Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ISSUE 1 - สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

ISSUE 1 - สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

Published by tumrongrat_nat, 2022-01-20 12:28:05

Description: ISSUE 1 - สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

Search

Read the Text Version

รายงานสบื เน่ืองจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ท่ี 26 พฤศจิกายน 2564 ตารางท่ี 3 วเิ คราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับ การทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสาคร การทางานเป็นทีมของครูในสถานศกึ ษา ภาวะผนู้ าการเปลยี่ นแปลงของ ด้านการ ิตดต่อ ่ืสอสาร ผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการร่วม ืมอ ้ดานการประสานงาน ด้านการ ีมความ ิคดสร้างสรรค์ ้ดานการปรับปรุงอย่าง ่ตอเ ื่นอง ภาพรวม ระ ัดบความ ัสม ัพนธ์ 1. การมอี ิทธิพลเชิงอดุ มการณ์ r สงู 2. การสรา้ งแรงบันดาลใจ .795* .760* .814* .770* .694* .821* สงู 3. การกระตุน้ ทางปญั ญา .833* .828* .855* .822* .820* .888* สูง 4. การคานึงถึงความเปน็ ปัจเจกบุคคล .871* .859* .866* .833* .812* .898* สูง .867* .837* .847* .839* .822* .898* สงู ภาพรวม * มีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 .928* จากตารางที่ 3 พบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ ทิ ศ ท า ง บ ว กกับ กา ร ท า ง า น เ ป็ น ที ม ข อง ค รู ใ น ส ถ า น ศึ กษ า สั ง กั ด ส า นั กง า น เ ข ต พ้ื น ท่ี กา ร ศึ กษ า ประถมศึกษาสมุทรสาคร ในภาพรวมอยรู่ ะดบั สงู อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 สรุปผลการวิจยั ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับการทางานเป็นทีมของครูใน สถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม จานวน 341 คน พบว่า ครูส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จานวน 212 คน มี อายุ 30-39 ปี จานวน 129 คน มีการศึกษาระดบั ปริญญาตรี จานวน 235 คน ครูส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการทางาน น้อยกว่า 5 ปี จานวน 125 คน มีตาแหน่งครูผู้สอน จานวน 328 คนและครูส่วนใหญ่ไม่มีวิทยฐานะ จานวน 227 คน ~ 128 ~

รายงานสบื เนอื่ งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ท่ี 26 พฤศจิกายน 2564 ผลการวิเคราะห์ระดับภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสานักงาน เขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ รองลงมา คือ ด้านการคานึงถึง ความเป็นปจั เจกบุคคล ส่วนด้านทีม่ ีคา่ เฉลย่ี ต่าสุด คือ ด้านการกระต้นุ ทางปญั ญา ผลการวิเคราะห์ระดับการทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านที่มีค่าเฉล่ยี สงู สุด คอื ดา้ นการปรับปรงุ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง รองลงมา คือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนด้านท่ีมคี ่าเฉลยี่ ต่าสุด คือ ด้านการประสานงาน ผลการศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทิศทางบวก กับการทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสาคร ในภาพรวมอยู่ระดบั สงู อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05 อภปิ รายผล ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของ ผู้บริหารกับการทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสาคร ผลการวิจัยคร้งั น้ีสามารถอภิปรายผลตามลาดบั ของวตั ถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสมทุ รสาคร ในภาพรวมอยใู่ นระดับมาก สามารถอภปิ รายผลตามลาดับดังน้ี 1.1 การมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษามีอุดมการณ์ในการปฏิบัติหน้าท่ี มีศักยภาพในการนาความรู้ความสามารถมาพัฒนา สถานศึกษาด้วยความมุ่งมน่ั ใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามเป้าหมาย และผู้บริหารสถานศึกษามีความสามารถ ในการบริหารงานทางการศึกษาได้ครอบคลุมท้ัง 4 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายงบประมาณ ฝ่าย บุคคล และฝ่ายบริหารงานท่ัวไป สอดคล้องกับงานวิจัยของ ชนากานต์ ไชยวรรณ์ (2553) ได้ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับการบริหารการศึกษาในรูปแบบการใช้โรงเรียน เป็นฐานของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษานครนายก ผลการวิจัย พบว่า ด้านการมี อทิ ธิพลอย่างมอี ุดมการณ์ อยใู่ นระดับมาก 1.2 การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศึกษามีการจูงใจให้ครูมีความรักและมีความศรัทธาเห็นคุณค่าและความสาคัญของ สถานศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษามีการพัฒนาศักยภาพแก่ครูเป็นรายบุคคลและรายกลุ่มตรงตาม ความตอ้ งการของครแู ละความก้าวหน้าของสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ ชนากานต์ ไชยวรรณ์ (2553) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับการบริหารการศึกษาในรูปแบบ ~ 129 ~

รายงานสบื เน่อื งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 การใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษานครนายก ผลการวิจัย พบว่า ด้านการคานึงถึงความเปน็ ปจั เจกบุคคล อยู่ในระดบั มาก 1.3 การสร้างแรงบันดาลใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษามีความเป็นผู้นาในการส่ือสารทั้งทางตรงและทางอ้อมทาให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ เข้าใจตรงกันในการปฏิบัติงาน และผู้บริหารสถานศึกษามีความสามารถสร้างจุดมุ่งหมายแห่งอนาคตทา ให้ครูร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อความสาเร็จของสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ ธนัณฎา ประจงใจ (2557) ไดศ้ ึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับการทางานเป็นทีมตามความคิดเห็น ของครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด ผลการวิจัย พบว่า การสรา้ งแรงบันดาลใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 1.4 การกระตุ้นทางปัญญา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษากระตุ้นให้ครมู ีความพรอ้ มท่ีจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพ่ือทาให้ผลงานได้รับการปรับปรุงให้ดีข้ึน และผู้บริหารสถานศึกษาสร้างขวัญและกาลังใจให้ครูโดยไม่เกรงกลัวต่ออุปสรรคท่ีจะเกิดข้ึนในการ ทางาน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ธุมากร เจดีย์คา (2559) ได้ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของ ผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษาประถมศึกษาจันทบุรี การกระต้นุ ทางปัญญา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. การทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสาคร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก สามารถอภิปรายผลตามลาดบั ดังนี้ 2.1 ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเน่ือง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ดา้ นทมี่ ีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ผู้บริหารสถานศึกษามีการตรวจสอบความคืบหน้าและคุณภาพงานของ ครูอย่างสม่าเสมอ รองลงมา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาให้ครูได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดในการทางานและ วิธีแก้ไขเพื่อพัฒนางาน ส่วนด้านที่มีค่าเฉล่ียต่าสุด คือ ผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้ความเข้าใจใน กระบวนการทางานสามารถลดระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และลดโครงสร้างทางการบริหารของ สถานศึกษาให้กระชับข้ึน สอดคล้องกับงานวิจัยของ อุทุมพร จันทร์สิงห์ (2561) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับการทางานเป็นทีมในโรงเรียน สังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 ผลการวิจัย พบว่า การทางานเป็นทีมใน โรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ใน ระดับมาก 2.2 ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษาสนับสนุนให้ครูทางานด้วยวิธีท่ีหลากหลายเพื่อให้ประสบผลสาเร็จ และผู้บริหาร สถานศึกษามีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นปัญหาไว้อย่างละเอียดเพ่ือเป็นแนวทางในการปรับปรุงงาน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ธนัณฎา ประจงใจ (2557) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการ ~ 130 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 เปลี่ยนแปลงกับการทางานเป็นทีมตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาตราด ผลการวิจัย พบว่า ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก 2.3 ด้านการร่วมมือ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษามี ทกั ษะทาให้ครูสามารถปฏบิ ตั ิงานในสถานศึกษาด้วยความสามัคคี เอื้ออาทรและผู้บริหารสถานศึกษา มคี วามสามารถในการช่วยอานวยความสะดวก สนบั สนุนการปฏิบัติงานของครูให้เกิดความสาเร็จตาม เป้าหมาย สอดคล้องกับงานวิจัยของ ธนัณฎา ประจงใจ (2557) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะ ผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับการทางานเป็นทีมตามความคิดเห็น ของครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาตราด ผลการวิจัย พบว่า ด้านการร่วมมือ ภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก 2.4 ด้านการติดต่อสื่อสารภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะผู้บริหารสถาน ศึกษา มีการระดมความคิดท่ีหลากหลายเพื่อนาไปสู่การดาเนินงานที่เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิ ผลให้แก่ผู้เรียน และผู้บริหารสถานศึกษามีการติดต่อสื่อสารที่เป็นการสื่อสารแบบสองทางเพื่อให้ครู นาไปส่กู ารปฏิบตั ทิ ี่ถกู ตอ้ ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ แสงดาว โสมศรีแพง (2556) ได้วิจัยการทางาน เป็นทีมของบุคลากรในสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในอาเภอนาแก สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ บานครพนม เขต 1 ผลการวิจยั พบว่า ด้านการตดิ ต่อส่อื สาร อยูใ่ นระดับมาก 2.5 ด้านการประสานงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษามกี ารประสานงานกบั ครูทกุ ครงั้ ในการปฏิบัติงาน และ ผู้บริหารสถานศึกษาสนับสนุนให้มี การพ่ึงพาซึ่งกันและกันของแต่ละฝ่ายงานในสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของ รัชนีวรรณ อาจศิริ (2560) ได้ศึกษาการทางานเป็นทีมของบุคลากรในโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายเมือง 1 สังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ผลการวิจัย พบว่า ด้านการประสาน ให้ความร่วมมอื และขจดั ข้อขัดแยง้ อย่างสรา้ งสรรค์ อยู่ในระดบั มาก 3. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับการ ทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครใน ภาพรวมอยู่ระดับสูง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามท่ีตั้งสมมติฐานไว้ ท้ังน้ีอาจ เป็นเพราะ ภาวะผู้นาเป็นกระบวนการใช้อิทธิพลหรืออานาจที่มีอยู่ของผู้นาในการโน้มน้าวให้บุคคล อื่น กระทากจิ กรรมหรือปฏบิ ตั ิงานเพอื่ บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ผู้นาอาจจะเป็นผู้มีตาแหน่งหัวหน้า หรอื ผู้มีบทบาทสาคัญ หรือได้รับมอบหมาย ที่มีความสามารถในการดาเนินงาน สามารถจูงใจคนและ นาบุคคลในกลุ่มปฏิบัติงานให้ประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายขององค์กร สอดคล้องกับงานวิจัยของ อุทุมพร จันทร์สิงห์ (2561) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สถานศึกษากับการทางานเป็นทีมในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ~ 131 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศกุ ร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ปทุมธานี เขต 2 พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับ การทางานเป็นทีมในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 มี ความสัมพันธก์ ันทางบวกในระดบั สงู อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากการวิจยั 1. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสมุทรสาคร สามารถสรุปข้อเสนอแนะไดด้ งั ต่อไปนี้ 1.1 การมีอทิ ธพิ ลเชงิ อุดมการณ์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการนา สถานศกึ ษาสโู่ ลกแหง่ อนาคตเพือ่ ให้ผู้เรยี นมีผลสมั ฤทธิม์ คี ุณภาพมาตรฐานตามทีก่ าหนด 1.2 การสร้างแรงบันดาลใจ ผ้บู ริหารสถานศกึ ษาควรมีความสามารถในการพูดโน้มน้าวใจ คน มกี ารกระต้นุ ให้ครทู างานรว่ มกันอย่างมีความสุข 1.3 การกระตุ้นทางปัญญา ผู้บริหารสถานศึกษาควรใช้ทักษะวิธีการต่าง ๆ ที่จะทาให้ครู รวมพลังในการสร้างสรรคผ์ ลงานใหม่ ๆ ใหม้ ากย่ิงข้นึ 1.4 การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความสาคัญกับครูทุก คนโดยเปดิ โอกาสใหค้ าปรกึ ษา ใหค้ าแนะนา และใหก้ ารเอาใจใส่แกค่ รเู ป็นรายบุคคล 2. การทางานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร สามารถสรปุ ขอ้ เสนอแนะไดด้ ังต่อไปน้ี 2.1 ดา้ นการติดตอ่ สื่อสาร ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาควรมคี วามสามารถในการให้ข้อมูลข่าวสารที่ ช่วยใหค้ รูตัดสินใจในการทางานได้ถูกต้องรวดเร็วมากขึ้น 2.2 ด้านการร่วมมือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความร่วมมือช่วยเหลือครูในการแก้ไข ปัญหาต่าง ๆ 2.3 ด้านการประสานงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการวางแผนและกาหนดแนวทางท่ี เหมาะสมในการปฏบิ ัติงาน 2.4 ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ ผู้บริหารสถานศึกษาควรเปิดโอกาสให้ครูรวมกลุ่มกันใน การสร้างนวตั กรรมใหม่ ๆ 2.5 ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเน่ือง ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีความรู้ความเข้าใจใน กระบวนการทางานสามารถลดระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และลดโครงสร้างทางการบริหารของ สถานศึกษาให้กระชับข้ึน ~ 132 ~

รายงานสืบเน่ืองจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ตอ่ ไป 1. ควรให้มีการศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการทางานเป็นทีม ของครใู นสถานศึกษาสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร 2. ควรศึกษารูปแบบการทางานเป็นทีมสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาในสถานศึกษาสังกัด สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร เพื่อใชแ้ นวทางในการพฒั นาสถานศกึ ษาต่อไป เอกสารอ้างองิ จารุวรรณ สะอาดลออ. (2556). การศึกษาการทางานเป็นทีมของบุคลากรในสถานศึกษาอาเภอ บรรพตพิสัยสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 2. นครสวรรค:์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค.์ ชนากานต์ ไชยวรรณ์. (2553). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงกับการบริหาร การศึกษาในรูปแบบการใช้โรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษานครนายก. หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี. ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และคณะ. (2556). การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เอก็ ซเปอรเ์ น็ท. ธนัณฎา ประจงใจ. (2557). ความสมั พนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับการทางานเป็นทีม ต า ม ค ว า ม คิ ด เ ห็น ขอ งค รู ผู้ ส อน ใ น ส ถ า น ศึ ก ษ า สั งกั ด ส า นั ก งา น เ ขต พื้น ท่ี ก า ร ศึ ก ษ า ประถมศึกษาตราด. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต (การบริหารการศึกษา) มหาวิทยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี. ธมุ ากร เจดยี ์คา. (2559). การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหาร สถานศกึ ษากับประสทิ ธผิ ลในการบริหารสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกการศึกษา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏราไพพรรณ.ี ปรชี า พงึ่ เจียม. (2557). พฤติกรรมการทางานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาข้ัน พนื้ ฐานสงั กัดสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 3. ครุศาสตรมหา บัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั กาญจนบรุ ี. รัชนีวรรณ อาจศิริ. (2560). การศึกษาการทางานเป็นทีมของบุคลากรในโรงเรียนกลุ่มเครือข่าย เมอื งสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาอุบลราชธานี เขต 1. สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้. (2557). เอกสารประกอบการประชุมปฏิบัติการสาหรับผู้บริหาร โรงเรยี นและทมี พฒั นาคุณภาพของโรงเรียน. กรงุ เทพฯ: สถาบันวจิ ัยและพฒั นาการเรียนรู้. ~ 133 ~

รายงานสืบเนื่องจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 สมเกียรติ บาลลา. (2554). ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อองค์การ แห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อาเภอเมืองปทุมธานี สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุร.ี สุวรรณา พงษ์ผ่องพูล. (2560). การทางานเป็นทีมท่ีส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของ สถานศึกษา สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปทุมธานี เขต 2. ครุศาสตรม หาบณั ทติ สาขาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. แสงดาว โสมศรีแพง. (2556). การทางานเป็นทีมของบุคลากรในสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในอาเภอ นาแก สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาการบริหารการศกึ ษา. นครพนม : บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยนครพนม. อรุณวดี ร่ืนรมย์. (2553). การทางานเป็นทีมของข้าราชการครูในโรงเรียนระยองวิทยาคมสังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาระยอง เขต 1. วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการ บรหิ ารการศกึ ษา มหาวิทยาลัยบรู พา. อานาจ ธีระวนชิ . (2547). การจัดการ. กรุงเทพฯ: บริษทั ซ.ี ว.ี แอล.การพิมพ์. อุทุมพร จันทร์สิงห์. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สถานศึกษากับการทางานเป็นทีมในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2. คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี. Bass, BM, & Avolio, BJ (1994). Improving organizational effectiveness through transformational leadership. Thousand Oaks, CA: Sage Publications. Farlet, M. J., & Stoner, M. H. (1989). The nurse executive and interdisciplinary team building. The Journal of Nursing Administration. Kristoff Barbara L. (2003). Transformational Leadership, Professional School Culture, and Percevived Effectiveness in Specialized Programs for Students with Disabilities, Proquest- Dissertation Abstracts. Roming, D. A. (1996). Breakthrough Teamwork: Outstanding Result Using Structured Teamwork. Chicago, IL: Irwin. Woodcock, M. and Francis, D. (1994). Teambuilding Strategy. Hampshire : Gower Publishing. ~ 134 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศุกร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัตงิ านของบคุ ลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนยก์ ารอุตสาหกรรมปอ้ งกนั ประเทศและพลงั งานทหาร The Performance Efficiency of Personnel in Defence Energy Department, Defence Industry and Energy Centre ศทุ ธนิ ี จันทร์เทศ1 พงษศ์ ักด์ิ เพชรสถติ ย์2 อนนั ต์ ธรรมชาลยั 3 1นกั ศึกษาหลกั สตู รปรญิ ญารัฐประศาสนศาสตรมหาบณั ฑติ คณะรฐั ศาสตร์ สาขาการจดั การภาครัฐและเอกชน มหาวทิ ยาลยั นอรท์ กรุงเทพ, [email protected] 2อาจารย์ประจาหลกั สตู รรฐั ประศาสนศาสตรมหาบัญฑติ คณะรฐั ศาสตร์ สาขาการจัดการภาครฐั และเอกชน มหาวิทยาลยั นอรท์ กรุงเทพ, [email protected] 3อาจารย์ประจาหลกั สตู รรฐั ประศาสนศาสตรมหาบญั ฑติ คณะรฐั ศาสตร์ สาขาการจัดการภาครัฐและเอกชน มหาวิทยาลยั นอร์ทกรงุ เทพ, [email protected] บทคัดย่อ การวจิ ัยครั้งน้มี วี ัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และ 2) เปรียบเทียบ ประสทิ ธิภาพในปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนยก์ ารอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และพลังงานทหาร โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร จานวน 156 คน ใช้การสุม่ ตวั อยา่ งแบบหลายขัน้ ตอน เครื่องมือใน การเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ One-Way ANOVA ผลการวจิ ัย พบว่า ระดบั ประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์ การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ตามลาดับ ได้แก่ ด้าน คณุ ภาพของงาน ดา้ นเวลา ดา้ นปริมาณงาน และด้านค่าใช้จ่าย ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ และระดับตาแหน่งงานทแ่ี ตกต่างกัน มีระดบั ความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01 คาสาคญั : ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัติงาน บคุ ลากรกรมการพลงั งานทหาร ~ 135 ~

รายงานสืบเน่ืองจากการประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 Abstract The objectives of the study were 1) to examine the level of performance in Defence Energy Department, Defence Energy Industry and Energy Centre and 2) to compare of performance of personnel in Defence Energy Department, Defence Industry and Energy Centre. The samping were 156 case of personnel in Defence Energy Department, Defence Energy Industry and Energy Centre, selected by multistage sampling. The tool used in this study was a questionnaire. The statistics used to analyzed data including frequency, mean, percentage, Standard Deviation, t-test and One-Way ANOVA. The results of this study revealed that the performance efficiency was at a high level in all 4 aspects, as follows: work quality, time, work load, and costs, respectively. The hypothesis test found that different age and position had influence on their the performance efficiency at .01 level of significance. Keywords: performance efficiency, Personnel of Defence Energy Department ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา การบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นการยอมรับว่ามนุษย์ในองค์กรเป็นทรัพยากรท่ีมีคุณค่าสูงท่ีสุด ขององค์กรหรือท่ีเรียกว่า ทุนมนุษย์ (Human Capital) และเป็นปัจจัยสาคัญท่ีบ่งช้ีถึงความสาเร็จหรือ ความล้มเหลวในการดาเนินงานในอนาคต ดังนั้น ผู้บริหารในองค์กรจึงต้องนาศักยภาพของทรัพยากร มนุษย์ในองค์กรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมท้ังกระตุ้นให้มีการเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทางานที่ เพิ่มข้ึน เพราะการบริหารทรัพยากรมนุษย์มีความสาคัญที่จะช่วยให้องค์กรเจริญเติบโต ในปัจจุบันองค์กร ต่าง ๆ ให้ความสาคัญกับทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) และแสวงหาเคร่ืองมือต่าง ๆ มาใช้ในการ บริหารทรัพยากรมนุษย์ เช่น การบริหารทรัพยากรบุคคลโดยใช้สมรรถนะเป็นพื้นฐาน (Competency- Base Human Resource Management) ถือได้ว่าเป็นเคร่ืองมือที่ได้รับความนิยมนามาใช้เพื่อพัฒนา ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร รวมถึงภาคราชการของไทยที่ให้ความสาคัญในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ จึงได้นาแนวคิดระบบสมรรถนะมาปรับใช้เพ่ือสนับสนุนให้ข้าราชการแสดงพฤติกรรมที่ เหมาะสมกับหน้าที่และส่งเสริมในการปฏิบัติหน้าที่และภารกิจท่ีได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงหากองค์กรใดมีทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับสมรรถนะขององค์กร ย่อมทาให้ องค์กรก้าวไปในทิศทางท่ีพึงประสงค์ได้ (ธาริณี อภัยโรจน์, 2553 อ้างถึงใน สิรินภา ทาระนัด, 2561) จาก การปฏิรูประบบราชการของประเทศไทยเพื่อปรับเปล่ียนไปสู่การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public ~ 136 ~

รายงานสบื เน่อื งจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 Management) เปน็ การปรับเปลย่ี นการบริหารจัดการภาครัฐ โดยนาหลักการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ราชการและการแสวงหาประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการท่ีมุ่งสู่ความเป็นเลิศ โดยการนาเอาแนวทาง หรอื วิธกี ารบริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้กับการบริหารงานภาครัฐ เช่น การบริหารงานแบบมุ่งเน้น ผลสัมฤทธ์ิ การบริหารงานแบบมืออาชีพ การคานึงถึงหลักความคุ้มค่า การจัดการโครงสร้างที่กะทัดรัด และแนวราบ การเปดิ โอกาสให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน การให้บริการสาธารณะ การให้ความสาคัญต่อค่านิยม จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรมและจริยธรรม ตลอดท้ังการมุ่งเน้นการให้บริการแก่ประชาชนโดยคานึงถึง คุณภาพเป็นสาคัญ (บุญเกียรติ การะเวกพันธ์ุ, 2562) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรจึงเป็น ประเดน็ ที่มคี วามสาคัญท่ีจะส่งเสริมการบริหารที่มีประสิทธิภาพด้วยความสาคัญของทรัพยากรมนุษย์เป็น ปัจจยั สาคัญ กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เป็นส่วน ราชการระดับกรม มีหน้าท่ี วางแผน ดาเนินการ ควบคุม วิจัย พัฒนา ผลิต จัดหา สะสม และให้บริการ เชอ้ื เพลงิ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและการพลังงานทดแทน เพ่ือสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ส่วน ราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน เพื่อความม่ันคงของประเทศตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม ตลอดจนให้การสนับสนุนส่งเสริมด้านวิชาการ และประสานความร่วมมือด้านพลังงานกับองค์กรภาครัฐ และเอกชนตามท่ีได้รับมอบหมาย รวมท้ังการปฏิรูประบบราชการในปัจจุบัน ทาให้บุคลากรต้อง ปรับเปลี่ยนวิธีการทางานแบบใหม่ ให้ประสบความสาเร็จและทันเวลาต้องอาศัยการปฏิบัติงานที่มี ประสิทธภิ าพของบุคลากร จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในกรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร จึงมีความสนใจและเล็งเห็นถึงความสาคัญที่จะศึกษาเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร เพื่อนาข้อมูลจากผลที่ได้มาเป็นแนวทางในการนาเสนอต่อ ผู้บังคับบัญชาระดับสูง เพื่อใช้พัฒนาหน่วยในด้านกาลังพล อันจะส่งผลต่อการพัฒนาระบบราชการของ กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ลตอ่ ไป วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย 1. เพอ่ื ศกึ ษาระดับประสทิ ธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์ การอตุ สาหกรรมปอ้ งกันประเทศและพลงั งานทหาร 2. เพอ่ื เปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั งิ านของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์ การอตุ สาหกรรมป้องกนั ประเทศและพลงั งานทหาร จาแนกตามปจั จยั ส่วนบุคคล ~ 137 ~

รายงานสบื เน่ืองจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 สมมติฐานการวิจยั บุคลากร กรมการพลงั งานทหาร ศูนยก์ ารอตุ สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารท่ีมี ปัจจัยส่วนบุคคลต่างกัน มีระดบั ความคิดเหน็ ต่อประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานแตกต่างกนั แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง แนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกบั ประสิทธภิ าพในการปฏิบตั งิ าน ปีเตอรส์ ัน และ โพลแมน (Peterson and Plowman, 1989) ได้กล่าวถึงความหมายของคา ว่าการวัดประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารงานด้านธรุ กจิ ในความหมายอยา่ งแคบว่า หมายถึง การลดต้นทุน ในการผลิตและในความหมายอย่างกว้างขวางรวมถึงคุณภาพของการมีประสิท ธิภาพสูงสุดน้ันก็เพื่อ สามารถผลิตสินค้าหรือบริการในปริมาณและคุณภาพท่ีต้องการในเวลาท่ีเหมาะสมและต้นทุนน้อย ท่ีสุดเม่ือคานึงถึงสถานการณ์และข้อผูกพันด้านการเงินที่มีอยู่ ดังน้ัน แนวคิดของคาว่าการวัด ประสทิ ธิภาพทางดา้ นธรุ กจิ ในที่นจี้ ึงมอี งคป์ ระกอบ 4 อยา่ ง คอื 1. คณุ ภาพของงาน (Quality) จะตอ้ งมคี ุณภาพสูง คอื ผผู้ ลติ และผู้ใช้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและ มีความพึงพอใจผลการทางาน มีความถูกต้องได้มาตรฐานรวดเร็ว นอกจากน้ีผลงานท่ีมีคุณภาพ ควร กอ่ เกิดประโยชนต์ ่อองคก์ ารและสรา้ งความพึงพอใจของลูกคา้ หรือผมู้ ารับบริการ 2. ปรมิ าณงาน (Quantity) งานที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นไปตามความคาดหวังของหน่วยงานโดย ผลงานทป่ี ฏิบัตไิ ด้มปี รมิ าณท่เี หมาะสมตามท่ีกาหนดในแผนงานหรอื เปา้ หมายท่บี ริษัทวางไว้และควรมี การวางแผนบรหิ ารเวลาเพอ่ื ใหไ้ ดป้ รมิ าณงานตามเปา้ หมายที่กาหนดไว้ 3. เวลา (Time) คือ เวลาท่ีใช้ในการดาเนินงานจะต้องอยู่ในลักษณะท่ีถูกต้องตามหลักการ เหมาะสมกับงานและทนั สมัยมีการพัฒนาเทคนิคการทางานให้สะดวกรวดเร็วข้ึน 4. ค่าใช้จ่าย (Costs) ในการดาเนินการท้ังหมดจะต้องเหมาะสมกับงานและวิธีการ คือ จะต้องลงทุนนอ้ ยและได้ผลกาไรมากทสี่ ดุ ประสิทธิภาพในมิติของค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนการผลิต ได้แก่ การใชท้ รัพยากรด้านการเงิน คน วัสดุ เทคโนโลยี ที่มีอยู่อย่างประหยัดคุ้มค่าและเกิดการสูญเสียน้อย ทสี่ ุด สรุปได้ว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน คือ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ความรับผิดชอบให้สาเร็จลุล่วงอย่างถูกต้อง รวดเร็วและทันตามกาหนดเวลา โดยการใช้ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ ตลอดจนทรพั ยากรทมี่ ีอยใู่ ห้เกิดประโยชน์สูงสุด การใช้ทรัพยากร เช่น บุคลากร งบประมาณอย่างจากัดในการให้บริการกับผู้รับบริการจนเกิดความพึงพอใจมากที่สุด เพ่ือให้ บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ ององค์การ ~ 138 ~

รายงานสืบเนือ่ งจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 งานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง ชาตรี นาคยิ้ม (2563) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการใน สานักงาน ป.ป.ช. พบว่า ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ตามลาดับ ดังน้ี ด้านคุณภาพของงาน ด้านค่าใช้จ่าย ด้านปริมาณงาน และด้านเวลา ส่วนผลการ ทดสอบสมมติฐานเพ่ือเปรียบเทียบความแตกต่างของประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ ในสานักงาน ป.ป.ช. จาแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ ท่ีแตกต่างกันมีประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แต่จาแนกตามสถานภาพการ สมรส และอายงุ าน ไมแ่ ตกตา่ ง พรชัย ศรีสมบัติ (2563) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของบคุ ลากรสานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มอยใู่ นระดบั มาก ณัฐกฤตา อุ่มสาพล (2562) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการทหาร: กรณีศึกษา กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม สานักงานปลัดกระทรวง กลาโหม พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการทหารกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมท่ีมี ระดับการศึกษา และตาแหน่งงานแตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน ส่วนเพศ อายุ อายุราชการท่ีแตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้จากการศกึ ษาพบว่า ไมม่ ปี ญั หาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานจากทั้งหมด 6 ด้าน คือ ด้าน รายได้หรือค่าตอบแทน ด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ด้าน ตาแหน่งหน้าท่ี ด้านความต้องการข้อมูลคณะ ด้านความต้องการแสดงความจงรักภักดี ความเป็น เพือ่ นและความรกั ใคร่ ภรู ภิ สั ร์ ตันตเิ ศรษฐภักดี (2562) ไดศ้ ึกษาเรือ่ ง ปัจจัยทส่ี ง่ ผลต่อประสทิ ธิผลในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการตารวจ: กรณีศึกษา กองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล สานักงานตารวจแห่งชาติ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการตารวจกองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล สานักงานตารวจ แห่งชาติท่ีมีเพศแตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ส่วนอายุ ระดับการศึกษา ระดับตาแหน่ง และอายุราชการท่ีแตกต่างกันส่งผลต่อ ประสทิ ธิผลในการปฏบิ ัติงานไม่แตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งไม่เป็นไปตาม สมมตฐิ านการวิจัยที่กาหนดไว้ เฉลิมชัย ศรีพุ่มไข่ และ ไชยสิทธ์ิ ตันตยกุล (2562) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย พ้ืนที่แจ้งวัฒนะ พบว่า โดยท่ัวไป เพศ ระดับการศึกษา รายได้เฉล่ียต่อเดือนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทางาน ในทาง ตรงกันข้ามอายุและระยะเวลาที่ปฏิบัติงานในองค์การ ไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานอย่างมี ~ 139 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยเฉพาะผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยท่ีส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการทางานเป็นทีม ประกอบด้วย รายได้หรือค่าตอบแทนการให้บาเหน็จรางวัลแก่ คนทางานดี สภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการทางาน ผลลัพธ์ท่ีได้จากงานน้ัน เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ ประสิทธภิ าพการทางานเป็นทีม กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั การศึกษาเรือ่ ง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ผู้วิจัยได้นาแนวคิดทฤษฎีองค์ประกอบประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของ ปีเตอร์สัน และ โพลแมน (Peterson and Plowman, 1989) มาเขียนกรอบ แนวคิดในการวจิ ัย ดงั นี้ ปจั จยั ส่วนบคุ คล ประสิทธภิ าพในการปฏิบัตงิ านของ 1. เพศ บุคลากร กรมการพลังงานทหาร 2. อายุ ศูนย์การอตุ สาหกรรมป้องกันประเทศ 3. ระดับการศึกษา 4. ระดับตาแหนง่ งาน และพลังงานทหาร 5. ระยะเวลาในการปฏิบัตงิ าน 1. ดา้ นคณุ ภาพของงาน 2. ด้านปรมิ าณงาน 3. ดา้ นเวลา 4. ด้านค่าใช้จ่าย ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย วธิ ีการวจิ ัย ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ งทีใ่ ช้ในการวิจยั กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ กาลังพลนายทหารชั้นสัญญาบัตร นายทหารชั้น ประทวน พนักงานราชการ และลูกจ้างประจา จานวน 254 คน ผู้วิจัยได้กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรการคานวณของ Taro Yamane ประเภทการสุ่มตัวอย่างใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ หลายข้นั ตอน โดยในข้ันตอนแรกทาการสุ่มตัวอย่างตามสัดส่วน แยกตามหน่วยงานย่อย และในขั้นท่ีสอง ทาการส่มุ ตามสะดวก ซึ่งมขี นาดกล่มุ ตัวอยา่ ง จานวน 156 คน ~ 140 ~

รายงานสืบเนือ่ งจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัย เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ประสิทธิภาพในการ ปฏบิ ตั ิงานของบคุ ลากร กรมการพลังงาน ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารใน 4 ดา้ น ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อคาถามเก่ียวกับ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ระดับตาแหน่งงาน และระยะเวลาในการปฏิบัติงาน มที ง้ั หมด 5 ข้อ ส่วนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานสร้างตามแนวคิดและทฤษฎี ของ ปีเตอร์สัน และ พลาวแมน (Peterson and Plowman, 1989) รวม 4 ด้าน จานวน 40 ข้อ แบ่งเป็น ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านคุณภาพของงาน 10 ข้อ ด้านปริมาณงาน 10 ข้อ ด้านเวลา 10 ข้อ และด้าน คา่ ใชจ้ า่ ย 10 ข้อ เปน็ แบบสอบถามแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ระดบั การปฏิบัตงิ าน เปน็ แบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert, 1967 อ้างถึงใน ชาตรี นาคยิ้ม, 2563) ซง่ึ ผ้วู จิ ยั กาหนดค่านา้ หนัก หรอื คะแนนในการตอบแบบสอบถาม5 ระดับ ระดับคะแนน 5 หมายถึง มีระดับของประสทิ ธิภาพมากที่สดุ ระดบั คะแนน 4 หมายถงึ มรี ะดบั ของประสิทธิภาพมาก ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ มีระดบั ของประสิทธิภาพปานกลาง ระดบั คะแนน 2 หมายถึง มรี ะดับของประสิทธภิ าพนอ้ ย ระดบั คะแนน 1 หมายถึง มีระดบั ของประสิทธิภาพน้อยทสี่ ดุ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจ ผู้วิจัยนาแบบสอบถามโดยใช้ Google Forms เก็บ ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง โดยส่งลิงก์แบบสอบถามผ่านไลน์กลุ่มของกรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และเก็บรวบรวมแบบสอบถาม จากกลุ่ม ตวั อย่างทง้ั หมดจานวน 156 ชดุ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยนาแบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นไปเสนอผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 3 คน เพื่อทาการ ตรวจสอบความถูกต้องเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อ คาถามกับวัตถปุ ระสงค์ (The Index of Item-Objective Congruence: IOC) ซง่ึ มีค่าระหว่าง 0.50- 1.00 โดยนาเคร่ืองมือวิจัยมาปรับปรุงและนาไปทดลองใช้ (Try Out) กับบุคลากรของศูนย์การ อุตสาหกรรมปอ้ งกันประเทศและพลงั งานทหาร จานวน 30 ชุด ได้ค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.945 โดย สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล และระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานใช้สถิติเชิง พรรณนาประกอบดว้ ย การแจกแจงความถ่ี (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) และ ~ 141 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชุมวิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวเิ คราะห์ประสทิ ธิภาพในการปฏิบตั ิงานโดยใช้ค่า t-test (Independent t-test) ในการทดสอบเปรียบเทียบหาความแตกต่างของค่าเฉล่ียระหว่างตัว แปรทแ่ี บง่ เปน็ 2 กลมุ่ ใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว (One-Way ANOVA) ในการทดสอบ เปรียบเทียบหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างตัวแปรที่แบ่งเป็น 3 กลุ่มขึ้นไป และทดสอบรายคู่ โดยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) ผลการวจิ ัย ผลการศึกษาสามารถแบง่ ได้ 2 สว่ น ดงั น้ี ส่วนที่ 1 ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การ อุตสาหกรรมปอ้ งกันประเทศและพลงั งานทหาร ตารางท่ี 1 คา่ เฉลีย่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดับความคดิ เห็น ในภาพรวม ตัวแปร SD ระดับ ลาดบั 1 1. คณุ ภาพของงาน 4.11 0.42 มาก 3 2 2. ปรมิ าณงาน 4.05 0.45 มาก 4 3. เวลา 4.07 0.46 มาก 4. ค่าใช้จ่าย 4.03 0.45 มาก รวม 4.06 0.37 มาก จากตารางท่ี 1 พบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงาน ทหาร พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.06, SD=0.365) เมื่อพิจารณาเปน็ รายด้าน พบว่า ด้าน คณุ ภาพของงาน ( =4.11, SD=0.423) มีค่าเฉลี่ยมากท่ีสุด รองลงมา ด้านเวลา ( =4.07, SD=0.456) ด้านปริมาณงาน ( =4.05, SD=0.446) และด้านที่มีค่าเฉล่ียน้อยท่ีสุด คือ ด้านค่าใช้จ่าย ( =4.03, SD=0.449) สว่ นที่ 2 การทดสอบสมมติฐานเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับระดับ ความคดิ เหน็ ของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศนู ยก์ ารอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ~ 142 ~

รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 ตารางท่ี 2 ผลการทดสอบสมมติฐานเกีย่ วกบั ปัจจยั สว่ นบคุ คล ประสิทธภิ าพใน เพศ อายุ ระดับ ระดับ ระยะเวลาใน การศกึ ษา ตาแหน่งงาน การปฏิบัติงาน การปฏบิ ัตงิ าน t p- F p- F p- F p- F p- value value value value value ด้านคณุ ภาพ -.114 .910 6.565 .000** .215 .886 1.456 .229 2.145 .097 ของงาน ดา้ นปริมาณงาน .549 .584 5.074 .002** .986 .401 2.637 .052 1.362 .257 ด้านเวลา .548 .584 3.708 .013* 1.904 .131 4.336 .006** 2.643 .051 ด้านคา่ ใชจ้ า่ ย 3.646 .000** 1.438 .234 .151 .929 5.873 .001** .585 .626 ภาพรวม 1.389 .167 5.590 .001** .527 .664 4.429 .005** 1.957 .123 * มนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 ** มีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01 จากตารางท่ี 2 พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลท่ีแตกต่างกันมีระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของบุคลากร กรมการพลงั งานทหาร ศูนยก์ ารอุตสาหกรรมป้องกนั ปะเทศและพลังงานทหาร แตกต่าง กันในปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านค่าใช้จ่าย ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านอายุกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านภาพรวม ด้านคุณภาพของงาน ด้านปริมาณงาน และด้านเวลา ปจั จัยส่วนบคุ คลด้านระดบั ตาแหน่งงานกับประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัติงานด้านภาพรวม ดา้ นเวลา และด้านค่าใช้จ่าย ผู้วิจัยจึงทาการเปรียบเทียบรายคู่ในภาพรวมด้านอายุและระดับตาแหน่งงาน ดว้ ยวธิ ีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) รายละเอียดดงั ตารางที่ 3-4 ตารางท่ี 3 เปรยี บเทียบระดับประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ าน จาแนกตามอายุ ภาพรวม ภาพรวม 18-30 ปี 31-40 ปี 41-50 ปี ตงั้ แต่ 51 ปีขน้ึ ไป 3.97 4.22 4.06 3.90 18-30 ปี 3.97 - -.25* -.09 .07 (.018) (.707) (.916) 31-40 ปี 4.22 - .16 .32** (.200) (.008) 41-50 ปี 4.06 - .16 (.379) ต้งั แต่ 51 ปขี น้ึ ไป 3.90 - * มีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 ** มีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 ~ 143 ~

รายงานสบื เนอื่ งจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ ร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 จากตาราง 3 พบวา่ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศนู ย์การอตุ สาหกรรมป้องกนั ประเทศและพลงั งานทหาร ในภาพรวมที่มีอายุ 18-30 ปี กับอายุ 31-40 ปี มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับท่ีระดับ .05 และอายุ 31-40 ปี กับอายุตั้งแต่ 51 ปขี น้ึ ไป มคี วามแตกตา่ งอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับทรี่ ะดับ .01 สว่ นคอู่ นื่ ๆ ไม่พบความแตกต่าง ตารางท่ี 4 เปรยี บเทียบระดบั ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน จาแนกตามระดบั ตาแหน่งงาน ภาพรวม นายทหารชัน้ นายทหาร พนักงาน ลกู จ้าง ภาพรวม สัญญาบตั ร ชัน้ ประทวน ราชการ ประจา 4.19 4.06 3.63 3.97 นายทหารช้นั สญั ญาบตั ร 4.19 - .13 .56** .22 (.295) (.014) (.150) นายทหารชัน้ ประทวน 4.06 - .43 .09 (.234) (.915) พนกั งานราชการ 3.63 - -.34 (.586) ลกู จา้ งประจา 3.97 - ** มนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 จากตารางท่ี 4 พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของของบุคลากร กรมการพลังงาน ทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ในภาพรวม ท่ีมีระดับตาแหน่งงาน นายทหารชัน้ สัญญาบตั รกับพนกั งานราชการ มคี วามแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนคอู่ นื่ ๆ ไมพ่ บความแตกต่าง สรปุ ผลการวจิ ัย วัตถุประสงค์ที่ 1 ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร พบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านคุณภาพของงาน มีค่าเฉล่ียมากท่ีสุด รองลงมา ด้านเวลา ด้านปริมาณงาน และด้านที่มี คา่ เฉลี่ยนอ้ ยที่สดุ คือ ด้านคา่ ใชจ้ ่าย ~ 144 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกร์ท่ี 26 พฤศจิกายน 2564 วัตถุประสงค์ที่ 2 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลท่ีแตกต่างกันมีระดับ ประสิทธภิ าพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันปะ เทศและพลงั งานทหาร แตกตา่ งกนั ในปัจจัยส่วนบุคคลดา้ นเพศกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้าน ค่าใช้จ่าย อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุกับประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานด้านภาพรวม ด้านคุณภาพของงาน ด้านปริมาณงาน และด้านเวลา ปัจจัยส่วนบุคคลด้าน ระดบั ตาแหน่งงานกบั ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านด้านภาพรวม ด้านเวลา และด้านค่าใช้จ่าย ผู้วิจัย จึงทาการเปรียบเทียบรายคู่ในภาพรวมด้านอายุและระดับตาแหน่งงาน ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) พบว่า ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั งิ านของของบุคลากร กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ในภาพรวม ท่ีมีอายุ 18-30 ปี กับอายุ 31- 40 ปี มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับท่ีระดับ .05 และอายุ 31-40 ปี กับอายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป มีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับท่ีระดับ .01 ส่วนคู่อ่ืน ๆ ไม่พบความ แตกต่าง และระดับตาแหน่งงาน นายทหารช้ันสัญญาบัตรกับพนักงานราชการ มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 สว่ นคอู่ ่ืน ๆ ไม่พบความแตกต่าง อภิปรายผล จากผลการวิจัย พบว่า ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมการพลังงาน ทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ในภาพรวมและรายด้านทุกด้าน คือ ด้านคณุ ภาพของงาน ด้านปริมาณงาน ด้านเวลา ด้านค่าใช้จ่าย อยู่ในระดับมาก สามารถสรุปได้ว่า กรมการพลงั งานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร มีการบริหารจัดการ ในเรื่องคุณภาพของงาน ปริมาณทดี่ ี จากการมีผลงานท่ีมีคุณภาพเป็นท่ียอมรับจากเพื่อนร่วมงานและ ผูบ้ ังคับบัญชา บุคลากรมีการจัดลาดับความสาคัญของงาน เพ่ือการบริหารปริมาณงานให้อยู่ในความ เหมาะสม และหน่วยงานมีกระบวนการลดข้ันตอนในการปฏิบัติงาน ทาให้มีปริมาณงานที่เหมาะสม ในเรื่องเวลาบคุ ลากรสามารถปฏบิ ัตงิ านไดต้ รงตามกรอบระยะเวลาการปฏิบัติงานตามหนังสือ ส่ังการ กฎ และระเบียบท่ีเก่ียวข้อง โดยสอดคล้องกับงานวิจัยของ ชาตรี นาคย้ิม (2563) ที่ศึกษาเร่ือง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ สานักงาน ป.ป.ช. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพ่ือ เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ สานักงาน ป.ป.ช. ผลการวิจัย พบว่า ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ตามลาดับ และยัง สอดคล้องกับ พรชัย ศรีสมบัติ (2563) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของบุคลากรสานกั งานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมอยู่ในระดบั มาก ~ 145 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศุกร์ท่ี 26 พฤศจิกายน 2564 จากผลการวจิ ยั พบวา่ เพศทแี่ ตกต่างกนั มปี ระสิทธิภาพในการปฏิบัติงานท่ีแตกต่างกันอย่าง มีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ชาตรี นาคย้ิม (2563) ได้ศึกษาเรื่อง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการในสานักงาน ป.ป.ช. พบว่า เพศที่แตกต่างกัน มี ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านทแ่ี ตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั .01 จากผลการวิจยั พบว่า อายุท่แี ตกตา่ งกนั มปี ระสิทธิภาพในการปฏิบัติงานท่ีแตกต่างกันอย่าง มีนยั สาคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับ ภูริภัสร์ ตันติเศรษฐภักดี (2562) ได้ศึกษาเร่ือง ปัจจัยที่ส่งผล ต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของข้าราชการตารวจ: กรณีศึกษา กองทะเบียนพล สานักงานกาลัง พล สานักงานตารวจแห่งชาติ พบว่า บุคลากรที่มีอายุแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่ ไมแ่ ตกตา่ งกัน จากผลการวิจัย พบว่า ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานที่ไม่ แตกต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับ เฉลิมชัย ศรีพุ่มไข่ และ ไชยสิทธ์ิ ตันตยกุล (2562) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานเป็นทีมของข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย พ้ืนที่แจ้ง วัฒนะ พบว่า ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทางานอย่างมีนัยสาคัญท่ี ระดบั .05 และไมส่ อดคลอ้ งกับ พรชัย ศรีสมบัติ (2563) ได้ศกึ ษาเรือ่ ง ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัติงาน ของบุคลากร สานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ระดับการศึกษา แตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคัญทีร่ ะดบั .05 จากผลการวิจัย พบว่า ระดับตาแหน่งงานท่ีแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานท่ี แตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ณัฐกฤตา อุ่มสาพล (2562) ได้ ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการทหาร: กรณีศึกษา กรมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พบว่า ระดับตาแหน่งงาน ทแ่ี ตกต่างกันส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพในการปฏิบัตงิ านที่แตกตา่ งกนั จากผลการวิจัย พบว่า ระยะเวลาในการปฏิบัติท่ีแตกต่างกัน มีประสิทธิภา พในการ ปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน ซ่ึงสอดคล้องกับ ภูริภัสร์ ตันติเศรษฐภักดี (2562) ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ ส่งผลต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของข้าราชการตารวจ: กรณีศึกษา กองทะเบียนพล สานักงาน กาลังพล สานักงานตารวจแห่งชาติ พบว่า บุคลากรท่ีมีระยะเวลาแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการ ปฏิบัตงิ านทไ่ี ม่แตกตา่ งกัน ~ 146 ~

รายงานสืบเน่ืองจากการประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัย เนอื่ งจากลกั ษณะงานขององค์การมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์อย่าง ต่อเนื่อง ควรปรับค่าใช้จ่ายให้เหมะสมกับปริมาณงานของบุคลากร เพิ่มทักษะ และเทคนิคต่าง ๆ ให้กับบุคลากรในทุกตาแหน่งโดยวิทยากรท่ีมีความรู้ความสามารถในองค์กรและหน่วยงานภายนอก รวมถึงการนาเทคโนโลยีท่ีทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการทางาน เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการ ทางานมากขึน้ ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครัง้ ต่อไป ควรทาการศึกษาวิจัยเรื่องประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกับหน่วยงานอ่ืน เช่น สานกั นโยบายและแผนกลาโหม เปน็ ตน้ เอกสารอ้างองิ เฉลิมชัย ศรีพุ่มไข่ และ ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล. (2562). ปัจจัยท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานเป็น ทีมของข้าราชการกองบัญชาการกองทัพไทย พื้นที่แจ้งวัฒนะ. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาวชิ าบรหิ ารธุรกจิ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ชาตรี นาคย้ิม. (2563). ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการในสานักงาน ป.ป.ช.. การ คน้ ควา้ อสิ ระ ตามหลักสูตรรฐั ประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการภาครัฐและ เอกชน บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั นอร์ทกรงุ เทพ. ณัฐกฤตา อุ่มสาพล. (2562). ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการทหาร: กรณีศึกษา กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม. สารนพิ นธร์ ัฐประศาสนศาตรมหาบณั ฑิต บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยรามคาแหง. บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์. (2562). เอกสารประกอบการบรรยายกระบวนวิชาการนานโยบายไป ปฏิบัติและการประเมินผลนโยบาย. โครงการรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. พรชัย ศรีสมบัติ. (2563). ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร สานักงานปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม. การค้นคว้าอิสระ หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจดั การภาครฐั และเอกชน บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยนอร์ทกรงุ เทพ. ภูริภัสร์ ตันติเศรษฐภักดี. (2561). ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการ ตารวจ: กรณีศึกษา กองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล สานักงานตารวจแห่งชาติ. การ ค้นคว้าอสิ ระ ตามหลกั สูตรปรญิ ญารฐั ประศาสนศาสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. ~ 147 ~

รายงานสบื เน่อื งจากการประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 สริ ินภา ทาระนดั . (2561). การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั ิงานของขา้ ราชการส่วนท้องถ่ิน ใน เขตพื้นที่อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่. สารนิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชา การบรหิ ารธุรกิจ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงใหม่. Peterson, E. & Plowman, G. E. (1989). Business organization and management. Illinois: Irwin. ~ 148 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 พฤตกิ รรมภาวะผูน้ าของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาทส่ี ง่ ผลตอ่ ประสิทธิภาพการปฏบิ ตั ิงาน ของครู สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา สมุทรสาคร Leadership Behavior of School Administrators Affecting to work efficiency of Teacher under Samut Sakhon Primary Educational Service Area Office ภาสินี อาเก๊ะ1 นิษฐส์ ินี กู้ประเสรฐิ 2 1บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ธนบรุ ี, [email protected] 2บัณฑิตวทิ ยาลยั หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ธนบุรี, [email protected]. บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกประถมศึกษาสมุทรสาคร 2) ระดับประสิทธิภาพการ ปฏิบัติงานของครู สงั กัดพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร 3) พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศึกษาที่ส่งผลต่อกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสานักงาน เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ในปีการศึกษา 2563 จานวน 341 คน ซึ่งการกาหนด ขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้สูตรของ Yamane (1973) และทาการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งช้ันภูมิ จาแนก ตามสัดส่วนขนาดของสถานศกึ ษา เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลีย่ ( ) ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) สถิตทิ ่ใี ชท้ ดสอบสมมุติฐาน ใช้ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ใน ระดบั มากที่สุด พจิ ารณาในรายละเอยี ด พบวา่ อย่ใู นระดับมากทส่ี ุดทกุ ดา้ น ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านพฤติกรรมภาวะผนู้ าแบบมุ่งความสัมพันธ์ รองลงมาคือ ดา้ นพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน และ ลาดับสุดท้าย คือ ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปล่ียนแปลง 2) ระดับประสิทธิภาพการ ปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับ มากทสี่ ดุ เมอ่ื มีการพิจารณาในรายละเอยี ด พบว่า อย่ใู นระดับมากท่ีสุดทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านเวลา รองลงมา คือ ด้านค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน และลาดับสุดท้าย คือ ด้านปริมาณของ งาน 3) พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณเป็น .920 สามารถร่วมกันทานายประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ~ 149 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชุมวิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 ของครู ไดร้ อ้ ยละ 84.70 (R square=0.847) เมือ่ ปรบั ค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐานในการพยากรณ์ พบว่า ปัจจัยทัง้ หมดสามารถร่วมกันทานายประสิทธภิ าพการปฏิบตั งิ านของครู ได้ถึงร้อยละ 84.60 (R square adjust=0.846) คาสาคญั : พฤติกรรมภาวะผู้นา ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน สถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร Abstract The purposes of the current study were to study 1) level of leadership behavior of school principals under Samut Sakhon Primary Educational Service Office, 2) level of performance of school teachers under Samut Sakhon Primary Educational Service Office, and 3) influence of principals’ leadership behavior on teachers’ performance in schools under Samut Sakhon Educational Service Office. A sample group was 341 principals and teachers in schools under Samut Sakhon Educational Service Office using Yamane’s formula (1973), and recruited by Stratified Random Sampling. An opinionnaire was used as a research instrument. Data were analyzed by means of mean, standard deviation, and Stepwise Multiple Regression Analysis. The findings revealed that 1) overall level of leadership behavior of principals under Samut Sakhon Primary Educational Service Office was at a very good level. When inspecting at individual aspects, it was found that all aspects were at very good level. The highest averaged aspect was affiliative leadership, followed by achievement- oriented, while the lowest was transformative leadership. 2) Overall level of performance among school teachers under Samut Sakhon Educational Service Office was at a very good level. When inspecting at individual aspects, it was found that all aspects were at a very good level. The highest averaged aspect was timing, followed by expenses, while the lowest was job quantity. 3) Principals’ leadership behavior influenced on teachers’ performance in schools under Samut Sakhon Primary Educational Service Office, significantly at .01 level, with multiple coefficients of .920. Keywords: principals’ leadership behavior, teachers’ performance, Samut Sakhon Primary Educational Service Office ~ 150 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกรท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 ความเปน็ มาและความสาคัญ ผู้บริหารสถานศึกษามีความสาคัญต่อการจัดการศึกษา และผลสาเร็จของสถานศึกษา ผู้บริหาร จึงต้องเป็นท้ังผู้นาด้านการบริหารและด้านการจัดการเรียนการสอน ภาวะผู้นาจึงจาเป็น ต้องคานึงถึง อย่างยิ่งเพื่อจะได้ปฏิบัติต่อเพ่ือนร่วมงานและบุคลากรในโรงเรียนให้เหมาะสมกับภารกิจ ภาวะผู้นาเป็น ปจั จัยทส่ี าคญั อย่างย่งิ ต่อการบริหารงาน กล่าวคือ นอกจากผู้นาจะเป็นบุคคลสร้างบรรยากาศในองค์การ ให้เอื้ออานวยต่อการปฏิบัติงานแล้ว งานจะดาเนินไปด้วยดีและบรรลุวัตถุประสงค์ ยังข้ึนอยู่กับศิลปะใน การบริหารงานของผู้นาในการบริหารงาน พฤติกรรมของผู้บริหารท่ีแสดงออกถึงความสามารถในการใช้ อิทธิพล อานาจและแรงจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือกลุ่มปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ เพื่อนาไปสู่ ความสาเร็จตามเป้าหมายขององค์การ สอดคล้องกับแนวคิดของ ยุคล์ (Yukl, 1997) กล่าวว่า วิธีการ ปฏิบัติของผู้นาในการบริหารองค์กรให้ประสบความสาเร็จ ซ่ึงผู้นาแต่ละแบบจะมีความเก่ียวข้องกับคน และงาน จะต้องจดั ให้เกดิ ความสมดลุ ในการบรหิ ารองค์กร พฤติกรรมภาวะผู้นา ประกอบด้วย พฤติกรรม ภาวะผู้นา 3 แบบ คือ 1) พฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน 2) พฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งความสัมพันธ์ 3) พฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปลี่ยนแปลง ดังน้ันภาวะผู้นาของผู้บริหารน้ันเป็นปัจจัยทางการ บริหารที่มีอิทธิพลต่อการบริหารสถานศึกษาท่ีจะมีประสิทธิผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด จะขึ้นอยู่กับ ความสามารถของผูบ้ ริหารเปน็ สาคญั นอกจากนใ้ี นฐานะผู้นาผู้บริหารจะต้องหาวิธีการที่จะจูงใจโน้มน้าว บุคลากรในโรงเรยี น เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจะต้อง คานึงถึงครู ซึ่งเป็นกลไกที่สาคัญอย่างย่ิง และภารกิจสาคัญของสถานศึกษาให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ นอกจากครูจะต้องมีขวัญ กาลังใจ แรงจูงใจ และมีความศรัทธาในวิชาชีพแล้ว ครูผู้ท่ีทา หน้าที่ปฏิบัติการสอน ให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ ก็ควรมีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาตนเองให้ทันกับ สถานการณ์โลกท่ีเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่ิงในยุคที่เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เพ่ือ เป็นการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ โดยผลท่ีตามมาคือ ระบบงานท่ีมีคุณภาพองค์กรท่ีมีคุณภาพ และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลโดยตรงถึงผู้เรียนก็มีคุณภาพด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับแนวคิดของ Peterson and Plowman (1989) กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการทางานของแต่ละคนเกิดจากสภาพภูมิหลังของแต่ ละคนที่ไม่เหมือนกัน สภาพร่างกายและจิตใจ ความรู้ความสามารถ ความถนัดต่าง ๆ โดยมีปัจจัย สนับสนุนให้เกิดความแตกต่างกัน คือ 1) คุณภาพของงาน จะต้องมีคุณภาพสูง เกิดประโยชน์ต่อองค์กร และสร้างความพึงพอใจของลูกค้า หรือผู้มารับบริการ 2) ปริมาณงาน งานที่เกิดข้ึนจะต้องเป็นไปตาม ความคาดหวังของหนว่ ยงาน โดยผลงานท่ปี ฏิบัติได้มีปริมาณที่เหมาะสมตามเป้าหมายท่ีวางไว้ และมีการ วางแผน บริหารเวลา เพ่ือให้ได้ปริมาณงานตามเป้าหมายท่ีวางไว้ 3) เวลาใช้ในการดาเนินงานจะต้องอยู่ ในลักษณะท่ีถูกต้อง เหมาะสมกับงานและทันสมัย มีการพัฒนาเทคนิคการทางานให้สะดวก รวดเร็ว 4) ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน ในการดาเนินงานทั้งหมดจะต้องเหมาะสมกับงานและวิธีการ ลงทุนน้อย ~ 151 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 และให้ได้กาไรมากท่ีสุด สอดคล้องกับ เนตร์พัณณา ยาวิราช (2552) กล่าวว่า บุคคลสาคัญท่ีจะ ดาเนินการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาคนคือ ครู ซ่ึงถือว่าเป็นหัวใจสาคัญในการผลักดันให้นักเรียนและ โรงเรียนมีประสิทธิภาพเป็นไปในทิศทาง ที่ถูกต้องเหมาะสม สามารถบรรลุถึงพันธกิจและวิสัยทัศน์ของ โรงเรียน ซึ่งการท่ีครูจะปฏิบัติงานอย่างขยัน ขันแข็ง ทุ่มเททางานอย่างเต็มประสิทธิภาพและดึง ศักยภาพของตนเองมาใช้ในการปฏิบัติงานได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้วย และ พฤติกรรมและวิธีจูงใจผู้บริหารในฐานะที่เป็นผู้นาสามารถชักจูง กากับหรือผลักดันให้พฤติกรรมในการ ทางานเปน็ ไปอย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะครูเป็นบุคคลที่เสียสละและทุ่มเทในการให้การศึกษากับ เดก็ อยา่ งมาก ประกอบกับจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีมากมาย โดยเฉพาะครูที่ปฏิบัติหน้าท่ีสอนจะต้องมีหน้าที่ เพิม่ ข้นึ นอกเหนือจากการสอนแลว้ ครูยงั ตอ้ งทางานอื่น ๆ ตามทไี่ ดร้ บั มอบหมายจากผู้บรหิ ารโรงเรยี น ซงึ่ จากทผี่ า่ นมา ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษามีพฤติกรรมภาวะผูน้ าดา้ นพฤติกรรมภาวะผูน้ าแบบม่งุ งาน การกาหนดบทบาทหน้าท่ีของครูให้ปฏิบัติงานตามความถนัด และความรู้ความสามารถ ยังไม่มี ประสิทธิภาพทาให้มีปัญหาการบกพร่องต่อการปฏิบัติงานของครู และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ครูด้านคุณภาพของงาน ผู้บริหารสถานศึกษาขาดการกาหนดการดาเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ใน สถานศกึ ษาไม่ชดั เจน ทาให้ครูปฏิบัติงานขาดประสิทธิภาพ จากความสาคัญดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะ ศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิการปฏิบัติงานของครู สังกัด สานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร เพื่อให้ทราบว่าพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารมี ผลต่อการปฏิบัติงานของครูอยู่ในระดับใด แตกต่างกันหรือไม่ และมีแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานครูตามความคิดของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาครอย่างไร เพื่อนาข้อมูลท่ีได้ไปเป็นแนวทางปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาการทางานของครูให้มี ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลต่อไป วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสาคร 2. เพ่ือศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร 3. เพื่อศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อกับประสิทธิภาพการ ปฏบิ ตั ิงานของครู สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ~ 152 ~

รายงานสบื เนอ่ื งจากการประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 สมมติฐานการวิจัย พฤตกิ รรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิภาพการทางานของครู สังกัด สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .01 แนวคิด ทฤษฎี งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยมุ่งศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยตัว แปรทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาครงั้ น้ี ใช้แนวคิดของ Yukl (1997) ได้แก่ 1) พฤติกรรมผู้นาแบบมุ่งงาน 2) พฤติกรรม ผนู้ าแบบมุ่งความสัมพันธ์ 3) พฤติกรรมผู้นาแบบมุ่งการเปล่ียนแปลง สาหรับประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ใช้แนวคิดของ Peterson and Plowman (1989) ได้แก่ 1) คุณภาพของงาน 2) ปริมาณงาน 3) เวลา 4) ค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินงาน กรอบแนวคิดในการวจิ ัย พฤติกรรมภาวะผ้นู าของผู้บริหารสถานศึกษา ประสิทธิภาพการปฏบิ ัติงานของครู 1. พฤติกรรมผนู้ าแบบมุง่ งาน 1. คุณภาพของงาน 2. พฤติกรรมผนู้ าแบบมุ่งความสัมพนั ธ์ 2. ปรมิ าณงาน 3. พฤตกิ รรมผนู้ าแบบมุง่ การเปลย่ี นแปลง 3. เวลา 4. คา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งาน ทม่ี า: Yukl (1997) ท่มี า: Peterson and Plowman (1989) ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย วิธีการวิจัย การวิจัยในคร้ังน้ีเป็นการศึกษาเรื่อง ศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร การวิจัยน้ี เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) โดยมีวิธีดาเนินการ ตามลาดบั หัวข้อดังตอ่ ไปนี้ ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวจิ ัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสานักงานเขต พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ปีการศึกษา 2563 จานวน 2,327 คน โดยผู้วิจัยจะแบ่ง ~ 153 ~

รายงานสบื เนอื่ งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 ประชากรออกเป็น 3 กลุ่ม โดยใช้เกณฑ์การแบ่งขนาดสถานศึกษาของสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขัน้ พื้นฐาน ประกอบด้วย ผบู้ ริหารสถานศึกษา 96 คน และครู 2,231 คน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ในปีการศึกษา 2563 ซ่ึงการกาหนดขนาดของ กลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) ได้กลุ่มตัวอย่าง จานวน 341 คนและทาการสุ่มด้วย วธิ ีการสมุ่ แบบแบ่งชั้นภูมิ (stratified Random Sampling) เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ัยเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) มคี ณุ ลักษณะดงั นี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสารวจรายการ (Checklist) สอบถามเก่ียวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ สอบถาม ประกอบด้วย เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตาแหน่งหน้าที่ในสถานศึกษา ประสบการณ์ในการ ทางาน ขนาดของสถานศกึ ษา ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามสอบถามเก่ียวกับพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร มี ลักษณะเป็นแบบมาตราประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ของ Likert ตอนท่ี 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับเก่ียวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัด สานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร มลี ักษณะเป็นแบบสอบถามมาตราประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ของ Likert การสร้างเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเก่ียวกับภาวะผู้นาวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหาร สถานศึกษากับการบรหิ ารงบประมาณของสถานศึกษา โดยมขี ัน้ ตอนดงั น้ี 1. ศึกษาภาวะผู้นาวิถีทางเป้าหมายของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงบประมาณของ สถานศกึ ษาและงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องนามาเป็นเกณฑ์ในการสรา้ งแบบสอบถาม 2. สร้างแบบสอบถาม กาหนดประเด็นท่ีจะสอบถาม นาแบบสอบถามท่ีสร้างข้ึน เสนอ อาจารยท์ ีป่ รึกษาการวจิ ัยเพอื่ ตรวจสอบปรับปรุงความสมบูรณ์ และความถูกต้องให้ครอบคลุมท้ังด้าน โครงสรา้ ง เนอื้ หา และความเหมาะสมในการใชภ้ าษา เพอื่ ให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ตอบ และครอบคลุม เรอ่ื งท่ตี ้องการศกึ ษาแล้วนามาปรับปรงุ แก้ไข 3. นาแบบสอบถามให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยนาแบบสอบถามเสนอผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบเพื่อพิจารณาความเท่ียงตรง ความ ถูกต้องของเน้ือหาและความเหมาะสมของภาษาที่ใช้โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถาม กับวัตถุประสงค์มาวิเคราะห์หาค่า IOC (The Index of Item-Objective Congruence) เพื่อความ ถกู ตอ้ งของเคร่ืองมือและนามาปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญเพ่ือให้เกิดการพัฒนาและ ~ 154 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชมุ วิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศกุ ร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 มีความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้องกับนิยามศัพท์เฉพาะ ซึ่งผลการตรวจสอบท่ี ไดม้ คี า่ ระหว่าง 0.67–1.00 4. นาแบบสอบถามท่ีปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปทดลองใช้ (Try Out) ผู้บริหาร สถานศึกษาหรือครูในสถานศึกษาที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือ โดยการหาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ แอลฟา (Alpha Coefficient) ของ (Cronbach, 1970: 161) โดยไดค้ า่ ความเชื่อมน่ั เท่ากับ 0.92 5. นาแบบสอบถามท่ีผ่านการหาคุณภาพแล้ว พิมพ์เป็นแบบสอบถามฉบับจริงเพื่อใช้เป็น เครอ่ื งมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กบั กลุ่มตวั อย่าง สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู 1. วิเคราะห์เก่ียวกับข้อมูลพ้ืนฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยแจกแจง ความถ่ี (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์เกีย่ วศึกษาพฤตกิ รรมภาวะผู้นาของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัตงิ านของครู สังกดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยการหาค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของ ครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอย แบบพหุคณู ขนั้ ตอน (Multiple Linear Regression) ผลการวิจยั การวิจัยพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของครู สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จานวน 272 คน และมีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 30-39 ปี จานวน 125 คน วุฒิการศึกษาปริญญาตรี 244 คน มีประสบการณ์ในการทางานอยู่ระหว่าง 5-10 ปี จานวน 124 คน มีตาแหนง่ ครู จานวน 328 คน และมีวทิ ยฐานะ ครคู ศ.1 จานวน 193 คน 1. ผลการศกึ ษาระดับพฤตกิ รรมภาวะผ้นู าของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน ดังตารางท่ี 1 ~ 155 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชุมวิชาการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 ตารางที่ 1 ค่าเฉล่ีย ( ) และคา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (SD) ระดับพฤตกิ รรมภาวะผู้นาของผู้บริหาร สถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร โดยภาพรวม พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บรหิ ารสถานศึกษา  SD ระดับ ลาดบั ที่ 1. ดา้ นพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน 4.52 0.60 มากที่สุด 2 2. ดา้ นพฤติกรรมภาวะผนู้ าแบบมุง่ ความสมั พนั ธ์ 4.56 0.60 มากทส่ี ุด 1 3. ด้านพฤติกรรมภาวะผนู้ าแบบมุ่งการเปลีย่ นแปลง 4.52 0.61 มากท่สี ุด 3 รวม 4.53 0.61 มากท่ีสดุ จากตารางที่ 1 พบวา่ ระดบั พฤตกิ รรมภาวะผูน้ าของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขต พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาครโดยภาพรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( =4.53, SD=0.61) เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งความสัมพันธ์มี ค่าเฉล่ียสูงสุด ( =4.56, SD=0.60) รองลงมาได้แก่ ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน ( =4.52, SD=0.60) ส่วนที่มีค่าเฉล่ียต่าสุด คือ ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปลี่ยนแปลง ( =4.52, SD=0.61) 2. ผลการศกึ ษาระดับประสิทธิภาพการปฏบิ ัติงานของครู สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร โดยภาพรวมวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 คา่ เฉลี่ยและค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัด สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวม ประสทิ ธิภาพการปฏิบัตงิ านของครู  SD ระดับ ลาดบั ท่ี 1. ดา้ นคุณภาพของงาน 4.55 0.59 มากทีส่ ุด 3 2. ด้านปริมาณของงาน 4.53 0.62 มากทส่ี ุด 4 3. ด้านเวลา 4.57 0.59 มากท่สี ุด 1 4. ดา้ นค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งาน 4.56 0.60 มากทส่ี ุด 2 รวม 4.56 0.60 มากทสี่ ุด จากตารางที่ 2 พบว่า ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( =4.56, SD=0.60) เม่ือพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเวลา มีค่าเฉล่ียสูงสุด ( =4.57, SD=0.59) รองลงมา ได้แก่ ดา้ นคา่ ใช้จา่ ยในการดาเนนิ งาน ( =4.56, SD=0.60) ส่วนด้านปริมาณของงาน มีค่าเฉลี่ยต่าสุด ( =4.53, SD=0.62) ~ 156 ~

รายงานสืบเนือ่ งจากการประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 3. ผลการวิเคราะห์หาอานาจการทานายของพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสาคร ด้วยการการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) ได้ รูปแบบของการวเิ คราะห์ ดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 ผลผลการวิเคราะห์อานาจทานายของพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาท่ี ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษา ประถมศกึ ษาสมุทรสาคร ตวั แปรทานาย b βt p 1. ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน (X1) 1.926 0.512 11.880 0.000 2. ดา้ นพฤติกรรมภาวะผนู้ าแบบมุง่ ความสมั พันธ์ (X2) 0.957 0.256 6.125 0.000 3. ดา้ นพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมงุ่ การเปล่ียนแปลง (X3) 0.718 0.204 4.392 0.000 4. ค่าคงท่ี (Constant) 5.028 - 2.625 0.009 R=0.920, R2=0.847, R2adj=0.846, F change=19.291, df1=1, df2=337, Sig. < 0.00, SE est.=3.583, a=5.028 ** มีนัยสาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01 จากตารางที่ 3 จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรม ภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน (X1) ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งความสัมพันธ์ (X2) และด้านพฤติกรรม ภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปล่ียนแปลง (X3) มีความสัมพันธ์แบบพหุคูณกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของครู สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณเป็น .920 และสามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพการ ปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ได้ร้อยละ 84.70 โดย มคี วามคลาดเคลอื่ นมาตรฐานในการพยากรณ์ เทา่ กับ ± 3.58 เม่ือพิจารณาค่าสัมประสิทธ์ิการถดถอยของตัวพยากรณ์ พบว่า พฤติกรรมภาวะผู้นาของ ผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน (X1) สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพการ ปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยในรูปคะแนนดิบ และค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยใน รูปคะแนนมาตรฐาน (b2β) เป็น .1.926 กับ .512 รองลงมา คือ ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่ง ความสัมพันธ์ (X2) สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร (b2β) เป็น .0.957 กับ .256 และลาดับสุดท้ายด้านพฤติกรรม ~ 157 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปลี่ยนแปลง (X3) สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัด สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร (b2β) เป็น .0.718 กบั .204 อภปิ รายผล ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเร่ืองพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ผลการวิจัยครง้ั น้ีสามารถอธิบายตามลาดับของสรปุ ผลการวจิ ยั ดงั ต่อไปนี้ 1. พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึก ประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากท่ีสุด เม่ือมีการพิจารณาใน รายละเอียดพบวา่ ด้านที่สงู สดุ คอื พฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งความสัมพันธ์ รองลงมาคือ พฤติกรรม ภาวะผ้นู าแบบมุ่งงาน ส่วนระดบั ตา่ สุด คือ พฤตกิ รรมภาวะผ้นู าแบบม่งุ การเปลี่ยนแปลง สามารถสรุป ไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ดา้ นพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมงุ่ งาน โดยภาพรวมมีค่าเฉล่ียอย่ใู นระดบั มากที่สุด ท้ังนี้ อาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้ความสามารถในการจัดวางระบบงานในสถานศึกษาให้มี ความชัดเจน และผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์ เท่ียงตรง มีความมุ่งม่ันใน กระบวนการทางานรวมถึงการบารุงรักษาบุคลากรและทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อให้กาปฏิบัติงานของทุก ฝ่ายมุ่งสู่ความสาเร็จของงานตามเป้าหมายสูงสุด สอดคล้องกับแนวคิดของ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551) กล่าวว่า ภาวะผู้นาแบบมุ่งเน้นผลผลิตหรือแบบมุ่งงาน เป็นผู้นาที่ให้ความสาคัญกับการ ดาเนินงานและผลลัพธ์ โดยผู้นาจะพฤติกรรมท่ีมุ่งเน้นสมาชิกทางานให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ และ สอดคล้องกับแนวคิดของ เบลค และ มูตัน (Blake and Mouton's Manageral Grid, 1964) กล่าวว่า พฤติกรรมผู้นาท่ีมุ่งผลผลิต เป็นผู้นาที่มุ่งผลผลิตสูงและให้ความสนใจกับคนน้อย เน้นการ ผลักดันให้งานสาเร็จบรรลุเป้าหมาย ตัดสินใจด้วยตนเองเป็นใหญ่ ชอบใช้กฎระเบียบและการสั่งการ และสอดคล้องกับแนวคิดของ ยุคล์ (Yukl, 1997) กล่าวว่า พฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งงาน เป็น พฤติกรรมที่เน้นงานมีความชัดเจนในการจัดระบบงานบทบาทของสมาชิกท่ีเกี่ยวข้องกับงาน การ วางแผน การจัดการและกากับติดตามผลการดาเนินงานในองค์การ เน้นความสาคัญและความสาเร็จ ของงาน ซ่ึงผู้นาจะใช้บุคลากรและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการมีประสิทธิภาพการยึดมั่นในการ รักษาความเท่ยี งตรง ความม่นั คงในกระบวนการทางานรวมทง้ั มกี ารบารงุ รกั ษาให้ได้ผลผลิตที่เพ่ิมมาก ข้ึน สอดคล้องกับงานวิจัยของ อรพรรณ เทียนคันฉัตร (2560) ได้ศึกษาภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของ ผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาเชิง พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมผู้นาแบบมุ่งผลผลิต โดยรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ บรรณสรณ์ นรดี (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาเชิง ~ 158 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ท่ี 26 พฤศจิกายน 2564 พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาและ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มพัฒนาคุณภาพ การศึกษาโคกเพชรดองกาเม็ด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่ง งาน โดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง 1.2 ดา้ นพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งความสัมพนั ธ์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ทสี่ ุด ทงั้ น้ีอาจเป็นเพราะผู้บริหารสถานศึกษาทาหน้าที่ให้คาปรึกษาและนิเทศงานแก่บุคลากรที่ได้รับ มอบหมายงานอยา่ งสมา่ เสมอ และ ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษามีคุณลักษณะและประพฤติตนในด้านการวาง แผนการดาเนินงานเป็นแบบอย่างต่อบุคลากรในสถานศึกษา สอดคล้องกับแนวคิดของ เบลค และ มู ตัน (Blake and Mouton's Manageral Grid, 1964) กล่าวว่า พฤติกรรมผู้นาแบบมุ่งความสัมพันธ์ เป็นผู้นาทใี่ ห้ความสนใจกับคนมาก ใหค้ วามสนใจกับผลผลิตนอ้ ย เน้นการสร้างสมั พนั ธท์ ดี่ ีกับบุคลากร ในองคก์ ร หลีกเลย่ี งความขดั แยง้ ใชก้ ารประนีประนอม เป็นหนทางของการตัดสินใจ พยายามทางาน ให้บคุ ลากรพอใจมากทส่ี ดุ สอดคล้องกับแนวคิดของ ยุคล์ (Yukl, 1997) กล่าวว่า พฤติกรรมผู้นาแบบ มงุ่ ความสมั พันธ์ เปน็ การมคี ณุ ลกั ษณะการประพฤติปฏิบัติที่มีการช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานต้ังแต่การวาง แผนการดาเนินงาน มีการให้คาปรึกษา มีการนิเทศงาน ให้ความเชื่อถือ และให้ความไว้วางใจต่อการ ปฏิบัติงาน เปิดโอกาสให้สมาชิกมีอิสระ และมีส่วนร่วมในการเสนอแนะ และปฏิบัติงานสามารถ ตัดสินใจการปฏิบัติงานได้ด้วยตนเองให้ความตระหนักถึงการเสริมสร้างขวัญ และกาลังใจในการ ปฏิบัติงาน ปฏิบัติงานตามนโยบาย และเป้าหมายของสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล สอดคล้องกับงานวิจัยของ อรพรรณ เทียนคันฉัตร (2560) ได้ศึกษาภาวะผู้นาเชิง พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมผู้นาแบบมุ่งสัมพันธ์ โดยรวมอยู่ใน ระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ บรรณสรณ์ นรดี (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะ ผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาและ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มพัฒนา คุณภาพการศึกษาโคกเพชรดองกาเม็ด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่ง ความสมั พนั ธ์ โดยรวมอยูใ่ นระดับปานกลาง 1.3 ดา้ นพฤตกิ รรมภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปลี่ยนแปลง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศึกษา เปิดโอกาสให้คณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ร่วมคิด ร่วมทา เพ่ือผลักดันให้เกิดการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย มีและผู้บริหาร สถานศึกษา มกี ารทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย หลักการ นโยบายของสถานศึกษา สอดคล้อง กบั แนวคิดของ ยคุ ล์ (Yukl, 1997) กล่าวว่า พฤติกรรมที่มุ่งการเปลี่ยนแปลง ผู้นานี้จะให้ความสาคัญ กบั การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวิเคราะห์เหตุการณ์ภายนอกที่เกิดข้ึน มีการทาวิสัยทัศน์ให้เก่งท่ี ~ 159 ~

รายงานสบื เนอื่ งจากการประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 น่าสนใจและมกี ารเปล่ียนแปลง กาหนดเป้าหมาย หลักการ นโยบายในการดาเนินงาน มีการนาเสนอ โครงการใหม่ ๆ และมีการผลักดันเพ่ือให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงการร่วมมือในการสนับสนุน และการ ดาเนินการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นเก่ียวกับการปรับตัว เพื่อการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมจากการรับข้อผูกมัดพี่มีระบบเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับงานวิจัยของ บรรณสรณ์ นรดี (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหาร สถานศึกษาและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มพัฒนาคุณภาพการศึกษาโคกเพชร ดองกา เม็ด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาเชิง พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านพฤติกรรมภาวะผู้นาแบบมุ่งการเปลี่ยนแปลง โดยรวมอยู่ใน ระดบั ปานกลาง 2. ผลการวิจัยระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อมีการพิจารณาในรายละเอียด พบว่า อยู่ ในระดับมากท่ีสุด ด้านที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านเวลา รองลงมาคือ ด้านค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน ดา้ นท่ีมีคา่ เฉลี่ยต่าสดุ คือ ดา้ นปริมาณของงาน สามารถสรุปไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ 2.1 ดา้ นคุณภาพของงาน โดยภาพรวมมีคา่ เฉลยี่ อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศึกษา มีการกาหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอน เพ่ือให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ สูงสุด ละคุ้มค่า และผู้บริหารสถานศึกษา ให้แนวทางการปฏิบัติงานของครูให้เป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐาน เพ่ือคุณภาพของงาน สอดคล้องกับแนวคิดของ Harring Emerson (1992) กล่าวว่า คุณภาพของงาน เป็นรายละเอียดการปฏิบัติงานในแต่ละกระบวนการท่ีทุกคนต้องทาตามเกณฑ์ มาตรฐานตามท่ีองค์กรกาหนด หน่วยงานท่ีออกมาต้องมีความถูกต้อง เรียบร้อย และมีคุณภาพมาก ท่ีสุด เพ่ิงตั้งสามารถปฏิบัติงานท่ีได้รับมอบหมายให้สาเร็จตามเวลาหรือมาตรฐานที่ต้ังไว้ และ สอดคล้องกับ Peterson and Plowman (1989) กล่าวว่า คุณภาพของงาน (Quality) จะต้องมี คุณภาพสูง คือ ผู้ผลิตและผู้ใช้ได้ประโยชน์คุ้มค่าและมีความพึงพอใจผลการทางานมีความถูกต้องได้ มาตรฐาน รวดเร็ว นอกจากนี้ผลงานที่มีคุณภาพ อ้วนก่อเกิดประโยชน์ต่อองค์กรและสร้างความพึง พอใจของลูกค้า หรือผู้มารับบริการ สอดคล้องกับงานวิจัยของ สมพร ทัพมงคล (2555) ได้ ทาการศึกษาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาชัยนาท พบว่าครูในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสานักงานเขต พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาชัยนาท มีประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านคุณภาพของงานอยู่ในระดับ ปานกลาง 2.2 ด้านปริมาณของงาน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศึกษา มีความรู้และทักษะในการบริหารงานตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายตามความ คาดหวงั ของสถานศึกษา และ ผู้บริหารสถานศึกษา มีความสามารถในการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ ~ 160 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ที่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 มาตรฐาน สอดคล้องกับ Peterson & Plowman (1989) กล่าวว่า ปริมาณงาน (Quanlity) งานท่ี เกิดขึ้นจะต้องเป็นไปตามความคาดหวังของหน่วยงาน โดยผลงานที่ปฏิบัติได้มีปริมาณท่ีเหมาะสม ตามท่ีกาหนดในแผนงาน หรือเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ และควรมีการวางแผน บริหารเวลา เพื่อให้ได้ ปรมิ าณงานตามเป้าหมายท่ีวางไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ เภตรา ศรีอุดทาภาร (2557) ศึกษาวิจัย ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู: กรณีศึกษาข้าราชการครูเขตพ้ืนที่การศึกษาที่ 2 จันทบุรี ผลการวิจัย พบว่า ข้าราชการครูมีปริมาณงานมากเกินไปในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณรงค์ชัย บุญประเสริฐ (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการ บริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการ ศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ครูและ บุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นเก่ียวกับ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู และบุคลากร ทางการศึกษา ด้านปรมิ าณของงานอยใู่ นระดบั มาก 2.3 ด้านเวลา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ท้ังนี้อาจเป็นเพราะผู้บริหาร สถานศึกษา มกี ารส่งเสริมใหค้ รูมกี ารใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคนิค วิธีการอน่ื ๆ ทาให้ผลงานมี คณุ ภาพ และผบู้ ริหารสถานศึกษา สามารถปฏิบตั ิงานท่ีไดร้ ับมอบหมายจากหน่วยงานตน้ สงั กัดภายใน ระยะเวลาท่ีกาหนดหรอื ปฏิทินปฏิบัติงาน สอดคล้องกับ Peterson and Plowman (1989) กล่าวว่า เวลา (Time) คือเวลาที่ใช้ในการดาเนินงานจะต้องอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องตามหลักการเหมาะสมกับ งานและทันสมัย มีการพัฒนาเทคนิคการทางานให้สะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณรงค์ ชัย บุญประเสรฐิ (2563) ได้ศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างทักษะการบรหิ ารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กบั ประสิทธิภาพการปฏิบตั งิ านของครแู ละบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาระยอง เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพการปฏบิ ัตงิ านของครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา ด้านเวลา อยู่ในระดบั มาก 2.4 ดา้ นคา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนินงาน โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งน้ีอาจ เป็นเพราะ ผู้บริหารสถานศึกษา มีการคานึงถึงการสูญเสียหรือความเสียหายต่อการใช้ทรัพยากรของ สถานศึกษาให้น้อยท่ีสุด มีและผู้บริหารสถานศึกษา มีการบริหารจัดการทรัพยากรการเงิน คน วัสดุ อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ Peterson and Plowman (1989) กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายในการ ดาเนินงาน (Costs) ในการดาเนินงานทั้งหมดจะต้องเหมาะสมกับงานและวิธีการ คือ จะต้องลงทุน น้อยและให้ได้กาไรมากท่ีสุด ประสิทธิภาพในมิติของค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนการผลิต ได้แก่ การใช้ ทรัพยากรด้านการเงิน คน วัสดุ เทคโนโลยี ที่มีอยู่อย่างประหยัดคุ้มค่า และเกิดการสูญเสียน้อยท่ีสุด สอดคล้อง กับงานวิจัยของ ณรงค์ชัย บุญประเสริฐ (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการ บริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการ ศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ผลการวิจัย พบว่า ครูและ ~ 161 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 บุคลากรทางการศึกษามีความคิดเห็นเก่ียวกับ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู และบุคลากร ทางการศึกษา ด้านคา่ ใชจ้ ่ายในการดาเนนิ งาน อยู่ในระดบั มาก 3. พฤตกิ รรมภาวะผนู้ าของผู้บรหิ ารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเป็น .920 ซึ่งเป็นไปตามที่ต้ังสมมติฐานไว้ ท้ังน้ีอาจเพราะ ผบู้ ริหารมภี าวะผ้นู าของผู้บรหิ ารน้นั เปน็ เรอื่ งของความสามารถในการนา หรือการใช้ความสามารถจูง ใจโน้มน้าวบุคคลและกลุ่มให้มารวมพลังกันทางานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อรพรรณ เทียนคันฉัตร (2560) ได้ศึกษาภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริการ กบั แรงจูงใจในการปฏิบัตงิ านของครูมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดบั .01 สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของ ศศิธร สุขสิงคลี (2562) การวิจัยเพื่อศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นา ของผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษาคุณภาพการทางานของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา เอกชน จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษาคุณภาพการ ทางานของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ระดับมาก คือลักษณะ ผนู้ าแบบเสรนี ยิ ม ผู้นาแบบประชาธปิ ไตย และผูน้ าแบบมีส่วนร่วม และในภาพรวมมีความสัมพันธ์กัน อย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ .01 โดยเป็นความสัมพันธ์ทางบวกในระดับค่อนข้างสูง (rxy= .657) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณรงค์ชัย บุญประเสริฐ (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการ บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการ ศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 พบว่าความคิดเห็นของครูและ บุคลากรทางการศกึ ษามีความคดิ เหน็ เกี่ยวกับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของ เมเยอร์ (Myears, 2001) ได้ศึกษาเรอ่ื งอาจารย์คือปัจจัยสาคัญท่ีมีต่อความ พึงพอใจในการทางานของครู: สารวจทัศนคติของครูระดับประถมศึกษา ในเร่ืองเก่ียวกับภาวะความ เป็นผู้นา และผลกระทบท่ีมีต่อความพึงพอใจในการทางานของครู ผลการวิจัยพบว่า ภาวะความเป็น ผู้นาและบุคลิกภาพของอาจารย์ใหญ่ มีความสาคัญมากต่อการปฏิบัติงานของครู และประสิทธิภาพ ของโรงเรียน เท่ากับที่มีผลต่อความพึงพอใจในงานของครูเช่นกัน และยังสามารถนาไปสู่คาถาม มากมายทเี่ ก่ียวกบั ความพึงพอใจในการทางานของครูและอทิ ธิพลของอาจารยใ์ หญ่ ~ 162 ~

รายงานสืบเนือ่ งจากการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ที่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั การวิจัยครั้งนี้ ผวู้ ิจัยไดน้ าเสนอขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ ดังน้ี 1. จากผลการวิจัยพฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ผู้วิจัยได้นาประเด็นที่มีค่าเฉล่ียต่าสุดมาเป็นข้อเสนอแนะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา ควรคานึงถึงการใช้ทรัพยากรในสถานศึกษาอย่างคุ้มค่าและเกิด ประโยชนส์ ูงสดุ 1.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรเปิดโอกาสให้เพ่ือนครูมีส่วนร่วมในการวางแผนการ ดาเนนิ งาน เสนอแนะการปฏบิ ตั ิงาน เพอื่ ทาให้เพือ่ นครมู ีความไว้วางใจและให้ความนา่ เชอื่ ถือ 1.3 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรให้รางวัลขวัญกาลังใจแก่ครู เพ่ือกระตุ้นให้เกิดความสาเร็จ ของงาน 2. จากผลการวิจัยประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมทุ รสาคร มีข้อเสนอแนะดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีการกาหนดเป้าหมายการปฏิบัติงานของครูตามเกณฑ์ มาตรฐาน ความรวดเร็วและทนั ตอ่ เวลา 2.2 ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ควรมอบหมายงานแก่ครอู ย่างเหมาะสมกับกาลงั ความสามารถ 2.3 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีการบริหารจัดการเวลาเพื่อให้เกิดความสะดวกและ รวดเร็ว สรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ ก่ผู้รบั บริการ 2.4 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรเปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในการพัฒนา ผู้บริหาร สถานศึกษา มีการปฏิบัติงาน โดยคานึงถึงประสิทธิภาพของงาน และประโยชน์ที่ ได้รับของ สถานศกึ ษา ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยคร้งั ต่อไป 1. ควรทาวิจัยเร่ือง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อ ประสทิ ธิภาพการทางานของครู สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รสาคร 2. ควรทาวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงาน เขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ~ 163 ~

รายงานสืบเนือ่ งจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 เอกสารอ้างองิ ณรงค์ชัย บุญประเสริฐ. (2563). ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขต พน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาระยอง เขต 1. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต (การบริหาร การศกึ ษา) มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี. ณัฏฐพนั ธ์ เขจรนันทน์. (2551). พฤตกิ รรมองคก์ าร. กรุงเทพฯ: ซีเอด็ ยเู คชั่น. เนตร์พณั ณา ยาวิราช. (2552). ภาวะผ้นู าและผนู้ าเชิงกลยุทธ์. กรุงเทพฯ: บริษัท ทริปเพิ้ล กรปุ๊ บรรณสรณ์ นรดี. (2563). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มพัฒนาคุณภาพการศึกษาโคกเพชร ดองกา เมด็ สานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาศรีสะเกษ เขต 3. มหาวิทยาลัยราชธานี. เภตรา ศรีอุดทาภาร. (2557). ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู: กรณีศึกษา ขา้ ราชการครู เขตพ้ืนท่ีการศึกษาท่ี 2 จันทบุรี. บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. ศศิธร สุขสิงคลี. (2562). พฤติกรรมภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษาคุณภาพการทางาน ของบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาเอกชน จังหวัดเชียงใหม่. หลักสูตรครุศาสตรมหา บัณฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา วทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. สมพร ทัพมงคล. (2555). แนวทางการเพ่ิมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนขนาด เล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาชัยนาท. หลักสูตรครุศาสตรมหา บณั ฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. อรพรรณ เทียนคันฉัตร. (2560). ภาวะผู้นาเชิงพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อ แรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิงานของคร.ู ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี. Blake and Mouton's Manageral Grid. (1964). The Managerial Grid. Texas: Gulf Publishing. Harrington Emerson. (1992). The Twelve Principles of Efficiency. New York: The Engineering Magazine. Myears. J. (2001). The Measurement and Antecedents of Affective, Continuance and Normative Commitment to the Organization. Peterson, Elmore and Plowman, Grosvenor E. (1953). Business Organization and Management. Illinois: Irwin. Yukl, Gary A. (2006). Leadership in organizations. 2nd ed. Englewood Cliffs, NJ: Prentice–Hall. ~ 164 ~

รายงานสบื เนื่องจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ความฉลาดทางอารมณ์ของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษาที่สง่ ผลตอ่ ปจั จยั จงู ใจในการ ปฏิบตั งิ านของครโู รงเรยี นสงั กัดสานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา สมทุ รสงคราม Emotional Quotient Affecting of Administrators on Work Motivation of School Teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office ชนารญั ช์ สุวรรณน้อย1 มังกร หรริ ักษ์2 1บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ธนบรุ ี, [email protected] 2คณบดีบณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยธนบรุ ,ี [email protected]. บทคดั ยอ่ การวิจยั เรื่อง ความฉลาดทางอารมณข์ องผู้บรหิ ารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขต พืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสงคราม มวี ัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงคราม 3) เพ่ือศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ท่ีส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการ ปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามประชากร และกลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามในปีการศึกษา 2563 กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการ กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane (1973: 1088) จานวน 268 คน และทาการ สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งช้ันภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแยกตามสัดส่วนขนาดของ สถานศกึ ษา เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม (Questionnaires) สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย (  ) ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) สถิติท่ีใช้ทดสอบสมมุติฐาน ใช้การ วิเคราะหก์ ารถดถอยแบบพหคุ ูณข้นั ตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความฉลาดทางอารมณ์สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรสงครามโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า การตระหนักรู้ อารมณต์ นเอง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ การควบคุมอารมณ์ตนเอง การมีทักษะทางสังคม การสร้าง แรงจูงใจให้แก่ตนเอง ส่วนการเข้าใจความรู้สึกของผู้อ่ืน มีค่าเฉลี่ยต่าสุด 2) ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงาน ของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงครามระดับปัจจัยจูงใจในการ ~ 165 ~

รายงานสบื เนื่องจากการประชมุ วิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศกุ ร์ที่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 ปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงครามโดยภาพ รวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า ลักษณะของงานท่ีปฏิบัติ มีค่าเฉล่ีย สูงสุดรองลงมา ได้แก่ ความสาเร็จในการทางาน ความเจริญเติบโตในตนและอาชีพ ความก้าวหน้า การ ได้รับการยอมรับนับถือ ส่วนความรับผิดชอบ มีค่าเฉลี่ยต่าสุด 3) ความฉลาดทางอารมณ์ท่ีส่งผลต่อ ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสงคราม อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 ได้แก่ ด้านการมีทักษะทางสังคมด้านการตระหนักรู้ อารมณ์ตนเองและด้านการสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเองโดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ .339 มีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R2) เท่ากับ 0.115 มีค่าสัมประสิทธ์ิการพยากรณ์ปรับปรุง (R2adj) เท่ากับ 0.105 ค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐาน (SEest) เท่ากับ 9.755 ตัวแปรทั้ง 3 ตัวแปรสามารถ พยากรณ์ตวั แปรปจั จยั จูงใจได้รอ้ ยละ 11.50 โดยมีค่าสมั ประสิทธสิ์ หสมั พันธ์พหุคูณเป็น .339 คาสาคญั : ความฉลาดทางอารมณ์ ปัจจัยจงู ใจในการปฏิบัติงานของครู สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมทุ รสงคราม Abstract The objectives the study about emotional quotient of school principals under SamutSongkram Primary Educational Service Office were to investigate 1) level of emotional quotient of school principals under SamutSongkram Primary Educational Service Office, (2) job motivating factors for school teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office, and (3) emotional quotient affecting on job motivating factors of school teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office. The study population and sample were school principals and teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office in the 2020 academic year, of which 268 were drawn by stratified random sampling, as determined by school sizes (Yamane, 1973: 1088). Data were collected by a questionnaire and analyzed by means of mean, standard deviation, and stepwise multiple regression analysis. The findings revealed that 1) overall emotional quotient of principals under SamutSongkram Primary Educational Services Office was at a high level. When inspecting at individual aspects, the highest averaged aspect was self-emotional awareness, followed by self-emotional control, social skills, self-motivation ~ 166 ~

รายงานสืบเน่ืองจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วนั ศุกรท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 formation, while empathy to others was the least. 2) Overall job motivating factors of school teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office was at a high level. When inspecting at individual aspects, the highest averaged aspect was job characteristics, followed by job success, self and professional growth, advancement, being respected, while responsibility was the least. 3) Emotional quotient affected job motivation of school teachers under SamutSongkram Primary Educational Service Office, significantly at .01 The most influential predictor is social skill, multiple correlation (R) is .339, coefficient of determination (R2) is 0.115, adjusted (R2adj) is 0.105 and standard error (SEest) is 9.755 . All 3 motivation factors able to predict the result by 11.50 present with a multiple regression coefficient of .339. Keywords: emotional quotient, teachers’ job motivating factors, SamutSongkram Primary Educational Service Office ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา มนุษยเ์ ป็นองค์ประกอบสาคัญของการเปล่ียนแปลง และการพัฒนาโลกท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อมและชุมชน ซึ่งเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายในการ ดาเนินชีวิตประจาวัน แต่มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างดี เพื่อ คุณภาพชีวิตและดารงตนอยู่ในสังคม ปัจจัยสาคัญท่ีทาให้คนเราประสบความสาเร็จน้ันประกอบไป ด้วยหลายปัจจัย แต่มีปัจจัยหน่ึงที่มีความสาคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยด้านอื่น ๆ คือ ปัจจัยทางด้าน อารมณ์ การท่ีควบคุมอารมณ์ของตนเองและแสดงออกได้อย่างเหมาะสม จะทาให้บุคคลมี ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ กรมสุขภาพจิต (2553: 9-10) การควบคุมอารมณ์ ของตนเอง จึงเป็นส่ิงที่สาคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีจะต้อง ควบคมุ ไมใหแ้ สดงพฤตกิ รรมทก่ี า้ วร้าวออกมาให้ผู้อ่ืนได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกับชุมชน นักเรียน ครู และ บคุ ลากรในสถานศึกษา ท่ีผู้บริหารน้ันต้องการความร่วมมอื ในการทางานเพ่ือให้งานน้ันมีประสิทธิภาพ ถ้าหากผู้บริหารไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ จะส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพ ลดลง แต่หากผู้บริหารรู้จักควบคุมอารมณ์ บริหารจัดการอารมณ์ของตนอย่างเหมาะสม ประสิทธิผล ของงานก็จะมปี ระสิทธภิ าพมากขึน้ ความสาเร็จขององค์การขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้บริหารที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง ความ ฉลาดทางอารมณ์เป็นความสามารถ ในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน รู้จักเห็นใจ ~ 167 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชุมวชิ าการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกรท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 และเข้าใจผู้อ่ืน สามารถบริหารจัดการกับอารมณ์ให้เป็นไปตามทิศทาง ท่ีส่งเสริมให้เกิดความสงบสุข และความสาเร็จในชีวิต Gibbs (1995: 261) ผู้ท่ีมีความสามารถตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของตนเอง และคนอ่ืนสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง บริหารจัดการอารมณ์ได้ รู้จักควบคุมอารมณ์ แสดงอารมณ์ได้ อย่างถูกต้องตามกาลเทศะ เข้ากบั สังคมได้อยา่ งเหมาะสม สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนและดาเนินชีวิต อย่างมีความสุข บุคคลน้นั เรียกวา่ เป็นผู้ท่ีมีความฉลาดทางอารมณ์ การที่บุคคลจะประสบความสาเร็จ ในชีวิตหรือหน้าที่การงานนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มีสติปัญญาดีเสมอไป สติปัญญาอย่างเดียวนั้นไม่ สามารถทาใหก้ ารเรยี นหรือทางานดา้ นตา่ ง ๆ บรรลุผลสาเรจ็ ได้ ต้องอาศัยความฉลาดทางอารมณ์เป็น ส่วนประกอบด้วยผู้ที่สามารถตระหนักถึงความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน เพ่ือการสร้างแรงจูงใจใน ตัวเอง บริหารจัดการอารมณต์ า่ ง ๆ ของตนเองและอารมณ์ทเ่ี กดิ จากความสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน ได้นั้น เรยี กวา่ ผู้ท่มี คี วามฉลาดทางอารมณ์ ในการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ต้องเผชิญกับการแข่งขันเป็นอย่างสูง สถานศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน มีการ เพิ่มเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย ปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็นองค์กรยุค อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตอบสนองกับสภาพสังคมท่ี เปล่ียนแปลงไป เพราะฉะน้ันในการปฏิบัติงานต่าง ๆ จะดาเนินไปด้วยความราบรื่น ต้องอาศัยครู ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพและเป็นที่แน่นอนว่า ผ้บู ริหารจะตอ้ งอาศยั ทักษะในการบริหารงานในการทจ่ี ะขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย นั่นย่อมหมายถึง ผู้บริหารต้องมีความรอบรู้ในงานและต้องมีทักษะในการบริหารงาน รัตนา อัตภูมิสุวรรณ์ (2542: 29) และส่ิงสาคัญท่ีจะช่วยให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางาน ได้อย่างเต็มความสามารถ มิใช่อยู่ภายใต้ เง่ือนไขของความรู้ ความสามารถแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่ิงสาคัญกว่านั้น คือแรงจูงใจในการ ปฏิบัติงานของครู หากครูไม่มีความพึงพอใจหรือแรงจูงใจในการทางาน ก็จะเป็นเหตุให้คุณภาพของ การปฏิบัติงานลดต่าลง มีการขาดงานบ่อยก่อให้เกิดผลเสียหายต่องานและภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อตัว บุคลากรในองค์กร องค์กรจึงไม่ควรเพิกเฉยต่อการให้ความสาคัญกับบุคลากรในองค์กร ควรรักษา แรงจูงใจให้อยู่ในระดับมาตรฐานดีอยู่เสมอ ท้ังน้ีเพราะความพึงพอใจในการทางานเป็นสภาพจิตใจ ของบุคคลท่ีมีต่อการทางานในองค์กรที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ แรงจูงใจให้ผู้ร่วมงานมีความ กระตือรือร้น ต้ังใจมาร่วมกันทางานโดยความสมัครใจ มาทางานโดยไม่มีความจาเป็นต้องมาบังคับ และมีความสุขในการทางาน ดังน้นั หวั หน้างานหรือผู้บังคับบัญชาต้องมีศิลปะในการสร้างแรงกระตุ้น แรงจูงใจและโน้มน้าวจิตใจให้ผู้ร่วมงานในหน่วยงานช่วยกันทางานเพื่อส่วนรวมขององค์กรให้มาก ท่ีสุด และบุคคลที่มีความสาคัญย่ิงต่อการจัดการศึกษาในองค์กร ก็คือ ผู้บริหารสถานศึกษา เพราะ บทบาทของผบู้ รหิ าร สถานศึกษา คอื การบรหิ ารจัดการในสถานศึกษาผู้บรหิ ารต้องมคี วามสามารถใน การบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ และทรัพยากรท่ีเป็นหัวใจสาคัญของการจัดการศึกษา คือ ครผู ู้สอน หากครผู สู้ อนหมดหวังหรอื หมดกาลงั ใจในการปฏิบัติงาน ประสิทธิผลและประสิทธิภาพของ งานจะออกมาดีได้อย่างไร ซ่ึงมีนักวิชาการด้านการศึกษาได้ให้ทรรศนะว่าประเทศไทยจะ ปฏิรูป ~ 168 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ ร์ที่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 การศึกษาได้ ต้องปฏิรูปการเรียนการสอนของครูก่อน รุ่ง แก้วแดง (2542: 42) ดังนั้น องค์กรควรทา ให้บุคลากรในองค์กรมีแรงจูงใจทั้งด้านสภาพแวดล้อมการทางาน ลักษณะงาน รายได้ สวัสดิการ ความกา้ วหนา้ ในการทางาน ความยอมรับนับถือในองค์กรและความมั่นคงในการทางานให้บุคลากรใน องค์กร สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ตลอดจนให้ความจงรักภักดี ทางานอยู่ในองค์กรได้เป็นเวลานาน และลดการเกิดอัตราการลาออกและย้ายสถานท่ีสอนของครู ซึ่ง เป็นเครื่องช้ีวัดความพอใจของครูผู้สอนในการทางานที่ไม่ดีและไม่พึงปรารถนาคณะครูเกิดความคับ ขอ้ งใจและไม่มคี วามสขุ ในการทางานจึงต้องเปลยี่ นงาน จากสภาพความเป็นมา ความสาคัญ เอกสารและงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่ี จะศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม เพื่อนาข้อมูลท่ีได้ไปเป็น แนวทางในการปรับปรุง พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาทาให้สามารถพัฒนา ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมทุ รสงครามให้ดขี ้นึ เกิดประโยชนแ์ ละสง่ ผลต่อคุณภาพของการศกึ ษาและปฏบิ ตั ิงานต่อไป วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสังกัดสานักงาน เขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม 2. เพื่อศกึ ษาปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงคราม 3. เพ่ือศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมทุ รสงคราม ~ 169 ~

รายงานสืบเนอ่ื งจากการประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกรท์ ่ี 26 พฤศจิกายน 2564 กรอบแนวคิดในการวิจัย ปัจจัยจงู ใจ 1. ความสาเรจ็ ในการทางาน ความฉลาดทางอารมณ์ 2. การได้รบั การยอมรบั นับถือ 1. การตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง 3. ลกั ษณะของงานทป่ี ฏบิ ตั ิ 2. การควบคมุ อารมณ์ตนเอง 4. ความรับผิดชอบ 3. การสรา้ งแรงจูงใจให้แกต่ นเอง 5. ความก้าวหนา้ 4. การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น 6. ความเจริญเตบิ โตในตนและอาชีพ 5. การมที กั ษะทางสังคม ที่มา: Herzberg (1959: 113-119) ทีม่ า: Goleman (1988: 319-320) ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั วิธกี ารวิจัย การวจิ ยั ในครั้งน้ีเป็นการศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารศึกษาที่ส่งผลต่อปัจจัยจูง ใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive research) โดยมีวิธีดาเนินการตามลาดับหัวข้อ ดังตอ่ ไปน้ี ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม ในปีการศึกษา 2563 จานวน 808 คน แบ่ง ตามขนาดของสถานศึกษา 3 ขนาด ได้แก่ โรงเรียนขนาดเล็ก 300 คน โรงเรียนขนาดกลาง 381 คน และโรงเรียนขนาดใหญ่ 127 คน โดยใช้เกณฑ์การแบ่งขนาดสถานศึกษาของสานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม ในปีการศึกษา 2563 ซึ่งวิธีการกาหนดขนาด ของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นจานวน 268 คน ดาเนินการสุ่ม ตัวอย่างแบบแบ่งชน้ั ภูมติ ามสัดสว่ นของประชากรและใชว้ ิธีการสุม่ อย่างง่าย ~ 170 ~

รายงานสืบเน่ืองจากการประชมุ วชิ าการระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วันศุกรท์ ี่ 26 พฤศจกิ ายน 2564 ตารางท่ี 1 จานวนกล่มุ ตวั อยา่ งโดยแยกตามสดั ส่วนของขนาดสถานศึกษา ขนาดของสถานศกึ ษา ประชากร รายการ จานวนกล่มุ ตัวอย่าง ขนาดเล็ก 338 112 ขนาดกลาง 343 113 ขนาดใหญ่ 127 43 รวม 808 268 ดังนั้นผู้วิจัยจะได้กลุ่มตัวอย่างท่ีทาการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยแยกตามสัดส่วนของ สถานศึกษา ดังน้ี สถานศึกษาขนาดเล็ก 112 คน สถานศึกษาขนาดกลาง 113 คน และสถานศึกษา ขนาดใหญ่ 43 คน รวมกลุ่มตวั อยา่ งจานวน 268 คน จากน้ันในการสุ่มกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับสลาก เพ่อื ใหไ้ ดก้ ลุม่ ตัวอย่างที่เป็นผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาโรงเรยี นขนาดเล็ก 16 คน โรงเรียน ขนาดกลาง 9 คน โรงเรียนขนาดใหญ่ 2 คน และครูโรงเรียนขนาดเล็ก 96 คน โรงเรียนขนาดกลาง 104 คน โรงเรยี นขนาดใหญ่ 41 คน ครอบคลุมจากโรงเรยี นทุกขนาด เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเปน็ แบบสอบถาม (Questionnaire) มีคณุ ลักษณะดงั นี้ ตอนท่ี 1 เป็นแบบสารวจรายการ (Checklist) สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบ แบบสอบถามประกอบดว้ ย เพศ อายุ ระดบั การศึกษา ตาแหนง่ หนา้ ทแี่ ละประสบการณ์ในการทางาน ตอนท่ี 2 เป็นแบบสอบถามความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารศึกษาโรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรสงคราม (Rating Scale) 5 ระดับ ตอนท่ี 3 เป็นแบบสอบถาม เก่ียวกับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัด สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามมีลักษณะเป็นแบบสอบถามมาตราประมาณ คา่ (Rating Scale) 5 ระดบั การสร้างเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั เป็นแบบสอบถามเกย่ี วกบั ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารศึกษา ที่ส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศกึ ษาสมทุ รสงคราม โดยมีขนั้ ตอนการสร้างแบบสอบถามดงั นี้ 1. แนวคิด หลักการ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับความฉลาดทางอารมณ์ของ ผูบ้ ริหารสถานศึกษาและปัจจยั จงู ใจในการปฏิบตั งิ านของครู เพอื่ วิเคราะห์โครงสร้างเนื้อหาตามนิยาม คาศัพท์ เชิงปฏบิ ัตกิ าร ตัวแปรที่ศกึ ษาและกาหนดดัชนชี ้ีวัด ~ 171 ~

รายงานสืบเนอื่ งจากการประชุมวิชาการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ ร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 2. สร้างแบบสอบถาม กาหนดประเด็นที่จะสอบถาม นาแบบสอบถามท่ีสร้างขึ้น เสนอ อาจารย์ทปี่ รกึ ษาการวจิ ยั เพือ่ ตรวจสอบปรับปรุงความสมบูรณ์ และความถูกต้องให้ครอบคลุมทั้งด้าน โครงสร้างเนอ้ื หา และความเหมาะสมในการใช้ภาษา เพ่ือให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ตอบ และครอบคลุม เรอ่ื งทต่ี ้องการศกึ ษาแลว้ นามาปรบั ปรุงแก้ไข 3. นาแบบสอบถามให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) โดยนาแบบสอบถามเสนอผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน ตรวจสอบเพ่ือพิจารณาความเที่ยงตรง ความ ถูกต้องของเน้ือหาและความเหมาะสมของภาษาท่ีใช้โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถาม กับวัตถุประสงค์มาวิเคราะห์หาค่า IOC (The Index of Item-Objective Congruence) เพื่อความ ถูกต้องของเคร่ืองมือและนามาปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดการพัฒนาและ มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้องกับนิยามศัพท์เฉพาะ ซึ่งผลการตรวจสอบท่ี ได้มีคา่ ระหว่าง 0.50-1.00 4. นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปทดลองใช้ (Try Out) ผู้บริหาร สถานศึกษาหรือครูในสถานศึกษา ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จานวน 30 คน เพ่ือหาคุณภาพของเครื่องมือ โดยการหาค่าความเช่ือมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ อลั ฟา (Alpha Coefficient) ของ Cronbach (1970: 161) โดยได้คา่ ความเชื่อมัน่ เท่ากับ 0.84 5. นาแบบสอบถามที่ผ่านการหาคุณภาพแล้ว พิมพ์เป็นแบบสอบถามฉบับจริงเพ่ือใช้เป็น เครื่องมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลกับกลุ่มตวั อยา่ ง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจยั ดาเนนิ การดังน้ี 1. ขอหนังสือจากสานักงานบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธนบุรี เพ่ือขอความร่วมมือไปยัง ผ้บู ริหารสถานศึกษาโรงเรียนในจังหวดั สมุทรสงครามเพื่อขอความอนุเคราะหใ์ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 2. ผู้วิจัยดาเนินการส่งแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ โดยทาเป็น Google Forms พร้อม หนังสื อนาส่ งการขอคว ามอนุเคราะห์ในการตอบส อบถาม จากโ รงเรียนท่ีเป็นกลุ่ มตัว อย่าง ทา ง e-office โดยมีผู้ประสานงานแต่ละโรงเรียน ดาเนินการส่ง Google Forms ให้กับผู้บริหารและครู ดาเนินการตอบแบบสอบถาม ให้ครบตามจานวนท่ขี อความอนเุ คราะห์ในการตอบแบบสอบถาม 3. เมื่อได้แบบสอบถามกลับคืนมาแล้ว จานวน 268 คิดเป็นร้อยละ 100 และนามา ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามเพื่อจัดลาดับข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป และประมวลผลต่อไป การวิเคราะหข์ ้อมลู 1. วิเคราะห์เกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยแจกแจงความถี่ (frequency) และค่าร้อยละ (percentage) ~ 172 ~

รายงานสืบเน่อื งจากการประชมุ วิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ วนั ศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 2. วิเคราะห์คา่ สหสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาและปัจจัย จงู ในการปฏิบตั ิงานของครูสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยการหา ค่าเฉล่ีย (mean) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. การวิเคราะห์หาค่าสถิติความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อปัจจัย จูงใจในการปฏิบัติงานของครูสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยใช้ สถติ ิการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคณู ข้ันตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวจิ ัย การวิจัยเร่ืองความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการ ปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม พบว่า ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามจานวน 268 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจานวน 151 คน คิดเป็น ร้อยละ 56.34 มีอายุระหว่าง 31–40 ปี จานวน 156 คน คิดเป็นร้อยละ 58.22 วุฒิการศึกษาระดับ ปรญิ ญาตรจี านวน 131 คน คิดเป็นร้อยละ 48.88 ตาแหน่งปัจจุบันผู้บริหารจานวน 102 คน คิดเป็น ร้อยละ 38.06 และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในโรงเรียนมากกว่า 10 ปีจานวน 96 คนคิดเป็น รอ้ ยละ 35.82 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามโดยภาพรวมวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ดงั ตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 ค่าเฉลย่ี ( ) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหาร สถานศึกษาในโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามโดย ภาพรวม ข้อ ความฉลาดทางอารมณ์  SD ระดบั ลาดับ 1. การตระหนักร้อู ารมณ์ตนเอง 3.69 0.99 มาก 1 2. การควบคุมอารมณต์ นเอง 3.58 1.03 มาก 2 3. การสร้างแรงจงู ใจให้แก่ตนเอง 3.52 0.99 มาก 4 4. การเข้าใจความรู้สึกของผอู้ ่นื 3.50 1.03 ปานกลาง 5 5. การมที กั ษะทางสังคม 3.57 1.03 มาก 3 รวม 3.57 1.01 มาก ~ 173 ~

รายงานสบื เน่ืองจากการประชมุ วชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 จากตารางท่ี 1 พบว่าระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( =3.57, SD=1.01) เม่ือพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่า การตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( =3.69, SD=0.99) รองลงมา ไดแ้ ก่ การควบคมุ อารมณต์ นเอง ( =3.58, SD=1.03) การมีทักษะทาง สังคม ( =3.57, SD=1.03) การสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเอง ( =3.52, SD=0.99) ส่วนการเข้าใจ ความรสู้ กึ ของผอู้ นื่ มคี ่าเฉลีย่ ตา่ สุด ( =3.50, SD=1.03) 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงาน เขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรสงครามโดยภาพรวมวเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน ดงั ตารางท่ี2 ตารางที่ 2 ค่าเฉล่ีย (  ) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ระดับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงาน ของครูโรงเรี ยนสังกัดสานั กงานเขตพ้ืนที่การศึกษาปร ะถมศึกษาสมุทรสงคราม โดย ภาพรวม ขอ้ ปัจจยั จูงใจในการปฏบิ ตั ิงาน  SD ระดบั ลาดับ 1. ความสาเร็จในการทางาน 3.69 1.03 มาก 2 2. การไดร้ บั การยอมรบั นับถือ 3.66 1.06 มาก 5 3. ลักษณะของงานทป่ี ฏบิ ัติ 3.76 1.00 มาก 1 4. ความรับผดิ ชอบ 3.65 1.00 มาก 6 5. ความก้าวหนา้ 3.67 0.98 มาก 4 6. ความเจริญเตบิ โตในตนและอาชีพ 3.68 0.99 มาก 3 รวม 3.68 1.01 มาก จากตารางท่ี 2 พบว่า ระดับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขต พื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก ( =3.68, SD=1.01) เม่ือพิจารณาตามตารางเป็นรายด้าน พบว่าลักษณะของงานท่ีปฏิบัติ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( =3.76, SD=1.00) รองลงมาได้แกค่ วามสาเรจ็ ในการทางาน ( =3.69, SD=1.03) ความเจริญเติบโตในตนและ อาชพี ( =3.68, SD=0.99) ความกา้ วหนา้ ( =3.67, SD=0.98) การได้รับการยอมรับนับถือ ( =3.66, SD=1.06) ส่วนความรับผิดชอบมีคา่ เฉลีย่ ต่าสุด ( =3.65 ,SD=1.00) 3. ผลการวิเคราะห์อานาจทานายของความฉลาดทางอารมณ์ ได้แก่ด้านการตระหนักรู้ อารมณ์ตนเองด้านการควบคุมอารมณ์ตนเองด้านการสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเองด้านการเข้าใจ ~ 174 ~

รายงานสบื เน่ืองจากการประชุมวิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ รท์ ี่ 26 พฤศจิกายน 2564 ความรู้สึกของผู้อน่ื ด้านการมที ักษะทางสงั คมทีส่ ่งผลตอ่ ตัวแปรปจั จยั จูงใจในการปฏิบัติงานแสดงได้ดัง ตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 ผลการวิเคราะห์อานาจทานายของความฉลาดทางอารมณ์ท่ีส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการ ปฏบิ ัตงิ านของครโู รงเรยี นสังกัดสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รสงคราม ตวั แปรคาทานาย B Std. β t Sig. Error (ค่าคงที่) 95.144 4.647 20.476 .000** (X5) ด้านการมีทักษะทาง 1.308 .259 .447 5.042 .000** สงั คม (X1) ด้านการตระหนักรู้ 1.019 .278 .324 3.660 .000** อารมณ์ตนเอง (X3) ด้านการสร้างแรงจูงใจ .506 .188 .157 2.698 .007** ให้แก่ตนเอง ** มนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .01 จากตารางท่ี 3 พบว่า ตัวแปรอิสระท้ังหมดของงานวิจัยได้แก่ (X5) ด้านการมีทักษะทาง สงั คม (X1) ดา้ นการตระหนกั รอู้ ารมณ์ตนเอง (X3) ด้านการสรา้ งแรงจูงใจใหแ้ กต่ นเองสามารถร่วมกัน ทานายปัจจัยจงู ใจในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 พบว่า ปัจจัยทั้ง 3 สามารถ ร่วมกันทานายตัวแปรปัจจัยจูงใจได้ถึงร้อยละ 11.50 ส่วนอีกร้อยละ 88.50 เกิดจากอิทธิพลของตัว แปรอื่นที่ไม่นามาเป็นตัวแปรอิสระในการศึกษาคร้ังน้ี ตัวแปรท่ีมีอิทธิพลในการทานายสูงสุดคือ (X5) ด้านการมีทักษะทางสังคม (β=.447) รองลงมาได้แก่ (X1) ด้านการตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง (β=. 324) (X3) ดา้ นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเอง (β=.157) ตารางที่ 4 ผลการวเิ คราะห์การถดถอยพหุคณู แบบเป็นขน้ั ตอนของความฉลาดทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อ ปั จ จั ย จู ง ใ จ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง ค รู โ ร ง เ รี ย น สั ง กั ด ส า นั ก ง า น เ ข ต พ้ื น ที่ ก า ร ศึ ก ษ า ประถมศกึ ษาสมทุ รสงคราม รูปแบบ ตัวแปรทานาย R R2 R2adj SE est. F P 12.633 0.000 1. X5 0.213 0.045 0.042 10.092 2. X5, X1 0.301 0.084 0.077 9.870 13.162 0.000 3. X5, X1, X3 0.339 0.115 0.105 9.755 11.410 0.000 ** มนี ัยสาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 ~ 175 ~

รายงานสบื เน่อื งจากการประชุมวิชาการระดบั ชาติและนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 จากตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นข้ันตอน พบว่า ความฉลาดทาง อารมณ์ท่ีส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงคราม มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ได้แก่ (X5)ด้านการมีทักษะทางสังคม (X1) ด้านการตระหนักรู้อารมณ์ตนเองและ (X3)ด้านการสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเองโดยมีค่า สมั ประสิทธ์ิสหสมั พนั ธพ์ หคุ ณู (R) เท่ากบั 0.339 มคี า่ สัมประสิทธ์ิการพยากรณ์ (R2) เท่ากับ 0.115 มี ค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ปรับปรุง (R2adj) เท่ากับ 0.105 ค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐาน (SEest) เท่ากบั 9.755 ตัวแปรท้ัง 3 ตวั แปรสามารถพยากรณต์ วั แปรปัจจัยจูงใจไดร้ อ้ ยละ 11.50 สรุปผลการวจิ ัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ได้แก่ (X5) ด้านการมีทักษะทางสังคม (X1) ด้านการตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง (X3) และ ด้านการสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเอง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.339 มีค่า สัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R2) เท่ากับ 0.115 มีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ปรับปรุง (R2adj) เท่ากับ 0.105 ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (SEest) เท่ากับ 9.755 ตัวแปรทั้ง 3 ตัวแปรสามารถพยากรณ์ ตัวแปรปจั จัยจูงใจได้รอ้ ยละ 11.50 อภปิ รายผล ผลการวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเร่ืองความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ ปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรสงครามนามาอภิปราย ดงั น้ี 1. จากผลการวิจัย พบว่า ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้อาจ เน่ืองมาจากความฉลาดทางอารมณ์ซึ่งเป็นคุณสมบัติท่ีผู้บริหารสถานศึกษา เป็นบุคคลท่ีมีบทบาทในการ ควบคุมจัดการกับอารมณ์ในลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนให้เหมาะสมเพื่อสร้างภาวะแรงจูงใจ และแรงขับของ ตนดว้ ยพฤติกรรมอยา่ งผู้มีสติสัมปชัญญะ เพราะผู้บริหารสถานศึกษาเข้าใจศักยภาพที่เป็นไปได้ของตนเอง เก่ียวกับการกระทาในส่ิงที่เหมาะสม มีความกระตือรือร้นในการพัฒนากิจกรรมท่ีทาให้เกิดความสุข ตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้เป็นอย่างดี รวมท้ังสามารถสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ อย่างประสบความสาเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ดิลกฤทธ์ิ อภิวัฒนสิงหะ (2551) ได้ศึกษาความ ฉลาดทางอารมณ์กับความสาเร็จในการทางานของผู้บริหารสถานศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา กาแพงเพชร เขต 1 พบว่า ความฉลาดทางอารมณ์ของผูบ้ ริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ~ 176 ~

รายงานสบื เนอ่ื งจากการประชุมวชิ าการระดับชาตแิ ละนานาชาติ ครบรอบ 15 ปี มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ์ วันศกุ ร์ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2564 2. ผลการศึกษาระดับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงคราม พบว่า ระดับปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสมุทรสงคราม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจ เน่ืองมาจากบทบาทและหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา คือ ผู้บริหารมอบหมายงานให้ครูตรงกับความรู้ ความสามารถของตน มีส่วนร่วมสนับสนุนและช่วยเหลือให้ครูปฏิบัติงานได้ประสบผลสาเร็จทาให้ได้รับ การยอมรับ ยกย่อง และชมเชยจากเพ่ือนร่วมงานละบุคคลภายนอก ตลอดจนการสนับสนุนให้ครูได้เข้า รับการอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน และเปิดโอกาสให้ครูได้ลาศึกษาต่อ รวมถึงการพิจารณาความดี ความชอบด้วยระบบคุณธรรมอย่างเคร่งครัด และผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้จักวิธีการสร้างแรงจูงใจ ให้กับข้าราชการครูในการพัฒนาการจัดการศึกษา ซ่ึงสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ ไพฑูรย์ ธรรมนิตย์ (2550) ได้ศึกษาเรอื่ งแรงจูงใจในการปฏิบตั งิ านของครูโรงเรยี นอาชีวะดอนบอสโกบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ จุฑารัตน์ สุขศีลล้าเลิศ (2556) พบว่า ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงานฝ่ายบัญชีและการเงิน (สานักงานใหญ่) บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์ เซน็ เตอร์ โดยภาพรวม พบว่า มีแรงจูงใจในการปฏิบตั ติ อ่ ปัจจัยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 3. จากผลการวจิ ัย พบว่า ความฉลาดทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อปัจจัยจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โรงเรยี นสังกดั สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงครามพบว่าอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณเป็น .339 ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทานายสูงสุดคือ ด้านการมีทักษะทางสังคม รองลงมา ได้แก่ ด้านตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง ด้านการสร้างแรงจูงใจให้แก่ ตนเอง ทั้งนีอ้ าจเน่ืองมาจากผ้บู ริหารสถานศกึ ษาย่อมมบี ทบาทที่เป็นผลต่อความสาเร็จหรือประสิทธิภาพ ของงานเป็นอย่างยิง่ หากผบู้ รหิ ารมีคณุ ลักษณะท่ดี โี ดยมีความฉลาดทางอารมณ์ ด้านสภาวะอารมณ์ทั่วไป มีความสามารถในการปรับตัว ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการจัดการความเครียด และมี ความอดทนในการเรียนรู้สิ่งท่ียาก ทาให้การปฏิบัติงานในองค์การมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล มากขึ้น ความฉลาดทางอารมณ์ถือเป็นเรื่องสาคัญและจาเป็นต่อบุคคลในการดารงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน อย่างสร้างสรรค์ มีความสุข ประสบความสาเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ Adeoye and Torubelli (2011) ได้อธิบายปฏิสัมพันธ์และผลกระทบที่เก่ียวข้องระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และ การบริหารความสัมพันธ์มนุษย์ต่อความผูกพันต่อองค์การ โดยศึกษากับข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ จานวน 300 คน พบว่าความฉลาดทางอารมณ์และการบริหารความสัมพันธ์มนุษย์ สามารถพยากรณ์ ความผูกพันต่อองค์การ ร้อยละ74.3 และความฉลาดทางอารมณ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพัน ต่อองค์การ ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ สุพรรษา มากงลาด (2561) การวิจัยเร่ืองความฉลาดทาง อารมณ์ การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การและความผูกพันต่อ องค์การโดยมีความพึงพอใจในงานเป็น ตัวแปรส่ือของพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหน่ึง พบว่า ความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรสื่อ สมบรู ณร์ ะหว่างความฉลาดทางอารมณ์โดยรวมและความผูกพันต่อองค์การ ความพึงพอใจในงานเป็นตัว ~ 177 ~


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook