Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวัดและประเมินผลการศึกษา

การวัดและประเมินผลการศึกษา

Published by ณัชพล เขียนวงศ์, 2019-07-24 17:06:51

Description: การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement)

Search

Read the Text Version

การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา Educational Evaluation and Measurement หนังสอื เลม่ นเี้ ป็นสว่ นหน่งึ ของการจัดการเรยี นการสอน ในรายวิชาเทคโนโลยีการพิมพ์ เรียบเรยี งโดย นางสาวศศิธร ทองคา รหสั นิสิต 60412674 สาขาเทคโนโลยสี ่อื สารการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร



คำนำ การเรียบเรียงเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการวัดและประเมินผล การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเทคโนโลยีสื่อส่ิงพิมพ์ เน้ือหาภายในบทนี้จะอธิบายถึงรายละเอียดของการวัดและประเมินผลการศึกษาเรา จึงคานึงถึงความรู้เก่ียวกับ (1) ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการวัดและประเมินผล (2) เป้าหมายคุณภาพผู้เรียน (3) คะแนนและการนาไปใช้ (4) การสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ดังน้ัน นอกจากเรื่องของการออกแบบเล่มของเอกสาร อยา่ งเป็นทางการแลว้ ตอ้ งคานึงถึงเนอื้ หาสาระอยา่ งเคร่งคัดอีกดว้ ย เรียบเรียงโดยนิสิตหลักสูตรศิลปะศาสตร์บัณฑิต (เทคโนโลยีสื่อสาร การศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร) ผเู้ รยี บเรยี งหวังวา่ การเรียบเรยี งหนังสือเล่มน้จี ะมปี ระโยชน์ต่อนิสิตนักศึกษา และผอู้ ่านท่ีจะนาไปศกึ ษาค้นคว้าได้ไม่มากก็นอ้ ย เรียบเรียงโดย ศศธิ ร ทองคา สาขาเทคโนโลยแี ละสื่อสารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร

คำนำ การ เรียบเรียงเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา เปน็ ส่วนหน่งึ ของ การจดั การเรยี นการสอนในรายวิชาเทคโนโลยสี ื่อสงิ่ พิมพ์ เนื้อหาภายในบท นี้จะอธิบายถึงรายละเอียดของการวัดและประเมินผลการศึกษาเราจึงคำ�นึงถึงความรู้เกี่ยวกับ (1) ความร้พู ้ืนฐานเกี่ยวกับการวดั และประเมนิ ผล (2) เปา้ หมายคณุ ภาพผูเ้ รยี น (3) คะแนนและ การนำ�ไปใช้ (4) การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ดังนั้นนอกจากเรอื่ งของการ ออกแบบเล่มของเอกสารอย่างเป็นทางการแล้วตอ้ งค�ำ นึงถึงเน้อื หาสาระอยา่ งเคร่งคดั อกี ดว้ ย เรยี บเรยี งโดยนิสติ หลักสูตรศิลปะศาสตรบ์ ัณฑิต (เทคโนโลยสี อ่ื สารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร) ผูเ้ รยี บเรียงหวังวา่ การเรยี บเรยี งหนงั สือเลม่ นี้จะมปี ระโยชนต์ ่อนสิ ติ นกั ศึกษาและผู้อ่านท่ี จะนำ�ไปศึกษาคน้ ควา้ ไดไ้ ม่มากกน็ ้อย เรียบเรียงโดย ศศธิ ร ทองคำ� สาขาเทคโนโลยแี ละส่ือสารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

สารบญั หวั เร่อื ง หนา้ ท่ี บทท่ี 1 ความรพู้ ้นื ฐานเกี่ยวกบั การวัดและประเมินผล………...............………………..............1 - ความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และ การประเมินผล……................................….1 - จดุ มุ่งหมายและประโยชนข์ องการประเมินผลการศกึ ษา………......……............................5 - ประเภทของการประเมินผลการศกึ ษา……………………………...........……...........................6 - ความส�ำ คัญของการวัดและประเมินผลการศึกษา…………….......……….............................8 - สรุป……………………………………………………………..................……………............................11 บทที่ 2 เป้าหมายคุณภาพผเู้ รยี น……………………………………………….………..........................13 - เป้าหมายคุณภาพผเู้ รยี น……………………………………………............……............................13 - พฤตกิ รรมการศึกษาในมาตรฐานการเรยี นรู้……………………….......……............................14 - ระดบั ของจุดม่งุ หมายการศึกษา…………………………………………......................................28 - สรปุ …………………………………………………………….................……………….........................33 บทท่ี 3 คะแนนและการน�ำ ไปใช…้ ………………………………………………………….........................35 - ความหมายของคะแนน……………………………………………….............……..........................35 - วัตถุประสงค์ของการใหค้ ะแนน…………………………………..........………….........................38 - การให้ระดบั คะแนนหรอื การตัดเกรด…………………………........…………...........................39 - การรายงานผลการสอบ…………………………………………............…………..........................42 - ข้อควรค�ำ นงึ การใหร้ ะดบั คะแนน…………………………….........……………..........................45 - การน�ำ ผลการสอบไปใช้…………………………………………............…………..........................47 - สรปุ ………………………………………………………………….................………….........................51

สารบญั หวั เรอ่ื ง หน้าท่ี บทที่ 4 การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น…………………………....................53 - ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ………………………………..................................53 - การเขียนค�ำ ถามวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น……………………………...................................54 - รปู แบบขอ้ ค�ำ ถามวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน……………………………................................73 - สรุป…………………………………………………………………………...........................................111 บรรณานกุ รม……………………………………………………………………………………..............................112





บทที่ 1 : ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกับการวดั และประเมนิ ผล บทที่ 1 ความรพู้ ้ืนฐานเกีย่ วกบั การวัดและประเมนิ ผล การวัดและการประเมินผลเป็นองค์ประกอบที่สาคัญองค์ประกอบหน่ึงในการจัด การศึกษาโดยเฉพาะในกระบวนการจัดการเรียนการสอนครูผูส้ อน จะตอ้ งกาหนดจุดประสงค์การ เรยี นรู้ แล้วจงึ จัดกิจกรรมการเรยี นการสอน หลังจากนัน้ จึงทาการวัดและประเมนิ ผลการสอนว่า เป็นไปตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่น่ันคือครูต้องวัดและประเมินผลทุกครั้งท่ีมีการสอน ครูจึงจาเป็นต้องเรียนรู้ให้เข้าใจในหลักการและกระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนเพ่ือให้ สามารถปฏบิ ตั ิไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง (พชิ ติ ฤทธิ์จรญู , 2551 :1) 1. ความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และ การประเมินผล คาศัพทเ์ กย่ี วกับการประเมินผลทางการศึกษาที่ใช้กันมากและท่ีพบเสมอ ๆ คอื คาว่า การ ทดสอบ การวัดผล และการประเมนิ ผล ซ่งึ มีนักวัดผลการศึกษาไดใ้ หค้ านยิ ามไวม้ ากมายดงั น้ี การทดสอบ ได้มผี ้ใู หน้ ยิ ามไว้ดงั น้ี นั้นนาลี (Nunnally 1967: 6 อ้างถึงในปราณีไวดาบ 2538: 7) กล่าวว่าการทดสอบ คือ สถานการณม์ าตรฐานที่จัดข้ึนเพ่อื แบง่ บคุ คลด้วยคะแนน มาตรฐาน หมายถึง วิธกี ารท้ังหมดของการทดสอบรวมถึงการท่ีผู้เรยี นถูกทดสอบด้วยคาถาม เดยี วกนั หรือปญั หาเดียวกนั ดว้ ยวธิ ีการเดียวกนั คะแนน หมายถงึ ตวั เลขทแี่ สดงผลสมั ฤทธ์ขิ องผ้เู รยี นแต่ละคน เชส (Chase 1974) กล่าวว่าการทดสอบคือวิธีการที่มีระบบสาหรับเปรียบเทียบการ กระทาของบุคคลกับมาตรฐานทีว่ างไว้ ไวรส์ มา และเจอร์ส (Wiersma and Jurs 1990: 9) กล่าววา่ การทดสอบเปน็ กระบวนการ บริหารแบบทดสอบ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการวัดผลโดยใช้แบบทดสอบเปน็ สถานการณ์ไปเรา้ ให้เกดิ การตอบสนอง การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 1

บทท่ี 1 : ความรพู้ ืน้ ฐานเก่ยี วกบั การวัดและประเมนิ ผล จาเนียรสุขหลาย (2527: 2) กล่าวว่าการทดสอบเป็นกระบวนการท่ีใช้เคร่ืองมือไปเร้า บุคคลหรือผู้สอบให้มีการตอบสนองออกมาในรูปของพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง การทดสอบนี้ เป็นส่วนหน่ึงของการวดั ผล อุทุมพรจามรมาน (2530: 6) กล่าวว่าการทดสอบคือการวัดลักษณะโดยการสุ่มลักษณะ บางอยา่ งออกมาทาการวัด เพื่อประโยชน์ในการบรรยายสรุป จากความหมายดงั กลา่ วขา้ งตน้ สรปุ ได้ว่า การทดสอบ (testing) หมายถึง เทคนิคอยา่ งหนึ่งของการวดั ผลซึง่ เครื่องมือท่ีใช้วดั คือ แบบทดสอบ โดยปกติแล้วการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือเคร่ืองมือที่ใช้วัดผลใช้ได้หลายวิธี เช่น แบบสอบถามแบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ เป็นต้น แต่ถ้าในการวัดคร้ังน้ัน ใช้แบบทดสอบเป็น เครอื่ งมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และมีกระบวนการวัดผลเกดิ ข้นึ เรียกว่าการทดสอบ องคป์ ระกอบของการทดสอบการทดสอบ มอี งค์ประกอบ 2 ประการดังน้ี 1. ใชแ้ บบทดสอบเป็นเครอ่ื งมือในการวัด ซึ่งแบบทดสอบมีหลายประเภท เช่น แบบทดสอบเขยี นตอบ แบบทดสอบปากเปลา่ แบบทดสอบภาคปฏิบัติ เปน็ ตน้ 2. ผู้ตอบแสดงพฤติกรรมตอบสนองแบบทดสอบออกมาเรียบร้อยแล้ว เม่ือครูแจก แบบทดสอบไปผเู้ รียนสง่ กระดาษเปลา่ หรือไม่ตอบก็ถือวา่ ไมม่ ีการทดสอบ การวดั ผล ไดม้ ผี ูใ้ ห้นิยามไว้ดังนี้ อีเบล (Ebel 1972: 557 อ้างถงึ ใน ยรรยง ยรรยงเมธ ม. ป. ป.: 3) กลา่ วว่าการวัดผล หมายถึง กระบวนการในการกาหนดจานวนให้แก่แต่ละสมาชิกที่อยู่ในกลุ่มส่ิงของหรือบุคคลท่ีต้องการวัด เพื่อบง่ ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ ความแตกตา่ งของคุณลกั ษณะทีจ่ ะวดั ของสิ่งของหรือของบุคคลนั้น ๆ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 2

บทท่ี 1 : ความรู้พ้ืนฐานเกยี่ วกบั การวัดและประเมินผล อีเบลและไฟร์สไบย์ (Ebel and Frisbie 1986: 14) กล่าวว่าการวัดผลเป็นการกาหนด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ท่ีมีความหมายแทนคุณลกั ษณะของส่ิงท่ีวัดโดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอยา่ ง หนง่ึ เคอร์ลิงเจอร์ (Kerlinger 1986: 391) กล่าวว่าการวัดผลเป็นการกาหนดจานวนให้กับวัตถุ หรือเหตุการณ์ตามกฎเกณฑ์ท่ีวางไว้โดยคาว่าจานวน (numerals) นี้หมายถึงสัญลักษณ์ท่ีเป็น ตัวเลขเช่น 1, 2, 3, 4 เป็นต้นซึ่งแท้ที่จริงตัวเลขเหล่านไ้ี ม่ได้มีความหมายเชิงปริมาณหรือคุณภาพ ในตวั มนั เองแต่อยา่ งใด จะมีความหมายก็ตอ่ เม่ือไดก้ าหนดกฎเกณฑ์ (rule) ข้นึ เชน่ เพศชายให้เป็น เลข 1 เพศหญิงให้เป็นเลข 2 หรือกาหนดปริมาณมากท่ีสุดเป็น 5 มากให้เป็น 4 ปานกลางให้เป็น 3 นอ้ ยให้เป็น 2 น้อยท่ีสุดให้เป็น 1 เปน็ ต้น แซค (SaX 1989: 14) กล่าวว่าการวัดผลเป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขให้กับ คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของบุคคล วตั ถุ หรือเหตุการณ์ตามแบบแผนหรอื กฎท่ีกาหนดขน้ึ จากความหมายดังกลา่ วข้างต้นสรปุ ได้วา่ การวัดผล (measurement) หมายถึงกระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับ บคุ คล สงิ่ ของ หรือเหตุการณ์อย่างมีกฎเกณฑ์ เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีแทนปริมาณ หรือคุณภาพของ คุณลักษณะทีจ่ ะวดั ผล องคป์ ระกอบของการวดั ผล การวดั ผลมอี งค์ประกอบ 3 ประการ ดงั น้ี 1.ปญั หาหรือส่งิ ท่ีจะวดั 2.เครือ่ งมอื วัดหรือเทคนคิ วิธใี นการรวบรวมข้อมลู 3. ข้อมูลเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ หากเป็นข้อมูลเชิงปริมาณจะต้องมีจานวนและ หนว่ ยวดั หากเปน็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพจะต้องมีรายละเอียดที่แสดงคุณลักษณะซง่ึ อาจไม่ใช่ตัวเลข ประเภทของการวัดผล หากจาแนกการวัดผลตามคณุ ลกั ษณะของส่ิงทจี่ ะวดั แบง่ ได้เป็น 2 ประเภทคือ การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 3

บทท่ี 1 : ความรพู้ ื้นฐานเก่ยี วกับการวัดและประเมินผล 1. การวัดผลด้านกายภาพ (physical measurement) หมายถึง การวัดคุณลักษณะ ท่ีเป็นรูปธรรมคือสังเกตได้ หรือสัมผัสได้ชัดเจน เช่น ระยะทาง ส่วนสูง น้าหนัก พื้นท่ี เป็นต้น ซ่ึง ส่วนใหญ่เป็นการวัดทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่จะวัด และเครื่องมือท่ีใช้วัดมีความชัดเจน แน่นอนผล การวดั มคี วามเชื่อถือได้ 2. การวัดผลด้านจิตวิทยา (psychological measurement) หมายถึง การวัด คุณลักษณะท่ีเป็นนามธรรม ที่เป็นคุณลักษณะของมนุษย์ เช่นความรู้ความสามารถ เจตคติ สติปัญญา ความถนัดของบุคคล เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ หรือสัมผัสได้โดยตรงเครื่องมือท่ี ใช้วัดจึงต้องอาศัยการวัดทางอ้อม โดยอาศัยทฤษฎีหรือแนวคิดเกี่ยวกับคุณลักษณะน้ัน ๆ เป็น เกณฑ์ในการตรวจสอบ ดังนั้นการวัดผลด้านจิตวิทยานี้จึงมีความเส่ียงต่อการเกิดความ คลาดเคลอ่ื นสูงกว่าการวัดผลดา้ นกายภาพ การประเมินผล ไดม้ ผี ู้ใหน้ ยิ ามไวด้ งั น้ี กรอนลนั ด์ (Gronlund 1976 :6) กลา่ วว่าการประเมนิ ผลเป็นกระบวนการที่เปน็ ระบบใน การตัดสินใจในขอบเขตของวตั ถปุ ระสงค์ของการสอนทเี่ ป็นสมั ฤทธิผลของนักเรยี น เมเรนส์และเลแมนน์ (Mehrens and Lehmann 1978 :16) สรุปว่าการประเมินผลเป็น การวางแผน การรวบรวมและการใช้ขอ้ มลู ท่เี ปน็ ประโยชน์สาหรับเป็นทางเลือกในการตดั สินใจ อีเบลและไฟร์สไบย์ (Ebel and Frisbie 1986 :13) กล่าวว่าการประเมินผลเป็นการ ตัดสินเก่ียวกบั คุณภาพหรอื คณุ ค่าของส่ิงท่ตี ้องการประเมิน แซค (Sax 1989 :24) กล่าวว่าการประเมินผลเป็นกระบวนการตดั สินคณุ ค่าหรือตัดสินใจ ท่ีเกดิ จากการสังเกตจากประสบการณ์และจากการฝึกฝนของผปู้ ระเมนิ ไวร์สมาและเจอร์ส (Weirsma and Jurs 1990 :9) กล่าวว่าการประเมินผลเป็นการ ตัดสินคุณค่าและในทางการศึกษาจะเป็นการตัดสินบนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นวัตถุประสงค์โดยการ ตีความหมายคะแนนเพอื่ ตัดสนิ วา่ ยอดเยีย่ ม ดี ปานกลาง หรือตา่ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 4

บทท่ี 1 : ความร้พู ืน้ ฐานเก่ียวกับการวดั และประเมินผล จากความหมายดงั กล่าวข้างตน้ สรปุ ได้วา่ การประเมินผล (evaluation) หมายถึงการตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของผลท่ีได้จาก การวดั โดยเปรยี บเทียบกับผลการวัดอ่นื ๆ หรือเกณฑ์ทีต่ ัง้ ไว้ จากความหมายของการประเมินผลนี้จะเห็นว่าการวัดผลและการประเมินผลมี ความสมั พันธก์ ันซ่ึงสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ การประเมินผล = การวัดผล + การตัดสินคณุ ค่า (evaluation) = (measurement)+(judgment) 1.1 ความสัมพนั ธ์ของการวัดผลและการประเมนิ ผล องค์ประกอบของการประเมินผล การประเมนิ ผลมีองคป์ ระกอบ 3 ประการดังน้ี 1.ขอ้ มูล 2.เกณฑ์ 3.การตัดสนิ คุณค่าหรือการตัดสินใจ 2. จุดมุ่งหมายและประโยชน์ของการประเมนิ ผลการศกึ ษา การวัดและประเมินผลการศึกษาในขอบเขตของการประเมินระดับชั้นเรียนถือเป็น กจิ กรรมสาคญั ทก่ี ระทาเพือ่ ประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นเป้าหมายสาคัญ ความมุง่ หมายของการวัดและ ประเมินผลการศึกษาในอดีตท่ีผ่านมาจะกาหนดไว้ด้วยกัน 4 ประการด้วยกัน (Popham, 2008 :7-12) ได้แก่ 1. เพ่ือวินิจฉัยจุดอ่อนจุดแข็งของผู้เรียน ผลท่ีได้จากการวินิจฉัยผู้เรียนจะเป็นประโยชน์ต่อครูใน การตัดสนิ ใจวางแผนการสอนเพอื่ แกป้ ัญหาจุดอ่อนของผูเ้ รียน และเสรมิ จดุ แขง็ ของผเู้ รียนตอ่ ไป 2. เพ่ือติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน ผลจากการประเมินเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของ ผู้เรยี นจะทาใหค้ รูไดส้ ารสนเทศในการปรบั เปลย่ี นกลวิธกี ารสอนท่ีได้วางแผนไว้อยา่ งทนั ท่วงที การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 5

บทที่ 1 : ความรพู้ ืน้ ฐานเก่ยี วกบั การวัดและประเมนิ ผล 3. เพ่ือให้ระดับคะแนนผู้เรียน ผลการให้ระดับคะแนนของนักเรียนจะช่วยให้ครูทราบผลลัพธ์การ เรียนรใู้ นภาพรวมของผูเ้ รียน 4. เพ่ือตัดสินประสิทธิภาพการสอน สารสนเทศที่บ่งบอกพัฒนาก ารของผู้เรียน ได้แก่ การเปรียบเทียบคะแนนก่อนกับหลังเรียนจะเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพการสอนของครูความมุ่ง หมายของการวัดและประเมินผลการศึกษาในระยะต่อมาได้เริ่มเปล่ียนแปลงไปตามบริบทสงั คมท่ี ได้รับอิทธิพลจากการสอบท่ีมีเดิมพันสูง ( High-Stake Testing) (McMillan, 2011 :10) จนมีความมุ่งหมายเพิม่ เตมิ ดังนี้ 5. เพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับผู้เรียนท้ังเป็นข้อมูลที่จะวางแผนพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคลและพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความ แตกต่างระหว่างบุคคล 6. เพื่อเตรยี มผเู้ รียนสาหรบั การทดสอบท่ีมีเดมิ พนั สูง (High-Stake Testing) ท่ีมีอทิ ธิพลต่อผู้เรียน อยา่ งยง่ิ สาหรับการศกึ ษาต่อและการทางานในอนาคต 7. เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนให้มีความมุ่งมั่นพยายามพัฒนาตนเองให้เต็มตาม ศักยภาพ เตรียมพร้อมสาหรบั การศึกษาต่อและทางานประกอบอาชพี ต่อไป 3.ประเภทของการประเมนิ ผลการศกึ ษา 3.1จาแนกตามวัตถุประสงค์ของการประเมนิ แบง่ เปน็ 3 ประเภทดังน้ี 1) การประเมินผลก่อนเรียน (pre-evaluation) มจี ดุ มุ่งหมายเพ่อื ตรวจสอบความรู้พ้นื ฐานและ ทกั ษะของผเู้ รียนว่า มคี วามรเู้ พียงพอท่ีจะเรยี นต่อในรายวชิ าใหมห่ รือเนื้อหาใหม่ไดห้ รือไม่ ถ้า พบวา่ มคี วามรู้พ้นื ฐานไม่เพียงพอหรือไมม่ ีพฤติกรรมข้ันต้นก่อนเรียนครจู ะจัดใหม้ ีการสอนปรับ พนื้ ฐานจนผูเ้ รียนมีความรเู้ พยี งพอท่ีจะเรียนในเนอ้ื หาใหมไ่ ด้ การสอบก่อนเรยี นไม่ใช่การสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ (achievement test เพราะครยู ังไม่ไดท้ าการสอน ในเนอื้ หาเหลา่ นัน้ มาก่อน แต่เปน็ การสอบเพ่ือวนิ ิจฉัย diagnostic test) ซงึ่ นอกจากจะช่วยใหค้ รู ทราบพื้นฐานของผูเ้ รียนแลว้ ยังชว่ ยให้ครวู างแผนการสอนได้เหมาะสมกับสภาพของผเู้ รยี นและ เป็นขอ้ มูลประกอบการตดั สนิ ใจเลือกวธิ กี ารสอน และมอบหมายภาระงานการเรียนรู้ให้กบั ผู้เรียน การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 6

บทท่ี 1 : ความรู้พนื้ ฐานเกี่ยวกับการวดั และประเมนิ ผล 2) การประเมนิ ผลระหว่างเรียนหรือประเมินความกา้ วหน้า (formative evaluation) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบวา่ ผู้เรียนบรรลุตามวตั ถุประสงค์การเรยี นทกี่ าหนดไว้หรอื ไม่ เพยี งใด หากพบว่ามีข้อบกพรอ่ งในจดุ ประสงคใ์ ดก็หาแนวทางปรบั ปรงุ แก้ไขข้อบกพร่องในจุดประสงคน์ ้ัน ๆ โดยจัดสอนซ่อมเสริมใหแ้ ก่ผเู้ รยี น การประเมนิ ผลระหวา่ งเรียนเปน็ การสอบย่อย (formative test) ในเนื้อหาท่สี อนเท่าน้ัน เพื่อตรวจสอบดูความกา้ วหนา้ ของการเรียน ดูวา่ ผูเ้ รยี นบรรลุจุดประสงค์การเรยี นที่กาหนดไว้ หรอื ไม่ อันจะนาไปสกู่ ารสอนซอ่ มเสริมและปรบั ปรงุ การสอนของครูอีกดว้ ย 3) การประเมินผลรวมสรปุ (summative evaluation) เปน็ การประเมินเพื่อตัดสนิ ผล การเรยี นมจี ดุ ม่งุ หมายเพื่อศึกษาวา่ ผเู้ รยี นมีความรู้ท้ังสนิ้ เท่าไรควรตดั สนิ ได้-ตกผ่าน-ไมผ่ ่านหรอื ควรได้เกรดอะไรเปน็ ตน้ การประเมินผลรวมสรปุ เปน็ การประเมินเม่ือส้ินสดุ การเรยี นการสอนของแตล่ ะรายวชิ า ครูจาเป็นตอ้ งประเมินให้ครอบคลมุ ทกุ จุดประสงค์ หากมีจุดประสงคม์ ากครูอาจต้องเลือกประเมิน บางจุดประสงค์โดยการสุ่มเอาเฉพาะจุดประสงคท์ ่ีสาคญั ๆ กไ็ ด้ 3.2จาแนกตามระบบการวดั ผลแบ่งเป็น 2 ประเภทดงั นี้ 1) การประเมนิ ผลแบบองิ กลุม่ (norm-referenced evaluation) เป็นการตัดสนิ คุณคา่ ของคณุ ลักษณะหรือพฤติกรรมโดยเปรยี บเทยี บกบั ผู้เรียนท่ีอยใู่ นกลมุ่ เดียวกันทที่ าขอ้ สอบ ฉบับเดียวกันโดยมจี ุดมุง่ หมายเพอื่ จาแนกหรือจดั ลาดับบุคคลในกลมุ่ นั้น ๆ ตวั อย่างของการ ประเมนิ แบบองิ กล่มุ เชน่ การสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาการสอบชิงทุนการศึกษา เปน็ ตน้ 2) การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced evaluation) เป็นการ ตัดสินคุณค่าของคุณลักษณะหรือพฤติกรรมโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ซึ่งเกณฑ์มีท้ังเกณฑ์ มาตรฐาน (Standard criteria) ท่ีมีอยู่แล้วหรือเกณฑ์ท่ีผู้ประเมินกาหนดข้ึน (arbitrary criteria) ในทางปฏิบัติการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเกณฑ์จะหมายถึงกลุ่มพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมาย การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 7

บทที่ 1 : ความรู้พื้นฐานเกยี่ วกบั การวดั และประเมินผล ในแต่ละบทหรือหน่วยการเรียนโดยท่ัวไป นิยมใช้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (behavioral objective) หรอื กลมุ่ ของพฤติกรรม (domain of behavior) การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อบ่งช้ีสถานภาพของผู้เรียนแต่ละคนเม่ือ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ทดสอบเพ่ือตัดสินว่าผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้หรือไม่ และ มากน้อยเพียงใดอันจะนาไปสู่การปรับปรุงการเรียนการสอน เม่อื ผเู้ รียนไมส่ ามารถทาข้อสอบได้ถึง เกณฑ์ต้องมีการสอนซ่อมเสริมจนกว่าจะผ่านถึงเกณฑ์ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์จึงเหมาะ สาหรับการเรยี นการสอนในห้องเรียน 4.ความสาคัญของการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา การจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติด้วยกระบวนการจัดการศึกษา (Educational process) ที่มีองค์ประกอบสัมพันธ์ เช่ือมโยงระหว่างกัน 3 ส่วนคือจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Educational objectives: E) การจัด กระบวนการเรียนรู้ (Learning process: L) และการวัดและประเมินผล (Educational evaluation: E) โดยข้อมูลหรือผลที่ได้จากการวัดและประเมินผลจะสะท้อนท้ังคุณภาพและความ เหมาะสมของหลักสูตรและคุณภาพของการจัดการเรียนรู้ว่าบรรลุคุณภาพผู้เรียนที่เป็นเป้าหมาย มากน้อยเพียงใด รวมถึงความถูกต้องน่าเช่ือถือและความเป็นประโยชน์ของผลการประเมินซ่ึงจะ นาไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนและการวัดและประเมินผล (ทิพย์เกสร กาปนาท, 2558 :13) การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 8

บทที่ 1 : ความรู้พนื้ ฐานเกยี่ วกับการวัดและประเมินผล จดุ มุ่งหมายการศกึ ษา (Educational objectives: E) เปา้ หมายของหลกั สูตรสถานศกึ ษาและหลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ (ดา้ นพทุ ธิพสิ ัยดา้ นจิตพิสัยด้านทกั ษะพสิ ยั ) -คณุ ภาพผ้เู รียน -มาตรฐานการเรยี นรู้ -ตวั ช้ีวดั การจดั กระบวนการเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Learning Process: l) (Educational Evaluation: E) -รปู แบบการสอน (Teaching Model) -วิธีสอน (Teaching Method) -การประเมินผลยอ่ ย -การประเมินผลรวม ภาพที่ 1.2 กระบวนการจัดการศกึ ษา (Education Process) ที่มา (สัมพนั ธ์ุพฤกษ์ และวารณุ ี เลียววิวัฒนช์ ยั , 2558 :3) หลังจากนั้นจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และดาเนินการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายการศึกษาโดยเลือกใชร้ ูปแบบการสอน (Teaching model) และวิธีสอน (Teaching method) ที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขณะเดียวกันจะต้องมีการวัดและประเมินผลการศึกษาของผู้เรียนทั้งการประเมินผลย่อย (Formative evaluation) และการประเมินผลรวม (Summative evaluation เพ่ือจะได้นาผล การวดั และการประเมนิ ผลไปปรบั ปรุงกระบวนการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพต่อไป การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 9

บทที่ 1 : ความรูพ้ ้นื ฐานเกยี่ วกบั การวัดและประเมนิ ผล ครูผู้สอนจึงต้องดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้โดยให้คานึงถึงหลักการดังนี้ (สัมพันธุ์ พฤกษ์และวารุณเี ลียวววิ ัฒนช์ ยั , 2558 :5) 1. การวัดและประเมินผลจะตอ้ งสะท้อนจุดมุ่งหมาย ของการจัดการศึกษาอย่างรอบดา้ น ความรคู้ วามคดิ กระบวนการพฤติกรรม และเจตคติเหมาะสมกบั สิ่งทีต่ ้องการวัดธรรมชาติวิชาและ ระดับขน้ั ของผูเ้ รียนตามทห่ี ลักสูตรกาหนด 2. กระบวนการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ตอ้ งกระทาควบคู่ไปกบั กระบวนการจัดการ เรียนรู้ในห้องเรียนอย่างต่อเน่ือง ด้วยวิธีการและเครื่องมือการประเมินที่หลากหลายมีความ เท่ียงตรงยุติธรรมและเช่ือถือได้ เช่น การสังเกตการซักถามการระดมความคิดเห็นเพ่ือให้มีมติ ข้อสรุปของประเด็นท่ีกาหนดการใช้แฟ้มสะสมงานการประเมินภาระงานที่เน้นการปฏิบัติการให้ ผเู้ รียนประเมนิ ตนเอง การให้เพ่ือนประเมนิ เพอื่ นควบคไู่ ปกับการใชแ้ บบทดสอบแบบต่าง ๆ 3. มีการประเมินระหว่างการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ( Formative evaluation) โดยผู้สอนต้องสามารถให้ข้อมูลผลการประเมินย้อนกลับให้คาแนะนา เพ่ือให้ผู้ เรียนรู้จุดเด่นจุดท่ีต้องปรับปรุงและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนนอกจากนี้ครูผู้สอนยังสามารถใช้ ผลท่ีได้จากการประเมินหลังการสอนแต่ละคาบ / หน่วยการเรียนรู้มาทบทวน เพื่อปรับปรุงและ วางแผนการสอนครง้ั ต่อไป 4. มีการวัดและประเมินผล เพ่ือตัดสินผลการเรียนรู้ (Summative evaluation) เมอ่ื เรียนจบหน่วยการเรยี นหรอื จบรายวิชา เพอื่ ตดั สนิ ใหค้ ะแนนหรอื ใหร้ ะดับผลการเรยี น การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 10

บทท่ี 1 : ความรู้พนื้ ฐานเกีย่ วกับการวดั และประเมินผล 5.สรุป การทดสอบ การวัดผลและการประเมินผลการศึกษา เป็นกระบวนการท่ีมีความสัมพันธ์ ตอ่ เนอ่ื งกันการประเมินและเป็นการตัดสินคณุ ค่าจากผล การวดั ผลการวัดผลในการกาหนดตัวเลข หรอื สญั ลกั ษณ์ให้กบั สิ่งท่ีวดั และการทดสอบเป็นเทคนิคของการวัดผลทีใ่ ช้แบบทดสอบเปน็ เครื่องมือ ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม เป็นการวัดท่ีไม่สมบูรณ์เป็นการวัดในเชิง สัมพัทธ์มีความคลาดเคล่ือนในการวัดเคร่ืองมือวัดไม่สามารถวัดได้ละเอียดพอ และมาตรการวัดมี ขนาดไม่เท่ากัน ในการวัดและประเมินผลการศึกษาหลักการท่ีสาคัญ คือวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ คานึงความยุติธรรมแปลผลให้ถูกต้อง และใช้ผลการประเมินให้คุ้มค่า ความเชื่อหรือปรัชญาท่ีสาคัญในการวัดและประเมินผลการศึกษาคือทดสอบเพื่อค้นและพัฒนา สมรรถภาพของมนุษย์หรือผู้เรียนประเภทของการประเมินผลถ้าแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการ ป ร ะ เ มิ น แ บ่ ง เ ป็ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก่ อ น เ รี ย น ร ะ ห ว่ า ง เ รี ย น ห รื อ ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า และประเมินผลรวมสรุป ถ้าแบ่งตามระบบการวัดผลแบ่งเป็นแบบอิงเกณฑ์ และอิงกลุ่ม การประเมินผลมีความมุ่งหมายเพ่ือสร้างแรงจูงใจในการเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้พ้ืนฐาน หรือปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่อง เพื่อตัดสินผลการเรียน เพื่อจัดตาแหน่ง เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการ เพื่อพยากรณ์หรือทานาย และเพื่อประเมินค่าซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อ ผู้เรียน ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครองการแนะแนว และการวิจัย ผู้ทาหน้าที่ประเมินผลควรมี คุณธรรม ในดา้ นความยตุ ิธรรมความซอ่ื สัตย์ ความรับผิดชอบ ความละเอียดรอบคอบ ความอดทน มคี วามรู้ และสนใจใฝร่ ้ใู นหลักวิชาการวัดและการประเมนิ ผล (พิชิต ฤทธ์จิ รูญ, 2551 :25) การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 11



บทท่ี 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผ้เู รยี น บทที่ 2 เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรียน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 กาหนดให้กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยเฉพาะการจัดการเรียนรู้นั้น จะตอ้ งเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั โดยมุ่งประโยชน์สูงสดุ แกผ่ เู้ รียนใหผ้ ูเ้ รยี นพัฒนาตนเต็มตามศักยภาพ มีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ ท่ีหลากหลาย มีส่วนร่วมในทุกข้ันตอนของ การศึกษาและสามารถนาเทคนิคกระบวนการเรยี นรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ และจดั การประเมิน ผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่กันไปในกระบวนการเรียนการสอน ตามความเหมาะสม ของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดเป้าหมายคุณภาพผู้เรียนไว้ในรูปของวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะสาคัญ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ซึ่งสถานศกึ ษาจะต้อง ดาเนินการพัฒนาผู้เรียนให้มีผลการเรียนรู้เป็นไปตามเป้าหมายคุณภาพผู้เรียน และดาเนินการ ประเมินการเรียนรู้เพื่อตรวจสอบการบรรลุเป้าหมายคุณภาพผู้เรียน (กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์, 2561 :41) 1.เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรียน การจดั การศกึ ษาระดับการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ไดแ้ บง่ การศกึ ษาเป็น 3 ระดับ (กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์, 2561 :41) ได้แก่ 1. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-6) เป็นระดับการศึกษาที่มุ่งเน้นทักษะ พ้ืนฐานด้านการอ่านการเขียน การคิดคานวณ การคิดพ้ืนฐาน การติดต่อส่ือสาร กระบวนการ เรียนรู้ทางสังคม และพื้นฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสมบูรณ์และสมดุลท้ัง ดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และวฒั นธรรมโดยเน้นจดั การเรียนรู้แบบบูรณาการ การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 13

บทที่ 2 : เปา้ หมายคณุ ภาพผเู้ รยี น 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-3) เป็นระดับการศึกษาที่มุ่งเน้นให้ ผู้เรียนได้สารวจความถนัด และความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตนมี ทักษะในการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ คดิ สรา้ งสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดารงชีวิต 3. มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพ่ือเป็นเครอื่ งมือในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบต่อสงั คม มีความสมดุลท้ังด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้ เปน็ พน้ื ฐานในการประกอบอาชีพ หรือการศึกษาต่อ 4. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4-6) เป็นระดับการศึกษาท่ีมุ่งเนน้ การเพิ่มพนู ความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของ ผู้เรียนแต่ละคน ทั้งด้านวิชาการ และวิชาชีพ มีทักษะ มีทักษะในการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการคิดข้ันสูง สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ มุ่งพัฒนาตนและประเทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นา และผู้ ให้บรกิ ารชุมชนในด้านตา่ ง ๆ 2.พฤตกิ รรมการศกึ ษาในมาตรฐานการเรยี นรู้ การกาหนดเป้าหมายการศึกษาในลักษณะของมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวช้ีวัดคุณภาพ ผู้เรียนน้ัน จะนาสู่การสอนผู้สอนจะต้องแปลงตัวช้ีวัดให้อยู่ในรูปจุดประสงค์การเรียนรู้ ซ่ึงต้อง แสดงพฤติกรรมที่มุ่งหวังให้เกิดกับผู้เรียนที่ชัดเจน บลูม (Benjamin S. Bloom) และคณะ ได้ รวบรวมและจาแนกพฤติกรรมทางการศึกษาท่ีจะนามากาหนดเป็นเป้าหมายการศึกษาให้เป็น หมวดหมู่ ผลงานของบลูมและคณะได้พิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. 1956 โดยจาแนก เป้าหมายการศกึ ษาออกเป็น 3 หมวดหมู่ ดังนี้ (Bloom, Madaus & Hasting, 1981, p.10) 1. พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมทางสมอง หรือพฤติกรรมทางปัญญา ซง่ึ จะพฒั นาข้ึนหลังจากที่บคุ คลไดเ้ รียนร้หู รือมปี ระสบการณจ์ ากการเรยี นรู้ 2. จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมด้านจิตใจ เช่น ความสนใจ ความ รับผิดชอบ เจตคติ การปรับตัวในสถานการณ์ต่าง ๆ การยอมรับกฎเกณฑ์ของสังคม กล่าวได้ว่า การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 14

บทที่ 2 : เปา้ หมายคณุ ภาพผูเ้ รยี น พฤติกรรมด้านน้ีเป็นพ้ืนฐานการเกิดบุคลิกภาพของบุคคล หรือเป็นส่ิงท่ีสร้างลักษณะนิสัยของคน นั่นเอง 3. ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมด้านการปฏิบัติ (Doing) ซึ่ง เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างกลไกของกล้ามเนื้อท่ีทางานสัมพันธ์กับจิตใจ แต่ท้ังนี้ย่อมสืบ เน่ืองมาจากการมีพฤติกรรมด้านปัญญาพร้อมแล้ว พฤติกรรมด้านน้ีมีความสาคัญ เพราะจะเป็น การแสดงวา่ บคุ คลมีความสามารถ และพร้อมท่จี ะปฏิบัตงิ านหรอื กิจกรรมเพื่อการดารงชีวิตตอ่ ไป พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธิพิสัย พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยเกิดจากพลังความสามารถทางสมองของบุคคล ซึ่งไปมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้าท่ีจัดให้ ทาให้เกิดการเรียนรู้ข้ึนในตัวบุคคล ประสบการณ์ต่าง ๆ มี มากมายหลากหลายมีทั้งงา่ ย ๆ และยุง่ ยากซบั ซอ้ น ทาใหต้ อ้ งจัดจาแนกระดับความสามารถทาง สมอง หรือสติปัญญาออกเป็นระดับต่าง ๆ ซ่ึงบลูมและคณะ ได้ร่วมกันจัดจาแนกออกเป็น 6 ระดับ และมีรายละเอียดของการจาแนกพฤติกรรมย่อย แต่ละระดับดังน้ี (สุรชัย มีชาญ, 2540 :37-41) การประเมนิ คา่ การสงั เคราะห์ การวเิ คราะห์ การนาไปใช้ ความเขา้ ใจ ความรคู้ วามจา ภาพที่ 2.3 ลาดับข้นั ของพฤตกิ รรมด้านพุทธพิ สิ ัย ทม่ี า (Payne, 1992 :69-71) การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 15

บทท่ี 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรียน 1. ความรู้ (Knowledge) ความรู้ หมายถงึ ความสามารถในการระลึกถึงเร่ืองราวตา่ ง ๆ ออกมาได้อยา่ งถูกต้อง แมน่ ยา เช่น สามารถบง่ บอกถงึ เหตุการณ์ วนั เวลา วธิ กี าร หรือข้นั ตอนการกระทาสง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดได้ อย่างถูกต้อง ความรู้น้ีจึงข้ึนอยู่กับการท่ีบุคคลได้รับรู้และจดจาเอาไว้อย่างไร ก็จะระลึกออกมา ตามลักษณะนั้น นักการศึกษาจานวนมากจึงนิยมเรียกพฤติกรรมขั้นนี้ว่า ความรู้ ความจา ซ่ึงจาแนกเป็น 3 ประเภท คอื 1.1 ความรู้เฉพาะเจาะจง (Specifics) เป็นความสามารถในการระลึกข้อมูลตา่ ง ๆ ที่เปน็ รายละเอียดปลีกย่อย มีลกั ษณะเปน็ รปู ธรรมหรือสัญลักษณ์ ถือเปน็ สมรรถภาพขัน้ ต่าสุด ท่ีจะเป็นพ้ืนฐานให้เกิดสมรรถภาพขั้นสูง ที่จะรับรู้ส่ิงท่ีซับซ้อนและเป็นนามธรรมย่ิง ๆ ข้ึนต่อไป จาแนกเปน็ 2 ระดับยอ่ ย คือ 1.1.1 ความรู้เกี่ยวกบั คาศพั ทแ์ ละนิยาม (Terminology) เป็นความสามารถ ในการบอกความหมายของคา กลุม่ คา และสญั ลกั ษณต์ ่าง ๆ ในลักษณะตรงไปตรงมา ตามที่ได้ เคยรู้และจดจาไว้ เชน่ บอกนิยามของคาว่า “เสน้ ตรง” ได้อย่างถกู ตอ้ ง 1.1.2 ความรู้เก่ียวกับข้อเท็จจริงเฉพาะ (Specific Facts) เป็นความสามารถในการบ่งบอก เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรายละเอียดเฉพาะของเหตุการณ์ บุคคล สถานที่ วันที่ ปี พ.ศ. ขนาด จานวน....ฯลฯ เช่น บอกได้ว่า พระมหากษัตริย์พระองค์ใดในสมัยอยุธยาท่ีครองราชย์ ยาวนานที่สุด 1.2 ความรู้เกี่ยวกับวิธีดาเนินการเฉพาะอย่าง (Way and Means of Dealing with Specifics) เป็นความสามารถท่ีจะบ่งบอกถึงวิธีการจัดระเบียบ วิธีการศึกษา วิธีการตัดสิน วิธีการสืบเสาะความรู้ หรือแนวปฏิบัติอื่นใด ตามข้อเท็จจริงที่ได้กาหนดไว้ ซงึ่ จาเปน็ 5 พฤตกิ รรม คอื 1.2.1 ความร้เู กย่ี วกับระเบียบแบบแผน (Conventions) เป็นความสามารถ ทจี่ ะบ่งบอกถึงรูปแบบการปฏิบัติ หรอื แบบฉบับทีเ่ หมาะสมในการกระทาส่งิ หนึ่งสิ่งใด เชน่ แบบฉบับการพูด การเขยี น การแต่งกาย การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 16

บทที่ 2 : เป้าหมายคุณภาพผเู้ รยี น 1.2.2 ความรู้เก่ียวกับลาดับขั้นและแนวโน้ม (Trend and Sequence) เป็นความสามารถที่จะบ่งบอกถึงขั้นตอนก่อนหลัง ทิศทางหรือแนวโน้มของเรื่องราวหรือ เหตุการณ์ใด ๆ เช่น ความสามารถในการลาดับเวลาของเหตุการณ์ หรือเร่ืองราวใด ๆ ความสามารถในการลาดับขน้ั ตอนปฏิบัตงิ าน 1.2.3 ความรู้เก่ียวกับการจาแนกประเภทและจัดกลุ่ม (Classification and Categories) เป็นความสามารถในการจาแนก จัดหมวดหมู่ จัดแบ่งสิ่งของ เหตุการณ์ ตาม จุดมุ่งหมายเหตุผล หรือเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น บอกได้ว่า จากรายชื่อสัตว์ที่ระบุมาให้สัตว์ ชนิดใดทจ่ี ดั อยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนม 1.2.4 ความรู้เก่ียวกับเกณฑ์ (Criteria) เป็นความสามารถท่ีจะบ่งบอกถึง ข้อเทจ็ จริง หลักการ ความคดิ เห็น และการกระทา ท่ีใช้เปน็ เกณฑ์ในการตัดสนิ หรือวินิจฉัยสิ่งหน่ึง ส่ิงใด ทัง้ นี้เปน็ เพยี งความสามารถจดจาเกณฑ์ตา่ ง ๆ ตามทีไ่ ดร้ ับรู้และจดจาไว้ ไม่ไดน้ าไปใชต้ ัดสิน เร่ืองใหม่ สถานการณ์ใหม่ เช่น บอกได้ว่า ส่ิงใดคือความแตกต่างระหว่างผ้าไหมแท้กับผ้าไหม เทียม การจดจาสิ่งเหล่านี้ไดแ้ สดงวา่ สามารถจาตัวเกณฑไ์ ด้อย่างถกู ต้อง 1.2.5 ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Methodology) เป็นความสามารถที่จะบ่ง บอกถึงเทคนิควิธีการ กระบวนการ หรือแนวปฏิบัติ เก่ียวกับประเด็นปัญหา เรื่องราว หรือ เหตุการณใ์ ดๆ ท้งั น้ีเปน็ เพียงความรูใ้ นวิธีการเท่านั้น ไม่จาเป็นต้องสามารถทาตามวิธีการเหล่าน้ัน ได้ การมีความรู้ในวิธีการจึงตีกรอบอยู่เฉพาะความสามารถท่ีจะบอกถึงวิธี เทคนิค หรือแนว ปฏิบัติตามที่เคยรับรู้มาแล้ว เช่น สามารถบอกวิธีการล้างผักให้สะอาดและปลอดภัยที่สุด วิธีการ ขยายพันธุม์ ะม่วงทจ่ี ะช่วยใหก้ ิง่ พนั ธ์ุมคี วามคล้ายคลึงกับต้นพันธุ์มากท่สี ดุ 1.3 ความรู้รวบยอดและนามธรรมในแต่ละเน้ือเร่ือง (Universal and Abstractions in a Field) เ ป็ น ค ว า ม ส า ม า ร ถ ท่ี จ ะ บ่ ง บ อ ก ถึ ง แ น ว คิ ด ท่ี เ ป็ น จุ ด เ ด่ น โครงสร้างใหญ่ ทฤษฎี และข้อสรุปอ้างอิง ซ่ึงจะนาไปใช้ในการแก้ปัญหาและศึกษาปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ในสาขาวิชาน้ัน ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ระดับสูงสุด อันมีลักษณะที่เป็นนามธรรมและ ซับซ้อนมาก จาแนกเป็น 2 ประเภท คอื การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 17

บทที่ 2 : เป้าหมายคุณภาพผเู้ รยี น 1.3.1 ความรู้เก่ียวกับหลักวิชาและข้อสรุปอ้างอิง (Principles and Generalizations) เป็นความรู้ในส่ิงที่เป็นสาระสาคัญ หรือหลักการซ่ึงเป็นข้อสรุปของเรื่องราว นั้นๆ รวมถึง สามารถขยายสาระสาคัญของเร่ืองราวน้ัน ๆ ไปสู่เรื่องราวอื่นท่ีมีสภาพการณ์ทานอง เดียวกัน เชน่ สามารถบอกหลักการในการหาปริมาตรโดยการแทนทน่ี ้า สามารถบอกหลักการบวก ลบเศษสว่ นได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 1.3.2 ความรู้เก่ียวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Theories and Structures) เป็นความรู้เก่ียวกับความสัมพันธร์ ะหวา่ งหลักวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วสรุปเป็นเนือ้ ความใหญ่ เร่ืองเดียวกัน อันจะช่วยให้นักเรียนมีความรู้ในเน้ือหาวิชานั้นอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ความสามารถดังกล่าวนจ้ี ะแตกต่างจาก 1.3.1 ตรงที่ความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาและข้อสรุปอ้างอิงเป็นการบอกเก่ียวกับ สาระสาคัญและหลกั การของเนอ้ื หาต่างๆ โดยตรง ขณะที่ความร้เู ก่ยี วกับทฤษฎแี ละโครงสรา้ งเป็น ความสามารถท่ีจะบอกเกี่ยวกับสาระสาคัญ หรือหลักการจากหลายๆ เรื่อง หลายๆ สิ่งที่สัมพันธ์กัน เพ่ือค้นหาทฤษฎีและโครงสร้างที่เป็นตัวรวมของบรรดาเน้ือหาเหล่านั้น เช่น บอกได้ว่าการเช่ือม และการบัดกรีอาศัยหลักการใดรว่ มกัน 2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) ความเข้าใจเป็นสมรรถภาพทางสมองของบุคคล ในการจัดระเบียบความคิดแล้ว แสดงออกมา และสามารถที่จะนาเสนอความรู้ความคิดท่ีชัดเจนกวา่ ของเดมิ โดยไม่จาเป็นต้องไป สัมพนั ธก์ บั เร่อื งอนื่ จาแนกเปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 การแปลความ (Translation) เป็นความสามารถในการถอดความหรือ ถอดแบบ สื่อความหมายจากรูปลักษณ์หนึ่งไปสู่รูปลักษณ์อ่ืน ๆ ซ่ึงเป็นการส่ือความให้สามารถรู้ ความหมายตรงกัน เช่น การแปลความหมายข้อความ คาพังเพย สุภาษิต คาคม หรือ สัญลักษณ์ ใหส้ ื่อความได้งา่ ยข้นึ หรือการแปลภาษาคณิตศาสตร์ ใหเ้ ป็นสญั ลักษณ์ หรือกลับกนั 2.2 การตคี วาม (Interpretation) เปน็ ความสามารถในการส่ือความหมายโดยการ อธิบายหรือสรุปความ ซ่ึงมีลักษณะท่ีลุ่มลึกกว่าการแปล เพราะการแปลจะมีลักษณะการสื่อ ความหมายโดยการถอดความจากรปู ลักษณ์หนึ่งไปอีกรปู ลักษณ์หน่ึงโดยตรง แต่การตีความหมาย การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 18

บทท่ี 2 : เปา้ หมายคุณภาพผู้เรียน จะต้องมีการจัดระเบียบใหม่ เรียบเรียงใหม่ แสดงแนวคิดใหม่ แต่ยังรักษาความหมายเดิมไว้ เช่น สามารถสรุปความคดิ ทั้งหมดออกเปน็ ประเด็นสาคัญตามต้องการ 2.3 การขยายความ (Extrapolation) เป็นความสามารถในการสื่อความหมายโดย การขยายกรอบความคิด คาดคะเนแนวโน้มของข้อมูลว่าจะมีทิศทางไปทางใด มีผลลัพธ์ออกมา เป็นอย่างไร ซ่ึงจะต้องสอดคล้องกับความหมายด้ังเดิม หรือต้องอาศัยข้อมูลเดิมเป็นเครื่องตัดสิน ผลลัพธ์ต่างๆ การขยายความจึงต้องอาศัยเรื่องราวที่มีข้อมูลหรือแนวโน้มเพียงพอจนสามารถ นามาแปลความ ตีความ และขยายความได้อย่างสมเหตุสมผล เช่น จากกราฟแสดงข้อมูลทาง เศรษฐกิจในชว่ ง 10 ปี นักเรียนสามารถคาดคะเนแนวโนม้ ต่อไปได้ 3. การนาไปใช้ (Application) การนาไปใช้เป็นความสามารถในการประยุกต์หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในสถานการณ์ท่ีแปลกใหม่ รวมไปถึงการนากฎเกณฑห์ รือหลักความรู้ในเรื่องใดเรื่อง หน่ึงไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น นักเรียนบอกได้ว่าเส้ือผ้าเด็กอ่อนควรทาด้วยผ้าชนิด ใดจงึ จะเหมาะสมที่สดุ หลงั จากทเ่ี รยี นเรอื่ งผา้ และคณุ สมบตั ิของผา้ แต่ละชนดิ แลว้ 4. การวิเคราะห์ (Analysis) การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของเนื้อหาเรื่องราว เหตุการณ์ หรือข้อเท็จจริงใด ๆ เพ่ือจาแนกให้เห็นส่วนประกอบ สาระสาคัญ และความสัมพันธ์ของ ส่วนประกอบเหล่านั้น ตลอดจนสกัดให้เห็นสิ่งที่เป็นหลักการที่เป็นต้นกาเนิดทาให้ส่วนประกอบ เหล่าน้ันรวมกันเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นเร่ืองราวข้ึนมาได้ การวิเคราะห์จึงมีเป้าหมายท่ีจะค้นหา ความจรงิ ทีแ่ ฝงอย่จู าแนกเป็น 3 ชนดิ คือ 4.1 การวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Analysis of Elements) เป็นความสามารถใน การแยกแยะองค์ประกอบย่อย หรือสามารถค้นหาองค์ประกอบท่ีสาคัญของประเด็นปัญหา เร่ืองราวหรือเหตุการณ์ใดๆ เช่น ความสามารถในการจาแนกข้อเท็จจริงออกมาจากสมมุติฐาน ความสามารถในการระบุปจั จยั สาคัญทีท่ าใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์ใดขนึ้ ในสงั คม 4.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationships) เป็นความ สามารถในการแยกแยะองคป์ ระกอบของสง่ิ ท่สี มบูรณใ์ ด ๆ และค้นหาจนพบความสมั พนั ธร์ ะหว่าง การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 19

บทท่ี 2 : เป้าหมายคุณภาพผเู้ รียน องค์ประกอบต่าง ๆ หรือระหว่างองค์ประกอบกับสิ่งสมบูรณ์น้ัน ๆ ว่าส่ิงใดสัมพันธ์กัน สิ่งใดเป็น เหตุและเป็นผลของกันและกัน หรือสิ่งใดไม่สอดคล้องไม่เก่ียวข้องกัน เช่น บอกได้ว่า สองส่ิงใด เก่ยี วขอ้ งกันทีส่ ุดจากขอ้ มูลท้ังหมดท่ใี ห้มา 4.3 การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Organizational Principles) เป็น ความสามารถในการค้นหาโครงสร้างและระบบของส่ิงหน่ึงสิ่งใด ว่าสามารถคงอยู่หรือรวมกันอยู่ ได้เพราะเหตุใด มีอะไรเป็นหลัก เป็นแกนกลาง คาตอบที่ค้นได้นี้ก็คือหลักการของเรื่องน้ัน ดังนั้น หลักการของเร่ืองใด ๆ ก็คือความจริงแม่บทท่ีครอบคลุม กฎ วิธีปฏิบัติ คติ สาระสาคัญของ เรื่องราวน้ัน การท่ีจะวิเคราะห์หลักการของสิ่งใด จึงพยายามค้นหาองค์ประกอบย่อยเหล่านั้นว่า ผูกพันกันอยา่ งไร เชน่ ความสามารถในการช้ีบ่งถึงเทคนคิ ทใ่ี ช้ในการโฆษณา หรอื การชกั ชวน 5. การสงั เคราะห์ (Synthesis) การสงั เคราะห์ หมายถึงความสามารถผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรอื่ งราวเดียวกันซึ่ง จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางาน การจัดเรียบเรียงและผสมผสานให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้น ต้อง ดดั แปลงปรบั ปรงุ ของเกา่ ใหด้ ขี น้ึ มคี ณุ ภาพสูงข้ึน จาแนกเปน็ 3 ระดับ คอื 5.1 การสังเคราะห์ข้อความ หรือการถ่ายทอดความคิด (Production of a Unique Communications) เป็นความสามารถในการถ่ายทอดของผู้เขียนหรือผู้พูดท่ีพยายาม จะถ่ายทอด แนวคิดความรู้สึก หรือประสบการณ์ไปสู่ผู้อ่ืน ให้เข้าใจความหมายตรงกัน เช่น ความสามารถในการแต่งคาประพนั ธ์ ความสามารถในการบอกเล่าประสบการณส์ ่วนตัวด้วยภาษา ชัดเจน ทกั ษะในการเขียนโดยสามารถเรยี บเรียงแนวความคดิ และเขียนถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี 5.2 การสังเคราะห์แผนงาน หรือเสนอโครงการดาเนินงาน (Production of a Plan, or Proposed Set of Operation) เป็นความสามารถในการวางแผน กาหนดโครงการ ดาเนนิ งาน หรอื จดั กจิ กรรมต่าง ๆ ว่าจะตอ้ งตระเตรียมสิ่งใด มขี ัน้ ตอนการปฏิบัติอย่างไร มกี าร เตรียมการแก้ไขอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดข้ึน เป็นการกาหนดแนวทางและข้ันตอน การปฏิบัติงานใด ๆ ล่วงหน้าเพื่อใช้การดาเนินงานนั้นราบร่ืน สมเหตุสมผล สอดคล้องกับสภาพ ความเป็นจริงหรือเงื่อนไขบังคับ เช่น สามารถวางแผนการสอนในเง่ือนไขหรือสถานการณ์ท่ี กาหนดให้ได้อยา่ งเหมาะสม การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 20

บทท่ี 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผเู้ รยี น 5.3 การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ ของส่ิงท่ีเป็นนามธรรม (Derivation of Set of Abstract Relation) เปน็ ความสามารถในการเก็บรวบรวมขอ้ เทจ็ จริงตา่ งๆ เพ่อื นามาหาสมั พันธ์ กันโดยการเช่ือมโยงข้อเท็จจริงเหล่าน้ันเข้าด้วยกัน เช่น ความสามารถในการตั้งสมมุติฐาน ความสามารถในการสรปุ อา้ งอิงอยา่ งสมเหตุสมผล การคน้ พบสตู ร กฎทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น 6. การประเมินคา่ (Evaluation) การประเมนิ คา่ หมายถงึ การตดั สนิ เกี่ยวกบั คณุ ค่าของสิ่งหนง่ึ ส่ิงใด ท้งั นี้อาจเปน็ การ ตัดสินโดยยึดถือตามปริมาณ หรือคุณภาพ แต่จะต้องมีเกณฑ์ท่ีเหมาะสมเพื่อใช้เป็นมาตรฐานใน การตัดสินจาแนกเปน็ 2 ระดบั คือ 6.1 การตัดสินโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายในเหตุการณ์ (Judgments in Terms of Internal Evidence) เป็นความสามารถในการตัดสินเหตุการณ์หนึ่ง โดยใช้เน้ือหาสาระ ภายในเหตุการณ์น้ันเป็นเกณฑ์ตัดสิน อาจเป็นการประเมินความสอดคล้องของสาเหตุและผล ความเป็นเอกพันธ์กันระหว่างองค์ประกอบ ความถกู ต้องเหมาะสมของข้อมูล ความเหมาะสมและ ประสิทธิภาพของวธิ ีการและการปฏิบัติในเร่ืองนน้ั ๆ เช่น เราอาจจะประเมินวา่ นางรจนาเป็นคน ดีเพราะรักสามี และเป็นคนไม่ดีเพราะทาให้พ่อแม่เสียใจ ส่ิงเหล่านี้ต้องอาศัยข้อเท็จจริงตาม ทอ้ งเร่อื งเป็นหลกั ในการตัดสิน 6.2 การตัดสินโดยใช้เกณฑ์ภายนอก (Judgments in Terms of External Criteria) เป็นความสามารถในการตัดสินเหตุการณ์หน่ึงโดยนาไปเทียบกับเกณฑ์ภายนอกท่ีเลือก มาและเป็นท่ียอมรับในสังคม เช่น ความสามารถในการเปรียบเทียบผลงานกับเกณฑ์ มาตรฐานสากล การตดั สนิ ความเหมาะสมของพฤติกรรมกับเกณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย สาหรับวิธีการวัดและประเมินผลพฤติกรรมทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยทางส่วนใหญ่จะ ใช้การทดสอบเป็นหลัก ซึ่งหากเป็นพฤติกรรมระดับความรู้ความจาอาจจะใช้แบบทดสอบแบบ ปรนัย อาทิ แบบจับคู่ แบบเติมคาตอบ หรือแบบถูกผิด หากพฤติกรรมระดับที่สูงกว่าความรู้ ความจาจะใชแ้ บบทดสอบปรนัย ชนดิ เลือกตอบ หรอื พฤติกรรมระดับวิเคราะห์ สังเคราะห์อาจจะ ใชแ้ บบทดสอบอตั นยั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 21

บทที่ 2 : เป้าหมายคุณภาพผ้เู รียน พฤติกรรมดา้ นจิตพิสยั พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมทางการศึกษาท่ีเก่ียวกับความรู้สึก ซ่ึงเป็นรากฐาน ที่ก่อเกิดบุคลิกภาพหรือลักษณะนิสัย เป็นพฤติกรรมท่ีละเอียดอ่อนและซับซ้อนแอบแฝงเร้นอยู่ ภายใน การสังเกตหรือวัดพฤติกรรมด้านน้ีค่อนข้างยากต้องกาหนดสถานการณ์ให้แสดงออก พฤติกรรมด้านนี้สามารถพัฒนาให้เกิดในผู้เรียนได้โดยใช้เวลาต่อเน่ืองพอสมควร ซ่ึงในปี 1964 แครทโฮวล์ (David R. Krathwohl) และคณะ ไดต้ พี มิ พเ์ สนอผลการจาแนก พฤติกรรมการศึกษาด้านจติ พสิ ยั ซงึ่ แบ่งออกตามขนั้ ตอนการเกิดพฤติกรรมได้ 5 ขั้น ดังนี้ 1. ข้ันการรับรู้ (Receiving) เป็นขั้นท่ีผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากส่ิงแวดล้อมและ รบั ร้วู ่าอะไรเปน็ อะไร แบ่งเป็น 3 ระดบั คือ 1.1 การรูจ้ กั เปน็ การตระหนกั หรือรบั รมู้ ีอะไรเกิดข้นึ 1.2 การเต็มใจรับรู้ เปน็ การให้ความสนใจต่อสงิ่ เร้านั้น 1.3 การควบคุมหรอื คัดเลือกตามความสนใจ เปน็ การจาแนกความแตกตา่ งระหว่างส่ิง เรา้ และค้นหาสิ่งเร้าท่ตี นสนใจ 2. ข้ันการตอบสนอง (Responding) เป็นข้ันท่ีผู้เรียนแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อส่ิง เรา้ แบง่ เปน็ 3 ระดับ ได้แก่ 2.1 การยินยอมตอบสนองเปน็ ขัน้ ท่ีผเู้ รียนตอบสนองตามคาส่ังหรือคาแนะนา 2.2 การเต็มใจตอบสนองเป็นการตอบสนองดว้ ยความเตม็ ใจตงั้ ใจและสนใจต่อส่งิ เร้า การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 22

บทที่ 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผเู้ รยี น 5.2 ลักษณะนิสัย 5.0 ลกั ษณะนสิ ยั 5.1 สรา้ งข้อสรุป 4.2 การจดั ระบบคุณคา่ 4.0 การจัดระเบยี บคณุ ค่า 4.1 การเกิดความคดิ รวบยอด 3.3 การยึดมัน่ 3.2 การชน่ื ชมคณุ คา่ 3.0 การเหน็ คณุ คา่ 3.1 การยอมรับคณุ คา่ 2.3 การพอใจตอบสนอง 2.2 การเต็มใจตอบสนอง 2.0 การตอบสนอง 2.1 การยนิ ยอมตอบสนอง 1.3 การควบคมุ คดั เลือก 1.2 การเต็มใจรับรู้ 1.0 การรบั รู้ 1.1 การรูจ้ ัก ภาพที่ 2.4 ลาดบั ข้นั ของพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ท่ีมา (Payne, 1992 :414) 2.3 การพอใจตอบสนอง เป็นการตอบสนองด้วยความพึงพอใจ ยินดี ช่ืนชอบและ สนุกสนาน 3. ข้ันเห็นคุณค่า (Valuing) เป็นขั้นที่ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของสิ่งน้ันแล้วกลายมาเป็น ส่งิ ท่ยี ดึ ถือเพือ่ ปฏิบัติต่อไป แบ่งเปน็ 3 ระดับ ได้แก่ 3.1 การยอมรบั เปน็ การเหน็ ความสาคัญและยอมรบั ในสิง่ น้ันดว้ ยการกระทาอย่างคง เสน้ คงวา การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 23

บทที่ 2 : เปา้ หมายคณุ ภาพผู้เรียน 3.2 การชื่นชม เป็นการแสดงออกถึงความต้องการ ยกย่อง ชมเชยในส่ิงท่ียอมรับ คณุ ค่าแลว้ 3.3 การยึดมั่น เป็นการสนับสนุน ช่วยเหลือด้วยความศรัทธาและปฏิเสธที่จะกระทา ในสงิ่ ทีข่ ัดแย้งกบั ความเชอื่ ของตน 4. ขั้นจัดระบบ (Organization) เป็นข้ันท่ีบุคคลนาคุณค่าท่ีได้รับมาจัดให้เป็นระบบ หรอื หมวดหมู่ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ระดบั ได้แก่ 4.1 การสร้างความคิดรวบยอดเกย่ี วกับคุณคา่ เป็นการสร้างความเข้าใจในคุณค่าของ สิ่งน้ันๆ ด้วยการเข้าร่วมกลุ่ม อภิปราย เปรียบเทียบเพ่ือหาความสัมพันธ์ของค่านิยมท่ียึดถืออยู่ ระหวา่ งค่านิยมเกา่ คา่ นิยมใหม่ 4.2 การจัดระเบียบค่านิยม เป็นการรวมค่านิยมท่ีซับซ้อนเข้าด้วยกันการสร้างแบบ แผนหรือกฎเกณฑ์ตามสง่ิ ทจี่ ดั ระบบขึ้นและนาไปใช้ 5. ข้ันสร้างลักษณะนิสัย (Characterization) เป็นข้ันท่ีบุคคลนาค่านิยมท่ีได้รับมา มีส่วนในการควบคุมพฤติกรรมของตนให้เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีทางน้ัน ๆ ซึ่งจะทาให้การ แสดงออกของพฤติกรรมไม่เป็นไปตามอารมณ์ของบุคคลน้ันอีกต่อไป พัฒนาการในข้ันนี้แสดงให้ เห็นวา่ พฤติกรรมของมนษุ ย์มแี บบแผนและมีคณุ ลกั ษณะประจาตัว แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ไดแ้ ก่ 5.1 การสร้างข้อสรุป เป็นข้ันท่ีค่านิยมเข้ามาควบคุมพฤติกรรมส่วนใหญ่ของบุคคล คอื ยอมรบั และนามาเป็นแนวทางในการดาเนินงาน 5.2 การสร้างลกั ษณะนิสัย เปน็ การแสดงออกท่เี ป็นคุณลกั ษณะประจาตวั ของบุคคล จากภาพที่ 2.4 จะเห็นได้ว่าความสนใจและความซาบซ้ึงของบุคคลจะเริ่มพัฒนาต้ังแต่ บุคคลมีความเต็มใจที่จะรับรู้ถึงการชื่นชมในส่ิงนั้น ต่อจากน้ันก็จะพัฒนาจนเกิดเจตคติที่ดีต่อส่ิง นนั้ และสรา้ งคา่ นิยมตลอดจนการปรบั ตวั ตามลาดบั พฤติกรรมดา้ นจติ พิสยั เปน็ คณุ ลกั ษณะทางจติ ใจที่ชบ้ี ่งรปู แบบของอารมณ์หรือความ รู้สึกของบุคคล ซึ่งอาจเป็นลักษณะที่ไม่แสดงออกมาภายนอกให้บุคคลอื่นเห็นหรือเข้าใจ โดยมี ลักษณะธรรมชาตทิ ่ีสาคญั 5 ประการ คือ (จิตรยี า ไชยศรีพรหม, 2531, :44-45) การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 24

บทที่ 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรยี น 1. เป็นเร่ืองของอารมณ์ (Feeling) กล่าวคือ อาจเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วตามเงื่อนไข หรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอาจมีการกระทาที่เสแสร้ง โดยแสดงออกไม่ตรง กบั ความร้สู กึ ทีแ่ ทจ้ รงิ ของตนได้ถ้าเขารตู้ วั วา่ มีคนสงั เกต 2. เป็นเรื่องเฉพาะตัว (Typical) กล่าวคือ แต่ละบุคคลอาจมีความรู้สึกที่เหมือนกันแต่ อาจมีรูปแบบการแสดงแตกต่างกันไป หรือมีพฤติกรรมที่แสดงออกเหมือนกันแต่มีความรู้สึก แตกต่างกนั การสงั เกตจะตอ้ งใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควร จึงจะบอกความรสู้ กึ ได้ 3. มีทิศทาง (Direction) กล่าวคือ การแสดงออกของความรู้สึกสามารถแสดงออกได้ สองทางตรงข้ามกันหรือคู่กัน เช่น ทิศทางบวก ซึ่งเป็นทิศทางท่ีสังคมต้องการและทิศทางลบซ่ึง เป็นทิศทางท่ีสังคมไม่ต้องการ ได้แก่ รัก- เกลียด ขยนั – ขเี้ กียจ ซอ่ื สตั ย์ – คดโกง เปน็ ต้น 4. มีความเข้ม (Intensity) กล่าวคือ บุคคลสองคนท่ีมีความรู้สึกเหมือนกันใน สถานการณ์เดียวกันอาจแตกต่างกันในเร่ืองของความเข้มท่ีบุคคลรู้สึก คือ มากหรือน้อยต่างกัน เช่น ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบนอ้ ย ขยันมาก ขยนั น้อย เป็นต้น 5. มีเป้าหมาย (Target) กล่าวคือ ความรู้สึกของบุคคลย่อมมีเป้าหมายเสมอว่ามี ความรูส้ กึ ต่อส่ิงใดจะเกิดขึ้นลอยๆ ไมไ่ ด้ เช่น ชอบดภู าพยนตร์ ขยนั อา่ นหนังสือ ขี้เกยี จทาอาหาร เป็นตน้ ลักษณะสาคัญๆ ท้ัง 5 ประการของพฤติกรรมด้านจิตพิสัยดังกล่าว จะเป็นแนวทางในการวัดและ ประเมินผลด้านน้ีว่ามีลักษณะที่แตกต่างจากพฤติกรรมด้านอ่ืนๆ โดยวิธีที่ใช้วัดพฤติกรรม การศกึ ษาด้านจิตพิสัยมี 5 วธิ ี ดังน้ี (ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง, 2546 :199-201) 1. การรายงานตนเอง (Self-Report) เป็นการให้ผู้รับการทดสอบแสดงความรู้สึกของ ตนเองตามสิ่งเร้าที่ได้สัมผัส ซ่ึงสิ่งเร้าอาจเป็นข้อความหรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยผู้ตอบมีโอกาส ตอบได้ตามความคิดความรู้สึกของตนเอง (การตอบแบบปลายเปิด) หรือเลือกคาตอบท่ีมีการ จัดเตรียมให้แล้ว (การตอบปลายปิด) จากมาตรวัดต่าง ๆ เช่น มาตรอันตรภาคปรากฏเท่ากัน (Equal-appearing Intervals Scale) ของเทอร์สโตน (Thurstone) มาตรรวมการประมาณค่า (Summated Rating Scale) ของลิเคิร์ต (Likert) และมาตรจาแนกความหมาย (Semantic Different Scale) ของออสกดู (Osgood) เปน็ ตน้ การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 25

บทที่ 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรียน 2. การสังเกตพฤติกรรม (Observation) เปน็ การใช้ประสาทสมั ผสั โดยเฉพาะตาและหู ในการบันทึกจดจาพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย แล้วจดลงในแบบบันทึกท่ีมีลักษณะเป็นแบบ ตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) การที่จะสังเกตให้ สอดคล้องตรงกับความเป็นจรงิ มากท่ีสดุ แบบบันทึกพฤติกรรมจะต้องมีการใหร้ ายละเอียดของส่งิ ท่ีสังเกตอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม และมีประเด็นการสังเกตท่ีครอบคลุมพฤติกรรมที่จะปรากฏขึ้น ดว้ ย 3. การสังเกตร่องรอยของพฤติกรรม (Obtrusive) เป็นการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง จากหลักฐานอ่ืนที่ใช้อ้างอิงถึงความถี่ของพฤติกรรม เช่น ร่องรอยการยืมหนังสือจากห้องสมุด ประเภทของหนังสือที่มีการยืมอ่านมากท่ีสุด ร่องรอยของการใช้อุปกรณ์กีฬา การบารุงรักษา เปน็ ต้น 4. การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีวัดท่ีเกิดการปฏิสัมพันธ์พูดคุยระหว่างผู้ สัมภาษณ์และผู้รับการสัมภาษณ์ โดยอาจเป็นการสัมภาษณ์เป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ สาหรับ รูปแบบของการสัมภาษณ์แบ่งออกเป็นการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซ่ึงมีข้อคาถามเตรียมไว้ เรียบร้อยแล้วเหมือนกับแบบสอบถามปลายเปิด ส่วนการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง จะมี เพียงแต่ประเด็นในการสัมภาษณ์ การซักถามจึงมีความยึดหยุ่น และข้อคาถามที่หลากหลาย ผู้ สัมภาษณ์จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ท่ีมากพอ เพ่ือให้ผู้รับการสัมภาษณ์เกิด ความไว้วางใจ เชื่อถือ และอยากตอบคาถามตามความเป็นจริง โดยในระหว่างการสัมภาษณ์ นอกจากผู้สมั ภาษณ์จะตอ้ งมที ักษะการพูดทด่ี ีแลว้ ยังตอ้ งมีทักษะการฟงั ที่ดีด้วย 5. เทคนิคการจินตนาการ (Projective Techniques) เป็นการใช้สถานการณ์หรือสิ่ง เร้าไปกระตุ้นให้ผู้ทดสอบแสดงพฤติกรรมหรือความคิดจินตนาการของตนออกมา เช่น การเติม ประโยคหรือเรื่องท่ีสมบูรณ์ การสร้างความคิดบรรยายความรู้สึกจากภาพ การโยงความสัมพันธ์ ระหว่างความรู้สึกกับคาต่าง ๆ เป็นต้น การแปลความหมายอาศัยผลจากการตอบส่ิงที่กล่าว มาแลว้ กพ็ อจะรู้ไดว้ า่ ผู้นัน้ มีความรสู้ กึ อยา่ งไรต่อเป้าหมายทตี่ ้ังไว้ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 26

บทที่ 2 : เปา้ หมายคุณภาพผเู้ รยี น พฤติกรรมด้านทักษะพิสยั พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้อวัยวะต่างๆ ของ ร่างกายทางานอย่างประสานสัมพันธ์กัน เป็นพฤติกรรมท่ีค่อนข้างจะสังเกตได้ง่าย เนื่องจากเป็นผล จากการทางานของกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในปี 1972 ซิมพ์สัน (Elizabeth J. Simpson) ได้ตีพิมพ์ผลการจาแนกพฤติกรรมการศึกษาด้านทักษะพิสัย ซ่ึงมีการจาแนกพฤติกรรม ตามลาดับขนั้ การเกิดพฤตกิ รรมไว้ 7 ขั้น ดังน้ี 1. การรบั รู้ (Perception) เป็นจดุ เริ่มต้นของการเกดิ พฤติกรรม ด้านการรบั สมั ผสั สิ่งเร้า ผ่านทางประสาทสัมผัสตา่ ง ๆ เช่น หู ตา จมูก ลิน้ ผิวกาย 2. การเตรียมความพร้อม (Set) คือการเตรียมตัวกระทา หรือการปรับตัวให้อยู่ใน สภาพพร้อมที่กระทา ซ่ึงมี 3 ด้าน คือ ด้านสมองจะเตรียมความรู้ซ่ึงมีมาก่อน ด้านร่างกาย จะเตรยี มเกีย่ วกับกล้ามเนอ้ื และดา้ นอารมณจ์ ะเตรยี มความร้สู กึ ในการให้คุณค่าต่อสง่ิ ท่จี ะปฏิบัติ 3. การตอบสนองตามแนวชี้แนะ (Guided Response) เป็นการเริ่มพัฒนาทักษะ โดยการแสดงพฤติกรรมเลยี นแบบตามผู้แนะนาหรือครู ในข้นั นี้จะเปน็ ขัน้ ลองผดิ ลองถูก 4. การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง (Mechanism) คือการท่ีบุคคลสามารถปฏิบัติงานได้ด้วย ความเช่อื มนั่ ในตนเอง มีผลสัมฤทธิ์ทน่ี า่ พอใจ 5. การตอบสนองที่ซับซ้อน (Complex Overt Response) เป็นขั้นที่สามารถกระทา หรือปฏิบัติงานท่ีซับซ้อนได้ แม้จะต้องใช้ทักษะข้ันสูงก็สามารถทาได้อย่างชานาญ หรือได้อย่าง อัตโนมตั ิ 6. การดัดแปลง (Adaptation) หลังจากท่ีสามารถปฏิบตั ิไอ้ย่างชานาญแลว้ เม่ือบุคคล ต้องแก้ปัญหาบ่อย ๆ ก็จะพัฒนาวธิ กี ารเดมิ ให้มปี ระสิทธิภาพย่ิงขนึ้ เพอื่ ลดขั้นตอน ลดเวลา หรอื เพมิ่ คณุ ภาพผลงาน 7. การริเร่ิม (Origination) เป็นขั้นสูงสุดของการพัฒนาทักษะ ซ่ึงบุคคลสามารถ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ด้วยวิธีการใหม่ที่ตนคิดข้ึนมา โดยใช้สติปัญญาร่วมกับประสบการณ์ด้าน ทกั ษะ การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 27

บทท่ี 2 : เปา้ หมายคณุ ภาพผ้เู รียน 3.ระดับของจุดมงุ่ หมายการศึกษา เป้าหมายคุณภาพผู้เรียนหรือเป้าหมายการศึกษาเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของการ จัดการเรยี นการสอน ผูส้ อนจะตอ้ งกาหนดเป้าหมายการศึกษาในรปู ของจุดประสงค์การเรียนรู้เพ่ือ เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการสอนสาหรับผู้สอน และเป็นแนวทางในการตรวจสอบการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน โดยใช้กระบวนการวัดผลและประเมินผลเป็นเครื่องมือ จุดมุ่งหมายการศึกษาการศึกษาสามารถแบ่งเป็นระดับต้ังแต่ระดับหลักสูตรจนถึงระดับการเรียน การสอน ดงั น้ี 1. จดุ หมาย/จดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร 2. จดุ ประสงค์ท่ัวไปของวชิ า/กลุม่ วิชา/กลมุ่ สาระการเรียนรู้ 3. จุดประสงค์ของรายวชิ า 4. จุดประสงคก์ ารเรียนร้ขู องบทเรยี น/หนว่ ยเรยี น 5. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวังในหนว่ ยย่อยหรือเน้อื หาย่อย (ระดับทใ่ี ช้สอน) ภาพที่ 2.6 ระดบั จดุ มงุ่ หมายการศึกษา ท่ีมา (Payne, 1992 :414) จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) เป็นจุดมุ่งหมายของการเรียน การสอน หมายถึง จุดมุ่งหวังหรอื จดุ คาดหวงั ทต่ี ้องการให้ผเู้ รยี นเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมในลักษณะ ทกี่ ว้างสดุ จนกระทัง่ สงั เกตได้ จึงไดม้ กี ารกาหนดจดุ ประสงคท์ ี่ชัดเจนขนึ้ ซง่ึ เราเรียกว่าจุดประสงค์ เชงิ พฤตกิ รรม ตรงกับคาว่า Behavioral Objective หมายถงึ จดุ ประสงค์ของการเรียน (การสอน) ที่เขียนในลักษณะคาดหวังถึงพฤติกรรมท่ีผู้เรียนสามารถกระทาได้หรือแสดงออกได้ ภายหลังจาก ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นพฤติกรรมที่ระบุในจุดประสงค์ชนิดน้ีจึง เป็นสิ่งที่ต้องสังเกตได้หรือวัดได้ภายหลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอน หรืออาจจะใช้เวลาสังเกต บ้างแต่ไม่นานเกินไป จุดประสงค์ชนิดนี้จึงต่างกับจุดประสงค์ท่ัวไป (General Objective) ซึ่ง การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 28

บทท่ี 2 : เปา้ หมายคุณภาพผ้เู รียน โดยท่ัวไปแลว้ จุดประสงค์ของการเรียนรูจ้ าแนกออกเป็น 2 ชนิด (ปนิน วดี ธนธาน,ี 2549, หน้า 23- 24) คอื 1. จุดประสงค์ท่ัวไป (General Objectives) เป็นประโยคที่คาดหวังพฤติกรรมของ ผู้เรียนในเป้าหมายโดยรวม จึงใช้คากริยาที่มีความหมายกว้าง หรือ มีความหมายคลุมเครือ แสดงถึงพฤตกิ รรมภายในทย่ี งั สงั เกตและวัดตรง ๆ ไม่ได้ ตัวอย่างคากริยา ด้านพุทธิพิสัย เช่น รู้ มีความรู้ เข้าใจ แก้ปัญหา วิเคราะห์ คาดคะเน เปน็ ต้น ตัวอย่างกรยิ าดา้ นจิตพิสัย เช่น มคี วามสขุ มีความสนกุ สนาน เห็นความสาคัญ เห็นคุณค่า ตระหนกั ภูมใิ จ ซาบซึง้ พอใจ สนใจ มจี ิตสานกึ รับผิดชอบ เป็นตน้ ตัวอย่างกริยาด้านทักษะพิสัย เช่น นาไปใช้ ปฏิบัติการ กระทา ทดลอง ป้องกันรักษา เป็นต้น จุดประสงค์ ชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า จุดประสงค์ปลายทาง (Terminal Objectives) สังเกตได้จากจุดประสงค์ของหน่วยการเรียน จุดประสงค์ของวิชา หรือ จุดประสงค์กลุ่มสาระการ เรียนรู้ ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า มาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึงมีตัวอย่างดังนี้ (สานักวิชาการและมาตรฐาน การศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐานกระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551ก, หน้า 2) ตัวอย่าง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตาม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สาระที่ 1 การอา่ น มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปใช้ตัดสินใจ แก้ปญั หาในการดาเนนิ ชวี ติ และมนี ิสยั รักการอ่าน สาระท่ี 2 การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนส่ือสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เร่ืองราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสทิ ธภิ าพ การวดั และประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 29

บทท่ี 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผเู้ รยี น สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพดู มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และความรู้สึกในโอกาสตา่ งๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ สาระท่ี 4 หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ิของชาติ สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเหน็ คณุ ค่าและนามาประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจรงิ โดยแต่ละมาตรฐานการเรียนรู้จะถูกนามาแยกตามระดับช้ันตามความยากง่ายต่อไปเพ่ือ เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละระดับช้ันเรียน เพื่อเป็นกรอบในการจัดการเรียนรู้และการวัด และประเมินผลตอ่ ไป 2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) เป็นประโยคท่ีคาดหวัง พฤติกรรมของผู้เรียนในเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ใช้คากริยาท่ีมีความหมายชัด เรียกว่า พฤติกรรมภายนอกซ่ึงเป็นตัวบ่งช้ีของพฤติกรรมภายใน สังเกตได้ง่ายและวัดง่ายโดยเฉพาะ สามารถวัดได้ทันทีหลังจากกิจกรรมการเรียนจบลง หรือสามารถวัดได้ในห้องเรียน ตัวอย่าง คากริยาท่ีนามาใช้เขียนจุดประสงค์ เช่น บอก อธิบาย เลา่ สรุป เขยี น แปลความหมาย ให้ นยิ าม ตดั สิน สาธติ ประดิษฐ์ รอ้ ง รา พิมพ์ วาด เป็นตน้ จุดประสงค์ชนิดนีอ้ าจจะเรียกชื่อ อีกอย่างว่า จุดประสงค์นาทาง (Enroute Objectives) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเป็น จุดประสงค์ของเนื้อหาที่เตรียมไว้เพ่ือการสอน หรือปัจจุบันเรียกว่า ตัวชี้วัด การเขียน จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ดี อาจจะยึดถือตามขัน้ ตอนดงั นี้ 2.1 แบง่ เน้ือหาในบทเรียนออกเป็นเนื้อหาย่อย ท่จี ะใหค้ วามคดิ รวบยอดหรือหลักการ อยา่ งหน่งึ 2.2 กาหนดความคิดรวบยอดหรือหลกั การของเนื้อหานัน้ ให้แนช่ ัด การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 30

บทท่ี 2 : เปา้ หมายคุณภาพผเู้ รียน 2.3 พิจารณาทางด้านขอบข่ายว่า จุดประสงค์ของการเรียนในเนื้อหานั้น ต้องช่วยให้ ผเู้ รียนเกดิ พฤติกรรมครบท้ัง 3 หมวดหม่ใู นแนวทางอย่างไรบ้าง โดยสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ของ รายวิชา 2.4 ลงมือเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมโดยพิจารณาว่าเป็นจุดประสงค์สาคัญที่จะ ช่วยให้เด็กเกิดความรู้หรือความคิดรวบยอดอย่างแท้จริงข้อดี ข้อจากัดของจุดประสงค์เชิง พฤตกิ รรม จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมมีข้อดีและข้อจากัด ดังน้ี (วาโร เพ็งสวสั ดิ์, 2542, หนา้ 22) ข้อดีของจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ช่วยให้ผู้สอนและผูเ้ รยี นรู้ว่าจะต้องสอนและเรียนเพ่ือให้เกิดพฤติกรรมอะไรบ้าง และ เม่อื เรียนไปแลว้ ผูเ้ รยี นจะทราบวา่ ตนเองประสบผลสาเรจ็ ในการเรียนหรือไม่ 2. ชว่ ยให้ครูเตรียมสถานการณ์ และอปุ กรณ์ประกอบการสอนได้อย่างตรงเปา้ หมาย 3. ชว่ ยใหค้ รูผสู้ อนมหี ลักเกณฑใ์ นการประเมินการสอนว่าบรรลเุ ปา้ หมายที่ต้งั ไวห้ รอื ไม่ 4. ช่วยให้ผู้เรียนรู้ทิศทางของการเรียนได้ดีกว่าการเรียนจากจุดประสงค์ธรรมดาท่ีเขียน อย่างคลุมเครือ เม่ือรู้ทิศทางที่แน่นอนแล้วย่อมช่วยให้การเรียนประสบผลสาเร็จมากขึ้น ทาให้มี กาลังใจในการเรียนมากข้นึ ถึงแม้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจะมีประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่มีนักการศึกษาจานวนหน่ึงไม่ สนบั สนนุ การตงั้ จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม โดยให้เหตุผลในการไมส่ นับสนนุ ดงั น้ี 1. การกาหนดเอาพฤติกรรมทสี่ ังเกตได้ เป็นจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมของการสอนทาให้ เกิดการเน้นพฤติกรรมหยุมหยิมซึ่งไม่ค่อยมีความสาคัญ ทาให้ผลของการศึกษาอ่ืน ๆ ท่ีไม่อาจวัด หรือสังเกตออกมาเป็นพฤติกรรมได้แต่มีความสาคัญมากถูกละเลย เช่น ความคิด คุณธรรม ค่านิยม ความซาบซ้งึ เปน็ ต้น 2. ผลของการศึกษาไม่เพียงแต่ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเท่านั้น ยังมีสิ่งอ่ืนท่ี สาคัญและควรจัดเปน็ ผลของการศึกษาด้วย เช่น การเปล่ียนแปลงเจตคติด้านความคิด ความรู้สึก และจิตใจ ซงึ่ ไม่แสดงออกมาเป็นพฤตกิ รรมอยา่ งทนั ทที ันใด การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 31

บทท่ี 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรยี น 3. วิชาบางวิชาไม่สามารถนาหลักเกณฑ์ของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไปใช้ได้ เช่น วิชา ศิลปะ ดนตรี ซึ่งผลของการศึกษาเหล่าน้ี ไม่ได้ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ทันทีหลัง การสอน 4. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเน้นให้เกิดผลเฉพาะสิ่งที่กาหนดให้เท่านั้น แต่ส่ิงอื่น ๆ ที่ ไม่ได้กาหนดไว้จะถูกละเลย ในการสอนแต่ละคร้ัง นอกจากการเรียนรู้ตามที่กาหนดจดุ ประสงค์ไว้ แลว้ ผู้เรียนอาจเกิดการเรยี นรู้อืน่ ๆ ท่เี ป็นผลพลอยได้ และมคี วามสาคัญดว้ ยกไ็ ด้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดมาตรฐานผลการเรยี นรทู้ า หน้าท่ีเป็นจุดประสงค์ทัว่ ไป และกาหนดตวั ชว้ี ัดไว้ทาหนา้ ทีเ่ ป็นจุดประสงค์การเรยี นรทู้ ่ีมีลักษณะ เฉพาะเจาะจงในรูปของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ตัวอย่างการกาหนดตัวชี้วัดและสาระการ เรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้น พ้ืนฐานกระทรวงศึกษาธิการ, 2551ก, หน้า 6) และ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (สานักวิชาการและมาตรฐาน การศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานกระทรวงศึกษาธิการ, 2551ข, หน้า 7) การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 32

บทที่ 2 : เป้าหมายคณุ ภาพผู้เรยี น 4.สรปุ สรุปเป้าหมายคุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ประกอบด้วยวิสัยทัศน์จุดมุ่งหมายสมรรถนะสาคัญของผู้เรียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้ซง่ึ เปน็ กรอบภาพรวมทีส่ ะท้อนทิศทางการพัฒนาคุณภาพของผเู้ รียนโดย พฤติกรรมทางการศึกษาในมาตรฐานการเรียนรู้มี 3 ด้านคือด้านพุทธิพิสัยเป็นพฤติกรรมที่ เก่ียวข้องกับความสามารถทางสมองด้านจิตพิสัยเปน็ พฤติกรรมท่ีเก่ียวข้องด้านจิตใจความรู้สึกนกึ คิดและด้านทักษะพิสัยเป็นพฤติกรรมท่ีเก่ียวกับลักษณะการปฏิบัติทักษะการเคล่ือนไหวหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สะท้อนอยู่ในรูปของตัวชี้วัดมาตรฐานผลการ เรียนรู้ซ่ึงในการจัดการเรียนการสอนจะต้องระบุพฤติกรรมของผู้เรียนไว้ล่วงหน้าว่าจะให้ผู้เรียน เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดโดยต้องกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปตัวชี้วัดหรือ เฉพาะเจาะจงลงไปเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมสามารถวัดได้สงั เกตได้ และประเมินออกมาได้ง่ายเรียกว่าจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์, 2561 :65) การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 33



บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ บทท3่ี คะแนนและการนาไปใช้ คะแนนจากการสอบวัดผู้เรียนนอกจากจะใช้บ่งบอกความสามารถของผู้เรียนแล้วยัง แสดงถึงประสิทธิภาพการสอนของครวู า่ หลังสอนแล้วผู้เรียนได้พัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไปในลักษณะใด ดังนน้ั ผูท้ าหนา้ ทีว่ ัดและประเมินผลจาเปน็ จะต้อง มีความรู้เกี่ยวกับคะแนน และ ร้ถู งึ ข้อคานงึ ในการให้ระดบั คะแนนเพ่ือลดความคลาดเคลื่อนท่อี าจจะเกดิ ขึ้น 1.ความหมายของคะแนน คะแนน (Score) จากการทดสอบผ้เู รยี นหมายถึงตัวเลขที่ใช้แทนขนาดของความสามารถ ในการเรียนของนักเรียนหรือบุคคลดังกล่าวที่เรากาหนดขึ้นเพ่ือใช้เปรียบเทียบแต่ไม่ได้ใชเ้ พ่ือการ บอกจานวนหรือปริมาณมากน้อยดังน้ันการให้คะแนนของผู้เรียนแต่ละคนจึงต้องอาศัยการ เปรียบเทียบเป็นหลักสาคัญซึ่งอาจกาหนดให้คะแนนโดยการเปรียบเทียบกันภายในระหว่างกลุ่ม ผู้เรียนซึ่งเรียกกันว่า“ การตัดเกรดแบบอิงกลุ่ม” หรือให้คะแนนโดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ไว้ ซง่ึ ก็เรยี กว่า“ การตดั เกรดแบบอิงเกณฑ์” ประเภทของคะแนน คะแนนเป็นตัวเลขท่ีใช้แทนขนาดหรือปริมาณของความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือคะแนนดิบ (Raw Score) และคะแนนปรับเปลี่ยน (Derived score) 1.คะแนนดบิ คะแนนดิบ (Raw Score) คือ คะแนนท่ีเกิดจากการทดสอบโดยตรง ไม่สามารถ ตีความหมายให้แน่ชัดว่ามีสภาพการเรียนรู้มากน้อยเท่าไรจึงจัดว่าเป็นตัวเลขลอย ๆ ไมม่ ีความหมาย (สมนึก ภัททิยธนี, 2546 :260) คะแนนดบิ มีลักษณะจากดั ท่ีควรทราบดงั น้ี การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) 35

บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 1. คะแนนดิบมิได้เป็นหน่วยท่ีสมบูรณ์ในการวัดความรู้และความสามารถของ นักเรียน เน่ืองจากการทดสอบแต่ละครั้งจะสุ่มวัดเฉพาะพฤติกรรมสาคัญที่เป็นตัวแทนของ พฤติกรรมส่วนรวมเท่าน้ัน จึงต่างจากตัวเลขที่ได้จากการชั่ง ตวง วัด ดังน้ัน ถ้านักเรียนสอบได้ คะแนน 0 มิได้หมายความว่า เขาไม่มีความรู้เลย หรือถ้านักเรียนคนใดสอบได้คะแนนเต็ม ก็มิได้ หมายความวา่ เขามีความร้คู รบถ้วนสมบรู ณ์ หรอื ถ้านกั เรยี นคนแรกสอบได้คะแนนเป็น 2 เทา่ ของ คนท่ีสอง กม็ ิไดห้ มายความวา่ คนแรกมคี วามรู้ความสามารถเปน็ 2 เท่าของคนทสี่ อง 2. คะแนนดบิ ยงั ไม่มีความหมายที่แนน่ อนในตัวเอง เชน่ ถ้าทราบว่านกั เรียนคน หนงึ่ สอบคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน ก็บอกไม่ได้ว่าเขาเก่ง หรือออ่ นในวชิ าน้ี และแม้จะทราบว่า คะแนนเต็มเป็น 50 คะแนน ก็ยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะจานวนคะแนนและค่าของคะแนนจะ แปรผันไปตามความยากง่ายของข้อทดสอบ ถ้าข้อสอบยากมาก ทุกคนก็อาจจะได้คะแนน ค่อนข้างต่า ถ้าข้อทดสอบง่ายมาก ทุกคนก็จะได้คะแนนค่อนข้างสูง ดังน้ันถ้าทราบความยาก งา่ ยของแบบทดสอบ ท้งั ฉบบั ได้แนน่ อนกพ็ อจะสรุปความหมายของคะแนนดิบได้ 3. ตัวเลขคะแนน เป็นผลการวัดที่ไม่คงที่แน่นอน เหมือนตัวเลขที่ได้จากการชั่ง ตวง วัด เช่น ถ้าใช้แบบทดสอบฉบับเดิมทาการสอบวัดกับนักเรียนกลุ่มเดิมซ้า 2 ครั้ง ในเวลา ไลเ่ ลีย่ กนั จะพบวา่ คะแนนผลการวัดต้องเปลยี่ นแปลงไปบ้างไมม่ ากก็น้อย คะแนนดิบของแต่ละวิชา จะนามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ หรือนามารวมกันก็ยังไม่สมควร แม้จะ กาหนดจานวนข้อเท่ากัน หรือกาหนดคะแนนเต็มเท่ากันก็ตาม ทั้งนี้เพราะแต่ละวิชามีธรรมชาติ ของเน้ือหาต่างกัน การทาแบบทดสอบแต่ละวิชาต้องใช้ความรู้ความสามารถท่ีแตกต่างกัน ยกตวั อย่างเช่น ถา้ เด็กคนหนึง่ สอบวิชาคณติ ศาสตรไ์ ด้ 40 คะแนน ผลการสอบวชิ าภาษาไทย ได้ 50 คะแนน สรปุ ว่าเด็กคนนเ้ี ก่งภาษาไทยมากกว่าคณติ ศาสตรย์ งั ไม่ได้ และถา้ จะรวมคะแนน ของท้ังสองวิชาเป็น 40 + 50 = 90 ก็เป็นเพียงการนาตัวเลขมารวมกันเท่าน้ัน มิได้มี ความหมายในเชิงการรวมความสามารถอย่างแท้จริง อุปมาเหมือนการรวมน้า 40 ลิตร กับ น้า 50 ขนั ซึง่ รวมแล้วเป็น 90 แต่ไม่ทราบว่าหนว่ ยจะเปน็ อะไร การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 36

บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 5. การแปลงคะแนนดบิ ใหเ้ ป็นคะแนนเปอรเ์ ซน็ ต์ มิได้ทาใหค้ ะแนนมหี น่วยเป็น มาตรฐานหรอื เป็นหนว่ ยกลาง เปน็ เพยี งการเทียบสดั สว่ นของคะแนนใหม้ ีสว่ นเป็น 100 หรือเทียบ ให้มีคะแนนเต็มเป็น 100 ซึ่งเป็นการทาให้คะแนนมีความหมายคลาดเคลอ่ื นยง่ิ ข้ึน เช่น สมมติ ว่านักเรียนคนหน่งึ สอบคณิตศาสตรไ์ ด้ 40 คะแนน จาก 50 คะแนน (ทาถูก 40 ข้อ) ก็จะเทยี บ ได้เป็นร้อยละ 80 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความหมายเสมือนว่าเด็กคนน้ีทาข้อสอบถูก 80 ข้อ จากจานวน 100 ข้อ ซ่ึงในความเป็นจรงิ ถ้าเพม่ิ ขอ้ ทดสอบเป็น 100 ข้อแลว้ เดก็ คนน้ีคงทาขอ้ สอบ ไม่ได้ 80 ข้อพอดี ดังน้ันการนาคะแนนท่ีผ่านการแปลงมาเป็นเปอร์เซ็นต์ไปเทียบกับเกณฑ์ การตดั สินผลการเรยี น ก็จะไดผ้ ลการสรุปที่ไมถ่ กู ต้อง 2. คะแนนปรับเปล่ียน (Derived Score) คะแนนปรับเปล่ียนเป็นคะแนนที่มาจากการแปลงคะแนนดิบซ่ึงทาให้คะแนนมี ความหมายโดยสามารถบอกสภาพการเรียนรู้ของนกั เรียนไดช้ ัดเจนวา่ ใครเก่งหรืออ่อนวิชาใดมาก น้อยเพยี งใดคะแนนเปรียบเปลี่ยนแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทดังน้ี (วาโรเพ็งสวัสดิ์, 2542 :153) 2. 1 คะแนนเปอร์เซ็นต์เป็นการนาคะแนนดิบท่ีได้จากการวัดมาเปรียบเทียบกับคะแนน เต็มท่ีทาให้มีค่าเป็น 100 เช่นมะลิสอบได้ 10 คะแนนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนนแสดงว่าถ้า คะแนนเต็ม 100 คะแนนมะลิจะได้ 50 คะแนนหรือ 50% 2. 2 คะแนนอันดับท่ีเป็นการนาเอาคะแนนดิบท้ังหมดในกลุ่มน้ันมาเรียงลาดับแล้วบอก ว่าเขาได้อันดบั ท่เี ทา่ ไรเช่นมะลิสอบได้ 10 คะแนนซงึ่ ได้ลาดบั ที่ 3 จากท้ังหมด 10 คนแสดงวา่ เขา มีความสามารถในกลุ่มสูงหรือถ้าคิดเทียบลาดับที่จากคนเข้าสอบ 100 คนก็ได้เรียกว่าตาแหน่ง รอ้ ยละ (Percentile rank) 2. 3 คะแนนมาตรฐาน (Standard Score) เป็นการนาคะแนนดิบไปเทียบกับค่ากลาง ๆ ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มซ่ึงคะแนนมาตรฐานท่ีนิยมใช้คือคะแนนมาตรฐานซี (Z score) คะแนน มาตรฐานท่ี (T-Score) และคะแนนมาตรฐาน T-ปกติ (Normalized T-Score) การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 37

บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ กล่าวโดยสรุปคะแนนที่ได้จากการสอบโดยตรงหรือคะแนนดิบ (Raw Score) จะยังไม่ สามารถให้ความหมายชัดเจนในสภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนและคะแนนดิบจากแบบทดสอบต่าง ฉบับกันจะนามาเปรียบเทียบกันหรือบวกลบกันโดยตรงเป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้องเพราะแตกตา่ ง กันดา้ นเนื้อหาค่าความยากหรือต่างหน่วยกนั ดังน้นั หากต้องการให้คะแนนสามารถเปรียบเทียบกัน ได้ จึ ง ต้ อง พย า ย า ม ทา ให้ อยู่ ใน ห น่ ว ย เ ดี ย ว กั น โ ด ย ต้ อง มี กา ร แ ป ล ง ค ะแ น น ดิ บ ให้ เ ป็ น ค ะ แ น น มาตรฐาน (Standard score) เสียกอ่ น ท้งั นใี้ นการแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐานน้ันมีหลักการทเี่ ปน็ ข้อตกลงเบ้ืองต้น (Basic Assumptions) อยู่ 2 ประการดงั นี้ (ราตรี นนั ทสคุ นธ์, 2557 :270) 1. ความสามารถของคนในเร่ืองใด ๆ ในกลุ่มเดียวกัน (เช่นอายุเท่ากัน, เรียนชั้นเดียวกัน) จะมไี ม่เท่ากนั 2. ถ้าใช้เครื่องมือดีวัดความสามารถในเรื่องใดๆของคนจานวนมาแล้วการกระจายของ คะแนนจะคล้ายคลึง (Isomorphism) กับการแจกแจงปกติ (Normal distribution) 2.วตั ถุประสงคข์ องการให้คะแนน การใช้ผลคะแนนการสอบมีวัตถุประสงค์ในการนาไปใช้ 4 ประการ ได้แก่ 1. ใช้บอกระดับความสามารถ เป็นการใช้เพ่ือจะช่วยให้ทราบว่าเด็กแต่ละคนมี ความสามารถขนาดใด สูงหรือต่ากว่า เกณฑ์ แต่ละคนได้เกรดอะไร เด็กส่วนใหญ่มีผลการเรียน เป็นเช่นไร การใช้ผลลักษณะน้ี จะทาให้ทราบทั้งสภาพเด็กและสภาพ สถานศึกษาว่ามีมาตรฐาน การเรียนเปน็ เชน่ ไร 2. ใช้บอกความเด่น – ด้อย เป็นการใช้เพ่ือค้นและพัฒนาความสามารถของเด็ก กล่าวคือ เป็นการค้นหาลักษณะเด่นของเด็กเพ่ือให้การส่งเสริมได้ตรงตามความสามารถ ใน ขณะเดียวกันก็ช่วยค้นหาข้อบกพร่อง ต่างๆ ในการเรียนของเด็กๆ เพ่ือให้การช่วยเหลอื หรือแก้ไข ปรับปรงุ หรือให้การซ่อมเสรมิ การเรยี นตอ่ ไป การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 38

บทที่ 3 : คะแนนและการนาไปใช้ 3. ใช้บอกความงอกงาม เป็นการใช้เพ่ือบอกประสิทธภิ าพของการเรียนการสอน โดย ยึด ความเปลี่ยนแปลงของเด็กเป็นหลักว่าหลังจากมีการเรียนการสอนแล้วเด็กได้พัฒนา หรือ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ในลักษณะใด มากน้อยเพียงใด เพื่อ เป็นประโยชน์ในการแก้ไข ปรับปรุงวธิ ีการเรยี นของเด็ก หรือวิธกี ารสอนของครูตอ่ ไป 4. ใช้บอกคุณภาพเคร่ืองมือ เป็นผลพลอยได้ท่ีเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการ วัดผล การศกึ ษาเพราะการใช้ผลการสอบ ไปตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมอื นน้ั จะช่วยพัฒนาการ วัดผลในสถานศึกษานั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี จะทาให้มีเครื่องมือท่ีผ่าน การตรวจสอบคุณภาพและ แกไ้ ขปรบั ปรุงไว้ใช้ต่อไป http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit10/level10-2.html 3.การใหร้ ะดบั คะแนนหรือการตดั เกรด การให้ระดับคะแนนหรือการตัดเกรด เป็นกิจกรรมของการประเมนิ ผลการเรียน โดยการนาเอาข้อมูลทุกอย่างท่ีได้จากการวัดผลการเรียนรู้ด้วยวิธีการหลายๆ วิธีและด้วยการวัด หลายๆ ครั้ง ตลอดช่วงเวลาของการเรียนรายวิชาน้ัน มาพิจารณาสรุปอ้างอิงถึงความรู้ ความสามารถโดยรวมของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งสรุปออกมาเป็นสัญลักษณ์ตัวเลขหรือตัวอักษร ทา ให้มีหลักฐานรับรองสภาพความรู้ความสามารถแต่ละรายวิชาของผู้เรียน และยังใช้เป็นหลักฐาน รายงานผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนในภาพรวมของผู้เรียนแตล่ ะคนดว้ ย ดังน้ันการให้ระดบั คะแนนจึง เป็นกิจกรรมสาคัญที่ต้องปฏิบัติเสมอตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการวัดและประเมินผลในระบบอิง เกณฑ์หรืออิงกลุ่มก็ตาม สาหรับแนวคิดและรูปแบบของการให้ระดับคะแนนที่สาคัญมีดังนี้ (กฤธยากาญน์ โตพิทักษ์, 2561 :269) การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 39

บทท่ี 3 : คะแนนและการนาไปใช้ แนวคิดการใหร้ ะดับคะแนน การให้ระดับคะแนนมีความสาคัญต่อผู้เรียนมาก ดังน้ันการให้ระดับคะแนนจึงต้อง เป็นไปอย่างถูกต้องและยุติธรรม แนวคิดการให้ระดับคะแนนได้พอจะสรุป (ป่ินวดี ธนธานี, 2549 :177) ดังน้ี 1.1 การให้ระดับคะแนนควรกระทาโดยคานึงถึงประโยชน์ต่อการส่งเสริม พัฒนาการของผู้เรียนเป็นหลัก ดังน้ันการให้ระดับคะแนนนอกจากกระทาเพ่ือให้ทราบสภาพการ เรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ แล้ว ควรนามาพิจารณาวินิจฉัยในส่วนท่ีบกพร่องเพื่อปรับปรุง แก้ไขให้ดขี น้ึ ต่อไป 1.2 การพิจารณาให้ระดับคะแนน ควรใช้คะแนนจากผลการวัดหลายๆ ด้าน เนื่องจากพฤติกรรมทางการศึกษาประกอบด้วยพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้าน ทักษะพิสัย ดังนั้นการพิจารณาระดับคะแนนจึงควรใช้ข้อมูลทั้ง 3 ส่วนนี้ประกอบกัน ซึ่งข้อมูล เหล่านี้ได้มาโดยวิธีวัดหลายๆ วิธี เช่น สังเกตติดตามพฤติกรรมด้านจิตพิสัยระหว่างเรียน การวัด ความรู้ความสามารถตามสภาพจริงระหว่างเรียน การทดสอบความรู้ความสามารถ และวิธี ทดสอบภาคปฏิบัติ เป็นตน้ 1.3 เกณฑ์ท่ีนามาใช้ตัดสินคะแนน ต้องมีความชัดเจนและเหมาะสม การตัดสิน ระดับคะแนนต้องทาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะระดับคะแนนที่มีผลให้ผู้เรียนต้องเรียนแก้ตัวใหม่ ควรพิจารณาอย่างสมเหตุสมผล เพราะถ้าตัดสินไปโดยมีข้อมูลไม่เพียงพอ ก็เปรียบเสมือนการ สร้างบาปทางวชิ าการ 1.4 การตัดสินระดับคะแนนต้องใชค้ ุณธรรมอันสูงส่งของครูเป็นทีต่ ั้ง ต้องขจัดรอย พมิ พใ์ จตา่ งๆ เกีย่ วกบั ตัวผูส้ อบออกใหห้ มด เพอื่ ให้เกดิ ความยุตธิ รรมต่อทุกคนอยา่ งเสมอหน้ากัน การวัดและประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) 40


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook