หนงึ่ ในทา่ ยากทีช่ ว่ ยเสรมิ สรา้ งพฒั นาการของเด็กๆ ไดม้ าก และความแขง็ แกรง่ เมอื่ เดก็ ๆ มาเหน็ จงึ เอาไปยอ่ สว่ นเลน่ กนั เอง ฐานะการละเล่นชนิดหน่ึงท่ีมีช่ือเรียกว่า Scotch-Hoppers จนกลายเป็นการละเล่นท่แี พร่หลายไปทัว่ ยโุ รปในที่สุด หรอื แปลเป็นไทยได้ว่า นักกระโดดข้ามตาราง (ลายสก็อตช์) ขณะที่นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าการละเล่น หนังสือทั้งสองเล่มนี้ตีพิมพ์ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ชนิดน้ีอาจมีต้นก�าเนิดมาจากอาณาจักรจีนโบราณ โดยมี แสดงว่าการละเล่นชนิดน้ีคงแพร่หลายในช่วงก่อนหน้านั้นแล้ว ลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงกับตารางต้ังเตท่ีเล่นกันตาม และปัจจุบนั ยังคงนยิ มเล่นกันทั่วโลก สนามเด็กเล่นภายในโรงเรียนส่วนใหญ่ แต่ต�ารับของจีนใช้เบ้ีย เป็นตัวแทนดวงวิญญาณของผู้เล่น มีลักษณะการเล่นคล้ายๆ ไมว่ า่ การละเลน่ ประเภทนจ้ี ะมที ม่ี าจากทใ่ี ด มวี ธิ กี าร กับความพยายามพาดวงวิญญาณตนเองฝ่าด่านต่างๆ เพ่ือ เลน่ ของแตล่ ะชาตแิ ตกตา่ งกนั อยา่ งไร การละเลน่ ตงั้ เตแบบ ไปสู่สรวงสวรรค์ แนวคิดนี้คล้ายคลึงกับเกมต้ังเตของเยอรมนี ของไทยก็ควรคา่ แก่การสบื สาน และสง่ เสรมิ ให้เด็กรุ่นใหม่ ออสเตรยี และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเรยี กกันว่า Himmel und Hlö le หนั มาสนใจเลน่ อยา่ งแพรห่ ลาย เพราะไมว่ า่ จะเลน่ คนเดยี ว (สวรรค์และนรก) โดยโครงสร้างของตารางตั้งเตแบ่งออกเป็น หรอื เลน่ กับเพอื่ นๆ กล็ ว้ นสนุกทา้ ทาย และชว่ ยเสริมสรา้ ง ๓ ส่วน ได้แก่ โลก นรก และสวรรค์ พลานามยั ไดไ้ มแ่ พก้ นั สกั นดิ เดยี ว ขอบคณุ ผู้อ�านวยการ คุณครู และคณะนักเรยี น จากโรงเรียน บันทึกท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรของการละเล่นคล้าย อนบุ าลดารวี (www.darawee.ac.th) ทีช่ ่วยอ�านวยความสะดวก ตั้งเตปรากฏคร้ังแรกใน The Book of Games โดย Willughby ในการถ่ายท�าภาพประกอบบทความชน้ิ นี้ และ The Poor Robin’s Almanac โดยได้รับการกล่าวถึงใน 49เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ประเพณี สุทัศน์ รงุ่ ศิริศิลป์ เรื่อง สายณั ห์ ช่ืนอดุ มสวัสด์ิ ภาพ ในวันก่อนวนั มาฆบชู า ข้าวตอกแตกนับหมืน่ นับแสนเมลด็ จะถูกนาำ มาเรยี งรอ้ ย เปน็ มาลัยเพื่อนาำ ไปบชู าถวายองคพ์ ระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ซง่ึ ชาวบ้านตำาบลฟ้าหยาด อาำ เภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ปฏิบัติเชน่ น้สี บื เน่อื งกนั มาแต่อดีตเปน็ ประจาำ ทกุ ปี 50
แหม่ าลยั ขา้ วปรตะเอพณกี พลงั ศรทั ธาอนั งดงามแหง่ ลมุ่ นา�้ ชี ในสมยั พทุ ธกาลทกุ ครงั้ ทเี่ กดิ เหตกุ ารณส์ �าคญั ใดๆ เกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ ไดแ้ ก่ ประสตู ิ ตรสั รู้ ปรนิ พิ พาน และวันท่ีแสดงปฐมเทศนาประกาศพระธรรมจักร จะเกิด ปรากฏการณ์ดอกมณฑารพบานและร่วงหล่นลงมายัง โลกมนุษย์ ซ่ึงเช่ือว่าเป็นดอกไม้ทิพย์ในสรวงสวรรค์ช้ัน ดาวดงึ สท์ ม่ี คี วามสวยงามและมกี ลน่ิ หอมเปน็ พเิ ศษ ปรากฏการณ์ดอกมณฑารพบานและร่วงคร้งั สุดท้ายนนั้ ใน พระไตรปิฎกกล่าวว่าเกิดข้ึน ณ เมืองกุสินารา ถิ่นชมพูทวีป ก่อน ที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยพระองค์ได้ตรัสกับ พระอานนท์ในครัง้ น้นั ไว้ว่า “ดกู รอานนท์ ไมส้ าละทงั้ คู่ เผลด็ ดอก บานสะพรงั่ นอกฤดกู าล รว่ งหลน่ โปรยปราย ลงยงั สรรี ะของตถาคต เพอื่ บชู า แมด้ อกมณฑารพอนั เปน็ ของทพิ ย์ กต็ กลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหลา่ นนั้ รว่ งหลน่ โปรยปรายลงยงั สรรี ะของตถาคต เพอ่ื บชู า แมจ้ ณุ แหง่ จนั ทนอ์ นั เปน็ ของทพิ ย์ กต็ กลงมาจากอากาศ จณุ แหง่ จนั ทนเ์ หลา่ นน้ั รว่ งหลน่ โปรยปรายลงยงั สรรี ะของตถาคต เพอื่ บชู า ดนตรอี นั เปน็ ทพิ ยเ์ ลา่ กป็ ระโคมอยใู่ นอากาศ เพอื่ บชู าตถาคต แมส้ งั คตี อนั เปน็ ทพิ ยก์ เ็ ปน็ ไปในอากาศเพอ่ื บชู าตถาคต” คร้ันพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ทั่วทั้งสรีระ แหง่ พระพทุ ธเจา้ ลว้ นประดบั ดว้ ยดอกมณฑารพ อนั เปน็ เครอื่ งบชู าที่ ชาวสวรรคใ์ ชเ้ พอ่ื แสดงความเคารพสงู สดุ ขณะทท่ี กุ หนแหง่ ในเมอื ง กสุ นิ าราเดยี รดาษไปดว้ ยดอกมณฑารพ เปน็ ดง่ั สญั ลกั ษณใ์ หผ้ ตู้ าม มาเฝา้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในภายหลงั รบั รวู้ า่ พระพทุ ธองคป์ รนิ พิ พาน ไปแล้วเมอื่ ได้เห็นดอกไม้น้ี 51เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
๑ ๒๓ 52
๑ การรอ้ ยมาลยั ข้าวตอกต้องอาศยั ความชำานาญ ความประณตี และเวลา ๒ ฝัดขา้ วแยกข้าวตอกแตกออกจากข้าวเปลอื ก ๓-๔ มาลัยแบบขอ้ กบั มาลัยแบบสายฝน เปน็ รูปแบบหลักทีช่ าวบ้าน นิยมทาำ กนั สว่ นรายละเอียดแตกตา่ งกนั ไปตามแต่จินตนาการของผทู้ ำา ๔ ปัจจุบันไม่มีใครทราบว่าดอกมณฑารพสมัยพุทธกาลมี ของมาลัยข้าวตอกของแต่ละชุมชน หลังจากตัดสิน ลักษณะอย่างไร คล้ายคลึงกับดอกมณฑาซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ มอบรางวัลกันแล้ว จึงเร่ิมต้ังขบวนแห่อันงดงามตระการตา พวกจ�าปา จ�าปี และย่ีหุบ หรือไม่ แต่ส�าหรับพุทธศาสนิกชน ไปทอดถวายมาลัยยังวัดส�าคัญต่างๆ ในตัวอ�าเภอ อาทิ ในบ้านเรา โดยเฉพาะในถิ่นอีสานยงั คงมคี วามเชื่อเร่อื งดอกไม้ วัดฟ้าหยาด และวดั หอก่อง เป็นต้น ทิพย์จากสรวงสวรรค์ตามพระไตรปิฎก โดยแสดงให้เห็นในรูป ของงานประเพณแี หม่ าลยั อาทิ ประเพณกี ารแหพ่ วงมาลยั ไมไ้ ผ่ ขบวนแห่บุญพวงมาลัยจัดขึ้นในช่วงงานบุญเดือน ๓ ของชาวผู้ไทท่ีบ้านกุดหว้า อา� เภอกฉุ นิ ารายณ์ จงั หวดั กาฬสินธ์ุ ของทกุ ปี ตรงกับวนั ขนึ้ ๑๓ ค่�า เดอื น ๓ หรอื ก่อนวนั มาฆบูชา ซ่ึงจดั เป็นประจา� ทกุ ปีในช่วงวันแรม ๑๓-๑๔ ค่า� เดือน ๙ โดย หน่ึงวัน อันเป็นส่วนหน่ึงของฮีตสิบสอง หรือจารีตประเพณี การน�าไม้ไผ่มาเหลาแล้วสานให้เป็นรูปทรงคล้ายร่มแล้วนา� มา ประจ�าสิบสองเดือนของชาวอีสานที่ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน ร้อยเข้าเป็นพวง เพื่อน�าไปถวายเป็นพุทธบูชา ตามท่ีเคยปรากฏในค�ากล่าวดั้งเดิมว่า ฮีตหน่ึงนั้นเถิงเมื่อ เดือนสามได้จงพากันจ่ีข้าวจี่ ไปถวายสังฆเจ้าเอาแท้หมู่บุญ ขณะท่ีงานประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก หรือ งานบุญ กุศลยังสิน�าค�้าตามเฮามื้อละคาบ หากธรรมเนียมจังซ้ีมีแท้ พวงมาลัย ท่ีจัดอย่างยิ่งใหญ่ ณ ต�าบลฟ้าหยาด อ�าเภอ แตน่ าน ใหท้ า� ไปทกุ บา้ นทกุ ทเี่ อาบญุ พอ่ เอย คองหากเคยมมี าแต่ มหาชนะชัย จังหวัดยโสธร นับเป็นอีกงานประเพณีประจ�าปี ปางปฐมพุ้น อย่าพากันไลถิ้มประเพณตี งั้ แต่เก่า บ้านเมืองเฮา ทน่ี า่ สนใจ และนา่ จะเรยี กไดว้ า่ เปน็ งานบญุ ทมี่ พี นื้ ฐานความเชอ่ื สิเศร้าภยั ฮ้ายสิแล่นตาม ในการจัดงานท่ีสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องดอกมณฑารพ จากสรวงสวรรค์มากที่สุดในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สะท้อนให้ กอ่ นจะถงึ วนั บญุ ใหญแ่ หง่ ปี ชาวบา้ นในอ�าเภอมหาชนะชยั เหน็ ว่าพทุ ธศาสนาไดห้ ยงั่ รากลกึ ในล่มุ นา�้ ชแี ถบนม้ี าช้านาน จน จะตระเตรยี มขา้ วตอกแตกจา� นวนมากเพอื่ นา� มารอ้ ยมาลยั โดยนา� น�าไปสู่พิธีกรรมบูชาพระศาสดาที่พัฒนาไปเป็นงานประเพณี ขา้ วเปลอื กเหนยี วพนั ธด์ุ งั้ เดมิ ทม่ี เี มลด็ ขนาดใหญแ่ ละเปน็ ขา้ วใหม่ สา� คัญในทสี่ ดุ มาควั่ ดว้ ยไฟปานกลางในหมอ้ ดนิ เผาบนเตาถา่ น แลว้ เกลยี่ ไปมา ด้วยก้านกล้วยอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ข้าวเปลอื กไหม้ดา� รปู แบบงานประเพณแี หม่ าลยั ขา้ วตอกทปี่ รากฏในปจั จบุ นั คอื ขบวนแหพ่ วงมาลยั ทท่ี า� จากเมลด็ ขา้ วตอกแตกจา� นวนมากมา เหตทุ ช่ี าวบา้ นไมน่ ยิ มใชด้ า้ มไมห้ รอื ตะหลวิ เกลย่ี ขา้ วเปลอื ก รอ้ ยเขา้ เปน็ สาย ใหด้ สู วยงามบรสิ ทุ ธดิ์ จุ มวลบปุ ผาจากสรวงสวรรค์ รอ้ นๆ เนอื่ งจากกา้ นกลว้ ยมคี วามชนื้ ชว่ ยคมุ อณุ หภมู ใิ หเ้ นอื้ ขา้ ว เพ่ือน�าไปบูชาพระพุทธเจ้า โดยชาวบ้านจะนัดมารวมตัวกันท่ี เหนียวค่อยๆ สะสมความร้อนจนขยายบานออกนอกเปลือก สนามหน้าที่ว่าการอ�าเภอแต่เช้า เพื่อประกวดความสวยงาม โดยไม่ไหม้ด�า นับเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาในการค่ัวข้าวเปลือก ให้แตกได้เมลด็ พองสวย ท้ังยงั ต้องใช้คนคว่ั ทีเ่ ชี่ยวชาญด้วย 53เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
๑ ๒ จากนั้นจึงน�าข้าวตอกแตกคั่วใหม่ไปคัดแยกเปลือกข้าว โดยการฝดั (รอ่ น) ในกระดง้ เพอื่ คดั เอาเฉพาะเมลด็ ขา้ วตอกแตก ๑ ขบวนแหม่ าลัยข้าวตอกในปจั จบุ นั กลายเปน็ งานประเพณีใหญ่ หรือข้าวพองสีขาวล้วนๆ หากเก็บข้าวตอกแตกที่ได้นี้อย่างดี ประจำาปีท่ีแสดงให้เห็นถงึ การร่วมแรงรว่ มใจจดั ทำามาลยั ขนาดใหญแ่ ละ โดยไมใ่ หส้ มั ผสั ความชนื้ ในอากาศกส็ ามารถเกบ็ รกั ษาไวไ้ ดน้ าน สวยงามของชาวบา้ นตำาบลฟา้ หยาด อำาเภอมหาชนะชยั จงั หวัดยโสธร ไม่เสียง่าย และถือกันว่าเป็นสิ่งมงคล บางคร้ังใช้โปรยรวมกับ และมกี ารจัดประกวดความสวยงามของมาลัย ทดี่ ึงดดู ให้ผคู้ นต่างถ่นิ ดอกไม้และเงินทองเพ่ือเป็นเคล็ดให้เกิดความรุ่งเรืองเฟื่องฟู เดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ขยายออกได้เหมือนข้าวตอก ๒-๓ ชาวบ้านนำามาลัยข้าวตอกทัง้ ขนาดใหญน่ อ้ ยมาจากบา้ นเพอ่ื เขา้ รว่ ม การเลอื กใชเ้ มลด็ ขา้ วเปลอื กมาทา� เปน็ มาลยั แทนดอกไม้ ขบวนแหไ่ ปถวายวัด เน่ืองจากแต่เดิมชาวชุมชนแถบนี้เชื่อว่าข้าวเป็นสิ่งมีคุณค่า การถวายเป็นพุทธบูชาจึงได้อานิสงส์และบุญกุศลมาก ดังพบ 54 ว่ามีการถวายข้าวจ่ีเป็นพุทธบูชาอยู่แล้ว ส่วนการบูชาด้วย ข้าวตอกนั้นสันนิษฐานว่าในสมัยเริ่มแรกอาจเป็นเพียงการนา� ข้าวตอกแตกใส่พานไปบูชาพระแบบเรียบง่าย ก่อนจะพัฒนา
๓ เปล่ียนแปลงรูปแบบการน�าเสนออย่างสร้างสรรค์และงดงาม สว่ นรปู ทรงของพวงมาลยั ทชี่ าวบา้ นนยิ มประดษิ ฐเ์ พอื่ นา� ข้ึนด้วยการน�าไปร้อยเป็นพวงมาลัยขาวบริสุทธิ์ อุปมาด่ังมวล มาประกวดความสวยงามมี ๒ แบบหลกั ๆ คอื มาลยั แบบขอ้ และ ดอกไม้จากสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์เพอ่ื ถวายแด่พระพทุ ธเจ้า ซง่ึ ต้อง มาลยั แบบสายฝน ซง่ึ มรี ายละเอยี ดในลวดลายแตกตา่ งกนั ขน้ึ อยู่ อาศัยภูมิปัญญาในการประดิษฐ์และการสร้างสรรค์ท่ีผ่านการ กบั พลงั ศรทั ธาและจนิ ตนาการของผสู้ รา้ งสรรคผ์ ลงาน (ปจั จบุ นั มี สืบทอดและสงั่ สมมายาวนาน การทา� มาลยั จว๋ิ ซงึ่ มลี กั ษณะเหมอื นมาลยั สายฝนทกุ ประการแต่ ย่อส่วนให้เล็กลง เพ่อื ใช้เป็นของฝากของที่ระลกึ แด่ผู้มาเยือน) ถ้าใครมีโอกาสไปร่วมงานบุญแห่มาลัยข้าวตอกของ ชาวอา� เภอมหาชนะชยั คงไดป้ ระจกั ษแ์ กส่ ายตาวา่ มาลยั ขา้ วตอก มาลยั แบบขอ้ มลี กั ษณะตามชอ่ื เรยี ก คอื การนา� ขา้ วตอกแตก แต่ละพวงมีหลากหลายรูปแบบ ต้องอาศัยท้ังศาสตร์และศิลป์ มาร้อยต่อกันเป็นสายแล้วมัดรวมเป็นข้อ มีลักษณะเหมือนนา� ในการรอ้ ยเรยี ง หลกั เบอ้ื งตน้ ในการรอ้ ยขา้ วตอกใหด้ ขู าวบรสิ ทุ ธิ์ แท่งดอกข้าวตอกแตกหลายๆ อันมาผกู ไว้ด้วยกันจนดสู วยเด่น และเมล็ดไม่แตก ต้องใช้เขม็ ขนาดเลก็ (เบอร์ ๙) และด้ายสขี าว (เบอร์ ๒๐) ร้อยเมล็ดข้าวตอกแตกทางด้านที่มีสีหมองหรือ ส่วนมาลัยแบบสายฝนเป็นการร้อยข้าวตอกแตกด้วย อมเหลอื ง โดยนยิ มรอ้ ยตดิ ตอ่ กนั แบบอบุ ะ (รอ้ ยเขา้ เปน็ สายแลว้ เส้นด้ายยาว เมอ่ื น�าหลายๆ เส้นมารวมเข้าด้วยกันก็กลายเป็น เข้าพวงอย่างพู่แบบเดียวกับมาลยั ดอกรกั ทว่ั ไป) พวงมาลยั ทป่ี ระกอบดว้ ยเสน้ ขา้ วตอกแตกจ�านวนมาก พลว้ิ ไหว ตามกระแสลมได้ง่ายจนดคู ล้ายกบั สายฝน 55เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
๑ ๑๒ 56
๑-๓ มาลยั ขา้ วตอกจะถูกนาำ ไปถวายวัดหลังจากส้นิ สุดขบวนแห่ ประดบั ประดาตกแต่งและเก็บรกั ษาไว้ จนกว่าฤดูกาลแห่งศรัทธา จะมาถึงอกี ครั้งในปหี น้า สายมาลยั ทน่ี �ามาประกอบเขา้ ในพวงมาลยั ขา้ วตอกแตก ๓ มีความยาวแตกต่างกนั ไม่ต่า� กว่า ๓ ขนาด ความยาวโดยเฉลี่ย หากมีโอกาสควรแวะไปร่วมงานจะได้ทั้งอ่ิมบุญและ อย่ทู ปี่ ระมาณ ๓-๔ เมตร จ�านวนสายจะมากนอ้ ย เลก็ หรอื ใหญ่ ขนึ้ อยกู่ บั พลงั ศรทั ธาและความสามารถของผสู้ รรคส์ รา้ ง สายพวง ประทับใจกับขบวนรถแห่พวงมาลัยข้าวตอกอันสวยงามในรูป มาลยั ต่างขนาดเหล่านจี้ ะถกู น�ามามดั เขา้ กบั กงไมไ้ ผ่ ซงึ่ อาจท�า แบบต่างๆ พร้อมเก็บภาพประทับใจของขบวนชาวบ้านท่ีถือ ข้ึนเป็นรูปวงกลมต่างขนาดซ้อนกัน หรือเป็นรูปกรอบไม้ไผ่ ลา� ไมไ้ ผย่ กพวงมาลยั ขา้ วตอกเหนอื พน้ื ดนิ ดว้ ยความรสู้ กึ เทดิ ทนู สามเหลย่ี ม ๒ อนั ทน่ี า� มาผกู ไขวท้ บั กนั จนมลี กั ษณะเปน็ ดาว ๖ แฉก บูชาในส่ิงสูงค่าท่ีน�าไปถวายเป็นพุทธบูชา ตามด้วยขบวนกฐิน (คลา้ ยเฉลวหรอื ตาแหลวในงานจกั สาน) กงไมไ้ ผเ่ ปน็ สว่ นสา� คญั ยง่ิ ท่ปี ระดบั ตกแต่งด้วยส่งิ ของและปัจจยั ไทยทาน ในการขน้ึ สายมาลยั ขา้ วตอก เพราะใชเ้ ปน็ ทมี่ ดั ยดึ สายมาลยั ให้ เกดิ เป็นรปู ทรงงดงามแบบต่างๆ ตามทตี่ ้องการ บรรยากาศในงานบญุ กอ่ นวนั มาฆบชู า ทตี่ า� บลฟา้ หยาด จึงเต็มไปด้วยความสวยงาม น่าตื่นตา และรื่นเริงสนุกสนาน การข้นึ สายตามโครงสร้างมาตรฐานนน้ั มมุ นอก ๖ มมุ ไปด้วยรว้ิ ขบวนร�าเซ้ิง ขบั คลอด้วยเสยี งพิณและกลองยาวตาม จะมดั สายมาลยั ท่สี ้ันท่สี ุด มุมละ ๕-๙ สาย มุมใน ๖ มุม จะมดั วิถีของชาวอีสาน แต่ท่ีโดดเด่นไม่เหมือนใครคงเป็นพวงมาลัย สายมาลัยที่ยาวขนาดกลาง มุมละ ๕-๙ สาย ส่วนตรงกลาง ขา้ วตอกจา� นวนกวา่ รอ้ ยพวงทเี่ กดิ จากพลงั ศรทั ธาและภมู ปิ ญั ญา เตรยี มไว้ส�าหรบั มาลัยพวงใหญ่และยาวที่สดุ สายเดยี ว ของชาวบ้าน ซึ่งมีให้ชมเฉพาะที่ตัวอ�าเภอมหาชนะชัย จังหวัด ยโสธรแห่งน้ีเท่านนั้ เม่ือผ่านขั้นตอนการขึ้นสายจนได้รูปทรงมาลัยตาม เอกสารอา้ งองิ ต้องการแล้ว ผู้สร้างสรรค์ยังสามารถต่อเติมลวดลายต่างๆ และประดบั ตกแตง่ สรอ้ ยระยา้ ใหด้ งู ดงามขน้ึ อกี โดยการแตม้ เตมิ หลกั สูตรวชิ า อช 03059 มาลยั ข้าวตอก โดย ศูนย์การศึกษานอกระบบและ สีสันด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ พู่สีสวย รวมไปถึงการผูกสายมาลัย การศึกษาตามอัธยาศัย อ�าเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ให้มีลวดลายสวยงามแปลกตาในแบบต่างๆ อาทิ ลายตาข่าย ลายเกล็ด ลายก้านสามดอก ลายกระเบื้อง ลายสี่ก้านส่ีดอก ลายดาวกระจาย ลายแกว้ ชงิ ดวง ลายแมงมมุ ลายดาวลอ้ มเดอื น ลายวิมานแปลง หรือลายแบบอ่ืนๆ ตามแต่ฝีมือและความคิด สร้างสรรค์ ผลงานมาลยั ขา้ วตอกจากพลงั ศรทั ธา ภมู ปิ ญั ญา และงาน ฝีมือของชาวอ�าเภอมหาชนะชัยที่จัดแสดงให้ชมกันในงานบุญ พวงมาลยั ใหญป่ ระจ�าปี นบั เปน็ อกี ความงดงามในวถิ วี ฒั นธรรม ของชาวถิ่นอีสานที่น่าสนใจ จนได้รับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อย่างยิ่งใหญ่ให้เป็นอีกหนึง่ ไฮไลต์ นอกเหนือจากงานบญุ บง้ั ไฟ ซ่ึงสร้างช่ือให้กับจงั หวดั ยโสธรมาช้านาน 57เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
จักรวาลทศั น์ สงวนศรี ตรเี ทพประติมา เรอื่ ง สายณั ห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์ ภาพ ศอายสตู่ไรฟแ์ ห.ง่.ก.ารฟน้ื ฟกู ายใจแม่ หากผชู้ ายมภี าระหนา้ ทย่ี งิ่ ใหญค่ อื การออกรบเพอ่ื ปกปอ้ งบา้ นเมอื ง ผหู้ ญงิ กม็ ศี กึ ใหญท่ ห่ี นกั ไมแ่ พก้ นั นน่ั คอื การคลอดลกู แมว้ า่ การใหก้ า� เนดิ ชวี ติ ใหมท่ ด่ี เู หมอื นเปน็ เรอื่ งธรรมชาตขิ องผหู้ ญงิ ทเ่ี ปน็ แม่ แตส่ มยั กอ่ นการขาดความรทู้ ถ่ี กู ตอ้ งทา� ใหแ้ มแ่ ละเดก็ มอี ตั ราการตายสงู มาก ดงั โบราณวา่ “การออก ศกึ สงครามเปน็ การเสยี่ งชวี ติ สา� หรบั คนเปน็ พอ่ ฉนั ใด การคลอดลกู กเ็ ปน็ การเสย่ี งตายส�าหรบั คนเปน็ แม่ ฉนั นน้ั ” หลงั ผา่ นสงครามหนกั หนว่ งในการคลอดมาไดแ้ ลว้ จากนไ้ี ปคอื ภารกจิ ทใ่ี หญก่ วา่ เพราะแมต่ อ้ ง มรี า่ งกายแขง็ แรงพอทจ่ี ะผลติ นา�้ นม มพี ละกา� ลงั ทจ่ี ะดแู ลปกปอ้ งลกู นอ้ ยใหเ้ ตบิ ใหญต่ อ่ ไป การอยไู่ ฟ เปน็ การดแู ลตัวเองของหญิงหลงั คลอดอันเปน็ ภูมิปัญญาแตโ่ บราณ โดยการใช้ความรอ้ นช่วยกระตนุ้ การหดตวั ของมดลกู สมานแผล เปน็ ช่วงเวลาพักผอ่ นหลังคลอด ซึง่ นอกจากจะชว่ ยฟ้ืนฟูสภาพร่างกายแลว้ การได้รับการดแู ลเอาใจใส่ ยังส่งผลทางด้านจิตใจและสรา้ งความอบอุ่นใหก้ ับแม่และเดก็ เกิดใหม่อกี ด้วย 58
59เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
หลกั การของการอยูไ่ ฟคือการนอนบนไม้กระดาน และมีกองไฟก่อไวด้ า้ นข้าง ตลอดระยะเวลา ๗-๓๐ วัน มกี ารควบคุมอาหาร งดของแสลง และนวดประคบดว้ ยสมุนไพร ทบั หม้อเกลือ เป็นการนำาเกลือสมทุ รใสห่ มอ้ ดนิ เผาต้ังไฟใหร้ อ้ น แล้วนำาไปวางบนใบพลบั พลึง ห่อดว้ ยผา้ ทำาเป็นลกู ประคบ เพ่ือนำาไปนวดบรเิ วณท้องนอ้ ยและรอบๆ สะโพก 60
นับแต่อดีต บรรพบุรุษเราได้เสาะหาและสะสมภูมิรู้ การนาำ เกลอื สมุทรใสห่ มอ้ ดนิ เผาตงั้ ไฟให้รอ้ น ท่ีจะฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของผู้เป็นแม่ให้พร้อมส�าหรับการ เลี้ยงลูก จนค้นพบกระบวนการท่ีเรียกว่า “อยไู่ ฟ” การอยู่ไฟ ปัจจุบันความเคร่งครัดต่างๆ ได้ลดลงไปมาก เช่น การ เป็นวิถีปฏิบัติท่ีมีกันทุกชุมชนท่ัวทุกภาคของประเทศ อาจมี เข้าออกบริเวณอยู่ไฟท�าได้ตามสะดวก การแต่งตัวอาจเป็น รายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น แต่โดยรวมมี ผ้าถุงตัวเดียวนุ่งกระโจมอกหรือนุ่งแค่ถึงเอว ขณะท่ีบางคน หลกั การเดยี วกนั คอื การใช้ความร้อนจากไฟเป็นยา ช่วยขบั ไล่ สวมเสอ้ื แขนยาว นงุ่ หม่ มดิ ชดิ เพราะเชอื่ วา่ จะชว่ ยเกบ็ ความรอ้ น ของเสียออกจากร่างกาย กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี ลดความ ได้ดี ส่วนข้อห้ามเร่ืองอาหารการกินก็น้อยลงเพราะมีความรู้ ปวดเน้อื ปวดตัว ช่วยรกั ษาแผลทีช่ ่องคลอด หรอื พูดแบบภาษา ทางโภชนาการมากข้ึน แม้ว่าหลายเรื่องจะถูกปรับประยุกต์ บ้านๆ ว่า ขับน�้าคาวปลา ท�าให้มดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วข้ึน ไปมากแล้ว แต่ยังคงเช่ือม่ันว่าการอยู่ไฟนั้นสา� คัญและจ�าเป็น โดยน�าความรู้เรื่องสมุนไพรในท้องถิน่ นั้นๆ มาใช้ร่วมด้วย หากแมไ่ มไ่ ดอ้ ยไู่ ฟ ตอ่ ไปจะทา� งานหนกั ไมค่ อ่ ยได้ ปวดเมอ่ื ยงา่ ย หรือมักมีอาการหนาวสะท้านเม่ือถูกลมฝนหรืออากาศเย็น ทางอสี านเรยี กการอย่ไู ฟว่า “ยเู่ ดอื น” หรอื “อยกู่ รรม” ซึ่งบางคนจะเป็นทันที ขณะที่บางคนจะมีอาการเมื่ออายุ หรอื “หมอ้ กรรม” “หมอ้ เวร” ส่วนภาษาล้านนาว่า “อยกู่ า๋� ” มากขน้ึ หรอื “กา๋� อย”ู่ ควบคไู่ ปกบั คา� วา่ “กา�๋ กนิ ” หมายถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั ติ วั ในการอยแู่ ละการกนิ ของแมห่ ลงั คลอด ซง่ึ เรยี กวา่ “แมก่ า๋� เดอื น” กระบวนการอยู่ไฟ สมัยก่อนต้องเตรียมการกัน เหตทุ เี่ รยี ก กา๋� หรอื กรรม เพราะมองวา่ ผหู้ ญงิ หลงั การคลอดลกู ตอ้ ง กนิ ร้อน อาบร้อน นอนร้อนเหมอื นคนมกี รรม ต้องอดทนอดกลน้ั ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ มักก�าหนดให้สามีต้องเป็นผู้เตรียมการ อยู่เป็นเดอื น อกี ท้ังสมยั ก่อนมขี ้อห้ามเคร่งครัดมาก เช่น ไม่ใส่ ต่างๆ ตั้งแต่เตรียมสถานที่ ปัดกวาดทา� ความสะอาด เตรียม เสอื้ ผา้ ปดิ เฉพาะอวยั วะเพศเพอื่ ตอ้ งการใหร้ า่ งกายถกู ความรอ้ น เตาไฟ จดั หาไมก้ ระดานมาท�า “แมส่ ะแนน” คอื เตยี งทจ่ี ะใหแ้ ม่ อย่างทวั่ ถึง ห้องหับที่อยู่ไฟจงึ มักปิดทบึ เป็นส่วนตวั และป้องกนั นอนอยู่ไฟ บางที่ใช้แคร่ไม้ไผ่ แม่สะแนนจะใช้ไม้กว้างแค่พอดี ไม่ให้ความเย็นหรอื ลมเข้ามากระทบตัวแม่ได้ ห้ามแม่ออกนอก ตัวเพ่ือให้แม่ขยับตัวหนีไฟได้ยาก แล้วยังต้องออกไปหาฟืน บรเิ วณทอ่ี ยไู่ ฟ ยกเวน้ เวลาเขา้ หอ้ งนา้� หรอื ใหน้ มลกู เทา่ นน้ั บางท่ี และสมุนไพรท่ีจ�าเป็น น้�ากินน�้าใช้ก็ต้องตักใส่ตุ่มเตรียมให้พอ นา� เดก็ เขา้ มาอยกู่ บั แมเ่ ลยกม็ ี ขณะทค่ี นเหนอื หา้ มนอนราบกบั พนื้ ฯลฯ นับเป็นกุศโลบายของคนโบราณท่ีท�าให้สามีมีส่วนร่วม แม่ก๋�าเดือนต้องอยู่ในท่า “นอนเซงิ่ ” หรือกึ่งนั่งกึ่งนอนตลอด ในความทกุ ขย์ าก และไดเ้ อาใจใสภ่ รรยา ชว่ ยคลายความเหนอื่ ยลา้ เพอื่ ให้น้�าคาวปลาที่ค้างอยู่ไหลออกสะดวก และความวิตกกังวล เม่ือแม่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจก็จะมี น้า� นมให้ลูกมาก นอกจากนเี้ รอ่ื งอาหารการกนิ กม็ ขี อ้ หา้ มเชน่ กนั สมยั กอ่ น ระหว่างอยู่ไฟจะให้กินแต่อาหารแห้ง เช่น ข้าวกับปลาแห้ง ในรายที่เคร่งครัดมากช่วงคร่ึงเดือนแรกกินได้แต่ข้าวกับเกลือ ก็มี บางทีท�าเป็นข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนเสียบไม้จี่ไฟ) ห้ามของคาวแทบทุกชนิด เนื้อสัตว์ อาหารรสเย็น เช่น ผักสด เพราะจะท�าให้ท้องอืด ผักกลิ่นฉุนอย่างชะอมถือว่า ขะล�า (ตอ้ งห้าม) มาก ของหมกั ดองกห็ ้ามเพราะจะทา� ใหเ้ ลอื ดลมตขี น้ึ คติโบราณจึงถือว่าการอยู่กรรมเป็นช่วงเวลาท่ีลูกผู้หญิงได้รับรู้ ความเจบ็ ปวดทรมานของแมใ่ นการคลอดลกู และความล�าบาก ทแี่ มต่ อ้ งอดตอ้ งทนเพอื่ ลกู เชน่ เดยี วกบั ลกู ผชู้ ายทเี่ วลาบวชแลว้ ต้องได้รับรู้ความทุกข์ของแม่ 61เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
สง่ิ สา� คญั ของการอย่ไู ฟ คอื เชอ้ื เพลงิ ทใี่ หค้ วามร้อน ตอ้ ง ลูกจะเป็นกระสือ สามีต้องเป็นผู้ช่วยแม่สุมไฟทั้งกลางวันและ เปน็ ฟนื หรอื ถา่ นทไ่ี ม่แตกเปน็ สะเกด็ ไฟ ควนั นอ้ ยและไมแ่ สบตา กลางคนื ‘ชว่ งกลางคนื แมก่ า�๋ เดอื นตอ้ งเตรยี มไมเ้ รยี วไวข้ า้ งๆ ตวั และตอ้ งเปน็ ไมท้ ไ่ี มม่ พี ษิ ถา้ ไดไ้ มท้ ชี่ อ่ื เปน็ มงคลดว้ ยจะดมี าก เชน่ ๑ อัน หากสามีเผลอหลับ ไฟดับ จะใช้ไม้เรียวคอยสะกิดสามี ไมจ้ กิ ไมแ้ ก ไมแ้ สนคา� ไมต้ วิ้ ไมแ้ ต้ ทนี่ ยิ มมากคอื ไมม้ ะขามปอ้ ม ให้ช่วยเตมิ ’ ไม้คอม ดงั ค�าโบราณว่า “ไมข้ ามปอ้ ม ไมค้ อมถกู จงึ เปน็ แนว” ไมท้ มี่ พี ษิ หา้ มใช้ เชน่ ตน้ น�้าเกลย้ี ง ไมก้ งุ ไมแ้ ดง ไมด้ ู่ ไมก้ ระบก แม่ต้องกลับหรือพลิกล�าตัวทุก ๑๕ นาทีโดยประมาณ ไม้พันชาด ส่วนภาคเหนือ ฟืนหรือหร่ัวท่ีให้ใช้ได้มีไม่กี่ชนิด เพอ่ื ให้ทุกส่วนของร่างกายท้ังด้านหน้า ด้านหลัง แขน ขา และ เช่น ไม้มะขาม ไม้แพ่ง ไม้แต้ว และต้องเลือกตัดจากต้นที่มี เทา้ ไดร้ บั ความรอ้ นอยา่ งสมา�่ เสมอ รวมถงึ การยนื ครอ่ มไฟ หรอื ชีวิตเท่านั้น ฟืนที่ได้ต้องน�ามาปอกเปลือกออก ตากแห้งไว้ ใช้วิธีนั่งข้างท่ีนอน อ้าขาให้ช่องคลอดได้ความร้อนจากไฟด้วย ให้พอใช้ตลอดระยะเวลาอยู่ไฟ ไม้เปียกจะติดไฟยากและถ้ามี เรียกว่า การขางช่องคลอด เปรียบเสมือนการอบฝีเย็บในการ เปลือกติดไฟแล้วจะมีควัน มีกล่ินเหม็น คนอีสานยังว่าต้องตัด แพทยป์ จั จบุ นั ชว่ ยใหแ้ ผลแหง้ ไมบ่ วม และหายเรว็ ขนึ้ นอกจากน้ี เป็นท่อนเลก็ ๆ เพอ่ื ให้เวลาติดไฟจะได้ไหม้หมดโดยไม่ต้องพลิก ยงั มกี ารขางเตา้ นมเพอื่ ใหน้ า�้ นมออกดี และการขางหนา้ ดว้ ยการ เพราะเชอ่ื ว่าถ้าพลิกจะท�าให้ผู้อยู่ไฟเกิดผดผนื่ โรยเกลอื ลงในเตาไฟ ใชผ้ า้ คลมุ ศรี ษะแลว้ ลมื ตาเขา้ หาไฟ เชอ่ื วา่ ท�าให้ตาสว่างไม่มัวเม่ือแก่เฒ่าและใบหน้าจะขาวนวล ไม่มีฝ้า สถานท่ที ใ่ี ช้อยไู่ ฟ บ้านเรอื นสมยั ก่อนยกพื้นใต้ถนุ สูง บางคนใช้มะนาวถูหน้า ขม้ินทาตัวด้วย จึงให้แม่อยู่ไฟบนเรือน โดยกั้นบริเวณให้มิดชิด จึงมักเลือกใช้ นอกจากการอยไู่ ฟตามหลกั ใหญท่ ว่ี า่ แลว้ ยงั มกี ระบวนการ ห้องครัว ส่วนการท�าเตาไฟน้ันเลือกใช้ท่อนไม้หรือต้นกล้วย อนื่ ๆ ทใ่ี ชใ้ นการฟน้ื ฟรู า่ งกายแมร่ ว่ มดว้ ย คอื การเขา้ กระโจมยา หั่นเป็นท่อนกั้นล้อมเป็นสี่เหล่ียม แล้วน�ากาบกล้วยปูรองเป็น ประคบตัว การทับหรือนึ่งหม้อเกลือและการน่ังถ่าน ส่วนใหญ่ ช้ันแรกก่อนเทดินลงไปเป็นพื้นเตาเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามถึง ทา� ในครอบครวั ทคี่ อ่ นข้างมฐี านะดี เพราะสมนุ ไพรหายาก และ พน้ื เรอื น สา� หรบั ดนิ ทน่ี า� มาใชต้ อ้ งทา� พธิ หี รอื เอย่ ขอกบั แมธ่ รณดี ว้ ย ต้องว่าจ้างหมอต�าแยมาทา� ให้ และเม่ือออกไฟแล้วต้องนา� กลับไปคืนท่ีเดิม นอกจากเตาไฟใต้ แม่สะแนนแลว้ ยงั ต้องมเี ตาข้างๆ สา� หรบั ต้มนา�้ สมุนไพรกนิ และ ช่วงการอยู่ไฟหญงิ หลงั คลอดจะไดร้ บั การดูแลเอาใจใสเ่ ปน็ อย่างดี มีการนวด อาบ รวมถงึ นา้� อกี โอ่งหนงึ่ หรอื ไหหนงึ่ หากไฟในเตาลกุ แดงมาก ประคบเปยี กเพ่ือกระตนุ้ การไหลเวยี นของโลหิต และบาำ รงุ ผวิ ซึ่งตอ้ งอยู่กบั เกินต้องการ แม่จะได้ใช้ตักดบั ไฟได้ ความรอ้ นเป็นระยะเวลานาน ระยะเวลาอยู่ไฟ ตา่� สดุ ๗ วัน จนถงึ ๑ เดือน ยิง่ อยู่ ได้นานยิ่งดี ท้องแรกก�าหนดอยู่ไฟอย่างน้อย ๑๕ วัน แต่ทาง เหนือเช่ือว่าต้องอยู่ไฟอย่างน้อย ๑ เดือน จึงมีค�าเรียกแม่ หลังคลอดว่า “แม่ก๋�าเดือน” ถ้าเป็นลูกคนแรกต้องอยู่เลย เดือนไป ๒-๓ วัน ถ้าเป็นลูกชายให้อยู่ ๒๕ วัน เพราะเช่ือว่า จะท�าให้ลูกชายคงกระพันกับหอกดาบ ส่วนภาคกลางก�าหนด จ�านวนวันเป็นเลขค่ี เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล ตง้ั แต่ ๗, ๙, ๑๑, ๑๓, ๑๕, ๑๗ และ ๒๑ วัน มากสุดถงึ ๒๙ วัน ถือคติ “วันคู่ลูกถ่ี วันค่ีลูกห่าง” และถ้าเป็นท้องสาวจะย่ิง ให้อยู่นานวัน ตลอดระยะเวลาท่ีอยู่ไฟ แม่จะนอนพักและไม่ทา� อะไร นอกจากกินน้�าร้อน อาบน�้าร้อน ไม่ใช้สบู่ ไม่สระผม ท้ังต้อง ระวังไม่ให้ไฟดับ โบราณใช้ความเชื่อเป็นอุบายว่าหากไฟดับ 62
ประโยชน์ของการทบั หมอ้ เกลือ คอื ทาำ ให้มดลูกเข้าที่ได้เร็ว ลดไขมันหน้าทอ้ ง บรรเทาอาการปวดเม่ือย และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต 63เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
การเขา้ กระโจมยาหรอื การอบตวั มกั ทา� ในตอนเชา้ สมยั กอ่ น การประคบตวั หลงั จากเข้ากระโจมแล้ว นา้� ยาทเ่ี หลอื ทา� โครงกระโจมง่ายๆ ด้วยซไี่ ม้ไผ่ แล้วใช้ผ้าคลมุ ให้มดิ ชดิ ตงั้ ไว้ บนชานเรือน ทใ่ี ต้ถุนก็ตงั้ เตาต้มยาสมุนไพร ซึ่งจะผนึกฝาหม้อ จะน�ามาใช้ประคบตามหน้าตามตัวให้ผ่อนคลาย และประคบ ให้แน่น ฝังท่อกระบอกไม้ไผ่สอดขึ้นส่งไอน้�าเข้าไปในกระโจม คลึงรอบเต้านมช่วยกระตุ้นน้�านมหรือแก้นมคัด หลังประคบ หรอื ยกหมอ้ ยาทต่ี ม้ แลว้ เข้าไปใหแ้ ม่ค่อยๆ แย้มฝาทลี ะนดิ ให้ไอ แลว้ เสรจ็ นา้� ยาทเี่ หลอื นา� ไปเจอื จางนา�้ ไวใ้ ชอ้ าบ แลว้ อาบนา้� อนุ่ ออกมารมหน้าและตัว ประมาณครงั้ ละ ๑๕- ๒๐ นาที มากสุด ล้างอีกทีหนึ่ง ท�าทุกวันจนกว่าจะออกไฟ ตัวลูกประคบท�าด้วย ไมเ่ กนิ ครงึ่ ชวั่ โมง หรอื จนเหงอ่ื ไหลท่วม การขบั เหงอ่ื ออกช่วยไล่ สมุนไพรต�าเคล้าเกลือแล้วใช้ผ้าห่อมัดให้แน่นเป็นลูกประคบ ของเสยี จากรา่ งกาย เลอื ดไหลเวยี นดี และแก้ปวดเมอ่ื ยไดช้ ะงดั สมัยก่อนถ้าเป็นท้องสาวต้องท�าเผื่อไว้อีกลูกให้แม่น่ังทับด้วย สมนุ ไพรท่ใี ช้ทา� ลกู ประคบเป็นหลกั คือ ไพล ว่านนางคา� ขมิน้ ตา� รบั ยาทใ่ี ชต้ ม้ หลกั ๆ คอื เปลอื กสม้ โอ ใบสม้ ปอ่ ย วา่ นน้�า อ้อย ใบมะขาม ใบส้มป่อย อาจมตี ะไคร้ ข่า หอมแดง ขมิ้นชนั ตะไคร้ ผักบุ้งล้อม มะกรูดผ่าเป็นเส้ียวๆ และเกลือหยิบมือ ผิวมะกรูด การบูร ด้วย แต่ถ้าเป็นต�ารับใหญ่จะเพ่ิมราก ภาคเหนอื นยิ มใชใ้ บเปลา้ ตะไคร้ ใบมะขาม บางทใี่ ชว้ า่ นนางค�าฝน หญ้าคา ว่านนา้� ใบส้มเสี้ยว ใบมะค�าไก่ ใบคนทีสอ ใบหนาด หรือต�าหรือคั้นเอาแต่น้�า ผสมเหล้าและการบูรทาให้ทั้งตัวก่อน ใบผักเส้ียนผี ชะลูด เจตพังคี เปลือกกุ่ม ใบและเถาเอ็นอ่อน เข้ากระโจม ปัจจุบันสะดวกสบายข้ึน ใช้หม้อต้มไฟฟ้า หรือ เหงอื กปลาหมอ ตะไคร้หอม พิมเสน เข้าห้องอบแบบทันสมัยกม็ ี ในชนบทการอย่ไู ฟคือชว่ งเวลาของครอบครวั และเดก็ เกิดใหม่ ทจี่ ะได้ใชเ้ วลาดูแลเอาใจใสก่ นั ตลอดระยะเวลา ๗-๓๐ วัน (สทุ ศั น์ รุ่งศิรศิ ิลป์ ภาพ) 64
สมุนไพรและลูกประคบสำาหรบั การอยไู่ ฟ ทีข่ ุดไว้กว้างพอประมาณ จากน้นั นา� “ปเู ลย” (ไพล) มาฝนหรอื ทุบพอแหลกใส่ลงน้�า ๑ ขนั จนข้น แล้วให้แม่น่ังคร่อมหินท่เี ผา จนแดง เอาน�้าปูเลยหยดลงไปให้ไอร้อนข้ึนมาปะทะช่องคลอด ท�าจนกว่าหินจะหมดความร้อนจะช่วยสมานแผลให้แห้งเร็ว ปัจจบุ นั ท้งั สองวธิ นี ้ไี ม่ค่อยทา� กันแล้วเพราะไม่จา� เป็น พิธีกรรมต่างๆ ที่เก่ียวเน่ืองกับการอยู่ไฟ ต่อไปอาจ เหลอื เพยี งค�าบอกเล่า เช่น กอ่ นอย่ไู ฟ ตอ้ งท�า “พธิ เี สยี พษิ ไฟ” โดยหมอต�าแย หมอธรรมหรือผู้รู้จะบูชาขัน ๕ พร้อมว่าคาถา กมันี “ไพฟธิ ปดี ้อบั งพกษิันไไฟม”่ใหเพ้ไฟอื่ ไทม�าใ่ อหันพ้ ตษิ รไาฟยตสกกมับคนุ ไแา้ พงมรเแ่ปลเน็ มะอล่ือนัูกจปตะรระอาคอยบกกสไบัำาฟหแรกมับ็ตแ่กาล้อระงอยู่ไฟ เด็กในภายหลัง มักท�าตอนเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น เช่ือว่า ให้อยู่เย็นเป็นสุขเหมือนอากาศในตอนเช้า ปัจจุบันการอยู่ไฟถูกปรับประยุกต์ให้ง่ายสะดวกสบาย ตอ่ วถิ ชี วี ติ มบี รกิ ารสง่ ผเู้ ชย่ี วชาญไปจดั ทา� ใหถ้ งึ บา้ น หรอื จดั เปน็ ชดุ อยไู่ ฟสา� เรจ็ รปู ทสี่ ามารถซอ้ื ไปทา� เองทบ่ี า้ น สว่ นใหญจ่ ะเหลอื เพียงกระบวนการเข้ากระโจม อบตวั และประคบด้วยสมุนไพร การอย่ไู ฟแบบนอนผงิ อย่บู นฟืนจรงิ ๆ อย่างอดตี ทม่ี รี ายละเอยี ด อนั พถิ พี ถิ นั และมพี ธิ กี รรมตามความเชอื่ ยงั คงเหลอื ปฏบิ ตั อิ ยบู่ า้ ง ตามชนบทต่างจังหวัด แม้การเห็นความสา� คัญและประโยชน์ ของการอยไู่ ฟจะยงั คงอยู่ แตค่ วามหมายของการอยไู่ ฟทเี่ ชอื่ มโยง ไปถึงการเห็นคุณค่าความล�าบากของคนเป็นแม่ กุศโลบายที่ ใหส้ ามมี สี ว่ นรว่ มดแู ลภรรยา ความละเอยี ดออ่ นในมติ ดิ า้ นจติ ใจ เช่นนเ้ี ป็นส่งิ ทีค่ วรรักษาให้อยู่คู่กับวถิ ปี ฏบิ ัตดิ ้วย การทบั หรอื นง่ึ หมอ้ เกลอื หรอื นาบหมอ้ เกลอื บรเิ วณ ขอบคุณ : โรงเรยี นบ้านหอมสมุนไพร จังหวัดเชียงใหม่ เอกสารอ้างอิง หน้าท้องและท้องน้อยช่วยขับน้�าคาวปลาและช่วยให้มดลูก เขา้ อดู่ ขี นึ้ หมอเกง่ ๆ บางคนจะมวี ธิ นี าบหมอ้ เกลอื ทบี่ รเิ วณสะโพก มณฑริ า เขยี วยงิ่ , สรอ้ ย อนสุ รณธ์ รี กลุ , ประไพพรรณ สนุ ทรไชยา. พธิ กี รรม บ้ันเอว ขา และหลัง ท�าวันละ ๒ คร้ัง เช้ามืดและตอนบ่าย อยไู่ ฟในชนบทอสี าน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. ๒๕๓๗. บ้างว่าทา� ทุกวนั จนกว่าจะออกไฟหรอื อย่างน้อย ๓-๔ วนั วรี พงษ์ เกรยี งสนิ ยศ, มาลา สรอ้ ยสา� โรง, กรรณกิ าร์ ชมภศู ร,ี สทิ ธพิ งศ์ อาณา การนั่งถ่าน สมัยก่อนคลอดลูกโดยหมอต�าแยและ ตระกูล, สมโรจน์ ส�าราญชลารัตน์. อยู่ไฟหลังคลอด. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสุขภาพไทย. ๒๕๕๒. ไม่มีการเย็บแผล ดังนั้นจึงใช้วิธีน้ีช่วยสมานแผล โดยใช้ผิว มะกรูด ว่านนา้� นางคา� ไพล ขม้ินอ้อย ชานหมาก ชะลูด ขม้ินผง วรี พงษ์ เกรยี งสนิ ยศ และคณะ. คมู่ อื ๙ ความรคู้ ชู่ มุ ชน ภมู ปิ ญั ญาพน้ื บา้ น ใบหนาด ต�าให้ละเอียดน�าไปตากแดดให้แห้ง เตรียมไว้ก่อน อีสานเพื่อการพ่ึงตนเอง. กรุงเทพฯ : แผนงานพัฒนาภูมิปัญญา เวลาใชก้ น็ า� มาโรยทลี ะหยบิ มอื ลงในเตาไฟขนาดเลก็ ซงึ่ จะวางไว้ ท้องถิ่นด้านสุขภาพเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชน มูลนิธิสุขภาพไทย. ใต้เก้าอี้ที่มีแต่โครงเปิดให้ควันพุ่งสู่ก้นคนนั่ง ภาคเหนือใช้วิธี ๒๕๕๒. ทเี่ รยี กวา่ เขา้ เสา้ คอื นา� หนิ หรอื อฐิ ไปเผาไฟใหร้ อ้ น แลว้ มาใสห่ ลมุ บทความเรอื่ ง “การอยไู่ ฟ เพอ่ื คณุ แม”่ จาก http://www.thaihof.org/main/ article/detail/3836 เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ 65เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
อกั ษรธรรมลา้ นนา 66
ภาษาและหนงั สือ ยทุ ธพร นาคสขุ สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวฒั นธรรมเอเชยี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ยอด เนตรสวุ รรณ, สายณั ห์ ชนื่ อดุ มสวสั ดิ์ ภาพ เหลก็ จารใชส้ �าหรบั จารอกั ษรลงบนใบลาน ค�าวา่ “จาร” หมายถงึ การใช้เหล็กแหลม เขียนลงบนใบลานหรอื ศิลาให้เป็นตัวหนงั สือ คัมภรี ใ์ บลานซง่ึ จารดว้ ยอักษรธรรมลา้ นนา สร้างข้นึ โดยการใช้เหลก็ แหลม เช่ือว่าท่านที่ได้มีโอกาสไปเยือนจังหวัดทาง หรอื “เหล็กจาร” ขีดลงบนใบลานใหเ้ ป็นรอ่ งตัวอกั ษร จากนั้นใชล้ กู ประคบ ภาคเหนือคงจะเคยสะดุดตากับตัวอักษรท่ีอยู่ตามป้าย ชบุ หมึกท่ที �าจากเขมา่ ผสมนา�้ มนั ยางลบไปบนรอ่ งอกั ษรทข่ี ีดไว้ บอกสถานท่ีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนสถาน สถานที่ หมึกสดี า� ก็จะฝงั ลงไปในรอ่ งทา� ใหต้ ัวอกั ษรเดน่ ข้นึ มา ราชการ หา้ งรา้ น หรอื แมแ้ ตบ่ า้ นเรอื นของเอกชนอยบู่ า้ ง แน่นอนว่าทุกคนคงจะรู้จักตัวอักษรไทยและตัวอักษร ส่วนหมึกที่เลอะนอกร่องตวั อักษรก็ใช้ผ้าเช็ดออกให้สะอาด โรมนั หรอื ตวั ภาษาองั กฤษเปน็ อยา่ งดอี ยแู่ ลว้ แตอ่ กั ษร อกี แบบหนง่ึ ซง่ึ มสี ณั ฐานกลมมนทอี่ ยใู่ นปา้ ยนนั้ อาจจะ ไมค่ อ่ ยคนุ้ ตาเทา่ ใดนกั บางคนไพลค่ ดิ วา่ เปน็ อกั ษรมอญ หรืออักษรพม่าไปก็มี จริงๆ แล้วอักษรชนิดนี้เรียกว่า “อักษรธรรมล้านนา” ซ่ึงใช้กันในอาณาจักรล้านนา มามากกวา่ ๖๐๐ ปแี ลว้ 67เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
รูปหลอ่ พระฤๅษีวัชมฤค สรา้ งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๔๗ ทฐ่ี านจารึกดว้ ยอักษร ต้นกา� เนิดอกั ษรธรรมล้านนา ธรรมล้านนา ปจั จุบันจัดแสดงอย่ทู ่ีพิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งแสน บรเิ วณพนื้ ที่ ๘ จงั หวดั ภาคเหนอื ตอนบนของประเทศไทย เส้อื ยนั ตอ์ กั ษรธรรมลา้ นนา ได้แก่ เชยี งใหม่ เชียงราย ล�าพูน ล�าปาง พะเยา แพร่ น่าน ปจั จุบันจดั แสดงอย่ทู ีพ่ พิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน และแม่ฮ่องสอน เดิมเคยเป็นท่ีต้ังของอาณาจักรล้านนา ปฐมกษัตริย์คือพญามังรายเป็นผู้สถาปนาข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 68 ๑๘๓๙ โดยมีเมอื งเชียงใหม่เป็นเมอื งหลวง ประชากรที่เป็น เจ้าของอาณาจกั รคอื ชาวไทยวนหรอื ชาวล้านนา เดมิ ทเี ดยี ว พญามังรายเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเงินยาง (เชียงแสน) ต่อมาทรงเห็นว่าอาณาจักรหริภุญชัย (ปัจจุบันคือจังหวัด ลา� พนู ) อนั เปน็ อาณาจกั รของชาวมอญนน้ั มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง แทบทกุ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม และ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เปน็ ศนู ยก์ ลางดา้ นเศรษฐกจิ พญามงั ราย จึงทรงหาอุบายวิธีต่างๆ ที่จะเข้ายึดครองให้ได้จนกระทั่ง ทรงทา� ได้ส�าเรจ็ ในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ ชาวมอญแห่งอาณาจักรหริภุญชัยมีอักษรใช้เป็น ของตัวเองมาตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘ แล้ว ดังพบ จารึกอักษรมอญโบราณในยุคดังกล่าวจ�านวนหลายหลัก ในเขตจังหวัดล�าพูนและเชียงใหม่ เชื่อว่าอักษรมอญ โบราณของอาณาจักรหริภุญชัยน้ีน่าจะเป็นต้นแบบของ อักษรธรรมล้านนา เพราะอาณาจักรล้านนาได้เจริญขึ้น ในพ้ืนท่ีเดิมของอาณาจักรหริภุญชัย อีกทั้งอักษรมอญ โบราณและอกั ษรธรรมลา้ นนากม็ รี ปู แบบอกั ษรและอกั ขรวธิ ี คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอักษรธรรมล้านนาในยุคแรกๆ เช่น ในคัมภีร์ใบลานเรื่องกุสสราชชาดกของวัดไหล่หิน จังหวัดล�าปาง จารข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๔ พบว่ามีรูปแบบ อักษรและอักขรวิธีคล้ายคลึงกับอักษรมอญโบราณเป็น อย่างมาก ชือ่ เรียกอกั ษรธรรมลา้ นนา อกั ษรธรรมลา้ นนายงั มชี อื่ เรยี กอกี หลายชอื่ เชน่ ตวั เมอื ง ตัวธรรม อักษรไทยวน อกั ษรล้านนา อกั ษรไทยเหนอื และ อกั ษรพนื้ เมอื งลา้ นนาไทย แตใ่ นแวดวงผทู้ ศี่ กึ ษาอกั ษรโบราณ นิยมเรียกว่า “อกั ษรธรรมลา้ นนา” เพราะชาวล้านนาได้ ใช้อักษรชุดน้ีส�าหรับบันทึกหลักธรรมค�าสอนและเร่ืองราว ทางพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องราวอ่ืนๆ ที่มิใช่เรื่องทาง
“พบั สา” ในพพิ ธิ ภัณฑพ์ นื้ ถิน่ ลา้ นนา เมอื งเชยี งใหม่ เหตุท่เี รียกพับสา เพราะทา� มาจากกระดาษสาหนา้ แคบ แผน่ ยาวๆ พับทบตามแนวขวาง กลบั ไปกลับมา สมยั โบราณใช้กา้ นของต้นกูดซ่งึ เปน็ เฟิรน์ ชนดิ หนง่ึ จุ่มน้�าหมกึ เป็นอปุ กรณ์ในการเขยี นบนั ทึก ปจั จบุ ันนิยมใช้ปากกาคอแร้งหรือปากกาหมึกซึม ศาสนา เช่น วรรณกรรมประโลมโลกต่างๆ ก็จะใช้อักษร พยญั ชนะ ๔๔ ตวั เท่ากบั พยญั ชนะของอกั ษรไทย โดยตัวอักษร ฝักขามและอักษรไทยนิเทศในการบันทึก อักษรธรรมล้านนา ที่สามารถเทียบกันได้ตัวต่อตัวมีถึง ๔๓ ตัว แต่อักษรธรรม เก่าสุดเท่าท่ีพบในขณะน้ีคือ จารึกลานทองสมเด็จพระมหา ล้านนาไม่มตี วั อักษร <ฎ> ในขณะเดียวกนั ก็มีตวั อักษร <อย> เถรจุฑามุณิ จารเม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๙ พบท่ีวัดมหาธาตุ อ�าเภอ เพมิ่ เข้ามา เมอ่ื รวมแลว้ จงึ มจี า� นวน ๔๔ ตวั พอดี สว่ นพยญั ชนะ เมือง จังหวัดสุโขทัย ในจารึกลานทองใช้อักษรสุโขทัยเขียน ตัวเชิง หมายถึง ตัวอักษรที่ใช้เขียนเพ่ือทา� หน้าท่ีเป็นตัวสะกด ภาษาไทยและใช้อกั ษรธรรมล้านนาเขยี นภาษาบาลี ตวั ควบกลา้� หรอื ตวั ตามในภาษาบาลี โดยจะเขยี นไวใ้ ตพ้ ยญั ชนะ ตัวเตม็ หรือใต้สระจม มจี า� นวน ๓๕ ตวั ขรูปอแงอบักบษแรลธะรจรา� มนลว้านนนา สระในอักษรธรรมล้านนามี ๒ ชนิด คือ สระลอยและ อักษรธรรมล้านนาแบ่งพยัญชนะออกเป็น ๒ ชุด คือ สระจม สระลอย หมายถงึ สระท่ีสามารถท�าหน้าทเ่ี ป็นพยางค์ พยญั ชนะตวั เตม็ และพยญั ชนะตวั เชงิ พยญั ชนะตวั เตม็ หมายถงึ หรือค�าได้โดยไม่ต้องประสมกับพยัญชนะ มีจ�านวน ๘ ตัว พยัญชนะท่ีเขียนเต็มรูป ใช้เขียนเมื่ออักษรตัวนั้นท�าหน้าท่ีเป็น สระจม หมายถึง สระท่ีใช้เขียนประสมกับพยัญชนะ เพ่ือใช้ พยัญชนะต้นหรือท�าหน้าท่ีเป็นตัวสะกดในบรรทัดเดียวกันกับ ประกอบคา� หรือพยางค์ มีท้ังสระเสียงสั้นและเสียงยาว จ�านวน พยญั ชนะต้น พยัญชนะตวั เต็มของอกั ษรธรรมล้านนามจี า� นวน ๒๙ ตวั เครือ่ งหมายวรรณยุกต์มี ๒ รปู คอื รูปเอก (ไม้เหยาะ) และรปู โท (ไม้ขอช้าง) 69เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ส�าหรับตัวเลขมี ๒ ชุด ชุดแรกเรียกว่าเลขธรรมซึ่งเป็น ตัวอย่างรูปแบบของตัวอักษรธรรมล้านนาบนแผน่ ป้าย ตัวเลขของอักษรธรรมมาต้ังแต่แรก มี ๑๐ ตัว อีกชุดหนึ่งคือ เลขโหราซงึ่ รบั มาจากพมา่ ในภายหลงั มี ๑๐ ตวั นอกจากนยี้ งั มี ตัวอักษรและอักขรวิธีพิเศษอีกมากมายซ่ึงแตกต่างกันไปตาม ความนิยมของแต่ละท้องถิน่ อน่ึงในต�าราเรียนอักษรธรรมล้านนาแต่ละเล่มอาจมี การแบ่งรูปแบบและจ�านวนของอักษรธรรมล้านนาแตกต่าง กันไปบ้าง เนื่องจากใช้เกณฑ์การจัดแบ่งแตกต่างกันไปเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อดูโดยภาพรวมแล้วก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่อย่างใด ขกาอรงแอพกั ษรก่ รรธะรจรามยลา้ นนา สถานภาพของอักษรธรรมลา้ นนา อักษรธรรมล้านนาไม่เพียงแต่ใช้อยู่เฉพาะที่อาณาจักร ในอดีตชาวล้านนาเรียนหนังสือท่ีวัดเป็นส่วนใหญ่ ลา้ นนาเทา่ นน้ั แตย่ งั แพรห่ ลายไปสดู่ นิ แดนอน่ื ทอ่ี ยใู่ กลเ้ คยี ง ซงึ่ ไดร้ บั และถ่ายทอดความรู้กันด้วยอักษรธรรมล้านนาเป็นหลัก ต่อมา อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาไปจากลา้ นนาในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาต้ังแต่ปี จนพฒั นาเปน็ อกั ษรทใี่ ชใ้ นดนิ แดนเหลา่ นน้ั อนั ไดแ้ ก่ อกั ษรธรรม พ.ศ. ๒๔๖๔ เป็นต้นมา ชาวล้านนาจงึ ได้หันไปเรียนภาษาไทย ลาวในสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว หรืออกั ษรธรรม และอักษรไทยท่ีโรงเรียนเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ ในขณะเดียวกันทาง อีสานในภาคอีสานของประเทศไทย อักษรไทขึนในรัฐฉาน ราชการก็ไม่ได้ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนภาษาและอักษรท้องถิ่น เมยี นมา และอกั ษรไทลอื้ ในมณฑลยนู นาน ประเทศสาธารณรฐั ของตวั เอง จนทา� ให้การใชอ้ กั ษรธรรมล้านนาลดน้อยลงจนแทบ ประชาชนจีน ดงั แผนผังต่อไปนี้ จะหาคนอ่านและเขียนไม่ได้ แต่เป็นท่ีน่าดีใจว่าเม่ือประมาณ อกั ษรมอญโบราณ (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) อกั ษรธรรมลา้ นนา (พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐) อกั ษรธรรมลาว/ อกั ษรธรรมลา้ นนา อกั ษรไทขนึ อกั ษรไทลอื้ อกั ษรธรรมอสี าน แผนผังแสดงทมี่ าของอกั ษรธรรมลา้ นนาและพฒั นาการไปเป็นอกั ษรท้องถิ่นชนดิ ตา่ งๆ (ดัดแปลงจาก กรรณกิ าร์ วิมลเกษม, ๒๕๔๒ : ๓๒๐) 70
ศราวธุ กาวชิ ัย หน่ึงในครูผู้สอนภาษาลา้ นนาทีโ่ ฮงเฮยี นสบื สาน ภูมปิ ัญญาล้านนา จังหวัดเชยี งใหม่ วิชาทเี่ ขาสอนมีนักเรียน ให้ความสนใจและสมคั รมาเขา้ เรยี นเขยี นอ่านเป็นประจา� ทกุ ปี ห้องเรียนภาษาล้านนาซ่งึ มนี ักเรยี นหลากหลายวัย แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสนใจและความตระหนกั ถงึ ความส�าคัญของภาษา และอกั ษรท้องถิ่นของคนยุคปัจจุบัน 71เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
การเขียนอกั ษรธรรมลา้ นนาบนใบลานแบบโบราณ ยังได้รบั การสบื ทอดและสง่ เสริมเพอื่ ไม่ใหภ้ มู คิ วามรู้นนั้ ขาดชว่ งหายไป (ศนู ยใ์ บลานศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งใหม่ ภาพ) ๓๐-๔๐ ปีทีผ่ ่านมา ได้มีการฟื้นฟูการเรยี นการสอนอักษรธรรม นอกจากนก้ี รมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม ล้านนาข้ึนมาอีกครั้งทั้งในสถานศึกษาและตามวัดวาอาราม ยงั ไดเ้ ลง็ เหน็ คณุ คา่ ของอกั ษรธรรมลา้ นนา ซง่ึ ถอื เปน็ เครอ่ื งมอื ต่างๆ ท�าให้มีผู้รู้อักษรธรรมล้านนาเพ่ิมจ�านวนขึ้น (กรรณิการ์ สา� คญั ในการสบื ทอดภาษาและภมู ปิ ญั ญาของชาวลา้ นนา จงึ ได้ วิมลเกษม, ๒๕๕๔ : ๑๐๙) ประกาศขนึ้ ทะเบยี นอกั ษรธรรมลา้ นนาใหเ้ ปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญา ทางวฒั นธรรมของชาตปิ ระจา� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕ สาขาภาษา ปัจจบุ นั สถานศึกษาในหลายระดบั ได้ให้ความส�าคญั ต่อ อนั จะเปน็ การสง่ เสรมิ ทอ้ งถนิ่ ในการอนรุ กั ษ์ สบื สาน ฟน้ื ฟู การศึกษาและการอนุรักษ์อักษรธรรมล้านนารวมทั้งอักษร และปกปอ้ งคมุ้ ครองมรดกทางภมู ปิ ญั ญาชนิ้ นไ้ี ดอ้ กี ทางหนงึ่ ท้องถิ่นชนิดอื่นๆ มากข้ึน โรงเรียนระดับประถมศึกษาและ ดว้ ยความรว่ มมอื ของทกุ ภาคสว่ นดงั ทก่ี ลา่ วมา จงึ เชอื่ วา่ อกั ษร ระดับมัธยมศึกษาหลายโรงเรียนบรรจุให้อักษรธรรมล้านนา ธรรมลา้ นนานา่ จะยงั คงดา� รงอยตู่ อ่ ไปไดอ้ กี นาน เป็นรายวชิ าหน่งึ ในหลักสูตรท้องถิ่น ขณะทใ่ี นระดับอดุ มศึกษา ก็มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่บรรจุอักษรธรรมล้านนาให้เป็น บรรณานุกรม รายวิชาเลือกในระดับปริญญาตรี และที่น่ายินดีไปกว่าน้ันคือ มีบางมหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรสอนและวิจัยเก่ียวกับอักษร กรรณกิ าร์ วมิ ลเกษม. (๒๕๔๒).พฒั นาการของอกั ษรโบราณในประเทศไทย. ธรรมล้านนาอย่างเป็นจริงเป็นจังทั้งในระดับปริญญาโทและ ในศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, สงั คมและวฒั นธรรมในประเทศไทย ปริญญาเอก เช่น หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขา = Thailand: Culture and Society. (น. ๓๐๙-๓๘๘). กรุงเทพฯ : วิชาล้านนาศึกษา (หลักสูตรสหสาขาวิชา) คณะมนุษยศาสตร์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (จัดพิมพ์เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระเทพ- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชด�าเนินทรงเปิดศูนย์ หลกั สตู รปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ (จารกึ ภาษาไทยและภาษาตะวนั ออก) มานุษยวิทยาสิรินธร วันอังคารที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๒) คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร เป็นต้น ๑ _______. (๒๕๕๔). ตาำ ราเรยี นอกั ษรไทยโบราณ : อกั ษรขอมไทย อกั ษร ธรรมล้านนา อักษรธรรมอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี : โครงการ ตา� ราภาษา-จารกึ ลา� ดบั ที่ ๓ ภาควชิ าภาษาตะวนั ออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. 72
ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ อโนมา สอนบาลี สัมภาษณ์ สทุ ศั น์ รุ่งศิรศิ ิลป์ ภาพ ปญั ศญลิ ปาะควอื จิสนุนิ ทธรนยี ะสเพาอ่ืรสงั คม แมว้ า่ ศลิ ปนิ จะทำ� งำนตำมแรงบนั ดำลใจ โดย ศกึ ษาจากประเพณที ง้ั รปู แบบทงั้ เทคนคิ วธิ กี ารกอ่ น หลงั จากนน้ั เมื่อเข้าใจแล้ว จึงค่อยวิวัฒนาการให้เป็นเร่ืองใหม่หรือตามวิธี เนน้ ในเรอ่ื งของสนุ ทรยี ะในเชงิ ปจั เจกเปน็ หลกั แตย่ งั การสรา้ งสรรคต์ ามทศั นะสว่ นตน ดว้ ยประสบการณเ์ หลา่ นที้ �าให้ มศี ลิ ปนิ หลำยทำ่ นทสี่ ำมำรถผนวกควำมงำมทำงศลิ ปะ ผมชอบงานศลิ ปะทง้ั สองลกั ษณะ คอื ทง้ั งานทเ่ี ป็นไทยประเพณี เขำ้ กบั ภำพสะทอ้ นทำงสงั คมไดอ้ ยำ่ งลงตวั หนง่ึ ในนน้ั เพราะเราเคยไปศกึ ษาไปคลกุ คลี แมก้ ระทงั่ การไปบรู ณะมากอ่ น คอื ผลงำนจติ รกรรมของอำจำรยป์ ญั ญำ วจิ นิ ธนสำร เราจงึ เหน็ คณุ ค่าตรงนี้ ในขณะเดยี วกนั ด้วยการทมี่ าเรยี นศลิ ปะ ศลิ ปนิ แหง่ ชำติ สำขำทศั นศลิ ป์ (จติ รกรรม) ประจำ� ปี ในปจั จบุ นั สถาบนั สอนใหเ้ ราเรยี นศลิ ปะแบบสมยั ใหมด่ ว้ ย ฉะนน้ั ๒๕๕๗ จิตรกรมำกควำมสำมำรถท่ำนนี้สำมำรถส่ือ เราจะเหน็ แนวทางทที่ า� อยา่ งไรเราจะสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ใหมๆ่ ในศลิ ปะ ควำมงำมทงั้ แนวไทยประเพณแี ละรว่ มสมยั ออกมำได้ เพื่อสะท้อนออกมาพร้อมกับการพัฒนาของสังคม อยำ่ งลกึ ซง้ึ แยบคำย ยง่ิ ไปกวำ่ นน้ั อำจำรยป์ ญั ญำยงั มี โอกำสได้ถวำยงำนในพระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยู่หวั ฉะนนั้ งานของผมบางชว่ งจงึ กลบั ไปทา� ในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ไทย เพอื่ ใหพ้ ระอจั ฉรยิ ภำพดำ้ นศลิ ปะอนั หำทเี่ ปรยี บมไิ ดข้ อง ประเพณเี ลย เชน่ การเขยี นจติ รกรรมฝาผนงั ทสี่ นามบนิ สวุ รรณภมู ิ พระองค์ ปรำกฏตอ่ สำยตำของพสกนกิ รชำวไทย เพราะเขาต้องการลกั ษณะแบบประเพณี ในขณะเดยี วกนั งานที่ ฟุกุโอกะ (ภาพจิตรกรรมขนาด ๓.๒๐ x ๘ เมตร ณ Fukuoka ผลงานศิลปะของอาจารย์มีท้ังแนวไทยประเพณีและ Asian Art Museum ประเทศญปี่ นุ่ ) เปน็ งานไทยประเพณที น่ี า� มา ร่วมสมัย การสร้างงานเหล่าน้ันมีพื้นฐานแนวคิดและ สร้างสรรค์จัดวางให้เป็นเร่อื งใหม่ แม้กระทั่งจติ รกรรมฝาผนังที่ พัฒนาการอย่างไรบ้าง สา� นกั งานใหญไ่ ทยพาณชิ ย์ อนั นน้ั เปน็ เนอ้ื หาสาระทเี่ ปน็ ประเพณี แตเ่ ราสรา้ งสรรคใ์ หเ้ ปน็ เรอื่ งใหมท่ เี่ ปน็ ปจั จบุ นั มากยง่ิ ขน้ึ ผมถอื วา่ ผมเรม่ิ เรยี นทคี่ ณะจติ รกรรมประตมิ ากรรมและภาพพมิ พ์ การทีเ่ ราศึกษาศิลปะไทยประเพณที เ่ี ป็นรากฐาน ท�าให้เรารู้สึก มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ในภาควชิ าศลิ ปะไทยซง่ึ เกดิ ใหมใ่ นสมยั นน้ั ม่ันคงและมีความคิดที่เป็นพ้ืนฐานส�าคัญในการพัฒนาต่อใน (ราว พ.ศ. ๒๕๑๙) เฉลิมชยั โฆษติ พิพฒั น์ เป็นรุ่นแรก ส่วนผม เรื่องใหม่ๆ ตรงนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องส�าคัญ เมื่องานศิลปะเรามี รุ่นสอง โดยที่ทางภาควิชายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะสอน โอกาสเผยแพร่ไปยังต่างประเทศ หรือสู่ความเป็นนานาชาติ แบบไหน เบอ้ื งตน้ คอื สอนคตคิ วามเชอ่ื ความเขา้ ใจ หรอื ใหเ้ ราไป เราจึงเห็นชัดว่างานศิลปะของเราเป็นร่วมสมัยแต่ยังมีรากเหง้า ท่ีเป็นของเราปรากฏอยู่ 74
ร่วมแสดงผลงานกบั ๒๓ ศิลปินเอกของไทย ในนทิ รรศการ ศิลปะไทยร่วมสมยั ไทยเนตร ณ หอศลิ ปวัฒนธรรมแห่งกรงุ เทพมหานคร ๑๘ มนี าคม - ๗ สงิ หาคม ๒๕๕๙ 75เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
วา่ ศลิ ปะสามารถสอดแทรกธรรมะใหค้ นหรอื สงั คมเขา้ ใจไดง้ า่ ยขนึ้ ผดิ กบั แตก่ อ่ นทเ่ี รามกั จะเขา้ ใจวา่ ธรรมะเปน็ เรอื่ งของพระ ไมใ่ ชเ่ รอื่ ง ของชาวบา้ น แตเ่ มอื่ มาทบทวนจงึ เหน็ วา่ งานศลิ ปะนน้ั ผกู พนั อยกู่ บั ศาสนามานาน อาจจะเปน็ พน้ื ฐานทเี่ ราศกึ ษาจติ รกรรมทที่ �าใหเ้ รมิ่ ศกึ ษาเรอื่ งพทุ ธประวตั ไิ ปดว้ ย แตจ่ ติ รกรรมทพี่ ดู ถงึ เรอื่ งธรรมะหรอื ปริศนาธรรมกลบั มนี ้อย เพง่ิ เรม่ิ มีในสมัยรัชกาลท่ี ๔ แต่ธรรมะ ท่ีพูดถงึ เรอื่ งปัจจบุ ันยงั ไม่มี ส่งิ เหล่าน้ีจึงเป็นแนวคดิ ที่ท�าให้ผม อยากสะท้อนผ่านการท�างานศลิ ปะ ปจั จบุ นั ผลงานศลิ ปะของอาจารยเ์ นน้ รปู แบบและเทคนคิ อาจารยม์ โี อกาสไดถ้ วายงานในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อยา่ งไร มคี วามคลคี่ ลายของแนวคดิ อยา่ งไรบา้ ง โดยเฉพาะ เพอ่ื เผยแพรพ่ ระอจั รยิ ภาพทพ่ี ระองคท์ รงงานดา้ นจติ รกรรม งานรนุ่ หลังๆ ที่เน้นปรัชญาด้านพุทธศาสนา ประสบการณ์ตรงนมี้ คี ณุ ค่าทัง้ ในระดบั ปัจเจกและต่อสังคม อย่างไรบา้ ง ผมระลกึ อยเู่ สมอวา่ ผมโตจากจติ รกรรมแบบประเพณี ไม่ อยากใหง้ านจติ รกรรมแบบประเพณหี ยดุ ไปกบั ยคุ สมยั แตน่ า่ จะมี ประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๓๙ ผมเรมิ่ เขา้ มารบั ตา� แหนง่ ชวี ติ และเคลอื่ นไหวไปกบั การเปลย่ี นแปลงของสงั คมปจั จบุ นั หรอื เปน็ รองอธกิ ารบดฝี า่ ยศลิ ปวฒั นธรรม ซงึ่ เปน็ รองอธกิ ารบดคี นแรก ในอนาคตก็แล้วแต่ ฉะน้ันเราต้องศึกษาว่ามีปรากฏการณ์หรือ ของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากรที่รับต�าแหน่งน้ี ส่งิ แรกทผี่ มอยากท�า มีเรือ่ งใหม่ๆ อะไรบ้าง ท้งั ความคิด เทคนคิ วิธีการ วสั ดุท่จี ะนา� มากทสี่ ดุ และไดท้ า� คอื การศกึ ษารวบรวมและซอ่ มภาพจติ รกรรม มาใช้ เม่ือศึกษาและได้ความรู้ต่างๆ เพมิ่ เตมิ ผมจึงนา� มาใช้กับ ฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อก่อนเราไม่มี งานจติ รกรรม ซง่ึ ส่วนตัวผมเองค่อนข้างเปิดทศั นะกว้างวา่ อะไร โอกาสท�า พอเราเป็นผู้บริหารเราสามารถผลักดันนโยบายและ ที่เราสามารถหยบิ มาใช้ได้ สอ่ื ความหมายได้ และตรงกบั ใจเรา ท�าให้เกิดขึน้ ได้ ทราบว่าท่านทรงพระอจั ฉรยิ ภาพในด้านศิลปะ สามารถทา� เป็นงานของเราได้ท้ังน้ัน โดยเฉพาะศลิ ปะสมยั ใหม่ เมอ่ื กอ่ นภาพจติ รกรรมฝพี ระหตั ถจ์ ะเกบ็ รกั ษากระจดั กระจายตามท้องพระคลงั หรอื พระทนี่ งั่ ตา่ งๆ ครง้ั นี้ ในสว่ นของความสนใจในธรรมะ เกดิ ขนึ้ จรงิ ๆ ตอนเรยี นอยู่ เป็นโอกาสท่ีผมได้รวบรวม หลังจากรวบรวมแล้วจึงศึกษาวิจัย ปี ๔ ทศ่ี ลิ ปากร ประมาณ ๒๕๒๒ เพราะเราเจอพระอาจารยท์ ส่ี อนดี เขยี นเปน็ หนงั สอื ขนึ้ มา แลว้ รว่ มกบั กรมศลิ ปากรท�าการซอ่ มแซม เมอื่ กอ่ นมองศาสนาเปน็ แคป่ ระเพณหี รอื การปฏบิ ตั เิ พอ่ื บญุ กศุ ล อนรุ กั ษผ์ ลงานฝพี ระหตั ถใ์ หส้ มบรู ณ์ สว่ นใหญจ่ ติ รกรรมฝพี ระหตั ถ์ แคน่ นั้ เอง พอไดฟ้ งั เทศนท์ จี่ บั ใจจงึ เรมิ่ สนใจ แตย่ งั ไมค่ ดิ ทจ่ี ะน�า เป็นภาพเขียนสีน�า้ มัน เมือ่ รวบรวมแล้วจงึ จัดทา� เป็นทะเบยี นไว้ แนวคดิ ดา้ นพทุ ธศาสนามาทา� งานศลิ ปะ เพราะผมสนใจเรอ่ื งเหตกุ ารณ์ เรยี บร้อยแล้วท่ใี นพระบรมมหาราชวงั ปัจจบุ นั ความขดั แย้งทางสงั คมเหล่านีม้ ากกว่า แต่เรื่องนย้ี ังอยู่ ในใจตลอด เพราะเราสนใจเปน็ การสว่ นตวั จนกระทงั่ ตอ่ มาจงึ เรมิ่ จากการทผี่ มไดเ้ หน็ ภาพฝพี ระหตั ถจ์ �านวนมากๆ เปน็ รอ้ ยองค์ มาคดิ วา่ ในเมอ่ื เรามาสนใจธรรมะ แตเ่ วลาทา� งานศลิ ปะกลายเปน็ อกี ทา� ใหเ้ ขา้ ใจวา่ พระองคท์ า่ นทรงศกึ ษาดว้ ยพระองคเ์ อง แตใ่ นขณะ เรอ่ื งหนง่ึ ทา� ไมเราไมน่ า� สงิ่ ทส่ี นใจมาทา� ใหเ้ ปน็ งานศลิ ปะ งานของเรา เดยี วกนั ทา่ นทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหศ้ ลิ ปนิ เขา้ มารว่ มพดู คยุ จงึ เรมิ่ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั เชงิ พทุ ธ ธรรมะหรอื ปรชั ญามากยง่ิ ขน้ึ มองเหน็ สนทนาเกย่ี วกบั งานศลิ ปะ ใหศ้ ลิ ปนิ ชว่ ยวพิ ากษง์ านของพระองคท์ า่ น นอกจากนนั้ ทา่ นทรงศกึ ษาไปตามระบบของการเรยี นรหู้ รอื ทา� งาน 76 ศลิ ปะ อยา่ งเชน่ การศกึ ษาในลกั ษณะทฝ่ี กึ ทกั ษะทเี่ หมอื นจรงิ กอ่ น เขียนภาพเหมือน เขียนหุ่นนิ่ง เขียนแลนด์สเคปอะไรก็แล้วแต่
๑ ผลงานของ ปัญญา วิจินธนสาร มคี วามโดดเดน่ ในการนาำ รูปแบบ ไทยประเพณี ส่ือความหมาย 77โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์และ เมษายน-มถิ นุ ายคนวา๒ม๕เ๕ป๙น็ นามธรรม
ไปตามระบบ ท่านไม่ได้ทรงศึกษาท่ีสถาบันไหน หลังจากนั้น ผลงานของพระองคจ์ งึ มลี กั ษณะเฉพาะ ไมค่ อ่ ยเหมอื นศลิ ปนิ ในยคุ จึงทรงเริ่มทดลองท�างานศิลปะที่เป็นลักษณะของพระองค์เอง ไหนๆ ทา่ นทรงสามารถคน้ หาลกั ษณะเฉพาะตนของศลิ ปนิ เองได้ ผลงานเรม่ิ สรา้ งสรรคเ์ ปลยี่ นแปลง ไมว่ า่ จะเปน็ ภาพฝพี ระหตั ถท์ ่ี เราดูจากงานหลายๆ ชิ้นเห็นว่าท่านทรงเป็นนักคิด นักทดลอง เปน็ portrait หรอื ภาพอน่ื ๆ เรม่ิ คลคี่ ลายเปน็ งานทเ่ี ปน็ semi-abstract ทรงทา� งานศลิ ปะดว้ ยเทคนคิ วธิ กี ารหรอื รปู แบบทห่ี ลากหลายมาก คือก่ึงเหมือนจริง กึ่งนามธรรม ผสมผสานกัน หรือเป็นงาน จนกระทง่ั ทรงประมวลและผสมผสานใหเ้ ปน็ เอกภาพของตวั เอง expression เมอ่ื เราไดด้ งู านทงั้ หมดจงึ เสมอื นหนง่ึ เหน็ ววิ ฒั นาการ ข้ึนมาได้ หลงั จากท่เี ราเหน็ ภาพฝีพระหตั ถ์จ�านวนมากมายของ ของศลิ ปินทมี่ ีพัฒนาการด้านศิลปะถึงขั้นสูงสดุ พระองคท์ า่ น ในชว่ งระยะเวลาสนั้ ๆ ราว ๒๕๐๓-๒๕๑๐ โดยทา่ น จะทรงงานในช่วงที่ว่างเว้นจากพระราชกรณียกิจ และทรงงาน ดว้ ยความทพี่ ระองคท์ า่ นทรงศกึ ษาดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงมี อย่างจริงจัง ท่านทรงเป็นศิลปินโดยแท้ อสิ รภาพทจี่ ะแสดงออกตามแนวทางการสรา้ งสรรคข์ องศลิ ปนิ ฉะนนั้ 78
ความปลาบปลม้ื ปตี อิ กี งานหนงึ่ คอื เราไดเ้ ขยี นภาพประกอบ ในฐานะศิลปินแห่งชาติ อาจารย์มีบทบาทหน้าที่ในเชิง บทพระราชนพิ นธพ์ ระมหาชนก พระองคท์ า่ นทรงมพี ระปฏสิ นั ถาร สังคมและศลิ ปวัฒนธรรมอยา่ งไรบ้าง หรอื พระวนิ จิ ฉยั รปู ทเี่ ราเขยี นจากบทพระราชนพิ นธ์ งานบางชน้ิ ที่ท่านทรงแก้ให้กลับเป็นงานที่ดีกว่าท่ีเราคิดไว้ ผมจ�าได้ตอนท่ี การเปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาตเิ หมอื นอกี ภารกจิ หนง่ึ ทเี่ ราตอ้ งตระหนกั เขียนให้พระโปลชนกหลุดจากโซ่ตรวนแล้วหนี ผมเขียนตอน ผมคดิ วา่ ในเมอ่ื สถาบนั หรอื สงั คมยกยอ่ งเรา ผมจงึ อยากทา� ใหง้ าน ก�าลังหนีออกจากวัง แล้วถวายให้ท่านประทานพระวินิจฉัย ศลิ ปะหรอื ผลงานทเี่ ราทา� สมควรทจี่ ะไดร้ บั การยกยอ่ ง ฉะนนั้ ในทศั นะ ช่วงน้ันท่านประชวรอยู่ศิริราชแต่ไม่ว่างเว้นจากการทรงงาน ของผม เราจะตอ้ งพฒั นางานศลิ ปะของเราใหเ้ ปน็ ทยี่ กยอ่ งและใหเ้ ปน็ ทา่ นทรงนา� งานทศี่ ลิ ปนิ ถวายไปดใู นหอ้ งบรรทม เพอ่ื พนิ จิ พจิ ารณา ทย่ี อมรบั ใหเ้ หน็ วา่ การเชดิ ชเู กยี รตศิ ลิ ปนิ เปน็ เรอ่ื งส�าคญั ไมใ่ ชเ่ ปน็ งานตลอดเวลา ภาพท่ผี มเขยี นพระโปลชนกก�าลงั เสดจ็ หนอี อก รางวัลที่เป็นผลพลอยได้ แต่เป็นภาระหน้าท่ีที่เราต้องตระหนัก จากวงั ทา่ นตรสั วา่ ตอนนไ้ี มส่ า� คญั ตอนทส่ี า� คญั นา่ จะเปน็ ตอนที่ หมายรวมถงึ ชวี ติ หรอื การปฏบิ ตั ติ วั ในสงิ่ ทเ่ี ยาวชนสามารถใชย้ ดึ เปน็ โซ่ตรวนหลุดออกจากพระโปลชนก มันเหมือนปาฏิหาริย์ อันน้ี แนวทางได้ ใหเ้ ขาคดิ วา่ เปา้ หมายในการทา� งานศลิ ปะไมใ่ ชท่ า� เพอ่ื ส�าคัญกว่า เพราะโซ่ตรวนทั้งหลายหลุดออกเองด้วยพลังของ ความสนกุ หรอื เพราะอยากทา� เทา่ นน้ั เอง แตค่ วรจะมบี ทบาทเกย่ี วขอ้ ง ความบริสุทธ์ิ ผมเลยย่ิงมีจินตนาการ เพราะพระราชวินิจฉัย กบั สงั คม มหี นา้ ทที่ า� ประโยชนใ์ หส้ ว่ นรวมอกี ทางหนงึ่ ดว้ ย ของพระองค์ท่านเหนือจากความจริงที่เราเขยี นตรงนนั้ มอี ยเู่ รอ่ื งหนงึ่ ทผี มอยากเหน็ คอื การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื นน่ั คอื นอกจากนั้นในการท่ีพระองค์ท่านทรงแนะน�าศิลปิน การผลกั ดนั ใหศ้ ลิ ปวฒั นธรรมเขา้ ไปอยใู่ นหลกั สตู รการศกึ ษา หรอื ทา่ นทรงแนะนา� ศลิ ปนิ ไดท้ นั ที แสดงวา่ ทา่ นทรงรอบรมู้ าก แมก้ ระทง่ั ให้ความส�าคัญกับศิลปะมากข้ึน เพราะทุกวันน้ีเรายังมองเร่ือง เรอื่ งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ทเ่ี รามองขา้ มไป งานชน้ิ หนง่ึ ทเ่ี ขยี นพระมหาชนก เศรษฐกจิ เปน็ ตวั หลกั ทจี่ ะผลกั ดนั หรอื พฒั นาประเทศ ซง่ึ แทท้ จ่ี รงิ เข้าไปในสวนแล้วเด็ดมะม่วงกิน ศิลปินเขียนเหมือนเราก�า แลว้ จา� เปน็ ตอ้ งมหี ลายสว่ นทตี่ อ้ งบรู ณาการและท�างานไปรว่ มกนั มะม่วงแล้วกัดกิน ท่านตรัสว่าผิด ให้สังเกตคนอินเดียเวลากิน ถึงจะผลักดันให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ เช่น ในการประดิษฐ์ มะมว่ ง เขาจะนวดใหม้ นั นมิ่ กอ่ น แลว้ บบี ใหน้ �้ามนั ไหลลงมาจาก รถยนต์ แทนทเ่ี ราจะมแี ตว่ ศิ วะกบั นกั วทิ ยาศาสตร์ เราควรตอ้ งมี นิ้ว เรื่องนี้เราไม่รู้เลย แต่พระองค์ท่านมสี ายพระเนตรทีล่ ะเอียด ศลิ ปนิ ทจ่ี ะออกแบบตวั รถใหเ้ กดิ ความงามดว้ ย ทผี่ า่ นมาเราไมเ่ คย ลกึ ซ้ึงอย่างแท้จรงิ ใชศ้ าสตรน์ ใ้ี นการบรู ณาการ ฉะนน้ั การทเี่ รามองศลิ ปวฒั นธรรม แยกส่วน มองเป็นเรื่องของงานประเพณี ผมว่ายงั ไม่พอ เพราะ นอกจากนน้ั เท่าท่เี ราได้ถวายงานในพระบรมวงศานุวงศ์ แท้จรงิ แล้วศลิ ปะเป็นเรื่องของความรู้ หลายๆ พระองค์ ทา� ใหเ้ ราสนใจวา่ ทา� ไมราชวงศส์ นใจงานศลิ ปะ ท้ังท่ีว่ากันตรงๆ ประเทศชาติเรายังเห็นว่าตรงน้ียังเป็นงานรอง 79เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙ ในการบรหิ ารพฒั นาประเทศ ทา� ใหผ้ มมองกลบั มาอกี ทวี า่ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์เปน็ สว่ นหนง่ึ ทที่ รงทา� นบุ า� รงุ ศลิ ปวฒั นธรรมอยู่ เพราะพระองคท์ รงเหน็ วา่ ศลิ ปวฒั นธรรมผกู พนั กบั ประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นชนชาตไิ ทย และสถาบันพระมหากษตั ริย์ทรงอปุ ถัมภ์ งานศิลปวัฒนธรรมมาตลอด จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังทรงเห็น คณุ ค่าของงานน้ี จะเหน็ ว่าพระราชประเพณหี ลายๆ อยา่ งทเี่ คย หยุดชะงักลงด้วยสถานการณ์บ้านเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ สถาบันได้ร้ือฟื้นสิ่งเหล่าน้ีข้ึนมาใหม่ ท�าให้สังคมเห็นว่ามี ความจ�าเป็น มคี วามสา� คัญต่อบ้านเมอื ง
เชดิ ชูปูชนีย มณกี าล เรอ่ื ง เคปรภู ราอ่ืษงาไทศยริขอภิ งทัในรห์ลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงเป็นผู้ใช้ภาษาไทยได้ เป็นเย่ียม ไม่ว่าจะเป็นพระราชด�ารัส พระราชนิพนธ์ เช่น พระมหาชนก ทองแดง พระราชนิพนธ์แปล เช่น นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ หรือติโต ภาษาของพระองค์ ส้ัน กระชับ ได้ใจความ แต่มีพลังลุ่มลึก ให้จินตภาพ และงดงามนัก ผู้ท่ีได้อ่านงาน พระราชนิพนธ์หรือพระราชนิพนธ์แปลอาจอดสงสัยไม่ได้ว่าท้ังที่ทรงเจริญพระชนม์ที่ กรงุ โลซาน ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ แตภ่ าษาของพระองคก์ ลบั ไมม่ กี ลน่ิ นมเนยอยา่ งฝรง่ั เจอื มาแตอ่ ยา่ งใด พระเจมา้ อผี ยคู้ หู่นวัไคมอืม่ นากานยกั เปทจ่ีระอ่ื รงวู้ า่ ศพริ รภิะอทั ารจ์ารย์ หรอื “ครู” ภาษาไทยของพระบาทสมเดจ็ 80
81เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
82
มหาเปร่อื งและครอบครวั อนั อบอุน่ ในงานวันรับปรญิ ญาแพทยศาสตรบ์ ณั ฑติ ของนายนรินทร์ ศริ ภิ ทั ร์ บุตรชายคนโต ๑๕ พฤศจกิ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๑ ครอบครวั “มหดิ ล” จึงได้เดินทางตามเสด็จสู่กรุงโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะ อันประกอบด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้พา พระอาจารย์ พระโอรส ธิดาเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นคร้งั แรก โดยประทับท่ี พระตา� หนักจิตรลดารโหฐาน เป็นเวลา ๑ เดอื นเศษ มหาเปรื่อง เกดิ เมอ่ื วนั เสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ท่ี ต�าบลเตาปนู อา� เภอแก่งคอย จังหวดั สระบุรี มีพน่ี ้องร่วมพ่อแม่ สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราฯ ทรงดา� รวิ า่ ด้วยเหตทุ พ่ี ระโอรส เดยี วกัน ๓ คน พช่ี ายคนโตต่อมาได้บวชเรยี นและเจริญในทาง และพระธดิ ายงั ทรงพระเยาว์ และยงั ตอ้ งศกึ ษาศลิ ปวทิ ยาการที่ ธรรม เป็นพระมหาโพธิวงศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม ตา่ งประเทศ นา่ จะไดเ้ รยี นรภู้ าษาไทยและขนบธรรมเนยี มไทย อนั เปน็ รากเหง้าวัฒนธรรมของชาติ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมอ่ื อายุ ๖ ขวบ พอ่ แมไ่ ดส้ ง่ เดก็ ชายเปรอ่ื งมาอยกู่ รงุ เทพฯ ซ่ึงเป็นรฐั บาลในขณะนั้นจึงได้จดั หาพระอาจารย์ถวาย กับพระพี่ชาย หลังจากได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนประถม วดั อนงคารามอยสู่ องปี กไ็ ดเ้ ขา้ เรยี นตอ่ ทโ่ี รงเรยี นมธั ยมสขุ มุ าลยั เปรอื่ ง ศริ ภิ ทั ร์ หรือ “มหาเปรอื่ ง” อดีตภิกษุเปรียญ อยู่ ๓ ปี จนสอบได้ช้นั มธั ยมปีท่ี ๓ จากน้นั ในวยั ๑๒ ปี จงึ ได้ ๖ ประโยค จากส�านักวัดอนงคาราม ที่ขณะน้ันรับราชการ บรรพชาเปน็ สามเณร ณ วดั อนงคาราม เมอ่ื อายคุ รบ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ อยู่ที่ส�านักงานโฆษณาการ (ปัจจุบันคือกรมประชาสัมพันธ์) จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้ท่ีรัฐบาลเห็นว่ามีคุณสมบัติอันเหมาะสม มหาเปรื่อง (นวม พทุ ธสรมหาเถระ) เจ้าอาวาสเป็นพระอปุ ัชฌาย์ 83เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
คาำ อุทศิ โดย สมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก ผลงานดา้ นการใชภ้ าษาไทย (วาสน์ วาสโน) สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์ท่ี ๑๘ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ด้วยความช�านาญในด้านการเขียน การประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง กาพย์ ฉนั ท์ และโคลงกลอน อาจารยเ์ ปรอ่ื ง จึงได้ไปช่วยควบคุมและตรวจข่าวภาค ภาษาไทยของสถานวี ทิ ยุโทรทศั น์ไทยทวี ี ชอ่ ง ๔ บางขนุ พรหม ทา� ใหข้ า่ วของสถานวี ทิ ยุ โทรทัศน์แห่งน้ีถูกต้องด้วยภาษาศาสตร์ สละสลวยกะทดั รดั ทงั้ ภาษาอา่ นภาษาเขยี น และราชศัพท์ จนได้รับค�าชมเชยจาก พระยาอนมุ านราชธน (เสฐียรโกเศศ) แม้หลังเกษียณแล้วยังช่วยงานกรม ประชาสัมพันธ์ต่อไปอีกเป็นเวลากว่า สิบปี โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการทดสอบ ผปู้ ระกาศของสถานวี ทิ ยกุ ระจายเสยี งตา่ งๆ ทวั่ ราชอาณาจกั ร ไดร้ บั เชญิ ใหเ้ ปน็ วทิ ยากร พิเศษในการอบรมอ่านออกเสียง และ การใช้ภาษาไทยของเจ้าหน้าทผี่ ้ปู ระกาศ เขียนบทความพิเศษในวาระวันส�าคัญๆ ของชาติ เป็นผู้ประพันธ์คา� ถวายพระพร และบทกลอนต่างๆ เน่ืองในโอกาสวัน นักขตั ฤกษ์ งานประพนั ธท์ งั้ รอ้ ยกรองและรอ้ ยแกว้ เท่าท่ีรวบรวมได้ ได้แก่ ค�าถวายพระพร ชัยมงคลในวโรกาสต่างๆ บทความจาก สารคดี ๕ นาที “ภยั ” วทิ ยสุ ภุ าสติ านสุ รณ์ ภาษาศลิ ป์ และความรเู้ กยี่ วกบั ราชาศพั ท์ 84
ชวี ติ ในรม่ กาสาวพสั ตร์ ภกิ ษเุ ปรอื่ งไดศ้ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั อาจารย์เปรื่องเป็นผู้มีอารมณ์ดี ย้ิมแย้มแจ่มใส ได้ชือ่ ว่า และบาลที ส่ี �านกั วดั อนงคาราม จนสามารถสอบได้เปรยี ญธรรม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยท่ีมีภูมิรู้และได้รับการยกย่อง ๖ ประโยค และลาสิกขาเม่ือพุทธศักราช ๒๔๗๑ ขณะอายุ นบั ถอื ในแวดวงวชิ าการ หลงั เกษยี ณแล้วทา่ นยงั ไปช่วยราชการ ๒๗ ปี หลงั จากสกึ หาลาเพศ กไ็ ดเ้ ขา้ ศกึ ษา ณ โรงเรยี นกฎหมาย ทกี่ รมประชาสมั พนั ธ์ ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ขา้ ราชการรนุ่ แรกทบ่ี กุ เบกิ งาน ๕ ปี สอบไล่ได้ภาค ๑ และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ประชาสมั พนั ธ์ของรฐั นอกจากนย้ี งั รบั ใช้งานของวดั อนงคาราม วชิ าธรรมศาสตร์และการเมอื ง จนได้รบั อนปุ ริญญา ในระหว่าง ด้วยการเป็นไวยาวัจกรวดั มายาวนาน ศกึ ษาอยโู่ รงเรยี นกฎหมายไดเ้ ขา้ รบั ราชการในกรมรา่ งกฎหมาย และโอนมารับราชการท่สี �านักงานโฆษณาการในเบ้ืองต่อมา นอกจากมีความรอบรู้ด้านภาษาศาสตร์แล้ว มหาเปร่อื ง ยงั มคี วามช�านาญการประพนั ธ์ร้อยแก้ว ร้อยกรอง ได้ประพนั ธ์ หลังจากรัฐบาลส่งมาเป็นพระอาจารย์ที่สวิตเซอร์แลนด์ ค�าถวายพระพรชัยมงคล และค้นคว้าราชาศัพท์หลายค�าซ่ึงยัง จึงได้โอนย้ายมารับราชการที่ส�านักงานเลขานุการในพระองค์ ใช้แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ค�าว่าพระบรมราชูปถัมภ์ และด�ารงต�าแหน่งหัวหน้าแผนกการในพระองค์ มหาเปร่ือง พระบรมราชนิ ปู ถัมภ์ ฯลฯ ในการเขียนบทความต่างๆ เผยแพร่ ได้ท�าหน้าที่พระอาจารย์ถวายพระอักษรภาษาไทยแด่พระบาท มกั ใชน้ ามวา่ “ป.ศ.” ซง่ึ มาจากชอื่ สกลุ ยอ่ เพราะไมอ่ ยากแสดง สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั หรืออวดว่าตนมีความรู้ ท่านยังมีผลงานการประพันธ์เพลงที่ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช และสมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา เก่ยี วกับความเสมอภาคทางเพศของบรุ ษุ และสตรไี ว้ด้วย จนถึงปี ๒๔๙๐ รวม ๙ ปี จงึ กราบถวายบังคมลา เพ่ือกลบั มา รบั ราชการทก่ี รงุ เทพฯ โดยโอนมาอยใู่ นกรมโฆษณาการเชน่ เดมิ น่าเสยี ดายทแี่ ทบไม่มบี คุ คลใดกล่าวถงึ ชวี ติ ของอาจารย์ จนเกษียณอายุราชการ เปร่ืองได้มากนัก ลูกชายคนโตและลูกสาวบุญธรรมก็ไปใช้ ชีวิตที่ต่างประเทศ ขณะที่ลูกชายคนสุดท้องก็เสียชีวิตไปเม่ือ ในปีถัดมาจากท่ีมหาเปรื่องเดินทางตามเสด็จไปสวิต- ไม่กีป่ ีก่อนหน้านี้ เกอื บทัง้ หมดของข้อเขียนชน้ิ น้มี าจากหนงั สอื เซอร์แลนด์ อรุณ ผู้เป็นภรรยาก็ได้ถึงแก่กรรม โดยทิ้งนรินทร์ งานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์เปรอ่ื งท้ังส้นิ ลูกชายไว้ให้ดูต่างหน้า ต่อมาลูกชายคนนี้ได้ร่�าเรียนจนจบ แพทย์ศริ ริ าช และใช้ชีวติ ในสหรฐั อเมรกิ าจนถึงปัจจบุ ัน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้นายกัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตองคมนตรี เป็นผู้แทน ต่อมาอีกราว ๑๐ ปี หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว พระองค์ไปในการพระราชทานเพลิงศพ “พระอาจารยเ์ ปรอ่ื ง” มหาเปรอ่ื งจงึ ได้แต่งงานกบั วโิ รจน์รชั นี (นามเดมิ สงั วน) กรโกวทิ ณ เมรวุ ัดอนงคาราม เมื่อวนั ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ผู้เป็นญาติห่างๆ ท่ีมีอายุอ่อนกว่า ๑๕ ปี ตามคา� แนะน�าของ ญาติผู้ใหญ่ ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันคนเดียว คืออาจารย์สมิทธิ ผู้ท่ีช่ืนชมในพระอัจฉริยภาพด้านภาษาไทยของ ท่ีต่อมาเป็นอาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปจั จบุ นั นา่ จะไดท้ ราบ ภายหลงั อาจารย์สมทิ ธไิ ด้เขา้ เฝา้ ถวายงานสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ ผลงานประพันธ์ของครูภาษาไทยของพระองค์ในวาระนี้ พระบรมราชินีนาถในเรื่องผ้า ดว้ ยความระลกึ คณุ ของทา่ น ภาพจาก หนังสืออนสุ รณ์งานพระราชทานเพลงิ ศพ อาจารยเ์ ปรอ่ื งและภรรยาไดน้ า� หลานสาวทางฝา่ ยภรรยา นายเปรอ่ื ง ศริ ิภทั ร์ ณ เมรุวดั อนงคาราม มาเลย้ี งเปน็ ลกู สาวบญุ ธรรมคอื บงั อร กรโกวทิ บงั อรจบการศกึ ษา วันอาทติ ย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๐ จากคณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ปัจจบุ นั ใชน้ ามสกลุ “หลงสมบรู ณ”์ และใช้ชวี ิตกับสามชี าวไทยทอ่ี เมริกา 85เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ครูชา้ ง ๑ สนุ ยั กลนิ่ บุปผา ผขู้สลืบยุ่สาบนภา้ ูมนิปลัญาญวา “แต่ละวันพอท�ำธุระส่วนตัวแล้วก็ต้องมำ ๑ ครชู ้าง สุนัย กลิ่นบปุ ผา ผสู้ ืบทอดการทำาขล่ยุ จากลุงจรนิ ทร ์ กล่ินบุปผา ผเู้ ป็นพ่อ ๒ ทว่ งทำานองดนตร ี คอื สงิ่ ที่ชาวลาวซ่ึงอพยพมาตั้งถ่ินฐานอยแู่ ถบชมุ ชนบางไส้ไก่ จบั ขลยุ่ ทำ� ขลยุ่ เพรำะมนั เปน็ ควำมรสู้ กึ ผกู พนั ทำ� ขลยุ่ ทกุ วนั จนเคยชนิ ถำ้ วนั ไหนไมไ่ ดท้ ำ� จะรสู้ กึ แปลกๆ” เมื่อหลายร้อยปีก่อนนำาติดตัวมาด้วย ความรคู้ วามชาำ นาญในการประดิษฐ์ เครื่องดนตรพี ืน้ บา้ นถกู ถ่ายทอดสืบเนื่องต่อมาจนถึงปจั จุบนั จนกลายมาเป็น ขำ้ งตน้ เปน็ คำ� กลำ่ วของ “ครชู า้ ง” หรอื ครสู นุ ยั กลน่ิ บปุ ผา ชำ่ งทำ� ขลยุ่ แหง่ ชมุ ชนบำ้ นลำว ตงั้ อยใู่ กล้ อาชพี เก่าแก่ของชุมชนทีร่ ูจ้ กั กนั ดีในชือ่ ขล่ยุ บ้านลาว วดั บำงไสไ้ ก่ ในซอยอสิ รภำพ ๑๕ ยำ่ นธนบรุ ี ในแวดวงดนตรไี ทยรบั รกู้ นั มำนำนแลว้ ว่ำ หำก เอย่ ถงึ ขลยุ่ คนมกั นกึ ถงึ ขลยุ่ บำ้ นลำว เพรำะไดร้ บั กำร ผลิตอย่ำงประณีตสวยงำม สุ้มเสียงก็ไพเรำะถูกต้อง บำ้ นลำวจงึ ไดช้ อื่ วำ่ เปน็ แหลง่ ผลติ ขลยุ่ ทม่ี คี ณุ ภำพของ เมอื งไทย 86
พืน้ บ้านพืน้ เมือง จกั รพนั ธ์ุ กงั วาฬ เรอ่ื ง สายณั ห์ ชน่ื อดุ มสวสั ด์ิ ภาพ ๒ 87เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
เหตุที่ชุมชนแห่งนี้ช่ือว่า “บา้ นลาว” เพราะบรรพบุรุษ แผน่ ไม้ใช้สาำ หรบั ทาำ เคร่ืองหมายเพอ่ื เจาะรบู นขลยุ่ เป็นชาวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาสู่กรุงรัตนโกสินทร์ใน ช่วงศึกสงครามถงึ สองระลอก คอื ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ และ พ.ศ. ๒๓๖๗ โดยพวกเขาไดน้ �าความรแู้ ละทกั ษะการท�าขลยุ่ และแคน ซ่ึงเป็นเครอ่ื งดนตรีพื้นบ้านติดตวั มาด้วย ครสู นุ ยั บอกวา่ บรรพบรุ ษุ ของเขาทพี่ ลดั พรากจากบา้ นเกดิ เมอื งนอนมาไกล จงึ อาศยั เสยี งเพลงเปน็ สอ่ื ให้คลายความเหงา และคิดถึงถ่ินเกิด เป็นท่ีมาของการผลิตขลุ่ยและแคนในชุมชน บ้านลาว แต่ภายหลังวัสดุที่น�ามาใช้ท�าแคนหายากจึงเลิก ผลติ ไป เหลือแต่ขลุ่ยเพยี งอย่างเดียว “ตอนแรกเขาไม่ได้ท�าขลุ่ยเพ่ือขายนะ แต่ใช้เป็นของ แลกเปลย่ี นกบั บา้ นอนื่ เชน่ บา้ นเธอมขี า้ วหรอื มผี กั กเ็ อามาแลกกนั ” การใช้มีดปาดดากขลยุ่ เป็นขั้นตอนท่ีตอ้ งใชฝ้ มี ือและความระมัดระวงั ข้นั ตอนการใสด่ ากเข้าในเลาขลยุ่ ครูสุนัยเล่าว่าชุมชนบ้านลาวเพ่ิงเริ่มผลิตขลุ่ยเพื่อขาย “เราได้เห็นการท�าขลุ่ยมาต้ังแต่ลืมตาจ�าความได้ ในยุคหลัง เม่ือประมาณ ๖๐ ปีมาแล้ว โดยมีการสืบทอด โตข้ึนมาหน่อยก็ต้องช่วยที่บ้านท�าขลุ่ย เพื่อนว่ิงเล่นกัน ภมู ปิ ัญญาการทา� ขล่ยุ จากรนุ่ สรู่ นุ่ จากพอ่ แมส่ ่ลู กู หลาน ดงั เช่น แต่เรานั่งขัดเงาขลุ่ย” ครูสุนัยที่นับเป็นคนรุ่นท่ี ๔ ของชุมชน ก็เติบโตมาจากบ้าน ที่ท�าขลุ่ย ได้เรียนรู้ฝึกฝนการท�าขลุ่ยจากพ่อของตนเอง คือ ครสู นุ ยั ระลกึ ถงึ วยั เยาวข์ องตน กอ่ นเลา่ ถงึ กระบวนการ ครูจรินทร์ กล่ินบุปผา ช่างท�าขลุ่ยช้ันครูท่ีมีฝีมือเป็นท่ียอมรับ ผลติ ขลุ่ยบ้านลาวทเ่ี ขาได้รู้เห็นและสัมผสั มาตง้ั แต่เดก็ นบั ถือในวงการ ขลยุ่ ตอ้ งทา� จากไมเ้ นอื้ แขง็ ในสมยั กอ่ นเลอื กใชแ้ ตไ่ มร้ วก หรอื ไมไ้ ผร่ วกเทา่ นนั้ แหลง่ ไมร้ วกของชมุ ชนบา้ นลาวอยทู่ ห่ี มบู่ า้ น 88
ท้ายพิกลุ อ�าเภอพระพุทธบาท จังหวะสระบรุ ี ซ่ึงเป็นชุมชนของ ขนั้ ตอนตอ่ มาคอื การแกะปากนกแกว้ ชา่ งจะเจาะรขู นาด คนลาวเช่นเดียวกัน เม่ือหลายสิบปีก่อนนับเป็นจุดหมายที่ไกล เล็กก่อน ค่อยใช้มีดแกะขยายขนาดเป็นช่องสี่เหล่ียมผืนผ้า และกันดาร คนรุ่นปู่และรุ่นพ่อเวลาเดินทางไป “ตกไม”้ หรือ จากนั้นท�าดากขลุ่ยโดยใช้ไม้สักทองเหลากลมให้มีขนาดพอดี หาไม้รวก ต้องบากบนั่ ไปด้วยเกวียนและเรือกว่าจะถึง กับรูด้านในของขลุ่ย แล้วใช้คมมีดปาดส่วนปลายของดาก ในแนวเฉียงให้เว้าเป็นช่องลมผ่านได้ “ไม้รวกที่สระบุรีเหมาะส�าหรับท�าขลุ่ย เพราะท่ีน่ัน เป็นทีด่ อน น้า� น้อย กว่าไผ่รวกจะโตใช้เวลานาน เนอ้ื ไม้จงึ แห้ง ขณะท่ีสอดไม้ดากเข้าไปในรูของเลาขลุ่ยทางด้านปาก และแน่น มเี ยอื่ ขา้ งในมาก เมอื่ ใช้ท�าขลยุ่ ท�าใหแ้ ก้วเสยี งมพี ลงั ” ขลุ่ย ช่างจะเป่าเพ่ือทดสอบลมและเสียง พร้อมหมุนไม้ดาก ครสู ุนัยอธิบาย ปรับมุมให้พอดีกับปากนกแก้ว กระท่ังได้เสียงท่ีไพเราะถูกใจ ก็เล่ือยปลายไม้ดากส่วนเกินออก และเจียรให้เรียบ จากน้ัน เมื่อได้ไม้รวกกลับมาแล้วก็น�ามาตัดตามความยาวของ ใช้เทียนไขหลอมละลายอุดรูโหว่ระหว่างไม้ดากกับผิวด้านใน ปล้องไม้ แล้วตากแดดราว ๑๕-๒๐ วนั พอเน้ือไม้แห้งสนทิ ค่อย เลาขลุ่ย เพอ่ื ไม่ให้ลมร่วั ระหว่างเป่า นา� มาขัดผิว จากนั้นใช้สเกลเทยี บเสยี งมาลงจุดส�าหรับเจาะรู ชมุ ชนบา้ นลาวเพง่ิ เรม่ิ ผลติ ขลยุ่ เพอ่ื ขายในยคุ หลงั เมอ่ื ประมาณ ๖๐ ปมี าแลว้ โดยมกี ารสบื ทอดภมู ปิ ญั ญาการทาำ ขลยุ่ จากรนุ่ สรู่ นุ่ จากพอ่ แมส่ ลู่ กู หลาน บา้ นท่เี ปน็ ทง้ั ทอี่ าศัย ทำางาน และถา่ ยทอดทง้ั ความรูแ้ ละเรื่องราวการทาำ ขลุ่ยให้แกผ่ ้สู นใจทกุ คน 89เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ขนั้ ตอนสุดท้ายช่างจะเป่าขลุ่ยท่เี พิ่งท�าเสร็จเพอ่ื ทดสอบ เสียง หากมขี ้อผิดพลาดก็แก้ไขให้ถกู ต้อง “เราตอ้ งลองทดสอบดวู า่ เสยี งมคี วามชดั แคไ่ หน ถา้ ไมช่ ดั ตอ้ งปรบั แกใ้ หไ้ ดม้ าตรฐาน และใหเ้ สยี งนงิ่ ทส่ี ดุ คอื ไมม่ เี สยี งพรา่ แบบคนเปน็ หวดั เสยี งขลยุ่ ยงิ่ นง่ิ เทา่ ไรกย็ งิ่ ไพเราะ” ครสู นุ ยั อธบิ าย นอกจากนน้ั ในสมยั กอ่ นยงั มกี ารเทลายตะกวั่ โดยใชช้ อ้ น ตกั ตะกว่ั ทหี่ ลอมเหลวราดหรอื หยดลงบนเลาขลยุ่ ใหเ้ ปน็ ลวดลาย ตา่ งๆ เชน่ ลายดอกพกิ ลุ ลายรดนา�้ ลายหนิ ลายกระจบั ลายตอก ซ่ึงเป็นขั้นตอนท่ีต้องใช้ฝีมือประณีต สร้างความสวยงามเป็น เอกลักษณ์ให้ขลุ่ยแต่ละเลา ทว่ายุคปัจจุบันไม่มีใครท�าแล้ว เพราะการสูดดมสารตะกั่วซึ่งเป็นโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายนั้น เป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพ ข้นั ตอนสดุ ท้ายจะเปา่ ขลยุ่ ที่เพิง่ ทาำ เสร็จเพื่อทดสอบเสยี ง นคกั รเรสู ยี นุ นยั นยกังั ศมกึบี ษทาบทากุทขในน้ั ตกาอรนใหคค้ววบาคมกู่ รบั ู้ สกอานรผทลง้ั ติกขารลเยุ่ปอา่ ยขา่ ลงยุ่ ตแง้ั ลอะกทตาำง้ั ขใจลยุ่ แก่ 90
ไม้สักกลึงกลมสำาหรบั ทำาดากขลุ่ย ขลุ่ยบา้ นลาวของชุมชนบางไสไ้ ก่ ความเปล่ียนแปลงด้านอ่ืนได้แก่ภายหลังเร่ิมมีการใช้ไม้ แกเล่าว่าชีวิตผูกพันมากับการท�าขลุ่ยต้ังแต่วัยเยาว์สืบเนื่อง เนื้อแข็งชนิดอื่นมาท�าขลุ่ย ไม่ว่าไม้ชิงชัน ไม้พยุง ไม้มะพร้าว ถงึ บดั น้ี นับได้เป็นเวลาหลายสบิ ปีแล้ว ไม้ประดู่ รวมทัง้ ไม้พญางิ้วดา� ซ่ึงหายาก ขลุ่ยที่ทา� จากไม้ชนดิ นี้ จะมลี กั ษณะสวยงามนา่ เกรงขามและราคาสงู ลว่ิ กวา่ ไมช้ นดิ อน่ื ๆ วา่ กนั วา่ ในสมยั กอ่ นคนทงั้ หมบู่ า้ นลาวเกอื บทกุ หลงั คาเรอื น ขณะท่ีขลุ่ยซึ่งท�าจากท่อพีวีซีจะมีราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับ มอี าชพี ทา� ขลยุ่ กนั อยา่ งเปน็ ลา�่ เปน็ สนั แตด่ ว้ ยความเปลยี่ นแปลง นักเรยี นที่เพงิ่ เรม่ิ หัดเครือ่ งดนตรชี นิดนี้ แหง่ ยคุ สมยั เมอ่ื บทบาทและความส�าคญั ของดนตรไี ทยในสงั คม ลดน้อยลง ประกอบกับคนรุ่นใหม่ของบ้านลาวเร่ิมออกไปหา ทกุ วนั นบ้ี า้ นครสู นุ ยั เปน็ แหลง่ ผลติ และจา� หนา่ ยขล่ยุ ไทย งานท�าอาชีพอื่นนอกชุมชนมากข้ึน ปัจจุบันจึงมีครอบครัวที่ ทุกประเภท ได้แก่ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยรองออ ขลุ่ยเคียงออ ประกอบอาชีพท�าขลุ่ยเหลอื ไม่ถึง ๑๐ หลงั คาเรือน ขลุ่ยอู้ ขลุ่ยหลิบ โดยผู้แวะเวียนมาซื้อหามีทั้งนักดนตรีไทย รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ครูบาอาจารย์ นักเรียนนักศึกษา นักวิชาการ ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ครูสุนัยยังมีบทบาท แม้กระทัง่ นกั สะสม ในการให้ความรู้ สอนท้ังการเป่าขลุ่ยและท�าขลุ่ยแก่นักเรียน นักศึกษาด้านดนตรีไทยที่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์โดยไม่ปิดบัง หากไม่มีธุระต้องออกไปไหน ครูสุนัยจะประจ�าอยู่ท่ี ทุกขั้นตอน เป็นอีกหนทางหนึ่งท่ีช่วยรักษาภูมิปัญญาการ อาณาจักรแห่งการงานอันเป็นท่ีรัก คือบริเวณชั้นล่างบ้านพัก ท�าขลุ่ยไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลา ควบคู่กับการผลิตขลุ่ย อาศยั คหู าเดยี วของตน ภายในหอ้ งขนาดกะทดั รดั แวดล้อมด้วย อย่างต้ังอกตัง้ ใจ เครื่องไม้เคร่ืองมือในการท�าขลุ่ย ทั้งเครื่องกลึงไม้ สว่านไฟฟ้า เลื่อย มีดขนาดต่างๆ เม่ือกวาดมองไปรอบห้องก็เห็นช้ินไม้ “งานของเราไม่ได้เน้นปริมาณหรือท�ามากๆ เพ่ือขายส่ง หรือล�าไม้กลึงกลมสีน้�าตาลส�าหรับท�าขลุ่ยท่ีมีขนาดสั้นยาว แต่เน้นคุณภาพว่าท�าอย่างไรให้ดีที่สุด เพราะหากผมท�าขลุ่ย ไม่เท่ากนั เก็บวางตง้ั เรยี งอยู่ในกล่องหรือถงั ละลานตาไปหมด แล้วไม่ได้ตามมาตรฐาน ถ้ามีคนต�าหนิก็จะเสียไปถึงรุ่นพ่อ รุ่นปู่ ซ่ึงท่านเป็นระดับปรมาจารย์” เวลาแต่ละวันจึงหมดไปกับการท�าขลุ่ย หากไม่กลึงไม้ ก็เจาะรู ขดั เงาขลุ่ย แกะปากนกแก้ว ทา� ดาก หรือลองเสียงขลุ่ย ครชู า้ ง สนุ ยั กลน่ิ บปุ ผา กลา่ วยนื ยนั ถงึ ความมงุ่ มนั่ ครูสุนัยลงมือท�าทุกขั้นตอนอย่างใส่ใจและมีความสุข อย่างที่ ของตนเอง ในฐานะผสู้ บื ทอดภมู ปิ ญั ญาชา่ งทาำ ขลยุ่ แหง่ ชมุ ชน บา้ นลาว 91เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
แผน่ ดินเดียว ยอด เนตรสวุ รรณ เรอื่ งและภาพ พญานก ๑ คผยู้ รงิ่ ใฑุ หญคเ่ หรนฑุอื โลากาG...ARUDA พญานกผยู้ ง่ิ ใหญแ่ หง่ ทอ้ งฟา้ ตามตา� นานของแตล่ ะชนชาตลิ ว้ นมคี วามสา� คญั ระดบั เทพเทวดา ทง้ั สน้ิ แมจ้ ะมชี อ่ื เรยี กแตกตา่ งกนั ออกไป แตส่ ง่ิ ทเ่ี หมอื นกนั คอื ความยง่ิ ใหญเ่ หนอื สงิ่ มชี วี ติ ใดๆ และ มชี วี ติ ทนเี่ ปกน็ออนิ มทตะรเี หนอื ฟากฟ้าดนู า่ เกรงขามดว้ ยหนา้ ตาดดุ นั ถมงึ ทงึ ทงั้ ยงั แฝงดว้ ยรปู ทรงสงา่ งาม และมที ว่ งทา่ ในการโฉบเฉยี่ วจบั เหยอ่ื จากพนื้ ดนิ อยา่ งแมน่ ย�าเฉยี บขาด นกอนิ ทรมี กั ปรากฏตวั บนทส่ี งู หากไมบ่ ินร่อนวนเวยี นก็เกาะอยตู่ ามปลายโขดหินยอดภผู าชนั ห่างไกลเกนิ กว่ามนษุ ย์หรือสัตว์อืน่ ใด เขา้ จโู่ จมถงึ ตวั ได้ รวมทง้ั มสี ายตาเฉยี บคมมองไดก้ วา้ งไกลกวา่ ดวงตาของสตั วอ์ น่ื ๆ 92
๒ ๑ ตราพระราชลญั จกรพระครุฑพา่ ห์ ทพ่ี ิพธิ ภัณฑ์วดั พระศรีรตั นศาสดาราม ๒ ครฑุ ลายเส้นจากประตมิ ากรรมปนู ป้นั ทาสี ประทบั ที่ใต้สีหบญั ชร พระท่นี ั่งไชยชุมพล พระบรมมหาราชวัง 93เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ความย่ิงใหญ่ของนกอินทรีในธรรมชาติท้ังใบหน้า ครุฑยดุ นาคหรอื จบั ยึดนาคไว้ ประติมากรรมปูนปนั้ ปิดทองประดับรายรอบ ดวงตา และทว่ งทา่ กางปกี จงึ ถกู ใชเ้ ปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ ความ พระอโุ บสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม เหนือกวา่ ส่ิงอ่นื ใด ทง้ั ยงั ใชเ้ ป็นดวงตราสัญลกั ษณร์ ะดบั สูง โดยเฉพาะหน่วยงานปกป้องคุ้มครอง ซึ่งมีปรากฏแทบทุก เผา่ พนั ธโ์ุ บราณบนโลกกระทง่ั ปจั จบุ นั ตัวอย่างเช่น Thunderbird เป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าในต�านานของ ชาวอนิ เดยี นแดง แรงกระพอื ของปกี เวลาบนิ กอ่ ใหเ้ กดิ พายหุ มนุ ทอร์นาโดและฟ้าร้อง ทั้งยังเช่ืออีกว่าปรากฏการณ์ฟ้าแลบ เกดิ จากดวงตาของทันเดอร์เบิร์ด Ra เทพแห่งดวงอาทิตย์ในตา� นานเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์ ของชาวอียิปต์โบราณก็มีพระเศียรเป็นนกอินทรี เป็นบิดาแห่ง มวลมนุษย์และสรรพสิ่งท้ังหลาย เป็นผู้สร้างเทพแห่งลม เทวี แห่งสายฝน เทพแห่งปฐพี เทวีแห่งท้องฟ้า และเทพแห่งแม่น�้า ขณะเดียวกันยังมีเทพพญานกท่ีมีลักษณะคล้ายๆ กันอีกนาม ว่า Horus Phoenix เป็นนกในต�านาน Assyrian แห่งอียิปต์ โบราณอีกอย่างหนึ่ง มีชีวิตเป็นอมตะที่สามารถคืนชีพจาก เถ้าถ่านของตัวมันเองได้ ในเวลา ๓ วัน หลังจากจบชีวิตลง ถือว่าเป็นนกท่ีบริสุทธ์ิ ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดเพื่อใช้เป็น อาหารเลย ด�ารงชีวิตได้ด้วยเพียงหยาดน�้าค้างและกล่ินของ เครอ่ื งหอม phoenix ยงั ถอื เปน็ เครอ่ื งหมายแหง่ ชวี ติ การเกดิ ใหม่ และชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ชาวกรีกโบราณจึงใช้ phoenix เป็น เครื่องหมายแห่งชีวิตนิรันดร์ เช่นเดียวกับเป็นเคร่ืองหมาย แห่งพลัง ความรุ่งโรจน์ และความสง่างาม เรื่องราวอันศักด์ิสิทธิ์ของพญานกอียิปต์ยังคล้ายกับ ความเช่ือในเอเชีย อย่างชาวจีนก็มี Feng-Huang (เฟงฮวง) นกเทพผู้พิทักษ์ทิศ หรือ Ho-Oh (โฮโอ) นกไฟจากสวรรค์ ของชาวญ่ีปุ่นซึ่งคล้ายคลึงกับนกสามขา ของชาวเกาหลีที่ได้ เห็นในภาพยนตร์โทรทัศน์เร่ือง “จมู ง มหาบรุ ษุ กบู้ ลั ลงั ก”์ ซง่ึ นกสามขาคอื สัญลกั ษณ์กองทพั จูมง แตค่ วามยง่ิ ใหญเ่ หนอื โลกาเหนอื ฟากฟา้ ของชาวไทย ๑ และชาวอาเซยี นทงั้ หลายตอ้ งเปน็ ครฑุ ครฑุ า หรอื GARUDA 94
95เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
๑ ๑ ครุฑทม่ี มุ ท้งั สข่ี องเรือนยอดปราสาท พระที่น่งั ดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ๒ เทพทรงครฑุ ประติมากรรมปูนป้ัน ประเทศอนิ โดนเี ซยี ๓ ไมแ้ กะสลกั ลงสีรูปครฑุ จังหวัดนา่ น ครฑุ ครฑุ า ภาษาอังกฤษสะกดว่า GARUDA จึงออก ชนชาติให้เห็นเสมอ ส�าหรับครุฑในประเทศไทยและประเทศ เสียงเป็น “การดู า้ ” แต่ไม่ว่าจะเป็น ครฑุ ครฑุ า หรือการดู า้ อนิ โดนีเซียมีความส�าคญั อย่างสงู ด้วยเป็นตราแผ่นดิน ล้วนเป็นเทพองค์เดียวกัน มีท่ีมาจากเทพพญานกในต�านาน โบราณของชาวพทุ ธ ชาวทมิฬ และชาวฮินดู ครฑุ เป็นพญานก ในพทุ ธศาสนาครฑุ จดั เป็นเทวดาชนั้ ลา่ งในการปกครอง ท่ีมีร่างกายเป็นทองค�า ปีกสีแดง มีจะงอยปากอย่างนกอินทรี ของท้าววิรุฬหก ในขอบเขตสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้าน ครุฑมีขนาดใหญ่โตมากขนาดท่ีว่าสามารถบดบังดวงอาทิตย์ ทิศใต้ และเหตุท่ีเกิดมาเป็นครุฑก็เพราะเปี่ยมไปด้วยบุญแต่ จนท�าให้กลางวนั เป็นกลางคืนได้ ยังมีโมหะโกรธา ครุฑในภูมิภาคอาเซียนถูกน�ามาโดยศาสนาพราหมณ์- ๒ ฮินดู ในมหากาพย์รามายณะ ที่กล่าวว่า ครุฑเป็นพ่ีน้อง ต่างมารดากับนาค แต่ทว่าเกิดทะเลาะกันจนกลายเป็นศัตรู ครุฑปรากฏในศิลปกรรมแขนงต่างๆ ของชาวอาเซียน ทั้งมัณฑนศิลป์ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม รวมทั้งนาฏศิลป์ นอกจากนั้นยังพบเห็นครุฑตามพุทธสถาน และศาสนสถานในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ตลอดจนในโรงละคร นาฏศิลป์ประจ�าชาติต่างๆ ยังมีครุฑในรูปแบบแต่ละพ้ืนถ่ิน 96
“ครฑุ ” ในพระบรมราชานญุ าต ครุฑกางปีก หรือที่เรียกอย่าง เปน็ ทางการวา่ “ครฑุ พา่ ห”์ กา� หนดใช้ เป็นตราแผ่นดินและเครื่องหมายของ ทางราชการในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทั้ง ยังใช้ตราครุฑเป็นตราหัวกระดาษ ของหนงั สอื หรอื แบบฟอรม์ ในราชการ ภาคเอกชนสามารถขอใชต้ ราครฑุ พา่ ห์ ได้เช่นเดยี วกัน โดยต้องมคี �าว่า “โดย ไดร้ บั พระบรมราชานญุ าต” ประกอบ อยู่ด้านล่างของตัวครุฑด้วย การติด ตราครุฑท่ีกิจการเพื่อแสดงว่าเป็นผู้ ได้รับพระราชทานให้ใช้ตราแผ่นดิน ในกิจการได้ ปจั จบุ นั การขอพระราชทานตราตง้ั ตอ้ งยน่ื ค�าขอตอ่ สา� นกั พระราชวงั เพอ่ื พิจารณาน�าความขึ้นกราบบังคมทูล ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ดวงตราตง้ั นถ้ี อื เปน็ ของพระราชทาน เฉพาะบคุ คล โดยสทิ ธริ บั พระราชทาน และการใช้เคร่ืองหมายน้ีจะสิ้นสุด เมื่อส�านักพระราชวังเรียกคืน เม่ือผู้ ได้รับพระราชทานถึงแก่กรรม เลิก กิจการ หรอื โอนกจิ การแก่ผู้อืน่ ๓ 97เมษายน-มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
๑ ๑ ครฑุ หรือการดู ้าตะเกยี งน้าำ มัน โบราณวัตถยุ คุ คริสตศ์ ตวรรษที่ ๓ ๒ ในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตอิ ินโดนีเซีย ๒ การูด้า หรอื ครุฑในนาฏกรรมของประเทศอนิ โดนเี ซยี ๓ ครฑุ พนมมือไหว้ ประติมากรรมแบบพื้นบา้ นของวดั แหง่ หนึง่ ในประเทศเมียนมา ๔ ครฑุ หนิ ทรายแกะสลัก ขนาดมหึมา สว่ นหนึ่งของบริเวณนครธม ประเทศกัมพชู า การกา� เนดิ ครุฑในพุทธศาสนามอี ยู่ ๔ ลักษณะ คอื เกดิ เพียงขนครุฑหลุดลงมาเส้นเดียว และขนเส้นน้ันก็กลายเป็น แบบผดุ ขนึ้ มาเอง เรยี กวา่ “โอปปาตกิ ะ” เกดิ จากครรภ์ เรยี กวา่ ขนวิเศษ เนื่องจากครุฑได้รับพรจากพระนารายณ์ให้เป็น “ชลาพชุ ะ” เกดิ จากไข่ เรยี กวา่ “อณั ฑชะ” และเกดิ จากเถา้ ไคล “อมตะ” และทา� หนา้ ทเี่ ปน็ พาหนะของพระองคบ์ นวมิ านฉมิ พลี โคลนตม เรยี กวา่ “สงั เสทชะ” การกา� เนดิ ของเหลา่ ครฑุ ทง้ั หลาย ครุฑไม่เพียงมีพละก�าลังอ�านาจบารมีมหาศาล แต่ยังมีความ มีอยู่ต้ังแต่บริเวณพื้นผิวโลกท่ีมนุษย์อาศัย ป่าหิมพานต์และ เฉลียวฉลาด อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะด้วย ใน ป่าง้วิ รอบเขาพระสเุ มรถุ ึงสวรรค์ชน้ั จาตุมหาราชกิ า ต�านานและวรรณคดีของไทยเรียกครฑุ อกี นามว่า “สบุ รรณ” ครฑุ มหี ลายระดบั แตกตา่ งกนั ทลี่ กั ษณะ ไดแ้ ก่ ตวั เปน็ คน เรอื พระทน่ี งั่ นารายณท์ รงสบุ รรณ รชั กาลท่ี ๙ เป็นเรือ ธรรมดาทั่วไปแต่มปี ีก ตัวเป็นคน หัวเป็นนก ตัวเป็นคน หัวและ พระทน่ี งั่ ทมี่ โี ขนเรอื หรอื หวั เรอื เปน็ ประตมิ ากรรมรปู พระนารายณ์ ขาเป็นนก ตัวเป็นนก หัวเป็นคน และรูปร่างท้ังหัวทั้งตัว ยนื ประทบั บนหลงั พญาสบุ รรณ (ครฑุ ) ทา� จากไมส้ กั ลงรกั ปดิ ทอง เหมือนนกทั้งส้ิน ส�าหรับครุฑช้ันสูงมีขนสีทอง มีเคร่ืองประดับ ประดับกระจก รูปพระนารายณ์ ๔ กร ทรงเทพศาสตราคือ ตรี วิจิตรอย่างเทพ มีชีวิตอยู่และบริโภคอาหารทิพย์ทั้งแปลงกาย คทา จักร สังข์ เรอื ล�านีม้ ีฐานะเป็นเรือพระทนี่ ั่งรองทอดบลั ลังก์ ได้เฉกเช่นเดียวกับเทวดา นอกจากน้ียังมีครุฑบางประเภท กญั ญา ในกระบวนพยหุ ยาตราชลมารค กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์ ครุฑที่ผูกเวรกับนาคก็จะกินนาคเป็น อาหาร หรอื ครฑุ ตนใดผกู เวรกบั สตั วน์ รกในยมโลกกจ็ ะสมคั รใจ ส�าหรับประเทศไทย ครุฑถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สตั ว์นรก ของแผน่ ดนิ มาแตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เนอื่ งจากเปน็ ความเชอ่ื ใน ลัทธิสมมุติเทวราช ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของ คติไทยโบราณเชื่อว่าครุฑคือเทพครึ่งคนครึ่งนกอินทรี พระนารายณ์ ดงั นนั้ ครฑุ ซง่ึ เปน็ ผมู้ ฤี ทธมิ์ ากและเปน็ พาหนะ ตนน้ีมีชีวิตเป็นนิรันดร ไม่มีอาวุธใดสามารถท�าร้ายประหัต ของพระนารายณ์ จงึ กลายเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนพระมหากษตั รยิ ์ ประหารได้เลยแม้กระท่ังสายฟ้าฟาดจากพระอินทร์ที่ท�าได้ ของไทยและเปน็ ดวงตราแผน่ ดนิ 98
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130