๘หน่วยการเรยี นรู้ที่ ทกั ษะพ้นื ฐานและการฝึกหัด การแสดงนาฏศลิ ป์ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ • ใช้นาฏยศัพท์ หรอื ศัพทท์ างการละครในการแสดงได้
นาฏยศัพท์ ศพั ทเ์ ฉพาะที่ใชใ้ นเรื่องทา่ ทางท่ปี ฏิบตั ิ หรอื กิริยาอาการต่างๆ ทปี่ ฏบิ ตั ิเกี่ยวกับนาฏศลิ ป์ เพ่อื ส่อื ความหมายให้เกดิ ความเขา้ ใจตรงกัน หรอื ศัพทท์ ใี่ ชใ้ นการฝึกหัดนาฏศลิ ปไ์ ทย นาฏยศพั ทส์ าหรบั การฝกึ หัดนาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน • ดัดมือ • จบี ควา่ • ดัดแขน • จีบสง่ หลงั • ตัง้ วง • การนั่งแบบละครพระ • วงบน • ละครนาง • วงกลาง • การยนื • วงล่าง • ยกเท้า • จบี • กา้ วเท้า • จีบหงาย
การดดั มอื • การฝกึ หัดเพื่อดัดนว้ิ มือ และขอ้ มือ โดยการใชม้ อื ขา้ งหนง่ึ รวบน้วิ ชนี้ ้ิวกลาง นวิ้ นาง และนิ้วกอ้ ยให้ตง้ั ข้ึน แลว้ หกั ปลายนวิ้ ทง้ั ๔ มาท่ลี าแขน หกั ข้อมือเข้าหา ลาแขน ส่วนนิว้ หัวแม่มือจะยื่นไปขา้ งหน้า แล้วหักขอ้ แรกของนิ้วหวั แม่มอื เข้าหา ฝา่ มอื หากดดั มอื ขา้ งซ้าย ใหน้ ง่ั ตัง้ เขา่ ซ้ายปลาย เทา้ ซ้ายเชดิ ขน้ึ ส่วนเทา้ ขวาให้ พับปลายเทา้ ขวาไวใ้ ต้เข่าซ้ายน่งั ทรงตัวยืดข้ึน นา้ หนกั ตัวอยู่ทก่ี ้น ยื่นแขนซา้ ยตงึ วางขอ้ ศอกบนเขา่ ซ้าย แลว้ ใชน้ วิ้ หัวแม่มือและนวิ้ ทั้ง ๔ ดา้ นขวารวบน้ิวซา้ ยหกั ข้อมือซ้ายเขา้ หาลาตัว หน้าตรง แลว้ เริ่มนบั ตามจานวนคร้ังทกี่ าหนด ทาเชน่ น้ี สลับมืออกี ขา้ งหน่งึ การดัดแขน • เปน็ การฝกึ เพื่อดดั แขนให้งอนโคง้ สวยงาม ดเู ปน็ คนแขนออ่ น วธิ ปี ฏบิ ัตทิ าได้โดยน่งั ชนั เข่าทั้ง ๒ ข้าง ให้สน้ เท้าชดิ กนั แบะปลายเท้าออก สอดประสานนิว้ มือเขา้ หาลาตัวพลิกกลบั ให้ฝา่ มือท้งั ๒ หงายออกจากลาตัว แล้วกดลงไปทป่ี ลาย เทา้ โดยนิ้วทง้ั ๒ ไม่หลุดจากกนั หนบี เขา่ ทัง้ ๒ ข้าง เข้าหากนั เพ่ือบบี ขอ้ ศอกทัง้ ๒ ให้ชิดกัน ยืดตวั ข้นึ หน้าตรง นบั ตามจานวนครง้ั ทก่ี าหนด * (ทมี่ าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การต้งั วง (แบ่งออกไดเ้ ปน็ ๓ ระดบั ) ระดับวงบน ระดบั วงกลาง ระดบั วงลา่ ง ปฏบิ ตั ไิ ดโ้ ดยใหน้ วิ้ ท้ัง ๔ เรียงชดิ ติดกัน ปฏิบตั ไิ ด้โดยให้นว้ิ ทงั้ ๔ เรียงชดิ ตดิ กนั ปฏบิ ตั ิไดโ้ ดยใหน้ ้วิ ท้งั ๔ เรียงชดิ ติดกัน สว่ นนว้ิ หวั แม่มอื หกั เขา้ หาฝา่ มือ ยกลาแขน ส่วนนว้ิ หัวแมม่ ือหักเข้าหาฝา่ มือ ยกลาแขน สว่ นน้วิ หวั แมม่ ือหักเขา้ หาฝา่ มอื ให้ปลาย ขึ้นใหเ้ ปน็ วงโคง้ ยกแขนใดแขนหนงึ่ ขนึ้ แลว้ ขน้ึ ใหเ้ ป็นวงโคง้ ปลายน้วิ อยรู่ ะดบั ไหล่ น้วิ อยรู่ ะดบั เอว หรอื ชายพก แตว่ งลา่ งของ งอแขนให้ไดส้ ว่ นโคง้ สง่ ลาแขนออกไปข้าง พระตอ้ งกนั ขอ้ ศอกออกไปด้านขา้ งสะเอว ลาตวั วงบนของพระจะอยู่ระดบั แงศ่ รี ษะ ส่วนวงลา่ งของนางใหห้ นบี ข้อศอกเข้าหา ส่วนวงบนของนางจะอยู่ระดับหางควิ้ วงพระ ลาตวั ปลายน้วิ จะอย่รู ะดับเอว จะกันวงกว้างกว่าวงนางเล็กน้อย * (ที่มาของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การจบี (แบ่งออกเป็น ๒ ลกั ษณะ) จีบหงาย • ปฏบิ ัตไิ ด้โดยให้นิ้วหวั แมม่ อื หักเขา้ จรดข้อแรกของนิ้วช้ี จากน้ัน กรีดนวิ้ ท้งั ๓ ใหต้ งึ ออกเปน็ รปู พัด หงายขอ้ มือขน้ึ แลว้ หกั ขอ้ มอื เข้าหาลาแขนใหป้ ลายจบี ชขี้ ึ้นข้างบน จบี คว่า • ลักษณะการจีบจะปฏิบัติคล้ายกับจบี หงาย เพียงแต่จบี คว่า ใหค้ วา่ ตัวจีบลงลาแขนจะงอ หรือตงึ ข้นึ อยกู่ บั ทา่ รา หกั ขอ้ มือ เข้าหาลาแขน
การนั่ง (แบ่งออกเปน็ ๒ ลกั ษณะ) ๑ การนง่ั แบบพระ • ปฏบิ ตั ิไดโ้ ดยการน่ังพับเพยี บขา้ งขวา นง่ั พบั เขา่ ซา้ ยให้ปลายเทา้ ซ้ายหงาย ซ้อนใต้เขา่ ขวา ขาขวางอพับไว้ข้างลาตวั หักขอ้ เท้า นั่งตัวตรง อกผาย ไหล่ผง่ึ วางฝา่ มือขวาไวบ้ นหน้าตกั ขวา วางฝา่ มอื ซา้ ยไวบ้ ริเวณเข่าซา้ ย ตึงปลายนิ้วมอื ๒ การนั่งแบบนาง • ปฏิบัตไิ ดโ้ ดยการนั่งพับเพียบขา้ งขวา นงั่ พับเขา่ ซา้ ยซ่อนไวใ้ ต้ขาขวาท่ีงอพับไวข้ ้างลาตัว ด้านขวา หกั ขอ้ เทา้ ท้ัง ๒ โดยใหป้ ลายเท้าซา้ ยเหลอื่ มไปข้างหน้า แล้วเรยี งด้วยปลายเท้าขวา น่งั ตัวตรง อกผาย ไหล่ผง่ึ วางฝ่ามือขวาบนหนา้ ขาขวา แล้ววางฝ่ามอื ซ้ายงอแขนวางเรยี ง ออกมาด้านนอก เอียงศรี ษะขวา * (ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การยืน (แบ่งออกเปน็ ๓ ลักษณะ) ๑ การยนื แบบพระ ๒ การยืนแบบนาง ๓ การยืนเหลื่อมเท้า ปฏิบตั ิได้โดยยืนตวั ตรง ตึงเอว ตึงไหล่ ปฏบิ ัตไิ ดโ้ ดยยืนตัวตรง ตึงเอว ตงึ ไหล่ ปฏบิ ตั ไิ ดโ้ ดยวางเท้าขวาเฉยี งออกไป เทา้ ขวายืนรบั น้าหนัก เท้าซ้ายยนื ตงึ เขา่ เท้าขวายนื รบั นา้ หนัก เท้าซ้ายเปดิ ปลาย ทางด้านขวา แล้วใหส้ น้ เท้าวางไวก้ ลางเท้า วางเท้าซ้ายเหล่ือมเทา้ ขวาเลก็ น้อย มอื ขวา เทา้ ออกเล็กน้อย ให้ส้นเทา้ ซา้ ยวางชิดช่วง ซ้ายซงึ่ ยืนรบั นา้ หนกั อยใู่ นลักษณะเฉียง เท้าสะเอว มือซ้ายแบมือวางฝ่ามือแตะที่ กลางเทา้ ขวา ขาเหยยี ดตึง มือขวาจบี แตะ ปลายเทา้ ซา้ ยไปดา้ นซา้ ย จากนั้นเปดิ ปลาย หนา้ ขา กดไหล่และเอียงศรี ษะขวา ทีเ่ อว มือซา้ ยเหยียดแขนตงึ แบมือวางฝา่ มือ เท้าขวาขนึ้ แตะที่หนา้ ขา กดไหล่ และเอียงศีรษะซา้ ย * (ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ อจท.)
การประเทา้ เปน็ กริ ยิ าของเท้าท่ีเช่อื มต่อจากการยืนเหลื่อมเท้า เช่น หากยืนเหล่ือมเทา้ ขวาแล้วจะประเทา้ ขวา ปฏิบัติได้โดยการยกจมกู เทา้ ขวาข้ึน ยอ่ เข่าลง แล้วตบจมกู เทา้ ขวาลงในลกั ษณะท่ีส้นเทา้ ขวายงั วางอยู่กับพืน้ พร้อมกบั ยกเท้าขวาขน้ึ จากนน้ั เชิดปลายเท้าขวา หมายเหตุ จมูกเทา้ หมายถึง กอ้ นเน้อื บริเวณโคนนว้ิ (ปลายฝ่าเท้า) การจรดเท้าเทา้ ตอ้ งกระดกปลายน้ิวเท้าทุกคร้ัง * (ทมี่ าของภาพ : คลงั ภาพ อจท.)
การยกเทา้ (แบ่งออกเปน็ ๒ ลกั ษณะ) การยกเทา้ แบบพระ การยกเท้าแบบนาง ๑ การยกเทา้ แบบนาง ๒ การยกเท้าแบบพระ • ตัวนางจะไมแ่ บะเข่า แต่จะยกเท้าไปขา้ งหน้า ในลักษณะหนบี ขา ทยี่ กมาหาขาทย่ี นื รบั นา้ หนักอยู่ • ตวั พระจะยกเทา้ โดยแบะเข่าออกไปดา้ นข้าง ให้ข้อเทา้ อยู่ระดบั ครงึ่ นอ่ งของเทา้ ท่ียืนอยู่ * (ท่ีมาของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การกา้ วเท้า (แบ่งออกได้เป็น ๔ ลกั ษณะ) การก้าวหน้าแบบพระ การก้าวเทา้ แบบพระ การก้าวหนา้ แบบนาง • ปฏิบตั ิไดโ้ ดยวางสน้ เทา้ ท่กี ้าวให้ตรงกับปลายเทา้ หลังท่ีวางอยู่ในลกั ษณะเปดิ ส้นเท้า การก้าวข้างแบบพระ แบะเข่าออก ยอ่ เข่าลง การก้าวข้างแบบนาง การก้าวเทา้ แบบนาง * (ท่มี าของภาพ : คลงั ภาพ อจท.) • ปฏบิ ตั ิไดโ้ ดยวางสน้ เท้าที่ก้าวให้ตรงกบั ปลายเท้าหลงั ท่ีวางอยู่ในลักษณะเปดิ สน้ เทา้ แตใ่ หห้ นบี เขา่ เข้าหากัน การกา้ วขา้ งแบบพระ • ปฏิบตั ิได้โดยวางสน้ เทา้ ที่กา้ วให้ตรงกบั ปลายเทา้ ท่ียนื เตม็ เท้าในลกั ษณะเป็นเสน้ ตรง ด้านข้าง แลว้ ย่อเขา่ ทัง้ ๒ ลง ให้นา้ หนักอยู่กบั ขาท่ีกา้ ว การก้าวข้างแบบนาง • ปฏบิ ตั ไิ ดโ้ ดยวางสน้ เท้าท่กี ้าวใหต้ รงกบั ปลายเทา้ ทย่ี ืนอยู่แล้วพลกิ ข้อเทา้ หักลาเขา่ เขา้ หาน่องของขาที่ก้าวขา้ ง ย่อเข่าทง้ั ๒ ลง
การเคลื่อนไหวท่าทางตามแบบนาฏศลิ ป์ไทย ท่าทางทีใ่ ช้แทนคา่ พดู ๑ ทา่ เรียก : ใหย้ กมือขนึ้ ในลักษณะตงั้ วงด้านขา้ ง แลว้ หักขอ้ มือลง ปาดมือ กรดี นวิ้ เขา้ หาตวั พระ นาง ยกั ษ์ ลิง (จากภาพ) เป็นการแสดงทา่ ทางทใ่ี ชแ้ ทนคาพดู คือ ท่าเรยี กของพระ นาง ยักษ์ ลงิ ๒ ท่าปฏเิ สธ : ใหใ้ ช้มือใดมอื หน่ึงตั้งข้นึ แล้วหันฝ่ามือออก ส่ันขอ้ มือเลก็ น้อย พระ นาง ยกั ษ์ ลิง (จากภาพ) เปน็ การแสดงท่าปฏเิ สธของพระ คอื ทา่ เรียกของพระ นาง ยักษ์ ลงิ * (ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ อจท.)
ท่าทางทแี่ สดงถงึ อารมณ์ความรู้สึกภายใน ๑ ท่ารกั ๒ ท่าโกรธ ปฏบิ ัติโดยการประสานลาแขน ใช้ฝ่ามอื ทั้ง ๒ ขา้ ง วางทาบบรเิ วณฐาน ปฏบิ ตั ิโดยการต้ังขอ้ มอื ขน้ึ ใช้นิ้วฟาดตวดั ขึน้ แล้วเกบ็ นว้ิ ชี้งอเขา้ หาฝ่ามอื ไหล่ หรือบรเิ วณอก หรอื ใชฝ้ ่ามือซา้ ยถูบรเิ วณคางใตใ้ บหซู ้าย ถไู ปถูมาแล้วกระชากลง ลงิ ลิง ยักษ์ นาง ยกั ษ์ พระ พระ นาง (จากภาพ) แสดงท่าทางส่อื ความหมายวา่ รักของ พระ นาง ยักษ์ ลงิ (จากภาพ) แสดงท่าทางส่ือความหมายว่าโกรธของ พระ นาง ยักษ์ ลิง * (ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
๓ ท่าขัดเคืองใจ ๔ ทา่ รอ้ งไห้ ปฏบิ ัตโิ ดยใชม้ อื ซ้ายวางทาบระดบั อก มือขวาเท้าเอว ปฏบิ ตั โิ ดยใชม้ ือซา้ ยแตะที่หน้าผาก มือขวาจีบทช่ี ายพก กม้ หนา้ พร้อมกบั สะดงุ้ ตวั เลก็ น้อยเหมอื นกับกาลังสะอึกสะอ้นื จากน้ันใชน้ ้วิ ชแี้ ตะทตี่ า ทงั้ ๒ ข้าง ลิง ลิง นาง ยกั ษ์ ยักษ์ พระ นาง พระ (จากภาพ) แสดงทา่ ทางสอ่ื ความหมายว่าขัดเคอื งใจของ พระ นาง ยักษ์ ลิง (จากภาพ) แสดงทา่ ทางส่ือความหมายว่าร้องไห้ของ พระ นาง ยกั ษ์ ลงิ * (ทมี่ าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การตีบทในการแสดงนาฏศลิ ป์ การตบี ท • การราเพอ่ื สอ่ื ความหมายตามบทละคร บทโขน หรอื บทร้องตามแบบแผนนาฏยศัพทไ์ ทย มาตรฐาน การราตีบทจะใช้ลลี าท่าราโดยใช้ภาษาท่าราใหส้ อดคล้องกับบทละคร หรอื บท รอ้ งโดยอาศัยการศึกษาบทบาท อุปนิสัย และประวัตขิ องตวั ละคร ก่อนที่จะฝกึ ซ้อมการ แสดง • ผ้ทู ่ีจะตีบทไดด้ ีจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจถงึ ประวัติของตัวละครเสยี ก่อน เพอ่ื จะไดส้ ื่อ อารมณ์ความเปน็ ตวั ตนของละครได้สอดคล้องตามเนอื้ เรอื่ ง เชน่ หากตอ้ งการแสดง อารมณ์ภายในดว้ ยลลี าทา่ ราท่ีนิ่มนวลออ่ นช้อยนาฏศิลป์จะใชก้ ารสะบัดปลายนิว้ มือ เทา้ มงุ่ บอกอารมณ์รุนแรง เปน็ ตน้ การตีบท มคี วามส่าคัญต่อการแสดงละครเป็นอยา่ งมาก • นักแสดงบางคนสามารถสือ่ ความหมายด้วยลีลา ท่ารา และอารมณ์ความรูส้ ึกไดด้ ีมากจนไมม่ ใี ครเสมอเหมือน ก็จะได้รบั การยกย่องวา่ เป็นผู้มคี วามเปน็ เลศิ ในบทบาทนน้ั และจะนยิ มเรยี กชือ่ ตัวละครต่อทา้ ยชือ่ ของนาฏศลิ ป์ผนู้ ั้น เชน่ หม่อมครตู ่วน (ศภุ ลักษณ์) ภัทรนาวกิ เนอ่ื งจากหมอ่ มครตู ่วน ภทั รนาวิก แสดงบทบาทของนางศุภลกั ษณ์ไดด้ มี าก ตบี ทได้แตก จงึ ไดช้ ่อื ว่ามีความเป็นเลิศในบทบาทน้ี
๙หนว่ ยการเรียนรู้ที่ การแสดงนาฏศลิ ป์ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ • แสดงนาฏศิลปแ์ ละละครในรูปแบบตา่ งๆ ได้
นาฏศลิ ป์ไทย รา่ วงมาตรฐาน • มวี วิ ัฒนาการมาจากราโทน เคร่ืองดนตรที ่ีใช้ประกอบการเล่น คือ ฉง่ิ กรับ โทน • ราโทน บทร้องสว่ นใหญม่ ีความหมายเชงิ หยอกเย้า ชมโฉม ราพนั รักระหว่างหนุ่ม-สาว และบทลาจากกนั บทร้องไม่ค่อย พิถพี ถิ นั ในเร่ืองถ้อยคา และสมั ผสั มากนกั การราจะยึดจงั หวะเปน็ จงั หวะยืนตตี ามจังหวะหนา้ ทับ “ปะ๊ โท่น ป๊ะ โทน่ ปะ๊ โทน่ โทน่ ” • เพลงราโทนเพลงแรก คอื “เพลงใกลเ้ ขา้ ไปอีกนดิ ” • จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม เปน็ นายกรฐั มนตรีในสมยั นัน้ ไดม้ อบหมายให้กรมศลิ ปากรพิจารณาปรบั ปรุงการเลน่ ราโทนขน้ึ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ กรมศลิ ปากรจึงประพันธเ์ น้ือรอ้ ง และทานองข้ึนใหม่ ๔ เพลง คอื เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงราซิมารา และเพลงคนื เดอื นหงาย พร้อมทัง้ ปรับปรงุ ดนตรเี ป็นวงปพ่ี าทย์ หรอื วงดนตรีสากลบรรเลงประกอบสว่ นท่าราไดก้ าหนดท่าแบบ มาตรฐานมที า่ ราเฉพาะเพลงแตล่ ะเพลง วธิ กี ารเดนิ ใชก้ ารยา่ เทา้ • ตอ่ มาทา่ นผ้หู ญงิ ละเอียด พิบลู สงคราม ได้ประพันธ์เพม่ิ อีก ๖ เพลงโดยปรับปรงุ ทานองเพลง และใช้เคร่ืองดนตรีเขา้ มาบรรเลง ประกอบการขับรอ้ งจดั ทา่ ราวงให้งดงามถกู ตอ้ งตามแบบนาฏศิลปไ์ ทย โดยใช้ทา่ ราแม่บทมากาหนดไว้เปน็ แบบฉบบั ท่ารา มาตรฐาน ตลอดจนเปล่ยี นชื่อราโทนเป็นราวง ตอ่ มากรมศิลปากรได้เรียกการราวงท่ีมีแบบแผนเดียวกันน้วี า่ “ร่าวงมาตรฐาน”
ลกั ษณะท่ัวไปของรา่ วงมาตรฐาน ทา่ ราเป็นท่าราพ้นื ฐานทีไ่ มย่ ากนกั สามารถนาไปใชไ้ ด้ทกุ โอกาสท่ีมีงานรนื่ เรงิ ดนตรีท่ใี ช้ประกอบราวงมาตรฐานก็สามารถใชไ้ ด้ ทง้ั ดนตรไี ทย และดนตรีสากล สาหรบั การแตง่ กายนนั้ ผแู้ สดงราวงมาตรฐานสามารถแตง่ กายไดห้ ลายแบบ ลกั ษณะการแตง่ กายของผรู้ ่าวงมาตรฐาน การแต่งกายแบบชาย การแตง่ กายแบบหญิง แบบท่ี ๑ แบบพนื้ บา้ น แบบที่ ๑ แบบพน้ื บ้าน นงุ่ โจงกระเบน สวมเสอื้ คอกลมลายดอก หรอื แพรผา้ คาดพงุ นุง่ ผา้ โจงกระเบน ห่มสไบ ทัดดอกไม้ แบบท่ี ๒ แบบไทยพระราชนิยม แบบท่ี ๒ แบบไทยพระราชนิยม นงุ่ โจงกระเบน สวมเสอื้ ราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเทา้ หรือน่งุ นงุ่ ผา้ โจงกระเบน สวมเสอ้ื ลกู ไม้ แขนพอง ใชผ้ ้าแพรสะพายไหล่ กางเกงขายาว สวมเสือ้ พระราชทาน มผี า้ คาดเอว สวมถงุ น่อง รองเท้า หรอื แตง่ ชดุ ไทยเรือนตน้ ไทยจักรี หรอื ชุดไทยอนื่ ๆ กไ็ ด้ แบบที่ ๓ แบบสากล แบบที่ ๓ แบบสากล แต่งชดุ สากล สวมกางเกง ใส่สทู ผูกเนกไท สวมชดุ กระโปรง สวมถงุ นอ่ ง รองเทา้
การแต่งกายแบบพน้ื บ้าน การแตง่ กายแบบไทยพระราชนยิ ม (ท่มี าของภาพ : คลงั ภาพ อจท.)
วิธีฝกึ หัดการแสดง เพลงที่ใชใ้ นการราวงมาตรฐานมที งั้ หมด ๑๐ เพลง และมีทา่ ราทเี่ ปน็ มาตรฐานเฉพาะในแต่ละเพลงรวม ๑๐ ทา่ หมายถึง ผชู้ าย หมายถงึ ผู้หญิง วธิ กี ารฝึกปฏิบัติร่าวงมาตรฐาน • เป็นการราคู่ ชาย-หญงิ เดนิ ย่าเทา้ เปน็ วงทวนเขม็ นาฬกิ า โดยเดนิ ตามกนั เปน็ วงตามแผนผงั • กอ่ นจะรา ชาย-หญิงจะตอ้ งทาความเคารพซง่ึ กันและกันด้วยการไหว้ • ก่อนจะรา ดนตรีจะบรรเลงทานองเพลง ๑ วรรค เพอ่ื ใหผ้ ้รู าต้ังตน้ จงั หวะได้ • การเดนิ ย่าเท้า จะตอ้ งรักษาชอ่ งไฟและเส้นรอบวงใหก้ ลมไมเ่ บี้ยว และความสัมพันธ์ระหวา่ งชาย-หญิงตอ้ งให้กลมกลืน ไมย่ นื ชดิ กนั หรือหา่ งเกินไป
อธบิ ายทา่ ร่า • มือซา้ ยจีบหงายระดับชายพก มือขวาตั้งวงสงู ระดับหางค้วิ เอยี งศรี ษะซา้ ย จากนั้นเลอ่ื นมือซ้ายทีจ่ บี ออกมาทางด้านข้างของ ลาตัว ปล่อยมือจบี แบมือหงาย มอื ขวาจบี ควา่ พลิกข้อมือซ้ายตง้ั วงสงู มอื ขวาเลื่อนวงลงมาด้านข้างลาตัว เปลยี่ นจากตั้งวงเปน็ จบี หงายระดับชายพก เอียงศีรษะขวา ลักษณะการก้าวเทา้ เริม่ ตน้ จากการก้าวเท้าซา้ ยกอ่ น โดยเทา้ ท่ีกา้ วกบั มือจีบจะต้องเป็น ขา้ งเดียวกัน ใหน้ ับการก้าวเท้า ๘ ครงั้ จงึ เปลี่ยนมอื ๑ คร้ัง การเอียงศรี ษะจะตอ้ งเอยี งขา้ งมอื จบี บทเพลงงามแสงเดอื น งามแสงเดือนมาเยือนสอ่ งหล้า งามใบหนา้ เมอื่ อยู่วงรา (ซา้ ๒ เทีย่ ว) เราเล่นเพอื่ สนกุ เปล้อื งทกุ ข์มวิ ายระกา ขอใหเ้ ล่นฟอ้ นรา เพอื่ สามัคคเี อย
ระบ่าเบ็ดเตล็ด ชุด “ระบ่ากฤดาภนิ ิหาร” • เป็นระบามาตรฐานจัดอยใู่ นละครอิงประวัติศาสตร์เรือ่ ง “เกยี รตศิ ักดไ์ิ ทย” ครูลมลุ ยมะคปุ ต์ ผูเ้ ช่ียวชาญการสอนนาฏศิลปไ์ ทย หม่อมต่วน (ศุภลกั ษณ์ ภทั รนาวกิ ) เป็นผูป้ ระดษิ ฐท์ ่ารา นางสุดา บุษปฤกษ์ เปน็ ผู้ประพันธบ์ ทร้อง • ความหมายของบทร้องระบากฤดาภินหิ าร ไดพ้ รรณนาถึงเทพบตุ รเทพธดิ ามาแซ่ซ้องสาธุการด้วย ความชน่ื ชม โสมนัสถึงกฤดาภินหิ ารของชาตไิ ทย และมีการรว่ มกันโปรยดอกไม้ อวยพรให้เกิดสริ มิ งคลแก่ผชู้ ม และนกั แสดง (ทมี่ าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
การแต่งกายยืนเครือ่ งตัวพระ ตวั พระ ๑๓ พาหรุ ัด ๑๔ สังวาล ประกอบดว้ ย ๑๕ ตาบทิศ ๑๖ ชฎา กาไลเท้า ๑ ๑๗ ดอกไม้เพชร (ซา้ ย) สนับเพลา ๒ ๑๘ จอนหู หรือกรรเจียก ผา้ นงุ่ หรือเจียระบาดหรือชายแครง ๓ ๑๙ ดอกไมท้ ัด (ขวา) หอ้ ยข้าง หรือชายไหว ๔ ๒๐ อบุ ะ หรือพวงดอกไม้ (ขวา) เสอื้ หรอื ฉลององค์ ๕ ๒๑ ธามรงค์ รดั สะเอว หรือรดั องค์ ๖ ๒๒ แหวนรอบ หอ้ ยหน้า หรอื ชายไหว ๗ ๒๓ ปะวะหล่า สุวรรณกระถอบ ๘ เข็มขดั หรอื ป้นั เหนง่ ๙ ๒๔ กาไลแผง หรอื ทองกร กรองคอ หรอื นวมคอ หรือกรองศอ ๑๐ ดาบหนา้ หรือตาบทับ หรอื ทับทรวง ๑๑ อนิ ทรธนู ๑๒
การแตง่ กายยืนเคร่ืองตวั นาง ประกอบดว้ ย กาไลเทา้ ๑ ตัวนาง ๑๐ แหวนรอบ เส้อื ในนาง ๒ ๑๑ ปะวะหลา่ ผ้านุ่ง หรือภูษา ๓ ๑๒ กาไลตะขาบ ๔ ๑๓ กาไลสวม หรอื ทองกร เข็มขดั ๕ ๑๔ ธามรงค์ สะอิ้ง ๖ ๑๕ มงกฎุ ผ้าห่มนาง ๗ ๑๖ จอนหู หรอื กรรเจียก หรอื กรรเจียกจร นวมนาง หรือกรองศอ หรอื สรอ้ ยนวม ๘ ๒๗ ดอกไมท้ ัด (ซา้ ย) จ้นี าง หรือตาบทบั หรือทับทรวง ๙ ๑๘ อุบะ หรอื พวงดอกไม้ (ซา้ ย) พาหุรัด อุปกรณท์ ใ่ี ชป้ ระกอบการแสดง ใชพ้ านทองใสด่ อกไมส้ าหรับโปรย โอกาสทใ่ี ชแ้ สดง ระบากฤดาภนิ หิ ารนิยมแสดงในงานมงคลทั่วไป
วธิ ีฝกึ หดั การแสดง • ระบากฤดาภนิ ิหารเปน็ การราคู่พระ-นาง หนั หน้าตามทิศทง้ั ๔ ทิศ สาหรบั บทร้องระบากฤดาภนิ ิหาร จะใช้เพลงครวญหา • ระบากฤดาภินิหาร เปน็ ระบามาตรฐานทม่ี ีลักษณะ และวธิ กี ารแสดงเปน็ ชดุ ระบามาตรฐานมีการตีบทตามเนือ้ รอ้ งนักแสดง ถือพานทองเป็นอุปกรณป์ ระกอบการแสดง มกี ารปรบั เปล่ยี นแถวราคพู่ ระ-นาง และราเปน็ กลุ่ม ตอนจบนกั แสดงจะโปรย ดอกไมใ้ นพานเป็นการอวยพรใหผ้ ชู้ ม
นาฏศิลปพ์ ื้นบา้ น การแสดงพ้ืนบา้ นภาคเหนอื “ชดุ ฟอ้ นเงีย้ ว” เพลงรอ้ ง • เนอ้ื เพลงฟ้อนเง้ียวมลี ักษณะเป็นบทอวยพร โดยยึดคุณพระศรีรตั นตรัยเป็นท่ตี ้งั โดยอาราธนาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยดา และส่ิงศกั ดส์ิ ิทธท์ิ ง้ั หลาย ให้ชว่ ยมาปกปกั รกั ษา อวยชยั ให้พรเพ่อื ความเป็นสวัสดิมงคลสบื ไป เครอ่ื งดนตรี • เคร่อื งดนตรที ่ใี ชป้ ระกอบการแสดงฟ้อนเงี้ยว คือ วงป่พี าทย์ จะเปน็ วงปพ่ี าทย์เคร่ืองหา้ เคร่ืองคู่ หรอื เครอื่ งใหญ่กไ็ ดต้ าม ความเหมาะสม
การแต่งกาย • ฟอ้ นเงย้ี วเป็นการราคู่ชาย-หญิง แตง่ กายแบบพื้นบา้ นภาคเหนือ คอื แต่งกายแบบชาวเง้ยี ว อุปกรณท์ ีใ่ ช้ประกอบการแสดง คือ กงิ่ ไม้ ท่ารา่ • ท่าราจะมคี วามสัมพนั ธก์ ันระหว่างชาย-หญงิ แลว้ ตบี ทตามเนื้อร้องโดยใช้ทา่ ทางเพ่อื ส่อื ความหมายแทนคาพูด ดว้ ยทา่ ทาง ธรรมชาตเิ อกลกั ษณข์ องทา่ ราฟ้อนเง้ียว คือ กา้ วเท้า ๓ จังหวะ และถอยเท้า ๓ จังหวะ แล้วแตะเท้า สว่ นท่าราจะเลยี นแบบ ท่าราของชาวเงี้ยวโดยยืนย่อเข่าโนม้ ตวั ไปขา้ งหนา้ ยักเอวส่ายไปมา ลักษณะการแตง่ กายของชาย-หญิงในชุดการแสดงฟ้อนเงย้ี ว (ท่ีมาของภาพ : หนงั สือวิพธิ ทัศนา)
การแสดงพืน้ บา้ นภาคอีสาน “ชดุ เซิ้งกระตบิ ข้าว” เครอ่ื งดนตรี • เป็นเคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่อื งประกอบจงั หวะเปน็ สว่ นใหญ่ เช่น กลอง แคน ฉาบ ฆอ้ ง ฉิ่ง กรบั ฆอ้ งโหม่ง เป็นตน้ เพลง มีท่วงทานองรวดเรว็ จังหวะกระชับ การแตง่ กาย • เซง้ิ กระตบิ ขา้ วเป็นการแสดงท่ใี ช้ผู้หญิงลว้ น การแต่งกายจะแตง่ แบบคนพนื้ บ้านภาคอีสาน โดยการนงุ่ ผ้าซ่ินมเี ชิงคลมุ เขา่ เลก็ นอ้ ย (นุ่งปา้ ยขา้ งต่ากว่าเขา่ )สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมผา่ หนา้ มีผา้ สไบห่มทับเสอื้ สวมสรอ้ ยคอทาด้วยโลหะกลมๆ หอ้ ยเปน็ พวง มีกาไลมือ กาไลเทา้ และต่างหูที่ทาดว้ ยโลหะสีเงิน เกล้าผมมวยสงู ทดั ดอกไมส้ ะพายกระตบิ ขา้ วขา้ งลาตวั ทา่ ร่า • ลีลาท่าราท่ีแสดงอากัปกิริยาในการเดินทางด้วยความร่นื เริง โดยมกี ระติบข้าวสะพายอยเู่ พอ่ื จะนาไปส่งใหส้ ามีทก่ี าลงั ทางาน อยู่ มีการหยอกลอ้ บง่ บอกวิถีชวี ติ ความเป็นอยูข่ องชาวอีสานท่รี ับประทานข้าวเหนียว ทา่ ราจะเปน็ ทา่ ปน้ั ขา้ ว ท่าเชด็ มอื ทา่ ล้างมอื เป็นต้น สว่ นเทา้ จะเขย่งเทา้ และยกส้นเทา้ ไปหาน่อง ลงจังหวะตามจังหวะดนตรี
การแสดงพ้ืนบา้ นภาคกลาง “ชดุ รา่ เหย่อย” เพลงรอ้ ง • เนือ้ เพลงราเหยอ่ ยจะเปน็ กลอนงา่ ยๆ มีสัมผสั เพียงทา้ ยวรรคที่ ๒ เท่านั้น ทานองกไ็ ม่ยาก และมีลูกครู่ อ้ งซา้ เหมือนทีผ่ ู้ร้อง ร้องทุกครั้ง โดยทัว่ ไปถ้าพจิ ารณาดูเนื้อร้องเพลงราเหย่อยแล้วจะเห็นว่ามที ั้งบทเกริ่น บทเก้ยี ว บทสู่ขอลกั หาพาหนี บทลา อย่คู รบถ้วน บทรอ้ งเพลงเหย่อย (ชาย) มาเถดิ หนาแมม่ า มาเล่นพาดผ้ากนั เอย พ่ีตัง้ วงไวท้ า่ อย่าน่ิงรอช้าเลยเอย พตี่ ้ังวงไว้คอย อยา่ ใหว้ งกรอ่ ยเลยเอย (หญงิ ) ใหพ้ ย่ี นื่ แขนขวา เข้ามาพาดผ้าเถดิ เอย (ชาย) พาดเอยพาดลง พาดทอี่ งคน์ ้อยเอย (หญิง) มาเถิดพวกเรา ไปรากบั เขาหน่อยเอย ฯลฯ
เครอ่ื งดนตรี • ได้แก่ กลองยาว ฉิ่ง ฉาบ กรบั และโหม่ง ต่อมากรมศลิ ปากรไดเ้ พ่มิ ปชี่ วาเขา้ ไปอกี อย่างหนึง่ การแตง่ กาย • จะใช้ผู้แสดงทง้ั ชาย-หญิงร่วมกันแสดง ไม่จากดั จานวน โดยการแต่งกายนน้ั หญิงจะนุ่งโจงกระเบน ใสเ่ ส้อื คอกลมแขน ๓ ส่วน หรือแขนยาวกไ็ ด้ เอาชายเสอื้ ไวใ้ นผ้าโจงกระเบนมผี ้าสไบคล้องบ่า หรือแตง่ แบบพืน้ บ้านของคนในทอ้ งถิ่นน้ันๆ ส่วนชายจะ นงุ่ โจงกระเบน ใสเ่ สือ้ คอกลมแขนสั้น มีผา้ ขาวมา้ คาดเอว ในการแสดงราเหย่อยจะมีผา้ สไบ ๑ ผืน ไว้สาหรบั คลอ้ งกนั ไปมาใน ระหว่างแสดงดว้ ย ทา่ ร่า • ไมม่ ีแบบฉบับทแ่ี น่นอน สุดแทแ้ ตผ่ ใู้ ดถนดั ที่จะราแบบไหนก็ราได้ตามใจชอบ แต่ก่อนจะรานน้ั ตอ้ งมกี ารเริ่มตน้ ดว้ ยการประโคม หรือโหมโรงด้วยกลองยาวกอ่ นจากน้ันผ้เู ล่นฝา่ ยชายจะเร่ิมราออกไปก่อน ๒ มือถือผ้าของตนไปด้วย และจะราเข้าไปหาแถว ฝ่ายหญงิ ซึง่ อยู่ฝ่งั ตรงข้าม แล้วใช้ผ้าคลอ้ ง หรอื ส่งให้ฝ่ายหญิง ฝา่ ยหญงิ กจ็ ะราออกมา และร้องโตต้ อบเปน็ ทานองเก้ียวพาราสี กัน เมอ่ื รอ้ งราพอสมควรแลว้ ฝา่ ยหญิงก็จะนาผา้ ไปคลอ้ งใหฝ้ ่ายชายคนตอ่ ไป ชายคนแรกๆ ก็ค่อยๆ รากลับที่เดิม เล่นสลับกัน อย่างนเ้ี รือ่ ยไปจะทีละค่กู ็ไดถ้ ้าเลน่ หลายคูต่ อ้ งมคี นร้องต่างหาก
การแสดงพื้นบา้ นภาคใต้ “ชุดรองเง็ง” เครื่องดนตรี • ทีใ่ ช้มไี มก่ ี่ชนิ้ ท่สี าคญั และขาดไม่ได้ คือ ฆอ้ ง กลองรามะนา กลองใหญห่ รอื กลองแขก และไวโอลิน เครื่องแต่งกาย • ผหู้ ญิงแตง่ กายด้วยการสวมเสื้อบนั ดง นุง่ ผ้าปาเต๊ะ มีผา้ คลมุ ไหล่ส่วนชายจะแตง่ กายโดยสวมเส้อื แขนยาวท่ีเรียกว่า “เส้ือกุโหรง่ ” น่งุ กางเกงขายาว และนุง่ โสร่งทับเข้าไปอกี ทหี นง่ึ ให้สูงขึ้นมาเพยี งหัวเขา่ และสวมหมวกแขกด้วย ท่าเต้น • (เน่ืองจากใชเ้ ท้ามากกว่ามือจงึ ไม่เรยี กว่ารา) เม่ือดนตรีเรม่ิ บรรเลงฝา่ ยหญิงจะเช้อื เชญิ ใหผ้ ูช้ มเข้าสวู่ งเตน้ ด้วยเน้ือรอ้ งท่ีมกี าร ชมธรรมชาติ ชมความสวยงาม และการเกีย้ วพาราสีกนั ผูร้ ้องจะตอ้ งรอ้ งใหเ้ ข้ากบั ทานองและจังหวะดนตรี ถ้าผู้ชมนกึ สนุก ก็เข้ารว่ มรอ้ งด้วยได้ เพลงทน่ี ิยมรอ้ งมีอยู่ ๖-๗ เพลง และมที ่าเตน้ ประจาเพลง ลีลา จังหวะจะสลบั กันชา้ -เรว็ มีการควงคู่ แปรแถวงดงาม
นาฏศลิ ป์เบ็ดเตล็ด การแสดงทค่ี ิดคน้ ประดิษฐ์ทา่ ราข้นึ ใหมก่ ารแสดงนาฏศิลปป์ ระเภทน้จี ะสรา้ งขึ้นเพ่อื ใช้ประกอบการแสดงละครตามบทประพันธ์ ทตี่ ้องการแสดง สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ เหตุการณแ์ ละคา่ นิยมตา่ งๆ นกั แสดงจะแต่งกายตามรปู แบบของการแสดงยุคน้ันๆ เช่น ระบานพรัตน์ ระบาเรงิ อรุณ ระบาโบราณคดี ระบาฉิง่ ระบาชุมนุมเผา่ ไทย เป็นตน้ เพลงรอ้ ง • ระบาชุมนุมเผ่าไทยเปน็ ระบาชุดหนง่ึ จดั อยู่ในละครอิงประวตั ศิ าสตร์เรือ่ ง “อานภุ าพแห่งความเสียสละ” บทประพันธข์ อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ โดยมนี ายมนตรี ตราโมท เปน็ ผแู้ ตง่ ทานองเพลง การแตง่ กาย • ระบาชมุ นุมเผ่าไทยเป็นการราของคนไทยเผ่าตา่ งๆ ๕ เผ่า โดยนกั แสดงจะแตง่ กายใหส้ อดคลอ้ งกับเอกลักษณข์ องชนเผ่าน้ันๆ เชน่ ไทยลานนา ไทยใหญ่ ไทยลานชา้ ง สบิ สองจไุ ทย ไทยอาหม เป็นต้น
ท่ารา่ • มีลลี าท่าราที่เปน็ เอกลักษณ์เฉพาะชนชาตติ ามจังหวะ และทานองเพลง ระบาชุมนมุ เผ่าไทยเป็นระบาท่ีมีลลี าท่าราของชาวไทย ๕ เผ่า ลักษณะและรปู แบบการแสดงจะออกมาทลี ะชนเผ่า อาจจะชนเผ่าละคหู่ รือชนเผา่ ละคนก็ไดแ้ ล้วราพร้อมกนั ตอนจบอาจ เดินเขา้ หรอื จดั ซมุ้ ท่าเอกลักษณข์ องชนเผ่าน้ันๆ การแสดงนาฏศิลปเ์ บ็ดเตล็ด ชดุ ระบาชุมนุมเผ่าไทย (ทม่ี าของภาพ : คลังภาพ อจท.)
๑๐หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ความรพู้ ้นื ฐานเกย่ี วกับละคร จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๑. ระบุปจั จยั ที่มผี ลต่อการเปลย่ี นแปลงของนาฏศลิ ป์ นาฏศลิ ป์พืน้ บา้ น ละครไทย และละครพ้ืนบา้ นได้ ๒. บรรยายประเภทของละครไทยในแตล่ ะยุคสมยั ได้
ความหมาย และประวตั คิ วามเปน็ มา ความหมายของละคร ศิลปะการแสดงทเี่ กดิ ขึน้ จากการนาภาพประสบการณ์ และจนิ ตนาการของมนุษยม์ าผกู เป็นเรอ่ื งราว แลว้ นาเสนอแก่ผชู้ มโดยมี นักแสดงเป็นผสู้ ือ่ ความหมาย นยิ ามความหมายของละครท่บี ุคคลอืน่ ได้ใหไ้ ว้ • การแสดงทน่ี ยิ มเปน็ เรื่องราว • การแสดงท่ผี กู เปน็ เร่ือง มีเน้อื ความ และเหตุการณ์เกย่ี วโยงเปน็ ตอนๆ ตามลาดับ • พัฒนาการมาจากการละเลน่ รอ้ งราทาเพลงของชาวบา้ น • ศลิ ปะทเ่ี กิดขึ้นจากการนาภาพจากประสบการณ์ และจินตนาการของมนุษยม์ าผกู เป็นเรือ่ งและจดั เสนอในรปู ของการแสดง โดยมนี กั แสดงเปน็ ผู้สื่อความหมาย และเรื่องราวต่อผูช้ ม
ประวตั ิความเป็นมาของละคร สมัยกอ่ นสุโขทยั มหี ลกั ฐานว่าไดม้ ีการแสดงละครกนั มาแลว้ สันนษิ ฐานวา่ ละครเรอื่ งแรกๆ ที่นามาใช้ในการแสดงน่าจะ สมัยสโุ ขทยั เปน็ ละครเรอ่ื งมโนห์รา มกี ารแสดงแกบ้ น และมีการแสดงละครเร่ืองมโนห์ราสืบต่อมาจากสมัยกอ่ นหนา้ นี้ สมยั อยุธยา มลี ะครเกดิ ขึ้น ๓ แบบ คอื ละครชาตรี ละครนอก และละครใน สมยั ธนบรุ ี มโี รงละครของเอกชนเกิดขนึ้ หลายโรง มคี ณะละครผ้หู ญิงของเจา้ เมืองนครศรีธรรมราชทน่ี ามาแสดง สมัยรัตนโกสนิ ทร์ ในราชสานกั ธนบุรดี ้วย ศลิ ปะการแสดงประเภทโขน ละคร ฟอ้ นรา มคี วามเจริญรงุ่ เรืองมาก ในสมยั รัชกาลท่ี ๒ และรชั กาล ที่ ๖ และต่อมาในสมัยรชั กาลที่ ๗ ไดม้ ีการโอนศลิ ปินกรมมหรสพไปสงั กดั กรมศิลปากร จนในปจั จุบนั ไดม้ ีสถาบันการศึกษาหลายแหง่ เปน็ สถานทผ่ี ลติ ครู และนักศกึ ษาทางศลิ ปะการแสดงในสาขาต่างๆ ออกมาเปน็ จานวนมากทั้งโขน ละคร ฟอ้ น และรา
ประวตั ิความเป็นมาของละครสากล สมัยอยี ิปต์ • การแสดงคร้ังแรกเป็นการแสดงกลางแจง้ เพือ่ ประกอบพิธีบชู าเทพเจา้ โอซิรสิ (Osiris) โดยมกี ษัตริย์อีเธอรโ์ นเฟรต (Ithernofret) ทรงแสดงเปน็ ตวั นา สมัยกรกี -โบราณ • ละครกรีกรุน่ แรกจะเป็นแบบโศกนาฏกรรม เม่ือกรกี เสอ่ื มอานาจ พวกโรมันกน็ าการแสดงของกรกี มาปรับปรงุ แต่เพิม่ ฉากหวาดเสยี วขน้ึ มีฉากรบ การฆา่ สตั ว์ และในบางครง้ั ก็มกี ารตอ่ สกู้ นั ระหว่างคนกบั คน หรอื คนกบั สัตวด์ ว้ ย และ เมือ่ กรุงโรมแตก นกั แสดงจงึ กระจดั กระจายไป Epidaurus Theater เป็นโรงละครของกรกี เร่ิมแรกสร้างตามความลาดลงของ หุบเขา เป็นโรงละครกลางแจ้งทจ่ี ผุ ู้ชมไดป้ ระมาณ ๑๔,๐๐๐ คน ปัจจุบันเปน็ สถานที่ ทอ่ งเทีย่ วช่ือดังของประเทศกรีซ (ที่มาของภาพ : http://www.sv.wikipedia.org)
องคป์ ระกอบของละคร เร่อื ง (story) เน้อื หาสรุป (Subject) มอี งคป์ ระกอบ ๔ ประการ นสิ ัยตัวละคร บรรยากาศ (Characterization) (Atmosphere)
ประเภทของละครไทยในแตล่ ะยคุ สมยั จาแนกออกเปน็ ๒ ประเภท คือ ละครรา และละครที่ไมใ่ ช่ละครรา ละครรา่ แบบดั้งเดมิ ละครชาตรี • ละครราแบบแรกของละครไทย โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากอนิ เดยี • ในอดตี ละครชาตรเี ปน็ การแสดงพน้ื บา้ นนิยมเลน่ กันในภาคใต้ ก่อนเริ่มแสดงต้องโหมโรงโดยใชก้ ลองตกุ๊ ตใี ห้สัญญาณว่า บริเวณนจ้ี ะมกี ารแสดงละคร • ตวั ละครมี ๓ ตัว คือ ตวั นายโรง (ตัวพระ) ตัวนาง และตัวตลกผูแ้ สดงเปน็ ชาย • ละครชาตรี เน้อื เรื่องทแ่ี สดงคอื ละครจักรๆ วงศ์ๆ บทละครนามาจากนทิ านชาดกนิทานท้องถ่ิน หรอื เปน็ นทิ านทีช่ าวบ้าน แตง่ ขึ้นเอง • ในสมัยก่อนที่ยงั ไมม่ ีโทรทศั น์ หรือโรงภาพยนตร์ ละครพ้ืนบ้านตามลักษณะของภมู ิปญั ญาไทย จดั ได้วา่ เปน็ มหรสพ ประจาทอ้ งถ่นิ ถา้ อยากดลู ะครวันไหน เดินไปต้องไดพ้ บ ได้ดูละคร • เรอ่ื งราวทน่ี ามาเล่น สะทอ้ นความเป็นอย่แู บบชาวบ้าน ท้งั ในด้านภาษา ค่านิยมละครพื้นบา้ นจงึ เปน็ ทน่ี ิยมในหมู่ชาวบา้ น ท่วั ไป
ละครนอก • ละครท่คี นธรรมดาสามัญเลน่ กนั นักแสดงเป็นชายลว้ น การดาเนินเร่ืองรวดเรว็ มีบทตลกแทรกได้ตลอดเวลา • การแต่งกายแตง่ ตามแบบทีเ่ รียกว่า “ยืนเครอ่ื ง” โดยเลยี นแบบเคร่ืองแต่งกายจากละครใน • เร่ืองทีน่ ิยมแสดง เชน่ สงั ขท์ อง พระอภยั มณี แกว้ หน้าม้า สังขศ์ ิลปไ์ ชย เป็นตน้ ละครใน • เป็นตน้ แบบของศิลปะการร่ายราของไทย แสดงถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณีของไทยในราชสานกั • มีท่าราประณีตงดงามมีลกั ษณะเฉพาะ เชน่ ทา่ ราของตวั พระ ศิลปะการรายกทพั ราอาวุธ ศิลปะการชมต่างๆ เช่น ชมป่า ชมราชรถ ชมมา้ เป็นตน้ • นักแสดงคัดเลือกจากผ้ทู มี่ รี ปู ร่างหนา้ ตางดงาม ทว่ งทสี ง่า มฝี ีมอื ในเชงิ รา • นิยมแสดงเพียง ๓ เรอ่ื ง ได้แก่ รามเกยี รต์ิ อณุ รทุ และอเิ หนา
ละครดึกด่าบรรพ์ • เปน็ ละครท่ีปรับปรุงขึน้ ในสมยั รัชกาลที่ ๕ • ไดร้ ับแบบอย่างมาจากละครของชาวตะวันตก แต่ยดึ แนวละครในเปน็ หลกั ให้ชือ่ วา่ “ละครดกึ ด่าบรรพ์” ตามชอ่ื โรงละคร ของพระยาเทเวศรว์ งศว์ ิวฒั น์ • การแสดงนกั แสดงต้องรอ้ งเอง ราเอง จึงต้องคัดเฉพาะผทู้ ่มี คี วามสามารถทัง้ การขับรอ้ ง ท้ังการร่ายรา • การแต่งกายจะแต่งแบบยนื เครื่องพระ-นาง มฉี าก แสงสีประกอบตามบรรยากาศของเรือ่ ง และดนตรีประกอบวงป่พี าทย์ ละครพนั ทาง • เป็นละครทป่ี รบั ปรุงใหมใ่ นสมัยรชั กาลที่ ๕ เนื้อเรือ่ งนามาจากพงศาวดารของชาติต่างๆ • จัดแสดงตามแบบแผนละครนอก ดาเนินเรอ่ื งรวดเรว็ มีบทตลกแทรก • การแต่งกายจะแต่งตามลักษณะเชื้อชาติ ดนตรี และการขบั ร้อง เปน็ เพลงทมี่ ีสาเนียงตามเจ้าของภาษา ละครเสภา • ในสมยั รัชกาลที่ ๕ ได้นาเอาผู้รามาประกอบบทรอ้ ง และบทขับเสภากลายเป็นเสภารา และเสภาตลก • มีเครื่องประกอบจังหวะพเิ ศษ คือ กรับเสภา ดนตรีประกอบใชว้ งป่พี าทย์เช่นเดยี วกบั ละครนอก • การขบั เสภามีสาเนยี งบอกภาษาอยูด่ ว้ ย เช่น เสภาลาวเรือ่ งที่แสดง เช่น ขุนช้างขนุ แผน ไกรทอง เปน็ ต้น
ละครท่ไี มใ่ ชล่ ะครร่า • เป็นละครท่ีใช้ศิลปะในการร้องและการพูดดาเนนิ เรือ่ ง ได้แก่ ละครร้อง ละครพูด ละครเวที ละครวทิ ยุ และละครโทรทศั น์ ละครร้อง • เกดิ ขึน้ ในสมยั รชั กาลที่ ๕ โดยพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ วรวรรณากร กรมพระนราธิปประพนั ธพ์ งศ์ ทรงดดั แปลง มาจากการแสดงของชาวตะวันตก • มกี ารเปลีย่ นฉากตามทอ้ งเรอ่ื ง กริ ิยาทา่ ทางเป็นอย่างสามญั ชน ไมม่ กี ารร่ายรา มีดนตรปี ระกอบมกี ารแต่งบทรอ้ งขึ้นให้ นักแสดงที่เป็นหญงิ ล้วน ตวั ตลกเปน็ ผชู้ ายแสดง ยดึ หลกั แนวสมจริง • ละครร้อง แบง่ ออกไดห้ ลายชนิด “ละครรอ้ งลว้ นๆ” เปน็ ละครทดี่ าเนนิ เรือ่ งดว้ ยการร้อง ไม่มบี ทพดู แทรก “ละครรอ้ งสลบั พูด” เป็นละครทดี่ าเนนิ เรอื่ งด้วยการรอ้ งเปน็ สว่ นใหญม่ พี ดู สลบั บา้ ง “ละครสังคีต” เป็นละครท่ีมวี ิธีการดาเนินเร่อื งด้วยการพดู และการรอ้ ง
ละครเพลง • เกดิ ขนึ้ สมยั รัชกาลท่ี ๗ ผใู้ หก้ าเนิด คือ “จวงจนั ทร์” ละครเพลงนเ้ี รยี กชอื่ อกี อยา่ งหนง่ึ ว่า “ละครจันทโรภาส” • ลักษณะของละครเพลง พฒั นามาจากละครร้องเดมิ ท่มี ีต้นเสียงร้อง และลกู คู่รับแตล่ ะครเพลงได้เปลี่ยนมารอ้ งเปน็ เพลง ไทย สากล ไมม่ กี ารรอ้ งเอ้อื นเหมอื นละครร้อง • ดนตรใี ชว้ งดนตรีสากล เพลงทีร่ อ้ งในละครเพลงใช้ทานองของเพลงไทยเดมิ เชน่ เพลงลาวแพน เพลงแขกมอญ เปน็ ต้น โดยนามาแต่งเนอื้ ร้องขึ้นใหม่ • พรานบรู พไ์ ด้สรา้ งละครเพลงไวห้ ลายเร่ือง เช่น จันทร์เจ้าขา แม่ศรเี รือน ตามโบราณทแกล้วสามเกลอ ขวญั ใจจอมโจร เป็นตน้ ละครพูด • ผใู้ ห้กาเนิด คอื พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ทรงนาวิธกี ารแสดงละครพดู จากตะวนั ตกมาแสดงบนเวที • ละครพดู แบง่ ออกได้ ดังน้ี • ละครพดู สลบั รอ้ ง การแสดงถอื บทพดู เปน็ สาคัญ มีบทร้องแทรกบ้าง แต่เปน็ เพยี งส่วนประกอบ ไม่เกีย่ วกับการ ดาเนินเรอื่ ง ถ้าตดั ออกกเ็ ปน็ ละครพูด ไมเ่ สยี เรอื่ ง • ละครพูดคา่ ฉนั ท์ มเี พียงเรอื่ งเดยี ว คือ เร่ือง “มทั นะพาธา” เปน็ ละครพูดที่เรยี กช่ือตามลักษณะของบทละคร ทเ่ี ป็นบทรอ้ ยกรองในลกั ษณะคาฉันท์สว่ นวธิ แี สดง และการแตง่ กายจะแต่งกายเหมือนละครพดู
ละครเวที • เปน็ ละครแนวใหม่ทเี่ กิดข้นึ ในสมัยสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ เป็นส่งิ บันเทิงเพ่ือทดแทนภาพยนตรท์ ่ขี าดแคลนผู้ผลิต • ละครเวทนี ้ไี ดร้ ับอทิ ธิพลมาจากตะวนั ตก ศิลปะการแสดงของเวทีละครเปน็ จดุ รวมศิลปะแขนงตา่ งๆ ประกอบดว้ ยอปุ กรณ์ และเครื่องประกอบฉากขนาดของเวทีเลก็ -ใหญ่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั จานวนผูแ้ สดง • บทละครเวที ผูป้ ระพนั ธบ์ ทตอ้ งแบ่งเป็นตอน เปน็ ฉาก บอกสถานท่ี เวลา ตวั ละครในแต่ละฉาก ดนตรีประกอบการแสดง บทเจรจาของตัวละคร ประกอบด้วยชอ่ื ตัวละคร บทเจรจาผ้ชู มเปน็ กลุ่มเป้าหมายสาคัญสาหรบั ละครเวที เพราะ ความสาเรจ็ ของละครเวทสี ามารถประเมินไดจ้ ากปฏกิ ิรยิ าของผ้ชู ม ละครวทิ ยุ • ถอื กาเนดิ เป็นครง้ั แรกในประเทศสหรฐั อเมรกิ า แม้จะใชเ้ สยี งเพียงอย่างเดียวแตก่ จ็ ะต้องทาให้ผฟู้ ังเกิดจินตนาการ มอง เหน็ ภาพ • เสียงท่ใี ชใ้ นการแสดงละครวิทยุ ไดแ้ ก่ เสยี งพูดของตวั ละคร เสียงประกอบเรอ่ื ง เสียงองคป์ ระกอบฉาก นกั แสดงตอ้ งมี เสยี งตา่ งกันมากๆ แม้ตวั ละครจะมมี ากตวั แตจ่ ะใชเ้ สียงของนกั แสดงประมาณ ๕-๑๕ คน • คณะละครวิทยทุ ีม่ ีผู้นยิ มฟงั มาก ไดแ้ ก่ คณะแก้วฟ้า คณะบษุ ปเกษ คณะนชุ และสหาย คณะเกศทิพย์ และคณะนีลกิ านนท์
ละครโทรทัศน์ • ประเทศไทยมสี ถานีโทรทัศน์แหง่ แรก คอื “สถานชี อ่ ง ๔ บางขุนพรหม” • สาหรบั ละครทีไ่ ดร้ บั ความนิยมจากผชู้ มมากท่ีสดุ จะเปน็ ละครโทรทัศนส์ มัยใหม่ท่ีกลายเป็นสอ่ื ให้ความบนั เทิงประจา ครอบครวั ของสังคมไทย โดยในแต่ละวันจะมลี ะครโทรทัศน์เร่อื งตา่ งๆ แพร่ภาพทางสถานโี ทรทศั น์เกอื บทกุ ชอ่ งสถานี • ละครโทรทัศน์เป็นสงิ่ ทม่ี อี ทิ ธิพลอยา่ งยงิ่ ต่อสังคมไทย เพราะเป็นส่อื ทส่ี ามารถรับชมได้งา่ ย และทัว่ ถึงผ้คู นทกุ ระดบั ชั้น • การเลอื กละครโทรทัศนท์ จี่ ะชมจึงนับว่าเปน็ สงิ่ สาคัญ เพราะละครโทรทัศนบ์ างเร่อื งกม็ ีคณุ ภาพให้แง่คดิ ให้คตสิ อนใจแกผ่ ู้ชม แต่บางเร่ืองอาจจะเน้นการแย่งชิงรกั หรือมีแต่ความรนุ แรง ผชู้ มบางกลุม่ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนท่ียงั ไมบ่ รรลนุ ิติภาวะ ยังแยกแยะผิดชอบช่วั ดีได้ไมม่ ากนักก็อาจทาตามได้ ปัจจบุ นั ละครตา่ งประเทศ โดยเฉพาะละครจากเกาหลี กาลงั เป็นทนี่ ยิ มอยา่ งมากในหม่วู ยั รนุ่ ของไทย (ที่มาของภาพ : http://www.forum2.popcornfor2.com)
ปจั จัยที่มอี ทิ ธพิ ลต่อการเปลย่ี นแปลงของละคร ๑ นโยบายของรฐั ปจั จัยหลกั ท่มี อี ทิ ธิพลต่อการเปล่ียนแปลง ๒ ค่านิยม ของละครไทย และละครพน้ื บ้าน ๓ วถิ ีชีวติ ของผู้คนเปล่ียนไป ๔ กาลเวลา ๕ เทคโนโลยี
๑๑หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ทักษะพน้ื ฐานและการฝึกหัด การแสดงละคร จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ • อธิบายอิทธิพลของนกั แสดงช่ือดังทม่ี ผี ลต่อการโนม้ นา้ วอารมณ์ หรอื ความคดิ ของผู้ชมได้
เทคนคิ การแสดงพื้นฐาน การสร้างความเชอ่ื • การสวมบทบาทของตัวละครในเร่ืองนัน้ นักแสดงจะต้องสร้างความเชื่อใหผ้ ู้ชมเกดิ ความเชื่อใหไ้ ด้ว่าตน และอปุ กรณต์ า่ งๆ ที่ประกอบฉากในเรื่องเป็นเรื่องจรงิ การท่นี กั แสดงจะตบี ทได้อยา่ งสมจริงนัน้ จะต้องศกึ ษาบทละคร และตัวละครทตี่ นตอ้ ง แสดงอย่างละเอยี ดทุกแงท่ ุกมุม นบั ต้งั แต่บุคลิกลกั ษณะนสิ ยั ของตัวละคร กิรยิ าท่าทาง อารมณ์ของตัวละคร การแสดงรว่ มกับผ้อู ื่น • การแสดงละคร นกั แสดงจะตอ้ งแสดงรว่ มกบั ตวั ละครอ่ืนๆ ในเรอื่ ง ในการฝกึ ซ้อมละคร นกั แสดงจะต้องฝึกการเจรจา กับนกั แสดงร่วม ไมค่ วรทอ่ งบทเพยี งลาพังคนเดยี ว ทง้ั นีเ้ พื่อจะไดส้ ัมผสั กับปฏกิ ิริยาของตวั ละครอนื่ ๆ • ในฉากทมี่ ตี ัวละครเป็นจานวนมากทเ่ี ปน็ ตัวประกอบประเภทสัมพนั ธก์ บั บท ทเ่ี สริมลักษณะเร่ืองให้สมจรงิ เชน่ ประชาชน ทหาร ไพร่พล เปน็ ต้น นักแสดงต้องส่อื ประสานไดท้ ้ังตวั ละครท่ีเปน็ ตวั เอก ตัวสาคัญ และตวั ประกอบ แม้ว่าตวั ละครทเ่ี ปน็ ตวั ประกอบจะไม่มีบทพดู แต่กต็ อ้ งแสดงบคุ ลกิ ลักษณะใหส้ มบทบาทตามเนื้อเรอื่ งเพราะตวั ละครทีแ่ สดงอยบู่ นเวทีตอ่ หนา้ ผู้ชมมคี วามสาคัญทุกตัว
องคป์ ระกอบของการแสดงละคร องคป์ ระกอบของการแสดงละครประกอบไปดว้ ยสง่ิ ตา่ งๆ ทสี่ ่าคัญดังน้ี ๑ การสมมติ นักแสดงตอ้ งสมมติว่า ถ้าตนเป็นตัวละครท่ีเขาสวมบทบาทอยูเ่ ขาจะทาอย่างไรตอ่ สถานการณ์ทกี่ าลังเผชิญอยู่ ๒ สถานการณ์จ่าลอง นกั แสดงตอ้ งมีความเขา้ ใจว่าในสถานการณต์ ามทอ้ งเรอ่ื งท่ีเขาตอ้ งแสดงนน้ั ตวั ละครที่เขาสวมบทบาทอยู่จะทา อะไรและเพราะเหตใุ ดตอ้ งกระทาเช่นน้นั เพ่ือทาใหบ้ ทบาทการแสดงท่ีสอ่ื ออกมาได้เหมือนจรงิ ๓ จินตนาการ สาคญั มากในการแสดงละคร ถา้ นักแสดงมีจินตนาการดี สามารถแสดงความรสู้ กึ นึกคดิ ของตวั ละครออกมาให้ ปรากฏ และสร้างความประทบั ใจแกผ่ ้ชู มได้ ๔ การสรา้ งสมาธิ นกั แสดงตอ้ งฝกึ สมาธิทงั้ ในการดู และการฟงั ซ่งึ จะเปน็ แรงกระตนุ้ ท่ีสาคญั ในการสร้างอารมณ์ของตัวละคร
๕ ความจรงิ และความเชอื่ นกั แสดงละครจะต้องมคี วามสามารถทาใหผ้ ู้ชมเช่ือว่าส่งิ ทปี่ รากฏอยบู่ นเวทีนน้ั เปน็ จรงิ ๖ การสื่อสารสมั พนั ธ์ เป็นหลักสาคญั ที่นักแสดงอาจนามาใช้ เพื่อให้มปี ฏกิ ิรยิ า และการปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั คูแ่ สดงและสถานการณ์ แวดลอ้ มในละคร อนั จะนาไปสกู่ ารสอ่ื สารสมั พันธ์ท่ีสมบูรณ์ ๗ การปรับเปลย่ี น ขึน้ อยู่กับวจิ ารณญาณของการตัดสินใจท่ีจะเปลย่ี นแนวทีผ่ ูช้ มคาดเดาไมถ่ งึ ทัง้ น้ีการปรบั เปลยี่ นอาจจะเกิดจาก คาแนะนาของผู้กากบั การแสดงกไ็ ด้ ๘ ความเรว็ และจังหวะ การแสดงท่ีผดิ จงั หวะจะทาให้ความสมจริงบนเวทีสญู เสยี ไป ความเรว็ และจงั หวะจะสมั พนั ธก์ บั สถานการณ์ที่ เกิดขน้ึ ๙ การรา่ ลกึ อารมณ์ เปน็ วิธหี นึ่งท่จี ะชว่ ยสร้างอารมณใ์ หน้ ักแสดง ผกู้ ากับอาจช่วยแนะนานกั แสดงให้นึกย้อนไปถงึ สถานการณจ์ ริงท่ี เคยเกิดขนึ้ กับตนแลว้ พยายามเค้นอารมณ์ถา่ ยทอดความรู้สึกออกมา
เทคนคิ การเขียนบทละคร ๒ ๓ รปู แบบในการสร้างบทละคร ๑ บทละครทีเ่ ปน็ แบบฉบับ บทละครท่ีไม่เป็นแบบฉบับ บทละครทีเ่ ดก็ มสี ว่ นรว่ มแสดง (Tradition Play) (Non Illusion Style) (Participatory Theatre) • ใช้แสดงในโรงละคร • ผเู้ ขยี นบทละครควรเนน้ ทกี่ ารเลา่ เรือ่ ง • เปดิ โอกาสให้เดก็ มสี ว่ นร่วมในการแสดง (Story Theatre) จินตนาการ • เรื่องราวทนี่ ามาเสนอมาจากวรรณกรรม (Imagination) เชน่ ชว่ ยเปน็ ฉาก ถืออุปกรณฉ์ าก นิทานพ้ืนบ้าน เชน่ รามเกียรต์ิ อเิ หนา • การเริม่ เรอื่ งเปน็ การเล่าเรื่องโดยใชล้ ีลา • ผชู้ มจะนงั่ ลอ้ มดูเปน็ วง ทาให้ละครกลับ • ผู้ประพนั ธบ์ ทกต็ อ้ งเลอื กตอนท่นี า่ สนใจ ท่าทางประกอบดนตรี ต่อจากนั้นใช้วิธี เป็นประสบการณ์ตรงที่เดก็ ๆ ได้รับ มาเสนอ จากนัน้ เปิดเร่อื งดว้ ยฉากท่ี ประสานเรอ่ื งราวตา่ งๆ เข้าด้วยกนั ผ้ชู มจะเชื่อในบทบาท และปฏิบตั ิ นาเสนอตามแบบฉบบั คือ ภาพ หรือ ตามท่ีตวั ละครสง่ั เหตุการณ์ สถานการณ์ของเรอ่ื ง • การเขียนบทประเภทน้ีเน้นท่ีบรรยากาศ แนะนาตัวละครท่เี ป็นตัวเอก รปู แบบการนาเสนอ การเรยี บเรยี ง เรอ่ื งราว กฎเกณฑใ์ นการเข้าสูเ่ รอื่ งและ ออกจากเร่ืองเม่อื เรอื่ งจบลง
Search