ปา่ ไมแ้ ละพชื พรรณ
ป่าไมแ้ ละพืชพรรณ ความหมาย ประเภท ความสาคญั สถานการณ์ อดีต-ปจั จบุ นั แนวนโยบายของรฐั และมาตรการทางสิ่งแวดลอ้ ม บทบาทของสถาบนั การศกึ ษาและบคุ คลากรทางการศกึ ษา
ความหมาย \"ปา่ ไม้\" หมายถึง ถน่ิ ท่ีอย่อู าศัย รว่ มกันของสงิ่ มีชวี ติ ทัง้ พชื และสตั ว์ นานาชนิดรวมทังจลุ ชพี ตา่ งพง่ึ พา อาศัยซ่ึงกันและกัน สว่ นใหญ่ ประกอบด้วยตน้ ไม้อนั ขน้ึ อยู่บน พ้นื ดนิ และมรี ากยึดเหนยี่ วอยใู่ ต้ดนิ ปา่ ไม้เป็นสงิ่ ทปี่ ลกู ทดแทนข้ึนมาใหม่ ได้ และสามารถเออื้ อานวยประโยชน์ ให้แก่มวลมนุษย์ ท่มี า หลกั การจัดการสิ่งแวดลอ้ ม ดร.สกุ าญจน์ รัตนเลศิ นสุ รณ์
ประเภทของปา่ ไม้ ประเภทของปา่ ไม้จะแตกตา่ งกันไป ขึ้นอยูก่ ับการกระจายของฝนและสภาพ ภมู ศิ าสตร์ ระยะเวลาท่ีฝนตกรวมทงั้ ปรมิ าณนา้ ฝนทาใหป้ ่าแต่ละแหง่ มีความ ช่มุ ชน้ื ตา่ งกนั สามารถจาแนกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 1. ป่าประเภทท่ีไม่ผลดั ใบ (Evergreen) 2. ป่าประเภทท่ีผลัดใบ (Deciduous) ที่มา http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/forest/forestn.htm
ปา่ ไมผ่ ลดั ใบ (Evergreen Forest) ปา่ ประเภทนมี้ องดเู ขยี วชอมุ่ ตลอดปี เน่อื งจากต้นไม้ แทบทงั้ หมดท่ีขน้ึ อยเู่ ปน็ ประเภทที่ไมผ่ ลัดใบ ปา่ ชนดิ สาคญั ซึ่งจัดอยู่ในประเภทน้ี แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. ป่าดงดบิ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) 2. ป่าสนเขา (Pine Forest) 3. ปา่ ชายเลน (Mangrove Forest) 4. ปา่ พรุหรอื ป่าบงึ น้าจดื (Swamp Forest) 5. ปา่ ชายหาด (Beach Forest)
ปา่ ดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ปา่ ดงดิบจะมีอยู่ทั่วในทกุ ภาคของประเทศไทย แตท่ มี่ ีมาก ที่สุด ไดแ้ ก่ ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออก เพราะในบรเิ วณนม้ี ีฝนตกชกุ และ มีความชื้นมากกว่าในภูมิภาคอ่ืนๆ ปา่ ดงดบิ มักกระจายอยบู่ ริเวณทม่ี ี ความช่มุ ชื้นมากๆ เชน่ ตามหุบเขาริมแมน่ า้ ลาธาร ห้วย แหลง่ น้า และ บนภูเขา ซ่ึงสามารถแยกออกเป็นปา่ ดงดบิ ชนิดต่าง ๆ ดังน้ี 1 ปา่ ดบิ ช้นื (Moist Evergreen Forest) 2 ปา่ ดบิ แล้ง (Dry Evergreen Forest) 3 ปา่ ดบิ เขา(Hill EvergreenForest)
ปา่ ดบิ ช้นื (Moist Evergreen Forest) เปน็ ป่ารกทึบมองดเู ขียวชอมุ่ ตลอดปมี พี ันธ์ุไมห้ ลายร้อยชนิดขนึ้ เบยี ดเสยี ดกนั อยมู่ ักจะพบกระจัด กระจายต้ังแต่ความ สูง 600 เมตร จากระดบั นา้ ทะเล ไม้ที่สาคัญก็คอื ไมต้ ระกลู ยาง ตา่ ง ๆ เชน่ ยางนา ยางเสยี น ส่วนไม้ ชน้ั รอง คือ พวกไมก้ ่อ เชน่ ก่อ นา้ ก่อเดือย
ปา่ ดิบแลง้ (Dry Evergreen Forest) เป็นป่าทอี่ ยใู่ นพื้นท่ีค่อนขา้ งราบมี ความชมุ่ ชน้ื น้อย เช่น ในแถบภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือมกั อย่สู งู จากระดบั น้าทะเลประมาณ 300- 600 เมตร พันธุไ์ ม้ท่ีสาคัญ ได้แก่ มะค่าโมง ยาง นา พยอม ตะเคยี นแดง กระเบากลกั และตาเสือ
ปา่ ดบิ เขา(Hill EvergreenForest) ป่าชนดิ นีเ้ กิดขึน้ ในพน้ื ท่ีสูง หรอื บนภเู ขาต้ังแต่ 1,000- 1,200 เมตร ข้ึนไปจาก ระดับน้าทะเล ไม้สว่ นมากเป็น พวก Gymonosperm ได้แก่ พวก ไม้ขนุ และสนสามพันปี นอกจากนี้ ยงั มไี ม้ตระกลู กอขนึ้ อยู่ พวกไม้ชน้ั ทส่ี องรองลงมา ได้แก่ เป้ง สะเดา ช้าง และขมน้ิ ต้น
ปา่ สนเขา (Pine Forest) ปา่ สนเขามักปรากฎอยูต่ ามภเู ขาสงู ส่วนใหญ่ เป็นพน้ื ท่ีซ่งึ มคี วามสงู ประมาณ 200- 1800 เมตร ขน้ึ ไปจากระดบั น้าทะเลปานกลาง ใน ภาคเหนอื ภาคกลาง และภาค ตะวันออกเฉยี งเหนือ บางทอี าจปรากฎในพื้นที่ สงู 200-300 เมตร จากระดบั น้าทะเลปานกลางใน ภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามลี ักษณะเป็นปา่ โปร่ง ชนดิ พนั ธไุ์ ม้ที่สา้ คญั ของป่าชนดิ นคี้ อื สน สองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนดิ อื่นทข่ี ้ึนอยดู่ ้วย ไดแ้ ก่พนั ธ์ุไมป้ ่าดิบเขา เชน่ กอชนดิ ตา่ ง ๆ หรือ พนั ธไ์ุ มป้ า่ แดงบางชนดิ คอื เตง็ รัง เหียง พลวง
ปา่ ชายเลน (Mangrove Forest) มีตน้ ไม้ขน้ึ หนาแนน่ แตล่ ะชนิดมรี ากค้า ยันและรากหายใจ ปา่ ชนดิ นี้ปรากฎอยู่ ตามทดี่ นิ เลนรมิ ทะเลหรอื บรเิ วณปากนา้ แมน่ ้าใหญ่ ๆ ซ่งึ มนี า้ เค็มทว่ มถงึ ในพื้นท่ี ภาคใต้มอี ยู่ตามชายฝ่ังทะเลทงั้ สองดา้ น พันธไ์ุ ม้ที่ขน้ึ อยู่ตามปา่ ชาย เลน สว่ นมากเป็นพันธไ์ุ ม้ขนาดเลก็ ใช้ ประโยชนส์ าหรับการเผาถ่านและทาฟนื ไมช้ นิดที่สาคญั คอื โกงกาง ประสัก ถั่วขาว ถวั่ ขา โปรง ตะบูน แสมทะเล ลาพนู
ปา่ พรหุ รือปา่ บงึ นา้ จดื (Swamp Forest) ปา่ ทีม่ ีพ้ืนท่ลี ุ่มนา้ ขงั ดินเปน็ หลม่ เลน และมีซากอินทรียวัตถทุ ับถมทาให้ ดนิ ยุบลงตัวได้ง่าย พืชท่ีข้นึ ในปา่ พรุจึงมีการพัฒนาและมคี วาม หลากหลาย เช่น ครอเทยี น สนุน่ จกิ โมก บ้าน หวายน้า หวาย โปรง่ ระกา ออ้ และแขม ในภาคใต้ ป่าพรุมขี ้นึ อยตู่ ามบริเวณท่มี นี ้าขงั ตลอดปี ปา่ พรุทมี่ ีเน้ือทมี่ ากท่สี ุดอยู่ ในบรเิ วณจังหวัดนราธิวาส
ปา่ ชายหาด (Beach Forest) เป็นปา่ โปร่งไม่ผลดั ใบขน้ึ อยู่ ตามบริเวณหาดชายทะเล น้าไม่ ท่วมตามฝ่ังดนิ และชายเขาริม ทะเล ต้นไมส้ าคญั ที่ขนึ้ อยตู่ าม หาดชายทะเล ต้องเป็นพชื ทน เค็ม ลักษณะไมเ้ ป็นพมุ่ ลักษณะตน้ คดงอ ใบหนา แขง็ ได้แก่ สนทะเล หู กวาง โพธิ์
ป่าผลดั ใบ (Deciduous) ตน้ ไมท้ ขี่ นึ้ อยใู่ นป่าประเภทน้ีเปน็ จาพวกผลดั ใบแทบท้งั สิ้น ใน ฤดฝู นป่าประเภทน้จี ะมองดูเขยี วชอุ่มพอถงึ ฤดแู ล้งต้นไม้ สว่ นใหญ่ จะพากนั ผลัดใบทาใหป้ ่ามองดูโปร่งข้นึ และมักจะเกิดไฟป่าเผา ไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็ก ป่าชนิดสาคญั ซึง่ อยใู่ นประเภทน้ี ได้แก่ 1. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) 2. ปา่ เต็งรงั (Declduous Dipterocarp Forest) 3. ปา่ หญา้ (Savannas Forest)
ปา่ เบญจพรรณ (Mixed Declduous Forest) มีลักษณะเปน็ ปา่ โปร่งและยงั มีไม้ไผ่ ขน้ึ อยู่กระจดั กระจายท่ัวไปพนื้ ท่ดี ินมกั เปน็ ดนิ ร่วนปนทราย ปา่ เบญจพรรณ ใน ภาคเหนือมกั จะมไี ม้สักขน้ึ ปะปนอยู่ทั่วไป ครอบคลุมลงมาถงึ จงั หวัดกาญจนบรุ ี ใน ภาคกลาง ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือและ ภาคตะวันออก มปี า่ เบญจพรรณนอ้ ย มาก พนั ธไุ์ ม้ชนิดสาคัญไดแ้ ก่ สัก ประดู่ แดง มะคา่ โมง ตะแบก
ปา่ เตง็ รัง (Declduous Dipterocarp Forest) ป่าไม้ชนิดน้ี อาจมชี ่ือ เรียกวา่ ปา่ เพก็ ป่าโคก หรือปา่ แดง เป็นปา่ ทพ่ี บเกือบทุกภาค ของประเทศ ยกเว้นภาคใตแ้ ละ เทือกเขาทส่ี งู กวา่ 1000 ม.ขนึ้ ไป จะขึ้นอยตู่ ามทด่ี อน เนนิ เขา หรือไหลเ่ ขาเตยี้ ๆทด่ี นิ ไม่คอ่ ยมี ความอดุ มสมบรู ณ์ พนั ธุ์ไมส้ าคัญท่ีพบไดแ้ ก่ ไม้ เต็ง ไมร้ ัง ไมย้ าง และไมร้ กฟ้า
. ป่าหญา้ (Savannas Forest) ปา่ หญา้ ทอ่ี ยทู่ กุ ภาคบรเิ วณปา่ ท่ีถูก ทาลายบรเิ วณพื้นดินทีข่ าดความ สมบรู ณ์และถกู ทอดท้ิง หญา้ ชนิดตา่ ง ๆ จึงข้นึ ทดแทนและพอถึงหน้าแลง้ ก็ เกดิ ไฟไหมท้ าให้ตน้ ไมบ้ ริเวณข้างเคยี ง ล้มตาย พื้นท่ีป่าหญ้าจึงขยายมากขึ้น ทกุ ปี พชื ทีพ่ บมากท่สี ดุ ในป่าหญ้าก็ คอื หญ้าคา หญ้าขนตาชา้ ง หญา้ โขมง
ความสาคญั ของทรัพยากรป่าไม้ ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits) ได้แก่ ปจั จัย 4 ประการ 1. นาไมม้ าสร้างอาคารบ้านเรอื นและผลิตภณั ฑ์ ต่างๆ เช่น เฟอรน์ ิเจอร์ กระดาษ ไม้ขดี ไฟ ฟืน เปน็ ต้น ทมี่ า http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st254 5/5-4/no37_49/forestimportant.html
ความสาคญั ของทรพั ยากรปา่ ไม้ 2. ใชเ้ ปน็ อาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพชื และผล ที่มา http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/468/665/original_Pib_Nor.jpg?1285780711
ความสาคญั ของทรัพยากรป่าไม้ 3. ใช้เส้นใย ทีไ่ ด้จากเปลอื กไม้และเถาวัลยม์ าถักทอ เป็น เครือ่ งนงุ่ หม่ เชอื กและอนื่ ๆ ท่ีมา http://www.tvburabha.com/tvb/program/program_882.jpg
ความสาคญั ของทรัพยากรปา่ ไม้ 4. ใช้ทายารกั ษาโรคตา่ ง ๆ ที่มา http://www.google.co.th/imgres
ความสา้ คัญของทรัพยากรปา่ ไม้ ประโยชนท์ างอ้อม (Indirect Benefits) 1. ปา่ ไมเ้ ป็นเป็นแหล่งกา้ เนดิ ตน้ นา้ ลา้ ธาร ที่มา http://www.google.co.
ความสา้ คัญของทรพั ยากรปา่ ไม้ 2. ปา่ ไมท้ าให้เกิดความชมุ่ ช้นื และควบคุมสภาวะอากาศ ทมี่ า http://www.livetogether.org
ความสา้ คัญของทรพั ยากรปา่ ไม้ ปา่ ไมเ้ ป็นแหล่งพกั ผอ่ นและศึกษาความรู้
ความสาคญั ของทรพั ยากรปา่ ไม้ 4. ปา่ ไม้ช่วยบรรเทาความรนุ แรงของลมพายแุ ละปอ้ งกนั อทุ กภยั ที่มา http://www.google.co.th/images?
ความส้าคัญของทรพั ยากรปา่ ไม้ 5. ป่าไมช้ ่วยปอ้ งกนั การกัดเซาะและพงั ทลายของหนา้ ดนิ
สาเหตุที่ทา้ ใหท้ รพั ยากรป่าไม้ลดลง 1.การลกั ลอบตัดไม้ทา้ ลายปา่ 2. การบุกรกุ พืน้ ที่ป่าไมเ้ พอื่ เข้าครอบครองทด่ี นิ 3. การส่งเสรมิ การปลูกพชื หรอื เล้ยี งสัตว์เศรษฐกจิ เพอื่ การส่งออก 4. การกา้ หนดแนวเขตพ้นื ท่ปี ่ากระท้าไม่ชดั เจน หรอื ไม่กระทา้ เลยในหลาย ๆ พื้นที่ 5. การทา้ เหมอื งแร่ 6. ไฟไหม้ป่า 7. การจัดสรา้ งสาธารณูปโภคของรฐั
ชนิดของไฟป่า 1. ไฟใต้ดนิ (Ground Fire) คอื ไฟทีไ่ หม้ อินทรียวตั ถุทอ่ี ยู่ใต้ชัน้ ผิวของพื้นป่า เกิดข้ึนในป่าบางประเภท โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ปา่ ในเขตอบอุ่นทม่ี ีระดับความ สงู มากๆ ซงึ่ อากาศหนาวเยน็ ทา้ ให้อตั รา การย่อยสลายอนิ ทรยี วัตถตุ า้่ จงึ มี ปรมิ าณอินทรยี วัตถุสะสมอยู่บนหนา้ ดนิ
ชนิดของไฟปา่ 2. ไฟผิวดิน (Surface Fire) คอื ไฟทไี่ หม้ ลกุ ลามไปตามผิวดนิ โดยเผาไหม้เช้ือเพลิง บนพื้นป่า อนั ได้แก่ ใบไม้ ก่ิงกา้ นไม้แหง้ ท่ี ตกสะสมอยบู่ นพื้นปา่ หญ้า ลูกไมเ้ ล็กๆ ไมพ้ น้ื ล่าง กอไผ่ ไม้พุ่ม สาหรบั ประเทศ ไทย ไฟปา่ ส่วนใหญจ่ ะเป็นไฟชนดิ นี้ โดย จะมคี วามสงู เปลวไฟ ตง้ั แต่ 0.5 - 3 เมตร ในปา่ เต็งรัง จนถงึ ความสงู เปลวไฟ 5 - 6 เมตร
ชนดิ ของไฟป่า 3. ไฟเรือนยอด (Crown Fire) คือไฟท่ีไหม้ ลุกลามจากยอดของตน้ ไมห้ รอื ไม้พุ่มต้น หน่งึ ไปยงั ยอดของตน้ ไม้หรอื ไม้พมุ่ อกี ตน้ หนง่ึ สว่ นใหญเ่ กิดในป่าสนในเขตอบอุ่น ไฟชนิดน้ีมอี ตั ราการลุกลามทร่ี วดเรว็ มาก และเป็นอันตรายอย่างยง่ิ สาหรับพนักงาน ดับไฟป่า ทั้งนีเ้ นือ่ งจากไฟมีความรุนแรง มากและมีความสงู เปลวไฟประมาณ 10 - 30 เมตร แต่ในบางกรณีไฟอาจมีความสูง ถึง 40 - 50 เมตร
โครงการพระราชดาริ “ปา่ เปียก” พระราชดาริ “ปา่ เปียก” เกิดขน้ึ เพือ่ เป็นแนวในการ ป้องกันไฟป่า ทรงคิดค้นขน้ึ โดยนาหลกั การท่ีแสน งา่ ยแต่ไดป้ ระโยชน์มหาศาล โดยใช้ หลากหลาย ซ่งึ พระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระราชทาน วิธกี ารก่อสรา้ ง “ปา่ เปยี ก” ไวด้ ังน้ี
โครงการพระราชดาริ “ปา่ เปยี ก” วธิ ีการแรก ทาระบบปอ้ งกนั ไฟไหม้ปา่ โดยใช้แนวคลองส่ง นา้ และแนวพชื ชนดิ ตา่ งๆ ปลกู ตามแนวคลองน้ี วธิ ีที่สอง สรา้ งระบบการควบคุมไฟปา่ ด้วยแนวป้องกันไฟ ป่าเปยี ก โดยอาศัยน้าชลประทานและนา้ ฝน วิธีทสี่ าม โดยการปลกู ต้นไม้โตเรว็ คลมุ แนวรอ่ งน้าเพอื่ ให้ ความชมุ่ ชื้นคอ่ ยๆ ทวีข้ึนและแผ่ขยายออกไปท้ัง สองรอ่ งนา้ ซึ่งจะทาให้ต้นไม้งอกงามและมสี ว่ น ช่วยป้องกันไฟป่า เพราะไฟป่าจะเกดิ ข้ึนงา่ ยหาก ปา่ ขาดความชุ่มช้ืน
โครงการพระราชดา้ ริ “ปา่ เปยี ก” วธิ ีท่ีสี่ โดยการสร้างฝายชะลอความช่มุ ชน้ื เพอื่ ปิดกัน้ ร่องน้า หรือลา้ ธารขนาดเล็กเปน็ ระยะๆ เพอื่ ใช้เกบ็ กักน้าและ ตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้าทีเ่ ก็บไวจ้ ะซมึ เข้าไป สะสมในดนิ ท้าใหค้ วามชมุ่ ชืน้ แผข่ ยายเข้าไปทั้งสอง ด้านกลายเป็น “ป่าเปียก” วิธีทีห่ า้ โดยการสูบน้าเข้าไปในระดบั ทส่ี ูงทีส่ ุดเทา่ ท่ีจะทา้ ได้ แลว้ ปล่อยน้าลงมาทีละน้อยใหค้ ่อยๆ ไหลซึมดินเพื่อ ชว่ ยเสรมิ การปลูกป่าบนพ้ืนที่สูงในรูป “ภูเขาปา่ ” ให้ กลายเปน็ “ปา่ เปียก” ซง่ึ สามารถป้องกันไฟปา่ ได้
โครงการพระราชด้าริ “ป่าเปยี ก” วิธีท่หี ก ปลกู ตน้ กลว้ ยในพ้ืนทท่ี ่ีกาหนดให้เป็น ช่องวา่ งของป่า ประมาณ 2 เมตร หากเกดิ ไฟ ไหม้ปา่ ก็จะปะทะต้นกลว้ ยซึง่ อุ้มน้าไวไ้ ด้ มากกว่าพชื อ่ืน ทาให้ลดการสญู เสยี นา้ ลงไป ไดม้ าก แนวพระราชดาริปา่ เปียก จึงนบั เปน็ ทฤษฎีการอนรุ ักษ์ฟ้ืนฟปู า่ ไม้ โดยใช้ความ ชมุ่ ช้ืนเปน็ หลกั สาคญั ที่จะชว่ ยให้ป่าเขยี ว สดอยู่ตลอดเวลา ไฟป่าจงึ เกดิ ได้ยาก การ พฒั นาเพื่อการอนุรกั ษแ์ ละฟ้ืนฟปู ่าไมท้ ่ี สทา่มี ามhาttรpถ:/ท/3าaไrmดyง้ a่าrยeaแ-rลtaะ.cไoดm้ผลดยี ิ่งขึ้น
ผลกระทบทีเ่ กดิ จากปา่ ไม้ถูกทา้ ลาย 1. ทาใหเ้ กิดนา้ ท่วม 2. สัตว์ปา่ ถูกทาลาย 3. ดนิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ 4. ทาให้สภาพอากาศแปรปรวน 5. ลดอายขุ องการใชง้ านอ่างเก็บนา้ และแหล่งนา้ ธรรมชาติ 6. ขาดวัสดใุ นการก่อสรา้ งและขาดวตั ถุดิบปอ้ นโรงงานอตุ สาหกรรม
สถานการณป์ า่ ไม้ อดตี -ปัจจุบนั อดีต การใชป้ ระโยชน์จากพนื้ ทปี่ า่ อยา่ งต่อเน่ืองในช่วงส่ที ศวรรษที่ ผา่ นมาท้าใหป้ ระเทศไทยสูญเสีย พื้นท่ปี ่าไปแลว้ ประมาณ 67 ล้านไร่ หรือเฉลยี่ ประมาณ 1.6 ลา้ นไรต่ ่อปี กล่าวคือ ปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยมี พนื้ ทปี่ า่ อย่ถู ึงร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ ประเทศ หรอื ประมาณ 171 ล้านไร่
สถานการณป์ า่ ไม้ อดตี -ปจั จบุ นั ปจั จบุ ัน พนื้ ทป่ี า่ ไม้ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551 ทไี่ ด้จากการ ประมวลผลโดยระบบ สารสนเทศภมู ิศาสตร์ มีจานวน ทั้งส้ิน 171,585.65 ตาราง กโิ ลเมตร หรอื คดิ เป็นร้อยละ 33.44 ของพน้ื ทีป่ ระเทศไทย
สรปุ พ้นื ทป่ี า่ ในแตล่ ะภาค 1. ภาคเหนือ มพี ืน้ ทป่ี ่าไม้ 95,074.74 ตร. กม. คดิ เป็นร้อยละ 18.53 ของ พืน้ ท่ี ประเทศไทย 2. ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื มีพืน้ ทปี่ ่า ไม้ 27,555.54 ตร.กม. คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.37 ของพ้นื ท่ีประเทศไทย 3. ภาคตะวันออก มพี ืน้ ท่ีปา่ ไม้ 8,033.40 ตร.กม. คิดเปน็ รอ้ ยละ 1.57 ของพื้นท่ี ประเทศไทย
พ้นื ที่ปา่ ในแตล่ ะภาค 4. ภาคตะวนั กลาง มีพื้นทปี่ า่ ไม้ 2,663.97 ตร.กม. คิดเปน็ รอ้ ยละ 0.52 ของพ้ืนท่ี ประเทศไทย 5. ภาคตะวนั ตก มีพื้นทปี่ า่ ไม้ 17,425.07 ตร.กม. คิดเป็นร้อยละ 3.40 ของ พ้ืนทป่ี ระเทศไทย 6. ภาคใต้ มพี นื้ ท่ีป่าไม้ 20,832.92 ตร.กม. คดิ เป็นรอ้ ยละ 4.06 ของ พ้ืนทป่ี ระเทศไทย
แนวนโยบายของรฐั และมาตรการทางสิ่งแวดลอ้ ม จากการที่ป่าไมถ้ กู ท้าลายไปอยา่ งมากมายและเปน็ ไปอย่างรวดเรว็ จะ ส่งผลกระทบตอ่ การดา้ เนินชวี ติ ของประชากรอย่างน่าวิตก เพราะสภาพทัว่ ไป ของป่าไม้อยใู่ นขั้นวกิ ฤต เหลอื พ้นื ที่ป่าไมแ้ ทจ้ ริงไม่เกิน 24% ของพ้นื ที่ท้ัง ประเทศ 1.การปลูกป่าทดแทน 2.การด้าเนนิ การคุ้มครองปา่ ไม้ 3.ขจัดการบุกรกุ ทา้ ลายปา่
1.การปลกู ปา่ ทดแทน การปลกู ป่าทดแทนในพน้ื ทปี่ ่าไม้เส่ือมสภาพทา้ ไดห้ ลายวธิ ีดว้ ยกัน และ สามารถทา้ ไดท้ ัง้ ภาค รฐั บาล เอกชน และอาสาสมคั ร - ภาครฐั บาล น้ันดา้ เนนิ การปลูกปา่ ทดแทนในดา้ นของ การทา้ สวนปา่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุขชาติ และสวนสาธารณะ - ภาคเอกชน จะขอสัมปทานพ้ืนทีท่ ้าสวนป่า เพ่อื ปลกู ต้นไม้ ออกจา้ หนา่ ย - หนว่ ยอาสาสมคั ร จะออกไปชว่ ยรัฐบาลปลูกป่าตามพน้ื ทีท่ ท่ี างการ จดั หาให้
การปลกู ปา่ ทดแทน มี 4 ลกั ษณะ คอื การทา้ สวนปา่ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ สวนรขุ ชาติ
1.การทา้ สวนป่า เพ่อื ทดแทนป่าไมท้ ถ่ี กู ทาลายไป หรือเพ่ือเอาพน้ื ท่ี รกร้างมาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ พันธไ์ มท้ น่ี ามาปลกู มหี ลาย ชนิด ส่วนมากจะเปน็ ไม้ เนอื้ อ่อนทโี่ ตเร็ว เช่น ไม้สัก และไม้กระยาเลย
2.สวนพฤกษศาสตร์ เปน็ การรวมพนั ธ์ไม้ นานาชนิดมาปลูกรวมกนั ไว้ เพอ่ื ประโยชน์ในการศกึ ษาหา ความรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์ และใชเ้ ป็นสถานทพี่ ักผอ่ น หย่อนใจ ซ่งึ จะมีทง้ั พันธ์ุไม้ พื้นเมืองและต่างประเทศ โดย ปลกู แยกไวเ้ ป็นหมวดหมู่
3.สวนรขุ ชาติ เป็นสวนป่าทีม่ ีพืน้ ทขี่ นาดเลก็ ท่นี า้ มาใช้ปลูกพันธไ์ ม้ทม่ี คี ณุ ค่าต่อ เศรษฐกิจและเปน็ พันธไ์ มด้ อกทมี่ ี อยูใ่ นทอ้ งถ่ิน แต่ไม่ได้ปลกู แยก ออกเปน็ หมวดหมูเ่ หมือนสวน พฤกษศาสตร์
4.สวนสาธารณะ เป็นการปลกู ไมด้ อกไม้ ประดบั และไม้ยนื ต้นเพอ่ื เกดิ ร่มเงาสวนสาธารณะสว่ นใหญ่ จะดาเนินการจดั สร้างขน้ึ ตาม ย่านเมืองหรือใกล้เคยี ง เพอ่ื ให้ ประชาชนไดพ้ ักผ่อนหยอ่ นใจ ในยามว่าง เชน่ สวนสมเดจ็ พระศรนี ครินทร์ สวนหลวง ร.9
2.การด้าเนนิ การคมุ้ ครองป่าไม้ การด้าเนนิ การคุ้มครองปา่ ไม้ กระทา้ ได้โดยอาศัยกฎหมาย เพ่ือประกาศ พ้ืนทป่ี ่าเหลา่ นั้นเปน็ เขตหวงหา้ ม เพอื่ มิ ใหป้ ระชาชนเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ จากป่าไม้ เช่น การตัดไม้ การเกบ็ หาของ ป่า หรือ การล่าสัตว์ การคุ้มครองพ้ืนทปี่ ่า ไมท้ ้าได้ 3 รูปแบบ คือ 1.อทุ ยานแหง่ ชาติ 2.วนอุทยาน 3.เขตรักษาพันธส์ ัตว์ป่า
1.อทุ ยานแห่งชาติ เปน็ พน้ื ทปี่ ่าไม้ธรรมชาติซ่งึ ทาง ราชการเห็นความจาเปน็ ทีจ่ ะต้อง อนุรักษเ์ อาไว้ ซ่งึ รวมทง้ั พื้นท่ดี นิ ทวั่ ไป ภูเขา หว้ ย หนอง คลอง บึง ลาน้า ทะเลสาบ เกาะ และชายฝง่ั ประเทศไทยมพี น้ื ท่ีอทุ ยาน แหง่ ชาติ ทง้ั ทางบกและทาง ทะเล รวม 140 แหง่ แบ่งเปน็ อทุ ยาน แห่งชาติทางบก 116 แหง่ และทาง ทะเล 24 แห่ง
2.วนอุทยาน คือ สถานท่ีในป่าทีม่ ที วิ ทศั นส์ วยงาม มี จุดเด่นตามธรรมชาตเิ ชน่ มนี า้ ตก หน้าผา มี หมูไ่ ม้ที่สวยงาม มีธรรมชาติทเ่ี หมาะสาหรับ เพ่อื การพักผ่อนหย่อนใจ มเี นอื้ ทีข่ นาดเลก็ ไม่ กวา้ งใหญเ่ หมอื นอุทยานแห่งชาติ อาจสร้างเติมเสรมิ แตง่ ได้โดยไมท่ าให้ ธรรมชาติต้องเสียไป เชน่ ทาถนน ทางเดินเทา้ ติดชื่อพนั ธุ์ไม้ บริการความสะดวกตา่ ง ๆ แก่ นักท่องเที่ยวตามสมควร ปัจจบุ ันประเทศไทยมีวนอุทยานจานวน ทัง้ สน้ิ 69 แหง่
3.เขตรกั ษาพันธส์ ตั ว์ปา่ คือ พ้ืนที่ ๆ ก้าหนดโดยพระราช กฤษฎกี าและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ เปน็ พ้ืนทค่ี มุ้ ครองตามตามพระราชบญั ญตั ิ สงวนและคุม้ ครองสัตวป์ า่ แหง่ ชาติ เพอ่ื ให้เป็น ท่อี ย่อู าศยั ของสตั ว์ปา่ โดยปลอดภัย เป็นการ รักษาไวซ้ ่งึ พนั ธุส์ ัตวป์ า่ และขยายจ้านวนสตั ว์ ปา่ ใหม้ ีจา้ นวนเพ่ิมมากขึ้น แตก่ ็จะเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนทว่ั ไปเขา้ ไปศึกษาหาความรหู้ รอื ชมธรรมชาตติ ามพื้นที่ ๆ ก้าหนดได้ แต่จะมกี ฎระเบยี บท่เี ข้มงวดมาก ปจั จบุ ันมีจ้านวน 55 แหง่ ทว่ั ประเทศ
Search