Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tocho02009

tocho02009

Description: tocho02009

Search

Read the Text Version

หนังสือเรียนสาระทกั ษะการดําเนนิ ชวี ติ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนตน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย รายวิชาเลอื ก สมนุ ไพรพื้นบ้านต้านโรค รหสั ทช 02009 หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สําหรบั คนไทยในต่างประเทศ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยกลุ่มเปา้ หมายพิเศษ สํานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เอกสารทางวชิ าการลําดบั ท่ี 28/2554

หนังสือแบบเรียนสาระทกั ษะการดําเนินชีวิต รายวิชาเลอื ก สมนุ ไพรพื้นบา้ นตา้ นโรค รหสั ทช02009 หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สําหรบั คนไทยในต่างประเทศ ระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยกลุ่มเปา้ หมายพิเศษ เอกสารทางวชิ าการลําดับท่ี 28/2554 สาํ นกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

คาํ นํา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ได้ดําเนินการ จัดทําหนังสือเรียนสาระทักษะการดําเนินชีวิต รายวิชาเลือก สมุนไพรพื้นบ้านต้านโรค รหัส ทช 02009 เพื่อใช้ในการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สําหรับคนไทยในต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญาและศักยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ และสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และปฏิบัติกิจกรรมเพื่อทดสอบความรู้ ความเข้าใจในสาระ เน้ือหาน้ี รวมทงั้ หาความรูจ้ ากแหล่งเรียนรูห้ รือส่ืออืน่ ๆ เพมิ่ เตมิ ได้ ในการดําเนินการจัดทําหนังสือเรียนเล่มน้ี ได้รับความร่วมมือที่ดีจากผู้ทรงคุณวุฒิและ ผู้เก่ียวข้องท่ีร่วมค้นคว้าและเรียบเรียงเน้ือหาสาระจากส่ือต่างๆ เพ่ือให้ได้สื่อท่ีสอดคล้องกับหลักสูตร และเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนท่ีอยู่นอกระบบอย่างแท้จริง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ขอขอบคุณคณะท่ีปรึกษา คณะเรียบเรียง ตลอดจนผู้จัดทําทุกท่านที่ให้ ความรว่ มมือด้วยดีไว้ ณ โอกาสนี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ หวังว่าหนังสือ เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและการจัดการเรียนการสอน หากมีข้อเสนอแนะประการใดจะขอ น้อมรับไว้ดว้ ยความขอบคณุ ยิ่ง ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยกลุม่ เปา้ หมายพิเศษ 2554

สารบญั หนา้ คํานาํ 1 คําแนะนําการใช้หนังสือเรียน 2 โครงสรา้ งรายวิชา ทช02009 สมุนไพรพ้นื บา้ นตา้ นโรค 14 บทที่ 1 ลกั ษณะและธรรมชาตขิ องสมุนไพร 23 บทที่ 2 สมุนไพรกบั การสาธารณสขุ มลู ฐาน 34 บทที่ 3 การจําแนกสมนุ ไพร 49 บทที่ 4 สรรพคณุ ของสมุนไพร 61 บทที่ 5 การเลือกใชส้ มนุ ไพร 74 แนวคาํ ตอบ 76 บรรณานกุ รม คณะผู้จัดทํา

คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สอื เรยี น หนังสือแบบเรียนสาระทักษะการดําเนินชีวิต รายวิชาเลือก สมุนไพรพื้นบ้านต้านโรค รหัส ทช02009 จํานวน 1 หน่วยกิต หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สําหรับคนไทยในต่างประเทศ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษา ตอนปลาย ประกอบดว้ ยสาระสําคัญ ดงั น้ี สว่ นที่ 1 คําชีแ้ จงก่อนเรียนร้รู ายวชิ า ส่วนที่ 2 เนื้อหาสาระและกจิ กรรมทา้ ยบท ส่วนท่ี 3 แนวตอบกิจกรรมทา้ ยบท แบบทดสอบยอ่ ยท้ายบท ส่วนท่ี 1 คําชแ้ี จงกอ่ นเรยี นรรู้ ายวิชา ผู้เรียนต้องศึกษารายละเอียดในคํานําและคําแนะนําการใช้หนังสือแบบเรียน เพ่ือสร้าง ความเข้าใจและเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา ซ่ึงการเรียนรู้เน้ือหาและการปฏิบัติ กิจกรรมทา้ ยบท ควรปฏิบัติดงั นี้ 1. หารือครูประจํากลุ่ม / ครูผู้สอน เพื่อร่วมกันวางแผนการเรียน (ใช้เวลาเรียน 40 ชัว่ โมง ทง้ั ในสว่ นของภาคทฤษฎี และภาคปฏบิ ัต)ิ 2. ศึกษาเน้ือหาจากหนังสือแบบเรียน หากมีข้อสงสัยในเรื่องใด สามารถศึกษาค้นคว้า เพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากสอ่ื ต่างๆ หรือหารอื ครูประจาํ กลุม่ / ครูผสู้ อน เพอ่ื ขอคาํ อธบิ ายเพ่มิ เตมิ 3. ทาํ กิจกรรมทา้ ยบทเรียนตามทกี่ ําหนด 4. เข้าสอบวัดผลการเรียนรปู้ ลายภาคเรียน 5. สร้างความเข้าใจเก่ียวกับการประเมินผลรายวิชา ซึ่งมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยแบ่งสดั สว่ นคะแนนเปน็ ระหว่างภาคเรยี น 60 คะแนน และปลายภาคเรยี น 40 คะแนน ดังน้ี 5.1 คะแนนระหวา่ งภาคเรยี น 60 คะแนน แบ่งสว่ นคะแนนตามกิจกรรม ได้แก่ 1) ทํากจิ กรรมท้ายบทเรียน 20 คะแนน โดยทาํ กิจกรรมทา้ ยบทใหค้ รบถว้ น 2) ทาํ บนั ทกึ การเรยี นรู้ 20 คะแนน โดยสรุปย่อเนื้อหาหรือวิเคราะห์เน้ือหาจาก การศึกษาหนังสอื แบบเรียนรายวิชาน้ี เพ่อื แสดงใหเ้ ห็นกระบวนการเรียนรู้ และการนําความรู้ไปใช้ โดยทาํ ตามที่ครกู าํ หนด และจดั ทาํ เปน็ รูปแบบเอกสารความรู้ ดังน้ี - ปก (รายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียน : ช่ือ – นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับการศึกษา ศกร.กศน. ของผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลมุ่ เป้าหมายพเิ ศษ) - ส่วนบนั ทึกการเรยี นรู้ (เน้อื หาประกอบดว้ ย : หัวข้อ / เรื่องท่ศี ึกษา และ จดุ ประสงค์ที่ศึกษา และขัน้ ตอนการศึกษาโดยระบุว่ามีวธิ รี วบรวมขอ้ มลู อยา่ งไร นาํ ขอ้ มลู มาใช้อยา่ งไร)

- ประโยชน์ทเี่ กิดกับตวั ผู้เรียน (บอกความร้ทู ่รี บั และนาํ มาพฒั นาตนเอง / การนาํ ไปประยกุ ต์ใชใ้ นรายวิชาอืน่ ๆ หรือในชีวติ ประจาํ วัน) 3) ทาํ รายงานหรอื โครงงาน คิดสดั สว่ น 20 คะแนน โดยจดั ทาํ เน้อื หาเป็น รายงานหรอื โครงงานตามทค่ี รกู ําหนด รปู แบบเอกสารรายงานหรือโครงงาน ดังน้ี - ปก (เรอ่ื งทร่ี ายงาน รายละเอียดเกย่ี วกับตัวผู้เรียน : ช่ือ – นามสกุล รหสั ประจําตวั ระดับการศกึ ษา ศกร.กศน. ของผเู้ รียน และศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตาม อัธยาศยั กลมุ่ เปา้ หมายพเิ ศษ) - หลักการและเหตุผล - วัตถุประสงค์ - เป้าหมาย - ขอบเขตของการศึกษา - วิธีดําเนินงานและรายละเอยี ดของแผน - ระยะเวลาดาํ เนนิ งาน - งบประมาณ - ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ 5.2 คะแนนปลายภาค 40 คะแนน ผู้เรยี นตอ้ งเขา้ สอบวัดความรู้ปลายภาคเรยี น โดยใชเ้ ครอื่ งมือ (ขอ้ สอบแบบปรนยั หรอื อัตนยั ) ของศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศยั กล่มุ เป้าหมายพิเศษ ส่วนท่ี 2 เนอ้ื หาสาระและกิจกรรมท้ายบท ผู้เรียนต้องวางแผนการเรียน ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของรายวิชา และต้องศึกษา เนื้อหาสาระตามที่กําหนดในรายวิชาให้ละเอียดครบถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ของ รายวชิ า ซ่งึ ในรายวชิ าน้ี ไดแ้ บง่ เนือ้ หาออกเป็น 5 บท ดังน้ี บทที่ 1 ลกั ษณะและธรรมชาติของสมุนไพร บทที่ 2 สมนุ ไพรกบั การสาธารณสขุ มลู ฐาน บทที่ 3 การจําแนกสมนุ ไพร บทท่ี 4 สรรพคณุ ของสมุนไพร บทที่ 5 การเลือกใช้สมนุ ไพร ส่วนกิจกรรมท้ายบทเรียน เม่ือผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาแต่ละบท/ตอนแล้ว ต้องทํา กจิ กรรม ท้ายบทเรียนหรอื แบบฝกึ หัด ตามที่กําหนดใหค้ รบถ้วน เพื่อสะสมเปน็ คะแนนระหว่างภาคเรียน

สว่ นที่ 3 แนวตอบกจิ กรรมทา้ ยบทเรยี นหรือแบบฝกึ หดั และหรือเฉลยแบบทดสอบยอ่ ย แนวตอบกิจกรรมทา้ ยบทเรยี นหรือแบบฝึกหัด และหรอื เฉลยแบบทดสอบยอ่ ย จัดทํา แยกไว้เป็นบท เรยี งลําดับ --------------------------------------

โครงสรา้ งรายวชิ า ทช02009 สมุนไพรพนื้ บา้ นตา้ นโรค สาระทักษะการดาํ เนินชีวติ ระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จํานวน 1 หนว่ ยกติ (40 ชัว่ โมง) สาระสาํ คญั มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะและเจตคติทด่ี ีเกี่ยวกบั การดแู ลส่งเสริมสุขภาพอนามยั และความปลอดภัยในการดาํ เนนิ ชวี ิต ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั 1. สามารถจาํ แนกสมุนไพรแต่ละชนิด 2. มคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกบั สรรพคณุ ของสมนุ ไพรแต่ละประเภท 3. สามารถบอกวธิ ีการใช้สมนุ ไพร ในการรักษาอาการเจ็บปว่ ยเบื้องตน้ 4. เลอื กใช้สมุนไพรในการรกั ษาอาการเจ็บปว่ ยตา่ ง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม ขอบขา่ ยเนื้อหา บทที่ 1 ลกั ษณะและธรรมชาติของสมนุ ไพร บทที่ 2 สมนุ ไพรกับการสาธารณสุขมลู ฐาน บทท่ี 3 การจําแนกสมนุ ไพร บทที่ 4 สรรพคุณของสมุนไพร บทที่ 5 การเลือกใช้สมนุ ไพร 1

บทท่ี 1 ลักษณะและธรรมชาติของสมุนไพร สาระสาํ คญั มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคตทิ ่ีดเี กีย่ วกับการดูแลส่งเสรมิ สขุ ภาพอนามยั และความปลอดภยั ในการดาํ เนินชวี ติ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั 1. สามารถบอกความหมายของสมนุ ไพรได้ 2. มคี วามรู้ความเขา้ ใจเบ้ืองตน้ เกยี่ วกับสมุนไพร 3. สามารถบอกความแตกตา่ งของสมนุ ไพรแต่ละชนิดได้ 4. บอกประโยชน์ของสมุนไพรได้อยา่ งนอ้ ย 3 ประการ 5. สามารถถา่ ยทอดความรเู้ กี่ยวกับพัฒนาการดา้ นสมนุ ไพรได้ ขอบข่ายเนอ้ื หา เร่อื งที่ 1 ความหมายของสมุนไพร เรื่องท่ี 2 ความร้เู บ้อื งตน้ เกยี่ วกบั สมนุ ไพร เร่อื งท่ี 3 คุณสมบตั ิของสมุนไพร เร่ืองที่ 4 ประโยชนข์ องสมนุ ไพร เร่อื งท่ี 5 พัฒนาการดา้ นสมนุ ไพร 2

เรอื่ งท่ี 1 ความหมายของสมุนไพร สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน เล่มท่ี 14 ได้ให้ความหมายของคําว่า สมุนไพรไว้ ดังน้ี สมุนไพร หมายถึง พืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้สมุนไพรสําหรับ รักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ น้ี จะต้องนําเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดข้ึนไปมาผสมรวมกันซึ่งจะ เรียกว่า \"ยา\" ในตํารับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียก พืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ ท่ีเป็นส่วนประกอบของยาน้ีว่า \"เภสัชวัตถุ\" พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น เป็นพืชที่มีกลิ่นหอม และมีรสเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาสําหรับขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านํามาปรุงอาหาร เราจะเรียกว่า \"เคร่ืองเทศ\" ในพระราชบัญญัติยา ฉบับที่ 3 ปี พุทธศกั ราช 2552 ไดแ้ บง่ ยาทไ่ี ด้จากเภสชั วัตถนุ ี้ไวเ้ ป็น 2 ประเภทคือ 1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือในการ บาํ บดั โรคของสัตว์ ซง่ึ มีปรากฏอยู่ในตํารายาแผนโบราณท่ีรัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้ เป็นยาแผนโบราณ หรือได้รบั อนญุ าตใหข้ ้ึนทะเบียนตํารับยาเป็นยาแผนโบราณ 2. ยาสมุนไพร หมายถงึ ยาท่ไี ดจ้ ากพชื สตั ว์หรอื แร่ธาตทุ ย่ี งั มิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้คําจํากัดความของคําว่า สมุนไพรไว้ ดังนี้ สมุนไพร หมายถึง ผลิตผลธรรมชาติได้จาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือผสม กับสารอ่ืน ตามตํารับยา เพ่ือบําบัดโรค บํารุง ร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ เช่น กระเทียม น้ําผ้ึง รากดิน (ไสเ้ ดือน) เขากวางอ่อน กาํ มะถัน ยางนอ่ ง โล่ตน๊ิ พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า “ ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จาก พฤกษาชาติ สตั ว์ หรอื แร่ธาตุ ซง่ึ มิไดผ้ สมปรงุ หรอื แปรสภาพ” โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า สมุนไพร หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ที่ได้จากพืช สัตว์ และแร่ธาตุ ต่าง ๆ ท่ียังไม่ได้มีการผสม หรือมีการปรุงแต่ง หรือมีการแปรสภาพแต่อย่างใด ในการนําไปใช้อาจมีการ ดัดแปลงรูปรา่ ง หรอื ลกั ษณะเพ่ือให้สามารถนําไปใช้ประโยชนไ์ ด้สะดวกขึน้ เรื่องท่ี 2 ความรเู้ บ้ืองตน้ เก่ียวกบั สมุนไพร สมุนไพร เป็นสิ่งท่ีกําเนิดข้ึนจากธรรมชาติ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง หลากหลาย ตามวัตถุประสงค์ของผู้นําไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นการนําไปปรุงอาหาร การนําไปใช้เพ่ือเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือการนําไปใช้เพื่อการบรรเทา หรือรักษาโรค เพราะในสมุนไพรแต่ละชนิด สามารถนําไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ทั้ง 3 ลักษณะ เช่น กระเทียม สามารถนําไปใช้เพ่ือแต่งกล่ินและรสอาหาร 3

ในขณะเดยี วกันกส็ ามารถนาํ ไปใชใ้ นการควบคมุ ความดนั โลหติ หรือระดับคลอเลสเตอรอลที่สูง และในบาง แหง่ กจ็ ดั ใหอ้ ย่ใู นกลมุ่ ของอาหารเสริมสขุ ภาพ ในการสาธารณสขุ มลู ฐานส่วนใหญ่จะใหค้ วามสาํ คญั ที่ พืชสมนุ ไพร ซึ่งจะมีองค์ประกอบ ทสี่ าํ คญั ท่คี วรศึกษา 5 ส่วน ดังนี้ 1. ราก เป็นส่วนประกอบของพืชสมุนไพร ที่เป็นอวัยวะหรือส่วนของพืชท่ีไม่มี ข้อ ปล้อง ตา และใบ เจริญลงสู่ดินตามแรงดึงดูดของโลก รากมีหน้าท่ีในการคํ้าจุนส่วนต่าง ๆ ของพืชให้ ทรงตัวอยู่ได้ ดูดและลําเลียงน้ํา ตลอดจนสะสมอาหาร ยึดเกาะ และใช้ในการหายใจ อาหารท่ีสะสมไว้ จะมกี ารดดู ซมึ ขนึ้ ไปสู่ต้นพชื เพ่ือบํารงุ เลย้ี งตน้ พืชใหม้ ีความเจรญิ เติบโต และงอกงาม ลักษณะของรากจะมีทั้งรากแท้และรากฝอย ในการสังเกตราก ควรต้องดูคุณสมบัติ ของราก ตงั้ แตค่ วามสด ความแห้ง ขนาดของราก ความเปราะของเนือ้ ราก สี กลนิ่ รสของราก การนําราก ของพืชสมุนไพรมาใช้น้ัน จําเป็นต้องรู้จักการสังเกตอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเก็บสมุนไพรผิดต้น ไปทําการรักษาโรค พืชสมุนไพรท่ีมีการนํารากมาใช้ในการรักษาโรค ได้แก่ กระชาย แก้อาการท้องอืด ท้องเฟอ้ ปลาไหลเผือก แกไ้ ข้ และมะละกอ ใชข้ บั ปัสสาวะ เป็นต้น 2. ลําต้น เป็นส่วนของพืชท่ีเจริญมาจากต้นอ่อน แตกต่างจากรากตรงท่ี มีข้อ ปล้อง และยอด มีท้ังลําต้นท่ีอยู่เหนือดิน และลําต้นท่ีอยู่ใต้ดิน นับเป็นส่วนที่มีความสําคัญสําหรับพืชในการ ทจ่ี ะตั้งเปน็ โครงให้กบั ต้นพชื ลักษณะของลําต้น หากแบ่งตามลักษณะภายนอก จะแบ่งได้เป็น ประเภทไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม และไม้เลื้อย การนําลําต้นของพืชมาใช้ประโยชน์ จําเป็นต้องรู้จักการสังเกตเพ่ือดูว่า ลําต้นของพืช ที่จะนํามาใช้น้ัน มีลักษณะเป็นอย่างไร สังเกตได้จากลักษณะของตา ข้อ และปล้อง ความสมบูรณ์ ของส่วนต่าง ๆ เหล่านี้นับเป็นส่ิงที่มีความสําคัญ สมุนไพรส่วนที่ใช้ลําต้นเป็นยา เช่น อ้อยแดง ใช้แก้อาการ ขดั เบา ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดใชแ้ ก้ไข้ เป็นตน้ 3. ใบ เป็นอวัยวะที่เจริญออกไปบริเวณด้านข้าง โดยมีตําเหน่งอยู่ท่ีข้อ ปล้องของต้น และก่ิงใบส่วนใหญ่จะมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ รูปร่างและขนาดของใบแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช หน้าทห่ี ลักของใบคอื ใช้ในการสังเคราะห์แสง การหายใจและการคายน้าํ ลักษณะของใบ ประกอบด้วยโครงสร้างภายในใบ 3 ส่วน คือ แผ่นใบ ก้านใบ และหูใบ ในการสังเกตเพื่อนาํ มาใชป้ ระโยชน์ ควรสงั เกตดรู ูปร่างของใบ ปลาย ริม เส้นและเนอ้ื ของใบอย่างละเอียด โดยอาจนําไปเปรียบเทียบลักษณะของใบท่ีมีความคล้ายคลึงกัน เพื่อให้สามารถจําแนกใบพืชได้ อย่างถูกต้อง ป้องกันข้อผิดพลาดในการนําไปใช้ สมุนไพรท่ีใช้ใบเป็นยา เช่น กระเพรา ใช้ได้ท้ังใบสด หรือใบแห้ง แก้ปวดท้อง ท้องข้ึน จุกเสียด ข้ีเหล็ก รักษาอาการท้องผูก ใบชุมเห็ดเทศ ขย้ีหรือ ตําในครก ให้ละเอยี ดเตมิ น้ําเล็กนอ้ ย ใชร้ กั ษาโรคกลากได้ 4

4. ดอก ส่วนประกอบของพืชในส่วนที่เป็นดอก ส่วนใหญ่ จะมีองค์ประกอบเป็นชั้นๆ แบ่งได้เป็น 4 ช้ัน ได้แก่ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย นอกจากนี้ยังสามารถ แบ่งออกเป็นดอกสมบูรณ์ และดอกไม่สมบูรณ์ โดยพิจารณาจากส่วนประกอบของดอกเป็นเกณฑ์ ดอกสมบูรณ์เพศ และดอกไม่สมบูรณ์เพศ โดยพิจารณาจากการมีเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ในดอกเดยี วกนั หรอื มเี พียงเกสรตวั ผู้ หรอื เกสรตวั เมียเพียงอยา่ งเดียว ลักษณะของดอก จะมีความแตกต่างกันไป จึงจําเป็นต้องรู้จักการสังเกตอย่างละเอียด เช่น จํานวนของกลีบดอก การเรียงตัวของกลีบดอก รูปร่างของกลีบดอก สี กลิ่น เป็นต้น สมุนไพรท่ีใช้ ส่วนของดอกเป็นยา เช่น กานพลู นํ้ามันหอมระเหย ในดอกกานพลู มีฤทธ์ิขับลม ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ขบั พยาธิ ดปี ลี แก้ท้องอดื ทอ้ งเฟ้อ เป็นตน้ 5. ผล คือ ส่วนหน่ึงของพืชที่เกิดจากการผสมระหว่างเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียในดอก เดียวกันหรือคนละดอกก็ได้ มีลักษณะรูปร่างท่ีแตกต่างกันออกไปตามประเภทและสายพันธ์ุ รูปร่าง ลักษณะของผล มีหลายอย่าง ตามชนิดของต้นไม้ท่ีแตกต่างกัน แบ่งตามลักษณะของการเกิดได้ 3 ประเภท คือ ผลเด่ียว ผลกลุ่ม และผลรวม ลักษณะของผลไม้แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัว ที่สามารถสังเกต หรือแยกแยะได้ โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง สี หรือกล่ิน การเลือกใช้ประโยชน์จึงควรให้ความสําคัญที่ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ไม้น้ันๆ ผลท่ีมีการนํามาใช้เป็นยา เช่น มะเกลือ ดีปลี มะแว้งต้น กระวาน เป็นต้น บางชนิดสามารถนําเมล็ดภายในผลมาใช้เป็นยาได้อีก เช่น สะแก ฟักทอง ฉะนั้นในการ สงั เกตลักษณะของผล ควรสงั เกตลกั ษณะ รปู รา่ งของเมลด็ ไปพร้อมกันด้วย ในการนําพืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ สามารถนํามาใช้ได้เกือบทุกส่วน โดยแต่ละส่วน จะมีตัวยามากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คํานึงถึงความถูกต้องของคุณสมบัติของพืช สมุนไพรท่ีจะนํามาใช้ ส่วนไหนของพืชท่ีควรนํามาใช้ประโยชน์เป็นยา เช่น ราก ลําต้น ใบ ดอก หรือผล พ้ืนดินท่ีปลูกพืชสมุนไพร วิธีการปลูก การดูแล อากาศ ช่วงเวลาในการเก็บ ระยะเวลาท่ีเหมาะสม การเลือกเก็บยาอย่างถูกวิธีนั้นก็จะมีผลต่อคุณภาพหรือฤทธิ์ของยาที่จะนํามารักษาโรคด้วย จึงต้อง ให้ความสําคัญในการเก็บสมุนไพรอย่างถูกวิธีเพ่ือให้ได้ยาท่ีมีคุณภาพ เช่น ลําโพง ควรปลูกในพ้ืนดิน ท่ีเป็นดา่ ง จะมีปรมิ าณตวั ยาสูง สะระแหน่ หากปลกู ในที่ดนิ ทราย ปริมาณนํา้ มันหอมระเหยจะสงู เร่ืองที่ 3 คณุ สมบตั ขิ องสมุนไพร สมุนไพรนอกจากจะนํามาใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรคแล้ว ยังสามารถนํามาใช้ ประโยชน์ทางด้านอื่น ๆ อีก เช่น นํามาบริโภคเป็นอาหาร อาหารเสริมสุขภาพ เครื่องด่ืม สีผสมอาหาร และสีย้อม ตลอดจนใช้ทาํ เคร่ืองสําอางอกี ด้วย 5

คุณสมบตั ิของสมุนไพร 1. ทาํ ลายหรอื ยบั ย้ังเชอื้ โรค 2. ส่งเสริมการสร้างภมู ิคุ้มกนั โรค 3. บรรเทาอาการเจบ็ ปว่ ย และปรบั สภาพร่างกายใหเ้ ป็นปกติ 4. มีผลข้างเคยี งหรือตกค้างนอ้ ยมาก เนอ่ื งจากเป็นสารธรรมชาติ การเลือกเก็บส่วนท่ีเป็นพืชสมุนไพรอย่างถูกวิธีการนั้น จะมีผลอย่างมาก ต่อประสิทธิภาพของการที่จะนํามารักษาโรค หากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ปริมาณตัวยา ทม่ี อี ยู่ในสมุนไพรน้ัน ๆ ก็จะเปล่ียนแปลงตามไปด้วย ทําให้คุณภาพของพืชสมุนไพรท่ีได้มาน้ันไม่เกิดผลดี ในการบําบดั รักษาโรค ไดเ้ ท่าที่ควร หลักในการเก็บพชื สมนุ ไพร มดี งั น้ี 1. ประเภทรากหรือหัว ควรเก็บในช่วงเวลาท่ีพืชหยุดการเจริญเติบโต ใบ ดอกร่วง หมดแล้ว หรือในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เพราะเหตุว่าในช่วงเวลาน้ีรากและหัวมีการสะสม อาหารไวค้ อ่ นขา้ งสงู วิธีการเก็บ ให้ใช้วิธีการขุดด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากหรือหัวเกิดการเสียหาย แตกช้ํา หกั หรอื ขาดได้ ตวั อยา่ งรากหรือหัวของพชื สมุนไพรที่นิยมนาํ มาใช้ เช่น ข่า กระชาย ขิง เปน็ ต้น 2. ประเภทใบหรือต้น ควรจะเก็บใบท่ีเจริญเติบโตมากที่สุด หรือพืชบางอย่างอาจระบุ ช่วงเวลาเก็บได้อย่างชัดเจน เช่น เก็บใบอ่อนหรือใบที่ไม่แก่เกินไป เก็บในช่วงออกดอก หรือช่วงเวลา ท่ีดอกบาน เป็นต้น การกําหนดช่วงเวลาในการเก็บที่เหมาะสม จะทําให้ได้รับประโยชน์ เพราะ ชว่ งเวลานน้ั จะเป็นชว่ งเวลาท่ีใบหรอื ต้นท่ีเก็บมามีคุณประโยชน์ตามที่ต้องการมากท่ีสุด วิธีการเก็บก็ใช้วิธีเด็ด เช่นใบกระเพราใบฝร่ัง ใบฟ้าทะลายโจร เป็นต้น 3. ประเภทเปลือกต้นหรือเปลือกราก โดยมากจะเก็บช่วงฤดูร้อนต่อกับช่วงฤดูฝน เน่ืองจากเป็นช่วงที่มีปริมาณยาในพืชสมุนไพรสูง และลอกออกได้ง่าย สะดวก ในการลอกเปลือกต้นนั้น ไม่ควรลอกเปลือกออกทั้งรอบต้น เพราจะกระทบกระเทือนในการส่งลําเลียงอาหารของพืช จะทําให้ตาย ได้ ทางทีด่ คี วรลอกเปลอื กก่งิ หรอื ส่วนทเี่ ป็นแขนงย่อย ไม่ควรลอกจากลําตน้ ใหญ่ของตน้ ไม้ หรอื อาจจะใช้ วิธีลอกออกในลักษณะครงึ่ วงกลมก็ได้ สว่ นเปลือกราก ควรเกบ็ ในช่วงฤดฝู นเหมาะมากท่สี ดุ เนือ่ งจากการลอกเปลอื กรากเปน็ ผลเสียตอ่ การเจริญเติบโตของพชื 4. ประเภทดอก โดยทั่วไปนิยมเก็บในช่วงดอกเร่ิมบาน แต่บางชนิดเก็บในช่วงดอกตูม เช่น กานพลู เป็นตน้ 6

5. ประเภทผลและเมล็ด พืชสมุนไพรบางอย่าง อาจจะเก็บในช่วงท่ีผลยังไม่สมบูรณ์ หรือ ยังไม่สุกก็มี เช่น ฝรั่ง เก็บเอาผลอ่อนมาเป็นยาแก้ท้องร่วง แต่โดยท่ัวไปมักเก็บเม่ือผลแก่เต็มท่ีแล้ว ตัวอย่างเช่น มะแว้งตน้ มะแว้งเครอื ดปี ลี เมลด็ ฟกั ทอง เมล็ดชมเหด็ ไทย เมลด็ สะแก เป็นต้น คุณภาพของสมุนไพรท่ีจะใช้รักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น สําคัญอยู่ที่ช่วงเวลาการเก็บ สมุนไพรและวิธีการเก็บ ยังมีปัจจัยอ่ืน ๆ ท่ีจะต้องคํานึงถึงอีกคือ พ้ืนดินท่ีปลูกพืชสมุนไพร สภาพสิ่งแวดล้อมในการเจริญเติบโต และภูมิอากาศ เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ีต่างก็มีผลต่อพืชสมุนไพรด้วยกัน ท้ังสิน้ จงึ ควรพิจารณาให้ดีในเรือ่ งน้ีดว้ ย การเก็บพืชสมุนไพรให้ถูกต้อง เหมาะสม ในช่วงเวลาท่ีสมควรเก็บ จะทําให้ได้พืช สมุนไพรทีม่ คี ุณภาพ มีคุณคา่ และมสี รรพคณุ ทางยาดี เรื่องท่ี 4 ประโยชน์ของสมุนไพร ประโยชน์ของสมุนไพรในประเทศที่พัฒนาแลว้ จะเหน็ ว่าสมนุ ไพรมปี ระโยชน์ คอื 1. เป็นวตั ถุดิบในการผลติ ตวั ยาสาํ คัญ เช่นใช้ผลติ ควนิ นิ เปน็ ตน้ 2. เปน็ วตั ถดุ ิบในการผลิตสารต้ังตน้ ในการสงั เคราะหย์ า เชน่ พชื สกลุ กลอย เป็น วตั ถดุ บิ ในการผลิตไดออสเจนิน ซึ่งเปน็ สารตัง้ ตน้ ในการผลติ ยาประเภทสเตยี รอยด์ หรอื น้ํามนั พืชเปน็ วตั ถุดิบในการผลติ บีตาซิโตสเตยี รอล ซึ่งใชผ้ ลิตยาสเตียรอยด์ เป็นต้น 3. เป็นแบบอย่างในการสังเคราะห์ยา ยาส่วนใหญ่ที่ใช้ในปัจจุบันมีต้นกําเนิดจาก ธรรมชาติแทบทงั้ สิน้ เมอ่ื ค้นพบตวั ยาสําคัญจากธรรมชาติแล้วจึงมีการสังเคราะห์เลียนแบบข้ึน การศึกษา หายาใหม่ ๆ จากพชื ยังคงดาํ เนนิ อยู่ต่อไป 4. เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อบํารุงสุขภาพ ในช่วงเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมานี้ชาวตะวันตกได้หัน มานิยมใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากย่ิงขึ้น เนื่องจากกลัวความเป็นพิษรุนแรงจากยาสังเคราะห์และสาร ตกค้างจากกระบวนการสังเคราะห์ นอกจากน้ียังเนื่องมาจากความเช่ือท่ีว่าในพืชและสัตว์มีระบบการ ป้องกันตัวเองที่คล้ายคลึงกัน เช่น ระบบเอนไซม์ เป็นต้น จึงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์น่าจะ ปลอดภยั กบั คนด้วย ตวั อยา่ งเช่น โสม นมผึง้ และเกสรผง้ึ เปน็ ต้น นอกจากน้ี ยงั สามารถกล่าวถงึ ประโยชนโ์ ดยท่วั ไปของสมุนไพร ไดด้ งั นี้ 1. สามารถรักษาโรคบางชนิดได้ โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งบางชนิดอาจ มีราคาแพง และต้องเสยี ค่าใชจ้ า่ ยมาก อกี ท้งั อาจหาซอื้ ได้ยากในท้องถิน่ นนั้ 2. ให้ผลการรักษาได้ดีใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน และให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ มากกวา่ ยาแผนปจั จบุ นั 3. สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่นเพราะส่วนใหญ่ได้จากพืชซ่ึงมีอยู่ท่ัวไปทั้งในเมืองและ ชนบท 7

4. มีราคาถูก สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ้ือยาแผนปัจจุบัน ในกรณีที่ต้องสั่งซื้อ จากต่างประเทศเปน็ การลดการขาดดุลทางการค้า 5. ใช้เป็นยาบํารงุ รกั ษาให้ร่างกายมสี ุขภาพแขง็ แรง 6. ใช้เปน็ อาหารและปลกู เป็นพชื ผกั สวนครวั ได้ เชน่ กะเพรา โหระพา ขงิ ข่า ตําลึง 7. ใชใ้ นการถนอมอาหารเชน่ ลกู จนั ทร์ ดอกจนั ทรแ์ ละกานพลู 8. ใชป้ รงุ แต่ง กล่นิ สี รส ของอาหาร เชน่ ลกู จนั ทร์ ใชป้ รุงแต่งกล่นิ อาหารพวกขนมปัง เนย ไสก้ รอก แฮม เบคอน 9. สามารถปลูกเป็นไม้ประดับอาคารสถานทต่ี า่ ง ๆ ให้สวยงาม เชน่ คูน ชมุ เหด็ เทศ 10. ใชป้ รงุ เป็นเคร่ืองสําอางเพอื่ เสริมความงาม เชน่ ว่านหางจระเข้ ประคาํ ดคี วาย 11. ใช้เป็นยาฆา่ แมลงในสวนผัก, ผลไม้ เชน่ สะเดา ตะไคร้ หอม ยาสบู 12. เป็นพืชที่สามารถส่งออกทาํ รายไดใ้ หก้ ับประเทศ เชน่ กระวาน ขมน้ิ ชนั เร่ว 13. เป็นการอนุรักษม์ รดกไทยใหป้ ระชาชนในแตล่ ะทอ้ งถน่ิ รู้จักช่วยตนเองในการนําพืช สมุนไพรในทอ้ งถน่ิ ของตนมาใชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ ามแบบแผนโบราณ 14. ทําให้คนเหน็ คุณค่าและกลับมาดาํ เนินชวี ติ ใกลช้ ิดธรรมชาติย่งิ ขนึ้ 15. ทาํ ให้เกิดความภูมใิ จในวัฒนธรรม และคุณค่าของความเปน็ ไทย เรอ่ื งที่ 5 พัฒนาการดา้ นสมนุ ไพร สมุนไพร คือ ของขวัญท่ีธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติ มนุษย์เรารู้จักใช้สมุนไพร ในด้านการบําบัดรักษาโรค มาต้ังแต่ยุคนีแอนเดอร์ทัล โดยพบว่ามีการใช้สมุนไพรในการฝังศพ การใช้ ตน้ ตะบองเพชรเป็นยาฆ่าเชอ้ื และรกั ษาบาดแผล ในยคุ อยี ปิ ต์โบราณได้เกิดมีตําราสมุนไพรท่ีเก่าแก่เกิดข้ึน ซึ่งได้กล่าวถึงตําราสมุนไพรกว่า 800 ตํารับ และมีสมุนไพรกว่า 700 ชนิด โดยมีรูปแบบการเตรียมยา ทห่ี ลากหลาย ตงั้ แต่ การต้ม การชง การทําเป็นผง การกล่นั เปน็ เม็ด การทําเป็นยาพอก การทําเปน็ ข้ผี ง้ึ นอกจากนี้ยังพบว่าชาติต่าง ๆ ในแถบยุโรปและแอฟริกา มีหลักฐานการใช้สมุนไพร ตามลําดับก่อนหลังของการเร่ิมใช้สมุนไพร คือ หลังจากสมุนไพรได้เจริญรุ่งเรืองในอียิปต์แล้ว ก็ได้มีการ สืบทอดกันมา เช่น กรีก โรมัน อาหรับ อิรัก เยอรมัน โปรตุเกส สวีเดน และโปแลนด์ ส่วนในแถบเอเซีย ตามบนั ทกึ ประวตั ิศาสตร์พบว่ามกี ารใชส้ มนุ ไพรท่อี นิ เดียก่อน แลว้ สบื ทอดมาท่ีจนี มะละกา และประเทศไทย ประเทศไทยนับเป็นประเทศหน่ึงในทวีปเอเชีย ที่มีภูมิอากาศท่ีเหมาะสมต่อการเจริญ งอกงามของพืชนานาชนิด โดยเฉพาะพืชสมุนไพรมีอยู่มากมายเป็นแสน ๆ ชนิด ทั้งที่เกิดข้ึนเอง ตามธรรมชาติและจากการเพาะปลูก สมุนไพรหลายชนิด ถูกนํามาใช้ในรูปของยากลางบ้าน ยาแผนโบราณ มีรากฐานมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งมีคัมภีร์อายุรเวท ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการ วินิจฉัยโรค ในปีพุทธศักราช 1800 ตรงกับรัชสมัยของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช นับเป็นยุคทอง 8

ของสมุนไพรไทย เพราะในรัชสมัยของพระองค์มีสวนป่าสมุนไพรท่ีใหญ่โตมากอยู่บนยอดเขาคีรีมาส อําเภอคีรีมาส จังหวัดสุโขทัย มีเนื้อท่ีหลายร้อยไร่ ปัจจุบันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ เป็นป่าสงวนเพ่ือเป็น แหลง่ ศึกษาคน้ ควา้ ของผทู้ ส่ี นใจ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเห็นว่าสมุนไพร เป็นทั้งยาและอาหารประจําครอบครัว ชาติจะเจริญมั่นคงได้ก็ด้วยครอบครัวเล็ก ๆ ท่ีมีความม่ันคง แข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ท้ังทางกายและจิตใจ จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดําเนิน โครงการตามพระราชดําริ สวนสมุนไพรข้ึนในประเทศไทยในปีพุทธศักราช 2522 โดยทรงมีพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมศึกษาค้นคว้า ในเร่ืองเก่ียวกับสมุนไพรทุกด้าน เช่น ด้านวิชาการ ทางชีววิทยา ทางการแพทย์ การบําบัด การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมโดยเฉพาะพืชท่ีเป็นประโยชน์ ก่อให้เกิด โครงการพระราชดําริ สวนป่าสมุนไพรข้ึนมากมายหลายแหล่ง อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยสถาบันวจิ ยั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพ่อื สกัดเปน็ ยาแทนยาสงั เคราะห์ทใี่ ช้กันในปัจจบุ ัน กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานภาครัฐ ได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพร เพื่อเสริมสร้างการพึ่งตนเองในด้านยา ทั้งน้ีเน่ืองจากในแต่ละปีประเทศไทยนํายาจากต่างประเทศเข้ามา เป็นมลู คา่ สูงถงึ กว่า 50,000 บาท ซึง่ เปน็ ผลให้ 1. ราคายาสูง จนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถซื้อหายาบางชนิดได้ ราคายานี้นับวัน จะสูงข้ึนเพราะไม่มีคู่แข่งภายในประเทศ ผู้ผลิตจึงสามารถต้ังราคาได้ตามใจชอบ และยังเป็นที่หวั่นเกรง กนั ว่าหากประเทศไทยรับรองสทิ ธิบัตรยา ราคายาจะสูงขน้ึ ไปอีก 2. สญู เสยี เงินตราตา่ งประเทศปลี ะมากๆ 3. เสย่ี งตอ่ ภาวะการขาดแคลนยา หากถกู ตดั ขาดจากภายนอก เช่น ในภาวะสงคราม 4. เกิดปัญหาการใช้ยาเกินความจําเปน็ และเกิดอันตรายจากการใช้ยาผิดๆ เนอื่ งจาก ยาทีน่ ําเขา้ สว่ นใหญ่เป็นยาสงั เคราะห์ หรือสารบรสิ ทุ ธ์ิ มีรปู แบบท่นี ่าใช้ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 5 (พ.ศ.2525 - 2529) ได้สรปุ แนวทางที่สําคญั เกีย่ วกบั การพัฒนาดา้ นสมุนไพรไว้ 4 ประการ คอื 1. การพัฒนาเพอ่ื การสง่ ออก 2. การพัฒนาเพ่ืออตุ สาหกรรมยา (1) อตุ สาหกรรมยาแผนโบราณ (2) อตุ สาหกรรมยาแผนปัจจุบัน 3. การพัฒนาเพ่อื ใชใ้ นการสาธารณสขุ มลู ฐาน 4. การพฒั นาเพอ่ื ยุทธปัจจัย 9

ตอ่ มาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 6 คณะกรรมการพัฒนา สมุนไพรได้พิจารณาเห็นว่ารายชื่อยาท่ีใช้เป็นยุทธปัจจัยสอดคล้องกับรายช่ือยาในอุตสาหกรรม ยาแผนปัจจุบันจึงรวมเข้าเป็นหัวขอ้ เดียวกับการพฒั นาเพื่ออุตสาหกรรมยา ในการพัฒนาด้านสมุนไพรทีม่ กี ารดําเนนิ งานอยา่ งต่อเนื่องมาจนถึงปจั จบุ นั นัน้ มคี วาม สอดคลอ้ งกบั พฤติกรรมการรกั ษาอาการเจบ็ ไข้ของตนเองและครอบครัว ซึ่งมี 3 ลกั ษณะ คือ 1. การใชบ้ ริการจากสถานบรกิ ารของรฐั ซึ่งเป็นการใหบ้ ริการในรปู ของการแพทย์ แผนตะวนั ตก 2. พึ่งพาแพทยพ์ ืน้ บ้าน 3. รกั ษาตนเอง พฤติกรรมการรักษาอาการเจ็บไข้ของตนเองและครอบครัวของคนไทย 2 ประการหลัง นับว่าเป็นพฤติกรรมท่ียังคงมีความสําคัญต่อคนไทยจํานวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนไทยที่อาศัยอยู่ในพ้ืนที่ ห่างไกลในชนบทท่ีห่างไกลต่อสถานบริการของรัฐ และมีฐานะค่อนข้างยากจน การดูแลรักษาตนเอง ในเบื้องต้นจึงนับเป็นข้อดีสําหรับคนเหล่าน้ี เพราะจะทําให้สามารถรักษาอาการที่เจ็บป่วยในเบ้ืองต้นได้ ก่อนท่ีจะมีอาการกําเริบมากข้ึน ซ่ึงนับเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี แต่ท้ังน้ียังมีข้อจํากัด เฉพาะโรคที่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยตนเองเท่านั้น การส่งเสริมการใช้สมุนไพรจึงต้องมีการพัฒนาในด้าน ความรู้และความสามารถให้กบั ประชาชนควบคกู่ นั ไปดว้ ย 10

กจิ กรรมท้ายบท 1. ใหผ้ เู้ รยี นทาํ กจิ กรรมท้ายบทตงั้ แต่ บทท่ี 1 – บทท่ี 5 ใหค้ รบถว้ น โดยสามารถตรวจคําตอบได้จาก แนวคาํ ตอบท้ายเลม่ (20 คะแนน) กิจกรรมที่ 1 ใหอ้ ธบิ ายรายละเอยี ดตามหวั ข้อท่กี าํ หนดให้ 1. สมนุ ไพร หมายถงึ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. องคป์ ระกอบท่ีสาํ คัญของสมนุ ไพร มดี งั นี้ 2.1 ................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................…… ……………………………………………………………………......................................................................……………..... 2.2 ................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2.3 .................................................................................................................................. ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2.4 ................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2.5 .................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………................................................ ...................................................................................................................................................................... 11

3. สมนุ ไพร มคี ุณสมบัติ ดังนี้ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 4. ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากสมนุ ไพร มีดงั น้ี ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... กจิ กรรมท่ี 2 ตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ี 1. เหตุใดสมุนไพรจงึ มบี ทบาทในการพฒั นาดา้ นสาธารณสุข ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. สมนุ ไพรตอ่ ไปนีม้ คี วามแตกต่างในดา้ นคณุ สมบตั ิของการรักษาโรคอย่างไร กระเทยี ม มะละกอ กระชาย ใบชุมเห็ดเทศ อ้อยแดง ขเี้ หล็ก มคี ุณสมบัติ ................................................................................... มะละกอ มคี ณุ สมบัติ .................................................................................. กระชาย มีคณุ สมบตั ิ .................................................................................. ใบชุมเห็ดเทศ มีคุณสมบัติ .................................................................................. ออ้ ยแดง มีคณุ สมบัติ .................................................................................. 12

กิจกรรมท่ี 3 ดําเนินการตามคําสั่งท่ีกาํ หนดให้ ให้ถ่ายทอดความรู้ท่ีได้รับในด้านพัฒนาการของสมุนไพร ให้บุคคลใกล้ชิดทราบ โดยบันทกึ รายละเอยี ดของเน้ือหาที่ถา่ ยทอดไว้ในแบบบนั ทกึ แบบบันทกึ พฒั นาการด้านสมนุ ไพร .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 13

บทท่ี 2 สมุนไพรกบั การสาธารณสุขมูลฐาน สาระสาํ คญั มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคติทีด่ ีเก่ียวกับการดแู ลสง่ เสริมสุขภาพอนามยั และความปลอดภยั ในการดําเนินชวี ติ ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวงั 1. บอกความหมายของการสาธารณสขุ มลู ฐานได้ 2. บอกความสําคัญของการสาธารณสขุ มลู ฐานได้ 3. บอกหลักการของการสาธารณสุขมลู ฐานได้ 4. วิเคราะห์ความเกย่ี วข้องระหว่างสมุนไพรกบั การสาธารณสขุ มลู ฐานได้ ขอบข่ายเน้อื หา เรอ่ื งท่ี 1 ความหมายของการสาธารณสขุ มลู ฐาน เรอื่ งท่ี 2 ความสาํ คญั ของการสาธารณสขุ มลู ฐาน เรอ่ื งท่ี 3 หลกั การของการสาธารณสขุ มลู ฐาน เรื่องท่ี 4 สมนุ ไพรกับการสาธารณสุขมูลฐาน 14

เรอ่ื งที่ 1 ความหมายของการสาธารณสขุ มลู ฐาน การสาธารณสุขมูลฐาน หมายถึง กลวิธีทางการสาธารณสุขท่ีเพ่ิมขึ้นจากระบบบริการ สาธารณสุขของรัฐ ซึ่งมีอยู่ในระดับตําบลและหมู่บ้าน การสาธารณสุขมูลฐานเป็นวิธีการให้บริการ สาธารณสุขท่ีผสมผสานทั้งทางด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟ้ืนฟู สภาพ ที่ดําเนินการโดยประชาชนเอง ซ่ึงประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการวางแผนการดําเนินงานและ การประเมินผล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านวิชาการ ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษา ฝึกอบรมและระบบ สง่ ต่อผ้ปู ่วย โดยอาศยั ทรพั ยากรทม่ี ีอย่ใู นทอ้ งถน่ิ เป็นหลัก พลโท อัศวิน เทพาคํา ได้กล่าวไว้ในสารานุกรมสําหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 12 ถึงหลักการ สาธารณสขุ ว่า ศาสตราจารย์ชารลส์-เอดวาร์ด เอ วินสโลว์ (Charles-Edward A. Winslow) ผู้มีชื่อเสียง ทางด้านสาธารณสุข ไดใ้ หค้ าํ จํากดั ความของคาํ ว่า \"การสาธารณสุข\" ไวเ้ มื่อ พ.ศ. 2464 ว่า \"การสาธารณสุข เป็นวิทยาการและศิลปะแห่งการป้องกันโรค การทําให้อายุยืนยาว การส่งเสริมอนามัยและประสิทธิภาพของบุคคล โดยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชุมชนในเรื่องต่าง ๆ อันได้แก่ การสุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม การควบคุมโรคติดต่อ การให้สุขศึกษาเกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคล การจัดบริการทางดา้ นการแพทย์และพยาบาล เพือ่ การวนิ จิ ฉัยโรคต้งั แต่เริ่มแรก และให้การรกั ษาเพ่อื มิให้ ลุกลามต่อไป รวมทั้งการพฒั นากลไกแหง่ สงั คม เพ่อื ใหท้ ุกคนมีมาตรฐานการครองชีพท่เี พียงพอต่อการ ดาํ รงไว้ซึง่ อนามยั ท่ีดขี องตน” บคุ คลในชมุ ชนท่ีมกี ารสาธารณสขุ ดี ย่อมมสี ุขภาพอนามัยทด่ี ีตามไปดว้ ย คาํ ว่า \"อนามัย\" หมายถงึ สภาวะความสมบรู ณแ์ ขง็ แรงทั้งร่างกาย และจติ ใจ รวมทงั้ การดาํ รงชีวิตอย่ใู นสังคม ด้วยดี มใิ ชเ่ พยี งสภาวะทปี่ ราศจากโรคหรอื ความพกิ ารเท่าน้นั ธรรมนูญขององคก์ ารอนามัยโลก กลา่ วไว้วา่ \"อนามัยเป็นสิทธขิ องมนษุ ยชน มนษุ ยท์ กุ คน ไม่ว่าจะมคี วามแตกตา่ งกนั ทางดา้ นเชอ้ื ชาติ ศาสนา ความเชือ่ มั่นทางการเมือง ฐานะทางเศรษฐกิจและ สงั คม ยอ่ มมีสทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ ับการส่งเสริมคุ้มครอง เพื่อให้มีอนามัยในระดบั อันสมควร\" การสาธารณสุขมูลฐาน เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ไข ปัญหาได้ด้วยตนเอง สามารถช่วยตนเองได้ โดยอาศัยการพัฒนาสาธารณสุขผสมผสานไปกับการพัฒนา ด้านอื่น ๆ เชน่ การศกึ ษา การเกษตรและสหกรณ์ และการพัฒนาชุมชน ฯลฯ โดยอาศัยความร่วมมือของ ชุมชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความคิด แรงงาน เงิน หรือทรัพยากรอื่น ๆ ที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น ความร่วมมือเหล่านี้จะต้องเป็นความต้องการและความสมัครใจของชุมชนเอง ในอันท่ีจะแก้ไขปัญหา ที่เกิดขน้ึ เพ่อื ตวั ของเขาเอง เพือ่ ครอบครัว และเพื่อชมุ ชนของเขา โดยมไิ ด้หวังสิง่ ตอบแทนใด ๆ ท้ังสิ้น การพัฒนางานสาธารณสุขแต่เพียงส่วนเดียว ไม่สามารถที่จะขจัดปัญหาสาธารณสุข ของประเทศได้ เพราะเหตวุ ่างานสาธารณสุขนั้น จะตอ้ งควบค่กู ันไปกับงานพฒั นาทางเศรษฐกิจและสังคม ของประชาชน เช่น รายได้ การครองชีพ อาชีพ ภาวะการศกึ ษา เปน็ ต้น ด้วยเหตุนี้การสาธารณสุขมูลฐาน เป็นจุดศนู ย์กลางท่สี ําคัญของการผสมผสานระหวา่ งงานสาธารณสขุ และงานพฒั นาในดา้ นเศรษฐกิจและสังคม 15

เรอื่ งที่ 2 ความสาํ คญั ของการสาธารณสุขมลู ฐาน รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาชนบทควบคู่ไปกับการพัฒนาในเขตเมือง โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือพัฒนาให้ประชาชนที่มีฐานะยากจน ด้อยการศึกษา และมีสถานภาพทางสุขภาพตํ่า ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ส่วนท่ีดีอยู่แล้วก็ให้รักษาระดับไว้ได้หรือดีย่ิงขึ้นไป รัฐบาลได้เล็งเห็นว่าสุขภาพ อนามัยเป็นส่ิงสําคัญท่ีจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ ดังน้ัน รัฐบาลจึงได้เร่งระดมทรัพยากรท่ีมีอยู่ อยา่ งจาํ กดั มาดาํ เนินการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ซงึ่ จากการดาํ เนนิ งานท่ีผ่านมา พบว่า บริการ สาธารณสุขเหล่าน้ัน ยังไม่สามารถครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ได้ เน่ืองจากงบประมาณมีจํานวนจํากัด การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขยังอยู่ในสภาพที่ไม่สมดุลกัน ส่วนใหญ่ ยังคงกระจุกตัว อยู่ในเมืองหลวงหรือตามเมืองใหญ่ๆ และประชาชนยังขาดความรู้ในเรื่องสุขภาพอนามัย และการใช้ประโยชน์จากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐที่มีอยู่ ทําให้บริการสาธารณสุขท่ีรัฐจัดให้ ยังไมส่ ามารถท่จี ะแกป้ ัญหาได้ กลวิธีในการพัฒนาประชาชนให้เกิดความรู้ความสามารถในการที่จะช่วยเหลือ หรือดําเนินการด้านสาธารณสุขท่ีจําเป็น ข้ันมูลฐานหรือข้ันพื้นฐานได้ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งท่ีรัฐบาล ให้ความสนใจ โดยได้ใช้วธิ กี ารพัฒนาให้ประชาชนมีความรู้ความสามารถ และสามารถช่วยตนเองในเบ้ืองต้น ได้ โดยได้ส่งเสริม และให้ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ส่งผลให้บริการสาธารณสุขที่จําเป็นข้ันมูลฐาน หรือขั้นพื้นฐานสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึงทุกคนมากข้ึน ในการดําเนินการจะใช้วิธีการ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชุมชน และใช้ทรัพยากร ในท้องถ่ินที่มีอยู่ ด้วยวิธีหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสม ท้ังนี้โดยประสานความคิดและความร่วมมือ กับเจ้าหน้าท่ีของรัฐอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบของอาสาสมัครสาธารณสุข โดยภาครัฐให้การสนับสนุน เร่ืองต่าง ๆ ตลอดจนให้ความรู้ด้านสาธารณสุขที่จําเป็นแก่อาสาสมัครสาธารณสุข ซ่ึงได้รับการคัดเลือก จากประชาชนในชุมชนของตนเอง แนวความคดิ ในลกั ษณะนเ้ี รียกว่า \"การสาธารณสขุ มลู ฐาน\" การสาธารณสุขมูลฐาน จึงเป็นกลวิธีที่เหมาะสม ที่จะช่วยให้การบริการสาธารณสุข ผสมผสานท้ังในดา้ นปอ้ งกนั โรค การรกั ษาพยาบาล การสง่ เสริมสุขภาพ และฟ้ืนฟูสภาพ ซึ่งสามารถขยาย การดําเนินการให้ครอบคลุมประชากรได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น จะส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพดีโดยถ้วนหน้า เป็นไปตามท่ีองค์การอนามัยโลกต้องการ ซ่ึงได้มีการต้ังความหวังไว้ว่า ในปี พ.ศ.2543 ที่ผ่านมาประชาชน ทุกคน จะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าตามที่ควรจะเป็น ตามสภาพเศรษฐกิจและสภาพของท้องถิ่น งานสาธารณสุขมลู ฐาน จึงเป็นกลวิธีที่สาํ คัญท่เี สรมิ บรกิ ารสาธารณสุขของรัฐใหไ้ ด้ผลครอบคลุมประชาชน ทกุ คน โดยท่ีไม่ต้องคํานึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัดมากนัก ซ่ึงทุกประเทศทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกัน ในหลกั การและกลวธิ ขี องการสาธารณสุขมูลฐาน 16

เรอ่ื งท่ี 3 หลกั การของการสาธารณสุขมูลฐาน หลักการทีส่ าํ คญั ของการสาธารณสขุ มลู ฐาน ซึง่ กระทรวงสาธารณสุขได้กาํ หนดไว้ มี 4 ประการ คือ 1. การมีส่วนร่วมของชุมชน ต้ังแต่การเตรียมเจ้าหน้าที่ เตรียมชุมชน การฝึกอบรม การติดตามการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยให้ประชาชนในหมู่บ้านได้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และ เข้ามาร่วมช่วยเหลือ งานด้านสาธารณสุข ท้ังด้านกําลังคน กําลังเงิน และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะเม่ือ ประชาชนในชุมชนน้ัน เป็นผู้ตระหนักถึงปัญหาของชุมชนของตน ก็จะเป็นผู้กําหนดปัญหาสาธารณสุข ของชุมชนนั้นเอง เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหา ตลอดจนแนวทางแก้ไขปัญหาของชุมชน ทําให้ชุมชน มีความสามารถในการแยกแยะได้ว่าวิธีการแก้ปัญหาใด ประชาชนในชุมชนจะสามารถแก้ไขได้ วิธีการใด อยู่นอกเหนือความสามารถของชุมชน ก็จะมีการประสานให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคคลหรือองค์กรภายนอก เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา รปู แบบการมีส่วนรว่ มของประชาชนมไี ด้หลายรูปแบบ ตัวอย่างของรปู แบบการ ดําเนนิ งานท่ผี ่านมา ไดแ้ ก่ (1) การสํารวจและใชผ้ ลการสํารวจความจาํ เปน็ พื้นฐาน (จปฐ.) (2) การจดั ตง้ั กองทนุ หมุนเวียนในหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสขุ (3) การจัดต้ังศูนย์สาธารณสขุ มูลฐานชมุ ชน (ศสมช.) (4) การคัดเลอื กและฝกึ อบรม อสม. กสค. เป็นต้น 2. การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เทคนิคและวิธีการท่ีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน ควรเป็นเทคนิควิธีการที่ง่าย ไม่ซับซ้อน หรือยุ่งยาก แต่จะมีความเหมาะสมกับแต่ละสภาพท้องถิ่นและ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องถ่ิน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ เทคนิควิธีการท่ีใช้ตั้งแต่ วิธีการค้นหาปัญหา กระบวนการในการ แก้ไขปัญหา จนกระทั่งถึงเทคนิคในการแก้ไขปัญหาโดยชุมชนเอง เทคนิคที่นํามาใช้ อาจเป็นภูมิความรู้ดั้งเดิม ในชุมชน ที่ชุมชนมีการถ่ายทอดในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของตนเอง มาเป็นเวลาช้านานแล้ว เช่น การใช้ยาหรือแพทย์แผนไทยในการรักษาพยาบาลโรคบางอย่าง หรือการ นวดไทย หรือเป็นภูมิความรู้ใหม่ท่ีชุมชน ได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่าเหมาะสมกับชุมชนในการแก้ปัญหา เช่น การใช้อาหารเสริมในการแก้ไขปัญหาโภชนาการ การจัดทําโอ่งนํ้าเพื่อเก็บนํ้าสะอาด เป็นต้น หากการ เรียนรู้ไปยังอกี ชมุ ชนหนึง่ ในลกั ษณะที่ประชาชนถ่ายทอดความรูส้ ปู่ ระชาชนด้วยกนั เอง อาจจะเกิดขึ้นโดย ธรรมชาติ หรือโดยการสนับสนุนช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เรียกว่า การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ระหว่างหมู่บ้าน จะส่งผลให้กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้เป็นไปโดยกว้างขวาง รวดเร็ว และเป็นประโยชน์ กบั ประชาชน ท่ีจะสามารถนาํ ไปใชใ้ นการแกไ้ ขปญั หาในพ้นื ทขี่ องตนเอง โดยมีแนวทางท่สี ามารถปฏบิ ัตไิ ด้ 3. การปรับระบบบริการพนื้ ฐานของรฐั เพอ่ื รองรับการสาธารณสุขหรือระบบบรกิ ารของ รัฐและระบบบริหารจัดการที่มอี ยู่แลว้ ของรฐั จะตอ้ งปรับใหเ้ ชือ่ มต่อและรองรบั งานสาธารณสขุ มลู ฐาน โดยมีจุดมงุ่ หมาย คือ 17

(1) ตอ้ งการให้เกดิ การกระจายการครอบคลุมบรกิ ารให้ท่ัวไป (2) การกระจายทรัพยากรลงส่มู วลชน (3) การจัดระบบสง่ ต่อผ้ปู ่วยท่มี ีประสิทธภิ าพ ในช่วงเวลาท่ผี า่ นมา กระทรวงสาธารณสขุ มีความพยายามท่ีจะปรับระบบบรกิ าร สาธารณสุขของรัฐใหเ้ ออ้ื ตอ่ งานสาธารณสุขมลู ฐาน โดยไดพ้ ฒั นาโครงการตา่ ง ๆ ทสี่ าํ คญั ข้ึนหลาย โครงการ คอื (1) โครงการบัตรสขุ ภาพ (2) โครงการพฒั นาระบบบรกิ ารของสถานบริการและหนว่ ยงานสาธารณสุขในสว่ น ภมู ภิ าค (พบส.) (3) คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอาํ เภอ (คปสอ.) เป้าหมายของการปรับเปล่ียนระบบบริการสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึง บริการที่มีคุณภาพได้ รวมทั้งสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดําเนินงานได้อย่างแท้จริง การปรับเปลย่ี นระบบบริการจะตอ้ งมีการดําเนนิ งานในทุกระดบั ไม่วา่ จะเปน็ ระดบั สถานีอนามัยซง่ึ อยู่ใกล้ ชุมชน โรงพยาบาลชุมชนในระดับอําเภอ โรงพยาบาลทั่วไป /โรงพยาบาลศูนย์ในระดับจังหวัด รวมท้ัง สถานบรกิ ารเฉพาะทางต่าง ๆ เพือ่ ให้ประชาชนได้รบั บรกิ ารอยา่ งท่ัวถงึ และเป็นธรรม และได้รับการส่งต่อ เพ่ือดูแลอยา่ งต่อเนือ่ งในกรณีจาํ เป็น 4. การผสมผสานกับงานของกระทรวงอื่น ๆ งานสาธารณสุขมูลฐานจะสําเร็จผลได้ ต้องมีการผสมผสานการทํางานไปด้วยกัน ท้ังภายในกระทรวงและต่างกระทรวง แนวคิดท่ีสําคัญของการ ดําเนินงาน ในด้านนี้ คือ การประสานเพ่ือให้หน่วยงานอื่นทํางานในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้น ๆ ในลักษณะท่ีส่งเสริมหรือสอดคล้องกับการพัฒนาด้านสุขภาพ ไม่ใช่การขอให้บุคลากรของหน่วยงานอ่ืน มาร่วมกันปฏิบัติงานภาคสาธารณสุข ปัจจัยสําคัญที่จะช่วยให้การประสานงานระหว่างสาขาเป็นไป อย่างได้ผลคือ ความสามารถในการวิเคราะห์ว่า การดําเนินงานเร่ืองอะไร ของหน่วยงานใด จะมีส่วน ในการส่งเสริมให้มีสุขภาพดี เช่น การศึกษา การเกษตร การปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม บทบาทขององค์กรชุมชน ฯลฯ เรอ่ื งท่ี 4 สมุนไพรกบั การสาธารณสุขมูลฐาน กระทรวงสาธารณสุขได้มีการกําหนดแผนพัฒนาการสาธารณสุขแห่งชาติขึ้น ต้ังแต่ ปี 2504 – ปัจจุบนั ซงึ่ ในแต่ละแผน จะมีสาระสาํ คัญทีส่ รปุ ได้ดังนี้ 1. ฉบับท่ี 1 (พ.ศ.2504-2509) มีสาระสําคัญ คือ การสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แห่งชาติ ปรับปรุงและขยายสถานีอนามัยและโรงพยาบาลควบคุมโรคติดต่อ ส่งเสริมการสุขาภิบาล และ อบรมบคุ ลากรสาธารณสขุ 18

2. ฉบับท่ี 2 (พ.ศ.2510-2514) มีสาระสําคัญ คือ การสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ โดยเพ่ิมในส่วนของการพัฒนาสังคม ปรับปรุงขยายสถานีอนามัยและโรงพยาบาล การเพ่ิมแพทยแ์ ละบคุ ลากรสาธารณสุข 3. ฉบับท่ี 3 (พ.ศ.2515-2519) มีสาระสําคัญ คือ ขยายการพัฒนาสถานีบริการ บุคลากรภาครัฐและเอกชน การจัดตั้งหน่วยงานวางแผน การอนามัยแม่และเด็ก นโยบายประชากร การวางแผนครอบครวั และการควบคุมโรค มีนโยบายการใหบ้ รกิ ารรกั ษาพยาบาลฟรแี กผ่ มู้ ีรายไดน้ อ้ ย 4. ฉบบั ที่ 4 (พ.ศ.2520-2524) มสี าระสําคัญ คอื การขยายโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร ชนบทขยายงานอนามัยแม่และเด็ก การวางแผนครอบครัว โภชนาการ การควบคุมและป้องกันโรค สนบั สนุนการจัดตงั้ โรงพยาบาลเอกชน และการกระจายอาํ นาจในสว่ นภมู ภิ าค 5. ฉบับท่ี 5 (พ.ศ.2525-2529) มีสาระสําคัญ คือ เน้นการสาธารณสุขมูลฐานเน้น สุขภาพดีถ้วนหน้า เน้นการประสานงานกับกระทรวงหลัก สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลชุมชน สถานีอนามยั จัดทําบญั ชยี าหลกั ตงั้ กองทนุ ยาหมู่บา้ น และเริม่ มีการสาํ รวจความจาํ เป็นพน้ื ฐาน (จปฐ.) 6. ฉบับท่ี 6 (พ.ศ.2530-2534) มีสาระสําคัญ คือ เน้นคุณภาพชีวิต และสุขภาพดีถ้วน หนา้ สนับสนนุ วจิ ยั และพฒั นา ประสานภาครฐั และเอกชน เรม่ิ มบี ตั รสขุ ภาพ และเริ่มมีการปรับโครงสร้าง ในชว่ งปลายแผน 7. ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) มีสาระสําคัญ คือ เน้นการปรับปรุงคุณภาพ ประสทิ ธิภาพการบริการและบริหารสาธารณสุข สนบั สนนุ การมีส่วนร่วมของประชาชน พัฒนาการบริการ ตามระบบประกันสุขภาพ การปรับโครงสร้าง เพิ่มสํานักนโยบาย สถาบันสุขภาพจิต สถาบันพัฒนา กําลงั คน สถาบนั วิจัย ระบบสาธารณสขุ ตัง้ ศูนยบ์ รกิ ารคอมพวิ เตอร์ จะเห็นได้ว่าแผนพัฒนาการสาธารณสุขแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ถึง ฉบับที่ 7 รัฐบาลเริ่ม ให้ความสําคัญกับการสาธารณสุขมูลฐาน การมีสุขภาพดีถ้วนหน้า หมายถึง การที่ทุกคนเกิดมามีชีวิต ที่ยืนยาวและอยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่เจ็บป่วยด้วยสาเหตุไม่จําเป็นและสามารถเข้าถึงบริการท่ีเหมาะสม สามารถดํารงชีวิตอยู่และสร้างสรรค์ให้ประโยชน์แก่สังคมอย่างมีคุณค่า และตายอย่างมีศักดิ์ศรี ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ให้ความสําคัญ และมีนโยบาย สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร และการแพทย์ แผนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลได้แถลงนโยบาย ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรต่อรัฐสภา ในวนั ที่ 21 ตลุ าคม 2535 ความว่า “... ใหม้ กี ารผสมผสานการแพทย์แผนไทยและสมนุ ไพร เข้ากบั ระบบ บรกิ ารสาธารณสุขของชุมชน อยา่ งเหมาะสม ” จากแผนพฒั นาการสาธารณสขุ แหง่ ชาติ ฉบับที่ 7 กระทรวงสาธารณสุข ไดม้ ีการจดั ตั้ง คณะกรรมการขึ้น เพือ่ ใหผ้ ลกั ดนั การดาํ เนินงานใหเ้ ปน็ ไปตามที่กําหนดไว้ในแผน โดยในสว่ นของแผนงาน สาธารณสขุ มูลฐาน ไดก้ าํ หนดให้มกี ลวธิ ีการพัฒนาสมุนไพร และ การแพทย์แผนไทยในงานสาธารณสุข มูลฐาน คือ 19

1. สนบั สนนุ และพัฒนาวชิ าการ ด้านเทคโนโลยีพน้ื บา้ น อันไดแ้ ก่ การแพทยแ์ ผนไทย เภสัชกรรมแผนไทย การนวดไทย สมุนไพร และเทคโนโลยีพื้นบา้ น เพอ่ื ใช้ประโยชน์ในการแกไ้ ขปัญหา สุขภาพของชุมชน 2. สนับสนุนและส่งเสริมการดูแลสุขภาพของตนเองด้วยการใช้สมุนไพร การแพทย์ พื้นบ้าน การนวดไทย ในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชนให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นระบบ สามารถ ปรับประสานกับการดูแลสขุ ภาพแผนปัจจุบันได้ สมุนไพร นับเป็นเทคโนโลยีพ้ืนบ้านที่สําคัญประการหนึ่ง ท่ีสามารถนําไปใช้ในการดูแล รกั ษาสุขภาพด้วยตนเองในเบ้อื งตน้ และเป็นวิทยาการที่มีความเหมาะสมในงานสาธารณสุขมูลฐาน สมุนไพร ที่ส่งเสริมในงานสาธารณสุขมูลฐาน ประกอบด้วยสมุนไพรเดี่ยว และสมุนไพรแบบตํารับ (ยาไทย) ในท่ีน้ี จะกล่าวถึงสมุนไพรเดี่ยวท่ีได้มีการคัดเลือกรายการให้เป็นสมุนไพรเพ่ือใช้สําหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อการส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรค อาการเจ็บป่วยเบ้ืองต้น สมุนไพรสําหรับงาน สาธารณสุข มูลฐานส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร มีรูปร่างลักษณะ โครงสร้าง และบทบาทท่ีแตกต่างกัน การนําสมุนไพร มาใช้เป็นยาตอ้ งคาํ นึงถึงธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนดิ พันธพ์ุ ชื สภาวะแวดลอ้ มในการปลกู ฤดูกาล และช่วงเวลาท่เี ก็บสมนุ ไพร นบั เปน็ ปัจจัยสาํ คัญท่กี ําหนดคณุ ภาพของสมุนไพร อาการทค่ี วรได้รบั การดแู ลจากแพทย์ โดยไมค่ วรรกั ษาด้วยการ ซ้ือยารับประทานเอง หรือใช้สมนุ ไพรในการรักษา คอื 1. มีอาการไขส้ ูง อาจป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไขป้ า่ 2. มอี าการไขส้ งู ตวั เหลือง อ่อนเพลยี หรือเจ็บบริเวณชายโครง อาจป่วยเป็น ดีซ่าน ตับอกั เสบ ฯลฯ 3. มอี าการปวดท้องบรเิ วณสะดอื มไี ข้ ทอ้ งแข็ง อาจป่วยเป็น ไสต้ ่ิงอักเสบ หรือลําไสอ้ ักเสบ 4. มอี าการเจบ็ ในทอ้ ง ปวดท้องรุนแรง ตัวร้อน คล่นื ไส้ อาเจยี น อาจมปี ัญหาเกย่ี วกบั กระเพาะอาหาร หรอื ลําไส้ 5. มอี าการอาเจียน หรอื ไอเปน็ โลหิต อาจมีปัญหาเก่ยี วกบั กระเพาะอาหาร หรือปอด เมอ่ื เลือดหยดุ ต้องรีบพบแพทย์ โดยพยายามหลกี เล่ยี งการกระทบกระเทือนให้มากทสี่ ดุ 6. มีอาการทอ้ งเดนิ อยา่ งรนุ แรง ถ่ายเป็นน้ําคลา้ ยน้าํ ซาวขา้ ว ถ่ายติดต่อกนั หลายครง้ั ออ่ นเพลยี ตาลกึ ผิวหนงั แหง้ อาจเปน็ อหิวาตกโรค ต้องพาไปหาแพทยโ์ ดยด่วน 7. มีอาการถา่ ยเป็นมกู เลือด ถา่ ยบอ่ ย อ่อนเพลีย อาจเปน็ โรคบดิ อย่างรุนแรง 8. ในเด็กท่ีมีอายุอยู่ในระหว่าง 12 ปี ถ้ามีไข้สูง ไอมาก หายใจติดขัด หน้าเขียว อาจเปน็ โรคคอตบี ตอ้ งรีบพบแพทยโ์ ดยด่วน 9. มีอาการตกเลือดไม่ว่าจะมาจากอวัยวะใด โดยเฉพาะในกรณีที่มาจากช่องคลอด ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน 20

กิจกรรมทา้ ยบท กจิ กรรมท่ี 4 ให้อธบิ ายรายละเอียดตามหวั ขอ้ ท่กี ําหนดให้ 1. การสาธารณสุขมลู ฐาน หมายถึง ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 2. การสาธารณสขุ มลู ฐาน มคี วามสําคญั ดงั น้ี ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 3. หลักการของการสาธารณสขุ มลู ฐาน คอื ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 21

กิจกรรมที่ 5 ดาํ เนนิ การตามคําสงั่ ท่ีกาํ หนดให้ ใหว้ เิ คราะหถ์ งึ ความเก่ียวขอ้ งระหวา่ งสมุนไพรกับการสาธารณสุขมลู ฐาน ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 22

บทท่ี 3 การจําแนกสมนุ ไพร สาระสาํ คญั มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคตทิ ีด่ เี กย่ี วกบั การดแู ลสง่ เสรมิ สขุ ภาพอนามยั และความปลอดภัยในการดําเนินชีวิต ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั 1. สามารถอธิบายการจําแนกพืชสมนุ ไพรตามลกั ษณะการใช้ประโยชน์ได้ 2. สามารถอธิบายการจาํ แนกพชื สมุนไพรตามลกั ษณะของสมนุ ไพรได้ 3. สามารถอธิบายการจาํ แนกพืชสมนุ ไพรตามการสาธารณสขุ มลู ฐานได้ 4. สามารถจาํ แนกพชื สมุนไพรแตล่ ะชนดิ ได้ ขอบขา่ ยเน้ือหา เรือ่ งท่ี 1 การจาํ แนกพชื สมนุ ไพรตามลักษณะการใชป้ ระโยชน์ เรอื่ งท่ี 2 การจาํ แนกพืชสมนุ ไพรตามลักษณะของสมนุ ไพร เรือ่ งที่ 3 การจาํ แนกพชื สมุนไพรตามการสาธารณสุขมลู ฐาน 23

เร่ืองท่ี 1 การจําแนกพชื สมุนไพรตามลักษณะการใช้ประโยชน์ สมนุ ไพรแต่ละชนิด มคี วามแตกตา่ งกันในการนาํ มาใชป้ ระโยชน์ ซ่ึงอาจจําแนกได้ ดังน้ี 1. ประเภทน้ํามันหอมระเหย (Essential oil) เป็นกลุ่มสมุนไพรท่ีนํามาสกัด โดยวิธีการกลั่นเพ่ือให้ได้น้ํามันหอมระเหย ซึ่งจะมีกลิ่นที่แตกต่างกันไปตามชนิดของสมุนไพร วิธีการนี้ สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ดีมาก เพราะสามารถใช้ได้ในปริมาณท่ีน้อยเม่ือเทียบกับการนํามาใช้ โดยวธิ ีการอื่น เชน่ (1) นาํ้ มนั ตะไครห้ อม ใชใ้ นอุตสาหกรรมผลติ สบู่ แชมพู น้ําหอมหรือใช้ทาํ สารไล่แมลง (2) น้ํามันไพล ใชใ้ นผลติ ภณั ฑ์ครมี ทาภายนอก ลดอาการอักเสบจากการฟกช้าํ (3) นาํ้ มนั กระวาน ใชแ้ ต่งกล่ินเหลา้ เครื่องดมื่ ตา่ ง ๆ รวมทงั้ ใชใ้ นอุตสาหกรรมนาํ้ หอม (4) นาํ้ มันพลู ใช้ในอตุ สาหกรรมเคร่อื งสําอาง หรอื ใช้เป็นเจลทาภายนอกแกค้ ัน 2. ประเภทรับประทานคล้ายยา สมุนไพรหลายชนิดสามารถนํามารับประทาน หรือ ทาํ เป็นยาเพื่อใชใ้ นการบรรเทา และรกั ษาโรคบางอย่างได้ ซึ่งบางชนิดสามารถนํามาใช้ได้เลย แต่บางชนิด ต้องมกี ารนํามาผสมกบั สมนุ ไพรอนื่ ในสดั สว่ นทเ่ี หมาะสม จงึ จะใช้ได้ เชน่ (1) บอระเพด็ ฟ้าทะลายโจร ใชร้ ับประทานแกไ้ ข้ (2) กระเพรา ไพล ขิง ใชร้ บั ประทานแกท้ ้องอดื ท้องเฟ้อ (3) ข้ีเหล็ก ไมยราพ ใชร้ ับประทานเพื่อระงับประสาท (4) คาํ ฝอย กระเจย๊ี บแดง กระเทยี ม ใชร้ บั ประทานเพื่อลดไขมันในเสน้ เลอื ด 3. ประเภทใช้ภายนอก เพ่ือการบําบัดโรคท่ีเกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง หรือแผลท่ีเกิดข้ึน บริเวณร่างกาย หรือแผลในปาก มีท้ังท่ีสามารถใช้เพียงชนิดเดียว และใช้หลายชนิดรวมกัน ซ่ึงจะมีวิธีการ นํามาใช้ที่แตกตา่ งกนั เช่น บางชนดิ ใชส้ ด บางชนดิ ตอ้ งนํามาบดเป็นผง ในขณะท่ีบางชนิดจะนํามาทําเป็น ครีม ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับสารสาํ คัญทีม่ ีอยู่ในพืชสมนุ ไพร และความสะดวกในการนํามาใช้ เช่น (1) บวั บก หว้า โทงเทง ใชใ้ นการรกั ษาแผลในปาก (2) ฝงั่ กานพลู ใช้ในการระงบั กลนิ่ ปาก (3) ผักบงุ้ ทะเล เสลดพงั พอน เทา้ ยายมอ่ ม ตาํ ลงึ ใชใ้ นการแก้อาการแพ้ (4) บัวบก ยาสูบ ว่านหางจระเข้ ใชใ้ นการรกั ษาแผลน้าํ รอ้ นลวก (5) ตาํ ลึง พุดตาน ว่านมหากาฬ เสลดพงั พอน ใช้แกโ้ รคงูสวดั 4. ประเภทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องดื่ม ในลักษณะของผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดขึ้น ตามธรรมชาติ ทําให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่าได้รับคุณค่าจากผลิตภัณฑ์น้ันอย่างแท้จริง โดยไม่ต้อง ผ่านการปรุงแต่ง ซ่ึงอาจทําให้คุณค่าบางอย่างเส่ือมไป และนอกจากน้ียังทําให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย ในการนาํ มารบั ประทาน เชน่ 24

(1) บุก ใชใ้ นการดดู จับไขมนั จากเส้นเลอื ด ลดน้าํ หนกั (2) สม้ แขก ใชใ้ นการเปลย่ี นไขมนั เปน็ พลงั งาน ลดน้าํ หนัก (3) หญ้าหนวดแมว คาํ ฝอย หญา้ หวาน ใช้เป็นเคร่อื งดมื่ ในการบาํ รงุ สุขภาพ 5. ประเภทเครื่องสําอางค์ เป็นการนําสมุนไพรมาแปรรูปเพื่อใช้เป็นเครื่องสําอาง ในปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้น เนื่องจากปลอดภัยกว่าการใช้สารสังเคราะห์ทางเคมี และมีคุณสมบัติ ท่ีดีกว่า หรือไมน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตจากสารเคมี ผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตขึ้นโดยมีส่วนผสมของพืชสมุนไพร มีมากมายหลายชนิด เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่ โลชั่น ซึ่งจะมีการนําสมุนไพรมาใช้เป็นส่วนผสม เช่น อัญชนั วา่ นหางจระเข้ ปะคําดีควาย เหด็ หลนิ จือ ขมนิ้ มะขาม ฯลฯ 6. ประเภทป้องกันและกําจัดศัตรูพืช ส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เบื่อหรือเมา มีรสขมมีคุณสมบัติท่ีสามารถปราบหรือควบคุมปริมาณการระบาดของแมลงศัตรูพืช โดยไม่มีพิษตกค้าง ในผลผลิต ไม่มีพิษต่อผู้ใช้และสภาพแวดล้อม ตัวอย่างพืชสมุนไพรท่ีใช้ป้องกันกําจัดศัตรูพืช เช่น สะเดา ยาสูบ ตะไครห้ อม ฟา้ ทะลายโจร ไพล ฯลฯ เรอ่ื งที่ 2 การจําแนกพชื สมนุ ไพรตามลักษณะของสมนุ ไพร สมุนไพรแต่ละชนิดท่ีนํามาใช้ประโยชน์ จะมีความแตกต่างตามลักษณะของสมุนไพร เช่น บางชนิดจะใช้ราก บางชนิดจะใช้ดอก หรือบางชนิดอาจใช้ลําต้น ข้ึนอยู่กับคุณสมบัติของสมุนไพร ชนดิ นั้นเปน็ สาํ คัญ ดังน้ันหากมีการจาํ แนกสมนุ ไพรตามลกั ษณะท่ีนํามาใชป้ ระโยชนแ์ ลว้ สามารถจาํ แนกได้ ดงั น้ี 1. สมุนไพรทใ่ี ชป้ ระโยชน์จากราก ราก คอื อวยั วะทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบของพืชที่ไมม่ ีคลอโรฟิลล์ ไม่มขี ้อ ปลอ้ ง ตาและใบ รากเจริญเติบโตตามแรงดึงดูดของโลกลงสูด่ ิน มขี นาดและความยาวแตกต่างกนั รากของพชื มหี ลายชนดิ ไดแ้ ก่ 1.1 รากแกว้ เปน็ รากท่ีงอกออกมาจากเมล็ด โคนของรากแก้วจะมขี นาดใหญ่แลว้ คอ่ ย ๆ เรียวไปจนถงึ ปลายราก 1.2 รากแขนง เปน็ รากท่ีแตกออกมาจากรากแก้ว จะเจริญเติบโตขนานไปกบั พน้ื ดิน และสามารถแตกแขนงไปไดเ้ รื่อย ๆ 1.3 รากฝอย เป็นรากทม่ี ีลักษณะและขนาดโตสมํ่าเสมอกัน จะงอกออกมาเป็นกระจุก 1.4 รากขนออ่ นหรือขนราก เป็นขนเส้นเลก็ ๆ จํานวนมากมายทอี่ ยูร่ อบ ๆ ปลายราก ทาํ หน้าท่ีดดู นํา้ และแรธ่ าตุ รากของต้นพืชหลายชนิด ใช้เปน็ สมนุ ไพรได้ เชน่ กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ ไพล หญ้าคา ทองพันชง่ั อคั คีทวาร ตําลึง วา่ นมหากาฬ ย่านาง หอมแดงสด กระเทยี ม ขมน้ิ ชัน 25

2. สมุนไพรทใ่ี ช้ประโยชน์จากลาํ ตน้ ลาํ ตน้ คือ อวัยวะของพชื ที่โดยท่วั ไปเจริญอยูเ่ หนือพน้ื ดินต่อจากราก มีขนาด รปู ร่าง และลกั ษณะแตกตา่ งกันไป ลาํ ตน้ มที ้ังลําต้นอยเู่ หนอื ดิน และลาํ ต้นอยใู่ ตด้ นิ ทาํ หนา้ ทเ่ี ปน็ แกนชว่ ยพยงุ อวัยวะต่างๆ ไดแ้ ก่ กิง่ ใบ ดอก ผล และเมลด็ ช่วยให้ใบกางออก รบั แสงแดดเพ่อื ประโยชนใ์ นการสรา้ ง อาหาร โดยวิธีการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เปน็ ทางลาํ เลยี งน้ําและแร่ธาตุทรี่ ากดูดขึ้นมาส่งต่อไปยังใบและสว่ น ตา่ งๆ ของพืช และเปน็ ทางลาํ เลยี งอาหารท่ีใบสร้างข้ึน ส่งผา่ นลาํ ตน้ ไปยังรากและส่วนอืน่ ๆ ลาํ ต้นของพืชหลายชนดิ ใช้เปน็ สมุนไพรได้ เช่น ฟ้าทะลายโจร ผกั ชี บอระเพด็ ออ้ ย เพชรสงั ฆาต ประคําดคี วาย ตะไคร้ โหระพา ขเี้ หล็ก 3. สมนุ ไพรทใ่ี ช้ประโยชน์จากใบ ใบ คือ อวัยวะของพืชท่ีเจริญออกมาจากข้อของลําต้นและกิ่ง ใบส่วนใหญ่จะมีสาร สีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิลล์ ใบมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช ใบประกอบด้วย ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลาง และเส้นใบ มีหน้าที่ในการสร้างอาหาร เรียกกระบวนการสร้างอาหารของพืชว่า การสังเคราะห์ด้วยแสงคายน้ําทางปากใบ หายใจโดยจะดูดแก๊สออกซิเจนและคายแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ใบยังอาจเปลี่ยนแปลงไปเพ่ือทําหน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น การสะสมอาหาร ที่เห็นชัดเจน คือ ใบว่านหางจระเข้ ใบทําหน้าท่ีในการขยายพันธ์ุ เช่น ใบคว่ําตายหงายเป็น ใบเศรษฐี พันล้าน ใบของพืชหลายชนิดใช้เป็นสมุนไพรได้ เช่น กระเพรา แมงลัก โหระพา ข้ีเหล็ก ชุมเห็ดเทศ มะขามแขก ฝรั่ง ฟ้าทะลายโจร ผักคราดหัวแหวน ขลู่ หญ้าหนวดแมว อัคคีทวาร ทองพันชั่ง พญาปลอ้ งทอง พลู ตําลงึ ว่านมหากาฬ ผักบุ้งทะเล บวั บก หอมหัวแดง นอ้ ยหนา่ พญายอ 4. สมนุ ไพรทใี่ ช้ประโยชนจ์ ากดอก ดอก คือ อวยั วะสบื พันธ์ุของพชื ประกอบด้วยสว่ นตา่ งๆ คอื 4.1 กลีบเลี้ยง เป็นส่วนของดอกที่อยู่ชั้นนอกสุดเรียงกันเป็นวง ทําหน้าท่ีป้องกัน อันตรายต่างๆ จากส่ิงแวดล้อม แมลงและศัตรูอ่ืนๆ ท่ีจะมาทําอันตรายในขณะท่ีดอกยังตูม ช่วยในการ สงั เคราะห์ด้วยแสง และชว่ ยในการลอ่ แมลงเพอ่ื ผสมเกสร 4.2 กลีบดอก เป็นส่วนของดอกท่ีอยู่ถัดจากกลีบเล้ียงเข้ามาข้างใน มีสีสันต่างๆ สวยงาม เช่น สีแดง เหลือง ชมพู ขาว มักมีขนาดใหญ่กว่ากลีบเลี้ยง บางชนิดมีกลิ่นหอม บางชนิด ทโ่ี คนกลบี ดอกจะมีต่อมนา้ํ หวานเพอื่ ช่วยล่อแมลงมาช่วยผสมเกสร 4.3 เกสรตัวผู้ เป็นส่วนของดอกที่อยู่ถัดจากกลีบดอกเข้ามาข้างใน ประกอบด้วย ก้านชูอับเรณู อับเรณู ซ่ึงภายในบรรจุละอองเรณูมีลักษณะเป็นผงสีเหลือง อับเรณูทําหน้าที่สร้างละออง เรณู ภายในละอองเรณูมีเซลล์สืบพันธเุ์ พศผู้ 26

4.4 เกสรตัวเมีย เป็นส่วนของดอกที่อยู่ชั้นในสุด ประกอบด้วยยอดเกสรเพศเมีย ก้านยอดเกสรเพศเมีย รังไข่ ออวุล และเซลล์ไข่ดอก ทําหน้าที่ในการช่วยล่อแมลงให้เข้ามาผสมเกสร และทาํ หนา้ ที่ในการผสมพนั ธใ์ุ หก้ ับตน้ ไม้ ดอกของพืชหลายชนิดใชเ้ ป็นสมนุ ไพรได้ เช่น ขเ้ี หลก็ ชุมเห็ดเทศ ผกั คราดหัวแหวน ดาวเรอื ง สะเดา กระเจยี๊ บแดง กานพลู 5. สมนุ ไพรทใ่ี ชป้ ระโยชน์จากผล ผล คือ ส่วนหน่ึงของพืชท่ีเกิดจากการผสมเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกก็ได้ มีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทและสายพันธ์ุ รูปร่างลักษณะ ของผลมีหลายอย่าง ตามชนดิ ของต้นไม้ท่ีแตกตา่ งกนั แบง่ ตามลกั ษณะของการเกิดได้ 3 แบบ 5.1 ผลเดีย่ ว หมายถงึ ผลท่ีเกิดจากรังไขอ่ นั เดียวกัน 5.2 ผลกลมุ่ หมายถงึ ผลที่เกดิ จากปลายชอ่ ของรงั ไข่ในดอกเดียวกัน เชน่ น้อยหนา่ 5.3 ผลรวม หมายถงึ ผลท่เี กดิ มาจากดอกหลายดอก เช่น สบั ปะรด ผล ทาํ หน้าที่ในการห่อหุ้มเมล็ด และป้องกันเมล็ดไม่ให้ได้รับอันตราย เพราะเมล็ด เป็นสว่ นสาํ คัญทจ่ี ะทาํ ให้พืชสามารถแพรก่ ระจาย และดาํ รงพันธอ์ุ ย่ไู ด้ หรือขยายพันธ์ุใหม้ ากข้นึ ได้ ผลของพืชหลายชนดิ ใชเ้ ปน็ สมนุ ไพรได้ เชน่ มะขาม มะขามแขก แมงลกั มะละกอ ฝรง่ั ยอ ผักชี มะขามปอ้ ม สบั ปะรด มะแว้งเครือ มะแวง้ ต้น กลว้ ยนํ้าวา้ กระวานไทย คูน เรื่องที่ 3 การจาํ แนกพชื สมุนไพรตามการสาธารณสุขมูลฐาน ดังได้กล่าวแล้วว่า \"การสาธารณสุข เป็นวิทยาการและศิลปะแห่งการป้องกันโรค การทําให้อายุยืนยาว การส่งเสริมอนามัยและประสิทธิภาพของบุคคล โดยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ของชุมชนในเรื่องต่าง ๆ อันได้แก่ การสุขาภิบาล ส่ิงแวดล้อม การควบคุมโรคติดต่อ การให้สุขศึกษา เกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคล การจัดบริการทางด้านการแพทย์และพยาบาล เพ่ือการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ เร่ิมแรก และให้การรักษาเพ่ือมิให้ลุกลามต่อไป รวมท้ังการพัฒนากลไกแห่งสังคม เพื่อให้ทุกคน มีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอต่อการดํารงไว้ซึ่งอนามัยท่ีดีของตน” ดังน้ันสมุนไพร จึงนับเป็นปัจจัย หน่ึงในการท่ีจะทําให้ การสาธารณสุขมูลฐานได้รับความสําเร็จ เพราะสมุนไพรสามารถนํามาใช้ในการ บรรเทา หรือรักษาโรคในเบื้องต้นได้ ย่อมส่งผลให้ประชากรในแต่ละชุมชนสามารถช่วยตนเองได้ มีรักษา สุขภาพให้แข็งแรง โดยลดการเป็นภาระในส่วนที่สังคมและรัฐบาลต้องแบกรับไว้ได้เป็นอย่างดี การสาธารณสุขมูลฐาน ได้จําแนกกลุ่มสมุนไพรไว้ตามการรักษากลุ่มโรค หรืออาการเจ็บป่วย ดังน้ี 27

การจาํ แนกสมนุ ไพรในการสาธารณสุขมูลฐาน กล่มุ โรค อาการเจบ็ ปว่ ย สมุนไพรทีใ่ ช้ 1. ระบบทางเดินอาหาร 1. โรคกระเพาะ ขม้นิ ชนั กลว้ ยนํ้าว้า 2. อาการทอ้ งอืด ขม้นิ ขงิ กานพูล กระเทียม กะเพรา ตะไคร้ พริกไทย ท้องเฟ้อ แนน่ จุกเสียด ดปี ลี ขา่ กระชาย แห้วหมู กระวาน เรว่ มะนาว กระทอื 3. อาการท้องผูก ชุมเห็ดเทศ มะขาม มะขามแขก แมงลัก ขเี้ หล็ก คูน 4. อาการทอ้ งเสีย ฝร่งั ฟา้ ทะลายโจร กล้วยนํ้าว้า ทับทิม มงั คดุ สเี สยี ดเหนอื 5. อาการคลื่นไส้ อาเจียน ขงิ ยอ 6. โรคพยาธลิ ําไส้ มะเกลอื เลบ็ มอื นาง มะหาด ฟักทอง 7. อาการปวดฟนั แก้ว ขอ่ ย ผกั คราดหวั แหวน 8. อาการเบอื่ อาหาร บอระเพด็ ขเ้ี หลก็ มะระ สะเดาบา้ น 2. ระบบทางเดนิ หายใจ 1. อาการไอ และระคาย ขิง ดีปลี เพกา มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแว้งเครอื คอจากเสมหะ มะแวง้ ตน้ 3. ระบบทางเดนิ 1. อาการขัดเบา กระเจย๊ี บแดง ขลู่ ตะไคร้ สบั ปะรด หญ้าคา อ้อยแดง ปัสสาวะ 4. โรคผวิ หนัง 1. อาการกลากเกล้อื น กระเทยี ม ขา่ ชมุ เห็ดเทศ ทองพันชั่ง พลู 2. ชนั นะตุ ปะคําดีควาย 3. แผลไฟไหม้ น้าํ รอ้ นลวก บัวบก น้าํ มันมะพร้าว ว่านหางจระเข้ 4. ฝี แผลพุพอง ขม้ิน ชมุ เหด็ เทศ เทียนบ้าน ว่านหางจระเข้ ว่านมหากาฬ ฟา้ ทะลายโจร 5.อาการแพ้ อักเสบจาก ขม้ินชนั ตาํ ลงึ ผักบุง้ ทะเล พญายอ เสลดพงั พอน แมลงสัตว์กัดตอ่ ย 6.อาการลมพิษ พลู 7.อาการงสู วัด เริม พญายอ 5. อาการเจ็บปวดอ่นื ๆ 1.อาการเคลด็ ขัด ยอก ไพล 2.อาการนอนไมห่ ลับ ขีเ้ หล็ก 3.อาการไข้ ฟา้ ทะลายโจร บอระเพด็ 4.โรคหิดเหา น้อยหน่า 28

สารานุกรมไทยสาํ หรับเยาวชนฯ เล่มท่ี 14 โดยแพทย์หญิงนันทพร นิลวิเศษ และคนอ่ืน ๆ ได้กล่าวถึง เกณฑ์การเลือกใช้สมุนไพรเพื่อการสาธารณสุขมูลฐานไว้ คือ การเลือกสมุนไพร ท่ี จ ะ พั ฒ น า ไ ป ใ ช้ ใ น ก า ร ส า ธ า ร ณ สุ ข มู ล ฐ า น มี ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ ที่ จ ะ ต้ อ ง ยึ ด ถื อ ดั ง ต่ อ ไ ป น้ี 1. เป็นสมนุ ไพรที่ใช้รกั ษาโรค หรืออาการเจ็บปว่ ยเลก็ นอ้ ยที่วินจิ ฉัยได้เอง เชน่ อาการ จกุ เสียด ท้องผกู ท้องเสีย บาดแผลเลก็ น้อย และโรคผวิ หนงั บางชนิด เป็นต้น 2. เปน็ สมุนไพรท่หี าง่ายในท้องถ่ิน เพือ่ ประชาชนจะได้มใี ชเ้ มื่อตอ้ งการ 3. ยาทเ่ี ตรียมข้ึนจากสมนุ ไพรตอ้ งเป็นยาท่เี ตรยี มได้ง่าย ไม่ต้องใช้ความรู้ เทคโนโลยี หรอื ความชาํ นาญสูง เชน่ เตรยี มโดยวิธีต้ม บดและชง เป็นต้น 4. ยาสมุนไพรนนั้ ตอ้ งใช้ไดง้ ่าย หากเป็นสมนุ ไพรทก่ี ินไดย้ าก อาจแขง่ ขันกับยาแผน ปัจจุบันไมไ่ ด้ ตัวอยา่ งเช่น สมนุ ไพรฟา้ ทะลายโจรมรี สขมมาก อาจจะต้องปรบั ปรงุ รปู แบบโดยบรรจใุ น แคปซลู แทนการชงนํ้ากนิ 5. สมนุ ไพรนนั้ ตอ้ งปลอดภัย อยา่ งน้อยควรต้องมีการตรวจสอบทางพิษวิทยาอยา่ ง เพียงพอ หากไมม่ ีหรอื มหี ลกั ฐานการตรวจสอบน้อยก็ควรจะเปน็ พชื อาหาร หรอื เปน็ ยาทใี่ ช้ภายนอกเทา่ นน้ั 6. ตอ้ งแนใ่ จวา่ สมุนไพรนน้ั ให้ผลดี อย่างน้อยควรจะมีหลกั ฐานทางเภสชั วทิ ยาที่ยนื ยัน ผล การใช้ และถา้ จะให้เปน็ ทย่ี อมรบั ของบคุ ลากรสาธารณสขุ กจ็ ะต้องมีหลกั ฐานครบถว้ นทั้งเภสชั วิทยา พษิ วิทยา และการทดลองทางคลนิ กิ ดงั น้ันขณะนจี้ ึงไดม้ ีการสง่ เสริมการวจิ ยั เพม่ิ เติม เพ่ือให้เป็น ทยี่ อมรบั ของบุคลากรเหล่านี้ 7. สมุนไพรทนี่ ํามาใชต้ ้องถูกชนดิ จึงจะได้ผลในการรกั ษา 29

กิจกรรมท้ายบท กจิ กรรมที่ 6 ใหอ้ ธบิ ายรายละเอยี ดตามหวั ข้อทก่ี ําหนดให้ 1. การจาํ แนกพืชสมุนไพรตามลักษณะการใช้ประโยชน์ มวี ิธกี ารจาํ แนก ดงั นี้ 1.1 …………………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………......................…………………….. ………………………………………………………………………………….…..…………………………………………………………… ……………………………………………...…………………………………………………………………………..………………………. …….……………………………………………………………………………………………….………….….…………………………….. ………………………………………………………………….…….…….............................................................................. 1.2 ……………………………………………………………………..……….……................................... ………………………………………………………………………………………………….………..……………………………………… ……………………………….…………………………………..……………………………………………………………………………… ………..………………….……………………………………………………………………………………...……………………............ …………………………………………………………………………………………...……………………………………………………… …………………………………………………………..……….......................................................................................... 1.3 ……………………………………………………………………………………..................................... ……………………………………………………………………………..……………………………………………………………………. …………………………………..………………………………………………………………………………………………………………. ………..…………………………………………………………………………………………………………………..………….............. …………………………………………………………………………………………..………………………………………………………. ……………………………………………………..…………….......................................................................................... 1.4 ……………………………………………………………………………………..................................... …………………………………………………………………………………………………………..………………………………………. …………………………………………………………………..………………………………………………………………………………. …………………………..………………………………………………………………………………………..............………………….. …………………………………………………………………………………………………………............................................... 1.5 ……………………………………………………………………………………................................... …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………...……………………………………………………………………………… …………………………...…………………………………………………………………………………………………………............... …………………………………………………………………………………………………………............................................... 30

1.6 ……………………………………………………………………………………................................... …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………...….………………………………………………………………………….. ……………………………..…………………………………………………………………………………………………………............. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 2. การจาํ แนกพชื สมนุ ไพรตามลักษณะของสมนุ ไพร มีวิธีการจาํ แนก ดงั นี้ 2.1 …………………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 2.2 ……………………………………………………………………………………................................... …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 2.3 ……………………………………………………………………………………..................................... …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 2.4 ……………………………………………………………………………………................................... …………………………………………………………………………………………………………..………………………………………. …………………………………………………………………............................................................................................ 2.5 ……………………………………………………………………………………................................... …………………………………………………………………………………………………………..………………………………………. …………………………………………………………………............................................................................................ 3. การจําแนกพืชสมุนไพรตามลักษณะของการสาธารณสุขมูลฐาน มวี ิธกี ารจําแนก ดังน้ี 3.1 ……………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………..………………………………………. …………………………………………………………………..………….…………………………………………………………………… ………………………….…………………………………………………………………………………………………………................. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ ...................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... 31

3.2 ……………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………........…………………………………. ………………………………………………….……………………...………….……………………………………………………………. …………………………………......…………………………………………………………………………………………………………... …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 3.3 ……………………………………………………………………………….................................. ………………………………………………………………………………………………………….........………………………………… ……………………………………………………………………………..…………….……………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………............................................................................................... 3.4 ……………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………..………….…………………………………………………………………… …………………………........................................................................................................................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….………………………………………………………………………………….. ………………………........................................................................................................................................... 3.5 ……………………………………………………………………………….................................. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………...………….………………………………………………………………….. ……………………………..…………………………………………………………………………………………………………............. …………………………………………………………………………………………………………...……………………………………… …………………………………………………………………............................................................................................ 32

กิจกรรมท่ี 7 ดําเนนิ การตามคาํ สง่ั ที่กําหนดให้ ใหน้ าํ สนนุ ไพรทก่ี าํ หนดใหใ้ สใ่ นตารางให้ถกู ตอ้ งตามคุณสมบตั ิในการรักษาอาการ เจบ็ ปว่ ยขา่ กระชาย มะขามป้อม วา่ นหางจระเข้ มะขาม พริกไทย มะนาว ขลู่ ขิง ตะไคร้ สบั ปะรด กระเทียม หญา้ คา ขมน้ิ ออ้ ยแดง ดีปลี ชมุ เห็ดเทศ กะเพรา กระเจีย๊ บแดง วา่ นมหากาฬ ขี้เหล็ก กานพลู อาการเจบ็ ปว่ ย สมนุ ไพรทใ่ี ชร้ กั ษา 1. ระบบทางเดินอาหาร 2. ระบบทางเดนิ หายใจ 3. ระบบทางเดินปัสสาวะ 4. โรคผิวหนัง 5. อาการนอนไม่หลบั 33

บทที่ 4 สรรพคณุ ของสมนุ ไพร สาระสาํ คญั มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคตทิ ี่ดเี กี่ยวกับการดแู ลสง่ เสริมสขุ ภาพอนามัย และความปลอดภยั ในการดาํ เนินชีวติ ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั 1. มคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั สรรพคุณของสมนุ ไพรแตล่ ะประเภท 2. บอกสรรพคณุ ของสมุนไพรได้อย่างนอ้ ย 5 ชนิด 3. สามารถบอกวธิ ีการใช้สมุนไพร ในการรกั ษาอาการเจบ็ ปว่ ยเบื้องต้นได้ 4. เลอื กใชส้ มนุ ไพรในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ขอบข่ายเน้อื หา เร่อื งท่ี 1 กลมุ่ ทมี่ สี รรพคุณในการบําบดั อาการทอ้ งอดื ท้องเฟอ้ แนน่ จุกเสียด เรื่องท่ี 2 กลมุ่ ทีม่ สี รรพคณุ ในการบําบดั อาการท้องผกู เร่ืองที่ 3 กลมุ่ ที่มสี รรพคุณในการบาํ บดั อาการทอ้ งเสีย เรื่องที่ 4 กลมุ่ ทมี่ สี รรพคณุ ในการบาํ บดั อาการคลนื่ ไส้ อาเจยี น เร่ืองที่ 5 กลมุ่ ที่มสี รรพคณุ ในการบําบดั โรคระบบทางเดินหายใจ เรื่องท่ี 6 กลมุ่ ทีม่ สี รรพคณุ ในการบาํ บดั อาการปวดฟนั เรือ่ งที่ 7 กลมุ่ ท่ีมสี รรพคณุ ในการระงบั กล่นิ ปาก เรื่องท่ี 8 กลมุ่ ท่มี สี รรพคุณในการบําบดั อาการของโรคระบบทางเดนิ ปัสสาวะ เร่ืองที่ 9 กลมุ่ ทม่ี สี รรพคณุ ในการบําบดั อาการของโรคริดสีดวงทวาร เรอื่ งท่ี 10 กลมุ่ ทม่ี ีสรรพคณุ ในการบําบัดอาการของโรคเกี่ยวกบั ผิวหนงั เรอื่ งที่ 11 กลมุ่ ที่มีสรรพคณุ ในการบําบัดอาการทีเ่ กิดจากน้ําร้อนลวก 34

เรอื่ งท่ี 1 กลมุ่ ท่ีมสี รรพคุณในการบาํ บัดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจกุ เสยี ด กระเทยี ม สว่ นทน่ี ํามาใช้ หวั ใต้ดนิ สรรพคณุ รสเผ็ด เป็นยาขับลมในลาํ ไส้ แกจ้ กุ เสยี ด อดื อดั แน่น เฟอ้ แก้ไอ ขบั เสมหะ ช่วยยอ่ ยอาหาร วธิ ีการใช้ รับประทานกระเทียมดบิ ๆ ครง้ั ละประมาณ 5 - 7 กลีบ หลงั อาหารจะสามารถช่วยได้ ขา่ สว่ นทนี่ ําใช้ เหง้าแกใ่ ต้ดิน สรรพคณุ เหงา้ ขา่ มรี สเผด็ ช่วยขบั ลมในทอ้ ง แกบ้ วม ฟกช้าํ วธิ ีการใช้ 1. เหง้าแกข่ องข่าสดหรอื แห้ง ขนาดเทา่ หวั แม่มอื ต้มกบั นาํ้ แล้วดม่ื 2. หน่ั ใหเ้ ป็นชิ้นบาง ๆ ขนาดเลก็ แลว้ ผึง่ แดดให้ แห้ง นํามาชงดื่มพร้อมกับนํา้ ชา 3. ตาํ ให้แหลก แลว้ เติมนํ้าตม้ สกุ สะอาด หรือนาํ้ ปนู ใส นํามาดื่มครัง้ ละครึ่งแก้ว แมงลกั ส่วนทน่ี ํามาใช้ ใบสดและแห้ง สรรพคณุ มีรสเผ็ดร้อน ใชข้ บั ลม แกอ้ าการ ทอ้ งอดื ท้องเฟ้อ มลี มจุกเสยี ด วิธกี ารใช้ 1. ใชใ้ บแมงลกั สด ประมาณ 10 ใบ ล้างนาํ้ ให้สะอาดตาํ พอแหลก เติมน้าํ ตม้ สุกเล็กนอ้ ย คัน้ เอาเฉพาะนํ้า เตมิ นํา้ ผ้งึ เขา้ ไป ได้ประมาณ 1 ถว้ ยชา แลว้ จิบไปเร่ือย ๆ จะชว่ ยขับลมในชอ่ งท้องได้ดี 2. รบั ประทานสด เปน็ ผกั เคยี งอาหารหรอื ใช้ ปรงุ อาหาร 35

เรอื่ งที่ 2 กลมุ่ ท่มี ีสรรพคุณในการบําบดั อาการทอ้ งผูก มะขาม ส่วนทนี่ าํ มาใช้ เน้ือในฝักแก่ สรรพคณุ เนอื้ ในฝักแกม่ รี สเปรี้ยว เปน็ ยาระบาย ขบั เสมหะ เน้ือเมลด็ มีรสมันใช้ขบั พยาธิ วิธีการใช้ 1. ใชม้ ะขามเปียกรสเปร้ียว 10 - 12 ฝัก จิ้มเกลอื รบั ประทานพอสมควร และด่ืมนํา้ ตามเข้าไปมาก ๆ 2. นํามะขามเปียกทีม่ ีรสเปรีย้ ว 10 - 12 ฝกั ต้มกับนาํ้ ประมาณ 1 แก้ว จนเดือด แล้วเตมิ เกลือเลก็ น้อย ผสมเป็นนาํ้ มะขาม (นาํ้ มะขามข้น) มะละกอ ส่วนทนี่ ํามาใช้ ผลสกุ สรรพคณุ มะละกอสุกมีรสหวาน มีวติ ามินเอมาก ชว่ ยบาํ รุงสายตา มนี ้าํ ตาล วติ ามนิ บีหน่ึงและบสี อง วิตามินซี เกลือแร่ตา่ ง ๆ เช่น แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั มีกากหรอื ใยอาหารมาก มะละกอดิบมีสรรพคุณในการช่วยยอ่ ยอาหาร ประเภทเนื้อได้ดี วิธกี ารใช้ รับประทานมะละกอสุกทกุ วนั จะทาํ ใหก้ าร ขบั ถา่ ยสะดวกคล่อง เพราะอุจจาระจะมีลกั ษณะอ่อนนม่ิ อยูเ่ สมอ ขี้เหล็ก สว่ นทน่ี ํามาใช้ ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกและแกน่ สรรพคณุ มีรสขมจดั ใช้แกอ้ าการทอ้ งผกู และรักษาอาการ นอนไม่หลบั วิธีการใช้ ใช้ใบขเี้ หลก็ (ทัง้ ใบอ่อนและใบแก)่ ประมาณ 4 - 5 กาํ มอื ต้มกบั น้าํ พอท่วมให้เดือด นานประมาณ 30 นาที แลว้ เอาน้าํ มาด่มื กอ่ นรับประทานอาหาร หรือเวลา ที่มอี าการ หรือดมื่ กอ่ นนอน 36

เรอื่ งที่ 3 กลมุ่ ทม่ี ีสรรพคณุ ในการบาํ บดั อาการทอ้ งเสยี กลว้ ยนํ้าวา้ สว่ นทน่ี ํามาใช้ ผลดบิ สรรพคณุ ผลดิบจะมีรสฝาด ใชแ้ ก้อาการทอ้ งเสีย โรคกระเพาะ ผลสุก ใชเ้ ปน็ ยาระบาย วธิ ีการใช้ 1. ใช้กล้วยดิบหน่ั เปน็ ชิน้ บางๆนําไป ตากแดดใหแ้ หง้ แลว้ บดให้เปน็ ผงแปง้ ใช้ 1 - 2 ช้อนโตะ๊ ชงกบั นาํ้ ร้อนในอัตราสว่ น 1 : 1 นํามาด่ืม 2. ใช้ผงกล้วยดบิ ผสมนาํ้ ผ้งึ ในปรมิ าณ เทา่ ๆ กนั แล้วดืม่ แกอ้ าการท้องเสยี ฝรงั่ ส่วนทน่ี ํามาใช้ ใบและผลดบิ สรรพคณุ ใชแ้ ก้อาการท้องร่วง ผลออ่ นและใบแก่ แกท้ ้องเสียไดเ้ ป็นอย่างดี ซ่ึงเปน็ ยาแกท้ ้องเสยี แบบไมร่ นุ แรง ท่ีไม่ใช่เกิดจากเช้ือบิดหรืออหิวาตกโรค วิธีการใช้ 1. ใช้ใบแก่ 10 – 15 ใบ ปง้ิ ไฟหรอื ควั่ แลว้ ชงใน นํ้าร้อนดม่ื เมอ่ื มีอาการท้องเสยี 2. ใชผ้ ลออ่ น ๆ 1 ผล ฝนกบั นํา้ ปูนใสดืม่ เมอ่ื มี อาการทอ้ งเสยี มังคดุ ส่วนทน่ี าํ มาใช้ เปลอื กผลแหง้ สรรพคณุ รสฝาด แกท้ ้องเสยี บดิ มกู เลอื ด ใช้นาํ้ ตม้ เปลือกมังคดุ ล้างแผล จะช่วยให้แผลหายเร็วข้นึ วธิ ีการใช้ 1. เปลอื กมงั คุดเปน็ ยารักษาอาการท้องเสยี ใช้เปลือกท่ตี ากแห้งตม้ กับน้ําปนู ใส หรอื นํามาฝนกับ น้ําต้มสุก 2. อาการเป็นบดิ (ปวดเบ่ง มีมกู และอาจมี เลือดออก) ใชเ้ ปลอื กผลแห้ง ประมาณครึ่งผล (4 กรมั ) ยา่ งไฟใหเ้ กรยี ม นํามาฝนกบั นํ้าปนู ใสประมาณคร่งึ แกว้ ดืม่ ทกุ 2 ช่วั โมง 37

เร่อื งท่ี 4 กลุ่มทม่ี สี รรพคณุ ในการบาํ บดั อาการคลนื่ ไส้ อาเจยี น กะเพรา สว่ นทนี่ าํ มาใช้ ใบสดหรือแหง้ สรรพคณุ ใบกะเพรามีนํ้ามนั หอมระเหย ใบกะเพรา มฤี ทธ์ยิ บั ยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของเชอื้ แบคทีเรยี และชว่ ย ขับลมได้เป็นอย่างดี วธิ ีการใช้ ใช้ใบและยอดสด 1 กาํ มอื หรอื ทีต่ ากแหง้ ประมาณ 4 กรัม ตม้ ในนํ้าใหเ้ ดือด แลว้ นํามาด่ืม ขิง ส่วนทน่ี ํามาใช้ เหง้าแก่สด สรรพคณุ มรี สเผด็ รอ้ น ช่วยขบั ลม แก้จุกเสียด แก้เสมหะ บาํ รุงธาตุแก้คลืน่ เหียนอาเจยี น วิธกี ารใช้ 1. ใชเ้ หง้าสดขนาดหวั แมม่ ือทุบให้แตก นําไปต้ม ในน้ําพอทว่ มตม้ จนเดอื ด เติมน้ําตาลเลก็ นอ้ ยจิบชา้ ๆ 2. ห่นั เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วตากจนแหง้ นํามาตาํ ให้ เปน็ ผงละเอียดเก็บไวช้ งกบั นํ้าร้อนในอัตราส่วนขิง 1 ช้อนชา ต่อนํ้าปริมาณ 1 แกว้ แกอ้ าการคลืน่ ไส้ อาเจยี น วิงเวียน ยอ ส่วนทน่ี ํามาใช้ ผลดบิ หรอื ผลห่ามสด สรรพคณุ มรี สฝาดเล็กน้อย ใช้แกอ้ าเจียน วิธกี ารใช้ 1. นําผลดบิ มาหนั่ เป็นชน้ิ บางๆ แลว้ ตาก จนแห้ง นํามาคว่ั ไฟอ่อน ๆ ใหเ้ หลืองเกรยี ม กรอบ แล้วบด เป็นผง ใชผ้ งยอ 1 ชอ้ นชา ชงในน้าํ เดือด 1 ลิตร กรองเอา แต่น้ํามาด่ืม แกอ้ าการคลื่นไส้ 2. ใช้ผลยอดบิ 2 ผล หั่นเปน็ ชน้ิ บาง ๆ แลว้ ย่างไฟออ่ น ๆ หรือค่ัวไฟให้เหลอื งกรอบ แล้วตม้ ให้เ3ด8ือด นาํ นํ้ามาด่ืมบอ่ ย ๆ

เร่อื งที่ 5 กลมุ่ ทมี่ สี รรพคณุ ในการบาํ บัดโรคระบบทางเดนิ หายใจ มะนาว ส่วนทน่ี ํามาใช้ เปลอื กและน้าํ ในผล สรรพคณุ เปลือก ผล มีรสขม ชว่ ยขับลมไดด้ ี น้ําในผล มะนาวเปร้ียวจัดเป็นยาขบั เสมหะ วิธีการใช้ 1. ใชผ้ ลสดคนั้ น้าํ จะไดน้ า้ํ มะนาว เขม้ ขน้ ใส่ เกลอื เลก็ น้อยแลว้ จบิ บอ่ ย ๆ 2. ค้นั น้าํ มะนาวสด 1 ถว้ ยชา ผสมกับนา้ํ ผึง้ 1 ช้อนโตะ๊ เติมเกลอื เล็กนอ้ ย จิบบอ่ ย ๆ ช่วยขับเสมหะ หรือใช้กวาดคอก็ได้ มะขามปอ้ ม สว่ นทนี่ ํามาใช้ ผลสด สรรพคณุ รสขม ชมุ่ คอ เปรยี้ ว ใชล้ ะลายเสมหะ ไอ เจ็บคอ แก้หวดั แกก้ ระหายนา้ํ คอแหง้ และคอตบี วิธีการใช้ 1. ใชผ้ ลสด ตําคั้นนาํ้ ผสมเกลอื เลก็ น้อย จิบบอ่ ย ๆ 2. กดั เนอ้ื สด เค้ยี วอมบ่อย ๆ 3. ใช้ผลสดตําค้ันเอาน้ํา 1 ชอ้ นชา ผสมกับน้ําผงึ้ 4 ช้อนชา ทานบ่อย ๆ ช่วยละลายเสมหะ สับปะรด ส่วนทนี่ ํามาใช้ เน้อื สบั ปะรด สรรพคณุ เน้ือมีรสเปรยี้ ว อมหวาน ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยแก้อาการหลอดลมอักเสบ ความดันโลหติ สูง ชว่ ยป้องกันโรคไตอกั เสบ ขบั ปัสสาวะ วธิ กี ารใช้ 1. รับประทานเนือ้ ในสับปะรดเป็นผลไม้ หลังรบั ประทานอาหาร 2. ค้ันเอานา้ํ ผสมเกลือเล็กน้อย เปน็ เคร่อื งดื่ม หรือ ปน่ั เนอ้ื ใสน่ าํ้ แข็งกช็ น่ื ใจดี แตถ่ า้ รบั ประทาน มาก กรดท่มี ปี ริมาณสูงจะกัดเย่ือบชุ อ่ งปากได้ 39

เร่อื งท่ี 6 กลมุ่ ท่มี สี รรพคุณในการบาํ บดั อาการปวดฟัน กานพลู สว่ นทนี่ าํ มาใช้ ดอกกานพลูแห้งทยี่ งั ไมไ่ ด้สกดั นํ้ามนั ออก สรรพคณุ มรี สเผด็ กลน่ิ หอม แกป้ วดฟัน ชว่ ยขบั ลม วธิ กี ารใช้ 1. ใชด้ อกกานพลแู ห้ง อมไวบ้ ริเวณทปี่ วดฟนั 2. ใช้ดอกกานพลูแหง้ ตาํ ใหแ้ หลก ผสมดว้ ย เหลา้ ขาวเลก็ นอ้ ยอดุ ลงไปบริเวณรูฟันซีท่ ีป่ วด 3. ตําใหล้ ะเอียดแลว้ ใชผ้ งผสมกับยาสฟี ัน ใชแ้ ปรงฟนั แกป้ วดฟัน และดบั กล่ินปาก ดาวเรอื ง สว่ นทน่ี ํามาใช้ ชอ่ ดอก ใช้สด สรรพคณุ รสขม ฉุนเล็กน้อย แกเ้ วยี นศีรษะและ แกป้ วดฟนั วธิ กี ารใช้ 1. ใช้ดอกตําพอแหลก ค้นั เอาแตน่ ํา้ ชบุ สาํ ลี อุดไว้บรเิ วณฟันท่ปี วด 2. ใช้ช่อดอกสดประมาณ 5 - 10 กรัม ตม้ ในนํ้าให้เดอื ดพอประมาณ เอานํ้ามากลว้ั ปาก หรืออมทงิ้ ไว้ประมาณ 1 นาที ชว่ ยบรรเทาอาการปวดฟัน ผกั ชี ส่วนทน่ี าํ มาใช้ ตน้ สด ผล เมล็ด สรรพคณุ แกป้ วดฟนั ปากเจบ็ วธิ ีการใช้ ใชเ้ มลด็ ผักชปี ระมาณ 10 – 20 เมลด็ นาํ มาต้ม ในนาํ้ ใหเ้ ดือดใชอ้ มบว้ นปากบ่อย ๆ 40

เรอื่ งท่ี 7 กลุ่มทม่ี สี รรพคุณในการระงบั กลิ่นปาก ฝรงั่ ส่วนทนี่ าํ มาใช้ ใบแก่สดและผลอ่อน สรรพคณุ ชว่ ยระงบั กลนิ่ ปาก แก้ท้องเสยี ไดเ้ ป็นอย่างดี ซ่ึงเปน็ ยาแก้ทอ้ งเสียแบบไม่รนุ แรง ทไี่ มใ่ ชเ่ กดิ จากเชอ้ื บิด หรอื อหวิ าตกโรค วิธีการใช้ 1. ใชใ้ บสด 1 – 3 ใบ เคี้ยวพอละเอียด แล้วคายทิ้ง ทาํ หลังจากรบั ประทานอาหารเสร็จแลว้ 2. ใชผ้ ลแกท่ านสดไมต่ ้องปอกเปลือก กานพลู สว่ นทนี่ าํ มาใช้ ดอกกานพลูแห้งที่ยังไมไ่ ด้สกดั น้ํามันออก สรรพคณุ มีรสเผ็ด กลิ่นหอม แกป้ วดฟนั ช่วยขับลม วิธีการใช้ 1. ใช้ดอกกานพลแู หง้ 2 - 3 ดอก อมไวป้ ากนาน ประมาณ 2 - 3 นาที แลว้ จึงคายท้ิง 2. ตําใหล้ ะเอียดแลว้ ใช้ผงผสมกับยาสฟี นั ใช้แปรงฟนั เพือ่ ดบั กล่นิ ปาก 41

เรอื่ งท่ี 8 กลมุ่ ทมี่ ีสรรพคณุ ในการบําบัดอาการของโรคระบบทางเดนิ ปสั สาวะ กระเจี๊ยบแดง ส่วนทนี่ าํ มาใช้ ดอก ท้ังสดและแห้ง สรรพคณุ แกโ้ รคนว่ิ ขดั เบา ละลายไขมันในเสน้ เลอื ด กดั เสมหะ ขับเมอื กในลาํ ไส้ วิธกี ารใช้ นําเอากลบี เล้ยี ง หรอื กลบี รองสีมว่ งแดง ตากใหแ้ ห้ง แลว้ บดให้เปน็ ผงละเอียด ใชค้ รง้ั ละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกบั น้ําเดือด 1 ถว้ ย (250 มลิ ลลิ ิตร) ดืม่ เฉพาะนา้ํ สีแดงสด ดม่ื วนั ละ 3 ครัง้ ติดต่อกนั ทุกวนั จนกวา่ อาการขดั เบาและอาการอ่ืนๆจะหาย ตะไคร้ สว่ นทน่ี าํ มาใช้ เหงา้ และลาํ ต้นแก่ สรรพคณุ มกี ลิ่นหอม บํารุงธาตุ แกโ้ รคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลําไส้ ทาํ ใหเ้ จรญิ อาหาร แก้กล่นิ อบั หรอื ดบั กลนิ่ คาวของปลาและเนือ้ สัตวไ์ ด้ดมี าก วธิ กี ารใช้ 1. ผ้ทู ปี่ สั สาวะขัด (ไมม่ ีอาการบวม) ใหใ้ ช้ ตะไครแ้ ก่สดต้มดมื่ วันละ 3 คร้งั ๆละ 1 ถว้ ยชา ก่อนอาหาร 2. ใชเ้ หงา้ ที่อย่ใู ตด้ ิน นาํ มาฝานเปน็ แว่นบาง ๆ คั่วไฟอ่อน ๆ พอเหลือง คร้ังละ 1 หยบิ มือ ชงกบั น้ํารอ้ นจัด 1 ถ้วยชา แช่ทง้ิ ไว้ 2 นาที รินดืม่ เฉพาะสว่ นทีใ่ สดม่ื จนหมด วันละ 3 คร้ัง ก่อนอาหาร เมื่อปสั สาวะคล่องกใ็ ห้หยุดทาน หญา้ คา ส่วนทนี่ ํามาใช้ รากสดหรอื แห้ง สรรพคณุ มีรสจืดแกร้ ้อนใน กระหายนาํ้ ขบั ปัสสาวะ วิธีการใช้ ใชร้ ากสดหรือรากหญ้าแหง้ แกข้ ดั เบา โดยห่นั เป็นช้นิ ๆ ใชว้ นั ละ 1 กํามอื (สดหนัก 40 - 50 กรัม ถ้าแหง้ 10 – 15 กรัม) ต้มกบั นํา้ 1 ถว้ ยแก้ว (250 มลิ ลลิ ิตร) จนน้ําเดือด แบ่งด่ืมวันละ 3 ครงั้ ก่อนอาหาร คร้ังละ 1 ถว้ ยชา (75 มิลลลิ ิตร) 42

เรอื่ งที่ 9 กลมุ่ ท่มี ีสรรพคุณในการบําบดั อาการของโรคริดสดี วงทวาร เพชรสงั ฆาต ส่วนทนี่ าํ มาใช้ เถา สรรพคณุ มีรสขม รอ้ น คัน ใชเ้ ปน็ ยาแกร้ ดิ สดี วงทวาร วธิ ีการใช้ 1. ใชเ้ ถาสด 2 - 3 องคุลี ต่อหน่ึงมอื้ วิธรี บั ประทานใช้สอดไส้ในกลว้ ยสกุ หรอื มะขามเปยี ก แลว้ กลืน รบั ประทาน 10 - 15 วัน จะเหน็ ผล 2. ใช้เถาตากแหง้ บดเป็นผงละเอียด ใส่แคปซลู จผุ งยา 250 มลิ ลกิ รัม รบั ประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครง้ั ก่อนอาหารและกอ่ นนอน รับประทาน 5 - 7 วัน อาการจะดขี น้ึ รับประทานต่อ ก็จะหายเป็นปกติ ข้อควรระวัง การรับประทานสด ถา้ เคย้ี วจะคนั ปาก คนั คอ เพราะในสมนุ ไพรนี้จะมสี ารเปน็ ผลกึ รูปเข็มอยมู่ าก เป็นสารชนิดเดียวกนั กับทพ่ี บในตน้ บอน ตน้ เผอื ก อัคคีทวาร ส่วนทน่ี าํ มาใช้ ทั้งต้น ใบแหง้ ผล ราก สรรพคณุ ใบ ตน้ และราก ใชเ้ ปน็ ยารักษารดิ สีดวงทวาร วิธกี ารใช้ 1. นํารากหรือต้นยาว 5 – 6 เซนตเิ มตร ฝนกบั นาํ้ ปนู ใสให้ขน้ ๆ แลว้ ทาทรี่ ดิ สีดวงทวาร เป็นยา เกล่อื นหวั รดิ สีดวงทวาร 2. นําใบมา 10 - 20 ใบ ตากใหแ้ หง้ แล้วบด ให้ละเอียดเปน็ ผง คลกุ กับน้ําผง้ึ ปนั้ เปน็ เม็ด ขนาดเม็ด พทุ รา รบั ประทาน คร้ังละ 2 - 4 เม็ด ทุกวนั ตดิ ต่อกัน 7 - 10 วนั 3. ใชใ้ บแหง้ ป่นเปน็ ผง โรยในถ่านไฟ เผาเอาควนั รมหัวรดิ สดี วงทวาร ใหย้ บุ ฝอ่ 43


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook