ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 6) นกั เรยี นนาเสนอผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม 7) นกั เรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - รากแก้วมลี ักษณะอย่างไร - รากแกว้ ของพชื ชนิดใดที่สามารถนามารับประทานได้ 8) นกั เรยี นและครูร่วมกนั สรปุ ผลจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยครเู นน้ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่า “รากแก้วมี ขนาดใหญ่ หยั่งลึกลงในดิน ช่วยยดึ ลาต้นพืชไว้กบั ดนิ ไม่ให้โค่นลม้ ไดง้ ่าย” ข้นั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 9) นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั ทดลองการดูดน้าและอาหารจากรากพชื ไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของพชื ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) 10) นักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจ หรอื ยังมีข้อสงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพม่ิ เตมิ ให้นักเรียนเข้าใจ 11) นักเรยี นร่วมกันประเมินการปฏิบัตกิ ิจกรรมกล่มุ วา่ มปี ัญหาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไร บา้ ง 12) นกั เรียนและครรู ว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ประโยชน์ทไี่ ดร้ บั จากการปฏิบตั ิกิจกรรม และการ นาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 13) นักเรียนชว่ ยกนั ตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “นกั เรียนสามารถถอนต้นพืชท่ีมีรากแก้วและ รากฝอยด้วยมือได้หรือไม่ เพราะอะไร” และ “ยกตัวอยา่ งอาหารทม่ี ีสว่ นประกอบของรากแกว้ ” ขน้ั ท่ี 6 ข้ันสรุป 14) นักเรียนและครรู ่วมกันสรปุ เกี่ยวกับรากแก้ว โดยรว่ มกันเขยี นเปน็ แผนทคี่ วามคดิ หรือผงั มโนทศั น์ ส่อื การเรยี นรู้และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนวิทยาศาสตรช์ ัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 2. ตัวอยา่ งรากพชื
การวัดผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน 2. เครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการร่วมกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการร่วมกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 13 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (รหัสวิชา ว 11101) ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 ส่ิงมชี ีวติ กบั กระบวนการดารงชีวิต เรอื่ ง ลาตน้ เวลา 1 ชว่ั โมง สาระสาคญั ลาต้นมลี ักษณะเป็นทรงกระบอก ทาหน้าทช่ี ูก่งิ กา้ น ใบ ดอก และลาเลยี งนา้ และธาตอุ าหารไปเล้ยี ง ส่วนตา่ งๆ ของพืช มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสงิ่ มีชีวิต หน่วยพนื้ ฐานของสงิ่ มีชวี ติ การลาเลยี งสารเขา้ และออก จากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี างานสมั พันธ์กัน ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธก์ นั รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ่ือ บรรยายลักษณะและบอกหน้าทีข่ องสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมทัง้ บรรยายการทาหน้าทีร่ ่วมกันของส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษยใ์ นการทากิจกรรมต่างๆ จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.นักเรียนสามารถอธบิ ายลักษณะและหนา้ ทข่ี องลาต้นได้ 2.นักเรียนสามารถสงั เกตลกั ษณะลาตน้ ของพชื ได้ 3.นักเรยี นสามารถปฏบิ ัติงานตรงตามเวลาทก่ี าหนด สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง พืชมสี ว่ นต่าง ๆ ท่ีมีลกั ษณะและหนา้ ที่แตกตา่ งกนั เพ่อื ใหเ้ หมาะสมในการดารงชีวติ โดยทัว่ ไปรากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเล็ก ๆ ทาหน้าท่ี ดูดนา้ ลาต้นมีลักษณะเป็นทรงกระบอกตั้งตรงและมกี ่ิงกา้ น ทาหนา้ ทีช่ ูกิ่งก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเป็น แผ่นแบน ทาหนา้ ท่สี ร้างอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนิดอาจมดี อกที่มีสี รูปรา่ งตา่ ง ๆ ทาหนา้ ท่สี ืบพันธุ์ รวมทง้ั มผี ลทีม่ ีเปลือก มเี น้ือห่อหุ้มเมล็ด และมีเมลด็ ซ่งึ สามารถงอกเปน็ ตน้ ใหม่ได้ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. มุง่ มน่ั ในการทางาน ชิ้นงานหรอื ภาระงาน – สารวจลกั ษณะลาต้นของพืชบริเวณรอบๆ โรงเรียน กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ด้วยแอปพลิเคชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชว่ั โมงที่ 1 ขนั้ ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) นักเรยี นอภปิ รายถึงลักษณะและหน้าที่ของลาต้นพชื แตล่ ะชนดิ โดยครนู าแผ่นภาพพืชต่างชนิดกันท่ี ลาต้นมลี กั ษณะตั้งตรงหรือเล้ือย เช่น มะลิ ขนนุ ตาลงึ พลูด่าง และมะกรูดมาใหน้ ักเรยี นดู ซง่ึ ใชค้ าถาม ดงั นี้ – พชื ในภาพช่ืออะไรบ้าง – ลาต้นของพชื แต่ละชนิดมลี ักษณะแบบใดบา้ ง 2) นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเกยี่ วกับคาถามตามความคดิ เหน็ ของแตล่ ะคน ขั้นที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นักเรียนศกึ ษาเร่ืองลาตน้ โดยครชู ว่ ยอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า ลาตน้ ทาหนา้ ท่ีชกู งิ่ ก้าน ใบ ดอก และลาเลียงน้าและธาตอุ าหารไปเลีย้ งส่วนต่างๆ ของพชื พืชบางชนิดมีลาตน้ สูงใหญแ่ ละแขง็ แรง เชน่ ขนุน และมะขาม พืชบางชนิดลาต้นอาจเลอ้ื ยไปตามพนื้ ดินหรือพนั กบั ตน้ ไม้ เชน่ ตาลึงและอัญชัน 4) นักเรียนสารวจลกั ษณะลาตน้ ของพืชจากภาพพืชตวั อยา่ ง ว่าพชื แต่ละชนิดมลี ักษณะลาต้นแบบใด วาดภาพและระบายสลี าต้นของพืชที่มลี กั ษณะแตกต่างกนั อย่างน้อย 3 ชนดิ พร้อมทงั้ ระบชุ ือ่ ของพชื ดว้ ย 5) ขณะนักเรียนปฏิบัติกจิ กรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือ และเปิดโอกาสให้นักเรยี นทุกคนซักถามเมอ่ื มี ปัญหา
ขัน้ ท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 6) นักเรียนนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 7) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถามคือ - ลาตน้ ของพืชที่นกั เรยี นสารวจได้มลี ักษณะใดบา้ ง - ผิวของลาต้นของพืชแต่ละชนิดมีลกั ษณะใด 8) นกั เรียนและครรู ว่ มกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจว่า “ลาต้นของพชื บางชนดิ มลี ักษณะเหมอื นกัน ลาต้นของพืชบางชนิดมีลักษณะแตกตา่ งกันข้ึนอยู่กบั ชนดิ ของพชื ” ขน้ั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 9) นกั เรียนร่วมศึกษาภาพและวดี ิทัศนเ์ ร่ือง ลาตน้ ตา่ ง ๆ ของพืช ขั้นที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) 10) นักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาว่า จากหัวขอ้ ทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มจี ุดใดบา้ งท่ียังไม่เขา้ ใจ หรือยังมีข้อสงสยั ถ้ามคี รชู ว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 11) นกั เรียนร่วมกันประเมินการปฏิบตั กิ จิ กรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไร บา้ ง 12) นกั เรยี นและครูรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการ นาความรู้ท่ไี ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 13) นักเรียนชว่ ยกนั ตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจ คือ “มะม่วงและตาลงึ มลี ักษณะของลาต้น แตกต่างกันอย่างไร” ขัน้ ที่ 6 ขน้ั สรุป 14) นกั เรยี นและครรู ่วมกันสรุปเกย่ี วกับลาต้น โดยรว่ มกันเขยี นเป็นแผนทีค่ วามคดิ หรือผังมโนทัศน์ สื่อการเรียนรแู้ ละแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 1 2. แผน่ ภาพพชื ตา่ งชนิดกนั ท่ีลาตน้ มลี กั ษณะต้ังตรง เล้อื ย หรือมหี นาม เช่น มะลิ ขนุน ตาลึง พลดู า่ ง และ มะกรดู 3. วีดทิ ัศน์ เรอื่ งลาตน้ ตา่ ง ๆ ของพืช
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน 2. เครื่องมือวัดและประเมินผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการร่วมกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการร่วมกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 14 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 ส่ิงมชี ีวติ กับกระบวนการดารงชีวติ เรอ่ื ง ลกั ษณะและหนา้ ที่ลาตน้ เวลา 1 ชั่วโมง สาระสาคญั ลาตน้ มลี ักษณะเป็นทรงกระบอก ทาหน้าทช่ี กู ง่ิ กา้ น ใบ ดอก และลาเลียงน้าและธาตอุ าหารไปเลย้ี ง ส่วนตา่ งๆ ของพชื มาตรฐาน/ตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของส่ิงมชี วี ิต หนว่ ยพื้นฐานของสิง่ มีชวี ติ การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษยท์ ที่ างานสัมพนั ธก์ นั ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ที่ทางานสัมพนั ธก์ นั รวมทง้ั นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ่ือ บรรยายลกั ษณะและบอกหนา้ ทขี่ องสว่ นต่างๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมท้งั บรรยายการทาหนา้ ทีร่ ่วมกนั ของสว่ นต่างๆ ของรา่ งกายมนุษยใ์ นการทากจิ กรรมตา่ งๆ จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธิบายลักษณะและหน้าทข่ี องลาต้นได้ 2. นักเรียนสามารถสังเกตลักษณะลาตน้ ของพืชได้ 3. นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิงานตรงตามเวลาท่ีกาหนด สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง พชื มสี ่วนตา่ ง ๆ ทม่ี ีลกั ษณะและหนา้ ที่แตกต่างกัน เพอ่ื ให้เหมาะสมในการดารงชีวิต โดยท่วั ไปรากมีลกั ษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเลก็ ๆ ทาหน้าที่ ดูดนา้ ลาต้นมลี ักษณะเปน็ ทรงกระบอกต้ังตรงและมกี ่ิงก้าน ทาหนา้ ทช่ี ูกิง่ ก้าน ใบ และดอก ใบมลี ักษณะเปน็ แผน่ แบน ทาหน้าทสี่ ร้างอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนิดอาจมีดอกทมี่ ีสี รูปร่างตา่ ง ๆ ทาหน้าทสี่ บื พันธุ์ รวมทงั้ มีผลทีม่ เี ปลือก มีเนื้อห่อหุม้ เมลด็ และมีเมล็ดซึง่ สามารถงอกเป็นต้นใหมไ่ ด้ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มงุ่ ม่ันในการทางาน ชิ้นงานหรือภาระงาน – สังเกตรปู รา่ งและลักษณะลาต้นของพืชชนิดตา่ ง ๆ กจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชั่วโมงที่ 2 ขน้ั ท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรยี นร่วมกันตอบคาถามครู เพ่อื กระตนุ้ ความสนใจ ซง่ึ ใชค้ าถามดังน้ี – ลาตน้ ของพชื แต่ละชนิดทาหนา้ ทเ่ี หมือนหรือแตกตา่ งกนั 2) นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายหาคาตอบเกี่ยวกับคาถามตามความคดิ เหน็ ของแต่ละคน ขน้ั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นักเรยี นรว่ มกันศึกษาโดยครูคอยอธบิ ายเพิ่มเติมเกีย่ วกบั ตวั อยา่ งลกั ษณะลาต้นของพชื เชน่ ต้ังตรง เลอื้ ย มีหนาม ไม่มหี นาม ขรขุ ระ เรียบ มีข้อปล้อง และไม่มีขอ้ ปลอ้ ง 4) นกั เรยี นร่วมกนั สงั เกตลกั ษณะต่าง ๆ ของลาตน้ พืชทีค่ รูเตรียมไว้ 5) ขณะนักเรียนปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ครคู อยแนะนาช่วยเหลอื และเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นทกุ คนซักถามเมอื่ มี ปัญหา ขนั้ ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 6) นักเรยี นนาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม 7) นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคาถามคือ - ลาต้นทาหน้าท่ีอะไร
- ลาต้นที่ต้งั ตรงกับลาตน้ ทีเ่ ลอ้ื ยไปตามพ้นื ดนิ ทาหนา้ ท่ีเหมือนกันหรือไม่ เพราะอะไร 8) นักเรียนและครรู ว่ มกนั สรปุ ผลจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยครูเนน้ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจว่า “ลาต้นทา หน้าทีช่ กู ่งิ ก้าน ใบ ดอก และลาเลียงนา้ และธาตอุ าหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของพชื ” ข้ันท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) 9) นกั เรียนร่วมกันทดลองโดยนาใบผักกาดขาวไปแชน่ ้าทผี่ สมสีผสมอาหารสตี ่าง ๆ แล้วสังเกตการ เปลยี่ นแปลง ขนั้ ที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) 10) นกั เรยี นแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อท่ีเรียนมาและการปฏบิ ัติกจิ กรรม มีจดุ ใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจ หรอื ยังมีข้อสงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพิม่ เติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 11) นักเรียนรว่ มกันประเมินการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุ่มวา่ มีปญั หาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอยา่ งไร บา้ ง 12) นกั เรยี นและครูร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบตั ิกิจกรรม และการ นาความรู้ทไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 13) นกั เรยี นช่วยกนั ตอบคาถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ คือ “ลาตน้ ของคะน้าและปบี มีลักษณะแตกต่าง กนั อยา่ งไร” และ “ลาต้นของกุหลาบและอญั ชนั มลี กั ษณะแตกต่างกันอย่างไร” ขัน้ ท่ี 6 ข้ันสรุป 14) นกั เรยี นละครแู ร่วมกันสรปุ เกย่ี วกับลกั ษณะและหนา้ ที่ของลาต้น โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ีความคิด หรือผงั มโนทัศน์ สือ่ การเรยี นรูแ้ ละแหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตรช์ ้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 2. ใบความรู้เร่ืองลาตน้ พชื 3. ใบผกั กาดขาว
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียนในการร่วมกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 15 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (รหัสวิชา ว 11101) ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ส่งิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดารงชีวติ เรอื่ ง ส่วนประกอบของใบ เวลา 1 ชัว่ โมง สาระสาคญั ใบของพืชมลี ักษณะเปน็ แผน่ แบน ทาหนา้ ทีส่ ร้างอาหารให้แก่พชื มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสิ่งมชี ีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชวี ติ การลาเลียงสารเขา้ และออก จากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ที่ทางานสมั พันธ์กัน ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทางานสมั พันธก์ ัน รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 1. ระบุช่อื บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าทข่ี องส่วนตา่ งๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมทงั้ บรรยายการทาหน้าทร่ี ่วมกันของสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายมนุษยใ์ นการทากจิ กรรมต่างๆ จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายสว่ นประกอบของใบได้ 2. นักเรียนสามารถสงั เกตลกั ษณะใบของพชื ได้ 3. นกั เรยี นสามารถปฏบิ ัตงิ านตรงตามเวลาท่ีกาหนด สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้แู กนกลาง พชื มสี ว่ นตา่ ง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกนั เพือ่ ใหเ้ หมาะสมในการดารงชีวติ โดยท่วั ไปรากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเล็ก ๆ ทาหน้าที่ ดูดน้า ลาตน้ มลี กั ษณะเป็นทรงกระบอกต้ังตรงและมีกิ่งก้าน ทาหน้าที่ชกู ่งิ ก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเปน็ แผน่ แบน ทาหนา้ ทีส่ ร้างอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนิดอาจมดี อกที่มสี ี รปู ร่างตา่ ง ๆ ทาหน้าท่ีสบื พันธ์ุ รวมทั้งมผี ลท่ีมีเปลือก มีเนื้อห่อหมุ้ เมลด็ และมเี มล็ดซึง่ สามารถงอกเป็นตน้ ใหมไ่ ด้ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มวี ินยั 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทางาน ช้นิ งานหรือภาระงาน – สงั เกตใบพชื หลากหลาย – วาดภาพระบายสีส่วนประกอบของใบ กจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ด้วยแอปพลิเคชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ช่วั โมงที่ 1 ขนั้ ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) ครนู าแผน่ ภาพหรอื ส่ือมลั ติมีเดียเก่ยี วกบั ใบของพืชที่มรี ปู ร่างตา่ งๆ เชน่ กลม ยาวมน มขี อบหยัก หรอื เหมอื นหัวใจ ใบของพืชทม่ี ีสตี ่างๆ และที่มีขนาดแตกต่างกันมาใหน้ กั เรยี นดู แล้วให้นักเรียนช่วยกนั อภปิ รายถึงใบของพืช เช่น – ใบพชื ทีน่ กั เรียนสงั เกตมรี ูปรา่ งและลักษณะแบบใดบา้ ง 2) นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายหาคาตอบเกย่ี วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน ข้ันท่ี 2 ข้นั สารวจและค้นหา(Exploration) 3) นกั เรียนเลา่ ลักษณะใบพืชทน่ี ักเรียนสังเกตไดจ้ ากภาพใบพืชตัวอย่าง วาดลักษณะใบของพืชทนี่ กั เรยี น เล่าพรอ้ มระบายสใี หส้ วยงาม 4) นกั เรยี นศกึ ษาเร่ืองใบ โดยครูชว่ ยอธิบายให้นกั เรยี นเข้าใจว่า ใบของพชื มลี ักษณะเปน็ แผ่นแบน มสี ่วน ต่างๆ ท่สี าคัญ คอื ขอบใบ เส้นใบ แผ่นใบ และก้านใบ ใบของพชื ส่วนมากมีสีเขยี ว ทาหน้าท่ีสร้างอาหาร ใหแ้ ก่พชื 5) นกั เรียนปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ สังเกตใบพชื หลากหลาย ตามข้นั ตอนดงั นี้ – นักเรยี นแต่ละคนในกลุ่มนาใบของพืชท่มี ลี ักษณะไม่เหมือนกนั มา 2 ชนดิ – นกั เรยี นเลือกใบของพืชที่ชอบมา 2 ใบ และต้องมลี ักษณะใบไมเ่ หมือนกนั – วางใบของพืชลงบนกระดาษ ใช้ดินสอลากตามขอบใบ
– วาดภาพเสน้ ใบลงในรูปใบของพืช – ดูความแตกต่างของใบของพืชแตล่ ะชนดิ และเปรยี บเทียบกับเพ่ือนในกลุม่ แลว้ บอกสิ่งท่ี สงั เกตได้และบนั ทึกลงในสมุด 6) ขณะนักเรยี นปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื และเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซักถามเม่ือมี ปญั หา ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 6) นักเรยี นนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 7) นกั เรียนและครรู ว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - ใบของพืชของเพ่ือนในกลมุ่ มีลกั ษณะเป็นแบบใด - ใบของพชื ท่นี กั เรยี นนามามีสใี ดบา้ ง และมีสีอะไรมากทส่ี ุด - ใบของพืชแตล่ ะชนดิ มีความแตกต่างกันในเร่ืองใด 8) นักเรียนและครรู ว่ มกนั สรุปผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม โดยครูเน้นให้นกั เรียนเขา้ ใจว่า “รูปรา่ งใบของ พชื แต่ละชนิดแตกต่างกนั บางชนิดกลม บางชนิดรี บางชนิดมีขอบใบเรียบ บางชนิดมีขอบใบหยกั ” ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 9) นักเรียนร่วมศึกษาภาพและวีดทิ ศั น์เร่ือง ใบตา่ ง ๆ ของพชื ขนั้ ที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) 10) นักเรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อทเ่ี รียนมาและการปฏบิ ัติกิจกรรม มีจดุ ใดบ้างที่ยังไม่เขา้ ใจ หรอื ยงั มีข้อสงสัย ถา้ มี ครชู ่วยอธิบายเพมิ่ เติมให้นักเรยี นเข้าใจ 11) นักเรียนรว่ มกันประเมนิ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุ่มว่ามีปญั หาหรอื อปุ สรรคใด และได้มีการแกไ้ ขอย่างไร บ้าง 12) นักเรียนและครรู ว่ มกันแสดงความคิดเห็นเกย่ี วกับประโยชนท์ ไี่ ด้รับจากการปฏิบตั ิกิจกรรม และการ นาความร้ทู ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 13) นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบคาถามเพื่อทดสอบความเขา้ ใจ คือ “ถ้านักเรียนเดด็ ใบของพืชออกจากตน้ จน หมดจะเกิดอะไรขน้ึ กบั พืช” ขน้ั ท่ี 6 ขั้นสรุป 14) นักเรียนและครรู ว่ มกันสรปุ เกี่ยวกับใบ โดยร่วมกันเขียนเปน็ แผนทคี่ วามคดิ หรอื ผงั มโนทัศน์ ส่อื การเรยี นรู้และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนวิทยาศาสตรช์ ั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 1 2. ใบความรู้เรอ่ื งใบตา่ ง ๆ พืช 3. แผน่ ภาพหรือส่ือมัลติมีเดียเกยี่ วกับใบของพืชท่มี รี ูปร่างต่าง ๆ เชน่ กลม ยาวมน มขี อบหยกั หรอื เหมือนหวั ใจ ใบของพืชที่มีสตี ่าง ๆ และทม่ี ีขนาดแตกต่างกัน
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 2. เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 16 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 สง่ิ มชี ีวิตกับกระบวนการดารงชีวติ เรื่อง ชนดิ และหนา้ ที่ของใบ เวลา 1 ช่วั โมง สาระสาคัญ ใบของพืชมีลกั ษณะเป็นแผ่นแบน ทาหนา้ ทส่ี ร้างอาหารให้แกพ่ ืช มาตรฐาน/ตัวช้ีวดั มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสง่ิ มชี วี ติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสงิ่ มีชวี ิต การลาเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหน้าทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ่ีทางานสัมพนั ธ์กนั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ที่ทางานสัมพนั ธ์กนั รวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบุช่ือ บรรยายลักษณะและบอกหน้าท่ขี องสว่ นต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมทงั้ บรรยายการทาหน้าทร่ี ่วมกนั ของสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายมนษุ ย์ในการทากิจกรรมตา่ งๆ จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.นกั เรยี นสามารถอธบิ ายชนิดและหนา้ ท่ีของใบได้ 2.นกั เรยี นสามารถเปรียบเทียบความแตกตา่ งของใบพชื ได้ 3.นักเรียนสามารถปฏิบตั งิ านตรงตามเวลาท่กี าหนด สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง พืชมสี ่วนตา่ ง ๆ ทม่ี ีลักษณะและหน้าทแี่ ตกตา่ งกนั เพ่ือให้เหมาะสมในการดารงชีวติ โดยทวั่ ไปรากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเล็ก ๆ ทาหนา้ ท่ี ดูดน้า ลาต้นมลี ักษณะเป็นทรงกระบอกตั้งตรงและมกี ิ่งก้าน ทาหนา้ ทช่ี กู ิ่งก้าน ใบ และดอก ใบมลี ักษณะเปน็ แผ่นแบน ทาหน้าท่สี รา้ งอาหาร นอกจากนี้พชื หลายชนิดอาจมีดอกท่ีมสี ี รูปรา่ งต่าง ๆ ทาหนา้ ทส่ี บื พันธ์ุ รวมทงั้ มผี ลทีม่ ีเปลือก มีเนื้อห่อหุ้มเมล็ด และมเี มล็ดซ่ึงสามารถงอกเป็นต้นใหมไ่ ด้ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน – สงั เกตลักษณะของใบ – วาดภาพและเปรียบเทียบความแตกตา่ ง กจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลน์ดว้ ยแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชว่ั โมงที่ 2 ข้ันที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรยี นรว่ มกันตอบคาถามของครเู พ่อื กระตุ้นความสนใจ คือ “ใบพชื เปรียบเสมือนหอ้ งใดในบา้ น” 2) นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกับคาถามตามความคดิ เห็นของแต่ละคน ขน้ั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นักเรียนศกึ ษาเรือ่ งใบ โดยครูชว่ ยอธบิ ายให้นักเรยี นเข้าใจว่า ใบของพชื มีลกั ษณะเป็นแผ่นแบน มีส่วน ตา่ ง ๆ ท่สี าคญั คือ ขอบใบ เส้นใบ แผ่นใบ และกา้ นใบ ใบของพชื สว่ นมากมีสีเขียว ทาหนา้ ทสี่ รา้ งอาหาร ให้แก่พืช 4) นักเรยี นปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ สงั เกตใบพชื หลากหลาย ตามขั้นตอนดังนี้ – นกั เรียนแต่ละคนในกล่มุ นาใบของพืชท่มี ีลักษณะไมเ่ หมือนกันมา 2 ชนิด – นกั เรียนเลือกใบของพืชที่ชอบมา 2 ใบ และต้องมลี กั ษณะใบไม่เหมือนกนั – วางใบของพชื ลงบนกระดาษ ใชด้ นิ สอลากตามขอบใบ – วาดภาพเสน้ ใบลงในรปู ใบของพืช – ดูความแตกต่างของใบของพืชแต่ละชนิด และเปรยี บเทียบกบั เพื่อนในกลมุ่ แล้วบอกส่ิงท่ี สงั เกตได้และบนั ทึกลงในสมุด
5) ขณะนักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรม ครคู อยแนะนาช่วยเหลอื ฃและเปิดโอกาสให้นกั เรยี นทกุ คนซกั ถามเมื่อมี ปญั หา ข้ันท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) 6) นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 7) นกั เรยี นและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - ใบของพชื แต่ละชนดิ ทาหนา้ ทแ่ี ตกต่างกันหรือไม่ - ใบของพชื ทาหนา้ ท่ีอะไร 8) นักเรยี นและครูรว่ มกนั สรปุ ผลจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยครูเน้นให้นกั เรียนเขา้ ใจวา่ “ใบ แบ่ง ออกเปน็ 2 ชนิด คอื ใบเล้ียงเดย่ี วและใบเล้ยี งคู่ นอกจากนี้ใบทาหน้าทส่ี ร้างอาหารใหแ้ ก่พชื ” ขน้ั ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) 10) นกั เรยี นร่วมศึกษาภาพและวีดทิ ศั น์เร่อื ง ใบตา่ ง ๆ ของพืช ขัน้ ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) 11) นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหวั ข้อที่เรียนมาและการปฏิบัตกิ จิ กรรม มจี ดุ ใดบา้ งทย่ี ังไมเ่ ข้าใจ หรือยังมขี ้อสงสัย ถา้ มี ครชู ่วยอธบิ ายเพิ่มเติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 12) นักเรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏิบัตกิ จิ กรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรอื อปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไร บา้ ง 13) นักเรียนและครรู ่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกับประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการปฏิบัติกจิ กรรม และการ นาความร้ทู ่ไี ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 14) นกั เรยี นชว่ ยกันตอบคาถามเพอ่ื ทดสอบความเขา้ ใจ คือ “ถ้าเพื่อนอธบิ ายลักษณะใบของพืชใหฟ้ งั นกั เรียนจะบอกชอ่ื ของพชื ได้หรือไม่”, “มะลแิ ละกหุ ลาบมีลักษณะสีของขอบใบแตกตา่ งกนั อยา่ งไร” และ “บอนสแี ละบวั บกมีลกั ษณะสีของขอบใบแตกต่างกันอยา่ งไร” ขน้ั ท่ี 6 ขน้ั สรุป 15) นักเรยี นและครรู ่วมกันสรุปเกยี่ วกับใบ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่คี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์ ส่ือการเรียนรู้และแหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 2. ใบความรู้เรอื่ งใบต่าง ๆ พืช 3. ใบพืชชนดิ ตา่ ง ๆ
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสังเกตพฤติกรรมนกั เรียนในการร่วมกิจกรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 17 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (รหสั วิชา ว 11101) ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 สิง่ มชี ีวิตกับกระบวนการดารงชีวิต เรื่อง ดอก เวลา 1 ช่ัวโมง สาระสาคัญ ดอกมีสแี ละรปู ร่างต่างๆ ทาหน้าทสี่ บื พันธ์ุ มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ดั มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสง่ิ มีชีวิต หน่วยพืน้ ฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ทที่ างานสมั พนั ธ์กัน ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ งและหน้าท่ีของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ที่ทางานสัมพันธก์ ัน รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 1. ระบุช่ือ บรรยายลักษณะและบอกหนา้ ทีข่ องสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั ว์ และพืช รวมทั้ง บรรยายการทาหน้าท่รี ว่ มกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนษุ ย์ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ จากข้อมลู ที่รวบรวม ได้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.นักเรยี นสามารถอธบิ ายลักษณะและหนา้ ทขี่ องดอกได้ 2.นักเรยี นสามารถสงั เกตลกั ษณะดอกของพชื ได้ 3.นกั เรียนสามารถปฏิบัติงานตรงตามเวลาท่ีกาหนด สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง พืชมสี ว่ นต่าง ๆ ที่มลี ักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกนั เพือ่ ให้เหมาะสมในการดารงชีวิต โดยท่ัวไปรากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเลก็ ๆ ทาหน้าที่ ดดู น้า ลาต้นมีลักษณะเปน็ ทรงกระบอกต้ังตรงและมกี ิ่งก้าน ทาหนา้ ท่ีชูกง่ิ ก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเปน็ แผน่ แบน ทาหนา้ ทสี่ รา้ งอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนดิ อาจมีดอกที่มสี ี รูปร่างตา่ ง ๆ ทาหน้าท่ีสืบพนั ธ์ุ รวมทั้งมผี ลที่มเี ปลือก มเี น้ือห่อหุ้มเมล็ด และมีเมลด็ ซง่ึ สามารถงอกเปน็ ต้นใหม่ได้ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. ม่งุ ม่นั ในการทางาน ชิ้นงานหรอื ภาระงาน – สารวจดอกไม้ – วาดภาพระบายสดี อกไม้ กจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ด้วยแอปพลเิ คชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชวั่ โมงที่ 1 ขน้ั ที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) นักเรียนรว่ มกันตอบคาถามของครูเพอื่ กระตุ้นความสนใจ คือ “ท่ีบา้ นของนกั เรียนมีดอกไมช้ นดิ ใดอยู่ บ้าง” และ “ดอกไม้เหล่านั้นมลี กั ษณะแตกต่างกันอย่างไร” 2) นักเรียนรว่ มกันอภิปรายหาคาตอบเกยี่ วกับคาถามตามความคิดเหน็ ของแตล่ ะคน ขั้นท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นักเรียนเล่าถงึ ดอกไม้ที่นักเรยี นปลกู ไว้ท่บี า้ น หรือดอกไม้ท่ีนักเรยี นสงั เกตไดจ้ ากชุมชนของนักเรียน หรอื สถานทีท่ ่องเท่ยี วท่ีนักเรยี นเคยไปว่ามลี ักษณะใด เช่น ขนาด กลน่ิ หรือสีเปน็ แบบใด วาดภาพดอกไม้ที่ นักเรียนเล่าพร้อมระบายสใี ห้สวยงาม 4) นักเรยี นศกึ ษาเรอ่ื งดอก โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเขา้ ใจวา่ พืชหลายชนิดมดี อกท่ีมรี ูปรา่ ง สี และ กลิ่นแตกตา่ งกันตามชนิดของพืช ดอกทาหนา้ ทสี่ ืบพันธุแ์ ละทาใหเ้ กดิ ผล 5) นกั เรียนสารวจดอกไม้จากภาพตวั อย่างวา่ มีดอกไมช้ นดิ ใดบ้าง และมลี กั ษณะเป็นแบบใด นักเรียน เขียนช่ือดอกไม้ วาดภาพ และระบายสีดอกไม้ที่นักเรยี นสงั เกตได้ และนับจานวนดอกไม้ท่สี ังเกตและบอก ได้ว่าดอกไมช้ นดิ ทถ่ี ูกปลูกมากทส่ี ดุ คืออะไร 6) ขณะนักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือและเปิดโอกาสให้นกั เรียนทุกคนซักถามเม่ือมี ปญั หา
ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 7) นกั เรยี นนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 8) นกั เรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - ดอกไมท้ ่นี กั เรียนสารวจได้มีดอกอะไรบ้าง - ดอกไม้แตล่ ะชนดิ มลี กั ษณะเหมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร - ดอกไม้ทีป่ ลูกมากทีส่ ุดคือดอกอะไร 9) นักเรยี นและครรู ่วมกันสรุปผลจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยครูเนน้ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่า “ดอกของพชื แต่ละชนิดมีรปู รา่ ง กลน่ิ และสีแตกตา่ งกันตามชนิดของพืช” ขน้ั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 10) นกั เรยี นรว่ มศึกษาภาพและวีดทิ ัศน์เรื่อง ดอกไม้ชนดิ ต่าง ๆ ขนั้ ท่ี 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) 11) นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวขอ้ ทเี่ รียนมาและการปฏิบัตกิ ิจกรรม มจี ดุ ใดบ้างที่ยงั ไม่เข้าใจ หรือยงั มขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ่วยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจ 12) นักเรียนรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มว่ามปี ญั หาหรืออปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอยา่ งไร บา้ ง 13) นักเรยี นและครูรว่ มกันแสดงความคดิ เห็นเกยี่ วกับประโยชน์ทีไ่ ด้รบั จากการปฏิบัติกิจกรรม และการ นาความรทู้ ไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 14) นักเรยี นชว่ ยกันตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “ดอกไมแ้ ต่ละชนดิ มลี ักษณะใดท่ีแตกตา่ ง กนั ” ข้ันที่ 6 ขั้นสรุป 15) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับดอก โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรอื ผงั มโนทศั น์ ส่ือการเรยี นร้แู ละแหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตรช์ ้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 2. ใบความรู้เรื่องดอกไม้ 3. ดอกไมช้ นดิ ต่าง ๆ
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 2. เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการร่วมกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 18 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 สง่ิ มีชีวิตกับกระบวนการดารงชีวิต เร่ือง สว่ นประกอบของดอกไม้ เวลา 1 ช่ัวโมง สาระสาคัญ ดอกมสี ีและรปู ร่างต่างๆ ทาหน้าท่สี บื พันธ์ุ มาตรฐาน/ตัวช้วี ัด มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมชี ีวติ การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ท่ที างานสัมพันธ์กัน ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธก์ นั รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ือ่ บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าทข่ี องส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และพชื รวมทั้ง บรรยายการทาหน้าทร่ี ่วมกันของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายมนุษย์ในการทากจิ กรรมต่าง ๆ จากข้อมูลท่รี วบรวม ได้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ของดอกได้ 2. นกั เรียนสามารถสังเกตลกั ษณะดอกของพชื ได้ 3. นกั เรียนสามารถปฏิบตั งิ านตรงตามเวลาทีก่ าหนด สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคดิ
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง พชื มสี ่วนตา่ ง ๆ ที่มลี ักษณะและหน้าที่แตกต่างกนั เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมในการดารงชีวิต โดยทั่วไปรากมีลกั ษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเลก็ ๆ ทาหน้าที่ ดดู นา้ ลาต้นมีลกั ษณะเป็นทรงกระบอกต้ังตรงและมีก่ิงก้าน ทาหนา้ ทชี่ กู ง่ิ ก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเป็น แผ่นแบน ทาหนา้ ทีส่ ร้างอาหาร นอกจากน้ีพชื หลายชนดิ อาจมีดอกที่มีสี รปู รา่ งตา่ ง ๆ ทาหนา้ ที่สืบพันธุ์ รวมท้ังมีผลที่มีเปลือก มเี นื้อห่อหมุ้ เมลด็ และมีเมลด็ ซ่งึ สามารถงอกเปน็ ต้นใหมไ่ ด้ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน ชิ้นงานหรือภาระงาน – สารวจดอกไม้ในโรงเรยี น กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ด้วยแอปพลิเคชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชัว่ โมงที่ 2 ขั้นที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ(Engagement) 1) นักเรยี นร่วมกนั ตอบคาถามของครูเพื่อกระตนุ้ ความสนใจ คือ “ดอกไม้ชนดิ เดยี วกนั จาเป็นตอ้ งมีสี เหมอื นกันหรือไม่ เพราะอะไร” 2) นักเรียนร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเกี่ยวกบั คาถามตามความคดิ เห็นของแต่ละคน ข้นั ท่ี 2 ขั้นสารวจและคน้ หา(Exploration) 3) นักเรียนในกล่มุ ช่วยกนั แยกส่วนต่าง ๆ ของดอกไม้ แล้ววาดภาพระบายสสี ่วนตา่ ง ๆ ของดอกไม้ พร้อมระบุช่อื ของส่วนตา่ ง ๆ ของดอกไม้ 4) ขณะนักเรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือและเปดิ โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมอ่ื มี ปัญหา ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 5) นักเรียนนาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม 6) นกั เรยี นและครรู ่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - ดอกของพชื แตล่ ะชนิดทาหนา้ ท่ีแตกต่างกนั หรือไม่ - ดอกของพชื ทาหนา้ ท่ีอะไร
7) นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยครเู นน้ ให้นกั เรียนเข้าใจวา่ “ดอกทาหน้าที่ สืบพันธ์แุ ละทาใหเ้ กิดผล และสว่ นตา่ ง ๆ ของดอกไม้ ประกอบดว้ ย กลบี ดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี และรงั ไข”่ ขัน้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) 10) นกั เรยี นร่วมศึกษาภาพและวีดทิ ัศน์เรื่อง ดอกไมช้ นดิ ต่าง ๆ ขนั้ ที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 11) นักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อท่เี รียนมาและการปฏบิ ัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างทย่ี ังไม่เขา้ ใจ หรอื ยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครชู ่วยอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจ 12) นักเรยี นรว่ มกนั ประเมนิ การปฏิบัตกิ ิจกรรมกลุ่มวา่ มีปญั หาหรอื อปุ สรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไร บา้ ง 13) นักเรยี นและครรู ่วมกนั แสดงความคิดเหน็ เก่ียวกบั ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม และการ นาความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 14) นกั เรยี นช่วยกันตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “ถ้าโลกนี้ไม่มีแมลงจะเกิดอะไรข้ึนกบั ดอกไม”้ และ “สว่ นใดของดอกไม้ที่ดึงดูดความสนใจของแมลง” ข้นั ที่ 6 ขั้นสรุป 15) นักเรยี นและครรู ่วมกันสรปุ เกยี่ วกบั ดอก โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนท่คี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์ สอื่ การเรยี นรู้และแหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 1 2. ดอกไม้ชนิดตา่ ง ๆ 3. วดี ทิ ัศน์ เร่ืองดอกไม้ชนิดต่าง ๆ การวัดผลและประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกจิ กรรม - ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 2. เคร่ืองมือวดั และประเมินผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนกั เรียนในการรว่ มกิจกรรม - แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑก์ ารประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการร่วมกิจกรรม 3.2 การประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 3.3 การประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 19 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (รหัสวิชา ว 11101) ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2 ส่ิงมชี วี ิตกบั กระบวนการดารงชีวิต เรื่อง ลักษณะของผล เวลา 1 ชั่วโมง สาระสาคัญ ผลมเี ปลอื ก มีเน้ือหอ่ หุ้มเมลด็ และมเี มล็ด ซง่ึ สามารถงอกเปน็ พืชต้นใหม่ได้ มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสงิ่ มีชีวติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสิ่งมชี วี ิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ท่ีทางานสมั พนั ธ์กนั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพนั ธ์กนั รวมทั้งนาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบุชื่อ บรรยายลักษณะและบอกหนา้ ทขี่ องส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมท้งั บรรยายการทาหนา้ ที่ร่วมกนั ของสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายมนษุ ย์ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ จากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.นกั เรียนสามารถอธิบายลักษณะของผลได้ 2.นกั เรยี นสามารถสังเกตลักษณะผลของพชื ได้ 3.นักเรียนสามารถปฏบิ ตั ิงานตรงตามเวลาที่กาหนด สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้แู กนกลาง พืชมีสว่ นต่าง ๆ ทีม่ ลี ักษณะและหน้าท่แี ตกตา่ งกัน เพอื่ ใหเ้ หมาะสมในการดารงชีวิต โดยทั่วไปรากมลี กั ษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเล็ก ๆ ทาหนา้ ที่ ดดู นา้ ลาตน้ มลี ักษณะเปน็ ทรงกระบอกต้ังตรงและมีก่ิงกา้ น ทาหนา้ ที่ชูกิ่งก้าน ใบ และดอก ใบมีลักษณะเป็น แผ่นแบน ทาหน้าทส่ี ร้างอาหาร นอกจากน้ีพืชหลายชนิดอาจมดี อกทีม่ สี ี รูปรา่ งต่าง ๆ ทาหนา้ ท่สี ืบพันธ์ุ รวมทงั้ มผี ลท่มี ีเปลือก มีเน้ือห่อหุม้ เมลด็ และมีเมลด็ ซ่งึ สามารถงอกเป็นตน้ ใหมไ่ ด้ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุง่ ม่ันในการทางาน ชิ้นงานหรือภาระงาน – สังเกตลักษณะผลไม้ กิจกรรมการเรียนการสอนออนไลน์ดว้ ยแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชวั่ โมงท่ี 1 ขั้นที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) ครูนาผลไม้ตามฤดูกาลมาให้นักเรียนดู เช่น มะม่วง มะละกอ ทุเรียน เงาะ และลาไย แลว้ ให้นักเรียน ช่วยกนั อภปิ รายถึงลักษณะของผลไม้แตล่ ะชนิด เช่น – นกั เรยี นชอบรบั ประทานผลไมช้ นิดใดบ้าง – ผลไมช้ นิดใดทม่ี เี มล็ดภายในผลมากกว่า 1 เมล็ด 2) นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกับคาถามตามความคดิ เห็นของแตล่ ะคน ขั้นที่ 2 ขัน้ สารวจและค้นหา(Exploration) 3) นกั เรยี นเล่าถงึ ผลไม้ที่นักเรียนเคยรับประทาน เคยเหน็ ตามตลาด หรอื ผลไม้ที่นักเรียนชอบวา่ มี ลกั ษณะภายนอกแบบใด มีเมล็ดอยภู่ ายในกเ่ี มล็ด และมรี สชาติอย่างไร 4) นักเรียนศกึ ษาเรือ่ งผล โดยครชู ่วยอธบิ ายให้นกั เรยี นเข้าใจว่า ผลประกอบดว้ ยเปลือก และเนอ้ื ห่อหมุ้ เมล็ดท่ีอยภู่ ายในไว้ ซงึ่ เมล็ดสามารถงอกเปน็ พชื ตน้ ใหม่ได้ นอกจากน้ีผลของพชื บางชนดิ ยังสามารถนามา รบั ประทานได้อีกดว้ ย 5) นกั เรยี นในกลุ่มปฏิบตั ิกจิ กรรมสังเกตผลไม้แสนอร่อย ตามข้นั ตอน ดงั นี้ – นกั เรียนแต่ละคนในกลุม่ สงั เกตผลไม้ 2 ชนดิ – ดลู กั ษณะของผลไม้ นับจานวนเมลด็ และลองชิมผลไม้ 6) ขณะนักเรียนปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลอื และเปดิ โอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเม่ือมี ปญั หา
ขั้นที่ 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 7) นกั เรียนนาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม 8) นกั เรยี นและครรู ว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใช้แนวคาถามคือ – ผลไม้แตล่ ะชนิดมรี สชาตเิ หมือนกนั หรือไม่ อย่างไร – จานวนเมล็ดขึน้ อยู่กับขนาดของผลหรอื ไม่ เพราะอะไร – ผลไม้ทีน่ กั เรยี นชอบคอื อะไร ขนาดของผล จานวนเมลด็ และรสชาตเิ ปน็ อย่างไร 9) นกั เรียนและครรู ่วมกนั สรุปผลจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยครเู น้นใหน้ ักเรียนเขา้ ใจวา่ “ผลไม้แต่ละ ชนิดมีขนาด จานวนเมล็ด และรสชาตแิ ตกตา่ งกัน” ขนั้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 10) นกั เรียนรว่ มศึกษาภาพและวดี ทิ ศั นเ์ รื่อง ผลไม้ไทยชนิดต่าง ๆ ขั้นที่ 5 ข้ันประเมิน (Evaluation) 11) นักเรยี นแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อที่เรยี นมาและการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม มีจุดใดบ้างทยี่ ังไมเ่ ขา้ ใจหรือ ยังมีข้อสงสยั ถ้ามี ครูช่วยอธิบายเพ่ิมเติมให้นักเรยี นเขา้ ใจ 12) นกั เรยี นรว่ มกันประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการแกไ้ ขอย่างไร บ้าง 13) นกั เรยี นและครรู ว่ มกันแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั ประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากการปฏิบัติกิจกรรม และการ นาความรู้ท่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์ 14) นักเรยี นช่วยกันตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “เปลือกและเนอ้ื ของผลไม้มหี น้าท่ีอะไร” และ “เมลด็ อยทู่ สี่ ่วนใดของผล” ขั้นท่ี 6 ขนั้ สรุป 15) นกั เรยี นและครรู ่วมกันสรุปเก่ยี วกบั ผล โดยร่วมกนั เขยี นเปน็ แผนท่ีความคิดหรอื ผงั มโนทัศน์ สอ่ื การเรยี นรูแ้ ละแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 2. ผลไม้ตามฤดูกาล 3. วดี ทิ ัศนเ์ รอื่ งผลไม้ไทยชนิดตา่ ง ๆ
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - ประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น 2. เครือ่ งมือวดั และประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจริง 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 20 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 ส่ิงมชี ีวติ กับกระบวนการดารงชีวิต เรื่อง ผลไม้ปรศิ นา เวลา 1 ช่ัวโมง สาระสาคญั ผลมีเปลือก มเี น้ือห่อหุ้มเมล็ด และมเี มลด็ ซึง่ สามารถงอกเปน็ พชื ตน้ ใหม่ได้ ผลเปน็ ส่วนท่ีเปลีย่ นมา จากดอกมหี น้าที่ขยายพันธ์ ภายในผลมีเมล็ดของพชื อยู่ ซ่ึงเราสามารถนาเมลด็ นี้ไปปลูกเป็นต้นไม้ใหมไ่ ด้ ผล ของพชื มที ั้ง ผลเด่ียว และ ผลกล่มุ บางชนิดสามารถนามารับประทานได้ ส่วนต่างๆ ของพืชสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ไดม้ ากมาย เช่น นาลาต้นไปสร้างบา้ นเรือนและทาของใช้ตา่ งๆ นาใบไปทาอาหารห่ออาหารหรือขนม นาดอกไม้ไปจัดแจกันหรือร้อยพวงมาลยั นาผลไปรบั ประทานหรือใช้ทายารักษาโรค มาตรฐาน/ตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของส่งิ มีชีวติ หน่วยพน้ื ฐานของส่ิงมชี วี ิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหนา้ ทีข่ องระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ี่ทางานสัมพนั ธก์ ัน ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ื่อ บรรยายลกั ษณะและบอกหนา้ ท่ขี องส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และพชื รวมทง้ั บรรยายการทาหนา้ ท่รี ว่ มกนั ของส่วนตา่ งๆ ของร่างกายมนษุ ย์ในการทากิจกรรมตา่ งๆ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.นักเรียนสามารถอธบิ ายลกั ษณะต่าง ๆ ของผลได้ 2.นกั เรยี นสามารถสังเกตลักษณะผลของพืชได้ 3.นักเรียนเห็นประโยชน์ของผลไม้ชนดิ ตา่ ง ๆ สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคดิ
สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง พชื มสี ่วนต่าง ๆ ทีม่ ลี กั ษณะและหน้าที่แตกตา่ งกัน เพื่อให้เหมาะสมในการดารงชีวติ โดยท่วั ไปรากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเลก็ ๆ ทาหนา้ ที่ ดูดน้า ลาตน้ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกต้ังตรงและมีก่ิงกา้ น ทาหน้าทช่ี ูก่งิ ก้าน ใบ และดอก ใบมีลกั ษณะเป็น แผ่นแบน ทาหน้าทีส่ รา้ งอาหาร นอกจากนี้พชื หลายชนดิ อาจมดี อกทมี่ ีสี รูปร่างตา่ ง ๆ ทาหน้าทส่ี บื พนั ธ์ุ รวมทง้ั มีผลที่มีเปลือก มเี นื้อห่อห้มุ เมล็ด และมีเมลด็ ซ่ึงสามารถงอกเป็นต้นใหมไ่ ด้ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. มุ่งมั่นในการทางาน ช้ินงานหรอื ภาระงาน – ผลไม้ปริศนา กจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลนผ์ ่านแอปพลเิ คชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชว่ั โมงท่ี 2 ขนั้ ที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) ครนู าภาพผลไม้ตามฤดกู าลมาให้นักเรยี นดู เชน่ มะม่วง มะละกอ ทุเรียน เงาะ และลาไย แลว้ ให้ นักเรยี นชว่ ยกันอภิปรายถึงลักษณะของผลไมแ้ ต่ละชนดิ เช่น – ผลของพชื ชนิดใดรบั ประทานได้ – ผลของพชื ชนดิ ใดมีทั้งรสเปรี้ยวและรสหวาน 2) นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเก่ยี วกบั คาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน ข้นั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นกั เรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมผลไม้ปรศิ นา ตามขน้ั ตอนดงั นี้ – นกั เรยี นชว่ ยกนั ทายประโยคปริศนาเกี่ยวกบั ผลไมจ้ านวน 10 ประโยคจากครู – นกั เรียนคนใดทายได้กอ่ นได้ 1 คะแนน – นกั เรยี นคนใดไดค้ ะแนนรวมมากที่สดุ เป็นฝา่ ยชนะ ขั้นท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 4) นักเรยี นและครูร่วมกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ – ประโยคปรศิ นาของผลไม้ชดั เจนหรือไม่ – ชื่อผลไมท้ นี่ ามาถามมีรสชาติเปน็ แบบใดบ้าง
5) นักเรียนและครูรว่ มกันสรปุ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยครเู น้นให้นักเรียนเข้าใจว่า “ผลของพืชแต่ ละชนิดมีลกั ษณะแตกต่างกนั ทั้งขนาด รปู รา่ ง รสชาติ และจานวนเมลด็ ” ขน้ั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) 6) นกั เรียนศึกษาประโยชน์ของผลไมช้ นิดตา่ ง ๆ ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) 7) นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อท่เี รยี นมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ดุ ใดบ้างท่ยี งั ไมเ่ ข้าใจหรือ ยังมีข้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพม่ิ เติมให้นกั เรียนเข้าใจ 8) นกั เรยี นร่วมกันประเมินการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมว่ามีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอย่างไรบา้ ง 9) นักเรียนและครูร่วมกันแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกับประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และการนา ความรู้ท่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์ 10) นกั เรียนช่วยกนั ตอบคาถามเพื่อทดสอบความเข้าใจ คือ “ผลไม้ทุกชนิดมเี มล็ดใช่หรอื ไม่ เพราะอะไร” และ “พืชชนิดใดมีผลตลอดทั้งปี” ขั้นท่ี 6 ขนั้ สรุป 11) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปเกยี่ วกับผล โดยรว่ มกนั เขยี นเป็นแผนทค่ี วามคดิ หรอื ผงั มโนทัศน์ สอ่ื การเรยี นร้แู ละแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตรช์ น้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 2. วดี ิทัศน์ประโยชน์ของผลไม้ชนดิ ตา่ ง ๆ 3. ภาพผลไม้ชนิดต่าง ๆ การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤตกิ รรมนักเรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 2. เครอื่ งมือวัดและประเมินผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการร่วมกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 3. ประเมนิ ตามเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง 3.1 การสังเกตพฤติกรรมนกั เรียนในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 21 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 สงิ่ มีชวี ติ กับกระบวนการดารงชวี ติ เร่อื ง ลกั ษณะภายนอกของสตั ว์ เวลา 1 ชั่วโมง สาระสาคัญ สตั ว์แตล่ ะชนดิ มสี ว่ นตา่ งๆ ที่มีลักษณะแตกตา่ งกนั เพ่ือใหเ้ หมาะสมต่อการดารงชีวิต มาตรฐาน/ตวั ชว้ี ัด มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสิ่งมชี วี ิต หน่วยพ้นื ฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ่ีทางานสมั พันธ์กนั ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ที่ทางานสมั พันธก์ นั รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ อ่ื บรรยายลักษณะและบอกหน้าทขี่ องสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และพชื รวมทง้ั บรรยายการทาหนา้ ทรี่ ่วมกนั ของสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายมนษุ ยใ์ นการทากจิ กรรมต่าง ๆ จากข้อมลู ท่รี วบรวม ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.นักเรียนสามารถอธิบายลกั ษณะภายนอกของสัตวไ์ ด้ได้ 2.นักเรยี นสามารถสงั เกตลกั ษณะภายนอกของสตั ว์ ได้ 3.นกั เรียนมคี วามใฝ่รู้ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง สตั ว์มหี ลายชนดิ แต่ละชนดิ มีส่วนต่าง ๆ ทีม่ ีลักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสม ในการดารงชีวิต เช่น ปลามคี รบี เปน็ แผน่ ส่วนกบ เตา่ แมว มขี า ๔ ขา และมเี ทา้ สาหรบั ใช้ ในการเคลื่อนท่ี
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝเ่ รียนรู้ ชน้ิ งานหรือภาระงาน – วาดภาพและระบายสีสัตวท์ ี่สนใจ 1 ชนดิ กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลนผ์ า่ นแอปพลเิ คชัน Line ดว้ ยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ช่ัวโมงที่ 1 ขัน้ ท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรยี นรว่ มกันทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกบั สัตวใ์ นท้องถิ่น ร่วมกันยกตวั อยา่ งชอื่ สตั ว์ทีร่ ูจ้ ัก คนละ 1 ชนดิ โดยหา้ มซา้ กับเพื่อนในชน้ั เรียน 2) นกั เรียนร่วมกนั ตอบคาถาม ดังนี้ - สัตว์ทน่ี ักเรยี นยกตัวอย่างอาศยั อยใู่ นบรเิ วณใดบ้าง ขัน้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา(Exploration) 3) นกั เรยี นร่วมแข่งขันกนั สารวจและรวบรวมสตั ว์ทพ่ี บได้รอบตัวเราใหไ้ ด้มากท่ีสดุ จากแหล่งการเรียนรู้ ท่ีหลากหลาย 4) นักเรยี นรว่ มกันวาดภาพสัตวท์ ี่พบจากการสารวจท่ีไดจ้ ากภาพและวิดีโอตัวอย่างทคี่ รูใหไ้ ด้ดู 5) นักเรียนนาเสนอผลการสารวจ เพอ่ื น ๆ ในชน้ั เรยี นรว่ มกันบอกวา่ ภาพทีว่ าดเปน็ สตั วช์ นิดใด ถ้าเพ่อื น ๆ ตอบได้แสดงว่าวาดได้เหมือนหรอื ใกล้เคียง แตถ่ ้าเพื่อนตอบไมไ่ ดใ้ ห้นักเรียนทว่ี าดภาพสตั วเ์ ฉลยคาตอบ แล้ว นาภาพสัตวท์ ว่ี าดไปแก้ไขเพิ่มเตมิ ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 6) นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั วิเคราะห์ และตรวจสอบความถูกต้องเก่ียวกบั สัตว์ท่สี ารวจหรือ รวบรวมในประเดน็ ดงั นี้ 6.1 ชื่ออะไร 6.2 ลักษณะเดน่ ของสัตวช์ นิดนน้ั คอื อะไร 6.3 สตั ว์ทนี่ กั เรยี นวาดมรี ปู ร่าง ลักษณะ หรอื โครงสร้างเหมือนหรอื แตกต่างจากสตั ว์ของเพือ่ น นักเรยี นอยา่ งไร 7) นักเรียนรว่ มกันสรุปสิง่ ที่เข้าใจเป็นความร้รู ่วมกนั เก่ยี วกับลักษณะภายนอกของสตั ว์ว่า สตั ว์ รอบตวั เรา บางชนิดมรี ปู ร่าง ลกั ษณะ หรอื โครงสร้างเหมือนกนั บางชนดิ แตกต่างกนั
ขนั้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) 10) นักเรียนนาผลงานทว่ี าดภาพและระบายสสี ตั ว์ทส่ี นใจ 1 ชนดิ นาเสนอดว้ ยวิธีการ ต่าง ๆ ทห่ี ลากหลาย เช่น เล่าให้เพือ่ น ๆ ฟงั เพ่ือแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ นั แลว้ เพื่อน ๆ รว่ มกันชื่นชม และแสดงความคิดเหน็ เพ่มิ เติม ขน้ั ท่ี 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) 11) นักเรียนตรวจสอบหรือประเมินข้นั ตอนตา่ ง ๆ ทเี่ รียนมาในวนั น้มี จี ุดเด่น จดุ บกพร่องอะไรบา้ ง มคี วามสงสัย ความอยากรู้อยากเหน็ ในเร่อื งใด ให้ระบุ ขน้ั ที่ 6 ขน้ั สรุป 15) นกั เรียนประเมนิ ตนเอง โดยพูดแสดงความรสู้ ึกหลังการเรียน ในประเด็นต่อไปน้ี • สิง่ ที่นกั เรยี นได้เรยี นรู้ในวันน้ีคืออะไร • นักเรยี นมสี ่วนร่วมกจิ กรรมในกลมุ่ มากน้อยเพียงใด • เพื่อนนกั เรยี นในกล่มุ มสี ว่ นร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพียงใด • นกั เรยี นพงึ พอใจกับการเรยี นในวันนหี้ รือไม่ เพยี งใด • นักเรยี นจะนาความรู้ที่ได้นี้ไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์แกต่ นเอง ครอบครัว และสังคมทว่ั ไป ได้อยา่ งไร สือ่ การเรยี นร้แู ละแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตรช์ นั้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 2. แผ่นภาพสัตว์ชนิดตา่ ง ๆ 3. วดี ิทศั น์ เรื่องโครงสรา้ งสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ การวดั ผลและประเมินผล 1. วิธีการวดั และประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤตกิ รรมนักเรียนในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ - ประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น 2. เคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการร่วมกิจกรรม - แบบประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ - แบบประเมินสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น 3. ประเมินตามเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง 3.1 การสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกิจกรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 3.3 การประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 22 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์ (รหสั วิชา ว 11101) ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 สง่ิ มชี วี ิตกับกระบวนการดารงชีวิต เร่ือง อวัยวะภายนอกของสัตว์ เวลา 1 ชวั่ โมง สาระสาคญั อวัยวะภายนอกของสตั ว์ ประกอบดว้ ย ตา หู จมูก ปาก ขาและเทา้ มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสง่ิ มีชีวิต หน่วยพืน้ ฐานของสง่ิ มชี ีวิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ที่ทางานสมั พนั ธ์กัน ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ขี องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พนั ธก์ ัน รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ อ่ื บรรยายลักษณะและบอกหนา้ ท่ขี องสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพชื รวมทงั้ บรรยายการทาหนา้ ทร่ี ่วมกันของสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษยใ์ นการทากจิ กรรมตา่ ง ๆ จากข้อมูลทร่ี วบรวม ได้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.นักเรียนสามารถระบอุ วยั วะภายนอกที่สาคญั ของสตั วไ์ ด้ 2.นักเรยี นสามารถเขียนแผนภาพความคิด อวยั วะภายนอกท่สี าคัญของสัตว์ 3.นกั เรยี นมีความใฝร่ ู้ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สัตวม์ หี ลายชนิด แต่ละชนิดมสี ่วนต่าง ๆ ท่ีมลี กั ษณะและหน้าทแี่ ตกต่างกนั เพ่อื ให้เหมาะสม ในการดารงชวี ิต เช่น ปลามีครบี เป็นแผ่น สว่ นกบ เตา่ แมว มีขา ๔ ขา และมีเท้าสาหรับใช้ ในการเคลื่อนที่
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ใฝเ่ รียนรู้ ชนิ้ งานหรอื ภาระงาน – สงั เกตภาพสตั ว์ตวั อยา่ ง – วาดภาพสตั วช์ นิดต่าง ๆ ที่สารวจได้ กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลนผ์ ่านแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชวั่ โมงท่ี 2 ขั้นที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรยี นชว่ ยกันอภปิ รายคาถามของครู เพื่อกระตนุ้ ความสนใจ ดังนี้ 1.1 สัตวใ์ นภาพมอี วยั วะภายนอกร่างกายอะไรบ้าง (ตัวอยา่ งคาตอบ ตา หู จมูก ปาก ขาและเท้า) 2) นกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายหาคาตอบเกย่ี วกบั คาถามตามความคดิ เหน็ ของแต่ละคน ข้ันท่ี 2 ขน้ั สารวจและค้นหา(Exploration) 3) นกั เรยี นสารวจสตั ว์จากภาพสตั ว์ตวั อย่างวา่ มีสัตวช์ นิดใดบ้าง วาดภาพสัตวท์ ่นี ักเรยี นชอบคนละ 2 ชนดิ พรอ้ มทั้งระบวุ า่ สตั ว์ชนิดนั้นช่อื อะไร มีโครงสร้างอะไรบา้ ง แล้วระบายสีให้สวยงาม ขั้นที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) 4) นกั เรียนสงั เกตภาพสัตว์ คนละะ 1 ภาพ แลว้ รว่ มกนั วิเคราะห์ และอภิปรายเกย่ี วกับอวัยวะภายนอก ของสัตว์ แล้วบันทึกคาตอบลงในตาราง ดังนี้ ชนิดของสัตว์ อวยั วะภำยนอกของสัตว์ ตำ หู จมูก ปำก ขำและเท้ำ กระต่าย ชา้ ง สุนขั มา้ ววั 7) เพื่อน ๆ นักเรยี นในชัน้ เรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง ถา้ ไม่ถกู ต้อง ใหร้ ่วมกันแก้ไข ให้ถูกต้อง
8) นกั เรียนร่วมกนั สรปุ ส่งิ ทเี่ ข้าใจเป็นความรรู้ ว่ มกันเกีย่ วกบั อวยั วะภายนอกของสัตวว์ า่ ร่างกาย ของสัตว์ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ทเี่ รียกวา่ อวัยวะ อวยั วะภายนอกต่าง ๆ ของสตั วแ์ ต่ละชนดิ มรี ปู รา่ ง ลักษณะ หรอื โครงสรา้ งแตกต่างกนั ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 9) นักเรียนดูวิดที ัศน์เกี่ยวกับสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้นักเรียนเห็นวา่ สัตว์แต่ละชนิดมีอวยั วะภายนอกต่าง ๆ แตกตา่ งกนั ครูอาจแนะนานักเรยี นเพ่มิ เติมถึงอวัยวะภายนอกต่าง ๆ ของสตั ว์บางชนิดทนี่ ักเรียนไมร่ ูจ้ ัก ขัน้ ท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation) 10) นักเรียนแต่ละคนพจิ ารณาว่า จากหวั ข้อท่ีเรยี นมาและการปฏิบตั กิ ิจกรรม มจี ดุ ใดบา้ งท่ียังไม่เขา้ ใจ หรอื ยังมีข้อสงสัย ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่มิ เตมิ ให้นักเรยี นเข้าใจ 12) นักเรียนร่วมกนั ประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกลมุ่ วา่ มีปญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการแกไ้ ขอย่างไร บ้าง 13) นกั เรยี นและครรู ว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการปฏบิ ัติกิจกรรม และการ นาความรูท้ ไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 14) นักเรยี นชว่ ยกันตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “นกั เรยี นคิดวา่ การเรยี นรู้เรื่องอวยั วะ ภายนอกตา่ ง ๆ มีประโยชนอ์ ะไรบา้ ง” ขั้นท่ี 6 ขั้นสรุป 15) นักเรียนประเมนิ ตนเอง โดยพูดแสดงความรู้สึกหลังการเรยี น ในประเด็นต่อไปนี้ • สิง่ ทีน่ ักเรียนได้เรยี นรใู้ นวนั นี้คืออะไร • นกั เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากน้อยเพยี งใด • เพ่ือนนักเรียนในกลมุ่ มีสว่ นร่วมกจิ กรรมในกลมุ่ มากน้อยเพียงใด • นกั เรยี นพงึ พอใจกบั การเรยี นในวนั น้ีหรอื ไม่ เพยี งใด สอื่ การเรยี นรู้และแหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 2. ภาพสตั ว์ตวั อย่าง 3. วดิ ที ัศน์เกยี่ วกับสตั ว์ชนดิ ต่าง ๆ
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการร่วมกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 2. เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียนในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ - แบบประเมินสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 23 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (รหสั วชิ า ว 11101) ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 สง่ิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดารงชวี ติ เรอ่ื ง หนา้ ท่ีของส่วนตา่ ง ๆ ของสตั ว์ (1) เวลา 1 ช่วั โมง สาระสาคัญ สตั ว์แตล่ ะชนดิ มสี ่วนต่างๆ ท่ีมีลกั ษณะและหนา้ ที่แตกต่างกัน เพ่ือให้เหมาะสมต่อการดารงชวี ติ มาตรฐาน/ตวั ชว้ี ัด มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสิง่ มีชีวติ หนว่ ยพ้นื ฐานของส่งิ มชี วี ิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ทที่ างานสัมพันธ์กัน ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธ์กัน รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ื่อ บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าทข่ี องส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมทง้ั บรรยายการทาหน้าทร่ี ว่ มกนั ของสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายมนษุ ยใ์ นการทากจิ กรรมต่าง ๆ จากข้อมูลที่รวบรวม ได้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.นักเรียนบอกหน้าทขี่ องส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ได้ 2.นกั เรยี นสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างส่วนตา่ ง ๆ ของสัตวไ์ ด้ 3.นักเรียนใฝเ่ รียนรู้ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วนตา่ ง ๆ ทมี่ ลี ักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกนั เพอ่ื ใหเ้ หมาะสม ในการดารงชีวติ เชน่ ปลามีครบี เปน็ แผน่ ส่วนกบ เต่า แมว มีขา ๔ ขา และมเี ทา้ สาหรบั ใช้ ในการเคลื่อนที่ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุง่ มนั่ ในการทางาน ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน – สังเกตส่วนตา่ งๆ ของสัตว์ – สงั เกตหน้าท่ขี องส่วนต่างๆ ของสัตวช์ นิดต่างๆ กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลนด์ ้วยแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชวั่ โมงที่ 1 ขนั้ ท่ี 1 ขัน้ สร้างความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรียนชว่ ยกันอภปิ รายคาถามของครู เพ่ือกระต้นุ ความสนใจ ดังนี้ – สตั ว์แต่ละชนิดมีสว่ นต่างๆ สาคัญอะไรบา้ ง – ส่วนต่างๆ เหลา่ นั้นทาหน้าท่เี หมอื นหรือแตกต่างกัน 2) นักเรียนรว่ มกันอภปิ รายหาคาตอบเกยี่ วกบั คาถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน ข้นั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา(Exploration) 3) นกั เรียนศกึ ษาเร่ืองหนา้ ที่ของส่วนต่าง ๆ ของสตั ว์ โดยครูชว่ ยอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจวา่ สัตวแ์ ต่ละ ชนดิ มีสว่ นต่าง ๆ ท่ีสาคญั คือ ตา หู จมกู ปาก เทา้ และขา ผิวหนังและขน โดยตาทาหน้าทีม่ องดูสง่ิ ตา่ ง ๆ หูทาหนา้ ทีฟ่ ังเสียงต่าง ๆ จมูกทาหน้าท่ีดมกล่ินและหายใจ ปากทาหน้าท่ีกินอาหาร เท้าและขาทาหน้าท่ี รับนา้ หนกั ตัวและเคลือ่ นที่ ผิวหนังและขนทาหน้าทป่ี กคลุมร่างกายให้อบอุ่น 4) นกั เรยี นปฏิบัตกิ ิจกรรมสงั เกตส่วนตา่ ง ๆ ของสัตว์ ตามข้นั ตอนดังนี้ – ครูนาภาพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ให้นกั เรยี นดู – นักเรียนวาดภาพสัตว์ทชี่ อบลงในกระดาษวาดภาพแลว้ ระบายสใี ห้สวยงาม – เขียนลูกศรชต้ี าแหนง่ ส่วนต่าง ๆ ของสัตว์พรอ้ มเขยี นชอื่ สว่ นนั้น ๆ – แสดงภาพท่ีวาดหนา้ ห้องเรียนและบอกให้เพอ่ื น ๆ ทราบว่าสว่ นท่ที าลกู ศรชี้นั้นทาหนา้ ที่อะไร – เปรียบเทียบสว่ นตา่ ง ๆ ของสตั วท์ ี่นักเรยี นวาดกับเพอื่ น สรปุ ว่าสตั วเ์ หลา่ นม้ี ีส่วนต่าง ๆ เหมือนหรือแตกต่างกนั
4) ขณะนักเรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือและเปดิ โอกาสให้นักเรยี นทกุ คนซักถามเมอ่ื มี ปัญหา ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 5) นกั เรยี นนาเสนอผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม 7) นักเรียนและครรู ว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ – สัตวท์ ี่นักเรียนวาดคืออะไร – สัตวท์ ี่นกั เรียนวาดมีสว่ นตา่ งๆ ของสัตว์อะไรบ้าง – สตั ว์แต่ละชนดิ มีส่วนตา่ ง ๆ เหมอื นหรือแตกตา่ งกัน 8) นักเรียนและครูร่วมกนั สรปุ ผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยครเู น้นให้นักเรียนเขา้ ใจวา่ “สตั วแ์ ตล่ ะชนิด มสี ว่ นตา่ ง ๆ ท่ีสาคัญ คือ ตา หู จมกู ปาก เทา้ และขา ผวิ หนังและขน ตาทาหน้าทม่ี องดู ชว่ ยใหม้ องเห็นส่งิ ตา่ ง ๆ ได้ หูทาหน้าที่ฟงั เสียงต่าง ๆ จมกู ทาหน้าท่ดี มกล่ินและหายใจ ปากทาหนา้ ท่ีกนิ อาหาร เทา้ และขา ทาหนา้ ท่รี บั น้าหนักตัวและเคลื่อนที่ สตั ว์บางชนดิ ยงั มขี นทาหนา้ ทป่ี กคลุมรา่ งกายให้อบอนุ่ ” ข้นั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 10) นกั เรยี นสังเกตหนา้ ท่ีของสว่ นต่าง ๆ ของสตั ว์ชนดิ ตา่ ง ๆ ทพี่ บในชีวิตประจาวนั ขั้นท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation) 11) นักเรยี นแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม มีจดุ ใดบ้างทย่ี ังไม่เขา้ ใจ หรอื ยังมีข้อสงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพ่มิ เติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 12) นกั เรยี นร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มวา่ มปี ญั หาหรอื อุปสรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอยา่ งไร บา้ ง 13) นกั เรยี นและครูร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับประโยชนท์ ่ีได้รับจากการปฏิบตั ิกิจกรรม และการ นาความรู้ท่ีได้ไปใช้ประโยชน์ 14) นกั เรียนช่วยกนั ตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “ตาของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ ทาหนา้ ท่อี ะไร” และ “หขู องสตั ว์ชนิดตา่ ง ๆ ทาหน้าทอี่ ะไร” ขน้ั ที่ 6 ขน้ั สรุป 15) ครูและนกั เรยี นร่วมกันสรปุ เกีย่ วกับหน้าท่ีของสว่ นตา่ ง ๆ ของสตั ว์ โดยร่วมกันเขียนเปน็ แผนที่ ความคิดหรือผงั มโนทัศน์ ส่ือการเรยี นรแู้ ละแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นวิทยาศาสตรช์ นั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 2. ภาพสัตว์ชนิดตา่ ง ๆ 3. สื่อมัลตมิ เี ดียเก่ยี วกับสตั ว์ชนิดต่าง ๆ
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกจิ กรรม - ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 2. เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียนในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมนิ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 24 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (รหัสวิชา ว 11101) ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 สงิ่ มีชวี ิตกับกระบวนการดารงชวี ติ เรอื่ ง หน้าท่ขี องสว่ นตา่ ง ๆ ของสัตว์ (2) เวลา 1 ช่ัวโมง สาระสาคัญ สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ มีส่วนต่างๆ ที่มลี ักษณะและหน้าท่แี ตกตา่ งกัน เพื่อใหเ้ หมาะสมต่อการดารงชีวิต มาตรฐาน/ตัวชี้วดั มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของส่งิ มชี ีวติ หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชวี ิต การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหนา้ ที่ของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ที างานสัมพันธก์ ัน ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทางานสมั พันธ์กัน รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ่อื บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าที่ของส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมทง้ั บรรยายการทาหน้าท่รี ว่ มกันของสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนุษย์ในการทากจิ กรรมต่าง ๆ จากข้อมูลท่รี วบรวม ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.นกั เรยี นระบุชื่อของสว่ นตา่ ง ๆ ของสตั วไ์ ด้ 2.นกั เรียนสงั เกตส่วนตา่ ง ๆ ของสัตว์ได้ 3.นักเรียนเห็นประโยชนข์ องส่วนต่าง ๆ ของสตั ว์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สัตว์มหี ลายชนิด แตล่ ะชนดิ มีส่วนตา่ ง ๆ ทม่ี ลี กั ษณะและหนา้ ทแี่ ตกต่างกัน เพ่ือใหเ้ หมาะสม ในการดารงชวี ิต เช่น ปลามีครีบเปน็ แผ่น สว่ นกบ เต่า แมว มขี า ๔ ขา และมีเทา้ สาหรบั ใช้ ในการเคล่ือนท่ี คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. มวี ินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมนั่ ในการทางาน ชิ้นงานหรือภาระงาน – สังเกตภาพสตั ว์ชนิดต่าง ๆ – วาดภาพระบายสสี ัตว์ชนิดต่าง ๆ กิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลนด์ ว้ ยแอปพลิเคชัน Line โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ชัว่ โมงที่ 2 ขนั้ ที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายคาถามของครู เพ่ือกระตุ้นความสนใจ ดังน้ี – ควายและปลามสี ว่ นตา่ ง ๆ แตกตา่ งกนั อย่างไร 2) นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเกยี่ วกับคาถามตามความคดิ เหน็ ของแตล่ ะคน ขั้นท่ี 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา(Exploration) 3) นกั เรยี นสังเกตจากแผ่นภาพสัตวต์ ่าง ๆ วา่ มสี ัตว์ชนิดใดบา้ ง วาดภาพสัตวท์ น่ี ักเรียนชอบอยา่ งน้อย กล่มุ ละ 3 ชนิด พร้อมท้ังระบุว่าสัตวช์ นิดนั้นช่อื อะไร มโี ครงสร้างอะไรบ้าง แลว้ ระบายสใี หส้ วยงาม 4) ขณะนักเรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื และเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนซักถามเมอื่ มี ปัญหา ขั้นที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) 5) นักเรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 6) นักเรียนและครูร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถามคือ – สัตว์ทีน่ กั เรยี นวาดมอี ะไรบ้าง – นกั เรยี นชอบสัตว์ชนิดใดมากท่สี ดุ สัตวช์ นิดนน้ั มีโครงสร้างทส่ี าคญั อะไรบ้าง – สัตวแ์ ตล่ ะชนิดมีสว่ นต่างๆ ทม่ี ลี กั ษณะและหน้าที่แตกต่างกนั
ขนั้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) 7) นักเรยี นดสู ื่อมัลตมิ ีเดียเกยี่ วกบั สัตว์ชนิดต่าง ๆ เพ่อื ใหน้ ักเรยี นเหน็ วา่ สตั ว์แตล่ ะชนดิ มีโครงสร้าง ภายนอกแตกต่างกนั ครูอาจแนะนานักเรยี นเพิ่มเติมถึงโครงสร้างภายนอกของสตั วบ์ างชนิดที่นกั เรียนไม่ รูจ้ กั ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) 8) นักเรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหัวขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏบิ ตั ิกิจกรรม มจี ุดใดบา้ งทีย่ งั ไมเ่ ข้าใจหรือ ยงั มขี ้อสงสัย ถา้ มี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ 9) นกั เรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัตกิ จิ กรรมกลุ่มวา่ มีปญั หาหรืออุปสรรคใด และไดม้ ีการแกไ้ ขอยา่ งไร บา้ ง 10) นกั เรียนและครูร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั จากการปฏบิ ัติกิจกรรม และการ นาความรทู้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์ 11) นักเรยี นชว่ ยกนั ตอบคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจ คือ “นกั เรยี นคิดว่าการเรียนรเู้ รอื่ งโครงสร้างของ สตั วม์ ปี ระโยชนอ์ ะไรบา้ ง” ขั้นท่ี 6 ขน้ั สรุป 12) นกั เรียนและครรู ่วมกนั สรุปเก่ยี วกบั โครงสร้างของสตั ว์ โดยรว่ มกนั เขียนเป็นแผนที่ความคดิ หรอื ผัง มโนทศั น์ สือ่ การเรียนรแู้ ละแหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตร์ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 2. สอื่ มลั ตมิ ีเดียเกยี่ วกบั สัตวช์ นดิ ตา่ ง ๆ 3. แผน่ ภาพสตั วช์ นดิ ต่าง ๆ การวัดผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤตกิ รรมนักเรียนในการร่วมกิจกรรม - ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล 2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการรว่ มกิจกรรม - แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 3. ประเมนิ ตามเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจริง 3.1 การสังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 3.3 การประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 25 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (รหัสวชิ า ว 11101) ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 ส่งิ มีชีวิตกับกระบวนการดารงชีวติ เร่ือง อวัยวะและหนา้ ท่ีของส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ เวลา 1 ช่ัวโมง สาระสาคัญ สตั วม์ หี ลายชนดิ แตล่ ะชนิดมีส่วนตา่ ง ๆ ทมี่ ลี กั ษณะและหน้าที่แตกต่างกัน เพอื่ ให้เหมาะสมในการ ดารงชีวิต มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสิง่ มีชีวิต หน่วยพืน้ ฐานของส่ิงมชี ีวติ การลาเลยี งสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ทีท่ างานสมั พนั ธก์ ัน ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะตา่ ง ๆ ของพชื ที่ทางานสมั พันธก์ ัน รวมท้ังนาความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ 1. ระบชุ ื่อ บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สตั ว์ และพชื รวมทง้ั บรรยายการทาหน้าทรี่ ่วมกันของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายมนุษยใ์ นการทากจิ กรรมต่าง ๆ จากขอ้ มูลทีร่ วบรวม ได้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรยี นสามารถอธิบายลกั ษณะและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของสตั ว์ได้ 2. นักเรยี นปฏิบัติกิจกรรม อวยั วะและหนา้ ท่ีของสว่ นตา่ ง ๆ ของสตั ว์ ได้ 3. นกั เรยี นมคี วามมุ่งมัน่ และต้งั ใจ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สัตวม์ ีหลายชนดิ แตล่ ะชนดิ มสี ว่ นต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าทแี่ ตกต่างกัน เพ่ือใหเ้ หมาะสม ในการดารงชีวิต เชน่ ปลามคี รีบเป็นแผน่ ส่วนกบ เต่า แมว มขี า ๔ ขา และมีเทา้ สาหรบั ใช้ ในการเคล่ือนที่ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. ม่งุ ม่ันในการทางาน ชิ้นงานหรอื ภาระงาน – จาแนกสตั วท์ ่ีมีส่วนต่าง ๆ ทาหนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน กจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลนด์ ้วยแอปพลิเคชนั Line โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ช่ัวโมงท่ี 1 ขนั้ ที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ(Engagement) 1) นกั เรยี นรว่ มกันสงั เกตภาพแมว แล้วร่วมกนั สนทนาเกย่ี วกับอวยั วะและหน้าที่ทีใ่ ช้ในการเคลือ่ นท่ี และรว่ มกนั ตอบคาถามสาคญั กระตุน้ ความคิด นาเข้าสกู่ จิ กรรม ดงั นี้ - อวยั วะภายนอกของแมวมอี ะไรบา้ ง - อวัยวะต่าง ๆ ขา้ งต้นทาหน้าท่อี ะไรบ้าง - สตั วร์ อบตัวเรามีรปู ร่าง ลักษณะและหน้าทข่ี องสว่ นตา่ ง ๆ เปน็ อยา่ งไร 2) นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเกยี่ วกบั คาถามตามความคดิ เหน็ ของแตล่ ะคน ขน้ั ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา(Exploration) 3) นักเรยี นศึกษาเร่ืองสว่ นต่าง ๆ ของสัตวท์ ที่ าหนา้ ที่แตกต่างกันจากสื่อวดิ ีทัศน์ โดยครชู ่วยอธบิ ายให้ นกั เรยี นเขา้ ใจว่า สัตว์ท่ีนกั เรียนสงั เกตอาจมสี ่วนตา่ ง ๆ เหมอื นหรอื แตกต่างกนั ซ่งึ ส่วนตา่ ง ๆ เหล่าน้นั จะทา หน้าทีแ่ ตกต่างกัน เชน่ นกมีปีกเพื่อบิน ปลามีหางและครีบเพอื่ วา่ ยนา้ 4) นกั เรยี นปฏิบัตกิ จิ กรรมส่วนต่าง ๆ ของสตั ว์ท่ีทาหนา้ ที่แตกตา่ งกัน ตามขัน้ ตอนดังน้ี – นักเรยี นชว่ ยกันเสนอชือ่ สัตวท์ ใี่ ช้ขาสาหรับเดิน จานวน 10 ตวั – นกั เรียนชว่ ยกันเสนอชื่อสตั วท์ ่ีใช้ปีกสาหรับบิน จานวน 10 ตวั – นักเรยี นชว่ ยกันเสนอชือ่ สตั วท์ ่ีใชล้ าตวั สาหรับเลื้อย จานวน 10 ตัว 5) ขณะนกั เรียนปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือและเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนทกุ คนซักถามเม่ือมี ปัญหา
ข้นั ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) 6) นักเรียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบตั กิ ิจกรรม 7) นักเรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถามคือ - อวยั วะภายนอกของสัตวส์ ่วนต่าง ๆ มลี ักษณะเหมือนกันหรอื แตกต่างกนั หรือไม่ - อวยั วะภายนอกของสตั ว์แต่ละชนดิ มีหน้าที่อยา่ งไร - ปีกของนกทาหน้าทีอ่ ะไร - ครบี หางและครีบของปลาทาหนา้ ท่อี ะไร 8) นกั เรียนรว่ มกนั สรุปผลการทากจิ กรรมและสรุปส่งิ ท่ีเข้าใจเป็นความร้รู ว่ มกันเกยี่ วกับอวัยวะและ หนา้ ที่ของส่วนต่าง ๆ ของสตั ว์ว่า สัตว์ชนดิ ต่าง ๆ มีอวัยวะภายนอก แต่ละอวยั วะมีลักษณะและหน้าทแี่ ตกต่าง กนั ขนั้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) 9) นกั เรียนสังเกตส่ือมลั ติมเิ ดียสตั วแ์ ตล่ ะชนดิ อาจมีส่วนต่างๆ เหมอื นหรือแตกต่างกนั ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation) 10) นกั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อที่เรยี นมาและการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ยี ังไมเ่ ข้าใจ หรอื ยังมขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ่วยอธบิ ายเพิม่ เติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ 11) นักเรียนร่วมกนั ประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมกลุม่ ว่ามีปญั หาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไร บา้ ง 12) นกั เรียนและครูร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการปฏิบตั ิกิจกรรม และการ นาความรทู้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์ 13) นกั เรียนช่วยกันตอบคาถามเพื่อทดสอบความเขา้ ใจ คือ “ปีกของผีเสื้อและกระดองของเต่าทาหน้าที่ แตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร” และ “เทา้ และขาของสตั ว์ชนิดตา่ งๆ ทาหนา้ ที่อะไร” ขั้นที่ 6 ข้นั สรุป 14) ครูและนักเรยี นร่วมกันสรปุ เกี่ยวกบั ส่วนตา่ ง ๆ ของสตั วท์ ่ที าหนา้ ท่แี ตกตา่ งกนั โดยร่วมกันเขียนเปน็ แผนท่ีความคิดหรือผังมโนทัศน์ สื่อการเรยี นรู้และแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 2. ส่ือมลั ตมิ เิ ดยี ส่วนของสตั ว์ต่าง ๆ 3. ใบงาน เรอื่ งส่วนต่าง ๆ ของสัตวท์ ท่ี าหน้าแตกต่างกนั
การวดั ผลและประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในการรว่ มกิจกรรม - ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ - ประเมินสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น 2. เครื่องมือวดั และประเมนิ ผล 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม - แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ - แบบประเมนิ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 3. ประเมินตามเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ 3.1 การสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี นในการรว่ มกจิ กรรม 3.2 การประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.3 การประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156