รายงาน การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เรือ่ ง มัทนะพาธา จดั ทำโดย ๑. นายคณิติน วิโนทยั รหสั นกั ศกึ ษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๗๓ ๒. นางสาวศริ ิพร ยันตะพันธ์ รหัสนักศกึ ษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๗๔ ๓. นายจรี พฒั น์ ตาดทรพั ย์ รหัสนกั ศึกษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๗๕ ๔. นายธงชัย ชำนาญการ รหสั นักศึกษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๗๖ ๕. นางสาวพิชญส์ ินี บุญเนาว์ รหสั นกั ศกึ ษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๘๒ ๖.นางสาวสดุ ารตั น์ โกช้ ัยภมู ิ รหัสนักศึกษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๘๒ ๗. นางสาวจิรภญิ ญา มหาสวสั ด์ิ รหัสนกั ศกึ ษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๘๕ ๘. นางสาวนรศิ รา ขลิบเกตุ รหสั นักศกึ ษา ๖๑๘๑๑๒๔๐๙๑ เสนอ อาจารย์ ดร. สาวิตรี จิตบรรจง รายงานฉบับน้ีเปน็ สว่ นหน่ึงของรายวิชา ๒๑๐๖๒๐๙ วรรณกรรมเอกของไทย สาขาวชิ าภาษาไทย (ค.บ.) คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๒๑๐๖๒๐๙ วรรณกรรมเอกของไทย จัดทำขึ้นมาโดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธาในด้านต่าง ๆ เช่น นิสัยตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง ข้อคิด สังคม ประเพณีวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เป็นการถ่ายทอดความรู้ในเนื้อหาทั้งหมดของบทละคร เรื่องมัทนะพาธา ซึ่งเป็น วรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสร เพื่อให้นักศึกษาหรือ บคุ คลท่วั ไปทสี่ นใจจะศึกษาหา ความรเู้ พิ่มเติม คณะผู้จัดทำขอขอบคุณอาจารย์ ดร.สาวิตรี จิตบรรจง ที่ให้คำแนะนำ ให้ความรู้และแนวทางใน การศึกษาความรู้ต่าง ๆ คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หาก ผดิ พลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ทน่ี ี้ คณะผจู้ ดั ทำ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔
สารบญั เร่ือง หนา้ ประวัตผิ ู้แต่ง ๑ ท่มี าของเรอื่ ง ๒ เน้ือเรอ่ื งยอ่ ๒ แก่นของเรื่อง ๓ โครงเรือ่ ง ๔ ลักษณะนสิ ยั ตวั ละคร ๖ ๙ − สุเทษณ์ ๑๐ − จิตระเสน ๑๑ − จติ ระรถ ๑๒ − มายาวิน ๑๗ − มทั นา ๑๙ − พระกาละทรรศิน ๒๑ − โสมะทตั ๒๓ − นาค ๒๕ − ศุน ๒๖ − ทา้ วชยั เสน ๒๘ − ศุภางค์ ๓๐ − นันทิวรรธนะ ๓๑ − วิทูร ๓๒ − พระนางจณั ฑี − ปริยมั วะทา
สารบญั (ตอ่ ) เรอ่ื ง หน้า − อราลี ๓๔ − เกศนิ ี ๓๖ ๓๘ บทสนทนา ๔๖ ข้อคิดทปี่ รากฏ ๔๘ ข้อมลู ทางสังคม คา่ นิยม วัฒนธรรม ๕๘ ความดเี ด่นของเร่ือง ๕๙ บรรณานุกรม
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉนั ท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา : ๑ บทละครพดู คำฉันท์ เร่อื ง มทั นะพาธา ที่มา http://www.sriayudhya.ac.th/sri60/R6.html ผู้แตง่ : พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู ัว รัชกาลที่ ๖ ประวตั ิผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่ามหาวชิราวุธ เป็นโอรสองค์ที่ ๒๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รชั กาลท่ี ๕ ทรงพระราชสมภพเม่อื วันท่ี ๑ มกราคม ๒๔๒๓ ทรง ศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเสด็จนิวัติ ประเทศไทยเมอ่ื วนั ที่ ๑๖ มกราคม ๒๔๓๘ เพื่อรับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามหาวชริ าวธุ สยามมกฎุ ราชกุมาร (ผู้ ทีจ่ ะไดเ้ ป็นพระมหากษัตริยอ์ งค์ตอ่ ไป) และทรงกลับไปศึกษาวิชาทหาร ณ โรงเรยี นทหารบกทแ่ี ซนด์เฮซิ ต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และวิชากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ทรงพระปรีชา สามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นพิเศษ ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จ พระมหาธีรราชเจา้ ” องคก์ ารศึกษาวิทยาศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาตไิ ด้ยกยอ่ งพระเกียรตคิ ุณของ พระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละคร นับเป็นปราชญ์สยามคนที่ ๕ เมื่อสำเร็จ การศึกษาพระองค์ทรงเสด็จประพาสยุโรปก่อนแล้วจึงเสด็จนิวัติประเทศไทย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ขณะมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเมื่อวันท่ี ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ (ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา) ผลงานพระราชนพิ นธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัวทรงมีพระปรีชาสามารถทางดา้ นอักษรศาสตร์เปน็ เลศิ จงึ ทรง มีพระราชนิพนธท์ งั้ รอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรองกวา่ ๒๐๐ เร่ือง เช่น ศกุนตลา รามเกียรติ์ เวนิสวานชิ เป็นตน้ นามปากกาในงานพระราชนิพนธ์ ได้แก่ อัศวพาหุ รามจิตติ พันแหลม ศรีอยุธยา นายแก้วนายขวัญ พระขรรค์เพชร นายแกว้ ณ อยุธยา นอ้ ยลา ท่านราม ณ กรงุ เทพ
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เร่ือง มัทนะพาธา : ๒ ที่มาของเรอื่ ง เดิมทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธา สำหรับอ่านเป็นกวีนิพนธ์เท่านั้น หากแต่มีพระญาติและพระ สหาย กราบบงั คมทูลขอให้จัดแสดงเป็นละคร จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จดั แสดงเป็นละครตามคำกราบบังคมทูล เนอื้ เรอื่ งยอ่ สุเทษณ์เป็นเทพผู้ใหญ่บนสรวงสวรรค์ที่หลงรักเทพธิดามัทนามาก โดยไม่สนใจเทพธิดาหรือหญิงสาว ผู้อื่นเลย เมื่อสุเทษณ์เกิดความทุกข์เพราะความรักและลุ่มหลง จิตระรถสาระถีของสุเทษณ์จึงพามายาวิน เข้าเฝ้า แนะว่าสามารถใช้มนตร์คาถาพาตัวนางมัทนามาได้ สุเทษณ์จึงได้พบกับนางมัทนาแต่ว่านางไม่มีสติอยู่ กับตัว คล้ายคนละเมอ สุเทษณ์จึงสั่งให้มายาวินคลายคาถา จึงเกิดการต่อล้อจนสุเทษณ์โกรธและสาปใหม้ ัทนา เป็นดอกกุพชะกะ (ดอกกุหลาบ) ที่โลกมนุษย์ โดยมัทนาสามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ในคืนวันเพ็ญ เป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน หากวันใดมีความรักก็จะไม่กลับไปเป็นดอกกุพชะกะอีก แต่จะได้รับความทุกข์จากความรัก เมื่อน้ัน ถา้ นางออ้ นวอนขอความชว่ ยเหลอื ตนจงึ จะงดโทษทัณฑน์ ้ใี ห้แกน่ าง เมื่อมัทนามาเกิดเป็นดอกกุหลาบอยู่กลางป่าหิมะวัน ฤๅษีกาละทรรศินทราบจึงนำมาดูแลเยี่ยงบุตรี นางมัทนาก็ปรนนิบัติพระฤๅษีเยี่ยงบิดาเช่นกัน จนถึงวันเพ็ญในเดือนหนึ่งฝ่ายท้าวชัยเสนซึ่งไล่ตามสัตว์ป่ามา นั้นได้พลัดหลงกับขบวนหลวง จนได้มาพบกับนางมัทนาจึงตกหลุมรัก ตกกลางคืนชัยเสนออกมาเดินเล่นรำพึง ถงึ มทั นา ทนั ใดน้ันนางมทั นาก็เดนิ ลงมาจากอาศรมพลางพรรณนาถงึ ความรกั ทีเ่ กิดขึน้ เชน่ กนั ทา้ วชยั เสนไดย้ ิน เข้าทำให้ทั้งคู่ได้บอกความรู้สึกที่มีให้แก่กัน เช้าวันต่อมาท้าวชัยเสนจึงพามัทนาไปขอทำพิธีอภิเษกสมรส อยา่ งถูกต้องกับฤๅษีกาละทรรศนิ หลังจากนั้นท้าวชัยเสนกลับกรุงหัสตินาปุระแต่ก็ไม่ยอมกลับพระตำหนัก นางจัณฑีผู้เป็นมเหสีจึงได้ ทราบว่าท้าวชัยเสนพานางมัทนากลับมาด้วยจนเกิดการโต้เถียงกัน นางจัณฑีโกรธจึงทูลฟ้องพระบิดาเพื่อให้ ยกทัพมาสู้รบกับทัพของท้าวชัยเสน แต่ท้าวชัยเสนชนะ นางจัณฑีจึงให้วิทูรพราหมณ์มาแกล้งทำพิธีไสยเวทย์ เพื่อโกหกว่านางมัทนารักใคร่กับศุภางค์ นายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน ท้าวชัยเสนรู้เข้าจึงสั่งให้ศุภางค์ ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารชีวิตทั้งคู่ ต่อมาวิทูรพราหมณ์มาสารภาพความ จริงเพราะสำนึกผิด ท้าวชัยเสนเสียใจจนจะฆ่าตัวตาย แต่นันทิวรรธนะผู้เป็นอมาตย์ห้ามไว้เสียก่อนและบอก ความจริงว่านางมัทนายังไม่ตาย เพราะโสมะทัตจากสำนักฤๅษีกาละทรรศินมารับตัวกลับไปยังป่าหิมะวัน ส่วน ศุภางค์ เข้าร่วมทำศึกจนตัวตายในหน้าที่ เมื่อรู้ความดังนั้นท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารพระบิดาของนาง จัณฑีทถ่ี ูกจับมาเป็นเชลยไวก้ อ่ นหนา้ นน้ั แลว้ และขับไล่นางออกจากเมืองไป ฝ่ายนางมัทนาทนพิษรักไม่ไหวจึงทำพิธีเชิญสุเทษณ์เพื่อขอให้ช่วยพาท้าวชัยเสนมาหานาง เมื่อได้ยิน คำขออย่างนั้นสุเทษณ์เกิดความไม่พอใจอีกครั้ง จึงสาปให้นางมัทนากลายเป็นกุหลาบตลอดกาล ท้าวชัยเสน
การวเิ คราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เรอื่ ง มทั นะพาธา : ๓ เสด็จมาถึงไดท้ ราบเรอื่ งราวทุกอยา่ ง จงึ ขอใหพ้ ระฤษชี ่วยโดยใชม้ นตราและเชญิ นางมัทนาให้ยนิ ยอมกลับไปกับ พระองค์อีกคร้ัง เมื่อพระฤๅษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนรำพึงรำพันกับต้นกุหลาบเพื่อให้นางมัทนาได้รับรู้จน สามารถขุดต้นกุหลาบเพื่อนำไปปลูกในอุทยานได้สำเร็จ ทั้งยังขอให้ฤๅษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะ ยังคงความงดงามมิโรยราตราบจนกว่าพระองค์จะสิ้นอายุขัย ทั้งยังขอให้เป็นดอกไม้ที่ยังคงกลิ่นอันหอมหวาน ดลบันดาลใหจ้ ติ ใจเปน็ สุขได้ ดอกกหุ ลาบจึงเป็นสญั ลักษณ์ในการแสดงถงึ ความรกั ตลอดมา แกน่ ของเรือ่ ง แก่นสำคัญของเรอ่ื งมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑. กล่าวถึงตำนานแห่งดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สวยงาม มีกลิ่นหอม สะพรั่งด้วยหนาม ฯลฯ แต่ไม่เคยมีตำนานในเทพนิยาย เกิดขึ้นจากจินตนาการที่อยู่ในพระราชหฤทัยของพระพระบาทสมเด็จพระ มงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลที่ ๖) โดยแรกเรมิ่ ทรงให้นางเอกของเรือ่ งมีนามเรยี กเหมอื นดอกไม้ คือ “กพชกะ” แปลว่าดอกกุหลาบ แต่ก็เห็นว่าชื่อนี้ไม่เหมาะที่จะตั้งเป็นนามสตรี จึงเลือกเอา “มัทนา” ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก “มทน” แปลว่า ความลุ่มหลงหรือความรัก แต่ในขณะที่พระองค์ค้นนั้นเองก็ได้พบศัพท์ “มทนพาธา” ซ่ึง โมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ว่า “The pain or disquietude of love” หรือ “ความเจ็บหรือความเดือดร้อน แห่งความรัก” ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงนำมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง “มัทนะพาธา หรือตำนานรักแห่งดอกกุหลาบ” จึงพระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีต้นกำเนิดมาจากนางฟ้าที่ถูกสาปให้ลงมาเกิดเป็นดอกไม้ชื่อ “ดอกกุพฺชกะ” คือ “ดอกกหุ ลาบ” ๒. ความเจ็บปวดอันเกิดจากความรัก ทรงแสดงให้เห็นว่าความรักมีอนุภาพยิ่งใหญ่และนำพามาซึ่ง ความเจ็บปวด เหมือนดั่งชื่อเรื่องว่า \"มัทนะพาธา\" ที่มีความหมายว่า “ความเจ็บหรือความเดือดร้อนแห่ง ความรกั ” โดยมกี ารผกู เรอ่ื งใหเ้ กิดความขัดแย้งซงึ่ เปน็ ปมปญั หาของเรอื่ ง ดังนี้ ๒.๑ ทกุ ข์ที่เกิดจากความไมส่ มปรารถนา เชน่ สเุ ทษณ์หลงรักนางมทั นามานานแตน่ างไม่รับ รักตอบจึงทำให้เกิดความทุกข์ หรือนางมัทนาได้มาขอความช่วยเหลือจากสุเทษณ์ สุเทษณ์จึงขอความรักจาก นางอีกคร้ังแต่นางปฏิเสธเช่นเคย เร่ืองราวจงึ จบลงด้วยความสูญเสยี และความเจ็บปวดดว้ ยกันทกุ ฝ่าย ๒.๒ ทกุ ขท์ ่ีเกดิ จากการพลดั พราก เชน่ พระกาละทรรศนิ มีลางสงั หรณ์วา่ มทั นาจะพลดั พราก ไปจากตนจงึ เกิดความทุกข์ หรอื ท้าวชยั เสนคดิ ว่านางมทั นาคบชู้กับศภุ างค์จงึ ส่ังประหาร แตน่ างมทั นารอดชีวิต และกลบั ไปอยูใ่ นปา่ ตามเดิมจงึ ทำใหเ้ กิดความทกุ ข์ทไี่ ด้พลัดพรากจากคนทต่ี นรกั ๒.๓ ทุกข์ที่เกิดจากความริษยาหึงหวง เช่น นางจัณฑียึดมั่นถือมั่นว่าท้าวชัยเสนเป็นของตน ไม่ยอมสูญเสียใหใ้ ครจนทำใหเ้ กดิ ความทกุ ขท์ ีเ่ กดิ จากการกระทำของตนเอง
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉันท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๔ ๒.๔ ทุกขท์ ี่เกดิ จากความจงรักภักดี เชน่ ศุภางค์ไดอ้ อกไปทำศกึ จนตายในสนามรบเพอ่ื แสดง ความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คบชู้กับนางมัทนาและแสดงความจงรักภักดีต่อท้าวชัยเสน หรือนางปริยัมวะทาที่มี ความจงรกั ภกั ดีตอ่ นางมัทนามาก เม่อื นางมัทนากลายเปน็ ดอกกุหลาบก็ทำใหเ้ กิดความทกุ ข์ โครงเร่อื ง การเปิดเรื่อง เรื่องราวของมัทนะพาธามีการเปิดเรื่องโดยการกล่าวบรรยายถึงตัวละครสุเทษณ์ โดย เริ่มจากการกล่าวถึงอดีตชาติของสุเทษณ์ ผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ที่มากด้วยบริวารและบารมีที่เดิมเป็นกษัตริย์ ผบู้ ำเพญ็ บุญบารมี เมื่อตายไปจึงได้มาเสวยสขุ ยงั เมืองสวรรค์ ด้วยการขบั ร้องของเหล่าคนธรรพ์ ดังตอนหนึ่งว่า พระองค์ทรงมีคุณ กะตะบุญบาระมี บำเพ็ญในอต-ี ตะกาลดลผลไพบลู ย์ ชาติก่อนเปนสุกษตั รยิ ์ เถลงิ รัฐราไชสูรย์ ในวงศะประยูร สุระแมนแควน้ ปญั จาล ทรงธรรมล้ำมะนษุ ฤทธริ ทุ มหาศาล บำเพ็ญพะลกี าร ทุกอยา่ งงามตามวิสัย ครั้นถึงเวลาควร ภมู ศิ วรจากไผท เสด็จสุราลัย เสวยสขุ ในแดนสรวง (มัทนะพาธา : ๑๖) ต่อมากวีได้กล่าวถึงปมปัญหาของตัวละครสุเทษณ์ผ่านบทสนทนาระหว่างสุเทษณ์และจิตระเสนว่า สุเทษณ์มีบริวารมากมายและมีจิตระเสนเป็นผู้คอยรับใช้ แม้จิตระเสนคอยปรนนิบัติรับใช้สุเทษณ์ให้สุเทษณ์มี ความสุขสมหวัง แต่สุเทษณ์ไม่ได้รู้สกึ เป็นเช่นนั้น เพราะสุเทษณ์ลุ่มหลงในราคะ แต่ก็ไม่มีนางฟ้าองค์ใดที่จะทำ ให้สเุ ทษณ์ได้สขุ สมหวงั เว้นแต่ นางมัทนา ผ้ทู ่ีมีความงดงาม ดังตอนหนง่ึ ว่า สุเทษณ์ จริงอยนู่ ะเจา้ เอย ผจิ ะเชยสมคั สมาน นางใด ณ แมนการ กจ็ ะสทิ ธสิ มฤดี, เวน้ เดยี วก็แตโ่ ฉม มะทะนาวสิ ทุ ธิศรี ผ้เู ลิศสรุ างค์มี วรรูปวเิ ลขวิไลย (มทั นะพาธา : ๑๙)
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๕ ผู้แต่งใช้ปมปัญหาของตัวละครสุเทษณ์ ที่ไม่สมหวังในความรักมาในตอนต้น เป็นการเปิดเรื่องเพื่อให้ ผู้อ่านได้ทราบถึงความเป็นมาของเรื่องราว ทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจและต้องการที่จะอ่านเรื่องราวต่อไปต่อ จนจบ กวใี ชฉ้ ากสวรรค์อันเป็นสถานทท่ี ่สี งบสุขและสวยงาม แตข่ ดั กบั ตวั ละครสเุ ทษณท์ ่ไี มส่ ุขสมหวงั เพราะตน น้ันมกี เิ ลส มีความลุ่มหลงในราคะ และมีโทสะอนั เกิดจากความไมส่ มหวังในความรกั การดำเนินเรื่อง ผู้แต่งดำเนินเรื่องตามลำดับปฏิทิน โดยแบ่งลำดับเหตุการณ์ออกเป็น ๕ องก์เริ่มจาก องก์ที่ ๑ วิมานของสุเทษณ์บนสวรรค์ เมื่อผู้เขียนเปิดเรื่องถึงปมปัญหาเรื่องความรักของ สเุ ทษณ์แลว้ จงึ เลา่ ความเปน็ มาเป็นไปของนางมัทนาก่อนกลายเปน็ กหุ ลาบบนโลกมนษุ ย์ องก์ที่ ๒ กลางป่าหิมะวันและอาศรมของพระกาละทรรศิน ผู้แต่งเปิดตัวท้าวชัยเสนที่ได้ พลดั หลงมาในป่าจนได้พบนางมทั นาตอนเป็นมนษุ ย์ ทัง้ สองเกดิ ความรักใครแ่ ละเผยความในใจต่อกัน องก์ที่ ๓ ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน ท้าวชัยเสนและนางมัทนาตกลงปลงใจเข้าสู่ งานวิวาหโ์ ดยมีพระกาละทรรศนิ เปน็ ผู้ทำพิธี องก์ที่ ๔ ในสวนหลวงข้างพระราชวังและริมรั้วค่ายหลวง เมื่อนางมัทนาออกไปอยู่กับ ท้าวชัยเสน เรื่องถึงหูนางจัณฑีมเหสีของท้าวชัยเสน จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น นำไปสู่การพัดพรากจากกัน ของท้าวชยั เสนและนางมัทนา องก์ที่ ๕ กลางป่าหิมะวัน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วนางมัทนาได้กลับมาอยู่ที่อาศรมของ พระกาละทรรศินเชน่ เคย ท้งั ยงั เจบ็ ปวดทุกข์ทรมานใจจนต้องทำพธิ ีร้องขอถึงสเุ ทษณอ์ ีกคร้งั การจบเร่อื ง เป็นแบบโศกนาฏกรรม คือนางมทั นาวิงวอนให้สุเทษณ์ช่วยตามทส่ี เุ ทษณ์เคยกล่าวไวว้ ่า สเุ ทษณ์ หากรักชายแล้วมทั นา บมีสขุ า- ภิรมยเ์ พราะเริดร้างรัก, จนเหลอื ที่จัก และนางเปนทกุ ข์ย่ิงนัก กล่าววอนเราไซร้ อดทนอยูอ่ ีกต่อไป, เม่ือนั้นผวิ า่ อรไท เราจ่งึ จะงดโทษทณั ฑ์, (มทั นะพาธา : ๔๒) สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักนางอีกครั้งหนึ่งแต่นางปฏิเสธ ซ้ำยังขอให้สุเทษณ์ทำให้ท้าวชัยเสน มารับนางกลับไป สุเทษณ์โกรธมากจึงสาปให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบตลอดไป ท้าวชัยเสนมาไม่ทันกาล ไดเ้ พียงแต่ขอพระกาลทรรศินว่าจะนำต้นกหุ ลาบน้นั ไปอยู่ที่สวนของตน
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๖ ลกั ษณะนสิ ยั ตัวละคร ๑.สุเทษณ์ ลักษณะนิสัยของสุเทษณ์ คือ เป็นเทพที่ครองตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม แต่เมื่อเกิดความโมโหโกรธา มักใช้อำนาจโหดร้าย แสดงถึงความเห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจของสุเทษณ์ก็ยังแฝงไปด้วย ความเสยี สละความสขุ ส่วนตัวเพ่ือคนทต่ี นรกั ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ สุเทษณ์เป็นมหาเทพที่ดำรงตนอยู่ในธรรมอันประเสริฐ คือ พรหมวิหารสี่ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เห็นได้จากบทขบั รอ้ งของเหลา่ อัปสรท่ีแสดงให้เห็นว่าสุเทษณค์ ือผ้ทู เ่ี ป่ียมไปด้วยคุณธรรม ดงั นี้ อนั พระเมตตาเนอื งนอง ประดจุ ละออง วะรุณระร่นื รวยเย็น ดปี ระดุจเปน ข้าบาทจงึ่ ได้ พระกรณุ าแนเ่ ห็น จติ ใหเ้ บกิ บาน วายุรำเพยช่นื ใจ โลกฤๅจะมี ไปจนเวลา พระมุทติ าแนว่ ใน มานะเปนนติ ย์ในงาน พระอเุ บกขาสมาน บเส่อื มบสญู ภกั ดี เจา้ นายองค์ใดในตรี เหมอื นพระนง่ั เกศา ขอพึง่ ยุคลบาทา ประจวบเมื่อกัลป์บรรลัยฯ (มทั นะพาธา : ๑๘) อย่างไรก็ตามแม้สุเทษณ์จะเป็นผู้ที่ดำรงตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม แต่ก็ยังหลงอยู่ในกามตัณหา เพราะพระองค์หลงใหลและปรารถนาในตัวนางมัทนาที่มีรูปโฉมงดงามจนอยากได้นางมาครอบครอง ดังความ ท่ีวา่ สเุ ทษณ์ อันตัวเรานี้ จติ จอ่ อยูท่ ี่ โฉมมะทะนา, ผู้เลศิ เลอสรรค์ ในชั้นกามา พะจรฟากฟ้า บมีใครทนั . ตง้ั แต่เรามา เกิดในฟากฟา้ พภิ พภมู สิ วรรค์, เราเหน็ ต้องจติ คิดอยากเชยขวญั แต่โอ้นางนั้น หล่อนไม่ปลงใจ. (มทั นะพาธา : ๒๖)
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เร่ือง มทั นะพาธา : ๗ เห็นได้ว่าสุเทษณ์มีใจใฝ่ปองนางมัทนาอยู่เพียงฝ่ายเดียว แต่นางมัทนากลับปฏิเสธความรักมาตั้งแต่ อดีตชาติ ดงั ที่มายาวนิ ไดเ้ ล่าถึงสาเหตุท่นี างมัทนาไมร่ บั รักพระองค์ ดังนี้ มายาวนิ เม่อื ครงั้ พระองค์เปน วรราชะราชนั ครองเขตปราเทศขัณ- ฑะวิสทุ ธิปัญจาล, ตรสั ใชอ้ มาตยเ์ ปน วรทตู ะทลู สาร ถงึ ราชะผูผ้ ่าน นรชาติสุราษฎรง์ าม, ขอองค์ธดิ าชอ่ื มะทะนาวิไลราม เปนราชนิ ตี าม วรราชประเพณี; แต่ทา้ วสรุ าษฎรไ์ ซร้ บมิยอมและยินดี ให้ซ่งึ พระบตุ รี, พระกท็ รงพระโกรธา. ตรสั เกณฑ์พหลกอง จตรุ งคะเสนา ยกไปประชิตรา- ชะบรุ วี โรดม. (มทั นะพาธา : ๒๖ - ๒๗) อีกทั้งสุเทษณ์เกิดความขัดเคืองใจ เมื่อนางมัทนาปฏิเสธความรักของพระองค์อย่างเด็ดขาด พร้อมขอ ลาไปอย่างไมไ่ ยดี ดงั ท่สี เุ ทษณก์ ลา่ ววา่ สเุ ทษณ์ (ตวาด) อุเหม!่ มะทะนาชะเจา้ เล่ห์ ตะละคำอวุ าทา ชิชิชา่ งจำนรรจา, ดนถุ ามก็เจา้ ไซร้ ฤกระบิดกระบวนความ, วนิดาพยายาม บมิตอบ ณ คำถาม, กะละเลน่ สำนวนหวล. (มัทนะพาธา : ๓๘) แม้แต่เหตุการณ์ที่สุเทษณ์โกรธนางมัทนาจึงสั่งสอนให้นางได้เรียนรู้ความรักและได้รับความผิดหวัง จากความรกั ดว้ ยการสาปใหล้ งไปเกิดเป็นดอกกุหลาบท่แี ดนมนุษย์ ดังที่กล่าวไว้ว่า สุเทษณ์ ด้วยอำนาจอทิ ธฤิ์ ทธี อนั ประมวลมี ณ ตวั กูผู้แรงหาญ, ใหจ้ ุติผ่าน กูสาปมทั นานงคราญ ไปจากสุราลัยเลิด,
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา : ๘ สู่แดนมนษุ ยแ์ ละเกิด เปนมาลเี ลศิ อนั เรยี กว่ากพุ ชะกะ, รสู้ ึกอรุ ะ ใหเ้ ปนเช่นนั้นกวา่ จะ ระอเุ พราะรักรงึ เข็ญ. (มัทนะพาธา : ๔๑) อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจของสุเทษณ์ก็ยังแฝงไปด้วยความเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่ตนรัก เห็นได้จากตอนที่สุเทษณ์จะสาปนางมัทนาให้ไปเกิดในแดนมนุษย์ก็ยังมีเมตตาให้โอกาสนางเลือกว่ามี ความประสงค์จะไปเกดิ เปน็ อะไร ดงั ความว่า สเุ ทษณ์ เพราะฉะน้นั จะให้นาง จตุ ิสู่ ณ แดนคน, มะทะนาประสงค์ตน จะกำเนิด ณ รูปใด? ทวิบทจะตูรบ์ าท ฤจะเปนอะไรไซร้, วธเุ ลอื กจะตามใจ และจะสาปประดุจสรร; (มทั นะพาธา : ๓๙) เมื่อนางมัทนาบอกความประสงค์ที่จะเลือกเป็นดอกไม้ สุเทษณ์ก็ยินยอมตามความประสงค์ ทั้งยัง แสดงความเปน็ ห่วงนางโดยใหก้ ลายเปน็ ดอกไม้ที่มหี นามเพื่อปอ้ งกนั อนั ตรายจากสตั วเ์ ดรัจฉาน และมอบความ พิเศษให้นางกลายร่างเป็นหญิงงามในทุกวันเพ็ญ หรือหากนางเป็นทุกข์จากความรักจนสุดที่จะทน เมื่อน้ัน สุเทษณ์กพ็ ร้อมท่ีจะงดโทษนใี้ ห้ ดังนี้ สเุ ทษณ์ ดรู าท่านมายาวนิ , นางนถ้ี วลิ สุเทษณ์ จะถือรปู เปนมาล.ี ทงี่ ามท้ังสี ก็บุปผาอยา่ งใดมี ปอ้ งกนั มใิ ห้ อกี ท้งั มกี ลิ่นส่งไกล? แต่ต้องให้มหี นามไว้ (มัทนะพาธา : ๔๐) เหล่าสตั วเ์ ดรัจฉานผลาญยับ. ให้นางนีเ้ ปน แตห่ ากนางมี ทกุ เดือนเมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ มนษุ ยอ์ ยู่กำหนดมี เพียงหนึง่ ทวิ าราตรี;
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรื่อง มทั นะพาธา : ๙ ความรกั บรุ ุษเมือ่ ใด, คงรูปอยู่ไซร้ เมือ่ น้นั แหละทรามวัย บมสี ุขา- บคืนกลับเปนบปุ ผา. จนเหลือทจี่ กั หากรักชายแลว้ มทั นา กล่าววอนเราไซร้ ภริ มยเ์ พราะเรดิ ร้างรกั , และนางเปนทกุ ข์ยงิ่ นกั อดทนอยอู่ กี ต่อไป, เมอื่ น้ันผวิ ่าอรไท เราจึ่งจะงดโทษทณั ฑ์. (มทั นะพาธา : ๔๑ - ๔๒) ๒. จติ ระเสน จิตระเสนเป็นหัวหน้าคนธรรพ์ของสุเทษณ์ ที่มีความจงรักภักดี ปรารถนาจะให้สุเทษณ์มีความสุข สมหวังในความรกั มีความเพียรพยายามในการหาวิธีการช่วยเหลอื และให้คำแนะนำท่ีดตี อ่ ผอู้ ่นื ดงั รายละเอยี ด ตอ่ ไปนี้ ในฉากลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณ์บนสวรรค์ จิตระเสนและพวกคนธรรพ์ได้จัดแสดง การ ร่ายรำถวายแด่สุเทษณ์และเตรียมนางอัปสรมาร้องรำบำเรอ เพื่อหวังคลายความทกุ ข์เศร้าและมีความสขุ ยิ่งขน้ึ แสดงให้เห็นถงึ ความจงรักภักดีของจิตระเสน ดังความวา่ จิตระเสน ตูข้าภักดี ก็มแี ต่คิด เพ่อื ให้ทรงฤทธิ์ โปรดทุกขณะ. สุเทษณ์ กูไม่พอใจ! ไลค่ นธรรพไ์ ป บัดน้เี ทยี วละ. อยา่ มวั รอรัง้ จิตระเสน เอวํเทวะ! (หันไปสงั่ คนธรรพ)์ เออพอแล้วนะ พวกเจ้าจงไป. (พวกคนธรรพถ์ วายบงั คมแลว้ เข้าโรง) ขา้ บาทไดเ้ ตรียม อปั สรเสงยี่ ม สง่างามไว้ เพื่อร้องและรำ บำเรอเทพไท, แม้โปรดจะได้ เรียกมาบัดน.้ี (มัทนะพาธา : ๑๗) นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่แสดงถึงความจงรักภักดีที่จิตระเสนมีต่อสุเทษณ์ คอยให้คำแนะนำด้วย ความหวังดี ไม่อยากให้สเุ ทษณเ์ สื่อมเสียเกียรติ ดังในตอนที่จิตระรถคิดอบุ ายให้มายาวนิ ร่ายมนตร์เพื่อเรียกตัว นางมัทนามาใหส้ เุ ทษณ์ แต่จติ ระเสนกไ็ ด้ทักทว้ งด้วยความเปน็ ห่วงวา่
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๑๐ จิตระเสน เทวะ! ข้าสงสัยนกั แต่ไมอ่ ยากทัก อยากทว้ งต่อหน้าสารถี จริงอยูพ่ อท่ี เวทมนตรน์ นั้ เขาอาจมี ใหร้ ักน้ันข้า จะเรยี กเอาใครใครมา; มาแล้วไมภ่ ัก- แต่จะบงั คับหทั ยา เส่ือมเกยี รตวิ ศิ าล ยงั นึกระแวงแคลงนกั หากเรยี กโฉมยงนงลกั ษณ์ ดอิ ยู่เปนข้าบทมาลย์. ก็จะกลบั กลายเปนการ ขององคพ์ ระจอมเทวัญ (มทั นะพาธา : ๒๔) ๓. จิตระรถ จิตระรถเป็นสารถีของสุเทษณ์ เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี เพียรพยายามหาวิธีการช่วยเหลือสุเทษณ์ให้ คลายความทกุ ข์เศรา้ และสมหวงั ในความรัก จนบางครั้งอาจมองข้ามความถกู ต้อง ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ จิตระรถได้เดินทางไปในทุกสารทิศเพื่อวาดรูปหญิงงามมากำนัลสุเทษณ์ เพื่อหวังให้สุเทษณ์ได้พึงใจ และลมื นางมัทนา ต้นเหตแุ ห่งความโศกเศรา้ ของพระองค์ ดังความวา่ จิตระรถ เทวะ, ฃา้ บาทไคลคลา ตามองคม์ หา ฤษผี นู้ ามนารทฺ , ในฟากฟา้ จรด ไปทั่วทกุ แดนสามหมด; บเ่ วน้ แห่งใด, จนถงึ ขอบนะภาลัย; ท่ัวทกุ สถาน ไปทั่วแดนมนุษสุดไกล ฃา้ บาทก็ได้ กระท่ังยังขอบจักรวาล; ขอองคอ์ มร ไปท่ัวในแดนบาดาล, ทกุ ถนิ่ จนจบภพไตร. ไปถึงซงึ่ แควน้ แดนใด, วาดรูปอนงคง์ ามงอน, มาเพอื่ ถวายมหิศร; จงทอดพระเนตรรูปา. (มัทนะพาธา : ๒๐)
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอื่ ง มทั นะพาธา : ๑๑ ถึงแม้จิตระรจะพยายามหาผู้หญิงที่มีความงดงามและเพียบพร้อม ให้เหมาะสมกับสุเทษณ์หลายคนก็ ตาม แต่ผู้หญิงที่จิตระรถเลือกมานั้น ไม่มีใครถูกใจสุเทษณ์เลยสักคน แต่จิตระรถก็ยังไม่หมดวิธีการที่จะ ช่วยเหลือสุเทษณ์ จึงได้พามายาวินมาเพื่อให้ใช้เวทมนตร์ในการนำพาตัวนางมัทนามาให้สุเทษณ์ได้คลาย ความทกุ ขโ์ ศก โดยไมไ่ ดค้ ำนึงถึงความถกู ต้องเหมือนอย่างจิตระเสน ดงั ความวา่ จติ ระรถ ฉะน้นั ต้องคิดแกไ้ ข โดยอุบายให้ พระองค์ใดสมจนิ ดา. กูหมดปัญญา. สุเทษณ์ จะแกฉ้ ันใดเล่าหวา? ขุนโขดครี ี จิตระรถ ฃา้ บาทขอทูลบัดน.้ี เรืองวทิ ยากร, ยามฃ้าเท่ียวไปถึงที่ เชงิ ชาญโยคนิ ศรีมนั ทะระงามงอน, ไปผูกหทยา ไดพ้ บหน่ึงวทิ ยาธร มีนามว่ามายาวิน ผู้น้มี คี วามรู้ชิน และเช่ยี วอาถารรพว์ ทิ ยา, รูจ้ ักใช้โยคะนิทรา แหง่ ผทู้ ่อี ยูแ่ ม้ไกล, อาจรา่ ยมนตร์เรียกมาได.้ (มัทนะพาธา : ๒๓) ๔. มายาวนิ มายาวิน คือวิทยาธรผู้มีวิชาอาคมและเวทมนตร์ เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ ทะนงตวั ว่าเก่ง และเป็นคนพูดจาดว้ ยความสตั ยจ์ ริง ดังรายละเอียดต่อไปน้ี มายาวินมีความจงรักภักดีต่อสุเทษณ์ เห็นได้จากที่สุเทษณ์ขอให้มายาวินช่วยทำให้ตนหลุดพ้นจาก ความกระวนกระวายใจเพราะอยากเจอนางมัทนา มายาวินก็เตม็ ใจชว่ ยเหลอื ดงั ความวา่ มายาวิน เทวะ, อันเวทวิทยา ข้ารเู้ รยี นมา เตม็ ใจจะใช้ฉลอง ธลุ ีบาทรอง พระเดชพระคณุ ละออง จนเตม็ สตปิ ัญญา. (มทั นะพาธา : ๒๕)
การวเิ คราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๑๒ แม้มายาวินจะเป็นผู้มีวิชาอาคมและเวทมนตร์แต่ก็ไม่เคยอวดโอ้ตนเองต่อใคร ๆ มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ทะนงตนว่าเป็นคนเก่ง เห็นได้จากตอนที่สุเทษณ์ถามมายาวินว่าเวทมนตร์คาถาที่มายาวินมีนั้น สามารถดลใจใครไดห้ มดจรงิ หรอื ไม่ มายาวินกไ็ ด้ตอบสเุ ทษณอ์ ยา่ งถอ่ มตัว ดงั นี้ มายาวิน จะทูลเทวะเกรงดู ประหนง่ึ ตูทะนงไป, จะงำเง่ือนบทลู ไซร้ ก็เหมอื นปิดวิชาการ. พระจงโปรดประทานซงึ่ อภยั ข้าจะทูลสาร และความจรงิ วชิ าการ กม็ ีอย่ปู ระจำตน. (มัทนะพาธา : ๒๕) ทั้งนี้แม้ว่ามายาวินจะมีเวทมนตร์คาถาแกร่งกล้า แต่เขาก็ไม่เคยใช่มนตร์น้ันเป็นเครื่องมอื ในการโกหก หลอกลวง เห็นได้จากตอนที่นางมัทนาไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว สุเทษณ์จึงได้ถามสาเหตุ มายาวินก็ได้ตอบตาม ความจริงไปวา่ ฤทธม์ิ นตรน์ ้นั บังคับไดเ้ ฉพาะกายเทา่ นนั้ แตไ่ ม่สามารถบังคับความคดิ หรือความรสู้ ึกให้ชอบหรอื ชังได้ ดังความวา่ มายาวนิ เทวะ, ที่นาง อาการเปนอย่าง นีเ้ พราะฤทธ์มิ นตร์; โยคะอนั ขลงั บังคบั ได้จน ให้ตอบยุบล ไดต้ ามตอ้ งการ. แต่จะบังคบั ใครใครให้กลบั มโนวิญญาณ, ใหช้ อบใหช้ งั ยนื ยังอยนู่ าน ย่อมจะเปนการ สดุ พน้ วิสัย. (มทั นะพาธา : ๓๒) ๕. มทั นา นางมัทนาเป็นเทพธิดาบนช้ันฟ้า มลี ักษณะนิสัยเหมอื นหญิงสาวทั่วไป ทงั้ ความเรยี บรอ้ ย มารยาทงาม กตัญญูต่อบิดา มีความคิดเป็นของตัวเอง ใจเด็ดเดี่ยว มีเหตุผล ไม่พูดโกหก ขณะเดียวกันเธอก็มีค่านิยมตาม แบบสังคมที่วางไว้ ทั้งเรื่องมีสามีเดียว จงรักภักดีต่อสามี พร้อมปรนนิบัติสามีอย่างดี โดยรวมเหมือนเป็น หญงิ สาวท่ีสมบรู ณ์แบบ ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี จากเหตุการณ์ท่ีนางมัทนาหลุดจากมนตร์สะกดของมายาวิน เธอไม่รู้ว่าตนเองมาที่แห่งนี้ได้อย่างไร แต่มันเป็นการเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยฐานะที่ต่างกันของนางมัทนากับสุเทษณ์ เธอจึงต้องร้องขอความ เมตตา เพราะรดู้ วี ่าตนเองน้นั มอี ยู่ฐานะทต่ี ่ำตอ้ ยกวา่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การรู้จักเจียมตวั ดังตวั อยา่ ง มัทนา เทวะ, อันฃ้าน้ีไซร้ มานอ่ี ยา่ งไร บทราบสำนกึ สกั นดิ ; ในสวนมาลติ จำไดว้ า่ ฃ้าสถิต
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรือ่ ง มทั นะพาธา : ๑๓ และลมรำเพยเชยใจ, บงั เกิดร้อนใน แตอ่ ยู่ดี ๆ ทนั ใด แรงไฟในราน อุระประหนึง่ ไฟผลาญ, หรอื ว่าไดม้ ี รอ้ นจนสดุ ทีท่ นทาน และงดโทษฃา้ กล็ ้มลงส้ินสมฤดี. ฉนั ใดมาไดแ้ หง่ นี้? (มัทนะพาธา : ๓๓) ผู้ใดไปอุ้มฃา้ มา? ขอพระองคจ์ งเมตตา ผู้บุกรกุ ถงึ ลานใน. นางมัทนามีความเรียบร้อยในตัวตามแบบวิถีกุลสตรี สังเกตจากตัวอย่างที่ยกมานั้น นางกังวลต่อ สายตาหมชู่ าวฟา้ ด้วยกนั หากรูว้ า่ เธอมาพบสุเทษณเ์ ทวบตุ ร ซงึ่ เปน็ สง่ิ ที่ไม่ควรพึงกระทำ ดังความวา่ มัทนา เหตุใดพระองคท์ รงธรรม์ จงึ่ ทำเชน่ นั้น ให้ข้าพระบาทตอ้ งอาย แกห่ ม่ชู าวฟ้าทงั้ หลาย? โอพ้ ระฦๅสาย พระองคบ์ ทรงปรานี. (มัทนะพาธา : ๓๔) เหตุการณท์ แ่ี สดงถงึ ความจริงใจและซ่ือสตั ย์ต่อความรู้สกึ ตนเอง คอื แม้ว่าสเุ ทษณเ์ ทวบตุ รจะเผยความ ต้องการให้นางมทั นาให้ตกลงปลงใจกัน แต่นางมัทนาก็ยังซ่ือตรงต่อความรู้สึกตนองและไม่คิดที่จะพูดโกหกต่อ ผู้อน่ื นางจงึ เลือกจะปฏิเสธความรักของสุเทษณ์เทวบตุ รทมี่ ีต่อนาง ดงั น้ี มทั นา ตขู ้าพระบาทสิสุจรติ บมิคิดจะปดใคร, จ่งึ หวังและมุ่งมะนะสะใน วรเมตตะธรรมา. (มัทนะพาธา : ๓๕) นอกจากนย้ี ังแสดงความนอบนอ้ มต่อสุเทษณซ์ ึ่งที่ศกั ดิ์สงู กวา่ ตน ดงั น้ี มทั นา ใหถ้ ูกประดจุ สุระประสงค,์ ผิวะทรงพระโกรธา, หม่อมฉันก็โอนศิระณบา- ทะยุคลและกราบกราน. (มทั นะพาธา : ๓๕)
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๑๔ นอกจากน้ีนางมัทนาแสดงจุดยืนว่านางนั้นยึดมั่นในสัจจะของตนที่ว่า ถ้านางไม่รักใครอย่างจริงใจ ถึงแม้ชายผูน้ ัน้ จะเป็นใครกต็ าม นางก็ไม่รักตอบ นั่นเป็นการตอกย้ำถึงการปฏิเสธความรู้สกึ ของสุเทษณ์อีกครั้ง ดังน้ี มัทนา หม่อมฉันนเ้ี ปนผ้ถู ือ สจั จาหนง่ึ คือ ว่าแม้มิรักจรงิ ใจ, ขอสมพาศไซร้ ถงึ แมจ้ ะเปนชายใด โปรดฃา้ นอ้ ยนดิ , ก็จะมิยอมพร้อมจิต. ดงั นี้ขอเทพเรอื งฤทธิ์ ฃา้ บาทขอบังคมลา. (มทั นะพาธา : ๓๘) หลังจากที่สุเทษณ์โกรธและเลือกสาปให้มัทนาจุติที่โลกมนุษย์ มัทนาแสดงถึงความโศกเศร้าโทษว่า ตนเองนั้นอับโชคไม่ได้อยู่รับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณของสุเทษณ์ที่มีมากจนมิอาจนับได้ แสดงถึงความกตัญญู ดงั น้ี มัทนา อ้าเทพศักด์สทิ ธ์ซิ งึ่ พระจะลงพระอาญา ฃ้าเปนแต่เพยี งฃ้า บมมิ งุ่ จะอวดด.ี หมอ่ มฉันนี่อาภัพ และก็โชคบพงึ มี, จ่งึ ไม่ไดร้ องศรี วรบาทพระจอมแมน. อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน คุณท่านท่มี ากแสน คณนาประมวญมี. (มัทนะพาธา : ๓๙) นางมัทนายอมจำนนต่อคำสาปของสุเทษณ์ที่ส่งให้นางไปจุติบนโลกมนุษย์ ทั้งที่การปฏิเสธความรัก ของนางนน้ั ไมไ่ ด้เปน็ ความผดิ เลย แตน่ างก็ไมแ่ สดงความโกรธ ทัง้ ยงั ขอไปเกดิ เปน็ ดอกไมท้ ่สี ง่ กลนิ่ หอมเพือ่ บูชา สเุ ทษณอ์ ีกด้วย แสดงถงึ ความมีจิตใจทด่ี ขี องนาง ดังนี้ มทั นา อนั โปรดใหเ้ ลอื กตาม ฤดขิ า้ ณ บดั น้ี, ขอเปนซ่งึ มาลี รจุ เิ รขวไิ ลยวรรณ, สดุ แทแ้ ต่จอมสรวง จะประสิทธิ์ประสาทพันธ์ุ ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม. ดว้ ยกลน่ิ ของขา้ บาท ก็จะได้ประณตนอ้ ม
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉนั ท์ เรือ่ ง มัทนะพาธา : ๑๕ ใจนติ ยบ์ ูชาจอม สรุ ะบ่มบำเพญ็ บุญ. ข้าขอแตเ่ พียงให้ มรทุ รงพระการุญ, (มัทนะพาธา : ๓๙) นอกจากนางมัทนามีความกตัญญูต่อสุเทษณ์แล้ว นางยังมีความกตัญญูต่อพระกาละทรรศินที่ดูแล เลี้ยงดูนางมา แม้ว่านางจะเป็นเพียงต้นกุหลาบก็ตาม เมื่อใดนางมีโอกาสคืนร่างเป็นคนนางจึงคอยปรนนิบัติ รับใช้พระกาละทรรศนิ เปน็ อย่างดี ดงั ความว่า มัทนา พระบิดาก็ยอ่ มรู้ มะทะนามอิ ยากห่าง, ปฏบิ ตั ติอยขู่ า้ ง พระบิดาและพอใจ; (มทั นะพาธา : ๕๕) หรือเห็นไดจ้ ากเหตุการณ์ตอนท่ีพระกาละทรรศินเกิดลางสงั หรณ์ว่านางมทั นาจะจากตนไป นางมัทนา ก็ได้แสดงถงึ ความเปน็ หว่ งเปน็ ใยพระกาละทรรศินที่ดทู กุ ข์รอ้ นใจ พยายามถามไถ่สาเหตุเผ่ือนางจะชว่ ยท่านได้ ดงั ความวา่ มัทนา เอ๊ะพระบิดาน่ีเปน ทุกขร์ ้อนใดเห็น บเคยแตก่ อ่ นดังน.้ี ดพู ระบดิ าจะมี ความวติ กที่ พระยังมิบอกลูกนอ้ ย. เปนไรโปรดบอกลูกหนอ่ ย. (มัทนะพาธา : ๕๖) อีกคุณสมบัติหนึ่งของหญิงสาวที่นางมัทนาคือ งานบ้านงานเรือนเป็นสิ่งที่นางไม่เคยขาดตกบกพร่อง เห็นได้จากตอนที่ท้าวชัยเสนเดินทางมาขอที่พักพิงอาศัยที่อาศรม นางก็ได้เตรียมอาหาร เตรียมน้ำให้สำหรับ ชำระร่างกาย เตรยี มนำ้ มนั แก้ปวดเมอ่ื ย แสดงให้เห็นถึงความเปน็ กุลสตรีและแมบ่ ้านแม่เรอื น ดงั นี้ มทั นา บิดาเจา้ ขาดฉิ นั เตรียมเสร็จซ่ึงสรร- พะโภชนาจำนง; อีกได้เตรยี มนา้ํ โสดสรง สำหรบั พระองค์ วสิ ทุ ธิราชฦๅชัย, ทัง้ เตรียมนำ้ มนั พรอ้ มไว้ เพ่ือพระจะได้ ทรงทาแก้เมือ่ ยวรกาย, (มทั นะพาธา : ๖๑)
การวเิ คราะหบ์ ทละครพดู คำฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๑๖ ด้วยความกุลสตรีที่นางมัทนามี นางจึงพยายามสงบเสงี่ยม เก็บอาการไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร แสดงใหเ้ ห็นว่านางเปน็ ผู้รักนวลสงวนตวั ตามค่านยิ มของสงั คมทีผ่ ูห้ ญงิ สมัยกอ่ นท่ีตอ้ งสงวนท่าที ดงั น้ี มัทนา หากวา่ ไม่ได้เปน ยวุ ะพรหมะจารี, คงกล้าแลพาที พจะทลู พระภูธร, ให้คงแรมอยู่อกี ณ ประเทศะนี้กอ่ น; แลหากว่าทูลวอน พระกอ็ าจจะเดารู้ ว่าเรานี่ภักดี และกค็ งจะเอ็นด;ู ตวั เราจกั ได้อยู่ ปฏบิ ตั ิพระบาทา. (มัทนะพาธา : ๖๘) เมื่อนางมทั นาตกลงปลงใจสมคั รรักใคร่กับท้าวชัยเสนแลว้ นางก็แสดงให้เห็นถึงความจงรกั ภกั ดี นางมี ความสุขได้เพราะท้าวชยั เสน และยงั บอกว่าหากทา้ วชัยเสนจะเสด็จไปท่ีใด นางกต็ ามไปทุกที่ ดังความวา่ มัทนา พ่ึงพระคุณกะรุณยฺ ะค่ำและเช้า จะปราศะโศกบมเี ศร้า ฤทุกข;ํ ใจจะอ่ิมจะเอมเพราะเปรมปรฺ ยิ ,ํ และรน่ื ณรสระตีจริ ํ ระรวยใจ. ทูลกระหมอ่ มเสดจ็ ณ เทศะใด กข็ า้ พระบาทจะตามธไป พระเจา้ ฃ้า! (มทั นะพาธา : ๗๔ - ๗๕) อย่างไรก็ตามยังมีบางฉากที่แสดงให้เห็นถึงความมองโลกในแง่ร้ายของนางมัทนา คือตอนที่นางพูดว่า ผชู้ ายมักจะอวดดี เยาะเยย้ ผหู้ ญงิ วา่ โงเ่ งา่ ทำใหน้ างรู้สึกระอิดระอาและไมก่ ลา้ ทจ่ี ะรกั ใคร ดงั นี้ มทั นา เม่ือกอ่ นสิชายรกั กม็ ิพกั จะเออจะอวย, อวดดีและอวดดว้ ย บมเิ คยจะลุ่มจะหลง; ทั้งเคยเยาะเย้ยหยนั นระผพู้ ะว้าพะวง, วา่ เขานะเขลาคง จะบพ้นระอดิ ระอา. เคยว่าบุรษุ กลา่ ว วจะลวงยุพาและพา ไปร่วมสเิ นหา บมชิ า้ ก็ทอดก็ทง้ิ , (มัทนะพาธา : ๖๗)
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา : ๑๗ ลักษณะนิสัยทีโ่ ดดเด่นอีกอย่างหน่ึงคือนางเป็นผู้หญิงท่ียึดถือค่านยิ มของสังคม คือการมีสามีเดียวเพอ่ื ไม่ให้เกิดมลทิน เห็นได้จากที่สุเทษณ์ได้ยื่นขอให้นางมัทนาเป็นภรรยาตน นางจึงแย้งว่ามันผิดหลักกฎพื้นฐาน หรอื แปลกไปจากค่านิยมที่มีมานานนัก เพราะการทีผ่ ู้หญิงเคยผ่านชายมาแล้วไมน่ บั วา่ บรสิ ุทธ์ิ อกี ทั้งการมีสามี หลายคนไม่ใชเ่ ร่ืองดีทผี่ ้หู ญงิ กระทำกนั ดงั ความวา่ มทั นา แต่จะโปรดดะนุและให้ คระไลนะภา เปนพระบาทะบรจิ า- รกิ าฉน,้ี เกรงจะผดิ พระนติ ธิ รร- มะอันนะรี เสพยก์ ะสองบรุ ุษะมี ฤใครจะชม? อันพระองค์อะมระเศรษ- ฐะเดชอดุ ม จ่ึงมคิ วรจะอภิรม- ยะนารทิ ราม; ฃา้ ทำนลู วะจะนะตรง ดำรงณความ สตั ฺยะธรรมะคะตงิ าม นะเทวะไท! (มัทนะพาธา : ๑๓๘) ๖. พระกาละทรรศิน พระกาละทรรศินเป็นฤๅษีที่อาศัยอยู่ในป่าหิมะวัน เป็นผู้ที่มีจิตใจดี มีความเมตตากรุณาและ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสมอ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระกาละทรรศินถือว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือนางมัทนาตั้งแต่ตอนที่นางเกิดเป็น ดอกกุหลาบท่ีปา่ หิมะวัน เพราะเป็นผู้ที่นำดอกกหุ ลาบมาดูแลทะนุถนอมเปน็ อยา่ งดี สะท้อนให้เห็นถึงจติ ใจท่ีดี มีเมตตาของพระกาละทรรศนิ ดงั ความว่า พระกาละทรรศนิ อ้ามาลีเลิศฤดเี พลิน สวุ มิ ะละและเจรญิ , ขา้ จะขอเชญิ ผะกาไป ส่สู วนงามข้างกฎุ ิให้ ระมะณยิ ะจะบำรุงไว้ เพอื่ บมภี ยั พบิ ตั ปิ วง; ขา้ รบั คำววา่ จะแหนหวง ประดจุ ะวรธดิ าดวง ใจจะใฝ่ห่วง สุดาภา. (มัทนะพาธา : ๕๐)
การวิเคราะหบ์ ทละครพูดคำฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๑๘ นอกจากความมีเมตตาของพระกาละทรรศินที่มีต่อนางมัทนาแล้ว ยังแสดงความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อ ท้าวชัยเสนที่ได้เข้าป่ามาล่าสัตว์และพลัดหลงจากขบวนเสด็จ โดยการให้ที่พักพิงอาศัย และให้การต้อนรับเปน็ อย่างดี พระกาละทรรศนิ ขา้ ขอทูลเชิญทรงชยั เสด็จเข้าใน อาศรมสราญร่มเยน็ . จริงอยู่เรือนขา้ ก็เปน เพยี งเรอื นอยา่ งเช่น บุคคลชาวปา่ อาศัย, แตว่ ่าอาตมะเตม็ ใจ ตอ้ นรับท้าวไป. (มัทนะพาธา : ๖๓) พระกาละทรรศิน ราชะ, อันพระภบู าล กเ็ ปนผผู้ ่าน พภิ พและคมุ้ ครอง; ฉนั ใดพระองค์จะตอ้ ง เกรงขา้ ผู้ครอง เพยี งเขตอรัญพงพ?ี อันโปรดตำบลหนน้ี อาทะมะมี ความปลม้ื กมลพ้นไป เพราะขา้ โยคชี ไี พร นานนานจะได้ เฝา้ พระบรมบพิตร. หากกลา่ วตามอำเภอจิต พระองค์สถติ ยงิ่ นานก็ยง่ิ ด.ี (มัทนะพาธา : ๖๔) นอกจากเป็นผู้จิตใจดีมเี มตตาแลว้ พระกาละทรรศินยังมคี วามรักความปรารถนาดีต่อนางมัทนา เห็นได้ จากตอนที่พระกาละทรรศินรู้ว่านางมัทนาเกิดความรักกับท้าวชัยเสน พระกาละทรรศินก็พลอยยินดีไปด้วย เพราะนางไม่ต้องกลายเปน็ ต้นไมเ้ หมอื นทแ่ี ล้วมา พระกาละทรรศิน หากนางจะมโี ชค โดยสมเดจ็ พระทรงธรรม์ โปรดปรานนงคราญนน้ั กค็ วรทจี่ ะดีใจ; และมาจนบดั นี้ ยงั คงรูปเปนนางไซร้, ไมก่ ลายเปนตน้ ไม้ ไปดงั เช่นท่เี คยมา. (มทั นะพาธา : ๘๔)
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา : ๑๙ หรือเห็นได้จากเหตกุ ารณ์ทีท่ ้าวชยั เสนไปขอนางมัทนากับพระกาละทรรศิน พระกาละทรรศินได้กลา่ ว คำยนิ ดแี สดงถงึ ความรกั ความหวังดีทีม่ ีต่อนางมัทนาและท้าวชัยเสนวา่ พระกาละทรรศนิ อนั อาตะมะน้ีไซร้ ทุกเมอื่ จงใจ สนองคุณราชา. เม่อื เหน็ ทรงพระเมตตา แดม่ ะทะนา ก็พลอยมีจติ ยินด,ี เพราะรกั เหมือนเปนบตุ รี และบตุ รได้ดี บดิ าก็ตอ้ งพอใจ. (มัทนะพาธา : ๘๗) อีกทั้งพระกาละทรรศินยังเปน็ ผูท้ ่ีมีความเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน และคอยให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความ เดือดร้อนเสมอ ดังเช่นเหตุการณ์ตอนที่ท้าวชัยเสนขอความช่วยเหลือจากพระกาละทรรศินช่วยพูดให้นาง มทั นา (ตน้ กุหลาบ) ยอมกลบั ไปอยกู่ บั ตนท่ีพระราชวัง พระกาละทรรศนิ อนั อาตะมะกย็ นิ - ดีชว่ ยนรินทร์ เพื่อให้ธสมประสงค,์ เพราะเชื่ออยวู่ ่าธคง เต็มหทยั ทรง บำรงุ ซึง่ มง่ิ ไมน้ ,้ี และถ้าอยูก่ รงุ จะดี กว่าคงอยู่คงที่ ณ กลางอรญั กนั ดาร. โปรดสง่ั ให้เขาเตรียมการ ขดุ รุกขะมาลย,์ เพราะเชื่อวา่ คงยอมไป. (มทั นะพาธา : ๑๔๖ - ๑๔๗) ๗. โสมะทัต เป็นหัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศิน มีลักษณะนิสัยคือ ชอบบงการสั่งให้ทำ มีอารมณ์ฉุนเฉียว ใจร้อน ในขณะเดียวกันก็เปน็ ผู้ทมี่ มี ารยาทถอ่ มตวั ฉลาดคิดและช่างสงั เกต ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ ในตอนที่โสมะทัตสั่งให้นาคและศุนไปเก็บดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมมาให้พระกาละทรรศิน เมื่อทั้งสองทำ ไม่ได้ด่ังใจโสมะทัตจึงเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขนึ้ มา ดงั นี้
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เรื่อง มัทนะพาธา : ๒๐ โสมะทตั สองคนอย่ามวั ร่ำไร! ท่านสง่ั แล้วไย นาค มิทำดงั ทา่ นบัญชา? ท่านดลี องมา ศนุ ไมไ่ หวจรงิ ๆ เจ้าข้า. ตอ่ เถียงเราหนอ; โสมะทตั ใชว่ า่ ดิฉนั นาค เกบ็ เอาไปเองเถดิ หนอ. แตว่ ่าถกู หนาม! อย่ามัวพดู จาตอ่ ลอ้ ไร้ความนับถอื ศุน จงเกบ็ ดอกไมโ้ ดยพลนั . โสมะทัต โอ้ช่างไมเ่ หน็ ใจกนั ! จะแสรง้ ขดั คำพีพ่ ราหมณ;์ จริง ๆ อยากใคร่ทำตาม, โอยเจบ็ พิลกึ กกึ กอื ! แกทั้งสองคนหัวด้อื . จง่ึ ขัดคำเราผูใ้ หญ่; ชา่ งเถิดไม่จำตอ้ งใช!้ (มัทนะพาธา : ๔๘) ด้วยอารมณท์ ี่ฉนุ เฉียวและใจรอ้ นนัน้ ทำไมโสมะทตั เกอื บจะใชม้ ดี ฟันกิ่งกุหลาบนั้นทง้ิ ในตอนท่โี สมะทัต โดนหนามดอกกุหลาบบาดมอื ทำใหศ้ ิษย์สองคนหวั เราะเยาะ ดังท่ีผู้ประพนั ธบ์ รรยายไว้วา่ “โสมะทัตตรงเขา้ ไปจะเด็ดดอกกหุ ลาบ ถกู หนามเขา้ บ้างต้องหดมอื ออกมา ศษิ ย์สองคนหวั เราะ ซึ่งทํา ให้โสมะทตั ขัดใจ ชักมีดเหน็บออกจะฟนั ก่ิงกหุ ลาบ” (มัทนะพาธา : ๔๘) แม้โสมะทัตจะใจร้อนและชอบบงการแต่ในขณะเดียวกันก็ยังแสดงถึงความมีมารยาทและถ่อมตัว เห็นได้จากตอนที่โสมะทัตได้พูดคุยกับศุภางค์ทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน เหตุว่าศุภางค์ไม่อยากพูดอธิบาย อะไรในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้โสมะทัตฟังไปมาก ฝ่ายโสมะทัตจึงตอบว่าตนนั้นเป็นเพียงคนมีฐานะต่ำกว่า ไม่ริอาจ ขอล่วงรอู้ ะไรมากไปกวา่ ท่ีศุภางคก์ ล่าวเทา่ ท่ีจำเปน็ แล้ว ดังนี้ โสมะทัต ตขู ้าเปนคนตำ่ บมจิ งทนงขอ; ท่านจงกลา่ วแตพ่ อ ดำริควรแถลงสาร. (มัทนะพาธา : ๖๐)
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา : ๒๑ ๘. นาค นาคเปน็ ศิษย์ของพระกาละทรรศิน เป็นคนทเ่ี ฉลยี วฉลาด ทงั้ การพดู การจา ชา่ งคิด ชา่ งสังเกต อยากรู้ อยากเห็น ความรู้รอบตัวเยอะ ขยันแต่ไม่โลภมาก มีความรับผิดชอบ คอยปรนนิบัติรับใชท้ ำตามคำสั่งของพระ กาละทรรศินและโสมะทัตด้วยความจงรักภกั ดี ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี ในตอนท่นี าคและศุลสหายของเขาได้รับคำส่ังให้ไปตามหากลนิ่ หอม ในป่าใหญ่แหง่ หนึ่ง ศุนก็ได้บน่ กับ นาคตามประสาคนถูกใช้ นาคก็ได้พูดจาหยอกล้อ ตลกขบขัน ด้วยความที่เป็นคนลักษณะนิสัยฉลาด ช่างพูด ก็ได้เปรียบเปรยวา่ ศุลจมูกดีเหมือนสนุ ัข ดงั น้ี ศุน อยดู่ ดี ี ใช้ให้ตามหากลิ่น, ใครจะไปหาพบ (นอนเหยยี ดลงกับพืน้ ) นาค ทำไมจมกู แกไม่มีหรอื ? (นัง่ บนตอไม)้ ศุน ก็มนี ะ่ สิ! แต่เกิดมายงั ไมเ่ คยรับใช้เช่นน้ีเลย. ข้าสดู หากลน่ิ เสียจนจมกู เย้มิ แล้ว, รไู้ หม นาค จมูกเย้ิมก็ดอี ย่แู ลว้ แปลวา่ แกไมเ่ จบ็ . ศนุ เอ๊ะ! อยา่ งไรกนั ? นาค ขา้ เคยสังเกตเห็นอา้ ยดา่ งของข้า เมอ่ื ไรจมูกมันแหง้ ละก็แปลวา่ มันไมส่ บาย. ศุน อวุ ะ! แลว้ กนั ! เอาข้าไปเขา้ ประเภทหมาเสยี แลว้ ! นาค ก็ดีนี่นะ หมาจมกู มันเก่งกวา่ คนเราอีก. (มทั นะพาธา : ๔๔) ด้วยความที่นาคเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ในระหว่างที่ศุนกำลังพูดบ่นไปเรื่อย ๆ นาคก็ได้คิดตามไป ด้วย เหน็ ไดจ้ ากตอนทศ่ี นุ ไดบ้ น่ ท่ีแมลงภูม่ าตอม เป็นสาเหตทุ ำให้นาคและศนุ เจอของหอม ดังนี้ ศนุ (ยกมอื ข้ึนปดั ) เฮย้ ! อย่าเล่นน่า! จ๊ักจี.้ (ผงกหวั ข้ึนมองด)ู เอ๊ะ! พกิ ลแฮะ, หมายวา่ แกเลน่ รงั แกอีก. ทแ่ี ท้แมลงภ่นู ่ะเอง. (นอนลงอกี ) นาค แกว่าแมลงภหู่ รอื ? เอ! ทา่ ทางชอบกล! (ลกุ ขนึ้ เดนิ มอง) ศุน นัน่ ลุกขนึ้ เดนิ ไขวอ่ ยู่ทำไมนะ? ข้าเวียนหวั พลิ ึก. นาค ท่ีไหนมแี มลงภ่ตู ้องมีของหอม ฉะนน้ั – (เดนิ คน้ ต่อไป) ศนุ (เอกเขนกขึ้น, หันหน้าไปทางหลังเวที) แกนี่- (เห็นดอกกุหลาบ จึ่งร้องขึ้น.) นั่นแน่! ได้ตัวแล้ว, ใหต้ กนรกสิ! นาค อะไร? ศนุ อ้ายของหอมของแก (ช้ีดอกกุหลาบ) นั่นเปนไร. (มทั นะพาธา : ๔๔)
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา : ๒๒ ทั้งนี้ยังแสดงถึงความรอบคอบ คิดไตร่ตรอง ไม่ด่วนตัดสินใจ ดังในตอนที่นาคสังเกตและพิจารณาว่า ดอกไม้นั้นคอื ดอกอะไร ดังน้ี นาค (เดินเขา้ ไปยังต้นกุหลาบ) จรงิ ของแก; อ้ายดอกน่ีเอง. เอะ๊ ! เขาเรยี กดอกอะไรนะ? ศุน ชบา นาค บดั ซบ! ชบาหอมมีหรือ? ศุน มี หอมเขยี ว! นาค มลิ ักข!ู หอมเขียวมีหรือ? ศนุ ไม่มีก็เเลว้ ไปสิ. นาค อีกประการหนึ่ง, ชบาไมม่ หี นาม; นหี่ นามชมุ พิลกึ . ศุน ถา้ ฉะนน้ั เรียกวา่ อะไรละ่ ? นาค ถ้าขา้ รู้ขา้ จะถามแกหรอื ? แตบ่ างทีโสมะทัตจะรู้จกั . ไปบอกขา่ วให้เขาทราบเห็นจะดี (มัทนะพาธา : ๔๔ - ๔๕) ในความช่างคิด ช่างสังเกตและมีความรับผิดชอบของนาคนั้น ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากพระ กาละทรรศินให้ดูแลดอกไม้หอมที่นำมาปลูกไว้ วันหน่ึงดอกไม้ได้หายไป นาครู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่าง มาก และไดแ้ สดงออกให้เห็นถงึ ความกลา้ หาญ คือกล้ารบั โทษท่ไี ดท้ ำดอกไมห้ าย ดังนี้ ศนุ ข้าว่าแล้วไหมล่ะว่าต้นไม้นี่มันเปนต้นไม้ผี. ถ้าเปิดกลับไปอยู่ป่าเสียอีกละก็จะทำ ความลำบากกบั พวกเราอีกละนะ นาค จรงิ ! ข้ากต็ อ้ งถกู ขนาบแย่เทา่ นน้ั . ศุน แนล่ ะ! แก่มนั เปนนา่ ทบ่ี ำรุงรักษาตน้ ไม้น้นั อยู่ด้วย. นาค จะทำอย่างไรกนั ดลี ะ่ เรา? ศุน อย่ามาลากเอาขา้ เขา้ ไปด้วย. ขา้ ไม่ขอแบง่ โทษของแกดอก, เชอ่ื เถอะ นาค เอาเถอะ, โทษทัณฑ์ข้ารบั คนเดยี วกไ็ ด,้ ขอแต่ใหช้ ว่ ยออกความคดิ หนอ่ ยเถอะ. (มัทนะพาธา : ๗๕ - ๗๖) นอกจากนี้นาคยังเป็นคนท่ีไม่โลภมาก เห็นได้จากตอนที่นาคบอกให้ศุนไปบอกความกับท่านอาจารย์ เพือ่ จะใหเ้ พื่อนได้ความดคี วามชอบด้วย ดงั น้ี นาค ก็จรงิ อย,ู่ แตว่ ่าถ้าท่านอาจารย์ไดท้ ราบข่าวทที่ ่านปรารถนาแล้วกเ็ ปนผลเทา่ กันไม่ใช่ หรือ? ศุน มันจะเทา่ กนั อย่างไรได้, พอ่ เจา้ ประคณุ เอย๋ . ใครเปนผ้เู อาความไปบอกไดก้ อ่ นคนน้ัน ก็ตอ้ งได้บำเหน็จส.ิ นาค ถ้าเชน่ นั้นแกไปบอกข่าวเถอะ, จะได้ไดบ้ ำเหน็จ.
การวเิ คราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๒๓ ศุน อ๋อ, ข้าไมเ่ ปนคนท่อี ยากได้บำเหน็จถึงปานนนั้ ดอก. แกไปเถอะ. นาค สรุปความก็เปนอันว่าแกขี้เกียจเกินที่จะเดินไปรับบำเหน็จ, แต่ไม่อยากให้ใครแย่ง ความชอบ, ฉะนน้ั หรอื ? (มทั นะพาธา : ๔๕) ๙. ศุน ศุนเป็นศิษย์ของพระกาลทรรศิน เช่นเดียวกับนาค โดยลักษณะนิสัยของศุนเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกียจ ขี้บ่น ไม่ค่อยรอบคอบ แต่ก็มีความกล้าพูดกล้าแสดงออก และรู้จักเอาตัวรอด อีกทั้งศุนก็คอยรับใช้และ จงรักภกั ดตี อ่ พระกาละทรรศินและโสมะทตั ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ ในตอนทศ่ี ุนและนาคไดร้ บั คำส่งั ให้ไปตามหากลน่ิ หอมในปา่ ใหญ่ ศนุ มักจะบ่นไปตามประสาคนท่ีถูกใช้ อยเู่ สมอ ดว้ ยความซือ่ ๆ ไมค่ ่อยรู้อะไรของศุน จงึ ทำให้ศนุ โดนนาคพดู จาหยอกลอ้ แกมด่าเสมอ เชน่ ศุน อยูด่ ดี ี ใชใ้ ห้ตามหากลน่ิ , ใครจะไปหาพบ (นอนเหยียดลงกับพืน้ ) นาค ทำไมจมูกแกไม่มหี รอื ? (นงั่ บนตอไม)้ ศุน กม็ ีน่ะส!ิ แตเ่ กดิ มายังไมเ่ คยรบั ใช้เช่นนีเ้ ลย. ข้าสูดหากลิน่ เสยี จนจมูกเยิม้ แลว้ , รไู้ หม นาค จมูกเย้ิมกด็ ีอยแู่ ลว้ ; แปลว่าแกไมเ่ จบ็ . ศุน เอะ๊ ! อยา่ งไรกนั ? นาค ขา้ เคยสังเกตเหน็ อา้ ยด่างของข้า, เมอื่ ไรจมกู มันแห้งละกแ็ ปลวา่ มนั ไมส่ บาย. ศนุ อวุ ะ, แล้วกัน! เอาข้าไปเขา้ ประเภทหมาเสียแลว้ ! นาค ก็ดีนน่ี ะ; หมาจมกู มนั เกง่ กวา่ คนเราอกี . (มัทนะพาธา : ๔๔) ศุนผู้ที่มีนิสัยซ่ือ ๆ บื้อ ๆ อีกทั้งความรู้รอบตัวยังมีไม่มากพอ เมื่อเจอดอกไม้จึงพูดออกไปโดยไม่ทันได้ คิดพิจารณาอะไร ก็ด่วนตัดสินใจไปแลว้ ว่าดอกไมน้ ้ันคอื ดอกชบา ซ่ึงมกี ล่ินหอมเขียว ดังความวา่ นาค (เดินเขา้ ไปยังต้นกุหลาบ) จริงของแก อา้ ยดอกนเ่ี อง เอ๊ะ! เขาเรียกดอกอะไรนะ? ศุน ชบา นาค บัดซบ! ชบาหอมมีหรอื ? ศนุ มี หอมเขยี ว! นาค มลิ กั ขู! หอมเขยี วมีหรอื ? ศนุ ไมม่ ีก็เเล้วไปส.ิ นาค อีกประการหน่งึ ชบาไม่มีหนาม นี่หนามชุมพิลกึ ศนุ ถ้าฉนน้ั เรียกวา่ อะไรละ่ ?
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา : ๒๔ นาค ถ้าข้ารูข้ ้าจะถามแกหรือ? แตบ่ างทีโสมะทัตจะรจู้ กั ไปบอกขา่ วใหเ้ ขาทราบเหน็ จะดี (มัทนะพาธา : ๔๔ - ๔๕) ศุนเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกียจ เห็นได้จากตอนที่ศุนพบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแต่กลับไม่รีบไปแจ้งความ บอกข่าว มัวแต่เกยี่ งใหน้ าคเปน็ คนไปบอกข่าวแทนตน ดังนี้ ศุน มันจะเทา่ กนั อยา่ งไรได้, พอ่ เจ้าประคณุ เอ๋ย. ใครเปนผเู้ อาความไปบอกได้กอ่ นคนนน้ั ก็ต้องไดบ้ ำเหนจ็ ส.ิ นาค ถา้ เชน่ นน้ั แกไปบอกขา่ วเถอะ, จะได้ได้บำเหนจ็ . ศนุ ออ๋ , ขา้ ไม่เปนคนท่อี ยากได้บำเหนจ็ ถงึ ปานนัน้ ดอก แกไปเถอะ. นาค สรุปความก็เปนอันว่าแกขี้เกียจเกินที่จะเดินไปรับบำเหน็จ, แต่ไม่อยากให้ใครแย่ง ความชอบฉะน้นั หรอื ? (มทั นะพาธา : ๔๕) แม้ศุนจะค่อนข้างขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนที่กล้าพูด และมักเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ตนคิดว่าไม่ค่อย ดีนัก ดงั เหตกุ ารณต์ อนทตี่ ้นกุพชะกะไดห้ ายไป ดังนี้ นาค เราตอ้ งสืบดเู คา้ เง่ือนสิ ศนุ “เรา” อีกแล้ว! ขอเสียทีเถอะ, อย่าพูดแทนคนอื่นหน่อยเลย. แกเปนผู้มีหน้าทีร่ ักษา ต้นไม้วิเศษ, เมื่อทำต้นไม้ของท่านหายก็เปนหน้าที่ของแกที่จะสืบแสวงเอากลับคืน, หรืออย่างน้อยกส็ ืบใหไ้ ด้รอ่ งรอยว่าใครเปนผู้รา้ ย. (มัทนะพาธา : ๗๗) ศภุ างค์ มีธุระอะไรหรอื เพ่ือน. ศนุ ธุระน่ะมีอยู่ขอรับ, แต่มันไม่ใช่ธุระของกระผม มันเปนธุระของเพื่อนกระผม; ดังที่ เพอื่ นกระผมจะได้กราบเรียนเอง. (ดนั หลังเพ่ือนให้ออกไป) นาค กระผมมีความทุกข์ร้อนอยู่มาก, จึ่งอยากจะขอความกรุณาต่อใต้เท้า คือว่าบัดนี้ได้ เกิดเหต-ุ ศุน (แย่งพูด) ขอรับ, เปนเหตุใหญ่, ทำให้เปนที่วิตกแก่พวกกระผมมาก ดังเพื่อนกระผม จะได้กราบเรยี นตอ่ ไป. (กระต้นุ หลังเพอ่ื น) นาค น่ันแหละขอรบั , ตามทีใ่ ต้เท้าไดท้ ราบแล้ว-เอ้อ-เอ้อ- ศุภางค์ ฉนั จะทราบอย่างไรได้ เมื่อแกยังไม่ไดเ้ ล่าอะไรให้ฉนั เลยจนอยา่ งเดยี ว! ศนุ กระผมต้องขอรับประทานอภัยแทนเพื่อนของกระผม. เขาเปนคนที่ขี้ประหม่า, และ พดู จาไมใ่ ครจ่ ะเปน. เพราะไมใ่ คร่จะเคยพบเห็นคนสำคญั เชน่ ใต้เทา้ .
การวเิ คราะหบ์ ทละครพดู คำฉันท์ เร่อื ง มัทนะพาธา : ๒๕ ศุภางค์ ฉันเห็นแลว้ ว่าแกเปนคนท่เี ก่งกวา่ เพื่อนแกมาก; ฉะนน้ั แกเล่าเร่ืองให้ฉนั ฟงั กแ็ ลว้ กนั . (มทั นะพาธา : ๗๘) ๑๐. ท้าวชัยเสน ท้าวชัยเสนเป็นกษัตริย์จันทรวงศ์ ผู้ครองนครหัสตินาปุระ และเป็นตัวละครเอกที่มีบทบาทสำคัญตัว หนึ่งในการดำเนินเรื่อง มีรูปงาม ลักษณะนิสัยคือมีความรักอันร้อนแรง อารมณ์ฉุนเฉียว ใจร้อนและวู่วาม ขาดความรอบคอบ จึงทำให้ได้รบั ความเจบ็ ปวดและเดอื ดร้อนจากความรัก ดังรายละเอียดตอ่ ไปน้ี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเน้นบรรยายรูปลักษณ์ของ ท้าวชัยเสนไว้มากนัก แตส่ ะทอ้ นความงามได้จากตอนที่นางมทั นารำพงึ รำพันถงึ ทา้ วชัยเสน ดังความวา่ มทั นา เธอไกลกด็ ูราว นภะไร้ตะวนั และเดือน. โอว้ ่า ณ คราน้ี แหละฤดีจะฟน่ั จะเฟอื น, ด้วยรักกระทำเชือน ละฉะนีจ้ ะทำไฉน? (มทั นะพาธา : ๖๘) ท้าวชยั เสนมคี วามรักร้อนแรง ได้พบนางมัทนาแค่คร้ังแรกก็เกดิ ความหลงใหล แสดงความรสู้ ึกออกมา โดยไมไ่ ดป้ กปิดใด ๆ เหน็ ไดจ้ ากในตอนท่ีทา้ วชัยเสนแอบมองนางมัทนาอยหู่ ลงั กอไม้จนไดเ้ ผยความรสู้ ึกตอ่ กัน ในคนื น้ัน ตัวอย่างเช่น ชยั เสน ผิวะตน่ื กจ็ ะดู ยวุ ะดีสริ มิ า, ผวิ ะหลับฤก็ขา้ จะสุบนิ ฤดเิ พลนิ : ทิวะราตริจะนอน, ฤจะนง่ั ฤจะเดิน, บมิมลี ะจะเหนิ ฤจะหา่ งมะทะนา; บมเิ ห็นวรพกั ตร์ กจ็ ะหนกั อุระว้า, ขณะเคยี งพะนิดา กจ็ ะรื่นฤดศิ านต์. (มทั นะพาธา : ๗๓) เมื่อท้าวชัยเสนได้พบหญิงที่ถูกใจเช่นมัทนาจึงหลงรักและแต่งงานด้วยทันทีโดยไม่สนใจไยดีนางจัณฑี มเหสขี องพระองค์ ทำใหน้ างไม่พอใจมากจงึ วางแผนใส่รา้ ยมัทนาว่าทำเสน่ห์ใหศ้ ุภางค์ทหารเอกของท้าวชัยเสน หลงรัก ท้าวชัยเสนหลงเชื่อแผนการของนางจัณฑีอย่างหมดใจ เพราะการทำเสน่ห์ถือเป็นการทำผิดกฎ มณเฑียรบาลและดูหม่ินพระเกยี รติของพระองคอ์ ยา่ งร้ายแรง ดังท่ที า้ วชัยเสน กลา่ ววา่
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๒๖ ชยั เสน เอ๊ะ! หากว่าจรงิ ละก็เป็นสิ่ง ท่โี ทษฉกรรจ!์ (มทั นะพาธา : ๑๑๓) คำกล่าวของท้าวชัยเสนแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ และขัดเคืองใจจนลืมความรักและคำมั่นสัญญา ว่าจะรักมัทนาตลอดไปจนหมดสิ้น อีกทั้งไม่ยอมรับฟังคำอธิบายใด ๆ จากศุภางค์เลย ด้วยความวู่วามของท้าว ชัยเสนทีค่ ิดว่าถกู ทรยศจากนางท่ีรกั ทำให้ทา้ วชยั เสนส่ังประหารชีวิตมทั นาทันที ดังนี้ ชยั เสน สว่ นมะทะนา ก็อหงั การ์ ริเรม่ิ เหมิ หาญ, ขนื จะเอาไว้ ต่อไปไมน่ าน กค็ งคิดการ ประหารกูตาย. จงเอาโฉมตรู ไปพรอ้ มกบั ชู้ ของนางโฉมฉาย, ฆา่ เสียดว้ ยไซร้ จะได้สมหมาย พร้อมพร้อมกันตาย ไปคู่เคียงกนั , (มทั นะพาธา : ๑๑๙ - ๑๒๐) การตกอยู่นอำนาจโทสะ ขาดความยั้งคิดของท้าวชัยเสนทำให้ต้องพลัดพรากคนที่รัก ต่อมาท้าวชัย เสนร้คู วามจริงทัง้ หมดพระองคก์ ร็ ูส้ ึกผดิ อย่างมหนั ต์จงึ ตดั สินใจลงโทษพระองคเ์ องวา่ ชยั เสน บดั นป้ี รากฏบผดิ ใด สุปิยะชวิ ะประลยั ขา้ จะอยูไ่ ย ณ โลกน้ี! (มัทนะพาธา : ๑๒๖) ข้อผิดพลาดของท้าวชัยเสนเป็นคติเตือนใจมนุษย์ว่าควรรู้จักไตร่ตรองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ รอบคอบก่อนตัดสินใจทำสิ่งใดโดยปราศจากการควบคุมอารมณ์ รวมทั้งต้องมีความหนักแน่นในความรักและ เชือ่ ใจคนท่ีรกั กอ่ นทุกอยา่ งจะสายเกินไป ๑๑. ศุภางค์ ศุภางค์คือนายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ กล้าหาญ เป็นตัวละครที่มี บทบาทเกี่ยวพันกับความรักและความทุกข์ความเจ็บปวดจากความรัก โดยมิได้มาจากการกระทำของตนเอง แตถ่ กู ใชเ้ ปน็ เครือ่ งมอื ในแผนการร้ายของนางจัณฑี ดังรายละเอียดต่อไปน้ี ศุภางค์เป็นนายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสนมีจิตใจที่กล้าหาญ ซื่อสัตย์ และภักดีต่อท้าวชัยเสนอย่าง ยิ่ง ยอมถวายชีวิตแด่ท้าวชัยเสนด้วยการพลีชีพในสงครามเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ท้าวชัยเสนเห็นความซื่อสัตย์ จงรักภักดี และความกตญั ญูของตน ดังทน่ี ันทวิ รรธนะกลา่ วกับทา้ วชยั เสนว่า
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๒๗ นันทวิ รรธนะ ครัน้ ถงึ เวลายทุ ธ์ ดนุเหน็ ศภุ างค์ไซร้ ออกนำหน้าพลไป และประยทุ ธะหน้าทัพ, เหน็ พวกขา้ ศึกห้อม ณ ศภุ างคะเหลือนบั , ท้งั ฟนั ทง้ั แทงยบั และศุภางคะลม้ ตาย. สมใจท่ีใฝ่มอบ ชิวะเปน็ พะลภี าย ใตบ้ าทแหง่ ฦๅสาย เพราะว่ามน่ั กตญั ญู. (มัทนะพาธา : ๑๓๐) หลังจากที่ท้าวชัยเสนหลงเชื่อแผนการของนางจัณฑีว่ามัทนาเป็นชู้กับศุภางค์แล้วสั่งประหารศุภางค์ ทำให้ศุภางค์ต้องอยู่ในภาวะทหารเอกที่ทรยศหกหลังท้าวชัยเสนศุภางค์ผิดหวังและเสียใจมากจึงแสดงความ กตัญญูด้วยการออกรบ แสดงให้เห็นว่าศุภางค์เป็นนายทหารที่ซื่อสัตย์ ยอมสละชีพในสนามรบเพื่อแสดงความ จงรักภักดีต่อนายของตน ส่วนท้าวชัยเสนเองก็รักและไว้วางใจศุภางค์มาก เห็นได้จากความไว้วางใจให้ศุภางค์ คอยดูแล รักษาความปลอดภัยให้นางมัทนา ณ สวนหลวงในขณะท่ีท้าวชัยเสนออกรบ แต่ศุภางค์ปฏิเสธเพราะ เหน็ ว่าไม่เหมาะสม ดงั ที่ศภุ างค์กลา่ ววา่ ศุภางค์ หากคดิ มดิ แี ล้ว ก็จะทลู พระฦๅสาย โดยถ้อยทโุ รบาย และสมัครพิทกั ษน์ าง; โดยเหตพุ ระองคท์ รง พระประสงคะมีอยา่ ง นน้ั อยกู่ เ็ ป็นทาง ดนุควรจะฉวยพลัน; แต่ขา้ สินึกเกรง ผจิ ะอยู่ ณ สวนขวญั อาจดมู ดิ ีครนั , เพราะว่ะคนจะนนิ ทา. (มัทนะพาธา : ๑๑๕) ความไว้วางใจของท้าวชัยเสนที่มีต่อศุภางค์จนถึงกับยอมให้ดูแลมัทนานี้เอง คือสิ่งที่นางจัณฑีนำมาใช้ วางแผนการร้ายกำจัดมัทนา ด้วยการใช้ศุภางค์ให้เป็นประโยชน์เพื่อแผนการจะได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและ น่าเชื่อถือ นั่นคือการใส่ร้ายว่าศุภางค์เป็นชู้กับมัทนา จนทำให้ศุภางค์และมัทนาได้รับความทุกข์ระทมอย่าง แสนสาหัส
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เร่ือง มัทนะพาธา : ๒๘ ๑๒. นันทวิ รรธนะ นันทิวรรธนะเป็นอมาตย์ของท้าวชัยเสน เป็นคนรอบคอบ วางตนเป็นกลาง ใจเย็น มีวิสัยทัศน์ กว้างไกล รู้จักพูด มีเหตุผล นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม มีจิตใจเมตตา และยังเป็นคนกล้ายอมรับผิดใน ความบกพรอ่ งของตนเอง ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี ตอนที่กำลังสืบสวนเรื่องการทำเสน่ห์เพื่อหาความจริง นันทิวรรธนะเลือกที่จะรอถามปริยัมวะทาก่อน เพื่อเก็บข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ไม่เลือกฟังความข้างเดียว แสดงถึงความยุติธรรม และรอบคอบในการทำหน้าที่ ดงั นี้ นนั ทิวรรธนะ บดั น้ีมีผู้กล่าวหา ตัวคุณน้ีว่า ใชน้ างข้าหลวงไปตาม หมอเฒ่าช่อื วิทรู พราหมณ์, ข้าจ่ึงขอถาม ข้อน้ีให้การฉันใด? (มทั นะพาธา : ๑๑๖) ในการสอบถามนั้นมีการขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะฝ่ายปริยัมวะทาถูกใส่ร้าย แต่เกศินีก็ไม่ยอมเช่นกันยังคง โกหกหน้าตาย ทำให้นนั ทวิ รรธนะตอ้ งห้ามปาม ไม่ให้ใช้คำหยาบคายต่อกันสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ความใจเยน็ นนั ทวิ รรธนะ ข้าตอ้ งขอที กำลงั ทำอา- อย่ากลา่ วผะรุสวาจา. กับขนุ ทหาร นางทาสีให้การว่า ถรรพ์เพ่อื ประทุษภูบาล, อกี เพ่ือใหเ้ ยาวะมาลย์ ไดร้ ว่ มสเิ นห่ ส์ มใจ. (มัทนะพาธา : ๑๑๗) นอกจากการกระทำที่ดีแล้ว นันทิวรรธนะยังมีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง วิสัยทัศน์กว้างไกล นึกถึง ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ทั้งหมดที่กล่าวนี้เห็นได้จากตอนที่ท้าวชัยเสนชักดาบออกและทำท่าจะแทงตัว แตน่ ันทิวรรธนะรบี จับมือไว้ไดท้ นั และกลา่ วกบั ท้าชยั เสนวา่ นนั ทิวรรธนะ อ้าเทวะโปรดเกล้า กรณุ ากะข้าท,ี ขอองค์พระเจ้าช-ี วิตะรัง้ พระทยั ไว้; เหตุด้วยอะรียก พละแสนยะเกรยี งไกร เกือบถึงพระเวยี งชัย, และตลอดวิถีมา
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา : ๒๙ ไดท้ ำระส่ำปวง นรหวั่นณวญิ ญาณ์, ดังนี้แหละทวยนา- คะระยงั ระริกรัว. หากรู้วะ่ เสียองค์ ปยิ ะราชะทลู หัว คงยงิ่ จะเพ่มิ กลัว ภยะพาลพิบัติเบียน; ตราบใดพระเดชแผ่ วรฉายะเหนอื เศียร ย่อมศานติจำเนยี ร เพราะพระบาระมีร่ม; ชีพตนและชพี ญาต์ิ บมหิ ว่ งณอารมณ,์ ขอใหน้ โรดม วรชนมฺ ะยืนยัง. ไรป้ ิน่ ดิลกราชย์ ละก็ชาต์ิจะภินพงั , ไหนเลยจะคงตงั้ อิศะรานภุ าพครอง. (มทั นะพาธา : ๑๒๖) ทั้งยังมีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความมีจิตใจเมตตาและกล้าหาญของนันทิวรรธนะ ที่ขัดขืนคำส่ัง ของท้าวชยั เสนโดยปล่อยตวั นางกลับเข้าปา่ ไป และกล้าท่จี ะสารภาพผดิ ดังนี้ นนั ทวิ รรธนะ บดั น้กี ราบทูลขอ พระประทานอภัยข้า, ดว้ ยมซี ง่ึ กจิ จา ดนุสาระภาพผิด. เมือ่ คืนทต่ี รสั สง่ั ดนปุ ลงพระชวี ิต เทวีผู้มิ่งมติ ร์ มะทะนากะชู้ไซร้, ฃ้าพาทง้ั สองถงึ ณประตูพระเวียงชยั พบพราหมณม์ าแต่ไพร, ทชิ ะถามคดีพลัน; ฃา้ เลา่ ถ่ีถ้วนจง่ึ ทิชะทูลกะแจ่มจนั ทร์ ขอเชอญสู่อารณั - ยะกะพร้อมคณาชี; ฃ้าเหน็ วา่ โปรดให้ ดนปุ ลงพระชวี ี น้ันคอื ว่าภมู ี จะมิเลย้ี งพระนางไซร้, แม้ปลอ่ ยใหเ้ ธอเฃ้า ณอะรณั ยะสูญไป เหมอื นสิน้ ชีวาลยั เพราะ ก็คงบคนื มา. ฃ้าจ่งึ ได้กลา่ วคำ อนญุ าตทิชาพา เทวีเฃา้ สปู่ ่า และบได้เผด็จชนม.์ (มัทนะพาธา : ๑๒๘ - ๑๒๙)
การวเิ คราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เร่อื ง มัทนะพาธา : ๓๐ ๑๓. วิทูร พราหมณ์หมอเสน่ห์ที่ทำงานให้กับพระนางจัณฑี พระมเหสีของท้าวชัยเสน จากการวิเคราะห์พบว่า วิทูรมีความภักดีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของตน แม้ว่าต้องทำเรื่องผิดแต่ยังรู้ถึงผิดชอบชั่วดี มีสามัญสำนึกต่อ บาปกรรม ไม่แสวงหาลาภยศ เมื่อมีจิตสำนึกเช่นนั้นแล้วจึงมุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อตอบแทนบุญคุณของ ทา้ วชัยเสนด้วย ตอนที่พระนางจัณฑีใช้แผนทำเสน่ห์หลอกท้าวชัยเสนให้ผิดใจกับนางมัทนา ได้ใช้วิทูรแกล้งทำพิธีใน สวน ก่อนเวลาทำตามแผนนน้ั แมต้ วั วิทูรรู้ว่ามันไม่ดี แตย่ ินดจี ะทำเพราะความภกั ดที ีม่ ตี ่อบา้ นเมอื งและภักดีตอ่ นางจณั ฑี ดงั น้ี วทิ รู ตขู ้าเปนชาวขณั - ฑะสิมามะคธไซร้, หากช่วยใหม้ ชี ยั กจ็ ะแสนสราญบาน; สว่ นท่ีให้ทำกจิ กละแม้นสิเน่หห์ าญ, ทลู จริงแด่นงคราญ บมใิ ครจ่ ะชอบจติ . หากทา้ วเธอกริ้วโกรธ ดนฤุ ๅจะพ้นผดิ ? (มทั นะพาธา : ๑๐๙) วทิ รู ไม่จำต้องกลา่ วขู่, เพราะดนกู ็แกไ่ ม่ เกรงซึง่ มัจจูภยั และบห่วงณชวี ี หากรบั ทำการใด ก็เพราะใจแหละภักดี แด่องค์เทวศี รี และสนองพระบาทา. (มทั นะพาธา : ๑๑๐) จากบทประพนั ธท์ ก่ี ล่าวมาข้างตน้ เห็นได้ว่าวิทูรไดย้ อมรบั ตรง ๆ ว่าไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ ในวินาที สุดท้ายก็ยังบอกซ้ำว่าตะขิดตะขวงใจที่จะทำ ซึ่งเห็นได้ว่าวิทูรเป็นตัวละครหนึ่งที่ซื่อตรง รู้ผิดชอบชั่วดี กล้าที่ จะพดู ว่าท่ีทำไปเพยี งเพราะความภกั ดี มใิ ชเ่ พื่อแสวงผลประโยชน์แต่อยา่ งใด นอกจากน้ยี ังมีในตอนทพี่ ระนางจณั ฑกี ลา่ วกบั วทิ ูรว่าถ้าแผนการนสี้ ำเรจ็ ลลุ ่วงจะมอบโคนม บ้านเรือน ทส่ี ร้างเปน็ เมอื งให้วทิ ูรข้นึ เป็นราชา แตว่ ทิ รู ไมไ่ ด้สนใจในลาภยศน้ันเลย ดังทกี่ ล่าววา่ วิทูร ตขู ้านีแ่ ก่เฒ่า วยะน้ันกจ็ วนหมด, คิดหาซึ่งลาภยศ บมิควรณขวบน้ี. (มทั นะพาธา : ๑๑๐)
การวิเคราะห์บทละครพดู คำฉนั ท์ เรือ่ ง มัทนะพาธา : ๓๑ หลังจากที่แผนการของนางจัณฑีสำเร็จ วิทูรสำนึกผิดเป็นอย่างมากจึงเลือกที่จะมาบอกความจริงกับ ท้าวชัยเสน แสดงให้เห็นว่าวิทูรมีสามัญสำนึกที่ดี และพื้นฐานไม่ใช่คนชั่วแต่เพียงทำเพราะความภักดีที่มีต่อ พระนางจณั ฑเี ทา่ นนั้ ดงั ความว่า วิทรู ขอเดชะพระสม มติเทวะราชา, โปรดทรงกรุณา ดนุสารภาพผดิ ; โอตตัปปะกระต้นุ ฤดขิ า้ กห็ วนคิด ไดว้ ่าผิวะปิด คติไวจ้ ะบาปครนั . เมอ่ื คืนพระเสดจ็ จรเข้า ณ สวนขวญั , ข้าทูลคติอนั ทุจริตมสุ าวาท. ความจริงมะทะนา ศุภะลกั ษะณานาฎ ไม่เคยริพฆิ าต ฤขบถ ณ ภมู .ี แท้จริงณพระนาง วรเทวิจัณฑี ตรัสใช้ดนนุ ้ี และกระทำอบุ ายทราม. (มทั นะพาธา : ๑๒๓) เมื่อท้าวชัยเสนให้อภัยหลังจากฟังความจริง วิทูรเองได้ตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อตอบแทนบุญคุณ ของทา้ วชัยเสน แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความกตญั ญูร้คู ณุ คน ดงั น้ี วิทรู ชมุ่ ช่นื ณฤด,ี ดนุขอปฏญิ ญา; แต่นีส่ ละทั้ง คะหะทรพั ย์และออกป่า เพ่ือต้งั ตะบะบา- รมิบ่มกศุ ลไว้, แนแ่ ท้จะอุทิศ ผละบุญถวายไท้ ตอบแทนพระอภยั วรทานณกาลนี้. (มัทนะพาธา : ๑๓๒) ๑๔. พระนางจณั ฑี พระนางจัณฑี เป็นมเหสีของท้าวชัยเสน ลักษณะนิสัยเป็นผู้ที่มีโทสะ อารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น ขี้อิจฉาริษยา ซึ่งมาจากการขาดสติยั้งคิดให้ถูกต้องและรอบคอบก่อนตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ สามารถทำเรื่อง เลวร้ายได้อยา่ งไม่เกรงกลัวจนนางต้องรับผลกรรมในทส่ี ุด ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ นางจัณฑีถือเป็นตัวละครสำคัญในการก่อให้ผู้อื่นเกิดความทุกข์อันใหญ่หลวง เพราะมีลักษณะนิสัย เป็นผ้มู อี ารมณ์รอ้ น ไม่ร้จู ักควบคุมอารมณ์ ดังทศ่ี ภุ างคไ์ ดก้ ล่าวถงึ นางไว้ว่า
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา : ๓๒ ศภุ างค์ พระนางเธอก็โทษา คะตมิ กั จะครอบดวง หทัยอยู่และใรทว้ ง ฤทักมักจะยิ่งใหญ่. (มัทนะพาธา : ๑๐๐) จากคํากล่าวของศุภางค์แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นางจัณฑีเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว หากใครกล่าวเตือน อะไรก็ยิ่งทำให้นางโกรธมากขึน้ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใด ๆ ทั้งยังเป็นคนท่ีปากร้าย ก้าวร้าว พูดจาด้วยถ้อยคำ หยาบช้า เห็นได้จากตอนทน่ี างจณั ฑีด่านางมัทนา ดงั นี้ จณั ฑี หญงิ ใดตระน่ีตวั ละกผ็ วั บรักยนื ฉะนน้ั บขัดขนื และประจบสิผัวรัก; ดะนูสิเปนลกู วระราชะทรงศักด,์ิ ถอื ยศบรู้จัก จะประจบประแจงด,ี ทไี่ หนจะสู้เยาว- วสดุ าพระโยคี! (มัทนะพาธา : ๑๐๔) ผนวกกับปมปัญหาระหว่างนางจัณฑีกับท้าวชัยเสนคือการแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่ใช่เพราะ ความรัก ทำให้นางมีจิตริษยาที่รุนแรงเมื่อท้าวชัยเสนรักนางมัทนามากกว่าตน และยังกล้าทำเรื่องที่เลวร้ายคือ บอกให้บิดาของตนยกทัพมาตีนครหสั ตินาปรุ ะ ดงั ที่ทา้ วชัยเสนกลา่ ววา่ ชัยเสน ทเี่ จา้ วิตกน้ี นะก็ออกจะควรอย;ู่ จณั ฑสี หิ มายมุง่ มนะพาลประหารก,ู จง่ึ บอกบดิ าจู่ จระพาลประหารก,ู เออนกึ อนาถจริง ละนะหญงิ วิหึงสา, แรงฤทธิอิจฉา บมินกึ ละหนา้ หลงั . (มัทนะพาธา : ๑๐๗ - ๑๐๘) ๑๕. ปริยัมวะทา ปรยิ มั วะทา เป็นนางกำนลั ของทา้ วชัยเสน เปน็ ผมู้ ีจติ ใจดี รู้จักขอโทษผูอ้ ืน่ แม้ไมใ่ ช่ความผิดของตนเอง และมีความจงรกั ภกั ดตี ่อนางมัทนา ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ ในตอนที่ศุภางค์กำลังขัดขวางไม่ให้อราลีเข้าไปในสวนจนเกิดการโต้เถียงกัน ปริยัมวะทาได้ยินจึงเข้า มาหา้ มปรามและขอโทษศภุ างค์แทนอราลี แสดงใหเ้ ห็นถึงความมจี ิตใจดีของนาง ดังนี้
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เร่อื ง มทั นะพาธา : ๓๓ ปริยัมวะทา ศภุ างค,์ ท่านเกร้ยี วโกรธใคร? โกรธคนจญั ไร ศภุ างค์ (ช้อี ราลีพลางตอบพลาง.) เพราะเขาเปนคน ทก่ี วนโทโสสดุ ทน! ฉนั ขอเถดิ ให้ ปรยิ ัมวะทา ขา้ ขอโทษแทนสกั หน, ทม่ี ิยอมแพ้ใคร. อราล,ี อยา่ ยงุ่ ไป, หล่อนกลับคนื เขา้ ในวัง. (มทั นะพาธา : ๙๙) นอกจากนี้ยังมีตอนที่แสดงถึงความมีจิตใจดีของปริยัมวะทาคือนางได้คุยกับศุภางค์ว่าเมื่อนางจัณฑี ทราบเรื่องทีท่ ้าวชยั เสนมาอยู่กับนางมัทนาในสวนจึงเกิดความหงึ หวงและโกรธมาก ปริยัมวะทาได้พูดด้วยทา่ ที เหน็ ใจและสงสารนางมทั นา ดังน้ี ปรยิ มั วะทา ดิฉนั นกึ ก็สงสาร สนุ งคราญพระองค์ใหม่, เพราะเรียบร้อยและดไู ม่ พระโอษฐ์จดั ถนดั เถยี ง, ดิฉนั มมาและรับใช้ สนทิ แล้วกเ็ ห็นเนยี ง ประเสรฐิ แท้และควรเคยี ง พระองค์คปู่ ระเสริฐชาย! (มทั นะพาธา : ๑๐๐) อีกลักษณะนิสัยที่เด่นชัดของปริยัมวะทาคือ เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อนางมัทนาและมีความสุขที่ได้ ปรนนบิ ัตริ บั ใช้นางมัทนา ดังความว่า ปรยิ มั วะทา เพราะหากวา่ พะลีเสรจ็ เสดจ็ กลับ ณ เบ้ืองบน, กระหม่อมฉนั จะต้องทน ระทมทุกขะหงอยเหงา. เพราะทุกวารกบ็ านใจ และรับใชพ้ ระแม่เจ้า, บำเรอบาทะคำ่ เช้า บเคยคลาดและคลาไกล. พระแม่โปรดกระหม่อมฉัน ก็อย่าพลันเสด็จไป, จะทรงท้งิ สะขใี ห้ อนาถโอ้บสงสาร. (มัทนะพาธา : ๑๓๔)
การวิเคราะหบ์ ทละครพูดคำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๓๔ ๑๖. อราลี นางค่อมข้าหลวงพระนางจัณฑี เป็นข้าหลวงที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้านายของตนเองมาก มีความกล้าหาญ แต่มีนิสัยอิจฉาริษยา อยากรู้อยากเห็น เย่อหยิ่ง อวดดี และช่างวางแผน ดังรายละเอียด ตอ่ ไปนี้ ในตอนที่ศุภางค์ห้ามนางอราลีไม่ให้เข้าไปเก็บดอกไม้ในสวน แต่นางอราลีจะเข้าไปให้ได้ จึงเกิด การโตเ้ ถยี งกบั ศภุ างค์ ในตอนน้นั เองศุภางค์จงึ ได้กลา่ วถงึ รูปรา่ ง ลักษณะนสิ ยั ของอราลีไว้ดังน้ี ศภุ างค์ ทำไมจึ่งถาม? อราลี ก็เพราะดฉิ นั อยากรู้. ดงั นี้ก็ตู ศุภางค์ อยากรอู้ ยากเหน็ เกินอยู่ ระสัตรีขา้ ข้าขอกลา่ วเตือนนางวา่ ผูช้ อบประพฤติเชน่ จา- มชิ อบและมกั หมั่นไส้ (มทั นะพาธา : ๙๗) ศภุ างคไ์ ดต้ ่อว่านางอราลีว่าชอบอยากรูอ้ ยากเหน็ และเปน็ พฤตกิ รรมท่เี ขาไม่ชอบ ทั้งยงั ด่าทอตอ่ ไปอกี วา่ นอกจากรูปรา่ งหนา้ ตาหนา้ เกลยี ดแล้วจติ ใจยังไม่ดอี ีกดว้ ย ดงั ความว่า ศุภางค์ อันตัวนางไซร้ พิการทั้งกายและจิต! มนษุ ยข์ าบิด หลงั คอ่ มค้ดู ผู ิด แยงยุมุสา แขนเบีย้ วบเหมอื นธรรมดา, แลว้ นางก็ยัง ตวั คดใจคออิจฉา ใครใคร ย่อมรทู้ ั่ววงั ; รูปช่วั ตัวแสนน่าชัง ไม่ร้สู ำนึกตวั เลย. (มทั นะพาธา : ๙๘)
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉันท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๓๕ เมอ่ื ศภุ างคก์ ล่าวเช่นน้นั นางอราลีจึงโกรธและไดโ้ ต้เถยี งกบั ศภุ างค์ตอ่ ไปโดยไม่มคี วามเกรงกลวั แสดง ใหเ้ หน็ ถงึ ความกลา้ หาญและปากร้ายของนางอราลีเช่นกนั ดังความวา่ อราลี ชะชะ อแุ มเ่ จา้ เอย๊ ! ชา่ งพดู เพ้ยเพย้ นะทา่ นศภุ างค์เสนา; อวดดนี ักเพราะช่างหา หญงิ สวยสวยมา บำเรอพระมิ่งโมลี! นี่ไปหาโสเภณี มาซอ่ นไว้ท่ี ตำหนักในราชอทุ ยาน, จงึ ตอ้ งเกะกะระราน เพราะวา่ เกรงการ จะทราบถึงพระนางเธอ! (มทั นะพาธา : ๙๘) ยังมีในตอนที่นางอราลีกำลังโน้มน้าวและข่มขู่พราหมณ์วิทูรให้มาทำพิธีให้พระนางจัณฑี แสดงถึง ลกั ษณะนิสัยที่เปน็ คนใหแ้ กไ่ ด้ เหน็ ประโยชน์สว่ นตนเป็นใหญ่ และชอบข่มข่ผู ูอ้ ืน่ ดว้ ย ดงั เช่น อราลี ถึงเฒ่าท่านอาจารย์ ฤก็บตุ รและหลานมี, ยามเหน็ โอกาสดี บมิควรจะทิ้งนา. แลขอจงจำไว้ ผมิ ริ ับพระบัญชา, อาจต้องยากแค้นสา หสะแท้นะอาจารย์. อาจมีผโู้ จทกว์ า่ มะคะธาธริ าชทา่ น ใช้ใหท้ ่านอาจารย์ จระสพู่ ระธานี, เพอื่ ใหท้ ำกิจจา รบุรุษ ณ ทน่ี ;ี้ เช่นนั้นทา่ นยอดชี กจ็ ะยากลำบากใจ! (มทั นะพาธา : ๑๑๐) หรอื ตอนที่พรหามณว์ ิทรู กำลังจะทำพิธี นางอราลเี ปน็ คนจดั การวางแผนต่าง ๆ เพือ่ ชว่ ยพระนางจัณฑี แสดงถงึ ลกั ษณะนิสัยจอมวางแผน ไมน่ ่าไว้ใจ ดังน้ี อราลี พระนางต้องแอบก่อนดี. ตอ่ เม่อื เหน็ เหมาะท่วงที, เสดจ็ มานี่
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๓๖ ประหนึง่ วา่ พง่ึ ทรงทราบ และเพือ่ บำราบ วา่ เขาน้คี ิดการหยาบ, และทำเหมือนว่า จ่งึ สู้เสด็จออกมา, ท่ีฉนั บอกความ เกศนิ ีอยนู่ น่ี า, เป็นผ้รู ่วมคดิ กับพราหมณ์, (มทั นะพาธา : ๑๑๑) ต่อน้นั จงไดท้ ำตาม ไวแ้ ตเ่ มือ่ บายนไี้ ซร,้ เขา้ ใจดีแล้วฤๅไฉน? ๑๗. เกศินี เกศินี เป็นข้าหลวงพระนางจัณฑี ที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้านายของตนเองมาก ทำตามคำสั่ง ทุกอยา่ ง ยอมโกหกตามท่ีเจา้ นายสั่งโดยไม่คำนงึ ถงึ ความถกู ต้อง ดงั รายละเอียดตอ่ ไปน้ี ในตอนที่วิทูรพราหมณ์กำลังจะทำพิธี นางเกศินีทำตามคำสั่งทุกอย่างเพื่อเจ้านายของตน แสดงถึง ความซ่อื สัตย์จงรกั ภกั ดีต่อเจา้ นายของตน ดังนี้ เกศินี ดฉิ นั เข้าใจ, และจะทำทกุ สง่ิ สรรพ์. เพราะว่าโทษทัณฑ์ แลว้ องคเ์ ทวี อราลี ดแี ล้วอยา่ ได้นกึ พรน่ั , อยา่ นกึ เลยว่าจะมี, อนั ตวั หมอ่ มฉนั และหากการสำเรจ็ ดี (มัทนะพาธา : ๑๑๑) คงจะประทานรางวลั . จัณฑี จริง, อย่าวิตกข้อน้ัน ขอเพยี งแตไ่ ดร้ ับใช.้
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา : ๓๗ ในตอนที่ท้าวชัยเสนมาถึงศาลาที่วิทูรพราหมณก์ ำลังทำพิธี นันทิวรรธนะ อมาตย์ของท้าวชัยเสนจึงได้ ถามซักไซ้นางเกศินี ว่ารูปปั้นขี้ผึ้งแต่ละรูปหมายถึงใคร เกศินีโกหกใส่ร้ายว่าหมายถึงนางมัทนาและศุภางค์ นายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน จนทำให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิด เหตุการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่านางอราลี ไมไ่ ดซ้ อื่ สัตย์ตอ่ ผู้อนื่ นอกจากเจา้ นายตนเองเทา่ น้ัน ดงั ความวา่ เกศนิ ี อนั รปู นารนี ้ันไซร้ คอื องคท์ รามวยั ผูเ้ นาณราชอทุ ยาน, ผนู้ ายทหาร ส่วนรูปบรุ ษุ คอื ท่าน มีนามศุภางค์เสน.ี (มทั นะพาธา : ๑๑๔) นอกจากนี้เกศินียังใส่ความว่าร้ายปริยัมวะทาด้วยว่าเป็นผู้บงการให้ตนไปตามพราหมณ์วิทูรมาทำพิธี การทำเสนห่ ข์ องนางมทั นาและศภุ างค์ ความว่า เกศนิ ี ก็ยนื อย่อู ย่างเดิมไซร้. คำให้การขา้ คุณปริยัมวะทาใช้ ใหข้ า้ นีไ้ ป ปริยมั วะทา ตามพราหมณม์ าทำพธิ .ี จะทำพธิ ี เกศนิ ี เอะ๊ ! กลา่ วอะไรเช่นนี?้ ดฉิ นั สถิ ือ ทำไมเพ่ือเหตดุ ังฤๅ? จะพงึ่ คณุ นาย, คณุ ไม่ต้องทำไขสอื , วา่ คุณเปนมลุ เปนนาย, ถงึ คราอันจนกห็ มาย กลบั ปฏเิ สธเช่นน้ี. (มัทนะพาธา : ๑๑๖ - ๑๑๗)
การวเิ คราะห์บทละครพูดคำฉันท์ เร่อื ง มทั นะพาธา : ๓๘ บทสนทนา จากการวิเคราะห์เห็นได้ว่าในเรื่องมัทนะพาธามีการใช้ภาษาเหมาะสมกับฐานะของบุคคล มีการใช้ ระดบั ภาษาทแ่ี ตกตา่ งกันอย่างชดั เจน แสดงให้เห็นถงึ ความตา่ งศกั ด์ขิ องแต่ละตัวละคร ตวั อยา่ งเชน่ ตอนสุเทษณ์คุยกับจิตระเสน จะเห็นได้ว่าสุเทษณ์เป็นเจ้านายจึงพูดมึง กู กับจิตระเสนท่ีมีฐานะเป็น คนรับใช้ ส่วนจิตระเสนมีการใช้ภาษาที่สุภาพอ่อนน้อม ให้ความเคารพ และเป็นทางการ เช่น เทวะ ข้าบาท ดงั นี้ สุเทษณ์ เหวยจิตระเสน มงึ บงั อาจเลน่ ล้อกูไฉน? จิตระเสน เทวะ, ข้าบาท จะบงั อาจใจ ทำเชน่ นน้ั ไซร้ ไดบ้ พ่ งึ มี. สุเทษณ์ เชน่ นนั้ ทำไม พวกมึงมาให้ พรกูบัดนี้ วา่ ประสงคใ์ ด, ใหส้ มฤด?ี มงึ รู้อยู่นี่ ว่ากเู ศร้าจติ จติ ระเสน เพราะไม่ได้สม จิตท่ีใฝช่ ม, อกกรมเนืองนติ ย.์ ตูฃ้าภกั ดี กม็ ีแตค่ ดิ เพือ่ ใหท้ รงฤทธ์ิ โปรดทุกขณะ. (มัทนะพาธา : ๑๗) ตอนมัทนาคุยกับสุเทษณ์ จะเห็นได้ว่าสุเทษณ์แทนตนเองว่าพี่ และแทนมัทนาว่าหล่อน มีการใช้ ภาษาทเ่ี รยี กตามระดับอายุ ส่วนมทั นามกี ารใชภ้ าษาทส่ี ุภาพ ออ่ มนอ้ มถอ่ มตน เช่น หมอ่ มฉนั ดงั ตัวอยา่ ง สุเทษณ์ ช้ากอ่ น! หล่อนจะไปไหน? มัทนา หม่อมฉันอย่ไู ป กเ็ ครอ่ื งแตท่ รงรำคาญ. สุเทษณ์ ใครหนอบอกแก่นงคราญ ว่าพ่ีรำคาญ? มทั นา หม่อมฉนั สงั เกตเองเหน็ . (มทั นะพาธา : ๓๗) ตอนมัทนาคุยกับพระกาละทรรศิน มัทนาใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนน้อม เคารพพระกาละทรรศิน เหมาะสมกับฐานะที่เป็นลูก ส่วนพระกาละทรรศินก็ใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนโยนกับนางมัทนา แสดงให้เห็นถึง ความรกั ความผกู พนั ของตัวละครผูเ้ ป็นพอ่ ดงั นี้ มทั นา เอะ๊ พระบิดานเ่ี ปน ทุกข์รอ้ นใดเหน็ บเคยแต่ก่อนดงั น้ี.
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๓๙ กาละทรรศนิ ดูพระบิดาจะมี ความวิตกที่ มัทนา พระยงั มิบอกลูกนอ้ ย. เปนไรโปรดบอกลกู หน่อย. อ้าลูกผู้กลอย ด้วยเกรงอยวู่ า่ จิตยอดฤดีบิดา! ไม่เห็นวา่ ใคร พ่อนวี้ ิตกนกั หนา ฤๅจะอยากลี ธิดาจะจากพ่อไป. พระองค์จะกลัวทำไม? (มทั นะพาธา : ๕๖ - ๕๗) จะกล้ามาพาลูกหนี, และกลา่ วสว่ นตวั ลูกนี้ ลาศจากบิดาการุญ? นอกจากการใช้ภาษาที่เหมาะกับฐานะของบุคคลแล้ว เรื่องมัทนะพาธายังใช้ภาษาที่แสดงอารมณ์ อย่างหลากหลาย เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์โศกเศร้า และอารมณ์มีความสุข ผู้แต่งสามารถเลือกใช้คำให้ เหมาะสมกับอารมณ์และเหตกุ ารณ์ได้เปน็ อย่างดี ดงั นี้ บทสนทนาที่แสดงอารมณ์โกรธ คือฉากที่พระนางจัณฑีพูดกับอราลี ที่ตั้งใจจะพูดกระแทกแดกดันนาง มัทนา ด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หยาบคายโดยใช้คำว่า อัปรีย์ โสเภณี ซึ่งเป็นถ้อยคำที่รุนแรง ดูถูกเหยียดหยาม ซง่ึ มีความเหมาะสมกับอารมณ์โกรธและเกลยี ดของนางอย่างชดั เจน ดังน้ี จัณฑี ชะฉาอะราลี ออิ ะปรยี อ์ ติ ัวการ. กระไรละเหมิ หาญ บมริ ูสำนึกตัว; อิโสภณิ ดี ี ตระประจบสำออยผัว, แนะ่ มงึ นะเงาหวั บมมิ ลี ะรไู้ หม? (มัทนะพาธา : ๑๐๖) อีกบทสนทนาที่แสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวคือ ฉากที่สุเทษณ์กริ้วนางมัทนา ผู้แต่งใช้กมลฉันท์และ เลอื กสรรคำทสี่ ื่อถงึ ความกระแทกกระทน้ั นางมัทนาได้อยา่ งลงตวั ดังน้ี สเุ ทษณ.์ (ตวาด) อุเหม่! มะทะนาชะเจ้าเลห่ ์ ชิชิชา่ งจำนรรจา
การวเิ คราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เร่ือง มทั นะพาธา : ๔๐ ก็และเจา้ มเิ ต็มจิต จะสดบั ดนชู วน, ผิวะให้อนงคน์ วล ชนะหลอ่ นทนงใจ. บม่ ิยอมจะรว่ มรัก และสมัครสมรไซร้, ก็ดะนูจะยอมให้ วนดิ านวิ าศสวรรค์, (มทั นะพาธา : ๓๘) บทสนทนาที่แสดงอารมณ์เศร้า เช่น ฉากที่นางมัทนากล่าวคำอ้อนวอนถึงสุเทษณ์โดยได้ระบาย ความรู้สึกเศร้าที่ท้าวชัยเสนได้ทิ้งนางไป ทำให้นางไม่มีความสุข ผู้แต่งมีการเลือกใช้คำท่ีแสดงถึงความเจ็บปวด รวดรา้ ว อยา่ งคำวา่ “ชวิ ะมลาย” ซ่ึงสามารถถา่ ยทอดอารมณค์ วามรู้สึกได้อย่างเหมาะสม ดงั น้ี มทั นา เชญิ เสดจ็ อะมะระมา ณ วาระน,ี้ รับเสวยวระพลี ดนูถวาย. โดยดนูทขุ ะวิโยค และโชคกห็ าย, อยากจะใคร่ชวิ ะมลาย บทนและทกุ ข์, อยกู่ ็โศกะจะทวี บมสี นุก สามีทิ้งฤวะจะสุข ฤมีเจริญ. (มทั นะพาธา : ๑๓๕ - ๑๓๖) บทสนทนาที่แสดงถึงความสุข เช่น ฉากที่ท้าวชัยเสนกับนางมัทนาได้ให้คำมั่นสัญญารักต่อกัน ผู้แต่งเลือกใช้คำที่แสดงถึงความสุขได้ตามเหตุการณ์ เห็นได้จากคำว่า สุขสราญ อิ่มเอม เปรมปรีดิ์ ระรวยใจ ดังนี้ มทั นา ข้าพระบาทจะสุขสราญฤดี ก็ยอ่ มจะโดยพระบารมี ธ ปกเกล้า: พ่งึ พระคุณกะรุณยฺ ะค่ำและเช้า จะปราศะโศกบมเี ศร้า ฤทุกข;ํ ใจจะอ่มิ จะเอมเพราะเปรมปรยิ ,ํ และรืน่ ณ รสระตจี ิรํ ระรวยใจ. (มทั นะพาธา : ๗๔)
การวเิ คราะห์บทละครพดู คำฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา : ๔๑ เนื่องจากวรรณคดีเรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ภาษาที่ใช้จึงค่อนข้างใกล้เคียงกับยุคปัจจุบัน การ ใช้ไวยากรณ์หรือการเรียงลำดับประโยคก็มีลักษณะเหมือนกับในปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ในเรื่องมัทนะพาธาจึง สามารถส่อื สารได้อยา่ งเข้าใจ อยา่ งไรก็ตามวรรณคดีเรอื่ งน้ีแต่งเปน็ บทละครพูดคำฉนั ท์จึงปรากฏคำที่อ่านยาก หรือไม่คุ้นหูอยู่บ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับฉันทลกั ษณ์และตรงตามตำแหน่งครุ-ลหุ ทั้งนี้ยังปรากฏคำที่มีรูปเขียน แตกตา่ งจากปัจจบุ ัน ดงั นี้ ที่ รูปคำท่ปี รากฏในเรือ่ ง คำท่ใี ชใ้ นปจั จบุ นั ๑ ละคอน ละคร ๒ เปน เป็น ๓ ฃ้า ข้า ๔ อกกรม อกตรม ๕ อับสร อปั สร ๖ อเุ บกฃา อบุ ากขา ๗ สมัคสมาน สมัครสมาน ๘ เลิด เลศิ ๙ นวยนาฏ นวยนาด ๑๐ มนษุ มนษุ ย์ ๑๑ สอาง สะอาง ๑๒ วิไลย วิไล ๑๓ ผาด ผ่าน ๑๔ เฃา เขา ๑๕ ทนง ทะนง ๑๖ จักกะวาฬ จกั รวาล ๑๗ เฃต เขต ๑๘ เดิร เดนิ ๑๙ ชงัก ชะงกั ๒๐ เฃ้า เขา้ ๒๑ มะเมอ ละเมอ ๒๒ หนุ่ ยนตร์ หุ่นยนต์ ๒๓ เชอญ เชิญ ๒๔ สนธิ สนทิ
การวเิ คราะหบ์ ทละครพูดคำฉนั ท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา : ๔๒ ที่ รูปคำท่ปี รากฏในเร่อื ง คำท่ีใช้ในปจั จบุ นั ๒๕ พระบัญฑูร พระบณั ฑรู ๒๖ ประมวญ ประมวล ๒๗ อรไทย อรทัย ๒๘ ฃ่าว ขา่ ว ๒๙ โจษย์ โจษ ๓๐ ปฐั พี ปฐพี ๓๑ ข้อน ค่อน ๓๒ ชรอย ชะรอย ๓๓ คำณวน คำนวณ ๓๔ แซก แทรก ๓๕ ปฏิบัต์ิ ปฏบิ ตั ิ ๓๖ ขตั ตยิ ว์ งศ์ ขตั ติยวงศ์ ๓๗ รัสมี รัศมี ๓๘ บรรใด บันได ๓๙ ประณมกร ประนมกร ๔๐ เบยี ฬ เบยี น ๔๑ ฃา ขา ๔๒ ขอขะมา ขอขมา ๔๓ สมมต สมมติ ๔๔ ทราบส้าน ซาบซา่ น ๔๕ ฃาดใจ ขาดใจ ๔๖ ฃาย ขาย ๔๗ สาบาล สาบาน ๔๘ ความสดวก ความสะดวก ๔๙ สกดรอย สะกดรอย ๕๐ ฃา้ งใน ข้างใน ๕๑ มดื มล มืดมน ๕๒ กษตั ร์ กษัตรยิ ์ ๕๓ ศงั ข์ สังข์ ๕๔ เปน เปน็ ๕๕ แขง แขง็
การวิเคราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เรื่อง มัทนะพาธา : ๔๓ ที่ รูปคำทปี่ รากฏในเรื่อง คำทใ่ี ชใ้ นปัจจบุ ัน ๕๖ จึ่ง จึง ๕๗ สับดาหะ สปั ดาห์ ๕๘ มะเหษี มเหสี ๕๙ หงึ ส์หวง หงึ หวง ๖๐ คะติ คติ ๖๑ สนิธ สนิท ๖๒ คะนงึ คนึง ๖๓ ประมวญ ประมวล ๖๔ ฃ้า ข้า ๖๕ ยะศะ ยศ ๖๖ นรนาถะ นรนาถ ๖๗ สามาญ สามานย์ ๖๘ ยุระยาตร์ ยรุ ยาตร ๖๙ มกฎุ มงกุฎ ๗๐ ฃาด ขาด ๗๑ พนารัณ พนารญั ๗๒ กระแสร์ กระแส ๗๓ นะรีรัตน์ นารีรัตน์ ๗๔ ธรรม์ ธรรม ๗๕ กะรูณา กรณุ า ๗๖ กะตญั ญู กตัญญู ๗๗ พะวง พวง ๗๘ ศะตรู ศัตรู ๗๙ พะลงั พลงั ๘๐ ฃ่าว ข่าว ๘๑ ปะฏิญญา ปฏญิ ญา ๘๒ เชอญ เชิญ ๘๓ วงศว์ าร วงศว์ าน ๘๔ ใขสอื ไขสอื ๘๕ มิตระ มติ ร ๘๖ หวล หวน
การวิเคราะหบ์ ทละครพดู คำฉนั ท์ เรือ่ ง มัทนะพาธา : ๔๔ ที่ รูปคำทปี่ รากฏในเร่อื ง คำทีใ่ ชใ้ นปจั จบุ ัน ๘๗ พระราชะธานี พระราชธานี ๘๘ นิระโทษ นิรโทษ ๘๙ ราชะบรุ ุษ ราชบรุ ุษ ๙๐ นิระเทศะ นิรเทศ ๙๑ พษิ ะ พิษ ๙๒ ตวัน ตะวนั ๙๓ วรโสมะ วรโส ๙๔ ประหาระ ประหาร ๙๕ จะบ จับ ๙๖ ระหัส รหัส ๙๗ ดุจะ ดจุ ๙๘ เดิร เดนิ ๙๙ ประเทศะ ประเทศ ๑๐๐ ชเลย เชลย ๑๐๑ ทรุ ยศกะ ทรยศ ๑๐๒ สริ ะ ศีรษะ ๑๐๓ ผละบุญ ผลบุญ ๑๐๔ สขุ ะ สขุ ๑๐๕ ประดษิ ฐ ประดิษฐ์ ๑๐๖ วรจติ ระ วรจติ ร ๑๐๗ สาระภาพ สารภาพ ๑๐๘ บาทะ บาท ๑๐๙ สวุ รรค์ สวุ รรณ์ ๑๑๐ เมตตะ เมตตา ๑๑๑ นะภา นภา ๑๑๒ เหิร เหิน ๑๑๓ ระเหจ็ ระเหด็ ๑๑๔ วะทา วาทะ ๑๕ ดุริยาง ดรุ ิยางด์ ๑๑๖ ประเลง บรรเลง ๑๑๗ พระองคะ พระองค์
การวเิ คราะห์บทละครพูดคำฉนั ท์ เร่อื ง มทั นะพาธา : ๔๕ ที่ รูปคำท่ีปรากฏในเรอื่ ง คำท่ีใช้ในปจั จบุ นั ๑๑๘ นะรี นารี ๑๑๙ มณิ มณี ๑๒๐ ภยะ ภยั ๑๒๑ อะมระสรรค์ อมั รสรรค์ ๑๒๒ นะฤ นฤ ๑๒๓ อะมะระเศรษฐะ อัมรเศรษฐา ๑๒๔ วะจะ วาจา ๑๒๕ กะมละ กัมลา ๑๒๖ บรุ ษุ ะ บรุ ุษ ๑๒๗ อดตี ะกาล อดตี กาล ๑๒๘ อะมระฤทธ์ิ อัมฤทธ์ิ ๑๒๙ เนตร์ เนตร ๑๓๐ ปราศะเข็ญ ปราศเขญ็ ๑๓๑ วโิ รธะ วโิ รธ ๑๓๒ อะธปิ ะติณไตร อธิปไตย ภาษาต่างสมัย ที่พบในเรื่องมัทนะพาธามีไม่มาก ที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดคือ คำว่า “ตูข้า” เป็นคำ สรรพนามบุรุษท่ี ๑ ใช้เรียกแทนตัวเองซึ่งต่างจากปัจจุบันที่ใช้คำว่า ฉัน ดิฉัน กู เป็นต้น จากเนื้อเรื่องมีการใช้ คำน้ใี นหลายตัวละคร เชน่ มายาวิน นางยังงงงวย ดว้ ยฤทธม์ิ นตรา, แต่ว่าตขู า้ จะแก้บัดน.้ี (มทั นะพาธา : ๓๐) มัทนา ตูข้าสมัคฤมสิ มัค ก็มขิ ัดจะคล้อยตาม. (มทั นะพาธา : ๓๑) โสมะทตั ตูขา้ เปนคนต่ำ บมจิ งทะนงขอ; ทา่ นจงกลา่ วแตพ่ อ ดำริควรแถลงสาร. (มัทนะพาธา : ๖๐)
Search