบ็ เกี่ยว ใช้ตน้ พันธุ์ตดั ช�ำและต้นพนั ธุ์ติดตา 1. ตัดเม่อื ดอกตูมอยู่หรอื เห็นกลีบดอกเรมิ่ แย้ม และปรากฏสขี องกลบี ดอก ศตั รพู ืชทีส่ �ำคัญและการปอ้ งกันกำ� จัด 2. ควรตดั ดอกช่วงเช้าหรือเยน็ ไม่ควรตดั ดอกช่วงกลางวัน 1. โรครานำ�้ คา้ ง เกดิ จากเช้อื รา ระบาดรุนแรงในชว่ งฤดหู นาว ท่มี ีหมอกและน้�ำคา้ ง 3. เก็บเกย่ี วไดต้ ลอดทงั้ ปี หลงั จากตัดก่งิ 45 วนั สามารถตัดดอกกหุ ลาบรนุ่ ต่อไปจ�ำหนา่ ยได้ ลงจัด การป้องกันก�ำจัด โดยตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคเผาท�ำลาย และฉีดพ่นด้วยสาร การปฎิบตั หิ ลังการเก็บเกี่ยว ปอ้ งกนั กำ� จัดเชือ้ รา ทกุ ๆ 15-20 วัน 1. เม่อื ตดั ดอกจากตน้ แลว้ ใหร้ ีบนำ� ก้านดอกแชใ่ นนำ้� สะอาดทนั ที 2. โรคใบจดุ สดี ำ� เกดิ จากเชอื้ รา ระบาดรนุ แรงในชว่ งฤดฝู น การปอ้ งกนั กำ� จดั ตดั แตง่ 2. ลดอัตราการหายใจและการคายนำ้� ของกหุ ลาบ โดยนำ� กหุ ลาบไปเกบ็ ในหอ้ งเย็น แช่ในน้�ำยา สว่ นทเ่ี ป็นโรคเผาท�ำลาย และฉดี พ่นดว้ ยสารปอ้ งกันกำ� จดั เชือ้ รา ทกุ ๆ 15-20 วนั รักษาสภาพดอกไมน้ านอยา่ งนอ้ ย 2 – 3 ชัว่ โมง ทีอ่ ณุ หภูมิ 2 – 4 องศาเซลเซยี ส 3. หนอน เชน่ หนอนเจาะสมอฝา้ ย หนอนกระทผู้ กั ระบาดไดต้ ลอดทงั้ ปี การปอ้ งกนั 3. คดั เกรดกุหลาบ ตามความยาวของก้านดอก เชน่ 30, 40, 50, 60, 70 และ 80 ซม. กำ� จัด ใชส้ ารเคมฉี ดี พ่นตามฉลากแนะนำ� 4. การเขา้ กำ� และห่อดอก การมดั กำ� ขึน้ อยู่กบั ความตอ้ งการของตลาดแตล่ ะแห่ง เช่น กำ� ละ 10, 4. เพลี้ยไฟ ระบาดรนุ แรงในช่วงฤดรู ้อน การป้องกันก�ำจัด ใชก้ บั ดักกาวเหนียว 20, 25 และ 50 ดอก หรือใชส้ ารเคมฉี ดี พ่นตามฉลากแนะนำ� 5. เกบ็ รกั ษาไว้ในหอ้ งเย็นระหว่างรอการขนส่งและจำ� หนา่ ย

เทคนิคการปลูกและดแู ลรกั ษากหุ ลาบตัดดอก 1. การเตรียมการก่อนปลกู 1.1 การเตรยี มดิน 1) เตรียมแปลงโดยปรับหนา้ ดนิ ให้เรยี บ มคี วามลาดเท 2 - 4% เพอื่ การ ระบายนำ�้ 2) ไถลกึ ประมาณ 50 เซนตเิ มตร เพอื่ ชว่ ยใหก้ ารระบายนำ�้ ดี เพม่ิ ความรว่ น ซุยในดินโดยการผสมแกลบดบิ และปยุ๋ อนิ ทรีย์ (ปุย๋ หมักหรอื ปุย๋ คอก) ในอัตราส่วน ดิน : ปุย๋ อนิ ทรยี ์ : แกลบดิบ ในอตั ราสว่ น 3 : 1 : 2 ในระดับความลึก 20 เซนตเิ มตร 3) ผสมปุ๋ยกับเครื่องปลูก หรือใช้ปุ๋ยรองพื้น เช่น ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยสูตร 15-15-15 เพื่อบ�ำรุงตน้ ให้ธาตอุ าหารท่พี ชื ต้องการอย่างเพียงพอตัง้ แต่เร่มิ ปลูก และ สามารถเพ่ิมธาตุอาหารบางชนิดก่อนปลูกพืชได้เลยโดยไม่ต้องให้อีกหลังปลูกระยะหนึ่ง ได้แก่ แคลเซยี ม (Ca) แมกนเี ซยี ม (Mg) ฟอตเฟส (P) และก�ำมะถัน (S) ซึ่งใหธ้ าตอุ าหาร แกพ่ ืชประมาณ 0.5 - 1 ปี 4) ปรบั ความเปน็ กรดเป็นด่างของดนิ (pH) ควรอยู่ระดับ 5.5 – 6.5 และ มคี ่าการน�ำไฟฟา้ (EC) ต่ำ� กว่า 1.25 mS/cm หากดินเคม็ ให้ชะเกลอื ออกโดยใช้สปริง เกลอร์ หลงั จากนน้ั ปรบั สภาพความเปน็ กรดเปน็ ดา่ ง (pH) ดว้ ยโดโลไมท์ (หากดนิ เปน็ กรด) หรือก�ำมะถนั ผง (หากดินเปน็ ดา่ ง) 1.2 การเตรยี มพันธุ์ กหุ ลาบสามารถขยายพันธ์ไุ ดห้ ลายวธิ ี เชน่ การตัดช�ำ การตอน การติดตา และการเพาะเลยี้ งเนอ้ื เยอ่ื เพอื่ ใหไ้ ดต้ น้ พนั ธท์ุ ม่ี รี ะบบรากแขง็ แรงและใหผ้ ลผลติ สงู เกษตรกร มกั นยิ มกหุ ลาบพนั ธด์ุ ที ตี่ ดิ ตาบนตอกหุ ลาบปา่ วธิ ที น่ี ยิ มขยายพนั ธก์ุ หุ ลาบเพอ่ื ผลติ ตดั ดอก มีดังน้ี 1. การตดั ช�ำ มีขอ้ ดี คือ ท�ำได้งา่ ยและเรว็ แตม่ ีขอ้ เสียคอื การออกราก จะออกไดด้ เี ฉพาะบางพันธ์ุเทา่ นน้ั การปกั ชำ� ทำ� ได้ 2 แบบ คอื - การตดั ชำ� ก่งิ ออ่ น กง่ิ ชำ� ท่ใี ช้อายุไมค่ วรเกิน 45 วนั นิยมกงิ่ ทมี่ ีดอก กำ� ลงั จะบานภายใน 7 วัน จนถึงเมอื่ ดอกบานแลว้ ไม่เกนิ 1 สัปดาห์ โดยตัดกิ่งยาว 12 - 15 เซนติเมตร ให้มีใบตดิ มาดว้ ย กรีดโคนเปน็ ทางยาว 1 - 1.4 เซนติเมตร 2 รอย แลว้ นำ� ไปจุม่ ฮอรโ์ มนเรง่ ราก ผง่ึ ใหแ้ ห้งในที่รม่ แลว้ น�ำไปปกั ชำ� ในกะบะช�ำที่มีวสั ดุชำ� คอื ถ่านแกลบ หรือถ่านแกลบผสมทราย รดน้ำ� ใหช้ มุ่ ประมาณ 12 - 15 วัน กิ่งปกั ช�ำกจ็ ะ ออกราก 66

- การตัดช�ำกิ่งแก่ เพื่อท�ำเป็นต้นตอส�ำหรับติดตา การตัดช�ำกิ่งแก่ ควรทำ� ในฤดแู ลง้ เพราะเปน็ ระยะทก่ี ง่ิ แกจ่ ดั มอี าหารสะสมมากจะชว่ ยใหอ้ อกรากงา่ ยขนึ้ ควรเลอื กก่งิ ท่ีมีเส้นผา่ นศูนย์กลางประมาณ 3/8 น้วิ ตัดกิง่ ชำ� ยาว 6 - 8 เซนตเิ มตร น�ำมาช�ำในถงุ ชำ� หรอื ปักชำ� ในแกลบโดยตรงก็ได้ 2. การตดิ ตา เปน็ วธิ ที น่ี ยิ มทำ� กนั มากเพราะขยายพนั ธ์เุ ร็ว และสามารถคดั เลือก ต้นตอท่ีเหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศของ แต่ละท้องถิ่น การติดตากุหลาบปัจจุบันนิยม การติดตาแบบชิบ บนต้นตอซ่ึงปักช�ำในถุง พลาสตกิ แลว้ โดยการเฉอื นตน้ ตอใหล้ กึ เขา้ เนอื้ ไมป้ ระมาณ 1/4 - 1/3 ของเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง ของตน้ ยาวประมาณ 1 น้ิว จากน้นั เฉือนกิง่ ต้นพนั ธ์ตุ ิดตา พนั ธด์ุ ขี นาดเทา่ กบั รอยเฉอื นบนตน้ ตอ แกะสว่ น ของตน้ ตอทเ่ี ฉอื นออก นำ� สว่ นของตากงิ่ พนั ธด์ุ ใี สแ่ ทนท่ี แลว้ พนั ดว้ ยพลาสตกิ ใหม้ ดิ แผน่ ตา หลังตดิ ตาไปแลว้ 7-10 วัน ตรวจดูแผน่ ตาหากยังมีสเี ขียวสดอยู่ แสดงว่าการตดิ ตาน้ัน ไดผ้ ล แกะแผ่นพลาสตกิ ออกแลว้ พนั ใหม่โดยเว้นชอ่ งตรงตาไวเ้ พอื่ ใหต้ าเจรญิ ออกมาได้ พันธกุ์ หุ ลาบตัดดอกท่นี ิยมปลูกในประเทศไทย เปน็ กหุ ลาบดอกใหญ่ ไดแ้ ก่ - พันธด์ุ อกสแี ดง ไดแ้ ก่ ดัลลสั (Dallas), แกรนกาลา่ (Grand Gala), เฟริ ส์ เรด (First Red), เรดแวลเวต (Red Velvet), คารด์ นิ าล (Kardinal), และ ราฟาแอลลา (Raphaela: แดงสม้ ) เปน็ ตน้ - พนั ธด์ุ อกสชี มพู ไดแ้ ก่ ดโิ พลแมต (Diplomat), ราแวล (Ravel), เปอรเ์ ซยี (Persia), ซาเฟยี (saphir: ชมพสู ้ม) และ โนเบลส (Noblesse: ชมพสู ม้ ) เป็นตน้ - พนั ธ์ุดอกสเี หลือง ได้แก่ เทก็ ซสั (Texas), สกายไลน์ (Skyline), บารอ๊ ค (Barock), คอนเฟตติ (Konfetti: เหลืองขอบแดง), พาเรโอ (Pareo: เหลืองส้ม), เป็นตน้ - พนั ธด์ุ อกสสี ม้ ไดแ้ ก่ มาเดอลอง (Madelon), พาซาดนิ า (Pasadina) เปน็ ตน้ - พันธุ์ดอกสขี าว ไดแ้ ก่ ไวท้ โนเบลส (White Noblesse), ทนิ ิเก(Tinke: ขาวอมเขียว) โยนินา (Yonina: ขาวอมชูพู), ซเู พลส (Suplesse: ขาวอมชมพู), วิวาลดี (Vivalde: ขาวอมชมพู), และ โอเซียนา่ (Osiana: ครีม) เป็นตน้ 67

2. การปลูก 2.1 การปลูกในโรงเรือนหลงั คาพลาสติก แปลงกวา้ ง 90 เซนติเมตร ทาง เดนิ 60 เซนติเมตร ปลูก 2 แถว ระยะห่างระหวา่ งต้น 20 – 25 เซนตเิ มตร ระยะ หา่ งระหว่างแถว 40 เซนตเิ มตร ใช้ต้นพนั ธุ์ 5 – 6 ตน้ ต่อตารางเมตร ในพ้ืนทโ่ี รงเรอื น 1 ไร่ ใช้ต้นพันธ์ุประมาณ 8,000 – 10,000 ตน้ 2.2 การปลกู กลางแจง้ แปลงกวา้ ง 1 เมตร ทางเดนิ 50 เซนตเิ มตร ระยะปลกู 60 x 60 เซนตเิ มตร ใช้ต้นพันธุป์ ระมาณ 3,200 ตน้ ต่อไร่ หลังจากปลูกใชฟ้ างคลมุ โคนตน้ จะช่วยรกั ษาความช้ืนในดนิ ได้ การปลกู กหุ ลาบในโรงเรือน การปลูกกหุ ลาบกลางแจง้ 3. การดูแลรักษา 3.1 การดแู ลกหุ ลาบระยะแรกหลงั ปลกู เมอ่ื ตากหุ ลาบเรม่ิ แตก ควรสง่ เสรมิ ใหม้ กี ารเจรญิ ทางใบเพอ่ื สะสมอาหารและสรา้ งกง่ิ กระโดง ทำ� ไดโ้ ดยการเดด็ ยอดสว่ นเหนอื ใบสมบรู ณ์ (5 ใบย่อย) ใบท่ี 2 จากยอด เมือ่ ดอกมีขนาดเท่าเมลด็ ถ่วั ลนั เตา จากนัน้ ก่ิงกระโดงจะเริ่มแทงออกเป็นโครงสร้างหลัก ให้ต้นกุหลาบให้ดอกที่มีคุณภาพดี เมอื่ กง่ิ กระโดงเรม่ิ มีสใี หต้ ดั ท้งิ เหลือใบสมบรู ณ์ไว้กบั ก่ิงกระโดง 5 - 6 ใบ กุหลาบจะ แตกกิ่งกระโดงใหม่ กิ่งทแ่ี ตกมาใหม่ ประมาณ 2 เดือน ตดั ดอกขายได้ 3.2 การตัดแต่งก่ิง การตัดแต่งกิ่งกุหลาบปฏิบัติได้หลายวิธี แต่มีหลักการ คลา้ ยคลงึ กันคอื ตัดแต่งเพ่ือใหไ้ ดก้ งิ่ ทส่ี มบูรณส์ ำ� หรบั การตัดดอก ใหไ้ ด้กงิ่ กระโดง และ รกั ษาใบไวก้ บั ตน้ ใหม้ ากทสี่ ดุ ควรรกั ษาใหพ้ มุ่ กหุ ลาบโปรง่ ไมส่ งู มากเกนิ ไป เพอ่ื สะดวกใน การดแู ลรกั ษา และแสงทก่ี ระทบโคนตน้ กหุ ลาบจะชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ กง่ิ กระโดงการตดั แตง่ ก่งิ ที่นิยมท�ำกันในปจั จุบนั ไดแ้ ก่ การตัดแตง่ กิง่ แบบตดั สูงและตดั ตำ�่ เป็นการตัดแตง่ เพ่อื ใหม้ ีการผลิตดอกสม�่ำเสมอท้ังปี 3.3 การใสป่ ุ๋ย การให้ปุย๋ ระหวา่ งปลูก เน่ืองจากธาตุอาหารส่วนใหญจ่ ะมอี ย่ใู น ดนิ แลว้ เมอื่ ปลกู พชื ยงั คงเหลอื ธาตไุ นโตรเจนและโพแทสเซยี มซงึ่ จะถกู ชะลา้ งไดง้ า่ ย ดงั นนั้ จงึ ต้องใหป้ ุ๋ยทงั้ สองในระหว่างท่ีพชื เจริญเติบโต ซงึ่ การให้ปุ๋ยอาจทำ� ไดโ้ ดยการใหพ้ ร้อม 68

กบั การใหน้ ำ�้ หากใหท้ กุ วนั จะใหใ้ นอตั ราความเขม้ ขน้ ของไนโตรเจน 160 มลิ ลกิ รมั /ลติ ร (ppm) และหากใหป้ ยุ๋ ทกุ สปั ดาหค์ วรใหใ้ นอตั รความเขม้ ขน้ ของไนโตรเจน 480 มลิ ลกิ รมั / ลติ ร (ppm) โดยสดั ส่วนของ N:P:K คอื 1:0.5:1 หรือให้ปุ๋ยผสมโดยการหวา่ นไดใ้ ชป้ ุย๋ สูตร 15-15-15 อัตรา สปั ดาห์ 3 กรมั ตอ่ ตน้ ในการให้ปุ๋ยหลังตัดแตง่ ส�ำหรบั บ�ำรงุ ต้น และกิง่ ยอดเพื่อตอ้ งการใหก้ หุ ลาบแตกกิ่งทโี่ ตและแขง็ แรง ใชป้ ุ๋ยสตู ร 15-15-15 หรอื 21-21-21 ร่วมกบั ปุ๋ยอนิ ทรีย์ 3.4 การให้น�้ำ ให้นำ�้ ดว้ ยสายยาง หรอื ระบบน้�ำหยด หรอื ใชห้ ัวพ่นนำ�้ ระหวา่ ง แถวปลกู อตั ราวนั ละ 6 -7 ลิตรตอ่ ตารางเมตร หรือสปั ดาหล์ ะ 49 ลิตรต่อตารางเมตร อาจใหน้ ้�ำทุกวนั วนั เว้นวนั หรือ 2 – 3 วันต่อครั้ง แลว้ แต่สภาพการอุ้มนำ�้ ของดิน อย่ารดน�้ำให้แฉะตลอดเวลา ควรให้ดินมีโอกาสระบายน�้ำและมีอากาศเข้าไปแทนท่ีบ้าง ดงั น้ันใน 1 สัปดาห์ หากปลูกในโรงเรอื นใชน้ ำ้� ประมาณ 78,400 ลติ ร หรือ 78.4 คิวบคิ เมตรตอ่ ไร่ น�้ำทใี่ ช้ควรมีคณุ ภาพดี มี pH ประมาณ 5.8 – 6.5 4. ศัตรพู ืชทส่ี ำ� คญั 4.1 โรค 1. โรครานำ้� คา้ ง เกดิ จาก เชอ้ื รา ระบาดรุนแรงในชว่ งฤดูหนาว การป้องกันก�ำจัด โดยตัดแต่งส่วนท่ี เปน็ โรคเผาทำ� ลาย และฉดี พน่ ดว้ ยสาร ปอ้ งกนั กำ� จดั เชอื้ รา ทกุ ๆ 15 - 20 วนั โรคราน�้ำค้าง โรคใบจุด 2. โรคใบจดุ สดี ำ� เกดิ จากเชอ้ื รา ระบาดรนุ แรงในชว่ งฤดฝู น การปอ้ งกนั กำ� จดั ตดั แตง่ สว่ นทเ่ี ปน็ โรคเผาทำ� ลาย และฉดี พน่ ดว้ ยสารปอ้ งกนั กำ� จดั เชอื้ รา ทกุ ๆ 15 - 20 วนั 4.2 แมลงศัตรู 1. หนอน เชน่ หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทู้ผกั ระบาดได้ตลอดท้งั ปี การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชส้ ารเคมฉี ดี พ่นตามฉลากแนะน�ำ 2. เพลย้ี ไฟ ระบาดรุนแรงในชว่ งฤดรู อ้ น การปอ้ งกันกำ� จัด ใชก้ ับดกั กาว เหนียว หรือใช้สารเคมีฉดี พน่ ตามฉลากแนะน�ำ เพล้ียไฟเข้าท�ำลาย หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระท้ผู ัก 69

5. การปฏิบัติก่อนและหลงั การเกบ็ เกยี่ ว 5.1 การเก็บเกีย่ ว 1) ระยะเกบ็ เกยี่ ว ระยะทเ่ี หมาะสม ในการเกบ็ เกยี่ วกหุ ลาบจะแตกตา่ งกนั ตามพนั ธ์ุ แต่โดยส่วนใหญ่จะตัดเม่ือดอกตูมอยู่หรือเห็น กลีบดอกเร่ิมแย้ม และปรากฏสีของกลีบดอก (ยกเว้นบางสายพันธุ์) กุหลาบพันธุ์ดอกสีแดง การเก็บเก่ียว และสีชมพู จะตัดในระยะที่กลบี เล้ยี งคลอี่ อก กหุ ลาบพนั ธุด์ อกสเี หลืองสามารถตดั ดอกได้ ในระยะดอกทย่ี งั ตมู กหุ ลาบพนั ธด์ุ อกสขี าวจะตดั ชา้ กวา่ พนั ธอ์ุ นื่ ๆ นอกจากน้ี การตดั ดอก กุหลาบในฤดูร้อนควรตัดให้อยู่ในระยะที่ดอกยังตูมกว่าการตัดในฤดูหนาว เพราะดอก กหุ ลาบในฤดรู อ้ นจะบานเรว็ กวา่ ฤดหู นาว เวลาทเ่ี หมาะสมในการตดั ดอกกหุ ลาบ คอื ตอน เชา้ หรอื เยน็ ไม่ควรตัดดอกช่วงกลางวนั 2) อุปกรณ์และวิธีการเก็บเกีย่ ว การตดั ดอกควรใช้มดี หรอื กรรไกรทีค่ มและ สะอาด ตัดก้านดอกในแนวเฉยี งท�ำมุม 45 องศา หรอื ตัดแบบปากฉลาม เมอ่ื ตดั ดอก จากตน้ แลว้ ใหร้ ีบน�ำกา้ นดอกแช่ในน้�ำสะอาดทนั ที (ในแปลง) pH ของนำ�้ ทใ่ี ช้แชป่ ระมาณ 3 – 4 (โดยใชก้ รดซติ รกิ ) ใชเ้ วลาแชป่ ระมาณ 30 นาที ถึง 1 ช่ัวโมง ในอณุ หภมู ิ ปกติ ขนั้ ตอนนีส้ ามารถทำ� ได้ทันทีในแปลง เพื่อใหก้ หุ ลาบไดด้ ูดนำ�้ อยา่ งต่อเนื่อง 5.2 การปฏบิ ตั หิ ลงั การเก็บเก่ียว 1) การลดอตั ราการหายใจและการ คายนำ้� ของกหุ ลาบ กระทำ� ไดโ้ ดยหลงั จากตดั ดอก กุหลาบแล้วน�ำกุหลาบไปแช่ในห้องเย็น (ในกรณี ไม่มีห้องเย็นอาจน�ำกุหลาบไปเก็บไว้ในที่เย็นชื้น ไมม่ ลี มโกรกและมดื เช่น ในหอ้ งน้�ำ) และการเก็บ รักษาสภาพกหุ ลาบใหส้ ด ควรแช่กุหลาบในนำ้� ยา เก็บรักษาในทีเ่ ย็น รักษาสภาพดอกไม้นานอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง ทอ่ี ุณหภมู ิ 2 – 4 องศาเซลเซยี ส 2) การคัดเกรดกุหลาบ มักจะคัดตามความยาวของก้านดอก ตามความ ตอ้ งการของตลาดเป็นเกณฑ์ โดยจะวดั จากปลายก้านถงึ ปลายดอก อยา่ งไรกต็ าม ขนาด ของดอกในเกรดหน่ึงๆ จะขึ้นอยู่กับกุหลาบแต่ละพันธุ์ ขนาดของดอกจะต้องได้สัดส่วน เหมาะสมกบั ความยาวของกา้ นดอก ตวั อยา่ งการคดั เกรดของกลมุ่ ผปู้ ลกู กหุ ลาบเชยี งใหม่ คอื ความยาวกา้ นดอก 30, 40, 50, 60, 70 และ 80 เซนตเิ มตร 3) การเขา้ กำ� และหอ่ ดอก การมดั กำ� ขน้ึ อยกู่ บั ความตอ้ งการของตลาดแตล่ ะแหง่ เชน่ กำ� ละ 10, 20, 25 และ 50 ดอก ในการหอ่ ดอกควรเรยี งหนา้ ดอกกหุ ลาบใหเ้ สมอกนั และตัดปลายก้านให้เสมอกนั 4) การเกบ็ รกั ษา ในกรณีที่เกบ็ รกั ษาคุณภาพเพอ่ื รอการขนสง่ หรอื จ�ำหนา่ ย ท�ำได้โดยเกบ็ รักษาไว้ในห้องเย็น 70

ขอ้ มลู สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลติ ของกุหลาบตดั ดอก สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 1. สภาพภูมอิ ากาศ 1.1 อุณหภูมิ - กลางวนั 20 – 25 องศาเซลเซยี ส - หากอุณหภูมสิ ูงกวา่ 28 องศาเซลเซยี ส ควรให้ความชืน้ ในอากาศให้สูง - กลางคนื 15 - 18 องศาเซลเซยี ส เพ่อื ชะลอการคายนำ�้ 1.2 ความช้นื สัมพทั ธ์ - หากอณุ ภมู ติ ำ่� กวา่ 15 องศาเซลเซยี ส การเจรญิ เตบิ โตและการออกดอก 1.3 แสงแดด 70 – 80 เปอร์เซน็ ต์ จะช้าอยา่ งมาก - ตอ้ งการความเขม้ ของแสงมาก และชว่ งกลางวนั ยาว 2. สภาพพนื้ ที่ - ตอ้ งการแสงแดดประมาณ 6 – 10 ชั่วโมงตอ่ วนั - กุหลาบจะให้ผลผลิตสงู และดอกมีคณุ ภาพดี ถ้าความเขม้ แสงมากและ 2.1 ความสูงจากระดบั นำ้� ทะเล ช่วงวนั ยาว ควรปลูกในทโี่ ลง่ แจง้ ไดร้ บั แสงแดดตลอดทั้งวนั 2.2 ลักษณะทว่ั ไป - ประมาณ 500 – 1,000 เมตร ในเขตร้อน - ถา้ ไดร้ บั แสงเพยี งเลก็ นอ้ ยตอ่ วนั อาจทำ� ใหก้ หุ ลาบอยใู่ นสภาพออ่ นแอ 2.3 ความลาดเอียงของพ้ืนท่ี เป็นโรคได้ง่าย ดอกมขี นาดเลก็ กว่าปกติ กา้ นดอกยาว - - พนื้ ที่ที่มกี ารระบายนำ�้ ดี การถ่ายเทอากาศดี มีแหลง่ น�ำ้ - คุณภาพดแี ละเพยี งพอตลอดทั้งปี - ไม่เกิน 5 เปอรเ์ ซ็นต์ - หากเปน็ พื้นท่ีลาดเอียงมาก ควรมกี ารปรบั พนื้ ท่เี ป็นขนั้ บนั ได 71

72 ข้อมูลสภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลติ ของกหุ ลาบตัดดอก (ต่อ) สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด 3. สภาพดนิ 3.1 ลกั ษณะเน้อื ดิน - ดินระบายนำ้� ดี ดนิ ร่วนหรอื ดินร่วนปนทราย - ดนิ ทเ่ี หนยี วจดั หรอื ทรายจัด กุหลาบจะไมเ่ จรญิ เตบิ โตเท่าทีค่ วร 3.2 ความลกึ ของหน้าดนิ - ประมาณ 40 – 50 เซนตเิ มตร - ไถลึก 50 เซนติเมตร เพือ่ ชว่ ยให้การระบายน้ำ� ดี 3.3 ความเป็นกรด – เปน็ ด่าง (pH) - 5.5 – 6.5 - กุหลาบชอบกรดออ่ นๆ ถ้าดนิ เป็นกรดหรอื ด่างจัด ไม่ควรปลกู กุหลาบ เพราะจะทำ� ให้กหุ ลาบไมเ่ จริญเติบโตและแคระแกร็นหรืออาจตายได้ 3.4 ค่าการน�ำไฟฟา้ (EC) - ต่�ำกวา่ 1.25 mS/cm. - 3.5 ปรมิ าณอนิ ทรยี ์วตั ถุ - ประมาณ 25 – 35 เปอรเ์ ซ็นต์ - 4. ธาตอุ าหาร - อัตราทเ่ี หมาะสม - 4.1 ปรมิ าณธาตุอาหารหลักในดิน ไนโตรเจน (N) 50 – 100 ppm. - ฟอสฟอรัส (P) 5 – 100 ppm. 5. สภาพนำ้� โพแทสเซยี ม (K) 20 – 40 ppm. 5.1 ความเป็นกรด – เปน็ ดา่ ง (pH) - 5.8 – 6.5 5.2 ปรมิ าณความตอ้ งการ - ประมาณต้นละ 1 ลิตร ต่อวนั (6 – 7 ลิตร/ตารางเมตร/ - หากปลกู ในโรงเรอื น ใชน้ ำ�้ ประมาณ 78,400 ลติ ร/ไร/่ สปั ดาห์ หรอื 78.4 วนั ) คิวบคิ เมตร/ไร/่ สปั ดาห์ อาจใหน้ ้�ำทกุ วัน วนั เว้นวัน หรือ 2 – 3 วนั ตอ่ ครั้ง

แนวทางการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลิต และแหลง่ สืบค้นขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ การเพม่ิ ผลผลิต 1. การบังคบั ใหก้ ุหลาบออกดอกในเวลาท่ีต้องการ เนอ่ื งจากความตอ้ งการและราคากหุ ลาบจะสงู มากในบางเทศกาล เชน่ วนั ขน้ึ ปใี หม่ หรอื วนั วาเลนไทน์ ดงั นนั้ หากบงั คบั ใหก้ หุ ลาบออกดอกไดต้ ามเวลาทตี่ อ้ งการจะทำ� ใหเ้ กษตรกร มีรายได้เพ่ิมขึ้น ก่อนอื่นต้องทราบว่ากุหลาบพันธุ์นั้น ๆ ใช้เวลาเท่าไรจากตัดก่ิงจนถึง วนั ออกดอก จากนน้ั จงึ คำ� นวนกลบั ปกตใิ ชเ้ วลาประมาณ 2 เดอื น หลงั ตดั แตง่ จะตดั ดอก จ�ำหนา่ ยได้ 2. วิธบี งั คับกหุ ลาบให้ออกดอกท�ำได้ดงั น้ี 1) เมือ่ เร่มิ เห็นดอก (ขนาดเทา่ เมล็ดถวั่ เขยี ว) ลดการใหน้ �้ำลงเร่อื ย ๆ เปน็ เวลา 3 สัปดาหแ์ ต่ยังให้ป๋ยุ ทีม่ ี P สูง N ตำ่� ในอตั ราต�่ำดว้ ย 2) งดใหน้ ำ้� เป็นเวลา 1 สัปดาห์ (เป็นเวลาที่ดอกบานเตม็ ท่แี ล้ว) 3) วันสดุ ทา้ ยของการงดนำ้� ใหต้ ัดแตง่ ครัง้ ท่ี 1 โดยตัดต่�ำ และพยายามตดั ให้อยู่ ในระดับเดยี วกนั (ประมาณ 80 - 100 เซนตเิ มตร) หรืออาจต้องตดั ตำ่� กว่าการตัดปกติ แต่ใหเ้ หนือใบท่สี มบรู ณ์ 4) จากนนั้ จึงใหน้ �้ำเตม็ ท่โี ดยใชน้ �้ำสะอาด ไม่ใส่ปุย๋ ประมาณ 15 - 20 ลิตร ต่อตารางเมตร หลังจากนน้ั 4 - 5 วนั จงึ เรมิ่ ใหน้ ำ้� และปุ๋ย 5) ตดั แตง่ ครง้ั ท่ี 2 โดยการตัดต่�ำ โดยค�ำนวณใหเ้ หลอื เวลาเท่ากบั จำ� นวนวนั ท่ี กหุ ลาบจะใหด้ อกพร้อมตัดหลังวันตดั ดอกเก่า ก่อนตัดดอกในชว่ งเทศกาล การพฒั นาคณุ ภาพ มาตรฐาน 1. ใช้ตน้ พันธุด์ ี แข็งแรงปราศจากโรค 2. การผลติ กุหลาบตัดดอกใหไ้ ด้คุณภาพดี จำ� เปน็ ตอ้ งปลูกภายในโรงเรอื น หลังคาเป็นพลาสติกหรือกระจก ส�ำหรับโรงเรือนในเขตร้อนจะช่วยป้องกันน�้ำฝนไม่ให้ สัมผัสกุหลาบโดยตรง ช่วยลดความชอกช�้ำของดอกและใบ ควบคุมการเกิดโรค เพิ่มประสิทธิภาพการให้ปุ๋ย และสารป้องกนั ก�ำจัดศตั รกู หุ ลาบ โดยโรงเรือนควรมีความ สงู ประมาณ 3.5 - 4 เมตร และมชี อ่ งระบายอากาศเพอื่ การระบายอากาศรอ้ นภายในโรงเรอื น 3. การตดั แตง่ กหุ ลาบ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ สำ� หรบั การทจี่ ะทำ� ใหก้ หุ ลาบมดี อกโต จำ� นวน ดอกมาก ก้านยาว ขนาดดอกไดม้ าตรฐาน และใหม้ ีการผลิตดอกสม�ำ่ เสมอท้ังปี สำ� หรับ การตัดแต่งกุหลาบท่ีจะตัดดอกเพื่อจ�ำหน่าย วิธีการตัดแต่งที่นิยมได้แก่ การตัดแต่งกิ่ง แบบตดั สงู และตำ�่ (สูงและต่�ำจากจดุ ก�ำเนดิ ของกงิ่ สดุ ทา้ ย) โดยมหี ลักการ คอื ตดั กง่ิ จน ก่ิงสดุ ทา้ ยมขี นาดเล็ก ให้ดอกท่ีไมไ่ ด้คณุ ภาพไมเ่ หมาะสำ� หรบั การตดั ดอก 73

3.1 การตดั สูง 3.1.1 กิง่ กระโดง เม่ือก่งิ กระโดงแทงออกมา ปกติจะไมต่ ดั ดอกแรกเพอื่ ขาย การตัดกงิ่ กระโดง ควรรอใหด้ อกเร่ิมเห็นสี จากน้ันจึงตดั กง่ิ ให้เหลือใบสมบรู ณ์ ประมาณ 5 - 6 ใบ หรอื หากก่งิ ยาวและแขง็ แรงมากให้ตัดสูงจากพ้ืนแปลงประมาณ 40 - 50 เซนตเิ มตร เหนอื ใบที่สมบูรณ์ 3.1.2 ก่ิงรุ่นท่ี 2 ทแ่ี ตกจากกง่ิ กระโดง กง่ิ รนุ่ นี้จะเรมิ่ ใช้ตัดดอก เมื่อดอก พรอ้ มตดั ให้ตัดดอกเหลอื ใบสมบูรณป์ ระมาณ 4 ใบ 3.1.3 กิง่ รนุ่ ท่ี 3 ถงึ ก่งิ ทด่ี อกไม่สามารถตดั เข้าตลาดได้ เมอ่ื ดอกพรอ้ มตัด ตัดดอกให้เหลือใบสมบรู ณ์ 2 ใบ การตดั สูง 3.2 การตดั ตำ่� เมอื่ กา้ นและดอกมขี นาดเลก็ ขายไมไ่ ดน้ น้ั สามารถตดั ตำ�่ ได้ 2 วธิ ี 3.2.1 เมอื่ ดอกเรม่ิ เหน็ สี ใหต้ ดั ตำ�่ กวา่ จดุ กำ� เนดิ กง่ิ สดุ ทา้ ย เหนอื ใบทสี่ มบรู ณ์ ถัดลงมา เพ่ือให้ได้ดอกท่ีตัดขายได้ จากนั้นจึงตัดต�่ำลงมาเร่ือย ๆ จนถึงกิ่งรุ่นที่ 2 (มตี าสมบรู ณ์อีก 2 - 3 ตา) เมอื่ ตัดเหนือตาที่ 3 กงิ่ ที่ได้ควรจะเป็นกิง่ ขนาดใหญ่ จากน้นั ตดั ดอกแบบสงู ตอ่ ไป 74

3.2.2 เม่ือดอกเรม่ิ เห็นสี ใหเ้ ดด็ ดอกทิ้งทข่ี ัว้ ดอก สปั ดาห์ตอ่ มาตาที่โคนใบ สว่ นบนจะเรม่ิ แตกแทงกงิ่ ขนึ้ มาใหเ้ ดด็ ออก จากนนั้ อกี หนง่ึ สปั ดาหจ์ งึ ตดั กง่ิ ต�่ำดงั วธิ ี 3.2.1 วธิ ีน้จี ะชว่ ยกระตนุ้ ใหม้ ีการสะสมอาหาร และให้ดอกทีส่ มบรู ณ์ และมีขนาดใหญข่ ึน้ การตัดต่�ำ แหล่งสบื คน้ ขอ้ มลู เพ่ิมเติม กรมสง่ เสริมการเกษตร. 2530. ค่มู อื การผลิตไม้ตดั ดอกเพื่อการส่งออก. กรงุ เทพฯ. . 2531. รายงานการสัมมนา เรื่อง การผลิตกหุ ลาบเพ่อื การส่งออก. กรุงเทพฯ. . 2533. ขอ้ มลู การผลิตไมด้ อกทส่ี �ำคัญ. กรงุ เทพฯ. . 2551. ค่มู อื นักวิชาการส่งเสรมิ การเกษตร : กุหลาบ. กรุงเทพฯ. คณะกรรมการบรหิ ารกลมุ่ ผปู้ ลกู กหุ ลาบเชยี งใหม.่ 2534. คมู่ อื สมาชกิ กลมุ่ ผปู้ ลกู กหุ ลาบ เชียงใหม่. ปรญิ ญา กอ่ ศรพี ทิ กั ษก์ ลุ . 2541. การจดั การกหุ ลาบตดั ดอก. สาขาเทคโนโลยกี ารเกษตร, มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง. พจนา นาควชั ระ. 2542. กุหลาบ. กรุงเทพฯ : สำ� นักพิมพ์บา้ นและสวน. เศรษฐพงศ์ เลขะวัฒนะ. 2545. การปลกู กหุ ลาบตัดดอก. กรุงเทพฯ. สมเพียร เกษมทรัพย.์ 2528. การปลกู ไม้ตดั ดอก. กรุงเทพฯ : ฟันนีพ่ ับบลชิ ชง่ิ . Joop de Hoog jr. 2001. Modern Greenhouse Rose cultivation. Applied plant research. 75

ปทุมมา ข้นั ตอนการปลูกและการดแู ลรักษาปทุมมา การเตรียมการ มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. การเตรียมดนิ การปลกู การใส่ปุ๋ย เรม่ิ ออกดอก เริม่ พกั ตัว เริม่ เกีย่ วหัวพันธ์ุ - ไถตากดินนาน 20 – 30 วนั - คัดเลือกหัวท่ีงอกหน่อ - เม่ือใบคู่แรกกาง ใส่ปุ๋ยเคมี การปลิดดอก การพกั ตัวของหัวพันธ์ุ - ไถพรวน และฆ่าเชื้อโรคในดิน ขนาดเท่ากนั ปลูกในแปลง ที่มีไนโตรเจนสูง เช่น สูตร - ในกรณีปลูกเพ่ือผลิตหัว - ปทุมมาจะเร่ิมพักตัวเดือน ด้วยยูเรยี ผสมปนู ขาว อัตรา 1:10 เดียวกัน 21-7-4, 15-0-0, 16-0-0 อัตรา พนั ธ์ุ เมอ่ื ปทุมมาออกดอก พฤศจกิ ายน-ธนั วาคม ตน้ จะยบุ ตวั ปริมาณ 880 ก.ก./ไร่ หรือคลุม - ปลูก 1 หัวต่อหลุมลึก 15 กรัมต่อกอ ควรปลดิ ดอกทิง้ แปลงด้วยพลาสติกใส 15 วนั ประมาณ 7-10 ซม. - เม่ือออกดอกใส่ปุ๋ยเคมีสูตร การเก็บเกีย่ วดอก การเกบ็ เกยี่ วหวั พันธุ์ - แปลงกว้าง 1-1.2 ม. ยกแปลง - วางหัวโดยให้หน่อทง่ี อก 13-13-21 อตั รา 15 กรมั ตอ่ กอ ในกรณปี ลกู เพอ่ื ตดั ดอกขาย ในกรณปี ลกู เพอ่ื ผลติ หัวพันธ์ุ สงู 20-30 ซม. ชดิ วสั ดปุ ลกู และปลายหนอ่ - เม่ือเร่ิมลงหัว ใส่ปุ๋ยเคมีที่มี - ระยะเก็บเกี่ยว เมื่อกลีบ - เก็บเก่ียวเมื่อใบแห้งเป็นสี การเตรยี มหวั พนั ธุ์ ชี้ขึ้น กลบด้วยวัสดุปลูก ฟอสฟอรสั และโพแทสเซยี มสงู ประดบั บาน 4-5 กลีบ ดอก นำ�้ ตาลและต้นยุบตวั - ใชห้ ัวพันธ์ปุ ลอดโรค บางๆ รดนำ�้ ทนั ทหี ลงั ปลกู เช่น สูตร 8-16-24, 14-14-21 จรงิ บานอยา่ งนอ้ ย 2-3 ดอก - รดน้�ำแปลงก่อนเก็บเกี่ยว - บ่มหัวพันธุ์ในวัสดุเพาะ เช่น - ระยะปลกู ขนึ้ อยกู่ บั ขนาด หรอื 13-13-21 อตั รา 15 กรมั - รดน�้ำแปลงปลูกก่อนตัด 1-2 วนั ข้ีเถ้าแกลบ ทราย แกลบด�ำหรือ หัวพนั ธุ์ ต่อกอ ดอก ควรตัดดอกช่วงเช้า - ขดุ หวั พนั ธ์ุ ฉดี นำ้� ลา้ งทำ� ความ ขุยมะพรา้ ว ความชนื้ 70% คลมุ - รองก้นหลุมด้วยปยุ๋ สตู ร การให้น้�ำ หลงั ตัดดอกแช่นำ้� ทนั ที สะอาด (นำ้� หนึง่ ) ด้วยพลาสติก~นาน 1 ½ เดือน 15-15-15 อัตรา15 กรัม - รดนำ้� วนั ละครง้ั ชว่ งเชา้ ยกเวน้ - ตดั แตง่ รากทไ่ี มส่ มบรู ณเ์ ปน็ จนหัวพันธเ์ุ ริ่มงอก ต่อหลมุ ถา้ ฝนตกไม่ควรรดน้�ำ แผลออก ล้างน้�ำสอง ศตั รูพชื ทส่ี �ำคญั และการปอ้ งกันก�ำจดั - จมุ่ นำ้� ยาฆา่ เชอื้ 15-20 นาที 1. โรคเหย่ี วหรอื โรคหวั เนา่ เกดิ จากเชอื้ แบคทเี รยี ระบาดมากในชว่ งฤดฝู น การปอ้ งกนั ผ่งึ หัวพันธุ์ใหแ้ หง้ ก�ำจดั ก่อนปลูกคดั เลือกพ้ืนท่ีทเี่ หมาะสม ใชห้ วั พันธ์ุปลอดโรค หากพบตน้ เปน็ โรคให้ การปฎบิ ัติหลงั การเก็บเกย่ี ว ถอนท�ำลายและขดุ ดนิ ส่วนนน้ั ตากแดด 1. การตดั ดอก หลงั ตดั ดอกแช่นำ�้ ทันที เกบ็ รักษาในหอ้ งเยน็ อุณหภมู ิ 12-15 องศาเซลเซียส 2. โรคใบจดุ หรอื ใบไหม้ เกดิ จากเชอื้ รา ระบาดรนุ แรงในชว่ งฝนตกชกุ การปอ้ งกนั กำ� จดั นาน 1-2 ชว่ั โมงก่อนขนสง่ ฉีดพน่ สารป้องกนั กำ� จัดชนดิ ดดู ซึม 3. ไส้เดือนฝอย การปอ้ งกันกำ� จัด ปลูกพืชหมนุ เวยี น ใส่ปุย๋ อินทรียว์ ัตถุเพ่อื เพิ่มความ 2. การเก็บรักษาหวั พนั ธ์แุ ละการคัดเกรด สมบรู ณข์ องดิน - เก็บรักษาหวั พนั ธ์ุในทรี่ ม่ มกี ารถา่ ยเทอากาศดี หรือเก็บในห้องเย็น 10-15 องศาเซลเซยี ส 4. วัชพืช เช่น หญ้าปากควาย หญา้ นกสีชมพู ผกั เบี้ยหนิ ไมยราบเครือ แหว้ หมู ฯลฯ - การคัดเกรด หวั พนั ธทุ์ ่สี ่งออกจะคัดเกรดจากขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางของหัวและจำ� นวนราก การปอ้ งกนั ก�ำจัด ก่อนปลูกปทุมมา เก็บเศษซากวัชพืชท้งิ ใชแ้ รงงานถอนกอ่ นวชั พชื สะสมอาหาร ออกดอก และกอ่ นให้ปุ๋ย

เทคนคิ การปลูกและดูแลรักษาปทุมมา 1. การเตรยี มการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรยี มดนิ หลงั จากการคดั เลอื กพน้ื ทที่ เ่ี หมาะสมแลว้ ดำ� เนนิ การดงั น้ี 1) ตรวจวิเคราะห์ดิน ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของดินให้อยู่ระหว่าง pH 6.5 - 7.0 2) เก็บซากพืชในแปลงเผาทิ้ง ไถดนิ 1 ครัง้ ตากดนิ นาน 20 - 30 วัน ไถคราดเก็บเศษวชั พชื ในดินออกจากแปลง 3) เพื่อปอ้ งกันโรคหวั เน่า ใชย้ เู รยี ผสมปนู ขาว อัตรส่วน 1:10 ปริมาณ 880 กิโลกรมั ต่อไร่ ใส่ลงดินกอ่ นไถคร้ังท่ี 2 แลว้ ไถพรวน ยกร่องอดั หน้าดินให้แน่น รดน้ำ� ใหช้ ุม่ หรือคลุมแปลงดว้ ยพลาสตกิ ใสประมาณ 15 วันเพ่ืออบฆ่าเช้อื ในดิน 4) ท�ำแปลงกว้าง 1 - 1.2 เมตร ยกแปลงสูง 20 - 30 เซนติเมตร เวน้ ทางเดิน 50 เซนติเมตร ไม่ควรเตรียมดินลึกเกินไป จะท�ำให้ได้รากสะสมอาหารยาว อาจเสียหายไดใ้ นชว่ งเกบ็ เกยี่ วและไมเ่ ป็นท่ีตอ้ งการของตลาดต่างประเทศ 5) รองกน้ หลมุ ดว้ ยปยุ๋ สตู ร 15-15-15 หรอื 16-16-16 อตั รา 15 กรมั ตอ่ หลมุ 1.2 การเตรียมพนั ธ์ุ 1) ใช้หัวพนั ธุป์ ลอดโรค 2) คัดขนาดหวั พนั ธุ์ บ่มหัวพันธใ์ุ นที่รอ้ นชื้นอณุ หภมู ิ 30-33 องศาเซลเซียส ความช้ืน 70% ในกระบะเพาะท่ีมีวัสดุเป็นทราย หรือแกลบด�ำ หรือขุยมะพร้าว เพอ่ื กระตนุ้ หวั พนั ธใ์ุ หง้ อกไดเ้ รว็ ขน้ึ ซงึ่ สามารถคดั หวั พนั ธท์ุ งี่ อกเทา่ กนั ลงปลกู ทำ� ใหไ้ ดต้ น้ พนั ธท์ุ สี่ มำ�่ เสมอ และสามารถคดั หวั พนั ธท์ุ แ่ี สดงอาการเปน็ โรคออกทงิ้ ไดบ้ างสว่ น ใชเ้ วลา บ่มหัวพันธปุ์ ระมาณ 1 ½ เดอื น 2. การปลกู 2.1 ฤดปู ลูกปทุมมา สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ช่วง 1) ปลกู กอ่ นฤดปู ลกู คือ เริม่ ปลกู เดอื นกุมภาพันธุ์ถงึ มนี าคม เริม่ ออกดอก เดือนพฤษภาคม และสามารถส่งหวั ไดต้ งั้ แตเ่ ดอื นธันวาคม 2) ปลูกฤดูปกติ คอื ปลูกชว่ งเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม หลังปลูกประมาณ 2.5 - 3 เดือนเริ่มออกดอกเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และจะพักตัวเมื่อเข้าฤดูหนาว เดอื นพฤศจิกายนถึงธันวาคม 3) ปลูกหลังฤดู คือ ปลูกช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม หลังปลูก ประมาณ 2.5 - 3 เดอื นเริม่ ออกดอก และพชื มชี ว่ งสะสมอาหารส้นั เพียง 5 - 6 เดอื น จากนั้นจะพกั ตัว 77

2.2 วธิ ีการปลกู ปทมุ มา 1) คัดเลือกหวั พันธ์ุทง่ี อกหน่อขนาดเท่ากันปลกู ในแปลงเดยี วกัน 2) ระยะปลกู ขนึ้ อยกู่ บั ขนาดของหวั พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ ขนาดใหญ่ (เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง >1.8 เซนตเิ มตร) ระยะปลกู 30 x 30 เซนตเิ มตร ใชห้ วั พนั ธ์ุ 10,000 หวั ตอ่ ไร่ ขนาดกลาง (เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1.5 เซนตเิ มตร) ระยะปลกู 25 x 25 เซนตเิ มตร ใชห้ วั พนั ธ์ุ 15,000 หัวตอ่ ไร่ ขนาดเล็ก (เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ1 ซม.) ระยะปลกู 20 x 20 เซนตเิ มตร ใช้หัวพันธ์ุ 20,000 หัวต่อไร่ 3) ปลกู 1 หวั ตอ่ หนงึ่ หลมุ ลกึ ประมาณ 7-10 เซนตเิ มตร ถา้ หัวมีราก สะสมอาหารติดอยู่ด้วยให้วางหัวในแนวนอน โดยให้หน่อที่งอกชิดพ้ืนวัสดุปลูกและ ปลายหนอ่ ชข้ี ึน้ กลบหน่อด้วยวัสดปุ ลูกบางๆ เพื่อไมใ่ หห้ น่อไหม้ ให้น้ำ� ทันทหี ลังปลูก 3. การดแู ลรักษา 3.1 การใส่ปุ๋ย 1) เมือ่ ใบคแู่ รกกาง ใสป่ ุ๋ยเคมที มี่ ไี นโตรเจนสงู เชน่ สตู ร 21-7-4, 15-0-0, 16-0-0 อตั รา 15 กรมั ต่อกอ เดือนละครงั้ โดยโรยรอบกอแล้วรดน้�ำ 2) เม่อื ออกดอกใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 13-13-21 อัตรา 15 กรัมต่อกอ เดอื นละ ครัง้ และฉดี พ่นธาตุอาหารเสรมิ ทางใบทม่ี แี คลเซียม แมกนีเซียม โบรอน สังกะสี และ ทองแดง เปน็ ตน้ เมือ่ พชื แสดงอาการใบเหลอื งขาดธาตอุ าหาร 3) เมื่อพืชเร่ิมลงหัว ใส่ปุ๋ยเคมีที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง เช่น สูตร 8-16-24, 14-14-21 หรือ 13-13-21 อตั รา 15 กรัมตอ่ กอ เดือนละคร้งั 3.2 การใหน้ ้�ำ 1) รดน�้ำวันละครั้งในช่วงเช้า และถ้าวันใดแดดแรงจัด (สังเกตใบจะเห่ียว) ควรให้นำ้� ในช่วงเยน็ อกี ครง้ั หน่งึ 2) หลังจากที่ปทุมมาออกดอกจนกระทั่งดอกเริ่มโรย ใบโทรมและเหลือง แสดงว่าใกลถ้ ึงเวลาลงหวั จะเรม่ิ งดน้ำ� เพือ่ ให้ตน้ ยุบตัวเร็วขึ้น 3.3 การปลิดดอก ในกรณีปลูกเพื่อผลติ หวั พันธุ์ เมอื่ ปทมุ มาออกดอก ควรปลดิ ดอกทง้ิ เพอ่ื ชว่ ย ใหแ้ ตกกอเพมิ่ ขนึ้ และอาหารทสี่ งั เคราะหข์ นึ้ มาจะถกู สง่ ไปสะสมทหี่ วั ทำ� ใหไ้ ดห้ วั ขนาดใหญข่ น้ึ 4. ศัตรูพชื ท่สี ำ� คญั 4.1 วัชพืช เช่น หญ้าปากควาย หญ้านกสีชมพู ผักเบี้ยหิน ไมยราบเครือ แหว้ หมู ฯลฯ การปอ้ งกันกำ� จัด กอ่ นปลกู คราดเกบ็ เศษซาก ราก เหง้า หวั และไหลของ วัชพืชออกจากแปลงปลูก ในระหว่างปลูกก�ำจัดวัชพืชด้วยแรงงานถอนออก ก่อนวัชพืช ออกดอกและก่อนให้ป๋ยุ 78

4.2 โรค 1) โรคเห่ยี วหรอื โรคหวั เน่า เกดิ จากเชอื้ แบคทเี รีย ระบาดมากในช่วงฤดฝู น การป้องกันกำ� จดั กอ่ นปลูกคดั เลอื กพ้ืนที่ท่เี หมาะสม ใช้หัวพนั ธ์ปุ ลอดโรค หากพบตน้ เป็นโรคให้ถอนทำ� ลายและขุดดนิ ส่วนนัน้ ตากแดด โรยป๋ยุ ยูเรยี กับปูนขาว อัตรา 1:10 คลกุ กบั ดนิ แลว้ กลบทง้ิ ไว้ สำ� หรบั ตน้ ทใี่ กลเ้ คยี งกบั ตน้ ทเ่ี ปน็ โรคใหใ้ ชค้ ลอรนี ผงโรยรอบตน้ เพ่ือก�ำจดั เชื้อไม่ให้ลุกลาม 2) โรคใบจุดหรอื ใบไหม้ เกดิ จากเชื้อราโฟมา ระบาดรุนแรงในชว่ งฝนตกชกุ การป้องกันก�ำจัด พ่นสารป้องกันก�ำจัดโรคพืชชนิดดูดซึมเมื่อพบการระบาดรุนแรง จนโรคสงบลงแล้วจงึ พน่ สารปอ้ งกันกำ� จดั โรคชนิดสัมผัส 4.3 แมลงและสตั วศ์ ตั รู ไสเ้ ดอื นฝอย เปน็ ตวั การทำ� ใหเ้ กดิ การระบาดของโรคเหยี่ วรนุ แรงขน้ึ พบมาก ในดนิ ทราย การปอ้ งกนั กำ� จดั ปลกู พชื หมนุ เวยี น ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ว์ ตั ถุ เชน่ ปยุ๋ คอก ปยุ๋ หมกั เพื่อท�ำใหค้ ุณสมบตั ขิ องดนิ ดีข้ึน และเพมิ่ จุลนิ ทรีย์ท่เี ป็นศตั รธู รรมชาติของไสเ้ ดอื นฝอย 5. การปฏิบตั ิก่อนและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว การเก็บเก่ียวปทุมมา สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ปลูก เพือ่ ตัดดอกขายหรอื เพอ่ื ขายหัวพนั ธุ์ ซง่ึ การปลูกปทุมมาใน 2 แบบน้ี ตอ้ งแยกจากกัน โดยชดั เจน เนอ่ื งจากถา้ เปน็ แปลงทข่ี ายหวั พนั ธจ์ุ ะมกี ารปลดิ ดอกออ่ นทง้ิ เพอ่ื ใหต้ น้ เจรญิ เติบโตเตม็ ที่ จงึ ไมส่ ามารถตัดดอกขายได้ 5.1 การเกบ็ เก่ยี ว การตดั ดอก 1) ระยะเก็บเกยี่ วทเ่ี หมาะสม เมื่อกลีบประดับบาน 4 - 5 กลีบ ดอกจริง บานอย่างน้อย 2 - 3 ดอก 2) ก่อนตัดดอก ควรรดน้�ำในแปลงปลูก เพื่อให้ต้นได้รับความช้ืนเต็มท่ี ควรตัดดอกในช่วงเช้า โดยใช้มือจับท่ีโคนก้านช่อดอกบิดเล็กน้อยแล้วดึงดอก ขนึ้ มา แช่ในนำ�้ สะอาด การเก็บเกย่ี วหวั พันธ์ุ 1) ในฤดปู ลกู ปกติ ปทมุ มาจะพกั ตวั ประมาณเดอื นพฤศจกิ ายนถงึ ธนั วาคม ควรเกบ็ เกยี่ วเมอ่ื ตน้ แกเ่ ต็มท่ี ใบแหง้ เป็นสนี ำ้� ตาลและตน้ ยุบตัว โดยกอ่ นขดุ งดนำ�้ ให้ดิน แหง้ อย่างนอ้ ย 1 - 1 ½ เดือน 2) ควรแยกเกบ็ เกีย่ วเป็นแปลงๆ โดยเกบ็ เกีย่ วแปลงทป่ี ลอดโรคก่อน 3) รดนำ�้ ในแปลง 1 -2 วนั กอ่ นขดุ หวั พนั ธ์ุ เพอื่ ใหด้ นิ ออ่ นตวั งา่ ยตอ่ การขดุ 4) ขดุ โดยใช้จอบหรอื พลั่วระวงั อย่าใหห้ วั เกดิ บาดแผล 5) หลงั ขุดฉีดนำ้� ล้างทำ� ความสะอาดหัวพันธ์ุ โดยทวั่ ไปเรยี กน�้ำหน่งึ 79

6) น�ำกอท่ีดีมาตดั แตง่ รากท่ีหกั ไมส่ มบูรณ์และมแี ผลออก เครื่องมอื ทใ่ี ช้ ตดั แตง่ คดั แยกควรจุม่ แอลกอฮอล์ 70% บ่อยๆ น�ำไปล้างนำ้� (นำ้� สอง) 7) เรยี งใสต่ ะกรา้ นำ� ไปแชน่ ำ้� ยาฆา่ เชอื้ รา ยาแบคทเี รยี และแมลง ประมาณ 15 - 20 นาที น�ำไปผึ่งให้แหง้ 5.2 การปฏิบัตหิ ลงั การเก็บเกี่ยว การตัดดอก 1) หลังตดั ดอกแชน่ ำ้� ทนั ที เพือ่ ใหป้ ทุมมาดดู น�้ำได้เต็มท่ี ลดอณุ หภูมิของ ดอกโดยการเกบ็ รกั ษาในหอ้ งเยน็ อณุ หภมู ิ 12 - 15 องศาเซลเซยี ส นาน 1 - 2 ชวั่ โมงกอ่ นขนสง่ 2) การบรรจแุ ละการขนสง่ ควรหอ่ หมุ้ ดอกดว้ ยถงุ พลาสตกิ ทเี่ ปดิ สว่ นปลายดอก พนั ปลายก้านดอกดว้ ยส�ำลีชบุ น้�ำยายืดอายุ สวมถุงพลาสตกิ และบรรจลุ งกลอ่ ง ระหวา่ ง รอการขนสง่ ควรเก็บไวใ้ นทีเ่ ยน็ การเก็บรกั ษาหัวพนั ธ์ุและการคดั เกรด 1) เกบ็ รกั ษาหวั พนั ธใ์ุ นทร่ี ม่ มกี ารถา่ ยเทอากาศดี ถา้ เกบ็ ไวท้ อี่ ณุ หภมู หิ อ้ ง จะเก็บไดถ้ งึ เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ขึน้ อยู่กับความชนื้ ในอากาศ หากต้องการเก็บ รกั ษาใหน้ านขน้ึ ควรเกบ็ เขา้ หอ้ งเยน็ อณุ หภมู ิ 10 -15 องศาเซลเซยี ส ความชนื้ สมั พทั ธ์ 70 - 80% เก็บได้นาน 5 - 6 เดอื น 2) การคัดเกรด หัวพันธ์ุท่สี ่งออกจะคดั เกรดจากขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง ของหัวและจ�ำนวนรากสะสมอาหาร โดยแตล่ ะที่จะมมี าตรฐานของตนเอง มาตรฐานสนิ ค้าเกษตรหวั พันธไ์ุ มด้ อกกลุ่มปทมุ มาและกระเจียว ส�ำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้ก�ำหนด มาตรฐานหัวพันธุไ์ ว้ดังนี้ 1. หวั พนั ธ์ไุ มด้ อกกลุ่มปทุมมาและกระเจยี วต้องมคี ุณภาพ ดงั น้ี 1. 1 คณุ ภาพขนั้ ต่�ำ คอื 1) มตี าสมบรู ณ์ 2) มลี กั ษณะตรงตามพนั ธ์ุ 3) ไมพ่ บศัตรพู ืช ไมม่ ดี นิ และวสั ดปุ ลูกปะปน 1.2 ช้นั คุณภาพส�ำหรบั หวั พันธุ์ไมด้ อกกลุม่ ปทุมมา มี 3 ช้ันคณุ ภาพ ดังนี้ 1) ชัน้ พิเศษ (extra class) คือ หวั พันธุต์ ้องมีคณุ ภาพตาม คุณภาพขัน้ ตำ่� และตอ้ งมรี ากสะสมอาหารต้งั แต่ 4 ตมุ้ ขึน้ ไป 2) ชั้นหน่งึ (class I) คือ หัวพันธ์ุตอ้ งมีคุณภาพตามคุณภาพ ขั้นต่ำ� และตอ้ งมรี ากสะสมอาหาร 3 ตุ้ม 3) ชน้ั สอง (class II) หวั พันธต์ุ ้องมีคณุ ภาพตามคณุ ภาพขน้ั ต�่ำ และมีรากสะสมอาหารน้อยกว่า 3 ตุม้ 80

2. การแบ่งขนาดของหวั พันธ์ตุ ามมาตรฐาน พจิ ารณาจากเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง โดยวดั สว่ นทก่ี วา้ งทสี่ ุดของหวั พนั ธ์ุ ดังนี้ รหัสขนาดทใ่ี ช้ รหสั ขนาดหวั พันธ์ุ เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง (ซม.) ตามมาตรฐานระหวา่ งประเทศ 40 > 4.0 1 30 > 3.0 ถึง 4.0 2 20 > 2.0 ถงึ 3.0 3 18 > 1.8 ถงึ 2.0 4 15 > 1.5 ถึง 1.8 5 12 > 1.2 ถงึ 1.5 6 10 > 1.0 ถึง 1.2 7 8 8 < 1.0 81

82 ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและใหผ้ ลผลิตของปทุมมา สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ - กลางวัน ประมาณ 20 – 30 องศาเซลเซยี ส 1.1 อณุ หภมู ิ - กลางคืน ประมาณ 18 - 25 องศาเซลเซยี ส - 1.2 แสงแดด - ปทมุ มาเจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นสภาพทไ่ี ดร้ บั แสง 70– 100 % - 2. สภาพพน้ื ท่ี - มกี ารระบายน�้ำดี ไมใ่ ช่พื้นทท่ี ่มี ีนำ้� ท่วมขงั หลกี เล่ียงพืน้ ท่ีฝนตกชกุ พื้นทล่ี ุ่ม 3. สภาพดนิ 3.1 ลกั ษณะเนอื้ ดิน - ดนิ รว่ น หรือดนิ รว่ นปนทราย - 3.2 ความลกึ ของหน้าดนิ - ยกแปลงสูงประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร ไม่ควรเตรียมดินลกึ เกนิ ไป จะทำ� ใหไ้ ดร้ ากสะสมอาหารยาว อาจเสยี หายไดใ้ นช่วงเกบ็ เก่ียว 3.3 ความเป็นกรด – เป็นดา่ ง (pH) - 6.5 – 7.0 ควรหลกี เล่ียงการปลูกปทมุ มาในสภาพดนิ ดา่ ง เพราะจะทำ� ใหต้ น้ แคระแกรน ใบเหลือง ดอกซดี 4. สภาพนำ้� - pH 5.5 – 6.5 - 4.1 คณุ ภาพนำ�้

แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลติ และแหล่งสืบคน้ ข้อมลู เพมิ่ เตมิ การพัฒนาผลผลิต 1. การเลอื กหวั พันธุ์ 1.1 การปลกู เพอ่ื ผลติ หวั พนั ธค์ุ วรใชห้ วั พนั ธข์ุ นาดใหญ่ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางมากกวา่ 1.8 เซนติเมตร มีตุ้มสะสมอาหารตง้ั แต่ 3 - 6 ตุม้ จะทำ� ให้ได้หวั ใหมก่ อละประมาณ 16 - 18 หัว 1.2 การปลูกเพื่อตดั ดอกควรใชห้ วั พนั ธุ์ที่มีตุ้มสะสมอาหารต้งั แต่ 3 ตุ้มขึน้ ไป จะใหผ้ ลผลติ ประมาณ 14 ดอกตอ่ กอ 2. การปลูกเพ่ือให้ได้ตุ้มสะสมอาหารสั้น ซ่ึงเป็นท่ีต้องการของตลาดต่าง ประเทศ ทำ� ไดด้ ังน้ี 2.1 ปลูกในท่ีดินร่วนปนทราย ดินลูกรัง รากจะส้ันเน่ืองจากดินมีความอุดม สมบรู ณ์ของธาตุอาหารค่อนขา้ งตำ�่ แต่ตอ้ งมีการจัดการปยุ๋ ที่ดีเพ่ือไมใ่ หผ้ ลผลิตตำ�่ 2.2 ปลกู โดยจำ� กดั หนา้ ดนิ อยา่ ใหล้ กึ เกนิ ไป ควรลกึ ประมาณ 15 -20 เซนตเิ มตร หรอื ปลกู ใสถ่ ุง 2.3 ปลกู โดยใชห้ วั ขนาดกลางถงึ ใหญ่ทีไ่ ม่มตี ุ้มสะสมอาหาร หรอื ปลกู โดยใชห้ วั ขนาดเล็ก 2.4 ปลกู โดยวธิ ปี ลูกล่า เรม่ิ ปลกู ชว่ งเดือนมถิ นุ ายน เพอ่ื ใหม้ ีการสะสมอาหาร สัน้ เพยี ง 5 - 6 เดอื น การพฒั นาคณุ ภาพ มาตรฐาน 1. ใชห้ ัวพันธุ์ดี แขง็ แรง ปราศจากโรค 2. การคัดเลือกพนื้ ทปี่ ลูกปทมุ มา 2.1 ควรเป็นพืน้ ทที่ ไี่ มเ่ คยมีประวตั กิ ารระบาดของโรคหวั เน่าหรอื โรคเหย่ี ว 2.2 เปน็ พน้ื ทที่ ไ่ี มเ่ คยปลกู พชื อาศยั ของโรคเนา่ เชน่ พชื ตระกลู ขงิ มะเขอื ยาสบู เปน็ ต้น มากอ่ นอยา่ งนอ้ ย 2 ปี 2.3 ไม่มกี ารระบาดของไส้เดือนฝอย 2.4 หรือถ้าเป็นพื้นทเ่ี ดมิ ที่เคยปลูกปทมุ มาควรปลูกพชื อืน่ สลับอย่างนอ้ ย 3 ปี จงึ น�ำมาปลกู ปทุมมาอกี คร้ัง 83

3. การปลูกปทมุ มาในถุง เพื่อลดปัญหาการระบาดของโรคเหย่ี วท่เี กิดจากเชอ้ื แบคทเี รยี ทำ� ใหไ้ มต่ อ้ งหมนุ เวยี นปลกู ในพน้ื ทใี่ หม่ และทำ� ใหส้ ามารถจดั การวสั ดปุ ลกู ไดง้ า่ ย ได้แก่ การนำ� ดินไปอบ และสามารถน�ำดินผสมเก่ามาอบใชใ้ หมไ่ ด้ การปลกู ปทุมมาในถงุ ท�ำได้ดงั น้ี 3.1 เตรยี มวสั ดปุ ลกู ผสมวสั ดปุ ลกู ทราย : แกลบดบิ หรอื ขยุ มะพรา้ ว : ถา่ นแกลบ อตั ราสว่ น 1:1:1 โดยกองสงู ประมาณ 20 - 30 เซนตเิ มตร พรมน�้ำให้ชุ่ม คลมุ ด้วย พลาสตกิ ใส นาน 30 วัน เพื่ออบฆา่ เชอ้ื 3.2 ใช้หวั พนั ธปุ์ ลอดโรค และทำ� การบ่มหวั พนั ธุเ์ หมือนกับการปลกู ปกติ 3.3 ปลกู หวั พนั ธข์ุ นาดใหญ่ 1 หวั ทม่ี รี ากสะสมอาหาร 2 - 3 ราก ในถงุ ขนาด 6 x 12 นิว้ หรอื 12 x 12 น้ิว ทใ่ี สว่ ัสดปุ ลกู ไว้แล้ว 3.4 วางถุงปลกู ไว้บนแปลงท่ยี กสงู จากพน้ื 20 - 30 เซนติเมตร ปูพ้นื ด้วย แกลบดิบหรอื คลุมแปลงด้วยพลาสตกิ เพอ่ื ปอ้ งกนั การตดิ เชื้อโรคหวั เน่าจากดิน 3.5 การดูแลรักษาเหมือนกับการปลูกลงแปลง แต่การใสป่ ยุ๋ ให้ในปรมิ าณนอ้ ย แตบ่ ่อยครง้ั กว่าการใหใ้ นแปลง ใช้อตั รา 7 - 10 กรัมต่อถุง ทกุ 2 - 3 สปั ดาห์ หรือ ใชป้ ๋ยุ ละลายชา้ 3 เดอื นตอ่ ครง้ั 3.6 การเกบ็ เกย่ี วหวั พนั ธ์ุ งดให้น�้ำประมาณ 1 เดอื น เทหวั พันธอุ์ อกจากถงุ อย่างระมดั ระวงั เขยา่ วสั ดุใหห้ ลดุ จากหัว ลา้ งนำ�้ ท�ำความสะอาด คัดขนาด แช่นำ้� ยา และผง่ึ ใหแ้ หง้ การปลูกปทุมมาในถุง 84

แหลง่ สืบคน้ ข้อมลู เพ่มิ เติม กรมวิชาการเกษตร. 2545. เกษตรดีทเ่ี หมาะสมสำ� หรบั ปทมุ มา. กรุงเทพฯ. กรมวิชาการเกษตร. กรมส่งเสริมการเกษตร. 2542. การผลิตปทุมมาครบวงจร. กรงุ เทพฯ. กรมสง่ เสริมการเกษตร.2546. เทคโนโลยพี ชื สวนและงานแสดงพืชสวนโลกครง้ั ที่ 5 Floriade 2002. กรงุ เทพฯ. กรมสง่ เสริมการเกษตร. วภิ าดา ทองทกั ษิณ ปาริชาติ นกุ ลู การ วัชรพี ร โอฬารกนก. ม.ป.ป. การผลิตปทุมมา อย่างถกู ต้องและเหมาะสม. กรุงเทพฯ. กรมส่งเสรมิ การเกษตร. ส�ำนกั งานมาตรฐานสนิ คา้ เกษตรและอาหารแห่งชาต.ิ 2554. มาตรฐานสนิ ค้าเกษตร : หัวพันธ์ุไม้ดอกกลุม่ ปทุมมาและกระเจยี ว. กรุงเทพฯ. สรุ วชิ วรรณไกรโรจน์. 2540. ปทมุ มาและกระเจียวไม้ดอกไมป้ ระดบั . กรุงเทพฯ. สำ� นกั พมิ พบ์ ้านและสวน. อรวรรณ วชิ ัยลกั ษณ์. 2548. ปทุมมา. กรงุ เทพฯ. กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 85

บัวหลวงตดั ดอก ข้ันตอนการปลกู และการดูแลรักษาบวั หลวงตัดดอก การเตรียมการ เดอื น 1 เดอื น 2 เดือน 3 เดอื น 7 เดอื น 10 ปีที่ 2 ปที ่ี 3 การเตรยี มดนิ การปลูก การใส่ปุ๋ย การเกบ็ เก่ยี ว ทบุ บวั เก็บเกย่ี วดอก รื้อแปลงและปลูก -แบ่งพ้นื ทข่ี นาด 5-50 ไร่ -ปลูกโดยใช้ไม้ยึด -ใสปยุ๋ สตู ร 16-16-16 -เก็บเก่ียวเม่ือต้น เมื่อต้นอายุได้ 7 เดือน หลังจากทุบบัว ใหม่ หลงั จากทบุ บวั -ยกคันดินสูง 1.5 เมตร เหงา้ หรอื ใชด้ นิ หมก หรือปยุ๋ ยูเรีย 50 กก. มอี ายปุ ระมาณ 75- เน่ืองจากต้นเรม่ิ โทรม แล้ว 3 เดอื น ประมาณ 2-3 รอบ ล้อมรอบแปลง ระยะปลูก 2 x 2 ม. ต่อไร่ หลังปลูก 90 วัน ขึน้ ไป โดย -ระบายน้ำ� ออกจากแปลง -เก็บเศษวัสดุ ก�ำจัดวัชพืช ได้ 400 ต้น/ไร่ ทุก 2 เดือน เกบ็ เกีย่ ววันเว้นวัน -ใช้ลูกขลุบทุบหัวบัวเพื่อตัด ไถปรบั พนื้ ท่ีใหเ้ รยี บ แบ่งไหลในกอเดิม -ไถดะ ในดินเป็นกรดโรยปูน การใหน้ �้ำ -ปลอ่ ยนำ�้ เขา้ แปลง ไหลบวั ท่ี ขาว อัตรา 300-400 กโิ ลกรัม -ปรับสภาพนำ้� ใหม้ คี วามเหมาะสม มีการสบู นำ�้ ออก และสูบน้�ำเข้าแปลง ถูกตัดแต่งใหม่จะเริ่มแตก ต่อไร่ ตากแดดทิ้งไว้ 7-15 วนั เปน็ ต้นใหม่ ใน 2-3 วนั และ แล้วไถแปรอกี คร้งั เกบ็ ดอกได้ 2-3 เดอื น หลงั -เติมปุ๋ยคอกอัตรา 200 ทบุ บัว กิโลกรัมต่อไร่ -ระบายน้�ำเข้าให้สูงจากพื้น ศัตรูพชื ทสี่ �ำคัญและการป้องกันก�ำจัด การปฎบิ ตั ิหลังการเกบ็ เก่ยี ว ดนิ 15 ซม. ทง้ิ ไว้ 3-5 วนั เพอ่ื -การปอ้ งกนั ก�ำจัดศัตรพู ชื ฉีดสารเคมีสปั ดาห์ละครั้ง เมื่อเรม่ิ เกบ็ เกี่ยว -การเก็บเก่ียวบัว ตัดก้านดอกบัวให้มี ให้ดนิ อ่อนตัว -การกำ� จดั วัชพชื และการเก็บเศษซากในนาบวั กระทำ� ทุกคร้ังเมื่อมีการเก็บเก่ียวดอก ความยาวประมาณ 50-60 ซม. แชด่ อกบวั การเตรียมพันธุ์ -โรคใบจดุ สาเหตจุ ากเชอื้ รา ระบาดในฤดฝู นชว่ งอากาศชนื้ ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยใชส้ ารเคมตี ามคำ� แนะนำ� ในถงั ใส่นำ�้ ซง่ึ ถงั นำ้� จะวางอยู่ในเรือ -ใช้เหง้าบัวที่มีข้อ 2 - 3 ข้อ -โรครากเน่า สาเหตุจากเชือ้ รา มกั เกดิ ในภาวะอากาศร้อน ไม่มีการถ่ายเทอากาศ ปอ้ งกนั กำ� จัดโดยใช้ -การเก็บเกย่ี วใบบวั ตัดก้านบวั เพอ่ื นำ� มีรากติด หรือหากมีจ�ำนวน สารเคมตี ามคำ� แนะน�ำ ใบบัวมาห่อดอกบวั ข้อน้อยให้น�ำเหง้าอื่นมารวม -เพล้ียไฟ เพลย้ี ออ่ น ไรแดง ระบาดในฤดแู ล้ง ปอ้ งกนั กำ� จัดโดยใชส้ ารเคมตี ามคำ� แนะนำ� -เมื่อตัดดอกบัวมาแล้ว วางดอกบัว แล้วปลกู พร้อมกัน -แมลงวันหนอนชอนใบบวั ระบาดทุกฤดู แต่ฤดฝู นระบาดนอ้ ยลง เนอ่ื งจากผเี สอ้ื ไมส่ ามารถวางไข่บน ในโรงพักดอกบัว แยกขนาดดอกบัว ใบบัวได้ ป้องกนั กำ� จดั โดยใช้สารเคมตี ามคำ� แนะน�ำ น�ำดอกเข้าก�ำ แล้วจัดเรียงใส่ตะกร้า -หนู ใหใ้ ช้สารเคมตี ามคำ� แนะน�ำ เพื่อรอจ�ำหน่าย

เทคนคิ การปลูกและดแู ลรักษาบวั หลวงตดั ดอก 1. การเตรียมการก่อนปลกู 1.1 การเตรียมพื้นท่ปี ลูก แบ่งพืน้ ท่อี อกเปน็ แปลงขนาด 5 - 50 ไร่ ยกคนั ดินสูง 1.5 เมตร ล้อมรอบแปลง เก็บเศษวสั ดุและก�ำจดั วชั พืช ไถปรบั พืน้ ทใ่ี หเ้ รยี บ ไถดะใหท้ ว่ั พืน้ ที่ ในดินท่ีเป็นกรดโรยปนู ขาว อัตรา 300 - 400 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ตากแดดทิ้งไว้ 7 - 15 วัน แล้วไถแปรอกี คร้ัง พรอ้ มเตมิ ปุย๋ คอก อัตรา 200 กิโลกรมั ต่อไร่ จากนน้ั ระบายนำ�้ เขา้ แปลง ให้สงู จากพน้ื ดิน 15 เซนติเมตร ทงิ้ ไว้ 3 - 5 วัน เพ่ือใหด้ ินออ่ นตวั 1.2 การเตรียมตน้ พันธุ์ ใช้เหง้าบัวท่ีมขี อ้ 2 - 3 ข้อมีรากติด หรือหากมีจ�ำนวนขอ้ น้อยใหน้ �ำเหงา้ อืน่ มารวมแลว้ ปลกู พร้อมกนั 2. การปลูก 2.1 วิธีปลกู โดยปกั ด�ำใชไ้ มย้ ึดเหงา้ และ ปักด�ำโดยใช้ดินหมก 2.2 ระยะปลกู ข้นึ กับจ�ำนวนตน้ พันธุ์ 2.3 จ�ำนวนตน้ ตอ่ ไร่ ระยะปลูก 2 x 2 เมตร ไดจ้ �ำนวน 400 ต้นตอ่ ไร่ 3. การดูแลรกั ษา นาบัว การรักษาระดับนำ�้ ในแปลง ในความสูงท่เี หมาะสมตามความสงู ของตน้ ระดับน�ำ้ ในแปลงตำ�่ กวา่ ดอกบวั ประมาณ 20 -30 เซนตเิ มตร เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หห้ ญา้ ขนึ้ ในแปลงบวั และเพ่ือให้บัวแตกใบ พ้นน�ำ้ ออกมารบั แสงสวา่ งได้เร็ว การใสป่ ุย๋ ในช่วงแรกใสป่ ยุ๋ สตู ร 16-16-16 หรือปุ๋ยยเู รีย อตั รา 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ตอ่ มาใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 2 เดือนต่อคร้งั การกำ� จดั วชั พชื โดยการเลยี้ งปลา เชน่ ปลาดกุ ปลาชอ่ น ในแปลงบวั อาศยั มลู ปลา เปน็ ปยุ๋ แกบ่ วั ปลาจะตอดหาอาหารเทา่ กบั เปน็ การกำ� จดั วชั พชื ในแปลงบวั ในคราวเดยี วกนั ไมค่ วรเลยี้ งปลาใหญไ่ วใ้ นแปลงบวั เพราะปลาจะไปตอดยอดออ่ นของตน้ บวั ทำ� ใหบ้ วั เตบิ โต ไดไ้ ม่เตม็ ที่ การป้องกนั กำ� จดั ศัตรูพืช ฉดี สารเคมสี ัปดาห์ละครั้ง เมือ่ เร่มิ เกบ็ เกีย่ ว การกำ� จดั วชั พชื และการเกบ็ เศษซากในนาบวั กระทำ� ทกุ ครงั้ เมอื่ มกี ารเกบ็ เกย่ี วดอก 87

4. ศตั รพู ืชท่ีสำ� คัญและการป้องกันกำ� จัด 4.1 โรค 1) ใบจดุ จากเชอ้ื รา ระบาดในฤดูฝนชว่ งอากาศช้ืน ปอ้ งกนั ก�ำจัดโดยใชส้ าร เคมตี ามค�ำแนะน�ำ 2) รากเน่าจากเช้ือรา มักเกิดในภาวะอากาศร้อน ไม่มีการถ่ายเทอากาศ ปอ้ งกันก�ำจดั โดยใชส้ ารเคมีตามค�ำแนะน�ำ 4.2 หนอนและแมลง 1) หนอนชอนใบบวั ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั หนอนตามคำ� แนะนำ� 2) หนอนกินใบบวั ระบาดทุกฤดู แตฤ่ ดฝู นระบาดนอ้ ยลง เนื่องจากผเี ส้ือ ไมส่ ามารถวางไขบ่ นใบบวั ได้ ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั หนอนตามคำ� แนะนำ� 3) เพลีย้ ไฟ เพลย้ี อ่อน ไรแดง ระบาดในชว่ งอากาศร้อน ปอ้ งกนั กำ� จัดโดย ใช้สารเคมีปอ้ งกนั กำ� จดั เพล้ยี ตามค�ำแนะน�ำ 4.3 สัตว์ 1) หนู ปอ้ งกนั กำ� จัดโดยใช้สารเคมีป้องกนั ก�ำจัดหนูตามค�ำแนะนำ� 5. การเก็บเกีย่ วและการปฏิบตั หิ ลงั การเกบ็ เกีย่ ว 5.1 การเกบ็ เกยี่ วดอกบวั จะเร่มิ เกบ็ ดอกบวั หลังจากปลกู 75 - 90 วนั เก็บดอก เพื่อขายไดว้ นั เว้นวนั และเก็บมากในวนั พระ (ในฤดูหนาวจะเก็บวนั เวน้ 2 วัน เน่ืองจาก ผลผลติ น้อยลง) หรือวันสำ� คญั ทางศาสนา ช่วงเวลาเกบ็ ดอกบัวเปน็ ช่วงเชา้ 5.2 การตดั กา้ นดอกบัว ตัดกา้ นใหม้ คี วามยาวประมาณ 50 - 60 เซน็ ตเิ มตร มีถงั ใส่น�้ำแชด่ อกบัวเมอื่ ตดั แลว้ หรือมีเรอื ไว้สำ� หรบั พักถงั ใสน่ �ำ้ แช่ดอกบัว 5.3 การเกบ็ ใบบวั ตดั ก้านใบบวั ออกใหเ้ หลือแตส่ ว่ นใบ เพอ่ื นำ� ใบบวั มาห่อดอกบวั ห่อก�ำดอกบวั ด้วยใบบัว ดอกบวั ในตะกร้าพร้อมจ�ำหน่าย 88

5.4 การแยกขนาดเข้าก�ำ เม่ือตดั ดอกบวั มาแล้ว วางในโรงพักดอกบัว แยกขนาด เข้าก�ำ กำ� ละ10 ดอก โดยจดั เรยี งใหเ้ ห็นท้งั 10 ดอก ห่อด้วยใบบัว แลว้ จดั เรียงใส่ ตะกร้าเพือ่ รอจำ� หนา่ ย 5.5 การทุบบัว กระท�ำเม่ือต้นบัวในแปลงเริ่มโทรม โดยส่วนใหญ่เมื่อต้นอายุได้ 7 เดอื น เรมิ่ จากการระบายนำ�้ ออกจากแปลงใหแ้ หง้ ใชล้ กู ขลบุ ทบุ หวั บวั หรอื ใชร้ ถแทรคเตอร์ ลงไปไถดะ เพื่อลดความหนาแน่นของต้นบัว และตัดแบ่งไหลในกอเดิม หลังจากน้ัน จงึ ปลอ่ ยนำ�้ เขา้ แปลง ไหลบวั ทถ่ี กู ตดั แบง่ ใหมจ่ ะเรมิ่ แตกเปน็ ตน้ ใหม่ 2 - 3 วนั หลงั ทบุ บวั และเกบ็ ดอกได้ใน 2 - 3 เดอื น หลงั ทุบบวั 5.6 การรอ้ื แปลงปลกู ใหม่ การทบุ บวั จะสามารถกระทำ� ได้ 2 -3 ครง้ั จนตน้ บวั แก่ แลว้ จึงร้ือแปลงปลูกใหม่ (หรือประมาณปที ่ี 2) นาบัวหลังจากทบุ บัว นาบัวหลงั จากทุบบวั และตน้ เรม่ิ ต้ังตัว 89

90 ขอ้ มลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตและใหผ้ ลผลติ ของบวั หลวง สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ - อณุ หภูมิ - เฉลีย่ 25 0C อุณหภูมิสูงจะกระตุ้นใหอ้ อกดอกเรว็ ขน้ึ - อณุ หภมู ิต่ำ� จะทำ� ใหก้ ารออกดอกลดลง หากต่�ำมากต้นจะพกั ตวั - แสง - ความเข้มแสง 100 % ทำ� ให้เจรญิ เติบโตไดด้ ี และไมต่ ำ่� กวา่ วันละ 4 ชวั่ โมง 2. สภาพพืน้ ท่ี - บริเวณ - เป็นแปลงปลกู หรอื เป็นแหลง่ นำ้� ธรรมชาติ - ความสงู จากระดบั นำ้� ทะเล - 0 - 200 เมตร - ความลาดเอยี ง - 0 - 2% - ความลึกบ่อ หรือแหล่งน�้ำ - 100 ซม. ความลึกน�ำ้ 60 ซม.ขน้ึ ไป จะเหมาะแก่การปลูก - หากระดบั นำ้� สูงเกินไปบวั ท่งี อกใหมอ่ าจตายได้ หากงอกพน้ ผิวน้ำ� ไม่ทนั บวั บวั จะได้รับอุณหภูมิพอเหมาะและออกดอกไดม้ าก 3. สภาพดนิ - คุณลักษณะดนิ - ดนิ มคี วามออ่ นนมุ่ และอมุ้ นำ้� จะเหมาะแกก่ ารปกั ดำ� บวั และ - สภาพดนิ ที่แขง็ แนน่ จะท�ำให้รากทเ่ี หงา้ บัวไม่สามารถชอนไชได้ - ชนดิ วัสดุปลูก การเจริญเติบโตของต้นบัว ตน้ บวั ไมส่ ามารถยดึ เกาะได้ 4. ธาตุอาหาร - ดนิ เหนยี ว - ปยุ๋ - N-P-K อัตรา 1:1:1 หรือปุ๋ยยูเรีย - การใหธ้ าตอุ าหารนอ้ ย หรือมากเกินไปส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้น 5. สภาพน้�ำ ธาตอุ าหารหลัก ไดแ้ ก่ N P K ธาตอุ าหารรองได้แก่ Ca Mg บัว เช่น ตน้ แกร็น หรอื ใบบัวหอ่ ไม่กางออก เปน็ ต้น - คา่ ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 5% และ 1% ตามลำ� ดบั - คา่ การนำ� ไฟฟ้า (EC) - คุณลักษณะน้�ำ - 6.0 - 6.6 - EC ระหวา่ ง 3.2-3.5 mS-1 สง่ ผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โต เชน่ ท�ำให้ใบ ดอก -ความลกึ - ระหวา่ ง 2.8 - 3.1 mS-1 ผิดรปู รา่ ง และสีใบผดิ ปกติ - น้�ำคลอง หรอื นำ�้ ชลประทานมีความสะอาด หากเป็นน�้ำเนา่ เสียส่งผลต่อการเจริญเตบิ โต - ความลกึ นำ�้ 60 ซม.ขน้ึ ไป บัวจะได้รับอณุ หภูมิพอเหมาะ หากปรมิ าณนำ�้ ไมเ่ พียงพอส่งผลต่อคณุ ภาพดอก และออกดอกไดม้ าก

แนวทางการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหลง่ สืบคน้ ขอ้ มลู เพิ่มเตมิ การพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน แนวทางการปฏบิ ัติกับดอกบัวเพือ่ การสง่ ออก 1. ควรเกบ็ ดอกบวั ในระยะทเี่ หมาะสมของบวั แตล่ ะสายพนั ธ์ุ เชน่ พนั ธส์ุ ตั ตบงกช (ฉัตรชมพู) ควรเก็บเกี่ยวเมื่อดอกบัวโผล่พ้นน้�ำ 10 วัน โดยจะสังเกตเห็นกลีบเลี้ยง เปน็ สนี �้ำตาลแล้ว 2. ควรเกบ็ ดอกบวั ดว้ ยมดี ทคี่ มและสะอาด แลว้ รบี ลำ� เลยี งถงึ โรงเรอื น ตดั ปลายกา้ น ด้วยมดี ท่คี มและสะอาด จมุ่ รอยตัดในน้�ำร้อนประมาณ 3 วินาที เพ่ือกำ� จัดน้�ำยางออก ไปจะดียิ่งขนึ้ 3. ในระหวา่ งเกบ็ เกยี่ วควรมภี าชนะบรรจนุ ำ�้ ไวใ้ สด่ อกบวั ทต่ี ดั จากตน้ เพอื่ ลดการ ช้�ำจากการหอบดว้ ยออ้ มแขนรวมถึงเพ่ือลดอาการขาดนำ้� ภาชนะนน้ั อาจคล้องแขนหรอื วางในเรอื แล้วลากตามไปแล้วแต่สะดวก 4. เมอื่ ถงึ โรงเรือนรีบหมุ้ ดอกด้วยตาขา่ ยโฟม เพ่อื ลดการชำ�้ หรืออาจหุม้ ตงั้ แต่ ก่อนตดั ดอก จะลดการช้�ำจากการกระทบกนั ไดม้ ากขนึ้ 5. ควรหุ้มรอยตัดทปี่ ลายกา้ นดอกดว้ ยสำ� ลีชบุ น้�ำสะอาด แล้วใช้ถงุ พลาสติกหุม้ อีกชนั้ หนง่ึ เพอ่ื ลดการขาดน้�ำระหวา่ งขนส่ง 6. บรรจหุ บี หอ่ ลงกระดาษลกู ฟกู โดยรองพนื้ ดว้ ยแผน่ ฟลิ ม์ พลาสตกิ และยดึ กา้ น ดอกไม่ใหเ้ คลอ่ื นที่ ภายในกลอ่ งจ�ำเปน็ อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะต้องมวี ัสดดุ ูดเอธลิ ีนดว้ ย 91

แหล่งสบื คน้ ขอ้ มูลเพม่ิ เติม กรมสง่ เสริมการเกษตร. 2537. ไม้ตดั ดอกเขตรอ้ น. กลมุ่ ไม้ดอกไม้ประดบั กองสง่ เสรมิ พชื สวน กรมส่งเสริมการเกษตร. กรงุ เทพฯ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. 2548. เมืองไม้ดอกไม้ประดับเฉลิมพระเกียรต.ิ กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . ช. ณิฏฐ์ศริ ิ สุยสุวรรณ. 2545. เทคโนโลยีหลงั การเกบ็ เกีย่ วไม้ตดั ดอก. กรุงเทพฯ: สำ� นักพมิ พป์ ระดิพัทธ.์ สิรริ ตั น์ โลห่ ส์ วัสด.์ิ 2533. โรคของไม้ดอกและไม้ประดับบางชนิด. เอกสารประกอบการสมั มนา “สนทนาปัญหาโรคพชื ” จัดโดยสมาคมนกั โรคพืชแห่งประเทศไทย ณ อาคารจักรพันธเ์ พญ็ ศิริ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วันท่ี 13 ธนั วาคม 2538. เสนีย์ รักขิตวัน. 2543. ปลกู บัว. กรุงเทพ ฯ: บรษิ ัทอมรนิ ทร์พร้นิ ต้งิ แอนดพ์ บั บลิชชง่ิ จำ� กัด (มหาชน) เสรมิ ลาภ วสวุ ตั .ิ 2525. การปลกู บวั เปน็ ไมด้ อกไมป้ ระดบั . กรงุ เทพ ฯ: อมรนิ ทรก์ ารพมิ พ์ V.Q. Nguyen, D. Hicks, B.T. Ho and T.T. Nguyen. 1998. Studies on the growth of Lotus (Nelumbo nucifera Garaertn) Growth on the Central Coast of New South Wales, Australia. The 4th Australian Horticulture Conference, Melbourne 14-17 October 1998. 92

กวนอมิ ขั้นตอนการปลูกและการดแู ลรกั ษากวนอมิ การเตรียมการ 30 วนั 60 วนั 90 วัน 120 วัน 150 วัน 180 วนั 210 วัน 240 วนั การเตรียมพืน้ ที่ -ไถดะแลว้ ตากหนา้ ดนิ 30 วนั การปลกู การใสป่ ุ๋ย เมอื่ ตน้ กวนอมิ อายุ 180 วนั เม่ือต้นท่ีดัดมีอายุ 240 วัน -ไถพรวนเพ่อื ก�ำจัดวชั พืช -ปลกู แบบแถวครู่ ะยะหา่ ง -ใสป่ ยุ๋ คอกหรอื ปยุ๋ หมกั อตั รา 0.5-1 - สามารถจ�ำหน่ายโดยการ หรือหลังจากดัดต้นกวนอิมเป็น -ปรบั พนื้ ทใี่ ชแ้ กลบดำ� คลกุ ดนิ ระหว่างแถว 1 เมตร กโิ ลกรมั ตอ่ ตน้ ใส่ 1 - 2 เดอื นตอ่ ครง้ั ตัดต้นกวนอิมให้มีความสูง ระยะเวลา 60 วนั จงึ ตดั ต้นที่ดัด ปลกู อตั รา 900 ลกู บาศกเ์ มตร -ปลูก 6 แถว ระยะหา่ ง - ใส่ปยุ๋ เคมีสตู ร 16 – 16 – 16 อตั รา ประมาณ 1 เมตร รดิ ใบออก เพือ่ จำ� หน่ายต่อไป ตอ่ ไร่ 15 x 15 เซนตเิ มตร 100 - 300 กรมั ตอ่ กอ ปลี ะ 4 - 5 ครง้ั เพ่ือน�ำไปท�ำเป็นกวนอิมถัก -ยกรอ่ งแปลงปลกู สงู 30 - 40 -มีตาข่ายพรางแสง 50% กวนอมิ สาน หรือทำ� เป็นชนั้ เซนติเมตร กว้าง 1 เมตร ครอบคลุมบริเวณปลกู - เริ่มกระบวนการดัด -ทำ� รอ่ งระบายนำ้� ระหวา่ งแปลง ตน้ กวนอมิ เปน็ การจำ� หนา่ ย กว้าง 40 เซนติเมตร แบบเพิม่ มลู คา่ การเตรยี มตน้ พนั ธุ์ ศตั รพู ชื ท่ีสำ� คัญและการปอ้ งกนั กำ� จดั การปฎบิ ัติหลงั การเกบ็ เกย่ี ว -ตดั ลำ� ตน้ จากตน้ แมพ่ นั ธเ์ุ ปน็ -โรคใบสนมิ เกดิ จากเชอ้ื รา ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยใชป้ นู ขาวโรยทว่ั แปลง เม่ือตัดต้นกวนอิมทมี่ ีความสูง 1 เมตรแลว้ ท่อนๆ ให้มีตาติดมาด้วย ให้ท่วั ในอัตรา 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ น�ำล�ำต้นไปแช่ในน้�ำ ระยะเวลาไม่เกิน 10 1 - 2 ตา -เพลย้ี แปง้ พบบริเวณซอก หรือโคนใบจะมกี ล่มุ ผงสีขาว ป้องกัน ช่ัวโมง อาจจะท�ำให้เกิดโรคได้แช่ในน�้ำที่ -น�ำไปช�ำในกระบะหรือใน กำ� จดั โดยรกั ษาความสะอาดบรเิ วณแปลงปลกู ฉดี พน่ ดว้ ยสารกำ� จดั อณุ หภูมิต่�ำกวา่ 16 องศาเซลเซียส อาจจะ กระถางหรือตดั ยอดแชน่ ำ้� เพลยี้ ตามค�ำแนะน�ำ ทำ� ใหใ้ บร่วงได้ -น�ำไปปลกู เมอื่ มีราก

เทคนิคการปลูกและดแู ลรักษากวนอิม 1. การเตรียมการกอ่ นปลกู 1.1 การเตรียมพื้นท่ี ไถดะแล้วตากหน้าดินไว้ 30 วัน ไถพรวนเพื่อก�ำจัดวัชพืชและปรับพ้นื ท่ี พร้อม กบั ใชแ้ กลบดำ� คลกุ ดนิ ปลกู อตั รา 900 ลกู บาศกเ์ มตร ตอ่ ไร่ ยกรอ่ งแปลงปลกู สงู 30 -40 เซนตเิ มตร กวา้ ง 1 เมตร ท�ำร่องระบายน�้ำระหว่างแปลงกว้าง 40 เซนติเมตร แปลงกวนอิม 1.2. การเตรยี มตน้ พนั ธ์ุ ตดั ลำ� ตน้ จากตน้ แมพ่ นั ธเ์ุ ปน็ ทอ่ น ๆ ขนาด 15 -20 เซนตเิ มตร ให้มีตาติดมาด้วย 1 - 2 ตา แล้วน�ำไปช�ำในกระบะหรือในกระถางหรือตัดยอดแช่น้�ำ น�ำไปปลูกเมอ่ื มรี าก 2. การปลูก 2.1 ก่อนปลูกกวนอิม 1 วัน รดน้�ำใหท้ วั่ แปลง 2.2 ปลูกแบบแถวคู่ระยะห่างระหว่างแถว 1 เมตร ปลูก 6 แถว ระยะห่าง 15 x 15 เซนติเมตร พื้นท่ี 1 ไร่ ใช้ต้นพนั ธุ์ 30,000 ต้น พนั ธ์ุท่นี ิยมผลิตมี 3 ชนดิ คือ กวนอิมเงิน กวนอมิ ทอง และกวนอิมดา่ ง 2.3 พื้นทปี่ ลูก มีตาขา่ ยพรางแสง 50% ครอบคลุมบรเิ วณปลกู 3. การปฏิบัติดูแลรักษา 3.1 การให้น้�ำ ใหน้ ำ�้ ทกุ 5 - 7 วนั โดยใหน้ ้�ำตามรอ่ งแปลง 3.2 การใสป่ ุ๋ย มรี ะยะการให้ ดงั น้ี - ใส่ปยุ๋ คอกหรือปุ๋ยหมัก อตั รา 0.5 - 1 กโิ ลกรมั ต่อตน้ 1 - 2 เดอื นตอ่ คร้งั หรอื ใสป่ ๋ยุ เคมสี ตู ร 16–16–16 อัตรา 100 - 300 กรัมตอ่ กอ ปลี ะ 4 - 5 ครัง้ การเอนต้นเพื่อเร่ิมดัด 94


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook