1
คำนำ ในการจดั พมิ พ มตุ โตทัย และ ปฏปิ ต ติปุจฉาวสิ ัชนา คร้งั นี้ มีจุด ประสงคเพอื่ รวบรวมคำสอนของพอแมครูบาอาจารยห ลวงปูม น่ั ภรู ิทตั ตเถระ เขาไวด ว ยกนั O สำหรบั มตุ โตทัยนั้น ประกอบดวยเนื้อหาสองชดุ ดงั คำนำบาง สวนของหนังสือซึ่งพิมพแจกในงานฌาปนกิจศพพอแมครูบาอาจารย หลวงปูม น่ั เมือ่ วนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓ วา O “การที่ใหชื่อธรรมเทศนา ของทานอาจารยที่รวบรวมพิมพชุด แรกวา มตุ โตทยั นั้น อาศยั คำชมของเจา พระคณุ พระอบุ าลคี ณุ ูปมาจาร ย (สิรจิ ันทเถระ จนั ทร) เมื่อคราวทา นอาจารยแสดงธรรมวา ดว ยมลู กรรมฐาน ณ วิหารหลวงเชยี งใหมว า ทานอาจารยแ สดงธรรมดวยมตุ โตทัย เปน มุตโตทัย O คำนี้ทานอาจารยนำมาเปนปญหาถามในที่ประชุมพระภิกษุ เปรียญหลายรปู ซง่ึ มีขาพเจารวมอยูดว ย O ในคราวที่ทานมาพักกับขาพเจาที่วัดปาสุทธาวาส จังหวัด สกลนคร ขาพเจาทราบความหมายของคำนนั้ แลว O แตเ ห็นวา เปนอสาธารณนยั จงึ กลา วแกท างใจ ทันใดนน้ั ทานก็ พดู ขนึ้ วาขา พเจาแกถกู O ซึ่งทำความประหลาดใจใหแ กภกิ ษทุ งั้ หลายมิใชนอ ย ตา งกม็ ารมุ ถามขา พเจาวา ความหมายวาอยางไร? O ขา พเจาบอกใหท ราบแกบางองคเ ฉพาะที่นา ไวใจ 2
O คำวา มุตโตทัย มีความหมายเปน อสาธารณนยั ก็จริง แตอ าจเปน ความหมายมาเปนสาธารณนัยกไ็ ด O จึงไดนำมาใชเปนชื่อธรรมเทศนาของทานอาจารย โดยมุงใหมี ความหมายวาเปนธรรมเทศนาชี้บอกแนวทางปฏิบัติใหบังเกิดความหลุด พนจากกเิ ลสอาสวะ ซ่งึ ถาจะแปลสั้น ๆ กว็ า แดนเกิดแหง ความหลดุ พน น่ันเอง O ธรรมเทศนาชุดแรกนี้ พระภิกษวุ ริ ยิ งั คก บั พระภิกษทุ องคำ เปนผู บันทกึ ในสมัยทานอาจารยอ ยูจำพรรษา ณ เสนาสนะปา บา นโคกนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และตอนแรกไปอยู เสนาสนะปาบานหนองผือ ตำบลใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัด สกลนคร ขาพเจารับเอาบันทึกนั้นพรอมกับขออนุญาตทานอาจารย พิมพเผยแผ ทานก็อนุญาตและสั่งใหขาพเจาเรียบเรียงเสียใหมให เรยี บรอ ย ตัดสว นที่ไมค วรเผยแผออกเสียบา ง O ขาพเจาก็ไดปฏิบัติตามนั้นทุกประการ ถึงอยางนั้นก็ยังมีที่ กระเทอื นใจผูอานอยบู า ง O จึงขอชี้แจงไวในที่นี้ คือ ขอที่วา พระสัทธรรมเมื่อเขาไป ประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแลว ยอมกลายเปนของปลอมไปนั้น หมายความวา ไปปนเขา กับอัธยาศัยอนั ไมบรสิ ุทธ์ิเม่อื แสดงออกแกผูอ ื่น กม็ ักมอี ธั ยาศัยอนั ไมบ รสิ ุทธิ์ ปนออกมาดวย เพื่อรักษาพระสัทธรรมให บริสุทธ์ิสะอาดคงความหมายเดมิ อยูได ควรมกี ารปฏบิ ัติกำจดั ของปลอม คอื อปุ กิเลสอนั แทรกซมึ อยใู นอธั ยาศัยนั้นใหหมดไป O ซึ่งเปนความมุงหมายของทานผูแสดงที่จะชักจูงจิตใจของผูฟงให 3
นิยมในสัมมาปฏิบตั ยิ งิ่ ๆ ข้ึนไป ถาผฟู งมีใจสะอาด และเปน ธรรมแลว ยอ มจะใหส าธุการแกท านผแู สดงแนแ ท O ธรรมเทศนาของทานอาจารยท ี่ พระภิกษุทองคำ ญาโณภาโส กบั พระภกิ ษวุ นั อุตฺตโม จดบันทกึ ไวในปจฉมิ สมยั คอื ระหวา ง พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒ กอ นหนา มรณสมยั เพียงเลก็ นอยน้นั ไดร วบรวมนำมา เรยี บเรียงเขา หมวดหมู เชนเดียวกบั ครั้งกอน O ธรรมเทศนาของทา นอาจารย ทง้ั ๒ ชุดน้ี หากจะพมิ พเผยแผต อ ไป กค็ วรพิมพรวมกนั ในนามวา มุตโตทยั O และควรบอกเหตผุ ลและผทู ำดังท่ขี า พเจา ชีแ้ จงไวน ด้ี วย จะไดต ัด ปญ หาในเร่ืองช่อื และท่ีมาของธรรมเทศนาดว ย O พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโฺ ส) O เสนาสนะปา เขาสวนกวาง จ.ขอนแกน O ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓” O O ในสว นของ ปฏิปตติปจุ ฉาวสิ ัชนา น้ัน ไมป รากฏวาทา นใด เปนผูบ นั ทึก แตต ามเนื้อความเดมิ กลาววา “ตามหลกั ฐานทีบ่ ันทึกไวใน หนงั สอื ฉบับเดมิ วา พระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย (จมู พนฺธุโล) วัด โพธสิ มภรณ อำเภอเมือง จังหวดั อุดรธานี เปนผูปุจฉาทา นพระอาจารย มนั่ ภูริทตั โต เปน ผวู ิสัชนา” O ทงั้ น้ี เนอ้ื ความ และการสะกดคำตาง ๆ ไดพยายามคงตามรปู แบบเดิมไวท ง้ั หมด หากมีสว นใดผิดพลาด ขอทานผอู านโปรดอภัยและ ช้ีแจงขอผดิ พลาดนนั้ ดว ยจะดยี ่ิง เพอ่ื จะไดป รบั ปรุงแกไขตอ ไป 4
O ทา ยสุดนี้ คณะผจู ดั ทำมไิ ดห วงั ส่ิงใดย่งิ ไปกวา การเผยแผพระ ธรรมคำสั่งสอนของพอแมครูบาอาจารยผูซึ่งเปนสาวกของพระผูมีพระ ภาคเจาใหก วา งขวางออกไป O ขออนุโมทนาในกุศลที่ทานทั้งหลายจะไดศึกษาธรรมอันบริสุทธิ์ ตอไปนี้ดวยความยนิ ดีย่งิ ธัชชัย ธญั ญาวลั ย แพรวา มนั่ พลศรี [email protected] ๒๗ มถิ นุ ายน ๒๕๕๕ 5
มตุ โตทยั บนั ทกึ โดยพระอาจารยว ิริยังค สิรินธฺ โร ณ วดั ปาบานนามน กงิ่ อ. โคก ศรสี พุ รรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖ ๑. การปฏบิ ัติ เปนเคร่ืองยังพระสัทธรรมใหบ ริสทุ ธิ์ O สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทรงแสดงวาธรรมของพระตถาคต เมื่อเขาไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแลว ยอมกลายเปนของ ปลอม (สัทธรรมปฏิรปู ) แตถา เขา ไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระ อริยเจาแลวไซร ยอมเปน ของบริสทุ ธ์ิแทจรงิ และเปน ของไมลบเลือน ดวย เพราะฉะนนั้ เม่ือยงั เพียรแตเรยี นพระปรยิ ัตถิ ายเดียว จึงยังใชการ ไมไ ดด ี ตอเม่ือมาฝกหัดปฏิบตั ิจติ ใจกำจดั เหลา กะปอมกา คอื อุปกิเลส แลว น่ันแหละ จึงจะยงั ประโยชนใหสำเร็จเตม็ ที่ และทำใหพ ระสทั ธรรม บรสิ ุทธ์ิ ไมว ิปลาสคลาดเคลอ่ื นจากหลักเดิมดวย ๒. การฝกตนดแี ลวจึงฝกผอู นื่ ชอื่ วาทำตามพระพทุ ธเจา O ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสานํ พุทฺโธ ภควา O สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา ทรงทรมานฝกหัด พระองคจนไดตรัสรูพ ระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ เปน พุทฺโธ ผรู ูกอ น แลวจงึ เปน ภควา ผทู รงจำแนกแจกธรรมสัง่ สอนเวไนยสตั ว สตถฺ า จึง เปนครขู องเทวดาและมนษุ ย เปน ผูฝก บุรุษผมู ีอปุ นิสัยบารมคี วรแกก าร ทรมานในภายหลัง จงึ ทรงพระคุณปรากฏวา กลยฺ าโณ กิตฺติสทโฺ ท 6
อพภฺ คุ คฺ โต ชอ่ื เสียงเกียรตศิ พั ทอันดงี ามของพระองคยอ มฟงุ เฟองไปใน จตรุ ทิศจนตราบเทา ทกุ วนั น้ี แมพระอริยสงฆส าวกเจาทงั้ หลายท่ีลวงลับ ไปแลว กเ็ ชน เดยี วกัน ปรากฏวา ทานฝก ฝนทรมานตนไดด ีแลว จงึ ชว ย พระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สง่ั สอนประชุมชนในภายหลัง ทานจึง มีเกียรติคุณปรากฏเชนเดียวกับพระผูมีพระภาคเจา ถาบุคคลใดไม ทรมานตนใหดกี อนแลว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร ก็จกั เปน ผมู ีโทษ ปรากฏวา ปาปโกสทโฺ ท คือเปนผูมีชื่อเสียงชั่วฟุงไปในจตรุ ทิศ เพราะโทษท่ไี มท ำตามพระสัมมาสมั พทุ ธเจา และพระอริยสงฆส าวก เจา ในกอนทง้ั หลาย ๓. มูลมรดกอนั เปนตน ทุนทำการฝกฝนตน เหตุใดหนอ ปราชญทง้ั หลาย จะสวดกด็ ี จะรบั ศลี กด็ ี หรือจะทำการกศุ ล ใดๆ กด็ ี จึงตองตง้ั นโม กอ น จะทงิ้ นโม ไมไ ดเลย เมอื่ เปน เชน นี้ นโม ก็ ตองเปนสิ่งสำคัญ จงึ ยกข้นึ พจิ ารณา ไดความวา น คอื ธาตุน้ำ โม คอื ธาตุดิน พรอ มกับบาทพระคาถา ปรากฏขน้ึ มาวา มาตาเปตกิ สมภุ โว โอ ทนกมุ มฺ าสปจจฺ โย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเปน ตวั ตนข้ึนมา ได น เปน ธาตขุ อง มารดา โม เปนธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมือ่ ธาตทุ งั้ ๒ ผสมกนั เขาไป ไฟธาตขุ องมารดาเคยี่ วเขา จนไดนามวา กลละ คอื นำ้ มัน หยดเดียว ณ ท่ีนีเ้ อง ปฏิสนธิวญิ ญาณเขา ถือปฏสิ นธไิ ด จิตจึงไดถ อื ปฏสิ นธใิ นธาตุ นโม นั้น เมือ่ จิตเขา ไปอาศยั แลว กลละ ก็คอยเจริญขึ้น เปน อัมพชุ ะ คอื เปนกอนเลือด เจริญจากกอนเลอื ดมาเปน ฆนะ คือเปน แทง และ เปสี คอื ช้นิ เนือ้ แลว ขยายตวั ออกคลายรูปจงิ้ เหลน จึงเปน ปญ จสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ สวนธาตุ พ คอื ลม ธ คอื ไฟ นัน้ เปน 7
ธาตุเขามาอาศัยภายหลงั เพราะจติ ไมถ อื เมอื่ ละจากกลละน้นั แลว กลละ กต็ อ งทิง้ เปลา หรอื สญู เปลา ลมและไฟกไ็ มมี คนตาย ลมและไฟก็ดบั หาย สาปสูญไป จึงวาเปน ธาตุอาศยั ขอ สำคัญจงึ อยูทธี่ าตทุ งั้ ๒ คือ นโม เปน เดมิ O ในกาลตอมาเม่ือคลอดออกมาแลว กต็ อ งอาศัย น มารดา โม บดิ า เปนผทู ะนุถนอมกลอ มเกล้ียงเลีย้ งมาดว ยการใหข า วสกุ และขนมกุม มาส เปนตน ตลอดจนการแนะนำส่งั สอนความดที ุกอยาง ทานจึงเรยี ก มารดาบิดาวา บพุ พาจารย เปน ผสู อนกอนใครๆ ทั้งสนิ้ มารดาบดิ าเปน ผมู ีเมตตาจิตตอ บตุ รธิดาจะนบั จะประมาณมไิ ด มรดกที่ทำใหก ลาวคือรปู กายนแี้ ล เปน มรดกดั้งเดมิ ทรพั ยสนิ เงินทองอนั เปน ของภายนอกก็เปน ไป จากรปู กายนีเ้ อง ถา รูปกายนไ้ี มม ีแลว ก็ทำอะไรไมได ช่ือวาไมม ีอะไรเลย เพราะเหตุนัน้ ตัวของเราท้ังตวั นเ้ี ปน \"มลู มรดก\" ของมารดาบิดาทง้ั สิ้น จึงวาคุณทานจะนับจะประมาณมิไดเลย ปราชญทั้งหลายจึงหาไดละทิ้ง ไม เราตอ งเอาตัวเราคือ นโม ตั้งข้นึ กอนแลวจงึ ทำกริ ิยานอ มไหวล งภาย หลัง นโม ทานแปลวา นอบนอมน้ันเปน การแปลเพียงกิรยิ า หาไดแปล ตน กริ ยิ าไม มูลมรดกน้ีแลเปนตนทุน ทำการฝก หดั ปฏิบัติตนไมตอ งเปน คนจนทรพั ยส ำหรับทำทนุ ปฏบิ ัติ ๔. มลู ฐานสำหรบั ทำการปฏิบตั ิ O นโม น้ี เมื่อกลา วเพียง ๒ ธาตุเทาน้ัน ยงั ไมส มประกอบหรอื ยังไม เต็มสวน ตองพลกิ สระพยญั ชนะดังนี้ คอื เอาสระอะจากตวั น มาใสตัว ม เอาสระ โอ จากตวั ม มาใสตัว น แลว กลบั ตัว มะ มาไวห นา ตัว โน เปน มโน แปลวาใจ เมอ่ื เปนเชนน้จี ึงไดทั้งกายทงั้ ใจเตม็ ตามสวน สมควร 8
แกการใชเปน มูลฐานแหง การปฏิบตั ิได มโน คือใจนเี้ ปน ด้ังเดิม เปน มหา ฐานใหญ จะทำจะพดู อะไรกย็ อมเปน ไปจากใจน้ที งั้ หมด ไดในพระพทุ ธ พจนวา มโนปุพพฺ งฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมี ใจถึงกอน มีใจเปนใหญ สำเร็จแลวดวยใจ พระบรมศาสดาจะทรง บญั ญตั ิพระธรรมวนิ ยั ก็ทรงบัญญัตอิ อกไปจาก ใจ คอื มหาฐาน น้ที งั้ สิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผูไดมาพิจารณาตามจนถึงรูจัก มโน แจมแจงแลว มโน ก็สุดบญั ญตั ิ คอื พนจากบญั ญัตทิ งั้ สน้ิ สมมติทงั้ หลายในโลกนต้ี อง ออกไปจากมโนทง้ั ส้ิน ของใครก็กอ นของใคร ตา งคนตางถอื เอากอ นอัน น้ี ถอื เอาเปนสมมติบญั ญตั ิตามกระแสแหง นำ้ โอฆะจนเปนอวชิ ชาตัวกอ ภพกอชาตดิ ว ยการไมร ูเ ทา ดวยการหลง หลงถือวา เปน ตวั เรา เปน ของ เราไปหมด ๕. มลู เหตุแหงส่ิงทงั้ หลายในสากลโลกธาตุ O พระอภธิ รรม ๗ คัมภรี เวน มหาปฏ ฐาน มีนัยประมาณเทา น้ันเทา น้ี สว นคมั ภรี มหาปฏ ฐาน มีนยั หาประมาณมไิ ดเ ปน \"อนนั ตนยั \" เปน วิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจาเทานั้นที่จะรอบรูได เมื่อพิจารณาพระ บาลีที่วา เหตุปจจฺ โย น้ันไดความวา เหตุซึง่ เปนปจ จยั ดั้งเดิมของส่ิงทั้ง หลายในสากลโลกธาตนุ ้นั ไดแก มโน นน่ั เอง มโน เปนตวั มหาเหตุเปน ตัว เดมิ เปนส่งิ สำคญั นอนน้ันเปน แตอาการเทา น้ัน อารมฺมณ จนถึงอวิคคฺ ต จะเปนปจจัยไดก็เพราะมหาเหตุคือใจเปนเดิมโดยแท ฉะนั้น มโนซึ่ง กลา วไวใ นขอ ๔ ก็ดี ฐีติ ภูตํ ซงึ่ จะกลาวในขอ ๖ กด็ ี และมหาธาตุซึ่ง กลา วในขอนี้ก็ดี ยอมมีเนอ้ื ความเปนอันเดียวกัน พระบรมศาสดาจะทรง บัญญัตพิ ระธรรมวินัยก็ดี รอู ะไรๆ ไดด ว ย ทศพลญาณ กด็ ี รอบรู สรรพ 9
เญยฺยธรรม ท้ังปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนน้ั เปนดง้ั เดมิ ทีเดยี ว จึงทรง รอบรูไดเปนอนันตนัย แมสาวทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเปนเดิม จึง สามารถรูตามคำสอนของพระองคไดดวยเหตุนี้แลพระอัสสชิเถระผูเปนที่ ๕ ของพระปญ จวคั คยี จ ึงแสดงธรรมแก อุปตสิ ฺส (พระสารบี ุตร) วา เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหา สมโณ ความวา ธรรมทง้ั หลายเกิดแตเหตุ...เพราะวา มหาเหตนุ เี้ ปนตัว สำคญั เปนตัวเดมิ เมอ่ื ทานพระอสั สชิเถระกลา วถงึ ท่ีนี้ (คอื มหาเหตุ) ทานพระสารีบุตรจะไมหยั่งจิตลงถึงกระแสธรรมอยางไรเลา? เพราะ อะไร ทกุ สิ่งในโลกก็ตอ งเปน ไปแตมหาเหตุถึงโลกตุ ตรธรรม กค็ อื มหาเหตุ ฉะน้ัน มหาปฏ ฐาน ทานจึงวา เปน อนนั ตนัย ผมู าปฏบิ ตั ิใจคือตวั มหา เหตุจนแจมกระจางสวางโรแลวยอมสามารถรูอะไรๆ ทั้งภายในและ ภายนอกทุกสิ่งทกุ ประการ สุดจะนับจะประมาณไดด ว ยประการฉะน้ี ๖. มูลการของสังสารวัฏฏ O ฐตี ภิ ูตํ อวิชชฺ า ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ O คนเราทุกรูปนามที่ไดกำเนิดเกิดมาเปนมนุษยลวนแลวแตมีที่เกิด ทั้งสน้ิ กลา วคอื มบี ดิ ามารดาเปนแดนเกดิ กแ็ ลเหตุใดทานจงึ บญั ญัตปิ จจ ยาการแตเ พียงวา อวชิ ฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เทา นั้น อวิชชา เกดิ มาจากอะ ไรฯ ทา นหาไดบญั ญตั ิไวไม พวกเรากย็ ังมีบดิ ามารดาอวชิ ชากต็ องมพี อ แมเหมอื นกัน ไดความตามบาทพระคาถาเบอ้ื งตนวา ฐีตภิ ูตํ นั่นเองเปน พอแมของอวชิ ชา ฐีตภิ ูตํ ไดแก จติ ดง้ั เดมิ เมอ่ื ฐีติภูตํ ประกอบไปดว ย ความหลง จงึ มีเครื่องตอ กลาวคือ อาการของอวิชชาเกดิ ขนึ้ เมอ่ื มี อวิชชาแลวจึงเปนปจจัยใหปรุงแตงเปนสังขารพรอมกับความเขาไป 10
ยึดถอื จึงเปน ภพชาติคอื ตองเกิดกอตอ กนั ไป ทานเรียก ปจ จยาการ เพราะเปนอาการสืบตอกัน วิชชาและอวิชชาก็ตองมาจากฐีติภูตํเชน เดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรดวยวิชชาจึงรูเทาอาการทั้งหลายตาม ความเปน จรงิ น่ีพิจารณาดว ยวุฏฐานคามินี วปิ สสนา รวมใจความวา ฐีติ ภตู ํ เปนตัวการดั้งเดมิ ของสังสารวฏั ฏ (การเวยี นวา ยตายเกิด) ทา นจงึ เรยี กชอ่ื วา \"มลู ตันไตร\" (หมายถึงไตรลักษณ) เพราะฉะนน้ั เมอื่ จะตัด สังสารวัฏฏใหขาดสญู จึงตอ งอบรมบมตัวการด้ังเดมิ ใหมวี ชิ ชารูเทา ทนั อาการทั้งหลายตามความเปนจริง ก็จะหายหลงแลวไมกออาการทั้ง หลายใดๆ อีก ฐตี ิภูตํ อนั เปน มูลการก็หยดุ หมุน หมดการเวียนวายตาย เกิดในสงั สารวัฏฏดวยประการฉะนี้ ๗. อรรคฐาน เปน ทต่ี ง้ั แหงมรรคนิพพาน O อคคฺ ํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคคฺ ํ สตฺตวิสทุ ธยิ า O ฐานะอันเลิศมีอยูในมนุษย ฐานะอันดีเลิศนั้นเปนทางดำเนินไป เพอื่ ความบริสทุ ธิ์ของสตั ว โดยอธบิ ายวา เราไดรบั มรดกมาแลว จาก นโม คอื บดิ ามารดา กลาวคอื ตัวของเราน้ีแล อนั ไดก ำเนิดเกดิ มาเปนมนุษย ซึ่งเปนชาติสูงสุด เปนผูเลิศตั้งอยูในฐานะอันเลิศดวยดีคือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโนสมบัติบริบูรณ จะสรางสมเอาสมบัติภายนอก คือ ทรัพยสินเงินทองอยางไรก็ได จะสรางสมเอาสมบัติภายในคือมรรคผล นิพพานธรรมวเิ ศษกไ็ ด พระพทุ ธองคท รงบัญญตั ิพระธรรมวินยั ก็ทรง บญั ญตั แิ กม นุษยเ รานี้เอง มไิ ดท รงบญั ญัตแิ ก ชา ง มา โค กระบอื ฯลฯ ท่ไี หนเลย มนุษยน้ีเองจะเปน ผูป ฏบิ ัติถึงซ่ึงความบรสิ ทุ ธไิ์ ด ฉะนัน้ จงึ ไม ควรนอ ยเน้ือตำ่ ใจวา ตนมีบุญวาสนานอย เพราะมนุษยทำได เม่ือไมม ี 11
ทำใหมไี ด เมอื่ มีแลว ทำใหยง่ิ ไดสมดว ยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดา วา ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจโฺ จ สคคฺ ํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นสิ ฺสํสยํ เมอ่ื ไดท ำกองการกศุ ล คอื ใหทานรักษาศีลเจรญิ ภาวนาตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารยเ จา แลว บางพวกทำนอยก็ ตองไปสูสวรรค บางพวกทำมากและขยันจริงพรอมทั้งวาสนาบารมีแต หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเขาสูพระนิพพานโดยไมตองสงสัยเลย พวกสตั วด ริ จั ฉานทานมิไดก ลา ววาเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย ไมได จึงสมกับคำวามนุษยนี้ตั้งอยูในฐานะอันเลิศดวยดีสามารถนำตน เขาสูม รรคผล เขาสูพระนพิ พานอนั บริสทุ ธ์ิไดแ ล ๘. สติปฏฐาน เปน ชยั ภูมิ คือสนามฝก ฝนตน O พระบรมศาสดาจารยเ จา ทรงตัง้ ชยั ภูมิไวในธรรมขอไหน? เมื่อ พิจารณาปญหานี้ไดความขึ้นวา พระองคทรงตั้งมหาสติปฏฐานเปน ชัยภมู ิ อุปมาในทางโลก การรบทพั ชงิ ชยั มงุ หมายชยั ชนะจำตองหา ชยั ภูมิ ถา ไดชัยภมู ทิ ่ีดแี ลว ยอมสามารถปองกนั อาวุธของขา ศกึ ไดด ี ณ ที่ น้นั สามารถรวบรวมกำลงั ใหญเขาฆา ฟน ขาศึกใหป ราชัยพา ยแพไ ปได ท่ี เชน น้นั ทานจงึ เรียกวา ชัยภูมิ คือที่ท่ีประกอบไปดว ยคายคูประตูและหอ รบอันมน่ั คงฉนั ใด อปุ ไมยในทางธรรมกฉ็ นั น้นั ทเ่ี อามหาสติปฏ ฐานเปน ชยั ภูมิกโ็ ดยผทู จี่ ะเขาสสู งครามรบขาศกึ คอื กิเลส ตองพิจารณากายานุ ปสสนาสตปิ ฏ ฐานเปน ตนกอ น เพราะคนเราท่ีจะเกดิ กามราคะ เปนตน ขึ้น ก็เกิดท่กี ายและใจ เพราะตาแลไปเห็นกายทำใหใ จกำเริบ เหตนุ ้ันจงึ ไดค วามวา กายเปนเคร่ืองกอ เหตุ จงึ ตองพิจารณากายนกี้ อ น จะไดเปน เคร่ืองดับนิวรณทำใหใ จสงบได ณ ทน่ี พ้ี งึ ทำใหม าก เจรญิ ใหม าก คือ 12
พจิ ารณาไมตอ งถอยเลยทเี ดียว ในเม่ืออคุ คหนมิ ิตปรากฏ จะปรากฏกาย สวนไหนก็ตาม ใหพึงถือเอากายสวนที่ไดเห็นนั้นพิจารณาใหเปนหลักไว ไมตอ งยา ยไปพิจารณาทอ่ี ืน่ จะคดิ วา ทน่ี ่เี ราเห็นแลว ที่อ่นื ยงั ไมเห็น ก็ ตอ งไปพิจารณาทอี่ ืน่ ซิ เชน น้ีหาควรไม ถึงแมจะพิจารณาจนแยกกาย ออกมาเปนสว นๆ ทุกๆอาการอนั เปน ธาตุ ดิน นำ้ ลม ไฟ ไดอ ยาง ละเอยี ด ที่เรยี กวา ปฏิภาคก็ตาม กใ็ หพจิ ารณากายท่ีเราเหน็ ทีแรกดว ย อคุ คหนิมิตน้ันจนชำนาญ ที่จะชำนาญไดก ็ตอ งพิจารณาซำ้ แลว ซ้ำอีก ณ ทีเ่ ดียวนั้นเอง เหมือนสวดมนตฉะน้ัน อนั การสวดมนต เม่ือเราทองสูตรนี้ ไดแลว ทิ้งเสยี ไมเลาไมส วดไวอ กี กจ็ ะลมื เสียไมส ำเรจ็ ประโยชนอ ะไรเลย เพราะไมทำใหชำนาญดวยความประมาทฉันใด การพิจารณากายก็ฉัน นนั้ เหมือนกัน เมอ่ื ไดอุคคหนมิ ิตในทใ่ี ดแลว ไมพ จิ ารณาในท่นี น้ั ใหม าก ปลอยทงิ้ เสยี ดว ยความประมาทกไ็ มสำเรจ็ ประโยชนอะไรอยางเดยี วกนั การพจิ ารณากายนมี้ ที ี่อา งมาก ดงั่ ในการบวชทกุ วนั น้ี เบอ้ื งตนตอ งบอก กรรมฐาน ๕ กค็ ือ กายน้ีเอง กอนอืน่ หมดเพราะเปนของสำคญั ทา น กลาวไวใ นคมั ภีรพระธรรมบทขุทฺทกนกิ ายวา อาจารยผ ไู มฉลาด ไมบอก ซ่งึ การพจิ ารณากาย อาจทำลายอุปนสิ ัยแหงพระอรหันตข องกุลบุตรได เพราะฉะน้ันในทุกวันน้จี งึ ตอ งบอกกรรมฐาน ๕ กอ น O อีกแหง หน่ึงทานกลาววา พระพทุ ธเจาท้ังหลาย พระขีณาสวเจา ทง้ั หลาย ชอ่ื วา จะไมกำหนดกาย ในสวนแหง โกฏฐาส (คือการพิจารณา แยกออกเปน สว นๆ) ใดโกฏฐาสหนึ่งมิไดมีเลย จึงตรสั แกภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ผู กลาวถึงแผนดินวา บานโนนมีดินดำดินแดงเปนตนนั้นวา นั่นชื่อวา พหิทธฺ า แผนดนิ ภายนอกใหพวกทา นท้ังหลายมาพจิ ารณา อัชฌัตตกิ า แผนดินภายในกลาวคืออัตตภาพรางกายนี้ จงพิจารณาไตรตรองให 13
แยบคาย กระทำใหแ จง แทงใหต ลอด เมื่อจบการวสิ ชั ชนาปญหาน้ี ภกิ ษุ ทั้ง ๕๐๐ รูปกบ็ รรลุพระอรหนั ตผล O เหตุนั้นการพิจารณากายจงึ เปนของสำคัญ ผูท่จี ะพนทุกทั้งหมด ลวนแตตองพิจารณากายนี้ทั้งสิ้น จะรวบรวมกำลังใหญไดตองรวบรวม ดวยการพิจารณากาย แมพระพุทธองคเจาจะไดตรัสรูทีแรกก็ทรง พจิ ารณาลม ลมจะไมใชกายอยา งไร? เพราะฉะนน้ั มหาสติปฏฐาน มกี า ยานปุ ส สนาเปนตน จึงช่อื วา \"ชัยภมู \"ิ เมอื่ เราไดชยั ภูมิดแี ลว กลาวคอื ปฏิบัติตามหลักมหาสติปฏฐานจนชำนาญแลว ก็จงพิจารณาความเปน จรงิ ตามสภาพแหง ธาตุทั้งหลายดวยอุบายแหง วิปส สนา ซึ่งจะกลาวขา ง หนา ๙. อุบายแหงวปิ สสนา อนั เปน เครื่องถายถอนกเิ ลส O ธรรมชาตขิ องดีทัง้ หลาย ยอมเกดิ มาแตของไมดี อุปมาด่ังดอก ปทมุ ชาตอิ ันสวยๆ งามๆ ก็เกิดข้ึนมาจากโคลนตมอนั เปนของสกปรก ปฏิกูลนาเกลยี ด แตวา ดอกบวั น้นั เมื่อขน้ึ พน โคลนตมแลว ยอ มเปน สง่ิ ที่ สะอาด เปนทท่ี ัดทรงของพระราชา อปุ ราช อำมาตย และเสนาบดี เปนตน และดอกบัวนั้นก็มิไดกลับคืนไปยังโคลนตมนั้นอีกเลย ขอนี้ เปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจา ผูประพฤติพากเพียรประโยคพยายาม ยอ มพจิ ารณาซ่งึ สง่ิ สกปรกนาเกลียดน้ันก็คือตวั เราน้ีเอง รา งกายน้ีเปน ท่ปี ระชุมแหงของโสโครกคอื อจุ จาระ ปสสาวะ (มูตรคูถ) ท้งั ปวง ส่ิงที่ ออกจากผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เปนตน ก็เรยี กวา ขี้ ท้งั หมด เชน ขหี้ ัว ข้ี เลบ็ ข้ฟี น ขไ้ี คล เปนตน เมือ่ ส่งิ เหลาน้ีรวงหลนลงสูอาหาร มแี กงกบั เปน ตน ก็รงั เกยี จ ตอ งเททิ้ง กินไมได และรา งกายนตี้ องชำระอยูเ สมอจึง 14
พอเปน ของดไู ด ถา หาไมก็จะมีกลนิ่ เหมน็ สาป เขาใกลใครกไ็ มไ ด ของทงั้ ปวงมผี าแพรเคร่ืองใชตางๆ เมอื่ อยนู อกกายของเรากเ็ ปนของสะอาดนา ดู แตเ ม่ือมาถึงกายน้ีแลวกก็ ลายเปนของสกปรกไป เม่ือปลอ ยไวน านๆ เขาไมซ ักฟอกกจ็ ะเขา ใกลใ ครไมไ ดเลย เพราะเหม็นสาบ ดัง่ นี้จงึ ไดค วาม วารางกายของเราน้ีเปน เรอื นมตู ร เรือนคูถ เปน อสภุ ะ ของไมงาม ปฏกิ ลู นาเกลียด เมื่อยังมีชีวิตอยูก็เปนถึงปานนี้ เมื่อชีวิตหาไมแลว ยิ่งจะ สกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิไดเลย เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรเจาทั้ง หลายจึงพิจารณารางกายอันนี้ใหชำนิชำนาญดวย โยนิโสมนสิการ ตงั้ แตต นมาทเี ดยี ว คือขณะเม่อื ยงั เห็นไมทนั ชัดเจนกพ็ จิ ารณาสว นใดสว น หนึง่ แหง กายอันเปนทส่ี บายแกจ รติ จนกระทงั่ ปรากฏเปนอุคคหนมิ ติ คือ ปรากฏสวนแหงรางกายสวนใดสวนหนึ่งแลวก็กำหนดสวนนั้นใหมาก เจรญิ ใหม าก ทำใหมาก การเจริญทำใหมากนัน้ พึงทราบอยางน้ี อัน ชาวนาเขาทำนาเขากท็ ำที่แผน ดิน ไถที่แผนดนิ ดำลงไปในดนิ ปต อไปเขา ก็ทำทด่ี นิ อีกเชน เคย เขา ไมไดท ำในอากาศกลางหาว คงทำแตท่ดี ินอยาง เดยี ว ขา วเขาก็ไดเ ตม็ ยุง เต็มฉางเอง เมอื่ ทำใหมากในทดี่ นิ นัน้ แลว ไมตอง รองเรียกวา ขา วเอยขา ว จงมาเต็มยุงเนอ ขาวกจ็ ะหลั่งไหลมาเอง และ จะหามวา เขา เอยขา ว จงอยามาเต็มยุงเตม็ ฉางเราเนอ ถา ทำนาในที่ดิน นั้นเองจนสำเร็จแลว ขา วกม็ าเต็มยุงเต็มฉางเอง ฉันใดก็ดีพระโยคาวจร เจา กฉ็ ันนั้น จงพิจารณากายในท่เี คยพิจารณาอันถกู นิสัยหรือท่ีปรากฏ มาใหเหน็ คร้งั แรก อยาละทงิ้ เลยเปน อันขาด การทำใหมากนนั้ มิใชหมาย แตการเดินจงกรมเทานั้น ใหมีสติหรือพิจารณาในที่ทุกสถานในกาลทุก เม่อื ยนื เดิน นัง่ นอน กนิ ด่ืม ทำ คดิ พดู กใ็ หม สี ตริ อบคอบในกายอยู เสมอจึงจะช่อื วา ทำใหม าก เมอ่ื พิจารณาในรางกายน้นั จนชัดเจนแลว 15
ใหพจิ ารณาแบง สว นแยกสว นออกเปนสวนๆ ตามโยนิโสมนสิการตลอด จนกระจายออกเปนธาตดุ ิน ธาตุนำ้ ธาตุไฟ ธาตุลม และพิจารณาใหเห็น ไปตามนน้ั จรงิ ๆ อบุ ายตอนนี้ตามแตต นจะใครค รวญออกอบุ ายตามทีถ่ ูก จริตนสิ ัยของตน แตอ ยาละทงิ้ หลกั เดิมทตี่ นไดรูครั้งแรกนน่ั เทยี ว O พระโยคาวจรเจาเมอื่ พิจารณาในทีน่ ้ี พงึ เจริญใหมาก ทำใหม าก อยาพิจารณาครง้ั เดยี วแลวปลอยทิ้งตง้ั ครง่ึ เดือน ตง้ั เดือน ใหพจิ ารณา กา วเขา ไป ถอยออกมาเปน อนโุ ลม ปฏโิ ลม คือเขา ไปสงบในจติ แลว ถอยออกมาพจิ ารณากาย อยา งพจิ ารณากายอยา งเดยี ว หรือสงบทจี่ ิต แตอยางเดียว พระโยคาวจรเจาพิจารณาอยางนี้ชำนาญแลว หรือ ชำนาญอยา งยิ่งแลว คราวนี้แลเปนสว นที่จะเปนเอง คอื จิต ยอมจะรวม ใหญ เม่ือรวมพบ่ึ ลง ยอมปรากฏวาทกุ สิ่งรวมลงเปน อนั เดยี วกันคือหมด ทั้งโลกยอมเปนธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพรอมกันวาโลกนี้ราบ เหมือนหนา กลอง เพราะมีสภาพเปนอันเดยี วกัน ไมว า ปา ไม ภูเขา มนุษย สัตว แมที่สุดตัวของเราก็ตองลบราบเปนที่สุดอยางเดียวกัน พรอ มกับ ญาณสัมปยตุ ต คือรขู ึน้ มาพรอ มกัน ในท่นี ต้ี ดั ความสนเทห ใ น ใจไดเลย จึงชอื่ วา ยถาภูตญาณทัสสนวิปส สนา คอื ท้งั เหน็ ทัง้ รตู ามความ เปน จริง O ขั้นนเ้ี ปนเบ้อื งตน ในอันทจี่ ะดำเนินตอไป ไมใชท ส่ี ุดอนั พระโยคาว จรเจา จะพงึ เจริญใหมาก ทำใหม าก จึงจะเปน เพอ่ื ความรูย ่ิงอกี จนรอบ จนชำนาญเห็นแจง ชัดวา สงั ขารความปรงุ แตง อนั เปนความสมมตวิ า โนน เปนของของเรา โนนเปนเรา เปนความไมเที่ยงอาศัยอุปาทานความ ยดึ ถอื จงึ เปน ทกุ ข ก็แลธาตทุ ั้งหลาย เขาหากมีหากเปน อยอู ยางนี้ตัง้ แต ไหนแตไ รมา เกิด แก เจ็บ ตาย เกดิ ขึ้นเสอ่ื มไปอยูอยา งนีม้ ากอน เราเกิด 16
ตั้งแตดึกดำบรรพก็เปนอยูอยางนี้ อาศัยอาการของจิต ของขันธ ๕ ไดแ ก รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณไปปรงุ แตง สำคญั มั่นหมายทุก ภพทุกชาติ นับเปนอเนกชาตเิ หลือประมาณมาจนถึงปจ จบุ นั ชาติ จึง ทำใหจ ติ หลงอยูตามสมมติ ไมใชส มมติมาตดิ เอาเรา เพราะธรรมชาตทิ งั้ หลายทั้งหมดในโลกนี้ จะเปนของมีวิญญาณหรือไมก็ตาม เมื่อวาตาม ความจริงแลว เขาหากมหี ากเปน เกดิ ข้นึ เสือ่ มไป มีอยูอยา งน้ันทีเดยี ว โดยไมตอ งสงสยั เลยจงึ รขู ึ้นวา ปพุ เฺ พสุ อนนสุ ฺสเุ ตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดา เหลานี้ หากมมี าแตกอน ถึงวาจะไมไ ดย นิ ไดฟงมาจากใครก็มีอยูอยางนน้ั ทีเดยี ว ฉะนั้นในความขอนี้ พระพุทธเจาจงึ ทรงปฏญิ าณพระองควา เรา ไมไ ดฟง มาแตใ คร มไิ ดเ รียนมาแตใครเพราะของเหลา นมี้ อี ยู มมี าแตกอ น พระองคดังนี้ ไดความวาธรรมดาธาตุทั้งหลายยอมเปนยอมมีอยูอยาง นั้น อาศัยอาการของจิตเขาไปยึดถือเอาสิ่งทั้งปวงเหลานั้นมาหลายภพ หลายชาติ จึงเปน เหตใุ หอนสุ ัยครอบงำจติ จนหลงเชอ่ื ไปตาม จึงเปน เหตุ ใหก อ ภพกอ ชาตดิ ว ยอาการของจิตเขาไปยดึ ฉะนน้ั พระโยคาวจรเจามา พิจารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา สพฺเพ สฺงขารา อนจิ ฺจา สพฺ เพ สงขฺ ารา ทุกขฺ า สงั ขารความเขาไปปรงุ แตง คอื อาการของจติ นนั่ แล ไมเทย่ี ง สตั วโ ลกเขาเทีย่ ง คือมีอยเู ปน อยอู ยางนัน้ ใหพิจารณาโดย อรยิ สจั จธรรมท้ัง ๔ เปน เครือ่ งแกอ าการของจิตใหเหน็ แนแทโดย ปจจักข สิทธิ วา ตัวอาการของจติ น้เี องมนั ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข จึงหลงตามสงั ขาร เมื่อเห็นจริงลงไปแลว กเ็ ปน เครอื่ งแกอ าการของจิต จงึ ปรากฏข้นึ วา สงฺ ขารา สสฺสตา นตฺถิ สงั ขารท้งั หลายทเี่ ทีย่ งแทไมมี สังขารเปนอาการ ของจิตตา งหาก เปรียบเหมอื นพยับแดด สว นสัตวเ ขาก็อยูประจำโลกแต ไหนแตไ รมา เม่อื รูโดยเงือ่ น ๒ ประการ คอื รูวา สัตวก ็มอี ยูอ ยางนน้ั 17
สงั ขารกเ็ ปนอาการของจติ เขา ไปสมมติเขาเทา น้ัน ฐตี ภิ ูตํ จิตตั้งอยเู ดมิ ไมมีอาการเปนผหู ลุดพน ไดความวา ธรรมดาหรือธรรมท้ังหลายไมใช ตน จะใชต นอยา งไร ของเขาหากเกิดมีอยา งนน้ั ทา นจงึ วา สพเฺ พ ธมฺ มา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไมใ ชตน ใหพระโยคาวจรเจา พงึ พิจารณาให เห็นแจงประจักษตามนี้จนทำใหจิตรวมพึ่บลงไป ใหเห็นจริงแจงชัดตาม น้นั โดย ปจจกั ขสิทธิ พรอ มกับ ญาณสมั ปยุตต รวมทวนกระแสแก อนสุ ยั สมมตเิ ปนวิมตุ ติ หรือรวมลงฐีตจิ ิต อันเปนอยมู อี ยอู ยางนัน้ จนแจง ประจักษใ นที่นน้ั ดว ยญาณสมั ปยุตตว า ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ ดงั น้ี ในท่ี นี้ไมใชสมมติไมใชของแตงเอาเดาเอา ไมใชของอันบุคคลพึงปรารถนา เอาได เปน ของทีเ่ กิดเอง เปนเอง รเู อง โดยสวนเดียวเทานน้ั เพราะดวย การปฏิบัติอันเขม แขง็ ไมท อ ถอย พจิ ารณาโดยแยบคายดวยตนเอง จงึ จะ เปน ขึ้นมาเอง ทานเปรยี บเหมือนตนไมตา งๆ มตี น ขา วเปนตน เม่อื บำรุง รักษาตนมันใหดีแลว ผลคือรวงขาวไมใชสิ่งอันบุคคลพึงปรารถนา เอาเลย เปน ข้นึ มาเอง ถา แลบุคคลมาปรารถนาเอาแตรวงขาว แตห าได รักษาตนขาวไม เปนผเู กยี จครา น จะปรารถนาจนวันตาย รวงขาวกจ็ ะ ไมมีข้นึ มาใหฉันใด วิมฺตติธรรม ก็ฉนั นนั้ น่นั แล มิใชส งิ่ อนั บุคคลจะพงึ ปรารถนาเอาได คนผูปรารถนาวิมุตติธรรมแตปฏิบัติไมถูกตองหรือไม ปฏิบัติมัวเกียจครานจนวันตายจะประสบวิมุตติธรรมไมไดเลย ดวย ประการฉะนี้ ๑๐. จิตเดมิ เปน ธรรมชาติใสสวาง แตมดื มวั ไปเพราะอุปกเิ ลส O ปภสฺสรมิทํ ภกิ ฺขเว จติ ตฺ ํ ตฺจ โข อาคนตฺ เุ กหิ อปุ กิเลเสหิ อุ ปกกฺ ลิ ิฏฐํ 18
O ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจงสวางมาเดิม แตอาศัย อปุ กิเลสเครือ่ งเศรา หมองเปน อาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุมหอ จึงทำให จติ มิสอ งแสงสวา งได ทา นเปรยี บไวในบทกลอนหนึง่ วา \"ไมชะงกหกพนั งา(กง่ิ ) กะปอมกากิง้ กาฮอ ย กะปอมนอ ยขนึ้ ม้อื พนั คร้นั ตัวมาบท ัน ข้นึ นำคูมอื้ ๆ\" โดยอธบิ ายวา คำวาไมชะงก ๖,๐๐๐ งา นน้ั เมื่อตดั ศนู ย ๓ ศนู ยอ อกเสียเหลอื แค ๖ คงไดค วามวา ทวารท้งั ๖ เปนที่มาแหง กะปอ มกา คือของปลอมไมใชข องจรงิ กิเลสท้ังหลายไมใ ชข องจรงิ เปน สงิ่ สญั จรเขา มาในทวารท้งั ๖ นบั รอ ยนับพนั มิใชแตเ ทานน้ั กิเลสทงั้ หลาย ที่ยังไมเกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไมแสวงหาทางแก ธรรมชาติของจิตเปนของผอ งใสย่ิงกวา อะไรทง้ั หมด แตอ าศยั ของปลอม กลา วคืออุปกเิ ลสทสี่ ญั จรเขามาปกคลมุ จึงทำใหหมดรศั มี ดจุ พระอาทิตย เม่ือเมฆบดบังฉะน้นั อยาพึงเขา ใจวา พระอาทติ ยเขาไปหาเมฆ เมฆไหล มาบดบงั พระอาทิตยตา งหาก ฉะน้ัน ผูบ ำเพ็ญเพียรท้งั หลายเมอ่ื รูโ ดย ปริยายนี้แลว พึงกำจัดของปลอมดวยการพิจารณาโดยแยบคายตามที่ อธิบายแลว ในอุบายแหงวิปสสนาขอ ๙ นั้นเถดิ เม่ือทำใหถ งึ ขั้นฐีติจติ แลว ชือ่ วา ยอมทำลายของปลอมไดห มดสิน้ หรือวา ของปลอมยอมเขาไป ถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชือ่ มตอถกู ทำลายขาดสะบ้ันลงแลว แมย งั ตอ ง เก่ยี วของกับอารมณของโลกอยูก็ยอมเปน ดุจนำ้ กล้ิงบนใบบัวฉะน้นั ๑๑. การทรมานตนของผูบำเพญ็ เพยี ร ตอ งใหพอเหมาะกับอปุ นสิ ยั O นายสารถีผูฝกมามีชื่อเสียงคนหนึ่ง มาเฝาพระพุทธเจาทูลถาม ถึงวธิ ีทรมานเวไนย พระองคท รงยอ นถามนายสารถีกอนถงึ การทรมาณ มา เขาทูลวามามี ๔ ชนิด คือ ๑. ทรมานงาย ๒. ทรมานอยางกลาง ๓. 19
ทรมานยากแท ๔. ทรมานไมไ ดเ ลย ตอ งฆา เสีย พระองคจงึ ตรสั วาเราก็ เหมอื นกนั ๑. ผูทรมาณงา ย คอื ผปู ฏิบตั ทิ ำจติ รวมงา ยใหกนิ อาหารเพียง พอ เพ่อื บำรุงรา งกาย ๒. ผูทรมานอยา งกลาง คือผูปฏบิ ัตทิ ำจิตไมค อย จะลง ก็ใหก ินอาหารแตน อยอยาใหม าก ๓. ทรมานยากแท คอื ผปู ฏิบตั ิ ทำจติ ลงยากแท ไมตองใหก นิ อาหารเลย แตต อ งเปน อตตฺ ฺ ู รกู ำลัง ของตนวา จะทนทานไดส กั เพยี งไร แคไ หน ๔. ทรมานไมไดเ ลย ตอ งฆา เสีย คือผปู ฏิบตั ิทำจติ ไมได เปน ปทปรมะ พระองคทรงชักสะพานเสยี กลาวคือไมท รงรบั สง่ั สอน อปุ มาเหมอื นฆา ทง้ิ เสียฉะนั้น ๑๒. มลู ตกิ สูตร O ตกิ แปลวา ๓ มลู แปลวา เคามลู รากเหงา รวมความวาส่ิงซง่ึ เปน รากเหงาเคามลู อยา งละ ๓ คอื ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรยี ก ๓ อกศุ ลมลู ตัณหา ก็มี ๓ คือกามตัณหา ภวตณั หา วิภวตัณหา โอฆะและอาสวะก็มี อยางละ ๓ คือ กามะ ภาวะ อวิชชา ถาบุคคลมาเปน ไปกับดวย ๓ เชน น้ี ติปรวิ ตฺตํ ก็ตองเวยี นไปเปน ๓ ๓ ก็ตองเปน โลก ๓ คือ กามโลก รูปโลก อรปู โลก อยอู ยา งน้นั แล เพราะ ๓ นนั้ เปนเคามูลโลก ๓ เครือ่ งแกกม็ ี ๓ คอื ศีล สมาธิ ปญ ญา เมื่อบคุ คลดำเนนิ ตนตามศีล สมาธิ ปญ ญา อนั เปน เครอ่ื งแก น ติปริวตตฺ ํ กไ็ มต อ งเวียนไปเปน๓ ๓ ก็ไมเ ปน โลก ๓ ช่ือวาพนจากโลก ๓ แล ๑๓. วิสุทธเิ ทวาเทาน้นั เปน สันตบุคคลแท O อกุปฺป สพพฺ ธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสสฺ นโฺ ต O บุคคลผูมีจิตไมกำเริบในกิเลสทั้งปวง รูธรรมทั้งหลายทั้งที่เปน 20
พหทิ ธาธรรม ทงั้ ท่ีเปน อัชฌัตติกาธรรม สนฺโต จงึ เปน ผสู งบระงับ สัน ตบุคคลเชนน้ีแลทจี่ ะบรบิ รู ณดว ยหิรโิ อตตัปปะ มธี รรมบรสิ ทุ ธิ์สะอาด มี ใจมั่นคงเปนสัตบุรุษผูทรงเทวธรรมตามความในพระคาถาวา หิริ โอตฺตปปฺ สมปฺ นฺนา สกุ ฺกธมมฺ สมาหิตา สนโฺ ต สปปฺ รุ สิ า โลเก เทวธมมฺ าติ วุจจฺ เร อปุ ต ติเทวา ผูพ รัง่ พรอ มดวยกามคุณ วุน วายอยูดว ยกิเลส เหตุ ไฉนจงึ จะเปน สันตบุคคลได ความในพระคาถาน้ียอมตอ งหมายถึงวิสุทธิ เทวา คือพระอรหนั ตแนนอน ทา นผูเ ชนนน้ั เปน สันตบุคคลแท สมควรจะ เปน ผบู ริบรู ณด ว ยหริ ิโอตตปั ปะ และ สกุ กฺ ธรรม คือ ความบริสทุ ธแิ์ ท ๑๔. อกริ ยิ าเปนท่ีสดุ ในโลก - สดุ สมมตบิ ญั ญัติ f สจฺจานํ จตโุ ร ปทา ขณี าสวา ชุตมิ นโฺ ต เต โลเก ปรินพิ พฺ ตุ า O สจั ธรรมทง้ั ๔ คือ ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ยงั เปนกิรยิ า เพราะ แตละสจั จะๆ ยอ มมอี าการตอ งทำคือ ทุกข- ตอ งกำหนดรู สมทุ ัย-ตองละ นโิ รธ-ตอ งทำใหแ จง มรรค-ตอ งเจรญิ ใหมาก ดังน้ลี ว นเปน อาการทีจ่ ะ ตอ งทำทั้งหมด ถา เปนอาการทจ่ี ะตอ งทำ ก็ตองเปนกิริยาเพราะเหตุนั้น จึงรวมความไดวา สจั จะทั้ง ๔ เปนกริ ิยา จึงสมกับบาทคาถาขา งตนนนั้ ความวาสัจจะทงั้ ๔ เปนเทา หรือเปน เครือ่ งเหยียบกา วข้ึนไป หรือกาว ขน้ึ ไป ๔ พกั จงึ จะเสรจ็ กิจ ตอ จากนนั้ ไปจงึ เรียกวา อกริ ิยา O อปุ มา ดงั เขยี นเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แลว ลบ ๑ ถงึ ๙ ทิ้งเสยี เหลอื แต ๐ (ศนู ย) ไมเขียนอกี ตอไป คงอา นวา ศนู ย แตไมมคี า อะไรเลย จะนำไปบวกลบคณู หารกบั เลขจำนวนใดๆ ไมไ ดท้ังส้นิ แตจะ ปฏิเสธวาไมม หี าไดไม เพราะปรากฏอยูวา ๐ (ศนู ย) น่ีแหละ คอื ปญ ญา รอบรู เพราะลายกิริยา คือ ความสมมติ หรอื วาลบสมมติลงเสยี จนหมด 21
ส้ิน ไมเ ขาไปยึดถอื สมมติทัง้ หลาย คำวาลบ คอื ทำลายกิรยิ า กลาวคอื ความสมมติ มีปญหาสอดข้นึ มาวา เมื่อทำลายสมมติหมดแลวจะไปอยู ท่ีไหน? แกวา ไปอยูในที่ไมส มมติ คือ อกริ ยิ า น่นั เอง เน้อื ความตอนนี้ เปนการอธิบายตามอาการของความจริง ซึ่งประจักษแกผูปฏิบัติโดย เฉพาะ อนั ผูไมปฏิบัตหิ าอาจรไู ดไม ตอเม่ือไรฟง แลวทำตามจนรเู องเหน็ เองนัน่ แลจึงจะเขา ใจได O ความแหง ๒ บาทคาถาตอไปวา พระขณี าสวเจาทง้ั หลายดับโลก สามรุง โรจนอยู คอื ทำการพจิ ารณาบำเพย็ เพียรเปน ภาวิโต พหุลีกโต คือทำใหมาก เจริญใหมาก จนจิตมีกำลังสามารถพิจารณาสมมติทั้ง หลายทำลายสมมติทั้งหลายลงไปไดจนเปนอกิริยาก็ยอมดับโลกสามได การดับโลกสามนั้น ทานขีณาสวเจาทั้งหลายมิไดเหาะขึ้นไปนกามโลก รปู โลก อรปู โลกเลยทเี ดียว คงอยูกับท่ีนัน่ เอง แมพระบรมศาสดาของ เราก็เชนเดียวกัน พระองคประทับนั่งอยู ณ ควงไมโพธิพฤกษแหง เดียวกัน เม่ือจะดบั โลกสาม กม็ ไิ ดเหาะขึน้ ไปในโลกสาม คงดับอยทู ่ีจิต ทิ่ จติ นน้ั เองเปนโลกสาม ฉะนน้ั ทา นผตู องการดับโลกสาม พึงดับท่ีจติ ของ ตนๆ จงึ ทำลายกิรยิ า คอื ตวั สมมติหมดสิน้ จากจิต ยงั เหลือแตอกริ ยิ า เปน ฐตี จิ ติ ฐตี ิธรรมอันไมรจู กั ตาย ฉะนแ้ี ล ๑๕. สัตตาวาส ๙ O เทวาพภิ พ มนุสสโลก อบายโลก จดั เปน กามโลก ที่อยูอาศัยของ สตั วเสพกามรวมเปน ๑ รปู โลก ทอ่ี ยอู าศยั ของสตั วผสู ำเรจ็ รปู ฌานมี ๔ อรปู โลก ท่ีอยอู าศัยของสตั วผ สู ำเรจ็ อรูปฌานมี ๔ รวมทัง้ สน้ิ ๙ เปน ที่ อยอู าศยั ของสัตว ผมู ารูเ ทาสตั ตาวาส ๙ กลา วคือ พระขีณาสวเจา ท้ัง 22
หลาย ยอ มจากท่อี ยขู องสตั ว ไมต อ งอยูในท่ี ๙ แหงนี้ และปรากฏใน สามเณรปญหาขอสุดทายวา ทส นาม กึ อะไรชื่อวา ๑๐ แกวา ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระขณี าสวเจา ผปู ระกอบดวยองค ๑๐ ยอมพน จากสัต ตาวาส ๙ ความขอนคี้ งเปรยี บไดกบั การเขียนเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นนั่ เอง ๑ ถงึ ๙ เปนจำนวนทนี่ บั ได อา นได บวกลบคณู หารกนั ได สว น ๑๐ ก็คือ เลข ๑ กบั ๐ (ศนู ย) เราจะเอา ๐ (ศูนย) ไปบวกลบคูณ หารกบั เลขจำนวนใดๆ ก็ไมท ำใหเ ลขจำนวนน้ันมคี าสูงขน้ึ และ ๐ (ศนู ย) นีเ้ มอื่ อยโู ดยลำพงั กไ็ มม คี าอะไร แตจะวา ไมม ีกไ็ มได เพราะเปนส่งิ ปรากฏ อยู ความเปรียบนฉ้ี นั ใด จิตใจกฉ็ ันนน้ั เปนธรรมชาติ มลี กั ษณะเหมอื น ๐ (ศนู ย) เม่อื นำไปตอเขา กับเลขตวั ใด ยอมทำใหเ ลขตัวนน้ั เพิม่ คา ขึ้นอีก มาก เชน เลข ๑ เมือ่ เอาศนู ยต อเขา กก็ ลายเปน ๑๐ (สบิ ) จิตใจเรานี้ก็ เหมือนกัน เมื่อตอ เขากบั ส่ิงทง้ั หลายก็เปนของวจิ ติ รพสิ ดารมากมายข้นึ ทนั ที แตเ มอื่ ไดรบั การฝก ฝนอบรมจนฉลาดรอบรูสรรพเญยยฺ ธรรมแลว ยอ มกลบั คืนสสู ภาพ ๐ (ศนู ย) คือ วางโปรง พน จากการนับการอานแลว มไิ ดอ ยใู นที่ ๙ แหงอนั เปน ท่ีอยูของสัตว แตอยใู นทหี่ มดสมมตบิ ญั ญตั คิ อื สภาพ ๐ (ศนู ย) หรอื อกิริยาดงั กลาวในขอ ๑๔ นน่ั เอง ๑๖. ความสำคัญของปฐมเทศนา มชั ฌิมเทศนา และปจ ฉิมเทศนา O พระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจาใน ๓ กาลมี ความสำคัญยง่ิ อันพทุ ธบรษิ ทั ควรสนใจพจิ ารณาเปนพเิ ศษ คอื O ก. ปฐมโพธิกาล ไดทรงแสดงธรรมแกพระปญ จวคั คยี ที่ปา อิสิป ตนมฤคทายวัน เมอื งพาราณสี เปน คร้งั แรกเปน ปฐมเทศนา เรยี กวา ธรรมจักร เบ้อื งตนทรงยกสว นสุด ๒ อยา งอนั บรรพชิตไมค วรเสพข้ึนมา 23
แสดงวา เทว เม ภกิ ฺขเว อนฺตา ปพพฺ ชิเตน น เสวติ พพฺ า ภิกษทุ ้ังหลาย สว นที่สดุ ๒ อยา งอนั บรรพชิตไมพึงเสพ คอื กามสขุ ัลลกิ า และอัตตกลิ ม ถา อธิบายวา กามสขุ ลั ลกิ า เปนสวนแหงความรัก อัตตกลิ มถา เปนสว น แหงความชงั ทั้ง ๒ สว นนีเ้ ปนตัวสมทุ ยั เม่ือผบู ำเพญ็ ตบะธรรมทั้งหลาย โดยอยูซ ึง่ สว นท้งั สองน้ี ชอ่ื วา ยงั ไมเขาทางกลาง เพราะเมือ่ บำเพ็ญเพยี ร พยายามทำสมาธิ จิตสงบสบายดเี ต็มที่ก็ดใี จ ครัน้ เมื่อจิตนกึ คิดฟงุ ซาน รำคาญก็เสียใจ ความดีใจน้นั คือ กามสขุ ัลลกิ า ความเสยี ใจน้ันแล คือ อัตตกิลมถา ความดใี จก็เปน ราคะ ความเสยี ใจกเ็ ปนโทสะ ความไมรเู ทา ในราคะ โทสะ ทัง้ สองนเ้ี ปนโมหะ ฉะนนั้ ผทู ่ีพยายามประกอบความ เพียรในเบื้องแรกตองกระทบสวนสุดทั้งสองนั้นแลกอน ถาเมื่อกระทบ สวน ๒ น้นั อยู ชือ่ วาผดิ อยแู ตเปน ธรรมดาแทท ีเดียว ตอ งผิดเสยี กอนจึง ถูก แมพระบรมศาสดาแตกอ นน้นั พระองคก็ผดิ มาเตม็ ท่เี หมือนกนั แม พระอคั รสาวกท้งั สอง ก็ซำ้ เปน มิจฉาทฐิ มิ ากอ นแลวทง้ั ส้ิน แมสาวกทัง้ หลายเหลา อ่นื ๆ กล็ ว นแตผดิ มาแลวท้งั น้ัน ตอ เมื่อพระองคมาดำเนินทาง กลาง ทำจิตอยูภ ายใตร ม โพธิพฤกษ ไดญาณ ๒ ในสองยามเบ้อื งตน ใน ราตรี ไดญาณท่ี ๓ กลาวคืออาสวกั ขยญาณในยามใกลรงุ จึงไดถกู ทาง กลางอนั แทจ ริงทำจติ ของพระองคใ หพน จากความผิด กลาวคอื ...สวนสุด ทั้งสองน้นั พนจากสมมติโคตร สมมติชาติ สมมตวิ าส สมมตวิ งศ และ สมมติประเพณี ถงึ ความเปนอริยโคตร อรยิ ชาติ อรยิ วาส อรยิ วงศ และ อรยิ ประเพณี สว นอริยสาวกทง้ั หลายน้ันเลา กม็ ารูตามพระองค ทำใหได อาสวักขยญาณพนจากความผิดตามพระองคไป สวนเราผูปฏิบัติอยูใน ระยะแรกๆ ก็ตอ งผดิ เปนธรรมดา แตเมอ่ื ผดิ กต็ อ งรูเ ทาแลวทำใหถกู เมอ่ื ยงั มีดีใจเสียใจในการบำเพญ็ บญุ กุศลอยู ก็ตกอยใู นโลกธรรม เม่อื ตกอยู 24
ในโลกธรรม จึงเปนผูหวั่นไหวเพราะความดีใจเสียใจนั่นแหละ ชื่อวา ความหวน่ั ไหวไปมา อปุ ฺปนฺโน โข เม โลกธรรมจะเกดิ ท่ีไหน เกิดทีเ่ รา โลกธรรมมี ๘ มรรคเครื่องแกกม็ ี ๘ มรรค ๘ เครอ่ื งแกโลกธรรม ๘ ฉะนั้น พระองคจ งึ ทรงแสดงมชั ฌมิ าปฏปิ ทาแกส วน ๒ เมอื่ แกสว น ๒ ได แลว กเ็ ขา สูอริยมรรค ตดั กระแสโลก ทำใจใหเปนจาโค ปฏนิ ิสฺสคโฺ ค มตุ ฺติ อนาลโย (สละสลดั ตดั ขาดวางใจหายหวง) รวมความวา เมอ่ื สว น ๒ ยงั มี อยใู นใจผใู ดแลว ผนู นั้ กย็ งั ไมถูกทาง เมือ่ ผมู ใี จพนจากสว นท้งั ๒ แลว ก็ ไมหวั่นไหว หมดธลุ ี เกษมจากโยคะ จึงวาเนื้อความแหง ธรรมจกั รสำคญั มาก พระองคท รงแสดงธรรมจักรนย้ี งั โลกธาตใุ หห วนั่ ไหว จะไมห วน่ั ไหว อยา งไร เพราะมใี จความสำคัญอยางน้ี โลกธาตกุ ม็ ิใชอ ะไรอื่น คือตัวเรา นี้เอง ตัวเราก็คือธาตุของโลก หวั่นไหวเพราะเห็นในของที่ไมเคยเห็น เพราะจติ พนจากสว น ๒ ธาตุของโลกจึงหวัน่ ไหว หวัน่ ไหวเพราะจะไมม า กอ ธาตขุ องโลกอกี แล O ข. มัชฌิมโพธิกาล ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขในชุมชนพระ อรหันต ๑,๒๕๐ องค ณ พระราชอุทยานเวฬวุ นั กลนั ทกนวิ าปสถาน กรุงราชคฤหใจความสำคัญตอนหนึ่งวา อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ พึงเปนผูท ำจติ ใหย ิ่ง การทจี่ ะทำจิตใหยง่ิ ไดตอ งเปนผูส งบ ระงับ อจิ ฺฉา โลภสมาปนโฺ น สมโณ กึ ภวิสฺสติ เม่อื ประกอบดว ยความ อยากด้ินรนโลภหลงอยูแ ลวจกั เปนผสู งระงับไดอ ยา งไร ตอ งเปน ผปู ฏิบตั ิ คือปฏิบัติพระวินัยเปนเบื้องตน และเจริญกรรมฐานตั้งตนแตการเดิน จงกรม น่ังสมาธิ ทำใหม าก เจรญิ ใหม าก ในการพจิ ารณามหาสตปิ ฏ ฐาน มกี ายนุปสสนาสติปฏฐาน เปนเบ้อื งแรก พงึ พิจารณาสวนแหง รางกาย โดยอาการแหงบริกรรมสวนะคือ พิจารณาโดยอาการคาด 25
คะเน วาสวนนั้นเปนอยางนั้นดวยการมีสติสัมปชัญญะไปเสียกอน เพราะเม่ือพจิ ารณาเชนนี้ใจไมหา งจากกาย ทำใหรวมงา ย เมอื่ ทำใหม าก ในบรกิ รรมสวนะแลว จกั เกดิ ขึน้ ซึง่ อุคคหนิมิตใหช ำนาญในทนี่ ้นั จนเปน ปฏภิ าค ชำนาญในปฏิภาคโดยยง่ิ แลว จักเปนวิปส สนา เจรญิ วิปส สนาจน เปน วปิ ส สนาอยางอุกฤษฏ ทำจิตเขา ถึงฐตี ภิ ตู ํ ดงั กลา วแลว ในอบุ ายแหง วปิ สสนาชื่อวาปฏิบัติ เมอ่ื ปฏิบัตแิ ลว โมกฺขํ จงึ จะขา มพน จึงพนจากโลก ช่อื วาโลกตุ ตรธรรม เขมํ จงึ เกษมจากโยคะ (เครือ่ งรอย) ฉะนน้ั เน้อื ความในมัชฌิมเทศนาจึงสำคัญเพราะเล็งถึงวิมุตติธรรมดวยประการฉะนี้ และฯ O ค. ปจ ฉมิ โพธิกาล ทรงแสดงปจฉมิ เทศนาในที่ชุมชนพระอริย สาวก ณ พระราชอุทยานสาลวนั ของมลั ลกษตั รยิ ก รงุ กุสนิ ารา ในเวลา จวนจะปรินพิ พานวา หนทฺ านิ อามนฺตยามิ โว ภกิ ฺขเว ปฏเิ วทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมฺปาเทถ เราบอกทา นท้ัง หลายวาจงเปนผูไมประมาท พจิ ารณาสงั ขารทเี่ กดิ ข้ึนแลว เส่ือมไป เมื่อ ทานทั้งหลายพิจารณาเชนนั้นจักเปนผูแทงตลอด พระองคตรัสพระ ธรรมเทศนาเพยี งเทา นีก้ ็ปดพระโอษฐมิไดตรัสอะไรตอ ไปอกี เลย จงึ เรียก วา ปจฉิมเทศนาอธบิ ายความตอไปวา สงั ขารมนั เกิดขน้ึ ทีไ่ หน อะไรเปน สังขาร สังขารมันก็เกิดขึ้นที่จิตของเราเองเปนอาการของจิตพาใหเกิด ขนึ้ ซง่ึ สมมตทิ ั้งหลาย สังขารนแ้ี ล เปนตวั การสมมตบิ ัญญัตสิ ่ิงทั้งหลาย ในโลกความจริงในโลกทั้งหลายหรือธรรมธาตุทั้งหลายเขามีเขาเปนอยู อยา งนัน้ แผนดิน ตน ไม ภูเขา ฟา แดด เขาไมไดว า เขาเปนนน้ั เปนน้ีเลย เจาสังขารตัวการน้เี ขา ไปปรงุ แตง วา เขาเปนนัน้ เปนน้จี นหลงกันวา เปน จริง ถอื เอาวา เปนตวั เรา เปนของๆ เราเสียสิ้น จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ 26
เกิดขน้ึ ทำจติ ดง้ั เดมิ ใหห ลงตามไป เกดิ แก เจบ็ ตาย เวียนวายไปไมม ที ่ี ส้ินสดุ เปน อเนกภพ อเนกชาติ เพราะเจาตัวสงั ขารนัน้ แลเปนตัวเหตุ จงึ ทรงสอนใหพจิ ารณาสังขารวา สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา สพฺเพ สงขฺ ารา ทกุ ฺขา ใหเปนปรชี าญาณชดั แจง เกิดจากผลแหง การเจรญิ ปฏิภาคเปน สว นเบ้ืองตน จนทำจติ ใหเ ขา ภวังค เมือ่ กระแสแหงภวงั คห ายไป มีญาณ เกิดขนึ้ วา \"นน้ั เปนอยา งนน้ั เปน สภาพไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข\" เกิดข้นึ ในจิต จริงๆ จนชำนาญเหน็ จริงแจงประจกั ษ กร็ เู ทาสงั ขารได สังขารกจ็ ะมา ปรุงแตง ใหจ ิตกำเรบิ อกี ไมได ไดในคาถาวา อกปุ ฺป สพพฺ ธมเฺ มสุ เญยฺยธมฺ มา ปเวสสฺ นโฺ ต เม่ือสงั ขารปรงุ แตงจิตไมไ ดแ ลว ก็ไมกำเรบิ รูเ ทา ธรรมทง้ั ปวง สนฺโต ก็เปนผสู งบระงบั ถึงซึ่งวิมตุ ติธรรม ดวยประการฉะนี้ ปจ ฉิมเทศนานเ้ี ปน คำสำคญั แท ทำใหผูพจิ ารณารแู จงถึงทสี่ ดุ พระองค จงึ ไดปดพระโอษฐแ ตเพยี งน้ี O พระธรรมเทศนาใน ๓ กาลน้ี ยอมมีความสำคญั เหนือความ สำคญั ในทกุ ๆ กาล ปฐมเทศนากเ็ ลง็ ถงึ วมิ ตุ ตธิ รรม มัชฌมิ เทศนากเ็ ล็งถงึ วมิ ุตติธรรม ปจฉิมเทศนากเ็ ลง็ ถึงวมิ ุตตธิ รรม รวมทั้ง ๓ กาล ลวนแตเล็ง ถึงวมิ ุตติธรรมทง้ั ส้นิ ดวยประการฉะนี้ ๑๗. พระอรหันตท ุกประเภทบรรลุทัง้ เจโตวิมุตติ ทัง้ ปญ ญาวิมตุ ติ O อนาสวํ เจโตวิมตุ ตฺ ึ ปญฺ าวิมตุ ตฺ ึ ทิฏเฐว ธมฺเม สยํ อภิ ฺญา สจฉฺ ิกตวา อุปฺปสมปฺ ชชฺ วหิ รติ พระบาลีนแี้ สดงวาพระอรหนั ตท ง้ั หลายไมวาประเภทใดยอมบรรลุทั้งเจโตวิมุตติ ทั้งปญญาวิมุตติ...ที่ ปราศจากอาสวะในปจจบุ ัน หาไดแบงแยกไวว า ประเภทนน้ั บรรลุแตเ จ โตวมิ ุตติ หรือปญ ญาวิมุตไิ ม ที่เกจอิ าจารยแ ตง อธบิ ายไวว า เจโตวิมุตติ 27
เปน ของพระอรหนั ตผไู ดส มาธกิ อน สวนปญ ญาวมิ ุตตเิ ปน ของพระอรหนั ตส ุกขวปิ สสกผเู จริญวิปสสนาลวนๆ นน้ั ยอมขัดแยงตอมรรค มรรค ประกอบดวยองค ๘ มที งั้ สัมมาทิฏฐิ ท้งั สมั มาสมาธิ ผูจะบรรลุวิมุตติ ธรรมจำตองบำเพญ็ มรรค ๘ บริบูรณ มิฉะนั้นกบ็ รรลุวมิ ุตตธิ รรมไมได ไตรสิกขาก็มีทั้งสมาธิ ทั้งปญญา อันผูจะไดอาสวักขยญาณจำตอง บำเพญ็ ไตรสกิ ขาใหบ รบิ ูรณท งั้ ๓ สวน ฉะนน้ั จงึ วา พระอรหันตทุก ประเภทตองบรรลุท้ังเจโตวมิ ตุ ติ ท้งั ปญ ญาวมิ ุตตดิ ว ยประการฉะนแ้ี ลฯ 28
มุตโตทยั บนั ทึกโดย พระอาจารยว นั อุตฺตโม และ พระอาจารยท องคำ ญาโณ ภาโส ณ วดั ปา บานหนองผอื อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒ ๑. เรอื่ ง มูลกรรมฐาน กุลบุตรผูบรรพชาอุปสมบทเขามาในพระพุทธศาสนานี้แลว ใครเลาไม เคยเรียนกรรมฐานมา บอกไดท ีเดียววาไมเคยมี พระอปุ ชฌายทุกองค เมื่อบวชกุลบุตรจะไมสอนกรรมฐานกอนแลวจึงใหผาภายหลังไมมี ถา อุปช ฌายอ งคใดไมสอนกรรมฐานกอน อปุ ช ฌายอ งคนน้ั ดำรงความเปน อุปชฌายะตอไปไมได ฉะนั้นกุลบุตรผูบวชมาแลวจึงไดชื่อวาเรียน กรรมฐานมาแลว ไมต องสงสัยวา ไมไ ดเรียน O พระอปุ ช ฌายะสอนกรรมฐาน ๕ คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟน ตโจ หนงั ในกรรมฐานท้ัง ๕ น้ี มหี นังเปน ทีส่ ดุ ทำไมจงึ สอนถึงหนงั เทา น้ัน? เพราะเหตุวา หนัง มันเปนอาการใหญ คนเราทุก คนตอ งมหี นงั หุมหอ ถาไมมหี นงั ผม ขน เล็บ ฟน ก็อยไู มไ ด ตองหลุด หลน ทำลายไป เน้ือ กระดกู เอ็น และอาการทั้งหมดในรางกายนี้ ก็จะอยู ไมได ตองแตกตอ งทำลายไป คนเราจะหลงรูปกม็ าหลง หนงั หมายความ สวยๆ งามๆ เกิดความรกั ใครแลวก็ปรารถนาเพราะมาหมายอยูท ่หี นงั เม่อื เหน็ แลว ก็สำคัญเอาผวิ พรรณของมนั คือผิว ดำ-ขาว-แดง-ดำแดง- 29
ขาวแดง ผิวอะไรตออะไร ก็เพราะหมายสหี นัง ถา ไมมหี นงั แลว ใครเลา จะหมายวาสวยงาม? ใครเลาจะรักจะชอบจะปรารถนา? มแี ตจ ะเกลยี ด หนายไมป รารถนา ถาหนังไมหมุ หออยูแลว เน้ือเอ็นและอาการอน่ื ๆ กจ็ ะ อยูไมไ ด ทั้งจะประกอบกิจการอะไรก็ไมได จงึ วาหนงั เปน ของสำคญั นกั จะเปน อยไู ดก ินกเ็ พราะหนงั จะเกดิ ความหลงสวยหลงงามก็เพราะมหี นงั ฉะนั้นพระอุปชฌายะทานจึงสอนถึงแตหนังเปนที่สุด ถาเรามาตั้งใจ พิจารณาจนใหเห็นความเปอยเนาเกิดอสุภนิมิต ปรากฏแนแกใจแลว ยอ มจะเห็นอนิจจสจั จธรรม ทุกขสัจจธรรม อนัตตาสจั จธรรม จงึ จะแก ความหลงสวยหลงงามอันมั่นหมายอยทู ่ีหนังยอ มไมส ำคญั หมาย และไม ชอบใจ ไมป รารถนาเอาเพราะเหน็ ตามความเปน จรงิ เมือ่ ใดเชื่อคำสอน ของพระอุปช ฌายะไมป ระมาทแลว จึงจะไดเหน็ สจั จธรรม ถาไมเช่ือคำ สอนพระอปุ ชฌายะ ยอมแกค วามหลงของตนไมได ยอ มตกอยูใ นบวง แหงรัชชนิอารมณ ตกอยูในวัฏจักร เพราะฉะนั้น คำสอนที่พระ อุปชฌายะไดสอนแลวแตกอนบวชนั้น เปนคำสอนที่จริงที่ดีแลวเราไม ตอ งไปหาทางอื่นอีก ถา ยงั สงสยั ยงั หาไปทางอ่ืนอีกชื่อวายังหลงงมงาย ถา ไมห ลงจะไปหาทำไม คนไมห ลงกไ็ มมกี ารหา คนทีห่ ลงจึงมกี ารหา หา เทาไรยง่ิ หลงไปไกลเทา นัน้ ใครเปนผูไมหา มาพิจารณาอยูใ นของทมี่ อี ยู น้ี กจ็ ะเหน็ แจง ซง่ึ ภูตธรรม ฐีตธิ รรม อันเกษมจากโยคาสวะทัง้ หลาย O ความในเรื่องนี้ ไมใชมติของพระอุปชฌายะทั้งหลายคิดไดแลว สอนกุลบุตรตามมติของใครของมัน เนื่องดวยพุทธพจนแหงพระพุทธ องคเจา ไดท รงบญั ญัตไิ วใหอ ุปช ฌายะเปน ผสู อนกุลบุตรผบู วชใหม ให กรรมฐานประจำตน ถามิฉะนั้นก็ไมสมกับการออกบวชที่ไดสละบาน เรือนครอบครวั ออกมาบำเพ็ญเนกขัมมธรรม หวงั โมกขธรรม การบวชก็ 30
จะเทากับการทำเลน พระองคไ ดท รงบัญญตั มิ าแลว พระอปุ ชฌายะทั้ง หลายจึงดำรงประเพณนี ี้สบื มาตราบเทา ทุกวนั น้ี พระอุปชฌายะสอนไม ผดิ สอนจรงิ แทๆ เปน แตก ลุ บุตรผูร บั เอาคำสอนไมตั้งใจ มวั ประมาทลุม หลงเอง ฉะนน้ั ความในเรอ่ื งนี้ วญิ ชู นจงึ ไดรับรองทีเดียววา เปน วสิ ทุ ธิ มรรคเท่ียงแท ๒. เรื่อง ศีล f สลี ํ สลี า วิย ศีล คือความปกติ อปุ มาไดเทากับหินซ่ึงเปนของ หนักและเปนแกนของดิน แมจะมีวาตธาตุมาเปาสักเทาใด ก็ไมมีการ สะเทอื นหว่นั ไหวเลย แตวา เราจะสำคัญถอื แตเ พียงคำวา ศลี เทา น้นั ก็จะ ทำใหเรางมงายอีก ตองใหรูจักเสียวาศีลนั้นอยูที่ไหน? มีตัวตนเปน อยา งไร? อะไรเลา เปน ตัวศลี ? ใครเปนผูร ักษา? ถารูจักวาใครเปน ผู รักษาแลว กจ็ ะรจู ักวาผนู ั้นเปนตัวศีล ถาไมเ ขาใจเรือ่ งศีล ก็จะงมงายไม ถอื ศลี เพยี งนอกๆ เดี๋ยวก็ไปหาเอาที่นั้นทีนีจ้ งึ จะมีศีล ไปขอเอาที่นั่นที่น่ี จึงมี เมื่อยังเที่ยวหาเที่ยวขออยูไมใชหลงศีลดอกหรือ? ไมใชสีลพัตต ปรามาสถอื นอกๆ ลูบๆ คลำๆ อยหู รอื ? f อทิ ํ สจฺจาภนิ ิเวสทิฏฐิ จะเห็นความงมงายของตนวาเปนของจริง เที่ยงแท ผไู มหลงยอ มไมไ ปเที่ยวขอเทีย่ วหา เพราะเขา ใจแลววา ศีลก็อยู ทต่ี นนี้ จะรักษาโทษทงั้ หลายกต็ นเปนผรู กั ษา ดงั ทว่ี า \"เจตนาหํ ภกิ ฺขเว สีลํ วทามิ\" เจตนา เปนตัวศลี เจตนา คืออะไร? เจตนาน้ีตองแปลงอีกจึง จะไดความ ตองเอาสระ เอ มาเปน อิ เอา ต สะกดเขา ไป เรยี กวา จติ ตฺ คือจิตใจ คนเราถาจิตใจไมม ี กไ็ มเ รยี กวา คน มีแตกายจะสำเรจ็ การทำ อะไรได? รา งกายกับจิตตองอาศยั ซง่ึ กันและกนั เมื่อจติ ใจไมเ ปนศีล กาย 31
ก็ประพฤตไิ ปตา งๆ จงึ กลา วไดว า ศลี มีตวั เดียว นอกน้นั เปนแตเ รอื่ งโทษท่ี ควรละเวน โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐ โทษ ๒๒๗ รกั ษาไมใ หมโี ทษตางๆ ก็ สำเรจ็ เปนศีลตัวเดยี ว รกั ษาผเู ดยี วนั้นไดแลว มนั ก็ไมมโี ทษเทา น้นั เอง ก็ จะเปนปกติแนบเนียนไมหวัน่ ไหว ไมมเี รอื่ งหลงมาหาหลงขอ คนท่ีหาขอ ตองเปนคนทุกข ไมม อี ะไรจงึ เทยี่ วหาขอ เดีย๋ วกก็ ลา วยาจามๆิ ขอแลวขอ เลาขอเทาไรยิ่งไมมียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราไดมาแลวมีอยูแลวซึ่งกาย กบั จติ รปู กายก็เอามาแลว จากบดิ ามารดาของเรา จิตกม็ อี ยแู ลว ชอื่ วา ของเรามีพรอ มบรบิ รู ณแ ลว จะทำใหเปนศลี กท็ ำเสียไมตองกลาววาศีลมี อยทู ่โี นนท่ีน้ี กาลนัน้ จึงจะมกี าลนีจ้ งึ จะมี ศลี มอี ยูท่ีเราน้แี ลว อกาลโิ ก รักษาไดไมมกี าล ไดผลก็ไมม ีกาล O เรื่องนี้ตองมีหลักฐานพรอมอีก เมื่อครั้งพุทธกาลนั้น พวก ปญ จวคั คียก ็ดี พระยสและบิดามารดาภรรยาเกา ของทา นกด็ ี ภทั ทวัคคยี ชฏิลท้ังบรวิ ารกด็ ี พระเจา พมิ พสิ าร และราชบรพิ าร ๑๒ นหตุ กด็ ี ฯลฯ กอนจะฟงพระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจา ไมปรากฏวาได สมาทานศีลเสียกอนจึงฟง เทศนา พระองคเทศนาไปทเี ดียว ทำไมทา น เหลา นนั้ จึงไดส ำเรจ็ มรรคผล ศีล สมาธิ ปญญา ของทานเหลา น้ันมาแต ไหน ไมเหน็ พระองคตรสั บอกใหทา นเหลานนั้ ของเอาศีล สมาธิ ปญ ญา จากพระองค เมื่อไดลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองคแลว ศีล สมาธิ ปญ ญา ยอมมีขน้ึ ในทานเหลาน้ันเอง โดยไมมีการขอและไมมกี ารเอาให มัคคสามัคคี ไมมีใครหยบิ ยกใหเ ขา กัน จติ ดวงเดียวเปนศลี เปนสมาธิ เปนปญญา ฉะนน้ั เราไมหลงศลี จึงจะเปนวิญชู นอนั แทจ ริง 32
๓. เรื่อง ปาฏิโมกขสังวรศลี O พระวนิ ัย ๕ คัมภีร สงเคราะหลงมาในปาฏโิ มกขุทเทส เม่ือปฏบิ ัติ ไมถ กู ตอ งตามพระวินัยยอมเขา ไมไ ด ผปู ฏบิ ัติถกู ตามพระวนิ ยั แลว โมกฺขํ ชื่อวาเปนทางขามพนวัฏฏะได ปาฏิโมกขนี้ยังสงเคราะหเขาไปหาวิสุทธิ มรรคอีก เรียกวา ปาฏโิ มกขสังวรศีล ในสลี นเิ ทศ O สีลนเิ ทศนัน้ กลาวถงึ เร่ืองศีลทงั้ หลาย คือปาฏิโมกขสงั วรศีล ๑ อนิ ทรียสงั วรศีล ๑ ปจจยสนั นสิ สิตศลี ๑ อาชวี ปาริสุทธิศลี ๑ สว นอีก ๒ คมั ภรี น้ันคือ สมาธนิ ิเทศ และปญ ญานิเทศ วิสทุ ธิมรรคทัง้ ๓ พระคมั ภรี นีส้ งเคราะหเขาในมรรคท้ัง ๘ มรรค ๘ สงเคราะหลงมาในสกิ ขาทั้ง ๓ คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา เมื่อจะกลาวถงึ เรอ่ื งมรรคแลว ความประโยค พยายามปฏิบัติดัดตนอยู ช่ือวา เดินมรรค สตปิ ฏ ฐานท้ัง ๔ ก็เรยี กวา มรรค อรยิ สัจจ ๔ กช็ ่อื วา มรรค เพราะเปนกิรยิ าทยี่ ังทำอยู ยงั มกี าร ดำเนินอยู ดังภาษติ วา \"สจจฺ านํ จตุโรปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา\" สำหรับเทาตองมีการเดิน คนเราตองไปดวยเทาทั้งนั้น ฉะนน้ั สัจจะทัง้ ๔ กย็ งั เปนกิรยิ าอยู เปนจรณะเครื่องพาไปถงึ วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรมน้ันจะอยูทไ่ี หน? มรรคสัจจะอยทู ่ไี หน? วสิ ทุ ธิธรรมก็ตอ งอยูท่ี น่นั ! มรรคสจั จะไมมอี ยูท ี่อืน่ มโนเปน มหาฐาน มหาเหตุ วสิ ทุ ธธิ รรมจงึ ตองอยทู ี่ใจของเรานเ่ี อง ผูเ จรญิ มรรคตอ งทำอยูที่นี้ ไมต อ งไปหาท่อี ่ืน การหาที่อน่ื อยชู ื่อวายังหลง ทำไมจึงหลงไปหาทีอ่ ื่นเลา? ผไู มหลงกไ็ ม ตองหาทางอื่น ไมตองหากับบุคคลอื่น ศีลก็มีในตน สมาธิก็มีในตน ปญญากม็ ีอยูกบั ตน ดงั บาลวี า เจตนาหํ ภกิ ขฺ เว สีลํ วทามิ เปน ตน กายกบั จิตเทานปี้ ระพฤตปิ ฏิบัติศีลได ถา ไมมกี ายกบั จติ จะเอาอะไรมา พูดออกวาศีลได คำที่วาเจตนานั้นเราตองเปลี่ยนเอาสระเอขึ้นบนสระอิ 33
เอาตัว ต สะกดเขา ไป กพ็ ดู ไดวา จติ ฺตํ เปน จิต จิตเปนผคู ิดงดเวน เปนผู ระวังรักษา เปนผูประพฤติปฏิบัติ ซึ่งมรรคและผลใหเปนไปได พระพุทธเจากด็ ี พระสาวกขณี าสวเจากด็ ี จะชำระตนใหห มดจดจากสัง กเิ ลสทงั้ หลายได ทานก็มีกายกับจติ ท้ังน้นั เมอ่ื ทานจะทำมรรคและผลให เกิดมไี ดกท็ ำอยทู ี่นี่ คือทก่ี ายกบั จติ ฉะนน้ั จึงกลา วไดว า มรรคมอี ยูท ตี่ น ของตนนี้เอง เมอื่ เราจะเจริญซ่งึ สมถหรอื วปิ ส สนา กไ็ มต อ งหนจี ากกาย กับจิต ไมต อ งสง นอก ใหพ จิ ารณาอยูในตนของตน เปนโอปนยโิ ก แมจะ เปน ของมอี ยภู ายนอก เชน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ เปน ตน ก็ไม ตองสงออกเปนนอกไป ตองกำหนดเขามาเทียบเคียงตนของตน พจิ ารณาอยทู ่ีน้ี ปจฺจตตฺ ํ เวทิตพโฺ พ วิ ฺหู ิ เม่อื รกู ็ตองรูเฉพาะตน รอู ยู ในตน ไมไ ดรูม าแตนอก เกดิ ข้นึ กบั ตนมขี ึ้นกบั ตน ไมไ ดห ามาจากทีอ่ ืน่ ไมมีใครเอาให ไมไ ดข อมาจากผูอ่ืน จงึ ไดช อ่ื วา ญาณ ทสฺสนํ สุวิสทุ ธํ อโหสิ ฯลฯ เปนความรูเหน็ ที่บริสทุ ธแิ์ ท ฯลฯ ๔. เร่ือง ธรรมคติวมิ ตุ ติ O สมเด็จพระผูมีพระภาคเจานั้นมิใชวาพระองคจะมีปญญา พิจารณาเอาวิมุตติธรรมใหไดวันหนึ่งวันเดียว พระองคทรงพิจารณามา แตยังเปนฆราวาสอยูหลายป นับแตครั้งที่พระองคไดราชาภิเษกเปน กษัตรยิ พวกพระญาติพระวงศไ ดแ ตงตง้ั พระองคไดเปน เชนนแี้ ลว ยอ ม เปนผไู มนอนใจ จำเปนทพี่ ระองคจะตองคิดใชปญ ญาพจิ ารณาทุกสิ่งทุก อยางในการปกครองปองกนั ราษฎรทัง้ ของเขต และการรักษาครอบครัว ตลอดถึงพระองค ก็จะตองทรงคิดรอบคอบเสมอถาไมทรงคิดไมมีพระ ปญญา ไฉนจะปกครองบา นเมอื งไพรฟา ใหผ าสุกสบายได แมพระองค 34
ทรงคดิ ในเรอื่ งของผอู ่ืนและเรือ่ งของพระองคเ องเสมอแลว ปญญาววิ ฎั ฏ ของพระองคจงึ เกิดขน้ึ วา เราปกครองบังคับบญั ชาไดก แ็ ตก ารบานเมอื ง เทา นี้ สว นการ เกิด แก เจบ็ ตายเลา เราบังคบั บัญชาไมไดเ สยี แลว จะ บังคบั บัญชาไมใหส ตั วทั้งหลายเกิดก็ไมได เม่อื เกดิ แลว จะบังคับไมใหแก ชรากไ็ มไ ด จะบังคบั ไมใหตายก็ไมได เราจะบังคับ ความเกดิ ความแก ความเจบ็ ความตาย ของผอู ื่นก็ไมได แมแ ตต ัวของเราเองเลากบ็ ังคบั ไม ได ทรงพจิ ารณาเปนอนโุ ลมและปฏิโลม กลบั ไปกลบั มา พจิ ารณาเทาไร กย็ ิง่ เกดิ ความสลดสงั เวช และทอพระทยั ในการจะอยเู ปนผปู กครองราช สมบัติตอไป การที่อยูในฆราวาสรักษาสมบัติเชนนี้เพื่อตองการอะไร? เปนผูม ีอำนาจเทา น้ี มสี มบัติขาวของเชน นี้ จะบงั คบั หรอื จะซอื้ หรือ ประกันซง่ึ ความเกดิ แก เจบ็ ตายกไ็ มไ ด จึงทรงใครครวญไปอีกวา เรา จะทำอยางไรจงึ จะหาทางพนจากความ เกดิ แก เจ็บ ตายนไ้ี ด จงึ ได ความอุปมาขึ้นวา ถา มรี อ นแลว กย็ งั มเี ย็นเปนเครอื่ งแกกนั ได มมี ดื แลวยัง มีสวา งแกก นั ถามเี กิด แก เจ็บ ตาย แลว อยา งไรก็คงมีทางไมเกดิ ไมแก ไมตาย เปน แน จงึ ไดท รงพยายามใครค รวญหาทางจะแกเกดิ แก เจ็บ ตาย ใหจนได แตวา การจะแกเ กิด แก เจ็บ ตายนี้ เราอยใู นฆราวาสเชน นี้ คงจะทำไมไ ด เพราะฆราวาสน้ีเปนทค่ี ับแคบในยิ่งนัก มีแตก ารทีอ่ อก หนีเสยี จากการครองราชสมบตั นิ ี้ออกไปผนวชจงึ จะสามารถทำได O คร้นั ทรงคิดเชนนี้แลว ตอมาวนั หนง่ึ พอถงึ เวลากลางคืน พวก นางสนมทั้งหลายไดพากันมาบำรุงบำเรอพระองคอยูดวยการบำเรอทั้ง หลาย ในเวลาที่นางสนมทั้งหลายยังบำเรออยูนั้นพระองคทรงบรรทม หลบั ไปกอน คร้นั ใกลเ วลาพระองคจ ะทรงตื่นจากบรรทมนั้น พวกนาง สนมทั้งหลายก็พากันหลับเสียหมด แตไฟยังสวางอยู เมื่อนางสนมที่ 35
บำเรอหลับหมดแลวเผอิญพระองคทรงตื่นขึ้นมา ดวยอำนาจแหงการ พิจารณาที่พระองคทรงคิดไมเลิกไมแลวนั้น ทำใหพระทัยของพระองค พลิกขณะ เลยเกิดอุคคหนิมิตขึ้น ลืมพระเนตรแลวทอดพระเนตรแลดู พวกนางสนมทั้งหลายที่นอนหลับอยูนั้นเปนซากอสุภะไปหมด เหมือน กบั เปนซากศพในปาชา ผดี บิ จึงใหเกดิ ความสลดสังเวชเหลอื ที่จะทนอยู ได จึงตรัสกบั พระองคเองวา เราอยูทน่ี จ้ี ะวาเปน ทีส่ นกุ สนานอยางไรได คนทั้งหลายเหลานี้ลวนแตเปนซากศพในปาชาทั้งหมด เราจะอยูทำไม จำเราจะตองออกผนวชในเดี๋ยวนี้ จึงทรงเครื่องฉลองพระองคถือพระ ขรรคแลวออกไปเรียกนายฉันนะอำมาตยนำทางเสด็จหนีออกจากเมือง ไปโดยไมตองใหใครรูจัก ครั้นรุงแจงก็บรรลุถึงอโนมานที ทรงขามฝง แมน ทแี ลวกถ็ า ยเครอ่ื งประดับและเครอ่ื งทรงทีฉ่ ลองพระองคออกเสีย จึง สง เครือ่ งประดบั ใหนายฉนั นะ ตรัสส่ังใหกลับไปเมอื งพรอมดว ยอัศวราช ของพระองค สว นพระองคไดเ อาพระขรรคตัดพระเมาแ ละพระมสั สุเสยี ทรงผนวชแตพระองคเดยี ว O เม่อื ผนวชแลวจงึ เสาะแสวงหาศกึ ษาไปกอนคอื ไปศึกษาอยูในสำ นักอาฬารดาบส และอทุ กดาบส ครั้นไมสมประสงคจงึ ทรงหลีกไปแต พระองคเดียวไปอาศัยอยูราวปาใกลแมน้ำเนรัญชรา แขวงอุรุเวลา เสนานิคมไดมีปญจวัคคียไปอาศัยดวย พระองคไดทรงทำประโยค พยายามทำทุกกรกิริยาอยางเขมแข็ง จนถึงสลบตายก็ไมสำเร็จ เมื่อ พระองคไ ดส ติแลวจึงพจิ ารณาอกี วา การท่ีเรากระทำความเพยี รนจี้ ะมา ทรมานแตกายอยา งเดียวเทาน้ไี มค วร เพราะจติ กบั กายเปนของอาศัยกัน ถากายไมมีจะเอาอะไรทำประโยคพยายาม และถาจิตไมมี กายนี้ก็ทำ อะไรไมไ ด ตอ นน้ั พระองคจ ึงไปพยงุ พเยารางกายพอใหมกี ำลงั แข็งแรงข้นึ 36
พอควร จึงเผอิญปญจวัคคียพรอมกันหนีไป ครั้นปญจวัคคียหนีแลว พระองคก ไ็ ดความวิเวกโดดเดย่ี วแตผ เู ดียว ไมตอ งพ่ึงพาอาศัยใคร จงึ ได เรง พจิ ารณาอยา งเต็มท่ี O เมอื่ ถงึ วันข้ึน ๑๕ คำ่ เดอื น ๖ ประกา ในตอนเชารับธุปายาส ของนางสุชาดาเสวยเสร็จแลว ก็พักผอนอยูตามราวปานั้น ใกลจะ พลบค่ำแลว จึงเสดจ็ ดำเนินมาพบโสตถยิ พราหมณๆ ไดถ วายหญา คา ๘ กำแกพระองค พระองคร ับแลว ก็มาทำเปน ทน่ี ่งั ณ ภายใตตน อสั สัตถ พฤกษ ผินพระพักตรไ ปทางบูรพาทิศ ผนิ พระปฤษฎางคเ ขาหาตน ไมน้นั เม่ือพระองคป ระทบั นัง่ เรียบรอยแลว จึงไดพยงุ พระหฤทยั ใหเ ขม แขง็ ได ทรงตง้ั สัจจาธิษฐานมัน่ ในพระหฤทยั วา ถาเราไมบ รรลพุ ระสมั มาสัมโพธิ ญาณตามความตองการแลว เราจะไมล ุกจากบลั ลงั กนี้ แมเลอื ดและเนอ้ื จะแตกทำลายไป ยังเหลืออยแู ตพ ระตจะและพระอัฏฐิกต็ ามที ตอนั้นไป จงึ เจริญสมถและวิปสสนาปญ ญา ทรงกำหนดพระอานาปานสตเิ ปน ขน้ั ตน ในตอนตนนแ้ี หละพระองคไ ดทรงชำระนิวรณธรรมเตม็ ที่ เจาเวทนา พรอมทั้งความฟุงซานไดมาประสพแกพระองคอยางสาหัส ถาจะพูดวา มาร ก็ไดแกพวกขันธมาร มัจจมุ าร กเิ ลสมาร เขา รังควาญพระองค แต วาสัจจาธิษฐานของพระองคยังเที่ยงตรงมั่นคงอยู สติและปญญายัง พรอมอยู จงึ ทำใหจำพวกนิวรณเ หลานนั้ ระงบั ไป ปติ ปส สทั ธิ สมาธิ ได เกิดแลวแกพระองคจึงไดกลาววา พระองคทรงชนะพระยามาราธิราช ในตอนนี้เปนปฐมยาม เมื่อออกสมาธิตอนนี้ไดเกิดบุพเพนิวาสานุสสติ ญาณ เมื่อพิจารณาไปก็ไมเห็นที่สิ้นสุด จึงกลับจิตทวนกระแสเขามา พจิ ารณาผมู นั ไปเกดิ ใครครวญไปๆ มาๆ จติ กเ็ ขา ภวงั คอกี เม่อื ออกจาก ภวงั คแ ลวจึงเกดิ จุตปู ปาตญาณข้นึ มาในยามที่ ๒ คือ มัชฌมิ ยาม ทรง 37
พจิ ารณาไปตามความรชู นิดน้ี ก็ยงั ไมมคี วามส้นิ สดุ จึงทรงทวนกระแส จติ เขา มาใครค รวญอยูในเรือ่ งของผูพ าเปนไป พิจารณากลับไปกลบั มา ในปฏิจจสมุปบาทปจจยาการ จนจิตของพระองคเกิดความเบื่อหนาย สลดสังเวชเตม็ ทแ่ี ลว ก็ลงสูภวังคถงึ ฐตี ธิ รรมภตู ธรรม จติ ตอนน้ีถอยออก มาแลว จงึ ตัดสนิ ขาดทีเดยี ว จึงบญั ญตั วิ า อาสวกั ขยญาณ ทรงทราบวา จิตของพระองคสน้ิ แลวจากอาสวะ พน แลว จากบว งแหงมาร ไมม ีเกิด แก เจบ็ ตาย พนแลวจากทกุ ข ถงึ เอกันตบรมสขุ สนั ติวิหารธรรม วเิ วก ธรรม นิโรธธรรม วมิ ุตตธิ รรม นิพพาน ๕. เร่อื ง อจั ฉริยะ - อพั ภูตธรรม สมเด็จพระผูม พี ระภาคเจา พระบรมศาสดาของพวกเรา เมอื่ พระองคยัง เปนทา วศรีธารถ (สทิ ธัตถราชกุมาร) เสวยราชสมบตั ิอยู ทรงพจิ ารณา จตนุ มิ ติ ๔ ประการ จึงบนั ดาลใหพ ระองคเสด็จออกสูมหาภเิ นษกรมณ ทรงบรรพชา ทรงอธษิ ฐานบรรพชา ทีร่ ิมฝงแมนำ้ อโนมานที เคร่อื งสมถ บริขารมีมาเอง เลื่อนลอยมาสวมพระกายเอง ทรงเพศเปนบรรพชิต สมณสารูป สำเร็จดวยบุญญาภินิหารของพระองคเอง จึงเปนการ อัศจรรยไ มเคยมไี มเ คยเหน็ มาในปางกอน จงึ เปนเหตุใหพ ระองคอ ัศจรรย ใจ ไมถอยหลังในการประกอบความเพียร เพอื่ ตรัสรพู ระอนตุ ตรสมั มา สัมโพธิญาณ ครั้นทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตตภาวนา ไมทอถอยตลอด เวลา ๖ ป ไดต รสั รูสจั จธรรม ของจริงโดยถูกตองแลว กย็ ิง่ เปน เหตุให พระองคท รงอศั จรรยในธรรมทไ่ี ดต รสั รแู ลว น้นั อีกเปนอันมาก O ในหมูปฐมสาวกนั่นเลา ก็ปรากฏเหตุการณอันนาอัศจรรย เหมอื นกัน เชน ปญจวคั คียกด็ ี พระยสและสหายของทา นก็ดี พระสาวก 38
อน่ื ๆ ท่ีเปน เอหภิ ิกฺขกุ ด็ ี เมอ่ื ไดฟงพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา แลวไดสำเร็จมรรคผล และทูลขอบรรพชาอุปสมบทกับพระองค พระองคท รงเหยยี ดพระหตั ตอ อกเปลง พระวาจาวา เอหภิ กิ ฺขุ ทานจงเปน ภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเรากลาวดีแลว เพียงเทานี้ก็สำเร็จเปนภิกษุใน พระพุทธศาสนา อัฏฐบริขารเลื่อนลอยมาสวมสอดกาย ทรงเพศเปน บรรพชติ สมณสารูป มรี ูปอนั นาอศั จรรยน าเลือ่ มในจรงิ สาวกเหลานนั้ ก็ อัศจรรยตนเองในธรรมอันไมเคยรูเคยเห็น อันสำเร็จแลวดวยบุญฤทธิ์ และอำนาจพระวาจาอิทธิปาฏิหาริยของพระบรมศาสดาจารย ทาน เหลา นน้ั จะกลบั คืนไปบา นเกา ไดอยางไร เพราะจิตของทา นเหลาน้นั พน แลวจากบา นเกา และอัศจรรยใ นธรรมอนั ตนรตู นเห็นแลว ท้งั บรขิ ารที่ สวมสอดกายอยกู ็เปน ผาบังสกุ ลุ อยา งอกุ ฤษฎ O ครั้นตอมาทานเหลานั้นไปประกาศพระพุทธศาสนา มีผูศรัทธา เลอื่ มใสใครจะบวช พระผูมพี ระภาคเจากท็ รงอนญุ าตใหพระสาวกบวช ดวยติสรณคมนูปสัมปทาสำเร็จดวยการเขาถึงสรณะทั้ง ๓ คืออุทิศ เฉพาะพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ กเ็ ปน ภิกษุเต็มท่ี O คร้ันตอ มา พระผูมีพระภาคเจา ทรงมพี ระญาณเล็งเหน็ การณ ไกล จึงทรงมอบความเปน ใหญใ หแกส งฆ ทรงประทานญัตติจตุตถกรรม อุปสัมปทาไวเปนแบบฉบับอันหมูเราผูปฏิบัติไดดำเนินตามอยูทุกวันนี้ได พากนั มาอปุ สมบท O ในพระพุทธศาสนา อุทิศเฉพาะพระบรมศาสดาพรอมทั้งพระ ธรรมและพระสงฆแลว ทำความพากเพียรประโยคพยายามไปโดยไม ตองถอยแลวก็คงจะไดรับความอัศจรรยใจในพระธรรมวินัยบางเปนแน ไมนอยก็มาก ตามวาสนาบารมี ของตนโดยไมส งสยั เลย ฯ 39
๖. เร่ือง วาสนา O กศุ ลวาสนา อกุศลวาสนา อัพยากตวาสนา O อธั ยาศัยของสตั ว เปนมาแลวตางๆ คอื ดี เลว และกลางๆ วาสนาก็เปนไปตามอัธยาศัย คือวาสนาที่ยิ่งกวาตัว วาสนาเสมอตัว วาสนาทเี่ ลวทราม บางคนเปน ผมู ีวาสนาย่ิงในทางดมี าแลว แตค บกบั พาลวาสนากอ็ าจเปน เหมือนคนพาลได บางคนวาสนายงั ออ นแตคบกบั บัณฑิตวาสนาก็เล่อื นข้ึนไปเปนบัณฑติ บางคนคบมติ รเปน กลางๆ ไมด ี ไมร า ย ไมห ายนะ ไมเส่ือมทราม วาสนาก็พอประมาณสถานกลาง ฉะนนั้ บคุ คลพงึ พยายามคบบัณฑิต เพ่ือเลอ่ื นภมู วิ าสนาของตนใหส งู ขึ้นไปโดย ลำดับ ๗. เรือ่ ง สนทนาธรรมตามกาลเปนมงคลอุดม O กาเลน ธมมฺ สฺสากจฺฉา เอตมมฺ งคฺ ลมุตฺตมํ O การปฤกษาไตถาม หรือการสดับธรรมตามกาล ตามสมัย พระบรมศาสดาตรสั วาเปน มงคลความเจรญิ อันอดุ มเลศิ หมูเราตางคนก็มุงหนาเพื่อศึกษามาเองทั้งนั้นไมไดไปเชื้อเชิญนิมนตมา ครั้นมาศึกษามาปฏิบัติก็ตองทำจริงปฏิบัติจริง ตามเยี่ยงอยางพระบรม ศาสดาจารยเจา และสาวกขีณาสวะเจา ผปู ฏิบตั มิ ากอน O เบอื้ งตนพงึ พิจารณา สัจจธรรมคือของจรงิ ทั้ง ๔ ไดแก เกิด แก เจบ็ ตาย อันทานผเู ปน อรยิ บคุ คลไดปฏิบตั กิ ำหนดพิจารณามาแลว เกดิ เราก็เกดิ มาแลว คอื รางกายอนั เปน อยูน ีม้ ิใชก อ นเกดิ หรือ? แก เจ็บ ตาย ก็กอ นอนั นีแ้ ล เม่อื เราพจิ ารณาอยูใ นอิรยิ าบถทั้ง ๔ เดินจงกรมบา ง ยนื 40
กำหนดพิจารณาบาง นอนกำหนดพิจารณาบาง จิตจะรวมเปนสมาธิ รวมนอยก็เปนขณิกสมาธิ คือจิตรวมลงภวังคหนอยหนึ่งแลวก็ถอนออก มา ครน้ั พิจารณาอยูไ มถ อยจนปรากฏเปน อคุ คหนิมติ จะเปน นอกก็ตาม ในกต็ าม ใหพ ิจารณานิมติ น้ันจนจิตวางนิมิตรวมลงสูภ วังค ตำรงอยูน าน พอประมาณแลว ถอยออกมา สมาธิในช้ันน้ีเรียกวา อปุ จารสมาธิ พงึ พจิ ารณานมิ ติ น้ันเร่อื ยไปจนจติ รวมลงสูภวังคเขา ถงึ ฐีติจิต เปน อปั ปนา สมาธปิ ฐมฌาน ถึงซ่งึ เอกัคคตา ความมอี ารมณเ ดยี ว ครน้ั จิตถอยออก มา กพ็ งึ พิจารณาอกี แลวๆ เลาๆ จนขยายแยกสว นเปนปฏภิ าคนิมิตได ตอ ไป คอื พจิ ารณาวาตายแลวมนั จะเปน อะไรไปอีก มนั จะตอ งเปอยเนา ผุพงั ยังเหลือแตร า งกระดูก กำหนดทงั้ ภายในคอื กายของตนทง้ั ภายนอก คอื กายของผูอื่น โดยใหเ หน็ สวนตางๆ ของรา งกายวา สว นน้ีเปน ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง ฯลฯ เสนเอน็ นอยใหญม ีเทา ไร กระดูกทอนนอยทอ นใหญ มีเทาไร โดยชดั เจนแจมแจง กำหนดใหม นั เกิดขน้ึ มาอีกแลว กำหนดใหม นั ยนื เดิน น่งั นอน แลวตายสลายไปสูส ภาพเดมิ ของมัน คอื ไปเปน ดิน นำ้ ไฟ ลม ถงึ ฐานะเดิมของมันน้นั แล O เมื่อกำหนดจติ พจิ ารณาอยูอยางน้ี ทัง้ ภายนอกทง้ั ภายใน ทำให มากใหหลาย ใหมีทัง้ ตายเกาตายใหม มีแรงกาสุนขั ยอ้ื แยงกัดกินอยู ก็ จะเกิดปรีชาญาณขึ้น ตามแตว าสนาอปุ นสิ ัยของตน ดังน้แี ล ฯ ๘. เร่อื ง การทำจติ ใหผ อ งใส f สจิตตฺ ปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ O การทำจิตของตนใหผองใส เปนการทำตามคำสั่งสอนของ พระพทุ ธเจา ทัง้ หลาย 41
O พระพทุ ธเจาผพู ระบรมศาสดา ไดต รัสสอนกาย วาจา จติ มไิ ด สอนอยา งอ่นื สอนใหป ฏิบัติ ฝกหดั จติ ใจ ใหเ อาจิตพจิ ารณากายเรยี กวา กายานุปสสนาสติปฏฐาน หัดสติใหมากในการคนควาที่เรียกวาธัมมวิจ ยะ พจิ ารณาใหพ อทีเดยี ว เมอ่ื พิจารณาพอจนเปนสติสัมโพชฌงค จติ จงึ จะเปน สมาธริ วมลงเอง O สมาธมิ ี ๓ ข้นั คือ ขณกิ สมาธิ จติ รวมลงไปสูฐตี ขิ ณะแลวพกั อยู หนอยหนึ่ง ถอยออกมาเสีย อปุ จารสมาธิ จติ รวมลงสูภวงั คแ ลวพกั อยู นานหนอยจึงถอยออกมารูนิมิตอยางใดอยางหนึ่ง และอัปปนาสมาธิ สมาธิอนั แนว แน ไดแ กจติ รวมลงสูภวังคถงึ ฐีตธิ รรมถึงเอกคั คตา ความมี อารมณเดียว หยุดนิ่งอยูกับที่ มีความรูตัวอยูวา จิตดำรงอยู และ ประกอบดวยองคฌ าน ๕ ประการ คอยสงบประณีตเขา ไปโดยลำดบั O เม่ือหดั จิตอยูอยางนี้ ช่ือวา ทำจิตใหย ่งิ ไดในพระบาลีวา อธจิ ติ ฺ เต จ อาโยโค เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ การประกอบความพากเพียรทำจติ ให ยง่ิ เปนการปฏิบตั ติ ามคำสอนของพระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา O การพิจารณากายน้ีแล ชอ่ื วา ปฏิบัติ อันนักปราชญท ้ังหลายมี พระสัมมาสัมพุทธเจาเปนตนแสดงไว มีหลายนัยหลายประการ ทาน กลา วไวในมหาสตปิ ฏ ฐานสูตร เรียกวา กายานุปส สนาสติปฏฐาน ในมลู กรรมฐานเรยี กวา เกสา โลมา นขา ทนตฺ า ตโจ ท่ีพระอุปช ฌายะสอน เบอื้ งตนแหงการบรรพชาเปน สามเณร และในธรรมจกั กปั ปวัตนสูตรวา ชาตปิ ทกุ ขฺ า ชราป ทกุ ฺขา มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ แมความเกิดก็เปน ทกุ ข แม ความแกก็เปนทุกข แมค วามตายก็เปน ทกุ ข ดงั น้ี บดั นีเ้ ราก็เกดิ มาแลว มิใชหรือ? ครั้นเมื่อบุคคลมาปฏิบัติใหเปน โอปนยิโก นอมเขามา 42
พจิ ารณาในตนนี้แลว เปนไมผ ิด เพราะพระธรรมเปน อกาลิโก มอี ยูทุก เมอ่ื อาโลโก สวางโรอ ยทู งั้ กลางวันและกลางคืน ไมม อี ะไรปด บังเลย ฯ ๙. เร่อื ง วธิ ีปฏิบตั ขิ องผเู ลาเรียนมาก O ผูที่ไดศึกษาเลาเรียนคัมภีรวินัยมาก มีอุบายมากเปนปริยาย กวา งขวาง คร้ันมาปฏิบตั ทิ างจติ จติ ไมค อยจะรวมงา ย ฉะนัน้ ตองให เขาใจวาความรูที่ไดศึกษามาแลวตองเก็บใสตูใสหีบไวเสียกอน ตองมา หัดผูรูคือจิตนี้ หัดสติใหเปนมหาสติ หัดปญญาใหเปนมหาปญญา กำหนดรูเ ทา มหาสมมต-ิ มหานิยม อันเอาออกไปต้ังไวว าอนั น้นั เปนอันนัน้ เปน วันคืนเดอื นป เปนดินฟา อากาศ กลางหาวดาวนักขตั ตฤกษสารพดั ส่ิงทั้งปวง อนั เจาสังขารคือการจติ หาออกไปตงั้ ไวบ ญั ญตั ิไววา เขาเปน นัน้ เปนนี้ จนรเู ทาแลว เรียกวา กำหนดรูทกุ ข สมทุ ยั เมอื่ ทำใหม าก-เจรญิ ใหม าก รเู ทา เอาทันแลว จิตกจ็ ะรวมลงได เมือ่ กำหนดอยูก็ชอ่ื วาเจริญ มรรค หากมรรคพอแลว นิโรธก็ไมตอ งกลา วถึง หากจะปรากฏชัดแกผู ปฏบิ ตั เิ อง เพราะศีลกม็ ีอยู สมาธิกม็ ีอยู ปญ ญากม็ ีอยูในกาย วาจา จิตน้ี ทเ่ี รยี กวา อกาลโิ ก ของมอี ยทู ุกเมอื่ โอปนยิโก เม่อื ผปู ฏิบตั มิ าพิจารณา ของทม่ี อี ยู ปจฺจตฺตํ จงึ จะรูเฉพาะตวั คอื มาพจิ ารณากายอนั นีใ้ หเปน ขอ งอสภุ ะ เปอยเนา แตกพงั ลงไป ตามสภาพความจริงของภตู ธาตุ ปพุ เฺ พสุ ภูเตสุ ธมเฺ มสุ ในธรรมอันมมี าแตเ กากอน สวางโรอ ยูท้ังกลางวนั และ กลางคืน ผมู าปฏิบตั พิ ิจารณาพงึ รอู ปุ มารูปเปรียบดังนี้ อนั บคุ คลผทู ำนา กต็ อ งทำลงไปในแผน ดิน ลยุ ตมลุยโคลนตากแดดกรำฝน จึงจะเห็นขา ว เปลือก ขาวสาร ขาวสุกมาได และไดบรโิ ภคอ่มิ สบาย กล็ วนทำมาจาก 43
ของมอี ยูท ัง้ ส้นิ ฉันใด ผปู ฏิบตั ิกฉ็ นั น้นั เพราะ ศีล สมาธิ ปญญา ก็มอี ยู ใน กาย วาจา จติ ของทุกคน ฯ ๑๐. เรื่อง ขอ ปฏิบัตเิ ปนของมอี ยูทุกเมื่อ O ขอปฏิบัติสำหรับผูป ฏิบัติทง้ั หลาย ไมมปี ญ หาโอปนยิโก นอมจติ เขามาพจิ ารณา กาย วาจา จิตอกาลโิ กอันเปน ของมีอยู อาโลโกสวา งโร อยูทงั้ กลางวันและกลางคืน ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พโฺ พ วญิ ูหิ อนั นักปราชญ ทั้งหลาย มีพระพุทธเจา และพระอริยสาวกเจาทั้งหลายผูนอมเขามา พจิ ารณาของมอี ยูนี้ ไดรแู จง จำเพาะตวั มาแลว เปน ตวั อยาง ไมใ ชว ากาล น้ันจึงจะมี กาลนีจ้ ึงจะมี ยอ มมีอยูทุกกาล ทุกสมัย ผูปฏิบัตยิ อ มรไู ด เฉพาะตวั คือผดิ ก็รจู กั ถกู ก็รจู กั ในตนของตนเอง ดีชว่ั อยางไรตวั ของตวั ยอมรูจักดีกวาผูอื่น ถาเปนผูหมั่นพินิจพิจารณาไมมัวประมาท เพลิดเพลนิ เสยี O ตวั อยา งที่มีมาแลวคอื มาณพ ๑๖ คน ซึ่งเปน ศิษยของพาวรี พราหมณ ทานเหลานั้นเจริญญานกสิณติดอยูในรูปฌานและอรูปฌาน พระบรมศาสดาจารยจ ึงตรัสสอนใหพ จิ ารณาของมอี ยูในตน ใหเหน็ แจง ดวยปญญาใหรวู า กามภพเปน เบื้องต่ำ รูปภพเปนเบอ้ื งกลาง อรปู ภพ เปนเบอื้ งบน แลว ถอยลงมาใหร ูวา อดีตเปน เบือ้ งตำ่ อนาคตเปนเบ้ือง บน ปจ จุบนั เปนทามกลาง แลวชกั เขามาหาตัวอีกใหรูวา อทุ ฺธํ อโธ ติ ริยจฺ าป มชฺเฌ เบ้อื งต่ำแตป ลายผมลงไป เบื้องบนแตพื้นเทาขึ้นมา เบือ้ งขวางฐานกลาง เมื่อทา นเหลานน้ั มาพจิ ารณาอยอู ยางน้ี ปจฺจตฺตํ จึง รเู ฉพาะขนึ้ ท่ตี ัวของตวั โดยแจม แจง สน้ิ ความสงสยั ขอปฏบิ ัติ ไมตอ งไป เทย่ี วแสวงหาทอี่ น่ื ใหลำบาก ฯ 44
๑๑. เรอื่ ง ไดฟ ง ธรรมทกุ เมือ่ O ผูปฏิบัติพึงใชอุบายปญญาฟงธรรมเทศนาทุกเมื่อถึงจะอยูคน เดียวกต็ าม คอื อาศยั การสำเหนยี ก กำหนดพจิ ารณาธรรมอยทู ง้ั กลางวัน และกลางคนื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ก็เปนรปู ธรรมทม่ี อี ยปู รากฏอยู รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยูป รากฏอยู ไดเ ห็นอยู ไดย ินอยู ไดสูด ดม ลม้ิ เลีย และสัมผัสอยู จติ ใจเลา? ก็มอี ยู ความคิดนกึ รสู ึกในอารมณ ตางๆ ทง้ั ดีและรายก็มีอยู ความเสื่อม ความเจริญ ทงั้ ภายนอกภายใน ก็ มีอยู ธรรมชาตอิ ันมีอยูโ ดยธรรมดา เขาแสดงความจรงิ คอื ความไมเทย่ี ง เปนทกุ ข เปน อนตั ตา ใหป รากฏอยู ทกุ เมอื่ เชน ใบไมมนั เหลืองหลนรว ง ลงจากตน กแ็ สดงความไมเทีย่ งใหเ ห็น ดังนี้เปนตน เม่ือผปู ฏิบตั ิมาพินิจ พจิ ารณาดวยสตปิ ญญา โดยอุบายนี้อยูเสมอแลว ชือ่ วาไดฟง ธรรมอยู ทุกเมื่อ ท้งั กลางวนั และกลางคืนแล ฯ ๑๒. เรื่อง ปรญิ เญยยฺ ธรรม O การกำหนดพิจารณาธรรมเรียกบริกรรมจิตที่กำลังทำการ กำหนดพิจารณาธรรมอยางเอาใจใส เมื่อไดความแนใจในเหตุผลของ ธรรมทพี่ ิจารณาน้ันแลว จติ จะสงบรวมลงสภู วังค ดำรงอยหู นอ ยหนง่ึ แลวกถ็ อยออก ความสงบในข้ันน้เี รียก บรกิ รรมสมาธิ หรือ ขณิกสมาธิ การกำหนดพิจารณาธรรมแลวจิตสงบรวมลงสูภวังคเขาถึงฐีติธรรมดำรง อยูนานหนอยแลวถอยออกมารูเห็นอสุภะปรากฏขึ้น ความสงบในขั้นนี้ เรียกวา อปุ จารสมาธิ O การกำหนดพจิ ารณาธรรมคืออสภุ นมิ ิต ท่ปี รากฏแกจ ิตทเ่ี รยี กวา 45
อุคคหนิมิตน้นั จนเพยี งพอแลว จติ ปลอ ยวางนมิ ติ เสยี สงบรวมลงสภู วงั ค ถึงฐตี ธิ รรมดำรงอยูนาน เปนเอกัคคตามอี ารมณเดียว สงบนิ่งแนว แน มี สติรูอยวู า จติ ดำรงอยูกับที่ ไมห วน่ั ไหวไปมา ความสงบชนั้ น้เี รยี กวา อัป ปนาสมาธิ O สวน นมิ ติ อันปรากฏแกผูบำเพญ็ สมาธภิ าวนาตามลำดบั ช้นั ดงั กลาวนี้ ก็เรียกวา บริกรรมนมิ ติ อคุ คหนมิ ิต ปฏิภาคนมิ ติ ตามลำดบั กนั อน่ึง ภวงั ค คือภพหรอื ฐานของจติ นน้ั ทานก็เรียกชือ่ เปน ๓ ตามอาการ เคลอ่ื นไปของจิต คือ ภวงั คบาท ภวังคจลนะ ภวังคุปจเฉทะ ขณะแรกที่ จิตวางอารมณเขาสูฐ านเดิมของตน ท่ีเรียกอยางสามัญวา ปกตจิ ิตน้นั แล เรียกวา ภวังคบาท ขณะที่จิตเริ่มไหวตัวเพื่อขึ้นสูอารมณอีกเรียกวา ภวงั คจลนะ ขณะทจ่ี ิตเคลอ่ื นจากฐานขนึ้ สอู ารมณ เรียกวา ภวงั คปุ จ เฉ ทะ O จิตของผูบำเพ็ญภาวนาเขาสูความสงบถึงฐานเดิมของจิตแลวพัก เสวยความสงบอยใู นสมาธินนั้ นาน มีอาการครบองคของฌานจงึ เรยี ก วา ฌาน เมอ่ื ทำการพินิจพิจารณาธรรมดว ยปญ ญาจนเพียงพอแลว จิต รวมลงสูภวังค คือ ฐานเดิมของจติ จนถึงฐตี ิ ขณะตัดกระแสภวังคข าด หายไปไมพกั เสวยอยู เกิดญาณความรูต ัดสนิ ขึ้นวา ภพเบื้องหนา ของเรา ไมม อี กี ดังนเี้ รยี กวา ฐตี ิญาณ ๑๓. เร่ือง บ้ันตนโพธิสัตว O ปฐมโพธิสัตว มชั ฌิมโพธิสตั ว ปจฉมิ โพธสิ ตั ว ปฐมโพธกิ าล มัชฌมิ โพธกิ าล ปจฉมิ โพธกิ าล ปฐมเทศนา มชั ฌิมเทศนา ปจ ฉิมเทศนา O สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาของเรา เสด็จออกจากคัพโภทรของ 46
พระนางเจา สริ ิมหามายา ณ สวนลมุ พินวี นั ระหวา งนครกบิลพัสดุกับ นครเทวหะตอกัน ครน้ั ประสตู ิแลว กท็ รงพระเจริญวัยมาโดยลำดบั ครน้ั สมควรแกก ารศกึ ษาศิลปวิทยา เพ่อื ปกครองรกั ษาบา นเมอื งตามขตั ติย ประเพณีไดแลวก็ทรงศกึ ษาศลิ ปวทิ ยา เม่อื พระชนมายไุ ด ๑๖ พรรษา ก็ไดปกครองบานเมืองเสวยราชสมบัติแทนพระเจาศิริสุทโธทนมหาราช ผพู ระราชบิดานบั วา ไดเ ปนใหญเ ปน ราชาแลว พระองคทรงพระนามวา เจา ชายสทิ ธัตถะ ก็ตอ งทรงคดิ อา นการปกครองรกั ษาบานเมืองและไพร ฟาประชาราษฎรใหรมเย็นเปนสุข ทรงบงั คับบญั ชาอยางไร เขาก็ทำ ตามทุกอยาง ครั้นทรงพิจารณาหาทางบังคับบัญชาความเกิดแกเจ็บ ตายใหเ ปนไปตามใจหวงั ก็เปน ไปไมไ ด ถึงอยางนัน้ ก็มทิ ำใหท อ พระทยั ใน การคดิ อานหาทางแกเ กดิ แกเ จ็บตาย ย่ิงเราพระทยั ใหค ดิ อานพิจารณา ยิง่ ขน้ึ ความคดิ อานของพระองคใ นตอนนเี้ รียกวา บริกรรม ทรงกำหนด พิจารณาในพระทัยอยูเสมอ จนกระทั่งพระสนมทั้งหมดปรากฏใหเห็น เปนซากอสภุ ะดจุ ปาชา ผีดิบ จตนุ ิมิต ๔ ประการคอื เกิด แก เจ็บ ตาย จงึ บนั ดาลใหพ ระองคเ กดิ เบ่ือหนายในราชสมบตั ิ แลว เสดจ็ สูมหาภเิ นษ กรมณบรรพชา ตอนน้เี รยี กวา ปฐมโพธสิ ัตว เปน สตั วพเิ ศษ ผูจ ะได ตรัสรูธรรมวิเศษเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาเที่ยงแทกอนแตกาลนี้ ไมนับ นบั เอาแตกาลปจ จบุ นั ทันตาเห็นเทา นัน้ O คร้ันเม่ือพระองคเสดจ็ สูม หาภเิ นษกรมณบ รรพชา ณ ฝง แมน ้ำอ โนมานที ทรงตัดพระเมาด วยพระขรรคอธิษฐานบรรพชา อฏั ฐบริขาร มีมาเองดวยอำนาจบุญฤทธิ์อิทธิปาฏิหาริยเปนผาบังสุกุลจีวร เหตุ อัศจรรยอ ยางนี้มเี พยี งคร้งั เดียวเทา น้ัน ตอนั้นมาตองทรงแสวงหา เหลา ปฐมสาวกก็เหมือนกัน อัฏฐบริขารเกิดขึ้นดวยบุญฤทธิ์เพียงครั้งแรก 47
เทานั้น ครั้นทรงบรรพชาแลว ทรงทำทุกรกิริยาประโยคพยายาม พิจารณาอุคคหนิมิตที่ทรงรูครั้งแรก แยกออกเปนสวนๆ เปนปฏิภาค นมิ ิตจนถึงเสดจ็ ประทบั น่ัง ณ ควงแหง มหาโพธิพฤกษ ทรงชนะมารและ เสนามารเมอ่ื เวลาพระอาทติ ยอัสดงคตยงั บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ให เกิดในปฐมยาม ยัง จุตูปปาตญาณ ใหเกดิ ในมชั ฌมิ ยาม ทรงตาม พจิ ารณาจิตท่ยี งั ปจจัยใหส บื ตอทเี่ รยี กวา ปจจยาการ ตอนเวลากอน พระอาทิตยข ้ึน ตอนนเ้ี รยี กวา มัชฌิมโพธิสัตว O ครั้นเมื่อทรงพิจารณาตามเหตุผลเพียงพอสมควรแลว จิตของ พระองคหยั่งลงสูความสงบถึงฐีติธรรมดำรงอยูในความสงบพอสมควร แลว ตัดกระแสภวังคข าดไป เกิดญาณความรตู ัดสินขนึ้ ในขณะน้นั วา ภพ เบ้อื งหนาของเราไมม ีอีกแลว ดงั นเี้ รียกวา อาสวักขยญาณ ประหารเสยี ซึง่ กเิ ลสอาสวะทั้งหลายใหข าดหายไปจากพระขันธสนั ดาร สรรพปรีชา ญานตา งๆ อันสำเรจ็ มา แตบ ุพพวาสนาบารมี กม็ าชมุ นุมในขณะจติ อัน เดียวน้ันจงึ เรียกวาตรสั รูพระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ ระยะกาลตอนนี้ เรียกวา ปจฉมิ โพธิสตั ว O ครัน้ ตรสั รูแ ลว ทรงเสวยวมิ ุตตสิ ุข อยูในท่ี ๗ สถาน ตลอดกาล ๔๙ วันแลว แลทรงเทศนาส่ังสอนเวไนยนิกร มีพระปญจวัคคียเ ปน ตน จึง ถึงทรงตัง้ พระอคั รสาวกท้ัง ๒ และแสดงมัชฌมิ เทศนา ณ เวฬุวนั กลนั ท กนวิ าปสถาน ใกลก รุงราชคฤหมหานคร จดั เปน ปฐมโพธกิ าล O ตอแตนัน้ มา กท็ รงทรมานสง่ั สอนเวไนยนกิ รตลอดเวลา ๔๕ พระ พรรษา จัดเปน มัชฌิมโพธิกาล ตั้งแตเวลาทรงประทับไสยาสน ณ พระ แทนมรณมัญจาอาสน ณ ระหวางนางรังทั้งคู ในสาลวโนทยาน ของมลั ล กษตั ริย กรุงกสุ นิ าราราชธานี และทรงแสดงพระปจ ฉิมเทศนาแลว ปด 48
พระโอษฐ เสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พานระยะกาลตอนนีจ้ ัดเปน ปจฉมิ โพธิ กาล ดว ยประการฉะนี้ O (สว น ปฐมเทศนา มชั ฌิมเทศนา และปจ ฉมิ เทศนา นั้น มีเน้ือ ความเปน ประการไร ไดแ สดงแลวในสว นที่ ๑) ๑๔. เรื่อง โสฬสกจิ O กจิ ในพระธรรมวนิ ยั น้ี ทนี่ บั วาสำคัญท่ีสดุ เรียกวา โสฬสกิจ เปน กิจที่โยคาวจรกุลบุตรพึงพากเพียรพยายามทำใหสำเร็จบริบูรณดวย ความไมประมาท O โสฬสกจิ ไดแกก ิจในอริยสจั ๔ ประการ คอื ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค ชัน้ โสดาบนั ก็ประชมุ ๔ ชน้ั สกิทาคามกี ป็ ระชมุ ๔ สองส่ีก็เปน ๘ ช้ันอนาคามกี ป็ ระชมุ ๔ ชน้ั อรหันตก็ประชุม ๔ สองสี่กเ็ ปน ๘ สองแปด เปน ๑๖ กำหนดสัจจะทง้ั ๔ รวมเปน องคอริยมรรคเปน ข้ัน ๆ ไป O เมอื่ เรามาเจริญอริยมรรคทงั้ ๘ อันมีอยใู นกายในจติ คอื ทกุ ข เปนสัจจะของจริงที่มีอยูก็รูวามีอยูเปนปริญเญยฺยะ ควรกำหนดรูก็ได กำหนดรู สมุทัย เปน สจั จะของจรงิ ที่มีอยูกร็ วู ามีอยู เปน ปหาตพั พะ ควร ละก็ละไดแลว นโิ รธ เปน สัจจะของจริงทีม่ อี ยูก็รวู ามีอยูเปนสจั ฉกิ าตัพ พะ ควรทำใหแ จง กไ็ ดท ำใหแจงแลว มรรค เปน สจั จะของจริงท่ีมอี ยูกร็ ูว า มีอยูเปนภาเวตัพพะ ควรเจริญใหมากก็ไดเจริญใหมากแลว เมื่อมา กำหนดพจิ ารณาอยอู ยา งน้ี ก็แกโ ลกธรรม ๘ ไดสำเรจ็ O มรรค อยูที่ กาย กับ จติ คอื ตา ๒ หู ๒ จมกู ๒ รวมเปน ๖ ล้นิ ๑ เปน ๗ กาย ๑ เปน ๘ มาพจิ ารณารเู ทาสิ่งท้ัง ๘ นี้ ไมหลงไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ เสือ่ มลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข อนั มาถกู ตอง 49
ตนของตนจติ ไมห วั่นไหว โลกธรรม ๘ เปน คูปรบั กับมรรค ๘ เม่อื รูเ ทา สว นทั้งสองนี้แลว เจริญมรรคใหบ รบิ รู ณเตม็ ที่ กแ็ กโ ลกธรรม ๘ ได ก็ เปนผุ€ฐสสฺ โลกธมฺเมหิ จิตตฺ ํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺ มงฺค ลมุตตฺ มํ โลกธรรมถกู ตอ งจิตผใู ดแลว จติ ของผูน้นั ไมห ว่ันไหวเม่ือไมห วัน่ ไหวก็ไมเศราโศก เปนจติ ปราศจากเครอ่ื งยอม เปน จติ เกษมจากโยคะ จัด วาเปนมงคลอนั อุดมเลิศ ฉะน้ีแล ฯ ๑๕. เรอื่ ง สำคญั ตนวาไดบ รรลอุ รหตั ตผล O กิร ดังไดสดับมา ยงั มภี กิ ษุ ๒ รปู ในพระศาสนาของพระบรม ศาสดาของเรานี้ องคห น่ึงมีพรรษาแกกวา อกี องคห นง่ึ มีพรรษาออ นกวา เปนสหธรรมิกที่มีความรักใครในกันและกัน แตจากกันไปเพื่อประกอบ ความเพียร องคออ นพรรษากวาไดส ำเรจ็ พระอรหันตผลเปนพระอรหันต กอ น องคแกพรรษาไดแตเ พยี รกำลังสมาธสิ มาบัติ และเปนผูช ำนาญใน วสี จะพิจารณาอธิษฐานใหเปนอยางไรก็ไดดังประสงค และเกิดทิฏฐิ สำคัญวารูทั่วแลว สวนองคหยอนพรรษาครั้นพิจารณาดูก็ทราบไดดวย ปญญาญาณ จึงสงั่ ใหองคแกพรรษากวาไปหาทา นองคน ัน้ ไมไ ป สง่ั สอน สามครั้งก็ไมไ ป องคห ยอ นพรรษาจงึ ไปหาเสียเอง แลวยงั กันและกนั ให ยินดี พอสมควรแลวจึงพูดกบั องคแ กกวา วา ถา ทานสำคัญวารูจรงิ ก็จง อธิษฐานใหเปน สระในสระใหม ดี อกบวั หลวง ๑ ดอก ในดอกบวั หลวงใหมี นางฟอ นสวยงาม ๗ นาง องคแ กพรรษากเ็ นรมติ ไดต ามนั้น ครั้นเนรมติ แลว องคอ อ นพรรษากวาจงึ ส่ังใหเพงดู ครน้ั เพง ดนู างฟอนอยู กามราคะ กเิ ลสอันส่งั สมมาแลว หลายรอ ยอตั ตภาพก็กำเรบิ จึงทราบไดวาตนยังไม ไดส ำเรจ็ เปนพระอรหนั ต ครัน้ แลวองคอ อนพรรษาจงึ เตอื นใหรตู ัว และ 50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125