นวัตกรรมการศกึ ษารูปแบบ การบรหิ ารจัดการวถิ กี าร สรา้ งสุภาพชนคนคณุ ภาพพุนอ้ ย (DSCUPP model to co 5 steps) โรงเรยี นวัดพนุ ้อย สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษากาญจนบรุ ี เขต 1 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
ช่อื นวตั กรรม การศึกษารูปแบบการบรหิ ารจัดการวิถีการสรา้ งสภุ าพชนคนคณุ ภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) ผู้วจิ ยั นางสาวทิพวรรณ ลว้ นปสทิ ธิส์ กุล ตำแหน่งผ้บู ริหารสถานศกึ ษา สังกดั โรงเรยี นวดั พนุ ้อย บทคัดย่อ การศกึ ษารูปแบบการบรหิ ารจัดการวถิ กี ารสรา้ งสุภาพชนคนคุณภาพพุนอ้ ย (DSCUPP model to co 5 steps) เป็นนวัตกรรมที่สร้างพัฒนาและใช้ในปีการศกึ ษา 2562 และ 2563 มีวัตถุประสงค์ 6 ประการดังน้ี 1.เพื่อพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีความรู้ เรื่องกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 2.เพอื่ พฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีทักษะการสอนดว้ ยกระบวนการ เรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 3.เพอื่ ใหน้ กั เรยี นมีความรูด้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน (co 5 steps) 4. เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรูด้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 5.เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติ ต่อการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 6.เพื่อให้มีระบบบริหารจัดการขับเคลื่อน คุณธรรมโรงเรียนวัดพุน้อย รูปแบบการบริหารจัดการวิถีการสร้างสุภาพชนคนคุณภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) กระบวนการบริหารจัดการนี้มีรูปแบบ DSCUPP ประกอบด้วย 1. การบริหารตาม สถานการณ์ (Situational Management) 2. ความเขา้ ใจ (Understanding) 3. การเขา้ ถึง (Connecting) 4. การพัฒนา ( Development ) 5. การบริหารแบบวิถีทาง – เป้าหมาย (Path – Goal Management) 6. ความภาคภูมิใจ (Proudly) ผลการสร้าง พัฒนาและใช้นวัตกรรมนี้พบว่า ครูและบุคลากรทุกคน (100%) มี พัฒนาการด้านความรูเ้ ก่ียวกบั กระบวนการเรยี นรู้ 5 ขั้น หลังการอบรมระดับความรู้อยู่ที่ร้อยละ90(90%) ข้ึน ไป ระดับทักษะการสอนครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน (co 5 steps)1. ความเหมาะสมของกิจกรรมกับนักเรียน กจิ กรรมนีเ้ หมาะสมกับนักเรียน กิจกรรมมี ความหลากหลาย ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการจัดกจิ กรรมมีความเหมาะสม นักเรยี นสนกุ สนานกบั กจิ กรรมการเรียนรู้ ไม่เกิดความเบื่อ2. ความเหมาะสมของสื่อและอุปกรณ์การเรียนรู มีสื่อและอุปกรณ์การเรียนรูในกิจกรรมนี้ เหมาะสมกับนักเรยี น มสี ่อื ทีห่ ลากหลาย กระตุน้ ความสนใจได้ดี เนน้ ให้นกั เรียนได้ปฏบิ ัตจิ ริง การมสี ่วนร่วมใน การทำกิจกรรมได้ใช้สื่อและอุปกรณ์ มีการพัฒนาสื่อและอุปกรณ์โดยครเู ป็นผู้พัฒนาทำให้ตรงกับลักษณะผูใ้ ช้ สื่อเพื่อการเรียนรู้3. การใช้คำถามของครู ครูใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนสงสัยและตั้งคำถามตลอดการเรียนรู้ ของนกั เรยี น เพ่ือวดั ผลการเรยี นรู้นักเรียนทุกอย่างทว่ั ถงึ ทำใหท้ ุกคนได้รับการพฒั นาตนเองตลอดเวลา4. การ กระต้นุ ให้นกั เรยี นทกุ คนมสี ่วนรว่ มในการทำกจิ กรรม/โครงงาน ครูผู้สอนกระตุน้ ใหน้ ักเรียนทกุ คนมีส่วนร่วมใน การจดั กิจกรรม/โครงงาน ใช้คำถามปลายเปิด5. การให้ความสนใจนักเรียนอยา่ งท่ัวถึง ครผู ู้สอนให้ความสนใจ นักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึง 6. การสร้างบรรยากาศชั้นเรียน บรรยากาศในชั้นเรียนส่งเสริมให้อยากเรียนรู้ ร่วมกันสร้างบรรยากาศชั้นเรียนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ สภาพการจัดการเรียนรู ทุกคน(100%)จัดทำทุก ประเด็น(100%)ได้อยา่ งดี มีแผนการจัดกิจกรรมการทดลองครบถ้วน และมีคุณภาพ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณใ์ น การทดลอง แนะนำสื่อ อุปกรณ์สำหรับใช้ในการทดลอง การตั้งคำถามเช่ือมโยงจากประสบการณของนักเรยี น ครูส่งเสริมสนับสนุนการตัง้ สมมติฐานก่อนการปฏิบัติกิจกรรม เปิดโอกาสให้นักเรียนไดทดลองและสงั เกตดว้ ย ตนเองใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิดขณะปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง นักเรียนไดตั้งคำถามที่อยากรู เปิด โอกาสให้ไดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันภายในกลุ่ม จัดกิจกรรมให้นักเรียนบันทึกผลการทดลองไดปฏิบัติ กิจกรรมร่วมกัน มีการสรุป ทบทวนผลการทดลอง ประเมินพัฒนาการนักเรียนที่ครอบคลุมความสามารถ พื้นฐานตามโครงการ นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดทำโครงงาน มีการสำรวจ ตรวจสอบ และรวบรวมข้อมูล ด้วยตนเอง สร้างคำอธิบายจากข้อค้นพบอย่างมีเหตุผล สรุปผลการจัดกิจกรรมโครงงานด้วยตนเอง สื่อสาร
และนำเสนอผลการจัดกิจกรรมสาธารณชนโดยการทำโครงงานครบตามกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้น การสร้าง คำอธิบายอย่างมีเหตุผล ครูทุกคน(100%) มีศักยภาพด้านการใช้ภาษาเพื่อการอธิบายได้อย่างมีเหตุผลโดยใช้ ภาษาและกิจกรรมสมกับวัย ส่งผลให้การอธิบายของนักเรียนเป็นไปด้วยความสนุกและเด็กๆ มีความสามารถ ในการใช้เหตุผลอธิบายปรากฏการณ์หรือสิ่งต่างๆได้อย่างดีและเหมาะสมของแต่ละวัย สื่อสารและให้เหตุผล ครูทุกคน(100%) มีทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านการสื่อสารและการให้เหตุผลดีมาก บางคนมี ความสามารถสื่อสารดว้ ยการพูดภาษาถิ่นซ่ึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง รวมถึงทักษะการเขียนงานเล่มโครงงานยังไม่ ดีเท่าที่ควรขาดความสมบูรณ์ของประโยคส่งผลให้นักเรียนจัดทำเล่มเอกสารรายงานยังไม่ดีเ ท่าที่ควรด้วย นักเรียนทุกคน (100 %)สามารถตั้งคำถามในส่ิงท่ีตนเองสงสัย นักเรียนส่วนใหญ่(95%) รูจักคิดหาเหตุผลด้วย ตนเอง ร้อยละ 93 สามารถนำความรูมาเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัวได้ ร้อยละ 87 รูจักการสังเกต การค้นคว้าหา คำตอบด้วยตนเองและร้อยละ 82 สามารถนำความรูที่มีอยูเ่ ดิมมารวมกับความรู้ใหม่ นกั เรยี นมีทักษะการคิดมี ทักษะการแก้ปัญหาสูงสุดร้อยละ 88 รองลงมาคือทักษะด้านเทคโนโลยีร้อยละ 87 มีทักษะกระบวนการใน สาระวิชาท่ีเรียนร้อยละ 83และน้อยที่สุดคือทกั ษะการสื่อสาร หรือการนำเสนอร้อยละ 80 นักเรียนมจี ิตอาสา ในการทำงานกลุ่มมากที่สุด ร้อยละ 97 รองลงมาคือมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้รับมอบหมายร้อยละ 96 มี ปฏิสัมพันธแ์ ละแลกเปลี่ยนความรูความคดิ เห็นซ่งึ กันและกันร้อยละ 95 มหี ลักคดิ ความพอเพียงจากการทำงาน ร้อยละ90 และนอ้ ยทีส่ ุดคือการแสดงความคดิ เห็นภายในกลมุ่ ที่มีความเหน็ แตกตา่ งจากตนรอ้ ยละ 80
บทที่ 1 บทนา ทม่ี าและความสาคัญ โลกในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลาท้ังด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ ข่าวสาร เศรษฐกิจ ความมั่นคง และสงั คม อนั เนอ่ื งมาจากการรบั รขู้ ้อมลู ข่าวสาร การเข้าถงึ ข้อมลู จานวนมากมี ทาไดห้ ลากหลายช่องทาง ง่ายและรวดเร็ว ทาให้ทุกระบบมีการตัวปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการเปล่ียนแปลง อย่างทันท่วงที สังคมในอนาคตจะประกอบด้วยคนท่ีมีความแตกตา่ งหลากหลายทัง้ ความรู้ ทักษะ มมุ มองหรือ แนวคิด มกี ารแข่งขนั ในสังคมทกุ ดา้ นอย่างรนุ แรงและรวดเรว็ ทั้งการทางานและการเรียนรู้ สถานที่ทางานใน อนาคตอาจจะไม่จาเป็นต้องมีขนาดขนาดใหญ่ติดเครื่องปรับอากาศหรือตกแต่งอย่างสวยงามแต่บนพ้ืนท่ีที่ จากัดบริหารจัดการแบบคุ้มค่ามีขนาดเล็กกะทัดรัด เอกสารต่างๆ ถูกจัดเก็บในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ มี อุปกรณ์รองรับการทางานส่ิงท่ีเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์การทางานที่ทันสมัยมีระบบการทางานที่สะดวก รวดเรว็ ตรวจสอบได้ โปร่งใส บรรยากาศองค์กรที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจและเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดเวลา ผู้ร่วมงานมีความสามารถท่ีหลากหลาย มีความโดดเด่นและ เชย่ี วชาญเฉพาะทางดา้ นใดด้านหนึ่ง แต่มีสมรรถนะหลักร่วมกันเช่นทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความสามารถในการใชค้ าสัง่ ใหห้ นุ่ ยนตห์ รอื ปัญญาประดษิ ฐ์ สามารถทางานตามทต่ี อ้ งการได้ สังคมแหง่ การเรยี นรไู้ มม่ วี ันหยดุ น่ิง สังคมโลกกลายเปน็ สังคมความรู้หรือสงั คมแห่งการเรยี นรู้ องคก์ ร ทางการศึกษาจึงต้องปรับตัวให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้โดยพึงตระหนักว่าคุณภาพการศึกษาขึ้นอยู่กับ คณุ ภาพครูเป็นหลัก จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 มีนโยบายมุ่งเน้นแนวทางการ พัฒนาโดยยึดคนเป็นศนู ย์กลาง เพือ่ ใหเ้ กดิ การพัฒนาท่ยี ่ังยนื ภายใตก้ ารเปลี่ยนแปลง ทั้งภายในและภายนอก ประเทศ นอกจากน้ยี งั มีนโยบายสง่ เสรมิ การศกึ ษาใหส้ อดคล้องกับความต้องการของผู้เรยี นและสร้างสังคมการ เรียนรู้ที่มีคุณภาพอันก่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องกับนโยบายของรั ฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการท่ตี อ้ งการให้พฒั นาการศึกษาของประเทศอยา่ งเร่งดว่ น โดย 1 ในนโยบายเรง่ รดั คือปฏริ ปู ระบบการผลิตและพฒั นาครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนตามหลกั สูตรปัจจุบนั และรองรับหลักสตู รใหม่ ให้ เป็นไปตาม พระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา ปี 2553 และมาตรฐานวิชาชีพ ครูตามที่คุรุสภากาหนด ดังน้ันครูและบุคลากรทางการศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสาคัญทั้งทางตรงและ ทางอ้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ ความสามารถให้แก่ศิษย์ รวมท้ังพัฒนาศิษย์ให้เป็นมนุษย์ท่ีมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ โดยเน้นกระบวนการ 4 ด้าน คือด้านความรู้ ความคิดหรือพุทธพิสัย ด้านความรู้สึก อารมณ์ สังคมหรือด้านจิตพิสัย ด้านทักษะปฏิบัติหรือทักษะพิสัยและด้านทักษะการจัดการหรือทักษะกระบวนการ แนวโนม้ การศึกษาในระดับนานาชาติได้มุ่งเน้นไปท่ีทักษะความสามารถ ทักษะพ้ืนฐานในการดารงชีวิต การ อ่านออก เขียนได้ คดิ เลขเป็นรวมทั้งทักษะพืน้ ฐานด้านการทางาน การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การ ทางานเป็นทมี การสื่อสารและทกั ษะเฉพาะอาชีพ ซง่ึ เป็นทักษะที่องค์การสหประชาชาติและองค์การการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแหง่ สหประชาชาติ(ยูเนสโก) ให้ความสาคญั ส่วนในวงการศึกษาไทยมองวา่ ครู คอื กุญแจสาคัญในการแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาแต่รายงานของสานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ พบว่า ความเปน็ ครใู นสงั คมไทยกาลงั เผชิญกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะวิกฤติศรัทธาในวิชาชีพ ดงั น้ันจึงควรต้องมกี ารศึกษาเกยี่ วกบั ครูยุคใหมอ่ ย่างเร่งด่วน เพ่อื มงุ่ เนน้ การพัฒนาคนใหเ้ ป็นทรัพยากรมนษุ ยท์ ่ี พร้อมขบั เคล่ือนและยกระดับการพฒั นาประเทศทมี่ ีคณุ ภาพตอ่ ไป ผลสารวจตลาดงานในอนาคต โดยสถาบัน McKinsey Global Institute บอกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ ใน 750 สายอาชีพ มีแนวโน้มท่ีจะปรับเปลี่ยนไปเป็น ระบบอตั โนมัติมากข้นึ การเอาตัวรอด ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะเรื่องดิจิทัล ความสามัคคี ล้วนเป็นส่ิงท่ีโลก ตอ้ งการแตก่ ลบั ไม่ได้ถกู สอนในโรงเรียน เช่นวิทยาการคอมพิวเตอร์(Computer Science) ไม่ใช่แค่การเขียน โคด้ เทา่ น้ันแต่จะต้องฝกึ คิดคานวณ การออกแบบระบบอนิ เตอรเ์ ฟส (เช่อื ม2อุปกรณ์เขา้ ด้วยกัน) ฝึกวิเคราะห์ ผลขอ้ มลู เรียนรู้เร่ืองเครอ่ื งจักร ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ ประโยชน์ ของวิทยาการคอมพิวเตอร์ นอกจากจะช่วยเสริมทักษะความคดิ สร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาได้แลว้ ยังส่งผลต่อ การประกอบอาชพี เชงิ เทคนิค ในทกุ อาชพี และทกุ ระบบเศรษฐกิจ ไมเ่ พียงแค่กลมุ่ ประเทศท่พี ัฒนาแล้วเท่านน้ั เร่ืองห่นุ ยนต์หรือเทคโนโลยีปัญญาประดษิ ฐ์ที่เราเรียกกนั วา่ (AI) ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งเพอ้ ฝนั ในโลกนิยายวิทยาศาสตร์อีก ต่อไป มีขอ้ ยืนยนั มากมายทแี่ สดงให้เห็นว่าความต้องการในตลาดแรงงานเปลี่ยนและมีแนวโน้มจะเพิ่มข้ึนใน อนาคต รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมท่ัวโลก ต่างให้ความสาคัญกับทิศทางของการทางานในอนาคตที่อาจ เปล่ียนไปเพราะเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าจริงแล้วๆ โลกของการศึกษายังไม่ปรับตัวและให้ ความสาคัญกบั ในเร่อื งนมี้ ากเทา่ ทคี่ วร จากการวิเคราะหต์ ลาดงานในอนาคต รัชนีกร ศรีฟูาวัฒนา กล่าวถึงสถาบัน McKinsey Global Institute พบวา่ 51 เปอรเ์ ซ็นต์ ใน 750 สายอาชพี มแี นวโน้มที่จะปรับเปลยี่ นไปเป็นระบบอัตโนมัติโดยดูจาก วิธีการปรับตวั ใชเ้ ทคโนโลยีทีม่ ากขึ้นเพียงอย่างเดยี ว แต่จุดสาคัญคือเทคโนโลยีน้ันจะช่วยขยับขยายอาชีพใน ระดับอุตสาหกรรมรวมถึงเพม่ิ ทกั ษะและอตั ราคา่ จ้างได้หรอื ไม่ การสารวจเชน่ น้ี ทาให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติมี โอกาสน้อยมากท่จี ะทาให้เกิดการเลิกจ้างแต่จะนาพาไปสู่การคัดเลือกอาชีพรวมถึงการเกิดทักษะใหม่ๆ ข้ึน แทน ควรมีการเตรยี มรองรับคนรนุ่ ใหม่ในอนาคต จากเดก็ วัยประถมที่จะเรียนจบมหาวทิ ยาลัยในช่วงปี 2030 พวกเขาจะทางานถึงปี 2060 หรือมากกว่าน้ัน โดยไม่รู้ทิศทางความต้องการของตลาดแรงงานท่ีเปล่ียนตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อกี ทงั้ การเรียนการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่พบว่าเน้ือหายังล้าหลังวิธีการสอน เด็กแบบเดิมๆ ให้อ่าน-เขียน-เรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภาษาต่างประเทศ ซึ่งไม่ แตกตา่ งจากทส่ี อนในปี 1918 บางศนู ย์การเรยี นร้หู รือโรงเรยี นหนั มานาเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในห้องเรยี นมากข้ึน แตเ่ น้อื หาที่ใช้สอนยังไม่ทันสมยั ทงั้ ๆ ทค่ี วรให้ความสาคัญและปรบั เปลย่ี นไปพรอ้ มกนั การเอาตวั รอด ความคิด สรา้ งสรรค์ ทกั ษะเร่ืองดิจิทลั ความสามคั คี ล้วนเป็นส่ิงทโี่ ลกตอ้ งการแตก่ ลบั ไมไ่ ด้ถูกสอนในโรงเรยี น แม้จะใช้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการสร้างสื่อนาเสนอต่างๆ แต่ไม่ใช่สร้างทักษะดิจิทัลอย่างแท้จริง ความพยายามท่ีจะ ปฏิวัติการศกึ ษาไทย มีมาทุกยุคทกุ สมัยจากทกุ ภาคส่วนทีล่ ว้ นอยากเหน็ รปู แบบการเรียนการสอนในโรงเรียน ท่ัวไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งในปัจจุบันทิศทางของการวัดผลสัมฤทธ์ิของการศึกษาก็มีแนวโน้มที่
เปลยี่ นไปเชน่ กนั โดยตัวช้ีวัดไม่ใชแ่ ค่เกรดเฉลยี่ หรือคะแนนในแตล่ ะรายวชิ าอกี ตอ่ ไป เพราะการเตรียมผู้เรียน ให้พรอ้ มรับมอื กบั การใช้ชีวติ และการทางานในโลกซ่ึงเตม็ ไปด้วยการเปลย่ี นแปลง เด็กไทยจาเปน็ ต้องไดร้ ับการ ตดิ ตงั้ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21เพ่ือพัฒนาตนเองให้ก้าวทันกับเทคโนโลยี นวัตกรรม ในโลกท่ีเปลี่ยนไปอย่าง รวดเรว็ และแนวคิดการสร้างหอ้ งเรียนแหง่ อนาคตกเ็ ปน็ อีกแนวทางหนึง่ ที่จะมาพฒั นากระบวนการเรียนรู้ของ เดก็ ไทยใหก้ ้าวทันกับความเปล่ียนแปลงของโลกถอื กาเนิดห้องเรยี นอนาคต ถนอมพร เลาหจรัสแสง กล่าวว่า เคร่ืองมือช่วยเยาวชนให้อยู่รอดได้ด้วยการพัฒนาทักษะศตวรรษท่ี 21เพื่อให้เห็นภาพแนวคิดการสร้าง ห้องเรียนแหง่ อนาคตชดั เจนขนึ้ กลุ่มภาคเี พ่ือทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 มคี าอธิบายทกั ษะศตวรรษที่ 21 ท่ีเป็น แกนหลักท่ีครูและนักเรียนต้องเรียนรู้ร่วมกันในห้องเรียนแห่งอนาคต ก่อนว่า ทักษะศตวรรษท่ี 21 คือ ชุด ทักษะท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนตลอดเวลา แนวคดิ ซง่ึ เปน็ ท่ียอมรบั กันอย่างกวา้ งขวางกค็ อื กรอบการพัฒนาทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 2 ท่ีเสนอว่าผู้เรียนควร ได้รับการพัฒนาให้มีทักษะสาคัญ 3 กลุ่มได้แก่ ทักษะการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรม (Learning & Innovation Skills) ประกอบดว้ ย ความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม การคิดเชงิ วพิ ากษแ์ ละแก้ไขปัญหา การ ส่ือสารและการทางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี (Information, Media, and Technology Skills) ประกอบด้วย การรู้เท่าทันข่าวสารข้อมูล การรู้เท่าทันส่ือและมีทักษะเทคโนโลยี สารสนเทศ ทักษะชวี ิตและอาชีพ (Life & Career Skills) ประกอบดว้ ย ความยดื หยุน่ และการปรับตัว การคิด รเิ ร่ิมและการกากับตัวเอง ทกั ษะสังคมและการเรยี นรู้ขา้ มวัฒนธรรม การทางานให้เกดิ ผลและการรรู้ ับผิดชอบ การเป็นผู้นาและความรบั ผดิ ชอบและเพ่อื ใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีทักษะสาคญั ดังกลา่ ว การเรียนการสอนในศตวรรษใหม่ จึงต้องก้าวข้ามการเรียนการสอนรูปแบบเดิม ท่ีผู้เรียนเป็นผู้รอรับความรู้ (Passive Learning) ไปสู่การใช้ กระบวนการเรียนรู้แบบผู้เรียนมีส่วนร่วม (Active Learning)โดยมีครูเป็นโค้ช (Coach) หรือผู้อานวย กระบวนการเรียนรู้(Facilitator) การจดั การเรียนการสอนแบบใหมน่ ี้ ควรเป็นการสอนโดยการบูรณาการวิชา แกน (Core Subjects) เข้ามาสอนภายใต้แนวคิดสาคัญแห่งศตวรรษท่ี 21 ได้แก่ การตระหนักในความเป็น ประชาคมโลก (Global Awareness) ความรู้ด้านเศรษฐกิจ การเงิน ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economic, Business and Entrepreneurial Literacy) ความรู้ด้านการเมือง การปกครอง บทบาทและหนา้ ท่ีของการเปน็ พลเมอื ง (Civic Literacy) ความร้ดู ้านสุขภาพ (Health Literacy) ความรู้ด้าน สิง่ แวดลอ้ ม (Environmental Literacy)โดยกระบวนการท้งั หมดน้ีคาดหวังผลลัพธค์ ือผเู้ รียนมีทักษะศตวรรษ ที่ 21 อนั เป็นเครอ่ื งมอื สาคญั ในการเตรียมรับมอื กับโลกท่เี ต็มไปดว้ ยความเปลี่ยนแปลงซง่ึ ยากจะคาดการณ์ ครูถอื เปน็ อาชีพท่ีมคี วามสาคญั ต่อคณุ ภาพของทรพั ยากรมนุษย์ ผู้ทไี่ ด้ชอื่ ว่าครูเปน็ บุคคลท่ีสาคัญ อย่างย่ิงต่อภารกิจในการพัฒนาเยาวชนของชาติ พระครูวิทิตศาสนาทร กล่าวว่าครูท่ีมีคุณภาพส่งผลให้ แนวโน้มในการมที รัพยากรมนุษยท์ ี่มคี ณุ ภาพดว้ ย ครูนอกจากจะต้องมจี ิตวิญญาณของความเป็นครูแล้ว ครูยัง ต้องเปน็ ผู้ทรงความรู้ในเนื้อหาท่ีต้องถ่ายทอดสู่ผู้เรยี นและครูยังตอ้ งจัดการเรียนการสอนได้อย่างเป็นระบบมุ่ง พัฒนาเยาวชนใหเ้ ป็นผูใ้ ฝุเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ เช่น ทกั ษะการเรียนรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
ทักษะการสื่อสารและทักษะการทางานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้พัฒนาตนเอง สังคมและประเทศชาติให้ เจริญก้าวหนา้ ต่อไป รฐั บาลมนี โยบายขับเคลอื่ นการพัฒนาประเทศ เพ่ือให้รองรองการเปล่ียนแปลงที่กาลังเกิดขึ้นอย่าง รวดเร็วน้นั เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษทวายเปน็ ส่วนหนึ่งของเปลี่ยนแปลงและพัฒนาที่สาคัญ ซ่ึงทวายกาลังจะเป็น ประตูเศรษฐกิจแห่งใหม่เช่ือมโลกตะวันตกและตะวันออก ท้ังเป็นแหล่งลงทุนใหม่ที่มีศักยภาพสูงของกลุ่ม อาเซียน และสามารถเชอ่ื มโยงตลาดยุโรป แอฟรกิ า ตะวนั ออกกลางและเอเซยี ใต้ มาทางมหาสมุทรอนิ เดยี และ ทะเลอันดามันเป็นเสน้ ทางทเี่ กิดข้ึนเพอื่ รองรบั การขยายตวั ของสินค้า การขนส่ง รวมถึงการเชื่อมต่อของการ ไปส่ปู ระเทศพม่าอกี เส้นทางหนง่ึ กรงุ เทพธุรกิจเขยี นเก่ียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายต้ังอยู่ในเมืองทวายซึ่ง เป็นเมืองหลวงของเขตตะนาวศรีด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า เมืองทวายมี มีศักยภาพในการเป็น ศนู ย์กลางการลงทุนและการขนส่งสินค้าไปยังอินเดียและสหภาพยุโรป อีกทั้งทรัพยากรธรรมชาติยังมีความ อุดมสมบูรณ์ เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเป็นการร่วมลงทุนระหว่างไทย พม่าและญ่ีปุน ทวายถือเป็นเขต เศรษฐกิจพิเศษท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุดในพม่าด้วยขนาดพ้ืนท่ี 250 ตารางกิโลเมตร ห่างจากด่านบ้านพุน้าร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 132 กิโลเมตร ห่างจากอาเภอเมืองกาญจนบุรี 230 กิโลเมตร และระยะทาง กรงุ เทพฯ-โครงการท่าเรือน้าลกึ ทวาย ประมาณ 360 กิโลเมตร ไทยไดร้ ่วมลงนามบันทึกความเข้าใจเร่ืองการ พัฒนาท่าเรือน้าลึกและพัฒนาถนนเชือ่ มโยงระหวา่ งท่าเรอื น้าลกึ ทวายมายงั ไทยทางด่านบา้ นพุน้าร้อน จังหวัด กาญจนบุรี โดยมีแผนการลงทุนสร้างท่าเรอื น้าลกึ นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ฯลฯ การพัฒนาท่าเรือน้าลึก ทวาย นิคมอุตสาหกรรมและสง่ิ อานวยความสะดวกต่างๆ เพ่ือตอบสนองต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ี เพม่ิ ขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้ พื้นท่ีทวายได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดการพัฒนาสู่การ เป็นศนู ยก์ ลางการคา้ ของภมู ิภาคเพ่ือตอบสนองความตอ้ งการในการขนส่งทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียและ ทะเลอันดามัน เป็นทางเลือกให้กับอินเดีย จีน ตะวันออกกลาง ยุโรปและแอฟริกา ในการลดต้นทุนและ ค่าใชจ้ ่ายในการขนสง่ สนิ คา้ และไมต่ ้องพ่ึงพาเสน้ ทางผา่ นทางช่องแคบมะละกาเหมอื นดังทผ่ี ่านมา โรงเรียนวดั พนุ อ้ ยต้ังอยใู่ นตาบลบ้านเก่า ซง่ึ พนื้ ทีด่ ังกล่าวกาลงั พัฒนาไปสู่พ้ืนที่เขตเศรษฐกิจที่สาคัญ ของประเทศ นบั เปน็ การเปล่ียนแปลงที่สาคัญอย่างย่ิง การเตรียมสมรรถนะเยาวชนในพ้ืนท่ีรองรับงานและ อาชพี ในอนาคตเป็นหนา้ ท่ที สี่ าคญั ประการหน่งึ ของสถานศกึ ษา ซึง่ ต้องมีการเตรียมการด้านศกั ยภาพบุคลากร ทางการศึกษามีความพร้อมท่ีจะเป็นฟันเฟืองที่สาคัญและเข้มแข็งในการพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ ทักษะ สมรรถนะ วิสัยทัศน์ และคุณลักษณะท่ีดีเป็นท่ีต้องการของตลาดงาน สังคม พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และมคี ุณภาพชีวิตที่ดีในพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย จากการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดพุน้อย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มีสาระวิชา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มี คณุ ลักษณะ และสมรรถนะที่สาคัญตามท่ีสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนด ผลจากการ วัดผลและประเมินผลปีการศึกษา 2561 พบว่านักเรียนไม่กล้านาเสนอ ขาดทักษะการส่ือสาร ไม่สามารถ แก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อย่างเป็นระบบ ไม่สามารถสืบค้นความรู้ ประยุกต์ความรู้ต่างๆ มาใช้ในการ ปอู งกนั และแกไ้ ขปญั หา ขาดทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี ขาดทกั ษะกระบวนการกลุ่ม ความรับผิดชอบ
ของนกั เรียนทง้ั ต่อตนเองและส่วนรวมยังอยู่ในระดับต่า ครูผู้สอนมีความแตกต่างหลากหลายท้ังองค์ความรู้ ประสบการณ์ มีความเป็นปัจเจกบคุ คล ขาดความตระหนกั คุณค่าความเปน็ ครู ทาใหโ้ รงเรยี นขับเคลื่อนช้ากว่า กาหนดหรือเฉื่อยชา บรรยากาศการทางานขาดความกระตือรือร้น ขาดการมีส่วนร่วม การสื่อสารที่ดีและ ความรู้สกึ การเปน็ สว่ นหน่งึ ที่สาคัญ ทาให้โรงเรียนต้องทบทวนระบบท้ังการบริหารจดั การและการจดั การเรยี น การสอนรวมท้ังบทบาท หน้าท่ีของผู้สอนรวมถึงกระบวนการที่ควรเปลี่ยนแปลงเพ่ือให้เกิดคุณภาพการจัด การศกึ ษาทส่ี ามารถสร้างคนดมี ีคุณภาพสู่สังคมอย่างแท้จริง จึงเกิดแนวคิดการพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ และสง่ ตอ่ ไปยงั ผู้เรียน ด้านสมรรถนะคณุ ลกั ษณะและทกั ษะท่ีสาคญั จาเป็นในอนาคต ซึ่งเป็นท่ีมาของรูปแบบ การบริหารจดั การวถิ ีสร้างสภุ าพชนคนคุณภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ดังน้ี DSCUPP ฉพั พรรณรงั สี ฉอ ฉะ ฉกามาพจร เมกะ 1. การบรหิ ารตามสถานการณ์ (Situational Management) 1.1 แบบกากบั (telling) 1.2 แบบมีสว่ นร่วม (participating) 1.3 แบบขายความคิด (selling) 1.4 แบบมอบอานาจ (delegating) 2. เข้าใจ (Understanding) 2.1 การใชข้ ้อมูลที่มอี ยู่ (Existing data) 2.2 การใชข้ ้อมูลเชงิ ประจักษ์ (Empirical data) 2.3 การวิเคราะห์และวจิ ยั (Analytics and Research) และ 2.4 การทดลองจนไดผลจรงิ (Experiment till actionable results) 3. เข้าถงึ (Connecting) 3.1 ระเบิดจากข้างใน (Inside-out blasting) 3.2 เข้าใจกล่มุ เปูาหมาย (Understand target) 3.3 สรา้ งปัญญา (Educate) 4. พฒั นา ( Development ) 4.1 เรม่ิ ดว้ ยตนเอง (Self-initiated) 4.2 พึ่งพาตนเองได (Self-reliance) 4.3 ตน้ แบบเผยแพรความรู(Prototype and role model) 5. วิถีทาง – เปูาหมาย (Path – Goal Management) 5.1 พฤติกรรมผ้นู า (Leader behaviors) 5.2 คุณลกั ษณะส่วนบุคคลของผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา (Subordinate characteristics) 5.3 คุณลักษณะของงาน (Task characteristics)
5.4 การจงู ใจ (Motivation) 6. ความภาคภมู ิใจ (Pride) วัตถุประสงค์ 1.เพอื่ พฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาสายงานการสอนใหม้ ีความรู้ เรื่องกระบวนการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน (co 5 steps) 2.เพ่อื พฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีทกั ษะการสอนด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน (co 5 steps) 3.เพ่ือให้นกั เรียนมีความรู้ด้วยกระบวนการเรยี นรู้ 5 ข้ันตอน (co 5 steps) 4.เพอ่ื ให้นกั เรียนมที กั ษะการเรียนรูด้ ว้ ยกระบวนการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน (co 5 steps) 5.เพอื่ ให้นกั เรียนมีเจตคติตอ่ การเรียนรูด้ ้วยกระบวนการเรยี นรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 6.เพอ่ื ใหม้ ีระบบบรหิ ารจัดการขับเคลอื่ นคณุ ธรรมโรงเรยี นวดั พนุ ้อย อ้างอิง: รัชนีกร ศรีฟูาวฒั นา โรงเรยี นกาลงั สอนวชิ าในอดตี ท้ังๆ ทอี่ นาคตต้องการ 4 ทักษะน้ี เร่อื ง Why schools should teach the curriculum of the future, not the past รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรสั แสง ปรับเปล่ียนวิธีการสอนและตอ้ งพัฒนาทกั ษะทจ่ี าเปน็ สาหรบั การเรียนร้ใู น ศตวรรษที่ 21 ของตนเอง ดังท่ี https://sites.google.com/site/karsuksathiynisswrrsthi21/khwam- sakhay-laea-sphaph-payhal เขตเศรษฐกจิ พิเศษทวาย กรุงเทพธรุ กจิ https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/848441 พระครวู ทิ ติ ศาสนาทร, ดร.ครูในอนาคตของนกั เรียนจะตอ้ งเป็นอยา่ งไร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาม กฏุ ราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตล้านนา เชยี งใหม่
บทท่ี 2 เอกสาร แนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วขอ้ ง การศึกษารูปแบบการบรหิ ารจัดการวิถีทางสร้างสุภาพชนคนคุณภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) เปน็ หนึ่งวธิ ีการพฒั นาท้งั บุคลากรครแู ละนักเรียนให้มีความสามารถ ความรู้ ทักษะและเจต คตทิ ่สี ามารถมีคุณภาพชวี ติ ทดี่ ีในอนาคต การศกึ ษารปู แบบการบรหิ ารจดั การวถิ ีทางสร้างสภุ าพชนคนคณุ ภาพ พนุ ้อย (DSCUPP model to co 5 steps) มวี ัตถุประสงค์ 1.เพอ่ื พฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีความรู้ เรื่องกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน (co 5 steps) 2.เพื่อพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนให้มีทักษะการสอนด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขน้ั ตอน (co 5 steps) 3.เพื่อใหน้ กั เรียนมคี วามรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 4.เพ่ือให้นักเรยี นมที กั ษะการเรยี นรูด้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน (co 5 steps) 5.เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมเี จตคติตอ่ การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรยี นรู้ 5 ขัน้ ตอน (co 5 steps) 6.เพือ่ ให้มรี ะบบบรหิ ารจดั การขับเคล่อื นคุณธรรมโรงเรยี นวัดพุนอ้ ย ปีการศึกษา 2562 โดยมีขอบข่ายคือ ครูผู้สอน 4 คน นักเรียนระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 1-3 ระดับ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-6 จานวน 74 คน ซงึ่ การศึกษาครัง้ นม้ี เี รื่องท่ีเกี่ยวขอ้ งดังนี้ 1. เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย 2. การศึกษาในอนาคต 3. ครูในอนาคต 4. คณุ ลักษณะพฤตกิ รรมของคนแตล่ ะยุค (Generation) 5. ทักษะในศตวรรษที่ 21 6. การบรหิ ารการจัดการ 7. กระบวนการการเรยี นรู้ 5 ข้นั ตอน การพัฒนาประเทศต้องดาเนินการหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กันทั้งโครงสร้าง ระบบและ กระบวนการทีส่ าคญั การเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี การศกึ ษา สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ การเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกิจสง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงหลายด้านรวมถึงการเตรียมกาลังคนรองรับการเปล่ียนแปลง คนในพ้ืนที่ ต้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ ขอบเขต แนวโน้ม ทิศทางของการเปล่ียนแปลงแต่ละโครงการและพื้นท่ี จังหวัด กาญจนบุรีมเี ขตเศรษฐกิจพเิ ศษทวายเปน็ เขตเศรษฐกิจท่ีสาคัญ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษทวาย ความเปน็ มา
โครงการทวายเป็นโอกาสสาคญั ของประเทศไทย ในการเปิดพืน้ ที่เศรษฐกจิ แหง่ ใหม่รว่ มกับสาธารณรฐั แหง่ สหภาพพม่า ซ่ึงเป็นประเทศเพ่ือนบ้านท่ีสาคัญ สานักยุทธศาสตร์และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ได้จัดทา ขอ้ มูลไว้ดังนี้ มีระยะทางชายแดนติดต่อกบั ประเทศไทยยาวทส่ี ดุ กวา่ 2,200 กม. ท้ังน้ี รัฐบาลไทยและรัฐบาล พม่ามคี วามรว่ มมือเพอื่ สนับสนุนโครงการทวายมาต้ังแต่ปี พ.ศ.2551 โดยในปี พ.ศ.2555 มีข้อตกลงระหว่าง ประเทศ (MOU) ว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการท่ีเกี่ยวข้องเพื่อแสดง เจตนารมณร์ ่วมกนั ในการผลักดันโครงการพัฒนาท่าเรือน้าลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรมและเส้นทางคมนาคม เช่ือมโยงพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายกับชายแดนไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมความคาดหวังจากการเป็น หุ้นสว่ นความรว่ มมือดังกลา่ วจะนาไปสกู่ ารเรง่ กระบวนการพัฒนาเศรษฐกจิ ในระดับพนื้ ทใี่ ห้เตบิ โตและเข้มแข็ง ข้ึนในเวทีการค้าโลกซ่ึงจะกอ่ ใหเ้ กิดการสร้างงานและจา้ งงานในพ้นื ท่แี ละระดับประเทศ ยกระดับฝีมือแรงงาน สรู่ ะดับสากล ยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของประชาชนในขณะเดียวกันเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายจะเป็นทางเลือก สาหรบั การก่อตง้ั ฐานทางธรุ กิจแห่งใหม่ทจ่ี ะสร้างโอกาสใหผ้ ปู้ ระกอบการไทยในทุกระดับให้มีส่วนร่วมในการ พัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและพ้ืนที่ในลักษณะที่เกื้อกูลกันเป็นโอกาสในการขยายฐานการผลิต อุตสาหกรรมเช่ือมโยงกจิ กรรมกบั พืน้ ท่ีเศรษฐกิจอนื่ ๆ ของไทย อกี ทั้งจะสร้างโอกาสสนบั สนนุ ความมั่นคงด้าน พลงั งานให้ไทยในอนาคตอกี ดว้ ย เขตเศรษฐกจิ พิเศษทวายตัง้ อยูใ่ นเมืองทวายซง่ึ เป็นเมอื งหลวงของเขตตะนาว ศรีดา้ นทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ของพม่า เขตตะนาวศรีมีประชากรประมาณ 1.4 ล้านคน เมืองทวายมีประชากร ประมาณ 4.9 แสนคน มศี ักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการขนส่งสินคา้ ไปยังอินเดียและสหภาพ ยโุ รป อีกทัง้ ทรพั ยากรธรรมชาติยังมีความอุดมสมบูรณ์ เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเป็นการร่วมลงทุนระหว่าง ไทย พม่า ญี่ปุน ทวายถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพม่าด้วยขนาดพ้ืนที่ 250 ตาราง กิโลเมตร ห่างจากด่านบ้านพุน้าร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 132 กิโลเมตร ห่างจากอาเภอเมือง กาญจนบุรี 230 กิโลเมตร และระยะทางกรงุ เทพฯ-โครงการท่าเรือน้าลึกทวาย ประมาณ 360 กิโลเมตร วตั ถุประสงค์เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษทวาย เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและท่าเรือน้าลึกทวายเป็น ส่วนหน่ึงของแผนแม่บทการเชื่อมโยง เส้นทางคมนาคมขนสง่ ของอาเซียน (ASEAN Connectivity) ซ่ึงได้รับการผลักดันจากกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้า โขงและญ่ีปนุ มาอย่างต่อเนือ่ ง เพอ่ื เปิดเสน้ ทางการค้าและประตูเชื่อมเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกแห่งใหม่ตามแนว ระเบยี งเศรษฐกจิ ตอนใตข้ องอนภุ มู ภิ าคล่มุ นา้ โขง หรือ Greater Mekong Sub-region (GMS) โดยท่าเรือน้า ลกึ ทวายจะเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตกของภูมิภาคสร้างทางลัดโลจิสติกส์เช่ือมโยงภูมิภาคอาเซียนกับโลก ตะวนั ออกและโลกตะวันตก ส่ตู ลาดใน เอเชยี ใต้ ตะวนั ออกกลาง แอฟรกิ าและยโุ รป ประโยชน์ท่ีไทย พม่าและอาเซยี นจะได้รบั จากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ประโยชน์ตอ่ ประเทศไทย เขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือนา้ ลึกทวายจะเปิดชอ่ งทางลัดโลจิสติกส์ ฝั่งตะวันตกของไทย เชื่อมโยงแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ระหว่างพม่า–ไทย–กัมพูชา–เวียดนาม สู่ ตลาดฝ่ังตะวันตกโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการค้า การขนส่ง
ระหว่างประเทศได้อย่างมาก ท้ังยังส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเป็นโอกาสขยายฐานการผลิตเชื่อมโยงและเสริมกิจกรรมในห่วงโซ่ อปุ ทานกบั พื้นท่ีเศรษฐกิจหลักของไทย (พื้นที่บริเวณชายฝ่ังทะเลตะวันออก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนา พนื้ ที่รองรับอุตสาหกรรมขั้นต้นหรืออุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร ให้เป็นแหล่งผลิต วตั ถุดบิ สาคญั เพอื่ ปูอนเข้าสู่วงจรการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนตใ์ นประเทศไทยได้เป็นต้น ไทยไดร้ ว่ มลงนาม บันทึกความเข้าใจเร่ืองการพฒั นาทา่ เรอื นา้ ลกึ และพฒั นาถนนเชอื่ มโยงระหว่างทา่ เรอื น้าลึกทวายมายังไทยทาง ดา่ นบ้านพุนา้ รอ้ น จงั หวดั กาญจนบรุ ี โดยมแี ผนการลงทุนสร้างทา่ เรือน้าลกึ นิคมอตุ สาหกรรม ปโิ ตรเคมี ฯลฯ การพัฒนาท่าเรือน้าลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรมและสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อการ เจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทเี่ พ่มิ ข้ึนในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตแ้ ละจนี ตอนใต้ พ้นื ท่ที วายไดร้ บั การพฒั นาภายใต้ แนวคดิ การพฒั นาสูก่ ารเป็นศนู ยก์ ลางการคา้ ของภูมภิ าคเพอื่ ตอบสนองความต้องการในการขนส่งทางทะเลใน มหาสมทุ รอนิ เดียและทะเลอนั ดามนั เป็นทางเลือกให้กับอินเดีย จีน ตะวันออกกลาง ยุโรปและแอฟริกา ใน การลดตน้ ทุนและคา่ ใชจ้ ่ายในการขนส่งสนิ ค้าและไม่ต้องพงึ่ พาเส้นทางผ่านทางช่องแคบมะละกาเหมือนดังท่ี ผ่านมา นอกจากน้ี รัฐบาลพม่ายังได้สนับสนุนให้มีการเช่ือมโยงทางรถไฟจากทวาย-ย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์-มูเซ เชอ่ื มต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คนุ หมิง เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายไดร้ บั การจับตามองจากนักลงทุนไทยอย่างมาก เน่ืองจากทวายเป็นเมืองท่ีมีท่ีต้ังทางยุทธศาสตร์ท่ีดี อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากไทยหากมีการพัฒนาโครงสร้าง พืน้ ฐานก็จะยิ่งทาให้การเดนิ ทางมคี วามสะดวกมากขึน้ ดว้ ยเหตุนี้หนว่ ยงานภาครัฐพมา่ จงึ อยู่ระหว่างดาเนินการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะถนนเพ่อื รองรับเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษทวายทอี่ าจจะเกิดขนึ้ ในอนาคต รัฐบาล พมา่ ให้ความสาคญั กับการพฒั นาโครงสร้างพน้ื ฐานโดยได้ดาเนินการกอ่ สร้างถนนจากเมอื งทวายไปเมืองมะริด และได้ปรับปรุงถนนเป็น 2 เลน เพ่ือเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย กับด่านบ้านพุน้าร้อน จังหวัด กาญจนบุรี ส่งผลใหภ้ าคตะนาวศรีของพมา่ กาลงั ได้รับการจับตามองจากนกั ลงทุนหลายฝุายเน่ืองจากมีโอกาส ทางดา้ นการคา้ การลงทนุ และสามารถสร้างความร่วมมือได้ในหลายสาขา อาทิ การไฟฟูา การประมง การ ท่องเท่ียวและโลจิสติกส์ การจัดการศกึ ษาในเขตเศรษฐกจิ พิเศษทวาย มุมมองของการศึกษาในอนาคตเก่ียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย น้ันจังหวัดกาญจนบุรี ขบั เคลือ่ นการจดั การศกึ ษาแบบบรู ณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพเิ ศษกาญจนบุรี ในพ้ืนท่ี 2 ตาบลในอาเภอ เมอื งกาญจนบุรี ได้แก่ ตาบลแกง่ เส้ียนและตาบา้ นเกา่ เปน็ เขตพน้ื ท่ีเศรษฐกจิ พเิ ศษท่มี ศี ักยภาพใน 4 ด้าน คือ นิคมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การเกษตรกรรม และการค้าผ่านแดน แต่ขณะนี้ในพ้ืนท่ี กาญจนบรุ อี าจจะยังไม่กระทบชัดเจนมากนัก จนกว่าท่าเรือทวายซึ่งกาลังก่อสร้างใกล้จุดผ่านแดนบ้านพุน้า ร้อนในตาบลบ้านเก่าแล้วเสร็จและเป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันตกของประเทศ ซึ่งจะสอดรับกับแนว ระเบียงเศรษฐกิจพเิ ศษตะวนั ออก ท่ีจะจัดตง้ั เพ่มิ ขน้ึ ในพนื้ ท่ี จังหวัดชลบรุ ี ฉะเชงิ เทราและระยอง อกี ดว้ ย การจัดการศกึ ษาในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพเิ ศษกาญจนบุรี ได้เน้นจัดการศึกษาเพ่ือเตรียมคนรองรับพัฒนาเขต เศรษฐกิจพเิ ศษทุกระดับซึ่งพบวา่ คุณภาพการจัดการศึกษาของ จังหวัดกาญจนบุรี ในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี
เมอื่ พจิ ารณาจากผลการทดสอบ O-NET คา่ เฉล่ยี ใน 5 กลมุ่ สาระหลัก และผเู้ รยี นมอี ตั ราการเรยี นต่อในระดับ ค่อนขา้ งสูง ท่สี าคัญคือ มีภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งชุมชน ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เข้ามามี ส่วนร่วมในการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การศึกษาจานวนมาก การดาเนนิ การบรู ณาการจดั การศึกษา ภายใตว้ สิ ยั ทัศน์ \"ม่งุ จดั การศึกษา เตรียมคนรองรบั เขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบรุ \"ี โดยดาเนนิ การเปน็ 3 ระยะ ดังนี้ ระยะเร่งด่วน (ปีงบประมาณ 2559) พฒั นาและจัดทาหลกั สูตรการจดั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เพือ่ ให้สถานศึกษา นาไปใช้เป็นแนวทางในการพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับการสร้างคน โดยการให้การศึกษาและ การฝกึ อาชพี ให้กับเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึงเหมาะสมกับศักยภาพพ้ืนที่และความต้องการของเขตพัฒนา เศรษฐกิจพเิ ศษชายแดน ซงึ่ มีเปูาหมายพฒั นาผเู้ รียน 6 ด้าน ได้แก่ ความรแู้ ละทกั ษะ เจตคติ คุณธรรม ภาษา ทักษะอาชีพ และภูมิคุ้มกันครอบคลุมเนื้อหาด้านเศรษฐกิจ อาชีพ ภาษา สังคม และวัฒนธรรม ดาเนิน โครงการตามแผนปฏบิ ัตกิ ารทดี่ ี ทีไ่ ด้วางแผนไวล้ ่วงหนา้ เช่น ภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สาร การจัดการศึกษาสู่ ประชาคมอาเซยี น การลดเวลาเรียน เพม่ิ เวลารู้สู่ทกั ษะอาชพี ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีส่วน ร่วมในการดาเนินการให้เป็นไปตามแผนท่ีวางไว้ ประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรม ให้ความรู้ชุมชนเก่ียวกับ เศรษฐกิจพเิ ศษ จดั ต้ังศนู ย์การเรยี นรู้เขตพฒั นาเศรษฐกจิ พิเศษกาญจนบุรี ระยะส้นั (ปกี ารศึกษา 2560) นาหลักสตู รสถานศกึ ษาเพอ่ื รองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษไปใช้จริง พร้อมท้ังมีการประเมินและปรับปรุง หลกั สูตรคร้ังที่ 2 ประกาศใชห้ ลกั สูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐานในเขตพฒั นาเศรษฐกจิ พเิ ศษ กับทุกโรงเรียนทีต่ ัง้ อยู่ ในเขตพฒั นาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี 2 ตาบล คือ ตาบลบ้านเก่าและตาบลแก่งเสี้ยน จัดหาส่ือ หนงั สือ วัสดฝุ ึก อุปกรณ์การเรยี นการสอนท่ีทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับความสามารถของผู้เรียน เพื่อให้ ผสู้ าเรจ็ อาชีวศึกษามขี ดี ความสามารถในการแข่งขนั ท้ังสมรรถนะหลัก (Core Competency) และสมรรถนะ ในการทางานตามตาแหน่งหน้าท่ี (Function Competency) โดยใช้ V-NET การประเมินด้านมาตรฐาน วิชาชีพ และการประเมินระดับหอ้ งเรยี น สรา้ งเสรมิ ทกั ษะอาชพี ในอนาคตด้วยกิจกรรมองคก์ ารวชิ าชพี ปลกู ฝงั คุณธรรมจริยธรรม วิถีประชาธิปไตย ความมีวินัย เสริมสร้างทักษะชีวิต ความสามารถด้านนวัตกรรม/ ส่ิงประดิษฐ์ การเป็นผู้ประกอบการ พัฒนาทักษะการคิดบนพ้ืนฐาน Competency Based, Technology Based, Green Technology, Creative Economy รวมทั้งการแกป้ ญั หาด้านพฤติกรรม และการใช้เวลาให้ เกิดประโยชน์ อาทิ สุภาพบุรุษอาชีวะ ลูกเสือ กีฬา การปูองกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาท เตรียม ผู้เรียนสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยเพ่ิมจานวนสถานศึกษา English Program (EP) และ Mini English Program (MEP) ใช้หลักสูตร/ส่ือต่างประเทศ สนับสนุนการฝึกงานต่างประเทศ ยกระดับทักษะด้าน ภาษาองั กฤษ การเรยี นรูภ้ าษาประเทศคู่ค้า ระยะยาว (ปี 2560 เป็นต้นไป) เพมิ่ ชอ่ งทางการเรียนอาชีวศึกษา ด้วยอาชีวะทางไกลและเครือข่ายวิทยุเพื่อการศึกษาและพัฒนาอาชีพ ( R- radio Network) ยกระดบั คณุ ภาพสถานศกึ ษาตามความต้องการของพื้นท่ี และการให้บริการกลุ่มเปูาหมาย
พิเศษ อาทิ คนพกิ าร ผู้สูงวัย ฯลฯ ใช้ ICT เพ่ือการเรียนการสอน สนับสนุนความพร้อมในด้านฮาร์ดแวร์ ส่ือ การเรียนการสอน ส่งเสรมิ การประกวดสอ่ื /ส่ือออนไลน์ และจัดต้ังวิทยาลัยต้นแบบการใช้ ICT เพ่ือการเรียน การสอน สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศ ประเทศเพ่ือนบ้าน ประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อ พฒั นาการจดั อาชีวศึกษา จัดการศกึ ษาในเขตพฒั นาเศรษฐกิจ ตามท่คี ณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพือ่ พฒั นากาลงั คนอาชวี ศกึ ษา (กรอ.อศ.) ได้รว่ มมอื กันจดั ขึน้ เช่น โลจิสติกส์ โรงแรมและการท่องเที่ยว อัญมณี และเคร่ืองประดับ ไฟฟาู และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เครอ่ื งยนต์เล็ก เคร่ืองปรับอากาศและเครื่องทาความเย็น ตัวถัง และสี เปน็ ตน้ ศกึ ษาประสิทธภิ าพและประสิทธิผล ความสาเร็จของการจัดการศึกษา เพื่อรองรับเขตพัฒนา เศรษฐกจิ พเิ ศษ ศึกษา วิจัยหลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษที่จัดทาข้ึน เพื่อพัฒนา ให้มีศักยภาพเข้ากับบริบทของพื้นที่ให้มากท่ีสุด ในการเตรียมความพร้อม การจัดการปัญหา และการ ขบั เคล่ือนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพเิ ศษ ซ่ึงหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วขอ้ งจะนามาใช้เป็นแนวทางการจัดทาแผนการศึกษา และหลักสตู รให้สอดคล้องกบั เขตพัฒนาเศรษฐกจิ พเิ ศษกาญจนบุรีต่อไป สรปุ วา่ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษทวายเป็นโครงการทีพ่ ฒั นาพ้ืนทชี่ ายแดนไทยพมา่ ให้มที า่ เรอื นา้ ลึกและเขต เศรษฐกจิ เส้นทางสาคัญทท่ี าใหก้ ารเชอ่ื มโยงการคา้ การเดนิ ทาง การพฒั นาด้านการศกึ ษาอยใู่ นระยะยาวที่ ต้องเตรยี มคนเพอื่ รองรบั การเปล่ยี นแปลงที่คลอบคลุมตลาดงาน อาชีพในอนาคตรวมถึงงานอาชพี ทเ่ี กิดข้ึน พร้อมกบั เขตเศรษฐกจิ พิเศษทวาย เพอื่ ใหก้ ารจัดการศึกษาตรงกบั ความตอ้ งการและคุณภาพชีวิตทด่ี ีของคนใน ท้องถน่ิ อย่างแทจ้ รงิ การศึกษาในอนาคต โลกในอนาคต พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของคนเปลี่ยนไปความรู้ใหม่ๆ มากมายนอกห้องเรียนทาให้ผู้คน ในยคุ นแ้ี สวงหาความรใู้ หม่ๆ อยา่ งตอ่ เนอื่ งความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีและดิจิทัลมีการพฒั นาไปอย่างรวดเรว็ ย่ิงทาให้ผู้คนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแทบตลอดเวลา โลกดิจิทัลจึงเป็นส่วนหน่ึงของการเรียนรู้ในปัจจุบัน ระบบการศึกษาตอ้ งปรับตวั ความรใู้ นทุกวนั น้ีมีมากมายและแสวงหาไดง้ ่ายข้ึน การเรียนรู้ในยุคนี้จึงไม่ใช่การ เรยี นเพ่ือทอ่ งจา แตเ่ ปน็ เรยี นเพ่ือรู้และรเู้ พ่อื นาไปใชต้ อ่ ได้ สถาบนั การศกึ ษาหลายแห่งจึงมีการปรับหลักสูตร และวธิ กี ารสอนทเ่ี น้นไปที่การเรียนรู้ให้เกดิ ประสิทธิภาพ สามารถประยุกต์ใชไ้ ด้จรงิ มกี ารบูรณาการสาขาวิชา ตา่ งๆ เขา้ ด้วยกัน ความนิยมการเรยี นรนู้ อกระบบมีมากขึน้ ผ้คู นมองหารูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของผเู้ รยี นได้รวดเรว็ เลอื กเรียนสิ่งทตี่ นเองสนใจได้ทนั ที ระบบการเรียนรทู้ างออนไลน์ เข้ามามีบทบาทมากข้ึนท่ีทาให้สามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามที่ตนเองสนใจ ภายใต้เวลา สถานท่ีตามท่ีตนเอง สะดวก การเกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ยคุ นี้เปน็ ยคุ แหง่ การพฒั นานวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้สามารถ ตอบโจทย์และรองรบั การใชง้ านอย่างเหมาะสม เออื้ ใหค้ นทกุ วัยเข้าถงึ ข้อมลู ได้โดยสะดวก อาทิ เว็บไซต์ แอป พลิเคชัน คลิปวิดีโอ E-book ฯลฯ ข้อมูลมากมายเหล่าน้ีจาเป็นต้องมีระบบจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมท้ังผู้เรียนก็ต้องมีทักษะคัดกรอง แยกแยะและเลือกใช้ให้เหมาะสม ภาคธุรกิจและเอกชนร่วมพัฒนา ปัจจุบันภาคธุรกจิ ได้เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนาคน พัฒนาบุคลากรของตน อาทิ การเปิดสถาบันการ
เรยี นรแู้ ละพฒั นาทักษะให้ตรงกบั ความตอ้ งการของธรุ กจิ เนน้ การเรยี นรภู้ าคทฤษฎแี ละปฏิบตั ิ ทาให้ผู้เรียนมี โอกาสได้สมั ผัสและเรียนรกู้ ับรปู แบบการทางานจริง การปรับตัวของแต่ละสายอาชีพ คนในยุคนี้จาเป็นต้อง ปรับตัวและพัฒนาศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ ท้ังในแง่การทางานและใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ ครู อาจารย์ ผู้ประกอบการ ฯลฯ เพอื่ รับมือกับการเปลยี่ นแปลงตา่ งๆ ทเี่ กดิ อย่างรวดเร็วในยุค การศึกษาสาหรับ ศตวรรษท่ี 21 กาลังอยูใ่ นชว่ งเวลาแหง่ การเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วในสภาพแวดลอ้ มที่ประเทศต่างๆ มคี วาม เช่อื มโยงกนั มากข้นึ เรอื่ ยๆ และระบบการศึกษาจาเป็นต้องปรับตัว โดยไม่ใช่แค่การปฏิรูปเพียงครั้งคราว แต่ ต้องเป็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพ่ือตอบสนองความต้องการของเยาวชน สังคมและตลาดแรงงานท้ังใน ปัจจุบันและอนาคต ซ่ึงผู้กาหนดนโยบายและบุคลากรด้านการศึกษาของไทยท่ีผู้เขียนมีโอกาสได้รู้จักล้วน ตระหนักว่า การศึกษาควรจะมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีทักษะท่ีจาเป็นต่อการใช้ชีวิตและ สอดคล้องกับสังคมในอนาคต แม้ในช่วงสองทศวรรษทีผ่ า่ นมาประเทศไทยจะมีความกา้ วหนา้ ในดา้ นการเข้าถึง การศึกษาในระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษารวมทั้งมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพ่ือปรับปรุงคุณภาพ การศกึ ษาแตป่ ระเทศไทยยงั คงประสบความท้าทายอีกหลายประการ เช่น นักเรียนจานวนมากยังไม่มีทักษะ พ้ืนฐานที่ควรจะมี ดังจะเห็นได้จากผลการประเมินต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและในระดับระหว่างประเทศ หรืออัตราสว่ นของเดก็ ท่ไี มศ่ ึกษาต่อในระดับมัธยมศกึ ษายังค่อนข้างสงู จึงทาใหเ้ ยาวชนจานวนมากขาดทักษะ ทจ่ี าเป็นตอ่ การทางานในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ การปรับปรงุ ระบบการศกึ ษาและการพฒั นาทกั ษะมสี ่วนสาคญั ที่จะทาให้ไทยบรรลุเปูาหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งจะช่วยเพ่ิมศักยภาพ โอกาสและความเท่า เทียมทางเศรษฐกิจภายในประเทศและด้วยแนวโน้มการเป็นสังคมผู้สูงอายุและสัดส่วนของประชากรในวัย ทางานที่ลดลงเรื่อยๆ ทรัพยากรมนุษย์ทม่ี ที ักษะคอื ปัจจัยสาคัญของความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไทยในอนาคต ดงั นั้นคุณภาพของระบบการศกึ ษา ตลอดจนสมรรถนะและทกั ษะของผู้สาเรจ็ การศกึ ษา จึงเป็น กุญแจสาคัญท่ีจะตอบโจทย์ดังกล่าว แม้ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาและการพัฒนารวมท้ังการปฏิรูประบบ การศึกษาท่ีกาลังเกิดข้ึนในไทยจะมีเปูาหมายเพ่ือตอบสนองต่อปัญหาข้างต้น จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ ต้องการให้เกิดขน้ึ อย่างเป็นรูปธรรมในช้ันเรียนท่วั ประเทศ และจะเปลี่ยนแปลงวิธกี ารเรยี นการสอนให้มุ่งเน้น การพฒั นาสมรรถนะและทักษะของผเู้ รียนได้ ในขณะที่ทักษะพ้นื ฐานตา่ งๆ เชน่ การคานวณและการอา่ นเขียน ยังคงเปน็ พ้ืนฐานสาคญั ต่อการเรยี นรู้ในอนาคต นักเรียนต้องไดร้ ับการพัฒนาทักษะที่จาเป็นสาหรับศตวรรษท่ี 21 ด้วย ฮวิ จ์ เดลานี กล่าวว่าการพัฒนาทักษะที่จาเป็นสาหรับศตวรรษท่ี 21 เพื่อให้พวกเขาเติบโตได้ในยุค แหง่ ความไมแ่ น่นอนและการเปลยี่ นแปลงท่ีเกิดอยา่ งรวดเรว็ และตลอดเวลา ทักษะท่สี าคญั ควรให้ความสาคัญ เชน่ การปรับตวั การคิดเปน็ ระบบ การสร้างสรรค์ การแก้ไขปญั หาและการทางานรว่ มกับคนอน่ื ซงึ่ เป็นทักษะ ทนี่ าไปใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ตามแนวโน้มปัจจุบันที่คนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนงานข้ามสาขาวิชาชีพที่ หลากหลาย ซง่ึ เป็นสิง่ ทีท่ ้าทายความสามารถในการนาทกั ษะที่มีไปปรบั ใช้ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ การปฏิรูป หลักสูตรการศึกษาเป็นที่สาคัญ เพราะหลักสูตรการศึกษาคือกรอบที่กาหนดวิสัยทัศน์และแนวทางในการ กาหนดเปูาหมายการเรียนรแู้ ละผลลพั ธท์ ี่คาดหวังให้เกิดข้ึนกบั นกั เรยี นทั่วประเทศ ดังนั้นกระบวนการปฏิรูป หลักสูตรการศึกษาจงึ ควรจะนาไปสกู่ ารปลูกฝังความรู้ ทักษะ ทศั นคตแิ ละคา่ นยิ มตา่ งๆ ทเ่ี ยาวชนจาเป็นตอ้ งมี
เพ่อื ให้พวกเขาเติบโตได้ไมใ่ ชแ่ ค่ในโลกปจั จบุ นั แตร่ วมถงึ อนาคต กระบวนการดังกลา่ วควรจะอยูบ่ นพืน้ ฐานของ ผลการศึกษาวิจัยและการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ด้านการพัฒนาสมรรถนะจากทั่วโลก รวมท้ังต้อง ตอบสนองต่อความคาดหวงั และเปาู หมายในการพฒั นาของประเทศ มันควรเป็นกระบวนการที่ทุกคนมีส่วน ร่วม ตอบสนองความต้องการของเยาวชนและสามารถพัฒนาทักษะที่พวกเขาต้องการให้เกิดข้ึนได้ โดยอาศัย วิธกี ารเรียนรทู้ ส่ี อดคล้องกบั ความสนใจของผู้เรียน ท้ังนภี้ าคเอกชนควรมสี ่วนร่วมในกระบวนการนีด้ ้วย เพ่ือให้ การปฏริ ปู หลักสูตรการศึกษานาไปสู่การพฒั นาทกั ษะทเ่ี ป็นท่ีตอ้ งการของนายจ้างไดอ้ ย่างแท้จริง ความพร้อม ของระบบการพฒั นาบคุ ลากรทางการศึกษาและความเชือ่ มั่นของครูทีจ่ ะปฏบิ ตั ิตามแนวทางใหมเ่ ป็นอีกเรื่องท่ี สาคัญต่อความสาเร็จในการนาหลักสูตรทีเ่ น้นการพฒั นาสมรรถนะของผู้เรียนไปปฏิบัติ ดังนั้นเราจึงต้องเปิด โอกาสให้บคุ ลากรทางการศกึ ษาเข้ามามีสว่ นร่วมในกระบวนการปฏิรปู หลกั สตู รตงั้ แต่ตน้ เพ่อื ใหพ้ วกเขาพร้อม ทจี่ ะเดินตามในข้ันตอนการปฏิบัติ นอกจากน้นั ครูควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าใจแนวทางใหม่ท่ีมุ่งเน้นการ พัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน และเขา้ ถงึ ทรัพยากรและความรู้ใหม่ๆ ในการสร้างสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนให้ เอ้ืออานวยต่อการพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ และการมีกิจกรรมร่วมกัน เช่น โครงงานเพ่ือการเรียนรู้ การวิจัย และการวเิ คราะห์และแบบฝกึ หัดเพือ่ ฝกึ ฝนการแก้ไขปัญหา กระบวนการประเมินผลการเรียนรู้ควรได้รับการ ปฏิรูปไปพร้อมกับการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาและวิธีการเรียนการสอน เน่ืองจากระบบการสอบและ ประเมินผลในระดับประเทศในปัจจุบันไม่ได้ถูกออกแบบมาภายใต้กรอบแนวคิดที่ต้องการพัฒนาทักษะและ สมรรถนะของผู้เรยี น ทั้งนี้ การประเมินผลควรจะเป็นการวดั สมรรถนะและความสามารถในการเรียนรูส้ ิง่ ใหม่ ของนกั เรยี น และควรเปน็ สว่ นหน่ึงของโครงงานหรอื กจิ กรรมในชน้ั เรยี นทีเ่ กดิ ขนึ้ ตลอดปกี ารศึกษา องค์การยนู ิ เซฟยังสนบั สนุนให้การปฏิรูประบบการศึกษานาไปสู่โอกาสที่เท่าเทียมด้วย เพื่อให้นักเรียนท่ัวประเทศได้รับ ประโยชน์ โดยรฐั บาลตอ้ งกาหนดกรอบใหม้ ีการสง่ ครูท่มี ีคุณภาพไปประจาโรงเรยี นทมี่ คี วามต้องการมากท่ีสุด กอ่ น โดยเฉพาะโรงเรยี นท่ียังขาดแคลนทีน่ กั เรยี นสว่ นใหญอ่ ย่ใู นกลุ่มที่ขาดโอกาส ซงึ่ ยงั ตอ้ งการเครือ่ งมือและ ทรพั ยากรทจ่ี าเป็นตอ่ การสรา้ งการเปลย่ี นแปลงกระบวนการศกึ ษาและการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้จริง มาตรการ ดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงท่ีความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีจะเป็นประโยชนก์ ับเฉพาะโรงเรยี นทม่ี คี วามพรอ้ ม โดยทิ้งใหโ้ รงเรยี นและนักเรียนทีย่ ังขาดแคลนไว้ขา้ งหลัง โดยทีไ่ มส่ ามารถใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ อยา่ งเตม็ ท่ี ภาพของการศึกษาในปี 2010 หรือเม่ือ 10 ปที ี่แลว้ นั่น สามารถเรียนรู้ออนไลน์ได้หมดทุกหัวข้อ เขา้ ถงึ ขอ้ มลู จากท่วั โลก จากแหลง่ ความรู้ระดับโลก เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความสะดวก ได้ท้ังบนมือถือ แท็ปเล็ต และคอมพิวเตอร์ ในระยะเวลาเพียงแค่ 10 ปีนั้น มีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนมากมายมหาศาล ซ่ึง ส่งผลกบั ชีวิตของเราทุกคน การเรียนรู้ไม่ได้จบอยู่เพียงแค่ในห้องเรียน แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการเรียนรู้ ตลอดชีวิตนอกจากนย้ี ังมเี รอ่ื งของการท่หี นุ่ ยนต์ AI สามารถทางานบางประเภทแทนคนได้ ความรบู้ างประเภท จงึ ไม่จาเปน็ อกี ตอ่ ไป ในปี 2020 น้ี เราได้เรม่ิ ตน้ ทศวรรษใหม่แล้วในอกี 10 ปขี ้างหน้ามอี ะไรเปล่ยี นแปลงและ ปรับตัวจากงานวจิ ัยของ HolonIQ เกีย่ วกบั แพลตฟอร์มขอ้ มลู แนวโนม้ และงานวิจยั ทางการศกึ ษาระดับโลกถึง 5 ความเป็นไปได้ท่ีจะเกิดขึ้นในโลกแห่งการศึกษาในยุค 2030 ซ่ึงได้วิเคราะห์มาจากการใช้ Machine
Learning ดงึ ขอ้ มลู 5,000 จดุ จากแหลง่ ข่าวชนั้ นาทว่ั โลก ผนวกกบั การสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญจากหน่วยงานที่ ทางานวิจัยการศึกษาอย่าง World Bank, OCED และ UNESCO มี 5 ประการดังนี้ Scenario 1: Education as Usual ในรปู แบบความเปน็ ไปไดแ้ บบ status quo นี้ สถาบันการศึกษาจะยังคงเป็นแหล่งหลักในการเรียนรู้เหมือน ดงั เช่นทุกวนั น้ี แต่กต็ อ้ งเผชญิ ความทา้ ทายเรอื่ งการเปลย่ี นแปลงโครงสร้างประชากรเขา้ สูส่ งั คมสูงวยั และการ ที่ต้อง reskill สาขาอาชพี เส่ียงตกงานตามความตอ้ งการทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปในตลาดแรงงาน ซ่งึ ถ้าวิเคราะห์จาก สถานการณป์ ัจจุบนั แล้ว จะเห็นไดว้ ่าสถาบนั การศึกษาหลายแห่งปรบั ตวั ตามแนวโน้มไมท่ นั จงึ มกี ารคาดการณ์ ว่าจะมสี ถาบันหลายแห่งท่ตี ้องปดิ ตวั ไปในอนาคต ในทางตรงกันข้าม จะมีสถาบนั รปู แบบใหม่ ๆ เกดิ ขน้ึ ที่เปน็ สถาบันการเรียนรู้ที่เน้นทักษะอาชีพโดยเฉพาะ โดยอาจเป็นในรูปแบบของการร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ภาคเอกชน เพ่อื สรา้ งหลักสตู รทเ่ี น้นทกั ษะที่นาไปใช้ในการทางานได้จรงิ ไม่เนน้ ทฤษฎี จบหลกั สตู รกส็ มัครงาน ตาแหน่งน้ันๆ ได้เลย การเรียนน้ีไม่ได้จากัดแค่นิสิต นักศึกษา แต่คนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน reskill ตัวเอง กส็ ามารถมาเรียนได้ ยงั มอี ีกแนวโน้มหนงึ่ ทีน่ า่ จะเกิดขึ้น คอื เกิดการจา้ งงานขา้ มประเทศกันมากข้ึนใน รปู แบบการทางานออนไลน์ เน่อื งจากหลายประเทศจะเข้าสสู่ งั คมสงู วยั แบบเต็มตัว จะประสบภาวะขาดแคลน แรงงาน ในขณะทหี่ ลายประเทศในกล่มุ กาลังพฒั นาเองก็จะกลายมาเปน็ แหล่งพฒั นาแรงงานมฝี ีมอื ดงั น้นั การ เรียนภาษาอังกฤษเพ่ือการทางานยังคงมีความสาคัญอยู่ การจ้างงานออนไลน์ข้ามประเทศมักมีปัญหาเร่ือง ความน่าเชื่อถือ เทคโนโลยี blockchain เองก็จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยยืนยันตัวตน ตรวจสอบประวัติ การศกึ ษาและการรักษาความปลอดภัยของขอ้ มลู Scenario 2: Regional Rising ในรปู แบบนี้ เป็นการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในรูปแบบกลุ่มประเทศ มีการร่วมมือกัน อย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคต่างๆ จุดท่ีน่าสนใจคือประเทศต่างๆ ในแต่ละภูมิภาคมักประสบความท้าทายใน รูปแบบท่คี ล้ายคลึงกัน จึงมองว่าการร่วมมือกันในระดับภูมิภาคและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นทางที่ได้ผลดีที่สุด แทนที่จะให้แต่ละประเทศแยกย้ายกันไปหาวิธีรับมือปัญหาของตนเอง ตัวอย่างเช่น ไทย อินโดนีเซียและ ประเทศอ่ืนๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีปัญหาเร่ืองความเหล่ือมล้าในการศีกษาและความยากจน คล้ายคลึงกัน ส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนในภาคการศึกษาในกรณีนี้คือการท่ีสถาบันการศึกษาในภูมิภาคร่วมมือกันปรับ หลักสูตร แบ่งปันข้อมูลกัน ร่วมกันพัฒนามาตรฐานการอบรมครูให้เป็นสากลจนสามารถทาโปรแกรม เปลี่ยนแปลงครู ให้ครู 1 คนสามารถสอนในหลายประเทศได้หมนุ เวยี นไป ครูในกล่มุ ประเทศทไ่ี ด้รับผลกระทบ จากสงั คมสูงวัยก็สามารถทางานตอ่ โดยการไปสอนนักเรียนในกลุ่มประเทศกาลังพัฒนาที่ขาดแคลนครูได้ ซ่ึง การเติบโตของประเทศกาลงั พัฒนาในเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา จะเป็นกาลังสาคัญ นอกจากการ เปลี่ยนแปลงครูแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนักเรียนและคนทางานเพ่ิมมากขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่าง ประเทศ เพอื่ พฒั นาเศรษฐกิจและปูองกนั ภาวะสมองไหล คนเก่งไปทางานประเทศตะวันตกจนหมด โดยการ สร้างโอกาสในการทางานท่นี า่ ดงึ ดูดในภูมิภาคของตนเอง การเรียนรู้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะยังคงเป็น โครงสร้างแบบเดิม แต่เพ่ิมรูปแบบ blended learning ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เป็นการเรียนออนไลน์แต่
เรยี นในหอ้ งเรยี น ผสู้ อนเปน็ ผเู้ ชี่ยวชาญพิเศษระดบั ภมู ิภาค สอนออนไลน์แล้วให้เด็กหลาย ๆ ประเทศเข้ามา เรียนพรอ้ มกนั โดยมีครูในแต่ละหอ้ งเรยี นช่วยดแู ล Scenario 3: Global Giants ในรูปแบบนี้ เทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างภูมิภาคจะเช่ือมต่อโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน เป็น ปัจจยั ส่งเสรมิ ใหบ้ ริษัททีเ่ ป็นผนู้ าตลาดเขา้ ถงึ ผูใ้ ชจ้ านวนมหาศาลทวั่ โลก ผู้เล่นรายยอ่ ยแข่งขันในตลาดได้ยาก ด้วยทรัพยากรที่จากัดกวา่ แนวโนม้ นเี้ ห็นได้ชดั ในสภาพตลาดการศึกษาปัจจุบัน ท่ีผู้เล่นรายใหญ่กินส่วนแบ่ง ตลาดเหนือกว่ารายย่อยหลายเท่าตัว เทคโนโลยีการศึกษามีความสาคัญมากในการเจาะตลาดโลก มีการ คาดการณว์ า่ ตลาดการศึกษาจะมขี นาด 10 ลา้ นลา้ นดอลลา่ ร์สหรัฐภายในปี 2030 ตลาดที่จะเติบโตมากท่ีสุด คือในทวีปเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มท่ีมีประชากรจานวนมาก และทุกคนสามารถใช้ smartphone เป็นหลัก ผู้เลน่ รายใหญ่จะเรมิ่ ทยอยซ้ือกิจการ EdTech รายย่อยจนในที่สุดผู้เล่นรายใหญ่จะ สามารถใหบ้ ริการทค่ี รอบคลุมทกุ ส่วนของการเรยี นรเู้ ชื่อมโยงกัน ท้ังคอร์สเรียน แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล การเรียน การวัดผล การสอ่ื สาร และการรายงานผลการเรยี น และมีการร่วมมือกันระหว่างผู้เล่นรายใหญ่กับ บริษัทชั้นนา เพื่อสร้าง solution การเรียนรู้ท่ีตอบโจทย์ทักษะการทางาน บางมหาวิทยาลัยอาจได้รับ ผลกระทบอย่างหนัก อาจต้องหาทางร่วมมือกันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่กลุ่มมหาวิทยาลัยช่ือดังท่ีปรับตัวทันก็จะ ไดเ้ ปรียบมาก หากเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากข้ึน แลว้ ยิง่ เป็น solution คณุ ภาพระดับโลก การพัฒนาการ เรียนการสอนก็จะเปน็ แบบ data-driven และ personalized มากขึ้นเพราะมจี ดุ ขอ้ มูลท่ไี ม่เคยมมี าก่อน เชน่ ข้อมลู การเรียนแบบ real-time ส่งใหพ้ ่อแม่และครู ทาใหช้ ว่ ยสอนได้ตรงความต้องการ Scenario 4: Peer to Peer รูปแบบนจี้ ะเป็นไปไดถ้ า้ หากว่าการเรียนรซู้ ึ่งกันและกัน 1-1 ระหวา่ งบคุ คล peer-to-peer ไดร้ ับ การยอมรบั แบบกว้างขวางภายในปี 2030 ซึง่ ก็เป็นไปได้ เพราะว่าเทคโนโลยีได้เช่ือมต่อผู้คนเข้าด้วยกันแล้ว และมแี นวโน้มว่าจะมีราคาถูกลง ทาให้เขา้ ถงึ ได้กว้างขึ้นไปอีก รูปแบบนเ้ี หมาะกับการเรยี นรูท้ กั ษะการทางาน ของผูใ้ หญ่มาก จะมกี ารรบั รองคุณภาพดว้ ย rating ของผ้สู อนซ่งึ ถูกโหวตในระบบเปิดและการออกใบรับรอง แบบใหม่ๆ เปน็ การกระจายการเรยี นรู้แบบกว้างขน้ึ ไปอีกเพราะผูส้ อนเปน็ ใครก็ไดท้ ่ีมที ักษะและประสบการณ์ ในสายอาชีพน้ัน ไม่จาเปน็ ตอ้ งมาจากสถาบันแบบดัง้ เดิม การเรียนการสอนจะถูกโยกจากระดบั สถาบนั มาเป็น ระดบั บุคคล การใช้ smartphone ผสานกบั บทเรียนขนาดสั้น micro-learning จะทาให้การเรียนรู้กลายมา เปน็ สว่ นหนึ่งของการใช้ชวี ิตประจาวัน ผเู้ รยี นเองก็มที างเลือกใหม่ๆ เพ่ิมมากข้ึน แทนที่จะต้องไปนั่งเรียนทุก วชิ าในหลักสตู ร สามารถแตกยอ่ ยเลอื กเรียนแค่หวั ข้อทต่ี อ้ งใชใ้ นการทางานได้ ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเก็บ สะสบไปเป็นรปู แบบ ย่อยจากหลายๆ ผู้สอนได้ จุดนจี้ ะกดดันให้สถาบนั การศกึ ษาตอ้ งปรับโครงสร้างหลกั สูตร ใหเ้ ปน็ หนว่ ยยอ่ ยมากข้นึ การเรยี นปริญญาตรีอาจไมจ่ าเป็นตอ้ งเรียน 3-4 ปอี กี ต่อไปในเมื่อผู้เรียนมีทางเลือก ใหม่ สามารถทยอยเรียนหน่วยย่อยสะสมไปและทางานไปด้วยก็ได้ ซึ่งข้อมูลการเรียนนี้จะถูกเก็บสะสมบน blockchain Scenario 5: Robo Revolution
รูปแบบน้มี สี มมติฐานคอื ถ้าหาก AI มีการพัฒนาไปก้าวไกลและได้นามาใช้ทดแทนตาแหน่งงาน บางส่วนแลว้ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะเตบิ โตอยา่ งกา้ วไกลด้วยตน้ ทุนทล่ี ดลงและผลติ ผลที่เพิ่มขนึ้ ผ้คู นไมต่ ้อง ทางานซ้าซากจาเจท่ีหุ่นยนต์สามารถทาได้ เปล่ียนมาเน้นทางานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ ในการศกึ ษา AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากเช่นกัน แต่แบบที่ได้ผลดีที่สุดยังคงต้องเป็นการ ผสมผสานระหวา่ งระบบอตั โนมัติกบั ความใสใ่ จของคณุ ครู เพราะการเรียนรขู้ องคน ไมใ่ ชก่ ารเขียนโค้ดระบบสงั่ การเหมอื นหุ่นยนต์ คาดการณ์ว่าการเรียนรู้จะเป็นแบบ personalized ปรับให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน มากท่สี ุดโดยเรียนผ่านระบบ ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนร้ทู ม่ี ีคุณภาพเท่าเทียมกัน นักเรียนแต่ละคนจะได้ เรยี นบทเรียนท่ีต่างกันตามระดับความรู้ความเข้าใจแต่ละคน ครูอาจต้องเปล่ียนบทบาทจากผู้สอน มาเป็น ผู้ดูแลใหค้ าแนะนา ทาให้ครูมีเวลาและมีข้อมูล ซ่ึงจะช่วยให้คุณครูสามารถให้กาลังใจนักเรียน ส่งเสริมการ เรียนรู้ สอนเพ่ิมเตมิ ในจดุ ที่ตอ้ งการความชว่ ยเหลือ ดูแลเอาใจใสน่ กั เรยี นแตล่ ะคนที่มคี วามต้องการที่แตกต่าง กัน รปู แบบการเรยี นรขู้ องผใู้ หญก่ จ็ ะเปล่ียนมาเป็นแบบนเ้ี ช่นกัน คอื เรยี นผ่านระบบแตม่ ี career coach คอย ชว่ ย จะมีคนวยั ทางานหลายคนตอ้ งตกงานจากหุ่นยนต์ก็จริง แต่ก็คาดการณ์ว่าจะมีอาชีพแบบใหม่ๆ เกิดข้ึน เชน่ กัน ตราบใดทีพ่ ยายาม reskill ตวั เองก็สามารถควา้ โอกาสใหม่ ๆ ได้ และระบบการเรียนแบบนี้นี่เองท่ีจะ เข้ามาชว่ ยให้เรียนรู้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สาหรับระดับประถมและมัธยม AI อาจมาในรูปแบบผู้ช่วยครู อัจฉริยะ ช่วยลดงานเอกสารของครู เช่น การเตรยี มการสอน การเชค็ ชือ่ การวัดผลการเรียน มีระบบอัจฉริยะ คอยอัพเดทสถานะและแจ้งเตือนครูหากมีเด็กคนไหนน่าเปน็ หว่ ง ทาใหค้ ณุ ครมู เี วลามากข้ึนในการทากิจกรรม กับเดก็ ๆ และใหค้ วามใสใ่ จแบบใกลช้ ิดได้มากข้นึ 5 รปู แบบนี้เปน็ เพยี งการคาดการณ์จากฐานขอ้ มูลทวั่ โลกทม่ี ี ในปัจจุบัน จากการวิเคราะห์ของ HolonIQ คาดว่าส่ิงที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือการผสมผสานระหว่าง รูปแบบตา่ งๆ และในแตล่ ะภูมิภาคจะปรับใช้รูปแบบที่ต่างกันข้ึนอยู่กับโครงสร้างประชากร สภาพเศรษฐกิจ และสงั คม แต่ไมว่ า่ รปู แบบไหนจะเกิดขึ้นกต็ าม สง่ิ ที่ทกุ คนและทุกประเทศหนีไม่พ้นเลยก็คือการเปล่ียนแปลง เราตอ้ งเรยี นร้สู ่งิ ใหม่ๆ ตลอดเวลา ครใู นอนาคต เมือ่ สงั คมโลกเปลย่ี นไป ผเู้ รยี นไมไ่ ดเ้ รียนร้จู ากโรงเรยี นเพยี งแห่งเดียว แต่สามารถเรียนรู้ได้จาก แหล่งเรยี นรภู้ ายนอกที่เปน็ สงั คมรอบตัว โดยเฉพาะอย่างย่งิ จากอนิ เตอรเ์ นต็ บทบาทของครูไทยในศตวรรษท่ี 21 จึงต้องเปล่ียนแปลงตามไปด้วย โดยครูต้องช่วยแก้ไขและชี้แนะความรู้ทั้งถูก ผิด ท่ีผู้เรียนได้รับจากสื่อ ภายนอก รวมท้ังสอนใหร้ ูจ้ ักการคิดวเิ คราะห์ กล่ันกรองความรู้อย่างมีวิจารณญาณ ก่อนนาข้อมูลมาใช้อย่าง ถูกตอ้ งและเหมาะสม นอกจากนีค้ รูยงั ต้องปรับเปล่ียนวิธีการสอนและต้องพัฒนาทักษะที่จาเป็นสาหรับการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของตนเอง ถนอมพร เลาหจรัสแสง ได้เสนอทกั ษะทจ่ี าเป็นสาหรับครูไทยในอนาคต (C-Teacher) ไว้อย่างนา่ สนใจ 8 ประการคอื 1. Content ครูต้องมีความรู้และทักษะในเร่ืองที่สอนเป็นอย่างดี หากไม่รู้จริงในเร่ืองท่ีสอนแล้ว ก็ยากที่ นกั เรียนจะมีความรูค้ วามเข้าใจในเนอ้ื หานนั้ ๆ
2. Computer (ICT) Integration ครตู อ้ งมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน เนือ่ งจากกิจกรรมการเรียนการสอนท่ใี ช้เทคโนโลยีจะชว่ ยกระต้นุ ความสนใจให้กบั นกั เรียน และหากออกแบบ กิจกรรมการเรยี นการสอนอย่างมีประสิทธภิ าพ จะช่วยสง่ เสรมิ ความรู้และทักษะท่ีต้องการไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3. Constructionist ครูผู้สอนต้องเข้าใจแนวคิดท่ีว่า ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง โดย เชื่อมโยงความรู้เดิมท่ีมอี ยภู่ ายในเข้ากับการได้ลงมอื ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมต่างๆ ดงั นน้ั ครูจึงควรนาแนวคดิ นไ้ี ปพัฒนา วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ พ่ือใหน้ กั เรยี นเกิดความรทู้ ี่คงทนและเกดิ ทกั ษะท่ีตอ้ งการ 4. Connectivity ครูต้องสามารถจัดกิจกรรมให้เชื่อมโยงระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ผู้เรียนกับครู ครูภายใน สถานศึกษาเดียวกันหรือต่างสถานศึกษา ระหว่างสถานศึกษา และสถานศึกษากับชุมชน เพื่อสร้าง สภาพแวดล้อมในการเรียนรทู้ ี่เป็นประโยชน์ ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติอันจะก่อให้เกิดประสบการณ์ตรงกับ นกั เรียน 5. Collaboration ครูมบี ทบาทในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ในลกั ษณะการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ระหวา่ งนกั เรยี น กับครู และนักเรียนกับนักเรียนด้วยกัน เพื่อฝึกทักษะการทางานเป็นทีม การเรียนรู้ด้วยตนเอง และทักษะ สาคัญอืน่ ๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง 6. Communication ครูต้องมีทักษะการส่ือสาร ทั้งการบรรยาย การยกตัวอย่าง การเลือกใช้ส่ือ และการ นาเสนอ รวมถึงการจดั สภาพแวดลอ้ มใหเ้ อือ้ ตอ่ การเรยี นรู้ เพ่ือถ่ายทอดความรู้ใหก้ ับนกั เรยี นไดอ้ ย่างเหมาะสม 7. Creativity ครูต้องออกแบบ สร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ด้วย ตนเองของผู้เรยี นมากกวา่ การเปน็ ผถู้ า่ ยทอดความรหู้ น้าห้องเพียงอย่างเดยี ว 8. Caring ครูตอ้ งมมี ุทติ าจิตตอ่ นักเรียน ตอ้ งแสดงออกถงึ ความรกั ความห่วงใยอยา่ งจรงิ ใจตอ่ นักเรียน เพอื่ ให้ นักเรียนเกิดความเชอื่ ใจ สง่ ผลให้เกดิ สภาพการเรยี นร้ตู ่ืนตวั แบบผอ่ นคลาย ซึง่ เปน็ สภาพที่นกั เรยี นจะเรยี นร้ไู ด้ ดีท่สี ุด เมอ่ื หน้าทแ่ี ละบทบาทของครผู ู้สอนไดเ้ ปลยี่ นจากการบรรยายหนา้ ชัน้ เรียนเพียงอยา่ งเดียวมาเปน็ การกล่าวนาเข้าสบู่ ทเรยี น ทาหนา้ ที่เป็นเพยี งผแู้ นะนา ใหค้ าปรกึ ษา และแกป้ ัญหาใหแ้ ก่ผเู้ รียน จึงเกิดวิธีการ สอนท่หี ลากหลายมากข้ึน [19] มกี ารนาคอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการเรียนการสอนแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านเครือข่าย (Network) อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ทาใหค้ รูตอ้ งมกี ารปรบั ทัศนคตใิ หม่ พัฒนาความรู้และทักษะความสามารถท่ี จาเปน็ ตามแนวทาง C-Teacher ทไี่ ด้กลา่ วมาขา้ งตน้ คุณลักษณะของครใู นยุคศตวรรษที่ 21 หรือเรยี กวา่ e-Teacher จะประกอบดว้ ย 9 คุณลักษณะ ท่ีครูพงึ ปฏบิ ัติ มดี งั น้ี 1. Experience คือ มีประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ใช้เคร่ืองมือต่างๆ เช่น Internet , e- Mail การใช้ CD 2. Extended คอื มีทกั ษะการค้นหาความรไู้ ด้ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต สามารถ ใชไ้ ด้ตลอด 24 ชวั่ โมง ใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ในการหาความรู้ด้วยเทคโนโลยีตลอดเวลา
3. Expanded คือ การขยายผลของความรู้น้ันสู่นักเรียน ประชาชนทั่วไปและชุมชน สามารถ ถา่ ยทอดความรลู้ ง CD , VDO โทรทศั นห์ รือบน Web เพื่อให้เกดิ หารเพ่มิ ความร้ทู ีเ่ ป็นประโยชน์ของบุคลากร โดยรวม 4. Exploration คือ สามารถเลอื กเนื้อหาท่ีทันสมัย เอกสารอ้างอิง ค้นคว้าทั้งสาระและบันเทิง เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ เพอื่ นามาออกแบบการเรียนการสอน 5. Evaluation คือ เป็นนักประเมนิ ท่ีดี สามารถใช้เทคโนโลยใี นการประเมินผล 6. End-User คือ เป็นผู้ใช้ปลายทางท่ีดี เช่น สามารถ Browse ไป Web Site ท่ีมีคุณค่าบน อนิ เทอร์เนต็ และเป็นผูใ้ ช้เทคโนโลยีได้อยา่ งหลากหลาย 7. Enabler คือ สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสร้างบทเรียนและเนอ้ื หาเพ่ิมเตมิ มาใช้ในการประกอบการ เรียนการสอน สามารถใชซ้ อฟต์แวรแ์ ละฮารด์ แวรม์ าสร้างบทเรยี น อย่างนอ้ ยที่สุดก็สามารถสร้างการนาเสนอ เนื้อหาด้วย Power Point เป็นการจูงใจให้นักเรียนสนใจในการเรียนมากข้ึนหรือการใช้ Authoring tool ตา่ งๆ มาสรา้ งบทเรียนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 8. Engagement คือ ครูท่ีร่วมมือกันแลกเปล่ียนความเห็น หาแนวร่วม เพ่ือให้เกิดชุมชน เช่น การคยุ กนั บน Web ทาใหม้ ีความคิดใหมๆ่ มขี อ้ เสนอแนะ เกดิ ชุมชนครูบน Web 9. Efficient and Effective คือ ครูทม่ี ปี ระสิทธภิ าพและประสิทธผิ ล จะต้องเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี ไดอ้ ย่างคล่องแคล่ว เปน็ ผ้ผู ลิต ผ้กู ระจาย และผใู้ ชค้ วามรู้ แนวทางและความเป็นไปได้ในการการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 จากสภาพการณท์ ี่กลา่ วข้างตน้ จะเห็นได้ว่าการจัดการศึกษาในประเทศไทยต้องมีการพัฒนาให้ สอดคลอ้ งกบั สภาวการณ์โลก ไมเ่ พียงเฉพาะครเู ทา่ น้ันแต่หมายรวมถงึ การพัฒนาทง้ั ระบบให้เออ้ื ต่อการเรียนรู้ ในยคุ สมัยใหมด่ ว้ ย โดยมแี นวทางท่ีควรส่งเสริมและเปดิ มุมมองของการพฒั นาครูในศตวรรษที่ 21 ดังน้ี 1. ในอดีต การพัฒนาครูยังมีทิศทางท่ีไม่ชัดเจนและไม่ค่อยให้ความสาคัญอย่างจริงจัง หาก ตอ้ งการใหเ้ กดิ ผลลัพธ์ทด่ี ีตอ่ เด็กแลว้ ควรจะมกี ารกาหนดนโยบายเพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาครใู ห้ตรงจดุ เพอื่ สนองตอบต่อปัญหาทเี่ กิดข้นึ ในปจั จบุ ัน โดยควรมีการกาหนดหนว่ ยงานการพัฒนาครอู ยา่ งทวั่ ถึงทกุ พน้ื ท่ี ไมใ่ ช่ กาหนดอานาจการพฒั นาครไู วท้ ีส่ ่วนกลางอยา่ งเดียว 2. ควรมีการกาหนดมาตรฐานอาชีพครู โดยเฉพาะความรู้ความสามารถด้านมาตรฐานการ ปฏิบัติงานของครู ซ่ึงมาตรฐานเหล่านี้สามารถใช้เป็นเกณฑ์วัดความเป็นครูและเป็นเครื่องมือตรวจสอบ กล่นั กรองผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูได้อย่างชัดเจนและมคี ณุ ภาพ 3. ควรมีการพัฒนาระบบการผลิตครูออกสู่ตลาดการศึกษา รวมทั้งหลักสูตรครูที่ทันต่อ เปลย่ี นแปลงไปของสังคมโลก 4. ควรมีการให้ความรู้และปรับแนวคิดของครูให้เข้าใจวิธีการเรียนรู้ในยุคสมัยใหม่ ท่ีผู้เรียน สามารถสรา้ งความรู้ได้ด้วยตนเอง จากการสบื คน้ การลงมือปฏบิ ตั ิ มอี สิ ระในการเรยี นรู้ โดยมีครูคอยช้แี นะใน ลกั ษณะของผู้ใหค้ าปรึกษา
5. ควรอาศัยประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูล ความรู้ได้แบบไม่มี ขดี จากัดเฉพาะในห้องเรียน หรอื จากครเู ท่านนั้ 6. ควรถา่ ยทอดแนวคดิ และการปฏบิ ตั ใิ นการจัดการเรียนรู้ เพื่อสร้างผู้เรียนให้รู้จักคิดวิเคราะห์ อย่างมเี หตุมีผล มจี ติ วิจัย ใช้ข้อมลู เพื่อการพฒั นาและแก้ปญั หา 7. ควรส่งเสรมิ ให้ครไู ดศ้ ึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกับผู้อ่ืน และยดึ หลักการจดั การเรยี นรูใ้ หส้ อดคล้องกบั ชวี ติ จริง 8. ควรสรา้ งระบบ Coaching โดยใหค้ รทู ี่มีความเช่ียวชาญในการจัดการเรียนการสอนเป็นผู้ฝึก ปฏบิ ตั ิใหก้ ับครูทย่ี ังขาดความชานาญ ฝึกปฏบิ ตั ิให้ครู เปน็ การทางานอยา่ งใกล้ชิดระหว่างครูผู้มีประสบการณ์ กับเพื่อนครใู นการปรบั เปลยี่ นวธิ กี ารเรยี นการสอนและแกป้ ญั หาการเรยี นรขู้ องเด็กเปน็ รายกลมุ่ หรือรายบคุ คล 9. การผสมผสานกระบวนการวัดผลเข้ากับกระบวนการสอนอย่างแนบแน่นปรับให้ยืดหยุ่น หลากหลายใช้ไดใ้ นหลายสถานการณ์ หลายเปูาหมาย โดย เฉพาะการวัดทักษะหรือคุณลักษณะใหม่ๆ ตาม กรอบคิดรว่ มสมัย 10. การนาเทคโนโลยีทางไกลมาช่วยในการพัฒนาครู เพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะที่สาคัญ ให้กับครทู วั่ ประเทศ อาจอยู่ในรปู แบบของเวบ็ ไซตฝ์ ึกอบรม หรอื วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ 11. การส่งเสรมิ ให้ครทู าวจิ ยั ควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอน เพ่ือเปล่ียนไปสู่ครูนกั วิจัย โดย ครูจะนาปัญหาท่ีพบในช้ันเรียนจากประสบการณ์ไปเป็นปัญหาในการวิจัย เพื่อหาแนวทางการแก้ไข หรือ แนวทางในการพฒั นาการเรยี นการสอนต่อไป 12. ยุทธศาสตร์ การสร้างแรงบันดาลใจจุดไฟพลังครู (Motivation & Inspiration) เน้นการ ค้นหาและหนุนเสรมิ ครผู ูจ้ ุดไฟการเรียนรู้ คอื ครูในแบบดังกล่าวจะถูกเน้นการฝึกให้รู้จักตั้งคาถาม เชื่อมโยง ประเดน็ สาคญั และต้ังโจทยช์ วนให้เด็กคดิ แนวทางของการพัฒนาครมู ักใชต้ ัวอย่างจากครผู สู้ ร้างแรงบันดาลใจ ด้วยกันมาแลกเปล่ยี นและถ่ายทอดประสบการณ์หรือการเน้นให้ฝึกต้ังคาถาม อันจะทาให้ผู้เรียนเกิดการใฝุ เรียนรู้ตอ่ เน่อื งตลอดชีวติ ตอ่ ไป สรปุ ไดว้ า่ นโยบายทีช่ ัดเจนจะก่อให้เกิดการพัฒนาครูอย่างท่ัวถึง การกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ และการนาเทคโนโลยมี าประยกุ ต์ใช้ก็เปน็ ส่วนสาคัญในการกระตนุ้ ให้ครมู ีการพัฒนาตนเอง โดยเปลี่ยนแปลง ทง้ั ทัศนคติ วิธสี อน และบทบาท ทงั้ ยงั ส่งผลใหเ้ กดิ การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ และประสบการณ์ท่ีหลายหลาย จน กลายเป็นองคค์ วามรู้ใหม่ที่สามารถนามาปรับใช้ภายใต้บริบทของตนเอง นอกจากน้ีครูต้องเป็น C-Teacher ประกอบดว้ ยทักษะ 8 ประการ ดงั กลา่ วขา้ งต้น เพ่ือถา่ ยทอดและเสริมสร้างความรู้ใหผ้ เู้ รยี นคิดเป็น แกป้ ญั หา เปน็ ตลอดจนส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม มที ักษะชีวิตและวิชาชีพตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของชาตแิ ละนานาชาติต่อไป คณุ ลกั ษณะพฤตกิ รรมของคนแต่ละยุค (Generation) ในโรงเรยี นหนง่ึ ประกอบดว้ ยครูทม่ี ีความแตกต่างกันทั้งวัย ความสนใจ ประสบการณ์ พฤติกรรม อันเนือ่ งมาจากธรรมชาติพ้ืนฐานของคนท่ีเกิดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถูกอบรม สั่งสอนทาให้เกิดการสั่งสม
คุณลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกนั ไป โดยสามารถจดั กลุ่มคนได้ 4 เจเนอเรชั่น(Generation) พร้อมเข้าใจลักษณะนิสัย และพฤติกรรมทแี่ ตกต่างเพ่อื การทางานรว่ มกนั อย่างมคี วามสุข อีกทั้งการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ลสูงสุดใหเ้ กิดกบั โรงเรยี น Baby Boomer Generation หรอื Gen B Baby Boomer Generation หรือ Gen B คือคนท่ีเกิดในช่วง พ.ศ. 2489-2507 ยุคส้ินสุด สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 บ้านเมอื งสงบหลังจากสงคราม ทุกคนท่ีมชี วี ติ รอดตอ้ งเร่งกลบั มาฟืน้ ฟใู หป้ ระเทศกลบั มา แข็งแกร่งอกี ครงั้ แตเ่ นอ่ื งจากไดส้ ญู เสียจานวนประชากรจากการทาสงคราม คนในยุคน้ีจึงมีค่านิยมว่าต้องมี ทายาทหรอื ลกู หลานเยอะๆ เพอื่ เพิม่ จานวนแรงงานมาชว่ ยกนั พฒั นาประเทศ ปจั จุบนั คน Gen B คอื คนมอี ายุ ประมาณ 60 ข้ึนไป ลกั ษณะนิสัยจะเปน็ คนจริงจงั เคร่งครดั เรอ่ื งขนมธรรมเนียนประเพณี เป็นเจ้าคนนายคน ชวี ิตทมุ่ เทให้กบั การทางาน มีความอดทนสูง ประหยัดอดออม ซ่ึงมักถูกจดั เป็นพวกอนุรกั ษนิยม Generation X หรือ Gen-X Generation X หรือ Gen-X คือคนท่ีเกิดในช่วง พ.ศ. 2508-2522 สาหรับคน Gen-X น้ันมีช่ือ เรียกอีกอยา่ งวา่ Yuppie หรือ Young Urban Professionals หมายถึง คนท่ีเกิดมาในยุคม่ังค่ัง ใช้ชีวิตอย่าง สขุ สบาย เติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม คอมพิวเตอร์ สไตล์เพลงแบบฮิปฮอปและเป็นยุคท่ีมีการให้ ควบคุมอัตราการเกิดของประชากร เน่ืองจากค่านิยมยุคเบบ้ีบูมเมอร์ส่งผลให้มีเด็กเกิดมากเกินไป ปัญหา ตามมาก็คอื เร่อื งของทรพั ยากรทีม่ ีอยู่ไม่เพียงพอตอ่ จานวนประชากร ปจั จุบันคนยุค Gen-X เป็นคนวัยทางาน มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของคนกลุ่มน้ีท่ีเด่นชัดคือชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็น ทางการ มีแนวคิดสร้างความสมดลุ ในเรือ่ งงานและครอบครัว คอื ทางานตามหน้าท่ี ไม่บ้างาน ไม่ทุ่มเท ทาทุก อยา่ งไดเ้ พยี งลาพัง ไมพ่ งึ่ พาใคร เปน็ ตวั ของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกวา้ ง สรา้ งสรรค์ อย่างไรก็ตาม หลายคน ใน Gen-X มีแนวโน้มทจ่ี ะตอ่ ต้านสังคม ไม่ได้เชอื่ เรื่องศาสนา และไม่ยดึ ขนบธรรมเนียมประเพณี ทัง้ ยังเปน็ คน ที่มคี วามยืดหยนุ่ ในการปรบั ตวั กับวัฒนธรรมทเ่ี ปลี่ยนไป เช่น มองว่าการอยู่ก่อนแต่ง การหย่าร้างก็เป็นเรื่อง ปกติ เชน่ เดียวกบั เรอ่ื งเพศที่ 3 ซงึ่ ต่างจากกลมุ่ เบบีบ้ ูมเมอรท์ มี่ องเรอ่ื งพวกนีเ้ ป็นเร่ืองผดิ จารีตประเพณี Generation Y หรอื Gen-Y เรยี กอกี อยา่ งวา่ Millennials Generation Y หรือ Gen-Y เรียกอกี อย่างว่า Millennials คอื คนทเี่ กิดในช่วง พ.ศ. 2523-2540 คน Gen-Y จะเตบิ โตมาพรอ้ มกบั เทคโนโลยีดจิ ติ ลั มีความเป็นสากล เปิดรับวัฒนธรรมแบบ Teen Pop มอง ว่าการชนื่ ชอบศิลปินต่างชาติเปน็ เรือ่ งปกติธรรมดา มีเทคโนโลยีพกพา รักความสะดวกสบาย เกิดมาในยุคที่ เศรษฐกจิ กาลังเตบิ โตและเฟอ่ื งฟู ทาใหพ้ อ่ แม่ที่เป็นคนในยุค Gen B ซึ่งถูกปลูกฝังให้ทางานหนักค่อนข้างจะ ประสบความสาเรจ็ ในชวี ิต จงึ ทาใหด้ ูแลเอาใจใส่ลกู ๆ ท่เี กิดมาในยุคนไี้ ด้เปน็ อยา่ งดี เดก็ ยุค Gen-Y จงึ มักจะถกู ตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ มีโอกาสทางการศึกษาท่ีดี มีแนวคิดเป็นตัวของตัวเอง ทาในส่ิงท่ีตัวเองชอบและ ปฏเิ สธสิง่ ท่ตี ัวเองไม่ชอบ ลักษณะพฤติกรรมของคน Gen-Y มักต้องการความชัดเจนในการทางาน เช่น ต้อง ชัดเจนว่าสิ่งท่ที ามีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร คาดหวังท่ีจะมีเงินเดือนสูงๆ คาดหวังคาชม แต่ไม่ อดทนต่องานที่ทา ชอบเปลยี่ นงานอยู่บ่อยๆ นอกจากน้ี คน Gen-Y ยังต้องการสร้างสมดุลเวลาให้กับตัวเอง
เช่น หลังเลิกงานมกั จะไปทากิจกรรมใหค้ วามสขุ กบั ตัวเอง อย่างไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะเพื่อนฝูง ปัจจุบันคน กล่มุ นีอ้ ยูใ่ นทง้ั ชว่ งวัยเรยี นมหาวทิ ยาลัยและวัยทางาน จึงไม่น่าแปลกใจท่ีคนกลุ่มน้ีจะมีความสามารถในการ ทางานทเี่ กีย่ วกับการติดต่อสอ่ื สาร ชอบงานดา้ นไอที ใชค้ วามคิดสร้างสรรค์ทาสงิ่ ใหมๆ่ รวมทงั้ สามารถทาอะไร หลายๆ อย่างได้ในเวลาเดยี วกัน เรียกไดว้ า่ สามารถใช้เครอื่ งมอื เครือ่ งไม้ตา่ งๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เรา อาจจะเคยเหน็ ภาพคนยุคใหมท่ ่ีน่งั เล่นสมาร์ตโฟน ไอแพด คยุ โทรศพั ท์ ไปพร้อมๆ กับทากิจกรรมอ่ืนๆ อย่าง การเดิน การทางานหรอื กนิ ข้าวได้ Generation Z หรอื Gen-Z Generation Z หรือ Gen-Z คือคนที่เกิดหลัง พ.ศ.2540 เกิดจากพ่อแม่รุ่นใหม่อย่าง Gen-X และ Gen-Y เปน็ เด็กรุ่นใหม่ท่ีเกดิ มาพรอ้ มกบั สงิ่ อานวยความสะดวกรอบด้าน เรยี นรูร้ ปู แบบการดาเนนิ ชวี ติ ใน สงั คมแบบดิจติ ลั ดาเนนิ ชีวติ แบบมกี ารติดตอ่ สื่อสารไรส้ าย และสอื่ บันเทิงต่างๆ เดก็ รุ่นน้ีจะเป็นร่นุ แรกท่ที ั้งพ่อ และแมจ่ ะออกไปทางานนอกบา้ นทั้งคู่ จงึ ทาให้เด็กยคุ Gen Z ได้รับการเล้ียงดูจากคนอ่ืนมากกว่าพ่อและแม่ ของตัวเอง เน่ืองจากเกิดมาในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย เด็กในยุคนี้อาจจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าโลกท่ีไม่มี อนิ เทอร์เนต็ นัน้ จะอยไู่ ด้อย่างไร แถมยงั ยกใหส้ มารท์ โฟนเป็นอวยั วะของชาว Gen-Z จนถูกเรียกว่า Digital in their DNA คนเจนนตี้ ิดโลกออนไลนแ์ ละรบั ขอ้ มูลขา่ วสารมากมายอยา่ งรวดเรว็ ทนั โลกและวเิ คราะห์สถติ ิเรอื่ ง ตา่ งๆ เพอ่ื คาดการณอ์ นาคตไดเ้ ร็ว ตัดสนิ ใจทาอะไรอย่างรวดเรว็ ไมช่ อบรอคอย แตก่ ็เป็นคนท่กี ลัวอนาคต จึง มักหาข้อมลู มาเปรยี บเทียบและปอู งกนั เช่น เรยี นอะไรไมต่ กงาน อาชพี อะไรมัน่ คง นอกจากนี้ ยังมแี นวโน้มวา่ จะเลอื กงานท่เี งินดีมากกว่าท่ีชอบจริงๆ คน Gen-Z จะเปิดกว้างทางความคดิ และวัฒนธรรมที่แตกต่างมากข้ึน จากการมองเห็นในโลกดิจิตัล จึงเปิดกว้างในการยอมรับความแตกต่าง มีแนวโน้มที่จะปรับทัศนคติได้ดี ไม่ แบ่งแยกชนช้ัน สีผิว ศาสนา หรือประเพณีที่แตกต่าง แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นมนุษย์หลายงาน เพราะความ อดทนตา่ ตอ้ งการคาอธบิ ายมากขึ้น ตอ้ งมีเหตุผล ต้องรู้สึกว่าได้เข้าใจกับทุกเร่ืองในชีวิต ส่วนการเรียนรู้ของ คน Gen Z จะหาความรู้ไดท้ ุกที่ เกลียดการเรียนแบบบรรยาย ก็ชอบข้อมูลแนวกราฟ ภาพ สถิติชัดเจน เน้น ขอ้ มูลสัน้ ๆ ทเ่ี ข้าใจงา่ ยๆ เพราะจดจาข้อมลู ไดด้ จี ากข้อมลู ส้นั ๆ ตามแบบฉบบั โลกออนไลน์ เจนเนอรเ์ รชั่นอลั ฟา (Generation Alpha) เจนเนอร์เรช่ันอัลฟา (Generation Alpha) เพื่อเตรียมรับมือกับตลาดแรงงานในอนาคต Gen Alpha เป็นเจนเนอร์เรชั่นที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีสูง สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรยี นรู้เทคโนโลยีไดว้ อ่ งไว ปรบั การใชง้ านไดร้ วดเรว็ Gen Alpha รกั อิสระ ไม่ชอบการผกู มัด สนใจเทคโนโลยี และพรอ้ มรบั มือกบั การเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา Gen Alpha เป็นคนอดทนต่า สมาธิสั้น อยู่กับส่ิงที่ต้องใช้ เวลานานๆ ได้ยาก ขาดความรับผิดชอบในการทางานได้ง่าย Gen Alpha ชอบอยู่กับตนเอง ขาดปฎิสัมพันธ์ กับผู้อืน่ และสังคม มีปัญหาเรอ่ื งการเข้าสงั คมและมนษุ ยสมั พนั ธ์ ขณะทที่ ัว่ โลกกาลงั เข้าสู่ชว่ งการเปลี่ยนแปลง ทางการงานและการประกอบอาชพี ทเ่ี รยี กกนั ว่า Career Disruption น้ัน องค์กรต่างๆ ต่างก็ต้องเรียนรู้และ ปรับตวั กันขนานใหญเ่ พอ่ื ปรบั ตัวให้เขา้ กบั ยคุ ดิจติ อลที่มกี ารปฏวิ ัตแิ บบ Digital Disruption มากมายไม่แพก้ นั ในขณะเดียวกันองค์กรและสังคมการทางานก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวกับกลุ่มแรงงานรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง
Generation Z ด้วย เรียกวา่ เปน็ ยุคทเ่ี กิดการเปลยี่ นแปลงแบบรอบทิศจนทาเอาปวดหันกันได้เลยทีเดียว แต่ ถึงอย่างไรการเปล่ียนแปลงขนาดใหญ่คร้ังนี้ก็มีอะไรดีๆ เกิดข้ึนมากมาย แล้วตลาดแรงงานใหม่อย่าง Generation Z น้ัน ถึงแม้จะมีปัญหาหลากหลายตามมาด้วย แต่ข้อได้เปรียบในการเป็นเด็กท่ีโตมากับยุค เทคโนโลยีน้นั กเ็ ป็นจุดแข็งในเรอ่ื งแรงงานของเด็กยุคน้ีเช่นกัน แต่สิ่งท่ีพูดไปท้ังหมดน้ีถึงแม้ว่าจะเป็นสภาวะ ปจั จุบนั แตน่ ัน่ กไ็ มใ่ ช่เรือ่ งใหม่อะไรแล้ว และทุกคนยังคงต้องรบั มอื และปรับตัวกนั ตอ่ ไป แต่สิ่งที่กาลังถูกสนใจ มากข้ึนเร่อื ยๆ ก็คอื เรอื่ งของการเตรยี มตวั รับมอื กบั เจนเนอร์เรช่ันล่าสุดอย่าง Generation Alpha หรือ Gen Alpha นัน่ เอง ทั้ง Gen Z และ Gen Alpha ถอื เปน็ เจนเนอร์เรช่นั ทอ่ี ายนุ ้อยทสี่ ดุ ในสงั คมขณะนี้ ตารางเกณฑ์ ของเจนเนอร์เรช่ันตา่ งๆ ค.ศ. (เกิด) พ.ศ. (เกิด) Generation 1946-1964 2489-2507 Baby Boomers 1965-1976 2508-2519 Generation X 1977-1994 2520-2537 Generation Y (Millenial) 1995-2009 2538-2552 Generation Z 2010-2024 2553-2567 Generation Alpha ขณะท่ี Gen Z กาลงั เริ่มเรียนจบและเขา้ สู่วัยทางานตอนตน้ กันแลว้ Gen Alpha รุ่นท่ีโตท่ีสุดน้ัน ก็ยงั คงอยใู่ นวยั เด็กอยู่ (อ้างอิงเวลาปัจจุบนั ณ ปี ค.ศ.2020) แตถ่ งึ อยา่ งน้นั ทกุ ฝุายต่างกเ็ ริม่ ทาความเข้าใจกับ อนาคตของ Gen Alpha และเตรียมรับมือกันแล้ว เพราะนอกจากเด็กเหล่านี้ก็คือผู้ใหญ่ในอนาคตแล้วนั้น พวกเขาเหล่าน้ีก็คือตลาดแรงงานในอนาคตด้วยเช่นกัน ทันทีที่ถึงยุคของ Gen Z ต่างก็มีคาถามเกิดตามมา ทันทีว่าเจนเนอร์เรช่ันต่อไปจะถือเจนเนอร์เรชั่นใด ซ่ึงผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นคนให้เกิดเนิด Generation Alpha นนั้ กค็ อื Mark McCrindle นักประชากรศาสตร์ตลอดจนนกั วจิ ัยทางสงั คมชาวออสเตรเลียผู้มีชื่อเสียง นั่นเอง โดยเขาได้พูดถึงเรื่องน้ีในหนังสือ The ABC of XYZ; Understanding the Global Generations ท่ี เขาเขียน ตลอดจนขน้ึ พดู บนเวที TEDx ทีท่ าใหท้ ว่ั โลกจบั ตาถึงเจนเนอรเ์ รชนั่ นน้ี น่ั เอง จากขอ้ มลู ศกึ ษาวจิ ยั น้ันว่ากันว่าเด็ก Gen Alpha ถือเป็นเจนเนอร์เรช่ันที่ฉลาดที่สุดในเผ่าพันธุ์ มนษุ ยโ์ ดยนับจากช่วงวัยทเี่ กิดข้นึ มาเลยก็วา่ ได้ ด้วยความพรอ้ มทางเทคโนโลยหี ลากๆ อย่างบนโลก ตลอดจน วิวฒั นาการทางการแพทย์ท่ที ันสมัย ทาให้ประชากรโลกมีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จากผลการวิจัย พบว่า Gen Alpha มีการเรียนรู้เทคโนโลยีต้ังแต่วัยเด็ก และพวกเขาก็เติบโตมาพร้อมเซนต์แห่งการใช้ เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ซ่ึงเด็ก Gen Alpha นี้จะมีอัตราเฉล่ียในการใช้อินเตอร์เน็ตสูงถึง 47.4% ต่อวันเลยทเี ดียว และมีแนวโน้มเพ่ิมมากขึน้ เรอ่ื ยๆ ซงึ่ น่ังส่งเสรมิ ให้เดก็ วัยนเี้ ปน็ วัยทม่ี ีศักยภาพอย่างยง่ิ และเปน็ วัยทใี่ ช้เทคโนโลยีได้อยา่ งชาญฉลาดทสี่ ดุ ความเหมอื นและแตกต่างระหวา่ ง Gen Z และ Gen Alpha ต้ังแต่ Gen X เปน็ ต้นมา คนเหล่านเ้ี ปน็ เจเนอร์เรช่นั ทเ่ี ริม่ รู้จักและเติบโตมากับเทคโนโลยีท่ีเห็น พัฒนาการมาเร่อื ยๆ คุ้นเคยกบั การเปล่ียนแปลงมาโดยตลอด แต่สาหรับ Gen Z และ Gen Alpha น้ันถือว่า
เป็นเจนเนอร์เรชั่นที่โตมากับเทคโนโลยีที่พัฒนาเต็มที่และสมบูรณ์แบบแล้ว เกิดมาในโลกยุคดิจิตอลอย่าง แท้จรงิ เกดิ มาบนความสะดวกสบายและคนุ้ เคยกบั เทคโนโลยีเปน็ อยา่ งดี แต่ถึงอย่างไรทั้งสองเจนเนอร์เรชั่น รนุ่ ใหม่น้ีต่างกม็ คี วามแตกต่างตามชว่ งเวลาทีต่ นเองเตบิ โตเช่นกัน เราลองมาดคู วามเหมือนและความแตกต่าง ระหวา่ งสองเจนเนอร์เรชนั่ นก้ี ัน ความเหมอื น เป็นเดก็ รุ่นที่เตบิ โตและค้นุ เคยกับเทคโนโลยี ดังนัน้ จงึ เปน็ เจเนอรเ์ รชน่ั ท่ใี ช้เทคโนโลยไี ด้ คล่องแคลว่ เรยี นรเู้ รอื่ งเทคโนโลยีไดไ้ ว ยอมรบั และเข้าใจความแตกต่างได้ง่าย เพราะเขาโตมากบั โลกไร้ พรมแดน การรจู้ กั และคุ้นเคยกบั ทกุ วัฒนธรรม รวมถึงการเป็นเจเนอรเ์ รชั่นทีเ่ ริ่มมีวฒั นธรรมเดียวกนั เหมอื นๆ กนั ท่ัวโลกดว้ ย ปรบั ตัวกับการเปลยี่ นแปลงต่างๆ ไดด้ ี เพราะเกิดมาในยุคท่ีโลกเปลย่ี นแปลงไปไวมากๆ ความแตกต่าง เด็กร่นุ Gen Alpha จะใช้เทคโนโลยใี นการทางานไดด้ กี ว่า คลอ่ งแคล่วกว่า เพราะเด็กรนุ่ Gen Z กาลงั เติบโตในยคุ ทกี่ าลังเปล่ยี นผ่านสู่ยุค Digital Age แต่ Gen Alpha จะเขา้ มาทางานในยคุ ทด่ี จิ ิตอลสมบรู ณ์ แบบขึ้น มีสมาธิตา่ ในเรื่องท่เี ขาไมส่ นใจ เรือ่ งอนื่ ๆ ในสังคม แตจ่ ะมีสมาธสิ ูงในเรอ่ื งเทคโนโลยี มที กั ษะในการ หาขอ้ มูลท่ดี แี ละหลากหลาย สามารถใชเ้ ทคโนโลยใี หเ้ กิดประโยชน์ได้สูง สามารถสรา้ งสรรค์นวัตกรรมใหมๆ่ ได้ดีกว่าเจนเนอรเ์ รช่ันทีผ่ ่านมา เพราะเกิดมาในยุคทก่ี ารสรา้ งนวตั กรรมเป็นเรื่องง่ายสาหรบั ทกุ คน ทกุ เพศ ทกุ วัย และเปน็ แนวโนม้ ทีไ่ ดร้ บั การสนบั สนุนและยอมรบั จากสังคม คณุ ลกั ษณะของคนยุค Gen Alpha ในตลาดแรงงานทีค่ าดการณไ์ ว้ ต้องบอกว่า Gen Alpha เป็นเด็กรุ่นที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบ และความ สะดวกสบายที่ครบครนั มกั ไมเ่ จอกับปัญหาเหมอื นเดก็ ยคุ กอ่ น เด็กในเจเนอร์เรชัน่ นีเ้ มอื่ โตเปน็ ผู้ใหญ่และเขา้ สู่ วยั แรงงานแล้วจะมคี ุณลกั ษณะของวัยที่มกี ารเรียนรู้จดุ เดน่ และจดุ ด้อยของวัยน้ี เพื่อเตรียมรับมือกับแรงงาน ยุคใหม่ทกี่ าลงั จะมาถึงในไมช่ ้าน้ี จดุ เดน่ มีทักษะทางเทคโนโลยีและดิจิตอลสูง : เด็กยุคน้ีเติบโตมาพร้อมกับการที่เทคโนโลยีเข้ามามี บทบาทในวิถีชีวิตประจาวันและการทางานในทุกภาคส่วนเป็นอย่างมาก เขาสามารถท่ีจะเรียนรู้ได้ไว ใช้งาน เทคโนโลยีตา่ งๆ ไดค้ ลอ่ ง สามารถสรา้ งประสทิ ธิภาพในการทางานได้ดี เรยี นรู้เทคโนโลยีในเชิงลึกได้ง่าย และ สามารถนามาประยุกตใ์ ห้เกิดประโยชน์กบั การทางานต่างๆ ไดด้ ียิ่งข้นึ อีกดว้ ย ยอมรบั และเรยี นรคู้ วามแตกต่างไดด้ ี : เด็กยคุ นี้เติบโตมากบั โลกไรพ้ รมแดน เรยี นร้แู ละเขา้ ใจวัฒนธรรมของคน ทั่วโลกไดง้ ่าย อีกอยา่ งเปน็ ยคุ ท่ที ่วั โลกตา่ งกม็ วี ฒั นธรรมหลายอยา่ งรว่ มกันเป็นหนึ่งเดียว จึงเกิดความเข้าใจใน องค์รวมในทิศทางเดียวกัน ส่ือสารกันได้ง่ายข้ึน ทางานร่วมกันโดยไม่มีการแบ่งแยก ปรับตัวรับการ เปล่ียนแปลงได้ดี : เด็กยคุ นเี้ ติบโตมาในโลกทม่ี ีการเปล่ียนแปลงว่องไว รวดเร็ว ยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับ การเปล่ียนแปลงต่างๆ ได้ดี รับมือกับสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีองค์ความรู้ท่ี หลากหลาย : เด็กยคุ นเี้ กดิ มาในโลกท่เี ตม็ ไปด้วยองคค์ วามร้แู ละข้อมูลมากมายแบบไร้ขอบเขต และเติบโตมา
ในยุคที่ส่งเสริมให้มีองค์ความรู้หลากหลายรูปแบบ เขาจะเป็นคนที่ผสมผสานองค์ความรู้ต่างๆ ได้ดี หรือมี ทักษะที่ชานาญมากกว่าหน่ึงอย่าง มีทักษะการแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย : เด็กยุคน้ีจะโตมากับทักษะการ แก้ปญั หาที่หลากหลายรูปแบบ โดยใชเ้ ทคโนโลยเี ข้ามาเปน็ ตวั ชว่ ย เมือ่ เกดิ ปัญหาทเ่ี ทคโนโลยีสามารถแกไ้ ขได้ จะทาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ และสามารถหาทางแก้ไขปัญหาได้หลากหลายวิธี เป็นนักสร้างนวัตกรรม : เด็ก ยุคนี้จะชอบสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ นวัตกรรมท่ีสามารถช่วยแก้ไขปัญหาหรืออานวยความสะดวกได้ดีย่ิงขึ้น เรอื่ ยๆ เขาจะชอบการสรา้ งสรรค์ส่งิ ใหมๆ่ ขึน้ อยู่บนโลกสม่าเสมอ ท้าทายในการได้ทางานอะไรใหมๆ่ : เด็กยคุ นจ้ี ะเบือ่ ทท่ี าอะไรซา้ ซากจาเจแบบเดิมๆ แต่จะกระตือรือร้นในการที่ได้ทาอะไรท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ การ สรา้ งสรรคใ์ หมๆ่ หรือแม้กระทัง่ โครงการใหมๆ่ รักอสิ ระ : ตั้งแต่ Gen Y เปน็ ต้นมา เรมิ่ เป็นเจนเนอรเ์ รชัน่ ทีร่ กั อิสระ อยากทาอะไรท่มี ีความสขุ ต่อชวี ติ ทางานที่ชอบ แต่ Gen Alpha จะย่ิงรักอิสระที่สุด ไม่ชอบการผูกมัด มีอิสระท่ีจะทางานและใชช้ ีวติ เลอื กในสง่ิ ทต่ี นเองชอบทาและสบายใจท่จี ะทา รวมถงึ อสิ ระในสถานที่ทางานที่ สามารถทาไดท้ ไี่ หนกไ็ ด้ในโลก มีความยดื หยนุ่ สูง : เด็ก Gen Alpha จะโตมากับชว่ งปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงการ ทางานขนานใหญ่ในทุกอุตสาหกรรม เด็กยุคนี้จะมีความยืดหยุ่นในการทางานสูง ทางานได้ทุกรูปแบบ ทุก ข้อกาหนด จดุ ดอ้ ย ขาดความอดทน : เด็ก Gen Alpha และ Gen Z เปน็ ต้นมามกั จะขาดความอดทน เพราะเขาเจอ อะไรทวี่ อ่ งไว เปล่ยี นแปลงตลอดเวลา เวลาเจออะไรช้าๆ หรือต้องตั้งใจจดจ่อทาอะไรนานๆ มักจะขาดความ อดทน ดังนัน้ จะทางานทีต่ อ้ งใช้เวลาไดไ้ มค่ ่อยดี หรอื งานท่ีต้องรอผลสาเรจ็ นานๆ จะทาได้ไม่ดี หรือไม่มีความ อดทนเลยขาดสมาธิในการทางาน : เด็ก Gen Alpha จะค่อนข้างสมาธิสั้น เพราะมีสิ่งน่าสนใจหลากหลาย อย่าง อย่กู ับสิ่งๆ เดียวนานๆ ไม่ได้ ไม่มีความต้ังใจในการทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง ขาดความต้ังใจในการ ทางาน : ในเมือ่ ความสนใจหลากหลาย ความต้ังใจต่อแต่ละส่ิงย่อมลดลง เด็กยุคน้ีมักขาดความต้ังใจในการ ทางานทจี่ ริงจงั เต็มท่ี มกั ทาแบบขอไปที พอให้เสรจ็ ๆ ไป เพราะไม่ไดเ้ กดิ ผลกระทบอะไรกับชีวิตมากมาย ไม่ เข้าใจหรือเหน็ คุณคา่ ของงานทที่ า กเ็ ลยไมใ่ สใ่ จทางานอย่างเตม็ ที่ เบอื่ หนา่ ยง่าย : เด็กยุคนจ้ี ะเบอ่ื งา่ ย ทาอะไร ที่ไมน่ า่ สนใจก็จะเร่ิมเบ่ือ และหนั ไปหาสิ่งทน่ี า่ สนใจกวา่ ซ่งึ มีอย่มู ากมาย ไม่จดจ่อกบั สิ่งๆ เดียว อาจทาให้การ ทางานมปี ญั หา ถา้ ได้ทางานซา้ ซาก ไมช่ อบฝกึ ฝนทักษะพ้ืนฐาน อยากแตจ่ ะทางานในทักษะชานาญการที่เห็น ผลเลย : เดก็ ยุคน้ีมกั ละเลยการเรียนรหู้ รอื ฝกึ ฝนพนื้ ฐานให้ชานาญ แต่อยากจะไปไวๆ แบบก้าวกระโดด ซึ่งทา ใหพ้ อทางานแลว้ ไมม่ ีความชานาญจะเกิดปัญหาได้ง่าย และรับมือกับปัญหาที่เกิดข้ึนไม่ได้ ไม่มีทักษะในการ แกป้ ัญหา : เมื่อปญั หาเกิดขึ้นเดก็ Gen Alpha จะขาดทกั ษะในการแก้ไขปัญหา เพราะไม่รู้วิธีการหรือทักษะ พ้นื ฐาน มี Human Sense น้อยลง : ดว้ ยความทีอ่ ยู่กับเทคโนโลยีมากไป ขาดปฏิสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันต่อมนุษย์ คนอื่นเท่าท่ีควร ทาให้เข้าใจระหว่างกันน้อยลง เกิดความเกรงใจกันน้อยลง ไม่เคารพซึ่งกันและกัน ไมมี กาลเทศะต่อกัน ขาดมนุษยสัมพันธ์ : เด็ก Gen Alpha มักจะอยากขลุกอยู่กับเทคโนโลยี ขลุกอยู่กับตัวเอง ขาดการปฏสิ ัมพันธก์ บั ผอู้ ื่น ทาให้ปรบั ตัวเขา้ กบั ผอู้ ่ืนไดย้ าก ขาดมนุษยสัมพันธ์ในองค์กรและสังคม มักจะอยู่ กับตัวเองเสยี เป็นสว่ นใหญ่ ทาให้การทางานร่วมกันกับผู้อ่ืนอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ ไม่รู้จักงานฝีมือและการใช้
แรงงาน : เดก็ รนุ่ ใหมเ่ ติบโตมากับเทคโนโลยีและการใช้เทคโนโลยีช่วยทางาน ดังน้ันจะขาดการลงมือปฏิบัติ หรอื เรยี นร้ทู กั ษะพื้นฐานทไ่ี ม่มีเทคโนโลยเี ขา้ มาเกยี่ วข้อง หากเกิดปัญหาต่างๆ เขาอาจไม่เข้าใจการปฏบิ ัติงาน แบบ Non-Automatic สักเท่าไร รวมถึงในเรื่องของงานฝีมือ หรืองานที่ต้องใช้มือทา เด็กรุ่นนี้จะไม่มีความ สนใจ หรอื ไม่ก็มีสมาธิสนั้ ปฏเิ สธงานที่ตอ้ งออกแรงและใชเ้ วลา ขาดความเกรงใจ : การพูดตรงเป็นส่ิงที่ดี แต่ การพูดตรงแบบขาดความเกรงใจ หรือพูดในสิ่งท่ีไม่ควรพูด ไม่มีกาลเทศะ ถือว่าเป็นส่ิงที่แย่ เด็กยุค Gen Alpha จะขาดความเขา้ ใจกาลเทศะ พูดในสงิ่ ท่ไี มค่ วรพูดอยบู่ ่อยๆ และขาดความเกรงใจคนอ่ืน ซึ่งอาจทาให้ เกิดปญั หาระหวา่ งบุคคลขึน้ ไดง้ า่ ย ขาดความรับผดิ ชอบ : เดก็ ยคุ ใหมน่ จ้ี ะขาดความรับผิดชอบสูง ทางานเร่ือย เปอ่ื ยเมอื่ เกิดปญั หา หรอื ทาไมไ่ ด้ ก็พร้อมท่ีจะทงิ้ งานโดยไมร่ ู้สึกผิด หนีงานโดยมีข้ออ้างส่วนตัวเสมอ ท้ิงงาน โดยไมส่ นใจอะไรท้งั ส้นิ ได้ อย่างไรกด็ คี งต้องบอกว่านคี่ อื การคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าท่ีอาจเกิดข้ึน และ อาจเป็นคณุ ลักษณะนอี้ าจเปน็ เรอื่ งเฉพาะบุคคล ไม่จาเป็นที่ทุกคนจะต้องมีคุณลักษณะเดียวกันนี้ไปเสียหมด ในขณะเดียวกนั คณุ ลักษณะในอนาคตอาจจะตา่ งไปจากที่คาดคิดน้ีก็ได้ หรือบางทีเม่ือเรารู้ข้อมูลตรงน้ีพร้อม การคาดการณ์แล้วกอ็ าจจะเร่ิมตน้ แก้ไขส่ิงที่บกพร่องได้ทัน อย่างไรก็ดีองค์กรทุกองค์กรต่างก็รอคอยการมา ของเจนเนอรเ์ รชนั่ ใหมท่ กุ ยคุ ทกุ สมัย พร้อมการพฒั นาทไ่ี ม่หยุดย้งั ของโลกใบนดี้ ว้ ยเชน่ กัน องคก์ รควรเตรียมตวั อย่างไรในการทางานร่วมกับ Gen Alpha ทุกยุคสมัยประชากรโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปเร่ือยๆ ตามการพัฒนาของโลกใบน้ี เราไม่มีทาง ปฏิเสธประชากรวัยไหนได้เลย เพราะแตล่ ะรุ่นต่างกเ็ ป็นอนาคตตอ่ ไปของโลกใบน้เี ช่นกนั ส่ิงที่ควรทาก็คือการ เตรียมรบั มือกับประชากรในยุคอนาคต รวมถึงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ก้าวตามยุคสมัยให้ทัน ซึ่งน่ันเป็นสิ่งท่ี องคก์ รจะไดร้ บั ความค้มุ ค่าและผลประโยชน์มากท่ีสุด นาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในแต่ละสายงาน : องค์กรต้อง ปรบั เปลี่ยนให้ทันโลก นาเทคโนโลยเี ขา้ มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในการทางานแต่ละสายงาน เพ่ือรองรับแรงงาน ในอนาคตท่ีเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีย่ิงข้ึนได้ด้วย ปรับระบบการทางานหลากหลายรูปแบบ : องค์กรควรมี ระบบการทางานท่หี ลากหลายรปู แบบไว้รองรับ เพราะระบบการทางานในยุคนี้เริ่มเปลย่ี นแปลงไป ระบบการ จ้างงานประจาเรม่ิ เป็นภาระหนกั อง้ึ ขององค์กร และเรมิ่ เปน็ ความน่าเบอ่ื สาหรับพนกั งานแลว้ คนรุน่ ใหมจ่ ะเรมิ่ อยากทางานแบบฟรแี ลนซม์ ากข้ึน หรือ Remote Working ทางานที่ไหนก็ได้บนโลก ขอแค่มีงานส่งทันตาม เวลาที่กาหนด ทางานระบบบรษิ ทั กบั บริษัท : เดก็ ยุคใหมม่ คี วามอยากเป็นเจ้าของกิจการตนเองมากข้ึน แนว ทางการเติบโตของธุรกิจในโลกอนาคตอาจไม่ใช่การสร้างบริษัทใหญ่โต แต่เป็นการสร้างบริษัทเล็กๆ ข้ึนมา มากมาย ทุกคนเป็นเจ้าของกิจการ ระบบการทางานจะเป็นระบบบริษัทกับบริษัทมากขึ้น อย่างงานน้ีหาก บรษิ ัทตอ้ งการก็ไปตดิ ตอ่ ให้อกี บรษิ ทั ทา ไม่จาเปน็ ตอ้ งจา้ งพนกั งานของตน กจ็ ะเป็นการประสานงานกบั บริษัท ของคนรุ่นใหม่แทน ทางานแบบเป็น Project Base : หน่ึงในวิธีการทางานท่ีกาลังเร่ิมได้รับความนิยม และ เหมาะสมสาหรับคนยุคใหม่มากขึ้นก็คือการทางานแบบ Project Base แทนที่จะเป็นการทางานแบบตาม หน้าทหี่ ลกั หรอื ภารกิจหลกั อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งอย่างเดียวเหมือนสมัยก่อน การทางานแบบ Project Base นี้ก็ คือการท่ีให้งานแต่ละงานเป็นโครงการแทน โดยโครงการน้ีจะมีใครเข้ามาร่วมทาบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป หรือรว่ มทากันหลายคน มีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการท่ีชัดเจน มีระบบระเบียบในการทางาน มีกระบวนการที่
ชัดเจน พัฒนาบคุ ลากรตลอดเวลา : เด็กยคุ ใหมต่ อ้ งการเรยี นรอู้ ะไรใหมๆ่ เสมอ ดงั น้นั องคก์ รควรมีการพัฒนา บคุ ลากร ทักษะ ความรู้ พฒั นาการทางาน พฒั นาเทคโนโลยีทีน่ าเขา้ มาชว่ ยในการทางาน เพ่ือใชศ้ กั ยภาพของ คน Gen Alpha ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ สร้างความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคลากรในองค์กร : ในยุคหน้าเร่ืองมนุษย สัมพันธ์อาจจะเป็นปัญหามากข้ึนสาหรับเด็กยุคใหม่ องค์กรอาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ดีขึ้นด้วยการสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในองค์กรให้ดี ผ่านกิจกรรมตลอดจนวิธีการต่างๆ เพ่ือเช่ือมความสัมพันธ์กัน ตลอดจนส่งเสรมิ การทางานเปน็ ทีม สรปุ โลกของการทางานกาลงั จะปรบั เปลี่ยนไปสยู่ คุ ดจิ ติ อลอยา่ งเตม็ ตวั มากขน้ึ เร่ือยๆ ในขณะที่ โลกกก็ าลงั ผลิตประชากร Gen Alpha ทเ่ี ติบโตตามการเปลยี่ นแปลงนี้ ซง่ึ ทุกส่งิ ทุกอยา่ งคอื อนาคตของโลกใบ น้ี เราไมม่ ีวันทจ่ี ะปฏิเสธเทคโนโลยหี รอื ความก้าวหน้าได้ เพยี งแตต่ อ้ งเรียนรู้และพฒั นาทจ่ี ะก้าวตามเทคโนโลยี และโลกใบนีใ้ ห้ทนั ซง่ึ อันทีจ่ รงิ แล้วมันลว้ นแล้วแต่เป็นแงด่ ใี นการอานวยความสะดวกทง้ั ในชวี ติ ประจาวนั และ การทางานท่ดี ยี งิ่ ขน้ึ และทาใหก้ ารทางานมีประสทิ ธิภาพมากข้ึนอีกด้วย Gen Alpha ถอื เปน็ เยาวชนที่จะ กลายเปน็ อนาคตของชาติและอนาคตของโลกใบน้ีต่อไป จุดแข็งทเ่ี ขามีศักยภาพดา้ นเทคโนโลยีตลอดจนองค์ ความรู้ดจิ ิตอลทเี่ ขาเติบโตมาน้นั ควรจะสนบั สนุนให้นาไปใชง้ านให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ ในดา้ นต่างๆ เพราะ ท้ายท่สี ดุ แล้วทกุ คนรวมถึงทุกองค์กรต่างก็ได้ประโยชนจ์ ากสงิ่ เหล่าน้ที ้งั ส้นิ แลว้ โลกในอนาคตกค็ ือโลกของ พวกเขาด้วยเช่นกนั การเรยี นรทู้ ่จี ะรบั มอื และสง่ เสรมิ Gen Alpha ให้มีประสิทธิภาพไดอ้ ย่างไรจงึ ควรเปน็ สงิ่ ที่ สังคมและองคก์ รควรเตรียมตวั ตรงจุดน้ี เพ่ือทจ่ี ะนามาชว่ ยกนั พฒั นาโลกของเราให้กา้ วหน้าตอ่ ไป วิธีการทลายชอ่ งวา่ งเพอื่ สร้างความเข้าใจในคนแตล่ ะ Gen เมอ่ื เขา้ ใจแล้วว่าคนในแต่ละยคุ มีค่านิยมในชีวิตอยา่ งไร ก็สามารถก้าวข้ามความตา่ งเพ่ือเข้าหากัน ไดง้ า่ ยๆ ด้วย 3 ขน้ั ตอน คอื เข้าใจถึงความแตกตา่ ง ยอมรบั วา่ คนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมอื นกนั คนทม่ี ีความ เชอื่ หรอื ทัศนคตติ อ่ ชวี ติ ไมเ่ หมอื นเรา เขาไม่ใช่คนไม่ดเี สมอไปชืน่ ชมจดุ ดี แทนทีจ่ ะตอ่ ตา้ น ให้เราลองมองหา จุดเด่นของคนในแต่ละกลมุ่ ใหพ้ บบริหารความแตกต่าง เปลยี่ นวิธีการสื่อสารใหเ้ ข้าถึงคนแตล่ ะกลุ่มทเ่ี ราต้อง ทางานด้วยยุทธวิธีในการทางานกบั คนต่าง Gen ใหม้ คี วามสขุ ทางานกบั กลุ่ม Baby Boom จงแสดงความนับถอื รับฟัง และเรียนร้จู ากประสบการณข์ อง Baby Boom แลว้ พยายามปรับใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ ไม่วา่ เราจะเก่งกาจแค่ไหนหรือจะประสบความสาเร็จเพียงใดก็ ยังคงต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทางานหนักคือการถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom ให้ ความสาคัญต่อหลักการทางาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์กร และเห็นคุณค่าต่อการทางานอย่างทุ่มเท หากต้อง ทางานในองค์กรใหญ่ๆ ท่ีมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซ่ึงบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้ วฒั นธรรมองคก์ รเสยี กอ่ นวา่ มกี ารเจริญเติบโตมาอยา่ งไร ก่อนท่ีจะเสนอความคิดริเร่มิ เพอ่ื การเปลยี่ นแปลงใดๆ แก่ Baby Boom ทางานกับกลุ่ม Gen-Xต้องพูดให้กระชับ ชัดเจน และไม่อ้อมค้อม เพราะ Gen-X ชอบความ ตรงไปตรงมา เราสามารถใช้ Email กลบั คนกล่มุ นี้ได้ หากสามารถส่ือสารได้ใจความและตรงเปูาหมาย หาก
เป็นเร่ืองใหญ่จรงิ ๆ ควรพดู ตอ่ หนา้ เพราะ Gen-X ไมช่ อบถูกบงการ ผู้ใหญแ่ ค่ให้นโยบายกวา้ งๆ เปิดโอกาสให้ เขาไดแ้ ก้ปัญหาเองจะดที ี่สดุ สว่ น Baby Boom ควรลดความคาดหวังตอ่ Gen-X ในการทางานหนักอย่างหนกั โดยไมม่ ีวนั หยดุ หรอื ก้าวไปอยา่ งชา้ ๆ อยา่ งร่นุ ตน เพราะ Gen-X ต้องการชีวิตทสี่ มดลุ ไมช่ อบการอยูต่ ิดที่ ทางานกบั กลุ่ม Gen-Y หรอื Millennium ลองท้าทายพวกเขาดว้ ยภารกิจใหมๆ่ Millennium จะ ชอบความเป็นคนสาคัญ การเพิ่มความรบั ผดิ ชอบ เสมอื นการให้คาชม จงเปดิ โอกาสให้ Millennium ได้แสดง ความคดิ เห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ท่ียอมรับความคิดเขาก็จะได้รับการยอมรับจาก พวกเขาเช่นกนั Millennium ชอบให้เราแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทาทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความ คิดเห็นของเพอื่ นร่วมงาน มผี ลต่อพวกเขามาก ทางานกบั กลุ่ม Gen-Z จงให้เกียรติพวกเขาก่อนเสมอในฐานะที่พวกเขาน่าจะฉลาดกว่าเพราะ พวกเขาเตบิ โตมากบั ยุคอินเทอร์เนต็ ความเร็วสูงตั้งแต่เดก็ สว่ นปรัชญาที่เหมาะสมกับการทางานของพวกเขา คือ Work-Life Balance ไม่ชอบสไตล์การทางานแบบคนร่นุ เก่าท่ีน่าเบื่อ และเพอื่ ปอู งกันการสูญเสียความคิด และไอเดียของคน Gen Z ดาวรุ่งดวงใหม่ ควรใช้ระบบการฝึกอบรมพนักงานที่ได้มาตรฐาน ใช้เทคโนโลยี ปรับปรงุ ให้องคก์ รมีความทันสมัยเพ่ือดงึ ดดู พวกเขาให้มาทางาน สดุ ท้ายคอื การให้โอกาสพวกเขาในการแสดง ความสามารถอยา่ งเต็มท่ีและสง่ เสรมิ ใหพ้ วกเขาได้แสดงบทบาททสี่ าคญั มากยิ่งขน้ึ เสมอ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ศตวรรษท่ี 21 สถานการณ์โลกมีความแตกตา่ งจากศตวรรษที่ 20 และ 19 ระบบการศึกษา ต้องมี การพฒั นาเพือ่ ใหส้ อดคล้องกับภาวะความเปน็ จริง ความทา้ ทายดา้ นการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 ในการเตรียม นักเรียนให้พร้อมกับชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องสาคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดข้ึนใน ศตวรรษที่ 21 สง่ ผลต่อวิถีการดารงชีพของสังคมอย่างท่ัวถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการ จัดการเรียนรเู้ พื่อเตรยี มความพรอ้ มให้นักเรียนมีทักษะสาหรบั การออกไปดารงชีวิตในโลกในศตวรรษท่ี 21 ท่ี เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สาคัญท่ีสุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ในประเทศสหรัฐอเมริกาแนวคดิ เรอ่ื ง \"ทกั ษะแหง่ อนาคตใหม่ : การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21\" ไดถ้ ูกพฒั นาขน้ึ โดยภาคสว่ นท่ีเกิดจากวงการนอกการศกึ ษา ประกอบด้วย บริษัทเอกชนช้นั นาขนาดใหญ่ เช่น บริษัทแอปเปล้ิ บริษัทไมโครซอฟ บริษทั วอลด์ ิสนยี ์ องค์กรวิชาชพี ระดับประเทศ และสานกั งานดา้ นการศึกษา ของรัฐ รวมตัวและก่อตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills) หรอื เรยี กยอ่ ๆว่า เครอื ข่าย P21 หน่วยงานเหล่านี้มีความกังวลและ เหน็ ความจาเป็นที่เยาวชนจะต้องมที กั ษะสาหรับการออกไปดารงชวี ติ ในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ทเี่ ปล่ียนไปจาก ศตวรรษท่ี 20 และ 19 จึงได้พัฒนาวิสัยทัศน์และกรอบความคิดเพ่ือการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21ข้ึน ทักษะ สาคญั ทีเ่ ด็กและเยาวชนควรมไี ด้ว่า ทักษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม หรอื 3R และ 4C ซึ่งมอี งค์ประกอบ ดังน้ี 3 R ได้แก่ Reading (การอ่าน), การเขียน(Writing) และ คณิตศาสตร์ (Arithmetic) และ 4 C (Critical Thinking - การคิดวิเคราะห์, Communication- การสื่อสาร Collaboration-การร่วมมือ และ Creativity-
ความคดิ สร้างสรรค์ รวมถึงทกั ษะชวี ติ และอาชพี และทักษะด้านสารสนเทศสอ่ื และเทคโนโลยี และการบริหาร จัดการด้านการศึกษาแบบใหม่ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวถึงทักษะเพื่อการ ดารงชวี ติ ในศตวรรษที่ 21 ดงั น้ี สาระวชิ าก็มีความสาคญั แตไ่ มเ่ พยี งพอสาหรบั การเรียนรู้เพ่ือมีชีวิตในโลกยุค ศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการ คน้ ควา้ เองของศิษย์ โดยครูช่วยแนะนา และช่วยออกแบบกจิ กรรมท่ีช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมิน ความก้าวหนา้ ของการเรยี นร้ขู องตนเองได้ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ความรู้เกี่ยวกบั โลก (Global Awareness ความรเู้ ก่ียวกับการเงนิ เศรษฐศาสตร์ ธุรกจิ และการเป็นผปู้ ระกอบการ (Financial, Economics, Businessand Entrepreneurial Literacy) ความร้ดู ้านการเป็นพลเมอื งท่ีดี (Civic Literacy) ความรดู้ ้านสุขภาพ (Health Literacy) ความรูด้ า้ นสิ่งแวดลอ้ ม (Environmental Literacy) สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และภาษาสาคัญของโลก ศิลปะ คณติ ศาสตร์ การปกครองและหนา้ ท่พี ลเมอื ง เศรษฐศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภูมศิ าสตร์และประวตั ศิ าสตร์ โดยวิชาแกนหลกั นี้จะนามาสูก่ ารกาหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สาคัญต่อการจัดการ เรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรอื หัวข้อสาหรับศตวรรษท่ี 21 โดยการส่งเสริมความ เขา้ ใจในเนอ้ื หาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เขา้ ไปในทุกวชิ าแกนหลกั ดังนี้ 1.ทกั ษะดา้ นการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกาหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการ ทางานท่ีมีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมี วจิ ารณญาณและการแก้ปัญหาการสอ่ื สารและการร่วมมือ 2.ทักษะดา้ นสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนือ่ งด้วยในปจั จุบนั มกี ารเผยแพร่ขอ้ มลู ข่าวสารผา่ น ทางสอื่ และเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงตอ้ งมคี วามสามารถในการแสดงทกั ษะการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณและ ปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เก่ียวกับสื่อและ ความรูด้ ้านเทคโนโลยี 3.ดา้ นชวี ติ และอาชีพ ในการดารงชีวิตและทางานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสาเร็จ นักเรียน จะตอ้ งพฒั นาทกั ษะชวี ติ ที่สาคญั ดังต่อไปน้ี ความยดื หยนุ่ และการปรับตวั การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของ ตัวเอง ทักษะสังคมและสงั คมข้ามวฒั นธรรม การเปน็ ผสู้ ร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบ เชอื่ ถอื ได้ (Accountability) ภาวะผูน้ าและความรบั ผิดชอบ (Responsibility) ทักษะของคนในศตวรรษท่ี 21 ที่ทุกคนจะตอ้ งเรยี นรู้ตลอดชวี ิต คือ การเรียนรู้ 3R x 7C 3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้),
และ (A)Rithemetics (คดิ เลขเปน็ ) 7C ไดแ้ ก่ Critical Thinking and Problem Solving (ทกั ษะด้านการคิด อย่างมีวิจารณญาณ และทกั ษะในการแกป้ ัญหา) Creativity and Innovation (ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) Cross-cultural Understanding (ทักษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น)์ Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผนู้ า) Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสอ่ื ) Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร) Career and Learning Skills (ทักษะอาชพี และทักษะการเรยี นร)ู้ ทกั ษะท่ตี ้องมีเพื่อการใช้ชีวิตในยุคปจั จบุ ัน นอกจากความเหล่อื มล้าทางการศึกษา และปัญหาในระบบการศึกษาเองแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยท่ีมี บทบาทกับระบบการศึกษาอย่างมากคอื การเปล่ียนแปลงของโลกเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยีได้เข้ามามี บทบาท และเปลย่ี นโฉมหนา้ ของตลาดแรงงานไปทุกๆ ภาคส่วน โดยเฉพาะภาคการศึกษา ล้วนต้องปรับตัว และเตรยี มคนใหพ้ ร้อมเขา้ สตู่ ลาดแรงงานในศตวรรษท่ี 21 ความรหู้ รือการเรียนการสอนแบบในอดตี จึงอาจจะ ไม่เพียงพออีกต่อไป ในรายงานจึงได้กล่าวถึงทักษะ 3 ประเภท ที่ควรมีในยุคปัจจุบันน้ี ทักษะแบบแรกคือ ทักษะทางด้านการคิด (cognitive skills) คือความสามารถในการเข้าใจความคิดท่ีซับซ้อน และนามา ประยกุ ต์ใชไ้ ด้ ซึ่งเป็นทกั ษะท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมืออาชีพ เช่น ทักษะ ทางการคิดคานวณข้ันพ้ืนฐาน การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) และการแก้ปัญหา ขณะที่ทักษะแบบท่ี สอง ซ่ึงได้รับการพูดถึงมากในช่วงหลังมานี้คือ ทักษะทางอารมณ์และสังคม (socioemotional skills) หรือ บางครั้งเรียกว่า ทักษะเชิงพฤติกรรม (non-cognitive skills) ซ่ึงเป็นพฤติกรรม ทัศนคติ และคุณค่าท่ีคนๆ หน่ึงจาเป็นตอ้ งมี เพือ่ จะใช้เป็นแนวนาทางในการดาเนนิ ชีวิต รวมถงึ รบั มอื กบั ปญั หาและความท้าทายตา่ งๆ ได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ และถกู ต้องตามทานองคลองธรรม ตัวอย่างของทักษะทางอารมณ์และสังคม เช่น การ ควบคุมตนเอง (self-control) ความวิรยิ ะอุตสาหะ (grit) การจัดการตนเอง (self-management) การสื่อสาร ท่ีมีประสิทธิภาพ (effective communication) และพฤติกรรมเอื้อสังคม (prosocial behaviour) ซ่ึงผล สารวจจากประเทศรายได้สูงบ่งชี้ชัดเจนว่า ทักษะเหล่านี้ส่งผลอย่างมากต่อการจ้างงาน ประสบการณ์การ ทางาน ตัวเลอื กในการทางาน และคา่ จ้าง อกี ทั้งยงั ช่วยลดความเส่ียงในการมีพฤติกรรมรุนแรงหรือใช้สารเสพ ติดด้วย ผลลัพธ์ข้างต้นยังสอดคล้องกับการสารวจในสหราชอาณาจักรท่ีพบว่า ทักษะทางด้านอารมณ์และ สังคมสามารถช่วยคาดการณ์อนาคตของคนๆ หน่ึง ตั้งแต่การเข้าเรียน การได้รับปริญญา การทางาน หรือ แม้แต่ใชค้ าดการณว์ ่าคนๆ นัน้ มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรมหรือไม่ด้วย ทักษะประเภทสุดท้ายคือ ทักษะเชิง เทคนิค (technical skills) คือความรู้ ความเช่ยี วชาญ และการมปี ฏิสมั พนั ธ์กับผู้อื่น ที่คนทางานจาเป็นต้องมี
เพือ่ จะปฏบิ ัติหน้าท่ีได้เต็มศักยภาพ ซ่ึงการจะพัฒนาทักษะประเภทน้ีต้องอาศัยการเรียนรู้ การใช้เคร่ืองมือ และเทคโนโลยที ีจ่ าเป็นตอ่ การทางาน การพัฒนาทักษะต่างๆ จะเร่มิ ตง้ั แตว่ ยั เด็ก โดยเด็กคนหนึ่งจะเรม่ิ พฒั นา ทกั ษะทางการคดิ ขั้นพื้นฐาน กอ่ นจะพัฒนาขนั้ ท่สี งู ขน้ึ เมอื่ เติบโตเป็นวยั รนุ่ และเขา้ สชู่ ว่ งผใู้ หญต่ อนต้น พร้อมๆ กบั เรมิ่ พัฒนาทักษะเชิงเทคนิคที่จาเป็นต่อการทางานไปด้วย ขณะที่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนา ทกั ษะด้านอารมณแ์ ละสังคมคือวัยเด็กตอนต้น และเริ่มพัฒนาต่อในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นผ่านทาง ประสบการณ์ใหม่ๆ ท่ีได้รับจะเห็นว่า ทักษะท้ัง 3 ประเภทไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นท้ังตัว สนับสนนุ และเสรมิ แรงซ่งึ กันและกัน จึงจาเป็นอยา่ งย่ิงทคี่ นๆ หน่ึงจะต้องพัฒนาทักษะทั้ง 3 ประเภทของตน เพ่อื พร้อมรับกบั ความเปลยี่ นแปลง และสามารถใช้ชีวติ ได้อยา่ งมคี วามสขุ บนโลกทีผ่ ันผวน การบริหารการจัดการ ความทา้ ทายทางการบรหิ ารในความเปลี่ยนแปลง เปาู หมายการจดั การศึกษาท่ีเปล่ยี นไป จากเดมิ ท่เี น้นองคค์ วามร้ทู ีผ่ ้เู รียนจะต้องได้รับมาเปน็ เรือ่ ง ของสมรรถนะของผู้เรยี น การละเลยเรือ่ งของการปรบั เปล่ยี นกระบวนทศั น์ด้านการบรหิ ารจัดการสถานศึกษา กห็ มายถงึ ความลม้ เหลวของการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวมด้วยเช่นกัน ท้ังนี้ในการปรับเปล่ียนการบริหาร สถานศกึ ษาจาเป็นต้องใหค้ วามสาคัญตอ่ ประเด็นตา่ งๆ ดังน้ี สภาวะทางสังคม ประเทศไทยในศตวรรษท่ี 21 มีความเป็นไปได้สูงมากท่ีจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เช่นเดยี วกบั ในหลายประเทศทีไ่ ด้เข้าส่ภู าวะนไ้ี ปแล้ว สภาวะน้ีเกิดขึ้นจากการที่อัตราการเกิดลดลง คนมีอายุ ยืนขึ้น สภาพดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาด้วยเช่นกันอย่างน้อยในสองประเด็น คือ 1) บุคลากรการศึกษาที่จะมีโอกาสขาดแคลน และจาเป็นต้องขยายอายุการทางานของบุคลากรและ 2) การ จัดการศึกษาจาเปน็ ต้องออกแบบสาหรบั การจดั การศกึ ษาสาหรบั ผสู้ ูงอายมุ ากข้นึ เพราะเปน็ คนกลุ่มใหญ่ของ สงั คม และการศกึ ษาก็ไมส่ ามารถหยุดอยู่เพียงในวัยการศึกษาหรอื วัยทางาน สองประเด็นนี้เป็นโจทย์สาคัญ หนงึ่ สาหรบั ผู้บริหารในปจั จุบนั ทจ่ี ะต้องวางแผนการจดั การท่ีชัดเจนเพ่ือรองรับความเปลีย่ นแปลงที่จะเกิดขน้ึ ความเปลยี่ นแปลงวถิ ีชวี ิตของคน พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนจะเปลี่ยนไป สังเกตได้อย่างง่าย จากพฤติกรรมการซื้อสนิ ค้าท่ีปจั จุบนั การซอื้ ขายผ่านอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าเพ่ิมสูงขึ้น เครือข่ายสังคมก็เข้ามามี บทบาทต่อการตัดสินใจของคนมากข้ึน ขณะเดียวกันพฤติกรรมการทางานของคนเปลี่ยนไป ต้องการ ความสาเรจ็ และการยอมรบั ทเี่ รว็ มากขึ้น การยึดมั่นในองค์กรอาจจะน้อยลงไป จึงเป็นความท้าทายของการ บริหารทรพั ยากรมนษุ ย์ในองค์การท่จี ะตอ้ งเอือ้ ต่อการใชท้ รัพยากรอยา่ งเตม็ ประสิทธภิ าพพร้อม กับการสร้าง ขวัญกาลงั ใจใหก้ ับบุคลากรเพอ่ื ให้บคุ ลากรที่มคี วามสามารถอยู่กับองค์การไปนานๆ การเขา้ ถงึ เทคโนโลยี เทคโนโลยกี ลายเปน็ ส่วนหนึง่ ของชวี ิต เด็กรุ่นใหม่จะใช้เป็นเครอ่ื งมอื ในการ เรยี นรู้ บคุ ลากรในสถานศกึ ษาก็จาเปน็ ตอ้ งเปน็ คนทีส่ ามารถนาเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน พร้อมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าพัฒนาความรู้ของตนเอง ขณะเดียวกันยังจะต้องสามารถนาเอา เทคโนโลยีมาใช้ในการบรหิ ารจดั การสถานศึกษาอกี ด้วย แตท่ ั้งนกี้ ารยอมรบั และการใช้เทคโนโลยีของบุคลากร ในสถานศึกษาจะมีระดบั ความสามารถท่แี ตกตา่ งกนั การนาเอาเทคโนโลยมี าใชจ้ งึ จาเปน็ ต้องมีแผนการจัดการ
ทช่ี ัดเจน เช่นเดียวกนั กบั การวางโครงสร้างพืน้ ฐานที่เกีย่ วขอ้ งทีจ่ ะต้องมีทั้งการลงทุนและการพัฒนาบุคลากร ไปพร้อมๆ กัน ความหลากหลายและความขัดแย้งกับ ในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาจาเป็นต้องเป็นองค์การที่ เปิดรับความหลากหลายและความแตกต่างท่ีมากข้ึน พร้อมๆ กับความจาเป็นในการสร้างให้เกิดความเป็น เอกภาพในองคก์ าร เพราะเอกภาพในองคก์ ารคือหวั ใจของความสาเร็จ การทางานเป็นทีมคือเคร่ืองมือสาคัญ ในการขับเคล่อื นองค์การสเู่ ปาู หมาย ด้วยเหตนุ ้กี ารสร้างเอกภาพ การทาให้เกิดทีมในการทางานจึงเป็นโจทย์ สาคญั สาหรบั การบรหิ ารสถานศกึ ษาในศตวรรษน้ี ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ คนในยุคใหม่จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ยึดติดกับที่ทางาน มีความ พรอ้ มทจี่ ะเปลีย่ นงานใหมไ่ ดต้ ลอดเวลา และนิยมท่ีจะทางานแบบอิสระมากกว่า ดงั น้ันการรปู แบบการบริหาร จัดการจึงเป็นอีกประเด็นสาคัญที่ท้าทายผู้บริหารในการปรับตัวให้เข้ากับทีมงานรุ่นใหม่เครื่องมือเพื่อการ บรหิ ารจัดการสถานศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 จากความเปล่ยี นแปลงและความทา้ ทายขา้ งต้น ผบู้ รหิ ารจาเปน็ ต้องมีเคร่ืองมือท่ีแตกต่างจากใน ยุคทผ่ี า่ นมาเพื่อการขบั เคลอ่ื นองคก์ รสคู่ วามสาเร็จ และเครือ่ งมอื สาคัญท่ีจะต้องมกี ารนาไปใช้มีดังน้ี การจดั การความรใู้ นองค์การ การบริหารจาเป็นต้องกระตุ้นให้คนในองค์กรพัฒนาความรู้ สร้าง นวัตกรรมในการปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากองค์การต้องเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ซ่ึงจะช่วยให้ องคก์ ารพรอ้ มรับความเปลีย่ นแปลงต่างๆ ทจ่ี ะเกิดขึ้น ย่งิ ไปกว่านน้ั ยงั จะสามารถนาพาองค์การสู่การเป็นผู้นา ได้ ซึ่งการจัดการความรูเ้ ป็นเครอื่ งมือสาคัญเพอ่ื บรรลเุ ปูาหมายดังกลา่ ว นอกจากน้ีการจัดการความรู้ยังเป็น เครื่องมือสาคัญทสี่ ร้างความร้สู กึ ร่วมของคนในองคก์ าร สรา้ งความภาคภมู ิใจในการทางานและกระตนุ้ ใหค้ นใน องค์การทางานอยา่ งเต็มศกั ยภาพทมี่ ี การสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ รที่เออื้ ตอ่ การเปลย่ี นแปลง ความเปล่ยี นแปลงจะเกดิ ข้ึนอย่างรวดเรว็ ขน้ึ องค์การท่มี โี ครงสรา้ งการทางานที่ไมเ่ อื้อต่อการเปลยี่ นแปลงคอื องค์การท่ีจะขาดศักยภาพในการจดั การปญั หา ทเ่ี กิดขึ้น ทง้ั นี้การสรา้ งวฒั นธรรมองค์การและการสร้างให้องค์กรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงน้ันไม่ใช่ กระบวนการท่ีทาได้ในทันทีทันใด แต่เป็นการทางานร่วมกันของคนในองค์กร เป็นกระบวนการท่ีใช้เวลา ปรับเปล่ยี นคนในองค์การใหม้ ีความเห็นรว่ มกัน ทางานร่วมกันสเู่ ปูาหมายเดยี วกนั การทางานอย่างเป็นเครอื ข่าย องคก์ ารทท่ี างานอยา่ งโดดเดยี วจะเปน็ องคก์ ารท่ีขาดประสทิ ธิภาพ ในไปโดยอตั โนมตั ิสาหรบั การจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 สถานศึกษาจาเป็นตอ้ งสรา้ งเครอื ขา่ ยความร่วมมือ กันเพ่ือการแลกเปลีย่ นองคค์ วามรแู้ ละรว่ มกันทางานเพื่อผลักดนั การจัดการศึกษาท่ีมีประสทิ ธภิ าพ ทางานร่วมกับสถานประกอบการเพ่ือการเรียนรู้ของผู้เรียน ความต้องการการจัดการศึกษาท่ี เปล่ียนไป เป็นโจทย์ใหส้ ถานศกึ ษาจาเปน็ เพ่ิมการทางานร่วมกับภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องมากข้ึน ท้ังจากส่วนของ ผปู้ กครองของผู้เรยี นท่ีสถานศึกษาจะต้องสนองตอบ ขณะเดียวกันจะต้องเรียนรู้ถึงความต้องการของสถาน ประกอบการท่ีสถานศกึ ษาจะตอ้ งเตรียมความพร้อมใหก้ บั ผูเ้ รยี นในการเข้าสู่การทางาน การศกึ ษาต่อ แนวคดิ ทฤษฎีผ้นู าตามสถานการณ(์ Contingency Theories)
การศกึ ษาภาวะผนู้ าในเรอื่ งของสถานการณเ์ กิดจากการศึกษาพัฒนาภาวะผู้นาไปอีกข้ึนหน่ึง ต่อ จากเร่ืองพฤติกรรมของผู้นาท่ีถูกวิจารณ์ว่า แบบของผู้นาแบบใดแบบหนึ่งอาจไม่ใช่เป็นแบบท่ีดีท่ีสุดในทุก สถานการณก์ ไ็ ด้ กล่าวได้วา่ คุณลกั ษณะและพฤติกรรมของผู้นาจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์หรือเง่ือนไข บางอยา่ งที่เหมาะสม จึงจะบริหารจัดการใหบ้ รรลผุ ลสาเร็จได้ รปู แบบของภาวะผู้นาตามสถานการณ์ 1. ตวั แบบผู้นาตามสถานการณ์ของเฟรด ฟีดเลอร์ (Fiedler’s Contingency Model) ตวั แบบผู้นาตามสถานการณข์ องฟดี เลอร์ มกี รอบแนวคิดที่ว่า ภาวะผู้นาที่ดีอยู่ที่ความเหมาะสม ระหวา่ งแบบของผนู้ า (Leadreship style) กับสถานการณท์ ี่เกิดขึ้น (Situational demans) ฟีดเลอร์เช่ือว่า แบบของผู้นาเป็นส่วนหนงึ่ ของบุคลิกภาพของคน เปล่ียนแปลงได้ยากแทนท่จี ะพยายามหาวิธีการฝึกอบรมให้ ผบู้ รหิ ารเปล่ียนรูปแบบจากการเนน้ งานไปเน้นคน หรือจากเนน้ คนไปเนน้ งาน ควรที่จะหาสถานการณ์ท่ี “ลง ตัว” กับรูปแบบของผู้นาจะทาให้เกิดการใช้รูปแบบภาวะผู้นา(ซึ่งเป็นบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ติดตัวอย่าง ถาวร) ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพสูงสดุ รปู แบบของผ้นู า ฟดี เลอร์ วดั ไดโ้ ดยการใช้เครอ่ื งมือทดสอบท่ีเรียนว่า “แบบทดสอบผู้ร่วมงานท่ี ไม่พึงปรารถนา” (Least Preferred Cowor Scale : LPC Scale) โดยให้ผู้ทาแบบทดสอบอธิบายถึง “ผู้ร่วมงานท่ีชอบทางานด้วยน้อยที่สุด” แล้วให้คะแนนผู้น้ัน ตามตัวเลือกต่างๆ 18 คุณลักษณะ มีระดับ คะแนน 1 – 8 คะแนน LPC จะเป็นตัวบอกว่าผู้ทาแบบทดสอบ มีแนวโน้มเป็นผู้นาแบบเน้นงาน (Task - oriented) หรือเน้นความสัมพันธ์ (relationship - oriented) หากคะแนน LPC สูงจะเป็นผู้นาท่ีเน้น ความสมั พนั ธ์ ถา้ คะแนน LPC ต่าจะเป็นผู้นาท่เี นน้ งาน สถานการณ์ของผู้นา ประกอบด้วยตัวแปร 3 ตัว ซึ่งเป็นตัวควบคุมสถานการณ์ที่สร้างความพึง พอใจหรือไม่แก่ผู้นา ได้แก่ คุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างผู้นากับสมาชิก (Quality of Leader – Member Relations) ระดบั โครงสร้างของงาน (The degree of task structure) และอานาจของผู้นา (Position power) คุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างผู้นากับสมาชิก สามารถวัดได้จากเจตคติของสมาชิก หรือ ผู้ใตบ้ ังคับบัญชาทีม่ ตี อ่ ผูน้ า โดยวดั ความเขม้ ข้นของคณุ ภาพความสัมพันธ์ออกมาเป็น “ดี” หรือ “ไม่ดี” หาก สมาชิกมีความเช่ือถือ เคารพ สนับสนุนผู้นาก็นับว่ามีความสัมพันธ์อยู่ในระดับดี สถานการณ์น่าพึงพอใจ สาหรบั ผูน้ า ระดับโครงสรา้ งของงาน สามารถวดั ได้จากเนอื้ หา ข้ันตอนและเปูาหมายของงานว่ามีความชดั เจน เพียงใด โดยวัดความเข้มเขน้ ของระดับโครงสรา้ งของงานออกมาเป็น “แขง็ ” หรือ “ออ่ น” หากโครงสร้างของ งานมคี วามชัดเจนถอื ว่าโครงสร้างของงานแขง็ จะสถานการณท์ น่ี ่าพงึ พอใจ อานาจของผู้นา สามารถวัดได้จากระดับอานาจหน้าท่ีอย่างเป็นทางการท่ีผู้นามีอิทธิพลเหนือ ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยวัดความเข้มข้นของอานาจผู้นาออกเป็น “มากหรือน้อย” หากผู้นามีอานาจในการ
วางแผน สัง่ การ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลต่อผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชาถอื ไดว้ ่ามอี านาจในตาแหนง่ มาก จะสร้างสถานการณ์ ที่น่าพงึ พอใจสาหรับผู้นา ความสอดคล้องระหว่างสถานการณก์ ับรูปแบบของผนู้ า สถานท่ี 12345678 ตัวแปรทางสถานการณ์ ความสมั พันธร์ ะหว่าง ผนู้ ากับสมาชกิ ดี ดี ดี ดี ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดี ไมด่ ี โครงสร้างของงาน แขง็ แขง็ ออ่ น อ่อน แขง็ แขง็ ออ่ น ออ่ น อานาจผ้นู า มาก น้อย มาก น้อย มาก นอ้ ย มาก นอ้ ย ความนา่ พึงพอใจของสถานการณ์ นา่ พึงพอใจมาก นา่ พงึ พอใจปานกลาง ไม่น่าพงึ พอใจมาก รูปแบบของผนู้ าท่เี หมาะสมกบั สถานการณ์ ตามแบบจาลองของฟีดเลอร์ ได้ผสมผสานตัวแปรทางสถานการณ์ออกมาเป็นสถานการณ์ของ ผู้นา 8 สถานการณ์ ในแต่ละสถานการณ์จะมีระดับความน่าพึงพอใจแตกต่างกัน เช่น สถานการณ์ที 1 ความสัมพนั ธ์ระหว่างผนู้ ากับสมาชิกเปน็ ไปได้ดว้ ยดี โครงสรา้ งของงานแข็งและอานาจของผู้นามีมาก จะเป็น สถานการณ์ท่ีน่าพึงพอใจมากที่สุด ขณะที่สถานการณ์ที่ 8 ความสัมพันธ์ ระหว่างผู้นากับสมาชิกไม่ดี โครงสรา้ งของงานอ่อนและอานาจของผ้นู ามีนอ้ ย จะเป็นสถานการณ์ท่ีไมน่ ่าพงึ พอใจมากทส่ี ดุ ฟดี เลอร์มีความเป็นวา่ สถานการณ์ท่ี 1,2,3 เปน็ สถานการณ์ท่นี า่ พึงพอใจมาก สถานการณท์ ่ี 7,8 เปน็ สถานการณท์ ่ีไมน่ า่ พงึ พอใจมาก รปู แบบของผูน้ าท่สี อดคล้องกบั สถานการณท์ ้ังสองนคี้ ือ ผ้นู าแบบเนน้ งาน (task - oriented) ส่วนสถานการณ์ท่ี 4,5,6 เป็นสถานการณ์ที่น่าพึงพอใจระดับปานกลาง รูปแบบที่ สอดคลอ้ งคือ ผู้นาแบบเน้นความสัมพันธ์ (relationship - oriented ) โดยฟีดเลอร์ให้เหตุผลว่า การท่ีผู้นา เน้นงานเป็นรูปแบบท่ีสอดคล้องกับสถานการณ์ที่น่าพึงพอใจมาก และไม่น่าพึงพอใจมาก เพราะตาม สถานการณท์ ี่นา่ พงึ พอใจมาก คนมีความสมั พนั ธ์ทด่ี ตี อ่ กนั งานมีโครงสร้างชดั เจน ผนู้ ามีอานาจมาก ส่ิงที่ต้อง ทาคือ ผลักดันให้งานบรรลุเปูาหมาย ขณะที่สถานการณ์ท่ีไม่น่าพึงพอใจมาก ความสัมพันธ์ของคนไม่ดี โครงสร้างไมช่ ัดเจน อานาจผู้นานอ้ ย จงึ ตอ้ งสนใจเรือ่ งงานให้มาก เพราะความสัมพันธ์ของผ้นู ากับสมาชิกไม่ดี อยแู่ ลว้ จึงไมต่ ้องสนใจเร่ืองความสัมพันธ์ ส่วนในสถานการณ์ที่มีระดับความน่าพึงพอใจปานกลาง ผู้นาต้อง เนน้ เรื่องความสัมพนั ธก์ ับคน เพราะจะช่วยให้เกิดบรรยากาศท่ีดี ให้เกิดแก่กลุ่ม ช่วยทาให้อานาจของผู้นามี อานาจเพม่ิ ขนึ้ และแกไ้ ขโครงสรา้ งทีไ่ มช่ ัดเจนให้ดาเนนิ งานไปได้
2. ทฤษฎวี ิถที างสเู่ ปูาหมาย (House’s Path – Goal Leadership Theory) ทฤษฎนี เี้ ปน็ ของโรเบิร์ต เจ เฮา้ ส์ ซ่ึงมกี รอบแนวคิดอยู่ท่วี ่า ผู้นาท่ีดีจะต้องช่วยเหลือหรือชี้เส้นทาง(Path) ให้ ผู้ปฏิบัติงานบรรลุเปูาหมายของงาน และเปูาหมายส่วนตัว พฤติกรรมและบทบาทของผู้นาจะต้องสร้าง แรงจูงใจใหเ้ กิดข้ึนกับผู้ร่วมงาน โดยการให้รางวัลท่ีขึ้นอยู่กับผลสาเร็จของงาน อีกประการหนึ่งผู้นาจะต้อง ชว่ ยเหลอื ผู้รว่ มงาน โดยการช้ีนาให้บรรลุเปูาหมายและขจัดอุปสรรคหรือปัญหาให้เรียนรู้ว่าจะต้องทาอะไร อย่างไร จึงจะประสบความสาเร็จ และได้รับผลตอบแทนที่กาหนดไว้ จากกรอบแนวคิดดังกล่าว เฮ้าส์ได้ กาหนดรูปแบบภาวะผู้นาไว้ 4 แบบ คอื 1. ผู้นาแบบส่ังการ (Directive Leadership) ได้แก่ ผู้ทีกาหนดมาตรฐานตารางเวลาในการปฏิบัติงาน กฎระเบยี บ ข้อบังคับไวอ้ ย่างเคร่งครดั และแจ้งให้ผใู้ ต้บงั คบั บัญชาให้ทราบว่า คาดหวังผลงานอะไรจากพวกเขา พฤติกรรมผู้นาแบบนี้จะเป็นไปในลกั ษณะอานาจนยิ ม 2. ผนู้ าแบบสนบั สนนุ (Supportive Leadership) ไดแ้ ก่ ผนู้ าท่เี อาใจใส่ความเปน็ อยู่ และความตอ้ งการสว่ น บุคคลของผู้ใตบ้ ังคับบญั ชา เปน็ เพ่ือนรว่ มงานและดแู ลผู้ใตบ้ ังคบั บัญชาอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน จะทาให้ บรรยากาศของการทางานเป็นท่ีนา่ พงึ พอใจ 3. ผนู้ าแบบร่วมงาน (Participative Leadership) ไดแ้ ก่ ผู้นาท่ีเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมใน การตัดสนิ ใจ ผนู้ าจะปรกึ ษาหารือขอคาเสนอแนะ ความคิดเหน็ ของผู้ปฏิบัติงานมาประกอบการตัดสินใจของ ผนู้ า 4. ผู้นาแบบมงุ่ ความสาเรจ็ ของงาน (Achivemant – oriented Leadership) ได้แก่ ผู้นาท่กี าหนดเปูาหมาย ท้าทายและพยายามให้บรรลุผลสาเร็จ มีการปรับปรุงการทางานอย่างต่อเน่ือง สร้างความคาดหวังสูงต่อ ความสามารถของผใู้ ต้บงั คับบญั ชาใหท้ างานอย่างเตม็ ความรูค้ วามสามารถการใช้รูปแบบภาวะผู้นาตามทฤษฎี นี้ ผูน้ าจะตอ้ งเลือกใชร้ ูปแบบให้สอดคลอ้ งกับสถานการณ์ ซึง่ มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. ปจั จยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ ม (Environment) อันไดแ้ ก่ โครงสร้างของงาน (task - Structure) อานาจหน้าที่ อยา่ งเปน็ ทางการ (formal authority system) และกลมุ่ งาน (Work group) 2. ปจั จยั ที่เกยี่ วขอ้ งกับคณุ ลกั ษณะสว่ นตวั ของผู้ใต้บังคับบัญชา (personal characteristics of follower) ได้แก่ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความสามารถในการทางานให้ประสบความสาเร็จ รูปแบบ ภาวะผนู้ าที่สอดคล้องกบั ปัจจัยสถานการณ์ภายใต้ทฤษฎีนี้ ได้แก่เมื่อโครงสร้างและระบบของงานไม่ชัดเจน คณุ ลักษณะส่วนตัวของผใู้ ต้บังคบั บญั ชาขาดความรู้ ความสามารถ ศักยภาพในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับต่า ควรใช้รูปแบบผู้นาแบบ สั่งการ (Directive Leadership) เพ่ือสร้างความชัดเจนในเร่ืองเปูาหมาย วิธีการ ตลอดจนผลตอบแทนทไี่ ด้รับจากการปฏบิ ตั งิ าน เมอ่ื ลักษณะงานไมน่ า่ พึงพอใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความคับ ข้องใจ ไม่มนั่ ใจในตัวเอง รูปแบบภาวะผ้นู าที่ควรใช้ คือ ผ้นู าแบบสนับสนุน (Supportive Leadership) เมือ่ ผลตอบแทนจากการปฏบิ ัติงานไม่จูงใจต่อผปู้ ฏบิ ตั งิ าน และภารกจิ ไมช่ ดั เจน ผู้นาควรใชร้ ูปแบบภาวะผู้นา แบบร่วมงาน (Participative Leadership) มีการปรึกษาหารือ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการ และร่วมกัน กาหนดผลตอบแทนท่ีเหมาะสมต่อไปเม่ืองานได้ดาเนินการไปตามเปูาหมายแล้ว แต่ต้องการพัฒนางานให้
ก้าวหน้าต่อไป ควรใช้รูปแบบภาวะผู้นาแบบมุ่งความสาเร็จของงาน ( Achivemant – oriented Leadership) เพราะสภาพปัจจัยทางสถานการณ์มีความพร้อมสงู จงึ ควรกาหนดเปูาหมายที่ท้าทาย และต้ัง ความคาดหวังสูง เก่ียวกับผลงานของผูใ้ ต้บงั คบั บัญชา 3. ทฤษฎีความเป็นผู้นาเชิงสถานการณ์ของเฮอร์ซีย์และบลันชาร์ด (Hersey and Blanchard’s Situational Theory) กรอบแนวคิดตามสถานการณ์ของพอล เฮอร์ซีย์(Paul Hersey) และเคน บลันชาร์ด (Ken Blanchard) ได้กล่าวถงึ ผ้นู าท่ปี ระสบความสาเร็จจะตอ้ งปรบั รูปแบบภาวะผู้นาของตนให้สอดคล้องกับความ พรอ้ ม (Readiness) ของผ้ปู ฏิบตั ิงานความพร้อมในที่นห้ี มายถงึ ความสามารถ (ability) และความมุ่งมั่นหรือ ความเต็มใจ (Willingness) ของผู้ปฏิบัติงานในการทางาน ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนจะมี ความพร้อม ในลักษณะท่ีมคี วามแตกต่างกันตามแนวคดิ ของเฮอร์ซรี ์ และบลนั ชาร์ด ไดแ้ บ่งกลุม่ ของผู้ตามหรือ ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชาไว้ 4 กลุ่มดว้ ยกันคอื 1. ผ้ปู ฏิบัติงานทีข่ าดความสามารถและม่งุ ม่นั ในการทางาน (R1) เป็นผู้มีความพร้อมอยู่ในระดับ ตา่ 2. ผปู้ ฏิบตั งิ านท่ขี าดความสามารถแตม่ ีความมุ่งม่ันในการทางาน (R2) พร้อมเป็นผู้มีความอยู่ใน ระดบั ปานกลาง 3. ผูป้ ฏบิ ตั งิ านที่มคี วามสามารถแต่ขาดความมุ่งมนั่ ในการทางาน (R3) พร้อมเป็นผู้มีความอยู่ใน ระดับปานกลาง – สงู 4. ผู้ปฏิบัติงานท่ีมีความสามารถ และมีความมุ่งม่ันในการทางาน เป็นผู้มีความพร้อมอยู่ใน ระดับสงู ตามลกั ษณะความพร้อมของผู้ตามที่แตกต่างกันดังกล่าวน้ี จาเป็นต้องใช้ผู้นาที่มีคุณลักษณะ และพฤตกิ รรมในการทางานทีแ่ ตกต่างกนั จึงเกิดรูปแบบภาวะผ้นู าทีต่ ้องสอดคล้องกับสถานการณ์ คือ ความ พร้อมของผตู้ ามอย่างเหมาะสม คือ 1. ผนู้ าแบบสง่ั งาน (Telling) จะมพี ฤติกรรมท่ีให้ความสาคัญกับผลผลิตมาก ให้ความสาคัญกับ คนน้อย มีการออกคาสั่งใหป้ ฏิบตั ิ และควบคุมการทางานทุกข้ันตอน ซึ่งจะเหมาะกับผู้ตามประเภท R1 ซ่ึงมี ความพร้อมต่า 2. ผู้นาแบบสอนงาน (Selling) ผู้นาแบบน้ีจะมีพฤติกรรมแบบมุ่งงานและมุ่งคน มีการอธิบาย แนะนา เปิดโอกาสใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั ิงานไดซ้ ักถามเกย่ี วกบั ข้นั ตอนในการปฏิบัตงิ าน ซงึ่ จะเหมาะสมกับผู้ตามประเภท R2 เพราะเป็นผู้ท่มี คี วามเต็มใจในการทางาน แต่ขาดความรู้ทกั ษะในการทางาน 3. ผู้นาแบบร่วมงาน (Participating) ผู้นาแบบนี้จะเป็นผู้นาที่ให้ความสาคัญกับคนมาก แต่ให้ ความสาคัญกบั งานนอ้ ย ซ่ึงจะเหมาะสมกบั ความพร้อมผู้ตามประเภทนี้ คือ เขามีความรู้ ความสามรถในการ ทางานมากแต่ขาดความเต็มใจ เพราะผู้นาไมเ่ อาใจใสห่ รอื ให้ความสาคญั บุคคลเหลา่ น้ี คือ ผอู้ าวุโสทั้งหลายใน
หน่วยงานนน่ั เอง พฤตกิ รรมของผนู้ าจะต้องใชก้ ารระดมความคดิ จากกลุ่ม เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มี ส่วนรว่ มในการตัดสนิ ใจ กาหนดวธิ ีการและเปูาหมายของงาน 4. ผ้นู าแบบมอบหมายงาน (Delegating) เปน็ ผ้นู าทม่ี ีพฤติกรรมแบบท่ีให้ความสาคญั กับคนและ งานน้อยทั้งคู่ จะควบคุมดูแลในลักษณะกว้างๆ เพียงกาหนดเปูาหมาย วิสัยทัศน์ขององค์การ ส่วนการ ปฏิบัติงาน การตัดสินใจจะมอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานได้มีอิสระ ในการดาเนินงาน เพราะผู้ตามประเภทนี้มี ความพร้อมทง้ั ความสามารถ และความเต็มใจในการปฏิบตั งิ านอยใู่ นระดบั สูง ผนู้ าแบบรว่ มงาน(Participating) ผู้ปฏบิ ัติงานมีความสามารถแตข่ าดความมุ่งม่ัน (R3) ผู้นาแบบสอนงาน(Selling) ผปู้ ฏบิ ัติงานขาดความสามารถแตม่ คี วามมุง่ มนั่ (R2) ผนู้ าแบบมอบหมายงาน (Delegating) ผปู้ ฏิบตั งิ านมีความสามารถและมี ความมงุ่ มนั่ (R4) ผู้นาแบบส่ังงาน(Telling) ผปู้ ฏิบตั งิ านขาดความสามารถและมี ความมุ่งมน่ั (R3) รูปแบบภาวะผ้นู าของ เฮอรซ์ ีย์ และบลันชาร์ด สรปุ วา่ ความเปลย่ี นแปลงเป็นส่งิ ท่ีไม่สามารถหยุดยั้งได้ สถานศึกษาท่ีเป็นหน่วยแรกๆ ของการ เตรียมคน สร้างคนเพ่ือการอยู่ในความเปล่ียนแปลงดังกล่าวจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่มี ประสิทธิภาพ ข้อมูลที่นาเสนอไปข้างต้นไม่ใช่สูตรสาเร็จสาหรับสถานศึกษา แต่เป็นโจทย์สาหรับผู้บริหาร สถานศึกษาที่จะนาไปสกู่ ารวางแผนการขับเคลื่อนสถานศึกษาสู่ความสาเรจ็ ในการจดั การศึกษาสาหรับผู้เรียน ในศตวรรษที่ 21 ศาสตร์พระราชากบั การพัฒนาสถานศึกษา ศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร ได้นาเขา้ สสู่ ถานศกึ ษาโดยคณะกรรมการศนู ย์ขับเคลอื่ นศาสตรพ์ ระราชาในสถานศึกษากระทรวงศกึ ษาธกิ าร มี การนากระบวนการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษาตัวอย่างเป็นขั้นตอน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ตั้งแต่ข้ันท่ีหนึ่ง การเตรียมความพร้อมของผู้บริหาร ครู นักเรียน ชุมชน และ สภาพแวดล้อมของโรงเรยี น การเตรยี มความพรอ้ มของผูบ้ รหิ ารในการวางนโยบายและแผนปฏิบัติงานในการ บริหารจดั การสถานศึกษา การเตรียมความพร้อมของครูเป็นการบริหารจัดการของผู้บริหารแนะนาให้ครูมี ความรคู้ วามเข้าใจในการนาศาสตรพ์ ระราชาไปปฏิบตั งิ านและปฏบิ ตั ติ นให้ถูกตอ้ ง การเตรียมความพร้อมของ นักเรียน การจัดระบบในการจัดกิจกรรม และการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงการเตรียมความพรอ้ มของชุมชนเป็นการประสานสัมพันธ์กับชุมชนให้มีส่วนร่วมในการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้เพอ่ื เสริมสร้างให้นกั เรยี นและชมุ ชนมกี ารดาเนนิ ชวี ติ อยา่ งพอเพยี ง การเตรียมความพร้อม
ของสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเป็นการเตรียมการบริหารจัดการอาคารสถานท่ีและแหล่งการเรียนรู้ของ สถานศกึ ษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ข้ันท่ีสอง การจัดระบบการเรยี นรู้ การพฒั นาหลกั สตู ร การ กาหนดหน่วยการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีบูรณาการหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงทค่ี านึงถึงหลักความพอประมาณ การมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีท่ีมุ่งให้ ผูเ้ รียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจ และการปฏิบัตติ นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขั้นที่สาม กิจกรรมของ โรงเรียนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่โรงเรียนจัดข้ึนเพ่ือการพัฒนาผู้เรียนโดยการบูรณาการ ศาสตร์ของพระราชาเข้าด้วยกัน เช่น ยุทธศาสตร์พระราชทานหลักองค์ความรู้ 6 มิติ อาจดาเนินการเป็น กิจกรรมชมรม กิจกรรมจิตอาสา รวมท้ังบูรณาการกับรายวิชาท่ีจัดการเรียนการสอน การจัดกิจกรรม แลกเปล่ียนเรียนร้รู ะหวา่ งโรงเรียนด้วยกนั หรอื โรงเรียนกบั ชมุ ชน และมจี ดุ ประสงค์เสริมสร้างคณุ ลักษณะของ การอยูอ่ ย่างพอเพียงใหก้ ับนักเรยี นครอบครวั และชุมชน ขั้นทส่ี ่ี การดาเนินการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนกับการ ประเมนิ คุณลักษณะหรอื อปุ นิสยั อย่อู ยา่ งพอเพียงของผู้บริหาร ครู และบคุ ลากร นักเรยี น และชุมชน เป็นการ เกิดขนึ้ หลงั จากการนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและการบรู ณาการศาสตร์พระราชามาขับเคล่ือนใน สถานศกึ ษา และขนั้ สุดทา้ ย การสร้างเครือข่ายและขยายผล การสร้างเครือข่ายเป็นการขยายผลสู่ภายนอก สถานศึกษา การขยายผลเป็นการที่โรงเรียนเป็นแกนนาทั้งผู้บริหาร ครูและบุคลากร และนักเรียนสามารถ ถ่ายทอดประสบการณ์การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจาวัน นับเป็นการพัฒนา อยา่ งย่งั ยืน จากเอกสารแนวทางการดาเนนิ งานโครงการสถานศกึ ษาน้อมนาศาสตร์พระราชาส่กู ารพัฒนา อย่างยงั่ ยนื กระทรวงศกึ ษาธกิ ารมสี ถานศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธกิ ารไดน้ ้อมนาศาสตรพ์ ระราชาสกู่ ารพัฒนา อยา่ งย่งั ยนื ท้งั ระดบั การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน ระดับอาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย นับไดว้ า่ ศาสตร์พระราชาเปน็ การสรา้ งคนด้วยการศึกษาและการเรียนรู้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว รัชกาล ที่ 9 ทรงริเริ่มก่อตัง้ โรงเรยี นในระบบโรงเรียน ไดแ้ ก่ โรงเรียนวังไกลกงั วล โรงเรยี นราชประชาสมาศัย โรงเรียน ภปร. ราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ พระราชทานนามโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนเจ้าพ่อหลวง อปุ ถัมภ์ โรงเรยี นรม่ เกลา้ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ และการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ได้ทรงริเรม่ิ โครงการต่าง ๆ ทเี่ ก่ยี วกบั การศกึ ษานอกโรงเรียนหลายโครงการ อาทิ จดั ตัง้ ศาลารวมใจ โรงเรียน พระดาบส ศนู ย์การศึกษาการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริ 6 ศูนย์กระจายอยู่ใน 4 ภาคท้ังภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคใต้โรงเรยี นแต่ละระดับไดน้ าศาสตร์พระราชาไปใช้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2546 โดยสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พอ เ พีย ง ใ นก า รน า เ ข้า สู่ ส่วน ก าร ศึ ก ษา ทั้ งใ น ร ะดั บ นโ ย บ าย แ ละ ร ะ ดับ ป ฏิ บัติ ทุ กร ะ ดั บขอ งส ถา นศึ ก ษ า สถาบันการศึกษาจงึ เปน็ จุดเริ่มต้นการนาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ ในปกี ารศึกษา 2556 มีสถานศึกษาพอเพียง 6,818 โรงเรยี น (ประกาศ 21 เมษายน 2557) ในปี พ.ศ. 2557 มีสถานศึกษาแบบอย่างการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้และการบริหารจัดการตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรอื สถานศึกษาพอเพียงจานวน 14,602 โรงเรยี น ศาลนิ า บญุ เกอื้ และนนั ทกาญจน์ ชินประพนั ธ์ ศึกษาเรื่องศาสตร์พระราชาเป็นศาสตรท์ ่พี ฒั นาคนให้ มีการดาเนนิ ชวี ติ ทถ่ี ูกต้อง มงุ่ เน้นให้นกั เรียนเกิดทักษะ กระบวนการคิด กระบวนการวางแผน ค้นหาคาตอบ
ด้วยการฝึกปฏิบัติตามสถานการณ์สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะนิสัยท่ีมีพฤติกรรม สอดคล้องกบั ศาสตรพ์ ระราชา มีการดารงชีวติ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผทู้ จี่ ะจดั การใหเ้ กิดการ พัฒนาคนได้ตามที่กล่าวก็คือครูมืออาชีพ ซ่ึงเป็นผู้จัดการเรียนรู้ จัดกิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ศาสตรพ์ ระราชาใช่ว่าจะสอนให้ครูได้นาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้แต่ศาสตร์พระราชามีพระราชดาริพระบรม ราโชวาท และจากการทรงงานสอนให้ครูต้องพัฒนาตนเองท้ังองค์ความรู้ การปฏิบัติการเรียนการสอน การ ปฏิบัตงิ าน พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพติ รพระผทู้ รงเปน็ “ครูแหง่ แผ่นดิน” เป็นต้นแบบของครู พระองค์ให้ความสาคัญของการเป็นครู งานของครูคืองานพัฒนาคนโดยยึดความสุขของ ผเู้ รียนเป็นทต่ี งั้ ศาสตร์พระราชาสอนใหค้ รพู ัฒนาตนเอง และครตู ้องมศี รัทธาท่แี รงกลา้ เพอ่ื ทาให้เด็กเป็นคนดี คือสิ่งที่สอนและอบรมให้มีองค์ความรู้ มีอุปนิสัยติดตัว (Character Education) 5 ด้าน คือ ศีลธรรม จริยธรรม มารยาท วนิ ยั และวัฒนธรรมเพอื่ ใหค้ นไทยเปน็ ผ้มู ีมรรยาท มีวินัย มีความรับผิดชอบในหน้าที่และ เป็นพลเมืองดีของชาติ โดยการศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การสอน และการอบรม มีพระราชกระแสรับส่ัง สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 เรื่องการศกึ ษาศาสตรพ์ ระราชากบั การพัฒนาผู้สอนพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีความเป็นครูทั้งในสายวิชาการและสายปฏิบัติการอยู่ใน พระองค์ ทรงยอมอุทศิ เวลาและใชส้ ถานทใี่ นพระราชวังสวนจิตรลดาใหเ้ ปน็ พน้ื ท่แี หง่ การศึกษาค้นคว้าทดลอง ทรงเปน็ ครนู กั วิจยั สหวิทยาการท่ีให้ความสาคญั กับงานของครู น่ันคอื การแสวงหาความรู้ท่ีแม่นยาก่อนส่งต่อ องคค์ วามรทู้ ที่ รงคน้ พบไปยงั นกั เรยี นของพระองค์เสมอมา พระองค์ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน จากมูลนิธิรางวัล สมเด็จเจ้าฟูามหาจักรี เป็นต้นแบบของครู พระองค์ให้ความสาคัญของการพัฒนาคนด้วยการศึกษา จาก การศึกษาการทรงงานและจากพระราชดาริ พระราชดารัส และพระบรมราโชวาทในการให้ครูประพฤติและ ปฏิบัติตนตามศาสตร์พระราชา คือเป็นผู้มีความพอเพียงในการดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง มอี งคค์ วามรู้ 6 มิติในการบูรณาการจัดการเรยี นรหู้ รือการจดั กิจกรรม นายุทธวธิ ีตามศาสตรพ์ ระราชา “เข้าใจ เข้าถงึ พฒั นา” มาใชใ้ นการพฒั นาการจัดการเรียน มีการปฏิบัติตนและปฏิบัติงานตามหลักการทรง งาน 23 ข้อ ซึ่งเป็นคุณลกั ษณะทคี่ รคู วรไดป้ ฏบิ ัตติ ามการพฒั นาตนตามศาสตรพ์ ระราชา ประการแรก คอื องค์ ความร้จู ากการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั รชั กาลท่ี 9 เปน็ ตน้ แบบของผ้ไู ม่หยุดการเรียนรู้ ดัง พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ วนั ท่ี 22 มกราคม 2517 “....ในการปฏบิ ตั งิ านใด ๆ ผู้ปฏิบตั จิ ะตอ้ งทราบ ต้องเขา้ ใจแจม่ แจง้ ถงึ ปญั ญาและวิชาความรู้ ทัง้ ปวงอันเก่ียวขอ้ งกบั ชีวิตมนษุ ยอ์ ยา่ งทวั่ ถงึ จงึ จะสามารถนาทฤษฎีมาดัดแปลงใช้ให้เหมาะกับ สภาพการณ์และสามารถจะเลอื กแนวทางการปฏิบัติใหเ้ กดิ ผลมากทสี่ ุดได้....” การพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความรอบรู้แจ้งนั้นศาสตร์พระราชาสอนให้เป็นผู้มีปัญญา ฉลาดรู้ดังพระบรม ราโชวาทในพิธปี ระสาทปริญญาบตั รและอนปุ รญิ ญาบัตรมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วันท่ี 16 กรกฎาคม 2537 “...นอกจากวิทยาการทด่ี ีแลว้ อย่างหน่ึงจะต้องอาศัยความถูกต้องเที่ยงตรงและความสะอาด สุจริต ซึ่งต้อง เป็นไปพรอ้ มท้งั ในความคดิ และการกกระทาอยา่ งหนงึ่ จะต้องอาศัยความมีปัญญาคือความฉลาดรู้ท่ัว รู้จริงใน เหตใุ นผลและในความเจริญความเสอื่ ม อีกอย่างหน่ึงจะต้องอาศัยความขยันหม่ันปฏิบัติด้วยความเอาใจและ
ความเพ่งนินจิ ไมป่ ระกอบกิจการงานดว้ ยความประมาทหละหลวมและโดยประการสาคัญจะต้องอาศัยความ เสร็จสมบูรณค์ วามพอเหมาะพอดใี นการปฏิบัติงานท้งั ปวงด้วย...” จากศาสตร์พระราชาสอนให้ครูได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยและการประพฤติปฏิบัติตน จากการศึกษาศาสตร์ พระราชามคี ุณสมบตั ดิ า้ นคุณธรรมของครูในการปฏบิ ัตติ น ได้แก่ 1) ตอ้ งมีความรคู้ ่คู ณุ ธรรม 2) มีปัญญาฉลาด รู้ 3) มคี วามเข้มแข็งสอู้ ปุ สรรค 4) มีวินัยในความคิด 5) มีความสุจริตคิดดี6) มีศรัทธาเชื่อมั่นในความดี 7) มี ความกตญั ญูกตเวที 8) มคี วามเพยี ร อดทนในความดี 9) มีไมตรจี ิตมติ รภาพ คุณลักษณะทั้ง 9 ข้อน้รี วบรวมมา จากพระราชดารแิ ละพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ เดช บรมนาถบพิตร ที่ พระราชทานแกป่ วงชนชาวไทยมาโดยตลอด ส่งผลต่อ “ครู” ถ้านาไปปฏิบัติสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตของ ศิษย์ให้ได้ตามความมุ่งหมายการพัฒนาการเรียนการสอนของครู จากศาสตร์พระราชาในยุทธศาสตร์ พระราชทาน “เข้าใจ เขา้ ถงึ พัฒนา” หากศกึ ษาจากการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 9 ทที่ รงงานการสอนหรอื ช้แี นะใหผ้ เู้ รยี นได้ศึกษาจากการปฏิบัตภิ ายหลงั การใหอ้ งค์ความรู้ เปน็ การสอนแบบเนน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคัญ สอนให้คิดแก้ปัญหาโดยการวิเคราะห์จากสาเหตุเชิงการวิจัย มีการทดลองโดยการศึกษา แนวทางวิธกี ารจากทฤษฎีแล้วนามาแก้ปญั หา ศึกษาผล และการปฏิบตั ิโครงการและกิจกรรมตา่ ง ๆ ตอ้ งมกี าร เข้าใจ เข้าถึง พฒั นา นน่ั คอื ก่อนทาโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ต้องมีการสอนให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลต่าง ๆ กอ่ นโดยใช้ข้อมลู ทีม่ ีอยแู่ ลว้ ตามสภาพของผเู้ รยี น มกี ารวเิ คราะห์และวจิ ัย การให้ปฏิบัติเพ่ือให้เกิดผลลัพธ์จน เกิดการเรียนรู้ การเข้าถงึ เปน็ การจัดการเรยี นรหู้ รือจดั กิจกรรมทเี่ ปน็ ความต้องการของผเู้ รียน เห็นความสาคัญ ของการเรียนร้เู รือ่ งน้นั ๆ กอ่ นเพอื่ ให้ผเู้ รียนไดม้ ีความมุ่งหมายหรือต้ังความมุ่งหมายของการปฏิบัติงาน การ พัฒนาคนตามพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงเน้นให้เห็นความ ต้องการของกลุ่มเปูาหมายท่ีจะเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนได้ต้ังใจเรียน ในการถ่ายทอดความรู้ของพระองค์ ทรง ประทานให้ผู้เรียนเกดิ แรงบนั ดาลใจในการใฝุรใู้ ฝเุ รยี น อานนท์ ศักด์ิวรวิชญ์กล่าวว่าทาให้มีความคิดวิเคราะห์ ขึ้นในด้านการจัดทาหลักสูตร/หน่วยการเรียนรู้ทีมีการบูรณาการศาสตร์พระราชาในการจัดการเรียนรู้และ กิจกรรม/โครงการต่าง ๆ การสร้างนวัตกรรมสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัย จากการศึกษาศาสตร์พระราชา พบว่าเปน็ สอนใหค้ รไู ดแ้ นวทางในการพฒั นาตนเองให้เป็นผูม้ คี วามรอบรู้ มีเทคนิควธิ กี ารหลากหลาย สอนใหร้ ู้ วิธีการสอน ดงั พระราชดารัสทร่ี ับสงั่ กับนสิ ิตจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย เม่ือวนั ที่ 11 กรกฎาคม 2523 ว่า “....ในการสร้างความเจรญิ ก้าวหนา้ นี้ ควรอย่างย่งิ ที่จะคอยเสริมทีละเลก็ ละน้อยตามลาดับ ให้เปน็ การนาไปพจิ ารณาไปและปรบั ปรุงไป ไม่ทาดว้ ยอาการเร่งรีบตามความกระหายที่จะสรา้ ง ของใหม่ เพราะความจรงิ สงิ่ ท่ใี หม่แท้ ๆ นั้นไมม่ ี สิ่งใหมท่ งั้ ปวงยอ่ มสบื เนือ่ งมาจากส่งิ เกา่ และตอ่ ไป ยอ่ มจะกลายเป็นส่งิ เก่า....” ศาสตรพ์ ระราชาเป็นศาสตรท์ ่ีครอู าจารย์นามาปฏิบัติตามอย่างแน่วแน่และแท้จริงจะได้ทั้งการพัฒนาตนเอง พัฒนาคุณลักษณะนิสัยของความเป็นครู พัฒนาการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมท่ีได้จาก การศึกษาการทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว รชั กาลที่ 9 ศาสตร์พระราชากบั การพัฒนาผเู้ รียน
การศกึ ษาเล่าเรียนของผู้เรียนในแต่ละระดบั ตงั้ แตร่ ะดบั ปฐมวัย ระดบั การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานระดับ อาชีวศึกษา ระดับอดุ มศึกษา ระดับผ้ปู ระกอบอาชพี และระดับของผ้สู ูงอายุจะมีเปาู หมายที่แตกตา่ งกนั ชตุ ิมา วัฒนะคีรี กล่าวว่าเบื้องต้นของการศึกษาทุกระดับได้น้อมนาศาสตร์พระราชาไปบูรณาการการสอนหรือทา กิจกรรม ผลลัพธ์ทีเ่ กดิ ขึน้ คอื ผเู้ รยี นมเี หตผุ ล ไม่ประมาท มีการคดิ วเิ คราะห์แก้ปญั หาและนาไปดาเนนิ ชีวิตได้ นั้นคือพืน้ ฐานที่สาคัญต่อการดารงชวี ิตตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี งมีการวางแผนในการดารงชีวิต มีจดุ มงุ่ หมาย การปฏิบัติตนในการดารงชวี ิตตามปัจจยั สี่อย่างพอเพยี ง มเี หตุผลในการกระทาสามารถควบคุมรายรับรายจา่ ย ของตนเองตามความเป็นจริงต้องระงับการใช้จ่ายที่เกินความจาเป็น มีความรู้และสติปัญญาตามระดับของ บุคคลตามชว่ งวัยต้องวิเคราะห์ปัญหาไดแ้ กป้ ญั หาได้ มีการปรบั เปล่ียนไปในทางท่ีดีไม่ยึดติดกับส่ิงที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม คิดค้นวิธีการในการพัฒนาตนเองในทางท่ีถูกต้อง มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองในการใช้ ทรัพยากรของตนเองและของชาตอิ ยา่ งถูกตอ้ งทยี่ ึดหลกั องค์ความรู้ 6 มติ ิ มีจติ สานกึ รักธรรมชาต/ิ สิ่งแวดล้อม อยรู่ ่วมกับผู้อ่ืนอย่างช่วยเหลือกันไม่เบียดเบียนกัน มีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของวัฒนธรรม ค่านิยม เอกลกั ษณ์ของความเป็นไทย ในระดบั การศกึ ษาระดับอาชีวศกึ ษาและระดับอดุ มศึกษา ตอ้ งมกี ารจัดการศกึ ษา ท่ีเป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของผู้เรียนในสาขาวิชาชีพในการสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างสรรค์อาชีพ ดารงชีพ พอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข สถานศึกษามีแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือดาเนินการโครงการการสร้าง อาชพี มีการทาบญั ชกี าไร-ขาดทุน รายรบั -รายจ่ายมกี ารศกึ ษาค้นคว้าวิจยั ปฏิบตั ิ การสรา้ งเครอื ข่ายกบั ชุมชน พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท และการทรงงานท่ีแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นอกจากมีสติปัญญา ความสามารถแล้ว ยังต้ องมีคุณธรรม จรยิ ธรรม ดงั พระราชดารสั พระราชทานแกค่ รอู าวุโส วันท่ี 29 ตุลาคม 2522 จะเห็นได้ว่าความมุ่งหมายของ การจัดการศึกษาทุกระดับของประชาชนน้ันมีองค์ประกอบสาคัญทั้งด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) ด้านจติ พิสยั (Affective Domain) และด้านการปฏิบตั ิ (Performance) เขา้ ใจ เข้าถึง พฒั นา เป็นวธิ กี ารแหง่ ศาสตรพ์ ระราชาเพอื่ การพฒั นาท่ยี ง่ั ยนื ทีพ่ ระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดชทรงใช้เป็นวิธีการทรงงานมาตลอดรชั สมัยสรปุ วธิ ีการแห่งศาสตร์พระราชาเขา้ ใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ดังนี้ 1. เข้าใจ (Understanding) น้นั ประกอบด้วยองคป์ ระกอบย่อย 4 องค์ประกอบ คือ 1.1 การใชข้ ้อมูลที่มอี ยู่ (Existing data) 1.2 การใช้ข้อมลู เชิงประจกั ษ์ (Empirical data) 1.3 การวเิ คราะห์และวิจยั (Analytics and Research) และ 1.4 การทดลองจนไดผลจรงิ (Experiment till actionable results) 2. เขา้ ถงึ (Connecting) นั้นประกอบดว้ ยองค์ประกอบย่อย 3 องค์ประกอบ คอื 2.1 ระเบิดจากข้างใน (Inside-out blasting) 2.2 เขา้ ใจกลุ่มเปาู หมาย (Understand target) 2.3 สร้างปญั ญา (Educate)
3. พัฒนา ( Development ) แนวพระราชดาริในการพัฒนานั้นเมือ่ ทรงเข้าใจ เขา้ ถึง แล้วจึงพฒั นานั้นทรงมหี ลกั การสาคัญคือ 3.1 เรม่ิ ดว้ ยตนเอง (Self-initiated) 3.2 พึง่ พาตนเองได (Self-reliance) 3.3 ตน้ แบบเผยแพรความรู(Prototype and role model) จากการสงั เคราะห์ทฤษฎี การนิเทศแบบ Co - 5 Step สคู วามสาเรจ็ ในการจดั การเรียนรดู ้วยกระบวนการเรยี นรู้ 5 ขัน้ ตอนหรอื 5 STEPs มขี น้ั ตอนการดาเนินการ ดงั นี้ ระยะท่ี 1 ชวนทา ขั้นท่ี 1 รว่ มสรา้ งแรงจงู ใจ (Co - Motivation)เป็นการกาหนดเปูาหมายการพัฒนาร่วมกับผู้นิเทศ ซ่ึงในการ นเิ ทศครัง้ น้ี เปาู หมายคอื ครูมีความรู้ และทักษะการจัดการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน หรือ 5 STEPs ไดอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้นักเรียนมีความรู้ ทักษะและเจตคติสูงข้ึนและมีระบบการบริหาร จดั การขับเคลือ่ นคุณธรรมโดยไดดาเนนิ การ ดังน้ี 1.1 จดั ประชมุ ช้แี จง 1 ครง้ั โดยดาเนินกิจกรรม ดงั น้ี - วางแผนสร้างขอ้ ตกลงรว่ มกนั ในการนิเทศ - จัดกล่มุ ผู้รับการนเิ ทศใหอ้ ยใู่ นความดูแลของพเี่ ล้ียงวชิ าการ(ศึกษานเิ ทศกและผ้อู านวยการโรงเรยี น)เป็นกลุ่ม เพ่ือให้พ่ีเล้ียง(ศึกษานิเทศกและผู้อานวยการโรงเรียน)และผู้รับการนิเทศไดทาความรูจักกัน โดยใช้หลัก กัลยาณมิตรนเิ ทศ - จัดทาเคร่ืองมือนิเทศ - กาหนดปฏิทนิ การนิเทศ ระยะท่ี 2 นอมนาศาสตร์พระราชา ข้ันท่ี 2 ร่วมสร้างความเข้าใจ (Co - Understanding)เป็นการนิเทศโดยน้อมนาวิธีการทรงงานของ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมาประยุกต์ใช้ในการนิเทศ ดงั นี้ 2.1 อบรมปฏิบตั กิ ารสรา้ งความเขา้ ใจในศาสตร์การสอนการจัดการเรียนรูกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนหรือ 5 STEPs ให้กับครูผู้สอน เชน่ แนวการจัดการเรยี นรูวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การจดั การเรยี นรภู้ าษาไทย และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ปฐมวัย ด้วยการจัดการเรียนรูกระบวนการ เรยี นรู้ 5 ข้นั ตอนหรอื 5 STEPs ใชค้ าถามปลายเปดิ เป็นต้น 2.2 ครไู ดฝึกปฏบิ ตั จิ ริงในห้องเรยี น 2.3 แลกเปล่ียนเรียนรูภายในกลมุ่ ยอ่ ย ข้ันที่ 3 ร่วมสร้างความสัมพันธ์อย่างเข้าถึง (Co – Connecting)เป็นการกระตุ้นให้ผู้รับการนิเทศตองการ พัฒนาตนเองอย่างจรงิ จัง โดยดาเนนิ การดงั นี้
3.1 พ่ีเล้ียงวชิ าการ(ศกึ ษานิเทศกและผอู้ านวยการโรงเรยี น) ท่ีประจากลมุ่ จะต้องวิเคราะหป์ ัญหา ของผู้รบั การนเิ ทศกลมุ่ ท่ีตนรบั ผดิ ชอบและหาทางช่วยเหลอื แนะนา 3.2 ลงพน้ื ที่ปฏบิ ัตกิ ารช่วยเหลือครูในการเตรียมการจดั ประสบการณ์หรอื การจัดการเรียนรู้ตงั้ แต่ การทาแผนการจัดการเรียนรู้ การเตรียมส่ือ การทดลอง แนะนาการจัดการเรียนรู้ การใช้คาถาม ฝึกการ ทดลองสอน โดยการแนะนาช่วยเหลอื ของพเี่ ลยี้ งวิชาการ(ศึกษานิเทศกและผอู้ านวยการโรงเรียน) 3.3 ศึกษา ดูงานการจัดการเรียนรูของพี่เล้ียงวิชาการ(ศึกษานิเทศกและผู้อานวยการโรงเรียน) และทา PLC ในกลุ่มยอ่ ย ขนั้ ที่ 4 รว่ มพฒั นา ( Co –Development )ในขนั้ น้ีเปน็ การให้ผรู้ บั การนเิ ทศนาความรูไปปฏิบตั จิ รงิ ดังน้ี 4.1 สงั เกตการจัดการเรยี นรู ครั้งที่ 1 โดยพเี่ ลยี้ งวิชาการ(ศึกษานิเทศกและผู้อานวยการโรงเรียน) ครูผ้สู อนกลมุ่ ยอ่ ยและศกึ ษานิเทศก เป็นผู้เช่ยี วชาญจากภายนอก - สังเกตช้นั เรยี น - วิพากย์การจัดประสบการณ์หรือการจัดการเรยี นรู้ - ปรบั ปรงุ การจดั ประสบการณ์หรอื การจัดการเรยี นรู้ 4.2 สังเกตการจดั ประสบการณการเรียนรูหรือการจัดการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 โรงเรียนเดิม (เพื่อดู ความก้าวหน้า) โดยพี่ล้ียงวิชาการ(ศึกษานิเทศกและผู้อานวยการโรงเรียน) ครูผู้สอนในกลุ่มย่อยและ ศกึ ษานเิ ทศก เป็นผู้เช่ยี วชาญจากภายนอก - สังเกตชนั้ เรยี น - วิพากย์การจดั ประสบการณหรอื การจัดการเรยี นรู้ - ปรบั ปรงุ การจัดประสบการณหรือการจัดการเรียนรู้ 4.3 นิเทศผา่ นระบบไลน์กลุ่ม \"OBEC watpunoi school\" และประชุมทกุ สัปดาห์ ถามตอบ การ แนะนาให้คาปรกึ ษาโดยศึกษานเิ ทศกและผู้อานวยการโรงเรียน จนครบกาหนด 4 สปั ดาห์ 4.4 ประชมุ ในกลุม่ ยอ่ ยเพอ่ื ทา PLC แตล่ ะครงั้ แตล่ ะกล่มุ จะมีศกึ ษานิเทศก เป็นผู้เช่ียวชาญคอย เสริมเติมเต็มจากผู้อานวยการโรงเรยี น และศึกษานิเทศก์ ระยะท่ี 3 พาภาคภมู ิใจ ข้ันที่ 5 ร่วมภาคภูมิใจ ( Co – Proudly ) เม่ือการนิเทศครบกาหนด 4 สัปดาห์จะเป็นการประชุมผู้รับการ นเิ ทศในกล่มุ เปาู หมายและครูผสู้ อนในโครงการ จานวน 4 คน พรอมดว้ ยพเ่ี ลี้ยงวชิ าการ(ผอู้ านวยการโรงเรียน 1 คน ศึกษานิเทศก์ จานวน 1 คน) จานวน 2 คน โดยดาเนนิ กิจกรรม ดังนี้ 5.1 ถอดบทเรยี น โดยครูผสู้ อน ผู้บรหิ ารโรงเรียนและศึกษานิเทศกเพ่ือค้นหาวิธีปฏิบัติที่ดี และ กาหนดการนเิ ทศอยา่ งต่อเนื่อง 5.2 เผยแพรผลงาน นาวิธีปฏิบัติที่ดี ไปเผยแพร่ทาง Internet เว็ปไซตของเขตพ้ืนท่ีการศึกษา โรงเรยี นในสงั กดั และตา่ งสงั กดั 5.3 สรา้ งขวญั และกาลังใจ โดยการยกย่องเชิดชูเกยี รติในการประชุมพัฒนา
ประสทิ ธิภาพผู้บริหารสถานศึกษาและบคุ ลากรทางการศึกษา มอบเกียรติบตั รเพ่อื เป็นขวญั และ กาลงั ใจ สนับสนนุ สง่ เสรมิ การจดั ทาเอกสารนวตั กรรมการบริหารและการจัดการเรยี นรู้ ๘. กระบวนการการเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน การปฏิรูปการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 หวังท่ีจะพัฒนาเด็กไทยและคนไทยให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอด ชวี ิตอยา่ งมีคุณภาพ ดงั นัน้ การจัดการเรียนรู้ของครู จึงต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตร และการจัดการเรียนรู้ที่ เนน้ เดก็ เป็นศูนยก์ ลาง ซึ่งเปน็ ท่มี าของคาว่า “กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน หรือ 5 STEPs”ซึ่งเป็นแนวการ จดั การเรยี นการสอนโดยใชว้ ธิ ีการสืบสอบหรอื วธิ ีสอนแบบโครงงาน ประกอบดว้ ย \"การต้งั คาถาม การแสวงหา สารสนเทศ การสร้างความรู้ การส่อื สาร และการตอบแทนสังคม\" ข้ันตอนที่ 1 การเรียนรู้ต้ังคาถาม หรือข้ันต้ังคาถามเป็นที่ให้นักเรียนฝึกสังเกตสถานการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ จนเกิดความสงสยั จากนัน้ ฝกึ ให้เด็กตั้งคาถามสาคัญ รวมท้งั การคาดคะเนคาตอบ ดว้ ยการ สืบคน้ ความรู้จากแหลง่ ต่างๆ และสรปุ คาตอบชว่ั คราว ขั้นตอนท่ี 2 การเรยี นรู้แสวงหาสารสนเทศเป็นข้ันตอนการออกแบบ/วางแผนเพอื่ รวบรวมข้อมลู สารสนเทศ จากแหลง่ เรียนรู้ตา่ งๆ รวมทัง้ การทดลองเปน็ ขน้ั ที่เด็กใชห้ ลกั การนริ ภัย (Deduction reasoning) เพื่อการออกแบบขอ้ มลู ขั้นตอนที่ 3 การเรยี นรู้เพอื่ สร้างองค์ความรู้ เปน็ ขน้ั ตอนท่เี ด็กมีการคดิ วเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ การสื่อความหมายข้อมูลด้วยแบบต่างๆ หรอื ดว้ ยผงั กราฟกิ การแปรผล จนถึงการสรุปผล หรือการสร้างคาอธิบาย เป็นการสร้างองค์ความรู้ ซ่ึงเป็น แก่นความร้ปู ระเภท 1. ขอ้ เทจ็ จรงิ 2. คานิยาม 3. มโนทัศน์ 4. หลักการ 5. กฎ 6. ทฤษฏี ขั้นตอนท่ี 4 การเรียนรเู้ พือ่ การสอื่ สารคอื ขนั้ นาเสนอความรู้ด้วยการมใช้ภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน และเปน็ ทเี่ ข้าใจ อาจเปน็ การนาเสนอภาษา และนาเสนอด้วยวาจา ข้ันตอนที่ 5 การเรยี นรเู้ พอื่ ตอบแทนสงั คม เปน็ ขัน้ ตอนการฝกึ เดก็ ใหน้ าความรูท้ ีเ่ ข้าใจ นาการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพ่ือส่วนรวม หรือเห็นต่อประโยชน์ ส่วนรวมด้วยการทางานเป็นกลุ่ม ร่วมสร้างผลงานที่ได้จากการแก้ปัญหาสังคมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งอาจเป็น ความรู้ แนวทางสิ่งประดษิ ฐ์ ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของ การเก้ือกลู และแบ่งปันใหส้ งั คมมสี นั ติอย่างย่งั ยนื เพื่อใหน้ กั เรยี นมคี วามสามารถพน้ื ฐานเบื้องต้นสาคญั ทใ่ี ชใ้ นการเรยี นรู้ 3 ด้าน คือ
ความสามารถดา้ นภาษา (Literacy) ความสามารถดา้ นคานวณ (Numeracy) ความสามารถดา้ นเหตผุ ล (Reasoning ability) 1)เรียนรูก้ ารต้ังคาถาม สงสยั ใคร่รู้ (Learning to Question :Q) ใช้เทคนคิ 5 w 1 H Who ใคร (ในเร่ืองน้ันมใี ครบ้าง) What ทาอะไร (แตล่ ะคนทาอะไรบา้ ง) Where ทไ่ี หน (เหตุการณห์ รือสิ่งท่ีทานั้นอยทู่ ีไ่ หน) When เมอ่ื ไหร่ (เหตุการณห์ รอื สงิ่ ทที่ าน้ันทาเมื่อวนั เดือน ปี ใด) Why ทาไม (เหตใุ ดจึงไดท้ าสง่ิ น้ัน หรอื เกิดเหตกุ ารณน์ ัน้ ๆ) How อย่างไร (เหตุการณห์ รอื สิง่ ทที่ าน้ันทาเป็นอย่างไรบา้ ง) 2) เรยี นรกู้ ารแสวงหาสารสนเทศ สบื เสาะ ค้นควา้ (Learning to Search : S) - องคก์ รท่จี ดั ใหบ้ รกิ ารสารสนเทศแก่ผ้ใู ช้โดยตรง เชน่ ห้องสมุด, พพิ ธิ ภัณฑ์, หอจดหมายเหต,ุ และหอศลิ ป์ - แหล่งอ่นื ทไี่ มไ่ ดบ้ ริการโดยตรง เชน่ บคุ คล สถานที่ เหตุการณ์ -แหลง่ สบื คน้ Online เช่น อนิ เตอรเ์ น็ต 3) เรยี นรเู้ พอ่ื สรา้ งองค์ความรู้ สรุป (Learning to Construct : C ) 3.1 แหลง่ กาเนดิ ขององคค์ วามรู้ - ความรู้ทีไ่ ด้รบั การถา่ ยทอดจากบุคคลอ่ืน - ความรเู้ กิดจากประสบการณก์ ารทางาน - ความรูท้ ่ไี ด้จากการวจิ ัยทดลอง - ความรู้จากการประดิษฐ์คิดคน้ สงิ่ ใหม่ ๆ - ความรทู้ ีม่ ปี รากฏอยใู่ นแหลง่ ความร้ภู ายนอกโรงเรียนและนกั เรยี นไดน้ ามาใช้ 4) เรียนรเู้ พ่ือการส่อื สารสอ่ื สาร สมั พนั ธ์ (Learning to Communicate : C) 1. การนาเสนอขอ้ มลู โดยรายงานวิจัย /บทความ ( Text Presentation) 2. การนาเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation ) 3.การนาเสนอดว้ ยกราฟหรอื แผนภมู ิ ( Graphical Presentation ) 4. การนาเสนอดว้ ยวาจา 5. การนาเสนอคลงั ความรู้ KM ในเว็บไซต์ 5). เรยี นรู้เพือ่ ตอบแทนสงั คม การให้บริการ (Serve : S) 1. มนุษยม์ รี ูปแบบการเรียนร้ทู แี่ ตกตา่ งกนั ผสู้ อนจงึ ตอ้ งใชว้ ิธีการสอนทหี่ ลากหลายการพร้อมรบั การเปล่ยี นแปลงทจ่ี ะเกดิ ขึ้น เพอ่ื ปรบั ตนเองในปัจจุบนั ใหพ้ ร้อมรบั กับส่ิงทจ่ี ะตามมาในอนาคตความเช่ือ
2. ผ้เู รียนควรเปน็ ผูก้ าหนดองคค์ วามร้ขู องตนเอง ไม่ใชน่ าความรู้ไปใสส่ มองผเู้ รียน แล้วใหผ้ เู้ รียน ดาเนินรอยตามผสู้ อน 3. โลกยุคใหมต่ ้องการผเู้ รยี นซง่ึ มวี ินัย มีพฤตกิ รรมทร่ี จู้ กั ยืดหยุ่น หรอื ปรบั เปลี่ยนให้เขา้ กบั สถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม 4. เน่ืองจากขอ้ มลู ข่าวสารในโลกจะทวเี พมิ่ ข้ึนเปน็ 2 เทา่ ทกุ ๆ 10 ปี โรงเรยี นจงึ ต้องใชว้ ิธีสอนท่ี หลากหลาย โดยให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรใู้ นรปู แบบตา่ งๆ กนั 5. ให้ใชก้ ฎเหลก็ ของการศึกษาทีว่ า่ “ระบบทเ่ี ขม้ งวดจะผลติ คนทเ่ี ข้มงวด” และ “ระบบท่ี ยดื หยุน่ ก็จะผลิตคนท่ีรจู้ ักการยดื หยุ่น” 6. สังคม หรือชุมชนท่มี ่งั คง่ั ร่ารวยด้วยขอ้ มลู ข่าวสาร ทาใหก้ ารเรยี นรสู้ ามารถเกิดขนึ้ ได้ใน หลายๆ สถานท่ีการพร้อมรบั การเปล่ยี นแปลงที่จะเกิดขึน้ เพอ่ื ปรบั ตนเองในปจั จบุ ัน ให้พรอ้ มรบั กบั สง่ิ ทจี่ ะ ตามมาในอนาคตความเชอ่ื 7. การเรียนรู้แบบเจาะลกึ (deep learning) มคี วามจาเป็นมากกวา่ การเรียนรู้แบบผิวเผิน 8.การสอนทจี่ ัดวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพ ตอ้ งการครทู ี่มีคุณสมบตั ิมากกว่าการเป็นผทู้ าหนา้ ทสี่ อน 9. การศกึ ษาเลา่ เรียนในโรงเรยี น (schooling) กับ การศึกษา (education) อาจไมใ่ ช่เรือ่ ง เดียวกนั 10. โลกอนาคตจะใหค้ วามสาคัญกบั การจดั การศกึ ษาทบี่ ้าน (Home – based education) มาก ข้ึน
บทท่ี 3 การผลติ และการใชน้ วตั กรรม การศกึ ษารูปแบบการบริหารจัดการวิถีการสร้างสุภาพชนคนคุณภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) เป็นหนง่ึ วธิ กี ารพัฒนาทง้ั บคุ ลากรครแู ละนกั เรียนให้มีความสามารถ ความรู้ ทักษะและเจต คตทิ ีส่ ามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดใี นอนาคต การศกึ ษารูปแบบการบริหารจัดการวิถีสร้างสุภาพชนคนคุณภาพพุ นอ้ ย (DSCUPP model to co 5 steps) มีวตั ถปุ ระสงค์ 6 ประการดงั นี้ 1.เพือ่ พัฒนาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาสายงานการสอนให้มีความรู้ เร่อื งกระบวนการเรียนรู้ 5 ขนั้ ตอน (co 5 steps) 2.เพ่ือพฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาสายงานการสอนใหม้ ที กั ษะการสอนด้วยกระบวนการ เรยี นรู้ 5 ข้นั ตอน (co 5 steps) 3.เพื่อใหน้ ักเรยี นมคี วามรูด้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน (co 5 steps) 4.เพ่ือให้นกั เรียนมที ักษะการเรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขัน้ ตอน (co 5 steps) 5.เพ่ือใหน้ กั เรียนมีเจตคตติ ่อการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (co 5 steps) 6.เพอ่ื ให้มรี ะบบบริหารจัดการขบั เคล่ือนคณุ ธรรมโรงเรียนวัดพนุ ้อย ขอบเขตการศึกษา การบริหารตามสถานการณ์ (Situational Management) ศาสตร์พระราชา การจดั การแบบวิถที าง – เปา้ หมาย (Path – Goal Management) ความภาคภูมใิ จ (Proudly) ประชากร ครู จานวน 4 คน นกั เรียนจานวน 74 คน ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรียนวัดพุน้อย เครือข่ายพัฒนา คุณภาพการศึกษาบ้านเกา่ อาเภอเมืองกาญจนบรุ ี จังหวดั กาญจนบรุ ี การผลิตนวัตกรรม จากการศึกษาสภาพปัญหาในองคก์ รทัง้ ระบบบรหิ ารจดั การ การจัดการเรียนรู้ ศักยภาพบุคลากร รวมท้ังคุณภาพนักเรียน ดังที่กล่าวมาแล้วในความเป็นมาและความสาคัญ ซึ่งปัญหาของโรงเรียนท่ีสาคัญ จาเป็น ดงั นนั้ ต้องไดร้ บั การแกไ้ ขอย่างทนั ที โดยศกึ ษาเอกสาร แนวโน้มการจัดการศึกษา ทักษะในศตวรรษที่ 21 คุณลักษณะของคนในแต่ละช่วงวัย เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การบริหารตามสถานการณ์ (Situational Management) ศาสตร์พระราชา การจัดการแบบวิถีทาง – เป้าหมาย (Path – Goal Management) และ ความภาคภูมใิ จ (Proudly) สรุปหลกั การไดด้ ังนี้ 1. การบรหิ ารตามสถานการณ์ (Situational Management) 1.1 แบบกากับ (telling)
1.2 แบบมสี ่วนร่วม (participating) 1.3 แบบขายความคดิ (selling) 1.4 แบบมอบอานาจ (delegating) 2. ความเข้าใจ (Understanding) 2.1 การใช้ข้อมลู ท่ีมอี ยู่ (Existing data) 2.2 การใช้ข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical data) 2.3 การวเิ คราะห์และวจิ ัย (Analytics and Research) และ 2.4 การทดลองจนไดผลจรงิ (Experiment till actionable results) 3. การเขา้ ถงึ (Connecting) 3.1 ระเบิดจากข้างใน (Inside-out blasting) 3.2 เขา้ ใจกลุม่ เปา้ หมาย (Understand target) 3.3 สร้างปญั ญา (Educate) 4. การพัฒนา ( Development ) 4.1 เริม่ ด้วยตนเอง (Self-initiated) 4.2 พงึ่ พาตนเองได Self-reliance) 4.3 ตน้ แบบเผยแพรความรู Prototype and role model) 5. การบรหิ ารแบบบวถิ ีทาง – เป้าหมาย (Path – Goal Management) 5.1 พฤตกิ รรมผ้นู า (Leader behaviors) 5.2 คุณลกั ษณะสว่ นบคุ คลของผู้ใต้บงั คบั บญั ชา (Subordinate characteristics) 5.3 คุณลกั ษณะของงาน (Task characteristics) 5.4 การจงู ใจ (Motivation) 6. ความภาคภมู ิใจ (Proudly) จากการศกึ ษา วเิ คราะห์ สังเคราะห์ทาให้ศึกษารูปแบบการบริหารจัดการวิถีสร้างสุภาพชนคน คุณภาพพุน้อย (DSCUPP model to co 5 steps) โดยรวบรวมหลักจากแนวคิด หลักการและทฤษฎี ดังนี้ การบริหารตามสถานการณ์ (Situational Management) ศาสตร์พระราชา การจัดการแบบวิถีทาง – เป้าหมาย (Path – Goal Management)และความภาคภมู ิใจ (Pride) ไดร้ ปู แบบ DSCUPP ประกอบด้วย 1. การบริหารตามสถานการณ์ (Situational Management) 2. ความเขา้ ใจ (Understanding) 3. การเข้าถงึ (Connecting) 4. การพฒั นา ( Development ) 5. การบริหารแบบวิถที าง – เป้าหมาย (Path – Goal Management) 6. ความภาคภูมใิ จ (Proudly)
Search