สมหญิง สายธนู 51 ลกู ชาวนาลกู คณุ หมอ นสิ ยั ใจคอ ความเกเร พฒั นาการ ช้า เด็กพิเศษ เด็กสมาธิสน้ั เดก็ แอลดี (Learning Disorder) หรือออทิสติกที่เป็นไม่มากฯลฯ มีเกร็ด เล็กๆ ไม่ให้ตกหลุมพราง เม่ือคุณครูเห็นการ มีความหมายของการแบ่งกลุ่ม รวมถึงความหลาก หลายของสมาชกิ กลมุ่ แลว้ คณุ ครจู ะไมแ่ บง่ กลมุ่ แยก ยอ่ ยลงไปอกี ถ้าห้องเรยี นนน้ั มีนกั เรียน ๓-๔ คน ภายใต้ปรัชญาการศกึ ษาสมัย โรงเรยี นตาม ชนบทห่างไกลจงึ ไมม่ ีอะไรตอ้ งกลัวอีกตอ่ ไป เพราะ การสอนหนังสือมีประโยชน์น้อยกว่าการแบ่งกลุ่ม นกั เรยี น เพอ่ื เรยี นรจู้ ากโจทยป์ ญั หาดว้ ยการโตเ้ ถยี ง จงึ จะเป็นการศกึ ษาท่ีแท้จริง
52 คู่มือครูมอื อาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ ๔. เงื่อนไขส�ำคัญอกี ข้อหนงึ่ คือ ออกแบบ การเรียนรู้ แบ่งหน้าท่ีให้นักเรียนทุกคนได้ “ลงมือ ท�ำ” และ “ท�ำอะไรบางอยา่ งส�ำเรจ็ ” (Learning by doing หรือ Active Learning) ไม่ว่าเด็กคนน้ัน จะเคยถูกตราว่า นิสัยแย่ เรียนออ่ น การไดท้ �ำอะไร บางอย่างส�ำเร็จในทุกๆ วนั จะน�ำมาซึง่ รจู้ กั รักตวั เอง เป็นและมี self-esteem1 ที่ดี การรวมกลมุ่ ท�ำงาน เป็นทีมเพ่ือท�ำอะไรบางอย่างส�ำเร็จด้วยกัน จะเป็น กลไกการขับเคลอื่ น self-esteem ของเดก็ ทม่ี าจาก ครอบครัวหลกกหลาย ต่างความสามารถและ ไอคิว แต่ทุกคนจะดีใจท่ีได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ไดท้ �ำบางอยา่ งส�ำเร็จตามหน้าท่ขี องตัวเอง และทมี ไดเ้ รียนรู้ สงิ่ ใหม่ๆ“พร้อมกนั ” รปู แบบการเรียนรูน้ ี้ ตา่ งจากหอ้ งเรยี นทม่ี เี ดก็ นงั่ เรยี งเปน็ แถวหนา้ กระดาน และเรียนหนังสือคนเดียวตัวใครตัวมัน ไม่มีเด็ก คนไหนถูกท้ิงหลังห้อง ไม่มีเด็กพิเศษเรียนรู้ไม่ได้ อกี ต่อไป 1 หมายถงึ ความสามารถของตัวเองหรือ self ในการนิยามหรอื ก�ำหนดชวี ติ ของตวั เอง มิได้หมายความเพยี งความรกั หรอื ความภูมใิ จในตนเองเท่าน้ัน
สมหญิง สายธนู 53 ๕. กระบวนการหาค�ำตอบส�ำคัญกว่าค�ำตอบ เพราะเป้าหมายการเรียนรู้ คือ เด็กเรียนรู้ระหว่าง ทางทหี่ าค�ำตอบ ไมไ่ ดอ้ ยตู่ รงค�ำตอบทไ่ี ดก้ นั มานนั้ ถกู หรอื ผดิ ใช่หรอื ไมใ่ ช่ จะแกป้ ัญหาชมุ ชนไดห้ รือเปลา่ ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่า สังคมท่ีซับซ้อนไม่ได้มีเพียง ค�ำตอบเดยี วในการแกป้ ัญหาหรอื การไปส่จู ดุ หมาย ๖. ใช้ PBLเป็นแกนหลัก จากนัน้ บรู ณาการ วิชาพื้นฐานส�ำคัญของมนุษย์ ๓ วิชา (3R) คือ การอา่ น (Read) การเขยี น (Write) และคณติ ศาสตร์ (Arithmetic) แตก่ ่อนอื่น ควรท�ำความเข้าใจเหตุผล ที่แท้จริงที่ต้องบูรณา ๓ วิชาท่ีว่าการอ่านออกมิใช่
54 คมู่ อื ครมู ืออาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ เพราะต้องการให้สามารถอ่านได้เท่าน้ัน แต่จ�ำเป็น ต่อการกระตุน้ สมองสว่ นหน้าให้พฒั นามากทส่ี ุด ถ้า รบี ท�ำต้ังแต่อนุบาลหรือประถม สมองสว่ นหน้าที่โต เรว็ ขึ้นจะเปน็ ตัวก�ำหนดทักษะชีวติ ในอนาคต ทกั ษะ การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ ก�ำหนดการเถยี งกนั อยา่ ง มีเหตผุ ล (พชิ ญา ตันธนวิกรยั ,๒๕๕๗) การเขียนมิใช่ เพ่ือให้เขียนได้เท่านั้น แต่เพ่ือบริหารสมองให้คล่อง ตวั และคดิ เปน็ ระบบ บรู ณาการคณติ ศาสตรก์ ม็ ใิ ชเ่ พอื่ ใหค้ ดิ ไดห้ รอื แกส้ มการเกง่ เทา่ นนั้ แตเ่ พอ่ื ใหม้ ตี รรกะ ท่ีดี มกี ารใชเ้ หตุผลอย่างดที ่สี ดุ การศึกษาในศตวรรษท่ี ๒๑ มุ่งเน้น PBL แต่ต้องไม่ละท้ิงวิชาพ้ืนฐานของการ พัฒนาสมองมนุษย์ ๗. ใช้ PBL เป็นแกนหลักเช่นเคย แล้ว บูรณาการวิชาพ้ืนฐาน คือ สังคม ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษหรือภาษาท่ีสอง ทบี่ รู ณาการวชิ าพน้ื ฐานกเ็ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจหลกั การส�ำคญั ของสาระวิชานั้น เช่น เรียนภาษาไทยซึ่งเป็น ภาษาแม่ (mother tongue) เพื่อให้ภาษาเป็นตัว
สมหญิง สายธนู 55 ขับเคล่ือนสมองตรงๆ ให้สมองพัฒนาความสามารถ จากการคิดเชิงรูปธรรมไปเป็นนามธรรมอย่างดีท่ีสุด ภาษาองั กฤษหรอื ภาษาทสี่ องมไี วเ้ พอ่ื ความเปน็ หนา้ ที่ พลเมืองและศีลธรรม ท่ีจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ กับนานาชาติและศาสนาที่แตกต่างจากไทยเรา เพราะโลกหลอมรวมเปน็ สงั คมเดยี่ ว จากแรงอทิ ธพิ ล ของเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมอื ง ๘. PBL ที่ดีควรบูรณาการ ๔ วิชาอนาคต หรือ ๔ Future themes) เพราะเปน็ เปา้ หมายชวี ติ ไดแ้ ก่ สขุ ภาพ (Health) : เดมิ สขุ ภาพของเราอยใู่ น มอื คุณหมอ ทกุ วนั น้มี โี รคมากมายทรี่ กั ษาไมห่ าย รักษาไม่ได้ หรือบางโรคอาจจะไม่มีจริง แต่ถูกปั้น ดว้ ยเหตผุ ลทางการคา้ ตงั้ แตว่ ยั เดก็ จนถงึ สงู อายุ สตรี วัยหมดประจ�ำเดอื นตอ้ งกนิ ฮอรโ์ มนหรอื ไม่? สวิ ตอ้ ง รักษาไหม? นอกจากน้ีข้อมูลสุขภาพ มีมากมายใน อนิ เทอรเ์ นต็ จนไมร่ จู้ ะเชอื่ อะไรดี เชน่ ยาทารกั แรข้ าว ดีจรงิ หรอื ด่ืมกาแฟแลว้ ดีตอ่ สขุ ภาพ ยาตัวนส้ี ุดแสน วิเศษกินแล้วป้องกันโรคอัลไซเมอร์ฯลฯ สุขภาพจึง
56 ค่มู อื ครูมอื อาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นหัวข้อ PBL ท่ีดีท่ีเด็กๆ สามารถเรียนได้ตั้ง ชนั้ ประถม ฝกึ ทกั ษะเรยี นรทู้ จ่ี ะดแู ลสขุ ภาพตนเองใน ยคุ ขอ้ มลู ข่าวสารล้นหลาม เร่ืองจริงของโรงเรียนติดชายแดนแห่งหน่ึง ดช.สมชายมกี ลนิ่ ตวั แรงเพอื่ นๆ รงั เกยี จ ดญ.สมหญงิ เป็นเหาเพ่ือนไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม ครูมืออาชีพใน ศตวรรษท่ี ๒๑ จะไม่สอนวิธีขจัดกลน่ิ ตวั หรอื บอกให้ เดก็ สระผมเปน็ รายคน แตจ่ ะเปน็ โคช้ ชวนนกั เรยี นคยุ อยากเรยี นเรื่องอะไร อยากแกป้ ญั หาอะไร โดยน�ำ ชวี ติ จรงิ เหตกุ ารณจ์ รงิ ทเี่ ดก็ เผชญิ มาเปน็ โจทยใ์ นการ เรยี นรู้ การทอ่ งหนังสอื เกง่ มคี วามรู้เฉยๆ ไมม่ ี ประโยชน์ ถา้ เนอื้ ตวั ยงั สกปรก หรอื สดู ดมหมอกควนั ทกุ ๆ ปีจนเปน็ มะเรง็ ปอด สขุ ภาพที่ดตี ้องรับใชช้ วี ติ ในโลกสมัยใหม่ได้ เศรษฐศาสตร์ (Economics) : เมื่อเด็ก เตบิ ใหญ่ ทุกคนปรารถนามีงานดีๆ ท�ำดว้ ยกันทงั้ นัน้ มเี งินใช้ ไมร่ วยไม่เปน็ ไร แตข่ ออยา่ ให้ถึงกับยากจน ขน้ แคน้ หวั ขอ้ PBLทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งเงนิ เศรษฐกจิ เศรษฐศาสตร์ การออม การใช้จ่าย ราคาน้�ำมัน
สมหญิง สายธนู 57 ราคาทองค�ำ อตั ราดอกเบยี้ การกหู้ นย้ี มื สนิ เงนิ กยู้ มื เพ่ือการศกึ ษา (กยศ.) ภาษี ตลาด หนุ้ ประกัน การลงทนุ การคา้ บัญชีขาดทุนก�ำไร แม้กระท่ังกฐิน ผา้ ป่า คณุ ครูน�ำชีวิตจริงมาเรยี นรู้ ได้หมด การปล่อยให้เด็กท่องจ�ำ แต่ไร้ซึ่งความเข้าใจขาดประสบการณ์จริงเสียเวลา เปลา่ มโี รงเรยี นหลายแหง่ นยิ มปลกู ผกั สวนครวั ลอง ตงั้ โจทยง์ า่ ยๆ “ผกั คะนา้ ทป่ี ลกู ควรขายเทา่ ไร?” เพยี ง เท่าน้ีหน้าตาชั้นเรียนก็ต่างจากศตวรรษที่ ๒๐ อย่าง ส้ินเชิง ส่ิงแวดลอ้ ม (Environments) : ชีวิตท่ดี ี คอื ไดอ้ ยใู่ นสงิ่ แวดลอ้ มดนี า่ อยู่ แตส่ ง่ิ แวดลอ้ มในศตวรรษ ที่ ๒๑ มหี ายนะภยั เกดิ ข้นึ ถขี่ นึ้ กว่าอดีต หมอกควนั ในภาคเหนือเป็นตัวอย่างท่ีเห็นกันทุกปี ภัยแล้ง ทั่วประเทศ น้�ำทว่ มดินถล่ม แผ่นดินไหว ขยะรอบ ตัว ภูเขาหวั โลน้ ปา่ ไม้หายไปไหน โลกรอ้ นขึน้ ทุก วนั คณุ ครสู ามารถบูรณาการเรื่องสิ่งแวดลอ้ มเข้าไป ใน PBL ซึ่งอาจจะเป็นส่ิงแวดล้อมรอบโรงเรียน สงิ่ แวดลอ้ มของต�ำบลทอ่ี าศยั อยู่ สงิ่ แวดลอ้ มของโลก
58 คู่มอื ครมู ืออาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ ไม่ว่าจะต�ำแหน่งไหนเราสนใจส่ิงแวดล้อมที่กระทบ ต่อชีวิตเด็กโดยตรง ท้ังแง่มุมสิ่งแวดล้อมที่ดีหรือ ด้านบวก และส่ิงแวดล้อมด้านลบ เช่น สิ่งแวดลอ้ ม เสย่ี ง เสือ่ มโทรมหรือแมก้ ระทั่งอบายมุข ความเป็นพลเมือง (Civics/Citizenship) : ต่างจากค�ำว่า “หน้าทพ่ี ลเมือง” ประกอบดว้ ยสิทธิ หน้าท่ีความสามารถอยู่ร่วมกับความเห็นต่างใน ระบอบประชาธปิ ไตย การแบง่ กลมุ่ เรยี นรู้ PBL ตง้ั แต่ เดก็ กด็ ้วยเหตผุ ลนี้ การเรียนการสอนในศตวรรษที่ ๒๑ จึงไม่ สามารถแยกตวั ออกเป็นอสิ ระวิชา ท่ีไมเ่ กี่ยวกับชวี ติ ไดอ้ ีกแล้ว ๙. ไมม่ ุง่ เนน้ มอบความรู้ แต่มุง่ เน้นพัฒนา ทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ครูจะไม่สอน หนังสือมากมาย แต่ใช้เวลาในการออกแบบ PBL มุ่งเป้าไปท่ีพัฒนาทักษะการอยู่รอด ๓ ประการ คือ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต และทักษะเทคโนโลยี สาระสนเทศ ซึ่งเกิดข้ึนระหวา่ งทางท่เี ด็กท�ำงานกัน เป็นทมี ทมี ท่ีมีสมาชกิ หลากหลาย ความเชอื่ มโยง
สมหญงิ สายธนู 59 ของโจทย์การเรียนรู้กับชุมชน และบทบาทของครู ทจี่ ะเปน็ โค้ชกระต้นุ การเรียนรขู้ องเด็กๆ ๑๐. คณุ ครชู วนเด็กๆ ประเมินผลการเรยี นรู้ ที่เรียกวา่ After Action Review หรือ AAR หลังท�ำ กิจกรรม หรือปดิ โครงงานเสมอ ดว้ ย ๒ ค�ำถามง่ายๆ “รู้สึกอย่างไร” แล้วตามด้วย “ได้เรียนรู้อะไร” คุณคา่ ที่แท้จรงิ ของการ AAR ไปไกลเกินกว่าใหเ้ ด็กๆ แสดงความรู้สึกหรือสรุปผลการเรียนรู้ แต่เพ่ือ ปลดปลอ่ ยเดก็ ไทยใหม้ เี สรภี าพในการคดิ และการพดู ปญั ญาเกดิ จากเสรภี าพเสมอ และเพอ่ื ใหเ้ รยี นรทู้ จี่ ะ ฟังตัวเองเป็นและฟังคนอื่นเป็นเช่นเดียวกันด้วย เหตผุ ลทง้ั สองอยา่ งน้ี AAR จงึ จะเปน็ เครอ่ื งมอื พาเดก็ ออกสโู่ ลกกวา้ งอยา่ งตน่ื ตาตน่ื ใจ คณุ ครเู องกส็ ามารถ ท�ำ AAR ได้เช่นเดยี วกนั (รายละเอยี ดวิธกี ารท�ำ AAR ในบทท่ี ๕) ๑๑. คุณครูมีการรวมตัวและจัดวงประชุม คยุ กนั ที่เรียกวา่ PLC หรอื Professional Learn- ing Community หรอื ชมุ ชนการเรยี นรขู้ องมอื อาชพี ในที่นี้คือ ชุมชนการเรียนรู้ของวิชาชีพครู ขึ้นชื่อ
60 คู่มอื ครูมอื อาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ วิชาชีพครูแปลว่าจ�ำเป็นต้องมีอุดมการณ์และ จรยิ ธรรม จึงต่างจากอาชีพครู วง PLC จะคุยกันเร่ืองอะไรดี ค�ำตอบคือ คุณครูคุยกันได้ทุกเร่ืองด้วยความจริงใจและจริงจัง โดยถือประโยชน์ของนักเรียนเป็นส�ำคัญ อย่างน้อย ตอนเริ่มตน้ คุยเร่ืองจะปรบั ปรุง PBL อยา่ งไรให้ดกี ว่า เดิม ชว่ ยกนั ทวนสอบว่า PBL ทีน่ กั เรยี นท�ำยังพร่อง อะไรไปบ้าง โดยใช้ ๑๒ องค์ประกอบเปน็ แก่นของ การคยุ วง PLC ต่างจากการประชมุ แจ้งเพ่ือทราบ
สมหญิง สายธนู 61 กล่าวการประชุมหรือทบทวนรายงาน (รายละเอียด วิธีการท�ำ PLC ในบทท่ี ๖) ๑๒. สามารถพสิ จู นไ์ ดว้ า่ การเรยี นรแู้ บบ PBL ท�ำให้เด็กๆ เป็นนักเรียนรู้ อ่านออก เขียนได้ คิด ค�ำนวณเป็น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ได้ และยังมที กั ษะชีวิต ทักษะการเรียนรู้ ทักษะ IT เยี่ยมอกี ดว้ ย การเรยี นร้จู งึ ไม่แยกออกจาก ช วี ติ จรงิ จะเห็นว่า คุณครูยังเป็นคนส�ำคัญเสมอ แตต่ อ้ งเปลยี่ นบทบาทจากสอนหนงั สอื ไปเปน็ โคช้ การเรยี นรู้ PBL
บทท่ี๔ พฒั นาการเรียนรู้ ดว้ ยเรือ่ งเล่า นกั สบื สายนำ�้ ครูฝน รจุ ิรา สุรยิ า โรงเรียนบา้ นขอวิทยา โรงเรยี นบา้ นขอวทิ ยา โรงเรยี นบา้ นนอกแหง่ หนงึ่ ในต�ำบลบา้ นขอ อ�ำเภอเมอื งปาน จงั หวดั ล�ำปาง เม่ือปี ๒๕๕๘ มนี กั เรียน ๗๕ คน ครู ๙ คน เปิดสอน
สมหญงิ สายธนู 63 ตงั้ แต่ชั้นอนบุ าล ๑ - มัธยม ๓ ตัวเลขจ�ำนวนนักเรียน ท�ำให้ไม่ต้องสงสัย ว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีครู ไม่ครบช้ัน ไม่ครบทุกสาระวิชา แต่กลับไม่เป็น อุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ใช้ข้อจ�ำกัดให้ เกิดประโยชน์ คือ จัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนลงมือ ปฏบิ ตั ิ เดก็ ไดใ้ ชม้ อื ทงั้ สองขา้ งท�ำกจิ กรรมกบั เพอื่ นๆ และเรยี นรไู้ ปดว้ ยกนั ตลอดทาง โรงเรยี นบา้ นขอเรยี ก การสอนแบบน้ีว่า การจัดการเรียนการสอนแบบ องค์รวม และเป็นการเรียนแบบคละช้ัน ตารางสอน ตอนเช้าเรียนวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคม อังกฤษและวิทยาศาสตร์ ตอนบ่ายเรียนวิชา เรียนรแู้ บบบรู ณาการ “ ...ถา้ ไม่นบั ชนั้ อนบุ าลจะมีนกั เรียน ๖๙ คน เร่ิมแรกเราจะสร้างหน่วยการเรียนรู้ก่อน โดยพา นกั เรียนออกไปส�ำรวจชุมชนที่อยู่รอบๆ โรงเรียน ก่อนไปแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็ น ๙ กลุ่ม คือ ป.๑-ป.๓ มี ๓ กล่มุ ป.๔-ป.๖ มี ๖ กล่มุ กล่มุ ละ ประมาณ ๔-๕ คน พีม่ ธั ยมจะอยู่ปิ ดหวั ทา้ ยคอย ดูแลนอ้ งๆ กล่มุ ละ ๒ คน ครูเป็นคนแบ่งกล่มุ ใหเ้ อง คละหญิง-ชาย คละชนั้ เรียน มีทง้ั คนเก่งและไม่เก่ง
64 คู่มอื ครมู อื อาชีพในศตวรรษท่ี ๒๑ อยู่ในกล่มุ เดียวกนั เพราะอยากให้เด็กที่ไม่เก่งได้ เรียนรู้จาก คนเก่ง ส่วนคนเก่งจะไดช้ ่วยคนไม่เก่ง ดว้ ย ลดภาระครู เพราะทีโ่ รงเรียนมีครูไม่ครบชนั้ ครูจะเดินไปด้วยกับเด็กค่ะ นัดแนะกับ พี่มธั ยมก่อนว่า เรามีเส้นทางการเดินออกจาก โรงเรียนไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๐๐ เมตร ผ่านแม่น้�ำต๋ยุ แม่น้�ำที่ชาวบ้านใช้ท�ำการเกษตร ผ่านท่งุ นา ผ่านหมู่บ้านของชมุ ชน เสน้ ทางเดิน จะผา่ นวดั ไปเรื่อยๆ มี ๓ วดั ดว้ ยกนั คือ วดั ขอเหนือ วดั ขอใต้ วดั พระเจ้าตอกสาน แลว้ เดินออ้ มกลบั มา ทีโ่ รงเรียน ครู ๕ คนช่วยกนั คิดเสน้ ทางการเดินก่อน เราจะพาเด็กเดินจากตรงไหนไปตรงไหน เลือก สถานทีท่ ีน่ กั เรียนผ่านกนั ทกุ วนั จดุ ประสงค์อยาก ให้เด็กตง้ั ค�ำถามเป็ น ได้เรียนในสิ่งที่เด็กอยากรู้ เพือ่ ทีค่ รูจะไดน้ �ำมาสร้างเป็นหน่วยการเรียนต่อไป ตอนนั้นบอกโจทย์เด็กไปว่า พบเห็นอะไรแล้ว เกิดสนใจใหเ้ ขียนมาค�ำถามลงในสมดุ เขียนสิ่งที่ อยากรู้ หรือคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ค�ำถามก็ไดจ้ ะวาด รูปหรืออะไรก็ได้ ขนั้ ตอนนีเ้ ป็นงานเดีย่ ว แต่เด็กๆ เดินไปด้วยกัน มีพี่มัธยมเป็ นคนคอยชวนคุย
สมหญงิ สายธนู 65 เดก็ เขาจะพดู เรื่องราวทีเ่ คยเห็นมา สถานทีน่ ีเ้ ขาเคย ท�ำอะไรบา้ ง บางคนบอกว่าเคยมาเล่นน้�ำ ใหเ้ วลา ทง้ั หมด ๔ ชวั่ โมง ก�ำชบั ใหพ้ ีม่ ธั ยมดูแลนอ้ ง นอ้ ง ควรกลบั มาโรงเรียนอย่างปลอดภยั ส่วนนอ้ งควร ท�ำตวั อย่างไรใหพ้ ีเ่ ขาสบายดว้ ย พากันเดินไปเรื่อยๆ บางกลุ่มก็เดินช้า เราไม่ได้ตามกล่มุ ใดกล่มุ เฉพาะ ระหว่างเดินจะ สงั เกตเด็กไปดว้ ย ว่าเขาท�ำอะไรกนั บา้ ง จะขอเล่า หนึ่งกล่มุ เป็นกล่มุ เด็กป.๑-ป.๓ ตอนนนั้ ยงั ไม่มีชือ่ กล่มุ มีอาร์ม เท่ห์ ไกด์ มูจู ทง้ั ๔ คนมีนิสยั ต่างกนั อาร์มเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนค่อนข้างเก่งทีเดียว มูจูเป็ นเด็กหญิงตัวอ้วนๆ รุ่นเดียวกันกับอาร์ม
66 คู่มือครูมืออาชีพในศตวรรษท่ี ๒๑ เดินอยา่ งเดียวไมค่ อ่ ยพดู เทห่ ์เดินไปเลน่ ไป ระหวา่ ง ทางชวนอาร์มเล่นซนตลอด ส่วนไกด์เป็นเด็กชาย เงียบๆ มีพีเ่ ขตกบั พีไ่ อร์พีม่ ธั ยมคอยดูแล พีไ่ อร์เดินน�ำหน้า พีเ่ ขตเดินข้างหลงั เดิน ออกจากโรงเรียนไปถึงสะพานไม่ไกลจากโรงเรียน มากนกั ประมาณ ๑๐๐ เมตร พีเ่ ขตชีใ้ หน้ อ้ งดแู ม่น้�ำ มีสีแดง มีฟอง ไม่ไดต้ งั้ ค�ำถามกบั นอ้ ง คลา้ ยๆ กบั สร้างสถานการณ์ พอนอ้ งมองเหน็ ก็จะเขียนลงสมดุ ไกด์เขียนว่าท�ำไมแม่น�้ำถึงมีฟองเป็นสีเหลือง อาร์ม ถามวา่ ท�ำไมสองฝ่ังสะพานจึงมีสีแม่น�้ำไมเ่ หมือนกนั อาร์มบอกพีไ่ กด์ให้เขียนให้หน่อยเพราะตนเองอยู่ ป.๑ เขียนหนงั สือยงั ไม่ได้ เดินไปก็ถามไปเรื่อยๆ ท�ำไมเถาวลั ย์ถึงพนั ตน้ ไมว้ นไปทางขวา พีม่ ธั ยมจะ ไม่ตอบค�ำถามนอ้ ง เพราะครูมอบหมายใหพ้ ยายาม กระต้นุ ให้น้องมองดูสิ่งรอบๆ อยากฝึ กกระบวน การคิด ให้คิดได้เอง โดยที่ครูหรือพีไ่ ม่ใช่คนตอบ ค�ำถาม
สมหญิง สายธนู 67 ยิ่งเดินย่ิงมีค�ำถามมากขึ้น ทีว่ ดั ขอเหนือเดก็ ถาม ท�ำไมบนเศียรพระพุทธรูปถึงเป็ นก้นหอย ท�ำไมหูพระพทุ ธรูปถึงยาว ท�ำไมตอ้ งมีวดั มีวดั ไว้ ท�ำไม มูโจไม่ค่อยตงั้ ค�ำถามกบั วดั แต่พอไปถึง ท่งุ นา มูโจถามว่า ท�ำไมควายมาอยู่ที่นา จาก ท่งุ นาก็เดินไปเจอหมู่บา้ น ช่วงทีไ่ ปถึงไม่ค่อยมีคน อยู่มากนกั พีพ่ านอ้ งเดินไปเรื่อยๆ ไปพบบา้ นหนึ่ง เลี้ยงกบ เด็กถามอีก ตวั ที่อยู่บ่อคืออีฮวกที่อยู่ ท่งุ นาหรือเปล่า เหมือนกบั ทีแ่ ม่เอามาให้กินหรือ เปล่า เขาก็จดค�ำถามเหล่านน้ั มา พอถึงวดั ขอใตซ้ ึ่งก�ำลงั จะฝังลูกนิมิต ก็ถาม กนั อีก ท�ำไมถึงมีการฝังลูกนิมิต เราฝังลูกนิมิตไป ท�ำไม ท�ำไมต้องมีลูกนิมิต เดินไปอีกนิดก็เจอ วดั ตอกสาน ถึงวดั ทีไรเดก็ จะมีค�ำถามเยอะวา่ ท�ำไม วดั นีจ้ ึงไม่เหมือนกบั สองวดั ทีเ่ ราเดินผ่านมา เพราะ วดั นีไ้ ม่มีฝาผนงั มีรูปปั้น ๔ หู ๕ ตา มีพระธาตุ คือพระจะไม่ได้นงั่ เป็ นปางนอน เด็กแปลกใจ พระองค์ใหญ่มาก ลุงนทั ชาวบ้านแถวนน้ั เป็ น คนดูแลวดั ก�ำลงั ท�ำงานอยู่ ช่วยอธิบายว่า ๔ หู ๕ ตานี้เหมือนว่าแมงกินถ่านแล้วขี้ออกมาเป็ นทอง
68 ค่มู ือครูมอื อาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ เด็กสงสยั เขียนค�ำถามมาว่า ท�ำไมถึงขีอ้ อกมาเป็น ทอง ท�ำไมพระพทุ ธรูปถึงมีหลายองค์มาก ท�ำไม เขาถึงใชไ้ มไ้ ผ่สานพระพทุ ธรูปไดใ้ หญ่มาก หลงั จากนน้ั เราก็เดินออ้ มกลบั มาทีโ่ รงเรียน และจะผ่านบา้ นของยายไหล ยายไหลท�ำงานเกีย่ ว กบั ฝ้ าย อนั นีเ้ ป็นความตงั้ ใจของครู ครูนดั แนะ กบั ยายไหลใหย้ ายช่วยแสดงใหเ้ ด็กดูหน่อย ว่าใช้ ฝ้ ายท�ำอะไร อย่างไร เด็กถามว่ายายเอาฝ้ ายมา จากไหน ท�ำไมเป็นเสน้ ดา้ ย เครื่องป่ันดา้ ยมนั ท�ำได้ อย่างไร มนั ท�ำใหด้ า้ ยจากเป็นกอ้ นๆ แลว้ มาเป็น เสน้ เล็กๆ ไดอ้ ย่างไร จากนน้ั เราก็กลบั มาทีโ่ รงเรียน ครบ 3 ชวั่ โมงพอดี ตอนบ่ายครูใหน้ กั เรียนเขียน ค�ำถาม พีจ่ ะคอยนงั่ ดูนอ้ งเขียนค�ำถาม เนือ่ งจาก แต่ละกล่มุ มกั มีคนเก่งเป็นคนเขียน กล่มุ นีไ้ กด์เป็น คนเขียนมีอาร์มช่วยเป็นบางครง้ั รวบรวมตง้ั แต่ตน้ เขียนลงบนกระดาษปรู๊ฟ เป็นอนั จบกิจกรรมส�ำรวจ ชมุ ชน หลงั จากนน้ั ช่วงปิ ดเทอมครูจะน�ำค�ำถาม เด็กมานงั่ คยุ กนั ค�ำถามจะมาจากทกุ ชนั้ ครูเลย มาแบ่งค�ำถาม เด็กออกเป็นหวั ขอ้ หลกั เช่น ค�ำถาม
สมหญงิ สายธนู 69 เกีย่ วกบั ดา้ นกายภาพ ดา้ นชีวภาพ และดา้ นวิถี ชมุ ชน เพราะส่วนมากที่สมั ผสั จากการเรียนการ สอนมา ไม่ค่อยพน้ ๓ หวั ขอ้ นีเ้ ท่าไรนกั วิถีชมุ ชน ไม่คอ่ ยมีในบทเรียนเทา่ ไร บางทีเรามีกิจกรรมทีต่ อ้ ง พาเด็กออกไปข้างนอก จึงน่าจะเอามาเป็นหน่วย การเรียนรู้ ครูก็ตกลงกนั ว่า น่าจะเรียนทง้ั ๓ ช่วง ชน้ั ตง้ั แต่ ป.๑-ป.๓ ป.๔-ป.๖ และมธั ยม เพียงแต่ เราแยกความยากง่าย ลงไปในรายละเอียดอีก มธั ยมก็ตอ้ งเรียนยากกว่าประถม ตวั อย่างหวั ข้อ เช่น ด้านกายภาพเด็ก จะถามว่าท�ำไมแม่น้�ำถึงมีสี ชีวภาพก็จะถามว่า ในแม่น้�ำนี้มีสตั ว์อะไรบ้าง วิถีชุมชนจะถามว่า เขาใชแ้ ม่น้�ำนี้ ท� ำ อ ะ ไ ร บ้ า ง นอกจากแบ่ง ๓หวั ขอ้ นีแ้ ลว้ เรายงั ใหม้ ีความเชือ่ มโยงระหวา่ งหวั ขอ้ ทางกายภาพ ชีวภาพ และวิถีชมุ ชน ดูว่ามีหวั ขอ้ อนั ไหนทีพ่ อจะ เชือ่ มโยงกนั ได้ เช่น ไมไ้ ผ่เราก็โยงไปหาชมุ ชนเรื่อง การจกั สาน จากนนั้ ครูก็หาวา่ จะเอาหนว่ ยการเรียน
70 ค่มู อื ครมู ืออาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ รู้อะไรทีเ่ ป็นเรื่องหลกั ๆ ใหญ่ๆ ทีน่ กั เรียนสงสยั เช่น เรื่องท�ำนา เรื่องน้�ำ เรื่องตน้ ไม้ เรื่องแมลง อย่างเรื่อง ฝ้ ายก็มี เพราะเขาผ่านเหตกุ ารณ์ตรงนนั้ มา เขามี ค�ำถามเยอะก็มีหน่วยฝ้ ายขึ้นมา พอไดห้ นว่ ยการเรียนรู้ ก็ถึงขน้ั ตอนการสอน อย่างเช่น ทีเ่ กีย่ วกบั น้�ำ เราไดช้ ือ่ หน่วยการเรียนรู้ “นกั สืบสายน�้ำ” ครูจะมาก�ำหนดตวั ชีว้ ดั โดยทาบ ว่า ป.๑-ป.๓ เราจะใหเ้ ด็กเรียนรู้ถึงแค่ไหน เราใหร้ ู้ ว่าในน้�ำมีสตั ว์อะไรอาศยั อยู่บา้ ง น�้ำดี/น้�ำไม่ดีเป็น อย่างไร ส่วน ป.๑-ป.๔ ก็จะเพิ่มข้ึนมาอีก พอเรา รู้ว่าจะให้เด็กเรียนรู้แค่ไหน ก็เอาตวั ชี้วดั แต่ละ มาตรฐานไปจบั ว่าเกี่ยวข้องกบั ตวั ชี้วดั ไหน เช่น วิทยาศาสตร์ ตวั ชีว้ ดั ที่ ว.๑๑ บอกว่า นกั เรียน สามารถจ�ำแนกสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตได้ ครูก็ ออกแบบกิจกรรมจะท�ำอย่างไรใหเ้ ด็กรู้ถึงส่ิงมีชีวิต และส่ิงไม่มีชีวิต ถึงตอนนี้ครูได้แต่ละหน่วยมา ก็เป็นเวลาเปิ ดเทอมพอดี...” ถึงเวลาเปิ ดเทอม นกั เรียนเลือ่ นชนั้ เรียนสูง ขึ้นไปหนึ่งชนั้ “นกั สืบสายน้�ำ” เป็ นหน่วยแรกของ
สมหญงิ สายธนู 71 เทอม ครูฝนเล่าเรื่องต่อและเป็นกล่มุ เด็กสายชน้ั แรก ป.๑-ป.๓ ทีค่ รูฝนรบั ผิดชอบ “...แบ่งนกั เรียนเป็น ๑๓ กล่มุ รวมพีม่ ธั ยม กล่มุ ทีจ่ ะเล่าเป็นกล่มุ ของ ออม ป.๑ นีโน่ ป.๒ อิม ป.๓ และกีตา้ ร์ ป.๓ ครูเป็นคนจดั กล่มุ ใหแ้ ละถูก แบ่งคลา้ ยๆ กนั คราวนีก้ ่อนออกไปแม่น้�ำ ครูให้ โจทย์ไปส�ำรวจและเก็บสตั ว์น้�ำหรือส่ิงมีชีวิตหรือไมม่ ี ชีวิตที่เราเจอกลับมา เดี๋ยวไปถึงแม่น้�ำครูจะมี อปุ กรณ์ให้ มี เทอร์โมมิเตอร์ มะนาว ลูกปิ งปอง กระชอน และถังน้�ำ ที่เตรียมแบบนี้ให้เพราะ ครูวิทยาศาสตร์บอกวา่ นา่ จะมีการวดั อตั ราการไหล ของน�้ำ ระหว่างที่เราพานกั เรียนเดินไปแม่น�้ำ ดช.นีโน่ชอบเล่นตลอดเวลา ไม่อยู่น่ิง เดินไม่ค่อย ระวงั กีตาร์จะเป็นคนคอยบอกนิโน่ใหเ้ ดินชิดขวา หน่อย เพราะเสน้ ทางเดินไปทางขวา พีม่ ธั ยมจะอยู่ ตน้ น้�ำซ่ึงเป็นตน้ ทางทีจ่ ะศึกษา ครูใหเ้ ชือกฟางไป และมีไมบ้ รรทดั บอกใหก้ ล่มุ ละ ๕๐ เมตร พีม่ ธั ยม เขาก็คิดได้ พบั เชือกฟางทีละ ๒๕ เซนติเมตร ๔ ครั้ง ได้ความยาว ๑ เมตร ทบอีก ๑๐ คร้ัง เป็น ๑๐เมตร เขาก็ยืนต่อๆ กนั มาได้ ๕๐ เมตร
72 ค่มู อื ครมู ืออาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ จบ ๑ กล่มุ แต่ของนอ้ งๆ ท�ำเองไม่ได้ คือ เหมือน พีช่ ่วยหน่อย พีม่ ธั ยมก็มาท�ำให้ เป็นจดุ เริ่มตน้ และ จดุ ส้ินสดุ ช่วงแรกๆ นิโน่ก็เล่นน้�ำ กีตาร์คอยสะกิด เตือนพดู ดว้ ยภาษากลาง ใหม้ าช่วยกนั ดมู ีสตั ว์อะไร บา้ ง กล่มุ อืน่ เขาไดก้ นั แลว้ เดีย๋ วกล่มุ เราไม่มีของ กลบั ไปโรงเรียน นีโน่เหลียวดูกล่มุ อืน่ พอเห็นว่า กล่มุ อืน่ เขาไดก้ นั แลว้ ก็เร่ิมเขา้ มาช่วย ส่วนอิมก็ ช่วยเพื่อนดี ในขณะที่เก็บตัวอย่างน�้ ำและ วดั อณุ หภูมิ เด็กหนา้ ตามีความสขุ มาก บอกว่าฉนั เจอสตั ว์นนั่ นี่ นู่นกนั ไป มีบางสตั ว์น้�ำทีไ่ ม่รู้จกั หนั มาถามครู แมงอะไรครบั ครู ครูตอบไปว่าไม่รู้จกั เหมือนกนั ซ่ึงก็ไม่รู้จกั จริงๆ บอกใหล้ องเก็บไปก็ได้ นะ แลว้ เราไปหาขอ้ มูลเอา กลมุ่ นีจ้ บั ปลา จิงโจน้ �้ำ หอย สาหร่ายไดแ้ ลว้ ครูวิทยาศาสตร์ก็บอกว่า อย่าลืมวดั อตั ราการไหล
สมหญิง สายธนู 73 ของน้�ำมาดว้ ย เด็กๆ ถามมนั คืออะไร ไม่รู้จกั ก็เลย อธิบายว่าน้�ำมนั ไหลเร็วเท่าไร ลองดูว่าของเรากบั ของเพือ่ นกล่มุ อืน่ น้�ำไหลเร็วเท่ากนั ไหม นีโน่พอได้ ฟังก็ไปดขู องคนอืน่ แลว้ มาบอกวา่ มนั ไหลไม่เทา่ กนั นน่ั แหละครูเขาอยากรู้ว่ามนั ไหลต่างกนั ไดอ้ ย่างไร บางกล่มุ เอาลูกปิ งปองลอยก่อน แต่เหมือนมนั ไหล ไม่เป็นไปตามกระแสน้�ำ ลมพดั ออกไปก็ท�ำไม่ได้ ตอนนนั้ นีโน่ยงั ไม่ท�ำ ไดแ้ ต่ว่ิงไปดูกล่มุ อืน่ ก่อนว่า เขาท�ำอย่างไร แลว้ จึงมาลองเอาลูกมะนาวโยนลง ไป มนั ก็ผลบุ ๆ โผล่ๆ ไม่จมเพราะแรงดนั น้�ำช่วย ก็ บอกว่าสงสยั ไม่ได้แล้ว ครบั ครู สว่ นครูก็เหมือน จะใจอ่อนเพราะไม่ได้ ทดลองมาก่อน ไม่รู้ว่า มนั ท�ำไม่ได้ ไดแ้ ต่บอก ว่าไม่ไดก้ ็ไม่เป็นไร ความทีน่ ีโนเ่ ป็นเด็กซน ก็เอาถงุ พลาสติกทีค่ รูใส่อปุ กรณ์ไวใ้ นถงั ไปลอยน�้ำเล่น เอา มะนาวใส่ไวใ้ นถงุ แลว้ มนั ลอยน�้ำไดด้ ี เขาก็บอก ว่า นีไ่ งครบั ไดแ้ ลว้ แต่ยงั ไม่ไดจ้ บั เวลา จึงเริ่มท�ำ ใหม่โดยจบั เวลาดว้ ย เลยเป็นความส�ำเร็จของนีโ่ น่ กลมุ่ อืน่ ก็ท�ำตามแบบนีไ้ ป พอเก็บของเสร็จ รองเทา้
74 คมู่ อื ครูมืออาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ ของนีโนเ่ ปียก ทง้ั กล่มุ ก็เปียกแตน่ ีโนเ่ ปียกมากทีส่ ดุ ไม่รู้จะท�ำอย่างไร แลว้ ก็เป็นคนทีเ่ ป็นแผลเป็นต่มุ ข้ึนงา่ ย นีโนบ่ อกวา่ เดีย๋ วเขาจะถอดรองเทา้ เดินกลบั มาโรงเรียน กลบั มาทีโ่ รงเรียน ครูแจกหนงั สือกล่มุ ละ ๑ เล่ม ในหนงั สือจะมีดชั นีบอกว่าน้�ำจะสะอาดแค่ ไหนโดยเราดูภาพสตั ว์ทีจ่ บั มาได้ ถา้ น�้ำสภาพดีมี รูปหนา้ ยิ้มแฉ่ง ถา้ น้�ำเสียจะเป็นหนา้ ไม่ย้ิม กล่มุ นี้ นีโนเ่ ขียนหนงั สือไดด้ ีทีส่ ดุ ก็เป็นคนอาสาเขียน ช่วย กนั ตง้ั ใจกนั มาก อยากรู้ว่าสตั ว์ทีต่ วั เองเก็บมามนั ชือ่ อะไรกนั แน่ เชน่ แมงกระดิ่งจะมีทงั้ ภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษอยู่ดว้ ย นีโน่จะจดและวาดรูปเล็กๆ ลงในสมุดก่อน กีตาร์ ดูจิ งโจ้น้�ำ เขาบอกว่า แมงกระดิ่งท�ำใหน้ ้�ำดีหนา้ ก็ยิ้ม ตอ้ งวาดรูปหนา้ ยิ้ม ดว้ ยนะ ท�ำกนั ไปเรื่อยๆ พอไดใ้ นสมดุ เล็กก็ไปท�ำใน กระดาษแผ่นใหญ่ อิมกับออมก็เป็ นคนอาสา วาดรูป นีโน่เป็นคนเขียน ตอนน�ำเสนอหนา้ หอ้ ง ก็เกี่ยงกนั ออมกบั อิมเร่ิมร้องไห้ กีตาร์ก็บอกเขา ไม่น�ำเสนอ ครูก็บอกว่าต้องมีคนไปน�ำเสนอ หนา้ หอ้ ง นีโนก่ ็เลยบอกวา่ ไมเ่ ป็นไรเดีย๋ วน�ำเสนอเอง
สมหญิง สายธนู 75 ตอนที่เด็กๆ เกี่ยงกัน เราไม่ได้ดุอะไร ไดแ้ ต่มองดยู ิ้มๆ คือ คิดว่าเขาตอ้ งไดเ้ รียนรู้ ครูหวงั ว่าคร้ังต่อๆ ไปน่าจะเป็ นเด็กคนอื่นจะได้พฒั นา ครงั้ นีเ้ ป็นครงั้ แรกก็ดวู า่ จะเป็นอยา่ งไร ตอนน�ำเสนอ กีตาร์เห็นว่านีโน่พดู ได้ เลยขอนีโน่พดู บา้ ง มาขอ ตอนทีอ่ ิมและออมมาเป็นคนถือกระดาษให้ ตรงนี้ มีสตั ว์เป็นหอย เป็นจิงโจ้น้�ำ หลงั จากนน้ั วนั รุ่งข้ึน ครูก็เอากระดาษปรู๊ฟทีเ่ ด็กๆ วาดมาเรียงต่อกนั เป็น แถวเหมือนสายน้�ำหน่ึงสายน�้ำ แต่ละรูปจะพบสตั ว์ คลา้ ยๆ กนั บางกล่มุ เจอปลิง พีม่ ธั ยมจบั ปลาไดก้ ็ วาดรูปปลาเพ่ิม แตน่ อ้ งๆ เป็นสตั ว์เล็กๆ ทีห่ าไดง้ า่ ย แลว้ ก็ใหเ้ ด็กๆ ช่วยกนั ตอบว่า แม่น�้ำของบา้ นเรายงั ดีอยู่ไหมถ้าดูจากหนา้ ย้ิม นกั เรียนก็บอกว่าดีอยู่ ครบั มีหนา้ ยิ้มอยหู่ ลายอนั แตม่ ีอีกอยา่ งคือวดั คา่ น�้ำ น้�ำทีน่ กั เรียนตกั จากแม่น้�ำมา พอดีช่วงนน้ั โรงเรียน ได้รับที่แจกเครื่องมือวดั น�้ำประปาที่เขามาท�ำให้ที่ โรงเรียนใชด้ ืม่ กนั ครูอยากลองเลยใหเ้ ดก็ แตล่ ะกลมุ่ 1 หมายถงึ คา่ การน�ำไฟฟา้ ของเกลอื (ในไฮโดรโพนิกส์จะหมายถึงเกลอื ของธาตุอาหาร) ทง้ั หมดท่ีละลายอยใู่ นน�ำ้ โดยปกตแิ ลว้ นบรสิ ทุ ธจ์ิ ะมคี า่ ความน�ำไฟฟา้ เปน็ ศนู ย์ แตเ่ มอื่ น�ำธาตอุ าหารละลายในนำ�้ เกลอื ของธาตอุ าหารเหลา่ นี้จะแตกตัวเปน็ ประจุบวก และประจุลบ ซงึ่ จะเป็นตวั น�ำไฟฟ้า ท�ำใหม้ ีคา่ ความน�ำไฟฟา้ (Electric Conductivi- ty) ซ่งึ คา่ น�ำไฟฟ้าท่ีเกิดขน้ึ จะเปน็ สดั สว่ นโดยตรงกบั ปริมาณเกลือของธาตอุ าหารทีล่ ะลายอยู่ในน�ำ้ ดงั นนั้ เราจงึ ใช้ การวดั คา่ การน�ำไฟฟา้ ของสารละลาย(คา่ EC) เพอ่ื เปน็ ตวั บอกปรมิ าณเกลอื ธาตอุ าหารทล่ี ะลายในนำ�้ แตก่ ารวดั คา่ EC นน้ั เป็นเพยี งการวัดค่าโดยรวมไมส่ ามารถแยกบอกความเขม้ ข้นของเกลอื แตล่ ะตัวได้
76 คมู่ ือครูมอื อาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ เก็บน้�ำทีต่ วั เองเอามา มีทง้ั น้�ำประปาทีน่ กั เรียนใช้ ดืม่ กนั น�้ำทีค่ รูซือ้ ดืม่ วดั คา่ EC 1 ถา้ มีคา่ นีอ้ ย่ตู ง้ั แต่ ๕๐ ขึ้นไป น�้ำสามารถน�ำมาใชบ้ ริโภคได้ ถา้ ได้ ต�่ำกว่าก็ให้ใช้อปุ โภค อนั นีค้ รูอธิบายให้นกั เรียน ฟังแต่ตอนท�ำให้นกั เรียนลองจุ่มดูว่าได้ค่าเท่าไร ตอนนนั้ พีม่ ธั ยมอยากรู้ว่าค่าน้�ำสิงห์เท่าไร ก็ว่ิงไป ห้อง ผอ.เอาน�้ำสิงห์มาวดั น้�ำสิงห์ก็ไม่ต่างจาก น้�ำลงั ๓๐ บาท เด็กก็เลยบอกว่า ถา้ อย่างนนั้ ผอ. ก็ซื้อน�้ำแพงมากิน แต่ว่าจริงๆ เรากินน้�ำทีบ่ า้ นเรา ก็ได้ เป็นวนั ทา้ ยๆ ของกิจกรรม อีกวนั ต่อมา ครูใหน้ กั เรียนเลือกสิ่งมีชีวิต หนึ่งอย่างทีอ่ ยากรู้ แต่หา้ มซ้�ำกนั กบั กล่มุ อืน่ กีตาร์ เลือกจิ งโจ้น้�ำ นีโน่เลือกปลา แต่ละคนชอบ ไม่เหมือนกนั นีโน่ก็ไปฟังกล่มุ อืน่ เขาบอกกล่มุ พี่คิงเลือกปลาไปแล้ว กลุ่มพี่อุ้มเลือกปูไปแล้ว เขาก็เลยบอกเอาจิงโจ้น�้ำของพีก่ ีตาร์ และเป็นทีม่ า ของชื่อกล่มุ จิงโจ้น�้ำ ครูใหเ้ ด็กตง้ั ค�ำถามเกี่ยวกบั จิงโจ้ทีส่ งสยั เขียนลงในกระดาษ คนละ ๒ ค�ำถาม เช่น
สมหญิง สายธนู 77 นีโน่: ท�ำไมจิงโจน้ ำ�้ มีขาและกระโดดบนนำ้� ได้ ท�ำไม จิงโจ้น�้ำไม่ตกน�้ำ กีตาร์: ท�ำไมจิงโจน้ ้�ำถึงอยบู่ นน้�ำได้ ท�ำไม จิงโจ้วา้ ยนา้ ได้ ครูเห็นว่าเขียนผิด แต่ตงั้ ใจยงั ไม่แกไ้ ขตอนนี้ ออม: ท�ำไมจิงโจ้น้�ำกระโดดสูง ท�ำไม จิงโจ้น�้ำถึงตอ้ งใชข้ าเวลากระโดด บนน้�ำ อิม: ท�ำไมจิงโจ้น�้ำจึงไม่ตกน้�ำ ท�ำไม จิงโจ้น�้ำถึงบินได้ พอได้ 8 ค�ำถามแลว้ ครูถามว่าอยากรู้เรื่อง อะไรมากทีส่ ดุ ก็มีการโตเ้ ถียงกนั อย่างนีโน่บอกว่า ท�ำไมจิงโจ้น�้ำถึงกระโดดได้ ก็เหมือนกบั เอาของ ตวั เอง ครูบอกจะเอาของใครก็เลือกมา เด็กๆ เลือก เอาค�ำถามของออม ท�ำไมจิงโจ้น้�ำอยู่บนน้�ำได้ ครูให้เด็กลองคาดเดาค�ำตอบเป็ นเพราะอะไร โดยในกล่มุ ตกลงกนั ว่า ใหเ้ ดากนั มาคนละ ๒ ค�ำ ตอบ นีโน่: เพราะจิงโจ้น้�ำกระโดดได้ เพราะ จิงโจ้น้�ำตวั เบา
78 คมู่ อื ครมู ืออาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ กีตาร์: เพราะจิงโจ้น้�ำมีขา เพราะจิงโจ้น�้ำ มีปี ก ครูมานง่ั คยุ กนั ในช่วงทีเ่ ด็กพกั เราจะท�ำ อย่างไรกนั ดี เด็กยงั ไม่สามารถเข้าไปถึงเนื้อหา ท�ำไมจิงโจ้น้�ำถึงลอยบนน�้ำได้ จึงเอาโน๊ตบ๊คุ ของครู และของโรงเรี ยนมาให้เด็กแต่ละกลุ่มหาค� ำตอบ คน้ หาใน Google นีโน่เขาบอกว่าบา้ นเขามีคอมฯ เขาท�ำได้ ใชค้ �ำ “จิงโจล้ อยน้�ำได”้ คน้ หา คล๊ิกเขา้ ไป ดูหน้าเว๊ป เขาอ่านแล้วก็บอกว่าเป็ นเพราะแรง ตึงผิว และหันมาถามครู แรงตึงผิวคืออะไร เขาไม่รู้จกั เรื่องราวมนั ยาว นีโน่จึงอ่านใหเ้ พือ่ นฟัง บอกว่าทีจ่ ิงโจ้น้�ำลอยน้�ำได้เพราะว่าแรงตึงผิวของ น้�ำและขาของมนั มีขน ออมวาดรูปจิงโจ้น้�ำแลว้ ตรง ขามีขน หนั ไปบอกนีโน่ใหก้ ลบั ไปพดู สนั้ ๆ อีกทีว่า จิงโจ้ลอยน้�ำไดเ้ พราะทีข่ ามนั มีขน จิงโจน้ �้ำ ขนขา
สมหญงิ สายธนู 79 ครูบอกว่า เรียนแบบนีม้ นั่ ใจช่วยนกั เรียน อ่านออกเขียนได้ เพราะในหอ้ งเรียนเด็กอาจไม่รบั การสนใจ แต่ถา้ แบบนีค้ รูอยู่ร่วมจริงๆ เห็นว่าเขา แลกเปลีย่ นกนั เวลาทีน่ ีโน่สะกดค�ำ เช่น ค�ำว่าแมง เขาจะเขียนแลว้ อ่านออกเสียงใหเ้ พือ่ นฟัง มอ-แอ- แม-แม-งอ-แมง เหมือนการสอนโดยที่ครูไม่ต้อง สอน อิมกบั ออมค่อนข้างอ่อนภาษาไทย เขียน ตวั สะกดไม่ได้ เพราะตวั สะกดเขาก็ยงั ไม่รู้ พอเห็น แบบนีก้ ็มน่ั ใจ ตอนออมอยู่ ป.๑ ใหม่ๆ ตอนเขาเห็น จ.จาน เขาจะนึกถึงว่า จอ.จานเขียนอย่างไร เด็กสะสมค�ำไปเรื่อยๆ ครูก็คอยเสริมบางอย่าง บางค�ำก็พดู แบบนีโน่บา้ ง เช่น กระโดด ครูจะพดู ว่า ดอ-โอ-ดอ-โดด แต่ออมจะเขียนตวั ด.เด็กก่อน แมว้ ่าเวลาเขียนจริงตอ้ งเขียนสระโอก่อน พอเราพดู ว่า ดอ.เด็ก เขาก็เลยเขียน ด.เด็กก่อน ครูเลยให้ ดูนามสกุลของออม ออมนามสกุล คณาโรจน์ มีสระโอ ก็ถามออมว่าทีน่ ามสกลุ ออมกบั ร. ตวั ไหน มาก่อน ออมบอกสระโอมาก่อน เขาบอกผมเขียน ผิดครบั เขาก็เลยยา้ ยโอมาอยู่ขา้ งหนา้ ...”
80 คูม่ อื ครูมอื อาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ ครูฝนมั่นใจ การเรียนรู้แบบนักเรียน ลงมอื ทำ� ประโยชนเ์ กิดขึ้นกบั ผู้เรยี นแนน่ อนทง้ั วชิ าการและพฤตกิ รรม และประเมนิ ผลการเรยี น รูโ้ ดย “... เราออกแบบกิจกรรมมาตามตวั ชี้วดั ประเมินโดยดูจากผลงานเด็ก เช่น ทีเ่ ขาเขียนส่ิงมี ชีวิตและสิ่ง ไม่มีชีวิต ส�ำหรบั วิชาวิทยาศาสตร์ ก็จะเห็นว่ามีทงั้ กอ้ นหิน ถามต่อว่าปเู ป็นส่ิงมีชีวิต หรือไม่ ออมบอกว่าเป็นครูไม่หยดุ ถาม เพราะอะไร ถึงคิดว่าปเู ป็นสิ่งมีชีวิต ออมบอกเพราะปเู ดินได้ จริงๆ อาจมีอีกหลายข้อทีบ่ อกว่าอะไรคือส่ิงมีชีวิต แต่เมือ่ เด็กตอบไดแ้ ค่นี้ เรายอมรบั ได้ ผ่านไป ๑ ปี ตอนช่วงออมอยู่ ป.๑ ยงั อ่าน ค�ำไม่ได้ ตอนท�ำกิจกรรม นีโน่แสดงออกชดั เลย ว่าอ่านได้ เหมือนว่านีโน่จะคอยสอน จนเปิ ดเทอม มา ครูลองทดสอบออม สมมตุ ิพดู ว่า ตอ-อา ออม ก็ตอบ “ตา” ถา้ ครูพดู ว่าตอ-อา-ตา-ตา-มอ เขาก็ อ่านได้ว่า “ตาม” อนั นี้เหมือนชวนกนั คุยเล่นๆ ตอนนนั้ ก็มี ครูสอนภาษาไทยตอน ป.๑ อยู่ดว้ ย เขาก็แปลกใจ ตอนเรียนในหอ้ ง ออมยงั ไม่ค่อยได้
สมหญิง สายธนู 81 ก็เลยถามออมว่าออมท�ำไมถึงอ่านไดแ้ ลว้ ไปเรียน พิเศษเหรอ ออมตอบไม่ไดเ้ รียนครบั ปิ ดเทอมนาน ก็เลยไปฝึ กอ่านจะไดอ้ ่านเก่งเหมือนพีน่ ีโน่ ในการ เรียนปกติ ถา้ เราคิดวา่ เราอยากไดอ้ ะไรมาก บางที เราอาจไปบงั คบั เด็กมากไปหรือเปล่า อีกกลมุ่ หน่ึงตอนข้ึนมา ป.๕ ตอน ป.๔ เรียน คนเดียว งานของฉนั ตอ้ งเสร็จ พอมาอยู่ ป.๕ ครูให้ ท�ำงานเป็นกล่มุ งานกล่มุ ตอ้ งเสร็จ เขาก็ช่วยกนั คือเห็นความเปลีย่ นแปลงของตวั เขา ถึงบางทีกล่มุ เขาจะเสร็จทีหลงั เขาก็ยอมรบั ได้ หรืออย่าง ด.ช.เบียร์เมื่อก่อนเป็ นคนที่ท�ำ อะไรจะคิด จะตอบค�ำถามอะไรครูก็กลวั ผิด แต่ทีนี้ เขากล้าที่จะเสนอความคิด เช่น การท�ำแผนที่ ประเทศไทย ครูถามว่ารู้จกั จงั หวดั ไหม เบียร์บอก รู้จกั จงั หวดั ล�ำปาง แล้วจงั หวดั อื่นๆ ล่ะ เขาบอก ไม่ค่อยรู้จกั ครับ รู้จกั แค่ จงั หวดั อยุธยาที่แม่อยู่ จงั หวดั ล�ำพนู ทีพ่ อ่ อยู่ แลว้ เราจะท�ำอย่างไรใหเ้ รา รู้จกั จงั หวดั ในประเทศไทยเพ่ิมมากขึ้น จริงๆ ครู ก็ถามทง้ั หอ้ ง เมือ่ ก่อนเคยท�ำระบายสีแต่จ�ำไม่ได้
82 คู่มอื ครูมืออาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ ดช.เบียร์เขาบอกว่า ครูนา่ จะใหพ้ วกผมท�ำกิจกรรม อะไรสกั อย่างหนึ่ง แล้วให้พวกผมเห็นเป็ นภาพ เหมือนตอนทีเ่ ราเรียนองค์รวม เขาพดู แบบนีค้ ่ะ เป็นครูก็รู้สึกดีค่ะ รู้สึกปลืม้ ทีเ่ ห็นนกั เรียน เขา มีความสขุ นอกจากดกู ริยาท่าทางของเขาแลว้ มนั มองเห็นถึงแววตาอย่างอารมณ์ นีโน่เห็นไดช้ ดั ว่าเขามีความสขุ ทีเ่ ขาไดเ้ รียนแบบนี้ พอผ่านไป ๑ ปี แต่ปี นี้ ไม่มีอย่างนี้ เขาก็ถามหาอยู่ตลอดว่า ครูครบั เมือ่ ไหร่เราจะไดเ้ รียนองค์รวมอีก ปี ๒๕๕๙ ไม่มีเรียนแบบนี้อีกแล้ว ครูย้ายออกไป ๒ คน ผอ.ก็เกษียณ ประชมุ สถานศึกษากนั แลว้ จะไม่มี การเรียนแบบนีอ้ ีก แต่ส่วนตวั หนกู ็จะยืนหยดั สอน แบบนีต้ ่อไปค่ะ...
บทที่๕ เปิดโลก..เปิดสมอง ดว้ ยการ AAR ที่ดี After Action Review หมายถึงการทบทวน หลงั การปฏบิ ตั กิ ารหรอื หลงั ท�ำกจิ กรรมใดๆ ในทน่ี ค้ี อื การทบทวนหลังคุณครูพานกั เรยี นท�ำ PBL เพือ่ สรปุ การเรยี นรูข้ องเด็กๆ ไม่สับสนวา่ การ AAR เป็นไป เพื่อสรปุ ความรูห้ รอื สงิ่ ท่เี ดก็ ๆ ท่องจ�ำได้ ท�ำได้อย่าง งา่ ยๆ โดยให้นักเรยี นตอบ ๒ ค�ำถาม ค�ำถามแรก รู้สึกอย่างไรกับกิจกรรม PBL ที่ท�ำในวนั นี้ ?
84 คู่มือครมู อื อาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ ค�ำถามที่สอง วันน้ีเด็กๆ ได้เรียนรู้อะไร กันบา้ ง ? กอ่ นลงรายละเอยี ด เหตุใดจึงเรมิ่ AAR ดว้ ย การถามถึงความรู้สึกก่อน แล้วค่อยถามการเรียนรู้ ตาม ภาพน.้ี ..เรามองเหน็ อะไร ส่วนมากจะตอบว่าเห็นดอกกุหลาบ ๑ ดอก บ้างตอบเห็นกลีบดอกไม้ บ้างตอบเห็นหยดน�้ำค้าง น้อยคนหรือแทบจะไม่มีเลยตอบว่าเห็นความรัก ความงาม ความสดชน่ื หรอื กระทงั่ กล่ินหอม การศึกษาท่ีผ่านมาของประเทศไทยมุ่งเน้น ความรู้ การทอ่ งจ�ำ และการใหเ้ หตผุ ล แตก่ ารศกึ ษา ในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องการความสามารถในการมอง
สมหญิง สายธนู 85 ภาพรวมหรือการเชอื่ มโยง ค�ำถามทใ่ี ห้เด็กๆ ไดเ้ ปดิ เผยความรู้สึกของเขาก่อนก็เพื่อเหน่ียวน�ำให้สมอง ซีกขวาท�ำงาน ซ่ึงเป็นด้านที่ดูองค์รวม ดูความงาม ดูองค์ประกอบที่เป็นนามธรรม และยังช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลาย ร่ืนรมย์ รับรู้ว่าเขาก�ำลังเรียนหนังสือ แบบใหม่ และหดั มององค์รวมหรอื การเช่อื มโยง อย่างไรก็ตาม คุณครูอย่าเพ่ิงแปลกใจหรือ ทอ้ ใจ ถา้ ชว่ งแรกเดก็ ขวยเขินมว้ นไปมาขณะเปดิ เผย ความในใจ ได้ยินแต่ “ดีครับ” “สนุกมากค่ะ” นน่ั เป็นเพราะเขาไม่เคยได้รับโอกาสให้พูดความ ในใจมาก่อน ความสามารถด้านน้ี จึงขาดหายไป
86 คมู่ ือครมู อื อาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ ขอให้คุณครูท�ำต่อไป เมื่อบรรยากาศการเรียนรู้ เปดิ จะพบวา่ เดก็ จะพดู ประโยคไดย้ าวขนึ้ พดู มากขนึ้ แถมพดู นอกเรอ่ื งอีกต่างห่าง ทงั้ ยงั จะเรยี กคืนความ สามารถในการเขา้ ใจจติ ใจเพอื่ นมนุษยก์ ลบั คืนมา รูปแบบการท�ำ AAR สามารถท�ำได้ท้ังการ ประชุมกลุ่มหรือการเขียนบันทึกในรูปแบบต่างๆ “รู้สึกอย่างไร” “เรียนรู้อะไร” การ AAR ด้วย การประชุมกลุ่ม มีการพูดและฟังกัน จะท�ำให้ เกิดการเรียนรู้ร่วมกันท้ังกับเพ่ือน จึงเป็นปัญญา ระดับกลุ่ม (collective wisdom) มากกวา่ AAR จึงอาศัยเพียงสองส่ิงในการท�ำ คอื ความจริงใจและเสรีภาพในการท�ำ
บทท๖่ี PLC... รงุ่ อรณุ แห่งปัญญา วงประชมุ PLC เปน็ การประชมุ แนวใหม่ ตา่ ง จากการประชมุ รปู แบบเดิมที่เราต่างคนุ้ เคย ไม่มีการ แจง้ เพอื่ ทราบ ไมม่ ีการกลา่ วรายงาน ในช่วงเร่ิมต้น ของการท�ำวง PLC ของคุณครู หนังสือเล่มนี้ เชียร์ให้ใช้หลักของ กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ( ล ป ร ร . ) ต า ม แ น ว คิ ด ก า ร จั ด ก า ร ค ว า ม รู ้ (Knowledge Management, KM) ทที่ กุ คนตา่ งเรยี น รแู้ ละพฒั นาไปพร้อมๆ กัน ทุกคนเก่งหมด ไมม่ คี รู คนไหนเป็นไม้ประดับ ผู้บริหารโรงเรียนไม่เป็น
88 คมู่ อื ครมู อื อาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ ศูนย์กลางหรือมีอ�ำนาจรวมศูนย์ PLC ทด่ี ี ควรเปน็ วงแหง่ ไมตรีจติ และมติ รภาพ ไม่แหง้ แล้งแข็งกระดา้ ง คุณครสู นกุ รู้สกึ เบิกบานใจ ดังน้ัน จงึ ควรท�ำ 4 ข้นั ตอน และไมค่ วรท�ำ 5 ประการ หรอื “ ๔ ข้อ ๕ ไม่” ถอื เป็นกฎเหล็ก เร่ิมต้น PLC ด้วย ๔ ข้นั ตอน ๑.ฟงั อยา่ งตงั้ ใจ (deep listening) เร่ิมตน้ ไดด้ ว้ ยวางทกุ สง่ิ ตรงหนา้ วางมอื ถอื วางปากกา หยดุ ถ่ายรูป ไมห่ ันไปคยุ กบั เพ่อื นข้างๆ แล้วมองหนา้ ผู้ เลา่ เรอ่ื งฟงั ทกุ ค�ำพดู ฝกึ บอ่ ยๆ จะพบวา่ คนฟงั นนั่ แห ล่ะทเ่ี ป็นคนแรกทีเ่ ปลี่ยนไป จับประเด็นเรือ่ งเล่าได้ดี ขนึ้ รบั รคู้ วามรสู้ กึ ทถ่ี า่ ยทอดออกมาทงั้ จากภาษาพดู และภาษากาย เข้าถึงผู้เลา่ ไดม้ ากขึ้น เขา้ ใจในมุมที่ เขาเปน็ เสมอื นใสแ่ วน่ สายตาเดยี วกนั ใสร่ องเทา้ เบอร์ เดยี วกนั ถา้ เราไดย้ ินเสียงตนเองก้องในหขู ณะเพ่อื น ครคู นอื่นก�ำลังพดู แปลว่าเรายังไม่ได้ ฟังจริงๆ ก็ฝึก ใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นเร่ืองท่ีต้องฝึกกันตลอดชีวิต ส่วนคนพูดจากท่ีพูดไม่เก่ง เล่าไม่รู้เร่ืองวกมาวนไป จะเลา่ ไดด้ ขี น้ึ เรยี บเรยี งไดด้ ขี นึ้ รสู้ กึ ดใี จทมี่ คี นตง้ั ใจ สนใจฟัง ไม่มใี ครขดั คอ ไมม่ ีคนจ้องจบั ผิด
สมหญงิ สายธนู 89 ๒. มีคนเล่าเรื่อง (story telling) และเป็น เร่ืองเล่าท่ีเกี่ยวกับเด็กนักเรียน เร่ืองเล่าท่ีดีต้อง มีรายละเอียด มีตัวละครซ่ึงไม่ใช่ใครท่ีไหน เป็นเด็ก นกั เรยี นของคณุ ครนู นั่ เอง เลา่ วา่ เดก็ ๆ เขาท�ำอะไรกนั บา้ งในชว่ั โมง PBL เปน็ การเลา่ เหตกุ ารณจ์ รงิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ไ ม ่ ต ้ อ ง มี ท ฤ ษ ฎี อ ะ ไ ร ม า ร อ ง รั บ ห รื อ ส นั บ ส นุ น ดญ.สมหญิงท�ำอะไรบ้าง เกี่ยงงานเถียงกับเพ่ือน อย่างไร ปรึกษาเพอื่ นแลว้ เกิดอะไรข้นึ ท�ำอะไรต่อ กระตือรือร้นกันอย่างไร มีใครสนุกสนานบ้าง ฯลฯ โดยทค่ี ณุ ครผู ลดั หมนุ เวยี นกนั เลา่ ทลี ะคน ดว้ ยวธิ กี าร เช่นน้ี เด็กๆ จะเริ่มปรากฏกายและเป็นการจัดการ เรียนร้ทู ่มี ีเด็กเปน็ ศนู ย์กลางอยา่ งแทจ้ รงิ ๓. แบง่ ปนั ประสบการณ์ (sharing) นอกจาก การเล่าเร่ือง และฟังเรือ่ งเล่าแล้ว คณุ ครูยงั สามารถ แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองให้กับเพื่อนได้ ภายใต้ประเด็นร่วมหรือมีสถานการณ์ท่ีคล้ายคลึงกัน ตวั อยา่ งเชน่ ครูฝนเลา่ เรือ่ งพานักเรยี นออกนอกห้อง ไปส�ำรวจชุมชนรอบๆ โรงเรียน กอ่ นไปครแู บง่ กลมุ่ นักเรียนแบบคละช้ันเรียน ต้ังแต่ ป.1-ป.3 เพราะ โรงเรียนมีครูไม่ครบชั้น โดยครูเป็นคนแบ่งกลุ่มให้
90 คูม่ ือครูมอื อาชีพในศตวรรษที่ ๒๑ แตล่ ะกลมุ่ จะมที ง้ั เดก็ เรยี นเกง่ และเรยี นออ่ น ครแู อน เม่ือฟังจบ ก็แบ่งปันประสบการณ์ถึงวิธีแบ่งกลุ่ม นักเรียนท�ำ PBL ของตนเองบ้าง ว่าใช้วิธีต่างจาก ครฝู น คือ ให้เดก็ ๆ แบ่งกลุ่มกนั เอง โดยมีเงือ่ นไขว่า จะแบ่งอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จ�ำนวนพอๆ กัน และอย่กู ันคนละหมู่บา้ น เพราะ อยากใหเ้ รยี นรวู้ ฒั นธรรมชนเผา่ ซงึ่ กนั และกนั เปน็ ตน้ คุณครูท่านอื่นก็ยังคงมีหน้าท่ีต้ังใจฟังเร่ืองเล่า จะท�ำใหค้ ณุ ครเู ขา้ ใจพฤตกิ รรมของนกั เรยี นแตล่ ะคน ดีกว่าเดมิ ๔. สะท้อนความรู้สึกและการเรียนรู้ (reflection) เม่ือเล่าแล้ว ฟังแล้ว แบ่งปัน ประสบการณ์แล้ว จะปิดท้ายด้วยการสะท้อนเสมอ เป็นการสะท้อนด้วย 2 ค�ำถามง่ายๆ “รู้สึกอย่างไร เม่ือได้ฟังเรื่องราวของเด็กนักเรียนที่เพ่ือนครูเล่ามา” เปน็ ค�ำถามน�ำ จากน้ันตามดว้ ย “ไดเ้ รยี นร้อู ะไรจาก วง PLC ในวันน้ี” คณุ ครจู ะเปลยี่ นไป เพราะสมอง ซีกขวาท�ำงานก่อนซีกซ้าย มองเห็นความงามและ คณุ ค่าของการเป็นครู เหน็ ความงามทเ่ี ด็กๆ เตบิ โต ดีขึ้นทกุ วนั
สมหญงิ สายธนู 91 ฟังดูเหมือนยาก แต่นี่คือวิถีของ ความเปน็ มนษุ ย์ การเรียนรู้ของวง PLC จะเกิดขึน้ สูงสดุ ได้ เมอื่ ไมท่ ำ� 5 ประการดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ไม่น�ำเสนอผลงาน (presentation) เปน็ วธิ ปี ระชมุ ทพี่ บเหน็ บอ่ ยทส่ี ดุ วธิ หี นงึ่ วทิ ยากรหนงึ่ คนเตรียมไฟล์น�ำเสนอด้วยเพาเวอร์พอยท์ แล้ว น�ำเสนอผลงานทีเ่ ตรยี มมาใหท้ ่ีประชมุ ฟงั เนอื้ หามกั บอกว่าตนเองท�ำอะไรมาบ้าง มีตารางตัวเลขสรุป ผล หญิงก่ีคนชายก่ีคน พร้อมตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ไม่เหน็ รายละเอยี ดวิธกี ารท�ำงาน ไมเ่ หน็ วิธี คิดที่อยู่ เบื้องหลัง รวมถึงความรู้สึกและสิ่งท่ีเรียนรู้ ขอคนท�ำงาน ส่วนผู้ฟังก็ฟังไป ฟังจบก็กลับบ้าน ขาดการเรียนรูซ้ ึ่งกนั และกัน ๒. ไม่พร่�ำบ่นปัญหา เพราะจะได้ปัญหา ไมเ่ กิดประโยชนน์ อกจากพกความเครยี ดกลับบา้ นไป ๓. ไม่ระดมสมอง (brainstorming) การ ระดมสมองหมายถึง การประชุมกันโดยทุกคนในท่ี ประชุมแสดงความคิดเห็นให้มากที่สุดเก่ียวกับหัวข้อ
92 คูม่ ือครมู ืออาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ ที่ก�ำหนด เพื่อน�ำผลสรปุ ไปด�ำเนินการหรือแกป้ ญั หา เป็นการประชุมที่ดี หากท�ำดีๆ จะเกิดความคิด สร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม อยา่ งไรก็ตามสงั คมไทยยงั ท�ำได้ไม่ดีนัก ด้วยปัญหาล�ำดับช้ันอ�ำนาจและ วัฒนธรรม หลายคนจงึ เลอื กเงียบอยเู่ ฉยๆ ปลอดภยั ดีที่สุด เด่นเกินไปจะเป็นภัย หัวหน้าบางคนไม่ฟัง และบางการประชุมหัวหน้าเป็นผพู้ ดู คนเดียว ๔. ไม่เสนอแนะ (suggestion) เหตุเพราะ เรื่องเลา่ แต่ละเรอ่ื งของแตล่ ะคน มีบริบท ทรพั ยากร เงอื่ นไข และขอ้ จ�ำกดั ต่างกัน ครู พอ่ แม่ ผู้ปกครอง หรอื แมแ้ ต่นักเรียนก็มนี สิ ยั พ้ืนเพไม่เหมอื นกนั ยงั ไม่ นับว่าในสังคมไทยถ้าเป็นผู้ใหญ่แนะน�ำถือว่าดีหมด ถือว่าถูกหมด จะดกี ว่ามากถา้ ลองเปลยี่ นจากให้ขอ้ เสนอแนะ มาเปน็ การแบง่ ปนั ประสบการณท์ ต่ี นเองมี แทน จะเกิดการต่อยอดเติมเตม็ ซง่ึ กันและกนั ๕. ไม่วิพากษ์ วจิ ารณ์ วเิ คราะหเ์ พ่อื นครู เพราะนอกจากจะท�ำใหผ้ เู้ ลา่ เรอื่ งสะดดุ เสยี ใจ ไมเ่ ลา่ เสียดีกว่าแล้ว เหตุผลส�ำคัญคือ คุณครูเองก็อยู่ใน สถานะเดียวกันกบั นกั เรยี น คือ การเรียนร้สู �ำคญั กวา่
สมหญงิ สายธนู 93 ความรู้ กระบวนการหาค�ำตอบส�ำคัญกว่าค�ำตอบ คณุ ครทู กุ คนเทา่ เทยี มกนั ในกระบวนการเรยี นรู้ และ จะท�ำให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกันโดยปราศจาก เง่ือนไข จงึ อย่าด่วนวิพากษ์ วจิ ารณ์ วเิ คราะห์ต้งั แต่ แรก เม่ือเปา้ หมายการศึกษาสมัยใหม่ คอื ทกั ษะ ทั้ง ๓ ประการ ดังน้ันเป้าหมายการประชุมครู มืออาชีพ คือ การดูความก้าวหน้าของทักษะย่อย ทง้ั ๑๒ ประการของนกั เรียน แม้ว่าตอนเร่ิมต้นของการท�ำวง PLC จะแนะน�ำให้ใช้กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ แต่ในตอนท้ายคุณครูควรช่วยกันวิเคราะห์พฤติกรรม เด็กๆ ทเี่ ปลี่ยนไปหลงั ท�ำกจิ กรรม PBL มคี วามหมาย ว่าอย่างไร เป็นทักษะข้อไหน ใช่หรือ จะถูกบ้าง ผิดบา้ ง ขออยา่ ได้กังวล เพราะวง PLC หวังผลลัพธ์ ทแี่ ทจ้ รงิ คือตวั นกั เรียน
94 คูม่ อื ครมู ืออาชีพในศตวรรษท่ี ๒๑ ด้วยวิธีการดังกล่าว แม้แรกๆ ครูอาจ เคอะเขินกันบ้าง แต่เมื่อบรรยากาศการพูดคุย มีเสรีภาพ ปราศจากชน้ั อ�ำนาจ จงึ จะท�ำใหเ้ กดิ การเรยี น รู้พร้อมกันและด้วยกัน เปรียบเหมือนรุ่งอรุณของ ปญั ญา
บทท่ึี๗ XXX หนังสือเล่มน้ี หวังให้เห็นแนวทางของการ เป็นครูมืออาชีพ ผู้มีหน้าท่ีย่ิงใหญ่ท่ีสุดบนโลกใบน้ี ได้เตรียมพร้อมนักเรียนให้อยู่รอดในอนาคตให้ทุกๆ พรสวรรค์ ทุกๆ ความต้องการของเด็กได้มีโอกาส เท่าเทียมกันในการพัฒนาศักยภาพอย่างสมศักด์ิศรี ความเปน็ มนุษย์ แต่จะไม่เกิดประโยชน์หรือเกิดการเปล่ียน แปลงใดๆ ท้งั สน้ิ ถ้าคณุ ครไู มเ่ ร่ิมลงมือท�ำ ส�ำหรับ
96 คู่มือครูมอื อาชพี ในศตวรรษที่ ๒๑ บทน้ีจะขอใช้เป็นพ้ืนท่ีให้ คุณครูเปิดโอกาสตนเอง ท�ำความเข้าใจจากหน้างานจริง โดยใช้เร่ืองเล่าการ จดั การเรยี นร้แู บบ PBL ในบทท่ี ๔ เป็นตวั เดินเรือ่ ง เพอ่ื ทวนสอบและวิเคราะหป์ รับปรงุ PBL มุ่งพฒั นา ทักษะท้งั ๓ ประการใหก้ ับเด็กๆ ต่อไป โดยใช้ ๑๒ องค์ประกอบ PBL ที่ดีเป็นแก่นทาบว่าเป็นองค์ ประกอบอยา่ งไร “… โรงเรยี นบา้ นขอ โรงเรยี นบา้ นนอกแหง่ หนงึ่ ในต�ำบลบา้ นขอ อ�ำเภอเมอื งปาน จงั หวดั ล�ำปาง เมอ่ื ปี ๒๕๕๘ มนี กั เรยี น ๗๘ คน ครู ๙ คน เปดิ สอนต้ังแต่ชั้นอนุบาล๑ - มัธยม ๓ ตัวเลขจ�ำนวน นักเรียนท�ำให้ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีครูไม่ครบช้ัน ไม่ครบทุกสาระวิชา แต่กลับไม่เป็น อุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ใช้ข้อจ�ำกัดให้เกิด ประโยชน์ คอื จดั การเรยี นรทู้ ใี่ หน้ กั เรยี นลงมอื ปฏบิ ตั ิ (#๑) เด็กได้ใช้มือทั้งสองข้างท�ำกิจกรรมกับเพ่ือนๆ และเรยี นรไู้ ปดว้ ยกนั ตลอดทาง โรงเรยี นบา้ นขอเรยี ก การสอนแบบน้ีว่า การจัดการเรยี นการสอนแบบองค์ รวม และเปน็ การเรียนแบบคละช้นั ตารางสอนตอน เช้าเรียนวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ภาษาไทย สังคม
สมหญงิ สายธนู 97 อังกฤษและวิทยาศาสตร์ ตอนบ่ายเรียนวิชาเรียนรู้ แบบบูรณาการ “ ...ถ้าไม่นบั ช้ันอนุบาล จะมีนกั เรียน ๖๙ คน เริ่มแรกเราจะสร้างหน่วยการเรียนรู้ก่อน โดยพานักเรี ยนออกไปส� ำรวจชุมชนที่อยู่รอบๆ โรงเรียน ก่อนไปแบ่งกล่มุ นกั เรียนออกเป็น ๙ กล่มุ คือ ป.๑-ป.๓ มี ๓ กล่มุ ป.๔-ป.๖ มี ๖ กล่มุ กล่มุ ละประมาณ ๔-๕ คน (#๒) พีม่ ธั ยมจะอยู่ปิ ดหวั ทา้ ยคอยดูแลนอ้ งๆ กล่มุ ละ ๒ คน ครูเป็นคนแบ่ง กล่มุ ใหเ้ อง คละหญิง-ชาย คละชนั้ เรียน มีทงั้ คน เก่งและไม่เก่งอยู่ในกล่มุ เดียวกนั (#๓) เพราะอยาก ใหเ้ ด็กทีไ่ ม่เก่งไดเ้ รียนรู้จากคนเก่ง ส่วนคนเก่งจะ ไดช้ ่วยคนไม่เก่งดว้ ย ลดภาระครู เพราะทีโ่ รงเรียน มีครูไม่ครบชน้ั ครูจะเดินไปด้วยกับเด็กค่ะ นดั แนะกับ พี่มัธยมก่อนว่า เรามีเส้นทางการเดินออกจาก โรงเรียนไปทางทิศเหนือประมาณ ๑๐๐ เมตร ผ่านแม่น�้ำต๋ยุ แม่น�้ำที่ชาวบ้านใช้ท�ำการเกษตร ผ่านท่งุ นา ผ่านหมู่บ้านของชุมชน เส้นทางเดิน
98 คู่มอื ครูมอื อาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ จะผ่านวดั ไปเรื่อยๆ มี ๓ วดั ดว้ ยกนั คือ วดั ขอเหนือ วดั ขอใต้ วดั พระเจ้าตอกสาน แลว้ เดินออ้ มกลบั มา ทีโ่ รงเรียน (#๔) ครู ๕ คนช่วยกนั คิดเสน้ ทางการ เดินก่อน เราจะพาเด็กเดินจากตรงไหนไปตรงไหน เลือกสถานทีท่ ีน่ กั เรียนผ่านกนั ทกุ วนั จดุ ประสงค์ อยากให้เด็กตง้ั ค�ำถามเป็ น ได้เรียนในส่ิงที่เด็ก อยากรู้ เพือ่ ทีค่ รูจะไดน้ �ำมาสร้างเป็นหนว่ ยการเรียน ตอ่ ไป ตอนนนั้ บอกโจทย์เด็กไปวา่ พบเห็นอะไรแลว้ เกิดสนใจให้เขียนมาค�ำถามลงในสมุด เขียน ส่ิงทีอ่ ยากรู้ หรือคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ค�ำถามก็ได้ จะ วาดรูปหรืออะไรก็ได้ (#๕) ขน้ั ตอนนีเ้ ป็นงานเดีย่ ว แต่เด็กๆ เดินไปดว้ ยกนั มีพีม่ ธั ยมเป็นคนคอยชวน คยุ เด็กเขาจะพดู เรื่องราวทีเ่ คยเห็นมา สถานทีน่ ี้ เขาเคยท�ำอะไรบา้ ง บางคนบอกว่าเคยมาเล่นน้�ำ ใหเ้ วลาทง้ั หมด ๓ ชว่ั โมง (#๖) ก�ำชบั ใหพ้ ีม่ ธั ยมดแู ล นอ้ ง นอ้ งควรกลบั มาโรงเรียนอย่างปลอดภยั ส่วน น้องควรท�ำตัวอย่างไรให้พี่เขาสบายด้วย (#๗) พากนั เดินไปเรื่อยๆ บางกล่มุ ก็เดินชา้ เราไม่ไดต้ าม กลมุ่ ใดกลมุ่ เฉพาะ ระหวา่ งเดินจะสงั เกตเดก็ ไปดว้ ย ว่าเขาท�ำอะไรกันบ้าง (#๘) จะขอเล่าหน่ึงกลุ่ม เป็ นกลุ่มเด็ก ป.๑-ป.๓ ตอนนน้ั ยงั ไม่มีชื่อกลุ่ม
สมหญิง สายธนู 99 มีอาร์ม เท่ห์ ไกด์ มูจู ทง้ั ๔ คนมีนิสยั ต่างกนั (#๙) อาร์มเป็นเด็กเรียบร้อย เรียนค่อนข้างเก่งทีเดียว มูจูเป็ นเด็กหญิงตวั อ้วนๆ รุ่นเดียวกันกับอาร์ม เดินอย่างเดียวไม่ค่อยพูด เท่ห์เดินไปเล่นไป ระหว่างทางชวนอาร์มเล่นซนตลอด ส่วนไกด์เป็น เด็กชายเงียบๆ มีพีเ่ ขตกบั พีไ่ อร์พีม่ ธั ยมคอยดูแล พีไ่ อร์เดินน�ำหนา้ พีเ่ ขตเดินขา้ งหลงั เดิน ออกจากโรงเรียนไปถึงสะพานไม่ไกลจากโรงเรียน มากนกั ประมาณ ๑๐๐ เมตร พีเ่ ขตชีใ้ หน้ อ้ งดแู ม่น�้ำ มีสีแดง มีฟอง ไม่ไดต้ งั้ ค�ำถามกบั นอ้ ง คลา้ ยๆ กบั สร้างสถานการณ์ พอนอ้ งมองเห็นก็จะเขียนลงสมดุ ไกด์เขียนว่า ท�ำไมแม่น้�ำถึงมีฟองเป็ นสีเหลือง อาร์มถามว่า ท�ำไมสองฝ่ังสะพานจึงมีสีแม่น้�ำ ไม่เหมือนกนั อาร์มบอกพีไ่ กด์ให้เขียนให้หน่อย เพราะตนเองอยู่ ป.๑ เขียนหนงั สือยงั ไม่ได้ เดินไป ก็ถามไปเรื่อยๆ ท�ำไมเถาวลั ย์ถึงพนั ตน้ ไมว้ นไปทาง ขวา(#๑๐) พีม่ ธั ยมจะไม่ตอบค�ำถามนอ้ ง เพราะครู มอบหมายใหพ้ ยายามกระตนุ้ ใหน้ อ้ งมองดสู ิ่งรอบๆ อยากฝึกกระบวนการคิด ใหค้ ิดไดเ้ อง โดยทีค่ รูหรือ พีไ่ ม่ใช่คนตอบค�ำถาม
100 คูม่ ือครมู ืออาชพี ในศตวรรษท่ี ๒๑ ยิ่งเดินยิ่งมีค�ำถามมากขึ้น (#๑๑) ทีว่ ดั ขอ เหนือเด็กถาม ท�ำไมบนเศียรพระพทุ ธรูปถึงเป็น กน้ หอย ท�ำไมหูพระพทุ ธรูปถึงยาว ท�ำไมตอ้ งมีวดั มีวดั ไวท้ �ำไม มูโจไม่ค่อยตง้ั ค�ำถามกบั วดั แต่พอไป ถึงท่งุ นา มูโจถามว่าท�ำไมควายมาอยู่ทีน่ า จากท่งุ นาก็เดินไปเจอหมู่บา้ น ช่วงทีไ่ ปถึงไม่ค่อย มีคนอยู่ มากนกั พีพ่ าน้องเดินไปเรื่อยๆ ไปพบบ้านหนึ่ง เลีย้ งกบ เด็กถามอีกตวั ทีอ่ ยู่บ่อคืออีฮวกทีอ่ ยู่ท่งุ นา หรือเปล่า เหมือนกบั ที่แม่เอามาให้กินหรือเปล่า เขาก็จดค�ำถามเหล่านนั้ มา พอถึงวดั ขอใตซ้ ่ึงก�ำลงั จะฝังลูกนิมิต ก็ถาม กนั อีก ท�ำไมถึงมีการฝังลูกนิมิต เราฝังลูกนิมิต ไปท�ำไม ท�ำไมตอ้ งมีลูกนิมิต เดินไปอีกนิดก็เจอ วดั ตอกสาน ถึงวดั ทีไรเด็กจะมีค�ำถามเยอะว่า ท�ำไมวดั นีจ้ ึงไม่เหมือนกบั สองวดั ที่เราเดินผ่านมา เพราะวดั นีไ้ ม่มีฝาผนงั (#๑๒) มีรูปปั้น ๔ หู ๕ ตา มีพระธาตุ คือพระจะไม่ได้นั่ง เป็ นปางนอน เด็กแปลกใจพระองค์ใหญ่มาก ลุงนทั ชาวบ้าน แถวนน้ั เป็นคนดแู ลวดั ก�ำลงั ท�ำงานอยู่ ช่วยอธิบาย ว่า ๔ หู ๕ ตานีเ้ หมือนว่าแมงกินถ่านแล้วขี้ออก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121