Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 361_รวมเล่ม2

361_รวมเล่ม2

Published by cancer stom, 2021-02-03 10:43:21

Description: 361_รวมเล่ม2

Search

Read the Text Version

3.3 หนังสอื อุเทศ เป็นหนังสือใชค้ ้นคว้าสาหรับอ้างอิงเก่ียวกับการเรียนโดยมี การเรยี บเรียงเชิงวชิ าการ 3.4 หนังสอื ส่งเสริมการอ่าน เป็นหนังสือท่จี ัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไป ในทางส่งเสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนิสัยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ท่ีมีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติ และสารประโยชน์ 4. แบบฝึกหัด เป็นส่ือการเรียนสาหรับให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อช่วยเสริมให้เกิด ทกั ษะและความแตกฉานในบทเรียน 5. ส่ือการเรียนการสอนอื่น ๆ เช่น สื่อประสม วีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพพลิก แผน่ ภาพ เป็นตน้ 2.4 การกาหนดวิธีวดั และประเมินผลผเู้ รียน เนื่องจากการพัฒนาหลกั สตู ร จดุ ประสงค์ ชัดเจนท่ีกาหนดความคาดหวังในคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน รวมท้ังวิธีการ ดาเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ การที่ผู้ใช้หลักสูตรหรือครูทราบว่าผลท่ีเกิดจากการ จัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีส่ิงใดที่ต้องปรับปรุง แก้ไข ผู้เรียนได้บรรลุตามจุประสงค์ท่ีตั้งไว้ หรือไม่เพียงใดน้ัน ต้องมีวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้และ ประเมินผล ซ่ึงการวัดและประเมินต่อผู้สอนที่ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนรวมท้ังตัวผู้สอนเองช่วย ให้ผู้สอนทราบคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงรวมถึงคุณภาพของหลักสูตร นาไปสู่การปรับปรุง หลักสตู รให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซ่ึงการวัดและประเมินผลผู้เรียนมที ั้งกอ่ นการจัดการเรียนการสอน ระหว่าง และสิน้ สดุ การจัดการเรียนการสอน แลว้ แตค่ วามเหมาะสม ข้ันท่ี 3 การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร เม่ือร่างหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนท่ีจะนาไปใช้ กบั นักเรียน จาเป็นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสตู รกอ่ น เพื่อหาข้อบกพรอ่ งและปรบั ปรงุ แกไ้ ข ให้เหมาะสมและสมบูรณ์ท่ีสุด สิ่งท่ีต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรคือ ความ สอดคล้องขององค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ จุดประสงค์ เน้ือหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรม และส่ือการเรยี นรู้ วธิ วี ัดและประเมินผลผู้เรยี น ซึ่งวธิ ีการตรวจสอบการกระทาได้โดย 1. คณะทางานร่างหลักสูตร เป็นกลุ่มบุคคลท่ีพัฒนาหลักสูตรข้ึนมา เช่น คณะครู ผู้บริหาร ผ้ปู กครอง คนในชุมชน เปน็ ผใู้ ห้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 2. ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านเน้อื หาสาระ ด้านสื่อการ เรยี นรู้ ด้านหลักสูตรและการสอน เปน็ ผ้ใู ห้ความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ 3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัด ประชุม สมั มนาเพือ่ รับฟังข้อคดิ เห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนาสู่การปรบั ปรงุ หลักสตู ร ข้ันท่ี 4 การนาหลักสูตรไปใช้ หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรและปรับปรุง แก้ไขหลักสูตรท่ีร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ข้ันต่อไปคือ การนาหลักสูตรไปใช้ ซ่ึงเป็นขั้นตอนที่มี ความสาคัญมาก ครูท่ีเป็นผู้ปฏิบัติการลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นาหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลง หลักสูตรไปสู่การสอน ครูกาหนดวิธกี ารจัดการเรียนการสอน กาหนดรายละเอียดกจิ กรรมในแต่ละคาบ พร้อมทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ การประสานงานกับบุคคลที่เข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 101

รวมท้งั การจดั เตรียมสือ่ การเรียนการสอนให้สอดคล้องกบั สภาพของชุมชน จากสรุปข้างต้นพบว่า การนาหลักสูตรไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงส่ิงแรกคือ จุดประสงค์ของ หลักสูตรที่พัฒนาข้นึ มากาหนดไว้ว่าอยา่ งไร หลังจากน้ันจึงพิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีต้องการ ให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนนามาสู่การจัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัดกิจกรรม จาเป็นต้องคานึงถึงส่ือที่ใช้การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งส่ือการเรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตารา แบบฝึกหัด โสตทัศนปู กรณ์ ต่าง ๆ นอกจากน้ันยังสามารถเรยี นรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่ โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่าง ๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล ภูเขา เหลา่ นั้นเป็นตน้ ข้ันท่ี 5 การประเมินผลหลักสูตร เป็นการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรท่ีพัฒนาข้ึนโดยใช้ผลจาก การรวบรวมข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อหาคาตอบว่าหลักสูตรมีผลสัมฤทธ์ิตามที่กาหนดไว้หรือไม่เพียงใด สิง่ ใดท่คี วรต้องทาการปรบั ปรงุ เพอ่ื ใหห้ ลักสตู รดียงิ่ ข้ึน การประเมนิ หลกั สูตร ใหค้ รปู ระเมินจากสงิ่ ๆ ต่อไปน้ี 1. ผลทเ่ี กดิ ข้ึนกับนักเรียน ไดแ้ ก่ ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคา่ นยิ มต่าง ๆ มกี ารประเมินเปน็ 2 ระยะ คอื 1.1 ประเมินระหว่างการจัดการเรียนการสอน เป็นการประเมินตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรม ทก่ี าหนดไวใ้ นแตล่ ะคาบของการจดั การเรียนการสอน 1.2 ประเมินเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน ตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตร ว่านักเรียนมี ผลสมั ฤทธเ์ิ ปน็ ไปตามจุดประสงคท์ ่กี าหนดไวใ้ นหลักสตู รหรอื ไม่ อย่างไร 2. ประเมินการจัดการเรียนการสอน เพ่ือตรวจสอบว่าเมื่อนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการ สอนในสถานการณ์จริงแล้วเป็นอย่างไร มีปัญหา/อุปสรรคอย่างไร การจัดการเรียนการสอนให้คานึงถึง การประเมนิ สงิ่ ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 2.1 การประเมินเนื้อหาสาระท่ีใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน เหมาะสมและสอดคลอ้ ง กับพัฒนาการของผู้เรียน ผู้เรียนสนใจในเน้ือหาสาระเรื่องราวที่นามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน หรือไม่ อย่างไร 2.2 ประเมินส่ือที่ใช้ในการเรียนการสอนว่าเหมาะสม ชัดเจน เข้าใจง่าย และดึงดูด ความสนใจของผู้เรียนเพียงใด 2.3 ประเมินกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนว่าเป็นไปตามลาดับจากง่ายไปยาก ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะตามท่ีกาหนดไว้ในแฟนการจัดการเรียนรู้หรือไม่อย่างไร จาก ความจาเป็นและขนั้ ตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา ดังท่ไี ด้กล่าวมาสามารถสรุปได้ในภาพประกอบ 27 และตาราง 2 ดังน้ี 102

ความจาเป็น พระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ใน ม. 27 วรรคสองกาหนดให้สถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานมี ความหมายของการ หน้าท่ีจัดทาสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับ พัฒนาหลักสตู ร สภาพปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สถานศกึ ษา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของ ครอบครัว ชมุ ชนสังคม และประเทศชาติ แนวคดิ ในการพัฒนา การใหโ้ รงเรียนมีอานาจในการวางแผน การออกแบบ หลักสตู รสถานศกึ ษา การนาไปใช้ การประเมินผล ในการจัดการศึกษา เพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้โดยเน้นการตัดสินใจร่วมกัน ระหวา่ งบุคลากรในโรงเรยี นและบคุ คลอ่ืน ๆ ที่ ส่วนกลางกระจายอานาจให้กับโรงเรียนสามารถ ตดั สินใจเกยี่ วกบั หลักสตู รไดเ้ อง ข้นั ตอนการพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา 1. การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมลู พน้ื ฐาน 2. การร่างหลกั สูตร 3. การตรวจคณุ ภาพหลกั สตู ร 4. การนาหลกั สตู รไปใช้ 5. การประเมนิ ผลหลักสตู ร ภาพประกอบที่ 2 ขัน้ ตอนการพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา 103

ขอ้ กฎหมายท่ีสถานศึกษาตอ้ งไปดาเนินการใหส้ ถานศึกษาหรอื โรงเรียนสามารถพัฒนาหลักสูตร ได้เองภายใต้กรอบของหลักสูตรแกนกลางเป็นเร่ืองที่จะต้องมี การเตรียมการให้พร้อม ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในมาตรา 27 ที่กาหนดให้ “คณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐานกาหนดหลักสตู รสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐานเพ่ือความเป็นไทย ความเป็นพลเมอื งท่ีดีของ ชาติ การดารงชีวิต และการประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ และในวรรคสองกาหนดให้ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วนเก่ียวกับ สภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกท่ีดีของ ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ” ซ่ึงจะเห็นได้ว่าจุดหมายในส่วนของหลักสูตรแกนกลางท่ี จัดทาโดยกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธกิ าร เป็นไปอยา่ งกว้าง ๆ เพ่ือเปน็ แนวทางสาหรับสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐานได้นาไปจัดทาสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม สาหรับใช้ใน การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกบั บรบิ ทของสถานศึกษาน้นั ๆ ตอ่ ไป บทสรุป การพัฒนาหลักสูตร มี 2 ความหมาย คอื การทาหลักสูตรให้เกิดข้ึน และการปรับปรุงหลักสูตร ที่มอี ย่แู ลว้ ให้ดีขน้ึ ก่อนการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตร ควรมีการวิเคราะห์หลักสูตรก่อน เพื่อหาข้อมูลพ้ืนฐานมา ประกอบการพิจารณาในการสร้างหลักสูตร หลักสูตรสถานศึกษา ถูกสร้างข้ึนมาโดยผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชน เพ่ือสร้าง หลักสูตรท่ีเหมาะสมกับชุมชนน้ันๆ และให้ผู้เรียนได้มีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลพ้ืนฐาน วิถีชีวิต วัฒนธรรม และมรดกของชุมชน คาถามทบทวน 1. การสรา้ งหรอื การพัฒนาหลกั สตู ร ตอ้ งศกึ ษาข้อมูลพ้นื ฐานอะไรบ้าง จงอธิบายโดยละเอียด 2. ปญั หาของการพัฒนาหลักสตู รไทยคอื อะไร จงอธิบายโดยละเอียด 3. จงบอกกระบวนการพฒั นาหลักสตู รอยา่ งละเอียด 4. เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ้ งมีการจดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษา 5. จงบอกกระบวนการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา อยา่ งละเอยี ด เอกสารอา้ งอิง กิตตคิ ม คาวีรัตน์. (2554). การพฒั นาหลักสตู ร : ทฤษฎีเพอ่ื การปฏิบัต.ิ ม.ป.ท. พิจิตรา ธงพานิช(ทีสุกะ). (2557). การพัฒนาหลักสูตร ทฤษฎี หลักการ แนวคิด ทิศทาง แนวโนม้ . ม.ป.ท. ไพฑรู ย์ สนิ ลารัตน.์ (2558). ปรชั ญาการศกึ ษาเบอื้ งตน้ . (พมิ พค์ รั้งที่ 10). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . 104

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 6 หวั ขอ้ เนอ้ื หา เนอื้ หาสาระในบทนป้ี ระกอบด้วย 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ 2. หลกั สตู ร 3. การเรยี นการสอน 4. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 5. การประกนั คณุ ภาพ 6. การบรหิ ารจัดการหลกั สตู ร วตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เม่ือเรียนบทเรียนนี้จบแล้ว นกั ศึกษามคี วามสามารถ ดงั น้ี 1. บอกที่มาของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้ 2. บอกวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้ 3. บอกวิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้ 4. บอกลักษณะของกลุ่มสาระการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ได้ วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 บรรยาย 1.2 การอธบิ าย 1.3 การประชุมกลุม่ ยอ่ ย 1.4 การวิเคราะหเ์ น้ือหา ทฤษฎี 1.5 การถาม-ตอบ 1.6 การอภปิ ราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนเร่ืองความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลาง มีดังนี้ 2.1 ผู้สอนทบทวนแนวคิดเก่ียวกับการศึกษา โดยใช้กระบวนการ ถาม-ตอบและ 105

อภิปราย แนวคิดพืน้ ฐานของหลักสตู ร 2.2 ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตร วัตถุประสงค์ วิสยั ทัศน์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ เสร็จแลว้ ใหแ้ ต่ละกลุ่มนาเสนอผลของการเรียนรู้ 2.3 ผสู้ อนให้ผู้เรียนรว่ มกันวิเคราะหก์ ารบริหารจดั การหลกั สูตร 2.4 ผู้สอนบรรยายเรื่องหลักสูตรแกนกลาง 2.5 ผ้สู อนกบั ผู้เรยี นร่วมกนั วเิ คราะห์ อภิปรายเรอื่ งหลักสตู รแกนกลาง สอ่ื การเรยี นการสอน ส่อื การเรียนการสอนทใ่ี ชป้ ระกอบกิจกรรมการเรียนการสอน มีดังน้ี 1. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน “การพัฒนาหลักสตู ร” 2. ตารา หนงั สือเรยี นเกี่ยวกับการพัฒนาหลกั สตู ร 3. Power point ความร้ตู ่าง ๆ 4. เครือข่ายการเรยี นรู้ทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกบั การพัฒนาหลกั สตู ร การวดั และการประเมินผล การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู้ มีดงั น้ี 1. สงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม 2. สังเกตพฤตกิ รรมการแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอที่ใช้ในการอภิปราย 3. การทาแบบฝกึ หดั 106

บทท่ี 6 หลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานในปจั จบุ ัน หลักสตู รแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เร่ิมใช้ต้งั แต่ปี การศึกษา 2552 และได้รับการปรับปรุงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม และ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่เี จรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อพัฒนาและเสริมสรา้ งศักยภาพ คนของชาติให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพ การศึกษาและการเรียนรใู้ ห้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลสอดคล้องกบั ประเทศไทย 4.0 และโลก ในศตวรรษท่ี 21 กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : Online) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษา ข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย และ มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นให้เป็นคนดี มีปัญญา มี คุณภาพชีวิตท่ีดีและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) พร้อมกันนี้ได้ปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ท่ีมุ่งเน้นการกระจายอานาจ ทางการศึกษาให้ท้องถ่ินและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพ่ือให้ สอดคล้องกบั สภาพ และความตอ้ งการของท้องถนิ่ (สานกั นายกรฐั มนตรี, 2542) จากการวิจัย และติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา (สานักวิชาการ และมาตรฐานการศึกษา, 2546 ก., 2546 ข., 2548 ก., 2548 ข.; สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2547; สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล, 2548; สุวิมล ว่องวาณิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย, 2547; Nutravong, 2002; Kittisunthorn, 2003) พบว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มีจุดดีหลายประการ เช่น ช่วยส่งเสริมการกระจายอานาจทางการศึกษาทาให้ท้องถ่ินและ สถานศึกษามีส่วนร่วมและมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของ ท้องถ่ิน และมีแนวคิดและหลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวยังได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นที่เป็นปัญหาและความไม่ชัดเจนของหลักสูตร หลายประการท้ังในส่วนของเอกสารหลักสูตร กระบวนการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติ และผลผลิตท่ีเกิด จากการใช้หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กาหนดสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้มาก ทาให้เกิดปัญหา หลักสูตรแน่น การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผลต่อปัญหาการจัดทาเอกสารหลักฐาน ทางการศึกษาและการเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถและคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงคอ์ ันยงั ไม่เป็นท่นี ่าพอใจนอกจากน้ันแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และ สงั คมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 10 ( พ.ศ. 2550 – 2554) ได้ช้ีใหเ้ ห็นถึงความจาเป็นในการปรับเปล่ียนจุดเนน้ ใน การพฒั นาคุณภาพคนในสังคมไทยให้ มีคณุ ธรรม และมีความรอบรูอ้ ย่างเทา่ ทัน ใหม้ ีความพรอ้ มทงั้ ด้าน 107

ร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์ และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปล่ียนแปลงเพ่ือนาไปสู่สังคมฐานความรู้ ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนาคนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิต สาธารณะ พร้อมท้ังมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พ้ืนฐานท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต อันจะส่งผลต่อการ พัฒนาประเทศแบบยั่งยืน (สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2549) ซึ่งแนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้าน เทคโนโลยี สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืน และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธกิ าร,2551) จากข้อคน้ พบในการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ที่ผ่านมาประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เกี่ยวกับ แนวทางการพฒั นาคนในสังคมไทย และจุดเน้นของกระทรวงศกึ ษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสศู่ ตวรรษ ที่ 21 จึงเกิดการทบทวนหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อนาไปสู่การพัฒนา หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ท่มี คี วามเหมาะสม ชัดเจน ทง้ั เป้าหมายของ หลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่ การศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ีชัดเจน เพื่อใช้เป็นทิศทางในการจัดทา หลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้กาหนดโครงสร้างเวลาเรียนข้ันต่าของแต่ละ กลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละช้ันปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเวลา เรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์การจบ การศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้ และมีความชัดเจนต่อการนาไปปฏิบัติเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จัดทาข้ึนสาหรับท้องถ่ินและสถานศึกษาได้นาไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการ จัดทาหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับ การศึกษาขั้นพ้ืนฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะท่ีจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการ เปล่ยี นแปลง และแสวงหาความรู้เพือ่ พัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่อื งตลอดชวี ิต มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทาให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องในทุก ระดับเห็นผลคาดหวังท่ีต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนว ซ่ึงจะสามารถ ชว่ ยใหห้ น่วยงานที่เกย่ี วข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรไดอ้ ย่างม่นั ใจ ทาให้ การจัดทาหลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกท้ังยังช่วยให้เกิด ความชัดเจนเรื่องการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ และชว่ ยแกป้ ัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนกระทั่งถึงสถานศึกษา จะต้องสะท้อน คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน รวมทง้ั เป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลมุ ผเู้ รียนทกุ กลุ่มเปา้ หมายในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานการจัดหลักสตู รการศึกษาขนั้ พื้นฐานจะประสบความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายท่คี าดหวัง ได้ ทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องท้ังระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางาน 108

อย่างเป็นระบบ และต่อเน่ือง ในการวางแผน ดาเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจน ปรับปรงุ แก้ไขเพื่อพฒั นาเยาวชนของชาตไิ ปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรทู้ ี่กาหนดไว้ วสิ ัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็น มนุษย์ท่ีมีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล โลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ ทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ัง เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ หลักการ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน มีหลกั การท่สี าคัญ ดงั น้ี 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของ ความเปน็ ไทยควบคู่กบั ความเปน็ สากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาคและมีคุณภาพ 3. เปน็ หลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรยี นรู้ 5. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาท่ีเน้นผเู้ รยี นเป็นสาคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม ทุกกลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมี ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน ดงั น้ี 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะ ชวี ติ 3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ทด่ี ี มสี ขุ นสิ ัย และรักการออกกาลงั กาย 109

4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อมมี จิตสาธารณะท่ีมุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งท่ีดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คณุ ภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซ่ึงจะชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดังนี้ สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ ความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการส่ือสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง และสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพอ่ื นาไปส่กู ารสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพอ่ื การตดั สินใจเก่ียวกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆทีเ่ ผชิญ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสมบนพนื้ ฐานของหลกั เหตุผล คณุ ธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เขา้ ใจความสมั พันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณต์ ่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรมู้ าใชใ้ นการป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดาเนินชีวิตประจาวัน การเรยี นรู้ด้วยตนเอง การเรียนรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง การทางาน และการอยู่ร่วมกัน ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก หลกี เลีย่ งพฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ่สี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อน่ื 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื ก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆและมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้ การส่อื สาร การทางาน การแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม 110

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ม่งุ พฒั นาผู้เรียนให้มคี ุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพือ่ ให้ สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ืน่ ในสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ดังน้ี 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ 3. มีวนิ ยั 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มงุ่ มนั่ ในการทางาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ติ สาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ิมเติมให้สอดคล้องตาม บรบิ ทและจุดเน้นของตนเอง มาตรฐานการเรยี นรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน จงึ กาหนดให้ผเู้ รียนเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ดงั น้ี 1. ภาษาไทย 2. คณติ ศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์ 4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 5. สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา 6. ศลิ ปะ 7. การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8. ภาษาตา่ งประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เปน็ เป้าหมายสาคัญของการพฒั นา คณุ ภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรรู้ ะบสุ ิ่งทผ่ี ้เู รียนพึงรู้ ปฏบิ ัติได้ มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม และค่านยิ มทพ่ี ึง ประสงค์เม่ือจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นอกจากน้ันมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการ ขับเคล่ือนพัฒนาการศึกษาท้ังระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะ สอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพ การศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซ่ึงรวมถึงการ ทดสอบระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพ ดังกล่าวเป็นสิ่งสาคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภา พตามท่ี มาตรฐานการเรียนร้กู าหนดเพยี งใด 111

ตัวช้ีวัด ตัวชี้วัดระบุส่ิงที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซ่ึง สะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นา ไปใช้ในการกาหนด เนือ้ หา จัดทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรยี นการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัดประเมินผลเพ่ือ ตรวจสอบคุณภาพผเู้ รียน 1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละช้ันปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 – มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3) 2. ตัวช้ีวัดช่วงช้ัน เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4- 6) สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ ซึ่งกาหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สุข ศกึ ษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชพี และเทคโนโลยี ภาษาตา่ งประเทศ กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพ พัฒนาอย่างรอบด้านเพ่ือ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เสริมสร้างให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย ปลูกฝังและสร้างจิตสานึกของการทาประโยชน์เพ่ือสังคม สามารถจัดการ ตนเองได้ และอยู่รว่ มกับผอู้ ื่นอย่างมีความสุข กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน แบ่งเป็น ๓ ลักษณะ ดังนี้ 1. กจิ กรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถคิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา กาหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิตท้ังด้านการเรียน และอาชีพ สามารถปรับตนได้อย่าง เหมาะสม นอกจากน้ียังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียน ทั้งยังเป็นกิจกรรมท่ีช่วยเหลือและให้คาปรึกษา แกผ่ ปู้ กครองในการมีส่วนรว่ มพฒั นาผูเ้ รยี น 2. กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย ความเป็นผู้นาผู้ตามที่ดี ความรับผิดชอบการ ทางานร่วมกัน การรู้จักแก้ปัญหา การตัดสินใจท่ีเหมาะสม ความมีเหตุผล การช่วยเหลือแบ่งปันกันเอ้ือ อาทร และสมานฉันท์ โดยจดั ใหส้ อดคลอ้ งกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผ้เู รยี นให้ได้ ปฏิบัติด้วยตนเองในทุกข้ันตอน ได้แก่ การศึกษาวิเคราะห์วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมินและ ปรับปรงุ การทางาน เน้นการทางานร่วมกนั เป็นกล่มุ ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกบั วฒุ ิภาวะของ ผู้เรียน บรบิ ทของสถานศึกษาและท้องถิน่ กจิ กรรมนักเรยี นประกอบดว้ ย 2.1 กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บาเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชาทหาร 2.2 กิจกรรมชมุ นุม ชมรม 112

3. กิจกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และท้องถ่ินตาม ความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพื่อแสดงถึงความรับผดิ ชอบ ความดีงาม ความเสียสละต่อสงั คมมีจิต สาธารณะ เช่น กจิ กรรมอาสาพัฒนาตา่ ง ๆ กจิ กรรมสรา้ งสรรคส์ ังคม ระดบั การศกึ ษา หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน จัดระดับการศกึ ษาเปน็ 3 ระดบั ดังน้ี 1. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6) การศึกษาระดับน้ีเป็นช่วงแรกของ การศกึ ษาภาคบังคับ มุ่งเน้นทักษะพ้ืนฐานด้านการอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ทักษะการคิดพื้นฐาน การติดต่อสื่อสาร กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม และพ้ืนฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิต อย่างสมบูรณ์และสมดุลทั้งในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และวัฒนธรรม โดยเน้นจัดการ เรียนร้แู บบบรู ณาการ 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3) เป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาค บังคับมุ่งเน้นให้ผเู้ รียนได้สารวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วน ตน มีทักษะในการคิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดาเนินชีวิต มีทักษะ การใช้เทคโนโลยเี พอ่ื เปน็ เคร่ืองมือในการเรยี นรู้ มคี วามรับผิดชอบต่อสังคม มีความสมดลุ ท้ังด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพ หรอื การศกึ ษาตอ่ 3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 – 6) การศึกษาระดับน้ีเน้นการเพิ่มพูน ความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนแต่ละคน ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ มีทักษะในการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการคิดข้ันสูง สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ มุ่งพัฒนาตน และประเทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผนู้ า และผใู้ ห้บริการชุมชนในด้านต่าง ๆ การจัดเวลาเรยี น หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ได้กาหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต่าสาหรับกลุ่ม สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมได้ตามความพร้อม และจดุ เนน้ โดยสามารถปรบั ใหเ้ หมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรยี น ดงั นี้ 1. ระดับช้ันประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 – 6) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลา เรียนวันละ ไม่เกิน 5 ชั่วโมง 2. ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 – 3) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มี เวลาเรยี นวนั ละไมเ่ กิน 6 ชัว่ โมง คิดนา้ หนักของรายวิชาทเี่ รียนเป็นหน่วยกติ ใชเ้ กณฑ์ 40 ชั่วโมงตอ่ ภาค เรียน มคี า่ น้าหนักวิชา เท่ากับ 1 หนว่ ยกิต (นก.) 3. ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 - 6) ให้จัดเวลาเรยี นเป็นรายภาค มเี วลา เรียน วันละไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง คิดน้าหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมง ต่อ 113

ภาคเรียน มคี ่าน้าหนักวิชา เท่ากับ 1 หน่วยกติ (นก.) โครงสรา้ งเวลาเรยี น การกาหนดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐาน และเพิ่มเติม สถานศึกษาสามารถดาเนินการ ดังน้ี ระดับประถมศึกษา สามารถปรับเวลาเรียนพ้ืนฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้ตามความ เหมาะสม ท้ังน้ี ต้องมีเวลาเรียนรวมตามที่กาหนดไว้ในโครงสร้างเวลาเรียนพ้ืนฐาน และผู้เรียนต้องมี คณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วดั ทีก่ าหนด ระดับมธั ยมศกึ ษา ต้องจดั โครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานให้เป็นไปตามท่ีกาหนดและสอดคล้องกับ เกณฑ์การจบหลักสูตร สาหรับเวลาเรียนเพิ่มเติม ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ให้จัดเป็นรายวิชาเพ่ิมเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษาและเกณฑ์ การจบหลักสูตร เฉพาะระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1-3 สถานศึกษาอาจจัดให้เป็นเวลาสาหรับสาระการ เรียนรพู้ นื้ ฐานในกลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทยและกล่มุ สาระการเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่กาหนดไว้ในช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ปีละ 120 ช่ัวโมง และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 จานวน 360 ช่ัวโมงน้ัน เป็นเวลาสาหรับปฏิบัติกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและ สาธารณประโยชน์ใหส้ ถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผเู้ รยี นได้ปฏิบัตกิ ิจกรรม ดังน้ี ระดบั ประถมศึกษา (ป.1-6) รวม 6 ปี จานวน 60 ชวั่ โมง ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น (ม.1-3) รวม 3 ปี จานวน 45 ช่วั โมง ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6) รวม 3 ปี จานวน 60 ชวั่ โมง การจดั การศกึ ษาสาหรับกลุม่ เปา้ หมายเฉพาะ การจดั การศกึ ษาบางประเภทสาหรบั กลุ่มเปา้ หมายเฉพาะ เช่น การศกึ ษาเฉพาะทาง การศกึ ษา สาหรับผู้มีความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก การศึกษาสาหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตาม อัธยาศัยสามารถนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม กับสภาพ และบริบทของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยให้มีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนด ทั้งนี้ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธกี ารทก่ี ระทรวงศึกษาธิการกาหนด การจดั การเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตาม เปา้ หมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคดั สรรกระบวนการเรยี นรู้ จดั การเรียนรูโ้ ดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่าน สาระทีก่ าหนดไว้ในหลักสูตร 8 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ รวมทงั้ ปลูกฝงั เสริมสร้างคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ พฒั นาทกั ษะต่างๆ อันเป็นสมรรถนะสาคัญใหผ้ ้เู รียนบรรลตุ ามเป้าหมาย 114

1. หลกั การจัดการเรียนรู้ การจดั การเรยี นรู้เพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยยึดหลัก วา่ ผู้เรียนมีความสาคญั ทสี่ ดุ เช่ือวา่ ทกุ คนมีความสามารถเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชนท์ ่ีเกิด กับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม ศักยภาพ คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสาคัญทั้งความรู้ และคุณธรรม 2. กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จาเป็นสาหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิดกระบวนการทาง สังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัยกระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัยกระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ท่ี ผู้เรยี นควรไดร้ ับการฝึกฝน พฒั นาเพราะจะสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ไดด้ ี บรรลเุ ปา้ หมายของ หลักสูตร ดังน้ัน ผู้สอนจึงจาเป็นต้องศึกษาทาความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถ เลือกใช้ในการจดั กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 3. การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ ผสู้ อนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศกึ ษาให้เข้าใจถงึ มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวัด สมรรถนะสาคัญ ของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณา ออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนไดพ้ ัฒนาเตม็ ตามศักยภาพและบรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนด 4. บทบาทของผู้สอนและผูเ้ รียน การจดั การเรยี นรู้เพ่ือใหผ้ ู้เรียนมคี ุณภาพตามเป้าหมายของหลกั สูตร ทั้งผู้สอนและผเู้ รียนควรมี บทบาท ดังน้ี 4.1 บทบาทของผู้สอน 1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนาข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ ท่ีทา้ ทายความสามารถของผเู้ รียน 2) กาหนดเป้าหมายท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ดา้ นความรู้และทักษะกระบวนการ ทีเ่ ปน็ ความคิดรวบยอด หลกั การ และความสมั พันธ์ รวมทั้งคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 3) ออกแบบการเรยี นร้แู ละจดั การเรียนรทู้ ่ีตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและ พฒั นาการทางสมอง เพอื่ นาผ้เู รียนไปส่เู ปา้ หมาย 4) จัดบรรยากาศท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ 5) จดั เตรียมและเลือกใช้สอื่ ให้เหมาะสมกับกิจกรรม นาภูมิปัญญาท้องถิ่นเทคโนโลยีท่ี เหมาะสมมาประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน 115

6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติ ของวชิ าและระดบั พฒั นาการของผูเ้ รียน 7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุง การจดั การเรยี นการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผเู้ รยี น 1) กาหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนร้ขู องตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ต้ัง คาถาม คิดหาคาตอบหรือหาแนวทางแกป้ ัญหาด้วยวธิ ีการต่าง ๆ 3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน สถานการณต์ ่าง ๆ 4) มีปฏสิ มั พนั ธ์ ทางาน ทากจิ กรรมรว่ มกับกลุ่มและครู 5) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ของตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง สื่อการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึง ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพสื่อการ เรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งส่ือธรรมชาติ ส่ือสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ีมีในท้องถิ่น การเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ และลีลาการเรียนรู้ที่ หลากหลายของผู้เรียนการจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทาและพัฒนาข้ึนเอง หรือ ปรับปรงุ เลือกใช้อยา่ งมีคุณภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตวั เพื่อนามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่ สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพ่ือ พฒั นาใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่างแทจ้ ริง สถานศกึ ษา เขตพน้ื ที่การศึกษา หน่วยงานที่เก่ียวข้องและผู้ มหี น้าท่ีจดั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน ควรดาเนินการดังน้ี 1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์ส่ือการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ เรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพท้ังในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปล่ียน ประสบการณ์การเรยี นรู้ ระหวา่ งสถานศึกษา ท้องถ่ิน ชมุ ชน สังคมโลก 2. จัดทาและจัดหาสื่อการเรียนรู้สาหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมทงั้ จดั หาสิง่ ท่มี อี ยใู่ นท้องถนิ่ มาประยกุ ต์ใชเ้ ปน็ สอ่ื การเรียนรู้ 3. เลือกและใช้ส่ือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ วธิ กี ารเรยี นรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรียนรู้ และความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของผเู้ รยี น 4. ประเมนิ คณุ ภาพของสื่อการเรยี นรทู้ ่เี ลือกใช้อย่างเป็นระบบ 5. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน 6. จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับส่ือและการใช้สื่อการ เรียนรู้เป็นระยะๆ และสม่าเสมอในการจัดทา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรยี นรู้ทใี่ ชใ้ น สถานศกึ ษาควรคานึงถึงหลักการสาคัญของส่ือการเรยี นรู้ เชน่ ความสอดคลอ้ งกบั หลักสูตร วัตถุประสงค์ 116

การเรียนรู้การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและ ทันสมัยไม่กระทบความม่ันคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มีการใช้ภาษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนาเสนอที่ เขา้ ใจง่าย และนา่ สนใจ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสองประการคือการ ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ ประสบผลสาเร็จน้ัน ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐาน การเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของผู้เรียน ซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักใน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษาระดับเขต พ้นื ทกี่ ารศึกษา และระดบั ชาติ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน โดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศท่ีแสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสาเร็จ ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและ เรียนรู้อย่างเต็มตามศักยภาพการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้น เรยี น ระดบั สถานศกึ ษาระดับเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา และระดับชาติ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่าง หลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมนิ ชิ้นงาน/ ภาระงาน แฟม้ สะสมงาน การใชแ้ บบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเปน็ ผู้ประเมินเองหรือเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี น ประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีท่ีไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มีการสอนซ่อม เสรมิ การประเมินระดบั ชนั้ เรียนเปน็ การตรวจสอบว่า ผู้เรียนมพี ฒั นาการความกา้ วหนา้ ในการเรยี นรู้ อัน เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการ พัฒนาปรับปรุงและสง่ เสริมในด้านใด นอกจากนยี้ ังเปน็ ข้อมลู ให้ผู้สอนใช้ปรบั ปรุงการเรียนการสอนของ ตนด้วย ทั้งนี้โดยสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชว้ี ดั 2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดาเนินการเพื่อตัดสินผลการ เรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากนเี้ พื่อใหไ้ ด้ข้อมูลเกี่ยวกับการจดั การศกึ ษาของสถานศึกษา วา่ ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรยี นมีจุดพัฒนาในด้านใดรวมท้ังสามารถนาผล การเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดบั สถานศึกษาจะ เป็นขอ้ มูลและสารสนเทศเพือ่ การปรับปรุงนโยบาย หลกั สตู ร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพ่ือการจัดทา แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพ การศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นที่ การศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผปู้ กครองและชมุ ชน 3. การประเมินระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพ้ืนท่ี การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนร้ตู ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพ้นื ฐาน 117

ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดาเนินการ โดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทาและดาเนินการโดยเขตพ้ืนท่ี การศึกษา หรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดาเนินการจัดสอบ นอกจากน้ียังได้จาก การตรวจสอบทบทวนขอ้ มูลจากการประเมินระดบั สถานศกึ ษาในเขตพ้ืนที่การศึกษา 4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการ เรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการ ประเมิน ผลจากการประเมนิ ใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆเพอื่ นาไปใช้ ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับ นโยบายของประเทศข้อมูลการประเมินในระดับต่าง ๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการ ตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น ถอื เปน็ ภาระความรบั ผิดชอบของสถานศกึ ษาทจี่ ะต้องจัดระบบ ดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพ้ืนฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จาแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่ม ผู้เรียนท่ีมคี วามสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนต่า กลุ่มผู้เรียนท่ีมีปัญหาด้านวินัย และพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนท่ีปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการ ทางร่างกายและสตปิ ญั ญา เปน็ ต้น ขอ้ มลู จากการประเมินจึงเปน็ หัวใจของสถานศึกษาในการดาเนินการ ช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบความสาเร็จในการเรียน สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทาระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการ เรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติท่ีเป็นข้อกาหนดของ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน เพ่อื ใหบ้ ุคลากรทีเ่ ก่ียวข้องทุกฝา่ ยถือปฏิบัตริ ่วมกนั เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผลการเรยี น 1. การตดั สนิ การให้ระดับและการรายงานผลการเรยี น 1.1 การตัดสินผลการเรยี น ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนน้นั ผู้สอนตอ้ งคานึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคน เป็นหลัก และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมท้ัง สอนซ่อมเสรมิ ผเู้ รยี นให้พัฒนาจนเตม็ ตามศกั ยภาพ ระดับประถมศึกษา (1) ผู้เรยี นตอ้ งมีเวลาเรียนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนท้ังหมด (2) ผ้เู รยี นตอ้ งได้รับการประเมินทุกตัวชี้วดั และผา่ นตามเกณฑท์ ่สี ถานศึกษากาหนด (3) ผเู้ รยี นต้องไดร้ ับการตัดสนิ ผลการเรียนทุกรายวิชา (4) ผ้เู รียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด ใน การอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขยี น คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน การพิจารณาเล่ือนชั้นท้ังระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่อง 118

เพยี งเล็กน้อย และสถานศึกษาพจิ ารณาเห็นวา่ สามารถพัฒนาและสอนซอ่ มเสริมได้ ให้อยู่ในดลุ พินิจของ สถานศึกษาท่ีจะผ่อนผันให้เล่ือนช้ันได้ แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะ เป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นท่ีสูงขึ้น สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าช้ันได้ ทั้งนีใ้ หค้ านงึ ถงึ วฒุ ิภาวะและความรู้ความสามารถของผูเ้ รียนเป็นสาคัญ 1.2 การให้ระดบั ผลการเรยี น ระดับประถมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถให้ระดับผลการ เรียนหรือระดับคณุ ภาพการปฏิบตั ิของผู้เรียน เปน็ ระบบตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบร้อยละ และระบบ ท่ใี ช้คาสาคญั สะท้อนมาตรฐาน การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ ระดับผลการประเมินเปน็ ดเี ย่ยี ม ดี และผ่าน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การ ปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรม เป็นผา่ นและไมผ่ ่าน ระดับมัธยมศึกษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดง ระดับผลการเรยี นเป็น 8 ระดบั การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ ระดับผลการประเมนิ เปน็ ดเี ยย่ี ม ดี และผ่าน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาท้ังเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การ ปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรม เปน็ ผา่ นและไม่ผา่ น 1.3 การรายงานผลการเรียน การรายงานผลการเรียนเปน็ การสื่อสารให้ผู้ปกครองและผเู้ รียนทราบความก้าวหนา้ ใน การเรียนรู้ของผู้เรียน ซ่ึงสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทาเอกสารรายงานให้ผู้ปกครอง ทราบเปน็ ระยะ ๆ หรอื อย่างนอ้ ยภาคเรียนละ 1 คร้ัง การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนท่ี สะทอ้ นมาตรฐานการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรียนรู้ 2. เกณฑ์การจบการศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กาหนดเกณฑ์กลางสาหรับการจบการศึกษาเป็น 3 ระดบั คือ ระดบั ประถมศกึ ษา ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น และระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 2.1 เกณฑ์การจบระดับประถมศึกษา (1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพ่ิมเติมตามโครงสร้างเวลา เรยี นทห่ี ลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานกาหนด (2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพ้ืนฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่ สถานศึกษากาหนด 119

(3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การ ประเมนิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด (4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษากาหนด (5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด 2.2 เกณฑ์การจบระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ (1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พนื้ ฐาน 63 หนว่ ยกติ และรายวิชาเพม่ิ เติมตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด (2) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พน้ื ฐาน 63 หนว่ ยกติ และรายวิชาเพิ่มเติมไม่นอ้ ยกว่า 14 หน่วยกติ (3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่าน เกณฑ์การ ประเมนิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด (4) ผเู้ รียนมผี ลการประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน ตามที่สถานศกึ ษากาหนด (5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด 2.3 เกณฑ์การจบระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (1) ผู้เรียนเรยี นรายวิชาพ้นื ฐานและเพม่ิ เตมิ ไมน่ อ้ ยกวา่ 81 หน่วยกติ โดยเป็นรายวิชา พ้นื ฐาน 39 หนว่ ยกติ และรายวชิ าเพิ่มเตมิ ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด (2) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา พ้นื ฐาน 39 หนว่ ยกิต และรายวชิ าเพ่ิมเติม ไมน่ อ้ ยวา่ 38 หน่วยกติ (3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์การ ประเมนิ ตามที่สถานศึกษากาหนด (4) ผเู้ รยี นมีผลการประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด (5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามท่ีสถานศึกษากาหนดสาหรับการจบการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะ ทาง การศึกษาสาหรับผู้มีความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก การศึกษาสาหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัยให้คณะกรรมการของสถานศึกษา เขตพ้ืนท่ีการศึกษา และผู้ท่ีเก่ียวข้อง ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ของหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานสาหรบั กลุม่ เป้าหมายเฉพาะ 120

เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา เอกสารหลักฐานการศึกษา เป็นเอกสารสาคัญท่ีบันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศที่ เก่ยี วขอ้ งกบั พัฒนาการของผเู้ รียนในดา้ นตา่ ง ๆ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1. เอกสารหลกั ฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนด 1.1 ระเบียนแสดงผลการเรียน เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียนของ ผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงคข์ องสถานศึกษา และผลการประเมินกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น สถานศกึ ษาจะต้องบนั ทกึ ข้อมูลและ ออกเอกสารน้ีให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เม่อื ผ้เู รียนจบการศึกษาระดับประถมศกึ ษา (ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6) จบการศึกษาภาคบังคับ (ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3) จบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6) หรือ เมือ่ ลาออกจากสถานศึกษาในทุกกรณี 1.2 ประกาศนียบัตร เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพื่อรับรองศักด์ิและสิทธ์ิของผู้จบ การศึกษา ท่ีสถานศึกษาให้ไว้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ และผู้จบการศึกษาข้ันพ้ืนฐานตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 1.3 แบบรายงานผู้สาเร็จการศึกษา เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดยบันทึกรายช่ือและ ข้อมูลของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6) ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ (ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3) และผจู้ บการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน (ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6) 2. เอกสารหลักฐานการศกึ ษาที่สถานศกึ ษากาหนด เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทาข้ึนเพื่อบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสาคัญ เก่ียวกับผู้เรียน เช่น แบบรายงานประจาตัวนักเรียน แบบบันทึกผลการเรียนประจารายวิชา ระเบียน สะสม ใบรับรองผลการเรียน และ เอกสารอนื่ ๆ ตามวตั ถุประสงคข์ องการนาเอกสารไปใช้ การเทียบโอนผลการเรยี น สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนในกรณีต่างๆได้แก่ การย้ายสถานศึกษา การเปลี่ยนรูปแบบการศึกษา การย้ายหลักสูตร การออกกลางคันและขอกลับเข้ารับการศึกษาต่อ การศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากน้ี ยังสามารถเทียบโอนความรู้ ทักษะประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เช่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนา สถาบันการ ฝึกอบรมอาชพี การจัดการศกึ ษาโดยครอบครัวการเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนนิ การในช่วงกอ่ นเปิด ภาคเรียนแรก หรือต้นภาคเรียนแรกท่ีสถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นผู้เรียน ทั้งนี้ ผู้เรียนที่ได้รับการ เทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อเน่ืองในสถานศึกษาที่รับเทียบโอนอย่างน้อย ๑ ภาคเรียน โดย สถานศึกษาท่ีรับผู้เรียนจากการเทียบโอนควรกาหนดรายวิชา /จานวนหน่วยกิตที่จะรับเทียบโอนตาม ความเหมาะสมการพิจารณาการเทยี บโอน สามารถดาเนนิ การได้ ดงั น้ี 1. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา และเอกสารอ่ืน ๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถ ของผู้เรยี น 2. พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียนโดยการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งภาค ความรู้และภาคปฏิบตั ิ 121

3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจริงการเทียบโอนผลการเรียนให้เป็นไป ตาม ประกาศ หรือ แนวปฏบิ ัติ ของกระทรวงศึกษาธิการ การบรหิ ารจดั การหลักสตู ร ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอานาจให้ท้องถ่ินและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนา หลักสูตรนั้น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับ สถานศึกษา มีบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบในการพัฒนา สนับสนุน ส่งเสริม การใช้และพัฒนา หลกั สตู รให้เป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ เพื่อให้การดาเนินการจัดทาหลักสูตรสถานศกึ ษาและการจัดการ เรียนการสอนของสถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนบรรลุตาม มาตรฐานการเรยี นรู้ท่กี าหนดไว้ในระดับชาติ ระดับท้องถ่ิน ได้แก่ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา หน่วยงานต้นสังกัดอ่ืน ๆ เป็นหน่วยงานที่มี บทบาทในการขับเคล่ือนคุณภาพการจัดการศึกษา เป็นตัวกลางที่จะเช่ือมโยงหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐานที่กาหนดในระดับชาติให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่ินเพื่อ นาไปสู่การจัดทาหลักสูตรของสถานศึกษา ส่งเสริมการใช้และพัฒนาหลักสูตรในระดับสถานศึกษาให้ ประสบความสาเร็จ โดยมีภารกิจสาคัญ คือ กาหนดเป้าหมายและจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนใน ระดับท้องถ่ินโดยพิจารณาให้สอดคล้องกับส่ิงท่ีเป็นความต้องการในระดับชาติ พัฒนาสาระการเรียนรู้ ท้องถ่ิน ประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับท้องถ่ิน รวมทั้งเพ่ิมพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัย และพัฒนา การพัฒนาบุคลากร สนับสนุน ส่งเสริม ติดตามผล ประเมินผล วิเคราะห์ และรายงานผล คณุ ภาพของผ้เู รียน สถานศึกษามีหน้าท่ีสาคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การวางแผนและดาเนินการใช้ หลักสูตร การเพิ่มพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัยและพัฒนา การปรบั ปรุงและพัฒนาหลักสูตร จัดทาระเบียบการวัดและประเมินผล ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และรายละเอียดที่เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัด อ่ืนๆ ในระดับท้องถ่ินได้จัดทาเพิ่มเติม รวมท้ัง สถานศึกษาสามารถเพ่ิมเติมในส่วนท่ีเก่ียวกับสภาพ ปญั หาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น และความต้องการของผ้เู รียน โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วน ร่วมซึ่งเปน็ เปา้ หมายหลกั ในการพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา บทสรปุ หลกั สตู รแกนกลาง การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เรมิ่ ใชต้ ้งั แต่ปี การศึกษา 2552 และได้รับการปรับปรุงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม และ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทเี่ จรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อพัฒนาและเสริมสรา้ งศักยภาพ คนของชาติให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการยกระดับคุณภาพ การศึกษาและการเรียนร้ใู ห้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลสอดคล้องกับประเทศไทย 4.0 และโลก 122

ในศตวรรษท่ี 21 อย่างไรก็ดี การดาเนินการพัฒนาหลักสูตร และการใช้หลักสูตร ควรได้รับการพัฒนาทุก 5 ปี เนื่องจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม มีความ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หลักสูตรจึงควรได้รับการพฒั นา เพ่ือปรับให้ทนั กับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คาถามทบทวน 1. หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานท่ีประกาศใช้โดยกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับปัจจุบัน ช่ือหลักสูตรอะไร 2. หลกั สูตรในขอ้ ท่ี 1 มีวิสัยทัศนอ์ ย่างไร จงอธบิ าย 3. หลักสตู รในข้อท่ี 1 มีคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์กี่ประการ อะไรบ้าง 4. หลักสูตรในข้อที่ 1 มีมาตรฐานการเรียนรกู้ ่กี ลมุ่ สาระ อะไรบา้ ง 5. จงบอกสว่ นประกอบของกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี นโดยละเอยี ด เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551. [Online] ค้นจาก http://www.onec.go.th/index.php/page/viewsearch 123

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7 หัวขอ้ เนอ้ื หา เนอ้ื หาสาระในบทนีป้ ระกอบด้วย 1. ความหมายของการประเมนิ หลักสตู ร 2. จุดมุง่ หมายของการประเมนิ หลกั สตู ร 3. ระยะของการประเมินหลักสูตร 4. รูปแบบของการประเมนิ หลักสตู ร 5. ข้อควรระวังในการการประเมนิ หลักสูตร 6. ปัญหาในการประเมินหลกั สูตร วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม เมื่อเรยี นบทเรียนนีจ้ บแลว้ นกั ศกึ ษามีความสามารถ ดังนี้ 1. บอกความหมายของการประเมินหลักสูตรได้ 2. บอกจดุ มงุ่ หมายของการประเมนิ หลักสตู รได้ 3. บอกระยะของการประเมินหลักสูตรได้ 4. บอกรูปแบบการประเมินหลักสตู รได้ 5. บอกขอ้ ควรระวังในการประเมินหลกั สูตรได้ 6. บอกปญั หาในการประเมนิ หลักสูตร และดาเนินการประเมนิ หลกั สตู รได้ วิธีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วิธีสอน 1.1 บรรยาย 1.2 การอธบิ าย 1.3 การประชุมกลุ่มยอ่ ย 1.4 การวิเคราะหเ์ นอ้ื หา ทฤษฎี 1.5 การถาม-ตอบ 1.6 การอภปิ ราย แลกเปล่ียนเรียนรู้ 2. กิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนเร่ืองความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการประเมินหลักสูตร มีดังน้ี 2.1 ผู้สอนทบทวนแนวคิดเก่ียวกับการศึกษา โดยใช้กระบวนการ ถาม-ตอบและ อภิปราย แนวคิดพน้ื ฐานของการนาหลักสตู รไปใช้ 2.2 ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มศึกษาความหมายและจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร 124

ระยะของการประเมินหลักสูตร ส่ิงที่ตอ้ งประเมิน เสรจ็ แลว้ ให้แต่ละกลุ่มนาเสนอผลของการเรยี นรู้ 2.3 ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนร่วมกนั วเิ คราะห์ขน้ั ตอนกรประเมินหลกั สูตร 2.4 ผ้สู อนบรรยายเร่ืองระดบั การพัฒนาหลกั สตู ร 2.5 ผู้สอนให้ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ อภิปรายแนวคิดเร่ืองประโยชน์ของการประเมิน หลักสตู ร ส่อื การเรยี นการสอน ส่อื การเรยี นการสอนท่ใี ชป้ ระกอบกจิ กรรมการเรยี นการสอน มีดังนี้ 1. เอกสารประกอบการเรียนการสอน “การพฒั นาหลกั สูตร” 2. ตารา หนังสอื เรยี นเกย่ี วกบั การพัฒนาหลกั สตู ร 3. Power point ความรู้ตา่ ง ๆ 4. เครือขา่ ยการเรียนรู้ทางอนิ เทอรเ์ น็ตเกย่ี วกบั การพัฒนาหลักสูตร การวัดและการประเมินผล การวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ มดี งั นี้ 1. สังเกตพฤตกิ รรมการตอบคาถาม 2. สงั เกตพฤตกิ รรมการแสดงความคิดเห็น ขอ้ เสนอท่ีใช้ในการอภปิ ราย 3. การทาแบบฝกึ หัด 125

บทที่ 7 การประเมนิ หลกั สูตร การประเมินหลักสูตร คือกระบวนการสืบค้นข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร ผลของการประเมนจะทาให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรสามารถดาเนินการใดๆ กับหลักสูตรได้ เช่น ปรับปรุงหลักสูตรบางส่วน ปรับปรุงหลักสูตรท้ังหมด หรือสามารถใช้หลักสูตรได้โดยไม่ต้องปรับปรุง แกไ้ ข ผลการประเมินหลักสูตร จะเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพของหลักสูตรได้เป็นอย่างดี และเป็น หลกั ฐานสาคัญในการตัดสินคุณภาพของหลักสูตร อย่างไรก็ตามผปู้ ระเมนิ หลักสูตรควรมีความรดู้ า้ นการ ประเมิน และมีความเข้าใจในเน้ือหาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรเป็นอย่างดี จะส่งผลให้ผลการ ประเมนิ มคี วามถูกต้องเหมาะสมยงิ่ ข้ึน ความหมายของการประเมนิ หลกั สตู ร สุเทพ อ่วมเจริญ (2557 : 152-153) ได้ศึกษาพบว่า การประเมินหลักสูตร หมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลเพื่อนามาตัดสินใจเก่ียวกับคุณภาพทั้ง ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหลักสูตร รวมถึงส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนจากการใช้หลักสูตรนั้นในอนาคต แนวคดิ การประเมนิ หลักสตู ร ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะ ดงั นี้ 1. การประเมินเป็นการประเมินค่าของเร่อื งที่ตดั สนิ ใจ 2. การตดั สนิ ใจมีเกณฑ์ที่ชดั เจน 3. เกณฑก์ ารจดั สนิ ใจมปี ระเดน็ ทคี่ รอบคลุมและเหมาะสมกับเนื้อหา 4. เกณฑ์แสดงให้เห็นด้วยบุคคลและสอดคล้องกับแนวคิดของแบบจาลองเพื่อนาไปสู่การ ตดั สนิ ใจ กติ ตคิ ม คาวีรตั น์ (2554 : 122) ไดศ้ กึ ษาพบวา่ การประเมินหลกั สูตร เปน็ กระบวนการรวบรวม ขอ้ มลู สารสนเทศจากการประเมนิ ในข้นั ตอนต่างๆ เกย่ี วกับหลักสูตรเพอ่ื นามาตัดสนิ คุณคา่ หรือคุณภาพ ของหลักสูตร ตามทไี่ ด้ตง้ั จดุ มงุ่ หมายในหลกั สตู รไว้ สุนีย์ ชุ่มจิต (2548 : 191) ได้ศึกษาพบว่า การประเมินผลหลักสูตรเป็นกระบวนการพัฒนา หลักสูตรและปรบั ปรงุ หลกั สตู ร ผู้ประเมินตอ้ งเข้าใจจุดมุ่งหมายของการประเมินผลสิ่งทตี่ ้องประเมนิ ผล และวิธีการประเมินผล เพ่ือจะได้ประเมินผลหลักสูตรได้ถูกต้อง ส่ิงท่ีต้องประเมินผลมีอยู่หลาย องค์ประกอบรูปแบบของการประเมินก็มีอยู่มาก ผลการประเมินหลักสูตรเมื่อประเมินแล้วจะเป็น ประโยชน์ต่อนักเรียน ครู อาจารย์ และผู้บริหาร หางการประเมินทาอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมาย และ วิธีการท่ีชดั เจน ผลการประเมินผลเอกสารหลักสตู รเมื่อนาไปปรบั ปรงุ หลกั สูตร จะทาให้รา่ งสงู มคี ณุ ภาพ ดขี นึ้ และขอ้ บกพร่องน้อยลง ซง่ึ กจ็ ะเป็นผลดตี ่อการศกึ ษาของประเทศชาตติ อ่ ไป 126

จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสตู ร ใจทิพย์ เชื้อรตั นพงษ์ (2539 : 192-193) ได้ศึกษาพบว่า โดยท่ัวไป การประเมินหลักสูตรใด ๆ กต็ ามจะมีจุดมุ่งหมายท่สี าคัญดังน้ี 1. เพ่ือหาทางปรับปรุงแก้ไขส่ิงบกพร่องท่ีพบในองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร การ ประเมินผลในลักษณะน้ีมักจะดาเนินในช่วงท่ีการพัฒนาหลักสูตรยังคงดาเนินการอยู่ เพื่อท่ีจะพิจารณา ว่าองค์ประกอบต่าง ๆของหลักสูตร เช่น จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง เน้ือหา การวัดผล มีความเหมาะสม สอดคล้องหรือไม่ สามารถนามาปฏิบัติในชว่ งการนาหลกั สูตรไปทดลองใช้ หรอื ในขณะที่การใชห้ ลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอนดาเนินอยู่ได้มากน้อยเพียงใด ได้ผลเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคอะไร จะไดเ้ ป็นประโยชน์แก่นกั พัฒนาหลกั สูตรและผูม้ ีสว่ นเกยี่ วข้องในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ ต่าง ๆ ของหลักสตู ร ให้มีคณุ ภาพดขี น้ึ ไดท้ นั ท่วงที 2. เพ่ือหาทางปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร การนิเทศ การกากับดูแล และการจัด กระบวนการเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธภิ าพย่ิงข้นึ การประเมนิ ผลในลักษณะนจ้ี ะดาเนินการในขณะท่ีมี การนาหลักสูตรไปใช้ จะได้ชว่ ยปรับปรุงหลักสูตรให้บรรลุตามเป้าหมายทว่ี างไว้ 3. เพอ่ื ช่วยในการตัดสินใจของผูบ้ รหิ ารว่า ควรใชห้ ลักสูตรต่อไปหรอื ควรยกเลิกการใช้หลักสูตร เพียงบางส่วน หรือยกเลิกท้ังหมด การประเมินผลในลักษณะนี้จะดาเนินการหลังจากที่ใช้หลักสูตรไป แล้วระยะหน่ึง แล้วจึงประเมินเพ่ือสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ดี บรรลุตามเป้าหมายท่ี กาหนดไว้มากน้อยเพียงใด สนองความต้องการของสังคมเพียงใด และเหมาะกับการนาไปใช้ต่อไป หรอื ไม่ 4. เพื่อต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งเป็นผลผลิตของหลักสูตรว่ามีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปตามความม่งุ หวังของหลักสูตรหรอื ไม่ อย่างไร การประเมินผลในลักษณะน้จี ะดาเนินการใน ขณะท่มี ีการนาหลกั สูตรไปใชห้ รือหลังจากทใ่ี ชห้ ลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่งก็ได้ มารุต พัฒผล (2555 : 16-19) ได้ศึกษาพบว่า เหตุท่ีส่งผลทาให้ต้องมีการประเมินหลักสูตร มี หลายประการดงั ต่อไปน้ี 1.ทรัพยากรท่ีใช้ในการบรหิ ารจัดการหลักสูตร ได้แก่ บุคคลงบประมาณ วสั ดุและอุปกรณ์ตา่ งๆ มีอยู่อย่างจากัด และเพื่อให้การดาเนินการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุดกล่าวคือเป็นการใช้ ทรัพยากรน้อยท่ีสุดแต่สามารถทาให้ผู้เรียนมีคุณภาพจึงจาเป็นต้องมีการประเมินหลักสูตรเกิดขึ้นซ่ึงจะ ทาให้ทราบว่าการบริหารจัดการหลักสูตรมีประสิทธิภาพหรือไม่ มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ สงู สุดหรือไม่ เช่น การประเมินปริมาณงานของผู้สอนรายบุคคล ซ่ึงอาจพบว่าผู้สอนกลุ่มหน่ึงมี ปริมาณ งานการจัดการเรียนการสอนจานวนมาก และผู้สอนอีกกล่มุ หน่ึงมีปริมาณการจดั การเรยี นการสอนน้อย ทาให้ต้องปรับปรุงระบบการมอบหมายงานให้เหมาะสมมากข้ึน เป็นต้นหรือการประเมินการใช้วัสดุ ครุภัณฑ์ต่าง ๆ อาจพบว่า มีการเบิกวัสดุท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนมากเกินความจาเป็น เช่น กระดาษท่ีใชส้ าหรบั ถา่ ยเอกสาร ผงเคมี เป็นต้น ซ่ึงสงิ่ ต่างๆ เหล่านล้ี ้วนเป็นทรัพยากรหลักสตู รท้ังสิน้ ถ้า ไม่มีการประเมินหลักสูตรอย่างเป็นระบบแล้ว อาจทาให้มีการใช้ทรัพยากรท่ีไม่คุ้มค่าและสิ้นเปลือง ต่อไป 2. หลักสูตรได้ถูกใช้มาเป็นระยะเวลานาน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีองค์ความรู้ 127

ใหมเ่ กิดขึ้นทุกวัน ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาการต่าง ๆ ตลอดจนธรรมชาตกิ ารเรียนรู้ของผู้เรียนรูย้ ุคใหม่ที่ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการ ประเมินหลักสูตรภายหลังจากท่ไี ด้ดาเนินการใช้ไปช่วงเวลาหน่ึง เพ่ือทาให้หลักสูตรมีความทันสมัยและ สอดคล้องกับบริบททางสังคมมากข้ึน ซ่ึงไม่มีการกาหนดช่วงระยะเวลาตายตัวว่าจะต้องใช้หลักสูตรไป นานเท่าใดจึงจะทาการประเมิน ข้ึนอยู่กับบริบทของการใช้หลักสูตร การประเมินหลักสูตร บางครั้งจะ นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตร หรืออาจจะนาไปสู่การยกเลิกการใช้หลักสูตรเดิมแล้วพัฒนาหลกั สูตรใหม่ ขึ้นมาใช้แทน เช่น การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้นใช้แทน หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 แทนหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2544 ตามคาสั่งของ กระทรวงศึกษาธิการ ที่ สพฐ 293/2551 ลงวันท่ี 11กรกฎาคม พ.ศ. 2551 (สานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2551) เปน็ ต้น 3. มปี ัจจัยภายนอกท่สี ่งผลให้ตอ้ งประเมนิ หลักสูตร เนื่องจากการจัดการศึกษาของหลักสูตรทุก หลักสูตรมีความเกย่ี วข้องกับปัจจัยภายนอกต่างๆ หลายปัจจยั ท้ังด้านความต้องการของผปู้ กครองและ ชุมชน มาตรฐานขององค์กรวิชาชีพ การเปล่ียนแปลงของสังคม ตลอดจนทิศทางการจัดการศึกษาและ การทดสอบในระดับนานาชาติ ดังนั้นหลักสูตรจึงต้องมีการประเมินและปรับปรุงให้สอดคล้องกับปัจจัย ภายนอกต่างๆ ดังกล่าวเพ่ือใหผ้ ู้สาเร็จการศึกษา มีคุณลักษณะและสมรรถนะตรงตามความต้องการและ มาตรฐานทก่ี าหนด การศึกษาในระดบั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐานขณะน้ี มีปัจจยั ภายนอกท่ีสาคญั และมอี ิทธิพลทาให้ต้อง มีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตร คือ การประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับนานาชาติ ซ่ึงประเทศ ไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มีการประเมินคุณภาพการศึกษาจากคุณภาพของผู้เรียนโดยใช้การประเมิน คุณภาพของผู้เรียนระดับนานาชาติ ท่ีมุ่งประเมินทักษะการคิดและการแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นการ ประเมินของ PISA (Programme for International Student Assessment) การประเมนิ ของ TIMMS (Trends in International Mathematics and Science Study) และล่าสุดมีการประเมินทักษะด้าน การรู้คิด (cognitive skills) และความสุขในการเรียนรู้ ท้ังนี้เพ่ือให้ความสามารถแสวงหาและความรู้ และเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย 1) เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Science) 2) การเรียนรู้ทาง คณิตศาสตร์ (Mathematics) 3) การเรียนรู้ทางเทคโนโลยี (Technology) 4) การคิดวิเคราะห์ และ 5) การคิดสร้างสรรค์ ซ่งึ ผลการประเมินหลาย ๆ ครัง้ ท่ีผา่ นมายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทาให้ต้องมีการประเมิน และปรบั ปรงุ หลกั สตู ร สาหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะน้ีมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลให้ต้องมีการประเมินและ ปรบั ปรุงหลักสูตร คือ การประกาศกรอบมาตรฐานคุณวุฒริ ะดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2552 และการ ประกาศมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา ของสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ทาให้ทุกหลักสูตรท่ีเปิดสอนใน ระดับอุดมศึกษาต้องมีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตรภายในเวลาที่กาหนด นอกจากนี้การเปิด ประชาคมอาเซียนทาให้ผู้ที่ประกอบวิชาชีพบางวิชาชีพ (ขณะนี้มี 7 วิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ นักบัญชี วิศวกร พยาบาล สถาปนิก และนักสารวจ) สามารถเคลื่อนย้ายไปทางานได้อย่างเสรีใน ประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ ในปี พ.ศ. 2558 จึงทาให้ทุกหลักสตู รที่เปิดทาการจัดการเรยี นการสอน 128

ใน 7 สาขาวิชาชีพนี้ต้องมีการประเมินและปรับปรุงหลักสูตรให้มีมาตรฐานผลการเรียนรู้ทัดเทียมกัน เพ่ือให้ผู้สาเร็จการศึกษาสามารถออกไปปฏิบัติงานร่วมกับเพ่ือนร่วมวิชาชีพจากต่างประเทศได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4. ความต้องการข้อมูลสารสนเทศสาหรับการปรับปรุงหลักสูตร ซึ่งโดยหลักวิชาการแล้วการ ปรับปรุงหลักสูตรจะทาได้ก็ต่อเม่ือมีผลการประเมินท่ีถูกต้อง หากไม่มีผลการประเมินผู้บริหาร ผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ จะไม่สามารถตัดสินใจปรับปรุงหลักสูตรหรือยกเลิกการใช้หลักสูตรได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2555 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความต้องการข้อมูลสารสนเทศเก่ียวกับการ ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือนามาใช้ในการพิจารณาปรับปรุง หลักสูตร จึงดาเนินการประเมินหลักสูตรโดยประสานความร่วมมือกับทีมนักวิจัยของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีดาเนินการประเมินหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพกับผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารเขตพ้ืนที่ การศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูผู้สอนผู้เรียน และชุมชน หรือกรณีของหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยตารวจ ผู้บังคับบัญชาต้องการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือนามาใช้ปรับปรุงหลักสูตรนักเรียนนายร้อยตารวจ พ.ศ. 2549 ด้วยเหตุนจ้ี ึงใหม้ ีการวจิ ัยประเมินหลกั สูตรนกั เรียนนายรอ้ ยตารวจมุ่งส่คู วามเป็นวชิ าชีพตารวจใน ทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2555 - 2564 ) เกิดขึ้น กล่าวโดยสรุปคือ ความต้องการข้อมูลสารสนเทศเก่ียวกับ หลักสูตรของผู้บริหารจะนาไปสกู่ ารประเมนิ หลักสตู ร 5. ความต้องการงบประมาณสาหรับการจัดการศึกษาที่เหมาะสม โดยปกติการจัดการศึกษา ของหลกั สูตร จะมคี ่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่นค่าใช้จา่ ยในการจัดการเรียนการสอน คา่ ใช้จา่ ยตอบแทนบุคลากร คา่ ใช้จา่ ยเกี่ยวกับยานพาหนะเดินทาง ค่าใช้จา่ ยเกี่ยวกบั การจดั กจิ กรรมพิเศษอน่ื ๆ เป็นต้น ดังนนั้ เร่ือง การเงินในงบประมาณจึงเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเล้ียงการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐาน แต่ อย่างไรก็ตามภาวะทางเศรษฐกิจมีการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินลดลงแต่ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังน้ันจึงจาเป็นต้องมีงบประมาณเพิ่มเติมอย่างเพียงพอ สาหรับหลักสูตรระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานจะ ได้รับงบประมาณส่วนหน่ึงจากรัฐบาล และมีรายรับอื่น ๆ จากเงินรายได้ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของ แต่ละสถานศึกษา สาหรับหลักสูตรระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรืออยู่ในกากับของรัฐ จะได้รับจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งจากรัฐบาล อีกส่วนหน่ึงได้จากเงินรายได้ต่างๆ สาหรับหลักสูตร ระดับบัณฑิตศึกษา (สูงกว่าปริญญาตรี) เป็นหลักสูตรที่ต้องหารายได้เล้ียงตัวเองซ่ึงการที่จะเสนอขอ จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมได้น้ันจาเป็นต้องมีข้อมูลสารสนเทศมาสนับสนุนเหตุผลของการขอจัดสรร งบประมาณ ซ่ึงวิธีการหน่ึงคือการประเมินหลักสูตร โดยเฉพาะการประเมินในด้านการเงินและ งบประมาณท่ีใช้ในการจัดการศึกษา ซึ่งจะทาให้มีข้อมูลว่าถ้าต้องการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพแล้ว จะต้องใช้งบประมาณเป็นเงินเท่าใด จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีหลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาเอก หลักสูตรหน่ึง เร่ิมใช้ในปี พ.ศ. 2530 โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตรประมาณ 100,000 บาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2555 (ใช้หลักสูตรมาแล้ว 25 ปี) ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรเกิดขึ้น ซ่ึง ในการนี้มีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายต่างๆ ท่ีต้องใช้ในหลักสูตรแล้วพบว่าไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ หลักสูตรให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ในบริบทของสังคมปัจจุบัน ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้คณะกรรมการ พัฒนาหลักสูตรตัดสินใจปรับปรุงค่าธรรมเนียมการศึกษาตลอดหลักสูตรจากเดิมเป็น 300,000 บาท 129

และได้เสนอหลักสูตรตามขั้นตอนจนได้รับการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัย จึงทาให้การบริหารจัดการ หลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากข้ึน ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกประสบการณ์การ เรียนรู้ในต่างประเทศ จากเดิมท่ีไม่สามารถทาได้เน่ืองจากงบประมาณไม่เพียงพอสรุปเหตุผลและความ จาเป็นท่ที าใหต้ ้องมกี ารประเมินหลกั สูตรแสดงได้ดังแผนภาพต่อไปน้ี ทรัพยากรท่ใี ชใ้ นการบรหิ ารจัดการหลกั สูตรมจี ากัด การปรับปรงุ หลักสตู ร หลักสตู รมีการถูกใชม้ าเปน็ ระยะเวลานาน ได้รับผลกระทบจากปจั จัยภายนอก ความตอ้ งการขอ้ มลู สารสนเทศ ความตอ้ งการงบประมาณเพ่ิมขน้ึ ภาพประกอบท่ี 3 ปจั จัยท่ีทาใหเ้ กดิ การปรบั ปรุงหลักสูตร การประเมนิ หลักสตู รเชิงสร้างสรรค์ การประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การประเมินหลักสูตรเดิมเพื่อเป็นฐานข้อมูล (based – line data) สาหรับการประเมินหลักสูตรทาโดยคณะกรรมการที่มีสัดส่วนองค์ประกอบของ คณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญเหมาะสมกับหลักสูตรที่ประเมิน ใช้วิธีการประเมินหลักสูตรหลายวิธี ท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ทาให้ได้สารสนเทศที่เป็นจริง สามารถนามาปรับปรุงหลักสูตรให้มี คุณภาพมากขึน้ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ลักษณะสาคัญของการประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์สามารถวิเคราะห์ได้เป็น 3 องค์ประกอบ แบ่งตามช่วงระยะเวลาการประเมินหลักสูตร คือ การประเมินก่อนการใช้หลักสูตรการประเมินระหว่าง การใช้หลักสูตรและการประเมินหลังการใช้หลักสูตรโดยการประเมินแต่ละครั้งให้ความสาคัญกับการ ปรบั ปรงุ และพฒั นาหลกั สูตรให้มคี ุณภาพมากขนึ้ ดงั นี้ 1. การประเมนิ กอ่ นการใช้หลกั สตู ร การประเมนิ กอ่ นการใชห้ ลักสูตรม่งุ ประเมนิ คณุ ภาพของเอกสารหลกั สูตร โดยใชว้ ิธีการประเมิน โดยผู้เช่ียวชาญ (connoisseurship) เพื่อตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรฉบับร่าง และให้ข้อเสนอแนะท่ี เป็นประโยชน์ โดยการพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร เช่น เอกสารหลักสูตรเนื้อหาสาระ 130

การเรียนการสอน และการวัดประเมินผล โดยผู้เช่ียวชาญหลายฝ่ายท้ังผู้เช่ียวชาญทางด้านหลักสูตร และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาท่ีบรรจุไว้ในหลักสูตร ร่วมมือกันพิจารณา นับว่าเป็นกระบวนการที่ สาคัญที่สุดก่อนท่ีจะนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติและจากประสบการณ์ท่ีผ่านมาเก่ียวกับการพิจารณ า คุณภาพของเอกสารหลักสูตรของผู้เขียน พบว่า มีประเด็นที่เป็นข้อเสนอแนะที่พบอยู่บ่อยคร้ังโดย ภาพรวมดงั ตอ่ ไปนี้ กรณีหลกั สูตรสถานศกึ ษา ควรกาหนดวิสัยทัศน์ของหลักสูตร ท่ีสะท้อนภาพความสาเร็จของการจัดการศึกษาใน อนาคตของแต่ละสถานศึกษา ท่ีมีความสมดุลระหว่างมุมมองของสถานศึกษาและมุมมองของ กระทรวงศึกษาธิการ ควรกาหนดพันธกิจการจัดการศึกษาท่ีมีจุดเน้นที่ชัดเจน ไม่ควรเขียนในลักษณะ กจิ กรรม หรืองานประจา การกาหนดจุดหมาย สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ควร สะท้อนอัตลักษณ์ท่ีโดดเด่นของผู้เรียน ซึ่งเอื้อต่อการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกจากสานักงาน รับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ในกลุ่มตัวบ่งชี้อัตลักษณ์ทั้ง สองตวั บ่งชี้ ควรวิเคราะห์สาระสาคัญ (main concepts) จากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ี กาหนดไว้ในหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือนามาเขียนคาอธิบายสาระ การเรียนรู้ ทาให้คาอธิบายสาระการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร ควรกาหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ยังไม่สะท้อนการใช้กระบวนการเรียนรู้ (learning process) ที่หลากหลายนาไปสู่การคิดวิเคราะห์ การคิดวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ควรกาหนดวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นการทดสอบ (testing) มากกว่าการ ประเมนิ ท่ีเสริมพลังตามสภาพจริง (authentic empowerment assessment) และนาผลการประเมิน มาปรับปรงุ การจัดการเรียนการสอนและคณุ ภาพของผู้เรียน กรณีหลักสตู รระดับอุดมศึกษา (เอกสาร มคอ.2) ควรวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกควรเช่ือมโยงประเด็นสาคัญ ๆ ที่เก่ียวข้องกับ หลกั สูตร ซึ่งจะนาไปส่กู ารกาหนดปรัชญาและวัตถุประสงคข์ องหลักสูตร ควรกาหนดปรัชญาของหลักสูตรควรสะท้อนความเชื่อท่ีมีต่อการจัดการศึกษาของ หลกั สตู ร มากกว่าการเขียนเปน็ คาคลอ้ งจอง หรอื พันธกจิ ของหลกั สตู ร ควรกาหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตรควรเขียนในลักษณะผลการเรียนรู้ (learning outcomes) ของผู้สาเร็จการศึกษาที่ชัดเจน และมีความสอดคล้องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2552 หรือมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาของแต่ละสาขา/สาขาวิชาทั้งด้าน คุณธรรมจริยธรรม ความรู้ทักษะทางปัญญา ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะด้านการปฏิบัติ (ถ้ามี) การออกแบบรายวิชาควรมีลักษณะสอดคล้องกับธรรมชาติของวิธีการเรียนรู้ใน 131

รายวิชานั้น เช่น รายวิชาการพัฒนาหลักสูตร หรือรายวิชาการวิจัย ควรออกแบบให้มีการเรียน ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่กัน ไม่ควรเน้นเฉพาะการเรียนรู้ด้านทฤษฎีเพียงอย่างเดียวเป็นต้น รวมท้ังการเขยี นคาอธิบายรายวิชาที่ควรสะท้อนสาระสาคญั ของรายวิชา การเขียนตัวเลขจานวนชั่วโมงท่ีใช้ในการจดั การเรียนการสอนซง่ึ ปรากฏในวงเล็บหลัง ตัวเลขที่เป็นจานวนหน่วยกิต เช่น 3(3- 0- 6) โดยท่ีตัวเลขตัวแรกในวงเล็บหมายถึง จานวนช่ัวโมงการ เรียนภาคทฤษฎีต่อหนึ่งสัปดาห์ ตัวเลขตัวกลาง หมายถึงจานวนช่ัวโมงการเรียนภาคปฏิบัติต่อสัปดาห์ และตัวเลขตัวที่สาม หมายถึงจานวนช่ัวโมงการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อสัปดาห์ ควรมีความ สอดคล้องกับคาอธิบายรายวิชา เช่น คาอธิบายรายวิชาเขียนสะท้อนให้ถึงการฝึกปฏิบัติการต่างๆ แต่ ตัวเลขตัวกลางในวงเล็บเป็นเลข 0 ซ่ึงทาให้เกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างคาอธิบายรายวิชา กับ จานวนชัว่ โมงท่ีใช้ในการจัดการเรยี นการสอน การออกแบบรายวิชาในหลักสูตรท่ีเน้นการเรียนภาคทฤษฎี ด้วยการบรรยายมาก เกนิ ไป ซ่ึงทาให้เกดิ การเรยี นรไู้ ด้นอ้ ยกว่าการเรยี นรู้จากการปฏิบัตจิ ริงดว้ ยการบูรณาการความรูไ้ ปสกู่ าร แกป้ ัญหาดว้ ยการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม ตามทผี่ ูเ้ รยี นถนดั และสนใจ การวิเคราะห์แผนที่กระจายความรับผิดชอบมาตรฐานผลการเรียนรู้จากหลักสูตรสู่ รายวิชา (curriculum mapping) ควรวเิ คราะหค์ วามรบั ผิดชอบหลักและรองที่แท้จริง การประเมินคุณภาพเอกสารหลักสูตรก่อนที่จะนาไปสู่การปฏิบัตโิ ดยผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว ทาให้ คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรต้องดาเนินการปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ และมี ความทันสมัยกับความเจริญก้าวหน้าขององค์ความรู้และนวัตกรรมของแต่ละสาขาวิชาซ่ึงจะส่งผลดีต่อ การนาหลักสูตรไปใช้ การใช้ชวี ิตการตอบสนองของผู้เกีย่ วข้อง (responsive) จะทาให้ทราบจุดออ่ น จุด แข็ง ท่ีสะท้อนอยู่ในหลักสูตร ซึ่งอาจมีข้อจากัดเกี่ยวกับการยึดปัญหาของผู้เก่ียวข้องมากเกินไป คุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญในการประเมินหลักสูตร คือต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร และ เข้าใจโครงการที่ประเมินเป็นอย่างดี ไม่มีอคติ มีโลกทัศน์และประสบการณ์กว้างขวางนอกจากนี้การใช้ เคร่ืองมือการประเมินเอกสารหลักสูตร ยังเป็นวิธีการที่ใช้กันโดยทั่วไปในการประเมินก่อนการใช้ หลกั สตู รโดยผเู้ ช่ียวชาญอีกดว้ ย 2. การประเมนิ ระหวา่ งการนาหลักสูตรไปใช้ เป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรระหว่างการใช้หลักสูตร โดยการพิจารณา ว่าการเรียนการสอน และการวัดประเมินผลท่ีปฏิบัติอยู่น้ันมีคุณภาพเป็นอย่างไร สอดคล้องกับเอกสาร หลักสูตรหรือไม่ มีปัญหาอุปสรรค อะไรการประเมินระหว่างการนาหลักสูตรไปปฏิบัติ มุ่งเน้นการ ปรับปรุงและพฒั นาเป็นสาคญั ซ่ึงวิธีการประเมินท่ีใช้ ประกอบ ด้วยการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (child – centered evaluation) การประเมินแบบไม่เป็นทางการ (informal evaluation) การ ประเมินท่ีเป็นอิสระจากจุดมุ่งหมาย (goal – free evaluation) และการประเมินท่ีเน้นกระบวนการ ตดั สนิ ใจ (decision – based evaluation) ซงึ่ การประเมินแต่ละวิธมี ีสาระสาคัญดังน้ี การประเมินท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการตรวจสอบความเหมาะสมของหลักสูตร การเรียนการสอน ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ผู้เรียนกับหลักสูตร โดยสารวจ สัมภาษณ์ อภิปราย จนได้ สารสนเทศเชิงลึกอย่างหลากหลายจากผู้เรียน สอดคล้องกับเป้าหมายของการเรียนรู้และหลักสูตร 132

จดุ เน้นการประเมินลักษณะน้ี คอื การสะท้อนสารสนเทศที่เป็นประโยชนต์ ่อการวางแผนวิชาการ ความ คุ้มค่า และความพึงพอใจของผู้เรียน ผลจากการประเมินท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญช่วยทาให้ทราบว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรท้ังในและนอกบทเรียน ผู้เรียนสามารถทาอะไรได้บ้างจากสิ่งที่ได้เรียนรู้และนา ความรู้ความสามารถไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างไร รวมทงั้ ผู้เรียน มีขอ้ เสนอแนะนาใหม่ ๆ อะไรบ้างทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การปรบั ปรุงหลกั สตู ร การประเมินแบบไม่เป็นทางการ เป็นการประเมินท่ีมีความยืดหยุ่นในด้าน วัตถปุ ระสงค์ วธิ ีดาเนินการ และเคร่ืองมือท่ใี ช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล โดยผสู้ ่วนคัดสรรขอ้ มูลบางประเด็นมา ประเมิน (vital signs evaluation) เช่น คุณภาพของการจัดการเรียนการสอน คุณภาพของสื่อการ เรียนรู้ คุณภาพของการวัดและประเมินผล คุณภาพของผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งอาจจะเน้นที่วัตถุประสงค์ เนื้อหา การลาดับข้ันตอนกระบวนการเรียนการสอน ไม่เน้นทักษะพิเศษ และสามารถให้ข้อมูลได้ โดยตรงจากบริบทจริงในช้ันเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ซ่ึงอาจใช้วิธีการพูดคุยซักถาม บุคคลที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร เช่น ผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน เป็นต้น การสังเกตกระบวนการปฏิบัติงาน การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์กระบวนการนา หลักสูตรไปใช้ การประเมินผลการปฏิบัติทั้งหมดของสถานศึกษา (all school program) ตามเกณฑ์ มาตรฐานการศกึ ษาดา้ นตา่ ง ๆ เพ่ือนาผลการประเมนิ มาใช้ในการปรับปรงุ และพัฒนาการใชห้ ลกั สูตรให้ มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนโดยไม่ต้องรอให้ใช้หลักสูตรจนครบรอบหลักสูตร หรือเมือ่ มผี สู้ าเร็จการศกึ ษา การประเมินที่เป็นอิสระจากจุดมุ่งหมาย เป็นการประเมินท่ีมีขอบเขตและประเด็น การประเมินท่ีหลากหลาย ที่มีความกว้างขวางมากกว่าการประเมินท่ียึดจุดมุ่งหมาย นาเสนอโดย Scriven (1967) มีแนวคิดสาคัญ คือ การประเมนิ ทีม่ ีประสทิ ธิภาพน้ันควรมีประเด็นการประเมินทค่ี รอบ คลุมปัจจัยต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร ไม่เพียงแต่การประเมินความสอดคล้องระหว่างผลที่เกิด ขึน้ กบั จดุ มุง่ หมายเทา่ น้ัน (Armstrong. 2003: 273 – 274) ซึ่งเปน็ การแสวงหาว่าอะไรเกดิ ขึ้นกับผ้เู รยี น แต่ไม่ได้มีจุดเน้นที่คณะกรรมการหลักสูตรต้องการให้เกิดขึ้น เพราะการประเมินลักษณะนี้ไม่ได้กาหนด วัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้า คาถามจะเกิดข้นึ จากผู้เรยี นและผู้สอน หมายรวมถึง อะไรคือความสาเร็จ อะไร เกดิ ขน้ึ ในรายวชิ าน้ีเกิดการเปล่ียนแปลงอะไรบ้างระหวา่ งการจดั การเรยี นรจู้ ุดเน้นอะไรทส่ี ร้างสรรค์ของ รายวิชาน้ี หรอื ของหลักสตู รหรอื มอี ะไรบา้ งท่ผี ู้เรียนผสู้ อนไมป่ ระทับใจ 3. การประเมินหลังการใช้หลักสูตร เป็นการประเมินท่ีดาเนินการภายหลังเสร็จสิ้นการใช้ หลักสูตร คือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยการพิจารณาประสิทธิภาพในการวางแผน หลักสูตรกระบวนการนาหลักสูตรไปใช้ การเรียนการสอน การวัดประเมินผล รวมทั้งผลผลิตที่เกิดขึ้น จากการใช้หลักสูตร โดยใช้เคร่ืองมือสาหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ความคิดเห็นของผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย มุ่งเน้นการตัดสินใจปรับปรุงหลักสตู รหรือยกเลิกการใช้หลักสูตรซ่ึง วิธีการประเมินที่ใช้ ประกอบด้วย การประเมินแบบเป็นทางการ (formal evaluation) และการ ประเมินท่ียึดจุดมุ่งหมาย (goal – based evaluation) ซึ่งการประเมินแต่ละวิธีมีสาระสาคัญดังนี้ การประเมินแบบเป็นทางการ เป็นการประเมินท่ีมีคณะกรรมการการประเมิน หลักสูตร ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการสอดคล้องกับการประเมิน มีการวางแผนการประเมินทั้ง 133

ปริมาณและคุณภาพ โดยการประยุกต์รูปแบบการประเมินที่นามาใช้ดาเนินการเก็บข้อมูลอย่างเป็น ระบบในทุกมิติท้ังหลักสูตร ส่วนใหญ่จะประเมินเม่ือหลักสูตรครบรอบหรือมีผลผลิตเกิดข้ึน เพราะจะ ติดตามผลผลิตของหลักสูตร และผู้ใช้ผลผลิตของหลักสูตรต้องใช้เวลาและงบประมาณจานวนมาก สาหรบั การประเมินหลักสูตร การประเมินท่ีจุดมุ่งหมาย เป็นการประเมินท่ีใช้เป้าประสงค์ของหลักสูตร (curriculum goals) และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร (curriculum objectives) เป็นประเด็นการ ประเมิน เพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรท่ีดาเนินการอยู่ประสบความสาเร็จหรือไม่เพียงใด จัดอยู่ในแนว ทางการประเมินท่ีมุ่งตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างสิ่งท่ีทาได้กับวัตถุประสงค์ (Performance Objectives Congruence Approach) การประเมินที่ยึดจุดมุ่งหมาย มีตน้ กาเนิดโดย Ralph W. Tyler ค.ศ. 1949 ในหนังสือ Basic Principle of Curriculum and Instruction อย่างไรกต็ าม Tyler ก็ไม่ได้ ใช้ช่ือเรียกว่า goal – based evaluation แต่อย่างใด เพียงสะท้อนแนวคิดว่าการประเมินจะต้องสรุป ได้ว่าโครงการบรรลจุ ุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้หรือไม่ การประเมินในทรรศนะของ Tyler เป็นกระบวนการ ตดั สินใจและลงสรุปวา่ วตั ถุประสงค์ทางการศึกษาทีก่ าหนดไว้น้ัน ได้บรรลุผลจากหลักสตู รและการเรยี น การสอนหรือไม่ (Tyler. 1949: 105 - 106) แนวคิดดังกล่าวเขาเขียนไว้ในหลักการของ Tyler (Tyler’s Rationale) ข้อที่ 1 และข้อท่ี 4 ดงั น้ี ขอ้ 1 “What educational purposes should the school seek to attain?” ข้ อ 4 “How can we determine whether these purposes are being attained” (Tyler. 1949: 1) ลักษณะเด่นของการประเมินท่ียึดจุดมุ่งหมายในบริบทของการประเมินหลักสูตรอยู่ตรงท่ีการ วิเคราะห์เป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ให้กระจ่างว่าอะไรคือคุณภาพของผู้เรียนต ามท่ี หลักสูตรต้องการ มีการนิยามหรือให้ความหมายเชิงปฏิบัติการ (operational definition) จากนั้นจึง กาหนดวิธีการและสร้างเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ สรุปผลการประเมนิ นาผลการประเมนิ ไปปรบั ปรุงหลกั สูตร ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี้ 134

การวเิ คราะห์เปา้ ประสงคข์ องหลกั สูตร วตั ถปุ ระสงค์ของหลักสตู ร การนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการและสร้างเครอื่ งมือ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ ข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมลู และ สรุปผลการประเมนิ การปรบั ปรุงหลักสูตรหรือยกเลิกการใช้ หลกั สตู ร ภาพประกอบท่ี 4 กระบวนการประเมนิ หลักสตู รทย่ี ึดจดุ มุง่ หมาย การประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ท่ีเป็นการประเมินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนใช้หลักสูตร ระหวา่ งการนาหลกั สูตรไปปฏิบัติ และหลังการใชห้ ลักสูตร ผลการประเมินก่อนใช้หลักสตู ร และระหว่าง การนาหลักสูตรไปปฏิบัติมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนา ส่วนการประเมินหลังการใช้หลักสูตรมุ่งเน้น การตัดสินใจปรับปรุงหลักสูตร หรือยกเลิกการใช้หลักสูตร สรุปเป็นแผนภาพกรอบแนวคิดการประเมิน หลกั สูตรเชิงสร้างสรรค์ ดงั ตอ่ ไปน้ี 135

วตั ถปุ ระสงคข์ อง หลักสตู ร การประเมนิ เนอ้ื หาสาระและ การนาหลกั สตู รไป ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ท่ี โดยผู้เชย่ี วชาญ กจิ กรรม ปฏิบัติ เกิดกับผเู้ รยี น การประเมินผล - การประเมนิ แบบเป็นทางการ - การประเมินทย่ี ดึ จดุ มุ่งหมาย - การประเมนิ ทเ่ี น้นผ้เู รยี นเปน็ สาคัญ - การประเมนิ แบบไมเ่ ปน็ ทางการ - การประเมนิ ท่ีไมย่ ดึ จดุ ม่งุ หมาย ภาพประกอบที่ 5 กรอบแนวคิดการประเมินหลักสตู รเชงิ สร้างสรรค์ ลักษณะเด่นของการประเมินหลักสูตรเชิงสร้างสรรค์ คือ การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (learning community) โดยการท่ีกลุ่มบุคคลหลายฝ่ายท่ีมีความสนใจและให้ความสาคัญกับการจัด การศึกษา ประกอบด้วย คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชน มาร่วม กันดาเนินการประเมินหลักสูตร เพื่อนาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ต้ังแต่ก่อนการใช้ หลกั สตู ร ระหว่างการนาหลักสตู รไปปฏบิ ัติ และหลังการใช้หลักสตู ร รูปแบบของการประเมนิ ผลหลกั สูตร สุนีย์ ชุ่มจิต (2548 : 190) ได้ศึกษาพบว่า วิธีการประเมินผลหลักสูตรได้มีนักการศึกษาหลาย ทา่ นไดเ้ สนอรปู แบบของการประเมนิ ผลหลักสตู รไวต้ า่ งๆ กนั ดงั นี้ การประเมินผลหลักสูตรของไทเลอร์ (The Tyler Model) ให้พิจารณาจากการบรรลุผลสาเร็จ ของจดุ มงุ่ หมายทางการศกึ ษา โดยใหต้ อบคาถาม 4 ขอ้ ต่อไปนี้ 1. มีจุดมุ่งหมายทางการศกึ ษาใดบา้ งที่โรงเรียนต้องการ 136

2. มีประสบการณ์ทางการศกึ ษาใดบา้ ง ท่ีจะทาให้บรรลจุ ดุ ม่งุ หมายน้นั 3. ควรจัดประสบการณท์ างการศกึ ษาเหล่านั้นอยา่ งไร จึงจะเกดิ ประสิทธภิ าพ 4. จะตัดสินได้โดยวิธีใดวา่ จดุ มุ่งหมายเหล่านนั้ บรรลุผลตามที่ตอ้ งการ การประเมินผลหลกั สูตรสเตค (The Stake’s Congruence Contingency Model) พฒั นาขึ้น โดยอาศัยแนวคิดต่างคือการเชิงระบบ แล้วนามาเช่ือมโยงกับองค์ประกอบของระบบหลักสูตรซ่ึงแบ่ง ออกเป็น 3 สว่ น ดังนี้ 1. สิ่งที่มีอยู่ก่อน (Antecedents) หมายถึง ส่ิงที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรเทียบได้กับ ปัจจัยตัวป้อน (Inputs) ของวิธีการเชิงระบบ ซ่ึงได้แก่ ลักษณะผู้เรียน ลักษณะของครู เน้ือหาของ หลกั สูตร สอื่ วสั ดุ อปุ กรณ์ อาคารเรยี น 2. กระบวนการสอน (Transaction) เป็นข้ันนาหลักสูตรมาสู่การปฏิบัติหรือการเรียน การสอน เทยี บกับวิธกี ารเชงิ ระบบ คอื การปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งครกู บั นกั เรียน 3. ผลท่ีได้รับ (Outcomes) หมายถึง ผลท่ีเกิดขึ้นจากใช้หลักสูตรท่ีมีต่อนักเรียน การประเมินผลหลักสูตรของฟาย เดลตา แคปปา (The Phi Delta Kappa Committee Model) ประเมินผล 4 สว่ น คอื 1. บริบท (Context-C) ได้แก่ สังคม วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม และความต้องการของ ชุมชน 2. ปัจจัยตัวป้อน (Input-I) ได้แก่ ปัจจัยเก่ียวกับการนาไปใช้ในด้านตัวครู ผู้บริหาร อาคารเรยี น งบประมาณ ส่ือ วสั ดุและอปุ กรณ์ 3. กระบวนการ (Process-P) ได้แก่ กระบวนการนาหลักสูตรไปใช้ กระบวนการสอน กระบวนการเรียน 4. ผลผลิต (Product-P) หมายถึง ผลที่เกิดข้ึนจากการนาหลักสูตรไปสู่การเรียนการ สอน ขอ้ ควรระวงั ในการประเมนิ หลกั สูตร ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2561 : 71-72) ในการประเมินต้องระวังผลของสถานการณ์ท่ีเป็นกับดัก อันจะนาไปสู่ผลท่ีไม่มีใครชนะเลย นอกจากน้ัน การประเมินยังต้องพิจารณาว่าเป็นไปตามสภาพจริง หรือไม่ หรือมีลักษณะเป็นอุดมคติมากเกินไปหรือไม่ด้วย รวมท้ังการประเมินจากภายนอกต้องระวังให้ เปน็ การประเมนิ เพื่อพฒั นา ไม่ใชก่ ารประเมนิ เพื่อหาข้อบกพร่อง บางคร้ังการประเมินมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้กาหนดแผนการประเมินไว้ การประเมินทด่ี ีจะต้องมี ทั้งท่ีเป็นไปตามแผนท่ีกาหนดไว้ (Plan) และเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ (Unplan) แต่โดยทั่ว ๆ ไปควร ดาเนินการตามแผนการประเมินโดยต้องมีการยืดหยุ่นได้ และอาจมีการประเมินที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ กาหนดแผนการประเมนิ ไวบ้ ้างกไ็ ด้ อีกลักษณะหน่ึงท่ีควรระวงั คือ การประเมินทุกคร้ังมักจะมีอคติเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ นอกจาก ปกติแล้วก็ยังมีเร่ืองของผลประโยชน์และประเดน็ ท่ีต่างประเทศมักกล่าวถึงเสมอ “ตา่ งคนก็ต่างความคิด และต่างข้อสรุป” (Different People, Different Idea, Different Conclusion) การให้ความเห็นต้อง คานงึ ถงึ ความแตกต่าง ต้องยอมรบั ว่าผลสรุปมีความแตกตา่ งกันได้ 137

นอกจากนี้ยังต้องดูว่าการประเมินน้ันสร้างความเครียด (Stressful) หรือก่อให้เกิดประโยชน์ (Helpful) การประเมินที่ได้ข้อมูลย้อนกลับมากเกินไป (Too much feedback) บางครั้งก็ทาให้เสีย กาลังใจในการทางานได้เช่นกัน สุดท้ายแล้วข้อที่สาคัญท่ีสุดของการประเมินคือ จะนาผลมาใช้เพ่ือการปรับปรุงได้อย่างไร ปญั หาในการประเมนิ หลักสูตร ศักด์ิศรี ปาณะกุล (2543 : 37-38) พบว่า การประเมินหลักสูตรเป็นส่ิงท่ีสาคัญและมีความ จาเป็นจะต้องทาการประเมินหลักสูตร ในการประชุมเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตร คณะกรรมการ บริหารหลักสูตรส่วนมากเห็นด้วยว่าจะต้องมีการประเมินหลักสูตร แต่จะไม่ค่อยชอบท่ีจะทาการ ประเมิน การประเมินหลกั สูตรในแต่ละระยะของการพัฒนาหลักสูตรจะพบปัญหาเก่ียวกับเวลาที่ใช้การ ประเมินหลักสูตร การมีเจตคติทางลบต่อการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินหลักสูตรขาดประสบการณ์ และความชานาญในการประเมินหลักสูตร การประสานงานในด้านการประเมิน ผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการใช้ หลักสูตรกลัวผลการประเมินจะออกมาไม่ดี ขาดความมุ่งมั่นที่จะนาผลการประเมินไปใช้ และการ กาหนดเกณฑใ์ นการประเมนิ ไมช่ ัดเจน ซง่ึ จะกล่าวถงึ รายละเอียดตอ่ ไปนี้ 1. ปัญหาด้านเวลา การกาหนดเวลาไม่เหมาะสม การประเมินหลักสูตรไม่เสร็จตามเวลาที่ กาหนด ทาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ช้า ไม่ทนั ตอ่ การนามาปรับปรงุ หลกั สูตร 2. ปัญหาด้านความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร คณะกรรมการประเมิน หลักสูตรไม่มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองหลักสูตรที่จะประเมิน และ/หรือ ไม่มีความเชี่ยวชาญในการ ประเมินผล บางคนมีเจตคติทางลบต่อหลักสูตร ทาให้ผลการประเมินขาดความเท่ียงตรง ไม่น่าเช่ือถือ ไมส่ ามารถนามาปรับปรุง แกไ้ ขหลกั สูตรได้ตรงประเด็น 3. ผู้ประเมินหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีความกลัวเก่ียวกับผลการประเมิน เน่ืองจากผู้ประเมินมีความ กลัวเก่ียวกับผลการประเมิน จึงทาให้ไม่ได้เสนอข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และ/หรือผู้ถูกประเมิน กลวั ว่าผลการประเมินออกมาไม่ดี จึงให้ขอ้ มลู ทีไ่ ม่ตรงกับสภาพความเปน็ จริง 4. ปัญหาด้านวิธีการประเมิน การประเมินหลักสูตรส่วนมากจะเน้นวิธีการประเมินเชิงปริมาณ ทาให้ได้ข้อมูลการประเมินไม่ครอบคลุม ได้ข้อค้นพบที่ผิวเผินไม่ลึก เพราะการประเมินหลักสูตรเป็น เรื่องละเอียดอ่อน จึงควรใช้วิธีการประเมินเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพควบคูก่ ัน เพ่ือผลท่ไี ด้จะสมบูรณ์ และไดภ้ าพทชี่ ดั เจนย่ิงขนึ้ 5. ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินหลักสูตรไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ มาตรฐานสมั พทั ธ(์ Relative Standard) หรอื เกณฑ์มาตรฐานสมั บรู ณ์ (Absolute Standard) การไดม้ า ซ่ึงเกณฑ์ทั้งสองขาดการศึกษาวิเคราะห์ที่ชัดเจน จึงทาให้ผลการประเมินไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ได้ นาไปใชใ้ นการปรับปรงุ หลกั สตู ร 6. ปัญหาด้านการวางแผนการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรมักไม่มีการวางแผน ล่วงหน้า วางแผนไม่ชัดเจน ทาให้การเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบ เช่น เอกสารการสัมมนาเก่ียวกับการ พฒั นาหลกั สตู ร ข้อมูลการติดตามผลผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา เปน็ ตน้ 7. ขาดความมุ่งมัน่ ทจี่ ะนาผลจากการประเมินไปใช้ การประเมินหลกั สตู รจะต้องมีการชแ้ี จงกับ 138

คณะกรรมการประเมินหลักสูตร ให้เห็นความสาคัญของการประเมินหลักสูตรว่าผลการประเมินจะ นาไปใช้ในการปรับปรงุ หลักสตู ร ซึง่ จะเกดิ ประโยชน์ตอ่ ผ้เู รยี นในวงกวา้ งและในระยะยาว 8. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรท้ังระบบ การประเมินหลักสูตรท้ังระบบมีการดาเนินการ น้อยมาก ส่วนมากมักจะประเมินเฉพาะด้าน เช่นด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรีย นในด้านวิชาการ (Academic Achievement) เป็นหลกั 9. ปัญหาการประเมินหลักสตู รอย่างต่อเน่ือง คณะกรรมการประเมินหลักสตู รหรือผู้ท่ีเก่ียวข้อง มักไม่ประเมนิ หลกั สูตรอยา่ งตอ่ เนื่อง บทสรปุ การประเมินการกระทาใดๆก็ตาม ทาให้ผู้ประเมินทราบถึงผลของการทากิจกรรมน้ันๆ และ สามารถตัดสินได้วา่ จะทากจิ กรรมนนั้ ๆต่อหรือไม่ การประเมินหลักสูตร จึงทาให้ผู้ประเมินทราบว่า หลักสูตรมีข้อดี ข้อเสีย ข้อบกพร่องอย่างไร จะดาเนนิ การใชห้ ลักสูตรตอ่ หรือควรมีการปรบั ปรุง แก้ไข พัฒนาหลักสูตร ผปู้ ระเมนิ หลักสตู ร ควรศกึ ษาขอ้ มูลเก่ียวกับหลกั สูตรอย่างละเอียด เพอ่ื การดาเนนิ การประเมิน หลกั สูตรจะไดผ้ ลทีถ่ กู ต้อง ไมค่ ลาดเคล่ือน รูปแบบการประเมินหลักสูตรเป็นปัจจัยสาคัญที่จะทาให้ผู้ประเมินหลักสูตรสามารถออกแบบ การประเมนิ หลักสตู รได้ครอบคลมุ ครบถว้ น ไม่ผิดพลาดหรอื ขาดประเดน็ ใด ๆ คาถามทบทวน 1. การประเมนิ หลกั สูตร หมายถึงอะไร จงอธบิ ายโดยละเอียด 2. การประเมินหลักสตู ร มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื อะไร จงอธบิ ายโดยละเอียด 3. การประเมนิ หลักสูตร มีก่รี ะยะ แตล่ ะระยะมคี วามสาคัญอยา่ งไร จงอธิบายโดยละเอยี ด 4. จงยกตัวอยา่ งรูปแบบการประเมินหลกั สูตร 1 ตวั อยา่ ง พรอ้ มบรรยายขน้ั ตอนอยา่ งละเอยี ด 5. จงอธบิ ายปัญหาในการประเมนิ หลกั สูตรพอสงั เขป เอกสารอา้ งองิ ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์. (2539). การพัฒนาหลักสตู ร: หลักการและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: อลีน เพรส. มารุต พัฒผล. (2555). การประเมินหลักสูตรเพ่ือการเรียนรู้และพัฒนา. กรุงเทพฯ: อาร์แอน เอน็ ปริน้ ท์. ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2542). การประเมินหลักสูตร. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์หาวิทยาลัย รามคาแหง. สุนีย์ ชุ่มจติ . (2548). หลกั สตู รและการจัดการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน. ม.ป.ท. สุเทพ อ่วมเจรญิ . (2557). การพฒั นาหลักสตู ร : ทฤษฎแี ละการปฏบิ ตั .ิ (พมิ พค์ รัง้ ที่ 4). ม.ป.ท. 139

แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 8 หัวข้อเนอื้ หา เนือ้ หาสาระในบทนี้ประกอบด้วย 1. การนาหลกั สูตรไปใช้ 2. ปญั หาของการพฒั นาหลักสูตร 3. แนวโน้มของการพฒั นาหลกั สูตร วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม เม่ือเรียนบทเรียนนี้จบแล้ว นกั ศึกษามคี วามสามารถ ดงั นี้ 1. บอกขนั้ ตอนของการนาหลักสตู รไปใช้ได้ 2. อธิบายแนวคดิ เก่ียวกบั การแกป้ ญั หาของการพัฒนาหลกั สูตรได้ 3.บอกแนวโนม้ ของการพฒั นาหลักสูตรได้ 4. อภิปรายแนวคิดการพฒั นาหลกั สตู รได้ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 บรรยาย 1.2 การอธิบาย 1.3 การประชุมกลุ่มย่อย 1.4 การวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา ทฤษฎี 1.5 การถาม-ตอบ 1.6 การอภปิ ราย แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน กิจกรรมการเรียนการสอนเร่ืองความรู้พื้นฐานเก่ียวกับปัญหาและแนวโน้มการพัฒนา หลักสตู ร มดี งั น้ี 2.1 ผู้สอนทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร โดยใช้กระบวนการ ถาม-ตอบ และอภิปราย แนวคิดพ้ืนฐานของหลกั สตู ร 2.2 ผู้สอนให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มศึกษาปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร เสร็จแล้วให้แต่ละ กลุ่มนาเสนอผลของการเรยี นรู้ 2.3 ผู้สอนให้ผเู้ รียนร่วมกันวเิ คราะห์แนวโนม้ ของการพฒั นาหลักสูตร 2.4 ผ้สู อนและผเู้ รียนอภิปรายสรุปเร่ืองปญั หาและแนวโนม้ ของการพัฒนาหลักสตู ร 140

สอื่ การเรยี นการสอน ส่อื การเรียนการสอนทีใ่ ช้ประกอบกจิ กรรมการเรยี นการสอน มดี งั น้ี 1. เอกสารประกอบการเรียนการสอน “การพัฒนาหลกั สูตร” 2. ตารา หนังสือเรียนเกีย่ วกบั การพฒั นาหลกั สตู ร 3. Power point ความรตู้ ่าง ๆ 4. เครือข่ายการเรยี นรทู้ างอินเทอรเ์ น็ตเกย่ี วกบั การพัฒนาหลกั สูตร การวดั และการประเมินผล การวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ มดี งั น้ี 1. สงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม 2. สงั เกตพฤตกิ รรมการแสดงความคดิ เหน็ ข้อเสนอที่ใช้ในการอภปิ ราย 3. การทาแบบฝึกหดั 141

บทท่ี 8 การนาหลักสตู รไปใชแ้ ละปัญหาในการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตร เป็นข้อมูลสาคัญที่ผู้พัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษา อย่างละเอียด เน่ืองจากเป็นแนวทางในการปฏิบัติท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพของการพัฒนาหลักสูตร แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตร จะเปน็ ข้อมูลที่ช่วยให้ผจู้ ัดทาหลักสตู รได้ใช้ประกอบการพิจารณา หลักสูตร โดยจะต้องศึกษาข้อมูลแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรจากผลการวิจัยทางการศึกษา ซ่ึง การศึกษาดงั กลา่ วจะทาให้ผู้พัฒนาหลกั สูตรทราบถึงทิศทางของหลักสูตรในอนาคต ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 142-147) ได้ศึกษาพบว่า หลังจากที่มีการปรับปรุงแก้ไข หลกั สูตรที่ร่างข้นึ แลว้ ข้นั ตอนต่อไปก็คือการนาหลกั สูตรไปใช้ ซ่งึ เป็นขนั้ ตอนท่ีมีความสาคัญมาก เพราะ ถ้าไม่มีการนาหลักสูตรที่สร้างขึ้นไปสู่การปฏิบัติจริงในโรงเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดมุ่ งหมายท่ี กาหนดไว้ หลักสูตรน้ัน ๆ ก็ไม่มีความหมาย และอีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลักสูตรท่ีสร้างข้ึนจะดีเลิศ และเหมาะสมมากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าการนาหลกั สูตรไปใช้ยังไม่มีประสิทธิภาพทดี่ ี ก็ยากท่ีหลักสตู รน้ัน ๆ จะบรรลุตามเจตนารมณ์ที่กาหนดได้เช่นกัน หากจะเปรียบให้เห็นภาพที่ชัดเจนก็คือ หลักสูตรน้ัน เปรยี บเสมือนกับพิมพ์เขียวของบ้าน ซึ่งจะช่วยให้ช่างซ่ึงเปรียบได้กบั ครูผู้สอนลงมอื กอ่ สร้างจนเป็นบ้าน ขึ้นมาได้ พิมพ์เขียวของบ้านกับการก่อสร้างบ้านจะต้องสอดคล้องและควบคู่กันไปฉันใด หลักสูตรและ การใชห้ ลกั สตู รก็ตอ้ งสอดคล้องและควบคู่กนั ฉันนนั้ ในการพัฒนาหลักสูตรนนั้ ถา้ กลุ่มผู้ร่างหลักสูตรเป็นกลมุ่ ที่ไมใ่ หญ่มาก และผู้ใช้หลักสูตรมีส่วน ร่วมทางานอยู่ในกลุ่มของผู้ร่างหลักสูตรด้วยแล้ว การนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติก็ย่อมจะทาได้ง่าย เพราะกลุ่มผู้ใช้หลักสูตรจะเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรอย่างชัดเจนต้งั แต่เหตุผลท่ีต้องมกี ารสร้างหรือพัฒนา หลักสูตร จดุ มุง่ หมายของหลักสูตร เน้อื หาสาระ กจิ กรรม การเรยี นการสอน และการวดั และประเมนิ ผล การเรียนของผู้เรียน อีกทั้งยังมองเห็นว่าจะลงมือปฏิบัติการสอนเพื่อให้เกิดผลดีกับผู้เรียนได้อย่างไร กลุ่มผู้ใช้หลักสูตรจะเกิดเจตคติท่ีดีต่อหลักสูตรและยอมรับในหลักสูตร เพราะมีความรู้สึกภูมิใจที่มีส่วน ร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและมคี วามรู้สึกเปน็ เจ้าของ (sense of pride and ownership) ในหลกั สตู ร น้นั ๆ ด้วยการจัดอบรมหรอื ประชุมชีแ้ จงเพ่อื อธิบายให้ผูท้ ่ีจะใชห้ ลักสตู รได้เขา้ ใจในหลักสตู รและการใช้ หลักสูตรจึงไม่มีความจาเป็น ส่วนในสถานการณ์ตรงกันข้ามคือ กลุ่มผู้ใช้หลักสูตรเป็นกลุ่มใหญ่ และมี เพียงบางคนหรือไม่มีผู้ใดเลยท่ีมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร กลุ่มผู้ใช้หลักสูตรและกลุ่มผู้ร่าง หลักสูตรอาจเจ้าใจไม่ตรงกัน และเกิดเป็นปัญหาในการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนได้ ใน กรณีเช่นน้ี กลุ่มผู้ร่างหลักสูตรจะต้องวางแผนการใช้หลักสูตรและมีการจัดอบรมหรือประชุมชี้แจง เกี่ยวกบั การใชห้ ลกั สูตรดังกล่าว 142

บทบาทของบุคคลทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการนาหลกั สูตรไปใช้ การนาหลักสูตรไปใช้ให้ประสบความสาเร็จน้ันข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน รวมท้ังอาศัยการสนับสนุนจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องท้ังจากส่วนกลางและส่วน ท้องถิ่น ซึ่งต้องกระตุ้นยั่วยุ สนับสนุนส่งเสริมให้กาลังใจแก่โรงเรียนและครู ซ่ึงมีรายละเอียดดังน้ีคือ 1. ผ้บู รหิ ารโรงเรยี น ผู้บริหารโรงเรียนเป็นบุคคลที่มีส่วนสาคัญในการสนับสนุนการใช้หลักสูตรระดับโรงเรียน และ เป็นตัวจักรสาคัญในการกระตุ้นและชักนาให้บุคลากรในโรงเรียนได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มท่ี เพ่ือ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่ต้องการ ผู้บริหารที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรอย่างชัดเจน และให้ การสนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนของครู รวมทั้งสามารถทางานร่วมกบั คณะครูในโรงเรียน ได้จะสามารถทาให้การใช้หลักสูตรเป็นไปตามเป้าหมายได้ไม่ยาก ผู้บริหารควรมีบทบาทในด้านการ บริหารหลักสูตร การบริการหลักสูตร การนิเทศติดตามผล การเสริมสร้างขวัญและกาลังใจ และการ ประชาสมั พันธ์ ซ่งึ มีแนวปฏิบตั ทิ ่ีสาคัญดังน้ี 1.1 ศึกษาทาความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรให้กระจ่าง เพ่ือจะได้ให้คาแนะนาแก่ครผู ้สู อนและวางแผนในการเตรยี มการแลดาเนนิ การใช้หลักสูตร 1.2 จัดเตรียมบุคลากรโดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การประชุม ชี้แจง การฝึกอบรม การ ประชุมสัมมนา เป็นต้น เพ่ือให้ครูมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักสูตรและการเรียนการสอนตามที่ กาหนดไว้ในหลักสูตรตลอดจนสนับสนุนให้บุคลากรมีโอกาสไปฝึกอบรมดูงานท่ีจัดโดยหน่วยงานต่าง ๆ 1.3 จัดครูเข้าสอนให้เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด และ ประสบการณ์ เพ่อื จะไดจ้ ดั มวลประสบการณก์ ารเรียนรู้แกผ่ ูเ้ รยี นได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 1.4 ให้บริการและสนับสนุนการสอนของครู โดยการจัดทาจัดหาเอกสารหลักสูตรและ เอกสารประกอบหลักสูตร งบประมารณ วัสดุอุปกรณ์และส่ือการเรียนการสอน และการจัด สภาพแวดล้อมและบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการเรียนการสอน เช่น การจัดห้องสมุดให้อยู่ในสภาพท่ีครูและ นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมได้ เป็นต้น โดยเน้นถึงคุณประโยชน์และความสะดวกสบายในการ จดั การเรยี นการสอนของครผู สู้ อนเป็นหลัก 1.5 ดาเนินการนิเทศติดตามและประเมนผลการใช้หลักสูตรอย่างสม่าเสมอ โดยใช้ เทคนิควธิ แี ละเครื่องมอื ท่เี หมาะสม เพ่อื ปรับปรงุ การเรียนการสอนให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ที่วางไว้ 1.6 ให้ขวัญและกาลังใจ ตลอดจนส่งเสริมความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานอย่าง เหมาะสมและยตุ ิธรรม โดยยดึ ระบบคณุ ธรรมเปน็ สาคัญ 1.7 ประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตรแก่นักเรียน ครูผู้สอน ผู้ปกครองและคนในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความรู้สึกที่ดีต่อหลักสูตร และรับความร่วมมือท่ีดีจากบุคลากรทั้งในและนอก โรงเรียน โดยใชว้ ธิ กี ารและสอ่ื ที่หลากหลาย 1.8 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีท้ังในด้านการทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม 2. ครผู ้สู อน ครูผู้สอนมีบทบาทหน้าที่หลักคือการสอน ซ่ึงต้องใช้หลักสูตรประกอบการเตรียมการ สอน การทาแผนการสอนหรือกาหนดการสอน และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ 143

ดังน้ัน ครูผู้สอนจึงเป็นบุคคลท่ีอยู่ในฐานะผู้ใช้หลักสูตรโดยตรง และมีความสาคัญท่ีสุดในการนา หลักสตู รไปสูก่ ารปฏิบตั ิ โดยมีแนวปฏิบัติดงั นี้ 2.1 ศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรให้กระจ่าง และประชุมวิเคราะห์หลักสูตร เพ่ือพิจารณาหาจุดประสงค์ของหลักสูตรและเนื้อหาวิชาในแต่ละวิชา ตลอดจนเพ่อื พจิ ารณาวางแผนการใชแ้ ผนการสอนใหเ้ หมาะสม 2.2 ทาความรู้จักผู้เรียน และวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน เช่น ความรู้ ความสามารถ และปญั หาของผเู้ รยี น เพอ่ื หาทางพฒั นาผ้เู รยี นทงั้ ข้ันและรายบคุ คล 2.3 ศึกษาแผนการสอน คู่มือครูใหเ้ ข้าใจอยา่ งแจ่มชดั กอ่ นทาการสอน 2.4 จัดห้องเรียนให้มีบรรยากาศท่ีส่งเสริมการเรียนการสอนและเตรียมสื่อการสอนที่ จะใชใ้ นการสอนแต่ละคร้ังกอ่ นสอน 2.5 ศึกษาและลงมอื ปฏบิ ัติการสอนด้วยกลวิธีหลากหลายให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัตจิ ริง มากกวา่ การฟังและการอ่านเพียงอยา่ งเดยี ว 2.6 พัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอนใหม่ และจัดกจิ กรรมต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจ ของผเู้ รยี นและเกิดประสบการณก์ ารเรียนร้อู ย่างเหมาะสมตามเจตนารมณ์ของหลักสตู ร 2.7 จดั สอนซ่อมเสรมิ แก่ผู้เรยี นที่มคี วามจาเป็นต้องเรียน 2.8 ตรวจสอบความก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นระยะ ๆ โดยใช้เทคนิควิธีและเคร่ืองมือท่ี เหมาะสม เพอ่ื หาทางปรบั ปรงุ และพัฒนาคุณภาพของผู้เรยี น 2.9 ปรับปรุงหลักสูตรท่ีใช้อยู่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ ตอ้ งการของทอ้ งถน่ิ โรงเรียน และผเู้ รยี น 3. ศึกษานเิ ทศก์ การนาหลักสูตรไปใช้นั้น นอกจากผู้บริหารโรงเรียนและครูจะมีบทบาทสาคัญแล้ว ศกึ ษานิเทศก์ก็เป็นอีกผู้หน่ึงที่สามารถทาให้การนาหลักสูตรไปใช้บรรลุผลตามต้องการได้ โดยมีบทบาท ในการสนบั สนุนสง่ เสริมการใชห้ ลักสูตรในโรงเรยี นดงั น้ี 3.1 จัดอบรมหรือแนะนาครูเพอื่ เสริมความร้แู ละทักษะท่ีจาเป็นเพิ่มเติมเก่ยี วกับการใช้ หลักสูตรและการดาเนนิ การเรยี นการสอน 3.2 เปน็ ท่ีปรึกษาของครูในกรณีท่ีมีปญั หาทางด้านวิชาการและจดั ใหม้ ีการประชุมเพื่อ แก้ปัญหา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแสวงหาวิธีการใช้หลักสูตรให้มีประสิทธิภาพเป็นครั้ง คราวในระดับต่าง ๆ 3.3 เป็นผู้ประสานงานทางวิชาการระหว่างโรงเรียนกับกรม กอง และหน่วยงานที่ เกยี่ วขอ้ ง เพอ่ื ให้โรงเรยี นสามารถจัดการเรยี นการสอนบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ของหลักสตู ร 3.4 สร้างเสริมแรงจูงใจเพื่อให้ครูมีกาลังใจในการทางานและพัฒนาวิชาชีพของตน 3.5 นิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตรของโรงเรียนอย่างต่อเน่ืองเพื่อปรับปรุงคุณภาพ การสอนของครู 3.6 ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของโรงเรียนให้ผู้สนใจได้เข้าใจและมีการขยายผลไปยัง โรงเรยี นอ่ืน ๆ 144

3.7 จัดให้การบริการต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีจาเป็น ติดต่อวิทยากรมาให้ ความรู้แกค่ รผู ู้สอน หรอื ศกึ ษานิเทศกเ์ ป็นวิทยากรเอง เป็นต้น 4. ผู้ปกครองและชมุ ชน ผปู้ กครองและชุมชนมีบทบาทในการสนบั สนนุ ส่งเสริมการใช้หลกั สูตร ดงั น้ี 4.1 ให้การสนับสนุนช่วยเหลือในการจัดทาวัสดุอุปกรณ์และส่ือประกอบการเรียนการ สอนต่าง ๆ เพอื่ นาไปใชใ้ นการเรียนการสอนของครูและผูเ้ รยี น 4.2 ช่วยประชาสัมพันธ์สนับสนุนและเผยแพร่ความรู้เร่ืองหลักสูตรแก่บุคคลที่ยังไม่ เขา้ ใจในท้องถ่ิน 4.3 แสดงความสนใจในการเรียนของผู้เรียนด้วยการซักถามผลการเรียน และช่วย เสนอแหลง่ คน้ คว้าเพ่ิมเติม 4.4 ให้ความรว่ มมือกับทางโรงเรียนเม่ือโรงเรียนขอความร่วมมือมา เช่น เป็นวิทยากร พิเศษใหก้ บั โรงเรยี น หรือใหก้ ารสนับสนนุ ในด้านสถานประกอบการเป็นตน้ กล่าวโดยสรุป การนาหลักสูตรไปใช้ให้บรรลุผลตามท่ีวัตถุประสงค์ของหลักสูตร กาหนดนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากหลาย ๆ ฝ่าย โดยเฉพาะอย่างย่ิงบุคคลในโรงเรียน น่ันเอง ครูผู้สอนจะเป็นตัวจักรท่ีสาคัญที่สุดที่จะทาให้การพัฒนาหลักสูตรบรรลุจุดมุ่งหมาย อีกทั้ง ผู้บริหารก็มีส่วนสาคัญไม่น้อยท่ีจะทาหน้าท่ีบริหารและให้บริการหลักสูตรเพ่ือให้การเรียนการสอน ดาเนินไปด้วยดี นอกจากนค้ี วามร่วมมือจากบุคคลอีกหลายฝ่าย เช่น ศึกษานเิ ทศก์ ผ้ปู กครองและชุมชน เพือ่ เสรมิ ให้การใช้หลกั สตู รมปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งขึ้น ลกั ษณะของงานที่เกีย่ วข้องกบั การนาหลักสูตรไปใช้ การนาหลักสูตรไปใช้เป็นการนาหลักสูตรท่ีสร้างหรือพัฒนาข้ึนไปสู่การปฏิบัติโดยให้บังเกิดผล สูงสุดแก่ตวั นักเรียน ซ่ึงมีนักการศึกษาหลายท่านได้กลา่ วถึงลักษณะของงานหรือกิจกรรมที่เก่ียวขอ้ งกับ การนาหลกั สูตรไปใช้ดังน้ี สุมิตร คุณานุกร (อ้างใน ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 147-148) ได้กล่าวถึงการนาหลักสูตร ไปใชว้ ่าประกอบด้วยกิจกรรม 3 ประการ คอื 1. การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน เนื่องจากหลักสูตรระดับชาติ หรือหลักสูตรแม่บทน้ันได้ กาหนดความมุ่งหมาย เน้ือหาวิชาทจ่ี ะสอนกจิ กรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลไว้อย่างกว้าง ๆ มีลักษณะยืดหยุ่นได้ เพ่ือสะดวกแก่การนาไปปรับใช้ให้เข้ากับสภาพของท้องถิ่น ผู้นาหลักสูตรไปใช้ จะต้องแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน กล่าวคือ ตีความหมายและกาหนดรายละเอียดของหลักสูตรให้ สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่น หรือของโรงเรียน แล้วออกมาในรูปของเอกสาร เช่น ประมวลการสอน โครงการสอน แผนการสอน คู่มือการสอน หรือบันทึกการสอน เป็นต้น เพื่อให้ครูใช้ได้สะดวกและสอน ผเู้ รยี นใหบ้ รรลตุ ามเป้าหมายของหลกั สตู ร 2. การจัดปัจจัยและสภาพต่าง ๆ ภายในโรงเรียน การที่หลักสูตรจะสัมฤทธิผลตามความมุ่ง หมายได้มากน้อยเพียงใดน้ัน ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดปัจจัยหลาย ๆ ด้านมาเสริม ผู้บริหารโรงเรียนควร สารวจดูปัจจัยและสภาพต่าง ๆ ของโรงเรียนว่าเหมาะสมกับการนาหลักสูตรมาปฏิบัติหรือไม่ ผู้บริหาร 145

ต้องคานึงถึงขนาดของห้องเรียนและจานวนนักเรียน ห้องสมุด วัสดุอุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ที่จะ เอื้ออานวยต่อการเรียนการสอนให้แก่ครู เพ่ือให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสาเร็จ ตามเป้าหมายท่ีตอ้ งการ นอกจากนี้การจัดตารางสอน การจัดครูเข้าสอน ประมวลผลการสอน โครงการ สอน แบบเรียน ฯลฯ ล้วนเป็นปัจจัยท่ีจะส่งเสริมหรือสกัดกั้นการปฏิบัติงานของครูตามท่ีหลักสูตรได้ กาหนดไว้ 3. การสอน ครูเป็นตัวจักรทีส่ าคัญทส่ี ุดในการนาหลักสตู รไปใช้การเอาใจใส่ตอ่ การสอนของครู การสอนให้สอดคล้องกับความมุง่ หมายของหลักสตู ร และการเลือกวิธีการสอนทเี่ หมาะสม ฯลฯ เหล่าน้ี เปน็ ปจั จยั ทีส่ าคัญที่จะส่งผลใหก้ ารนาหลกั สูตรไปใชไ้ ดบ้ รรลุเปา้ หมายทีต่ ้องการ วิชัย วงษ์ใหญ่ (อ้างใน ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 149-151) ได้ศึกษาพบว่า การนา หลกั สตู รไปใช้ให้บรรลผุ ลน้ัน ผูบ้ รหิ ารโรงเรยี นควรจดั วางแผนทีเ่ กย่ี วกบั การใชห้ ลกั สตู ร ดังนค้ี อื 1. การเตรียมวางแผนเพ่ือใช้หลักสูตรใหม่ ผู้บริหารโรงเรียนและคณะกรรมการ โรงเรียนจะต้องศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรว่า จุดมุ่งหมายของการพัฒนาหลักสูตรและการสอนครั้งนี้มี เป้าประสงค์ท่ีแท้จริงคืออะไร และสอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของผู้เรียนและชุมชน เพียงไร ทางโรงเรียนมีความพร้อมต่อการนาหลักสูตรมาปรับใช้อย่างไรบ้าง วัสดปุ ระกอบหลักสูตรและ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ท่ีจะนาเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาหลักสูตรน้ีจะจัดหาได้อย่างไร และโดยวิธีใด งบประมาณและอาคารสถานที่พอเพียงหรือไม่ การเตรยี มบุคลากรเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรจะทาโดยวิธี ใด การวางแผนงานเพ่ือใช้หลักสูตรใหม่อย่างละเอียดรอบคอบและมีขั้นตอนจะทาให้การใช้หลักสูตร บรรลจุ ดุ ม่งุ หมายได้ง่าย 2. การเตรียมจัดการอบรมครูเพื่อใช้หลักสูตรใหม่ โรงเรียนควรจัดอบรมในรูปแบบ การประชุมเชิงปฏิบัติการ ใหค้ รูได้ศกึ ษาวิเคราะห์ถึงปัญหาของหลกั สตู รและวิธนี าหลักสูตรไปปรบั ใช้ใน ห้องเรียน โดยการสร้างกาหนดการสอน ประมวลการสอน การเลือกและจัดประสบการณ์เรียนและ ทดลองสอนเพือ่ แก้ไขปรับปรุง หลังจากการประชุมเชิงปฏบิ ัติการแล้วผ้บู ริหารโรงเรียนจะต้องคอยดูแล นเิ ทศและบริการครอู ย่างใกล้ชิดเกยี่ วกบั การใชห้ ลกั สูตร 3. การจัดครูเข้าสอน การจัดครูเข้าสอนเป็นสิ่งท่ีจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะครูจะเป็นผู้ท่ีมีบทบาทอย่างมากในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้น ตัวครูจะต้อง มองเห็นความสาคัญของการเปลี่ยนแปลงในสังคม ครูจะต้องก้าวให้ทันเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลง อยู่สมอ เพราะครุจะเป็นผู้ท่ีทาให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสและมีส่วนร่วมในชีวิตสังคมปัจจุบันมากที่สุด ฉะน้ัน การคัดเลือกและจัดครูเข้าสอนจึงต้องระมัดระวังแม้ว่าครูจะผ่านการฝึกอบรมการใช้หลักสูตร มาแล้วกต็ าม 4. การจัดตารางสอน การจัดตารางสอนเป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้เกิดปัญหาและอุปสรรค ในการใช้หลักสูตรได้เหมือนกัน ในการจัดตารางสอนควรคานึงถึงการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ไม่ควรใช้เวลา เท่า ๆ กัน ระดับของความยากง่ายของการเรียนรู้ก็ย่อมแตกต่างกัน ช่วงการเรียนรู้จะต้องเป็นไปเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนและเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียนและรวมถึงอัตราเวลา เรียนในแต่ละภาคการศึกษาและรอบปีการศึกษาตลอดจนช่ัวโมงสอนของครู นอกจากน้ีการใช้อาคาร สถานที่ ห้องเรียน โรงฝึกงาน ห้องทดลอง จะต้องมีการใช้ตลอดเวลา จึงจะถือว่าการใช้อาคารสถานท่ี 146

เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 5. การจัดบริการวัสดุประกอบหลักสูตรและสื่อการเรียน การจัดทากาหนดการสอน ประมวลการสอน แผนการสอน พัฒนาคู่มือครู แบบเรียน และสื่อการสอนเป็นสิ่งสาคัญท่ีจะต้องจัดทา โดยเฉพาะแผนการสอนจะช่วยให้ครูเห็นแนวทางว่าจะเลือกกจิ กรรมอะไรให้กับเด็ก และกิจกรรมอะไรท่ี จะทาให้เด็กอยากเรียน การจัดทาส่ือการเรียนการสอนควรจะร่วมกันทาเพราะจะเป็นการประหยัด แรงงาน งบประมาณ และครอบคลุมเน้ือหาสาระได้มากกว่า และที่สาคัญคือผู้เรียนได้เรียนรู้ตาม ความสามารถความสนใจและตรงกบั ความต้องการของชมุ ชน 6. การประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตร การประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตรกับ ผู้ปกครอง คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนและประชาชนในชุมชนนั้น เป็นส่ิงที่จะช่วยให้เกิดความ เข้าใจว่าการใช้หลักสูตใหม่นั้น ลูกหลานของเขาจะเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างไรเก่ียวกับการเรียนรู้ เจต คติ ค่านยิ ม และความสามารถในการแก้ปัญหา การประชาสัมพันธ์หลักสูตรจะตอ้ งทาติดต่อกันไป และ แต่ละคร้ังไม่ควรนานเพราะจะทาให้เกิดความเบ่ือหน่าย การใชส้ ื่อมวลชนเป็นเครื่องช่วยประชาสมั พันธ์ หลักสูตร เช่น วทิ ยุ โทรทัศน์ และหนงั สือพิมพ์จะชว่ ยได้มาก 7. การจัดสภาพแวดล้อม อาคารสถานท่ี และการเลือกสรรโครงการกิจกรรมเสริม หลักสูตร การจัดสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ืออานวยต่อการเรียนเป็นส่ิงสาคัญ เพราะการเรียนรู้ของเด็กไม่ได้ เกิดข้ึนเฉพาะในหอ้ งเรยี นเท่านน้ั สภาพแวดลอ้ มภายนอกหอ้ งเรยี นกจ็ ะเป็นส่วนชว่ ยให้เกิดการเรียนร้ไู ด้ เช่น การจัดบริการอาหารกลางวัน เด็กจะได้แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกคุณค่าอาหารทม่ี ีประโยชน์ต่อการ ดารงชีวิต การบรโิ ภคอาหารทีไ่ ด้สัดส่วนและถูกสุขลักษณะ และมรรยาทในการรับประทานอาหาร เป็น ต้น ซ่ึงสิ่งเหล่านี้ เด็กจะเกิดการเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว และผลจากการเรียนรู้น้ีจะช่วย นาไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงชีวติ ความเปน็ อยู่ของครอบครวั เดก็ ต่อไป 8. การจัดโครงการประเมินผลการใช้หลักสูตรและการปรับปรุงหลักสูตร การจัด โครงการประเมินผลการใช้หลักสูตรและการปรับปรุงหลักสูตรเป็นส่ิงสาคัญและจะต้องกระทาเป็น ข้ันตอน ถ้าจุดมุ่งหมายของการใช้หลักสูตรกาหนดไว้อย่างชัดเจน การประเมินเพื่อปรับปรุงก็จะทาได้ ง่ายและทราบว่าการปรับปรงุ ควรจะเร่มิ ท่ีจุดใดบา้ ง วิธกี ารทานน้ั จะทาอย่างไร การประเมินผลหลกั สูตร ควรจะคานงึ ถงึ การประเมินผลทงั ในระยะสัน้ และระยะยาว ปัญหาและแนวโนม้ ในการพฒั นาหลักสูตร พิจิตรา ธงพานิช(ทีสุกะ) (2557 : 244-246) ได้ศึกษาพบว่า หลักสูตรมีที่มาจากการวิเคราะห์ เชื่อมโยงข้อมูลพ้ืนฐานดา้ นต่างๆ ทั้งด้านปรัชญาการศึกษาด้านจิตวิทยา ดา้ นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านสาขาวิชา เป็นต้น นอกจากน้ียังมีทฤษฎีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องที่มาจาก ศาสตร์ในสาขาท่ีเก่ียวข้อง จึงกล่าวได้ หลักสูตรมีทม่ี าจากความร้ใู นหลากหลายสาขาวิชา และผู้ที่มีส่วน ร่วมในการพัฒนาหลักสูตรก็มาจากนักวิชาการหลากหลายสาขา การพัฒนาหลักสูตรจึงเกี่ยวข้องกับ องค์ประกอบดังกล่าวนี้ ในบทบาทของครูผู้สอนจะต้องให้ความสาคัญกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร เกิดจากบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจ กระบวนการของการพัฒนาหลักสตู ร 147

ปญั หาและแนวโน้มของการพฒั นาหลกั สูตร 1. ปญั หาของการพัฒนาหลกั สูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดข้ึนในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ที่เป็นปัญหา อันเกิดจากการร่วมคิด ร่วมทา รว่ มกันสร้างหลกั สตู ร และร่วมกนั นาหลกั สตู รไปใช้ มดี งั น้ี 1) หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การพัฒนาหลักสูตรไมเ่ ข้าใจบทบาทหนา้ ทีข่ องตน 2) ขาดการประสานงานหน้าท่ีดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา หลักสูตร 3) ผู้บริหารระดับต่างๆ เห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะ 4) ปัญหาการไม่เปล่ียนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร 5) ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทาความเข้าใจในหลักสูตรท่ีพัฒนาขึ้นใหม่ 2. แนวโนม้ ของการพัฒนาหลักสตู ร การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้ประสบความสาเร็จโดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้เก่ียว ข้อง โดยเฉพาะครูผ้สู อน และผ้บู ริหารสถานศึกษาใหม้ ีความเช่ียวชาญในการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษาโดย ความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาท่ีมีบริบทใกล้เคียงกันคามมิติความต้องการจาเป็นของแต่ละ สถานศึกษา มีกิจกรรมร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้านการพัฒนาคุณภาพกา ร เรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนการพัฒนา หลกั สูตรสถานศึกษา ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร้างแผนหรือแนวทางในการจัดมวลประสบการณ์ทจ่ี ัดทา โดยบุคคลหรือคณะบุคคลในระดับสถานศึกษาเพ่ือใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตาม มาตรฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นหลักสูตรแกนกลางท่ีกาหนดจากส่วนกลางที่ปรากฏใน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และส่วนท่ีเก่ียวกับสภาพชุมชนและท้องถิ่นซึ่งพัฒนา โดยเขตพื้นท่ีการศึกษา และส่วนเพ่ิมเติมท่ีสถานศึกษาพัฒนาข้ึนเพ่ือให้สอดคล้องเหมาะสมกับความ สนใจ ความต้องการและความถนัดของผู้เรียนรวมท้ังความเหมาะสมกับสภาพสังคม กระบวนการใช้ หลักสูตรสถานศึกษาและการประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโดยการศึกษาให้มากข้ึนแนวโน้ม การพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบนั มุง่ เนน้ ให้มกี ารพัฒนาหลกั สูตรระดับท้องถ่ินมากข้นึ และเปดิ โอกาสให้แต่ ละท้องถิ่นสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการและเอกลักษณ์ประจาท้องถิ่นของตน เพ่ือให้ผู้เรียนที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวมท้ังยังเป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนมี ความรักและความผูกพันกับทอ้ งถิ่นของตนมากขน้ึ ด้วย แนวโน้มของหลักสตู ร ออนสไตน์ (Wrnstein, Allan C. 1994 : 4-20) (อา้ งใน พจิ ิตรา ธงพานิช(ทสี ุกะ). 2557 : 246- 251)ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรไว้ว่า หลักสูตรในอนาคต เนื้อหาวิชาจะถูกลด ความสาคัญลงโดยเฉพาะเน้ือหาวิชาที่แยกแบบโดดในหลักสูตรแบบด้ังเดิมจะยังคงอยู่ แต่จะมีลักษณะ การบูรณาการเข้ากลุ่มสาระการเรียนรู้เพิ่มขึ้นความรู้ไม่สามารถพิจารณาในแง่มุมของรายละเอียด ปลีกย่อยหรือความต่อเนื่อง แต่จะมีความเป็นสหวิทยาการและหลากหลายมิติย่ิงขึ้น ความรู้จะบูรณา การกัน ความรู้มีมากกวา่ แหล่งความรู้ภาพและเสียงเท่านัน้ และมีความน่าเชื่อถอื น้อยจากสื่อที่เป็นการ 148

พูดและการส่ือสารด้วยตัวอักษร ออนสไตน์ ได้สรปุ ไว้วา่ แนวโน้มของหลักสูตรมีดังตอ่ ไปน้ี 1. การศึกษาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Education) ความเจริญก้าวหน้าของวีดี ทัศน์สามารถนามาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนได้ วีดีโอเทป คาสเสท และดิสค์ สามารถ นามาใช้สอนได้ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์เรียนรู้ และท่ีบ้านของนักเรียน วีดีทัศน์มีความสะดวกท่ี นามาเรียนได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรียนไปได้ มีวีดีทัศน์บทเรียนวิชาต่างมีจานวนมาก นับเป็นจานวนพัน นอกจากน้ีโรงเรียนหลายแห่งและครูจานวนมากท่ีสามารถผลิตส่ือการสอนวีชาท่ี ตนเองรับผิดชอบในรูปของวีดีทัศน์ จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สามารถท่ีจะพิมพ์วีดีทัศน์ หรือภาพจากจอภาพในรูปของ ภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือรูปภาพในแบบต่างๆ ลงในกระดาษสาหรับ ศึกษาตอ่ ไปได้ วดี ีทศั น์ยังสามารถนาใช้ผา่ นระบบคอมพิวเตอรท์ ่ีช่วยให้สามารถเรียนได้ในลักษณะแบบจาลอง เหตุการณ์ที่เป็นจริง มีการโต้ตอบกัน สามารถนาเสนอได้เช่นเดียวกันกับการสอนให้ชั้นเรียน บทเรียน คอมพิวเตอร์สามารถให้คาตอบถูกหรือผิดให้กับผู้เรียนได้ทันที หรือในกรณีที่ผู้เรียนเลือกคาตอบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถให้ผู้เรียนเห็นคาตอบและสามารถเลือกท่ีกาหนดให้ปฏิบัติได้ตามที่ โปรแกรมกาหนดไว้ นอกจากน้วี ีดีทัศน์ยงั สามารถใช้เปน็ บทเรียนเรยี นแบบรายบคุ คลหรอื แบบกลุ่มยอ่ ย ก็ได้ ความรู้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์น้ียังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ท่ีผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ โดย ผ่านระบบเครอื ข่าย ใครๆ กส็ ามารถเข้าถึงขอ้ มูลสารสนเทศและสามารถใชป้ ระโยชน์ได้ 2. การรู้เทคโนโลยี (Technical Literacy) โรงเรียนในปัจจุบันเห็นความสาคัญในวิวัฒนาการ ของเทคโนโลยี จึงไดใ้ ห้การศึกษากบั ลุคลากรเกีย่ วกบั คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์ และหุ่นยนต์ การรู้คอมพวิ เตอร์ (Computer Literacy) เป็นทกั ษะพื้นฐานเพิ่มข้ึนจากทักษะการอ่านออกเขียนได้ คิด เลขเปน็ หรือรจู้ ักกนั วา่ .. ในวิถีทางเศรษฐกิจท่ใี ชเ้ ทคโนโลยีขั้นสูง ผ้ปู ฏบิ ัติงานตอ้ งมกี ารศกึ ษาที่ดี ตอ้ งมีปัญญาท่ีดีกวา่ มี ทกั ษะการสอื่ สาร และการทางานเปน็ ทีม บา้ นและทที่ างานจะมีเครื่องคิดเลข คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองแฟกซ์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ส่ิงต่างๆ เหล่านี้จะนาสู่จุดวิกฤติของคนท่ีไม่สามารถใช้เคร่ืองมืออุปกรณ์ ต่างๆ นี้ให้ทางานได้ จึงมีความจาเป็นที่ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาล จะได้ร่วมกันสร้างโรงเรียนหรือ สถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ ในอนาคต การศึกษาจะเป็นการสร้างนักวิทยาศาสตร์เพอ่ื ท่ีจะสามารถออกแบบ พฒั นา และประยุกต์เทคโนโลยีใน อนาคต สมาคมครูวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (The National Science Teachers Association : NSTA ) ได้อนุมัติหลักสูตรเรียกว่า Science/Technology/Society ซ่ึงไม่ได้มุ่งเน้นเพียงวิทยาศาสตร์เท่าน้ัน หากแต่ให้ความสาคัญกับสังคมและเทคโนโลยี ตัวอย่างหน่ึงของจุดประสงค์โปรแกรมน้ีก็เพ่ือช่วย นักศกึ ษาจดั การกบั ผลกระทบของเทคโนโลยีในชวี ิตประจาวนั ความจาเป็นที่จะต้องเพ่ิมแผนพัฒนาแห่งชาติแบบมีส่วนร่วม ของการศึกษาอุตสาหกรรมและ รัฐบาล การประเมินความต้องการอาชีพในอนาคต และแผนความร่วมมือกันของโรงเรียนหรือ สถานศกึ ษา 149

3. การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) แนวโน้มของการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความ จาเป็นกับสังคมสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องจากความรู้ท่ีมีมากมาย การเปล่ียนแปลงของสังคมอย่าง รวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีผลต่อประชาชนในการประกอบอาชีพท่ี ปรับเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาใหม่ท่ีมีผลต่อเป้าหมายของบุคคลและสังคม การศึกษาจะมีความต่อเนื่อง ตลอดชีวิตไม่ใช่เป็นเพียงการศึกษาในโรงเรียนเท่าน้ัน การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังเพิ่มข้ึนในปี ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 1990s 4. การศกึ ษานานาชาติ (International Education) สงั คมอเมริกันถอื ได้ว่าความรู้เก่ยี วกบั การ พัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ และได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับ “หมู่บ้านโลก (global village) กล่าวถึง มาตรฐานของการดารงชีวิตและเศรษฐกจิ ของชาติ (อเมริกัน) มีความเก่ียวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใน ท่อี น่ื ๆ ของโลก การสื่อสารผ่านดาวเทียมและบรรยากาศ รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดนิ ทางดว้ ยเครื่องบินเจ็ต ช่วยให้ดูเหมือนว่าโลกแคบลง ความจาเปน็ ในการ เรียนการสอนภาษาอังกฤษ ฮินดู และสเปน ภาษาญ่ีปุ่น (อันดับที่ 10) และภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส การฝึกอบรมนักศึกษาในสหรัฐอเมริกาให้เรียนรู้ภาษาต่างๆ มีผลต่อความเจริญเติบโตทางด้านการค้า ของสหรฐั อเมรกิ าและความเขา้ ใจในตลาดการค้าโลก 5. สิง่ แวดลอ้ มศึกษา (Environmental Education) ผลจากปัญหาต่างๆ อาทิ มลภาวะ น้าเสีย ประชากรที่เพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะทุพโภชนาการ และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ปัญหา ต่างๆ เหล่าน้ีนาไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและส่ิงแวดล้อม ศึกษา ถึงแม้ว่าเดิมทีมีวิชาที่เกี่ยวข้องคือ ธรณีวิทยา ชีววิทยา ภูมิศาสตร์ แต่ความต้องการความรู้ท่ีมี ความหมายและมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ในยามคับขันหรือ ช่วงเวลาเร่งด่วน โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาควรได้ทาหน้าท่ีเตรียมผู้เรียนสู่โลกอนาคต โดยช่วยให้เข้าใจใน ปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งวทิ ยาศาสตร์ สังคมและการเมืองวา่ เป็นอย่างไร ดว้ ยเหตุท่ีว่าความรทู้ ี่มีอยู่ไมม่ นั่ ใจว่า ใช้ได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรต้องให้เกิดเจตคติ คุณค่า และความคิดเชิงจริยธรรม ที่ช่วยให้มีพฤติกรรม ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาต้องการการมองโลกยุคใหมแ่ บบบูรณาการ รู้ ว่าอย่างไรที่เป็นการทาลาย รู้ว่าวิทยาศาสตร์ สังคม และการเมือง จะนามาบูรณาการกันอย่างไรที่จะ ช่วยให้ลดปัญหาหรือนาไปสู่แนวทางการแก้ไข สิ่งต่างๆ โรงเรียนในอานาคตจะต้องนาแนวคิดดังกล่าว ขา้ งตน้ นม้ี าใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรโู้ ดยเฉพาะการศึกษาเก่ยี วกับสง่ิ แวดล้อม 6. การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ (Nuclear Education) ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซ เวียต รัสเซีย ถือว่าเป็นประเทศที่เปน็ ผนู้ าด้านนวิ เคลียร์ นอกจากนน้ั ประเทศจีน เกาหลีเหนือเยอรมันนี และฝรั่งเศส นับไดว้ า่ มีการขายความรู้ดา้ นนวิ เคลียรใ์ ห้กบั ประเทศโลกทส่ี าม การใชพ้ ลงั งานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่ โรงไฟฟ้า การใชป้ ระโยชน์ทางการแพทย์ การบาบัด ด้วยการฉายรังสี ความรู้เรือ่ งหลังงานนวิ เคลยี ร์มคี วามจาเปน็ ว่าพลงั งานดงั กล่าวน้มี ผี ลกระทบต่ออากาศ อาหาร และน้าอย่างไร กรณีท่ีมีการรั่วไหลจะมีผลกระทบในขอบเขตห่างไกลเพียงใด และความเข้มข้น ของรังสีท่ีเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพันไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสาคัญ 150


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook