Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สมุนไพรไทย

สมุนไพรไทย

Published by noname., 2021-09-07 01:43:41

Description: สมุนไพรไทย

Keywords: ด.ญ.ปิยาพัชร เรืองโรจน์,Piyapat Raengroch,สมุนไพรไทย

Search

Read the Text Version

สมนุ ไพรไทย จัดทําโดย ด.ญ.ปยาพชั ร เรองโรจน์ โรงเรยนสภาราชินจี งั หวดั ตรัง

คํานํา โครงงานเรองนีปนส่วนหนงึ ของวชา คอมพิวเตอร์ซงึ จดั ทําขนึ เพือตอ้ งการศึกษา เกียวกบั เรองสมนุ ไพรไทย และสรรพคณุ และอกี หลายๆอยา่ งทนี าํ มาเสนอในรูปแบบ ของโครงงานและอกี ประการหนงึ คอื ตอ้ งการ ให้ผทู้ ีเขา้ มาดไู ดร้ ับความรู้ ดิฉนั หวงั วา่ ถา้ ผทู้ เี ข้ามาชมแลว้ จะไดร้ ับ ความรู้ไม่มากกน็ ้อย ถ้าทําโครงงานทําผดิ ประการใดก็ขออภยั ณ ทีนี อา้ งองิ จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/หมวดหมู่:สมนุ ไพรไทย

สารบญั เรอง................................................................หน้า คาํ นํา...............................................................2 สารบัญ..........................................................3-4 กระถินนา......................................................5-6 กรเทยี ม..........................................................7-8 กระวานไทย..................................................9-12 กรุงเขมา........................................................13-14 กะเพรา...........................................................15-18 กะเมง็ ..............................................................19-22 กานพลู...........................................................23-25 คาวทอง.........................................................26-27 จันทน์เทศ......................................................28-29 ฉตั รพระอินทร์..............................................30-31 ชะเอมเทศ......................................................32-33 ดปี ลี.................................................................34-35

สารบญั ตะไคร้.............................................................36-37 ตบั เตา่ นา......................................................38-39 ตําลงึ ...............................................................40-41 ใบกระวาน.....................................................42-43 ผกั แขยง........................................................44-45 ผักจนิ ดา........................................................46-47 เพชรสงั ฆาต.................................................48-49 ไพล..................................................................50-51 ฟาทะลายโจร...............................................52-53 มะขาม............................................................54-55 ราชพฤกษ.์ ....................................................56 สลดั ได............................................................57-58 หนาด..............................................................59-60 โหระพา..........................................................61-62 อบเชย............................................................63-64

กระถินนา ลกั ษณะ : กระถนิ นาเปนไม้ล้มลกุ ปเดียว ใบขึนจากดนิ มีขนาดเลก็ คล้ายใบหญ้า ชอ่ ดอกมีก้านยาวขนึ มาจากดิน ลอ้ มรอบดว้ ยใบ ดอกสเี หลืองสด ติดอยตู่ รงปลายของ ชอ่ ดอก กลบี ดอกมี 2 ชัน ชันละ 3 กลีบ ผลเลก็ ติดอยู่ รวมกนั ทีปลายช่อดอก และจะร่วงเมือแก่เตม็ ที มกั ขึนอยู่ กลางทอ้ งทุ่ง หรอท่งุ นา หรอพืนทชี มุ นําในทเี ปนดนิ เคม็ มักขนึ อยู่กับ ดุสติ า ( Utricularia delphinioides ) หรอหญา้ เหลือง ออกดอกในช่วงปลายฤดูฝนตอ่ ต้นฤดู หนาว

กระถนิ นา ประโยชน์ : เหตทุ ีไดช้ อื วา่ หญา้ ขีกลาก เนืองจากถกู จดั วา่ เปน วชั พชื โดยชาวนามักจะถอนทิงก่อนทจี ะทาํ นา แต่มี ประโยชน์ในการทาํ สมนุ ไพร สว่ นหวั นํามาตาํ ผสมกบั นาํ ซาวขา้ วเหนียว นําไปทาแผลทีเปนกลากเกลือนได้ เมือออกดอก กระถนิ นา จะมคี วามสวยงามมาก ดอกมี สีเหลือง เมอื บานจะบานเตม็ ทอ้ งทุง่ พร้อมกัน ใน ประเทศไทยพบทุง่ กระถนิ นาไดท้ จี ังหวดั ร้อยเอด็ บรเวณ แถบติดตอ่ ระหวา่ งอําเภอธวชั บรุ และอําเภอเสลภูมิ นิยม ใช้เปนสถานทที อ่ งเทยี วและถา่ ยภาพ

กระเทียม ลกั ษณะ : กระเทียมเปนไม้ล้มลกุ และใหญย่ าว สงู 30 - 60 ซม. มีกลินแรง มหี วั ใต้ดนิ ลักษณะกลมแปน มเี สน้ ผ่าน ศูนยก์ ลางประมาณ 2 - 4 ซม. มีแผน่ เยือสขี าวหรอสี มว่ งอมชมพูหมุ้ อยู่ 3 - 4 ชนั ซึงลอกออกได้ แตล่ ะหวั มี 6 - 10 กลบี กลบี เกดิ จากตาซอกใบของใบอ่อน ลาํ ตน้ ลดรูปลงไปมาก ใบเดียว (Simple leaf) ขนึ มาจากดนิ เรยงซ้อนสลบั แบนเปนแถบแคบ กวา้ ง 0.5 - 2.5 ซม. ยาว 30 - 60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรยบ และพบั ทบเปนสนั ตลอดความยาวของใบ

กระเทยี ม ลกั ษณะ : โคนแผเ่ ปนแผ่นและเชอื มตดิ กันเปนวงหุม้ รอบใบ ทอี อ่ นกวา่ และกา้ นช่อดอกทาํ ให้เกดิ เปนลาํ ต้นเทียม ปลายใบสีเขียวและสีจะค่อย ๆ จางลงจนกระทงั ถึงโคน ใบ สว่ นทหี ุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรอขาวอมเขียว ช่อดอกแบบ ช่อซีร่ม (Umbel) ประกอบดว้ ยตะเกยี งรูปไข่เลก็ ๆ จาํ นวนมากอย่ปู ะปนกบั ดอกขนาดเล็กซึงมีจํานวนน้อย มใี บประดับใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5 - 10 ซม. ลกั ษณะบาง ใส แหง้ เปนจะงอยแหลมหุ้มช่อดอกขณะทียังตมู อยู่ แต่ เมอื ช่อดอกบานใบประดับจะเปดอา้ ออกและหอ้ ยลง รองรับชอ่ ดอกไว้ ก้านชอ่ ดอกเปนก้านโดด เรยบ รูปทรง กระบอกตัน ยาว 40 - 60 ซม. ดอกสมบรู ณเ์ พศ กลีบ รวม 6 กลีบ แยกจากกนั หรอตดิ กันทโี คน รูปใบหอก ปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรอขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อนั ติดทีโคนกลีบรวม อับเรณแู ละก้าน เกสรเพศเมียยืนขึนมาสงู กวา่ ส่วนอนื ๆ ของดอก รังไข่ 3 ชอ่ ง แต่ละชอ่ งมีออวลุ 1 - 2 เม็ด ผลเล็กเปนกระ เปาะสนั ๆ รูปไข่หรอค่อนขา้ งกลม มี 3 พู เมลด็ มีขนาด เล็ก สีดํา

กระวานไทย ลกั ษณะ : เปนพชื ล้มลกุ มีเหง้า สงู ประมาณ 2 เมตร กาบ ใบหุม้ ซ้อนกันทําใหด้ ูคลา้ ยลาํ ต้น ใบเดยี ว แคบยาว รูป ขอบขนาน ยาว 15–25 เซนติเมตร ปลายแหลม ช่อดอก ออกจากเหงา้ ชูขนึ มาเหนือพืนดิน รูปทรงกระบอก ยาว 6–15 เซนตเิ มตร กา้ นช่อดอกยาว 5–15 ซม. ใบประดบั สเี หลืองนวล มขี นคาย เรยงซอ้ นสลับกนั ตลอดช่อ กลีบ ดอกสีเหลอื ง เปนหลอดแคบ ช่อดอกกระวานจะโผล่ขึน มาจากพนื ดินเล็กน้อย และเจรญเติบโตเปนผลลกั ษณะ เปนพวง

กระวานไทย ลกั ษณะ : เกสรเพศผู้ไม่สมบรู ณ์แปรสภาพเปนกลีบขนาด ใหญ่ สขี าว มแี ถบสเี หลืองตรงกลาง ผลกลมเปลอื ก เกลยี งเปนพู ผลมีสขี าวนวล ในผลมีเมล็ดขนาดเลก็ สี นําตาลแก่จาํ นวนมาก เมลด็ อ่อนสีขาวมีเยือหุม้ เมอื แก่ เปลียนเปนสดี ํา ทงั ผลและเมลด็ มกี ลนิ หอมคลา้ ยการบรู ประโยชน์ : ผลแก่ รสเผด็ ร้อน กลินหอม ตํารายาไทยใช้แก้ อาการท้องอืด ทอ้ งเฟอ ชว่ ยขับลม และแก้แนน่ จกุ เสยี ด มีฤทธิขับลมและบํารุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ บาํ รุงกาํ ลงั ขบั โลหิต แก้ลมในอกให้ปดธาตุ แกล้ มเสมหะใหป้ ดธาตุ แกล้ มในลําไส้ เจรญอาหาร รักษาโรครํามะนาด แกล้ ม สันนบิ าต แก้สะอึก แกอ้ มั พาต รักษาอาการเบืออาหาร คลนื ไส้ อาเจยี น เมล็ด แกธ้ าตพุ กิ าร อจุ จาระพิการ บาํ รุงธาตุ ขับเสมหะ แกป้ วดทอ้ ง ขับลม นอกจากนียัง ใช้ผสมกับยาถา่ ยเพือบรรเทาอาการคลนื ไส้อาเจียน

กระวานไทย ประโยชน์ : กระวานไทยเปนส่วนประกอบในพิกัดยาไทย คือ พกิ ัดตรธาตุ เปนยาแกธ้ าตพุ กิ าร แกล้ ม แกเ้ สมหะ แกไ้ ข้ พกิ ัดตรทรุ าวสา เปนยาแกเ้ สมหะ แก้ลม บาํ รุงนาํ ดี แก้ พษิ ตานซาง ราก แก้โลหติ เนา่ เสีย ฟอกโลหติ แกล้ ม เสมหะให้ ปดธาตุ รักษาโรครํามะนาด เมลด็ แกธ้ าตุพกิ าร อุจจาระพิการ บาํ รุงธาตุ เหงา้ อ่อน ใชร้ ับประทานเปนผักได้ มีกลนิ หอมและ เผด็ เลก็ นอ้ ย หวั และหนอ่ ขบั พยาธิในเนอื ใหอ้ อกทางผวิ หนัง ใบ แกล้ มสันนบิ าด ขับผายลม ขับเสมหะ รักษา โรครํามะนาด แก้ไข้เซืองซึม แกล้ ม จุกเสยี ด บํารุง กาํ ลัง

กระวานไทย ประโยชน์ : ผลกระวานไทยใช้แต่งกลินอาหารได้หลายชนิด โดยใชเ้ ปนเครองเทศในนําพรกแกงเผด็ แกงกะหร มสั มนั ใชแ้ ต่งกลนิ เหลา้ ทาง จังหวดั จันทบรุ ใสห่ นอ่ และใบลงในแกงปา เพมิ รสซ่า เผด็ ร้อน และกลินหอม หันหนอ่ ใส่ผดั เผ็ดหมูปา ผัดเผด็ กบ สารสกัดนํา-เอทานอลมีฤทธิลดนําตาลในเลือด โดยมี ผลกระต้นุ การดูดกลบั ของ กลูโคส และเสรมฤทธิของ อนิ ซูลนิ สารสกดั จากผลและเมล็ดทสี กัดด้วยเอทานอล ใหย้ ับยงั การเจรญและการงอกของถัวเขียวผวิ ดําได้

กรุงเขมา ลกั ษณะ : กรุงเขมาเปน ไม้เถา เถา กงิ ใบ และชอ่ ดอกมี ขนออ่ นนมุ่ หนาแนน่ ใบเปนใบเดียวเรยงสลบั รูปกลม รูปหวั ใจ หรอรูปไต กน้ ปด ปลายแหลม หรอเปนติง หนาม โคนใบมน ตัด หรอเวา้ เลก็ น้อย ดอกแยกเพศอยู่ ต่างต้น ขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง หรอเหลืองออ่ น ดอกเพศผูอ้ อกเปนช่อกระจุกทงี า่ มใบ กลีบดอก 4 กลีบ โคนติดกันเปนรูปถ้วย เกสรเพศผูม้ ดั เดียว อับเรณูตดิ กนั เปนรูปจาน ดอกเพศเมยี ออกเปนชอ่ กระจะทงี า่ มใบ มใี บ ประดับรูปกลม หรอรูปไต ซอ้ นเหลือมกันแน่น ไม่ร่วง

กรุงเขมา ลักษณะ : ปลายเปนตงิ หนาม มีขน กลบี เลยี ง 1 กลีบ รูป ขอบขนานแกมรูปไข่ กลีบดอก 1 กลบี ออกตรงข้ามกบั กลีบเลยี ง และสนั กวา่ ผลค่อนขา้ งกลม สีแดง มีขน มี เมลด็ เดียว เลก็ แขง็ รูปโค้ง หรอเปนรูปเกือกมา้ ผิว ขรุขระ ประโยชน์ : ใบกรุงเขมามีสาร เพกทนิ เมอื นํามาขยาํ กับนาํ จะเกดิ เปนวนุ้ ใช้รับประทานได้ ในรากกรุงเขมามสี าร แอลคาลอยด์ ทมี ีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น แก้ปวด ห้ามเลอื ด รักษาโรคทาง ระบบทางเดนิ อาหาร และเปน ยาสมาน และในทาง การแพทย์แผนไทย ใช้ราก กรุงเขมาแกไ้ ขด้ ซี า่ น

กะเพรา ลักษณะ : เปน ไมพ้ มุ่ เตีย ความสูงประมาณ 1-3 ฟตุ ต้น คอ่ นขา้ งแขง็ แตกกิงกา้ นสาขามาก กา้ นเปนขน ก้านใบ ยาว รูปใบเรยว โคนใบรูดในลักษณะเรยวปลายมนรอบ ขอบใบเปนหยกั พืนใบดา้ นหน้าสเี ขียว หรอแดงแก่กวา่ ด้านหลงั ซึงมี กระดูก ใบนูนเห็นไดช้ ดั ดอกออกเปนช่อ ตังขึนคล้าย ฉัตร ออกบรเวณปลายยอดและปลายกิง ดอกย่อยมขี นาดเลก็ รูปคลา้ ยระฆงั กลบี ดอกมที งั ชนิดสี ขาวลายมว่ งแดงและสีขาว เมล็ด อยภู่ ายในกลบี กลบี เลยี ง สีมว่ ง ผลแห้งแลว้ แตกออก เมอื เมล็ด แกส่ ีดํา เมือนําไปแช่นําเปลือกหุ้มเมลด็ พองออกเปนเมอื ก

กะเพรา ประโยชน์ : ใบ บํารุงธาตุไฟธาตุ ขบั ลมแก้ปวดท้องอจุ จาระ แก้ ลมตานซาง แกจ้ ุกเสยี ด แกค้ ลนื เหียนอาเจยี น แก้ โรคบดิ และขับลม เมลด็ เมือนาํ ไปแช่นาํ เมล็ดจะพองตวั เปนเมือกขาว ใชพ้ อกบรเวณตา เมือตามีผง หรอฝนุ ละอองเข้า ผง หรอฝนุ ละอองนนั กจ็ ะออกมา ซึงจะไม่ทาํ ใหต้ าเรา นันชําอกี ดว้ ย ราก ใชร้ ากทีแหง้ แลว้ ชงหรอตม้ กบั นําร้อนดืม แก้ โรคธาตพุ ิการ นาํ สกัดทงั ต้นมฤี ทธลิ ดการบบี ตัวของลาํ ไส้ สามารถ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในใบมฤี ทธิขับนาํ ดี ชว่ ยย่อยไขมันและลดอาการจกุ อก ใบและกิงสดเมือนํามาสกัดนาํ มนั หอมระเหยโดยการ ต้มกลนั (hydrodistillation) ได้นํามันหอม ระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซงึ มรี าคา 10,000 บาท ต่อกโิ ลกรัม

กะเพรา ประโยชน์ : แกล้ ม ขบั ลม จกุ เสยี ดในทอ้ ง เปนยาตงั ธาตุ แก้ ปวดท้อง ทอ้ งขนึ ใช้รักษาโรคของเด็ก คือเอาใบ กะเพรามาตําละลายกบั นาํ ผึง หยอดใหเ้ ดก็ แรกเกิด กินเรยกวา่ ถ่ายขเี ถา้ หรอตาํ แล้วบีบเอานาํ ผสมกับ มหาหงิ ค์ ทารอบสะดอื แกป้ วดทอ้ งของเด็ก ปรุง เปนยาผงส่วนมากจะใช้เฉพาะใบ รากแห้งชงกบั นํา ร้อนดมื แกธ้ าตพุ ิการได้ดี เปนยากนั ยงุ และใบกบั ดอกผสมปรุงอาหาร เปนยาขับลมแก้ปวดทอ้ ง ท้องเสีย และคลืนไส้ อาเจยี น โดยใชย้ อดสด 1 กาํ มือ ต้มพอเดอื ด ดืม เฉพาะส่วนนํา พบวา่ ฤทธิขบั ลม เกดิ จากนํามันหอม ระเหย และสาร Eugenol มฤี ทธิขับนาํ ดี ชว่ ยย่อย ไขมนั และลดอาการจุกเสียด

กะเพรา ประโยชน์ : สาํ หรับการนาํ เอากะเพราไปปรุงอาหารนัน ส่วน มากมักจะนิยมนาํ ไปปรุงในอาหารไทยหลากหลายเมนซู งึ จะต้องเลอื กเฉพาะสว่ นใบเท่านนั สําหรับความแตกต่าง ระหวา่ งกะเพราขาวและกะเพราแดงนันจะเปนเรองของ กลนิ ทีมีความแตกตา่ งกนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั วา่ กะเพราแดง จะมีกลนิ ฉนุ แรงกวา่ เวลาประกอบอาหารแล้วจะหอม แรงกวา่ ขนึ อยทู่ คี วามชอบของผทู้ าํ วา่ ชอบใช้ใบกะเพรา แบบไหน

กะเมง็ ลกั ษณะ : กะเม็ง ไมล้ ม้ ลกุ ลําต้นตังตรง สงู ประมาณ 30-50 ซม. ลําตน้ กลม มขี นแขง็ สากมอื ปกคลุม แตกแขนงมาก ทโี คนต้นอาจมีสแี ดงอมม่วงใบ เปนใบเดียวออกจากลาํ ต้นในลกั ษณะตรงข้ามเปนคู่ ใบ ค่อนข้างแคบเรยวยาว ปลายใบค่อนข้างแหลม ฐานใบมี รอยเวา้ และบานออกทงั สองดา้ นเลก็ นอ้ ย ขอบใบมรี อย หยกั เล็กน้อย ไม่มีกา้ นใบ มีขนสันๆ สขี าวปกคลุมทัวทงั ใบ ขนาดของใบกวา้ งประมาณ 0.5-2.5 ซม. ยาว ประมาณ 3-10 ซม.ดอก ออกเปนชอ่ กระจกุ

กะเมง็ ลกั ษณะ : ตามซอกใบและตามปลายยอด กลบี ดอกสีขาว ดอกยอ่ ยรอบนอกเปนดอกตวั เมยี ลักษณะเปนแผ่นสี ขาวปลายมน เปนรูปรางนํา ยาวประมาณ 2.5 มม. กา้ น ดอกเรยวยาว ยาวประมาณ 2-4.5 ซม.ปลายดอกหยกั เปน 2 แฉก มดี อกยอ่ ยทอี ย่ตู รงกลางเปน ดอกสมบูรณ์ เพศ มลี กั ษณะคลา้ ยรูปถ้วย กลีบดอกจะตดิ กัน โคน ดอกเชือมติดกันเปนรูปท่อยาวประมาณ 2 มม. สว่ น ปลายจะหยกั เปน 4 แฉก มีสว่ นทคี ล้ายกลีบเลยี ง 5-6 กลีบ สีเขยี วรองรับชอ่ ดอก ผล เปนชนิดอะคีน มสี ี เหลืองปนดํา ปลายมีระยางค์เปนเกลด็ ยาวประมาณ 2.5 มม. ขนาดของผลกวา้ งประมาณ 1.5 มม. ยาวประมาณ 3-3.5 มม.แก่แลว้ แตก เมล็ดจะหลดุ ออก

กะเม็ง ประโยชน์ : การเก็บกะเม็งมาใชเ้ ปนยานัน จะเกบ็ มาใชท้ ังตน้ ในขณะทีต้นเจรญเต็มที กําลงั ออกดอก เมือเกบ็ มาแลว้ ควรลา้ งดินออกให้สะอาด หนั เปนทอ่ นหรอชินเลก็ ๆ ตากหรอผงึ ใหแ้ ห้ง เก็บไวใ้ นทแี หง้ และเย็น เพอื ใช้เปนยา ลักษณะของยาแหง้ ทีดี ควรมีสีเขียว ไม่มีเชือรา และสงิ อนื เจอื ปนสาํ หรับสรรพคณุ ทางยาของกะเมง็ นนั มีหลาย ประการด้วยกนั กะเม็งมรี สเปรยว ชุม่ เย็น ใช้เปนยาหา้ ม เลอื ด บาํ รุงไต แก้บดิ ถ่ายเปนมูกเลือด แก้ ลาํ ไสอ้ ักเสบ ตับอักเสบเรอรัง โรคผวิ หนังผนื คันจากการทาํ นา และ รักษาผมหงอกกอ่ นวยั สารสกดั จากตน้ แห้งทสี กดั ด้วย ได คลอโรมเี ทน บิวทานอล หรอ เอทิลอะซเี ตต มฤี ทธิกาํ จดั อนุมูลอิสระ

กะเมง็ ประโยชน์ : เปนยาหา้ มเลือด ใชต้ น้ สดตําพอกหรอต้นแห้งบด เปนผงโรยทีแผล แกบ้ ิดถา่ ยเปนมกู เลือด ใช้ตน้ แห้ง 30 กรัม หรอ ตน้ สด 120 กรัมตม้ นาํ กนิ ตดิ ต่อกนั 3-4 วนั แกโ้ รคผิวหนงั ผนื คนั จากการทาํ นา ใช้นําคันใบสด ทาบรเวณมอื และเทา้ แก้ผมหงอกกอ่ นวยั ใชน้ าํ คันจากต้นเคยี วกบั นาํ มนั งาหรอนํามนั มะพร้าวทาศรี ษะจะทาํ ใหผ้ มดกดาํ และ แก้ผมหงอกกอ่ นวยั

กานพลู ลกั ษณะ : กานพลู เปนไมย้ นื ตน้ สูง 5 - 10 เมตร ใบเดียว เรยงตรงข้าม รูปวงรหรอรูปใบหอก กวา้ ง 2.5 - 4 ซม. ยาว 6 - 10 ซม. ขอบเปนคลืน ใบออ่ นสีแดงหรอนําตาล แดง เนือใบบางค่อนขา้ งเหนียว ผวิ มนั ดอกช่อ ออกที ซอกใบ กลีบดอกสขี าวและร่วงงา่ ย กลบี เลยี งและฐาน ดอกสีแดงหนาแขง็ ผลเปนผลสด รูปไข่

กานพลู ประโยชน์ : ในตํารายาไทย ใช้ดอกตมู แห้งแก้ปวดฟน โดยใช้ ดอกแช่เหลา้ เอาสําลชี ุบอดุ รูฟน และใช้ขนาด 5 - 8 ดอก ชงนาํ เดอื ด ดมื เฉพาะสว่ นนําหรอใช้เคียวแก้ท้องเสีย ขบั ลม แกท้ ้องอืดเฟอ นอกจากนีใช้ผสมในยาอมบ้วนปาก ดับกลินปาก พบวา่ ในนํามนั หอมรเหยทีกลนั จากดอกมี สาร ยูเจนอล ซึงมฤี ทธิเปนยาชาเฉพาะที จงึ ใช้แกป้ วด ฟน และมฤี ทธิลดการบีบตวั ของลําไส้ ทาํ ให้เกดิ อาการ ปวดทอ้ งลดลง ช่วยขับนาํ ดี ลดอาการจุกเสยี ดทีเกดิ จาก การยอ่ ยไม่สมบูรณ์ และสามารถฆ่าเชือ แบคทีเรย หลาย ชนิดเช่น เชือ โรคไทฟอยด์ บดิ ชนิดไมม่ ีตวั เชือหนอง เปนตน้ นอกจากนียังกระตุ้นให้มีการหลงั เมือก และลด การเปนกรดในกระเพาะอาหารด้วย

กานพลู ประโยชน์ : นาํ มันสกัดจากกานพลูความเข้มขน้ 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลติ รสามารถยับยงั การเจรญของ Lactococcus garvieae ในอาหารเลียงเชอื ได้ เมือ นาํ อาหารปลาทีผสมนาํ มนั กานพลใู นอัตราส่วน 3% (w/w) มาเลียง ปลานิล ทําให้จํานวนการตายเนอื งจาก การตดิ เชอื L. garvieae ในปลานิลลดนอ้ ยลง กานพลูเปนส่วนประกอบในเครองเทศทเี รยก มะสะหลา่ ของอนิ เดยี ใชผ้ สมในบุหรกานพลูหรอ kretex ซึงเปน ทนี ิยมใน อินโดนีเซยี ส่วนทีใช้เปนเครองเทศคือดอกตมู รวมกบั ก้านดอก

คาวทอง ลกั ษณะ : เปน พืชล้มลกุ อายหุ ลายป สูง 15-30 ซม. ลําตน้ กลม สีเขียว รากแตกออกตามข้อ มีกลนิ คาวทัง ตน้ ใบ เปนใบเดียว ออกเรยงสลับ รูป หวั ใจ กวา้ ง 4-6 ซม. ยาว 6-10 ซม. ปลายใบเรยวแหลม โคนใบเวา้ รูปหวั ใจ ขอบใบเรยบ แผน่ ใบเรยบ สเี ขยี ว ด้านบนของ ใบเปนสเี ขียวเขม้ ด้านลา่ งออกสีมว่ ง ก้านใบยาวและโคน เปนกาบหุ้มลาํ ตน้ ดอก ออกเปนชอ่ ทปี ลายยอด มีใบ ประดับสีขาว 4 ใบ ทโี คนช่อดอก ปลายมน ดอกเล็ก จํานวนมาก สีขาวยออกเหลือง ผล เปนผลแหง้ แตก ออกได้ เมล็ดร

คาวทอง ประโยชน์ : ทังตน้ รสฉนุ เย็นจัด ขบั ปสสาวะ แกบ้ วมนํา ฝบวม อักเสบ ปอดอกั เสบ หลอดลมอักเสบ ไอ บิด โรค ตดิ เชือทางเดินปสสาวะ หชู ันกลางอักเสบ และ รดสดี วงทวาร ถ้ารับประทานมากเกนิ ไปจะทาํ ให้ หายใจสนั และถี อาจเปนอนั ตรายได้ ตน้ สด ใช้ภายนอก พอกฝ บวมอกั เสบ บาดแผล โรคผิวหนงั ดากออก งพู ิษกัด และชว่ ยทาํ ใหก้ ระดกู เชอื มตดิ กันเร็วขึน ใบสด ผงิ ไฟพอนิม ใชพ้ อกเนืองอกต่างๆ ใบสดใช้ ปองกันปลาเน่าเสยี ต้มนํารดต้นฝาย ข้าวสาลี และ ขา้ ว ปองกันพชื เปนโรคเหียวเฉาตาย พชื นีใช้รับ ประทานเปนยาระบาย ขับพยาธิ แกไ้ ข้ อาหารไม่ ยอ่ ย ทอ้ งเสยี ออกหัด ดอก ใชข้ บั ทารกทีตายในท้อง

จนั ทน์เทศ ลกั ษณะ : เปนรูปไข่ขนาดยาวประมาณ 20 ถึง 30 มลิ เิ มตร (1 นวิ ) กวา้ ง 15 ถงึ 18 มลิ เิ มตร (¾ นวิ ) และหนัก 5 ถึง 10 กรัม (¼ ถึง ½ ออนซ์) เมอื แหง้ และ “ดอกจันทน์ เทศ” (mace) คอื ส่วนทเี ปนรกหุ้มเมลด็ เปนเส้นสายสี ออกแดงทีงอกคลมุ อย่รู อบเมลด็ รอบเมล็ด ประโยชน์ : ใช้นาํ มันจนั ทนห์ อมใช้ทาํ ยาแกป้ วดหัว แก้อาการ ผิดปกตใิ นทางเดนิ อาหาร ชาวอาหรับใช้เปนยาขับลม แกอ้ าการปวดทีไตและกระเพาะอาหาร เนอื ในเม็ดลูก

จนั ทน์เทศ ประโยชน์ : จันทน์แม้จะเปนยาแต่ถ้ารับประทานมากเกินไป เปนพษิ ถงึ ตาย ดอกตัวผทู้ รี ่วงหล่นใตต้ ้นนํามาตากแหง้ ใชช้ งนําร้อนดมื เปนชา ช่วยขบั ลม เนอื ผลจันทนเ์ ทศสด ฝานเปนชินกนิ จิมพรกกะเกลอื ชว่ ยทําใหก้ ลินปากสะอาด เมลด็ นําไปตากแหง้ เปนเครองเทศชนั ดี นาํ เนอื ในเม็ดมา คัวให้หอมแล้วบดเปนผง

ฉัตรพระอินทร์ ลักษณะ : เปนไม้ลม้ ลกุ ลําตน้ มีสีเขียวสูงประมาณ 1-2.5 เมตร กิงกา้ นเปนเหลยี มร่องลึก มขี นละเอยี ดจํานวนมาก ใบมสี เี ขียวเข้ม กา้ นใบยาว ใบเดียวออกจากลาํ ต้นแบบ ตรงกนั ขา้ ม ขอบใบหยัก ปลายใบแหลม ดอกมีสสี ม้ สด มดี อกย่อยจํานวนมากตดิ กันอยูร่ อบ ๆ ลาํ ตน้ เปนช่อ แบบผสม เรยงตัวกันแนน่ และมีใบแซมอยูร่ อบ ๆ คลา้ ย ฉตั ร ชอบขึนในบรเวณทีชนื

ฉัตรพระอินทร์ ประโยชน์ : เมล็ด ใชเ้ ปนทงั ยาบาํ รุงและยาระบาย แก้ปวดตาม กระดูก และขอ้ แก้ปวดประจาํ เดอื น อาจใชเ้ ปนสาร เสพตดิ ได้ ใบ ใชเ้ ปน ยาระบาย แกซ้ าง แกไ้ ข้จบั สัน ขีเถา้ จากดอก บรรเทาอาการเจบ็ ปวดจากแผลที เกดิ จากไฟไหมน้ าํ ร้อนลวก แกค้ ันจากกลากเกลอื น

ชะเอมเทศ ลกั ษณะ : เปนพรรณไมท้ มี ีอายนุ านหลายป ลําต้นมคี วาม ยาวประมาณ 1-2 เมตร มรี ากใหญแ่ ตกแขนงจํานวน มาก ใบเปนใบประกอบลักษณะเปนรูปขนนก ก้านใบ ยอ่ ยสันมาก แผ่นใบรูปไข่ มใี บย่อยประมาณ 9-17 ใบ สว่ นกา้ นใบยอ่ ยนนั จะสนั มาก ใบจะเปนสเี ขียวอมเหลือง ดอกจะออกเปนชอ่ กลบี ดอกจะเปนสมี ว่ งออ่ น ๆ และ ก้านดอกจะสันมาก ฝกจะมีลักษณะแบน และผิวข้างนอก จะเรยบ นมุ่

ชะเอมเทศ ประโยชน์ : เปลือกของราก จะมีเปนสีแดง และมรี สหวานใชเ้ ปน ยาบํารุงกําลงั แก้อาการคลนื เหียน อาเจยี น ใบทาํ ใหเ้ สมหะแห้ง และเปนยารักษาดีพกิ าร ดอกใช้รักษาอาการคนั และรักษาพิษฝดาษ ผลจะมีรสหวาน ใช้เปนยาบํารุงกําลัง และอาการ คอแหง้ ทาํ ใหช้ มุ่ ชนื รากจะมีรสชมุ่ ใชเ้ ปนยาบาํ รุงปอด ขับเลือดทเี น่าใน ทอ้ ง รักษาพษิ ยาหรอพืชพิษต่าง ๆ ชนดิ คัวแลว้ รักษาอาการเบืออาหาร ออ่ นเพลีย ตรากตรําทํางาน หนัก ปวดท้อง ไอเปนไข้ สงบประสาท บาํ รุงปอด ใชร้ ากสดรักษาอาการเจบ็ คอ เปนแผลเรอรัง ระบบ การย่อยอาหารไม่ดี หรออาหารเปนพิษ และรักษา กาํ เดาใหเ้ ปนปกติ รากแห้งของพืชชนิดนใี ช้ทาํ ยาระ บายออ่ นๆ หรอใชป้ รุงแต่งรส อืน ๆในรากของชะเอมนนั จะมแี ปงและความหวาน มาก ตอ้ งรักษาไวอ้ ยา่ ให้แมลงมารบกวน เพราะพวก มอดและแมลงอืนชอบกนิ ถา้ ผจุ ะทําใหเ้ สือม คณุ ภาพ นอกจากนียังใชร้ ากผสมยาอนื ช่วยกลบ รสยา หรอแต่งยาใหห้ วานอีกดว้ ย

ดปี ลี ลักษณะ : ดปี ลเี ปนไม้เลือยชนิดหนึง ใบรูปไข่ โคนมน ปลายแหลม เปนพืชใบเดียว คล้ายใบย่านางแตผ่ วิ ใบมนั กวา่ บางกวา่ เลก็ นอ้ ย ดอกเปนรูปทรงกระบอกปลายมน เมือแกจ่ ะมีผลเปนสแี ดง

ดีปลี ประโยชน์ : ใชผ้ ลแกแ่ ห้งเปนยา โดยเกบ็ ช่วงทีผลแกจ่ ัดแต่ ยังไม่สุก ตากแดดให้แห้ง มรี สเผ็ดร้อน ขม มสี รรพคุณ ขับลม บํารุงธาตุ แก้จกุ เสยี ด ซงึ จากข้อมลู ทาง วทยาศาสตร์ดปี ลีแห้งประกอบดว้ ย \" อัลคาลอยด\"์ ชอื วา่ Piperine ประมาณ 4 – 6%, Chavicine, นํามัน ระเหยหอม 1% ตามรายงานการศกึ ษาวจัยพบวา่ ดปี ลี ใช้ประกอบตํารับยาทีใช้รักษาโรคเกียวกับระบบยอ่ ย อาหาร ทอ้ งอดื เฟอ ธาตุไมป่ กติ ทังนเี พราะดีปลมี นี าํ มัน หอมระเหย ผลแก่แห้งของดปี ลี ใช้เปนยารักษาอาการดงั นี อาการท้องอดื ทอ้ งเฟอ และอาการปวดทอ้ ง รวมทงั แก้ อาการคลนื ไสอ้ าเจยี น ทเี กิดจากธาตุทีไม่ปกติ โดยการ ใช้ผลแกแ่ ห้ง 1 กาํ มอื (ประมาณ 10 – 15 ดอก) ต้มเอา นํามาดืม ถา้ ไมม่ ดี อกกใ็ หใ้ ชเ้ ถาต้มแทนได้อาการไอและมี เสมหะ ใชผ้ ลแกแ่ ห้งประมาณครงผล ฝนกับนาํ มะนาว ผสมเกลอื กวาดในลาํ คอหรอจบิ บ่อย ๆ นอกจากนี ผล ดีปลีแหง้ สามารถใชเ้ ปนเครองเทศประกอบอาหารต่าง ๆ ได้

ตะไคร้ ลกั ษณะ : เปนพชื ตระกูลหญ้า ตะไคร้เปนพืชทเี จรญเตบิ โต งา่ ย อาจมีทรงพุม่ สูงถงึ 1 เมตร มีลาํ ต้นทีแทจ้ รง ประมาณ 4-7 เซนตเิ มตร ลําของต้นจะถกู ห่อหมุ้ ไปดว้ ย กาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับกา้ นใบ ใบ ของตะไคร้อุดมไปด้วย นาํ มันหอมระเหย ทนี ิยมนาํ มา ปลูกเปนพนั ธุพ์ ืนเมอื งทปี ลกู กันโดยทวั ไป

ตะไคร้ ประโยชน์ : ทงั ต้น ใช้เปนยารักษาโรคหดื แกป้ วดท้อง ขับ ปสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรอทําเปนยาทานวด ก็ได้ และยงั ใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอืนรักษาโรคได้ เช่น บํารุงธาตุ เจรญอาหาร และขับเหงอื และมี กลนิ ฉุนสามารถไลแ่ มลงได้ หวั เปนยารักษาเกลอื น แก้ทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ แก้ ปสสาวะพกิ าร แก้นิว บาํ รุงไฟธาตุ แกอ้ าการขดั เบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนดิ อืน จะเปนยาแกอ้ าเจียน แกท้ ราง ยานอนหลบั ลดความดนั สูง แก้ลมอัมพาต แกก้ ษัยเสน้ และแกล้ มใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความ ดันโลหติ สงู แกไ้ ข้ ราก ใชเ้ ปนยาแกไ้ ข้เหนอื ปวดทอ้ งและทอ้ งเสีย ต้น ใชเ้ ปนยาแกข้ ับลม แกเ้ บืออาหาร แกผ้ มแตก แกโ้ รคทางเดนิ ปสสาวะ นิว เปนยาบาํ รุงไฟธาตใุ ห้ เจรญ แตถ่ า้ เอาผสมกับสมุนไพรชนดิ อืน จะแกโ้ รค หนองใน และนอกจากนยี ังใช้ดบั กลินคาวได้ด้วย

ตับเตา่ นา ลักษณะ : ต้นเจรญเติบโตอยู่ในนํา มีรากและสามารถแตก ไหลเปนเสน้ สีขาว เกดิ เปนกระจกุ ทางด้านลา่ งของกลุม่ ใบ ปลายไหลเจรญเติบโตเปนตน้ ใหม่ ใบโผลเ่ หนอื นาํ หรอลอยทผี ิวนํา รูปหวั ใจหรอรูปไข่ กวา้ ง 2.5–7.5 เซนตเิ มตร ยาว 2.5–6 เซนติเมตร ใบเดยี ว ฐานใบเวา้ เปนรูปหวั ใจคอ่ นข้างกลม ขอบใบเรยบ ปลายใบมน ใบ ดา้ นบนสีเขยี วเขม้ เปนมัน ใบดา้ นล่างสีจางกวา่ และ กลางใบจะพองออกคล้ายฟองนาํ ชว่ ยพยุงลําต้น ในฤดู แลง้ เมือมีนําน้อย ก้านใบจะสันลง ใบจะแตกออกทีขอ้ ของลําต้น

ตบั เตา่ นา ลักษณะ : ดอกเปนดอกเดียวสีขาว มี 3 กลีบ ออกตามซอก ใบ มกี า้ นชูดอกเรยวยาว ดอกตัวผ้แู ละดอกตัวเมยี เกิด แยกกนั คนละดอก มใี บประดับหุ้มดอกตัวผู้และกา้ นดอก ตัวผจู้ ะเรยวยาวกวา่ ดอกตวั เมีย เกสรตวั ผู้ 9–12 อัน รังไขร่ ูปยาวร ยาว 5–6 มลิ ลเิ มตร ตดิ ผลคลา้ ยตะขบ ฝรัง แตก่ า้ นผลใหญก่ วา่ เปนรูปทรงกระบอกมี 6 สนั ประโยชน์ : ต้นออ่ นใชร้ ับประทานเปนผัก สามารถใช้แก้ลม แก้เสมหะ บาํ รุงธาตไุ ฟใหบ้ รบูรณ์ ใชเ้ ปนไมป้ ระดบั หรอปลกู ในบ่อเลยี งปลาเพอื ช่วย คลมุ ผวิ นาํ

ตําลึง ลกั ษณะ : ลําตน้ เปนเถาไม้เลือยเนอื แข็ง ใบ เปนใบเดียว มี ลกั ษณะเปน 3 แฉก หรอ 5 แฉก กวา้ งและยาว ประมาณ 4-8 เซนติเมตร โคนใบมีลกั ษณะเปนรูป หวั ใจ มมี อื เกาะยนื ออกมาจากทีขอ้ ดอก เปนดอก เดียวหรอดอกคู่ มลี กั ษณะเปนรูป ระฆัง กลบี ดอก สี ขาว แยกเพศอย่คู นละต้น ดอกออกตรงทซี อกใบ ลกั ษณะของผลเปนวงรทรงยาว สเี ขียว ออ่ น เมอื ยามแก่ จดั จะเปน สแี ดง เปนทชี ืนชอบของ นก นานาชนิด

ตาํ ลึง ประโยชน์ : ใบใชใ้ นการแกไ้ ข้ตวั ร้อน ตาแดง ตาเจ็บ เถานาํ นําต้มจากเถาตาํ ลงึ มาหยอดตาแกต้ าแดง ตาฟาง ดอกตําลึงชว่ ยทาํ ให้หายจากอาการคนั ได้ รากใช้แกอ้ าการอาเจยี น ตาฝา นํายางจากต้นและใบช่วยลดนําตาลในเลือด

ใบกระวาน ลักษณะ : ใบกระวาน เปน เครองเทศ ทีได้จากพืชหลาย ชนิด สว่ นใหญอ่ ยใู่ น วงศอ์ บเชย (Lauraceae) หรอ วงศช์ มพู่ (Myrtaceae) ใบกระวานไม่ใชใ่ บจากตน้ กระวาน แต่ส่วนใหญ่ได้มาจากพืชทีมีชอื วทยาศาสตร์วา่ Laurus nobilis ซึงเปน ไมย้ นื ตน้ ขนาดกลาง ใบเปน ใบเดยี วรูปหอกถงึ รูปไข่ เรยงสลบั กัน ดอกออกเปนชอ่ ที ปลายกงิ หรอตามซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กสเี หลอื ง ผลขนาดเล็กสดี าํ ภายในมี 1 เมล็ด

ใบกระวาน ประโยชน์ : ใบกระวานมกั ใชแ้ ต่งกลินในอาหารตา่ งๆ เชน่ แกงมัสมัน , ขา้ วหมกไก่ เปนตน้ ในใบกระวานอดุ ม ไปดว้ ย วตามนิ เอ , วตามินซี และ กรดโฟลกิ มี สรรพคณุ แก้ปวด, แก้ ไข้ , แก้ ท้องอืด และรักษาโรค ทาง ระบบทางเดนิ หายใจ เมือนําใบกระวานมากลันด้วย ไอนํา จะได้ \"นํามันใบกระวาน\" (bay leaf oil) ซงึ มี สารสาํ คญั คอื ยเู จนอล นยิ มใชใ้ นงาน สุคนธบําบัด และในอุตสาหกรรมนาํ หอม

ผักแขยง ลักษณะ : ผักกะแยง ชือวทยาศาสตร์ : Limnophila geoffrayi หรอ Limnophila aromatica ชืออนื ๆ กะออม กะแยง(ตะวนั ออกเฉียงเหนือ) กะแยง แดง(อุบลราชธาน)ี ผักพา(เหนอื ) เปนพชื ในวงศ์ Scorphulariaceae หรอ Plantaginaceae ไม้ ลม้ ลุกฤดเู ดยี ว ลําต้นเรยวยาว ตังตรง กลมกลวง อวบ นาํ มีขนแนน่ ใบเดียว เรยงตรงข้าม ทกุ ขอ้ ตลอดลาํ ต้น รูปขอบขนานแกมใบหอกขอบใบหยักมนแกมฟนเลอื ย ปลายใบแหลม โคนใบห่อติดลําต้น

ผักแขยง ลกั ษณะ : ดอกชอ่ กระจะออกทซี อกใบและปลายกิง ออก พร้อมกนั ทงั ต้น ดอกยอ่ ย 2-10 ดอก ดอกเปนรูปหลอด คลา้ ยถ้วย รูปกรวย ปลายบานเล็กน้อย แยกออกเปน 4 กลีบ กลบี ดอกสีมว่ ง ผวิ ด้านนอกเรยบ ผิวดา้ นในตอน ล่างของกลีบดอกมีขน ผลแหง้ แตกได้ รูปกระสวย เมล็ด รูปร่างกลมร สนี าํ ตาลดํา ขนาดเล็กมาก ชอบขึนบรเวณ ทีมีนําขังเลก็ น้อย ประโยชน์ : ผกั แขยงเปนเปนวชั พืชในนาข้าว ทงั ตน้ มกี ลนิ หอมฉนุ เผด็ ร้อนชาวอสี านใช้ใสใ่ นแกงตม้ ปลา อ่อม ตา่ งๆ มีกลินหอม ช่วยดบั กลินคาว และเปนพชื สมุนไพร ทางภาคอสี าน ใช้ ทังต้น เปนยาขับนาํ นม ขับลม และ เปนยาระบายทอ้ ง นาํ คนั จากตน้ ใชแ้ กไ้ ข้ แกค้ ัน ฝ และ กลาก แกอ้ าการบวม เปนยาระบายอ่อนๆ ต้นแห้ง ที เก็บไวน้ าน 1 ป ต้มนาํ ดมื แกพ้ ษิ เบือเมา

ผักจินดา ลกั ษณะ : เปนไมเ้ ถาเลือยยาว ใบและเถามสี เี ขียวเส้นผา่ น ศูนยก์ ลางประมาณ 0.5 - 5 ซม. มกั เลอื ยเลือยพาดตาม ต้นไม้ใหญ่ มคี วามยาวประมาณ 5 -10 เมตร ในทกุ สว่ น ของผักจนิ ดาจะมนี ํายางสีขาวลักษณะเหมือนนํานม ใบ เดยี วเปนรูปกลมร ฐานใบจะมน ปลายใบแหลม ขอบใบ เรยบ ด้านของใบจะสเี ขยี วเขม้ (upper epidermis) กวา่ หลังใบ (lower epidermis) ใบจะออกเรยงเปนคู่ ตรงขา้ มกนั ออกดอกเปนชอ่ แนน่ มีสขี าวอมเขยี วออ่ น กลม เลก็ มเี ส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 5-6 มม. ส่วนผล จะออกเปนฝกคู่

ผักจินดา ประโยชน์ : ในภาคเหนือของไทยนยิ มนําผกั จินดามาประกอบ อาหารตา่ ง ๆ มีการค้นพบทาง วทยาศาสตร์ ยนื ยันวา่ ผกั จินดาสามารถลดระดบั นาํ ตาล ในเลือดตังแตป่ พ.ศ. 2469 นอกจากนยี งั พบวา่ การทดลองในสัตวย์ ัง ทาํ ใหร้ ะดบั อินซลู ินมีปรมาณสูงขึน

เพชรสงั ฆาต ลกั ษณะ : เพชรสงั ฆาต (อ่านวา่ [เพด็ -ชะ-สงั -คาด]; ชือ วทยาศาสตร์ : Cissus quadrangularis ) เปนไม้ เลือยใน วงศอ์ งุ่น ชอื อนื ๆ คอื สันชะฆาต ขันขอ้ สาม ร้อยตอ่ หรอสันชะควด เปลอื กเถาเรยบ สเี ขียว รูป สเี หลียมเปนครบ เห็นข้อปลอ้ งชัดเจน ตรงข้อเลก็ รัดตัว ลง แตล่ ะขอ้ ยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจ มรี ากออกมาด้วย มีมอื เกาะออกตรงข้อตอ่ ตรงขา้ มกบั ใบ ตามขอ้ มยี างขาวมผี ลึกแคลเซียมออกซาเลตมาก

เพชรสงั ฆาต ประโยชน์ : ในตําราสมุนไพร ใช้แก้รดสดี วงทวารหนัก คันเอา นําดมื แกโ้ รคลักปดลกั เปด แกป้ ระจาํ เดือนไม่ปกติ แก้ กระดูกแตกหกั ซน้ ขับลมในลาํ ไส้ ทางภาคเหนือ ใช้นาํ จากตน้ หยอดหู แกน้ าํ หนวกไหล หยอดจมูกแก้เลอื ดเสีย ในสตร ประจําเดอื นไม่ปกติ เปนยาธาตเุ จรญอาหาร ใน ประเทศอนิ เดีย ใช้ ลําตน้ เปนยาพอกเมอื กระดูกหกั นาํ คนั จากตน้ กนิ แกโ้ รคลักปดลกั เปด แก้อาการผิดปกติ ของประจําเดอื น มีฤทธิต้านแบคทีเรย เชอื รา และต้าน อนุมลู อิสระ มีแคโรทนี อยด์และวตามินซมี าก

ไพล ลักษณะ : ไพล เปน พืช ชนดิ หนงึ ในวงศ์ขิง ชือ วทยาศาสตร์ : Zingiber cassumunar ปนพชื ลง หวั มี เหง้า ใหญ่ เนอื ใน สเี หลือง มีกลนิ หอมใบเรยว ยาวปลายแหลมดอกออกรวมกนั เปนช่ออยบู่ นกา้ นชอ่ ดอก ชว่ งเวลาทีเกบ็ เปนยา เก็บเหงา้ แก่จัด หลังจากต้น ไพลลงหวั แล้ว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook