Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เสนอบุคลากรดีเด่น ปีการศึกษา 2564 ผศ.ดร.รุจิราพร รามศิริ

เสนอบุคลากรดีเด่น ปีการศึกษา 2564 ผศ.ดร.รุจิราพร รามศิริ

Published by Rujiraphon Ram, 2021-09-22 04:11:29

Description: เสนอบุคลากรดีเด่น 64-รุจิราพร รามศิริ

Search

Read the Text Version

คำนำ เอกสารเลม่ น้เี ป็นส่วนหนึ่งท่ีใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกอาจารย์ดีเด่นของ มก. ประจาปี 2564 ดา้ นการเรยี นการสอนโดยพิจารณาผลงานในช่วง เดือนมกราคม 2562 - กันยายน 2564 ประเภท อายุต้ังแต่ 40 ปีขึ้นไป ขอขอบคณุ คณะศึกษาศาสตรแ์ ละพัฒนศาสตร์ และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศกึ ษา คณะผ้บู รหิ าร อาจารย์ บคุ ลากร และผ้มู ีส่วนเกี่ยวข้องทุก ท่านท่ีได้มอบโอกาสท่ีดีในการพัฒนาตนเองทางด้านวิชาการ โดยเฉพาะวิชาชีพครูที่เกี่ยวข้องด้านหลักสูตร การจดั การเรยี นรู้ และการวัดและประเมินผล รวมท้ังส่ือและเทคนิคการจัดการเรียนรู้ใหม่ๆ ท่ีจาเป็นสาหรับ อาชีพครูในยุคที่มีการเปล่ียนแปลงด้านการศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ ทาให้ครูจาเป็นต้องได้รับการพัฒนา เพ่ือให้สามารถนาความรู้และประสบการณ์ไปปรับใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อตอบสนองบริบทและความ ต้องการจาเป็นของผู้เรียนเป็นสาคัญ ท้ังนี้หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทาขอน้อมรับคาแนะนาเพ่ือการ ปรับปรุงและแก้ไขในโอกาสตอ่ ไป ผศ.ดร.รุจิราพร รามศริ ิ ผู้จัดทา 8 กันยายน 2564

สำรบญั สว่ นที่ 1 เอกสารการเรียนการสอนรายวชิ าฟสิ กิ ส์ 5 (ว 33205) หนำ้ ประมวลการสอนกลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 ส่วนที่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ไฟฟ้าสถิต (Electrostatic) 1 สว่ นที่ 3 6 สว่ นที่ 4 ประมวลการสอนกลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฟสิ กิ ส์ 5 ว 33206 28 กรอบดาเนนิ การจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าฟิสิกส์ 5 (ว 33205) 43 50 ส่อื /อปุ กรณ์และแหล่งเรียนร้วู ิชาฟิสกิ ส์ 5 (ว 33205) ภาคต้น ปกี ารศึกษา 2564 67 ภาพกิจกรรมการเรยี นการสอนของนกั เรียน รายวชิ าฟิสิกส์ 5 (ว 33205) ร่วมกับ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ว 33285) 69 71 การวดั และประเมินผล 72 ผลการเรยี นของนกั เรยี นรายวิชาฟสิ ิกส์ และวิทยาศาสตร์ ปกี ารศกึ ษา 2562-2563 73 รายวิชาท่ีสอนนิสิตคณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน 74 ประมวลการสอน และกิจกรรมการเรียนการสอน 02198221 การพฒั นาหลกั สูตร 87 88 (หมู่เรยี น 706) นสิ ติ สาขาวิชาการจดั การเรยี นรู้ กลมุ่ วิชาวิทยาศาสตร์ศกึ ษา 89 ภาคตน้ ปกี ารศกึ ษา 2564 90 กจิ กรรมการเรยี นการสอนของนสิ ติ มคอ. 3-4 ปีการศกึ ษา 2562-2564 มคอ. 5-6 ปีการศึกษา 2562-2564 ผลการประเมินการสอนของนสิ ติ ในรายวชิ าที่สอน การได้รบั เชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือวทิ ยากรด้านวชิ าการ

แบบฟอรม์ ท่ี 1 แบบเสนอชอื่ อาจารย์ดีเด่นของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประจำปี 2564 (พิจารณาผลงานในช่วงเดอื นมกราคม พ.ศ.2562 – กนั ยายน พ.ศ.2564) ประเภท  อายตุ ่ำกว่า 40 ปี  อายุตง้ั แต่ 40 ปีข้นึ ไป ผลงานดเี ดน่ ด้าน  1. ดา้ นการเรียนการสอน  2. ดา้ นการบริการวิชาการ สาย  วทิ ยาศาสตร์  สงั คมศาสตร์  3. ด้านการวจิ ยั และนวตั กรรม  ด้านการวิจัย สาย  วิทยาศาสตร์  สงั คมศาสตร์  ด้านนวตั กรรม สาย  วิทยาศาสตร์  สังคมศาสตร์  4. ด้านการทำนุบำรุงศลิ ปวัฒนธรรม  5. ด้านการมีส่วนรว่ มในกิจการนสิ ิต  6. ด้านการบำเพ็ญประโยชนแ์ ละทำคุณประโยชนใ์ หแ้ ก่มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ส่วนที่ 1 ประวตั ิส่วนตัว ชื่อผู้เสนอเปน็ อาจารย์ดีเดน่ (นาย/นาง/นางสาว) ..........รจุ ริ าพร รามศิริ...................... เกดิ วนั ท่ี ...24.. เดอื น ....กันยายน..... พ.ศ. ..2511... อายุ ..53.. ปี วฒุ กิ ารศึกษาสูงสุด ........ปริญญาเอก............ ตำแหนง่ .......ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์........ ประเภท  พนักงาน  ข้าราชการ  อนื่ ๆ (ระบ)ุ ............... โทรศพั ท์มอื ถอื .........085-9032256...................... อีเมล์ [email protected]................... สงั กัดภาควิชา .......โรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วจิ ยั และพฒั นาการศกึ ษา....... คณะ..........ศกึ ษาศาสตร์และพฒั นศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกำแพงแสน ......................... บรรจเุ ขา้ ทำงานทีม่ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตรเ์ มื่อวนั ที่ ..20.. เดือน .....สงิ หาคม......... พ.ศ. …2533... รวมอายุงาน...31... ปี ....2...... เดือน คตพิ จนใ์ นการทำงาน.....โอกาสในการพฒั นางานย่อมมีใหส้ ำหรบั ผู้ที่มีความศรัทธาในตนเองและผู้อื่นเสมอ..... ส่วนท่ี 2 ใหส้ ว่ นงานตน้ สงั กัดซง่ึ เสนอช่ือผสู้ มควรไดร้ ับคัดเลอื กเป็นบุคลากรสายวชิ าการดเี ดน่ ประเมินจาก คุณสมบตั ิตามจรรยาบรรณอาจารย์มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมคี ่าคะแนนตามรายการประเมิน ดังนี้ ดีทสี่ ุด 5 คะแนน ดีมาก 4 คะแนน ดี 3 คะแนน ปานกลาง 2 คะแนน พอใช้ 1 คะแนน ระบุเครือ่ งหมาย  ในขอ้ ท่ีตรงกับความคดิ เห็นของทา่ น (ผบู้ ังคับบญั ชาเปน็ ผู้ประเมิน) (เต็ม ๕๐คะแนน) รายการประเมิน 5 43 21 1. เป็นผูด้ ำรงตนเป็นแบบอย่างทีด่ แี ก่ศษิ ย์ บคุ คลท่วั ไปและสังคม  2. สอนศษิ ยใ์ ห้เปน็ ผมู้ ีความรู้และคณุ ธรรมอยา่ งเตม็ ความสามารถ  ช่วยเหลอื และปฏิบตั ติ อ่ ศิษยอ์ ย่างมเี มตตาและเป็นธรรม 3. ปฏิบตั ติ นและหน้าทด่ี ้วยความรับผิดชอบทง้ั ต่อตนเอง สงั คมและ  ประเทศชาติดว้ ยความเสยี สละ อดทน ซื่อสตั ย์สุจริต 4. ศึกษาค้นควา้ ตดิ ตามความก้าวหน้าทางวชิ าการและพัฒนาองค์  ความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง 5. ปฏบิ ัติงานบนพ้ืนฐานของความถูกตอ้ งเป็นธรรม ไมถ่ ูกครอบงำ  ดว้ ยอิทธิพลหรอื ผลประโยชน์ใด ๑

รายการประเมนิ 5 43 21 6. มคี ณุ ธรรม จริยธรรมและพฒั นางานวิจัยท่ีเปน็ ประโยชน์ตอ่  ศาสตรแ์ ละสงั คมโดยส่วนรวม  7. ปฏบิ ัตติ นตอ่ ผู้รว่ มงานเยี่ยงกัลยาณมิตร สามัคคี ส่งเสริมและ  เกอ้ื กลู ซ่งึ กนั และกัน  8. มสี ว่ นร่วมในการพฒั นาและธำรงไว้ซึ่งเกยี รติภมู แิ ห่ง มก. 9. เป็นผู้ใหบ้ รกิ ารวิชาการด้วยความรับผิดชอบต่อผู้อนื่ สงั คมและ  .....50..... คะแนน (เตม็ 50 คะแนน) ประเทศชาติ 10. ปฏบิ ตั ิ อนรุ กั ษ์ สง่ เสริมศิลปวัฒนธรรมและพฒั นาภมู ปิ ัญญาไทย รวมคะแนน สว่ นที่ 3 การประพฤตปิ ฏิบัตติ น 3.1 การครองตน มีหลกั การปฏบิ ตั ิตนอยู่บนความถูกต้องและไม่ประมาท ดำรงตนตามหลักของการของพทุ ธศาสนา และมี ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขยันหมั่นเพียร อดทน มุ่งมั่น สนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัวที่เป็นความรู้และ วิธีการใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางนำมาพัฒนาตน พัฒนางานอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบ ตัวอย่างสมดุล โดยคำนึงถึงหลักการอยู่ร่วมกันของสังคม คุณภาพ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของงาน มีความ ตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบตามบทบาทและหน้าที่ของตนเอง พิจารณาไตร่ตรองวางแผนในการดำเนินชีวิตและ ดำเนินงานอย่างรอบคอบตามกระบวนการที่ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน รู้จักประหยัด และเก็บออม และใชท้ รพั ยากรของหน่วยงานอยา่ งค้มุ คา่ 3.2 การครองคน มีหลักการปฏิบัติตนในเรื่องการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ทั้งกับ ผบู้ งั คับบญั ชาและเพ่อื นร่วมงาน เพ่ือใหเ้ กิดการยอมรับและสามารถปฏบิ ัติงานรว่ มกันได้ มีบรรยากาศและความรู้สึกท่ี ดีต่อกันในการทำงาน ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการปฏิบัติงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน เน้นการวิเคราะห์งานและเลือกใช้ วิธีการที่เหมาะสมกับงานและบุคคลากรในหน่วยงาน เน้นการช่วยเหลือกันในสังคมการทำงานและประณีประนอมใน สมาชิกเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ด้วยความเต็มใจและเต็มกำลังความสามารถของแต่ละคน ซึ่งจะนำพาไปสู่ ความสำเรจ็ ของงานภายใตเ้ งื่อนไขของเวลาและปจั จัยทก่ี ำหนด 3.3 การครองงาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และพัฒนาคุณภาพของงานที่รับผิดชอบอยู่เสมอด้วยความ มุ่งมั่น ตั้งใจ เต็มตามศักยภาพของตนเอง ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง เรียนรู้ปัญหา และพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ของตนเองอยู่เสมอ ตรวจสอบและสะท้อนผลการปฏิบัติงาน ของตนเองและเพ่อื นร่วมงานอย่างต่อเนื่อง และตระหนกั ในผลลพั ธข์ องงานทจี่ ะส่งผลตอ่ องค์กรและประเทศชาติตอ่ ไป ๒

ส่วนที่ 4 ผลงานดีเด่นที่เสนอให้ได้รับคัดเลือกเป็นอาจารย์ดีเด่นฯ (ระบุผลงานดีเด่นที่ได้รับความนิยมเป็นที่ยอมรับ และปรากฏผลเดน่ ชดั (ในช่วงเดอื นมกราคม พ.ศ.2562 – กนั ยายน พ.ศ.2564) ได้รับเชิญเป็นวิทยากรทั้งภายในและภายนอกสถาบันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ. 2564 เกย่ี วกับ การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การพฒั นานวตั กรรมการเรียนการสอน การนเิ ทศการสอน การ พัฒนาวิชาชีพครู การวิจัยและพัฒนา การวิจัยในชั้นเรียน และการประเมิน ผลจากแฟ้มสะสมงานนักเรียน ดัง รายละเอียดในเอกสารอ้างอิงประกอบการพิจารณาส่วนที่ 4 การได้รับเชิญให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรด้าน วชิ าการ ลงชือ่ .................................................................................. (ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ สานิตย์ รศั มี) ผู้อำนวยการ โรงเรยี นสาธิตแหง่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจยั และพัฒนาการศึกษา วนั ท่ี ........ กันยายน 2564 ๓

ประมวลการสอน กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสาธติ แห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศนู ย์วจิ ยั และพัฒนาการศึกษา ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 รายวิชา ฟิสิกส์ 5 (ว 33205) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 รายวิชา เพ่มิ เตมิ จานวน 2.5 หน่วยกติ อาจารย์ผสู้ อน ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ รจุ ิราพร รามศริ ิ เวลาเรียน 5 คาบ/สปั ดาห์ คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษาวเิ คราะห์ การเกิดไฟฟ้าสถติ ประจไุ ฟฟา้ และกฎการอนุรักษ์ การเหนี่ยวนาไฟฟ้า แรงระหว่างประจุ ไฟฟ้า สนามไฟฟา้ ศกั ย์ไฟฟา้ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความต่างศกั ย์และสนามไฟฟ้าสม่าเสมอ ตวั เก็บประจุและความจุ ไฟฟา้ การนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ วเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ของไฟฟ้าและแม่เหล็ก แหล่งกาเนิดไฟฟ้า การนาไฟฟ้า ผลของอุณหภูมิท่ีมีต่อความต้านทาน การต่อตัวต้านทาน แรงเคล่ือนไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า การต่อ เซลล์ไฟฟา้ หลกั การทางานของอุปกรณไ์ ฟฟ้า ไดแ้ ก่ แอมมิเตอร์ โวลต์มิเตอร์ และโอห์มมิเตอร์ พลังงานไฟฟ้าและ กาลงั ไฟฟา้ หลกั การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ ในวงจร และการทางานของเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ท่ใี หพ้ ลังงานรูปต่างๆ การใช้ไฟฟ้าอย่าง ประหยัดและปลอดภัย สนามแม่เหล็ก แรงกระทาต่อประจุไฟฟ้าและลวดตัวนาในบริเวณสนามแม่เหล็ก สนามแม่เหล็กท่ีเกิดจากกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนา แรงกระทาต่อขดลวดที่อยู่ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก หลกั การทางานของแกลวานอมเิ ตอร์ มอเตอร์กระแสตรง หลักการเหนยี่ วนาแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการของหม้อแปลง ไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลับ ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า มิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้า และ ความต่างศักย์ไฟฟ้ากระแสสลับ ค่ายังผลในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ความต้านทานเชิงซ้อน กาลังไฟฟ้า คลื่น แม่เหลก็ ไฟฟ้า และสเปกตรมั คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบค้นข้อมูล การสารวจ ตรวจสอบ การอธบิ าย การอภปิ ราย การวเิ คราะห์และการคานวณ เพ่ือใหเ้ กิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถส่ือสาร สิง่ ที่เรียนรู้ มีความสามารถในการคิดและตดั สินใจ เหน็ คุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและคา่ นิยมที่เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายการเหน่ียวนาไฟฟา้ 2. อธบิ ายแรงกระทาระหว่างอนภุ าคท่ีมปี ระจไุ ฟฟา้ 3. อธบิ ายสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าของจุดประจุ และสนามไฟฟา้ ของตวั นาทรงกลม 4. อธบิ ายพลงั ศกั ยไ์ ฟฟา้ และความตา่ งศกั ยร์ ะหวา่ งสองตาแหนง่ 5. อธิบายความจุ หลกั การทางานของตวั เก็บประจุ และผลการตอ่ ตวั เก็บประจแุ บบอนกุ รมหรือขนาน 6. อธิบายหลักการทางานของอปุ กรณบ์ างชนิด โดยใช้ความรู้เกีย่ วกบั ไฟฟา้ สถิต 7. อธิบายการเกิดกระแสไฟฟ้าในตัวกลางและการวเิ คราะหห์ ากระแสไฟฟ้าในลวดตวั นาโลหะ 8. อธิบายกฎของโอหม์ ความต้านทาน และการใช้กฎของโอหม์ 9. อธบิ ายความหมายของแรงเคลือ่ นไฟฟา้ และความตา่ งศักยร์ ะหว่างข้ัว 10. อธบิ ายพลังงานไฟฟ้า และกาลงั ไฟฟ้าในวงจร 11. วิเคราะห์และหาปริมาณทางไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ กระแสตรงอยา่ งง่าย 12. อธิบายแรงกระทาต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคล่ือนท่ีเข้าไปในสนามแม่เหล็ก และแรงกระทาต่อ ลวดตวั นาที่มีก่ ระแสไฟฟ้าผ่าน และอยูใ่ นสนามแม่เหลก็

2 13. อธิบายการหมุนของขดลวดท่มี กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน และอยใู่ นสนามแม่เหลก็ และการนาหลักการน้ีไป สร้างและอธิบายการทางานของแกลแวนอมิเตอร์และมอเตอรไ์ ฟฟา้ 14. อธิบายแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวนา กฏของฟาราเดย์และการนาหลักการนี้ไปสร้างและอธิบายการ ทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 15. วเิ คราะหป์ รมิ าณไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ และสเปกตรัมคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมผลการเรียนรู้ 15 ขอ้ กระบวนการจัดการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิด STEM Education ร่วมกับกระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ผสมผสานเทคโนโลยีในยุคดิจิตอล เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการ แกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา “EEIPS Model”ท่ี ผู้สอนพฒั นาขึน้ ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ได้แก่ ขั้นที่ 1 การทาความเข้าใจกล่มุ เปา้ หมายอย่างลึกซึ้ง (Empathize: E) ขน้ั ท่ี 2 การสารวจแนวคิด และต้งั กรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) ขั้นที่ 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบ (Ideate, Plan and Design: I) ขั้นที่ 4 การสร้างต้นแบบ ทดสอบและปรับปรุง (Prototype, Test and Improve: P) และขั้นท่ี 5 การแบ่งปันและการประเมิน (Share and Assessment: S) โดยผสมผสานเทคนิคการจัดการเรียนรู้หลากหลายตามความเหมาะสมกับบริบทของนักเรียน เช่น การ บรรยาย สบื เสาะหาความรู้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ อภิปราย แก้ปญั หา ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวัน ระดมสมอง นาเสนอความรู้และกระบวนการแสวงหาความรู้ ศึกษาคน้ ควา้ จากแหลง่ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง การทางานกลุ่ม งาน รายบุคคล การฝึกปฏิบัติการทดลอง การออกแบบการทดลอง การออกแบบช้ินงาน/ภาระงาน การประเมิน ตามสภาพจริง ซึ่งประกอบด้วย การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning) การประเมินขณะ เรยี นรู้ (Assessment as Learning) และการประเมนิ (Assessment of Learning) โดยใช้การประเมนิ ตนเอง การประเมินโดยเพื่อน และการประเมนิ โดยครู ส่อื และแหล่งเรียนรู้ 1. เอกสารการเรยี นการสอน และแบบฝกึ เสริมประสบการณ์ 2. Ms.PowerPoint 3. อปุ กรณ์การทดลอง 4. ใบงาน 5. Website ทีเ่ กี่ยวข้อง 6. เหตุการณ์ในชวี ติ ประจาวนั 7. รายการทางสอ่ื วดี ิทัศน์ และทางหนงั สือพมิ พ์ วารสาร นิตยสาร เชน่ ขา่ ว ภาพยนตร์ โฆษณา เป็นต้น 8. บทความวิจัย และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง 9. Google Classroom การวดั และการประเมินผล เปา้ หมายการเรียนรู้ วิธกี ารประเมนิ /เครือ่ งมอื น้าหนกั คะแนน (100) 20 1. ดา้ นความรู้ - การทดสอบกลางภาค / แบบทดสอบ

3 เปา้ หมายการเรยี นรู้ วธิ ีการประเมิน/เคร่อื งมือ น้าหนักคะแนน (100) 2. ด้านทักษะกระบวนการ 30 3. ดา้ นจติ พสิ ยั - การทดสอบปลายภาค / แบบทดสอบ 8 - การทดสอบยอ่ ย / แบบทดสอบ 1 - การตอบคาถาม / แบบสงั เกต 1 - การทาแบบฝึกหัด / แบบประเมิน 20 - การประเมนิ การปฏิบตั ิ / แบบประเมนิ การ 10 ปฏิบัติ - การสงั เกตกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ / 10 แบบบนั ทึกผลการสงั เกต (ประเมนิ ตนเอง ประเมินโดยเพือ่ น และประเมินโดยคร)ู - การสังเกต / แบบสงั เกต เกณฑ์การให้ระดับคะแนน ระดบั คะแนน 4 คะแนน 80-100 3.5 3 75-79 2.5 70-74 65-69 2 1.5 60-64 55-59 1 0 50-54 0-49 โครงการสอน เนื้อหา เวลาเรยี น น้าหนัก สัปดาหท์ ่ี คาบท่ี (คาบ) (ร้อยละ) 25 30 1-5 1-25 หน่วยที่ 1 ไฟฟ้าสถิต 1.1 การเกิดไฟฟ้าสถิต 13 20 1.2 ประจไุ ฟฟา้ และกฎการอนุรักษ์ 1.3 การเหนีย่ วนาไฟฟา้ 1.4 แรงระหวา่ งประจไุ ฟฟา้ สนามไฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟ้า 1.5 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความต่างศกั ย์และสนามไฟฟา้ สมา่ เสมอ 1.6 ตัวเกบ็ ประจุและความจไุ ฟฟ้า 1.7 การนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 6-8 26-38 หนว่ ยที่ 2 ไฟฟา้ และแมเ่ หลก็ 1 2.1 วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ของไฟฟ้าและแมเ่ หลก็ 2.2 แหล่งกาเนดิ ไฟฟ้า การนาไฟฟ้า

4 สัปดาหท์ ี่ คาบที่ เน้ือหา เวลาเรยี น น้าหนัก (คาบ) (ร้อยละ) 2.3 ผลของอณุ หภูมิที่มีตอ่ ความตา้ นทาน 2.4 การตอ่ ตวั ต้านทาน 2.5 แรงเคลือ่ นไฟฟา้ และความต่างศักย์ไฟฟ้า 39-40 ทบทวน 2- 9 - สอบกลางภาค -- 10-11 41-50 หนว่ ยท่ี 2 ไฟฟ้าและแม่เหลก็ 1 (ต่อ) 10 10 2.6 การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้า 2.7 หลกั การทางานของอปุ กรณ์ไฟฟ้า ได้แก่ แอมมเิ ตอร์ โวลต์มเิ ตอร์ และโอหม์ มิเตอร์ 2.8 พลงั งานไฟฟ้าและกาลงั ไฟฟ้า 2.9 หลกั การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าในวงจร 2.10 การทางานของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ ทใ่ี หพ้ ลงั งานรปู ต่าง ๆ 2.11 การใช้ไฟฟ้าอยา่ งประหยัดและปลอดภยั 12-17 51-78 หนว่ ยที่ 3 ไฟฟา้ และแมเ่ หล็ก 2 28 40 3.1 สนามแม่เหล็ก 3.2 แรงกระทาต่อประจุไฟฟา้ และลวดตัวนาในบริเวณ สนามแมเ่ หล็ก 3.3 สนามแม่เหล็กทีเ่ กิดจากกระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนา 3.4 แรงกระทาต่อขดลวดทอี่ ยู่ในบริเวณที่มีสนามแม่เหลก็ 3.5 หลกั การทางานของแกลวานอมิเตอร์ และมอเตอร์ กระแสตรง 3.6 หลกั การเหน่ยี วนาแมเ่ หล็กไฟฟา้ 3.7 หลกั การของหม้อแปลงไฟฟ้า 3.8 ไฟฟา้ กระแสสลับ 3.9 ความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั ความต่าง ศกั ยไ์ ฟฟา้ 3.10 มิเตอรว์ ดั กระแสไฟฟา้ และความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ กระแสสลับ 3.11 คา่ ยงั ผลในวงจรไฟฟา้ กระแสสลบั 3.12 ความต้านทานเชิงซ้อน กาลงั ไฟฟ้า คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า และสเปกตรมั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ 17 2 ทบทวน 2- 18 - สอบปลายภาค -- รวม 80 100

5 การทบทวนเพ่อื ปรบั ปรุงวธิ กี ารสอนและระบบการสอน มีการปรับปรงุ เครื่องมือและเกณฑก์ ารประเมินผลของสมรรถนะการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ และ เพม่ิ เครือ่ งมือการประเมินสมรรถนะการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมและเกณฑก์ ารประเมิน ปรบั เทคนิคการจดั การ เรยี นรู้ผา่ นออนไลนต์ ามสถานการณ์ COVID 19 ตลอดภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 การปรบั ปรงุ การสอนจากผลการประเมินผลการสอน มกี ารประเมนิ ผลการเรียนการสอน ยืดหยุ่นเวลาเรยี น ให้การขอ้ มลู ย้อนกลับ (feedback) แกน่ ักเรยี น เป็นรายบุคคล ให้การซอ่ มเสริมนักเรียนระหว่างเรยี นกรณีทีน่ กั เรียนลาและเรยี นร้ไู มท่ ันในชน้ั เรียน รวมทงั้ ให้ คาปรกึ ษาการทางานกลมุ่ ของนักเรียนผา่ นออนไลน์นอกเวลาเรียนอยา่ งตอ่ เนื่อง ลงนาม........................................ผูร้ ายงาน (ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รจุ ิราพร รามศิริ) วนั ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

6 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ไฟฟ้าสถิต (Electrostatic) รหัสวชิ า ว 33205 ช่อื รายวชิ า ฟิสิกส์ 5 (เพิม่ เตมิ ) กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 เวลา 25 คาบ ผู้สอน ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ รุจริ าพร รามศริ ิ โรงเรยี น สาธติ แห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาการศกึ ษา ผลการเรยี นรู้ อธิบายและวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต ในเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติของไฟฟ้า การ เหน่ียวนาไฟฟ้า ทดลองแรงกระทาระหว่างอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า อธิบายและทดลองเก่ียวกับสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าของจุดประจุ และสนามไฟฟ้าของตัวนาทรงกลม ศักย์ไฟฟ้า และความต่างศักย์ระหว่างสองตาแหน่ง ความจุไฟฟ้า หลักการทางานของตัวเกบ็ ประจุ และผลการต่อตัวเก็บประจุแบบอนุกรมหรือขนาน อธิบายหลักการ ทางานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต สร้างแบบจาลองสิ่งประดิษฐ์/ นวัตกรรมเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต โดยใช้ กระบวนการวิจยั ในการแสวงหาความรู้ เพ่อื ให้ไดค้ าตอบของปญั หาหรือองค์ความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต ส่ือสาร และนาเสนอองค์ความรู้ และนาไปใช้ประโยชน์ มีความสนใจใฝ่รู้ มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ มีความยินดีใน การทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืน มเี หตมุ ผี ล มีใจกวา้ ง มรี ะเบียบและรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีความมุ่งมั่นอดทน และเพยี รพยายาม และมีความซอ่ื สตั ยต์ ่อข้อมูลทีศ่ กึ ษา ความเขา้ ใจทีค่ งทน (Enduring Understandings) กระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองผ่านการวิจัยที่เน้นกระบวนการคิดเชิงออกแบบผสมผสาน เทคโนโลยีในยุคดิจิตอล เพื่อพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และ ความสามารถในการวิจัย ผ่านกระบวนการออกแบบร่วมกับการวิจัย 5 ขั้น ได้แก่ ข้ันที่ 1 การทาความเข้าใจ กลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซ้ึง (Empathize: E) ขั้นที่ 2 การสารวจแนวคิด และต้ังกรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) ขั้นที่ 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบ (Ideate, Plan and Design: I) ข้ันท่ี 4 การสร้างต้นแบบ ทดสอบและปรับปรุง (Prototype, Test and Improve: P) และขั้นที่ 5 การแบ่งปันและ การประเมิน (Share and Assessment: S) ทาให้เข้าใจว่า กระบวนการดังกล่าวก่อให้เกิดองค์ความรู้และ สมรรถนะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านฟิสิกส์เร่ืองไฟฟ้าสถิต ตาม เนื้อหาสาระที่ศึกษา คือ ประจุไฟฟ้าบนวัสดุเกิดขึ้นได้จากการเหนี่ยวนาไฟฟ้า จึง นาไปอธิบายการเกิด ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แรงระหว่างประจุไฟฟ้า เป็นไปตามกฎของคูลอมบ์ (Coulomb’s Law) สนามไฟฟา้ เกดิ จากแรงท่ปี ระจไุ ฟฟา้ กระทาต่อประจุทดสอบ +1 หน่วย และเป็นปริมาณเวกเตอร์ซ่ึงมีทิศทาง เดียวกับแรงทก่ี ระทานน้ั ศักย์ไฟฟา้ ท่ตี าแหน่งใดๆ เกิดจากงานการเล่ือนประจุ+1 หน่วย จากระยะอนันต์มายัง ตาแหน่งนั้นจดั เปน็ ปริมาณสเกลาร์ ตัวเกบ็ ประจุ (Capacitor) ทาหน้าท่ีเก็บประจุไฟฟ้า มีค่าวัดได้จากปริมาณ ความจุซ่ึงหาได้จากอัตราส่วนของประจุต่อศักย์ไฟฟ้า และไฟฟ้าสถิตสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวันและในอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ สาระการเรียนรู้ (Content) ดา้ นความรู้ (Knowledge)

7 1. ปรากฏการณ์ธรรมชาติของไฟฟ้า เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในธรรมชาติ ซ่ึงเกิดจากการถ่ายเท ประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ โดยประจุไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือประจุบวก และประจุลบ วัตถุท่ีให้ อเิ ลคตรอนจะแสดงอานาจไฟฟา้ เปน็ บวก เรยี กว่า “ประจบุ วก” สว่ นวัตถุทีร่ ับอิเลคตรอนจะแสดงอานาจไฟฟ้า เปน็ ลบ เรียกว่า “ประจุลบ” 2. การทาให้วตั ถุมปี ระจุไฟฟา้ เป็นการยา้ ยประจุจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึงโดยที่ผลรวมของจานวน ประจทุ ง้ั หมดของระบบทพี่ จิ ารณาจะเทา่ เดมิ เสมอ ซงึ่ เป็นกฎมลู ฐานหน่ึงของฟิสิกส์ ท่ีมีช่ือว่า “กฎการอนุรักษ์ ประจุไฟฟ้า” 3. วิธีการตรวจสอบประจุของวัตถุ และชนิดของประจุโดยใช้อิเล็กโตรสโคป อาศัยหลักการเร่ือง “การเหนี่ยวนาไฟฟ้า” ซ่ึงหมายถึง การนาวัตถุที่มีประจุเข้าใกล้วัตถุที่เป็นตัวนาไฟฟ้าจะทาให้เกิดประจุชนิด ตรงขา้ มบนดา้ นของตวั นาทีใ่ กล้วตั ถุ 4. แรงกระทาระหว่างประจทุ ้ังแรงผลัก และแรงดดู มีความสัมพันธ์ตามกฎของคลู อมบ์ 5. สนามไฟฟ้า ณ ตาแหน่งใดๆ คือ แรงที่กระทาต่อประจุบวกขนาดหน่ึงหน่วย ซ่ึงวางอยู่ ณ ตาแหน่งนั้น จัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ เส้นท่ีใช้เขียนเพื่อแสดงทิศทางของสนามไฟฟ้ารอบๆประจุ เรียกว่า “เส้นแรงไฟฟ้า” บริเวณใดทม่ี ีเสน้ แรงไฟฟา้ หนาแน่นมาก สนามไฟฟ้าที่บริเวณนั้นมีค่ามาก และบริเวณใดที่มี เส้นแรงไฟฟ้าหนาแนน่ น้อย สนามไฟฟ้าทีบ่ รเิ วณนน้ั ก็มคี า่ นอ้ ย 6. ศกั ย์ไฟฟา้ ณ ตาแหน่งใดๆ คือ พลังงานศกั ย์ไฟฟา้ ตอ่ หนึ่งหน่วยประจุ ณ ตาแหน่งทวี่ างประจุไว้ หรอื เปน็ ความต่างศักย์ระหวา่ งตาแหนง่ น้นั กบั ตาแหนง่ ทมี่ ีศักย์ไฟฟา้ เปน็ ศูนย์ 7. ตวั เกบ็ ประจุ (Capacitor) ทาหน้าท่ี เก็บประจุไฟฟ้า มีค่าวัดได้จากปริมาณความจุซ่ึงหาได้จาก อัตราส่วนของประจุ ต่อศักย์ไฟฟ้า ค่าความจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุท่ีเป็นตัวนาทรงกลมแปรผันตรงกับรัศมี ของทรงกลม ทรงกลมขนาดใหญ่จึงมีความจุมากกว่าทรงกลมขนาดเล็ก ในการเก็บประจุ ตัวเก็บประจุจะเร่ิม เกบ็ ประจทุ ลี ะนอ้ ยตามความต่างศกั ยท์ เ่ี พมิ่ ขึ้น ทาให้สามารถหาคา่ พลงั งานสะสมในตวั เก็บประจไุ ด้ 8. ประโยชน์ของไฟฟ้าสถิต สามารถนาไปผลิตเคร่ืองถ่ายเอกสาร เคร่ืองพ่นสี ไมโครโฟนแบบตัว เกบ็ ประจุ ตัวเก็บประจใุ นอุปกรณ์ไฟแฟลชของกล้องถา่ ยรูป ตัวเก็บประจุในวงจรขดลวดปฐมภูมิของคอยล์ จดุ ระเบดิ รวมทง้ั ตัวเกบ็ ประจใุ นวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์ตา่ งๆ ด้านทักษะการแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ : นกั เรยี นมีความสามารถดังนี้ 1. ทักษะการค้นพบความจริง : บอกข้อมูลจากสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เก่ียวข้องกับ สถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหา และสถานการณ์ทใี่ กลเ้ คยี งกับปัญหาท่ีพบ 2. ทักษะการค้นพบปัญหา : สามารถค้นหาปัญหาท่ีแท้จริงที่เกิดข้ึนจากสถานการณ์อ่ืนๆได้ อยา่ งหลากหลายและพจิ ารณาระบุสาเหตขุ องปัญหาได้อยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล 3. ทกั ษะการค้นพบแนวคิด : พิจารณาหาแนวทางและวิธีการแก้ปัญหาท่ีเป็นไปได้ต้ังแต่ 3 วิธี ขึ้นไปท่ีไม่เหมือนคนอน่ื และมแี นวโนม้ สามารถนาไปแกป้ ัญหาไดจ้ ริงในทกุ วิธี 4. ทักษะการค้นพบวิธกี ารแก้ปญั หา : เสนอเกณฑห์ รือแสดงเหตผุ ลทีแ่ ตกต่างจากคนอื่นได้เพื่อ การตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางและวธิ กี ารแก้ปญั หาท่ีดที ีส่ ดุ มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพทีส่ ุด 5. ทักษะการสรา้ งสรรค์ความรู้ : สามารถนาความร้หู รอื แนวความคิดท่ีไดจ้ ากข้ันท่ี 4 ไปใชใ้ น การแก้ปญั หากบั สถานการณ์อ่นื ๆได้อยา่ งหลากหลาย และมีความเป็นไปได้มาก ดา้ นสมรรถนะการสร้างสรรค์นวัตกรรม : นกั เรียนมีความสามารถ 5 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านการต้ังคาถาม 2. ดา้ นการสารวจ 3. ด้านการเปิดมุมมอง

8 4. ดา้ นการทดลอง 5. ดา้ นการเชอ่ื มโยงความคิด ด้านความสามารถในการวิจัย : นักเรียนมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดย สามารถดาเนินการ 6 ขอ้ ดังนี้ 1. ตง้ั คาถาม เพอ่ื นาไปสูก่ ารกาหนดปัญหาวจิ ัย 2. กาหนดสมมตฐิ าน และออกแบบการวิจัย 3. เกบ็ รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล 4. สรปุ และอภิปรายผลการวิจัย 5. นาเสนอผลการวิจยั 6. นาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. ใฝเ่ รยี นรู้ 2. ซือ่ สตั ย์สุจริต 3. มุง่ มัน่ ในการทางาน 4. มวี นิ ยั ในตนเอง 5. มีจิตสาธารณะ คาถามสาคญั (Essential questions) 1. ปรากฏการณ์ธรรมชาติของไฟฟา้ เกิดขึ้นได้อยา่ งไร และการเหน่ยี วนาไฟฟา้ มีลักษณะอยา่ งไร 2. แรงกระทาระหวา่ งอนภุ าคที่มีประจุไฟฟ้าเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร และมลี กั ษณะอย่างไร 3. สนามไฟฟา้ สนามไฟฟ้าของจดุ ประจุ และสนามไฟฟ้าของตวั นาทรงกลม มลี กั ษณะอยา่ งไร 4. ศกั ย์ไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ระหวา่ งสองตาแหน่ง หาค่าไดอ้ ยา่ งไร 5. ความจุไฟฟ้าคืออะไร ตวั เก็บประจุมหี ลกั การทางานอยา่ งไร และการตอ่ ตวั เก็บประจุแบบอนุกรม และแบบขนาน มผี ลต่อการเกบ็ ประจขุ องตวั เก็บประจุอย่างไร 6. เครอ่ื งถ่ายเอกสาร มีหลักการทางานอยา่ งไร และอุปกรณ์ใดบ้างที่มีหลกั การทางานเช่นเดียวกนั 7. จากสถานการณท์ เี่ กีย่ วกับไฟฟา้ สถิต อยากทราบว่า 7.1 มขี ้อมลู หรือข้อเทจ็ จรงิ อะไรบา้ ง 7.2 ปญั หาทแี่ ท้จริงคืออะไร และปัญหานั้นน่าจะมสี าเหตมุ าจากอะไรบา้ ง 7.3 จะหาคาตอบไดอ้ ย่างไรบ้าง และจากทใี่ ดไดบ้ า้ ง 7.4 มีขัน้ ตอนในการแกป้ ัญหาน้นั อยา่ งไร ต่างจากทเ่ี คยพบแล้วหรือไม่ ข้ันตอนในการแก้ปัญหา ดงั กลา่ ว สามารถนาไปปฏิบัติได้จรงิ หรอื ไม่ เพราะเหตุใด 7.5 ความรู้ หรอื แนวความคิดได้จากการค้นพบคาตอบครั้งน้ี นักเรียนคิดว่าจะสามารถนาไปใช้ ในการแก้ปัญหากับสถานการณ์ไฟฟ้าสถิตอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ อย่างไร และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวันไดอ้ ยา่ งไร

9 การวัดและประเมนิ ผล ชิน้ งาน / ภาระงานรวบยอด นักเรียนมีบทบาทเปน็ นักวทิ ยาศาสตร์และนักออกแบบท่นี าหลกั การของไฟฟ้าสถิตไปใช้เพ่ือออกแบบ สิ่งประดิษฐ์ หรือวิธีการใหม่ ๆ แล้วสร้างแบบจาลอง พร้อมทั้งหาวิธีในการนาเสนอแก่ครูและเพื่อนนักเรียน รวมทงั้ การนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์สชู่ มุ ชน การประเมินระหว่างการเรียนรู้ ลาดับ ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการประเมิน เครื่องมือประเมนิ เกณฑก์ าร ผู้ประเมิน ที่ ประเมิน อาจารย์ 1 อธบิ ายและวิเคราะห์ การตรวจใหค้ ะแนน แบบประเมนิ แผนผัง Rubrics ปญั หาเก่ียวกบั ไฟฟา้ สถติ แผนผังความคิดเร่ือง ความคิดเรื่องไฟฟ้า ในเร่ืองปรากฏการณ์ ไฟฟา้ สถติ สถติ ธรรมชาตขิ องไฟฟา้ การ เหนย่ี วนาไฟฟา้ ทดลอง แรงกระทาระหว่าง อนุภาคท่ีมปี ระจุไฟฟา้ อธิบายและทดลอง เกี่ยวกับสนามไฟฟา้ สนามไฟฟา้ ของจุดประจุ และสนามไฟฟา้ ของตัวนา ทรงกลม ศักย์ไฟฟา้ และ ความตา่ งศกั ยร์ ะหว่าง สอง ตาแหนง่ ความจุ ไฟฟ้า หลกั การทางานของ ตวั เกบ็ ประจุ และผลการต่อ ตัวเก็บประจุแบบอนกุ รม หรอื ขนาน อธบิ าย หลักการทางานของ อุปกรณ์ทีเ่ กยี่ วกับไฟฟ้า สถติ และมีความสนใจใฝ่รู้ 2 ทดลองแรงกระทา - ตรวจเอกสารการ - เกณฑก์ าร Rubrics อาจารย์ ระหว่างอนุภาคท่มี ปี ระจุ ออกแบบการทดลอง ประเมนิ ผลการ ไฟฟา้ สนามไฟฟา้ ออกแบบการทดลอง สนามไฟฟ้าของจดุ ประจุ ศกั ยไ์ ฟฟ้า และความตา่ ง - แบบสงั เกต พฤตกิ รรมการ ศักย์ระหวา่ งสองตาแหนง่ - การสังเกตพฤตกิ รรม ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง มาตรประเมิน ค่า 5 ระดบั ความจุไฟฟ้า การทางาน ของนักเรียนจากการ - แบบประเมนิ พฤติกรรมการ มาตรประเมนิ ของตวั เกบ็ ประจุ และผล ปฏบิ ตั ิการทดลอง ทางานกลุ่ม ค่า 3 ระดบั การตอ่ ตวั เกบ็ ประจแุ บบ เก่ียวกับไฟฟา้ สถติ อนกุ รมหรอื ขนาน มีความ ยนิ ดีในการทางานรว่ มกบั ผู้อ่นื มเี หตมุ ผี ล มใี จ กวา้ ง มีระเบยี บและ

10 ลาดบั ผลการเรียนรู้ วธิ ีการประเมนิ เครือ่ งมือประเมนิ เกณฑก์ าร ผ้ปู ระเมนิ ท่ี ประเมิน อาจารย์ รอบคอบ มคี วาม นักเรยี น เพ่อื น รับผดิ ชอบ มคี วามมุ่งมนั่ อาจารย์ อดทนและเพียรพยายาม นักเรยี น เพื่อน และมคี วามซ่ือสัตยต์ อ่ อาจารย์ ข้อมูลทศี่ ึกษา อาจารย์ 3 อธบิ าย และวิเคราะห์ การตรวจใหค้ ะแนน แบบตรวจให้คะแนน Rubrics นกั เรยี น เพ่อื น โจทย์ปญั หาเกีย่ วกับ แรง แบบฝกึ หัดเรอ่ื งไฟฟ้า แบบฝึกหัด กลุ่ม เป้าหมายของ กระทาระหว่างอนุภาคที่มี สถิต การวจิ ัย ประจไุ ฟฟา้ สนามไฟฟ้า อาจารย์ นักเรยี น สนามไฟฟ้าของจุดประจุ และสนามไฟฟา้ ของตวั นา ทรงกลม ศกั ย์ไฟฟ้า และ ความต่างศักย์ระหวา่ ง สองตาแหนง่ ความจุไฟฟา้ และหลกั การทางานของตวั เก็บประจุ 4 ออกแบบและพฒั นา การตรวจให้คะแนน แบบประเมนิ ชิ้นงาน Rubrics แบบจาลองส่ิงประดษิ ฐ์/ แบบจาลองส่ิงประดิษฐ/์ (แบบจาลอง นวตั กรรมเก่ยี วกับไฟฟ้า นวตั กรรม ของนกั เรยี นท่ี ส่งิ ประดษิ ฐ์ของ สถิตทีศ่ ึกษาและสนใจ อาศัยหลักการของไฟฟา้ นักเรียนท่ีอาศัย โดยใชก้ ระบวนการวิจัยใน สถติ หลักการของไฟฟา้ การแสวงหาความรู้ สถติ ) เพื่อใหไ้ ดค้ าตอบของ ปัญหาหรือองคค์ วามรู้ เก่ียวกับไฟฟา้ สถิต 5 ใชก้ ระบวนการวจิ ัยในการ ประเมินทักษะการวิจัย - แบบวดั ทกั ษะการ Rubrics แสวงหาความรู้ เพื่อให้ได้ และทักษะการแก้ปญั หา วจิ ัย คาตอบของปัญหาหรือ อย่างสร้างสรรค์ - แบบทดสอบทกั ษะ องค์ความรู้เก่ียวกับไฟฟ้า การแกป้ ญั หาอยา่ ง สถติ สรา้ งสรรค์ 6 นาเสนอองค์ความรู้ - ตรวจรายงานวจิ ยั - แบบประเมิน Rubrics (ผลการวิจยั ) และนาไปใช้ เกี่ยวกบั ไฟฟ้าสถติ รายงานวจิ ยั ประโยชน์ - การประเมินวิธีการ - แบบประเมนิ ภาระ เผยแพร่องค์ความรู้ผ่าน งาน (วิธกี ารเผยแพร่ วทิ ยุโรงเรียน แผน่ พับ องค์ความรผู้ ่านวทิ ยุ ประชาสมั พนั ธ์ วิธีการ โรงเรียน แผน่ พบั แลกเปลย่ี นเรยี นรทู้ งั้ ประชาสมั พันธ์ ภายใน และภายนอก แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ โรงเรียน ฯลฯ ท้งั ภายใน และ ภายนอกโรงเรยี น) 7 มีความสนใจใฝ่รู้ - แบบวดั Rubrics มคี วามคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ จิตวิทยาศาสตร์

11 ลาดบั ผลการเรียนรู้ วิธีการประเมิน เคร่ืองมอื ประเมนิ เกณฑก์ าร ผปู้ ระเมนิ ที่ ประเมิน มคี วามยนิ ดีในการทางาน เพอ่ื น รว่ มกับผู้อ่ืน มีเหตผุ ล มีใจกวา้ ง มีระเบียบและ รอบคอบ มคี วาม รับผิดชอบ มีความมุ่งม่นั อดทนและเพยี รพยายาม และมคี วามซอ่ื สตั ย์ตอ่ ขอ้ มูลทีศ่ กึ ษา แบบประเมินทกั ษะการวิจยั และเกณฑ์การประเมนิ ผล รายงานวจิ ัยเกยี่ วกบั ไฟฟา้ สถิต ตาราง เกณฑ์การให้คะแนนความสามารถในการวิจยั เกณฑ์ระดบั คะแนน ระดบั คะแนน เฉล่ยี ลาดับที่ รายการ ปรบั ปรุง พอใช้ ปานกลาง ดี ดมี าก ประเมนิ 23 4 5 1 1 การกาหนดปัญหาวิจัย สรปุ 1.1 ชอ่ื เรอื่ ง ชือ่ เรอื่ งไม่ ชอ่ื เร่ืองตรง ชอ่ื เร่อื งตรง ชื่อเร่ืองตรง ชอ่ื เรือ่ งตรง ตรงกับส่งิ ท่ี กบั สิง่ ท่ี กบั สง่ิ ที่ กับส่ิงที่ศกึ ษา กบั สิ่งทศ่ี ึกษา ศกึ ษา และ ศกึ ษา แต่มี ศึกษา มี มีองค์ประกอบ มีความชัดเจน ไมใ่ ช่ องค์ประกอ องคป์ ระกอ ครบ กะทดั รดั และกะทดั รัด องค์ประกอบ บไมค่ รบ บครบ แต่ และมี ของชื่อเรอ่ื ง ชอื่ ยาวและ องค์ประกอบ เกินความ ถกู ตอ้ ง จาเปน็ เหมาะสมตาม หลักวชิ า 1.2 ไมม่ กี าร มกี าร มกี าร มกี ารกลา่ วถงึ มีการกล่าวถงึ ความสาคัญ กล่าวถงึ กล่าวถงึ กลา่ วถงึ ขอ้ มูลพ้ืนฐาน ข้อมลู พนื้ ฐาน ของปัญหา ขอ้ มูลพ้ืนฐาน ข้อมูล ขอ้ มลู และปัญหาที่ และปญั หาที่ วจิ ัย และปัญหาที่ พน้ื ฐานหรือ พืน้ ฐานและ เก่ยี วข้องกับ เกี่ยวข้องกับ เก่ยี วข้องกับ ปญั หาอย่าง ปัญหาท่ี เรื่องทจ่ี ะ เรอ่ื งที่จะ เร่ืองทศ่ี ึกษา ใดอย่างหนง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั ศกึ ษาซึ่งเป็น ศึกษา ความ ทีเ่ กี่ยวข้อง เรือ่ งที่จะ ท่มี าของการ จาเป็นที่ตอ้ ง กับเร่ืองที่ ศกึ ษาซง่ึ เปน็ ทาวิจยั ไวอ้ ย่าง ทาวิจยั ซึ่งเป็น ศึกษาพอ ทมี่ าของการ ชัดเจน และ ท่ีมาของการ สังเขป ทาวจิ ยั ไวพ้ อ ครอบคลุม ทาวิจัยไวอ้ ย่าง สังเขปไม่ ประเดน็ ท่ี ชัดเจน และ ครอบคลมุ ศกึ ษา ครอบคลุม ประเดน็ ที่ ประเดน็ ท่ี ศกึ ษา ศึกษา 1.3 ไม่ตรงกับสงิ่ มคี วาม มคี วาม มคี วามชัดเจน มีความชัดเจน วัตถปุ ระสง ที่ศึกษา ชัดเจนแต่ไม่ ชัดเจน และสอดคลอ้ ง และสอดคลอ้ ง ค์ของการ หรอื ไม่มี สอดคล้อง สอดคล้อง กับเร่ืองท่ี กบั เรือ่ งท่ี

12 เกณฑ์ระดบั คะแนน ระดบั คะแนน เฉลยี่ ลาดับท่ี รายการ ปรับปรุง พอใช้ ปานกลาง ดี ดีมาก ประเมนิ 1 5 23 4 วิจยั วตั ถปุ ระสงค์ ศกึ ษา ของการวิจัย กับเร่ืองท่ี กบั เรือ่ งท่ี ศกึ ษาและไม่ ครบถ้วน และ ไมเ่ กนิ ศึกษา ศึกษาแต่ เกินขอบเขต ขอบเขตของ ปญั หาทศ่ี ึกษา เกนิ ขอบเขต ของปญั หาที่ สมมติฐานการ ของปัญหาท่ี ศกึ ษา วิจยั ที่กาหนด สอดคล้อง ศึกษา และ ครอบคลมุ 1.4 เขียน สมมตฐิ าน สมมติฐาน สมมติฐานการ วัตถุประสงค์ สมมติฐาน สมมตฐิ าน การวจิ ัย โดย การวิจยั ที่ การวจิ ยั ที่ วจิ ยั ทก่ี าหนด สามารถระบุ การวิจยั การวิจัยไม่ เหตุผลได้ และ ถูกตอ้ ง และ กาหนด กาหนด สอดคลอ้ งกับ ชัดเจนทกุ ออกแบบ ไมส่ อดคล้อง ประเด็น การวิจยั กบั มีความ มีความ วัตถปุ ระสงค์ รวมทง้ั วัตถุประสงค์ ของการวจิ ัย สอดคล้อง สอดคล้อง การวจิ ัย โดย สามารถ รวมท้ัง ออกแบบการ ออกแบบการ กับ กบั สามารถระบุ วจิ ัยไดถ้ กู ตอ้ ง วจิ ยั ไม่ และ ถกู ต้อง วตั ถปุ ระสง วตั ถุประสง เหตุผลได้ ครอบคลุม วัตถปุ ระสงค์ ค์การวจิ ัย ค์การวิจัย ชัดเจนทุก การวจิ ัย แตย่ งั ไม่ และสามารถ ประเดน็ มีการกาหนด ประชากร/ สามารถ ออกแบบ รวมทง้ั กลมุ่ ตวั อย่าง และตัวแปรท่ี ออกแบบ การวจิ ัยได้ สามารถ ศกึ ษาไวอ้ ย่าง ชดั เจนและ การวิจยั ได้ ถูกต้อง ออกแบบการ ถกู ตอ้ ง ครบถว้ นในสงิ่ ถกู ตอ้ ง บางสว่ น วิจัยได้ถูกต้อง ทศ่ี กึ ษา 1.5 มีการกาหนด มีการ มกี าร มกี ารกาหนด ขอบเขต ประชากร/ กาหนด กาหนด ประชากร/ ของการวิจยั กลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร/ ประชากร/ กลมุ่ ตัวอย่าง กลมุ่ ตัวอยา่ ง กล่มุ ตัวอย่าง และตัวแปรท่ี และตวั แปรท่ี และตวั แปร และตวั แปร ศกึ ษาไว้อย่าง ศึกษาไม่ ทศ่ี ึกษา ท่ศี กึ ษา ชัดเจนและ ถูกต้อง อย่างใด อย่างใด ถกู ตอ้ ง หรอื ไม่มีการ อย่างหนงึ่ อย่างหนึง่ ไม่ กาหนด เพียงอยา่ ง ถูกตอ้ งและ ขอบเขตของ เดียวเท่าน้ัน ไม่เหมาะสม การวิจยั 2 การตรวจเอกสาร สรุป 2.1 ไมม่ ี มีการศึกษา มกี ารศึกษา มกี ารศึกษา มกี ารศกึ ษา การศกึ ษา การศกึ ษา และรวบรวม และเรียบ และเรียบเรยี ง และเรยี บเรียง และการ และเรยี บ เอกสาร เรยี งเอกสาร เอกสารโดยมี เอกสารอย่าง เรียบเรียง เรียงเอกสาร เกย่ี วกับ ท่มี ีความ ความเชอ่ื มโยง เป็นระบบ เอกสาร หรอื ปญั หาวิจัย เช่ือมโยงกบั กับปญั หาวิจัย โดยมคี วาม

13 เกณฑ์ระดับคะแนน ระดบั คะแนน เฉลีย่ ลาดบั ที่ รายการ ปรับปรุง พอใช้ ปานกลาง ดี ดมี าก 3 ประเมนิ 5 1 23 4 4 เชอ่ื มโยงกบั เรอื่ งท่ีศึกษา แตไ่ ม่มกี าร ปัญหาวิจยั อยา่ ง ปญั หาวจิ ยั อย่าง ไมเ่ กย่ี วข้อง เรียบเรียงให้ แตไ่ ม่ ครอบคลมุ ครอบคลุม กบั เรื่องทที่ า เช่อื มโยงกัน ครอบคลมุ มกี ารอา้ งอิง แหลง่ ท่มี าไว้ การวจิ ยั เรอ่ื งทศ่ี กึ ษา ครบถ้วน และ ถูกต้อง 2.2 การ ไม่มี มกี ารอ้างอิง มกี ารอา้ งองิ มีการอ้างองิ สรปุ อ้างองิ เอกสารอา้ งอิ แหล่งที่มาไว้ แหลง่ ทีม่ าไว้ แหลง่ ท่ีมาไว้ ระบุข้ันตอน แหลง่ ทีม่ า งแหล่งท่ีมา น้อย เกอื บ ครบถ้วน การวิจัยได้ อย่าง ของเอกสาร ครบถ้วน เหมาะสม มี ความ การดาเนินการวจิ ัย สอดคล้องและ ครอบคลุม 3.1 ขนั้ ตอน ไมร่ ะบุ ระบขุ ั้นตอน ระบุขัน้ ตอน ระบุขนั้ ตอน วัตถปุ ระสงค์ การวจิ ัยได้ การวจิ ัยได้ การวิจยั ได้ การวจิ ัย ทาให้ การวจิ ัย ขั้นตอนการ แตย่ ังไม่ อย่าง อยา่ ง มีแนวโน้ม สอดคล้อง เหมาะสม เหมาะสม นาไปสู่การได้ วจิ ยั หรอื กับส่ิงที่ และ สอดคลอ้ งและ คาตอบของ ศกึ ษา สอดคลอ้ ง ครอบคลมุ ปญั หาวจิ ัย ระบุขั้นตอน กบั สงิ่ ที่ วตั ถุประสงค์ อย่างสมบรู ณ์ ศึกษา การวิจัย การวจิ ัยไม่ ระบวุ ิธีการ เก็บรวบรวม เหมาะสมกับ ขอ้ มลู ได้ ชดั เจน สง่ิ ทศี่ ึกษา ถกู ต้อง เหมาะสมและ 3.2 ระบวุ ธิ กี าร ระบุวิธีการ ระบุวิธกี าร ระบุวิธกี าร เลอื กใช้ เครอื่ งมอื ท่ี เก็บรวบรวม เกบ็ รวบรวม เก็บรวบรวม เก็บรวบรวม เคร่อื งมือได้ ใชใ้ นการ ข้อมูลไม่ ขอ้ มูลไดไ้ ม่ ขอ้ มลู ได้ ข้อมูลได้ เหมาะสมและ วิจยั และ สอดคล้องกบั ครบถว้ น แต่ ชดั เจน และ ชดั เจน และ ครอบคลุมสง่ิ การเก็บ เรอ่ื งท่ีศึกษา เลือกใช้ เลอื กใช้ เลอื กใช้ ทศ่ี ึกษา รวบรวม และเลือกใช้ เครือ่ งมือได้ เคร่ืองมอื ได้ เครื่องมือได้ ขอ้ มลู เครื่องมอื ไม่ เหมาะสม เหมาะสมแต่ เหมาะสมและ สรุป เหมาะสม ไม่ ครอบคลุมสิ่ง บนั ทกึ หรือไมร่ ะบุ ครอบคลุม ทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ยั อยา่ ง เครอ่ื งมือท่ี สิ่งท่ศี ึกษา ตรงไปตรงมา เลือกใช้ ครอบคลุมสิ่ง บนั ทึก บนั ทึก บนั ทกึ ที่ศกึ ษา และ ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ผลการวิจัย ผลการวิจัย ผลการวจิ ยั อยา่ ง ได้ อยา่ ง 4.1 บันทกึ ตรงไปตรงม ครอบคลุม ตรงไปตรงมา ผลการวจิ ัย ผลการวจิ ยั าแต่ไม่ สง่ิ ท่ีศึกษา ครอบคลุมสิ่ง ครอบคลมุ และ ท่ศี กึ ษา และ ไม่สอดคล้อง กบั วตั ถุประสงค์ หรือ

14 เกณฑ์ระดับคะแนน ระดบั คะแนน เฉล่ยี ลาดับที่ รายการ ปรบั ปรงุ พอใช้ ปานกลาง ดี ดมี าก 5 ประเมนิ 23 4 5 1 สอดคลอ้ งกับ สมมตฐิ าน สงิ่ ทีศ่ กึ ษา สอดคล้อง สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ หรือ การวิจัย กบั วัตถุประสงค์ สมมตฐิ านการ วจิ ัย และนา วัตถปุ ระสง หรือ ผลการวจิ ัยไป ใชใ้ น ค์หรือ สมมติฐานการ การศึกษาเร่อื ง ที่เกยี่ วข้อง สมมตฐิ าน วจิ ัย การวจิ ัย แต่ สรปุ สรุปผลการวิจัย ข้อมลู ได้สอดคลอ้ ง และครอบคลุม บดิ เบอื นไป วตั ถปุ ระสงค์ จากความ หรอื สมมติฐาน การวิจยั และมี จรงิ เลก็ นอ้ ย การอภิปรายผล โดยนาข้อมูลมา การสรปุ และอภิปรายผลการวจิ ยั สนบั สนุนอย่าง เพยี งพอและ 5.1 การ สรปุ สรุปผลการ สรปุ สรปุ ผลการวจิ ัย สมเหตุสมผล สรุปผลและ ผลการวิจยั ไม่ วจิ ัยได้ ผลการวจิ ัยได้ ไดส้ อดคล้อง อภปิ ราย ตรงกับสิง่ ที่ สอดคล้องกับ สอดคล้องกบั และครอบคลุม ผลการวิจยั ศึกษา วัตถุประสงค์ วตั ถุประสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ หรอื หรอื หรอื สมมติฐาน สมมตฐิ าน สมมติฐาน การวจิ ยั ข้อมูล การวจิ ยั แต่ การวิจยั แต่ ท่นี ามา ไม่ได้ ยังไม่ สนบั สนนุ ใน อภิปราย ครบถ้วน การอภปิ รายผล ผลการวิจยั และในการ ยังไม่ อภิปรายผล สมเหตสุ มผล ยังไม่มีข้อมลู มาสนบั สนุน อยา่ งเพยี งพอ เกณฑ์การประเมิน (เกณฑก์ ารแปลความหมายคา่ เฉลี่ย) ระดบั คะแนนเฉลยี่ ทกั ษะการวจิ ัย ค่าเฉลยี่ นอ้ ยทีส่ ดุ นอ้ ย 1.00 – 1.49 ปานกลาง 1.50 – 2.49 มาก 2.50 – 3.49 มากที่สุด 3.50 – 4.49 4.50 – 5.00

15 กจิ กรรมการเรียนการสอน (ตามรูปแบบ EEIPS Model) อาจารย์จัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรท์ ่ีบูรณาการแนวคดิ STEM Education ร่วมกับกระบวนการคิดเชิง ออกแบบและวิจัย และการใช้เทคโนโลยดี จิ ิทัลในการจัดการเรยี นรู้ให้เกิดประโยชนต์ อ่ ผู้เรยี น ในด้านสมรรถนะ การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละการสร้างสรรค์นวตั กรรม ซึ่งจะเริ่มต้นการเตรยี มความพร้อมก่อนการจัดการ เรยี นรู้วิทยาศาสตร์ด้วยการปรับ Mindset เพ่ือสร้างแรงขับในการเรียนรู้และเห็นความสาคัญของการบูรณา การเรียนรู้ การสืบคน้ ข้อมูล การออกแบบ การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และการใช้เทคโนโลยีเป็นส่วน หนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิด STEM Education ร่วมกับกระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ผสมผสานเทคโนโลยีในยุคดิจิตอลเพื่อ เสริมสร้างสมรรถนะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนระดับ มัธยมศกึ ษา มีช่อื ย่อคอื “EEIPS Model” ท่ผี สู้ อนพัฒนาข้ึน มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้น คือ ข้ันที่ 1 การทาความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง (Empathize: E) ขั้นท่ี 2 การสารวจแนวคิด และต้ังกรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) ข้ันที่ 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบI (Ideate, Plan and Design: I) ขั้นที่ 4 การสรา้ งตน้ แบบ ทดสอบและปรบั ปรุง (Prototype, Test and Improve: P) และขั้นท่ี 5 การแบง่ ปนั และการประเมิน (Share and Assessment: S) มีรายละเอียดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละ ขน้ั ดงั แผนภาพ

16 ขั้นที่ 1 การทาความเขา้ ใจกลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งลึกซึ้ง (Empathize: E) รว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกับประเดน็ ปัญหาและสาเหตุ ครูสงั เกตพฤตกิ รรมนักเรยี น ของปญั หา จากคลิปวีดโิ อเกยี่ วกบั ปรากฏการณ์ โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ฟา้ ผา่ ในบรรยากาศ และเหตุการณ์ใน ชีวติ ประจาวัน วิเคราะห์ และอภิปรายขา่ วประจาวันทีเ่ กีย่ วกบั ครสู งั เกตพฤตกิ รรมนกั เรยี น ไฟฟา้ สถิต โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรม ครูใชค้ าถามกระตนุ้ ความคดิ ครูสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี น โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ใบงาน : กจิ กรรมถาม-ตอบ ศกึ ษาผลการวิจัยรว่ มกันโดยครแู นะนาวิธกี ารอา่ น ครสู งั เกตพฤตกิ รรมนักเรยี น งานวิจัย โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรม ร่วมกนั สรปุ ความรู้ เกยี่ วกับ ครูสงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรียน ปัญหา และแนวทางการแกไ้ ข โดยใชแ้ บบสังเกตพฤติกรรม นักเรียนเขียน Journal Writing นกั เรียนประเมินตนเอง

17 ข้ันที่ 2 การสารวจแนวคิด และตงั้ กรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) นักเรยี นต้งั คาถามจากสถานการณ์ปัญหา ครูประเมินระดับของการใช้คาถาม และรว่ มกันจัดกลุม่ คาถามเพ่ือการสบื ค้นข้อมลู นักเรียนร่วมกนั วิเคราะหเ์ หตแุ ละผล จากเน้ือหา ครูสงั เกตพฤติกรรมนักเรยี น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่เี ก่ยี วกับไฟฟา้ สถิต โดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรม ทาการทดลองเก่ยี วกับการตรวจสอบประจไุ ฟฟ้า ครูสงั เกตพฤติกรรมนักเรยี น และการเหนี่ยวนาไฟฟา้ โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรม ใบงาน : กิจกรรมถาม-ตอบ ขยายผลความรูแ้ ละประสบการณ์ของนักเรยี น ครูสงั เกตพฤติกรรมนักเรยี น ด้วยการใหน้ กั เรยี นฝกึ การตั้งคาถาม โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรม และเสนอประเดน็ ปญั หา ในชวี ติ ประจาวัน นกั เรยี นเขียนโครงรา่ งวจิ ยั อยา่ งย่อ นักเรียนประเมินตนเอง

18 ขน้ั ที่ 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบI (Ideate, Plan and Design: I) ตงั้ คาถามเกยี่ วกับสถานการณป์ ัญหาไฟฟ้าสถิต ครปู ระเมนิ ระดับของการใชค้ าถาม เร่ือง แรงระหว่างประจุ อภปิ ราย เพ่อื ให้ได้ขอ้ สรุปของความสัมพนั ธ์ตามกฎ ครูสงั เกตพฤติกรรมนกั เรียน ของคลู อมบ์ (Coulomb’s Law) โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรม สาธิตการนาความสมั พันธต์ ามกฎของคูลอมบ์ไปใช้ ครสู งั เกตพฤติกรรมนักเรียน ในการแก้โจทยป์ ญั หาในลกั ษณะต่างๆ โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรม อยา่ งหลากหลาย ใบงาน : กิจกรรมถาม-ตอบ ฝกึ ทกั ษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์รว่ มกัน ครูสงั เกตพฤติกรรมนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรม ขยายผลความรแู้ ละประสบการณ์ของนกั เรียนด้วยการให้ นกั เรยี นฝกึ การตั้งคาถาม และเสนอประเดน็ ปัญหา ใน ครูสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกนั ชวี ิตประจาวัน เพอื่ ฝกึ ทักษะการวิจัยโดยใชก้ ระบวนการวิจยั 3 ของนักเรยี น โดยใช้ ขัน้ ตอน คอื แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ขัน้ ตอนท่ี 1 ตระหนักในปญั หา (Raising Awareness of Problems : R) ข้ันตอนที่ 2 ค้นพบปญั หา (Problem Finding : P) ขนั้ ตอนที่ 3 คน้ คว้าหาคาตอบ (Searching How to Solve Problems : S) นักเรยี นเขียน Journal Writing นกั เรียนประเมนิ ตนเอง

19 ขนั้ ที่ 4 การสร้างตน้ แบบ ทดสอบและปรบั ปรุง (Prototype, Test and Improve: P) นักเรียนนาผลการวจิ ัย และกระบวนการวิจัย ครูสงั เกตพฤติกรรมการทางาน ท่เี ก่ยี วกับไฟฟา้ สถติ ที่ศึกษามานาเสนอ ร่วมกันของนักเรยี น โดยใช้แบบ แลกเปล่ยี นการเรียนรู้รว่ มกนั สังเกตพฤตกิ รรม นักเรยี นฝึกทกั ษะการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคร์ ว่ มกัน นกั เรียนทาใบงานวิเคราะหป์ ญั หา เป็นกล่มุ ๆละ 4-5 คน (สมาชกิ แต่ละกล่มุ ประกอบดว้ ย เหตกุ ารณ์ หรอื สถานการณ์ใน นักเรียนทมี่ คี วามสามารถพน้ื ฐาน เกง่ ปานกลาง และ ชีวิตประจาวัน อ่อน และมีแบบการเรยี นรู(้ Learning Style) ตา่ งกนั ) ครูสังเกตพฤตกิ รรมการวางแผนการทางาน ครูขยายผลความรแู้ ละประสบการณ์ของนกั เรยี น โดย ร่วมกนั ของนักเรยี นทม่ี ีความสามารถ ใหน้ กั เรยี นกาหนดประเด็นปญั หาใหมเ่ ก่ยี วกับไฟฟา้ สถิต พืน้ ฐาน และแบบการเรียนรู้ (Learning และร่วมกนั แสวงหาคาตอบ เพือ่ ฝกึ ทักษะการวิจัย โดย Style) ต่างกัน ครูและนกั เรยี นร่วมกนั ทบทวนกระบวนการ และ ครปู ระเมินทกั ษะการแกป้ ญั หาอย่าง ดาเนินการตอ่ ในขัน้ ตอนท่ี 4 รวบรวมและวิเคราะห์ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะการวจิ ัย และ ขอ้ มลู (Collecting and Analyzing Data: C) จิตวิทยาศาสตร์ นกั เรียนเขยี นรายงานวิจัยฉบับยอ่ ประเมนิ ผลโดยครู นกั เรียน และ เพ่ือนของนักเรยี น นักเรียนเขยี น Journal Writing นกั เรยี นประเมนิ ตนเอง

20 ข้นั ท่ี 5 การแบง่ ปนั และการประเมนิ (Share and Assessment: S) นักเรียนนาเสนอผลการวิจัย และกระบวนการวจิ ัยที่ ครูสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกนั เก่ยี วกบั ไฟฟ้าสถติ โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรม นักเรียนฝึกทักษะการแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์เป็น นกั เรียนทาใบงานวิเคราะหป์ ัญหา เหตกุ ารณ์ รายบุคคล และการสรา้ งสรรค์นวัตกรรม หรือสถานการณ์ในชีวิตประจาวัน ครสู งั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกนั โดยใช้ แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ครขู ยายผลความร้แู ละประสบการณ์ของนกั เรยี น โดยให้ นักเรียนทาใบงานวิเคราะห์ปญั หา นกั เรยี นกาหนดประเด็นปญั หาใหม่เกี่ยวกบั ไฟฟา้ สถติ และ เหตุการณ์ หรือสถานการณใ์ น ร่วมกนั แสวงหาคาตอบ ครใู ชก้ ระบวนการวจิ ยั 6 ข้ัน ซ่งึ ครู ชวี ิตประจาวนั และนักเรยี นรว่ มกันทบทวนกระบวนการ 5 ขั้น ท่ที าผา่ น มาแล้วจากข้ันตอนที่ 5 จากนั้นให้นกั เรียนดาเนินการตอ่ ไปใน ครูสงั เกตพฤตกิ รรมการวางแผนการทางาน ขัน้ ตอนท่ี 6 ประเมนิ ผล (Assessing : A) นกั เรยี นร่วมทา ร่วมกันของนกั เรียนท่ีมีความสามารถ กิจกรรมจติ อาสา โดยนาผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชนส์ ชู่ ุมชน พนื้ ฐาน และแบบการเรยี นรู้ (Learning Style)ตา่ งกนั นกั เรยี นเขียนรายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ ประเมนิ ผลเพื่อการพฒั นา สมรรถนะ นักเรยี นเขียน Journal Writing การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การ สร้างสรรคน์ วัตกรรม และความสามารถ ในการวิจยั โดยครู นกั เรียน และเพือ่ น ของนักเรยี น นักเรยี นประเมนิ ตนเอง

21 จากแผนภาพ ขน้ั ตอนกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้ มรี ายละเอียดดงั นี้ ขั้นท่ี 1 การทาความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซ้ึง (Empathize: E) การทาความเข้าใจ กลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งลกึ ซึ้งทาให้นักเรียนได้เรียนรู้ว่าปัญหาความต้องการใดของกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับการ ตอบสนอง (Unmet Needs) ซึ่งเป็นโอกาสท่ีนักเรียนจะสามารถนาไปสร้างนวัตกรรมตามความต้องการของ กลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ดาเนินการโดยให้นักเรียนเลือกเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์และสังเกต กล่มุ เป้าหมายคนทน่ี ่าสนใจและเต็มใจในการใหข้ ้อมลู โดยดาเนินการดังน้ี 1.1 ให้นักเรียนดูคลิปวีดิโอ เก่ียวกับปรากฏการณ์ฟ้าผ่าในบรรยากาศ และเหตุการณ์ใน ชีวิตประจาวันที่เก่ียวข้องกับไฟฟ้าสถิต และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่ เกิดข้ึน 1.2 ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ และอภิปรายข่าวประจาวันท่ีเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต จาก หนังสอื พมิ พ์ หรอื อินเตอร์เน็ต 1.3 ครูใช้คาถามกระตุ้นความคิด (คิดวิเคราะห์) จากสถานการณ์ท่ีกาหนดให้นักเรียน ศกึ ษาทกุ สถานการณ์ ในข้อ 1.1 และ1.2 คาถาม - จากสถานการณท์ ก่ี าหนดให้ เป็นเร่อื งเกยี่ วกบั อะไร - จะอธิบายสาเหตขุ องเหตุการณ์ที่เกดิ ข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร - ถ้าเหตุการณน์ ้ันเปน็ เหตุการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ และสง่ ผลกระทบต่อนกั เรียนโดยตรง นักเรียน จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนอย่างไรได้บ้าง และวิธีการใดที่นักเรียนคิดว่าเป็นวิธีท่ีเหมาะสมท่ีสุด เพราะอะไร 1.4 ครูนาผลการวิจัยที่เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตให้นักเรียนได้อ่านและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกัน และกัน โดยให้นักเรียนนาเสนอผลการวิจัยหน้าช้ันเรียน และเน้นที่การนาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ (ครูให้ คาแนะนาเกี่ยวกบั วิธกี ารอ่านงานวิจยั พอสังเขป) 1.5 นักเรยี นเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการสัมภาษณแ์ ละสังเกตพฤตกิ รรมของกลุ่มท่ีเคยได้รับ อันตรายจากปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์จากไฟฟ้าสถิต เช่น ฟ้าผ่า ไฟฟ้าดูดตอนเปิดประตูรถยนต์ ไฟฟ้าดูด จากเส้นผมตอนหวีผม การนอนไม่หลบั ทเี่ กิดจากประจไุ ฟฟา้ ในร่างกายมีมากเกนิ ไป เปน็ ตน้ 1.6 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ท่ีได้รับเก่ียวกับปัญหาและแนว ทางการแก้ไขจากสถานการณ์ และการใช้ประโยชนจ์ ากผลการวจิ ัยทเี่ กี่ยวกบั ไฟฟ้าสถิต 1.7 ให้นกั เรยี นเขยี นบันทึกความรูแ้ ละประสบการณท์ ไี่ ด้รับในขนั้ ท่ี 1 โดยเขียนในลักษณะ ของ Journal Writing ตามประเด็นที่กาหนด ซึ่งครูแนะนาวิธีการเขียน Journal Writing โดยให้นักเรียน ร่วมกันอภิปรายหาข้อสรุปวิธีการเขียนจากตัวอย่าง ประมาณ 2-3 ตัวอย่าง โดยครูมีเอกสารเก่ียวกับวิธีการ เขียน Journal Writingให้นักเรียนร่วมกันศึกษาเป็นกลุ่ม และครูตรวจสอบความรู้จากการตอบคาถามของ นกั เรยี นเพอื่ ให้มน่ั ใจไดว้ ่านักเรยี นจะสามารถเขียน Journal Writing ได้ด้วยตนเอง ขน้ั ท่ี 2 การสารวจแนวคดิ และตั้งกรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) เป็นข้ันตอน ทใ่ี ห้นกั เรียนสารวจคน้ หาข้อมลู ทวั่ ไปและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์บริบทของกลุ่มเป้าหมาย โดยกาหนดประเด็นใหค้ รอบคลมุ และนาขอ้ มลู ทไ่ี ด้ทาความเขา้ ใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซ้ึง (Insights) รวมถึง บริบทท่ีเก่ียวข้องมาวิเคราะห์เพ่ือสรุปประเด็นสาคัญและเป้าหมายของการออกแบบ เพ่ือให้ได้กรอบโจทย์ที่ ชัดเจนและตรงตามความต้องการของกลมุ่ เป้าหมายอย่างแทจ้ ริง โดยกาหนดให้นักเรียนทางานเป็นทีม และใช้

22 แผนภูมทิ างคณิตศาสตร์ เช่น แผนภมู ิแทง่ แผนภูมิรูปวงกลม แผนภูมกิ า้ งปลา เป็นต้น มาช่วยในการวิเคราะห์ หามุมมอง (Point of View) ท่ีพิเศษเปน็ ลกั ษณะเฉพาะ จากนน้ั นาประเดน็ ข้อมูลท้ังหมดท่ีได้จากการทาความ เข้าใจกลุม่ เปา้ หมายอย่างลึกซ้ึงมาจัดลาดับความสาคัญ โดยเน้นมุมมองท่ีสามารถตอบสนองคุณค่าและความ ตอ้ งการของกลมุ่ เปา้ หมายไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ โดยดาเนนิ การดังน้ี 2.1 นักเรยี นแต่ละคนตั้งคาถามจากสถานการณป์ ญั หา และกาหนดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ วธิ กี ารตรวจสอบประจไุ ฟฟา้ และการเหนยี่ วนาไฟฟา้ และร่วมกนั จดั กล่มุ คาถามเพอ่ื การสบื คน้ ข้อมูล 2.2 นกั เรยี นร่วมกันวิเคราะห์เหตแุ ละผล จากเนือ้ หาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเก่ียวกับ ไฟฟ้าสถิต ประจุไฟฟ้า การถ่ายเทประจุไฟฟ้า และการเหน่ียวนาไฟฟ้า โดยครูให้นักเรียนศึกษาจากวีดิโอ เกยี่ วกับประจุไฟฟ้า การถ่ายเทประจุไฟฟ้า และการเหนี่ยวนาไฟฟ้า จากน้ันให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพ่ือร่วมกัน อภิปรายและหาข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิดประจุไฟฟ้าบนวัตถุ หลักการถ่ายเทประจุไฟฟ้า และการเหนี่ยวนา ไฟฟา้ 2.3 นกั เรยี นทาการทดลองเกยี่ วกบั การตรวจสอบประจุไฟฟา้ และการเหนีย่ วนาไฟฟ้า โดย ใช้ชุดทดลองอิเล็กโตรสโคปแผ่นโลหะ ครูสาธิตและแนะนาวิธีการใช้อุปกรณ์ และข้อควรระวัง นักเรียน ร่วมกันอภปิ รายเพื่อนาไปส่ขู ้อสรุปเร่ืองวิธีการตรวจสอบประจุไฟฟ้า และหลักการเหนี่ยวนาประจุไฟฟ้า เพ่ือ นาไปส่กู ารศึกษาเรื่องแรงระหวา่ งประจไุ ฟฟ้าในหวั ขอ้ ตอ่ ไป 2.4 ครขู ยายผลความรูแ้ ละประสบการณ์ของนักเรียน ด้วยการให้นกั เรยี นฝึกการต้ังคาถาม และเสนอประเด็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบประจุไฟฟ้า และการเหน่ียวนาไฟฟ้า จากเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ในชีวิตประจาวัน เพ่ือนาไปสู่การสืบค้นข้อมูล โดยจัดนักเรียนให้ศึกษาร่วมกันเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน (สมาชิกแต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนท่ีมีความสามารถพ้ืนฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมีแบบ การเรยี นรู้ (Learning Style) ตา่ งกัน 2.5 นักเรียนนาข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์และสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายท่ี ศึกษามาวิเคราะห์และสรุปประเด็นสาคัญโดยนาเสนอข้อมูลเป็นแผนภูมิ กราฟ หรือแผนภาพแสดง ความสัมพันธข์ องขอ้ มูลท่ีศกึ ษาเพ่อื ให้ไดป้ ญั หาหรือความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายนาไปสู่ออกแบบ วิธกี ารหรอื สิ่งประดิษฐท์ ต่ี อบสนองความตอ้ งการของกลมุ่ เป้าหมายในการแก้ปญั หาอันตรายจากปรากฏการณ์ หรอื เหตกุ ารณ์จากไฟฟา้ สถิตท่สี ง่ ผลกระทบตอ่ การใช้ชีวติ ประจาวัน 2.6 นักเรียนบันทึกความรู้/ประสบการณ์ โดยใช้แบบบันทึกความรู้ /ประสบการณ์ (Journal Writing) ตามประเดน็ ทีก่ าหนด ข้ันท่ี 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบ (Ideate, Plan and Design: I) ให้นักเรียน ระดมสมองคิดหาแนวทางในการวางแผนและออกแบบสร้างสรรค์นวัตกรรมเพ่ือตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย โดย เน้นการใช้คาถามว่า “ทาไมและอย่างไร (Why and How)” เพ่ือเอื้อให้สมาชิกในทีมมองเห็นภาพรวมของ นวตั กรรมทีต่ อบสนองความต้องการใช้งานของกลุม่ เป้าหมาย จากนั้นร่วมกันวางแผนและออกแบบนวัตกรรม โดยเสนอในลักษณะรูปภาพและระบุองค์ประกอบของนวัตกรรมท่ีประกอบด้วย ช่ือนวัตกรรม ความสาคัญ วัตถุประสงค์ หลักการทางาน และส่วนประกอบอ่ืนๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น จากน้ันให้แต่ละทีม นาเสนอผลการออกแบบนวัตกรรมและแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกันด้วยวิธีการอภิปรายในประเด็นคาถาม “ทาไมและอย่างไร” ในข้ันนี้นักเรียนสามารถออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีปัจจุบันเพื่อพัฒนาการทางานของ นวัตกรรมสั่งการโดยใช้ Application และ/Coding เพ่ือควบคุมการทางานของอุปกรณ์ในระบบท่ีนักเรียน พฒั นาขึ้นเป็นต้นแบบนวัตกรรม โดยดาเนนิ การดังน้ี

23 3.1 นักเรียนแต่ละคนต้ังคาถามเก่ียวกับสถานการณ์ปัญหาไฟฟ้าสถิตเรื่อง แรงระหว่าง ประจุ จากนน้ั ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั จดั กลุ่มคาถามเพ่ือการสืบค้นขอ้ มูล 3.2 นักเรียนดูคลิปวีดิโอ เก่ียวกับการทดลองของคูลอมบ์ และร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้ได้ ข้อสรปุ ของความสัมพันธ์ตามกฎของคูลอมบ์ (Coulomb’s Law) 3.3 ครูสาธิตการนาความสัมพันธ์ตามกฎของคูลอมบ์ไปใชใ้ นการแกโ้ จทย์ปัญหาในลักษณะ ต่างๆ อย่างหลากหลาย และให้นักเรียนนาคาตอบท่ีได้ไปอธิบายสถานการณ์ปัญหาตามที่โจทย์กาหนด จากนนั้ ให้นักเรียนนาประสบการณ์ที่ไดร้ ับไปอธิบายปัญหา หรือสถานการณ์ท่ีพบในชีวิตประจาวัน โดยอาศัย ความสัมพนั ธ์ตามกฎของคูลอมบ์ เชน่ แรงกระทาระหวา่ งประจุไฟฟ้าในอากาศ แรงกระทาระหว่างประจุไฟฟ้า ที่เกิดจากการเสียดสีกันของวัตถุต่างชนิดกัน การลดแรงกระทาระหว่างประจุจากการซักผ้าโดยการใช้น้ายา ปรบั ผ้านุ่มบางชนิด เปน็ ตน้ 3.4 ครูนาผลการวิจัย และกระบวนการวิจัยท่ีเก่ียวกับการศึกษาเรื่องแรงกระทาระหว่าง ประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ มานาเสนอ เพื่อให้นักเรียนร่วมกัน อภิปราย และนาเสนอหนา้ ชัน้ เรยี นเก่ียวกับแนวคิดเพือ่ การศกึ ษาต่อยอดความรู้จากผลการวิจัย และครูสังเกต พฤติกรรมการทางานรว่ มกนั ของนกั เรียน นกั เรยี นฝกึ ทกั ษะการแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ร่วมกันเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน (สมาชิกแต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนที่มีความสามารถพื้นฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมี แบบการเรียนรู้(Learning Style) ต่างกัน โดยให้นักเรียนทาใบงานเพ่ือการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่าง สรา้ งสรรค์ จากการวิเคราะห์ปัญหา เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ในชีวิตประจาวันที่กาหนดให้ เก่ียวกับไฟฟ้า สถิตเร่ือง แรงกระทาระหว่างประจุ (ชุดท่ี 1) โดยเน้นให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง วางแผนและ ออกแบบสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่นาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเป็นกลไกในการทางานของสิ่งประดิษฐ์ หรือ วิธีการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นร่วมกันวางแผนและออกแบบนวัตกรรมโดยเสนอใน ลกั ษณะรปู ภาพ และระบอุ งค์ประกอบของนวัตกรรมท่ีประกอบด้วย ช่ือนวัตกรรม ความสาคัญ วัตถุประสงค์ หลักการทางาน และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้การทางานของเคร่ืองมือมีประสิทธิภาพและบรรลุ วัตถุประสงค์ของส่ิงท่ีต้องการพัฒนา จากน้ันให้แต่ละทีมนาเสนอผลการออกแบบนวัตกรรมและแลกเปล่ียน เรยี นรซู้ ่งึ กันและกันดว้ ยวธิ ีการอภปิ รายในประเด็นคาถาม “ทาไมและอย่างไร” 3.5 นักเรียนฝึกปฏิบัติการออกแบบการวิจัย ต่อจากที่ได้ออกแบบสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ นาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เรียบร้อยแล้ว โดยนาแนวทางหรือวิธีการท่ีเหมาะสมท่ีสุดจากหลายๆวิธี พร้อมระบุ เหตุผลในการเลือกวิธีการดังกล่าวมาแก้ปัญหาหรือพัฒนา และสรุปผลแนวโน้ม/ความเป็นไปได้ของวิธีการที่ เลือก ซ่ึงการออกแบบการวิจัย ประกอบด้วย การกาหนดปัญหาวิจัย การสารวจเอกสาร การต้ังสมมติฐาน แนวทางการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล แนวทางการสรุปและอภิปรายผล และแนวทาง การนาไปใชป้ ระโยชน์ ครูสังเกตพฤติกรรมการวางแผนการทางานร่วมกันของนักเรียนขณะมีการฝึกทักษะการ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และฝึกปฏิบัติการออกแบบการวิจัย จากนั้นครูประเมินทักษะการแก้ปัญหาอย่าง สรา้ งสรรค์ ทักษะการออกแบบการวิจัยของนกั เรยี น รวมทั้งความสามารถในการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม ดา้ นการ ต้งั คาถาม ด้านการสารวจ และด้านการเปดิ มมุ มอง 3.6 ครูขยายผลความรู้และประสบการณข์ องนกั เรียน ด้วยการให้นักเรียนกาหนดประเด็น ปัญหาเกยี่ วกบั ไฟฟา้ สถติ เรอ่ื ง แรงกระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าของ ตัวเก็บประจุ จากสถานการณ์ท่พี บในชีวติ ประจาวัน และร่วมกนั แสวงหาคาตอบเป็นกลุ่มๆละ4-5 คน (สมาชิก แต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนท่ีมีความสามารถพื้นฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมีแบบการเรียนรู้ (Learning Style) ตา่ งกัน เพอ่ื ฝกึ ทักษะการวิจัย โดยใชก้ ระบวนการวจิ ัย 3 ขัน้ ตอน ดังน้ี

24 ข้ันตอนท่ี 1 ตระหนักในปัญหา (Raising Awareness of Problems : R) ครูให้ นักเรียนศึกษาผลการวิจัย และกระบวนการวิจัย เก่ียวกับไฟฟ้าสถิตเร่ือง แรงกระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ เพื่อให้นักเรียนเห็นความสาคัญ และเกิด แรงจูงใจในการแสวงหาแนวทาง หรอื วธิ กี ารแก้ปญั หา ขัน้ ตอนท่ี 2 คน้ พบปัญหา (Problem Finding : P) นกั เรียนเสนอปญั หา หรอื ตงั้ คาถามเพื่อนาไปสู่การสบื ค้นขอ้ มูล ข้ันตอนที่ 3 ค้นคว้าหาคาตอบ (Searching How to Solve Problems : S) ให้ นักเรยี นแสวงหานวตั กรรม(เทคนคิ /วธิ กี าร/ส่ิงประดษิ ฐ์)ในการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรคม์ าหลายวิธี และเลือก วิธีการท่ีเหมาะสมท่ีสุดในการแก้ปัญหา โดยเสนอปัญหาวิจัย ผลการสารวจเอกสาร การตั้งสมมติฐาน แนว ทางการเก็บรวบรวมข้อมูล แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล แนวทางการสรุปและอภิปรายผล และแนวทางการนา องค์ความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 3.7 นักเรียนบันทึกความรู้/ประสบการณ์ โดยใช้แบบบันทึกความรู้/ประสบการณ์ (Journal Writing) ในแตล่ ะครัง้ ทีเ่ รยี น ข้ันที่ 4 การสร้างตน้ แบบ ทดสอบและปรับปรุง (Prototype, Test and Improve: P) การ สร้างต้นแบบเปน็ การถา่ ยทอดความคิดของทีมที่รว่ มกนั ออกแบบไว้มาทาให้เป็นรปู ธรรม จบั ต้องได้ โดยทาเป็น ต้นแบบนวัตกรรมเพื่อทดสอบด้านรูปลักษณ์ ความสวยงาม สีสัน ความทนทานของวัสดุ เพ่ือท่ีจะหาว่า คุณลักษณะใดมีผลต่อความชอบของผู้ใช้ และการส่ือถึงความรู้สึกกับผู้ใช้ หรืออาจทาเป็นต้นแบบนวัตกรรม เพ่ือทดสอบด้านพฤติกรรมของผู้ใช้ที่มีต่อนวัตกรรมท่ีสร้างข้ึน หรือต้นแบบด้านผลิตภัณฑ์ ได้แก่ คุณภาพ ความสามารถในการทางานของนวตั กรรม ประโยชน์ของนวัตกรรม เป็นต้น จากน้ันจึงนาต้นแบบนวัตกรรมท่ี สร้างข้ึนไปทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานกับกลุ่มเป้าหมายและศึกษาประสิทธิผลของต้นแบบนวัตกรรมที่ สรา้ งข้นึ โดยใชส้ ถานทท่ี ดสอบในบริบทท่ผี ใู้ ช้งานจะใช้ในชีวติ จริง ในระหว่างการทดสอบมีข้อที่ควรปฏิบัติ คือ ควรบอกข้อมูลเท่าท่ีจาเป็นทางด้านกิจกรรมที่ผู้ทดสอบต้องทา ไม่ควรอธิบายการทางานของแนวคิดที่นามา ทดสอบ ควรให้ผู้ทดสอบได้ลองใช้ในวิธีของตัวเอง ไม่ควรตัดสินว่าวิธีน้ันถูกหรือผิด คอยสังเกตปฏิกิริยาและ ความรู้สกึ ของผ้ใู ช้ระหวา่ งการทดสอบต้นแบบ และไมค่ วรขัดจงั หวะการใชง้ าน จากนั้นจงึ นาต้นแบบนวัตกรรม ท่นี ักเรียนสร้างขน้ึ มาปรับปรงุ ใหเ้ ปน็ รปู ร่างสมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยในการทดสอบแต่ละ ครั้งจะช่วยให้นกั เรยี นเกิดความคิดใหม่ ๆ เพ่ิมเตมิ ซ่งึ การดาเนินงานในขั้นที่ 4 นพ้ี อจะสรุปเป็นข้ันตอนย่อยได้ 4 ขั้นคือ สร้างต้นแบบ (Build) ทดสอบและประเมิน (Test and Evaluate) ทดสอบซ้า (Iterate) และ ออกแบบใหม่ (Redesign) ดงั นี้ 4.1 ครูให้นักเรียนนาผลการวิจัย และกระบวนการวิจัยที่เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต มานาเสนอ เพื่อให้นักเรียนแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นในประเด็นของแหล่งข้อมูล วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และวธิ ีการสร้างเคร่อื งมือเพ่อื ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับเรื่องท่ีวิจัย ครูแนะนาวิธีการวิเคราะห์ ข้อมูล การใช้สถติ ิต่าง ๆ ให้ถกู ต้องและเหมาะสม ครสู ังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกนั ของนกั เรียน 4.2 ครูให้นักเรียนฝึกทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ร่วมกันเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน (สมาชิกแต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนท่ีมีความสามารถพื้นฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมีแบบการ เรยี นรู้(Learning Style) ต่างกนั โดยใหน้ ักเรยี นทาใบงานเพื่อการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จากการวิเคราะห์ปญั หา เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ในชีวติ ประจาวนั ทก่ี าหนดให้ เก่ยี วกับไฟฟ้าสถิตเรื่อง แรง กระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ (ชุดท่ี 2) โดยเน้นให้ นักเรยี นศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเองเพ่ือแสวงหานวัตกรรม (เทคนิค/วิธีการ/ส่ิงประดิษฐ์) ในการแก้ปัญหาอย่าง

25 สร้างสรรค์ที่เหมาะสมท่ีสุด ครูสังเกตพฤติกรรมการวางแผนการทางานร่วมกันของนักเรียนที่มีความสามารถ พ้ืนฐาน และแบบการเรียนรู้ (Learning Style) ต่างกัน ขณะมีการฝึกทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จากนน้ั ครปู ระเมินทกั ษะการแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรยี น 4.3 ครูขยายผลความรูแ้ ละประสบการณข์ องนกั เรียน ด้วยการให้นักเรียนกาหนดประเด็น ปัญหาใหมเ่ กี่ยวกบั ไฟฟ้าสถิตเรื่อง แรงกระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้า ของตัวเก็บประจุ จากสถานการณ์ที่พบในชีวิตประจาวัน และร่วมกันแสวงหาคาตอบเป็นกลุ่มๆละ 4-5 คน (สมาชิกแต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนท่ีมีความสามารถพ้ืนฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมีแบบการ เรียนรู้ (Learning Style) ต่างกัน เพื่อฝึกทักษะการวิจัย โดยใช้กระบวนการวิจัย 4 ขั้น ซึ่งครูและนักเรียน ร่วมกันทบทวนกระบวนการ 3 ขั้นท่ที าผ่านมาแลว้ จากนั้นจึงเข้าสกู่ ารดาเนนิ งานวจิ ยั ในขั้นตอนที่ 4 ดงั นี้ ขนั้ ตอนท่ี 4 รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล (Collecting and Analyzing Data : C) ครูอานวยความสะดวกใหน้ กั เรยี นแสวงหาแหล่งขอ้ มูล แนะนาวิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูล และวิธีการสร้าง เคร่ืองมือเพ่ือใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลทีเ่ หมาะสมกบั เร่อื งท่ีทาวจิ ยั แนะนาวิธกี ารวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ สถิติให้เหมาะสม โดยให้นักเรียนนาชิ้นงานท่ีออกแบบไว้ในข้ันที่ 3 มาสร้างเป็นต้นแบบทางความคิด (Prototype) ใหเ้ ป็นรูปธรรม จบั ต้องได้ ซง่ึ เปน็ การถ่ายทอดความคิดของทีมท่ีร่วมกันออกแบบไว้มาทาให้เป็น รปู ธรรมนาไปทดลองใชก้ บั กลุ่มเป้าหมายได้จริง ทดสอบและปรบั ปรงุ ต้นแบบให้สมบูรณ์ และให้นักเรียนเรียบ เรียงกระบวนการดาเนินการสร้างต้นแบบ ทดสอบและปรับปรุง (Prototype, Test and Improve) ลงใน รายงานวิจัย และกาหนดใหม้ ีการประเมนิ ผลโดยครู นักเรยี น และเพื่อนของนักเรยี น 4.4 นักเรียนบันทึกความรู้/ประสบการณ์ โดยใช้แบบบันทึกความรู้/ประสบการณ์ (Journal Writing) ในแตล่ ะคร้งั ที่เรยี น ข้ันที่ 5 การแบ่งปันและการประเมนิ (Share and Assessment: S) ข้ันแบ่งปันและประเมิน เป็นการแลกเปล่ียนประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ต้นแบบนวัตกรรมตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้กรอบโจทย์ในข้ันท่ี 2 ระหว่างนักเรียน เพ่ือน ครู และผู้สนใจ โดยนักเรียนร่วมกันจัดแสดงผลงาน เผยแพรผ่ ่านออนไลน์ และประเมินผลการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนจากรายงานการพัฒนานวัตกรรม ในรูปแบบของกระบวนการวจิ ยั 5.1 นักเรียนนาผลการวิจัย และกระบวนการวิจัยการสร้างสรรค์นวัตกรรม มานาเสนอ เพ่ือใหน้ กั เรยี นแลกเปลีย่ นการเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นในประเด็นของการสรุปผลการวิจัย เพ่ือตอบสมมติฐาน และใหค้ าแนะนาในการเขยี นรายงานผลการวิจัยเพ่ือการนาเสนอ ครูสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกันของ นกั เรยี น 5.2 นักเรียนฝึกทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เป็นรายบุคคล โดยให้นักเรียนทาใบ งานเพื่อการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จากการวิเคราะห์ปัญหา เหตุการณ์หรือสถานการณ์ ในชวี ิตประจาวันที่กาหนดให้ เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตเรื่อง แรงกระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และ การเก็บประจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ (ชุดที่ 3) โดยเน้นให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เพ่ือแสวงหา นวตั กรรม (เทคนิค/วธิ กี าร/ส่ิงประดษิ ฐ์) ในการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ที่เหมาะสมที่สุด จากน้ันครูประเมิน ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนที่มีความสามารถพ้ืนฐาน และแบบการเรียนรู้(Learning Style) ตา่ งกนั 5.3 ครูขยายผลความรูแ้ ละประสบการณ์ของนักเรียนด้วยการให้นักเรียนกาหนดประเด็น ปญั หาเกี่ยวกบั ไฟฟ้าสถติ เรือ่ ง แรงกระทาระหว่างประจุ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และการเก็บประจุไฟฟ้าของ ตัวเก็บประจุ จากสถานการณ์ที่พบในชีวิตประจาวันและร่วมกันแสวงหาคาตอบเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน

26 (สมาชิกแต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักเรียนท่ีมีความสามารถพื้นฐาน เก่ง ปานกลาง และอ่อน และมีแบบการ เรียนรู้(Learning Style) ต่างกัน เพ่ือฝึกทักษะการวิจัย โดยใช้กระบวนการวิจัย 5 ข้ัน ซึ่งครูและนักเรียน รว่ มกนั ทบทวนกระบวนการ 4 ขน้ั ท่ที าผ่านมาแล้ว จากนน้ั จึงใหน้ กั เรียนดาเนินการต่อไปในขน้ั ตอนท่ี 5 ขั้นตอนท่ี 5 สรุปและนาเสนอผลวิจัย (Summarizing and Research Finding : S) นกั เรียนสรุปผลการวิจัย เพ่ือตอบสมมติฐาน และให้คาแนะนาในการเขียนรายงานผลการวิจัย เพ่ือการนาเสนอ รวมทั้งออกแบบการนาเสนอผลวิจัยผ่านระบบออนไลน์ นาเสนอในลักษณะแผ่นพับ ประชาสมั พันธ์อิเลก็ ทรอนคิ ส์ ผา่ น Website และ Facebook และกาหนดใหม้ ีการประเมนิ ผลโดยครู นักเรียน และเพือ่ นของนักเรยี น 5.4 ประเมินประสิทธผิ ลนักเรยี น 3 ดา้ น คอื ดา้ นสมรรถนะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ด้านสมรรถนะการสร้างสรรค์นวัตกรรม และด้านความสามารถในการวิจัย โดยจะได้รับการประเมินจาก 3 แหลง่ ไดแ้ ก่ นักเรยี น เพื่อน และครู 5.5 นักเรียนบันทึกความรู้/ประสบการณ์ โดยใช้แบบบันทึกความรู้/ประสบการณ์ (Journal Writing) ในแต่ละคร้งั ทีเ่ รียน ส่ือการเรียนการสอน 1. แผนภาพ วสั ดุ อปุ กรณ์ และชดุ ทดลองไฟฟ้าสถิต 2. วดี ทิ ัศนเ์ ร่ือง ไฟฟ้าสถิต (สถานการณ์ไฟฟา้ สถิตในชวี ิตประจาวนั และการทดลองของคูลอมบ์) 3. วสั ดุ อุปกรณ์ สาหรบั จัดนทิ รรศการท้งั ภายใน และภายนอกโรงเรยี น แหล่งเรยี นรู้ 1. ห้องสมุด 2. วัสดุ อปุ กรณ์ทดลอง 3. เวบ็ ไซต์ต่างๆ 4. ชุมชน หรือสถานที่ที่นักเรียนจะนานวัตกรรมจากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ เช่น หมู่บ้าน วัด สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ มูลนิธิ เปน็ ตน้ บนั ทกึ หลงั การจดั การเรยี นรู้ 1. ด้านความรู้ พบว่านกั เรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในบทเรยี นไฟฟ้าสถติ ได้ดี และสามารถวิเคราะห์ปัญหาและ สาเหตุทแี่ ทจ้ ริงของการเกดิ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณใ์ นชีวิตประจาวนั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับไฟฟ้าสถิต แต่มีความตอ้ งการท่ีจะศึกษาเพม่ิ เติมในสถานการณ์อน่ื ๆ และมคี วามรใู้ นกระบวนการออกแบบนวัตกรรมท่ีจะ นาไปใชใ้ นการแก้ปัญหาและพฒั นา รวมท้ังดา้ นการวิจยั ในระดบั พื้นฐานสาหรบั นกั เรยี นระดบั มัธยมศกึ ษา 2. ดา้ นสมรรถนะในการแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ นักเรียนสามารถบอกข้อมูลจากสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงท่ีเก่ียวข้องกับสถานการณ์ท่ีเป็น ปญั หา และสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับปัญหาที่พบในกลุ่มเป้าหมายได้ สามารถค้นหาปัญหาที่แท้จริงและระบุ สาเหตุของปัญหาได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล รู้จักเลือกวิธีการนาเสนอข้อมูลที่เหมาะสมและน่าสนใจ สามารถ ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาหรือสิ่งประดิษฐ์ท่ีมีแนวโน้มสามารถนาไปแก้ปัญหาได้จริง และนาความรู้หรือ แนวความคิดท่ไี ดไ้ ปใชใ้ นการแกป้ ัญหากับสถานการณ์อ่ืนๆไดอ้ ยา่ งหลากหลาย

27 3. ด้านสมรรถนะการสรา้ งสรรค์นวตั กรรม นักเรียนสามารถตั้งคาถาม สารวจข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย มีมุมมองของการออกแบบสร้าง นวัตกรรมท่นี าไปสู่การทดลองปฏิบัติจริงได้ มีการนาผลการทดสอบนวัตกรรมมาปรับปรุงแก้ไข บางกลุ่มอาจ แก้ไขและปรับปรุงได้สมบูรณ์ แต่บางกลุ่มมีข้อจากัดท่ีไม่สามารถดาเนินการได้เน่ืองจากอุปกรณ์ไม่เพียงพอ และทกุ กลุ่มสามารถเชื่อมโยงความคดิ ได้อยา่ งเป็นเหตเุ ปน็ ผล 4. ดา้ นความสามารถในการวิจัย นักเรียนสามารถทางานวิจัยและสามารถกาหนดข้ันตอนในการพัฒนานวัตกรรม รวมท้ังเขียน รายงานการวิจัยได้ครบถ้วนตามองค์ประกอบ แต่บางกลุ่มมีความเข้าใจที่คลาดเคล่ือนในบางประเด็น โดยเฉพาะเรือ่ งขอบเขตการวจิ ัยดา้ นตวั แปร และการอภปิ รายผลท่ีไม่มีการให้เหตุผลที่เชื่อมโยงกับข้อค้นพบท่ี ได้จากผลการวิจยั 5. ดา้ นกิจกรรมจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะของนักเรียน นักเรียนใหค้ วามรว่ มมอื และรับผดิ ชอบต่อการเรยี นรู้ สามารถปฏบิ ัตกิ จิ กรรมได้ตามวัตถุประสงค์ ของการพัฒนาสมรรถนะท้ัง 3 ด้าน มีความเอาใจใส่ในงานที่ได้รับมอบหมายเป็นส่วนใหญ่ มีการซักถามข้อ สงสัยหรือยังไม่แน่ใจท้ังในและนอกเวลาเรียนผ่าน Google Meet และ Line ในการทางานกลุ่มพบว่าส่วน ใหญ่มีการเสนอความคิดท่ีดีเย่ียม แต่การทางานเป็นทีมของบางกลุ่มยังไม่ค่อยลงตัวในเรื่องเวลาท่ีจะทางาน ด้วยกัน และพบว่าหลงั จากการนาเสนองานแลว้ นักเรียนทกุ คนมีความภมู ใิ จในผลงานของตนเอง และกล้าท่ีจะ แสดงความคดิ เหน็ มากขึ้น 6. ดา้ นการวดั และประเมินผล นกั เรียนต้องการใหม้ ีการประเมนิ เฉพาะการร่วมกจิ กรรมในชน้ั เรียน และงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ให้ทา เช่นการออกแบบ งานวิจยั เป็นตน้ ไมต่ อ้ งการใหม้ กี ารสอบโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ความรู้ความเข้าใจ เพราะเห็นวา่ ตนเองนา่ จะทาคะแนนในรายวชิ าไดด้ กี ว่าการสอบ 7. ปัญหาและอุปสรรคในการจดั การเรียนรแู้ ละแนวทางการแก้ไข นกั เรียนบางคน ไม่ค่อยช่วยงานในกลุม่ เพ่ือนซง่ึ ทาใหเ้ กิดปญั หาความไม่เข้าใจกนั ครูต้องเชญิ มา สรา้ งความเขาใจร่วมกันเป็นรายกรณี (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รุจิราพร รามศิริ) อาจารยผ์ ู้สอน วันที่ 12 สงิ หาคม พ.ศ. 2564

28 ประมวลการสอน กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรยี นสาธติ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน ศูนยว์ ิจยั และพัฒนาการศกึ ษา ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 รายวิชา ฟิสิกส์ 5 (ว 33206) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 รายวิชา เพม่ิ เติม จานวน 2.5 หนว่ ยกิต อาจารย์ผูส้ อน ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ รุจิราพร รามศริ ิ เวลาเรียน 5 คาบ/สปั ดาห์ คาอธบิ ายรายวิชา ศึกษาวิเคราะห์ ความดันเกจ ความดันสัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ หลักการทางานของแมนอ มิเตอร์ บารอมิเตอร์ และเคร่ืองอัดไฮดรอลิก ขนาดแรงพยุงจากของไหล ความตึงผิวของของเหลว แรงหนืดของ ของเหลว สมบัติของของไหลอุดมคติ สมการความต่อเน่ือง และสมการแบร์นูลลี การนาความรู้เก่ียวกับสมการ ความต่อเน่ืองและ สมการแบร์นูลลีไปอธิบายหลักการทางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ศึกษากฎของแก๊สอุดมคติและ คานวณ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง แบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสข องโมเลกุลของแก๊ส งานท่ีทาโดยแก๊สในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว ความสัมพันธ์ระหว่างความร้อน พลังงาน ภายในระบบ และงาน รวมท้ังคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง และนาความรู้เรื่องพลังงานภายในระบบไป อธบิ ายหลักการทางานของ เครอื่ งใช้ในชีวติ ประจาวัน ศึกษาสมมตฐิ านของพลังค์ ทฤษฎี อะตอมของโบร์ และการ เกดิ เส้นสเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและ คานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ ของโฟโตอิเล็กตรอนและฟังก์ชันงานของโลหะ ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ ศึกษา กมั มันตภาพรงั สี ความแตกต่าง ของรงั สแี อลฟา บตี าและแกมมา กัมมันตภาพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี จานวน นิวเคลียสกัมมันตภาพรังสีที่เหลือจากการสลาย และครึ่งชีวิต แรงนิวเคลียร์ เสถียรภาพของ นิวเคลียส และ พลงั งานยึดเหน่ยี ว ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิชชัน และฟิวชัน การคานวณพลังงานนิวเคลียร์ ประโยชน์ของพลังงาน นวิ เคลยี ร์ และรังสี อันตรายและการป้องกันรังสี การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค แบบจาลองมาตรฐาน และ การใช้ประโยชน์จาก การค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคในด้านต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การ สืบค้นข้อมูล การสารวจตรวจสอบ การอธิบาย การอภิปราย การวิเคราะห์และการคานวณ เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถสือ่ สารสง่ิ ที่เรียนรู้ มคี วามสามารถในการคิดและตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรมและค่านิยมทเี่ หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายและคานวณความดันเกจ ความดันสัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ รวมท้ังอธิบาย หลักการทางานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครอ่ื งอดั ไฮดรอลิก 2. ทดลอง อธิบายและคานวณขนาดแรงพยุง จากของไหล 3. ทดลอง อธิบายและคานวณความตึงผิวของของเหลว รวมท้ังสังเกตและอธิบายแรงหนืดของ ของเหลว 4. อธิบายสมบัติของของไหลอุดมคติ สมการความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลลี รวมทั้ง คานวณ ปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง และนา ความรู้เก่ียวกับสมการความต่อเนื่องและ สมการแบร์นูลลีไปอธิบาย หลกั การทางานของ อุปกรณต์ า่ ง ๆ 5. อธิบายกฎของแก๊สอุดมคตแิ ละคานวณ ปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง

29 6. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎี จลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของ โมเลกุล ของแก๊ส รวมทั้งคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง 7. อธิบายและคานวณงานท่ีทาโดยแก๊ส ในภาชนะปิดโดยความดันคงตัว และอธิบาย ความสัมพันธ์ ระหว่างความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง และนาความรู้ เรอื่ งพลงั งานภายในระบบไปอธิบายหลกั การทางานของ เครอ่ื งใชใ้ นชีวิตประจาวัน 8. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎี อะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอม ไฮโดรเจน รวมท้งั คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง 9. อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและ คานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโต อเิ ลก็ ตรอนและฟังกช์ นั งานของโลหะ 10. อธบิ ายทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค รวมท้งั อธิบายและคานวณความยาวคล่นื เดอบรอยล์ 11. อธบิ ายกัมมันตภาพรงั สีและความแตกตา่ ง ของรังสีแอลฟา บีตาและแกมมา 12. อธิบายและคานวณ กมั มันตภาพของนิวเคลียสกัมมันตรังสี รวมทั้ง ทดลอง อธิบาย และคานวณ จานวนนวิ เคลยี สกัมมันตภาพรังสี ทเี่ หลือจากการสลาย และครง่ึ ชีวิต 13. อธิบายแรงนิวเคลียร์ เสถยี รภาพของ นิวเคลียส และพลังงานยึดเหนี่ยว รวมท้ัง คานวณปริมาณ ตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง 14. อธบิ ายปฏิกิริยานวิ เคลยี ร์ ฟิชชนั และฟิวชนั รวมทง้ั คานวณพลงั งานนิวเคลยี ร์ 15. อธิบายประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ และรังสี รวมท้ังอันตรายและการป้องกันรังสี ในด้าน ต่าง ๆ 16. อธิบายการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค แบบจาลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชน์จาก การ คน้ คว้าวิจัยด้านฟสิ ิกส์อนภุ าคในด้านต่าง ๆ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิด STEM Education ร่วมกับกระบวนการคิดเชิงออกแบบท่ีผสมผสานเทคโนโลยีในยุคดิจิตอล เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา “EEIPS Model”ที่ ผูส้ อนพัฒนาขนึ้ ประกอบด้วย 5 ขัน้ ไดแ้ ก่ ข้นั ท่ี 1 การทาความเข้าใจกลมุ่ เป้าหมายอย่างลึกซ้ึง (Empathize: E) ขน้ั ท่ี 2 การสารวจแนวคิด และตง้ั กรอบโจทย์ (Explore Ideas and Define: E) ขนั้ ท่ี 3 การสร้างความคิด วางแผนและออกแบบ (Ideate, Plan and Design: I) ข้ันท่ี 4 การสร้างต้นแบบ ทดสอบและปรับปรุง (Prototype, Test and Improve: P) และข้ันท่ี 5 การแบ่งปันและการประเมิน (Share and Assessment: S) โดยผสมผสานเทคนิคการจัดการเรียนรู้หลากหลายตามความเหมาะสมกับบริบทของนักเรียน เช่น การ บรรยาย สบื เสาะหาความรู้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ อภิปราย แกป้ ญั หา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวัน ระดมสมอง นาเสนอความรแู้ ละกระบวนการแสวงหาความรู้ ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การทางานกลุ่ม งาน รายบุคคล การฝึกปฏิบัติการทดลอง การออกแบบการทดลอง การออกแบบช้ินงาน/ภาระงาน การประเมิน ตามสภาพจริง ซึ่งประกอบด้วย การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning) การประเมินขณะ เรียนรู้ (Assessment as Learning) และการประเมนิ (Assessment of Learning) โดยใช้การประเมินตนเอง การประเมนิ โดยเพ่ือน และการประเมินโดยครู สอื่ และแหลง่ เรียนรู้ 1. เอกสารการเรยี นการสอน และแบบฝกึ เสริมประสบการณ์

30 2. Power point 3. อปุ กรณก์ ารทดลอง 4. ใบงาน 5. Website ท่เี กี่ยวข้อง 6. เหตกุ ารณ์ในชวี ิตประจาวนั 7. รายการทางสื่อวดี ิทัศน์ และทางหนังสือพิมพ์ วารสาร นติ ยสาร เชน่ ข่าว ภาพยนตร์ โฆษณา เป็นตน้ 8. บทความวิจยั และงานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ้ ง 9. Google Classroom การวดั และการประเมนิ ผล เปา้ หมายการเรยี นรู้ วธิ กี ารประเมิน/เคร่อื งมือ น้าหนักคะแนน (100) 1. ด้านความรู้ 20 - การทดสอบกลางภาค / แบบทดสอบ 30 2. ดา้ นทักษะกระบวนการ - การทดสอบปลายภาค / แบบทดสอบ 8 - การทดสอบยอ่ ย / แบบทดสอบ 1 3. ด้านจิตพิสยั - การตอบคาถาม / แบบสังเกต 1 - การทาแบบฝกึ หัด / แบบประเมนิ 20 - การประเมนิ การปฏิบตั ิ / แบบประเมนิ การ 10 ปฏบิ ตั ิ - การสงั เกตกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ / 10 แบบบนั ทกึ ผลการสงั เกต (ประเมินตนเอง ประเมินโดยเพ่อื น และประเมินโดยคร)ู - การสงั เกต / แบบสงั เกต เกณฑก์ ารใหร้ ะดับคะแนน ระดบั คะแนน 4 คะแนน 3.5 80-100 75-79 3 2.5 70-74 65-69 2 1.5 60-64 1 55-59 50-54 0 0-49

31 โครงการสอน เนอ้ื หา เวลาเรียน น้าหนัก สัปดาหท์ ่ี คาบท่ี (ร้อยละ) (คาบ) 1-4 1-20 25 หนว่ ยท่ี 1 ของไหล 20 5-8 21-40 25 9- 1.1 ความดันเกจ ความดัน สัมบรู ณ์ และความดัน 10-13 41-60 - บรรยากาศ 25 14-17 61-80 1.2 แรงตึงผวิ แรงลอยตวั แรงหนืด 25 18 - 1.3 ของไหลอุดมคติ สมการความตอ่ เนอื่ ง และสมการ - 100 แบรน์ ูลลี หน่วยที่ 2 กา๊ ซในอดุ มคติ 20 2.1 กฎของแกส๊ อุดมคติ 2.2 แบบจาลองของแกส๊ อดุ มคติ ทฤษฎี จลนข์ องแก๊ส และ อตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแกส๊ 2.3 ความรอ้ น พลงั งานภายในระบบ และงานท่ที าโดยแก๊ส สอบกลางภาค - หน่วยที่ 3 ฟสิ ิกสอ์ ะตอม 20 3.1 สมมตฐิ านของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ และการ เกดิ เสน้ สเปกตรมั ของอะตอมไฮโดรเจน 3.2 ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก พลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเล็กตรอนและฟังก์ชันงานของ โลหะ 3.3 ทวภิ าวะของคลืน่ และอนภุ าค และความยาวคล่นื เดอบรอยล์ หนว่ ยที่ 4 ฟิสิกสน์ ิวเคลียร์ 20 4.1 กัมมนั ตภาพรงั สแี ละความแตกต่างของรังสีแอลฟา บตี าและแกมมา 4.2 กมั มันตภาพของนิวเคลยี สกัมมนั ตรังสี และคร่ึงชวี ิต 4.3 แรงนวิ เคลียร์ เสถียรภาพของนวิ เคลยี สและพลังงานยึด เหน่ยี ว 4.4 ปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์ฟชิ ชันและฟิวชัน และพลงั งาน นิวเคลียร์ สอบปลายภาค - รวม 80 การทบทวนเพอื่ ปรับปรุงวธิ ีการสอนและระบบการสอน มกี ารปรบั ปรุงเครื่องมือและเกณฑ์การประเมินผลของสมรรถนะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ เพิ่มเครื่องมือการประเมินสมรรถนะการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเกณฑ์การประเมิน รวมท้ังเน้นการ ค้นคว้าวจิ ัยด้านฟิสกิ สอ์ นภุ าค แบบจาลองมาตรฐาน และการใชป้ ระโยชน์จากงานวิจัย

32 การปรับปรงุ การสอนจากผลการประเมนิ ผลการสอน มกี ารประเมนิ ผลการเรียนการสอน และการใหข้ ้อมูลย้อนกลับ (feedback) แก่นกั เรียนเปน็ รายบุคคล ให้การซ่อมเสรมิ นกั เรยี นระหวา่ งเรียนกรณีที่นักเรียนลาและเรียนรู้ไม่ทันในช้ันเรียน รวมทั้งให้คาปรึกษาการ ทางานกลุ่มของนักเรยี นผ่านออนไลนน์ อกเวลาเรียนอย่างต่อเน่อื ง (ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.รจุ ริ าพร รามศริ ิ) อาจารยผ์ ู้สอน วันท่ี 1 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2563

โครงสรา้ กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ รา ระดบั  ประถมศึกษา ชนั้ ............................................  มัธยมศึกษา ชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เวลา 5 ลาดบั ที่ ชอ่ื หนว่ ย ผลการเรียนรู้ สาระก การเรียนรู้ 1. อธิบายและคานวณความ • ภาชนะทมี่ ขี องเหลวบรรจ 1 ของไหล ดันเกจ ความดนั สมั บรู ณ์ ของเหลวกระทาตอ่ พืน้ ผวิ และความดนั บรรยากาศ ของเหลวกระทาต้งั ฉากตอ่ รวมท้งั อธบิ ายหลกั การ ดันในของเหลว ทางานของแมนอมิเตอร์ บา • ความดนั ทเ่ี ครื่องมือวัดไ รอมิเตอร์ และเครื่องอัดไฮ คานวณได้จากสมการ ดรอลกิ 2. ทดลอง อธิบายและ ส่วนผลรวมของ ความดัน คานวณขนาดแรงพยุง จาก เรยี กวา่ ความดนั สัมบูรณ ของไหล 3. ทดลอง อธบิ ายและ คานวณความตงึ ผวิ ของ • ค่าของความดนั อา่ นได้จา ของเหลว รวมทัง้ สงั เกตและ แมนอมเิ ตอร์ บารอมิเตอร อธบิ ายแรงหนืด ของ • เมอ่ื เพิม่ ความดัน ณ ตาแ ของเหลว นงิ่ ในภาชนะปดิ ความดนั 4. อธิบายสมบัติของของ จุดในของเหลวนัน้ เรียกว

างรายวชิ า ายวชิ า ฟิสกิ ส์ 6 รหัส ว 33206 ......................เวลา.................................คาบ/สปั ดาห์ 5 คาบ/สปั ดาห์ จานวน 2.5 หน่วยกติ การเรยี นรู้ เวลา จดุ เน้น จอุ ยูจ่ ะมีแรงเนื่องจาก (คาบ) 21 Century skills Characters วภาชนะ โดยขนาดของ แรงท่ี อพ้ืนท่ีหน่งึ หน่วย เป็นความ 20 1. ทกั ษะการคดิ อย่าง 2. การอยูร่ ่วมกัน ได้ เรยี กว่า ความดันเกจ มวี จิ ารณญาณและ ในสังคมและการ นบรรยากาศและความดนั เกจ การแก้ปัญหา ปรบั ตัวเข้ากบั ผูอ้ ื่น ณ์ คานวณไดจ้ ากสมการ 2. ทกั ษะการ 4. การ ากเคร่อื งวดั ความดัน เช่น ร์ สรา้ งสรรค์และ ติดตอ่ สื่อสาร แหน่งใด ๆ ในของเหลวทอี่ ยู่ นทเี่ พ่มิ ขึ้นจะส่งผ่าน ไปทุก ๆ นวัตกรรม 5. การแสวงหา ว่า กฎพาสคลั กฎนีน้ าไปใช้ 4. ทกั ษะดา้ นความ ความรู้ รว่ มมอื การทางาน เป็นทมี และภาวะ ผูน้ า 5. ทกั ษะการสือ่ สาร สารสนเทศ และรูเ้ ท่า ทนั ส่อื 6. ทกั ษะดา้ น คอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ

3 ลาดบั ที่ ชอ่ื หนว่ ย ผลการเรียนรู้ สาระก การเรียนรู้ ไหลอดุ มคติ สมการ ความ อธิบายการทางานของเคร ต่อเนือ่ ง และสมการแบรน์ ูล • วัตถุทอ่ี ยู่ในของไหลทั้งหม ลี รวมท้ัง คานวณปริมาณ แรงพยุงจากของไหลกระท ตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง และนา ขนาดน้าหนกั ของของไหล ความรเู้ กย่ี วกบั สมการความ อาร์คมิ ดี ีส ซึ่งใชอ้ ธิบายกา ตอ่ เนอ่ื งและ สมการแบรน์ ูล ในของไหล ขนาดแรงพยงุ ลีไปอธิบายหลักการทางาน สมการ ของ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ • ความตึงผิวเปน็ สมบัติของ ดว้ ยแรงดึงผิว ปรากฏการ เช่น การเดินบนผวิ นา้ ของ เล็ก หรือ การโค้งของผวิ ของเหลวคานวณได้ จากส • ความหนดื เป็นสมบัตขิ องข ของไหลจะมีแรงเนือ่ งจาก ของวตั ถุ เรยี กวา่ แรงหนืด • ของไหลอุดมคติเปน็ ของไ สมา่ เสมอ ไมม่ ีความหนืด หมุน มอี ตั ราการไหลตาม ค่าคงตวั

34 การเรียนรู้ เวลา จดุ เนน้ (คาบ) 21 Century skills Characters ร่อื งอัดไฮดรอลกิ 8. มีคณุ ธรรม มดหรอื เพยี งบางสว่ น จะถกู จรยิ ธรรม ทา โดยขนาดแรงพยงุ เท่ากบั ลท่ถี กู วตั ถแุ ทนที่ตามหลักของ ารลอยการจมของวัตถุต่าง ๆ งจากของไหลคานวณได้ จาก งของเหลวที่ยดึ ผวิ ของเหลวไว้ รณ์ที่เปน็ ผล จากความตึงผวิ งแมลง บางชนิด การซึมตามรู ของเหลว โดยความตึงผิวของ สมการ ของไหล วตั ถทุ เี่ คล่อื นท่ี ใน กความหนืดตา้ นการ เคล่ือนที่ ด ไหลท่ีมีการไหลอย่าง บีบอัดไม่ได้ และไหล โดยไม่ มสมการความตอ่ เนื่อง Av =

ลาดับท่ี ช่ือหนว่ ย ผลการเรยี นรู้ 3 การเรียนรู้ สาระก • ตาแหนง่ สองตาแหนง่ บนส ไหลอุดมคติทีไ่ หลอย่างสม ดันสัมบูรณ์ พลังงานจลน พลงั งานศักยต์ อ่ หนึง่ หน่ว สมการแบรน์ ลู ลี 2 กา๊ ซในอดุ มคติ สาระฟสิ กิ ส์ ข้อท่ี 4 แกส๊ อุดมคติเปน็ แกส๊ ทโ่ี มเล ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกุล 5. อธิบายกฎของแกส๊ อดุ ม มีการชนแบบยืดหยุ่น คติและคานวณ ปริมาณต่าง • ความสมั พันธ์ระหว่างควา ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง ของแก๊สอุดมคติเปน็ ไปตา 6. อธบิ ายแบบจาลองของ แทนไดด้ ว้ ยสมการ แก๊สอดุ มคติ ทฤษฎี จลน์ ของแก๊ส และอตั ราเร็วอาร์ • จากแบบจาลองของแก๊สอ เอม็ เอสของ โมเลกุลของ นิวตนั และจากกฎของแก แกส๊ รวมทัง้ คานวณปริมาณ ศึกษาสมบัติทางกายภาพ ต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง ไดแ้ ก่ ความดนั พลงั งานจ 7. อธิบายและคานวณงานท่ี ทาโดยแกส๊ ในภาชนะปดิ เอ็มเอส ของโมเลกลุ ของแ • จากทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ ค โดยความดันคงตวั และ เฉลี่ยของโมเลกุลของแกส๊

35 การเรียนรู้ เวลา จดุ เนน้ (คาบ) 21 Century skills Characters สายกระแสเดียวกันของของ มา่ เสมอ จะมีผลรวมของความ น์ตอ่ หนงึ่ หน่วยปริมาตร และ วยปรมิ าตร เป็นค่าคงตวั ตาม ลกุลมีขนาดเล็กมาก ไมม่ ีแรง 20 1. ทักษะการคดิ อย่าง 1. การดาเนนิ ชีวิต ล มีการเคลอ่ื นท่ี แบบสุม่ และ มวี ิจารณญาณและ ของตนเองท่ดี ี การแก้ปัญหา 2. การอยู่รว่ มกนั ามดัน ปรมิ าตร และ อณุ หภมู ิ 2. ทกั ษะการ ในสงั คมและการ ามกฎของแก๊สอุดมคติ เขยี น สรา้ งสรรค์และ ปรบั ตวั เขา้ กบั ผอู้ ื่น นวัตกรรม 3. การมจี ิต 4. ทกั ษะดา้ นความ สาธารณะ อดุ มคติ กฎการเคล่ือนท่ี ของ ร่วมมือ การทางาน 4. การ ก๊สอดุ มคติ ทาให้ สามารถ เปน็ ทมี และภาวะ พบางประการ ของแกส๊ ได้ ผูน้ า ติดต่อสอื่ สาร จลนเ์ ฉลย่ี และอตั ราเรว็ อาร์ 5. ทักษะการส่ือสาร 5. การแสวงหา แก๊สได้ สารสนเทศ และรเู้ ทา่ ความรู้ ความดนั และพลังงานจลน์ ทนั สือ่ สมคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ 6. ทกั ษะดา้ น

3 ลาดบั ท่ี ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระก การเรียนรู้ อธบิ าย ความสมั พนั ธ์ ระหว่างความร้อน พลังงาน ภายในระบบ และงาน ส่วนอตั ราเร็วอารเ์ อม็ เอสขอ รวมท้ังคานวณปรมิ าณตา่ ง จากสมการ ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง และนาความรู้ เร่อื งพลงั งานภายในระบบ ไปอธบิ ายหลักการทางาน • ในภาชนะปิดเมื่อมีการเปล ของ เคร่ืองใช้ใน โดยความดนั คงตวั งานที่เ W = PΔV ชีวิตประจาวนั • โมเลกลุ ของแก๊สอดุ มคตใิ น จลน์ โดยพลงั งานจลนร์ วม พลังงานภายในของแกส๊ ห แปรผันตรงกับจานวนโมเ ของแกส๊ • พลังงานภายในระบบมีคว งาน เชน่ เมอ่ื มกี ารถา่ ยโอ ของการถ่ายโอนความรอ้ น พลังงานภายในระบบที่เป กฎการอนรุ กั ษ์ พลงั งานเร ศาสตร์ แสดงไดด้ ว้ ยสมกา • ความรเู้ รื่องพลังงานภายใ

36 การเรียนรู้ เวลา จุดเน้น (คาบ) 21 Century skills Characters คอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ อง โมเลกุลของแก๊สคานวณได้ 7. ทักษะอาชีพและ การเรยี นรู้ 8. มคี ุณธรรม จริยธรรม ล่ยี นแปลงปรมิ าตรของ แกส๊ เกดิ ขึน้ คานวณได้ จากสมการ นภาชนะปดิ จะมี พลังงาน มของโมเลกุล เรยี กว่า หรือพลงั งาน ภายในระบบ ซึง่ เลกุล และอณุ หภูมิสมั บูรณ์ วามสัมพันธก์ ับความรอ้ น และ อนความรอ้ นใน ระบบปดิ ผล นนี้จะเทา่ กับผลรวมของ ปลีย่ นแปลงกับงาน เป็นไปตาม รียกกฎขอ้ ทห่ี นงึ่ ของอณุ หพล าร Q = ΔU + W ในระบบสามารถนาไป

3 ลาดบั ที่ ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระก การเรยี นรู้ ประยกุ ตใ์ นดา้ นต่าง ๆ เช ความร้อน ตูเ้ ย็น เครือ่ งป 3 ฟสิ ิกส์อะตอม สาระฟสิ กิ ส์ ขอ้ ท่ี 4 • พลังคเ์ สนอสมมติฐานเพื่อ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ซง่ึ สรปุ ได้ว่า พลงั งานทว่ี ัต 8. อธิบายสมมติฐานของ ค่าได้เฉพาะบางค่าเทา่ น้นั พลงั ค์ ทฤษฎี อะตอมของ ของ hf เรยี กวา่ ควอนตมั โบร์ และการเกดิ เสน้ จะมีพลงั งานตาม สมการ สเปกตรมั ของอะตอม • ทฤษฎีอะตอมของไฮโดรเ ไฮโดรเจน รวมทง้ั คานวณ อิเลก็ ตรอนจะเคลอ่ื นที่รอ ปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง ไดโ้ ดยไม่แผค่ ลน่ื แม่เหลก็ ไ 9. อธบิ ายปรากฏการณโ์ ฟ เปลยี่ นวงโคจรจะมีการรบั โตอิเลก็ ทริกและ คานวณ ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ต พลงั งานโฟตอน พลังงาน สามารถนาไป คานวณรศั จลน์ของโฟโตอเิ ล็กตรอน พลงั งาน อะตอมของไฮโด และฟังกช์ ันงานของโลหะ 10. อธบิ ายทวิภาวะของ คลืน่ และอนุภาค รวมท้งั แ อธิบายและคานวณความ ยาวคลน่ื เดอบรอยล์ • ทฤษฎีอะตอมของโบร์สาม

37 การเรียนรู้ เวลา จุดเนน้ (คาบ) 21 Century skills Characters ชน่ การทางานของ เครอ่ื งยนต์ ปรับอากาศ ออธบิ ายการแผร่ ังสีของวัตถดุ า 20 ตถุดาดูดกลนื หรือแผ่ออกมามี น และ ค่าน้จี ะเปน็ จานวนเท่า ม พลงั งาน โดยแสงความถี่ f E = nhf เจนที่เสนอโดยโบร์ อธบิ ายว่า อบนิวเคลยี ส ในวงโคจรบางวง ไฟฟา้ ถ้าอเิ ล็กตรอนมกี าร บ หรือปล่อยพลังงานในรปู ตามสมมติฐานของพลงั ค์ ซึ่ง ศมวี งโคจรของอเิ ลก็ ตรอน และ ดรเจนได้ตามสมการ และ ตามลาดับ มารถนาไปคานวณ ความยาว

ลาดับที่ ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ 3 การเรียนรู้ สาระก คลื่นของแสงในสเปกตรัม ไฮโดรเจนตามสมการ • ปรากฏการณ์โฟโตอเิ ล็กท อเิ ล็กตรอนหลดุ จากผิวโล เหมาะสมมาตกกระทบ โด หลุดจะเพม่ิ ขนึ้ ตามความเ สูงสุดของโฟโตอเิ ลก็ ตรอน โดยพลงั งานของแสง หรือ พลังค์ • ไอน์สไตนอ์ าศยั กฎการอน ของพลงั ค์ อธิบายปรากฏ สมการ hf = W + Ek max • การทดลอง พลังงานจลน และฟงั กช์ นั งานของโลหะ • การคน้ พบการแทรกสอดแ อิเล็กตรอนสนับสนนุ ความ ว่า อนภุ าคแสดงสมบตั ิขอ ประพฤตติ ัวเป็นคลืน่ จะมี

38 เวลา จดุ เน้น การเรยี นรู้ (คาบ) 21 Century skills Characters มเส้นสว่างของอะตอม ทรกิ เป็นปรากฏการณ์ท่ี ลหะเมื่อมีแสงทม่ี ี ความถี่ ดยจานวนโฟโตอเิ ล็กตรอนท่ี เขม้ แสง และพลงั งานจลน์ นจะขน้ึ กบั ความถ่ขี องแสงน้นั อโฟตอนตามสมมติฐานของ นุรักษ์พลังงานและ สมมตฐิ าน ฏการณ์ โฟโตอเิ ล็กทรกิ ตาม น์สูงสุดของโฟโตอิเลก็ ตรอน ะคานวณได้จากสมการ และการเล้ยี วเบนของ มคิดของเดอบรอยล์ ทเ่ี สนอ องคล่นื ได้ โดยเมือ่ อนภุ าค ความยาวคลืน่ เรียกวา่