Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะ สพป.พล.3

วิจัยการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะ สพป.พล.3

Published by วินัย ปานโท้, 2021-11-23 02:49:42

Description: วิจัยการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะ สพป.พล.3

Search

Read the Text Version

40 1. ขยะอินทรีย์ หรือ มูลฝอยย่อยสลาย คือ ขยะทเี่ น่าเสียและย่อยสลายได้เรว็ สามารถนำมา หมกั ทำปุย๋ ได้ เชน่ เศษผกั เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนือ้ สตั ว์ เป็นต้น แตไ่ ม่รวมถึงซากหรือ เศษ ของพชื ผกั ผลไม้หรือสตั ว์ทเ่ี กิดจากการทดลองในห้องปฏิบัตกิ าร เป็นต้น 2. ขยะรีไซเคิล หรือ มูลฝอยที่ยังใช้ได้ คือ บรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ซึ่งสามารถ นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม ขวดพลาสติก เศษโลหะ อลูมิเนยี ม ยางรถยนต์ กลอ่ งเครื่องดืม่ แบบ UHT เปน็ ตน้ 3. ขยะอันตราย หรือ มูลฝอยอนั ตราย คือ มูลฝอยท่ปี นเป้อื น หรอื มีองค์ประกอบของ วตั ถุ ดังตอ่ ไปน้ี 1) วตั ถรุ ะเบิดได้ 2) วตั ถุไวไฟ 3) วัตถุออกไซด์ และวตั ถเุ ปอร์ออกไซด์ 4) วัตถมุ ีพษิ 5) วตั ถุท่ีทำให้เกิดโรค 6) วตั ถกุ ัมมนั ตรังสี 7) วัตถทุ ก่ี อ่ ใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรม 8) วัตถุกัดกรอ่ น 9) วัตถทุ กี่ อ่ ให้เกิดการระคายเคือง 10) วตั ถอุ ยา่ งอน่ื ทอ่ี าจกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อคุณภาพสง่ิ แวดล้อมหรืออาจทำให้เกิด อันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี ภาชนะทใ่ี ช้บรรจสุ ารกำจดั แมลงหรอื วชั พืช กระปอ๋ งสเปรยบ์ รรจุสีหรือสารเคมี 4. ขยะทั่วไป หรือ มูลฝอยทั่วไป คือ ขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยาก และไม่คุ้มค่าสำหรับการนำกลับมาใช้ ประโยชนใ์ หม่ เชน่ ห่อพลาสตกิ ใส่ขนม ถงุ พลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกหอ่ ลกู อม ซองบะหม่ีก่ึง สาเร็จรูป ถุงพลาสติกเปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร ฟอยล์เปื้อนอาหาร ซองหรือถุงพลาสติก สำหรับบรรจเุ ครื่องอุปโภคด้วยวิธรี ดี ความร้อน เป็นต้น

41 แหลงกาํ เนิดของขยะ แหลงกําเนิดของขยะ สามารถแบงตามแหลงกําเนิดขยะได ดังน้ี แหลงแรก ขยะจาก บานพักอาศัย (Resident wastes) เปนขยะที่เกิดจากกิจกรรมการดํารงชีวติ ของคนที่อาศยั ตามท่พี กั อาศยั ตาง ๆ เชน พวกกระดาษ เศษพืชผกั แหลงท่สี อง ขยะจากธรุ กิจการคา (Commercial wastes) หมายถึง ขยะทม่ี าจากสถานที่ทีม่ ีการประกอบกิจการคาทุกประเภท แหลงทส่ี าม ขยะจากการเกษตร (Agricultural wastes) เปนขยะที่มาจากการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตวเพื่อเปนอาหาร ประกอบดวย มูลสัตว์ เศษหญา เศษพืชผัก แหลงที่สี่ ขยะจากการพักผอนหยอนใจ (Recreatopnal wastes) ชนิดของขยะที่เกิดจากการพักผอนหยอนใจนั้นเปนพวกกลองกระดาษ หรือถุงพลาสติก ขวดแกว กระปอง แหลงที่หา ขยะจากโรงพยาบาล ขยะประเภทนี้จัดไดในพวกขยะอันตรายซึ่งอาจจะเปน แหล่งแพรกระจายของเช้อื โรคได ขยะจากโรงพยาบาลน้นั ทางองคการอนามยั โลกไดมีการแบงประเภท ขยะอันตรายเปน 8 ประเภท คือ ขยะทั่วไป (General wastes) เชน เศษอาหาร เศษกระดาษ ขยะพยาธิสภาพ (Pathological Wastes) เชน เลือด น้ำเหลือง ขยะติดเชื้อ (Infectious wastes) เชน สิ่งปฏิกูลที่มีเชื้อโรค ตลอดจนภาชนะต าง ๆ ที่สัมผัสผูปวยติดเชื้อ ขยะกัมมันตภาพรังสี (Radiological Wastes) เชน ฟลมเอกซเรย (Chemical wastes) ขยะมีคม เชน เข็มฉีดยา มีดผาตัด ขยะประเภทยา (Sharp wastes) เชน สารเคมีทุกชนิด ขยะ กระปองอัดความดัน (Pressurized containner) และแหลงสุดทาย ขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial wastes) เป็นขยะท่ีมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม จะแตกตางกันขึ้นอยูกับกระบวนการผลิตแตละประเภท เชน พวกเศษอาหาร ข้ีเถาของเสยี อนั ตราย เปนตน ผลกระทบของขยะมลู ฝอย จากการขยายตัวทางด้านประชากร และเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถบริหารจัดการขยะมูลฝอยได้ ส่งผลให้ ประชาชนต้องแบกรบั ภาระในการการจัดการขยะมูลฝอยด้วยตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดการขยะ มูลฝอยที่ไม่ถูกต้อง (กรมควบคุมมลพิษ , 2561) และอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลกระทบในด้าน สขุ ภาพ ดา้ นส่ิงแวดล้อม และดา้ นเศรษฐกจิ ดงั นี้ (ขวัญกมล ขุนพิทักษ์, 2551) 4.1 ดา้ นสขุ ภาพ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลง และพาหะนำโรค เนื่องจากเชื้อจลุ ินทรีย์ที่ปนเปื้อนมากับขยะ มูลฝอย โดยเฉพาะขยะมลู ฝอยทีม่ ีทัง้ ความชืน้ และสารอินทรยี ์ซึ่งจุลนิ ทรีย์ สามารถใช้เป็นอาหารได้ ซ่ึงโรคทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ จากการจดั การขยะมลู ฝอยที่ไม่ถูกสขุ ลกั ษณะ ได้แก่ (กรมอนามยั , 2556) 4.1.1 โรคระบบทางเดินอาหาร เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย ในขยะมูลฝอยที่ตกค้างบนพื้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของหนู ยุง แมลงสาบ แมลงวัน และสัตว์พาหะ นำโรคติดต่ออื่นๆ หรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายคนจากการรับประทานอาหาร และน้ำ หรือการจับต้อง

42 ด้วยมือซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยได้โดยง่าย ก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคพยาธิ อหวิ าตกโรค ไทฟอยด์ และโรคบิด เป็นต้น 4.1.2 โรคจากการติดเชื้อ เกิดจากมูลฝอยติดเชื้อที่ปะปนมากับขยะมูลฝอยทั่วไป เช่น ถุงยางอนามัย ผ้าอนามัย กระดาษทิชชูของคนที่เป็นวัณโรคใช้กับเสมหะหรือน้ำลาย สำลีเช็ดแผล พลาสเตอร์ปิดแผลที่ใช้แล้ว อาหารเน่าบูด และซากสัตว์ ซึ่งอาจมีเชื้อไข้หวดั นก รวมถึงอันตรายจาก อุบัติเหตซุ ่งึ คนในชุมชนท่ีต้องทำงานเกย่ี วข้องกับกองขยะมูลฝอยมักเจออยู่บอ่ ยๆ ได้แก่ มูลฝอยท่ีเป็น วัตถุมีคม และวัสดปุ นเปื้อนเลอื ด เชน่ เศษแก้ว เหลก็ แหลม ไมแ้ หลม และ เขม็ ฉดี ยา ใช้แล้ว เป็นต้น เส่ยี งต่อการบาดเจ็บ และติดเช้อื โรค เช่น เชอ้ื บาดทะยัก เช้อื ไวรสั ตับอักเสบ และเชอ้ื โรคเอดส์ เปน็ ต้น 4.1.3 โรคภมู ิแพ้ เกิดจากการสูดดมฝุ่นละออง ไอ สารระเหยจากขยะมลู ฝอยที่เป็นสารเคมี ต่างๆ หรอื เขมา่ ควนั จากการเผาขยะมลู ฝอย 4.1.4 ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน เกิดจากกลิ่นเน่าเหม็นขยะมูลฝอย ที่จัดการไม่ถูก สขุ ลักษณะ 4.1.5 โรคมะเร็ง เกิดจากการได้รับสารพิษต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน การสูดดม อากาศ เสีย จากการเผากลางแจ้ง ทำให้เกิดควัน และสารพิษปนเปื้อนในอากาศ เช่น สารไดออกซิน และ ฟิวแรนระหว่างเผา ซึ่งสารทั้งสองเป็นสารก่อมะเร็งและทำลายการทำงานของตับได้ อีกทั้งอันตราย จากขยะมูลฝอยที่เป็นสารเคมี หรือเป็นพิษบางชนิดซ่ึงเป็นตัวก่อใหเ้ กิดมะเร็งผิวหนัง และมะเร็งปอด เป็นตน้ 4.1.6 ผลกระทบตอ่ สุขภาพ หรือระบบตา่ งๆ ภายในร่างกาย เกดิ จากสารพษิ ในขยะมูลฝอย อันตรายประเภทต่างๆ เช่น แมงกานิส สารปรอท สารตะกั่ว สารแคดเมียม สารฟอสฟอรัส ในผลิตภัณฑต์ ่างๆ อาทิเชน่ ถ่านไฟฉาย หลอดฟลอู อเรสเซนต์ แบตเตอร่ีรถยนต์ หมึกพมิ พ์ แบตเตอรี่ โทรศัพทม์ อื ถอื เปน็ ต้น 4.2 ดา้ นสง่ิ แวดล้อม 4.2.1 ก่อให้เกิดความรำคาญ ทำให้ขาดความสง่างาม การเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย ได้ไม่หมด มีการสะสม ตกค้าง เกิดกลิ่นรบกวน ก่อให้เกิดความรำคาญ และขยะมูลฝอยที่ถูกทิ้ง เกลื่อนกลาด และอาจถูกลมพัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทำให้บริเวณนั้นดูสกปรก และอาจส่งผล กระทบตอ่ อุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ียว 4.2.2 กอ่ ให้เกดิ มลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะมูลฝอยทไ่ี ม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุทำให้ เกิดมลพิษของน้ำ มลพิษของดนิ และมลพษิ ของอากาศ เชน่ ขยะมูลฝอยท่ีถูกทงิ้ ลงแหล่งน้ำ ส่งผลให้ แหล่งน้ำสกปรกหรือเกิดการเน่าเสียได้ รวมถึงขยะมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ซึ่งมี ส่วนประกอบสำคัญของสารโลหะหนัก เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศน์ในดิน และการเผาขยะมูลฝอย กลางแจง้ ทำให้เกดิ ควนั ทีม่ สี ารพษิ ทำให้คณุ ภาพของอากาศเสีย

43 4.3 ดา้ นเศรษฐกจิ เนื่องจากขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น และมีปริมาณเพิ่มขึ้น ย่อมต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ เพื่อจัดการกับขยะมลู ฝอยดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงผลกระทบจากขยะมูลฝอย ไม่ว่าจะเป็น น้ำเสยี อากาศเสีย ดินปนเปื้อนเหลา่ น้ยี อ่ มสง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ของประเทศ ดังน้ัน ผลกระทบของขยะมลู ฝอยท่เี กิดจากการจัดการขยะมูลฝอยทไี่ มถ่ ูกต้อง ส่งผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่เกิดจากขยะ มูลฝอยอย่าง มีประสทิ ธภิ าพจึงตอ้ งมีมาตรการการจัดการขยะมูลฝอย เพื่อใหข้ ยะมูลฝอยที่เกิดขน้ึ ได้รับการจัดการ อยา่ งถูกตอ้ งตามหลักวิชาการ การแก้ปัญหาขยะมลู ฝอย ขยะมูลฝอยมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ทำให้เกิดการปนเปื้อนของพื้นดิน แหล่งน้ำ และ อากาศ ทำให้บ้านเมืองไม่เปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย ไม่เป็นที่เจริญตาของผูท้ ี่ได้พบเห็น ส่งผลกระทบตอ่ สุขภาพของประชาชนโดยทัว่ ไป การแก้ไขปญั หาของขยะมูลฝอย จงึ ควรปฏิบัติ เพื่อปอ้ งกนั และแก้ไข ผลเสีย ทจี่ ะเกิดขนึ้ สำหรบั การป้องกัน และแกไ้ ขทด่ี ี ควรพจิ ารณาถึงต้นเหตุ ท่ีก่อให้เกิดขยะมูลฝอย ขึน้ มา ซึ่งกค็ งจะหมายถึง มนุษย์ หรอื ผู้สรา้ งขยะมลู ฝอยนั้นเอง การป้องกัน และการแก้ไขปัญหา ของขยะมูลฝอย เริ่มต้นด้วยการสร้างจิตสำนึกแก่มนุษย์ ใหร้ ู้จกั รับผดิ ชอบในการรักษาความสะอาด ทั้งในบา้ นเรือนของตัวเอง และภายนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ถนนหนทาง สถานทที่ ำงาน หรือทสี่ าธารณะอนื่ ๆ ให้รูจ้ กั ทงิ้ ขยะมูลฝอยลงในภาชนะให้เป็นท่ีเป็นทาง ไม่มักง่ายทิ้งขยะเกลื่อนกลาด ทั้งนี้เป็นการช่วยให้พนักงานเก็บขยะนำไปยังสถานที่กำจัดได้สะดวก และรวดเร็วขนึ้ การเก็บ และกำจัดขยะมูลฝอย การเกบ็ และกำจดั ขยะมูลฝอย รวมถึงการเกบ็ รวบรวมขยะมูลฝอย เพอื่ ส่งไปกำจัดที่สถาน กำจดั ขยะมูลฝอย มขี ้ันตอนดังนี้ 1. การเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย การเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย คือ การเก็บขยะมูลฝอยใส่ไว้ในภาชนะ เพื่อรอพนักงานเก็บ ขยะมูลฝอยมาเก็บ ขนไปเทใส่รวบรวมในรถบรรทุกขยะ และการที่พนักงานกวาดถนน เก็บรวบรวม ขยะมูลฝอยไว้ให้รถขยะ ขยะมูลฝอยที่รวบรวมจากแหล่งต่างๆ จะถูกนำไปถ่ายใส่ในรถบรรทุกขยะ เพื่อทจี่ ะขนสง่ ตอ่ ไปยังสถานกำจัดขยะมลู ฝอย การเก็บรวบรวมขยะที่ถูกต้องภายในบ้าน ควรใช้ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด น้ำไม่สามารถ จะร่วั ซึมได้ เชน่ ถงั เหลก็ หรือถังพลาสติก การใชถ้ ังเหลก็ อาจจะผุกร่อนได้งา่ ยกว่าถงั พลาสติก ไม่ควร ใชเ้ ขง่ ในการเก็บรวบรวมขยะมลู ฝอย 2. การขนส่งขยะมูลฝอย การขนส่งขยะมูลฝอย เป็นการนำขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมได้จากแหล่งชุมชนต่างๆ ใส่ใน รถบรรทุกขยะ เพื่อนำไปยงั สถานทีก่ ำจดั ซึ่งอาจเป็นการขนส่งโดยตรง จากแหล่งกำเนิดขยะมูลฝอย ไปยังสถานกำจัดเลยทีเดียว หรืออาจขนขยะมูลฝอยไปพักที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า สถานีขนถ่ายขยะ กอ่ นจะนำไปยังแหล่งกำจดั กไ็ ด้

44 3. การกำจดั ขยะมูลฝอย วิธีการกำจัดขยะมูลฝอยที่ใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายวิธี เช่น นำไป กองทิ้งบนพื้นดิน นำไปทิ้งลงทะเล หมักทำปุ๋ย เผากลางแจ้ง เผาในเตาเผาขยะ และฝังกลบอย่าง ถกู หลกั วิชาการ เปน็ ต้น การกำจดั ขยะมูลฝอยดังที่กล่าวน้นั บางวธิ ีก็เปน็ การกำจัดท่ีไม่ถูกต้อง ทำให้ เกิดสภาวะเปน็ พษิ ต่อสภาพแวดล้อม และมีผลกระทบตอ่ สุขภาพของคนด้วย ตาราง 1 วิธกี ารคัดแยกขยะมลู ฝอยตามประเภท และการนำไปใช้ประโยชน์/การจดั การ ประเภท วธิ คี ัดแยก การนำไปใชป้ ระโยชน/์ การจดั การ ขยะอนิ ทรีย์/ขยะยอ่ ยสลาย - คดั แยกอาหาร กิง่ ไม้ และใบไม้ - รวบรวมเศษอาหารไว้ ออกจากขยะอน่ื ๆ เลย้ี งสัตว์ -จัดหาภาชนะท่มี ฝี าปิดเพอื่ แยก - นำเศษผักผลไม้และเศษ เศษอาหาร ผัก ผลไม้ อาหารไปทำขยะหอมหรือ น้ำหมกั จุลินทรีย์ (EM) - เศษใบไมก้ งิ่ ไม้ ผสมกบั กาก ที่ได้จากการทำขยะหอม กลายเป็นปุ๋ยหมักอนิ ทรยี ์ ขยะรีไซเคลิ - แยกขยะรีไซเคิลทข่ี ายไดแ้ ต่ละ - รวบรวมมาเข้ากิจกรรมของชมุ ชน ประเภทให้เปน็ ระเบียบเพ่อื สะดวก เช่น ธนาคารขยะแลกแตม้ ขยะแลกไข่ ในการหยิบใชห้ รอื จำหน่าย ธนาคารขยะผ้าปา่ รีไซเคลิ เป็นต้น - นำมาใชซ้ ้ำโดยประยกุ ตเ์ ปน็ อุปกรณ์ ในบ้าน เช่น ขวดน้ำพลาสติกมาตัด เพื่อปลกู ตน้ ไม้ กระป๋องน้ำอัดลมตดั ฝา ใช้เปน็ แกว้ น้ำ ขวดแกว้ มาใส่กาแฟฯ - นำไปขายหรือจำหน่าย ขยะอนั ตราย(ขยะพิษ) - แยกขยะอันตรายออกจากขยะ - ขยะอนั ตรายบางประเภทสามารถ อน่ื ๆ โดยในการคดั แยกตอ้ งระวัง นำกลบั มาแปรรปู ใช้ใหมไ่ ด้ เชน่ ไม่ให้ขยะอันตรายแตกหกั หรือ หลอดฟลูออเรสเซนตแ์ บบตรง สารเคมีท่ีบรรจอุ ยู่เขา้ ส่รู ่างกาย แบตเตอร่โี ทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี ถ่านชารจ์ ฯ แตใ่ นปจั จุบันยังไม่มีมูลคา่ พอที่ จะขายได้ - กำจดั โดยฝงั กลบ/ระบบเตาเผา ขยะท่ัวไป - แยกขยะย่อยสลายยาก และ - จัดการโดยนำไปฝังยังหลมุ ฝงั กลบ ไม่คุ้มคา่ สำหรบั นำกลับมาใช้ หรอื เข้าเตาเผาขยะ ประโยชน์ใหม่ เชน่ ถุงพลาสติก เป้อื นเศษอาหาร โฟมเป้อื น เศษอาหาร ห่อพลาสตกิ ใสข่ นม

45 วธิ กี ารกำจดั ขยะมลู ฝอยที่ถกู หลกั วชิ าการ ควรมลี ักษณะดงั ต่อไปนี้ (1) ไม่ทำให้บริเวณที่กำจัดขยะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ และแมลงนำโรค เช่นแมลงวนั ยงุ และแมลงสาบ เปน็ ต้น (2) ไมท่ ำใหเ้ กิดการปนเป้ือนแก่แหล่งน้ำ และพน้ื ดิน (3) ไมท่ ำให้เกิดมลพิษต่อสิง่ แวดลอ้ ม (4) ไมเ่ ปน็ สาเหตุแห่งความรำคาญ อนั เนอ่ื งมาจาก เสยี ง กล่ิน ควัน ผง และฝุ่นละออง วิธกี ารกองทง้ิ บนดนิ การนำไปท้งิ ทะเล รวมทั้งการเผากลางแจง้ ถือว่า เป็นวิธีการกำจัดขยะ มูลฝอยที่ไม่ถกู ตอ้ ง เพราะทำให้เกิดปญั หาภาวะมลพิษต่อสภาพแวดล้อม สำหรบั วธิ ีท่ียอมรับทั่วไปว่า เปน็ วธิ กี ำจัดท่ีถูกตอ้ ง คือ การเผาในเตาเผา การฝังกลบ และการทำป๋ยุ การกำจดั ขยะมูลฝอยโดยใชเ้ ตาเผาขยะ การเผาในเตาเผา เป็นการเผาไหมท้ ั้งส่วนท่ีเป็นของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ ซึ่งต้องใช้ความ ร้อนระหว่าง 1,300-1,800 องศาฟาเรนไฮต์ จึงจะทำให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก ความแตกต่าง และลักษณะขององค์ประกอบของขยะมูลฝอยในแต่ละแห่ง ดังนั้นรูปแบบของเตาเผา จึงแตกต่างกนั ไปดว้ ย เปน็ ตน้ ว่า ถา้ ชุมชนทม่ี ีขยะมลู ฝอย ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นชนิดท่ีเผาไหม้ไดง้ า่ ย เตาเผา ขยะอาจใช้ชนิดที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นช่วยในการเผาไหม้ แต่ถ้าองค์ประกอบของขยะมูลฝอย มสี ว่ นที่เผาไหมไ้ ด้ง่ายต่ำกว่าร้อยละ 30 (โดยน้ำหนกั ) หรือมคี วามชนื้ มากกว่ารอ้ ยละ 50 เตาเผาท่ีใช้ ตอ้ งเป็นชนิดที่ต้องมีเช้ือเพลงิ ชว่ ยในการเผาไหม้ นอกจากน้เี ตาเผาขยะมลู ฝอยทกุ แบบ จะตอ้ งมกี ระบวนการควบคมุ อุณหภมู ิ ควัน ไอเสีย ผง และขเ้ี ถา้ ที่อาจปนออกไปกับควนั และปลิวออกมาทางปลอ่ งควนั เตาเผาทมี่ ีประสิทธิภาพ จะต้อง ลดปริมาณของขยะมูลฝอยลงไปจากเดิมให้มีเหลือน้อยที่สุด และส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้นั้น ก็จะต้องมีลักษณะคงรูป ไม่มีการย่อยสลายได้อีกต่อไป และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง ปลอดภัย ขอ้ ดี 1. ใชพ้ ื้นที่ดนิ นอ้ ย เม่อื เทียบกับวิธผี ังกลบ 2. สามารถทำลายขยะมูลฝอยได้เกือบทุกชนดิ 3. สามารถสร้างเตาเผาในพ้ืนท่ที ไ่ี ม่หา่ งไกลจากแหลง่ กำเนดิ ขยะ ทำใหป้ ระหยดั ค่าขนสง่ 4. ไม่ค่อยกระทบกระเทือน เมือ่ สภาพแวดลอ้ มของลมฟ้าอากาศเปลีย่ นแปลง 5. สว่ นทเ่ี หลือจากการเผาไหม้ (ข้ีเถา้ ) สามารถนำไปถมทดี่ ินได้ หรอื ทำวัสดุก่อสร้างได้ ข้อเสีย ค่าลงทุนในการก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม บำรุงรักษาค่อนข้างสูง และ อาจจะเกดิ ปัญหาภาวะมลพษิ ทางอากาศได้

46 การกำจดั ขยะมูลฝอยโดยวธิ ีการฝังกลบ วิธีการฝังกลบที่ถูกสุขลักษณะนั้น จะต้องไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษต่อสุขภาพแวดล้อม รวมทัง้ เหตุรำคาญอื่นๆ เช่น กลิ่นเหมน็ ควนั ฝุ่นละออง และการปลิวของกระดาษ พลาสตกิ และอื่นๆ ซงึ่ จะต้องควบคมุ ใหอ้ ยู่ภายในขอบเขตจำกดั มีมาตรการในการควบคุมดแู ลดงั น้ี 1. ต้องควบคุมไม่ให้มีการนำของเสียอันตรายมากำจัดรวมกับขยะมูลฝอยทั่วไป ในบริเวณทีฝ่ ังกลบขยะ นอกจากจะมีมาตรการการกำจดั โดยวธิ กี ารพิเศษ ตามลักษณะของของเสีย นั้นๆ 2. ต้องควบคุมให้ขยะที่ฝังกลบถูกกำจัดอยู่เฉพาะภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ ทั้งบน พื้นผวิ ดิน และใตด้ นิ 3. ต้องกำจัดน้ำเสียจากกองขยะอยา่ งถกู ตอ้ ง 4. ตอ้ งตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เชน่ ตรวจสอบการปนเปอ้ื นของแหลง่ น้ำใต้ดินบริเวณ ใกลเ้ คียง 5. ต้องคำนึงถึงทัศนียภาพของพื้นท่ี และบริเวณใกล้เคียง เช่น การจัดให้มีสิ่งป้องกัน การปลวิ ของขยะ หรอื อาจปลูกต้นไมล้ ้อมรอบ เป็นต้น การฝังกลบเป็นวิธีการที่ใช้ในการกำจัดขยะมูลฝอยที่พื้นดินอย่างถูกต้อง ตามหลัก สุขาภิบาล ไม่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และสภาพแวดล้อม ควรเทขยะ มูลฝอยลงไป แล้วเกลี่ยให้กระจาย บดทับให้แน่น แล้วใช้ดินหรือวัสดุอื่นที่มีดินปนอยู่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 กลบ แล้วบดทบั ใหแ้ น่นอีกครัง้ หนึง่ วธิ ีการฝังกลบขยะมลู ฝอย อาจแบง่ ออกได้เป็น 2 แบบ คอื 1. แบบถมที่ เป็นการฝังกลบขยะมูลฝอยในพนื้ ท่ีท่ีเปน็ หลมุ เป็นบอ่ หรือเป็นพื้นที่ที่ต่ำ อยู่ก่อนแล้ว และต้องการถมให้พื้นที่แห่งนั้นสูงขึ้นกว่าระดับเดิม เช่น บริเวณที่ดินที่ถูกขุดออกไป ทำประโยชน์อย่างอื่นมาก่อนแล้ว เป็นต้น ในพื้นที่เช่นนี้เราเทขยะมูลฝอยลงไป แล้วเกลี่ยขยะให้ กระจาย พร้อมกับบดทบั ให้แนน่ จากน้นั กใ็ ชด้ นิ กลบ แลว้ จึงบดทับใหแ้ น่นอกี เป็นคร้งั สดุ ทา้ ย 2. แบบขุดเป็นร่อง เป็นการกำจัดขยะมูลฝอยแบบฝังกลบในพื้นที่ราบ ซึ่งเป็นที่สูง อยู่แล้ว และไม่ต้องการที่จะให้พื้นท่ีแห่งนั้นสูงเพิ่มข้ึนไปอีก หรือสูงขึ้นไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกนั ก็ตอ้ งการใช้พืน้ ที่ฝงั กลบขยะมูลฝอยให้ไดจ้ ำนวนมากๆ ดงั นั้นจงึ ตอ้ งใชว้ ธิ ีขดุ เป็นร่องกอ่ น การขุดร่อง ต้องให้มีความกว้างประมาณ 2 เท่า ของขนาดเครื่องจักรที่ใช้ เพื่อความสะดวกต่อการทำงานของ เครอ่ื งจกั ร และมคี วามยาวตลอดพืน้ ท่ีทจ่ี ะฝงั กลบ สว่ นความลึกขนึ้ อยู่กับระดับน้ำใต้ดิน จะลึกเท่าไร ก็ได้ แต่ต้องไม่ให้ถึงระดับน้ำใต้ดิน ส่วนมากจะขุดลึกประมาณ 2-3 เมตร และต้องทำให้ลาดเอียง ไปทางด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อไม่ให้น้ำขังในร่องเวลาฝนตก ดินที่ขุดขึ้นมาจากร่อง ก็กองไว้ทางด้านใด ด้านหนึ่ง สำหรับใช้เป็นดินกลบต่อไป นอกจากนั้นยังสามารถใช้ทำเป็นคันดิน สำหรับกั้นมิให้ลมพัด ขยะออกไปนอกบริเวณได้อกี ดว้ ย สว่ นวธิ กี ารฝังกลบขยะมลู ฝอย กท็ ำเช่นเดียวกับแบบถมที่คอื เมื่อเท ขยะมูลฝอยลงไปในร่องแล้ว ก็เกลี่ยใหก้ ระจาย บดทับ แล้วใช้ดินกลบ และบดทับอีกครั้งหน่ึง เมื่อฝัง กลบขยะมูลฝอยในพ้นื ท่นี น้ั เสรจ็ เรยี บร้อยแล้ว อาจใช้พ้นื ทีน่ ั้นเปน็ ประโยชน์ เช่น เป็นสถานท่ีพักผ่อน หย่อนใจ สนามเทนนิส สนามกอล์ฟ ที่จอดรถ สนามกีฬา ศูนย์การค้า หรือก่อสร้างอาคารท่ีพักอาศัย

47 ทไี่ มส่ ูงเกินไป หรอื อาจปรบั ปรงุ คุณภาพดินให้เหมาะแก่การปลกู พืช ซง่ึ อาจจะนำหญ้า ไม้พ่มุ ไม้ยืนตน้ มาปลกู เพื่อตกแตง่ ใหส้ วยงามเป็นระเบยี บยง่ิ ข้ึน การทำปุ๋ย ขยะมูลฝอยส่วนที่เป็นขยะเปียกนั้น ส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ง่าย ดังนั้นการ นำไปกองทิ้งไว้ก็จะบูดเน่า และส่งกลิ่นเหม็น แต่ถ้านำขยะส่วนนี้ไปหมัก ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง กล่ิน เหม็นจะลดลงไปได้อย่างมาก นอกจากนั้นผลิตผลที่ได้ยังสามารถไปใช้เป็นปุ๋ยสำหรับบำรุงดิน เพ่ือ การเกษตรไดอ้ ีกดว้ ย การหมักขยะมลู ฝอย เพื่อทำเป็นปุ๋ยนนั้ เปน็ การอาศัยกระบวนการทางชีววิทยา ซึ่งจุลินทรีย์ จะย่อยสลายอินทรียวตั ถุให้เปน็ แร่ธาตุ ที่ค่อนข้างจะคงรูป และมีคุณประโยชนต์ อ่ พืช นอกจากน้ขี อง ทห่ี มักไดท้ ีแ่ ลว้ จะมปี รมิ าตรลดลงประมาณรอ้ ยละ ๓๐-๖๕ และยงั สามารถทำลายจุลินทรีย์บางชนิด ท่อี าจทำให้เกิดโรคได้อกี ดว้ ย การแปรสภาพ และการใช้ประโยชนจ์ ากขยะมูลฝอย การนำวสั ดเุ หลอื ใช้จากขยะมูลฝอยกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จะชว่ ยลดปรมิ าณขยะมูลฝอย ที่จะต้องกำจัด ในขณะเดียวกันก็เป็นการสงวนทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้อีกส่วนหนึ่ง ด้วยการใช้ ประโยชนจ์ ากสิง่ เหลือใช้ อาจใช้วธิ ีหมุนเวยี นวสั ดุ หรือแปรสภาพขยะมูลฝอยให้เปน็ พลงั งาน 1. การแปรสภาพขยะมูลฝอยเป็นพลังงาน เราอาจแปรสภาพขยะมูลฝอยเป็นพลังงานได้ ดังนี้คือ พลังงานความร้อน ได้จากการนำเอาขยะมลู ฝอยสว่ นท่ีเผาไหม้ได้ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรบั ทำ ไอนำ้ รอ้ น แลว้ ส่งไปใหค้ วามอบอนุ่ ตามอาคารบา้ นเรอื น เช่นท่ีทำอยู่ในประเทศญีป่ ุ่น เป็นตน้ พลังงาน ไฟฟา้ ได้จากการนำขยะมูลฝอยไปเปน็ เชอื้ เพลิง สำหรับผลติ ไอนำ้ ไปหมุนเคร่อื งกำเนิดไฟฟ้า เพ่อื ผลิต กระแสไฟฟ้า บริการแก่ประชาชน ตัวอย่างเช่น การแปรสภาพของการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอย ในบางรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขยะมูลฝอยจำนวนมาก และเป็นชนิดที่เผาไหม้ได้เป็น ส่วนมาก 2. การคัดแยกวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ วัสดุหลายอย่างในขยะมูลฝอยที่อาจนำกลับมาใช้ ประโยชน์ได้อีก เช่น กระดาษ แก้ว ขวด พลาสติก เหล็ก และโลหะอื่นๆ การคัดเลือกวัสดุต่างๆ ที่รวมอยู่ในขยะมูลฝอย เพื่อนำกลับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อีก นับได้ว่า มีการปฏิบัติกันมาช้านาน จะเห็นไดว้ า่ ตามกองขยะมูลฝอยทุกแหง่ มีบุคคลกลุ่มหนงึ่ ไปคอยคุ้ยเข่ียเก็บวสั ดุจากกองขยะมูลฝอย ตลอดเวลา เพื่อหารายได้ องคป์ ระกอบของขยะ โดยเฉลี่ยแล้ว คนไทย 1 คนสร้างขยะประมาณวันละ 1 กิโลกรัม ซึ่งมีสัดส่วนของขยะแต่ละ ประเภทดังนี้ ขยะอินทรีย์ 64 เปอร์เซ็นต์ ขยะรีไซเคิล 30 เปอร์เซ็นต์ ขยะทั่วไป 3 เปอร์เซ็นต์ ขยะ อันตราย 3 เปอร์เซ็นต์ การคัดแยกขยะ การกำจดั ขยะ ไม่ว่าจะดว้ ยการเผา หรือการฝงั ลว้ นกอ่ ให้เกิดมลพษิ ต่อ ส่ิงแวดลอ้ ม แตถ่ า้ หากเรามีการคดั แยกขยะตงั้ แต่ตน้ ทาง ปริมาณขยะท่ีตอ้ งนำไปกำจัดจะลดลงอย่าง มาก

48 3. การจัดการขยะในสถานศึกษา แนวคดิ ขยะเหลอื ศนู ย์ (Zero Waste) “ขยะเหลือศูนย์” เป็นแนวคิดในการส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ เพื่อให้ ทรัพยากรถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดขยะให้เหลือน้อยที่สุด โดยใช้หลักการ 3 Rs (Reduce – Reuse – Recycle) รวมทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หัวใจ สำคัญของแนวคิดขยะเหลือศูนย์คือ “การจัดการขยะที่ต้นทาง” คือเน้นการลดขยะ การใช้ซ้ำ การ คัดแยก เพื่อนำกลับมารีไซเคิล ก่อนนำไปกำจัด ซึ่งแตกต่างจากการจัดการขยะในปัจจุบันที่เน้น “การกำจัด” หรือ “จดั การขยะที่ปลายทาง” มากกวา่ การแกไ้ ขที่ต้นทาง (กรมสง่ เสริมคุณภาพสงิ่ แวดล้อม, 2559) การจัดการขยะในอดตี การจดั การขยะในปัจจบุ ัน ลด ลด ใช้ซำ้ ใช้ซำ้ นำมำใช้ใหม่ พลงั งำนใช้ประโยชน์ นำมำใช้ใหม่ กำจดั พลงั งำนใช้ ประโยชน์ กำจดั แผนภาพ 2 แนวคิดการจัดการขยะในอดตี และปัจจบุ ัน ขน้ั ตอนสู่การจดั การขยะเหลอื ศนู ย์ ขั้นตอนการจัดการขยะเหลือศูนย์ คือหลักการ 3Rs (Reduce – Reuse – Recycle) ซึ่งมี ความหมายดงั น้ี (กรมสง่ เสริมคุณภาพส่งิ แวดล้อม, 2559) Reduce (ลดการใช้) เช่น ปฏิเสธการรับถุงพลาสติก ใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษทิชชู ใชป้ ิน่ โตหรือกล่องขา้ วแทนกล่องโฟม ทานอาหารทร่ี า้ นแทนการซอื้ กลับบ้าน พกกระตกิ น้ำแทนการซอ้ื น้ำจากขวดพลาสติก นำกระตกิ ไปให้แม่ค้าใส่กาแฟแทนการรับแกว้ แบบใชแ้ ลว้ ทง้ิ เลือกซ้ือสินค้า ที่มี บรรจภุ ัณฑเ์ ปน็ มิตรกับส่ิงแวดล้อม เชน่ เลอื กร้านท่ใี ช้กลอ่ งบรรจุอาหารที่ทำจากชานอ้อยแทนร้านที่ ใช้กล่องโฟม ไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็น ซึ่งการ “ลดการใช้” คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการ จดั การขยะใหเ้ หลอื ศูนย์ (หรือเหลือนอ้ ยทีส่ ุด) Reuse (ใช้ซ้ำ) คือการนำสิ่งของที่ใชแ้ ล้วมาใชป้ ระโยชน์ให้คุ้มค่ามากทีส่ ุด เช่น ใช้กระดาษ สองหน้า ล้างช้อนพลาสติกเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ล้างกล่องคุ้กกี้มาใช้เป็นกล่องใส่ของ ซ่อมรองเท้า

49 ที่ขาด นำเสื้อผ้าเกา่ ไปเย็บกระเป๋า ทำสิ่งประดิษฐ์จากของเหลือใช้ นำขวดนำ้ พลาสติกไปเปน็ ภาชนะ ปลกู ผกั เลอื กซื้อสนิ คา้ ท่สี ามารถใชซ้ ้ำได้แทนสินคา้ ทใี่ ช้ครั้งเดยี วทงิ้ เช่น ถ่านไฟฉายแบบชาร์จไฟได้ Recycle (นำกลับมาใช้ใหม่) คือ การนำขยะบางประเภท เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ หมนุ เวยี นกลบั ไปเข้าสู่กระบวนการผลิต ผา่ นกระบวนการแปรรูป เพอ่ื นำกลับมาใช้ประโยชนใ์ หม่ เช่น กระดาษใช้แล้วนำไปผลิตกระดาษรีไซเคลิ กล่องนมนำไปผลิตเป็นแผ่นกรีนบอรด์ กระป๋องอลูมิเนียม นำไปผลิตขาเทียม ขวดน้ำพลาสติกนำไปผลิตเป็นเส้นใยสำหรับทำเสือ้ กันหนาวหรือพรม เหล็กนำไป ผลิตเป็นวัสดุก่อสร้าง หัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดการรีไซเคิลได้ คือ “การคัดแยกขยะ” คัดแยกขยะ ต้งั แตต่ น้ ทาง แล้วนำไปขายใหร้ ้านรบั ซื้อของเก่าหรือซาเล้ง ซงึ่ จะนำไปขายตอ่ ใหโ้ รงงานรีไซเคิลอีกที ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกขยะ ได้แก่ ธนาคารขยะรีไซเคิล ตลาดนัดขยะรีไซเคิล ตลาดนัดสนิ คา้ รไี ซเคิลมอื สอง ผ้าป่าขยะรไี ซเคลิ ขยะแลกไข่ หรอื ขยะแลกของ เปน็ ตน้ โรงเรียนเป็นสถานที่สำคัญที่จะให้ความรู้ที่ถูกต้องในด้านการจัดการขยะ และบ่มเพาะ จิตสำนึกในการคัดแยกขยะมูลฝอย และนำกลับมาใช้ประโยชน์ สำหรับปัจจัยที่จะนำพาโรงเรียนไปสู่ โรงเรียนปลอดขยะได้นั้น ควรจะเริ่มอย่างไร มีทิศทางการดำเนินงานอย่างไร กรมส่งเสริมคุณภาพ สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (2559) ได้เสนอบันได 7 ขั้น ส่โู รงเรยี นปลอดขยะ (zero waste school) ไว้ดังนี้ ข้ันที่ 1 เรม่ิ ตน้ โครงการดว้ ย “พลงั ” จุดต้ังตนั้ ของโรงเรียนปลอดขยะมีที่มาจาก 2 ลกั ษณะคือ 1) เริ่มต้นจากบุคลากรภายในของโรงเรียน ซึ่งบางโรงเรียนก็เริ่มต้นจากผู้บริหาร ในขณะท่ี บางโรงเรียนก็เริ่มต้นจากครู แต่ถึงแมว้ ่าผู้ต้ังตน้ ที่คิดจะทำเรื่องน้ีจะแตกต่างกันไปตามบทบาทหน้าที่ แต่สิ่งที่มีพวกเขามีเหมือนกันก็คือ “หัวใจ” ที่อยากจะทำเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จด้วย “ความมงุ่ ม่นั และเสยี สละ” เรยี กได้ว่าเปน็ จดุ เร่มิ ตน้ ของโรงเรยี นปลอดขยะเกิดขน้ึ จาก “พลงั ” ท่มี ุ่งสู่ ความสำเร็จอย่างแท้จริง ผู้บริหารโรงเรียนที่ให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงมีนโยบายที่จะดำเนิน กิจกรรมด้านการจัดการขยะภายในโรงเรียนขึ้น ซึ่งจะเห็นจากการกำหนดวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับ สิง่ แวดลอ้ ม และการจัดการขยะ 2) เรมิ่ ต้นจากการสนบั สนุน กระตุ้น หรอื การได้รบั มอบหมายจากหนว่ ยงานภายนอกโรงเรียน เช่นการเข้ามาชักชวนของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการโรงเรียนปลอดขยะ (Zero Waste School) เฉลิมพระเกียรติฯ และโครงการ Eco School Award ในส่วนของบริษัท โตโยต้า โครงการลดโลกร้อนด้วยมือเรา บริษัทฮอนด้า คือ โครงการโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น ในกรณีของการเริ่มต้นจากการสนับสนุนจากองค์กรภายนอกโรงเรียนนี้ ก็ต้องอาศัยผู้มีใจรักและมุ่งมั่นที่จะทำโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จมารับหน้าที่ และดำเนินงาน อย่างต่อเนื่อง หรือบางโรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามาให้ การสนบั สนนุ เปน็ จดุ เริม่ ตน้ ของการดำเนนิ โครงการ/กิจกรรมการจัดการขยะภายในโรงเรยี น จากข้างต้นพจิ ารณาได้ว่าถึงแมว้ ่าจดุ เร่ิมต้นของโครงการจะมีทีม่ าแตกต่างกัน แต่งสิ่งสำคัญ ที่เป็นจุดร่วมสำคัญที่ทำให้โครงการดำเนินต่อไปได้จนประสบความสำเร็จได้นัน้ ก็คือ ความปรารถนา

50 ที่จะทำหรือเป็นความสุขที่ได้ทำ เรียกได้ว่า เกิดจาก “หัวใจ และใจรัก” ของผู้ท่ีจะรับหน้าที่เป็น หวั ขบวนในการขับเคลอ่ื นโครงการ ข้ันที่ 2 การวางระบบของโครงการ โดยการสนับสนนุ ของผบู้ รหิ าร การสนับสนนุ การดำเนนิ โครงการของผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ถือเปน็ จุดเริ่มต้นท่ดี อี ย่างเป็นทางการ ของโครงการ เพราะนั่นถอื เป็นหลกั ประกนั และให้หมายความวา่ หัวขบวนทร่ี บั หน้าท่ีดำเนินโครงการ จะได้รบั การสนับสนุนต่าง ๆ จากผบู้ ริหาร เพ่ือนรว่ มงาน และองคก์ รภายนอกอย่างเป็นรูปธรรมท่ีสุด เช่น การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร สถานที่ ความรู้ และการอำนวยการต่าง ๆ นอกจากนี้แล้ว การสนับสนุนของผู้บริหารยังแสดงออกได้ถึงการให้อำนาจแก่ผู้ที่จะมารับผิดชอบโครงการ ซึ่งเป็น กลไกสำคัญที่ทำให้การดำเนินโครงการเปน็ ไปดว้ ยความราบร่นื โดยมีอปุ สรรคน้อยท่ีสุด การประกาศ ให้โครงการโรงเรียนปลอดขยะเป็นนโยบาย และพันธกิจสำคัญของโรงเรียนที่ต้องปฏิบัติ ถือเป็น ข้อผูกพันที่ทำให้โครงการประสบความสำเร็จ เพราะนั่นหมายความว่า โครงการนี้มีความสำคัญ ที่โรงเรียนให้ความสนใจ และบุคลากรทุกคนจะต้องถือปฏิบัติ และให้ความร่วมมือในการดำเนินการ ให้ประสบความสำเร็จตามตัวชี้วัดที่ไดต้ ั้งไว้ ซึ่งหมายถึงเป็นการ “วางระบบ” หรือ “วางโครงสร้าง” ของการดำเนินโครงการที่เป็นรูปธรรมที่สุด ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการระดมทรัพยากรต่าง ๆ มาใช้ ทำให้การยุติการดำเนินงานแบบกลางคัน ก็จะมีน้อยมาก รวมถึงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือ บคุ ลากรของโครงการแบบกะทนั หนั ก็จะไม่ทำใหก้ ารดำเนนิ โครงการตอ้ งสะดดุ หรือหยดุ ไปเช่นกัน สำหรับรูปแบบของการวางระบบอย่างเป็นทางการของโครงการในระดับนโยบาย พบว่า หลายโรงเรียนจะบรรจุโครงการให้เป็นแนวปฏิบตั ติ ามนโยบายด้านสิ่งแวดลอ้ มในภาพรวมของโรงเรียน รวมท้ังมคี ำสั่งแตง่ ตง้ั คณะกรรมการดำเนนิ โครงการอย่างชัดเจน มคี รผู รู้ บั ผิดชอบโครงการ มีครูพ่ีเลี้ยง ที่คอยสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของนักเรียน กล่าวโดยสรุป สำหรับการมีนโยบายสนับสนุนการ ดำเนินโครงการ พร้อมทั้งการแต่งตั้งคณะผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการเรียกได้ว่า โรงเรียนที่สามารถ ดำเนินโครงการได้ประสบความสำเร็จนี้ มีการกำหนดวิสัยทัศน์ นโยบายอย่างชัดเจนในการดำเนิน โครงการนี้ สำหรบั ในสว่ นของการสนับสนุนโครงการโดยผูบ้ ริหารน้ี พบวา่ รปู แบบในการสนบั สนนุ ไดแ้ ก่ การเป็นผูน้ ำในการไปขอรับการสนับสนุนโครงการจากภายนอกทัง้ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน การสนับสนุนให้คณะทำงานของโครงการได้ไปเพมิ่ พูนความรู้ ในการทจี่ ะมาดำเนินโครงการอย่างการ ไปฝึกอบรม ศึกษาดงู าน การร่วมประชุมปรกึ ษาหารือกบั คณะครูในการเตรยี มการดำเนินโครงการรวม ไปถึงการให้ข้อคิดเหน็ และคำแนะนำต่าง ๆ ในการเตรยี มการขับเคล่ือนโครงการ ข้นั ท่ี 3 การจัดทำแผนหลกั ในการดำเนนิ งาน (Master Plan) ในการวางแผนดำเนินโครงการใหป้ ระสบความสำเร็จน้นั จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจาก ทุกฝ่ายในการที่จะร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปรึกษาการดำเนินโครงการในภาพใหญ่ที่เป็นองค์รวม เพื่อจัดทำ “แผนงานหลักในการดำเนินงาน (Master Plan) โดยแผนงานหลักดังกล่าวนี้จะต้องระบุ ทิศทางและแนวปฏิบัติ ตามลำดับขน้ั ของการดำเนินโครงการ พร้อมท้งั ระบุคณะผู้รับผิดชอบในแต่ละ ส่วน งานย่อยด้วย เช่น ประธานคณะทำงาน กรรมการฝ่ายต่าง ๆ เลขานุการโครงการ เป็นต้น และ

51 ควรมีการกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานอย่างชัดเจน การจัดระบบความคิด และการสร้างกรอบ แนวทางการดำเนินงาน ให้เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสม กับบริบทโรงเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น โรงเรียนควนโดนวิทยา มีกจิ กรรมนหรรี ไี ซเคลิ เพือ่ ให้เขา้ กบั บรบิ ท และวถิ ชี ีวิตของนักเรียน ซ่ึงนับถือ ศาสนาอิสลาม หรือมีการจัดทำแผนการดำเนินโครงการควบคู่ไปกับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ควบคูก่ ันไปตลอดปีการศึกษา สำหรบั ส่งิ สำคญั ทบ่ี ุคลากรทกุ คนของโครงการพงึ ระลกึ ไวก้ ็คอื แผนงานหลกั ทถี่ กู กำหนดขึ้นน้ี จะเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ ของการดำเนินโครงการทั้งหมด ดังนั้นความสามารถในการ ยืดหย่นุ และปรับแกแ้ นวปฏบิ ัติให้สอดคล้อง และเทา่ ทนั กบั สถานการณ์ จึงเป็นหลกั ปฏบิ ัติสำคัญที่พึง กระทำได้ภายใต้การปรกึ ษาหารือร่วมกนั ของคณะทำงาน ขั้นท่ี 4 การกำหนด และประกาศแตง่ ตั้งคณะครผู ้รู บั ผิดชอบอยา่ งเป็นทางการ จากแผนงานหลักที่ต้องการผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ อยา่ งเป็นระบบ ดงั นัน้ จงึ มคี วามจำเปน็ ต้องกำหนด และประกาศแตง่ ตงั้ คณะทำงานอยา่ งเป็นทางการ เพือ่ ช่วยให้บุคลากรท่ีจะเขา้ มาเปน็ คณะทำงานสามารถมองเหน็ ขอบเขตหนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบของตน ได้อย่างชัดเจน และสามารถเชอ่ื มตอ่ ส่วนงานของตนกบั สว่ นงานอนื่ ๆ ภายใตภ้ าพใหญข่ องการดำเนิน โครงการทั้งหมดได้ ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละบุคคลเป็นไปด้วยความราบรื่น ไม่เกิด ข้อขัดแย้งอันเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในบทบาทหน้าที่ และจะไม่มีส่วนงานใดที่ไม่มี ผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้แล้ว การประกาศแต่งตั้งคณะทำงานอย่างเป็นทางการ ถือเป็นกลไกอำนวยการ ท่ีสำคญั ท่ีผู้บรหิ ารมอบใหแ้ ก่คณะทำงาน เพ่ือชว่ ยเปดิ ทาง และอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในส่วนงานที่ต้องอาศัยการประสานงาน และความร่วมมือจากหลายฝ่าย ซึ่งผลการศึกษา จากโรงเรยี นตน้ แบบกพ็ บว่า ทุกโรงเรียนมีการประกาศแตง่ ตั้ง คณะครูผู้รับผิดชอบโครงการอย่างเป็น ทางการ ข้ันท่ี 5 การเตรยี มความพร้อม การเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ก่อนเปดิ ดำเนินโครงการถือเปน็ เร่ืองสำคัญบางกิจกรรม เป็นกิจกรรมที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเปิดโครงการ ในขณะที่บางกิจกรรมก็สามารถ ดำเนินการไปพร้อม ๆ กับการดำเนินโครงการได้ เพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง และระยะเวลา โดยการเตรียมความพรอ้ มจะประกอบด้วยกจิ กรรมต่าง ๆ ดงั นี้ 1) กำหนด และประกาศแต่งต้ัง คณะทำงานฝ่ายนักเรียนอยา่ งเป็นทางการ ถือเป็นการมอบ ความไว้วางใจ และให้คุณค่าแก่นักเรียนที่เสียสละมาร่วมทำโครงการ ถือว่าเป็นการสร้างขวัญ และกำลังใจที่ดีมาก การคัดเลือกนักเรียนเข้ามาร่วมเป็นคณะทำงาน จำเป็นต้องมองหานักเรียนที่มี “จิตอาสา” และ “สมัครใจ” ที่จะมาร่วมทำงาน เพราะการยินดีทำงานด้วยความเต็มใจนั้นถือเป็น กลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดความร่วมมือกัน และการช่วยเหลือแบ่งเบาหน้าที่ซึ่งกันและกัน ซึ่งใน ท้ายที่สุดแล้วก็จะทำให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปด้วยความราบรื่น และมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันความสำเร็จ และความยั่งยืนของโครงการจะเกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องสร้างให้เกิด

52 รปู แบบการดำเนินโครงการที่มนี ักเรยี นเป็นผขู้ ับเคล่อื นสว่ นงานต่าง ๆ อยา่ งเต็มตัว โดยคณะครจู ะตอ้ ง ลดบทบาทหน้าที่ให้เป็นเพียง “พี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา” มีหน้าที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทเี่ กิดข้ึน 2) ให้ความรู้แก่นักเรียนและบุคลการอื่น ๆ ในโรงเรียน เน้นการสร้างความเข้าใจ และสร้าง จิตสำนึกในการคัดแยกขยะ และนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ ผ่านรูปแบบการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น - การจดั กิจกรรมรณรงคต์ ่างๆ รวมทั้งการประยกุ ต์ใช้ศลิ ปวัฒนธรรมท้องถ่นิ - การให้ความรู้ผา่ นฐานหอ้ งเรียนธรรมชาติ หรอื ฐานการเรียนรู้ในสถานท่ีจรงิ - การจัดกจิ กรรมค่ายการอนรุ ักษส์ งิ่ แวดล้อม และพลังงาน - การใหค้ วามรูผ้ า่ นเสยี งตามสาย ปา้ ยนเิ ทศ - การเผยแพรค่ วามรใู้ นรายวชิ า หรอื บูรณาการในหลักสตู รการเรยี นการสอน - การเดินรณรงคส์ ูช่ มุ ชน - การแจกเอกสารความรู้ แผ่นพบั ต่าง ๆ 3) จัดทำเอกสารของโครงการ เพื่อจัดเก็บข้อมูลปรมิ าณขยะแต่ละประเภท รวมทั้งบนั ทึกผล การดำเนินงานของโครงการ/กจิ กรรม เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการประเมินผลสำเร็จของโครงการ ทั้งน้ี ต้องพจิ ารณาใหเ้ หมาะสมสอดคล้องกับบริบท และศกั ยภาพของนักเรียน และโรงเรยี นเป็นสำคญั 4) ประสานความร่วมมือกับชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และบริษัท ห้าง/ร้าน มีวัตถุประสงค์สำคัญ ได้แก่ เพื่อขอรับการสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในแง่ของข้อมูลเอกสาร ด้านวิชาการ วิทยากร งบประมาณ อุปกรณ์ เครื่องมือที่ต้องใช้ในโครงการ เป็นต้น และเพื่อขอความ ร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรมกบั โครงการ ซง่ึ โรงเรยี นต้นแบบหลาย ๆ โรงเรียนกไ็ ด้ดำเนนิ การในส่วน น้ีอยา่ งเข้มขน้ เชน่ กัน 5) จัดเตรยี มสถานท่ี บางกจิ กรรมจำเป็นตอ้ งมีสถานท่ี หรือพ้นื ท่ดี ำเนนิ กจิ กรรม เช่น การทำ ปุ๋ยหมักอินทรีย์ จำเป็นต้องมีสถานที่หมักปุ๋ย คอกหมัก กิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิลต้องมีสถานท่ี ทำการ และสถานทจี่ ดั เกบ็ ขยะรีไซเคิล โดยสถานท่คี วรเน้นเรอื่ งการเข้าถงึ ทสี่ ะดวก สะอาด ปลอดภัย ขน้ั ที่ 6 การดำเนินงานโครงการ/กจิ กรรม ในการดำเนินโครงการ/กิจกรรม การจัดการขยะในโรงเรียน หลายโรงเรียนจะเริ่มจาก กิจกรรมที่โรงเรียนสามารถจัดการได้เอง ทำได้ง่าย และทำได้ทันที เช่น การแบ่งพื้นที่นักเรียนรักษา ความสะอาด การคดั แยกขยะ ซึง่ การคัดแยกขยะ หากนักเรยี นสามารถคดั แยกขยะไดถ้ กู ประเภท กจ็ ะ เป็นการง่ายทจ่ี ะนำขยะแต่ละประเภทมาใชป้ ระโยชน์ หรือทำกจิ กรรมอ่นื ๆ ตอ่ ไป ทั้งนี้การจะเป็นโรงเรียนปลอดขยะ โรงเรียนควรจะมีการดำเนินกิจกรรม ตามแนวทาง 3Rs (Reduce Reuse Recycle) และประเภทขยะ 4 ประเภท (ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และ ขยะอนั ตราย) สามารถยกตัวอยา่ งได้ ดงั นี้ Reduce (ลดการใช้) ใช้ใบตองใส่อาหารแทนโฟม และให้นักเรียนใช้แก้วน้ำส่วนตัว ทำข้อตกลงกับร้านค้าในโรงเรียน งดใช้โฟม กิจกรรมการใช้แก้วน้ำส่วนตัวแทนแก้วน้ำพลาสติก กิจกรรมหิ้วปิ่นโตมาโรงเรียน กิจกรรมใช้คูปองลด 2 บาทกับกลุ่มเด็กดี ใช้ข้าวกล่อง ปิ่นโต เป็นต้น ซึ่งสามารถลดขยะทวั่ ไปทจี่ ะเกดิ ข้นึ

53 Reuse (ใช้ซ้ำ) ส่วนใหญ่เป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ หรือสื่อการเรียน การสอนเป็นการใช้เศษวัสดุให้คุ้มค่าก่อนทิ้ง กิจกรรมตลาดนัดสินค้ามือสอง รวมทั้งกิจกรรมง่าย ๆ อยา่ งการใชก้ ระดาษ 2 หนา้ เปน็ ต้น Recycle (นำกลับมาใช้ใหม)่ โรงเรียนสว่ นใหญ่จะดำเนินกิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิล ผ้าป่า ขยะรีไซเคิล ขยะรีไซเคิลแลกแต้ม เพื่อคัดแยก และรวบรวมขยะรีไซเคิล แต่บางโรงเรียนอาจดำเนนิ กิจกรรมอนื่ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ กบั บริบทของโรงเรยี น รวมทั้งอาจมีการพัฒนารูปแบบกจิ กรรมอ่นื ๆ ที่เหมาะสม กับการจดั การขยะรไี ซเคิล เช่น การตั้งจดุ รับบริจาคขยะ เพ่อื ทุนการศึกษา รวมทงั้ การนำขยะอินทรีย์ มาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ทำแก๊สชีวภาพ ก็ถือว่าเป็นการรีไซเคิลเช่นเดียวกัน เพราะมีการแปรรูปเพ่ือ นำกลับมาใช้ใหม่ ในโรงเรยี นสามารถใช้แนวทาง 3Rs ดำเนินกจิ กรรมจดั การขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และขยะ ทั่วไป ได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ขยะอันตราย โรงเรียนส่วนใหญ่ใช้วิธีการตั้งจุดคัดแยกขยะอันตราย เพ่ือเป็นจุดเรียนรู้ให้แก่นักเรียนทราบถึงอันตราย และวิธีการคัดแยกขยะอันตรายที่ต้องแยกท้ิงจาก ขยะประเภทอื่นๆ แต่หากโรงเรียนมีความพรอ้ ม ในการเก็บรวบรวมขยะอันตราย และส่งต่อไปกำจดั อย่างถกู วิธี จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้น และสร้างแรงจูงใจกับสมาชิก และขยายแนวร่วมกับโครงการให้ มากขน้ึ เพอื่ กระตุน้ การมีส่วนรว่ มให้เกิดข้นึ หรอื เพ่มิ ความน่าสนใจในการเข้ากิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ ของนักเรยี น เช่น - การใหร้ างวลั การใหโ้ บนัส การใหเ้ กยี รติบตั ร - การจัดกิจกรรมล้นุ โชค ลุ้นรางวัล - การสะสมแตม้ สทิ ธิพิเศษ คะแนนพิเศษ - การให้ทนุ การศกึ ษา - การจดั กจิ กรรมประกวด ขัน้ ท่ี 7 การประเมินผลการดำเนนิ งาน ส่วนสดุ ท้ายถอื เปน็ สว่ นสำคัญ เพอ่ื ทราบปัญหาและอปุ สรรคที่เกิดขน้ึ ในการดำเนินงานในแต่ ละสว่ น และเพอื่ แลกเปลยี่ นประสบการณ์ตรงท่ีเกิดขึน้ จากการปฏิบตั ิงานจรงิ จากคณะทำงาน ซึ่งอาจ กำหนดให้มกี ารประเมนิ ตดิ ตามผลการดำเนนิ งานเปน็ ประจำในทกุ เดอื น หรอื ทุกภาคการศกึ ษา เพื่อท่ี คณะทำงานจะไดร้ ว่ มกนั คน้ หาแนวทางการปรบั ปรงุ วธิ ีการดำเนนิ งานให้มปี ระสิทธิภาพสูงข้ึน รวมท้ัง นำข้อมูลปริมาณขยะที่คัดแยก และรวบรวมได้ จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวนครั้งที่เข้าร่วม มาวเิ คราะห์ผล ประกอบการพัฒนาปรับปรงุ กจิ กรรม ใหม้ ีประสิทธภิ าพเพม่ิ ข้นึ สำหรับวิธีการประเมินติดตามผลการดำเนินงานสามารถทำได้โดย การสำรวจข้อมูลตาม ตัวชี้วัดที่กำหนด การสอบถาม/สัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม การประชุมคณะทำงานเพื่อร่วมกัน ประเมินติดตามผลการดำเนินงาน ตามรอบระยะเวลาที่กำหนด การประเมินผลในเชิงปริมาณ (ปริมาณขยะ จำนวนสมาชิก ความถี่ในการเข้ารว่ มกิจกรรม) และเชิงคุณภาพ (ความรู้ความเข้าใจต่อ การจดั การขยะ ทัศนคตขิ องผ้เู ขา้ รว่ มโครงการ/กิจกรรม ความพงึ พอใจ)

54 เส้นทางการจดั การขยะ โรงเรยี นปลอดขยะ การจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ จะดำเนินการครอบคลุมการจัดการ ขยะมูลฝอยทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และขยะอันตราย ผ่านการ ดำเนนิ กิจกรรมตา่ ง ๆ สามารถสรปุ ไดด้ ังนี้ ทางเลอื กการจัดการขยะอินทรยี ์ - กิจกรรมการทำนำ้ หมักชวี ภาพ จากเศษอาหาร - กจิ กรรมการทำปุย๋ หมกั จากเศษอาหาร โดยใชบ้ ่อวงขอบซเี มนต์ - กจิ กรรมการทำเสวยี น เพอื่ รวบรวมเศษใบไม้ และกง่ิ ไมใ้ นครวั เรือน - กจิ กรรมการเลยี้ งไส้เดอื น - กิจกรรมการรวบรวม เพื่อนำไปเลยี้ งสัตว์ - กิจกรรมการทำแก๊สชีวภาพ - กจิ กรรมการรวบรวมขยะอนิ ทรียส์ ง่ ใหเ้ ทศบาลนำไปทำแกส๊ ชีวภาพผลติ กระแสไฟฟา้ - กจิ กรรม Green Cone ทำปุ๋ยหมักชวี ภาพ/บำรุงดิน ทางเลือกการจดั การขยะรไี ซเคลิ - กจิ กรรมการบรจิ าคขยะรไี ซเคิล เช่น การบรจิ าคในวนั รบั เบยี้ ผู้สูงอายุ การตั้งภาชนะไว้ตาม จดุ ของชมุ ชน เพ่อื รับบรจิ าคขยะรไี ซเคิล การนำขยะรไี ซเคลิ มารวบรวมไวใ้ นทกุ วนั พระ เปน็ ตน้ - กิจกรรมธนาคารขยะรไี ซเคลิ - กิจกรรมการทำส่งิ ประดิษฐ์ - กิจกรรมร้านค้าขยะรไี ซเคิลแลกสงิ่ ของ - กิจกรรมขยะแลกทำกิจกรรมในชมุ ชน เชน่ การนำขยะรไี ซเคิลไปแลกใช้เลน่ อินเทอรเ์ น็ต - กิจกรรมผา้ ปา่ ขยะรีไซเคลิ - กิจกรรมการทำไบโอดีเซล จากนำ้ มันใชแ้ ลว้ ทางเลือกการจดั การขยะทวั่ ไป - กิจกรรมการทำสงิ่ ประดิษฐ์ เช่น การนำซองกาแฟมาทำกระเป๋า การนำโฟมมาเปน็ ส่วนผสม ทำบลอ็ กอิฐ เป็นตน้ - กจิ กรรมการลดราคาสนิ ค้า / สะสมแต้ม เมอ่ื นำภาชนะใช้ซ้ำมาซื้อสินค้า /อาหาร - กจิ กรรมการรวบรวมถุงพลาสติกเพือ่ ขาย - กิจกรรมชิงโชค /ของรางวลั - กจิ กรรมการใชต้ ะกร้า / ถงุ ผา้ ไปซอื้ ของ - กจิ กรรมการเปลี่ยนบรรจภุ ัณฑ์บรรจอุ าหารในร้านค้า / ศาสนสถาน เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ ทย่ี อ่ ยสลายได้แทนการใช้โฟม เปน็ ต้น ทางเลอื กการจดั การขยะอนั ตราย - กิจกรรมการจดั การขยะมลู ฝอย - กจิ กรรมขยะอนั ตรายแลกเมลด็ พันธ์พุ ืช - กจิ กรรมขยะอันตรายแลกไข่ - กิจกรรมขยะอันตรายแลกแต้ม / สะสมแต้ม

55 - การรวบรวมสง่ ให้เทศบาล /อบต. นำไปกำจดั เงื่อนไข ปจั จัยนำไปสูค่ วามสำเร็จโรงเรียนปลอดขยะ เงอ่ื นไขหลกั ท่ีนำไปสคู่ วามสำเร็จจะต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1) บุคลากรของโครงการ 1.1) บคุ ลกิ ลักษณะของบุคลกร ตอ้ งมีใจรัก และอยากทำ จดุ เร่ิมตน้ ของหลาย ๆ โรงเรียน ที่ประสบความสำเร็จเกิดจากคนที่เป็นหัวขบวนของโครงการ ที่มีใจรักเรื่องสิ่งแวดล้อม อยากจะทำ โครงการนี้ให้สำเรจ็ ดงั นน้ั ปจั จัยสำคัญของความสำเร็จ ในมิติดา้ นบคุ ลิกลักษณะของบุคลากร จึงเสนอ ให้มองหาคนจำพวกที่มีพลัง มีใจรัก ที่จะนำมาเป็นคณะทำงานของโครงการ หากแต่โรงเรียน มีบุคลากรลักษณะเช่นนี้ไม่มากนัก อย่างน้อย ก็ขอให้เลือกคนที่มีบุคลิกภาพใกล้เคียงกันมาเป็น หวั ขบวน ทจ่ี ะรบั หน้าที่หลกั ในการขับเคลือ่ นโรงการ ให้เดนิ หนา้ และประสบความสำเรจ็ ตอ่ ไป 1.2) องค์ประกอบของบุคลากร นำโดยผู้บริหาร และประกอบด้วยบุคลากรทุกกลุ่ม เมอื่ พจิ ารณาโครงสร้างของคณะทำงานของโครงการจากหลาย ๆ โรงเรยี นท่ีประสบความสำเร็จพบว่า โครงสร้างของคณะทำงานจะประกอบไปด้วยบุคลากรหลาย ๆ ประเภท ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ผู้บริหาร ครู นักเรียน กรรมการสถานศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้แต่ละส่วนได้ทำหน้าที่เป็นกลไกล ในการขับเคลื่อนโครงการในมิติที่แตกต่างกัน ดังนั้นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในมิติ ด้าน องค์ประกอบของบุคลากร จึงเสนอให้องค์ประกอบของคณะทำงานจะต้องประกอบด้วยบุคลากร ทุกกลุ่มในโรงเรียน 2) วิธีคิดเกยี่ วกบั โครงการ : ตอ้ งคดิ สรา้ ง และวางระบบโครงการให้เปน็ ทางการ ในประเด็นวิธีคิดต่อโครงการนี้ พบว่า การให้ความสำคัญต่อการวางระบบโครงการอย่าง เปน็ ทางการ โดยการบรรจุโครงการไว้ในนโยบายของโรงเรียน เนอื่ งจากโรงเรยี นท่ปี ระสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ได้ประกาศให้โครงการโรงเรียนปลอดขยะ เป็นนโยบายหรือเป็นพันธกิจที่โรงเรียนจะต้อง ดำเนินการ และอีกหลาย ๆ โรงเรียนก็บรรจุโครงการโรงเรียนปลอดขยะนี้ลงในนโยบายด้าน สิ่งแวดล้อมของโรงเรียน ซึ่งการดำเนินการในลักษณะเช่นน้ีถือเป็นการประกาศขอความร่วมมืออยา่ ง เป็นทางการจากทุกฝ่ายภายในโรงเรียน และจากภายนอกโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง เป็นเสมือนการวาง เสน้ ทางสู่ความสำเรจ็ (Road Map) ใหก้ ับโครงการไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3) วิธีปฏิบัติ : ตอ้ งสรา้ งระบบปฏบิ ัตงิ านท่ดี ี 3.1) แผนปฏิบัติงาน ต้องยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนได้ วิธีปฏิบัติงานจากหลายๆ โรงเรียน พบว่า แผนการดำเนินงานของโครงการที่ได้วางไว้นั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อให้สอดคล้อง กับสภาพบริบท วิถีชีวิตของนักเรียน และบุคลากรภายในโรงเรียน และสถานการณ์ปัจจุบันของ โรงเรยี นอยตู่ ลอดเวลา เพื่อให้คณะทำงานของโครงการสามารถดำเนนิ กิจกรรมได้โดยสะดวก ไม่ติดขัด กบั การเปลยี่ นแปลงทเ่ี ข้ามากระทบ ในขณะเดยี วกันแนวปฏิบตั ิทส่ี อดคล้องกบั สภาพความเป็นจริงน้ัน จะช่วยให้เกิดความร่วมมือต่อโครงการจากสมาชิกโครงการได้มากขึน้ ซึ่งระดับการมีส่วนร่วม ที่เพ่ิม สงู ขึ้น ถอื เปน็ ปจั จยั สำคญั ที่นำพาให้ การดำเนินโครงการเดินไปส่คู วามสำเร็จได้ 3.2) ต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้กว้างขวาง ขยายแนวร่วมภายใน และสร้างเครือข่าย ภายนอกโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ โรงเรียนสามารถสร้างแนวร่วมภายในโรงเรียน และขยายเครือข่ายความร่วมมือไปภายนอกได้อย่างกว้างขวาง โดยเทคนิคที่ใช้ในการสร้างแนวร่วม

56 ภายในโรงเรียนได้แก่ “การพดู ย้ำ ซ้ำทวน และการปฏิบตั ิตนให้เป็นแบบอย่าง” ดำเนนิ การร่วมไปกับ การสร้างแรงจูงใจในการเขา้ โครงการ ส่วนการขยายเครอื ข่ายออกสู่ภายนอกเป็นการขอการสนับสนุน และความร่วมมอื ที่เครือข่ายภายนอกสถานศึกษา สามารถช่วยเหลอื ได้ ควรเริ่มจากการขอสนับสนุน เพียงเล็กน้อย หรือขอความรว่ มมอื งา่ ยๆ เพอ่ื เครอื ขา่ ย และความสัมพันธ์ ท้งั นีค้ วรใหค้ วามสำคัญ และ ให้เกียรติแก่เครือข่าย เช่น ประกาศเกียรติคุณที่ได้ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือให้ความร่วมมือ แก่โรงเรียน บทสรุป ความยั่งยนื ของการจดั การโรงเรียนปลอดขยะ ในการดำเนินการโรงเรียนปลอดขยะให้มีความยั่งยืนนั้น กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ ม (2559 : 100-101) ได้สรปุ สง่ิ ทจี่ ะทำใหเ้ กิดความยั่งยืน ไดแ้ ก่ 1. แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ และระบบสวัสดิการ เป็นมาตรการสำคัญหนึ่งที่ทำให้กิจกรรม ในโรงเรียนมคี วามต่อเนอ่ื ง ในมมุ มองเศรษฐกจิ กำหนด (Economy Orientation) เพราะการแยกขยะ เพอื่ ขายในโรงเรียน กิจกรรมนไี้ ดก้ ่อเกิดรายไดข้ องนกั เรยี นในโรงเรียน 2. แรงจูงใจที่มีความหมายเชิงคุณค่า กระบวนการแยกขยะไร้ค่าสู่ค่าของเงิน และการออม ทำให้เงินกลายเป็นคุณค่าทางจิตใจของการอดออม และสามารถนำไปใช้ในหลายจุดประสงค์ เช่น กิจกรรมธนาคารขยะ ขยะกลับกลายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟของครอบครัวที่เด็กเก็บสะสมเพื่อช่วยเหลือ พ่อแม่ และครอบครัว การซื้ออุปกรณ์การศึกษา หรือการบริจาคให้กับสาธารณประโยชน์ของชุมชน มลู ค่า เปลี่ยนเป็นคุณค่า กรณีทมี่ ีการบริหารจัดการเข้ากับระบบสวัสดกิ าร สรา้ งการเปลี่ยนแปลงเชิง คุณภาพได้ 3. การปลูกฝังจิตสำนึก การแยกขนะเพื่อขาย เป็นกระบวนการหล่อหลอม และเรียนรู้ซ้ำๆ ให้เห็น และตระหนกั ถึงคุณค่าใหม่ (รักษาสิง่ แวดลอ้ ม รู้จกั ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า) ผ่านปฏิบัติการ จริงในชีวิตประจำวัน ประสบการณ์ และข้อเท็จจริงจากโรงเรียนเหล่านี้ บ่งบอกถึงการระบุปัญหา ด้วยกัน (Identification) การลงมือแก้ไขปัญหาร่วมกัน (Community Cooperation) เป็นความ ตอ้ งการพร้อมลงแรงของคนในโรงเรียน ประเดน็ สำคัญคอื การกระทำซำ้ (เชน่ ลงมือแยกขยะรีไซเคิล ลงมอื ปลกู ตน้ ไม)้ เปน็ กิจวตั ร จนกลายเปน็ กจิ กรรมในชีวิตประจำวัน (Environmental lifestyle) คือ กระบวนการรบั รู้ และสร้างสำนึกได้ (และน่าจะดกี วา่ คำโฆษณาลอยๆ) จากเรือ่ งใกล้ตัวทส่ี ุด คือ ขยะ

57 4. แนวคิด และทฤษฎีเกย่ี วกบั การจดั การ เชาว์ โรจนแสง (2540) ได้กล่าวถึงแนวคิดด้านการจัดการว่า เป็นกระบวนการประสาน ผลประโยชน์ระหว่าง มนุษย์ วัสดุ และเงินทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อที่กิจการจะได้บรรลุ เปา้ หมายท่กี ำหนดไว้ โดยมอี งคป์ ระกอบท่สี ำคัญ ดงั น้ี 1. การวางแผน (Planning) คือ การกำหนดวิธีการกระทำ และเวลาเพื่อให้บรรลุตาม เป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ 2.การจัดองค์กร (Organization) คือ การจัดกลุ่มคน การมอบหมายให้คนทำการ กำหนด หนา้ ท่ี และความรบั ผิดชอบ และสร้างความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอำนาจหนา้ ทเี่ หลา่ น้นั 3. การบริหารงานบุคคล (Human resource) คือ การคัดเลือกคนท่ีเหมาะสม เข้ามาทำงาน การฝึกอบรม การกำหนดค่าตอบแทนให้เหมาะสม และจัดสวัสดิการให้เพียงพอ เพื่อเป็นการจูงใจ พนกั งาน 4. การสั่งการ (Leading) คือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อให้งานของธุรกิจดำเนินไปอย่างสำเร็จ เรยี บรอ้ ย 5. การควบคมุ (Controlling) คือ การควบคุมใหง้ านต่างๆ ดำเนนิ ไปตามแผนท่ีวางไว้ ศิรวิ รรณ เสรีรตั น์ และคณะ (2542) ไดใ้ ห้แนวคดิ ในดา้ นการจดั การว่า การจดั การเก่ียวข้อง โดยตรงกับหน้าที่การบริหาร (Management functions) ซึ่งเป็นกระบวนการของกิจกรรมท่ีตอ่ เน่อื ง และประสานงานกนั ซึง่ ผูจ้ ัดการตอ้ งเขา้ มาช่วยเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององคก์ ร ซงึ่ ประกอบไปดว้ ย 1. การวางแผน (Planning) หมายถึง การกำหนด (การเลือก) ภารกิจ (Mission) และ วตั ถปุ ระสงค์ (Objectives) ตลอดจนกิจกรรมเพอ่ื ใหบ้ รรลุวัตถุประสงคน์ ้ัน ซง่ึ ตอ้ งอาศัยการตัดสินใจ การเลอื กระหว่างทางเลือกการปฏิบัติในอนาคต การวางแผนจะเป็นการสร้างสะพาน เพื่อให้เดินไปถึง สิ่งที่ต้องการ จากผลของการวางแผนจะได้แผน (Plan) ออกมา ดังนั้น แผนเป็นเครื่องมือ (วิธีการ) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งรูปแบบของแผน (Types of plan) ประกอบด้วย ภารกิจ (Missions) หรือ จุดมุ่งหมาย (Purposes) วัตถุประสงค์ (Objectives) หรือเป้าหมาย (Goals) กลยุทธ์ (Strategies) นโยบาย (Policies) กระบวนการ (Procedures) กฎ (Rules) โปรแกรม (Programs) และงบประมาณ (Budgets) ในการวางแผนนั้นมักต้องกำหนดระยะเวลาไว้ว่าแผน ดังกล่าวจะทำขึ้นสำหรับระยะ เวลานานเท่าใด ซ่ึงสามารถจำแนกชนิดของแผนตามระยะเวลาได้ ดังนี้ 1.1 แผนระยะสั้น (Short – range planning) เป็นแผนงานในรูปกิจกรรมเฉพาะอย่างท่ี มงุ่ หวงั ใหเ้ กดิ ในอนาคตอนั ใกล้ และสอดคลอ้ งกับแผนระยะยาว โดยมากมักกำหนดเป็นเวลา 1 ปี หรือ สนั้ กว่า 1.2 แผนระยะกลาง (Medium – range planning) เป็นแผนที่มีระยะเวลาปฏิบัติการ มากกว่า 1 ปี ตามปกติอยู่ในระยะ 3 – 5 ปี 1.3 แผนระยะยาว (Long – range planning) เป็นแผนของกิจการขนาดใหญ่ที่มีความ เกี่ยวข้องกับงานหลายฝ่าย หลายสาขา ต้องใช้กระบวนการวางแผน และการทำงานที่สลับ-ซับซ้อน ตลอดจนตอ้ งใช้การศึกษาวิจัยเป็นเวลานานกว่า 5 ปี ขน้ึ ไป

58 2. การจัดองค์กร (Organizing) หมายถึง ภาระหน้าที่ของผู้บริหาร ที่เกี่ยวข้องกับการจัด ระเบียบหน้าที่งานตา่ ง ๆ ภายในองคก์ ร หน้าที่การจัดองค์กร จึงเป็นเรือ่ งท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการ แบ่งงานกันทำ พร้อมกับการแบ่งส่วนอำนาจหน้าที่ที่เหมาะสม และการรวบรวมอยู่กันเป็นกลุ่มของ โครงสรา้ งเดยี วกันทีย่ ังคงมีระเบียบที่ตดิ ต่อสัมพนั ธ์กนั ได้ตามปกติ และเป็นกลุ่มที่มุ่งสเู่ ป้าหมาย หรือวตั ถุประสงคร์ ว่ มอนั เดียวกนั ตลอดเวลากระบวนการจัดองค์กรประกอบไปด้วย 3 ข้นั ตอน คอื 2.1 การพิจารณาแยกประเภทงาน จัดกลุ่มงาน และออกแบบงานสำหรับ ผู้ทำงานแต่ละ คน โดยผู้บรหิ ารจะตอ้ งพิจารณา ตรวจสอบ แยกประเภทของตนมีงานอะไรทต่ี ้องจดั ทำ เพอื่ ให้กจิ การ ได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ต่อมาจึงทำการจัดกลุ่มงาน หรือจำแนกตามประเภทงาน โดยมีหลัก พิจารณาว่างานทเี่ หมอื นกันควรอย่รู วมกัน เพ่อื ให้เปน็ ไปตามหลกั ของการแบง่ งานกนั ทำ (Division of labor) จากนั้นจึงแบ่งงานของแต่ละกลุ่มเหล่านั้นออกเป็นส่วนตามความสามารถ จนในที่สุดได้เป็น งานชน้ิ ต่างๆ ทแ่ี ต่ละสว่ นเหมาะกับคุณสมบตั ิของผทู้ จ่ี ะทำงานในแต่ละระดับ 2.2 การระบุขอบเขตของงาน และมอบหมายงาน พร้อมทั้งกำหนดความ รับผิดชอบ และ ให้อำนาจหน้าที่ โดยการระบุให้เห็นขอบเขตของงานที่แบ่งให้ผู้ปฏิบัติแต่ละคนตามที่ได้ออกแบบ มาแล้ว เพื่อให้ทราบว่างานแต่ละอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร มีขอบเขตงานเพียงใด และระบุช่ือเป็น ตำแหน่งพร้อมกับให้รายละเอียดกับชิ้นงานนั้นๆ ไว้ จากนั้นผู้บริหารทำการมอบหมายงาน ด้วยการ กำหนดเป็นความรับผิดชอบ (Responsibility) ที่ชัดเจน เกี่ยวกับงานที่มอบหมายให้ทำ พร้อมกันนั้น ก็มอบหมายอำนาจหน้าท่ี (Authority) ให้เพื่อใช้สำหรับการทำงานตามความรับผิดชอบที่ได้รับ มอบหมายให้เสร็จส้นิ ไป 2.3 การจดั วางความสัมพนั ธ์ เพ่อื ใหง้ านในสว่ นต่าง ๆ ท่แี บ่งกันนนั้ สามารถทำงานร่วมกัน เป็นอนั หนึง่ อนั เดยี วกัน โดยไม่กระจดั กระจาย และให้อยู่รว่ มกนั โดยไม่ขดั แยง้ และมรี ะเบยี บ เมอ่ื ไดด้ ำเนินการจนเสร็จสน้ิ ตามกระบวนการแลว้ สิ่งท่จี ะได้ และปรากฏเป็นหลกั ฐานสำหรับองค์กร และผู้ปฏิบัติงานทุกคน ได้แก่ ผังแสดงการจัดองค์กรที่เป็นทางการ หรือคำบรรยายลักษณะงาน (Job description) ของงานแต่ละตำแหน่งซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อตำแหน่ง รายละเอยี ดของงานท่จี ะต้องทำความรับผดิ ชอบ อำนาจหน้าที่ และความสัมพันธต์ า่ ง ๆ การจัดองค์กรที่เป็นทางการ (Formal organization) เป็นการจัดโครงสร้างองค์กร ตามเจตนา หรือบทบาท (Intentional structure of role) ในการปฏิบัติภายในองค์กร ซึ่งสามารถ แสดงออกมาเป็นแผนภูมิโครงสร้างองค์กร (Organization chart) ผู้บริหารจำเป็นต้องวางโครงสร้าง ทีแ่ นน่ อน เพื่อใหผ้ ใู้ ตบ้ ังคับบัญชาได้ ทราบถงึ อำนาจหนา้ ท่ีของตนเองในการปฏิบตั งิ าน และบง่ บอกถึง ขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล ทท่ี ำงานรว่ มกัน เพ่ือความเปน็ ระเบียบ โดยไม่มีการทำงาน ซํา้ ซอ้ น แต่การจัดโครงสร้างแบบทางการ ก็สามารถท่ีจะยดื หยุ่นได้บ้าง ข้นึ อยกู่ บั ความเหมาะสมของ สถานการณ์ และสภาพแวดลอ้ ม (Situation and environment) การจดั องคก์ รที่เป็นทางการ มักเกิดขน้ึ ในองค์กรท่ีมีขนาดกลางไปจนถงึ ขนาดใหญ่ ในองค์กร ที่มีขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า องค์กรผู้ประกอบการ (The entrepreneurial organization) การจัด องค์กรจะมีลักษณะโครงสร้างองค์กร ซึ่งเป็นโครงสร้างแบบง่าย ๆ ไม่เป็นทางการ มีความยืดหยุ่น มสี ายบงั คบั บญั ชาส้นั โดยกิจกรรมต่าง ๆ ขึน้ ตรงต่อผู้บริหาร ซ่ึงจะควบคุมอย่างใกล้ชิด

59 3. การจดั คนเข้าทำงาน (Staffing) หมายถงึ ภาระหน้าทขี่ องผ้บู ริหาร ที่จะตอ้ งเลือกบุคคล เพ่อื เข้ามาปฏิบตั ิหน้าที่ในองค์กร เพอื่ ใหก้ ารปฏิบัติงานมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสทิ ธิผล และสามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ หน้าที่การจัดคนเข้าทำงานมักเกี่ยวข้องกับหน้าท่ีบริหารงานบุคคล ทส่ี ำคญั คือ 3.1 การวางแผนกำลังคน (Manpower planning) ผู้บริหารจะต้องวางแผนคาดการณ์ว่า ในอนาคตองค์กรจะมีความต้องการตวั บคุ คลทีจ่ ะเข้ามารบั ตำแหนง่ มากน้อยเท่าใด มคี ณุ สมบตั ิอยา่ งไร 3.2 การสรรหา (Recruitment) เป็นการพยายามสรรหาบุคคล ที่มีคุณสมบัติตามต้องการ ในจำนวนที่ตอ้ งการ โดยส่วนใหญ่จะหาได้จาก 2 แหล่ง คือ จากแหล่งภายนอกกิจการ และการเล่ือน ขนั้ จากแหล่งภายในกจิ การ 3.3 การคดั เลือก (Selection) เปน็ กระบวนการท่ตี อ่ เนื่อง และสัมพันธ์กับการสรรหา วธิ ที ่ีนยิ มใช้คือ การดจู ากประวัตสิ ว่ นตวั การสมั ภาษณ์ การทดสอบ 3.4 การฝึกอบรม และการพัฒนาบุคคล (Training and development) เป็นการ ประเมินผลการทำงาน และฝกึ อบรม การพยายามรกั ษาคุณสมบัตขิ องพนักงานให้มีคุณภาพสูงอยเู่ สมอ มีการพัฒนาความรู้ เพิ่มทักษะในการทำงาน การแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต วิธีที่ใช้ คือ การให้คำแนะนำ การสอนงาน การให้ลงมอื ปฏบิ ตั ิงาน การพฒั นาอาชีพ 3.5 การบริหารค่าตอบแทนในการทำงาน (Compensation management) การจ่าย ค่าจ้างแรงงาน เงินเดือน และผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น สวัสดิการเรื่องการประกันภัย การลาหยุด การพักร้อน รายไดพ้ เิ ศษ ผลประโยชน์ต่าง ๆ 3.6 การประเมินผลพนักงาน (Employee evaluation) เป็นกระบวนการหนึ่ง ในการ ประเมินคุณภาพ ในการทำงานของพนักงานภายในองค์กร ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด ซึ่งสิ่งนี้จะมีผล จากตำแหน่งในการทำงานของพนักงานภายในองค์กร ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด ซึ่งสิ่งนี้จะมีผล สะทอ้ นกลับไปให้พนกั งาน เช่น เปน็ การปรบั ตำแหน่ง การจ่ายเงินโบนสั ประจำปี 4. การชักนำ (Leading) เป็นการสั่งการ (Directing) การจูงใจ (Motivation) ตลอดจน การจัดการกบั ความขัดแย้ง (Managing conflict) เพื่อให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ขององค์กร ซึ่งอธิบายได้ ดังนี้ 4.1 การสง่ั การ (Directing) ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539) ได้กล่าวว่า สำหรับความเป็นผู้นำ การสั่งการเป็น ความสามารถที่จะจงู ใจ และมอี ิทธพิ ลตอ่ บุคคลอ่ืนใหท้ ำงาน เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงคข์ ององค์กร จุมพล หนิมวานิช (2530) ได้อ้างถึงแนวคิดของ Koontz and O’Donnell ซึ่งได้ให้ ความหมายของการสั่งการไว้ว่า การสั่งการเป็นกิจกรรมซึ่งองค์ประกอบของการอำนวยการ โดยใช้ วิธีการจูงใจ การตดิ ตอ่ สอ่ื สาร และความเปน็ ผนู้ ำ

60 ลักษณะของการสั่งการทด่ี ี เป็นการติดต่อสื่อสารแบบสองทาง (Two – way communication) กล่าวคือ ผู้บริหาร ในฐานะผู้สง่ั และผู้ใตบ้ งั คบั บัญชาเปน็ ผรู้ บั คำสั่ง มโี อกาสซกั ถาม และตอบคำถามซึ่งกนั และกนั ได้ การสั่งควรสั่งให้ชัดเจน (Clear) ว่าจะมอบหมายให้ใครทำอะไร เมื่อใด ที่ไหน และควรทำ อย่างไร การสั่งการควรสั่งในเรื่องท่ีเป็นไปได้ ไม่เกนิ ความสามารถของผใู้ ต้บงั คับบัญชา ว่าจะสามารถ ดำเนนิ การตามท่สี งั่ ไดเ้ พยี งใด การสัง่ การต้องพิจารณาตามสภาพของเรือ่ งราวต่าง ๆ ตลอดจน สภาพแวดล้อมว่าเปน็ อย่างไร เม่อื ศึกษาแล้วจึงคอ่ ยดำเนนิ การส่ังการ 4.2 การจูงใจ (Motivation) ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539) ได้อ้างถึงแนวคิดของ Bovee and Others ซึ่งให้ ความหมายของการจูงใจว่า เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้บุคคลเกิดความคิดริเริ่ม ควบคุม รักษาพฤติกรรม และการกระทำ มนุษย์มีความต้องการด้านอื่น ๆ เช่น การยกย่อง สถานะ ความรัก ความผูกพันกับ บุคคลอื่น การประสบความสำเร็จ โดยท่ัวไปความต้องการจะเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป และ แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะบุคคลดว้ ย เทคนิคการจูงใจพนักงานท่ีสำคัญ ประกอบด้วย เงิน เป็นสิ่งกระตุ้นอยู่ในรูปต่าง ๆ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส ประกันต่าง ๆ เช่น ประกัน สุขภาพ หรือประกันชวี ติ การมสี ่วนร่วม รวมถงึ การยอมรบั ทำให้พนักงานรู้สึกถึงความสำเร็จ คุณภาพชีวิตการทำงาน เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาพ อนามัย และสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เช่น การจัดสถานที่ทำงานอยา่ งถูกสุขลักษณะ มีอากาศถ่ายเทสะดวก การจัดแสงสว่างทเ่ี หมาะสม เป็นตน้ 4.3 การแก้ปญั หาความขัดแย้ง (Managing conflict) ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2539) ได้อ้างถึงแนวคิดของ Bovee and Others ว่า ความขัดแย้งหมายถึง สิ่งที่ความเห็นไม่ตรงกัน (Disagreement) ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่าง ระหว่างบุคคลแต่ละคนมากกวา่ 2 คนขึ้นไป หรือกลุ่มต้ังแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป ความขัดแย้งสามารถ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค ์ (Constructive conflict) กับความ ขัดแย้งมุ่งทำลาย(Destructive conflict) โดยความขัดแย้ง ที่เกิดข้ึนในองค์กรจะมีท้ังประโยชน์ และโทษ ดังนั้นในการจัดการกับความขัดแย้ง (Managing conflict) ผู้บริหารจึงต้องกระตุ้นให้เกิด ความขัดแย้งในเชงิ สร้างสรรค์ เชน่ การแขง่ ขนั ยอดขายระหวา่ งบุคคล หรือแผนก จะสามารถนำมาใช้ กระต้นุ ผลการปฏิบตั ิงานของพนกั งานได้ เป็นตน้ ในขณะเดียวกนั ผู้บรหิ ารสามารถใช้วิธีการเจรจา การ ตอ่ รอง และการใชบ้ คุ คลที่สามเพ่อื ระงับ หรือลดความขัดแย้งทมี่ ุง่ ทำลายตอ่ องค์กรได้ 5. การควบคมุ (Controlling) เป็นการวัด และแก้ไขการทำงานเพ่ือใหแ้ น่ใจว่าวัตถุประสงค์ และแผนขององค์กรมีการใช้เพือ่ ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ การวางแผน และการควบคมุ มีความสมั พันธก์ ัน อย่างใกล้ชดิ โดยกระบวนการควบคุม มขี ั้นตอนทีส่ ำคญั 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี

61 5.1 การกำหนดมาตรฐาน (Establish standards) ผู้บริหารจะรับผิดชอบในการแปล ความหมายต่อเป้าหมายแผนขององค์กร ให้เป็นมาตรฐานในการวัดที่เหมาะสม เพื่อติดตาม กระบวนการที่ต่อเนื่อง เมื่อผู้บริหารกำหนด และติดตามการวัดผลที่สำคัญสำหรับกระบวนการใน องค์กรแล้วจะคาดหวังการทำงานในการติดต่อสื่อสารสำหรับพนักงาน การกำหนดมาตรฐาน การทำงานเป็นสง่ิ สำคัญเพ่อื ใชก้ ารวัดผลงาน และจูงใจพนักงานด้วย 5.2 การวัดผลการทำงาน (Measure performance) กำหนดกระบวนการวัดผลการทำงาน เปน็ การวัดผลเพื่อว่าสงิ่ ทแี่ ตกต่างจากมาตรฐานจะสามารถป้องกันในการเกิดขนึ้ อกี และการหลีกเลี่ยง การปฏิบัติการที่ไมเ่ หมาะสม 5.3 การเปรียบเทียบการทำงานกับมาตรฐาน (Compare performance to standards) เป็นการนำผลทไี่ ดจ้ ากการวดั มาเปรียบเทียบกบั มาตรฐานทีไ่ ด้วางไว้ 5.4 การปฏิบัติการแก้ไข (Take action) การแก้ไขที่สาเหตุ แก้ไขที่มาตรฐาน แก้ไขท่ีวิธี ดำเนินงาน หรือปรับปรงุ แผนใหม่ เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการควบคุม หรือมาตรฐานทใ่ี ชใ้ นการเปรียบเทียบ เพ่อื ใหผ้ ูบ้ ริหารไดท้ ราบว่า ผลการปฏิบตั งิ านที่ไดเ้ ป็นไปตามเปา้ หมายหรอื ไม่ ที่สำคัญมดี งั นี้ ปรมิ าณงาน หมายถงึ จำนวนชิน้ งานท่จี ะตอ้ งทำใหไ้ ดต้ ามมาตรฐาน คณุ ภาพ หมายถงึ ผลผลติ ทไี่ ดม้ าตรฐานตามท่กี ำหนด เวลา หมายถงึ เวลาทใ่ี ช้ในการทำงานให้เสรจ็ ลง ต้นทนุ หรือค่าใชจ้ า่ ย นิยมใชใ้ นการตั้งงบประมาณ 5. แนวคิด และทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วข้องกับจติ สานกึ ความหมายของจติ สำนกึ คำว่า “จิตสำนึก (Consciousness)” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบาย ความหมายของจิตสำนึกไว้ว่า จิตสำนึกเป็นลักษณะของบุคคล ที่สามารถตอบโต้ต่อสิ่งที่อยู่รอบตัว ตระหนักรู้ สัมผัสความรู้สกึ ความคดิ และการต่อสู้ด้ินรนของตนเองได้หรืออธิบายง่าย ๆ คือ ลักษณะ ของบุคคลที่ทำอะไรลงไปอย่างรู้ตัว ไม่ใจลอยหรือไม่ทำลงไปในขณะขาดสติยับยั้ง และพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน ให้ความหมายจิตสำนึกไว้ว่า เป็นภาวะทางจติ ตน่ื และรตู้ วั สามารถตอบสนอง ส่ิงเรา้ จากประสาทสมั ผสั ทงั้ ห้าคอื รปู รส กลน่ิ เสยี ง และสงิ่ สัมผัสได้ดว้ ยกาย จิตสำนึกเป็นภาวะทางจิต ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ใหเ้ หน็ เปน็ รปู ธรรม ทบี่ ่งบอกภาวะจติ สำนกึ ของบุคคลน้ัน ๆ มีคำอ่นื ๆ ที่มคี วามหมายใกล้เคียง และใช้ แทนคำว่าจิตสำนึก เช่น ความสำนึก ความรู้คิด และความตระหนัก เป็นต้น ในทุก ๆ องค์กรมีความ ตอ้ งการที่ใหบ้ คุ ลากรทกุ คนมีจิตสำนกึ อยู่ตลอดเวลา เกย่ี วกับหน้าที่การงานเพ่ือสง่ ผลทำให้หน่วยงาน ประสบความสำเรจ็ พบวา่ มนี ักวิชาการให้ความหมายชองคำวา่ จติ สำนึก ไวด้ งั ต่อไปนี้ ศกั ดิ์ สุนทรเสณี (2531) กล่าวว่า จิตสำนกึ เป็นมิตหิ น่งึ ของเจตคติ ซงึ่ มิตนิ จ้ี ะมองวา่ เจตคติ อยู่ในสภาวะจิตสำนึก หรือจิตไร้สำนึกหรืออยู่ในสำนึกบางส่วน จึงอาจกล่าวได้ว่าจิตสำนึกเป็นส่วน หนึ่งของการรับรู้ทางจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเกิดพฤติกรรม โดยมีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ ความรู้ ความรสู้ ึกทางจติ ใจ และพฤติกรรม

62 วราพร ศรสี ุพรรณ (2535) กลา่ วว่า จิตสำนึก เปน็ ลักษณะของจิต ทมี่ ีท้งั ความตระหนกั (Awareness) และความรับผิดชอบ (responsibility) กระมล ทองธรรมชาติ และพรศักด์ิ ผ่องแผ้ว (2539) ได้ให้ความหมายของจิตสำนึก (Conscious Mind) ว่าเป็นสภาวะแห่งจิตใจ ที่เกี่ยวกับความรู้สึก ความคิด ความปรารถนาต่าง ๆ สภาวะจติ ใจดงั กล่าว เกิดความรบั รู้ซง่ึ มีความหมายเหมือนกบั คำว่ารตู้ วั (Awareness) อันเป็นผลจาก การประเมินค่า การเห็นความสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากทัศนคติ (Attitude) ความเชื่อ (Beliefs) คา่ นิยม (Values) ความเหน็ (Opinion) ความสนใจ (Interests) ของบุคคล ซึ่งเป็นความหมายในเชงิ จิตวิทยา ส่วนในเชิงสังคมนัน้ ได้ให้ความเหน็ ไว้ว่า จิตสำนึกสามารถเทียบเคียง และใช้แทนกันได้กับ\" อุดมการณ์\" (Ideology) ซึ่งหมายถึงแบบแผนความคิดความเชื่อที่พึงต้องมีเป็นรูปแบบของคุณงาม ความดี ทคี่ วรส่งเสรมิ ให้ปฏิบตั ิ ชาย โพธิสิตา และคนอื่น ๆ (2543) ได้ให้ความหมายของคำว่า บุคคลมีจิตสำนึกหรือไม่ ถ้าอยากรวู้ ่าบคุ คลมจี ติ สำนึกตอ่ สง่ิ ใดหรือไม่เพียงใด จะตอ้ งดูทก่ี ารกระทำหรอื พฤติกรรมของเขาต่อสิ่ง น้นั วา่ มคี วามรบั ผดิ ชอบหรอื ไม่ เพยี งใด พฤติกรรมท่ีประกอบด้วย ความรับผิดชอบ จึงเป็นสิ่งสำคัญท่ี จะตัดสินว่า ใครมีจติ สำนกึ ต่อสิ่งใดสง่ิ หนึง่ หรอื ไม่ โดยนัยนี้ จติ สำนึกตอ่ หน้าทก่ี ็คือการกระทำท่ีแสดง ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เช่น การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ จิตสำนึกต่อชุมชน คือ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ กิจกรรมของชมุ ชน จติ สำนกึ ตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม คือ การใชส้ ิง่ แวดลอ้ มอย่างรับผิดชอบ เพอ่ื ประโยชน์ของสิง่ แวดล้อม และคนอ่นื ทอี่ ย่ใู นสง่ิ แวดลอ้ มเดียวกนั เป็นต้น ชุติมา เวชการ และคนอื่น ๆ (2545) ได้ให้ความหมายของคำว่า จิตสำนึกไว้ว่าเป็นความรู้ ความเข้าใจ และความรสู้ กึ ร่วมได้ร่วมเสยี ท่ีมตี อ่ สงั คม สามารถโยงปญั หาของสังคมเขา้ กบั งานของตน มองว่างานของตนมีบทบาทตอ่ ปัญหาเหลา่ น้ัน และพรอ้ มที่จะแก้ไขปญั หาของสังคม พรศกั ดิ์ ผอ่ งแผ้ว (2531) ไดใ้ หค้ วามหมายของคำวา่ จิตสำนึก เปน็ ผลทไ่ี ด้มาจากการประเมิน ค่า การเหน็ ความสำคญั ซง่ึ มีฐานอยทู่ ท่ี ัศนติ ความเช่ือ ค่านิยมความเหน็ และความสนใจของบคุ คล สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2549) ได้ให้ความหมายของคำว่า จิตสำนึก หมายถึง ความคิด ความรูส้ กึ ท่ีอยู่ส่วนลกึ ของบุคคล ติดตัวติดใจอยู่ตลอดเวลา คงทน และไม่เปลย่ี นโดยงา่ ย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ (2552) ได้ให้ความหมายของคำว่า จิตสำนึก หรือความตระหนัก หมายถึง การตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และตัดสินใจเลือกสนองตอบต่อสิ่งนั้น ในทางที่ถูกต้อง ตามกฎระเบยี บ กฎหมาย กฎของสังคม จารีตประเพณี โดยสรุป จิตสำนึก หมายถึง ความรู้สึกทางจิตใจ และเห็นความสำคัญของการอนรุ ักษส์ ิ่งใด สิ่งหนึ่ง อาจหมายถึงความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคมโดยรวมที่ได้รับการอบรมพัฒนาจิตใจแล้ว ทั้งด้านความรู้ ความตระหนัก และพฤติกรรม ความรู้สึกตระหนักในความถูกต้อง การเห็นคุณค่า จนเกิดความรูส้ ึกนึกคิดขน้ึ ในตวั บุคคล เปน็ ส่วนหนงึ่ ของการรบั รู้ทางจติ ใจ สูก่ ารเกิดพฤตกิ รรม

63 องคป์ ระกอบของจติ สำนึก ประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดังนี้ 1) ส่วนที่เป็นองคป์ ระกอบด้านความคิด (Cognition) เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดที่เปน็ ส่วนของการรับรู้ หรือเกิดความรับรู้ของสำนึกเป็นหลัก เช่น การรับรู้ (Perception) ความทรงจำ (Memory) ความมเี หตุผล (Reasoning) และการใชป้ ัญญา (Intellect) 2) ส่วนที่เป็นองคป์ ระกอบดา้ นทา่ ทคี วามรู้สึก (Affection) เปน็ สว่ นประกอบทางดา้ นอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งจะเป็นส่ิงกระตุ้น “ความคิด” อีกต่อหน่ึง เป็นส่วนของความรู้สึกทางใจของสำนึกท่รี วม เอาความรู้สึกของบุคคลทัง้ ในดา้ นบวก และด้านลบ เป็นตน้ 3) ส่วนที่เป็นองค์ประกอบด้านการปฏิบัติ หรือการกระทำ (Action) เป็นองค์ประกอบ ทกี่ อ่ ใหเ้ กิดแนวโนม้ ในทางปฏบิ ัติ หรือปฏิกิรยิ าตอบสนอง เมื่อมีสิ่งเรา้ ท่เี หมาะสม ซ่งึ ส่วนนี้ต้องอาศัย ความเข้าใจหรอื ความคิดรวบยอด (Concept) เกี่ยวกบั ส่งิ นั้นเปน็ พื้นฐาน สิปปนนท์ เกตุทัต (2543 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2556) เชื่อมั่นว่า การเรียนรู้ชีวิต และ สังคม เป็นการเรยี นรูท้ ีต่ อ้ งบรู ณาการการศึกษา ศาสนา ศลิ ปะวัฒนธรรม และธรรมชาตโิ ดยการบูรณา การจะตอ้ งนำชวี ิตเป็นตวั ตง้ั การปรากฏ หรือกอ่ รปู ของจิตสำนกึ (Emergence of Consciousness) นักจิตวิทยาการศึกษา เช่น สิปปนนท์ เกตุทัต (2545 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2556) มีความเห็นว่า จิตสำนึก เป็นคุณลักษณะทางจิตพิสัยที่ปรากฏ หรือก่อรูปขึ้นในจิตใจของมนุษย์ แตล่ ะคน ภายหลงั ไดร้ ับรู้ปรากฏการณ์ หรือไดร้ บั ส่งิ เร้าจากภายนอกในเชงิ สะสม การก่อรูปที่มีความ ตอ่ เน่ืองกนั จงึ ยากที่จะกำหนดแยกแยะ หรอื ทำการจดั ลำดับชนั้ เพื่อบง่ ช้ีวา่ บคุ คลมีความรู้สึกอยู่ที่ใด ได้ชดั เจนแน่นอน การกอ่ รูปของจิตสำนึกยงั เก่ียวกนั กับคุณลกั ษณะทางด้านสติปญั ญา และการกระทำ ของมนุษย์อีกด้วย หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า จิตสำนึกเป็นผลลัพธ์เชิงคุณลักษณะทางจิตใจ ของมนษุ ยท์ ี่ก่อรปู ข้ึนผ่านกระบวนการเรียนรู้ของบุคคล ซ่ึงกระบวนการเรยี นร้นู ม้ี ีองค์ประกอบสำคัญ 3 สว่ น ได้แก่ 1) คุณลักษณะด้านพทุ ธพิสยั หมายถึง การได้รับรู้ (Cognition) หรือการมีประสบการณ์ตรง กับสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรปู ธรรม และนามธรรมผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ ทำให้บุคคลรู้จัก หรือระลึกถึง มีความเข้าใจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สามารถวิเคราะห์ และประเมินคุณค่าของสิ่งดังกล่าวได้ และนำไปสู่การก่อรูปของจิตสำนึก 2) คุณลักษณะด้านจิตพสิ ัย หมายถึง ความรู้สึกทางจิตใจ (Affection) อันได้แก่ การมีความ สนใจ หรือใฝใ่ จในสงิ่ ดงั กล่าว โดยมปี ฏกิ ิริยาสนองตอบการเห็นหรือให้คุณค่า การจัดระบบของคุณค่า และสรา้ งเปน็ คุณลักษณะนสิ ัยท่ีนำไปสู่จติ สำนกึ 3) คุณลักษณะทางด้านทักษะพิสัย หมายถึง พฤติกรรม (Behavior) หรือการแสดงออก ที่สามารถจะสังเกตรูปแบบความประพฤติได้อย่างชัดเจนที่เรียกว่าบุคลิกภาพ จิตสำนึกของบุคคล จึงเปน็ ผลการเรยี นรทู้ ่ีเกิดขนึ้ ภายหลังจาก การมปี ระสบการณ์ตรงกับส่ิงเร้า การรับรใู้ นส่วนน้ีได้ก่อรูป ขึน้ ในจติ ใจของบุคคลในรูปของความเช่ือ ค่านยิ ม ทศั นคติ ท่กี ่อใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมเปน็ คุณลักษณะทาง จติ ท่กี อ่ รูปผ่านกระบวนการทางปัญญา เปน็ ปฏิกริ ยิ าตอบสนองต่อปรากฏการณ์ทางสังคม

64 ประเภทของจติ สำนกึ จากการศึกษาประเภทของจติ สำนกึ ชาลี โชตกิ าญจนเรือง (2553) แบ่งจติ สำนึกไว้ ดังนี้ 1) จิตสำนึกคุณภาพ (Quality Awareness): การที่ผู้ปฏิบัติงานมีการรับรู้ถึงผลกระทบที่ได้ จากการปฏิบัติงาน หรือมีสติรู้ว่าขณะปฏิบัติงานนั้น ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพอยู่ตลอดเวลา เพ่อื ทำใหส้ นิ ค้าหรือบรกิ ารทไ่ี ด้มีคุณภาพ หรือได้มาตรฐานตรงตามทีก่ ำหนดเอาไว้ ประโยชน์ท่ีได้จาก พนักงานท่มี จี ิตสำนกึ คุณภาพ คอื ความสญู เปลา่ ลดลง และเพ่ิมประสิทธภิ าพการทำงาน 2) จิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม (Environment Awareness): การที่ผู้ปฏิบัติงานมีการรับรู้ถึง ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หรือมีสติรู้ว่าขณะปฏิบัติงานนั้น ต้องให้ความสำคัญต่อ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้การทำงานมีการป้องกัน ปฏิบัติ และปรับปรุงให้ รกั ษาสิง่ แวดล้อม ทั้งต่อผปู้ ฏบิ ัติเอง ผเู้ กี่ยวขอ้ ง องค์กร และสังคมโดยรวม 3) จิตสำนึกต่อความปลอดภัยในการทำงาน (Safety Awareness): การที่ผู้ปฏิบัติงานมีการ รับรู้ถึงอันตราย และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หรือมีสติรู้ว่าขณะปฏิบัติงานนั้น ต้องให้ความสำคัญ ต่อความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้การทำงานมีความปลอดภัย ทั้งต่อผู้ปฏิบัติเองผู้เก่ียวข้อง องค์กร และสังคมโดยรวม 4) จิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness): การตระหนกั รู้ตนที่จะทำสิ่งใดเพื่อเหน็ แก่ ประโยชนส์ ว่ นรวม สามารถวัดไดจ้ ากพฤติกรรมโดยรวม จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ผู้มีจิตสำนึกที่ดี คือ ผู้ที่รู้หน้าท่ี และปฏิบัติตามหน้าที่ด้วยความ รับผิดชอบของตนเองอย่างชัดเจน เต็มที่ เต็มความสามารถ จนเกิดประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพ และมีจติ ใจแห่งการปรับปรุงอย่างต่อเนือ่ ง การสร้างจิตสำนกึ ท่ดี ี (Concepts and Theories about Creating Public Awareness) การสร้างสำนึกที่ดี และถูกต้องนั้น อาศัยปัจจัยของการรับรู้ของแต่ละบุคคล และการรับรู้ ข้ึนอยกู่ ับอิทธิพล 3 ประการ คือ 1) ประสบการณท์ ั้งในอดตี ทผ่ี ่านมา และในชวี ิตประจำวัน 2) ความใส่ใจ และการใหค้ ุณคา่ ในเรือ่ งทจ่ี ะรบั รู้ซึ่งการใส่ใจสามารถแปรเปล่ียนได้หลายระดับ ต้ังแตค่ วามจำเป็น ความตอ้ งการ ความคาดหวงั ความสนใจ และอารมณ์ 3) สุดท้ายลักษณะ และรูปแบบการรับรู้เรื่องต่างๆ การเรียกร้องความสนใจอาศัยการได้ยนิ ได้เหน็ เพยี งคร้งั เดียว แต่การรับรู้ต้องการหลายครง้ั และสำนกึ ท่ีดีนัน้ ต้องการระยะเวลานานพอสมควร (คงศักดิ์ ธาตุทอง, 2539) ซึ่งสอดคล้องกับ Hilgard ที่กล่าวว่า การเรียนรู้คือการเปลี่ยนแปลงอย่าง คอ่ นข้างจะถาวรในพฤติกรรมอันเปน็ ผลเน่ืองมาจากการฝึก และเชน่ เดียวกับกฎแห่งการฝึก (Law of Exercise) ของ Thorndike ที่บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองได้สัมพันธ์แน่น แฟ้นขึ้น และความสัมพันธ์นีจ้ ะแนน่ แฟน้ ยง่ิ ขึ้นเมอ่ื มกี ารฝกึ หดั หรือทำซำ้ บ่อยๆ และความสมั พันธ์น้ีจะ คลายออ่ นลงเม่ือไมไ่ ดใ้ ช้ 1) ลักษณะของจิตสำนึก ในภาพรวม William (1992 อ้างถึงใน ไตรรงค์ เฉวียงหงส์, 2544) ลักษณะของจิตสำนึก ในภาพรวม มี 5 ประการดังนี้ 1) มีอัตวิสัย (Subjectivity) เป็นความคิดต่างๆ

65 เฉพาะตัวบุคคล 2) มีการเปลย่ี นแปลง (Change) จติ สำนึกมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเน่ือง ไม่ใช่เป็น เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้น แต่เป็นการมองเห็นความแตกต่างในสิ่งที่ผ่านมาคล้ายกับเหตุการณ์ เฉพาะหนา้ 3) มีความต่อเนอื่ ง (Continuity) เปน็ กระแสความคดิ ท่ีจะสร้างภาพจากเหตกุ ารณ์ในอดีต มาเช่อื มโยงกบั เหตุการณป์ ัจจบุ นั 4) มคี วามต้ังใจ (Intentionality) เป็นความรสู้ กึ ตอ่ บางสิง่ บางอย่าง ที่เป็นความต้องการ ความสนใจหรือความตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นๆ และ 5) มีการเลือก (Selectivity) การเกิดความตระหนักในสิ่งเร้าทั้งภายนอก และภายใน ต้องเลือกที่จะให้ความสนใจในสิ่งนั้น เช่น การรับรู้ การจดจำ และการตัดสินใจเลือก แนวคดิ และทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกบั การสรา้ งจิตสำนกึ ในส่วนน้ี จะกลา่ วถงึ ค่านิยม เจตคติ องคป์ ระกอบรว่ มในการเสรมิ สร้างวินยั ทฤษฎีการเรียนรู้ ทางสงั คม ทฤษฎกี ารเรยี นรู้จากการสงั เกตตัวแบบของแบนดูรา ซึง่ จะเกย่ี วโยงไปถงึ การสร้างจติ สำนกึ คา่ นยิ ม (Values) ค่านิยม (Values) หมายถึงความเชื่อท่ีสมาชิกของสังคมในสังคมหนึ่งยอมรบั โดยเห็นวา่ มีคา่ เป็นประโยชน์แก่สังคม ความคิดความเห็นของแต่ละคน มักจะมีค่านิยมเคลือบแฝงอยู่ด้วยเสมอ คา่ นยิ มมีสว่ นเกย่ี วข้องในชวี ิตประจำวนั หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ เป็นสว่ นหนงึ่ ของชวี ิตทีม่ ีอิทธิพล สามารถ กำหนดพฤติกรรมของบุคคลได้ ไม่แพ้ความต้องการขั้นพื้นฐานทางร่างกายของมนุษย์ อาจกำหนด หน้าที่ (Role) หรือลักษณะของคา่ นิยมท่ีปรากฏอยู่ ใน 2 หน้าที่ คือ หน้าที่แรกคา่ นิยมเป็นเรือ่ งที่อยู่ ในบุคคล ค่านิยมในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสนใจ และอารมณ์ของแต่ละบุคคล เป็นอุปาทานที่เกิดขึ้นซึ่งไม่เหมือนกันในแต่ละคน และหน้าที่ที่สอง ค่านิยมเป็นมาตรฐานของสังคม ค่านยิ มอาจถอื ไดว้ ่าเป็นมาตรฐานของสังคม ทีท่ ำให้บุคคลในสงั คมมคี วามคิดมีการปฏิบัติไปในแนวทาง เดียวกัน ซึ่งอาจถือได้ว่า ค่านิยมเป็นวัฒนธรรมของสังคม (วินัย วีระวัฒนานนท์. 2536) สรุปได้ว่า การปฏิบตั ิตน หรอื พฤติกรรมท่ปี รากฏของแต่ละบุคคล ขนึ้ อยู่กับคา่ นิยมของแตล่ ะบคุ คล หรือค่านิยม ของสงั คมนน้ั เอง เจตคติ (Attitude) เจตคติ (Attitude) คือความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น รูปธรรมหรือนามธรรม เจตคติของแต่ละคนที่มีต่อวัตถุ หรือมีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งย่อมแตกต่างกัน ออกไป องค์ประกอบของเจตคติ อาจจำแนกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะแรก ส่วนที่เป็นความรู้สึก นึกคิด (Affective components) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทันทีที่ได้พบเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็น ความรู้สึก ชอบ-ไม่ชอบ รัก-เกลียด สวย-ไม่สวย หรืออาจเรียกว่าความรู้สึกที่เป็นในทางบวก หรือ ทางลบ (Positive or negative feeling) ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ลักษณะที่สอง ส่วนที่เป็นวิจารณญาณ (Cognitive components) เจตคติในแนวนี้เกิดจากการที่บุคคลได้ใช้กระบวนการคิดพิเคราะห์ จะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามภายในความคิดของเขาเอง แล้วสรุปเอาเป็นว่า ความคิดของเขา อย่างนั้นน่าจะเป็นที่ยอมรับโดยส่วนตัวเขาหรือโดยคนอื่น ๆ และลักษณะที่สาม คือ ส่วนที่เป็น พฤติกรรม (Behavioral components) เจตคติในแนวนี้ออกมาในลักษณะของการกระทำอย่างใด อย่างหนึ่ง เช่น คนท่ีไม่โยนเศษกระดาษ หรืออาหารลงพื้นถนน ก็ย่อมชี้ได้ว่าเพราะเขามีเจตคติ ในลักษณะของความรู้สึกนึกคิด (Affective component) หรือวิจารณญาณ (Cognitive component) ว่าการทิ้งเศษกระดาษหรืออาหารลงบนพื้นถนนเป็นการทำให้บ้านเมืองสกปรก และ

66 เป็นการไม่รับผิดชอบต่อสังคมที่เขาอยู่ จึงทำให้เขาไม่ทิ้งสิ่งของลงบนถนน (วินัย วีระวัฒนานนท์ , 2536 )จากที่กล่าวมา พอจะสรุปได้ว่า กระบวนการเกิดเจตคตินั้น เริ่มจากความรู้สึกนึกคิด ต่อสิ่งนั้นหรือเหตุการณ์นั้น ๆ จากนั้นก็ผ่านการวิเคราะห์ แยกแยะ อย่างมีเหตุผล เพื่อนำไปสู่ การปฏิบตั ิ องคป์ ระกอบรว่ มในการเสรมิ สรา้ งวินยั พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความมีวินัย หรือตั้งอยู่ในวินัย ที่เรียกว่าศีลนั้น เป็นแสงเงินแสงทอง อย่างหนึ่งของชีวิตที่ดีงาม หรือเป็นรุ่งอรุณของการศึกษา แสงเงินแสงทองนี้มี 7 อย่างเหมือนกับ สเปกตรัม คือ แสงนั้นประกอบด้วยสีต่าง ๆ 7 สี แสงอาทิตย์ตอนรุ่งอรุณก็ประกอบด้วยแสงเงิน แสงทอง 7 สี กล่าวคือ องค์ประกอบสำคัญ 7 ประการดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โดยมีหลักการว่า องค์ประกอบอย่างหน่ึงจะเกิดขึ้นโดยสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่น ซึ่งจะมาช่วยเสริมกันฉะนั้นในการ สร้างวินัย เราก็อาศัยองค์ประกอบในชุดของมนั นี้มาช่วยหนนุ องค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องใกล้ชดิ มาก 3 อย่าง คือประการแรก ความมีกัลยาณมิตร ความมีกัลยาณมิตรนี้ช่วยมาก เพราะเป็นผู้นำ และเป็นแบบอย่าง เริ่มตั้งแต่การช่วยสร้างพฤติกรรมเคยชิน กัลยาณมิตรเป็นบุคคลที่มีการฝึกฝน พัฒนาดีแล้ว ในความหมายหนึ่งก็คือเขามีศีล วินัย ทำให้เด็กได้แบบอย่างที่ดี ถึงแม้เด็กไม่รูไ้ ม่เข้าใจ แต่พอกัลยาณมิตรทำอะไร แกก็ทำตาม แกก็ได้พฤติกรรมเคยชินที่มีวินัยไปเอง กัลยาณมิตรนอกจาก ใหแ้ บบอย่างทด่ี ีในด้านพฤตกิ รรมเคยชนิ แล้ว กัลยาณมิตรยงั มีคุณสมบัติทางจิตใจดว้ ย โดยมีคุณธรรม เช่น เมตตา มีความรกั ความปรารถนาดี ทำใหเ้ ดก็ ศรัทธา เกิดความอบอนุ่ ใจ เมอื่ คณุ ครูทรี่ ักบอกให้ทำ อะไร เด็กก็ยนิ ดีปฏบิ ตั ติ ามด้วยความรกั ด้วยศรัทธา จติ ใจกอ็ บอุ่นมีความสุข นอกจากนั้นคุณครูผู้เป็น กัลยาณมิตรก็มีปญั ญา รู้เหตุรู้ผล สามารถอธิบายใหเ้ ด็กรู้ด้วยวา่ ที่เราทำกันอย่างนี้ ประพฤติอยา่ งนี้ มเี หตผุ ลอยา่ งไร มีประโยชน์อยา่ งไร มคี ณุ คา่ อยา่ งไร เด็กกไ็ ด้พัฒนาปญั ญาไปด้วย ทำใหพ้ ฤติกรรมย่ิง แนบแน่นสนทิ เพราะฉะนน้ั องค์ประกอบข้อกัลยาณมิตรจงึ สำคญั มาก ประการทส่ี อง ฉนั ทะ คือความ รกั ดี ใฝ่ดี ใฝร่ ู้ ใฝ่สร้างสรรค์ เดก็ ทมี่ ฉี นั ทะจะใฝร่ ู้ใฝ่สร้างสรรค์ ปรารถนาในสง่ิ ท่ดี งี าม ต้องการให้ชีวิต ของตนดงี าม ต้องการให้ทุกสงิ่ ทต่ี นเขา้ ไปเกย่ี วข้องดีงามไปหมด ตอ้ งการใหส้ ังคม ชมุ ชน โรงเรียนของ ตนดีงาม อยากให้ชั้นเรียนเรียบร้อยดีงาม อยากให้ความดีงามเกิดขึ้นในชีวิต ในสังคม ความใฝ่ดีคือ ฉันทะนี้สำคัญมาก จัดเป็นแสงเงินแสงทองอีกอย่างหนึ่ง ในข้อแรก เด็กยังต้องอาศัยกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก แต่พอฉันทะเกิดขึ้นเด็กก็ได้ปัจจัยภายในตัวเอง ตอนนี้เด็กมีแรงจูงใจใฝ่ดี ใฝส่ ร้างสรรคอ์ ยู่ในตัว เด็กจะอยากทำทุกอยา่ งท่ดี งี าม และทำทกุ อยา่ งทตี่ นเขา้ ไปเก่ียวข้องให้ดีไปหมด วินัยน้นั เปน็ เครือ่ งทำใหส้ ังคมดงี าม ทำให้ชีวติ ดีงาม พอเดก็ น้ันรอู้ ยา่ งนี้ เขามคี วามใฝด่ ีอยู่แล้วก็ปฏิบัติ หรือฝึกตัวตามวินัยนั้นทันที คนที่มีฉันทะนี้อยากให้ทุกสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ในภาวะที่ดีที่สุด ของมัน เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ก็อยากให้เพื่อนมนุษย์นั้นอยู่ในภาวะที่ดีที่สุดของเขา ความมีฉันทะ ต่อเพื่อนมนุษย์กแ็ สดงออกเป็นเมตตา คือ อยากให้เพื่อนมนุษย์อยู่ในภาวะที่เอิบอิ่มแข็งแรงสมบูรณ์ มีความสุขอยา่ งดีที่สุดของเขา ฉนั ทะนีด้ ีอยา่ งยง่ิ จงึ ต้องสร้างขน้ึ มา ถ้าฉนั ทะเกดิ ขึ้นก็เป็นแสงเงินแสง ทองของชีวิต ไม่ว่าจะปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมอะไร ก็มีหวังสำเร็จถ้าฉันทะเกิดขึ้นประการที่สาม อัตตสัมปทา แปลวา่ การทำตนให้ถึงพร้อม หรอื การทำตนให้เพยี บพร้อมสมบูรณ์แห่งศกั ยภาพของตน คือต้องการจะพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ หรือต้องการทำชวี ิตของตนให้ถึงความสมบูรณ์ ซึ่งจะเกดิ เป็น จติ สำนึกในการฝกึ ฝนพัฒนาตน หรอื จิตสำนกึ ในการศึกษา เม่อื เด็กมจี ติ สำนึกในการศึกษา มีจิตสำนึก

67 ในการพัฒนาตน หรือจิตสำนึกในการฝึกตน หรือจิตสำนึกในการเรียนรู้ขึ้นมาเมื่อไร ก็มีหวังที่จะ ก้าวหน้า เพราะเขาพร้อมที่จะรับ และบุกฝ่าเดินหน้าไปในสิ่งที่ดีงามทุกอย่าง ฉันทะนั้นใฝ่ดีอยู่แล้ว คราวนี้ยังแถมมีจิตสำนึกในการที่จะฝึกฝนพัฒนาตนอีก เด็กจะเรียนรู้ว่า มนุษย์เรานี้ไม่เหมือนสัตว์ ทั้งหลายอืน่ มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีต้องฝึกต้องพัฒนา เราจะต้องฝึกฝน พัฒนาตน พระพทุ ธศาสนาสอนว่า มนุษย์เป็นทัมมะ คือ เป็นสัตว์ที่จะต้องฝึก หรือฝึกได้ พระพุทธเจ้ามีพุทธคุณข้อหนึ่งว่า อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ ซึ่งเราท่องกันแม่นแปลว่า ทรงเป็นสารถีฝึกทัมมะ คือ ฝึกบุคคลหรือสัตว์ที่ต้องฝึก ผู้ยอดเยี่ยม มนุษย์เรานี้จะดีจะประเสริฐ ก็ด้วยการฝึก มนุษย์มีศักยภาพในการฝึกสูงสุด ฝึกแล้ว จะประเสรฐิ จนเป็นพุทธะก็ไดฉ้ ะนั้นมนษุ ย์จะต้องมีความภูมใิ จ และม่ันใจในศกั ยภาพนี้ โดยมีจิตสำนึก ในการฝึกตน และจะตอ้ งพยายามฝึกตน (พระธรรมปิฎก, 2539) จากทกี่ ล่าวมา พอจะสรุปได้ว่า ในการเสรมิ สร้างวนิ ัยให้กับมนษุ ยน์ ้นั เร่ิมจากการมีแบบอย่าง ทดี่ ี โดยแบบอย่างน้ันต้องเปน็ กัลยาณมิตร มนุษย์จึงจะพร้อมท่ีจะดำเนนิ ตาม และมนุษย์จะตอ้ งมีจิตใจ ใฝด่ ี และสุดท้ายพรอ้ มทจี่ ะทำดีดว้ ยจิตสำนกึ ของตวั เองโดยไม่ตอ้ งมีการควบคุม แตท่ ำด้วยความพร้อม ในตัวเอง ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างสงั คม แนวคิดพื้นฐานของกลุ่มนักคิดในแนวทฤษฎีนี้ถือว่า พฤติกรรมทางจริยธรรม เป็นเพียง ส่วนหนึ่งของพฤติกรรมสังคมเท่านั้น การเรียนรู้ การแสดงพฤติกรรม และการตัดสินความถูกผิด ของพฤติกรรมก็เกิดขึ้น โดยอาศัยกระบวนการที่มนุษย์ใช้ในการเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมอื่น ๆ ในทฤษฎีถือว่าสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุการณ์กับเหตุการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับผลที่เกิดจากพฤติกรรม ความรู้ที่มนุษย์ เรียนรู้เหล่านี้ได้กลายมาเป็นความเชือ่ ที่มีผลในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์เรียนรู้ว่า เหตุการณ์ใดเกิดผลตามมาคืออย่างไร เมื่อประสบเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมนุษย์ก็เกิดความคาดหวัง (Expectancy) เกี่ยวกับเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งได้ ก่อให้เกิดความดีใจ ตกใจ กลัวหรือความวิตก กังวลขึ้นล่วงหน้า และเมื่อมนุษย์เกิดการเรียนรู้เงื่อนไขความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมหนึ่งกับ ผลกรรมหนึ่ง มนุษย์ก็ล่วงรู้ และคาดหวังได้ว่าเมื่อทำพฤติกรรมหนึ่งลงไป ผลกรรมที่ตามคือสิ่งใด ทา้ ยสดุ กจ็ ะนำมนุษย์ไปสู่การตัดสินใจกระทำหรอื ไม่กระทำพฤตกิ รรมหนงึ่ ด้วยการคาดหวงั ถึงผลกรรม ที่จะเกิดขึ้นนั้น (ชัยพร วิชชาวุธ, ธีระพร อุวรรณโณ และพรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์, 2527) ผลของ การเรยี นรู้ จะปรากฏอยู่ในตัวบุคคลในลักษณะของความเช่ือกล่าวคอื เป็นความเช่อื ที่วา่ อะไรสมั พันธ์ กับอะไร และสัมพันธ์อย่างไร ความเชื่อของมนุษย์ในส่วนนี้ไมจ่ ำเป็นต้องสอดคล้องกบั ความเป็นจรงิ ความเชื่อเป็นสิ่งที่มีอนุภาพในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ดังตัวอย่าง เช่น การยอมอดทนต่อ ความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความเชื่อทีว่ ่าจะทำให้มีความสขุ ในอนาคต และการยอมตาย เพื่อชีวิตที่ ดกี วา่ ในภพหนา้ เปน็ ต้น จากแนวคิดทั้งหมดของทฤษฎีนี้ นำไปสู่แนวความคิด การควบคุมพฤติกรรมด้วยปัญญา โดยจะเกี่ยวข้องกับตัวแปรหลัก 3 ตัว คือ ตัวแปรแรก ความเชื่อเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เงื่อนไขความเชื่อ ของมนษุ ย์ทวี่ ่า การกระทำหน่งึ ๆ จะก่อให้เกดิ ผลกรรม คือสงิ่ ใดเป็นสงิ่ สำคญั ทีก่ ำกบั พฤติกรรมมนุษย์

68 โดยความเชื่อเกี่ยวกับผลของกรรมที่เกิดขึ้นนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอไป เช่น ความเช่ือ เรื่องที่ว่า หากไม่ทำตามกฎของหมู่บ้านแล้ว จะทำให้เทวดาประจำหมู่บ้านลงโทษ ก็จะนำไปสู่การ กระทำตามกฎของหมู่บ้าน ตัวแปรที่สอง การคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของตน และความ คาดหวงั ถึงผลทจี่ ะเกดิ ขึ้น บคุ คลจะแสดงพฤตกิ รรมหนง่ึ ๆ หรือไม่นน้ั ขึ้นอยูก่ ับวา่ เขาคาดวา่ ตวั เขาเอง สามารถกระทำพฤติกรรมนั้นได้หรือไม่ และคาดหวังว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นจะนำไปสู่ผลที่คิดไว้ หรือไม่ เช่น นักเรียนคนที่อาสาออกไปทำเลขทีก่ ระดานดำนัน้ ย่อมจะต้องคาดหวังว่า ตนเองสามารถ ทำเลขข้อนัน้ ได้ และการออกไปทำเลขได้ ก็ควรจะได้รับความดคี ือ ได้รับการยกย่องชมเชยว่าเป็นคน ท่ีมีความสามารถสูง และตัวแปรที่สาม ระดับของสิ่งจูงใจ ความคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของ ตนเองนัน้ ส่วนหนึ่งเกิดข้นึ จากตนเอง เคยทำพฤติกรรมนัน้ ได้สำเรจ็ หรอื เกิดจากการสังเกตการกระทำ ของคนอื่น หรือเกิดจากการชักจูงตนเอง หรือมีบุคคลอื่นมาชักจูงให้เชือ่ ว่า ตนเองสามารถกระทำส่ิง นั้น ๆ ได้ การปลูกฝังจรยิ ธรรมตามแนวของทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางสังคม หรือการจดั ประสบการณ์ ทั้ง ทางตรง และทางอ้อม เพือ่ ใหผ้ ้เู รียนเกิดความเข้าใจในกฎเกณฑก์ ารตัดสินความถูกผิดของการกระทำ เกิดความเชือ่ ในความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกบั ผลกรรม และเกดิ ความเช่อื ในผลทด่ี ีเกดิ ขึ้นจากการ บังคับตนเองให้ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และการจัดเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมทางสังคมเพือ่ ให้เกิด การเรียนรู้จริยธรรม และต้องจัดให้มีความสอดคล้องกันทั้งประสบการณ์ ตัวอย่าง และคำชี้แนะ โดยถ้าหากวา่ คำอธิบายชี้แนะมีลักษณะเป็นการช้ีแนะให้นกั เรยี นมองเหน็ กฎเกณฑ์ หรอื ความสัมพันธ์ ต่าง ๆ จากประสบการณ์ตรงของนักเรียน และจากตัวอย่างที่ประสบพบเห็น หรือได้รับการบอกเล่า ดว้ ยแล้ว การเรียนรู้กจ็ ะเกิดในลักษณะทีต่ รงเป้า และมปี ระสิทธผิ ลมากขึ้น สรปุ ได้ว่า การเรียนรทู้ างสังคม ก็คือ การทำให้เกิดความเข้าใจในกฎเกณฑ์การตดั สินความ ถกู ผดิ ของการกระทำ เกิดความเช่อื ในความสัมพนั ธร์ ะหว่างพฤติกรรมกับผลกรรม และเกิดความเชอ่ื ในผลที่ดีเกิดขน้ึ จากการบงั คับตนเองให้ปฏิบตั ติ ามมาตรฐานทก่ี ำหนดไว้ ทฤษฎกี ารเรียนรจู้ ากการสังเกตตัวแบบของแบนดรู า ทฤษฎีการเรียนรู้จากการสังเกตตัวแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีการเรียนรู้ทาง สังคม โดยแยกกลา่ วในทนี่ ีเ้ พื่อความชัดเจน ผพู้ ฒั นาทฤษฎีน้ีข้ึนคือ แบนดูรา (Bandura) โดยแบนดูรา เสนอทฤษฎีว่า พฤติกรรมที่มนุษย์แต่ละคนแสดงออกมานั้นแท้จริงแล้วเกิดจากการที่บุคคลน้ัน สังเกตเห็นบุคคลอื่นกระทำก่อน แล้วตนก็เลยนำเอาแนวการกระทำพฤติกรรมดังกล่าวนั้นมาเป็น ต้นแบบในการกระทำของตนบ้าง แบนดูราเรยี กพฤติกรรมท่ีบุคคลหน่งึ กระทำ แลว้ ส่งผลให้บุคคลอื่น นำไปเปน็ แนวทางการกระทำวา่ เป็นพฤติกรรมตัวแบบหรอื พฤติกรรมแมแ่ บบ(Modeling) (Bandura, 1986) โดยกระบวนการของการเกิดพฤติกรรมการกระทำตามแบบนั้น แบนดูราได้แบ่งออกเป็น 4 กระบวนการ คือ กระบวนการที่หนึ่ง กระบวนการของการให้ความสนใจในตัวแบบ (Attention processes) กระบวนการนี้ เป็นขั้นตอนที่บุคคลสังเกตพฤติกรรมของบุคคลอื่น หรือคือการสังเกต พฤติกรรมตัวแบบของบุคคลในสังคม กระบวนการที่สอง กระบวนการจดจำจัดเก็บ (Retention processes) กระบวนการนี้ จะเป็นกระบวนการท่ีจดจำจัดเก็บพฤติกรรมแมแ่ บบที่ตนสังเกตได้ ไว้ใน ความทรงจำของตน กระบวนการที่สาม กระบวนการกระทำตามพฤติกรรมแม่แบบ (Production processes) เป็นกระบวนการที่บุคคลแสดงออกเป็นพฤติกรรมโดยการกระทำนั้นเป็นผลมาจาก

69 พฤติกรรมแม่แบบทีต่ นจดจำไว้ และกระบวนการที่สี่ กระบวนการจูงใจ (Motivational processes) ในสว่ นนี้ แบนดูรา หมายความวา่ พฤตกิ รรมแมแ่ บบทคี่ นจดจำไว้นนั้ คนจะยังไม่แสดงออก จนกว่าจะ มีภาวะ หรือเกดิ เงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งซ่ึงมาเปน็ ตัวจงู ใจ (Incentives) กระตุ้นใหค้ นประสงค์ทีจ่ ะ แสดงพฤติกรรมนั้น ๆ ออกมา เงื่อนไขหรือสิ่งจูงใจที่ว่านี้แบนดูราจัดออกเป็นสามลักษณะหลักคือ สิ่งจูงใจที่เป็นปัจจัยจากภายนอก (External incentives) สิ่งจูงใจที่เป็นปัจจัยจากผลการกระทำ (Vicarious incentives) และส่งิ จงู ใจทีเ่ ป็นปจั จัยจากสว่ นบคุ คล (Self incentives) ซงึ่ หลักของการใช้ ตัวแบบ ต้นแบบ หรือแม่แบบนี้ เป็นแนวทางหลักที่มีการนำมาใช้ เพื่อพัฒนานักเรียนในพฤติกรรม ทางด้านจิตพสิ ัยมากแนวทางหน่งึ ในประเทศไทย สรปุ ได้วา่ ทฤษฎีการเรยี นร้จู ากการสังเกตตวั แบบของแบนดรู าน้นั เกดิ ขึ้นจากที่บคุ คลสังเกต พฤตกิ รรมของบคุ คลอ่ืน หรอื พฤตกิ รรมตวั แบบของบคุ คลในสังคม จากนัน้ กจ็ ดจำ จัดเก็บพฤตกิ รรม แม่แบบท่ีตนสงั เกตไดไ้ ว้ในความทรงจำของตน และแสดงออกเป็นพฤตกิ รรมโดยการกระทำน้ันเปน็ ผล มาจากพฤตกิ รรมแมแ่ บบที่ตนจดจำไว้ โดยการแสดงออกต้องมกี ารจงู ใจ หรือมีภาวะหรือเกิดเงือ่ นไข อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ซง่ึ มาเป็นตัวจูงใจ กระตุน้ ให้คนประสงคท์ ่จี ะแสดงพฤติกรรมนนั้ ๆ ออกมา การสรา้ งจิตสำนึก จิตสำนึกเปน็ สิง่ ทีม่ ีลกั ษณะเปน็ นามธรรมคอ่ นข้างสงู การจะบง่ ชีว้ า่ ผใู้ ดมีจิตสำนึกในระดับสูง หรือต่ำนั้นจึงยากจะทำได้อย่างชัดเจน ดังนั้น Paulo Freire (1974 อ้างถึงใน โฉมฉาย บุญญานันท,์ 2549) ไดแ้ บ่งจิตสำนึกออกเปน็ 4 ระดบั โดยใช้พฤตกิ รรม (การกระทำ) เป็นตัวชวี้ ัด ดงั นี้ จิตสำนึกที่ จัดอยู่ในระดับต่ำที่สุด คือ จิตสำนึกที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง (intransitive consciousness) หมายถึง การท่ปี ระชาชนมีความเช่ือในเรอื่ งโชคลาง สงิ่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ และโชคชะตา จติ สำนึกทอี่ ยใู่ นระดับสูงขึ้นมา คอื จิตสำนึกก่งึ เปลีย่ นแปลง (semi-intransitivity consciousness) หมายถึง การท่ีประชาชนยอมลด คา่ ตนเอง มีความคิดที่ไม่เชื่อม่ันตนเอง รบั ค่านยิ มที่การถา่ ยทอดมาอย่างเตม็ ที่ จะมกี ารใชค้ วามรุนแรง และอารมณ์ในการตัดสินปญั หามาก จิตสำนึกในระดับสงู ขึ้นมาคือ จิตสำนึกเปลี่ยนแปลงที่ไร้เดยี งสา (native - intransitive consciousness) หมายถึง การที่ประชาชนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่ม ตระหนักเหน็ ปัญหาสังคม ของตน เรม่ิ มกี ารประทว้ ง วพิ ากษว์ จิ ารณ์ แตม่ ักจะถูกปลุกระดมให้เป็น เครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะประชาชนยังไม่เข้าใจในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของ สังคม และยังไม่ชัดเจนในการวิเคราะห์สงั เคราะห์ปรากฏการณ์น้ัน ๆ และจิตสำนึกที่อยู่ในระดับท่สี งู ที่สุด ซึ่งเป็นระดับของจิตสำนึกที่เป็นที่ต้องการในสังคมปัจจุบัน คือ จิตสำนึกขั้นวิพากษ์วิจารณ์ (critical consciousness) หมายถึง การที่ประชาชนมีการคิดใคร่ครวญ วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่าง ๆ ในสงั คมอย่างลกึ ซงึ้ มคี วามเชือ่ มนั่ ในตนเอง ยอมรับฟงั ผู้อืน่ และไมห่ ลกี เล่ยี งภาระหนา้ ที่ของตนเอง จะเห็นได้ว่า จิตสำนึกใน 3 ระดับแรก คือจิตสำนึกที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง จิตสำนึก กง่ึ เปลย่ี นแปลง และจิตสำนกึ เปลี่ยนแปลงทีไ่ ร้เดยี งสานน้ั เปน็ จติ สำนกึ ในระดับท่ียังไม่สามารถส่งผล ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ อันจะนำไปส่กู ารพฒั นาในทางท่ตี ้องการของสังคม เนือ่ งจากแม้ว่าประชาชนจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตามค่านยิ ม หรอื การตระหนกั เห็นถึงปัญหา ของสังคมแลว้ กต็ าม แต่พฤติกรรมการแสดงออกท่ไี ด้ทำข้ึนยงั เปน็ พฤตกิ รรมทมี่ ีความรนุ แรง และเป็น การงา่ ยต่อการถกู ชกั จงู ไปในทางท่ีผิด เน่ืองจากไมไ่ ดใ้ ช้วิจารณญาณในการใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนก่อน

70 ลงมือกระทำ ดังนั้นจึงควรเร่งดำเนินการสร้างจิตสำนึกในระดับที่ 4 คือ จิตสำนึกขั้นวิพากษ์วิจารณ์ ให้เกิดขึ้นกับประชาชน โดยอาจเริ่มจาก การปลูกฝังให้เด็กนักเรียน เป็นคนช่างคิด ช่างสงสัย และ ปลูกฝังให้มีวิธีคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้กระบวนการคิดตามหลักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมด้วย Paulo Freire (1974) ได้เสนอแนวทางของวธิ ีการสอน เพื่อปลูกฝังให้เกิดจิตสำนึกข้ันวิพากษ์วจิ ารณ์ ไว้ 3 ขัน้ ตอน ดังนี้ ข้นั ตอนที่ 1 เรียกว่า condification หรือการเข้ารหัส เปน็ ขัน้ ที่ผู้สอนเสนอสถานการณ์ท่ีเป็น จรงิ แก่ผเู้ รยี น ซึ่งควรไดม้ าจากการสำรวจในทอ้ งถ่นิ และสัมพนั ธก์ ับชวี ติ ความเป็นอยู่ของนกั เรียน และ ต้องเป็นสถานการณ์ที่เป็นลักษณะขัดแย้ง (contradiction) โดยใช้วิธีเสนอสถานการณ์ด้วยวาจา รปู สเกตซ์ รปู ถ่าย สไลดป์ ระกอบเสยี ง วสั ดุสำหรับอา่ นคำหลกั และอ่ืน ๆ ขั้นตอนท่ี 2 เรียกวา่ decoding หรือการถอดรหัด ได้แก่ การถอดความหมายจากสถานการณ์ ท่ีเสนอในขนั้ ตอนแรกออกมา ดว้ ยการสนทนาระหว่างครูกับผู้เรยี น และระหว่างผ้เู รียนด้วยกัน โดยมี วัตถปุ ระสงคใ์ ห้เห็นความหมายในแง่ตา่ ง ๆ ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนน้ี ผู้เรียนจะต้องมีการคิด วิพากษ์วิจารณ์ เป็นการสนทนาที่อยู่ในลักษณะของการแผ่กระจาย (divergent) ไปไดท้ ุกทิศด้วยภาษางา่ ย ๆ ของผเู้ รยี นเอง ซงึ่ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือเรยี กว่า จิตสำนึก เปลี่ยนแปลงที่ไร้เดียงสา (native transitiveness) ผู้เรียนซึ่งเคยเป็นแต่ผู้ฟังก็จะเริ่มตระหนัก และ มองเห็นปัญหาในสังคมที่เขาดำรงอยู่ และจากขั้นนี้เอง ผู้เรียนจะมีการคิดอย่างใคร่ครวญ วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมได้อย่างลึกซึง้ ซึ่งถือว่าเป็นการสรา้ งจิตสำนึกในระดับที่สี่ หรือ เรยี กวา่ จิตสำนกึ ข้ันวพิ ากษว์ จิ ารณ์ หรอื ถอื ได้วา่ เป็นการปฏวิ ตั ิวฒั นธรรมเงยี บของวงการศกึ ษานั่นเอง สามารถนำระดบั ของจติ สำนึกทีท่ ัง้ 2 ท่าน ได้จำแนกไว้ มาสรปุ เปรียบเทียบได้ดงั ตาราง ดงั น้ี ตาราง 2 ระดบั จติ สำนึกตามทศั นะของนักวิจยั นกั วิจยั จำนวนระดบั ระดับของจิตสำนึก Lukacs (1920) 3 1. จิตสำนกึ เฉพาะหน้า (immediate consciousness) Freire 2. จติ สำนึกในชนชัน้ (class consciousness) (1974) 3. จิตสำนกึ ทางทฤษฎี (theoretical consciousness) 4 1. จติ สำนกึ ทีย่ งั ไมเ่ ปลย่ี นแปลง (intransitive consciousness) 2. จติ สำนกึ ก่ึงเปล่ยี นแปลง (semi- intransitive consciousness) 3. จิตสำนึกเปลี่ยนแปลงท่ไี รเ้ ดยี งสา (native- transitiveness consciousness) 4. จติ สำนึกข้ันวิพากษว์ ิจารณ์ (critical consciousness) จากตาราง 2 จะสังเกตไดว้ ่า นกั ทฤษฎีแตล่ ะท่าน มวี ธิ กี ารแบ่งระดบั ข้นั จติ สำนึกทแี่ ตกต่างกนั มีจำนวนระดับที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเหตุมาจากบริบทที่นักทฤษฎีเหล่านั้นนำมาใช้ในการพิจารณา โดย Lukacs (1920) แบ่งจิตสำนึกจากบริบททางชนชั้นทางการเมือง ส่วน Freire (1974) นั้นแบ่ง

71 จิตสำนึกจากบริบททางสังคมโดยอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมในแต่ละระดับ แต่สิ่งท่ี เหมือนกนั คือ จิตสำนกึ ในระดับสุดทา้ ย (จิตสำนึกทางทฤษฎี จิตสำนึกขัน้ วิพากษว์ ิจารณ์ และจิตสำนึก ระดับการสรา้ งนิสัย) เทา่ นั้นทเี่ ป็นจิตสำนึกที่ตอ้ งการใหเ้ กิดขึน้ เน่อื งจากจะก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมไปในทางท่ีตอ้ งการอย่างย่งั ยนื (โฉมฉาย บญุ ญานันท์, 2549) การสร้างลักษณะนิสัยโดยอาศัยคุณค่าที่ซับซ้อน (Characterrization by a Value Complex) เมื่อพิจารณาระดับของการเกิดจิตสำนึกที่นักวิจัยทั้ง 2 ท่าน Lukacs (1920) Freire (1974) ไดจ้ ำแนกไว้ จะพบว่าส่วนหน่งึ ของกระบวนการสร้างจิตสำนึกที่สำคญั ตอ่ การเกิดพฤตกิ รรม ท่ีมีความ ยั่งยืนก็คือ การเห็นคุณค่า (value) ของสิ่งนั้น โดยการเล็งเห็นคุณค่า จะก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพัน และเห็นถึงความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ อันจะนำมาซึ่งจิตสำนึกที่ดีต่อสิ่งน้ันตามไปด้วย การเห็นคุณค่า และการเกิดจิตสำนึกคล้ายคลึงกัน ในด้านของกระบวนการเกิดซึ่งต่างก็ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน การสั่งสมจนกระทั่งเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึน้ แล้ว จะคงอยู่ต่อไปในจิตใจของบคุ คลผู้นั้นอยา่ งยาวนาน นอกจากนี้ ทั้งการเห็นคุณค่า และการมีจิตสำนึกจะสังเกตได้ผ่านการเกิดพฤติกรรมที่มีความยั่งยืน ซงึ่ อาจถือได้ว่า เปน็ ลกั ษณะนสิ ยั สว่ นตวั ของคนคนนั้นก็ว่าได้ Krathwohl & Masia (1964) ได้จำแนกแนวคิดด้านความรู้สึก โดยการลำดับมโนภาพของ การเกิดความรู้สึก เริ่มจากการเกิดความสนใจ (interest) ความซาบซึ้ง (appreciation) เจตคติ (attitude) ค่านิยม (value) และการปรับตัว (adjustment) ซึ่งหากมองในการลำดับความรู้สึกเป็น ขั้น ๆ จะเริ่มจากการรับรู้ (reciving) การตอบสนอง (responding) การรู้คุณค่า (valuing) การ จัดระบบคุณค่า (organization) และการสร้างลักษณะนิสัยโดยอาศัยคุณค่าที่ซับซ้อน (characterization by a value complex) รายละเอยี ดได้ดังตาราง 3 ตาราง 3 แนวคิดการจดั จำแนกระดับความร้สู ึกตามแนว Krathwohl 1. การรับรู้ การรจู้ กั - ความสนใจ ความเต็มใจในการรับ 2. การตอบสนอง ควบคมุ หรือคดั เลอื กส่ิงทีเ่ อาใจใส่ ความซาบซึ้ง การยินยอมในการตอบสนอง 3. การรู้คุณคา่ ความเตม็ ใจทจ่ี ะตอบสนอง เจตค ิต 4. การจดั ระบบ ความพงึ พอใจในการตอบสนอง ค่า ินยม 5. ลักษณะนสิ ัย การรับรคู้ ณุ คา่ ความสนใจ การชน่ื ชมคุณคา่ การยินยอมรบั คุณคา่ การสรา้ งมโนภาพของคุณคา่ การจดั ระบบคุณคา่ การสรปุ อ้างองิ นยั ท่ัวไป การสรา้ งลักษณะนิสยั

72 การรบั รู้ (receiving) เป็นขัน้ แรกของความรู้สกึ เกย่ี วกับการรบั รู้ และพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซ่ึงเทยี บได้กับข้ันความรคู้ วามจำ ในการจัดจำแนกดา้ นสติปญั ญา ซง่ึ เป็นการจดจำส่งิ ทไ่ี ด้รับการสัมผัส เบื้องต้น จากประสาทสัมผัสของเราเท่านั้น การรับรู้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนย่อย ๆ ได้แก่ การรู้จัก (awareness) ความเตม็ ใจในการรบั (willingness to receive) และการควบคมุ หรอื คดั เลือกความเอา ใจใส่ (controlled or selected attention) ซึ่งเป็นพฤติกรรมตั้งแต่รู้จักสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างผิวเผิน จนกระท่ังมคี วามเต็มใจท่ีจะรับรู้ แต่เป็นเพยี งการบงั คบั ใจเท่าน้ัน และสุดทา้ ยพฒั นาจนเป็นความรู้สึก ที่บอกไดว้ า่ พอใจสิ่งใด ไมพ่ อใจส่ิงใด ซ่ึงมีลักษณะของการควบคุม หรอื เลือกมากขึน้ การตอบสนอง (acquiescence in responding) เป็นความรู้สึกในขั้นที่มีจิตใจจดจ่อ สนใจในสิ่งหนึ่งมากกว่าสิ่งอื่น ความรู้สึกด้านนี้ แบ่งเป็น 3 ขั้น ได้แก่ การยินยอมในการตอบสนอง (acquiescence in -responding) ความเต็มใจที่จะตอบสนอง (willingness to receive) และ ความพึงพอใจในการตอบสนอง (satisfaction in response) ซึ่งความรู้สึกในขั้นนี้จะเป็นความรู้สึก พึงพอใจในการทำสิง่ หน่งึ สิง่ ใดอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยความตอ้ งการของตนเอง การรคู้ ุณค่า หรอื คา่ นยิ ม (valuing) คอื ความรสู้ ึกในระดบั เดียวกบั เจตคติ ซึ่งเป็นความรู้สึก รคู้ ณุ ค่า ของส่ิงของ ปรากฎการณ์ หรือพฤตกิ รรมทีต่ นเองได้รับ และซึมซาบมาตัง้ แตต่ น้ ซ่งึ ความรูส้ ึก นี้จะขึ้นกับเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคุณค่า พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการรู้คุณค่าจะค่อนข้างคงเสน้ คงวาในการแสดงความรสู้ กึ และรบั รู้คณุ คา่ ส่งิ ตา่ ง ๆ ความรู้สึกในระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ การรับรู้คุณค่า (acceptance of a value) การชื่นชอบคุณค่า (preference for value) และการยินยอมรับ (commitment) ซึ่งเป็นระดับข้ัน ของความรสู้ กึ ตงั้ แตก่ ารเกดิ ความเช่ือ มคี วามรู้สึกเอาใจใสต่ ้องการ จนถงึ ขน้ั ของการเกดิ ศรทั ธา ซ่งึ จะ แสดงออกเปน็ พฤติกรรมที่ยึดม่ันอยา่ งเหน็ ไดช้ ัด การจัดระบบคุณค่า (organization) เป็นการจัดระบบของค่านิยมของมนษุ ย์ โดยสร้างข้นึ จากค่านิยมส่วนย่อย ๆ นำมาประสานกัน ความรู้สึกในระดับนี้แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ การสร้าง มโนภาพของคุณค่า (conceptualization of value) ซง่ึ เป็นการสงั เคราะหค์ วามรสู้ ึกแล้วมาเรียกเป็น ชื่อใหม่ และการจัดระบบคุณค่าของค่านิยม (organization of a value system) ซึ่งจะจัดค่านิยม ทสี่ ลับซบั ซ้อน ให้อยู่ในระบบเดียวกัน เพ่อื ให้เกิดความสมดุลทางความร้สู กึ การสรา้ งลักษณะนิสัยโดยคุณคา่ อยา่ งหน่ึง หรอื คุณค่าซับซอ้ น (characterization by a value or value complex) เปน็ ขนั้ ของการเกดิ ลกั ษณะนสิ ัย ซง่ึ ส่ังสมมาจนเป็นรูปแบบ แนวความ เชื่อถือศรัทธา แนวปรัชญาชีวิตที่มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัว ความรู้สึกระดับนี้จะสั่งสมมาตั้งแต่ ขั้นแรกจนตกตะกอนกลายเป็นบุคลิกภาพ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ขั้น คือ การสรุปอิงนัยทั่วไป ของคุณค่า หรือค่านิยม (generalized set) เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการเลือกสรรระดับสูงจากกลุ่ม ของเจตคติ และค่านิยม และการสร้างลักษณะนิสัย (characterization) ซึ่งเป็นระดับความรู้สึก ขั้นสดุ ทา้ ยทจ่ี ะถกู ยดึ เป็นอดุ มการณ์ หรอื ปรชั ญาชวี ิต จากแนวคิดของ Krathwohl & Masia (1964) ทำใหเ้ หน็ ว่า การเหน็ คณุ คา่ หรือการมีค่านิยม ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำมา ซึ่งการพัฒนาเป็นลักษณะนิสัย ซึ่งจะส่งผลต่อ พฤติกรรมอย่างมีความยัง่ ยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งในทฤษฎีเกี่ยวกบั จิตสำนกึ นัน้ การที่จะแสดงออกถงึ พฤติกรรมที่ยั่งยืนได้ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้องเป็นผู้มีจิตสำนึกต่อสิ่งนั้น ๆ ด้วย นอกจากจะส่งผลต่อ

73 พฤติกรรมแล้ว ค่านิยมยังส่งผลทางอ้อมต่อระดับความรู้ และความตระหนัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ จิตสำนึกด้วย โดยการเกิดค่านิยมต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสดงว่าคนผู้น้ันตอ้ งตระหนักถึงความสำคัญของส่ิง นัน้ เสยี ก่อน เมอ่ื เห็นคณุ คา่ และตระหนักถงึ ความสำคัญแลว้ การแสวงหาให้ได้มาซึง่ ความรู้เก่ียวกับส่ิง นั้นก็จะตามมา ซงึ่ มคี รบท้งั ความรู้ ความตระหนัก และการเห็นคุณค่า แลว้ ในที่สุดก็แสดงออกมาเป็น พฤตกิ รรมต่อส่ิงน้ันในที่สุด ดังนั้น จึงอาจสรุปไดว้ ่า หากเพ่ิมองค์ประกอบด้านการเห็นคุณค่าเข้าไปใน กรอบของการวัดจติ สำนกึ ต่อส่งิ แวดลอ้ ม จะทำใหผ้ ลการวดั ทไี่ ดม้ ีความละเอียดลกึ ซง้ึ และครบถ้วนใน ทุกแง่มมุ ขององค์ประกอบของจติ สำนกึ มากยิง่ ข้ึน การสร้างสำนึกที่ดีและถูกต้องนั้น อาศัยปัจจัยของการรบั รู้ของแต่ละบุคคล และการรบั รู้นั้น ขึ้นอยู่กับอิทธิพล 3 ประการ คือ ประสบการณท์ ัง้ ในอดีตที่ผา่ นมาและชีวิตประจำวัน ความใส่ใจและ การให้คุณค่าในเรื่องที่จะรับรู้ ซึ่งการใส่ใจสามารถแปรเปลี่ยนได้หลายระดับ ตั้งแต่ความจำเป็น ความต้องการ ความคาดหวัง ความสนใจและอารมณ์ และสุดท้ายลักษณะและรูปแบบการรับรู้เรื่อง ต่าง ๆ การเรียกร้องความสนใจอาศัยการได้ยินได้เห็นเพียงครั้งเดียว แต่การรับรู้ต้องการหลายคร้ัง และสำนึกที่ดีนั้นต้องการระยะเวลานานพอสมควร (คงศักดิ์ ธาตุทอง. 2535) ซึ่งสอดคล้องกับ ฮิล การด์ (E.R. Hilgard) ทก่ี ลา่ ววา่ การเรียนรู้ คอื การเปลี่ยนแปลงอยา่ งค่อนข้างจะถาวรในพฤติกรรมอัน เป็นผลเนื่องมาจากการฝึก และเช่นเดียวกับกฎแห่งการฝึก (Law of'exercise) ของธอร์นไดค์ Thorndike) ที่บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองได้สัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น และ ความสัมพันธ์น้ีจะแน่นแฟ้นยง่ิ ขนึ้ เมอ่ื มีการฝกึ หัดหรือทำซ้ำบ่อย ๆ และความสัมพันธ์นี้จะคลายอ่อน ลงเม่ือไม่ไดใ้ ช้ การเรียนรู้น้ันจะเกดิ ได้ดังน้ี ประการทหี่ นงึ่ การเรยี นร้เู ปน็ กระบวนการที่บุคคลเรียนรู้ โดยไดร้ ว่ มกระทำโดยวิธใี ดวธิ หี นึง่ หรือได้ลงมอื กระทำส่ิงทจี่ ะเรียนรูน้ ัน้ จริง ประการทสี่ อง การเรียนรู้ ทแี่ ท้จริงจะมไี ดเ้ ม่อื ผู้เรียนได้บรรลุจดุ ประสงค์ หรือได้รบั สิ่งท่ีตนต้องการ ดังนน้ั อาจจะกล่าวได้ว่าการ เรียนรู้จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อผู้เรียนมีความสนใจ หรือมีความตอ้ งการในบางสิ่งบางอยา่ ง ผู้เรียนได้ลงมอื กระทำกิจกรรมโดยต้ังอกตั้งใจ เพราะมีความสนใจในสิง่ นั้นหรือได้รับสิ่งที่ตนต้องการ ประการที่สาม การเรียนรู้เก่าหรือประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขึ้น โดยเฉพาะกับ ประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้น เป็นสิ่งที่สมปรารถนา และน่าตื่นเน การเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่สะสมขึ้น เนอื่ งจากประสบการณ์ก่อน ๆ หรอื ทสี่ มั พนั ธ์กบั ประสบการณ์กอ่ น ๆ น้ีเปน็ หลกั สำคัญของการเรียนรู้ ทุกชนิด ประการที่สี่ การเรียนรูท้ ักษะและทัศนคติใหม่ ๆ เป็นเรื่องของบุคคลแต่ละคนจะตอ้ งเรียนรู้ เอง คนเราอาจเรียนรู้เป็นหมู่เป็นกลุ่มได้ แต่การเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมความคิดเห็น เป็นเร่อื ง ของแต่ละบุคคล และประการที่ห้า การสอนเป็นการแนะแนวที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักช่วยตัวเอง เป็น การแนะแนวทางใหก้ ารเรยี นดำเนินไปด้วยดี สรุปได้ว่าการเรียนเป็นกระบวนการอันหนึ่งที่บุคคลจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความรู้สึก ความคิดเหน็ และการกระทำของตนเองโดยได้ลงมือปฏิบัติจรงิ ๆ การเรียนเปน็ กิจกรรมอันหนึ่ง ที่จะ ทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงไปภายหลัง เพราะได้เรียนบางสิ่งบางอย่างเราจึงเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลง ความรู้ที่มีอยู่เก่า กระทำหรือดำเนินกิจกรรมบางอย่างผิดจากแต่ก่อน หรือเปลี่ยนทัศนคติ ความคดิ เหน็ ในเร่อื งบางเรอื่ ง ทำให้เกดิ ความตระหนักหรือจติ สำนกึ ในสงิ่ นั้นนัน่ เอง

74 กระบวนการเกดิ จิตสำนกึ กระบวนการเกิดความสำนกึ มี 5 ลำดับ คอื 1. ความรู้สึก มีความรู้สึกสะดุดใจจากสิ่งที่ตนกระทำอยู่ หรือเคยมีประสบการณ์เกิดการ ยงั้ คิดในคา่ นยิ มทตี่ นมีอยู่ 2. ความคดิ เหน็ แบง่ เป็นหลายประเภท คือ 2.1 เป็นความคิดเห็นอย่างมีระดับด้วยกัน คือ ระดับความจำ การแปลความ การประยกุ ตใ์ ช้ การตคี วาม การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมนิ 2.2 เป็นความคิดเห็นแบบวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแยกแยะข้อเท็จจริงจากความคิดเห็น ส่วนตัวมอี คติ ซ่งึ บางครั้งอาจไมถ่ กู ตอ้ งและขอ้ ขัดแย้งออกจากส่ิงท่เี ปน็ สจั จะหรือขอ้ เท็จจริงรวมถงึ การ วิพากษว์ จิ ารณ์ การโฆษณาชวนเช่ือ และพฤตกิ รรมทที่ ำตามๆ กันมา เป็นตน้ 2.3 เป็นความคิดตามหลักตรรกวิทยา ความคิดแบบสร้างสรรค์ความคิดจากทักษะ ดา้ นพุทธศกึ ษา เช่น การใช้ภาษา การคำนวณ การวจิ ยั เปน็ ต้น สว่ นท่ีเป็นขั้นตอนความคิดเหน็ นีจ้ ะปรากฏออกมา เน่ืองจากเราเกดิ ความรู้สึกสะดุด ใจ ซึง่ จะเกดิ ความรูส้ กึ และเปน็ ความคิดเหน็ ประเภทใดประเภทหนง่ึ หรือบูรณาการกนั ได้ 3. การตดิ ตอ่ สือ่ สารและการถ่ายทอด สามารถทำไดท้ ั้งโดยคำพูด และโดยทางอืน่ เช่น การส่ง ข่าวโดยถ้อยคำที่เขียน การฟัง การวาดรูป การถาม การใช้ข้อมูล และการรับข้อมูลป้อนกลับ การแกป้ ัญหาข้อขดั แยง้ เปน็ ต้น 4. ความเชือ่ และเกิดศรัทธา ขัน้ ตอนนเี้ ปน็ การพิจารณาหาข้อสรุปจากทางเลือกต่าง ๆ มีการ พิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ เลือกการกำหนดเป้าหมายการรวบรวมข้อมูล การแก้ปัญหา การวางแผน และการเลือกอย่างอิสระ สาหรับขั้นตอนนีเ้ มื่อได้มีการติดต่อสื่อสารและ ถ่ายทอดกนั แล้ว การเห็นพ้องต้องกนั การสนบั สนนุ กนั การนยิ มรว่ มกนั จะทาใหค้ นเลือกเกิดความเชื่อ และเกดิ ศรทั ธาในการพง่ึ ตนเอง วา่ เป็นสิ่งทดี่ ีและยึดมัน่ ไว้ในใจ 5. การปฏิบตั ิ เป็นขนั้ ตอนทท่ี ำตามซา้ กับทเี่ คยทำมาหรือจากท่เี ลือกใหมเ่ มื่อมาถงึ ขัน้ ตอนน้ี จะเกิดความเช่ือถือศรัทธาในพฤตกิ รรมซ่งึ กจ็ ะเปน็ พฤตกิ รรมท่ีสังเกตเห็นไดข้ องบคุ คลนัน้ งานวิจัยนี้มีเป้าหมาย คือ การสร้างจิตสำนึกที่ดีในการจัดการขยะมูลฝอยของนักเรียน ในโรงเรียนประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยเน้น กระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการขยะมูลฝอยกับนักเรียนทุกคนในทุกโอกาสที่อยู่ภายใน โรงเรียน เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ให้นักเรียนรู้จักการจัดการขยะเพื่อรักษา สิ่งแวดล้อมใหส้ ะอาด สวยงาม ทง้ั ทอี่ ยูร่ อบตัวอยา่ งชดั เจน จนตระหนักและเหน็ คณุ ค่าของการจัดการ ขยะมลู ฝอย

75 6. งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง ในการศกึ ษางานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง คณะวิจัยไดศ้ ึกษางานวิจัยเกีย่ วกบั การจัดการขยะมูลฝอย ในโรงเรียน ความรเู้ ก่ียวกบั การจัดการด้านขยะมูลฝอย และพฤตกิ รรมของนักเรยี น การสรา้ งจิตสำนึก ด้านการจัดการขยะของนักเรยี น รวมถงึ พฤตกิ รรมการจัดการขยะของประชาชน ดังนี้ จิรวรรณ คุ้มพร้อม สำลีพันธ์ (2560) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการจัดการสอนแบบทีม ตอ่ การสร้างจติ สำนึก ในการจดั การขยะของนกั เรยี นในโรงเรยี นประถมศึกษา อำเภอเกาะสมยุ จังหวัด สุราษฎรธ์ านี โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) ศกึ ษาผลการจัดการสอนแบบทมี ตอ่ การสร้างจิตสำนึกในการ จัดการขยะของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) ศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การสอนแบบทมี ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) จากแบบการประเมินการจัด กจิ กรรมของครทู ่ีจัดการสอนแบบทมี พบว่า คะแนนเฉลี่ยรวมของการประเมนิ การจัดกิจกรรมของครู ที่จัดการสอนแบบทีม ตามแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 1 - หน่วยที่ 6 ทั้ง 6 หน่วยการเรยี นรู้มีค่า เท่ากับ 4.70 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) จากแบบสังเกตชั้นเรียนของครูที่จัดการสอนแบบทีม พบว่า (1) วิธีการจัดการสอนแบบทีมเนื้อหาทันสมัย กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เน้นนักเรียนเป็น สำคัญ ทีมครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนการเรียนรู้ (Facilitator) นักเรียนเป็นนักเรียนแบบ กระตือรือร้นทำงานเป็นกลุ่ม บรรยากาศในชั้นเรียนสนุก มีความสุข (2) การกำกับดูแลชั้นเรียน นักเรียนตั้งใจเรยี น สนใจเรียน มีความสุข ทีมครูดูแลชั้นเรียนดี เป็นที่ปรึกษา คอยให้ความช่วยเหลือ และแนะนำ (3) การบริหารจัดการเวลา และวิธีการประเมิน บริหารเวลาได้ดีเหมาะสมกับกิจกรรม ประเมนิ นักเรยี นตามแบบประเมนิ ทกุ กิจกรรม และประเมินเป็นกลุม่ (4) เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคน มีส่วนร่วมในกิจกรรม นักเรียนได้เรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติจริง (5) การตัดสินใจ และรับผิดชอบ รว่ มกนั ของทีมครู ครทู ำงานแบบทีมเข้ากันไดด้ ี และ (6) ข้อเสนอแนะอื่นๆ คอื ด้านเวลา และดา้ นการ จัดนิทรรศการน้อยไป 3) จากแบบประเมินตนเองของครูที่จัดการสอนแบบทีม พบว่า ทีมครูที่สอน ร่วมกันประเมนิ ตนเอง สรปุ ความคดิ เห็นว่าประโยชน์สูงสุดของการสอนแบบทมี มี 4 ขอ้ ดงั น้ี (1) ขอ้ ดี ของการสอนแบบทีม (2) ข้อดีของการเห็นคุณค่าของขยะ/วัสดุที่ใช้แล้ว (3) ข้อดีของการทำ กระบวนการกลุ่ม และ (4) ข้อจำกัดด้านเวลา 4) จากแบบสำรวจพฤติกรรมการจัดการขยะของ นักเรียนก่อนและหลังการจัดการสอนแบบทีม พบว่า พฤติกรรมในการจัดการขยะของนักเรียน หลังเรียนสูงขึ้นจากก่อนเรียนในทุกด้าน 5) จากแบบบันทึกประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียน รายบุคคล พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจการสอนแบบทีมของครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด หากพจิ ารณาเปน็ รายกิจกรรมการจัดการเรยี นรพู้ บว่า นักเรยี นมีความพึงพอใจการสอนแบบทมี ของครู ในหน่วย ที่ 6 มากที่สุด และมีความพึงพอใจรองลงมาคือหนว่ ยที่ 4 หน่วยที่ 3 หน่วยที่ 5 หน่วยที่ 2 และหน่วยที่ 1 ตามลำดบั แรงญาดา บุตรโคตร (2553) ได้ศึกษาเรื่อง ความรู้ และเจตคติต่อการจัดการขยะมูลฝอย ของนักเรียนในโรงเรียนบ้านหนองตูม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี มีความมุงหมายเพื่อศึกษา และ เปรียบเทียบความรูเกี่ยวกับกฎ ระเบียบในการจัดการขยะมูลฝอย และเจตคติตอการจัดการขยะ มูลฝอยของนักเรียนโรงเรียนบานหนองตูม จําแนกตามระดับชั้นเรียน และการรับรูขอมูลขาวสาร ตางกัน โดยศึกษาจากประชากร และกลุมตัวอย่างนักเรียน คือ นักเรียนในโรงเรียนบานหนองตูม จํานวนทั้งหมด 146 คน เครื่องมือที่ใชในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ขอมูล

76 โดยหาคารอยละ คาเฉลี่ย คาเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช F-test (One-way ANOVA) ผลการศึกษา พบวา่ 1) นกั เรียนในโรงเรียนบานหนองตูม มีความรู และเจตคตติ อการจัดการ ขยะมูลฝอย โดยรวมอยูในระดับมาก 2) นกั เรยี นในโรงเรยี นบานหนองตูม ทีเ่ รยี นระดับชนั้ เรยี นต่างกัน มีความรูเกี่ยวกับกฎระเบียบในการจัดการขยะมูลฝอยแตกต างกัน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 แตนักเรียนที่มกี ารรับรูขอมูลขาวสารตางกันมีความรูเกี่ยวกับกฎ ระเบียบในการจดั การ ขยะมูลฝอยไมแตกตางกนั (p >.05) 3) นกั เรยี นในโรงเรียนบานหนองตูม ที่เรียนระดับชนั้ เรียนต่างกัน และการรับรูขอมูลขาวสารตางกัน มีเจตคติตอการจัดการขยะมูลฝอยแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสรุป นักเรียนมีความรูเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ และเจตคติตอการจัดการขยะ มูลฝอย โดยรวมอยูในระดับมาก นักเรียนที่เรียนระดับชั้นเรียนตางกันมีความรูเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ ในการจัดการขยะมูลฝอยแตกตางกัน แตนักเรียนที่มีการรับรูขอมูลขาวสารตางกันมีความรูเกี่ยวกับ กฎ ระเบียบในการจัดการขยะมูลฝอยไม่แตกต่างกัน และนักเรียนที่เรียนระดับชั้นเรียนตางกัน และ การรับรู้ข้อมูลขาวสารตางกัน มีเจตคติในการจัดการขยะมูลฝอยแตกตางกัน ซึ่งข้อสนเทศที่ได้จาก การศึกษาครั้งนี้ทําใหทราบถึงปญหาในเรื่องขยะมูลฝอยภายในโรงเรียนอยางแท้จริง และนําความรู้ ที่ไดไปใชประโยชนในการจัดการสภาพทางกายภาพ และสิ่งแวดลอมภายในโรงเรียน โดยที่นักเรียน สามารถนําความรูที่ไดไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ ทั้งยังใชเป็นข้อมูลพื้นฐาน และแนวทางปฏิบัติเพ่ือ พฒั นาความรู และเจตคติ ตอการจัดการขยะมลู ฝอยของโรงเรียนอยางบูรณาการตอไป ศิรินทิพย์ ชาติพหล (2552) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ในโรงเรียนบ้านโนนลาน อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาขยะมูลฝอยภายในโรงเรียนบ้านโนนลาน 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ในโรงเรียนบ้านโนนลาน 3) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนบ้านโนนลาน วิธีการศึกษาใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานเชิงปริมาณ และคุณภาพ เชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม ส่วนเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และการจัดประชุมเชิงปฏิบัตกิ าร ผู้ตอบแบบสอบถาม แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มบุคลากรภายในโรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน ครู นักการภารโรง และนกั เรียนระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ถึงประถมศกึ ษาปีท่ี 6 รวมทัง้ สิน้ 54 คน และกลุ่มบุคลากร ภายนอกโรงเรียน ประกอบด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 111 คน ส่วนแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในโรงเรียนบ้านโนนลาน ได้มาจากการประชุม เชิงปฏิบตั กิ าร จากการจัดเวทีวิพากษ์ รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ พจิ ารณาความเหมาะสม และ สอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญ / ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุง จากนั้นนำแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยไปใช้ต่อไป ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาขยะมูลฝอยในโรงเรียนในทัศนะของบุคลากรภายในโรงเรียนพบว่า สภาพปัญหา ขยะมูลฝอยในโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อวิเคราะหเ์ ป็นรายด้าน พบว่า ด้านการ ควบคุมการทิ้งขยะมลู ฝอยอยูใ่ นระดบั สงู มคี า่ เฉลย่ี สงู ท่ีสุด และพบวา่ ด้านการกำจัดขยะมูลฝอย อยู่ใน ระดับต่ำมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2. พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในโรงเรียน ในทัศนะของบุคลากร ภายในโรงเรียน พบว่า พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเม่ือ วเิ คราะห์เป็นรายดา้ น พบว่า ด้านการควบคมุ การทง้ิ ขยะมูลฝอยอยู่ในระดบั สงู มคี ่าเฉล่ยี สงู ท่ีสุด และ ด้านการกำจัดขยะมลู ฝอยอย่ใู นระดบั ต่ำ มีค่าเฉลย่ี น้อยที่สุด

77 วิสุทธิ์ มหายศนันท์ (2550) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ปัญหา และแนวทางในการจัดการขยะ มูลฝอยในครัวเรือนของเทศบาลตำบลท่าวังผา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนในสภาพปจั จบุ นั ตลอดถึง ปัญหาอปุ สรรค และแนวทางแก้ไข ปัญหา เพื่อหาแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนที่เหมาะสมในอนาคต ของเทศบาลตำบล ท่าวังผา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาอุปสรรคของการจัดการขยะมูลฝอย ในครวั เรือนของเทศบาลตำบลท่าวงั ผา แบ่งได้เปน็ 2 ดา้ น ดังน้ี 1. ดา้ นการบรหิ ารจดั การ องค์กร และ บุคลากรที่รับผิดชอบยังขาดความรู้ ในการจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกหลักสุขาภิบาล งบประมาณการ จัดเก็บค่าธรรมเนียมยังได้ไมค่ รอบคลุม เทคโนโลยีโดยเฉพาะถังขยะในชุมชนยังไมม่ ีถังแยกประเภท ขยะก่อนนำไปกำจัด และไม่ครอบคลุมพื้นที่ แผนงานโครงการยังไม่สอดคล้องกับปัญหา ไม่มีความ ต่อเนื่องในแผนระยะยาว 2. ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ยังไม่ถูกหลักสุขาภิบาล โดยเฉพาะ การคัดแยกขยะก่อนนำไปกำจัด ทำให้มีปริมาณขยะมูลฝอยเพิ่มมากขึ้น และวิธีการกำจัดขยะยังไม่ ถูกต้อง ทำให้เกิดข้อร้องเรียนจากประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงแหล่งกำจัดขยะ แนวทางการดำเนินการ จัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนที่เหมาะสม ของของเทศบาลตำบลท่าวังผา ควรกำหนดเป็นนโยบาย หลักของหน่วยงาน มีแผนการดำเนินงานแบบพหุภาคี โดยกระบวนการมีส่วนร่วมกันระหว่างคณะ ผู้บริหารที่มาจากการเลือกต้องแต่งตั้ง (ฝ่ายการเมือง) พนักงานเจ้าหน้าที่ (ฝ่ายประจำ) ประชาชน ผู้รับบริการ ตลอดถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สาธารณสุขอำเภอ องค์การปกครองส่วนท้องถนิ่ ใกล้เคียง โสมฉาย บุญญานันต์ (2549) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทฤษฎีโปรแกรมการปลูกฝัง จิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม : การวิจัยพหุเทศะกรณีเพื่อการออกแบบ และประเมินโครงการ โดยมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือ พัฒนาทฤษฎีโปรแกรมการปลูกฝงั จิตสำนึกต่องส่ิงแวดลอ้ ม โดยใช้วิธีวิทยาการวิจัย เชิงคุณภาพแบบพหุเทศะกรณี (multi-site case study research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนที่มีผลการปฏิบตั กิ ารปลูกฝงั จิตสำนกึ ตอ่ สงิ่ แวล้อมดีเด่น ที่อยู่ในบรบิ ททแ่ี ตกต่างกัน จำนวน 4 แห่ง ไดแ้ ก่ กรณศี กึ ษาท่ี 1 โรงเรยี น ก. (โรงเรียนทีใ่ ช้หลกั สูตรของโครงการรุ่งอรุณ และมีท่ีตั้งอยู่ นอกตวั เมือง กรณีศึกษาที่ 2 โรงเรยี น ข. (โรงเรียนทใ่ี ชห้ ลกั สตู รของโครงการรงุ่ อรณุ และมที ตี่ ัง้ อยู่ใน ตัวเมือง) กรณีศึกษาที่ 3 โรงเรียน ค. (โรงเรียนที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นเอง และมีที่ตั้งอยู่นอกตัวเมือง) กรณศี กึ ษาที่ 4 โรงเรียน ง. (โรงเรยี นทพี่ ฒั นาหลักสูตรขนึ้ เอง และมีทีต่ ้ังอย่ใู นตัวเมือง) โดยเก็บข้อมูล จาก ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง บุคลากรในโรงเรียน และคนในชุมชน ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมปลูกฝังจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยนื ต้องมี 4 องค์ประกอบหลกั ได้แก่ (ก) การร่วมมือรวมพลังของภาคี 3 ฝ่าย ได้แก่ บ้าน โรงเรียน และศาสนา (ข) รูปแบบการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่มีความหลากหลาย มีการบูรณาการเนื้อหาวิชา และส่งเสริมให้นักเรียน รจู้ ักการคิดวเิ คราะห์แก้ปัญหาด้วยตนเอง (ค) การปลูกฝงั เร่อื งภูมิปัญญาอาชพี ในท้องถิ่นท่ีเป็นการอยู่ อาศัยอย่างพึ่งพิงกับธรรมชาติ และ (ง) การปลูกฝังให้นักเรียนรู้วิธีอนุรักษ์พลังงานควบคู่ไปกับ มจี ติ สำนกึ ตอ่ สิ่งแวดล้อม วรานี วิสูตรธนาวิทย์ (2548) ได้ศึกษากระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการขยะ ของนักเรยี น : ศกึ ษากรณีโรงเรยี นมัธยมศกึ ษา โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษากระบวนการสรางจิตสาํ นึก ด้านการจัดการขยะของนักเรียน และมีอะไรเปนเงื่อนไขที่สงผลตอจิตสํานึกดานการจัดการขยะของ

78 นักเรียน ผูวิจัยใชวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาปรากฏการณจริงที่เกิดขึ้นอยางเปนระบบ การเลอื กสนามการวจิ ยั ผูวิจัย เลือกแบบเจาะจง คือ โรงเรยี นเชิงเขา อําเภอเมือง จังหวดั ภเู กต็ เพราะ โรงเรยี นแหงนี้นําระบบการจัดการส่งิ แวดลอม ISO14001 เขามาจดั ระบบสง่ิ แวดลอมภายในโรงเรียน และผูวิจัยสะดวกในการเก็บขอมูล จากการวิจัยพบวากระบวนการสรางจติ สํานกึ ดานการจัดการขยะ ของนกั เรยี น เรม่ิ จากขั้นท่หี นึง่ การขดั เกลาทางสังคม คือ การไดรับการปลกู ฝงจากบาน และโรงเรียน ขั้นที่สอง การสรางเครือขายบาน และโรงเรียน หมายถึง โรงเรียนสรางแนวรวมประสานสัมพันธ ระหว่างบ้าน และโรงเรียน เพื่อความชัดเจนในเรื่องของนโยบายตาง ๆ ของโรงเรียน ขั้นที่สาม การบูรณาการกิจกรรม คือการใหความรู และจัดกิจกรรมที่สงเสริม เกี่ยวกับการจัดการขยะ ขั้นที่สี่ การเสริมแรง และการลงโทษ เปนการสรางขวัญกําลังใจแกผูปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่วางไว้ และลงโทษผูที่ไมปฏิบัติตามอยางเครงครัด เพื่อใหนักเรียนไดปรับพฤติกรรมไปในทิศทางที่โรงเรียน ตองการ และสุดทายขั้นที่หา การประเมินทบทวน โดยโรงเรียนออกคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการ ประเมินผลการจัดการขยะ ทําการประเมินผลภาคเรียนละ 1 ครั้งและมีการเฝาระวังอยางตอเนื่อง สําหรับเงื่อนไขที่มีผลตอกระบวนการสรางจิตสํานึกดานการจัดการขยะนั้น พบวา มีองคประกอบ 4 ประการ คือ หนึ่ง ประสบการณในอดีต และชีวิตประจําวัน นั่นคือ ความตอเนื่องของการสรางสม คานิยมที่ดีเกี่ยวกับการจัดการขยะ ตั้งแตเล็กจนโตจนเกิดผลึกของจิตสํานึกในการจัดการขยะ โดยอัตโนมัติในชีวิตประจําวัน และการที่นักเรียนไดเห็นแมแบบจากครู พอ-แม ในชีวิตประจําวัน ที่แวดลอมตัวนักเรียน ลวนเป็นแนวปฏิบัติที่ดี ลวนมีสวนหลอหลอมใหนักเรียนมีพฤติกรรมที่ดีได สอง ความรวมมือในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือขอตกลงนั้น หมายถึง ครูและบุคลากรทุกคน ตลอดจน บุคลากรในครอบครัว ย้ำเตือนนักเรียนทุกครั้ง ที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไมพึงประสงค สาม มาตรการในการจัดการขยะ ผูบริหารจะตองมีนโยบาย และมาตรการเกี่ยวกับการจัดการขยะ ที่ชัดเจน จริงจัง และเปนที่ยอมรับของบคุ ลากรทุกคนในโรงเรียน และส่ี ระยะเวลา โรงเรียนจะตอง กาํ หนดระยะเวลาในการดาํ เนนิ การปรับพฤติกรรมของนักเรยี นท่ีแนนอน และประเมนิ ผลความสําเร็จ ของการปรบั พฤตกิ รรม จากปริมาณขยะทจ่ี ะตองเปนไปตามมาตรฐานทีโ่ รงเรียนกาํ หนด กรรณิกา พมุ่ มาก (2547) ได้ดำเนินการวิจยั เรือ่ ง พฤติกรรมการจัดการขยะของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวดั อุตรดิตถ์ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื ศกึ ษาพฤตกิ รรมการจัดการขยะ ของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ผลการวิจัยพบว่า การจัดการขยะของ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จงั หวัดอตุ รดิตถ์ เทศบาลเมอื งอตุ รดิตถ์ใช้ปฏบิ ัติอยู่ในปัจจุบัน มี 1 วิธี ได้แก่ การฝังกลบแบบขุดหลุม ซึง่ ไม่ใชก่ ารจัดการขยะแบบถูกวิธี สถานทีฝ่ งั กลบขยะเป็นของ เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ อยู่นอกเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร อยู่นอก เขตชุมชน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ขนาดพื้นที่ 112 ไร่ ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบสูง วิธีการ จัดการขยะของประชาชนโดยการลดปริมาณขยะจากแหล่งกำเนิด ได้แก่ การนำขยะกลับไปใช้ซ้ำ การนำขยะกลับไปผลิตใหม่ หมักทำปุ๋ยในส่วนที่ย่อยสลายได้ (ขยะหอม) จะได้ของเหลวที่เรียก “ป๋ยุ นำ้ อนามัย” หรอื “น้ำสลดั ” หรือ “น้ำหมักชีวภาพ” หรือ “น้ำจลุ ินทรีย”์ แล้วแตจ่ ะเรยี ก การเผา กลางแจ้ง เช่น เผากิ่งไม้ เพื่อช่วยลดปริมาณขยะให้น้อยลง สภาพของถังขยะดีพอประมาณ ถูกต้อง ตามหลักสุขาภิบาล และไม่อยู่ในที่กีดขวางทางจราจร ถังรองรับขยะที่เป็นพิษ และอันตรายไม่มี มลภาวะสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มลภาวะทางสายตา และมลภาวะต่ออาคารสถานที่ สิ่งเคารพบูชา

79 ส่วนใหญ่มีสภาพค่อนข้างสะอาด ยานพาหนะขนถ่ายขยะเป็นรถบรรทุกขยะ ถูกต้องตามหลัก สขุ าภิบาล และมจี ำนวนเพียงพอตามเกณฑม์ าตรฐาน พนักงานประจำรถบรรทุกขยะโดยรวมมีจำนวน ไม่เพียงพอตามเกณฑ์มาตรฐาน การจัดการขยะโดยรวมสะอาดเรียบร้อยดี วิธีการทีเ่ หมาะสมกบั การ จัดการขยะในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ได้แก่ ระบบกำจัดขยะแบบฝังกลบขยะอย่างถูกหลัก สุขาภิบาล การฝงั กลบแบบขุดหลุม การจดั การขยะโดยลดปรมิ าณขยะจากแหล่งกำเนดิ นำขยะกลับไป ใช้ซำ้ นำขยะกลับไปผลิตใหม่ หมกั ทำปุ๋ยในส่วนท่ีย่อยสลายได้ (ขยะหอม) และการคัดแยกขยะติดเช้ือ ขยะเป็นพิษ และอันตราย นำไปกำจัดอยา่ งถกู หลกั สขุ าภิบาล แลว้ จงึ นำส่วนท่เี หลือไปฝังกลบต่อไป นิมติ ประกอบผล (2543) ได้ทำการวิจัย เรอื่ ง ความรู้ และการตดั สนิ ใจเกีย่ วกับการจดั การ ขยะของนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความรู้ และการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการขยะของนักเรียนมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ในเขตเทศบาลเมือง เพชรบุรี และปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ และความสามารถในการตัดสินใจ ได้แก่ เพศ ภูมิลำเนา รายได้ ของผู้ปกครอง แผนการเรยี น ความถี่ของการได้รับข่าวสาร ผลการวจิ ยั พบว่า กลุม่ ตวั อย่างส่วนใหญ่มี ความรู้มากเกีย่ วกับประเภทของขยะ ปัญหา และอันตรายจากขยะ การกำจัดขยะ และการปฏิบตั ิตอ่ ขยะ และการใช้ประโยชน์จากขยะ สำหรับการทดสอบสมมติฐานในส่วนของความรู้ พบว่า เพศ แผนการเรียน ภูมิลำเนา รายได้ของผู้ปกครอง และความถี่ของการได้รับข่าวสาร ไม่มีความสัมพันธ์ ในทางสถิติ ในส่วนของการตัดสินใจพบวา่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องเกี่ยวกบั การแยกทิ้งขยะ การกำจัดขยะ การเข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับการจัดการขยะ สำหรับการทดสอบ สมมตฐิ านของการตดั สนิ ใจพบว่า ความรมู้ คี วามสัมพนั ธ์กบั การตัดสินใจเก่ียวกบั การกำจัดขยะอย่างมี นัยสำคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 และความถีข่ องการไดร้ บั ขา่ วสารทางวิทยุกบั โทรทัศน์ มีความสัมพันธ์ กบั การตัดสนิ ใจในทางตรงกันข้าม อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 สว่ นหนงั สือพิมพ์ ส่ือบุคคล เพศ แผนการเรยี น ภมู ลิ ำเนา รายได้ของผปู้ กครอง ไม่มีความสัมพันธก์ นั ทางสถติ ิ

บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจยั การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เน้นกระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการ จัดการขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พษิ ณุโลก เขต 3 ดำเนนิ การวจิ ยั แบง่ เป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศกึ ษาสภาพปัญหาการจดั การขยะ มลู ฝอยของโรงเรียน ระยะท่ี 2 พฒั นาแนวทางการบริหารจดั การขยะทเี่ น้นกระบวนการสร้างจิตสำนึก ด้านการจัดการขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณโุ ลก เขต 3 ซึ่งคณะผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การดงั น้ี 1. ข้ันตอนของการวิจัย 2. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 3. เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถติ ิทใ่ี ช้ ขน้ั ตอนการวิจัย การวจิ ัยคร้ังน้คี ณะผวู้ จิ ัยได้แบ่งขั้นตอนการวจิ ยั ไว้ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ศกึ ษาสภาพปญั หาการจดั การขยะมลู ฝอยของโรงเรียน ประชากร ได้แก่ ผูใ้ ห้ข้อมูล 3 คน ในหนึ่งโรงเรยี น ประกอบด้วย 1. ผอู้ ำนวยการสถานศึกษา หรอื รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ในสังกัด สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 จำนวน 163 คน 2) ครผู รู้ ับผิดชอบโครงการด้านการจัดการขยะมลู ฝอยของโรงเรยี นในสังกดั สำนักงานเขต พน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 จำนวน 163 คน 3) ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาพษิ ณุโลก เขต 3 จำนวน 163 คน กลุ่มตวั อยา่ ง ในการกำหนดขนาดของกลุ่มตวั อย่างในงานวิจยั ครัง้ น้ี ใช้ตารางของเครจซี่ และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) ในกลุ่มขนาดประชากร 170 คน ระดบั ความคลาดเคลื่อนที่ ยอมรบั ได้ 5% และระดบั ความเชือ่ มั่น 95% ในหนง่ึ โรงเรยี น ขนาดกลุม่ ตวั อยา่ งมีดงั นี้ 1. ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรอื รกั ษาการในตำแหนง่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา ในสังกัด สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 118 คน 2) ครูผรู้ บั ผิดชอบโครงการดา้ นการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกดั สำนักงานเขต พน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิษณโุ ลก เขต 3 จำนวน 118 คน 3) ครูหรือบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณุโลก เขต 3 จำนวน 118 คน

81 เครื่องมือวิจัย คอื แบบสอบถามออนไลน์สภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนใน สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 โดยแบง่ เปน็ 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู สว่ นตวั ของผ้ตู อบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 สภาพปัญหาการจดั การขยะมลู ฝอยของโรงเรียน วิธกี ารสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดการ ขยะมูลฝอย การจดั การขยะในสถานศึกษา วิจัยสภาพปัญหาการจดั การขยะมูลฝอยในโรงเรียน 2. ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีการสร้างแบบสอบถามจากหนังสือทางการวิจัยการศึกษา เพอื่ เปน็ แนวทางนำมากำหนดกรอบในการตัง้ ประเด็นคำถาม 3. ออกแบบและสร้างแบบสอบถามที่ใชเ้ ป็นแบบประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั 4 นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย ผู้เช่ียวชาญด้านการวัดและประเมนิ ผล ด้านบริหารการศกึ ษา และด้านวจิ ัยการศึกษา ตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ว่าข้อคำถามน้นั มคี วามสอดคล้องหรอื ไม่ ดังน้ี ใหน้ ำ้ หนักคะแนน +1 หมายถึง สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา ใหน้ ้ำหนักคะแนน 0 หมายถงึ ไม่แน่ใจว่าสอดคลอ้ งกับเน้อื หา ให้น้ำหนักคะแนน -1 หมายถึง ไม่สอดคลอ้ งกบั เนื้อหา 5. นำข้อมูลที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องตามความ คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (IOC : Index of Item Objective Congruence) ของข้อคำถามโดย คัดเลือกขอ้ ท่มี คี ่าดชั นคี วามสอดคล้องต้งั แต่ .50 ข้นึ ไป 6. สร้างแบบสอบถามออนไลน์ ทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มครูผู้สอนที่เป็นตัวแทนกลุ่ม ตวั อย่าง จำนวน 30 คน เพ่อื ปรับปรุงแก้ไขดา้ นภาษา และตรวจสอบคุณภาพดา้ นความเชอื่ ม่ัน โดยวิธี ครอนบาค (Cronbach) ดว้ ยการหาสัมประสิทธ์ิแอลฟา ( - coefficient) ได้ความเชอื่ มน่ั 0.983 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. ทำหนังสือราชการจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ส่งถึง โรงเรยี นทกุ โรงเรยี นในสงั กดั ผ่านระบบ E-Office โดยใชแ้ บบสอบถามออนไลนใ์ นรปู แบบ QR Code 2. ประสานกบั ศึกษานเิ ทศก์ในแต่ละเครอื ข่าย ใน 24 เครอื ขา่ ย ในการตดิ ตามการตอบ 3. นำขอ้ มลู มาตรวจสอบความสมบูรณ์ การวเิ คราะห์ข้อมลู 1. วเิ คราะหข์ อ้ มูลสภาพปญั หาการจัดการขยะมลู ฝอยของโรงเรียนในสงั กดั สำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยการหาค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) นำมาเทียบกบั เกณฑ์ ดังน้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2545) คะแนน 4.51 – 5.00 คะแนน หมายความวา่ มีปัญหามากทสี่ ดุ คะแนน 3.51 – 4.50 คะแนน หมายความวา่ มีปัญหามาก คะแนน 2.51 – 3.50 คะแนน หมายความวา่ มีปัญหาปานกลาง คะแนน 1.51 – 2.50 คะแนน หมายความวา่ มีปัญหานอ้ ย คะแนน 1.00 – 1.50 คะแนน หมายความว่า มีปัญหานอ้ ยที่สดุ

82 ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เน้นกระบวนการสร้างจิตสำนึก ด้านการจัดการขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณโุ ลก เขต 3 ในระยะนี้มวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อ พัฒนาแนวทางการบริหารจดั การขยะที่เนน้ กระบวนการสร้าง จิตสำนึกด้านการจัดการขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ได้แก่ 1. ผ้อู ำนวยการสถานศกึ ษา ในสงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 จากโรงเรียนขนาดเลก็ โรงเรียนขนาดกลางและโรงเรยี นขนาด ใหญ่ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑ์คุณสมบัติท่ีกำหนด กล่มุ ละ 7 คน จำนวน 21 คน 2. ครผู รู้ บั ผดิ ชอบโครงการด้านการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรยี น ของโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลาง โรงเรียนขนาดใหญ่ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามเกณฑค์ ุณสมบตั ิทก่ี ำหนด กลุม่ ละ 7 คน จำนวน 21 คน ตามเกณฑค์ ุณสมบัตทิ กี่ ำหนด ดังนี้ 1. เป็นผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ทม่ี ผี ลงานได้รับรางวลั ดา้ นการพฒั นาส่ิงแวดล้อม ระดบั สำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาขึน้ ไป 2. ครผู รู้ บั ผิดชอบโครงการด้านการจัดการขยะมลู ฝอยของโรงเรยี น หรือมีผลงาน ได้รบั รางวัลด้านการพฒั นาสิ่งแวดล้อมระดับสำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาขึ้นไป เครื่องมือวิจัย คือ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการสนทนากลุ่มออนไลน์ ไดแ้ ก่ 1. ประเดน็ การสนทนาออนไลน์ - สภาพปัญหาการบริหารจดั การขยะมูลฝอยภายในโรงเรียน - การบริหารจัดการขยะในโรงเรยี นใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ - การบรหิ ารจัดการขยะโดยมงุ่ เน้นการสรา้ งจิตสำนึกของนักเรียน 2. โปรแกรมสำหรบั การสนทนาออนไลน์ และบันทึกการสนทนา Google Meet การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. ทำหนังสือราชการจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 เชิญผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมประชุมสนทนากลุ่มออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Google Meet โดยแจ้งวัน เวลา และลิง้ ค์เข้าร่วมการประชุมใหก้ ับผู้เชีย่ วชาญไดท้ ราบ และรว่ มประชมุ 2. ผู้เขา้ ร่วมประชมุ ให้ความคิดเหน็ ข้อพจิ ารณาและข้อเสนอแนะ เพอ่ื พัฒนาแนวทางทางการ บริหารจดั การขยะท่ีเน้นกระบวนการสรา้ งจิตสำนกึ ดา้ นการจดั การขยะมลู ฝอยของนกั เรียนในโรงเรียน

83 3. บันทึกการประชุม และจัดทำพัฒนาเป็นรูปแบบแนวทางบริหารจัดการขยะที่เน้น กระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขต พน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 การวิเคราะหข์ ้อมลู วเิ คราะหแ์ นวทางทางการบริหารจัดการขยะทีเ่ นน้ กระบวนการสร้างจิตสำนกึ ด้านการจัดการ ขยะมูลฝอยของนักเรียนในโรงเรียนจากการสนทนากลุ่มออนไลน์ โดยการวิเคราะหเ์ น้ือหา (Content Analysis) สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เน้นกระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการ ขยะมูลฝอยของนกั เรียนในโรงเรียนประถมศกึ ษา สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณุโลก เขต 3 ใชส้ ูตรต่าง ๆ เพือ่ คำนวณค่าทางสถิติ ดังน้ี 6.1 สถิติขั้นพื้นฐาน 6.1.1 ค่าเฉล่ยี (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 78 ) X = X N เมอื่ X คือ คา่ เฉลีย่ X คอื ผลรวมของคะแนนท้ังหมด N คอื จำนวนข้อมลู ทง้ั หมด 6.1.2 คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้สตู ร ดงั น้ี (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2538 : 78 ) S.D. = NX2 − (X)2 N (N −1) เมื่อ S.D. คือ ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน X คือ ผลรวมของคะแนนท้งั หมด X2 คือ ผลรวมกำลังสองของคะแนนแต่ละตวั N คอื จำนวนข้อมลู ท้งั หมด

84 6.2 สถิติเพ่ือตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 6.2.1 ค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) โดยใช้สูตรดงั น้ี (วาโร เพ็งสวสั ด์ิ, 2546 : 88) IOC = R N เมอ่ื IOC แทน ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างจดุ ประสงค์กบั เนื้อหา หรอื ความสอดคล้องระหว่างขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์ (Index of item objective congruence) R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชยี่ วชาญทัง้ หมด N แทน จำนวนผูเ้ ช่ยี วชาญทงั้ หมด 6.3 ค่าความเช่อื ม่นั ของแบบสอบถามโดยใชว้ ิธีของครอนบาค โดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิ แอลฟา (Alpha coefficient) (วาโร เพ็งสวัสด,ิ์ 2546 : 91)  = K  −  Si2  K -1 S2t  1    เม่ือ  แทน คา่ สัมประสิทธคิ์ วามเชื่อม่นั K แทน จำนวนข้อของแบบสอบถามสอบ S2i แทน ความแปรปรวนของคะแนนการตอบแต่ละขอ้ S2t แทน ความแปรปรวนของคะแนนทงั้ ฉบบั

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เน้นกระบวนการสร้างจิตสำนึกด้านการจัดการ ขยะมลู ฝอยของนกั เรยี นในโรงเรยี นประถมศกึ ษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 นำเสนอผลการวิจยั ดังนี้ ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาสภาพปัญหาการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกดั สำนักงานเขต พนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 1.1 ขอ้ มูลท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม 1.2 ผลการศกึ ษาสภาพปญั หาการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกัดสำนักงาน เขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ในภาพรวม 1.3 ผลการศกึ ษาสภาพปัญหาการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรียนในสงั กัดสำนักงาน เขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 ในโรงเรยี นขนาดเล็ก 1.4 ผลการศึกษาสภาพปญั หาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 ในโรงเรียนขนาดกลาง 1.5 ผลการศึกษาสภาพปญั หาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนในสังกัดสำนักงาน เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 ในโรงเรยี นขนาดใหญ่ ตอนท่ี 2 ผลการศกึ ษาพฒั นาแนวทางการบริหารจัดการขยะท่ีเนน้ กระบวนการสรา้ งจติ สำนกึ ด้านการจัดการขยะมลู ฝอยของนกั เรียนในโรงเรยี น สงั กัดสำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา พิษณุโลก เขต 3 สญั ลกั ษณ์ทใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวจิ ยั ในครัง้ นี้ กำหนดสญั ลักษณ์เพอ่ื ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ดงั น้ี X แทน คา่ เฉลีย่ S.D. แทน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน

86 ตอนที่ 1 ผลการศึกษาสภาพปญั หาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสงั กดั สำนกั งานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 1.1 ข้อมลู ท่วั ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลท่วั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ในการวิจัยคร้ังน้ี ปรากฏดังตาราง 4 ตาราง 4 แสดงจำนวนและรอ้ ยละขอ้ มูลทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม (n= 314) ข้อมลู พื้นฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม จำนวน (คน) ร้อยละ 1. เพศ 130 41.40 ชาย 184 58.60 หญิง 175 55.70 2. ระดบั การศกึ ษา 7 2.20 ระดับปริญญาตรี 128 40.80 ระดับ ป.บณั ฑิต 4 1.30 ระดบั ปรญิ ญาโท ระดับปรญิ ญาเอก 70 22.30 85 27.10 3. อายุ 88 28.00 ต่ำกวา่ 30 ปี 71 22.60 30-40 ปี 41-50 ปี 177 56.40 50 ปขี น้ึ ไป 55 17.50 14 4.50 4. ประสบการณใ์ นการรับผิดโครงการขยะมลู ฝอย 26 8.30 ตำ่ กว่า 5 ปี 42 13.40 5-10 ปี 11-15 ปี 98 31.20 16-20 ปี 98 31.20 มากกวา่ 20 ปี 118 37.60 5. สถานภาพ 176 56.10 ผู้บริหารสถานศกึ ษา 121 38.50 ครูผรู้ ับผิดชอบโครงการขยะมูลฝอย 17 5.40 ครู หรอื บคุ ลากรอนื่ ในสถานศึกษา 6. ขนาดโรงเรยี น ขนาดเลก็ (1-120 คน) ขนาดกลาง (121-300) ขนาดใหญ่ (นักเรยี นมากกว่า 301 คน ขน้ึ ไป)

87 จากตาราง 4 พบว่า ผ้ตู อบแบบสอบถามเปน็ เพศหญงิ มากกว่าเพศชาย ร้อยละ 58.60 เปน็ กล่มุ ที่มีระดับการศึกษาระดับปรญิ ญาตรีและปรญิ ญาโทมากท่ีสุด รอ้ ยละ 55.70 และ 40.80กระจาย ตามกลมุ่ อายุในจำนวนใกล้เคยี งกัน เม่อื พจิ ารณาประสบการณ์ในการรับผิดชอบโครงการขยะมูลฝอย พบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีประสบการณก์ ารต่ำกว่า 5 ปี ร้อยละ 56.40 และดำรงตำแหน่ง ครู หรอื บุคลากรอน่ื ในสถานศึกษากว่ากลุ่มอ่นื สวนใหญท่ ำงานอย่ใู นโรงเรยี นขนาดเล็กแลขนาดกลาง รอ้ ยละ 56.10 และ 38.50 ตามลำดบั 1.2 ผลการศึกษาสภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกัดสำนกั งานเขต พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ในภาพรวม ผลการศึกษาสภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 โดยรวม ตาราง 5 สภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 ปญั หาดา้ นการบรหิ ารจัดการ ในภาพรวม (n= 314) สภาพปญั หาการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรียน X S.D. ระดับปญั หา 1. ปญั หาด้านการบรหิ ารจัดการ 3.21 1.18 ปานกลาง 2. ปัญหาการจดั การขยะมูลฝอย 3.01 0.89 ปานกลาง 2.97 0.97 ปานกลาง 2.1 ด้านการควบคุมการทง้ิ ขยะมูลฝอย 2.82 0.86 ปานกลาง 2.2 ด้านการเก็บรวบรวมขยะมลู ฝอย 3.29 1.15 ปานกลาง 2.3 ด้านการแปลงรปู ของขยะมูลฝอย 2.94 1.01 ปานกลาง 2.4 ด้านการกำจดั ขยะมูลฝอย 3.11 0.99 ปานกลาง รวมเฉลี่ย จากตาราง 5 พบว่า สภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสังกัดสำนักงานเขต พื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณุโลก เขต 3 โดยรวมอยูใ่ นระดบั ปานกลาง ( X = 3.11, S.D. = 0.99) เมื่อพิจารณาระหว่างปัญหาด้านการบริหารจัดการกับปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย พบว่า ปญั หาดา้ นการบริหารจัดการมคี ่าสูงกวา่ ปัญหาการจดั การขยะมลู ฝอย ในส่วนของปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย พบว่า ทุกรายการประเมินมีความต้องการอยู่ใน ระดบั ปานกลาง โดยรายการท่ีมีคา่ เฉลีย่ สภาพปัญหาสูงสุด ได้แก่ ดา้ นการแปลงรูปของขยะมูลฝอย ( X = 3.29, S.D. = 1.15) รองลงมาได้แก่ ด้านการควบคุมการทิ้งขยะมูลฝอย ( X = 2.97, S.D. = 0.97) ดา้ นการกำจดั ขยะมูลฝอย ( X = 2.94 , S.D. = 1.01) ตามลำดับ

88 ตาราง 6 สภาพปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ปัญหาด้านการบริหารจดั การในภาพรวม (n= 314) รายการประเมนิ ปญั หาด้านการบรหิ ารจัดการ X S.D. ระดับปัญหา ปัญหาด้านการบรหิ ารจดั การ 3.11 1.31 ปานกลาง 1. การกำหนดวสิ ยั ทศั น์ พันธกจิ เป้าหมายท่เี กย่ี วข้องกับ 3.20 1.37 ปานกลาง การจัดการขยะ 3.11 1.07 ปานกลาง 2. การจดั ทำโครงการและกิจกรรมด้านการจัดการขยะมลู ฝอย ในโรงเรียน 3.27 1.29 ปานกลาง 3. งบประมาณสำหรับดำเนนิ โครงการและกจิ กรรม 3.23 1.31 ปานกลาง 4. การแยกประเภทงาน จดั กลุ่มงานเกีย่ วกับการจัดการขยะ 3.30 1.38 ปานกลาง ของโรงเรียน 3.23 1.35 ปานกลาง 5. การระบขุ อบเขตงานของผบู้ รหิ าร ครู นกั เรียน เกยี่ วกับ การจัดการขยะของโรงเรยี น 3.20 1.40 ปานกลาง 3.22 1.35 ปานกลาง 6. การแต่งต้ังมอบหมายผูร้ บั ผิดชอบในการปฏิบัติงาน 3.20 1.40 ปานกลาง ด้านการจดั การขยะ 3.22 1.17 ปานกลาง 7. การสง่ เสริมพฒั นาบุคลากรด้านความรเู้ กี่ยวกับการจัดการ 3.18 1.23 ปานกลาง ขยะมูลฝอย 3.20 1.22 ปานกลาง 8. การปฏบิ ตั กิ ารตามคำสั่ง หรือการสั่งการดา้ นการจดั การ 3.21 1.18 ปานกลาง ขยะมูลฝอย 9. การสนบั สนนุ ส่งเสรมิ และสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน 10. การตดิ ต่อสื่อสาร ประสานกับผเู้ กย่ี วข้องภายในโรงเรียน 11. การติดตอ่ สือ่ สาร ประสานกับผู้เกีย่ วขอ้ งภายนอกโรงเรยี น 12. การกำหนดตัวชีว้ ัดในการกำกบั ติดตาม และประเมนิ ผล การปฏิบตั งิ าน 13. การกำกับติดตาม และประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงานตามตัวช้ีวดั ทก่ี ำหนด รวมเฉลี่ย จากตาราง 6 พบว่า สภาพปัญหาปัญหาด้านการบริหารจัดการโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ( X = 3.21, S.D. = 1.18) เมื่อพิจารณาเปน็ รายข้อ พบว่า ทุกรายการประเมินอยู่ในระดบั ปานกลาง โดยรายการท่ีมีคา่ เฉลีย่ สภาพปัญหาสงู สุด ได้แก่ การแต่งต้ังมอบหมายผู้รับผิดชอบในการ ปฏบิ ตั งิ านด้านการจดั การขยะ( X = 3.30, S.D. = 1.38) รองลงมาไดแ้ ก่ การแยกประเภทงาน จัดกลุ่ม งานเกี่ยวกับการจัดการขยะ ( X = 3.27, S.D. = 1.29) และ การระบุขอบเขตงานของผู้บริหาร ครู

89 นกั เรียน เกีย่ วกบั การจัดการขยะของโรงเรียน ( X = 3.23 , S.D. = 1.31) การส่งเสรมิ พฒั นาบุคลากร ด้านความรู้เกี่ยวกับการจดั การขยะมูลฝอย ( X = 3.23 , S.D. = 1.35) ตามลำดับ ตาราง 7 สภาพปัญหาการจดั การขยะมูลฝอยของโรงเรยี นในสงั กัดสำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา ประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 ด้านการควบคุมการทิ้งขยะมูลฝอย ในภาพรวม (n= 314) รายการประเมนิ ปญั หาการควบคุมการทงิ้ ขยะมูลฝอย X S.D. ระดบั ปญั หา ปานกลาง 1. ปริมาณขยะมูลฝอยในโรงเรยี น 2.96 1.18 นอ้ ย 2. ขยะมูลฝอยในโรงเรยี นส่งผลตอ่ สุขภาพอนามยั ของนกั เรียน 2.46 1.23 ปานกลาง ปานกลาง 3. โรงเรยี นมกี ารประชาสัมพันธเ์ รือ่ งการทิง้ ขยะมลู ฝอย 3.38 1.46 ปานกลาง ปานกลาง 4. โรงเรยี นรณรงค์ในเร่ืองการทง้ิ ขยะมลู ฝอย 3.43 1.46 ปานกลาง ปานกลาง 5. นักเรียนขาดจิตสำนกึ ท่ีดใี นการควบคุมการทงิ้ ขยะมลู ฝอย 2.86 1.23 ปานกลาง 6. นักเรยี นทิ้งขยะไม่ถกู ท่ี 2.74 1.15 7. การกำหนดข้อตกลงของโรงเรยี นเกย่ี วกับการท้งิ ขยะมูลฝอย 3.31 1.32 8. นกั เรยี นไมป่ ฏิบัตติ ามขอ้ ตกลงของโรงเรียนเกีย่ วกับการทิง้ 2.67 1.18 ขยะมูลฝอย รวมเฉลีย่ 2.97 0.97 จากตาราง 7 พบว่า สภาพปัญหาด้านการควบคุมการทิ้งขยะมูลฝอย โดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง ( X = 2.97, S.D. = 0.97) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง โดยรายการที่มีค่าเฉลี่ยสภาพปัญหาสูงสุด ได้แก่ โรงเรียนรณรงค์ในเรื่องการทิ้งขยะมูลฝอย ( X = 3.43, S.D. = 1.46) รองลงมาได้แก่ โรงเรียนมีการประชาสัมพันธ์เรื่องการทิ้งขยะมูลฝอย ( X = 3.38, S.D. = 1.46) และการกำหนดข้อตกลงของโรงเรียนเกี่ยวกับการทิ้งขยะมูลฝอย ( X = 3.31 , S.D. = 1.32) ตามลำดับ