หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวติ รายวชิ า ศิลปศึกษา (ทช ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช สาํ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ ห้ามจําหน่าย หนงั สือเรียนเลม่ นีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาํ หรับประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที /
หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนินชีวติ รายวชิ า ศิลปศึกษา (ทช ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) ลขิ สิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาํ ดบั ที /
คาํ นํา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช เมือวนั ที กันยายน พ.ศ. แทนหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการจัดการศึกษานอกโรงเรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ซึงเป็ นหลกั สูตรทีพฒั นาขึนตามหลกั ปรัชญาและ ความเชือพืนฐานในการจดั การศึกษานอกโรงเรียนทีมีกลุ่มเป้ าหมายเป็ นผใู้ หญ่มีการเรียนรู้และสังสมความรู้ และประสบการณ์อยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการได้กาํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลือนนโยบาย ทางการศกึ ษาเพือเพมิ ศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขนั ใหป้ ระชาชนไดม้ อี าชีพทีสามารถสร้างรายได้ ทีมงั คงั และมนั คง เป็นบุคลากรทีมีวินยั เปี ยมไปดว้ ยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสาํ นึกรับผดิ ชอบต่อตนเอง และผอู้ ืน สาํ นักงาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ เนือหาสาระ ทัง กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ให้มีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลใหต้ อ้ งปรับปรุง หนงั สือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระเกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อม เพือเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมีความเกียวขอ้ งสมั พนั ธก์ นั แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการ พฒั นาหนังสือทีให้ผเู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ดว้ ยตนเอง ปฏิบตั ิกิจกรรม ทาํ แบบฝึ กหัด เพือทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ มีการอภิปรายแลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่ม หรือศึกษาเพิมเติมจากภูมิปัญญาทอ้ งถิน แหล่งการเรียนรู้ และสืออืน การปรับปรุงหนงั สือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออยา่ งดียิงจากผทู้ รงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา และผเู้ กียวขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทีศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู องค์ความรู้จากสือต่าง ๆ มาเรียบเรียง เนือหาใหค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และกรอบเนือหาสาระของรายวิชา สาํ นกั งาน กศน.ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนเกียวข้องทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนังสือเรียน ชุดนีจะเป็ น ประโยชน์แก่ผเู้ รียน ครู ผูส้ อน และผเู้ กียวขอ้ งในทุกระดบั หากมีข้อเสนอแนะประการใด สาํ นักงาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ
สารบญั หน้า คาํ นาํ 1 คาํ แนะนาํ การใชห้ นงั สือเรียน 2 โครงสร้างรายวิชา 11 บทที ทัศนศิลป์ 20 23 เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรง 27 เรืองที ทศั นศิลป์ สากล 30 เรืองที การวพิ ากษว์ จิ ารณ์งานทศั นศลิ ป์ 32 เรืองที ความงามตามธรรมชาติ เรืองที ความงามตามทศั นศลิ ป์ สากล เรืองที ธรรมชาติกบั ทศั นศลิ ป์ เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งร่างกาย ทีอยอู่ าศยั บทที ดนตรี เรืองที ดนตรีสากล เรืองที ดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ เรืองที คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล เรืองที ประวตั ิภูมิปัญญาทางดนตรีสากล บทที นาฏศิลป์ เรืองที นาฎยนิยาม เรืองที สุนทรียะทางนาฏศลิ ป์ เรืองที นาฏศลิ ป์ สากลเพือนบา้ นของไทย เรืองที ละครทีไดร้ ับอทิ ธิพลของวฒั นธรรมตะวนั ตก เรืองที ประเภทของละคร เรืองที ละครกบั ภมู ิปัญญาสากล เรืองที ประวตั ิความเป็นมาและวิวฒั นาการของลลี าศสากล
บทที การออกแบบกบั แนวทางการประกอบอาชพี ลกั ษณะเฉพาะของอาชีพดา้ นการออกแบบแต่ละสาขา งานมณั ฑนากรหรือนกั ออกแบบตกแต่ง นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ นกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั
คาํ แนะนําการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระการดาํ เนินชีวิต รายวิชา ศิลปศึกษา (ทช ) เป็ นหนังสือเรียนทีจดั ทาํ ขึน สาํ หรับ ผเู้ รียนทีเป็นนกั ศึกษานอกระบบ ในการศกึ ษาหนงั สือเรียนสาระการดาํ เนินชีวิต รายวิชา ศิลปศกึ ษา ผเู้ รียนควรปฏิบตั ิดงั นี 1. ศึกษาโครงสร้างรายวชิ าใหเ้ ขา้ ใจในหวั ขอ้ สาระสาํ คญั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และขอบข่ายเนือหา ของรายวชิ านนั ๆ โดยละเอยี ด 2. ศกึ ษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด ทาํ กิจกรรมตามทีกาํ หนด และทาํ ความเขา้ ใจ ในเนือหานนั ใหมใ่ หเ้ ขา้ ใจ ก่อนทีจะศกึ ษาเรืองต่อ ๆ ไป 3. ปฏบิ ตั ิกิจกรรมทา้ ยเรืองของแต่ละเรือง เพือเป็นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหาในเรืองนัน ๆ อีกครัง และการปฏิบตั ิกิจกรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครูและเพือน ๆ ทีร่วมเรียนในรายวชิ าและระดบั เดียวกนั ได้ 4. หนงั สือเรียนเล่มนีมี บท บทที ทศั นศิลป์ เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง เรืองที ทศั นศิลป์ สากล เรืองที การวพิ ากษว์ จิ ารณ์งานทศั นศลิ ป์ เรืองที ความงามตามธรรมชาติ เรืองที ความงามตามทศั นศลิ ป์ สากล เรืองที ธรรมชาติกบั ทศั นศิลป์ เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งร่างกาย และทีอยอู่ าศยั บทที ดนตรี ดนตรีสากล เรืองที ดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ เรืองที คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล เรืองที ประวตั ิภมู ิปัญญาทางดนตรีสากล เรืองที
บทที นาฏศิลป์ เรืองที นาฎยนิยาม เรืองที สุนทรียะทางนาฏศลิ ป์ เรืองที นาฏศิลป์ สากลเพอื นบา้ นของไทย เรืองที ละครทีไดร้ ับอิทธิพลของวฒั นธรรมตะวนั ตก เรืองที ประเภทของละคร เรืองที ละครกบั ภูมิปัญญาสากล เรืองที ลีลาศสากล บทที การออกแบบกบั แนวทางการประกอบอาชีพ ลกั ษณะเฉพาะของอาชีพดา้ นการออกแบบแต่ละสาขา งานมณั ฑนากรหรือนกั ออกแบบตกแต่ง นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ นกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั
โครงสร้างรายวชิ าศิลปศึกษา ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ทช ) สาระสําคญั รู้ เข้าใจ มีคุณธรรม จริ ยธรรม เห็นคุณค่าความงาม ความไพเราะ ของธรรมชาติสิงแวดล้อม ทางทศั นศิลป์ ดนตรี และนาฎศิลป์ สากล สามารถวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา ของทศั นศลิ ป์ สากล ดนตรีสากล และนาฎศลิ ป์ สากล เขา้ ใจ ถงึ ตน้ กาํ เนิด ภูมิปัญญาและการอนุรักษ์ ขอบข่ายเนือหา บทที ทศั นศิลป์ เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง เรืองที ทศั นศิลป์ สากล เรืองที การวพิ ากษว์ ิจารณ์งานทศั นศลิ ป์ เรืองที ความงามตามธรรมชาติ เรืองที ความงามตามทศั นศิลป์ สากล เรืองที ธรรมชาติกบั ทศั นศิลป์ เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งร่างกาย และทีอยอู่ าศยั บทที ดนตรี เรืองที ดนตรีสากล เรืองที ดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ เรืองที คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล เรืองที ประวตั ิภูมิปัญญาทางดนตรีสากล บทที นาฏศิลป์ เรืองที นาฏยนิยาม เรืองที สุนทรียะทางนาฏศิลป์ เรืองที นาฏศลิ ป์ สากลเพอื นบา้ นของไทย เรืองที ละครทีไดร้ ับอิทธิพลของวฒั นธรรมตะวนั ตก เรืองที ประเภทของละคร เรืองที ละครกบั ภูมิปัญญาสากล เรืองที ลีลาศสากล
บทที การออกแบบกบั แนวทางการประกอบอาชีพ ลกั ษณะเฉพาะของอาชีพดา้ นการออกแบบแต่ละสาขา งานมณั ฑนากรหรือนกั ออกแบบตกแต่ง นกั ออกแบบเครืองเฟอร์นิเจอร์ นกั ออกแบบเสือผา้ แฟชนั
1 บทที ทัศนศิลป์ สาระสําคญั ศกึ ษาเรียนรู้ เขา้ ใจ เห็นคุณค่าความงาม ของทศั นศลิ ป์ และสามารถวิพากษ์ วจิ ารณไ์ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา ของทศั นศลิ ป์ สากล เขา้ ใจถึงตน้ กาํ เนิด ภมู ิปัญญาและการ อนุรักษ์ ขอบข่ายเนือหา เรืองที จุด เสน้ สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง เรืองที ทศั นศิลป์ สากล เรืองที การวพิ ากษว์ ิจารณ์งานทศั นศลิ ป์ เรืองที ความงามตามธรรมชาติ เรืองที ความงามตามทศั นศิลป์ สากล เรืองที ธรรมชาติกบั ทศั นศลิ ป์ เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งร่างกาย และทีอยอู่ าศยั
2 เรืองที จุด เส้น สี แสงเงา รูปร่าง รูปทรง จุด ……………………………………… คือ องคป์ ระกอบทีเลก็ ทีสุด จุดเป็นสิงทีสามารถบอกตาํ แหน่งและทิศทางโดยการนาํ จุดมาเรียงต่อกนั ให้ เป็นเสน้ การรวมกนั ของจุดจะเกิดนาํ หนกั ทีใหป้ ริมาตรแก่รูปทรง เป็นตน้ เส้ น หมายถึง จุดหลายๆจุดทีเรียงชิดติดกนั เป็ นแนวยาว โดยการลากเส้นจากจุดหนึงไปยงั อีกจุดหนึง ในทิศทางทีแตกต่างกนั จะเป็นทิศมมุ 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมมุ ใดๆ การสลบั ทิศทางของเสน้ ทีลากทาํ ใหเ้ กิดเป็นลกั ษณะต่าง ๆ ในทางศิลปะเสน้ มหี ลายชนิดดว้ ยกนั โดยจาํ แนกออกไดเ้ ป็นลกั ษณะใหญ่ๆ คือ เส้นตงั เสน้ นอน เสน้ เฉียง เสน้ โคง้ เสน้ หยกั เสน้ ซิกแซก ความรู้สึกทมี ตี ่อเส้น เสน้ เป็นองคป์ ระกอบพนื ฐานทีสาํ คญั ในการสร้างสรรค์ เส้นสามารถแสดงให้เกิดความหมายของภาพ และใหค้ วามรู้สึกไดต้ ามลกั ษณะของเสน้ เสน้ ทีเป็นพืนฐาน ไดแ้ ก่ เสน้ ตรงและเสน้ โคง้ จากเสน้ ตรงและเสน้ โคง้ สามารถนาํ มาสร้างใหเ้ กิดเป็น เสน้ ใหม่ ๆ ทีใหค้ วามรู้สึกทีแตกต่างกนั ออกไป ไดด้ งั นี เส้นตงั ใหค้ วามรู้สึกแข็งแรง สูงเด่น สง่างาม น่าเกรงขาม เส้นนอน ใหค้ วามรู้สึกสงบราบเรียบ กวา้ งขวาง การพกั ผอ่ น หยดุ นิง เส้นแนวเฉียง ใหค้ วามรู้สึกไม่ปลอดภยั ไม่มนั คง ไม่หยดุ นิง
3 เส้นตดั กนั ใหค้ วามรู้สึกประสานกนั แข็งแรง เส้นโค้ง ใหค้ วามรู้สึกออ่ นโยน นุ่มนวล เส้นคด ใหค้ วามรู้สึกเคลือนไหว ไหลเลือน ร่าเริง ต่อเนือง เส้นประ ใหค้ วามรู้สึกขาดหาย ลึกลบั ไมส่ มบรูณ์ แสดงส่วนทีมองไม่เห็น เส้นขด ใหค้ วามรู้สึกหมนุ เวยี นมึนงง เส้นหยกั ใหค้ วามรู้สึกขดั แยง้ น่ากลวั ตืนเตน้ แปลกตา นกั ออกแบบนาํ เอาความรู้สึกทีมีต่อเสน้ ทีแตกต่างกนั มาใชใ้ นงานศิลปะประยุกต์ โดยใชเ้ สน้ มาเปลียน รูปร่างของตวั อกั ษร เพือใหเ้ กิดความรู้สึกเคลือนไหวและทาํ ใหส้ ือความหมายไดด้ ียงิ ขึน
4 สี ทฤษฎสี ี หมายถงึ หลกั วชิ าในเรืองของสีทีสามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตา และเมอื สามร้อยกวา่ ปี ทีผา่ นมา ไอแซก นิวตนั ไดค้ น้ พบว่าแสงสีขาวจาก ดวงอาทิตยเ์ มือหกั เห ผา่ นแท่งแกว้ สามเหลยี ม (prism) แสงสีขาวจะ กระจายออกเป็นสีรุ้ง เรียกว่า สเปคตรัม มี 7 สี ไดแ้ ก่ มว่ ง คราม นาํ เงิน เขียว เหลือง สม้ แดง และไดก้ าํ หนดให้ เป็นทฤษฎีสีของแสง ความจริงสีรุ้งเป็นปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติทีเกิดขึนและพบเห็นกนั บ่อย ๆ โดยเกดิ จาก การหกั เหของ แสงอาทิตยห์ รือแสงสวา่ ง เมือผา่ นละอองนาํ ในอากาศและกระทบต่อสายตาใหเ้ ห็นเป็นสี มผี ล ทางดา้ นจิตวิทยา ทางดา้ นอารมณ์ และความรู้สึก การทีไดเ้ ห็นสีจากสายตา สายตาจะส่งความรู้สึกไปยงั สมองทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกต่างๆ ตามอทิ ธิพลของสี เช่น สดชืน เร่าร้อน เยอื กเยน็ หรือตืนเตน้ มนุษยเ์ ราเกียวขอ้ ง กบั สีต่างๆ อยตู่ ลอดเวลา เพราะทุกสิงทีอยรู่ อบตวั นนั ลว้ นแต่มสี ีสนั แตกต่างกนั มากมาย นกั วิชาการสาขาต่างๆ ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เรืองสี จนเกิดเป็ นทฤษฎีสี ตามหลกั การของนกั วิชาการสาขา ต่าง ๆ เช่น แม่สีของนกั ฟิ สิกส์ หรือ(แม่สีของแสง) (Spectrum Primaries) เป็นสีทีเกิดจากการผสมกนั ของคลนื แสง มี สี คือ แม่สีของนักเคมี (Pigmentary Primaries) คือสีทีใช้ในวงการอุตสาหกรรมและวงการศิลปะ หรือ เรียกอีกอย่างหนึงว่า สีวตั ถุธาตุ ทีเรากาํ ลงั ศึกษาอยู่ในขณะนี โดยใชใ้ นการเขียนภาพเกียวกับพาณิชยศิลป์ ภาพโฆษณา ภาพประกอบเรืองและภาพเขียน ของศลิ ปิ นต่าง ๆ ประกอบดว้ ย สีขันที 1 (Primary Color) คือ แม่สีพนื ฐาน มี 3 สี ไดแ้ ก่ 1. สีเหลอื ง (Yellow) สีแดง 2. สีแดง (Red) 3. สีนาํ เงิน (Blue) สีนาํ เงนิ สีเหลือง
5 สีขันที 2 (Secondary color) คือ สีทีเกิดจากสีขนั ที 1 หรือแม่สีผสมกนั ในอตั ราส่วนทีเท่ากนั จะทาํ ใหเ้ กิดสีใหม่ 3 สี ไดแ้ ก่ 1. สีสม้ (Orange) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกบั สีเหลอื ง (Yellow) 2. สีมว่ ง (Violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกบั สีนาํ เงิน (Blue) 3. สีเขียว (Green) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกบั สีนาํ เงิน (Blue) สีส้ม สีม่วง สีเขยี ว สีขันที 3 (Intermediate Color) คือสีทีเกิดจากการผสมกนั ระหว่างแม่สีกบั สีขนั ที 2 จะเกิดสีขนั ที ขึนอกี 6 สี ไดแ้ ก่ 1. สีนาํ เงินมว่ ง ( Violet-blue) เกิดจาก สีนาํ เงิน (Blue) ผสมสีม่วง (Violet) 2. สีเขียวนาํ เงิน ( Blue-green) เกิดจาก สีนาํ เงิน (Blue) ผสมสีเขียว (Green) 3. สีเหลืองเขียว ( Green-yellow)เกิดจาก สีเหลือง(Yellow) ผสมกบั สีเขียว (Green) 4. สีสม้ เหลือง ( Yellow-orange)เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกบั สีสม้ (Orange) 5. สีแดงสม้ ( Orange-red) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกบั สีสม้ (Orange) 6. สีมว่ งแดง ( Red-violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกบั สีม่วง (Violet) สีม่วงแดง สีแดงส้ม สีนาํ เงนิ ม่วง สีส้มเหลือง สีเขยี วนาํ เงนิ สีเหลืองเขียว เราสามารถผสมสีเกิดขึนใหม่ไดอ้ ีกมากมายหลายร้อยสีดว้ ยวิธีการเดียวกนั นี ตามคุณลกั ษณะของสีทีจะกล่าว ต่อไป
6 จะเห็นไดว้ ่าสีทงั ขนั ตามทฤษฎีสีดงั กล่าว มีผลทาํ ใหเ้ ราสามารถนาํ มาใชเ้ ป็ นหลกั ในการเลือกสรรสี สาํ หรับงานสร้างสรรคข์ องเราได้ ซึงงานออกแบบมิไดถ้ กู จาํ กดั ดว้ ยกรอบความคิดของทฤษฎีตามหลกั วิชาการ เท่านนั แต่เราสามารถคิดออกนอกกรอบแห่งทฤษฎีนัน ๆ ได้ เท่าทีมนั สมองของเราจะเคน้ ความคิดสร้างสรรค์ ออกมาได้ ภาพวงจรสี สี คณุ ลกั ษณะของสีมี 3 ประการ คอื 1. สีแท้ หรือความเป็ นสี (Hue) หมายถึง สีทีอย่ใู นวงจรสีธรรมชาติ ทงั 12 สี (ดูภาพสี 12 สีในวงจรสี ประกอบ) สี ทีเราเห็นอยทู่ ุกวนั นีแบ่งเป็น 2 วรรณะ โดยแบ่งวงจรสีออกเป็น 2 ส่วน จากสีเหลอื งวนไปถึงสีมว่ ง คือ 1. สีวรรณะร้อน (Warm Color) ให้ความรู้สึกรุนแรง ร้อน ตืนเตน้ ประกอบดว้ ย สีเหลือง สีเหลอื งสม้ สีสม้ สีแดงสม้ สีแดง สีมว่ งแดง สีม่วง 2. สีวรรณะเยน็ (Cool Color) ให้ความรู้สึกเยน็ สงบ สบายตาประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียวเหลอื ง สีเขียว สีนาํ เงินเขียว สีนาํ เงิน สีม่วงนาํ เงิน สีม่วง เราจะเห็นว่า สีเหลอื ง และสีม่วง เป็นสีทีอยไู่ ดท้ งั 2 วรรณะ คือสีกลางทีเป็นไดท้ งั สีร้อน และสีเยน็
7 2. ความจดั ของสี (Intensity) หมายถงึ ความสด หรือความบริสุทธิของสีใดสีหนึง และสีทีถกู ผสมดว้ ย สีดาํ จนหม่นลง ความจดั หรือความบริสุทธิจะลดลงความจดั ของสีจะเรียงลาํ ดบั จากจดั ทีสุด ไปจนหม่นทีสุด ไดห้ ลายลาํ ดบั ดว้ ยการค่อยๆ เพมิ ปริมาณของสีดาํ ทีผสมเขา้ ไปทีละนอ้ ยจนถึงลาํ ดบั ทีความจดั ของสีมีนอ้ ยทีสุด คือเกือบเป็ นสีดาํ 3. นําหนักของสี (Values) หมายถึง สีทีสดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สีทึบ(Darkness) ของ สีแต่ละสี สีทุกสีจะมีนาํ หนกั ในตวั เอง ถา้ เราผสมสีขาวเขา้ ไปในสีใดสีหนึง สีนนั จะสว่างขึน หรือมีนาํ หนักอ่อน ลงถา้ เพิมสีขาวเขา้ ไปทีละน้อยๆ ตามลาํ ดับเราจะไดน้ ําหนักของสีทีเรียงลาํ ดบั จากแก่สุดไปจนถึงอ่อนสุด นาํ หนักอ่อนแก่ของสี เกิดจากการผสมด้วยสีขาว เทา และดาํ นําหนักของสีจะลดลงด้วยการใชส้ ีขาวผสม (tint) ซึงจะทาํ ให้ เกิดความรู้สึกนุ่มนวล ออ่ นหวาน สบายตา นาํ หนกั ของสีจะเพิมขึนปานกลางดว้ ยการใชส้ ีเทา ผสม (tone) ซึงจะทาํ ใหค้ วามเขม้ ของสีลดลง เกิดความรู้สึก ทีสงบ ราบเรียบ และนาํ หนกั ของสีจะเพิมขึนมาก ขึนนดว้ ยการใชส้ ีดาํ ผสม (shade) ซึงจะทาํ ใหค้ วามเขม้ ของสีลดความสดใสลง เกิดความรู้สึกขรึม ลึกลบั นาํ หนกั ของสียงั หมายถึงการเรียงลาํ ดบั นาํ หนักของสีแท้ดว้ ยกนั เอง โดยเปรียบเทียบนาํ หนักอ่อนแก่กบั สีขาว - ดาํ เราสามารถเปรียบเทียบระหว่างภาพสีกบั ภาพขาวดาํ ไดอ้ ย่างชดั เจนและเมือเรานาํ ภาพสีทีเราเห็นว่ามีสีแดงอยู่ หลายค่าตงั แต่ออ่ น กลาง แก่ ไปถ่ายเอกสารขาว - ดาํ เมือนาํ มาดูจะพบว่า สีแดงจะมีนาํ หนักอ่อน แก่ตงั แต่ขาว เทา ดาํ นนั เป็นเพราะว่าสีแดงมนี าํ หนกั ของสีแตกต่างกนั นนั เอง สีต่างๆ ทีเราสมั ผสั ดว้ ยสายตา จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกขึนภายในต่อเรา ทนั ทีทีเรามองเห็นสี ไม่ว่าจะเป็ น การแต่งกาย บา้ นทีอยอู่ าศยั เครืองใชต้ ่างๆ แลว้ เราจะทาํ อยา่ งไร จึงจะใชส้ ีไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และสอดคลอ้ งกบั หลกั จิตวิทยา เราจะตอ้ งเขา้ ใจว่าสีใดใหค้ วามรู้สึกต่อมนุษยอ์ ยา่ งไร ซึงความรู้สึกทีเกียวกบั สีสามารถจาํ แนกออก ไดด้ งั นี สีแดง ใหค้ วามรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุน้ ทา้ ทาย เคลือนไหว ตืนเตน้ เร้าใจ มีพลงั ความอุดมสมบูรณ์ ความมงั คงั ความรัก ความสาํ คญั และอนั ตรายจะทาํ ใหเ้ กิดความอดุ มสมบูรณ์เป็นตน้ สีสม้ ใหค้ วามรู้สึก ร้อน อบอุ่น สดใส มีชีวิตชีวา วยั รุ่น ความคึกคะนอง และการปลดปล่อย สีเหลือง ใหค้ วามรู้สึก แจ่มใส ร่าเริง เบิกบานสดชืน ชีวิตใหม่ ความสุกสว่าง สีเขียว ให้ความรู้สึก งอกงาม สดชืน สงบ เงียบร่มรืน ร่มเยน็ การพกั ผอ่ น การผอ่ นคลายธรรมชาติ ความปลอดภยั ปกติ ความสุข ความสุขมุ เยอื กเยน็ สีเขียวแก่ ใหค้ วามรู้สึก เศร้าใจ แก่ชรา สีนาํ เงิน ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มศี กั ดิศรี สูงศกั ดิ เป็นระเบียบถ่อมตน สีฟ้ า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่ง โล่งกวา้ ง โปร่งใส สะอาด ปลอดภยั ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็ น อิสระเสรีภาพ การช่วยเหลอื สีคราม จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกสงบ สีม่วง ใหค้ วามรู้สึก มีเสน่ห์ น่าติดตาม เร้นลบั ซ่อนเร้นมีอาํ นาจ มีพลงั แฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผดิ หวงั ความสงบ ความสูงศกั ดิ สีนาํ ตาล ใหค้ วามรู้สึกเก่า หนกั สงบเงียบ
8 สีขาว ใหค้ วามรู้สึกบริสุทธิ สะอาด ใหม่ สดใส สีดาํ ใหค้ วามรู้สึกหนกั หดหู่ เศร้าใจ ทึบตนั สีชมพู ใหค้ วามรู้สึก อบอุ่น อ่อนโยน นุ่มนวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วยั รุ่น หนุ่มสาว น่ารัก ความสดใส สีเขียว จะทาํ ใหเ้ กิดความรู้สึกกระชุ่มกระชวย เป็นหนุ่มสาว สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า อาลยั ทอ้ แท้ ความลึกลบั ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สุภาพสุขมุ ถอ่ มตน สีทอง ใหค้ วามรู้สึก ความหรูหรา โออ่ ่า มีราคา สูงค่า สิงสาํ คญั ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข ความมงั คงั ความราํ รวย การแผก่ ระจาย จากความรู้สึกดงั กล่าว เราสามารถนาํ ไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ไดใ้ นทุกเรือง และเมือตอ้ งการ สร้างผลงาน ทีเกียวกบั การใชส้ ี เพือทีจะไดผ้ ลงานทีตรงตามความตอ้ งการในการสือความหมาย และจะช่วยลด ปัญหาในการตดั สินใจทีจะเลอื กใชส้ ีต่างๆได้ เช่น 1. ใชใ้ นการแสดงเวลาของบรรยากาศในภาพเขียน เพราะสีบรรยากาศในภาพเขียนนนั ๆ จะแสดงใหร้ ู้วา่ เป็นภาพตอนเชา้ ตอนกลางวนั หรือตอนบ่าย เป็นตน้ 2. ในดา้ นการคา้ คือ ทาํ ใหส้ ินคา้ สวยงาม น่าซือหา นอกจากนียงั ใชก้ บั งานโฆษณา เช่น โปสเตอร์ต่างๆ ช่วยใหจ้ าํ หน่ายสินคา้ ไดม้ ากขึน 3. ในดา้ นประสิทธิภาพของการทาํ งาน เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ถา้ ทาสีสถานทีทาํ งานให้ถกู หลกั จิตวิทยา จะเป็ นทางหนึงทีช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าทาํ งาน คนงานจะทาํ งานมากขึน มีประสิทธิภาพในการ ทาํ งานสูงขึน 4. ในดา้ นการตกแต่งสีของหอ้ ง และสีของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยแกป้ ัญหาเรืองความสว่างของหอ้ ง รวมทงั ความสุขในการใชห้ ้อง ถา้ เป็ นโรงเรี ยน เด็กจะเรียนได้ผลดีขึน ถา้ เป็ นโรงพยาบาลคนไข้จะหายเร็วขึน นกั สร้างสรรคง์ านออกแบบจะเป็นผทู้ ีเกียวขอ้ งกบั การใชส้ ีโดยตรง มณั ฑนากรจะคิดคน้ สีขึนมาเพือใชใ้ นงาน ตกแต่ง คนออกแบบฉากเวทีการแสดงจะคิดคน้ สีเกียวกบั แสง จิตรกรก็จะคิดคน้ สีขึนมาระบายให้เหมาะสมกบั ความคิด และจินตนาการของตน แลว้ ตวั เราจะคิดคน้ สีขึนมาเพอื ความงาม ความสุข สาํ หรับเรามิไดห้ รือสีทีใช้ สาํ หรับการออกแบบนนั ถา้ เราจะใชใ้ หเ้ กิดความสวยงามตรงตามความตอ้ งการของเรา มีหลกั ในการใชก้ วา้ งๆ อยู่ 2 ประการ คือ การใชส้ ีกลมกลืนกนั และ การใชส้ ีตดั กนั . การใช้สีกลมกลนื กนั การใชส้ ีใหก้ ลมกลนื กนั เป็นการใชส้ ีหรือนาํ หนกั ของสีใหใ้ กลเ้ คียงกนั หรือคลา้ ยคลึงกนั เช่น การใชส้ ี แบบเอกรงค์ เป็นการใชส้ ีสีเดียวทีมีนาํ หนกั อ่อนแก่หลายลาํ ดบั การใชส้ ีขา้ งเคียง เป็ นการใชส้ ีทีเคียงกนั 2 – 3 สี ในวงสี เช่น สีแดง สีส้มแดง และสีม่วงแดง การใชส้ ี ใกลเ้ คียง เป็นการใชส้ ีทีอยเู่ รียงกนั ในวงสีไมเ่ กิน 5 สี ตลอดจนการใชส้ ีวรรณะร้อนและวรรณะเยน็ (warm tone colors and cool tone colors) ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้
9 2. การใช้สีตดั กนั สีตดั กนั คือสีทีอยตู่ รงขา้ มกนั ในวงจรสี (ดภู าพวงจรสี ดา้ นซา้ ยมือประกอบ) การใชส้ ี ใหต้ ดั กนั มีความจาํ เป็นมาก ในงานออกแบบ เพราะช่วยใหเ้ กิดความน่าสนใจในทนั ทีทีพบเห็น สีตดั กนั อยา่ ง แทจ้ ริงมี อยดู่ ว้ ยกนั 6 คู่สี คือ 1. สีเหลือง ตรงขา้ มกบั สีม่วง เหลือง มว่ ง 2. สีสม้ ตรงขา้ มกบั สีนาํ เงิน ส้ม นาํ เงิน 3. สีแดง ตรงขา้ มกบั สีเขียว แดง เขยี ว 4. สีเหลืองสม้ ตรงขา้ มกบั สีมว่ งนาํ เงิน เหลอื งส้ม ม่วงนาํ เงนิ 5. สีสม้ แดง ตรงขา้ มกบั นาํ เงินเขียว สม้ แดง นาํ เงนิ เขยี ว 6. สีม่วงแดง ตรงขา้ มกบั สีเหลืองเขียว มว่ งแดง เหลืองเขียว ในงานออกแบบ หรือการจดั ภาพ หากเรารู้จกั ใชส้ ีใหม้ ีสภาพโดยรวมเป็ นวรรณะร้อน หรือวรรณะเยน็ เราจะ สามารถควบคุม และสร้างสรรคผ์ ลงานใหเ้ กิดความประสานกลมกลืน งดงามไดง้ ่ายขึน เพราะสีมีอิทธิพล ต่อมวล ปริมาตร และช่องว่าง สีมีคุณสมบตั ิทีทาํ ใหเ้ กิดความกลมกลืน หรือขดั แยง้ ได้ สีสามารถขบั เนน้ ใหเ้ กิด จุดเด่น และการรวมกนั ใหเ้ กิดเป็นหน่วยเดียวกนั ได้ เราในฐานะผใู้ ชส้ ีตอ้ งนาํ หลกั การต่างๆ ของสีไปประยกุ ตใ์ ช้ ใหส้ อดคลอ้ ง กบั เป้ าหมายในงานของเรา เพราะสีมีผลต่อการออกแบบ คือ 1. สร้างความรู้สึก สีใหค้ วามรู้สึกต่อผพู้ บเห็นแตกต่างกนั ไป ทงั นีขึนอยกู่ บั ประสบการณ์ และภูมิหลงั ของแต่ละคน สีบางสีสามารถรักษาบาํ บดั โรคจิตบางชนิดได้ การใชส้ ีภายใน หรือภายนอกอาคาร จะมีผลในการ สร้างบรรยากาศได้ 2. สร้างความน่าสนใจ สีมีอิทธิพลต่องานศิลปะการออกแบบ จะช่วยสร้างความประทบั ใจ และ ความน่าสนใจเป็นอนั ดบั แรกทีพบเห็น 3. สีบอกสัญลกั ษณ์ของวตั ถุ ซึงเกิดจากประสบการณ์ หรือภูมิหลงั เช่น สีแดงสัญลกั ษณ์ของไฟ หรือ อนั ตราย สีเขียวสญั ลกั ษณ์แทนพชื หรือความปลอดภยั เป็นตน้ 4. สีช่ วยให้เกิดการรับรู้ และจดจํา งานศิลปะการออกแบบต้องการให้ผพู้ บเห็นเกิดการจดจํา ในรูปแบบ และผลงาน หรือเกิดความประทบั ใจ การใชส้ ีจะตอ้ งสะดุดตา และมเี อกภาพ แสงและเงา แสงและเงา หมายถึง แสงทีส่องมากระทบพนื ผวิ ทีมีสีอ่อนแก่และพนื ผวิ สูงตาํ โคง้ นูนเรียบหรือขรุขระ ทาํ ใหป้ รากฏแสงและเงาแตกต่างกนั
10 ตวั กาํ หนดระดบั ของค่านาํ หนกั ความเขม้ ของเงาจะขึนอยกู่ บั ความเขม้ ของแสง ในทีทีมีแสงสว่างมาก เงาจะเขม้ ขึนและในทีทีมแี สงสวา่ งนอ้ ย เงาจะไมช่ ดั เจน ในทีทีไม่มแี สงสว่างจะไม่มีเงา และเงาจะอย่ใู นทางตรง ขา้ มกบั แสงเสมอ ค่านาํ หนกั ของแสงและเงาทีเกิดบนวตั ถุสามารถจาํ แนกเป็นลกั ษณะทีต่าง ๆ ไดด้ งั นี 1. บริเวณแสงสว่างจดั (Hi-light) เป็นบริเวณทีอยใู่ กลแ้ หลง่ กาํ เนิดแสงมากทีสุดจะมีความสว่างมาก ทีสุด วตั ถทุ ีมผี วิ มนั วาวจะสะทอ้ นแหล่งกาํ เนิดแสงออกมาใหเ้ ห็นไดช้ ดั 2. บริเวณแสงสว่าง (Light) เป็นบริเวณทีไดร้ ับแสงสวา่ ง รองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจดั เนืองจาก อยหู่ ่างจากแหล่งกาํ เนิดแสงออกมา และเริมมคี ่านาํ หนกั อ่อน ๆ 3. บริเวณเงา (Shade) เป็นบริเวณทีไม่ไดร้ ับแสงสว่าง หรือเป็นบริเวณทีถกู บดบงั จากแสงสว่าง ซึงจะ มคี ่านาํ หนกั เขม้ มากขึนกว่าบริเวณแสงสว่าง 4. บริเวณเงาเข้มจดั (Hi-Shade) เป็นบริเวณทีอยหู่ ่างจากแหล่งกาํ เนิดแสงมากทีสุด หรือ เป็ นบริเวณ ทีถกู บดบงั หลาย ๆ ชนั จะมคี ่านาํ หนกั ทีเขม้ มากไปจนถงึ เขม้ ทีสุด 5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพนื หลงั ทีเงาของวตั ถุทาบลงไป เป็นบริเวณเงาทีอยภู่ ายนอกวตั ถุ และจะมีความเขม้ ของค่านาํ หนกั ขึนอยกู่ บั ความเขม้ ของเงา นาํ หนกั ของพนื หลงั ทิศทางและระยะของเงา ความสําคญั ของค่านําหนัก 1. ใหค้ วามแตกต่างระหว่างรูปและพนื หรือรูปทรงกบั ทีว่าง 2. ใหค้ วามรู้สึกเคลอื นไหว 3. ใหค้ วามรู้สึกเป็น 2 มิติ แก่รูปร่าง และความเป็น 3 มิติแก่รูปทรง 4. ทาํ ใหเ้ กิดระยะความตืน - ลึก และระยะใกล้ - ไกลของภาพ 5. ทาํ ใหเ้ กิดความกลมกลนื ประสานกนั ของภาพ กจิ กรรม 1. ใหน้ ักศึกษาใชเ้ สน้ แบบต่างๆตามแบบเรียนมาประกอบเป็ นภาพตามจินตนาการลงในกระดาษเปล่า ขนาด A4 จากนนั นาํ มาแสดงผลงานและแลกเปลยี นกนั ชมและวจิ ารณ์กนั ในชนั เรียน 2. นาํ ผลงานจากขอ้ เกบ็ ในแฟ้ มสะสมผลงาน
11 เรืองที ทัศนศิลป์ สากล ความหมายของศิลปะและทศั นศิลป์ ศิลปะหมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยท์ ีแสดงออกมาในรูปลกั ษณ์ต่างๆให้ปรากฏ ซึงความสุนทรียภาพ ความประทบั ใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทกั ษะของ บุคคลแต่ละคนนอกจากนียงั มีนกั ปราชญ์ นกั การศกึ ษา ท่านผรู้ ู้ ไดใ้ หค้ วามหมายของศิลปะแตกต่างกนั ออกไป เช่น การเลยี นแบบธรรมชาติ การแสดงออกของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์ ความสัมพนั ธ์ระหว่างศิลปะกบั มนุษย์ การสร้างสรรค์ทางศิลปะของมนุษยเ์ ป็ นกิจกรรมในการพฒั นาสติปัญญาและอารมณ์ทีมีมาตงั แต่สมยั โบราณตงั แต่ยคุ หินหรือประมาณ 4,000 - 5,000 ปี ลว่ งมาแลว้ นบั ตงั แต่มนุษยอ์ าศยั อยใู่ นถาํ เพิงผา ดาํ รงชีวิตดว้ ย การลา่ สตั วแ์ ละหาของป่ าเป็นอาหาร โดยมากศลิ ปะจะเป็ นภาพวาด ซึงปรากฏตามผนงั ถาํ ต่างๆ เช่น ภาพววั ไบ ซนั ทีถาํ อลั ตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสตั วช์ นิดต่าง ๆ ทีถาํ ลาสโคซ์ ในประเทศฝรังเศส สาํ หรับประเทศไทย ทีพบเห็น เช่นผาแตม้ จงั หวดั อุบลราชธานี ภาชนะเครืองปันดินเผา ทีบา้ นเชียง จงั หวดั อุดรธานี
12 ประเภทของงานทัศนศิลป์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. จิตรกรรม 2. ประติมากรรม 3. สถาปัตยกรรม 4. ภาพพมิ พ์ งานจิตรกรรม เป็ นงานศิลปะทีแสดงออกดว้ ยการวาด ระบายสี และการจดั องค์ประกอบความงาม เพือใหเ้ กิดภาพ มิติ ไม่มีความลกึ หรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึงของทศั นศิลป์ ผทู้ าํ งานดา้ นจิตรกรรม จะเรียกวา่ จิตรกร จอหน์ แคนาเดย์ (John Canaday) ไดใ้ หค้ วามหมายของจิตรกรรมไวว้ า่ จิตรกรรม คือ การระบายชนั ของ สีลงบนพนื ระนาบรองรับเป็นการจดั รวมกนั ของรูปทรง และ สีทีเกิดขึนจากการเตรียมการของศิลปิ นแต่ละคน ในการเขียนภาพนัน พจนานุกรมศพั ท์ อธิบายว่า เป็ นการสร้างงานทศั นศิลป์ บนพืนระนาบรองรับ ดว้ ยการ ลากป้ าย ขีด ขดู วสั ดุจิตรกรรมลงบนพนื ระนาบรองรับ ภาพจิตรกรรมทีเก่าแก่ทีสุดทีเป็นทีรู้จกั อยทู่ ีถาํ Chauvet ในประเทศฝรังเศส ซึงนกั ประวตั ิศาสตร์บางคน อา้ งวา่ มอี ายรุ าว , ปี เป็นภาพทีสลกั และระบายสีดว้ ยโคลนแดงและสียอ้ มดาํ แสดงรูปมา้ แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือมนุษยท์ ีกาํ ลงั ล่าสตั ว์ จิตรกรรม สามารถจาํ แนกไดต้ ามลกั ษณะผลงาน และ วสั ดุอุปกรณ์การสร้างสรรคเ์ ป็ น ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน
13 จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) เป็นศพั ทท์ ศั นศิลป์ คือ ภาพวาดเสน้ หรือบางท่านอาจเรียกดว้ ยคาํ ทบั ศพั ท์ วา่ ดรอองิ ปัจจุบนั ไดม้ ีการนาํ อปุ กรณ์ และเทคโนโลยที ีใชใ้ นการเขียนภาพและวาดภาพ ทีกา้ วหนา้ และทนั สมยั มากมาใช้ ผเู้ ขียนภาพจึงอาจจะใชอ้ ปุ กรณ์ต่างๆมาใชใ้ นการเขียนภาพ ภาพวาดในสือสิงพิมพ์ สามารถแบ่งออก ไดเ้ ป็น ประเภท คือ ภาพวาดลายเสน้ และ การ์ตูน จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน มิติบนพืนระนาบดว้ ยสีหลายสี เช่น สีนาํ สีนาํ มนั สีฝ่ นุ สีชอลค์ หรือสีอะคริลคิ ซึงผลงานทางดา้ นจิตรกรรมภาพเขียนของสีแต่ละชนิดจะมคี วามแตกต่าง กนั เช่น 1. การเขยี นภาพสีนํา (Color Painting) 2. การเขียนภาพสีนํามนั (Oil Painting)
14 3. การเขยี นภาพสีอะคริลคิ (Acrylic Painting) งานประติมากรรม เป็นผลงานดา้ นศิลปทีแสดงออกดว้ ยการสร้างรูปทรง 3 มิติ ทีมีปริมาตร มีนาํ หนกั และกินเนือทีในอากาศ โดยการใชว้ สั ดุชนิดต่าง ๆ วสั ดุทีใชส้ ร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็ นตวั กาํ หนด วธิ ีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม ทาํ ได้ 4 วิธี คือ 1. การปัน (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุ ทีมีความเหนียว อ่อนตวั และยดึ จบั ตวั กนั ไดด้ ี วสั ดุทีนิยมนาํ มาใชป้ ัน ไดแ้ ก่ ดินเหนียว ดินนาํ มนั ปูน แป้ ง ขีผงึ กระดาษ หรือ ขีเลอื ยผสมกาว เป็นตน้ 2. การแกะสลกั (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุที แขง็ เปราะ โดยอาศยั เครืองมือ วสั ดุ ทีนิยมนาํ มาแกะ ไดแ้ ก่ ไม้ หิน กระจก แกว้ ปูนปลาสเตอร์ เป็นตน้ งานแกะสลกั ไม้
15 3. การหล่อ (Molding) การสร้างรูปผลงานทีมีทรง 3 มิติ จากวสั ดุทีหลอมตวั ไดแ้ ละกลบั แข็งตวั ได้ โดยอาศยั แม่พิมพ์ ซึงสามารถทาํ ใหเ้ กิดผลงานทีเหมือนกนั ทุกประการตงั แต่ 2 ชิน ขึนไป วสั ดุทีนิยมนาํ มา ใชห้ ล่อ ไดแ้ ก่ โลหะ ปนู แกว้ ขีผงึ เรซิน พลาสติก ฯลฯ 4. การประกอบขึนรูป (Construction) การสร้างผลงานทีมีรูปทรง 3 มิติ โดยการนาํ วสั ดุต่าง ๆ มา ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และยดึ ติดกนั ดว้ ยวสั ดุต่าง ๆ การเลือกวธิ ีการสร้างสรรคง์ านประติมากรรม ขึนอยกู่ บั วสั ดุที ตอ้ งการใชใ้ นงานประติมากรรม ไมว่ า่ จะสร้างขึนโดยวิธีใด ผลงานทางดา้ นประติมากรรม จะมีอยู่ 3 ลกั ษณะ คือ แบบนูนตาํ แบบนูนสูง และแบบลอยตวั ผสู้ ร้างสรรคง์ านประติมากรรม เรียกว่า ประตมิ ากร ประเภทของงานประตมิ ากรรม 1. ประตมิ ากรรมแบบนูนตาํ (Bas Relief) เป็นรูปปันทีนูนขึนมาจากพนื หรือมีพนื หลงั รองรับ มองเห็น ไดช้ ดั เจนเพยี งดา้ นเดียว คือดา้ นหนา้ มีความสูงจากพืนไมถ่ ึงครึงหนึงของรูปจริง ไดแ้ ก่รูปนูนบนเหรียญรูปนูน ทีใชป้ ระดบั ตกแต่งภาชนะ รูปนูนทีใชป้ ระดบั ตกแต่งบริเวณฐานอนุสาวรีย์ หรือพระเครืองบางองค์ 2. ประตมิ ากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปปันแบบต่าง ๆ มีลกั ษณะเช่นเดียวกบั แบบ นูนตาํ แต่มีความสูงจากพืนตังแต่ครึงหนึงของรูปจริงขึนไป ทาํ ให้เห็นลวดลายทีลึก ชดั เจน และ และเหมือนจริง มากกวา่ แบบนูนแต่ใชง้ านแบบเดียวกบั แบบนูนตาํ 3. ประตมิ ากรรมแบบลอยตวั ( Round Relief ) เป็นรูปปันแบบต่าง ๆ ทีมองเห็นไดร้ อบดา้ นหรือ ตงั แต่ 4 ดา้ นขึนไป ไดแ้ ก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพทุ ธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสาํ คญั รูปสตั ว์ ฯลฯ สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถงึ การออกแบบผลงานทางทศั นศิลป์ ทีเป็ นการก่อสร้างสิงต่าง ๆ คนทวั ไปอยอู่ าศยั ไดแ้ ละอยอู่ าศยั ไม่ได้ เช่นสถปู เจดีย์ อนุสาวรีย์ บา้ นเรือนต่าง ๆ เป็นตน้ นอกจากนียงั รวมถึง การกาํ หนดผงั บริเวณต่าง ๆ เพือให้เกิดความสวยงามและเป็ นประโยชน์แก่การใชส้ อยตามต้องการงาน
16 สถาปัตยกรรมเป็ นแหล่งรวมของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมกั มีรูปแบบแสดงเอกลกั ษณ์ของ สงั คมนนั ๆ ในช่วงเวลานนั ๆ เราแบ่งลกั ษณะงานของสถาปัตยกรรมออกไดเ้ ป็น แขนง ดงั นีคือ 1. สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตึกอาคาร บา้ นเรือน เป็นตน้ 2. ภูมสิ ถาปัตย์ เช่น การออกแบบวางผงั จดั บริเวณ วางผงั ปลกู ตน้ ไม้ จดั สวน เป็นตน้ 3. สถาปัตยกรรมผงั เมอื ง ไดแ้ ก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มีระเบียบ มีความสะอาด และถูกหลกั สุขาภิบาล เราเรียกผสู้ ร้างงานสถาปัตยกรรมว่า สถาปนิก องค์ประกอบสําคญั ของสถาปัตยกรรม จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนนั ไดเ้ ปลียนแปลงไปตามยคุ สมยั บทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึงเป็ นบทความเกียวกับสถาปัตยกรรม ทีเก่าแก่ทีสุด ทีเราคน้ พบ ไดก้ ล่าวไวว้ า่ สถาปัตยกรรมตอ้ งประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสามส่วนหลกั ๆ ทีผสมผสานกนั อยา่ งลง ตวั และสมดุล อนั ไดแ้ ก่ ความงาม (Venustas) หมายถงึ สดั ส่วนและองคป์ ระกอบ การจดั วางทีว่าง สี วสั ดุและพืนผิวของอาคาร ทีผสมผสานลงตวั ทียกระดบั จิตใจของผไู้ ดย้ ลหรือเยยี มเยอื นสถานทีนนั ๆ ความมนั คงแข็งแรง (Firmitas) และประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยขน์และ การบรรลปุ ระโยชนแ์ ห่งเจตนา รวมถงึ ปรัชญาของสถานทีนนั ๆ
17 สถาปัตยกรรมตะวนั ตก ตวั อย่างเช่น บา้ นเรือน โบสถ์ วิหาร ปราสาท ราชวงั ซึงมีทงั สถาปัตยกรรมแบบโบราณ เช่น กอธิก ไบแซนไทน์ จนถงึ สถาปัตยกรรมสมยั ใหม่ ศิลปะภาพพมิ พ์ ( Printmaking) ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคาํ ย่อมเป็ นทีเขา้ ใจชดั เจนแลว้ ว่า หมายถึงรูปภาพทีสร้างขึนมา โดยวิธี การพิมพ์ แต่สาํ หรับคนไทยส่วนใหญ่เมือพูดถึงภาพพิมพอ์ าจจะยงั ไม่เป็ นทีรู้จกั ว่าภาพพิมพ์ คืออะไรกนั แน่ เพราะคาํ ๆนีเป็นคาํ ใหมท่ ีเพงิ เริมใชก้ นั มาประมาณเมอื 30 ปี มานีเอง โดยความหมายของคาํ เพยี งอยา่ งเดียว อาจจะชวนใหเ้ ขา้ ใจสบั สนไปถงึ รูปภาพทีพิมพด์ ว้ ยกรรมวธิ ี การพิมพท์ างอุตสาหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภาพพิมพท์ ีจาํ ลองจากภาพถ่าย หรือภาพจาํ ลองจิตรกรรมอนั ทีจริง คาํ วา่ ภาพพิมพ์ เป็นศพั ทเ์ ฉพาะทางศิลปะที หมายถึง ผลงานวจิ ิตรศิลป์ ทีจดั อยใู่ นประเภท ทศั นศลิ ป์ เช่น เดียวกนั กบั จิตรกรรมและประติมากรรม ภาพพิมพท์ วั ไป มลี กั ษณะเช่นเดียวกบั จิตรกรรมและภาพถา่ ย คือตวั อยา่ งผลงานมีเพยี ง 2 มิติ ส่วนมิติที 3 คือ ความลึกทีจะเกิดขึนจากการใชภ้ าษาเฉพาะของทศั นศิลป์ อนั ไดแ้ ก่ เสน้ สี นาํ หนัก และพืนผิว สร้างให้ดู ลวงตาลกึ เขา้ ไปในระนาบ 2 มติ ิของผวิ ภาพ แต่ภาพพมิ พม์ ีลกั ษณะเฉพาะทีแตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธี การสร้างผลงาน ทีผลงานจิตรกรรมนันศิลปิ นจะเป็ นผสู้ ร้างสรรค์ขีดเขียน หรือวาดภาพระบายสีลงไปบน ผืนผา้ ใบ หรือกระดาษ โดยสร้างออกมาเป็ นภาพทนั ที แต่การสร้างผลงานภาพพิมพศ์ ิลปิ นตอ้ งสร้างแม่พิมพ์ ขึนมาเป็นสือก่อน แลว้ จึงผา่ นกระบวนการพมิ พ์ ถา่ ยทอดออกมาเป็นภาพทีตอ้ งการได้ กรรมวิธีในการสร้างผลงานดว้ ยการพิมพน์ ีเอง ทีทาํ ให้ศิลปิ นสามารถสร้างผลงานทีเป็ นตน้ แบบ (Original) ทีเหมือนๆกนั ไดห้ ลายชิน เช่นเดียวกบั ผลงานประติมากรรมประเภททีปันดว้ ยดินแลว้ ทาํ แม่พิมพ์ หล่อผลงานชินนนั ใหเ้ ป็ นวสั ดุถาวร เช่น ทองเหลือง หรือสาํ ริด ทุกชินทีหล่อออกมาถือว่าเป็ นผลงานตน้ แบบ มใิ ช่ผลงานจาํ ลอง (Reproduction) ทงั นีเพราะว่าภาพพิมพน์ ันก็มิใช่ผลงานจาํ ลองจากตน้ แบบทีเป็ นจิตรกรรม หรือวาดเสน้ แต่ภาพพิมพ์เป็ นผลงานสร้างสรรคท์ ีศิลปิ นมีทงั เจตนาและความเชียวชาญในการใชค้ ุณลกั ษณ พิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทางภาพพิมพแ์ ต่ละชนิดมาใชใ้ นการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และอารมณ์
18 ความรู้สึกออกมาในผลงานไดโ้ ดยตรง แตกต่างกบั การทีนาํ เอาผลงานจิตรกรรมทีสร้างสาํ เร็จไวแ้ ลว้ มาจาํ ลอง เป็นภาพโดยผา่ นกระบวนการทางการพมิ พ์ ในการพมิ พผ์ ลงานแต่ละชิน ศิลปิ นจะจาํ กดั จาํ นวนพิมพต์ ามหลกั เกณฑ์สากล ทีศิลปสมาคมระหว่าง ชาติ ซึงไทยก็เป็นสมาชิกอยดู่ ว้ ย ไดก้ าํ หนดไวโ้ ดยศลิ ปิ นผสู้ ร้างผลงานจะเขียนกาํ กบั ไวท้ ีดา้ นซา้ ยของภาพเช่น 3/30 เลข 3 ตวั หน้าหมายถึงภาพที 3 ส่วนเลข 30 ตวั หลงั หมายถึงจาํ นวนทีพิมพท์ งั หมด ในภาพพิมพบ์ างชิน ศิลปิ นอาจเซ็นคาํ วา่ A/P ไวแ้ ทนตวั เลขจาํ นวนพิมพ์ A/P นียอ่ มาจาก Artist's Proof ซึงหมายความว่า ภาพ ๆ นี เป็นภาพทีพิมพข์ ึนมา หลงั จากทีศิลปิ นไดม้ กี ารทดลองแกไ้ ข จนไดค้ ุณภาพสมบูรณ์ตามทีตอ้ งการ จึงเซ็นรับรอง ไวห้ ลงั จากพิมพ์ A/P ครบตามจาํ นวน 10% ของจาํ นวนพิมพท์ งั หมด จึงจะเริมพิมพใ์ หค้ รบตามจาํ นวนเต็ม ทีกาํ หนดไว้ หลงั จากนนั ศิลปิ นจะทาํ ลาย แม่พมิ พท์ ิงดว้ ยการขดู ขีด หรือวธิ ีการอืนๆ โดยจะพิมพภ์ าพสุดทา้ ยนี ไวเ้ พอื เป็นหลกั ฐาน เรียกวา่ Cancellation Proof สุดทา้ ยศิลปิ นจะเซ็นทงั หมายเลขจาํ นวนพิมพ์ วนั เดือนปี และ ลายเซ็นของศิลปิ นเองไวด้ า้ นล่างขวาของภาพเพือเป็ นการรับรองคุณภาพดว้ ยทุกชิน จาํ นวนพิมพน์ ีอาจจะมาก หรือนอ้ ยขึนอยกู่ บั ความนิยมของ “ ตลาด ” และปัจจยั อืนๆอกี หลายประการ สาํ หรับศิลปิ นไทยส่วนใหญ่จะจาํ กดั จาํ นวนพิมพไ์ วค้ ่อนขา้ งตาํ ประมาณ 5-10 ภาพ ต่อผลงาน 1 ชิน กฎเกณฑท์ ีศลิ ปิ นทวั โลกถือปฏบิ ตั ิกนั เป็นหลกั สากลนียอ่ มเป็นการรักษามาตรฐานของภาพพิมพไ์ ว้ อนั เป็ นการ ส่งเสริมภาพพิมพใ์ หแ้ พร่หลายและเป็นทียอมรับกนั โดยทวั ไป รูปแบบของศลิ ปะภาพพมิ พใ์ นดา้ นเทคนิค . กรรมวิธีการพมิ พผ์ วิ นูน (Relief Process) . กรรมวิธีการพิมพร์ ่องลกึ (Intaglio Process ) . กรรมวธิ ีการพิมพพ์ นื ราบ (Planography Process 4. กรรมวิธีการพิมพผ์ า่ นช่องฉลุ (Serigraphy) . กรรมวธิ ีการพิมพเ์ ทคนิคผสม (Mixed Tecniques) . การพิมพว์ ธิ ีพนื ฐาน (Basic Printing) รูปแบบของศิลปะภาพพมิ พใ์ นทางทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ . รูปแบบแสดงความเป็นจริง (Figuration Form)
19 . รูปแบบผนั แปรความเป็นจริง (Semi - Figuration Form) . รูปแบบสญั ลกั ษณ์ (Symbolic Form) . รูปแบบทีปราศจากเนือหา (Non - Figuration Form) ความสําคญั ของเนือหา 1. กระบวนการสร้างแมพ่ ิมพ์ ในงานศิลปะภาพพิมพ์ มหี ลายลกั ษณะและแต่ละลกั ษณะจะมคี วามเป็น เอกลกั ษณ์เฉพาะของเทคนิค ซึงแต่ละเทคนิคสามารถตอบสนองเนือหาในทางศลิ ปะไดต้ ามผลของเทคนิคนนั ๆ เช่น กรรมวิธีการพิมพร์ ่องลึกสามารถถ่ายทอดเนือหาในเรืองพนื ผวิ (TEXTURE) ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพทีสุด 2. ในทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ทาํ ใหแ้ ยกแยะถงึ รูปแบบในทางศิลปะในแบบต่าง ๆ เพือใหท้ ราบถงึ วิธีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ของศิลปิ นได้ กจิ กรรม 1. ใหน้ กั ศึกษาทดลองเขียนภาพจิตรกรรมดว้ ยสีนาํ หรือสีต่าง ๆ ในการเขียนภาพระบายสี โดยอาจเป็น ภาพทิวทศั น์ ภาพผกั หรือผลไมก้ ไ็ ด้ 2. ใหน้ กั ศึกษานาํ ดินเหนียวหรือดินนาํ มนั มาปันเป็นรูป คน สตั ว์ หรือผลไม้ โดยมสี ่วนสูงไม่ตาํ กว่า เซนติเมตร 3. ใหน้ าํ ผลงานจากขอ้ และขอ้ มาแสดงในชนั เรียนและใหอ้ าจารยแ์ ละเพือนนกั ศกึ ษาร่วมกนั อภิปราย
20 เรืองที การวิพากษ์วจิ ารณ์งานทัศนศิลป์ ความหมาย การวเิ คราะห์งานศลิ ปะ หมายถงึ การพจิ ารณาแยกแยะศึกษาองคป์ ระกอบของผลงานศิลปะออก เป็นส่วน ๆ ทีละประเด็น ทงั ในดา้ นทศั นธาตุ องคป์ ระกอบศิลป์ และความสมั พนั ธต์ ่างๆในดา้ นเทคนิคกรรมวธิ ี การสร้างสรรคผ์ ลงาน เพือนาํ ขอ้ มลู ทีไดม้ าประเมินผลงานศลิ ปะ แต่ละชินว่ามคี ุณค่าทางดา้ นความงาม ทางดา้ น สาระและทางดา้ นอารมณ์ และความรู้สึกอยา่ งไร การวจิ ารณ์งานศิลปะ หมายถงึ การแสดงออกทางดา้ นความคิดเห็นต่อผลงานทางศลิ ปะทีศลิ ปิ น สร้างสรรคข์ ึน โดยผวู้ จิ ารณ์ใหค้ วามคดิ เห็นตามหลกั เกณฑแ์ ละหลกั การของศิลปะ ทงั ในดา้ นสุนทรียศาสตร์ และสาระอืนๆ ดว้ ยการติชม เพือใหไ้ ดข้ อ้ คิดนาํ ไปปรับปรุงพฒั นาผลงานศลิ ปะ หรือใชเ้ ป็นขอ้ มลู ในการ ประเมินตดั สินผลงาน เปรียบเทียบใหเ้ ห็นคณุ ค่าในผลงานศิลปะชินนนั ๆ คุณสมบัตขิ องนกั วจิ ารณ์ 1. ควรมคี วามรู้เกียวกบั ศลิ ปะทงั ศลิ ปะประจาํ ชาติและศลิ ปะสากล 2. ควรมคี วามรู้เกียวกบั ประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะ 3. ควรมคี วามรู้เกียวกบั สุนทรียศาสตร์ ช่วยใหร้ ู้แง่มมุ ของความงาม 4. ตอ้ งมวี สิ ยั ทศั น์กวา้ งขวาง และไม่คลอ้ ยตามคนอนื 5. กลา้ ทีจะแสดงออกทงั ทีเป็นไปตามหลกั วิชาการและตามความรู้สึกและประสบการณ์
21 ทฤษฎกี ารสร้างงานศิลปะ จดั เป็น 4 ลกั ษณะ ดงั นี 1. นิยมการเลยี นแบบ (Imitationalism Theory) เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแลว้ เลยี นแบบไวใ้ ห้ เหมอื นทงั รูปร่าง รูปทรง สีสนั ฯลฯ 2. นิยมสร้างรูปทรงทีสวยงาม (Formalism Theory) เป็ นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ใหส้ วยงามดว้ ย ทศั นธาตุ (เสน้ รูปร่าง รูปทรง สี นาํ หนกั พืนผวิ บริเวณว่าง) และเทคนิควิธีการต่างๆ 3. นยิ มแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เป็นการสร้างงานใหด้ มู คี วามรู้สึกต่างๆ ทงั ทีเป็นอารมณ์อนั เนืองมาจากเรืองราวและอารมณ์ของศลิ ปิ นทีถ่ายทอดลงไปในชินงาน 4. นยิ มแสดงจนิ ตนาการ (Imagination Theory) เป็นงานทีแสดงภาพจินตนาการ แสดงความคิดฝันที แตกต่างไปจากธรรมชาติและสิงทีพบเห็นอยเู่ ป็นประจาํ แนวทางการวเิ คราะห์และประเมนิ คุณค่าของงานศิลปะ การวเิ คราะหแ์ ละการประเมนิ คุณค่าของงานศิลปะโดยทวั ไปจะพจิ ารณาจาก 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. ด้านความงาม เป็ นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าในด้านทกั ษะฝี มือ การใชท้ ศั นธาตุทางศิลปะ และการจัด องคป์ ระกอบศลิ ป์ วา่ ผลงานชินนีแสดงออกทางความงามของศิลปะไดอ้ ยา่ งเหมาะสมสวยงามและส่งผลต่อผู้ ดูใหเ้ กิดความชืนชมในสุนทรียภาพเพียงใด ลกั ษณะการแสดงออกทางความงามของศิลปะจะมีหลากหลาย แตกต่างกนั ออกไปตามรูปแบบของยคุ สมยั ผวู้ ิเคราะห์และประเมินคุณค่าจึงตอ้ งศึกษาใหม้ ีความรู้ ความ เขา้ ใจทางดา้ นศิลปะใหม้ ากทีสุด 2. ด้านสาระ การวิเคราะห์และประเมนิ คุณค่าของผลงานศลิ ปะแต่ละชินวา่ มลี กั ษณะส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนจุดประสงค์ต่างๆ ทางจิตวิทยาว่าให้สาระอะไรกบั ผชู้ มบา้ ง ซึงอาจเป็ นสาระเกียวกบั ธรรมชาติ สงั คม ศาสนา การเมอื ง ปัญญา ความคิด จินตนาการ และความฝัน เช่น
22 3. ด้านอารมณ์ความรู้สึก เป็นการคิดวเิ คราะห์และประเมินคุณค่าในดา้ นคุณสมบตั ิทีสามารถกระตุน้ อารมณ์ความรู้สึกและ สือความหมายไดอ้ ยา่ งลึกซึงของผลงาน ซึงเป็นผลจากการใชเ้ ทคนิคทีแสดงออกถึงความคิด พลงั ความรู้สึก ในการสร้างสรรคข์ องศลิ ปิ นทีเป็นผสู้ ร้าง
23 เรืองที ความงามตามธรรมชาติ ธรรมชาติ (Natural) หมายถึง สิงทีปรากฏให้เห็นตามวฏั จกั รของระบบสุริยะ โดยทีมนุษยม์ ิไดเ้ ป็ น ผสู้ รรคส์ ร้างขึน เช่น กลางวนั กลางคืน เดือนมืด เดือนเพญ็ ภูเขา นาํ ตก ถือว่าเป็ นธรรมชาติ หรือปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติ ตามความหมายทางพจนานุกรมของนักปราชญท์ างศิลปไดใ้ ห้ความหมายอย่างกวา้ งขวางตาม แนวทางหรือทศั นะส่วนตวั ไวด้ งั นี คือ ศลิ ปะ(ART) คาํ นี ตามแนวสากล มาจากคาํ ว่า ARTI และ ARTE ซึงเป็ น คาํ ทีนิยมใชก้ นั ในสมยั ฟื นฟศู ิลปวิทยา คาํ ว่า ARTI นนั หมายถึง กลุม่ ช่างฝีมือในศตวรรษที 14, 15 และ 16 ส่วน คาํ วา่ ARTE หมายถึง ฝีมอื ซึงรวมถงึ ความรู้ของการใชว้ สั ดุของศิลปิ นดว้ ย เช่น การผสมสีสาํ หรับลงพืน การ เขียนภาพสีนาํ มนั หรื อการเตรียม และการใช้วสั ดุอืน ศิลปะ ตามความหมายของพจนานุกรมไทยฉบับ ราชบณั ฑิตยสถานสถาน พ.ศ. 2493 ไดอ้ ธิบายไวว้ ่าศิลป (สิน ละ ปะ) น. หมายถึง ฝี มือทางการช่าง การแสดง ออกมาใหป้ รากฏขึนไดอ้ ยา่ งน่าพงึ ชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจ ศาสตราจารยศ์ ลิ ป์ พีระศรี ใหค้ วามหมายไวว้ ่า ศิลปะ หมายถึง งานทีตอ้ งใช้ความพยายามดว้ ยฝี มือและความคิด เช่น ตัดเสือ สร้างเครืองเรือน ปลูกตน้ ไม้ เป็นตน้ และเมือกลา่ วถงึ งานทางวจิ ิตรศลิ ป์ (Fine Arts) หมายถงึ งานอนั เป็นความพากเพียรของมนุษย์ นอกจาก ต้องใช้ความพยายามด้วยมือด้วยความคิด แล้วต้องมีการพวยพุ่งแห่งพุทธิปัญญาและจิตออกมาด้วย (INTELLECTURL AND SPIRITUAL EMANATION)ศิลปะ ตามความหมายของพจนานุกรมศพั ท์ศิลปะ องั กฤษ ไทย ฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน พ.ศ.2530 ไดอ้ ธิบายไวว้ ่า ART ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรคข์ อง มนุษยท์ ีแสดงออกในรูปลกั ษณ์ต่างๆ ให้ปรากฏซึงสุนทรียภาพ ความประทบั ใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามอจั ฉริยภาพพุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพือความพอใจ ความรืนรมย์ ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หรือความเชือในลทั ธิศาสนา” องค์ประกอบทีสําคญั ในงานศิลปะ 1. รูปแบบ (FORM) ในงานศิลปะ หมายถึง รูปร่างลกั ษณะทีศิลปิ นถ่ายทอดออกมาให้ปรากฏเป็ น รูปธรรมในงานศลิ ปะ อาจแบ่งออกไดเ้ ป็ น 3 ชนิด คือ1.1 รูปแบบธรรมชาติ (NATURAL FORM) ไดแ้ ก่ นาํ ตก ภูผา ตน้ ไม้ ลาํ ธาร กลางวนั กลางคืน ท้องฟ้ า ทะเล 1.2 รูปแบบเรขาคณิต (GEOMETRIC FORM) ไดแ้ ก่ สีเหลียม สามเหลยี ม วงกลม ทรงกระบอก 1.3 รูปแบบนามธรรม (ABSTRACT FORM) ไดแ้ ก่ รูปแบบทีศิลปิ น ไดส้ ร้างสรรคข์ ึนมาเอง โดยอิสระ หรืออาจตดั ทอน (DISTROTION) ธรรมชาติ ใหเ้ หลือเป็ นเพียงสญั ลกั ษณ์ (SYMBOL) ทีสือความหมายเฉพาะตวั ของศิลปิ นซึงรูปแบบทีกล่าวมาขา้ งตน้ ศลิ ปิ นสามารถทีจะเลอื กสรรนาํ มา สร้างเป็นงานศลิ ปะ ตามความรู้สึกทีประทบั ใจหรือพงึ พอใจในส่วนตวั ของศลิ ปิ น 2. เนือหา (CONTENT) หมายถึง การสะท้อนเรืองราวลงไปในรูปแบบดงั กล่าว เช่น กลางวนั กลางคืน ความรัก การเปลียนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และคุณค่าทางการจดั องคป์ ระกอบทางศิลปะ เป็นตน้ 3. เทคนคิ (TECHNIQUE) หมายถึง ขบวนการเลือกสรรวสั ดุ ตลอดจนวิธีการสร้างสรรค์ นาํ มาสร้าง ศลิ ปะชินนนั ๆ เช่น สีนาํ มนั สีชอลก์ สีนาํ ในงานจิตรกรรม หรือไม้ เหลก็ หิน ในงานประติมากรรมเป็นตน้
24 4. สุนทรียศาสตร์ (AESTHETICAL ELEMENTS) ซึงมี 3 อย่าง คือ ความงาม (BEAUTY) ความแปลกหูแปลกตา (PICTURESQUENESS) และความน่าทึง (SUBLIMITY) ซึงศิลปกรรมชินหนึงอาจมีทงั ความงามและความน่าทึงผสมกนั ก็ได้ เช่น พระพุทธรูปสมยั สุโขทยั อาจมีทงั ความงามและความน่าทึงรวมอยู่ ด้วยกัน การทีคนใดคนหนึงมีสุนทรียะธาตุในความสํานึก เรียกว่า มีประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์ (AESTHETHICAL EXPERIENCE) ซึงจะตอ้ งอาศยั การเพาะบ่มทงั ในดา้ นทฤษฎี ตลอดจนการให้ความสนใจ เอาใจใส่รับรู้ต่อการเคลือนไหวของวงการศิลปะโดยสมาํ เสมอ เช่น การชมนิทรรศการทีจดั ขึนในหอศิลป์ เป็นตน้ เมอื กล่าวถึง งานศิลปกรรมและองคป์ ระกอบ ทีสาํ คญั ในงานศลิ ปะแลว้ หากจะยอ้ นรอยจากความเป็ นมา ในอดีตจนถึงปัจจุบนั แลว้ พอจะแยกประเภทการสร้างสรรคข์ องศิลปิ นออกไดเ้ ป็น 3 กล่มุ ดงั นี 1. กลุม่ ทียดึ รูปธรรม (REALISTIC) หมายถึง กลุม่ ทียดึ รูปแบบทีเป็ นจริงในธรรมชาติมาเป็ น หลกั ในการสร้างงานศิลปะ สร้างสรรคอ์ อกมาใหม้ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั กลอ้ งถ่ายภาพ หรือตดั ทอนบางสิงออกเพียง เลก็ นอ้ ย ซึงกลุ่มนีไดพ้ ยายามแก้ปัญหาใหก้ ับผูด้ ูทีไม่มีประสบการณ์ทางศิลปะและสามารถสือความหมาย ระหวา่ งศิลปะกบั ผดู้ ไู ดง้ ่ายกว่าการสร้างสรรคผ์ ลงานในลกั ษณะอนื ๆ 2. กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลุ่มทียึดแนวทางการสร้างงานทีตรงข้ามกบั กลุ่มรูปธรรม ซึงศลิ ปิ นกลุ่มนีมงุ่ ทีจะสร้างรูปทรง (FORM) ขึนมาใหม่โดยทีไมอ่ าศยั รูปทรงทางธรรมชาติ หรือ หากนาํ ธรรมชาติมาเป็นขอ้ มลู ในการสร้างสรรคก์ ็จะใชว้ ิธีลดตดั ทอน (DISTORTION) จนในทีสุดจะเหลือแต่ โครงสร้างทีเป็นเพยี งสญั ญาลกั ษณ์ และเช่นงานศิลปะของ มอนเดียน (MONDIAN) 3. กลุ่มกึงนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เป็ นกลุ่มอยู่กึงกลางระหว่างกลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) และกลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลุ่มทีสร้างงานทางศิลปะโดยใชว้ ิธีลดตดั ทอน (DISTORTION) รายละเอยี ดทีมใี นธรรมชาติใหป้ รากฏออกมาเป็ นรูปแบบทางศิลปะ เพือผลทางองค์ประกอบ (COMPOSITION) หรือผลของการแสดงออก แต่ยงั มีโครงสร้างอนั บ่งบอกถึงทีมาแต่ไม่ชดั เจน ซึงเป็ นผลที ผูเ้ ขียนไดก้ ล่าวนําในเบืองต้นจากการแบ่งกลุ่มการสร้างสรรค์ของศิลปิ นทัง 3 กลุ่ม ทีกล่าวมาแลว้ นัน
25 มีนักวิชาการทางศิลปะไดเ้ ปรียบเทียบเพือความเขา้ ใจ คือ กลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) เปรียบเสมือนการคดั ลายมือแบบตัวบรรจง กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) เปรี ยบเสมือนลายเซ็น กลุ่มกึงนามธรรม (SEMI- ABSTRACT) เปรียบเสมอื นลายมือหวดั มนุษย์กบั ศิลปะ หากกลา่ วถึงผลงานศิลปะทาํ ไมจะตอ้ งกล่าวถึงแต่เพียงสิงทีมนุษยส์ ร้างขึนมาเท่านัน จอมปลวกรังผึง หรือรังนกกระจาบ ก็น่าทีจะเป็นสถาปัตยกรรมชินเยยี ม ทีเกิดจากสตั วต์ ่างๆ เหลา่ นนั หากเราจะมาทาํ ความเขา้ ใจ ถึงทีมาของการสร้างกพ็ อจะแยกออกไดเ้ ป็น 2 ประเด็น ประเดน็ ที 1 ทาํ ไมจอมปลวก รังผงึ หรือรังนกกระจาบ สร้างขึนมาจึงไม่เรียกวา่ งานศิลปะ ประเดน็ ที 2 ทาํ ไมสิงทีมนุษยส์ ร้างสรรคข์ ึนมาถงึ เรียกว่าเป็น ศิลปะ จากประเดน็ ที 1 เราพอจะสามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุทีเราไม่เรียกว่า เป็ นผลงานศิลปะเพราะปลวก ผึง และนกกระจาบสร้างรัง หรือจอมปลวกขึนมาดว้ ยเหตุผลของสัญชาตญาณทีตอ้ งการความปลอดภยั ซึงมีอย่ใู น ตวั ของสตั วท์ ุกชนิด ทีจาํ เป็นตอ้ งสร้างขึนมาเพอื ป้ องกนั ภยั จากสตั วร์ ้ายต่างๆ ตลอดจนภยั ธรรมชาติ เช่น ฝนตก แดดออก เป็ นตน้ หรืออาจตอ้ งการความอบอุ่น ส่วนเหตุผลอีกประการหนึง คือจอมปลวก รังผึง หรือรังนก กระจาบนนั ไม่มีการพฒั นาในเรืองรูปแบบ ไม่มีการสร้างสรรคใ์ ห้ปรากฏรูปลกั ษณ์แปลกใหม่ขึนมา ยงั คง เป็นอยแู่ บบเดิมและตลอดไป จึงไม่เรียกวา่ เป็นผลงานศิลปะ แต่ในทางปัจจุบนั หากมนุษยน์ าํ รังนกกระจาบหรือ รังผงึ มาจดั วางเพอื ประกอบกบั แนวคิดสร้างสรรคเ์ ฉพาะตน เรากอ็ าจจดั ไดว้ า่ เป็นงานศิลปะ เพราะเกิดแรงจูงใจ ภายในของศลิ ปิ น (Intrinsic Value) ทีเห็นคุณค่าของความงามตามธรรมชาตินาํ มาเป็นสือในการสร้างสรรค์ ประเด็นที 2 ทาํ ไมสิงทีมนุษยส์ ร้างสรรค์ขึนมาถึงเรียกว่า ศิลปะ หากกล่าวถึงประเด็นนี ก็มีเหตุผล อยหู่ ลายประการซึงพอจะกล่าวถงึ พอสงั เขป ดงั นี 1. มนุษยส์ ร้างงานศิลปะขึนมาโดยมจี ุดประสงคห์ รือจุดมงุ่ หมายในการสร้าง เช่น ชาวอียปิ ต์ (EGYPT) สร้างมาสตาบา้ (MASTABA) ซึงมีรูปร่างคลา้ ยมา้ หินสาํ หรับนังเป็ นรูปสีเหลียมแท่งสูงขา้ งบนเป็ นพืนทีราบ มมุ ทงั สีเอียงลาดมาทีฐานเลก็ นอ้ ย มาสตาบา้ สร้างดว้ ยหินขนาดใหญ่ เป็ นทีฝังศพขุนนาง หรือผรู้ ํารวยซึงต่อมา พฒั นามาเป็นการสร้างพรี ะมดิ (PYRAMID) เพือบรรจุศพของกษตั ริยห์ รือฟาโรห์ (PHARAOH) มีการอาบนาํ ยา ศพหรือรักษาศพไม่ให้เน่าเปื อยโดยทาํ เป็ นมมั มี (MUMMY) บรรจุไวภ้ ายใน เพือรอวิญญาณกลบั คืนสู่ร่าง ตามความเชือเรืองการเกิดใหม่ของชาวอียปิ ตก์ ารก่อสร้างพุทธสถานเช่น สร้างวดั สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ ในพุทธศาสนา มีจุดประสงค์ เพือใชเ้ ป็ นทีประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพือเป็ นทีพาํ นักของ สงฆ์ ตลอดจนใชเ้ ป็นทีเผยแพร่ศาสนา 2. มีการสร้างเพือพัฒนารูปแบบโดยไม่สินสุด จะเห็นได้จาก มนุษย์สมยั ก่อนประวัติศาสตร์ (PRE HISTORICAL PERIOD) ไดห้ ลบภยั ธรรมชาติ ตลอดจนสตั วร์ ้ายเขา้ ไปอาศยั อยใู่ นถาํ เมือมคี วามเขา้ ใจใน ปรากฏการณ์อนั เกิดขึนจากธรรมชาติและประดิษฐ์เครืองมือเพือใช้เป็ นทีอย่อู าศยั จนในสมยั ต่อมามีการ พฒั นาการสร้างรูปแบบอาคารบา้ นเรือนในรูปแบบต่างๆ ตามความเปลียนแปลงของวฒั นธรรม และความเจริญ ทางเทคโนโลยี มีการใชค้ อนกรีตเสริมเหลก็ และวสั ดุสมยั ใหม่เขา้ มาช่วยในการก่อสร้างอาคาร บา้ นเรือน และ
26 สิงก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนมีการพฒั นารูปแบบทางสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนกับธรรมชาติแวดลอ้ ม เช่น สถาปัตยกรรม “THE KAUF MANN HOUSE” ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ทีรัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา 3. ความตอ้ งการทางกายภาพทีเป็ นปฐมภูมิของมนุษยท์ ุกเชือชาติและเผ่าพนั ธ์ เพือนาํ มาซึงความ สะดวกสบายในการดาํ เนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน ดงั จะเห็นไดจ้ ากเครืองอุปโภค บริโภคตลอดจนเครืองใช้ ไมส้ อยต่างๆ ซึงเป็นผลิตผลทีเกิดจากความคิดสร้างสรรคข์ องมนุษยท์ งั สิน ในทางศลิ ปะกเ็ ช่นเดียวกนั ศิลปิ นจะ ไม่จาํ เจอย่กู บั งานศิลปะทีมีรูปแบบเก่าๆ หรือสร้างงานรูปแบบเดิมซาํ ๆ กนั แต่จะคิดคน้ รูปแบบ เนือหา หรือ เทคนิคทีแปลกใหม่ใหก้ บั ตวั เอง เพือพฒั นาการสร้างงานศิลปะรูปแบบเฉพาะตนอยา่ งมีลาํ ดบั ขนั ตอน เพอื ง่ายแก่ การเขา้ ใจจึงขอใหผ้ อู้ ่านทาํ ความเขา้ ใจเกียวกบั การสร้างสรรคใ์ นทางศิลปะเสียก่อน กจิ กรรม ใหน้ กั ศกึ ษาตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. อธิบายความหมายของ”ธรรมชาติ” 2. องคป์ ระกอบทางศิลปะประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง 3. เหตุใดมนุษยถ์ ึงเป็นผสู้ ร้างงานศิลปะเท่านนั
27 เรืองที ความงามตามทัศนศิลป์ สากล การรับรู้ความงามทางศิลปะ สาํ หรับการรับรู้ความงามทางศิลปะของมนุษยน์ นั สามารถรับรู้ได้ 2 ทาง คือ ทางสายตาจากการ มองเห็น และทางหูจากการไดย้ นิ ซึงแบ่งได้ รูปแบบดงั นี 1. ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็ นงานศิลปะทีรับสัมผสั ความงามไดด้ ว้ ยสายตา จากการมองเห็น งานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงานทศั นศิลป์ ทงั สิน ไดแ้ ก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม มณั ฑนศิลป์ อตุ สาหกรรมศิลป์ พาณิชยศ์ ลิ ป์ 2. โสตศิลป์ (Audio Art) เป็นงานศิลปะทีรับสมั ผสั ความงามไดด้ ว้ ยหู จากการฟังเสียง งานศิลปะ ทีจดั อยใู่ นประเภทโสตศิลป์ ไดแ้ ก่ ดนตรี และ วรรณกรรม 3. โสตทศั นศิลป์ (Audiovisual Art) เป็นงานศลิ ปะทีรับสัมผสั ความงามทางศิลปะไดท้ งั สองทาง คือ จากการมองเห็นและจากการฟัง งานศลิ ปะประเภทนีไดแ้ ก่ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ การละคร การภาพยนตร์ ววิ ฒั นาการของทศั นศิลป์ สากล ศิลปะของชาติต่างๆ ในซีกโลกตะวนั ตกมลี กั ษณะใกลเ้ คียงกนั จึงพฒั นาขึนเป็ นศิลปะสากล ความเชือ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษยท์ งั ความคิด การแสดงออก และการดาํ เนินชีวิต โดยเฉพาะในงานศิลปกรรม มีรูปแบบความงามหลายแบบ ทีเกิดจากพลงั แห่งความศรัทธา จากความเชือถอื ในเรืองต่างๆ รูปแบบความงามอันเนืองมาจากความเชือถือ จะปรากฏเป็ นความงามตามความคิดของช่างในยุคนนั ผสมกบั ฝีมือ และเครืองมือทียงั ไมค่ ่อยมีคุณภาพมากนกั ทาํ ให้งานจิตรกรรมในยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ดูไม่ค่อย งามมากนกั ในสายตาของคนปัจจุบนั 1. ศิลปะสมยั กลาง (Medieval Arts) ทัศนศิลป์ อนั เนืองมาจากคริสต์ศาสนา ความเชือในสมยั กลาง ซึงเป็นช่วงเวลาทีศาสนาคริสตเ์ จริญรุ่งเรืองถงึ ขีดสุด มีอิทธิพลต่อการดาํ เนินชีวิต และการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมของชาวตะวนั ตก โดยมีความเชือว่าความงามเป็ นสิงทีพระเจา้ สร้างขึนมา โดยผา่ นทางศิลปิ น เพือเป็ นการแสดงถึงความศรัทธาอย่างยงิ ในพระเจา้ ศิลปิ นตอ้ งสร้างผลงาน โดยแสดงถึง เรืองราวของพระคริสต์ พระสาวก ความเชืออนั นีมผี ลต่อทศั นศิลป์ ดงั นี สถาปัตยกรรม เช่น โบสถส์ มยั กอธิค เป็ นสถาปัตยกรรมทีมีลกั ษณะสูงชลูด และส่วนทีสูงทีสุดของ โบสถจ์ ะเป็นทีตงั ของกางเขนอนั ศกั ดิสิทธิ เพือใชเ้ ป็ นทีติดต่อกบั พระเจา้ บนสรวงสวรรค์ มีการแต่งเพลงและ ร้องกันอยู่ในโบสถ์ Notre Dame อย่ทู ีกรุงปารี ส ประเทศฝรังเศส ซึงเป็ นโบสถท์ ีสร้างแบบกอธิค ทีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที 5 ไดท้ รงโปรดให้ถ่ายแบบแลว้ นาํ มาสร้างไวท้ ีวดั นิเวศ ธรรมประวตั ิ บางปะอิน จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
28 จติ รกรรม กแ็ สดงเนือหาของคริสตศ์ าสนา รวมไปถึงทศั นศิลป์ แขนงอนื ๆ ดว้ ย 2. ศิลปะไบเซนไทร์ (Bizentine) ความเชือยุคแรกแห่งศิลปะเพือคริสต์ศาสนา เมืออาณาจกั รโรมนั ล่มสลายลงในยุโรปไดแ้ ยกเป็ น ประเทศต่างๆและเป็นช่วงทีคาํ สอนของศาสนาคริสต์ ไดร้ ับความเชือถือและใชเ้ ป็ นแนวทางในการดาํ เนินชีวิต ของประชาชน โดยเฉพาะในยคุ สมยั ไบเซนไทร์ ซึงถือว่าเป็ นอาณาจกั รแห่งแรกของคริสตศ์ าสนา ศิลปิ นและ ช่างทุกสาขาทาํ งานใหแ้ ก่ศาสนา หรือทาํ งานเพือส่งเสริมความศรัทธาแห่งคริสตศ์ าสนา สถาปัตยกรรม สร้างโบสถ์ วหิ าร เพือเป็นสญั ลกั ษณ์ และสถานทีปฏิบตั ิพธิ ีกรรมต่างๆ ประตมิ ากรรม มกี ารแกะสลกั รูปพระคริสตแ์ ละสาวกดว้ ยไม้ หิน และภาพประดบั หินสีทีเรียกวา่ โมเสก สถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทร์
29 3. ฟื นฟศู ิลปวทิ ยา (Renaissanee) ความเชือเนืองจากอาณาจกั รไบเซนไทร์ เป็นยคุ ของการฟื นฟศู ิลปวิทยา (Renaissame) หมายถึง การนาํ กลบั มาอีกครังหนึง เนืองจากได้มีการคน้ พบซากเมืองของพวกกรีกและโรมนั ทาํ ให้ศิลปิ นหันกลบั มานิยม ความงามตามแนวคิดของกรีกและโรมนั อีกครังหนึง กจิ กรรม ใหน้ กั ศึกษาตอบคาํ ถามต่อไปนี 1. การรับรู้ความงามทางศลิ ปะของมนุษยน์ นั สามารถรับรู้ได้ กีทาง และแบ่งเป็นกีรูปแบบอะไรบา้ ง 2. ความเชือในการสร้างผลงานของศิลปะสมยั กลาง (Medieval Arts) มคี วามเชือเกียวกบั อะไร 3. ช่างในสมยั ศิลปะไบเซนไทร์ (Bizentine) ทาํ งานเพอื ใคร 4. ฟื นฟศู ิลปวทิ ยา (Renaissanee) หมายถงึ อะไร
30 เรืองที ธรรมชาตกิ ับทศั นศิลป์ มนุษย์เป็ นส่วนหนึงของธรรมชาติ ธรรมชาติ สามารถบอกถึงประสบการณ์ และสิงต่างๆทีผ่านมาในอดีตได้ ซึงถือว่า “ธรรมชาติ” เป็ น “ครู” ของมนุษย์ เมอื มนุษยม์ ีความคิดสร้างสรรค์ มนุษยก์ ็จะพิจารณาสิงต่างๆจากธรรมชาติทีตนมสี ่วนร่วมอยู่ แลว้ นาํ มา ดัดแปลงสร้างสรรค์ใหม่ โดยพยายามเลือกหาวิธีการอนั เหมาะสมตามทกั ษะและความชาํ นาญทีตนมีอยู่ เพือสร้างเป็ นผลงานของตนขึนใหม่ มนุษยอ์ าศยั ธรรมชาติในการดาํ รงชีวิต ผลผลิตส่วนใหญ่ทีใชใ้ นการดาํ รงชีวิตเกือบทังหมดก็มาจาก ธรรมชาติทงั สิน วสั ดุจากธรรมชาติทีมนุษยน์ าํ มาสร้างสรรคป์ ระกอบดว้ ย 1. พืช 2. หิน กรวด 3. ทราย 4. ดิน การนาํ ธรรมชาตมิ าออกแบบผสมผสานกบั งานศิลปะ (ผลงานจากถนนคนเดินดอทคอม/เชียงใหม่)
31 กจิ กรรม ให้นักศึกษา นาํ สิงทีเกิดจากธรรมชาติ มาออกแบบสร้างสรรค์ ให้เป็ นเครืองประดบั ตกแต่งร่างกาย โดยใชว้ ธิ ีทางศิลปะเขา้ มาช่วย
32 เรืองที ความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งร่างกาย ทีอยู่อาศัยและผลติ ภณั ฑ์ มนุษยม์ ีความคิดสร้างสรรคอ์ ยตู่ ลอดเวลา ตามแต่ประสบการณ์มากนอ้ ยของแต่ละบุคคล การออกแบบ เป็นส่วนหนึงของความคิดสร้างสรรคท์ างศิลปะของมนุษย์ 1. ออกแบบตกแต่งทีอยู่อาศัย เป็ นการออกแบบทุกอย่างภายในและบริเวณรอบบา้ นให้สวยงาม สะดวกแก่การใชส้ อย โดยใชว้ สั ดุทีมอี ยหู่ รือจดั หามาโดยใชห้ ลกั องคป์ ระกอบศิลป์ 2. ออกแบบให้กบั ร่างกาย เป็นการออกแบบร่างกายและสิงตกแต่งร่างกายใหส้ วยงาม เหมาะสม และ ถกู ใจ เช่นการออกแบบทรงผม เสือผา้ เครืองประดบั การใชเ้ ครืองสาํ อาง โดยอาศยั หลกั การทางศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ 3. ออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกียวกบั รูปร่างลกั ษณะภายนอกของผลิตภณั ฑ์ เพอื ใหเ้ กิดรูปแบบทีแปลกใหมแ่ ละเป็นจุดสนใจในธุรกิจดา้ นอตุ สาหกรรม 4. ออกแบบสํานักงาน การจดั หอ้ งทาํ งาน โต๊ะ สาํ นกั งาน เกา้ อี ในและนอกสถานทีทาํ งานทีไดร้ ับการ ออกแบบและสร้างสรรคใ์ หน้ ่าทาํ งาน ตลอดจนสะดวกในการใชส้ อย ซึงแบ่งการออกแบบไดเ้ ป็น ประเภทคือ 4.1 ออกแบบตกแต่งภายใน ไดแ้ กการออกแบบตกแต่งภายในอาคารทุกประเภททงั หมด เช่น การออกแบบตกแต่งภายในบา้ น ภายในสาํ นักงาน ภายในอาคารสาธารณะ แมน้ กระทงั การออกแบบตกแต่ง ภายในยานพาหนะ เป็นตน้ การออกแบบตกแต่งภายในทีพกั อาศัย การออกแบบตกแต่งหน้าร้านค้า
33 การออกแบบตกแต่งภายในสํานักงาน การออกแบบตกแต่งภายในยานพาหนะ
34 4.2 การออกแบบตกแต่งภายนอก ไดแ้ ก่ การออกแบบตกแต่งสวนและบริเวณภายนอกอาคาร รวมทงั การออกแบบภมู ทิ ศั นใ์ นส่วนพืนทีสาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ถนน สะพาน ฯลฯ การออกแบบตกแต่งสวนขนาดใหญ่ การออกแบบสวนในบ้านโดยใช้วสั ดุหิน ต้นไม้ และนํารวมกนั การออกแบบสวนในบ้านโดยเลยี นแบบธรรมชาติ กา รต กแ ต่ งภ าย นอ ก โด ยก า ร จดั สวนทีเกาะกลางถนน กจิ กรรม 1. ให้นักศึกษาจัดออกแบบภายใน หรือภายนอกในมุม ใดมุมหนึงในบา้ นตนเอง แลว้ ถ่ายรูปมา เพือร่วมกนั อภิปรายหนา้ ชนั เรียน โดยมอี าจารยแ์ ละเพอื นนกั ศึกษาร่วมอภิปราย 2. เกบ็ ภาพถ่ายทีจดั ออกแบบไวใ้ นแฟ้ มสะสมงานของตนเอง
35 บทที ดนตรี สาระสําคญั ความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา วิวฒั นาการรูปแบบเทคนิค วธิ ีการของดนตรีประเภทต่างๆ คุณค่า ความงาม ความไพเราะของดนตรีสากล ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั อธิบายความหมาย ความสาํ คญั ความเป็นมา ของดนตรีสากล เขา้ ใจถึงตน้ กาํ เนิด ภูมิปัญญา และการ ถ่ายทอดสืบต่อกนั มา ขอบข่ายเนอื หา เรืองที ดนตรีสากล เรืองที ดนตรีสากลประเภทต่าง ๆ เรืองที คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล เรืองที ประวตั ิภูมปิ ัญญาทางดนตรีสากล
36 เรืองที ดนตรีสากล ดนตรีเกิดขึนมาในโลกพร้อมๆกบั มนุษยเ์ รานันเอง ในยคุ แรกๆมนุษยอ์ าศยั อย่ใู นป่ า ในถาํ และใน โพรงไม้ แต่มนุษยก์ ร็ ู้จกั การร้องรําทาํ เพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จกั ปรบมอื เคาะหิน เคาะไม้ เป่ าปาก เป่ าเขา และการเปลง่ เสียงร้อง เช่น การร้องราํ ทาํ เพลงเพือออ้ นวอนพระเจา้ ใหช้ ่วยเพือพน้ ภยั บนั ดาลความสุขความ อดุ มสมบรู ณ์ต่างๆใหแ้ ก่ตน หรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจา้ ทีบนั ดาลใหต้ นมีความสุขความสบาย ในระยะแรก ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านันเรียกว่า Melody ไม่มีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที 12 มนุษยเ์ ราเริมรู้จกั การใชเ้ สียงต่างๆมาประสานกนั อยา่ งง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึนมา ยุคต่างๆของดนตรี นกั ปราชญ์ทางดนตรีได้แบ่งดนตรีออกเป็ นยุคต่างๆดงั นี 1. Polyphonic Perio( ค.ศ. 1200-1650 ) ยุคนีเป็ นยุคแรก วิวฒั นาการมาเรือยๆ จนมีแบบฉบบั และ หลกั วชิ าการดนตรีขึน วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบา้ นเจา้ นาย และมโี รงเรียนสอนดนตรี 2. Baroque Period ( ค.ศ. 1650-1750 ) ยคุ นีวิชาดนตรีไดเ้ ป็ นปึ กแผน่ มีแบบแผนการเจริญดา้ น นาฏดุริยางค์ มากขึน มีโรงเรียนสอนเกียวกบั อปุ รากร ( โอเปร่า) เกิดขึน มีนักดนตรีเอกของโลก 2 ท่านคือ J.S. Bach และ G.H. Handen 3. Classical Period ( ค.ศ. 1750-1820 ) ยคุ นีเป็ นยคุ ทีดนตรีเริมเขา้ สู่ยุคใหม่ มีความรุ่งเรืองมากขึน มนี กั ดนตรีเอก 3 ท่านคือ Haydn Gluck และMozart 4. Romantic Period ( ค.ศ. 1820-1900 ) ยคุ นีมีการใชเ้ สียงดนตรีทีเนน้ ถึงอารมณ์อย่างเด่นชดั เป็ นยุค ทีดนตรีเจริญถงึ ขีดสุดเรียกว่ายคุ ทองของดนตรี นกั ดนตรีเช่น Beetoven และคนอืนอกี มากมาย 5. Modern Period ( ค.ศ. 1900-ปัจจุบนั ) เป็ นยุคทีดนตรีเปลียนแปลงไปมาก ดนตรีประเภทแจ๊ส (Jazz) กลบั มามอี ิทธิพลมากขึนเรือยๆจนถึงปัจจุบนั ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ ศาสนา โดยเฉพาะ ทางดนตรี ตะวนั ตก นับว่ามีความสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกับศาสนามาก บทเพลงทีเกียวกับศาสนาหรื อเรี ยกว่า เพลงวดั นนั ไดแ้ ต่งขึนอยา่ งถกู หลกั เกณฑ์ ตามหลกั วิชาการดนตรี ผแู้ ต่งเพลงวดั ตอ้ งมีความรู้ความสามารถสูง เพราะตอ้ งแต่งขึนใหส้ ามารถโนม้ นา้ วจิตใจผฟู้ ังใหน้ ิยมเลอื มใสในศาสนามากขึน ดงั นนั บทเพลงสวดในศาสนา คริสตจ์ ึงมเี สียงดนตรีประโคมประกอบการสวดมนต์ เมอื มบี ทเพลงเกียวกบั ศาสนามากขึน เพอื เป็นการป้ องกนั การลืมจึงไดม้ ผี ปู้ ระดิษฐส์ ญั ลกั ษณ์ต่างๆแทนทาํ นอง เมือประมาณ ค.ศ. 1000 สญั ลกั ษณ์ดงั กล่าวคือ ตวั โน้ต ( Note ) นันเอง โน้ตเพลงทีใชใ้ นหลกั วิชาดนตรีเบืองตน้ เป็ นเสียงโด เร มี นนั เป็ นคาํ สวดในภาษาละติน จึงกลา่ วไดว้ า่ วิชาดนตรีมจี ุดกาํ เนิดมาจากวดั หรือศาสนา ซึงในยโุ รปนนั ถือวา่ เพลงเกียวกบั ศาสนานันเป็ นเพลง ชนั สูงสุดวงดนตรีทีเกิดขึนในศตวรรษตน้ ๆจนถึงปัจจุบนั จะมีลกั ษณะแตกต่างกนั ออกไป เครืองดนตรีทีใช้ บรรเลงก็มีจาํ นวนและชนิดแตกต่างกนั ตามสมยั นิยม ลกั ษณะการผสมวงจะแตกต่างกนั ไป เมือผสมวงดว้ ย เครืองดนตรีทีต่างชนิดกนั หรือจาํ นวนของผบู้ รรเลงทีต่างกนั กจ็ ะมชี ือเรียกวงดนตรีต่างกนั
37 เรืองที ดนตรีสากลประเภทต่างๆ เพลงประเภทต่างๆ แบ่งตามลกั ษณะของวงดนตรีสากลได้ 6 ประเภท ดงั นี 1. เพลงทบี รรเลงโดยวงออร์เคสตร้า ( Orchestra ) มดี งั นี - ซิมโฟนี (Symphony) หมายถึงการบรรเลงเพลงโซนาตา ( Sonata) ทงั วง คาํ ว่า Sonata หมายถึง เพลงเดียวของเครืองดนตรีชนิดต่างๆ เช่นเพลงของไวโอลิน เรียกว่า Violin Sonata เครืองดนตรีชนิดอืน ๆ ก็เช่นเดียวกนั การนาํ เอาเพลง โซนาตาของเครืองดนตรีหลายๆชนิดมาบรรเลงพร้อมกนั เรียกว่า ซิมโฟนี - คอนเซอร์โต ( Concerto) คือเพลงผสมระหว่างโซนาตากบั ซิมโฟนี แทนทีจะมีเพลงเดียว แต่อยา่ งเดียว หรือบรรเลงพร้อมๆกนั ไปในขณะเดียวกนั เครืองดนตรีทีแสดงการเดียวนนั ส่วนมากใชไ้ วโอลิน หรือเปี ยโน - เพลงเบด็ เตลด็ เป็นเพลงทีแต่งขึนบรรเลงเบด็ เตลด็ ไม่มเี นือร้อง วงออร์เคสตร้า 2. เพลงทบี รรเลงโดยวงแชมเบอร์มวิ สิค ( Chamber Music ) เป็นเพลงสนั ๆ ตอ้ งการแสดงลวดลาย ของการบรรเลงและการประสานเสียง ใชเ้ ครืองดนตรีประเภทเครืองสาย คือไวโอลนิ วโิ อลา และเชลโล วงแชมเบอร์มิวสิค
38 3. สําหรับเดยี ว เพลงประเภทนีแต่งขึนสาํ หรับเครืองดนตรีชินเดียวเรียกว่า เพลง โซนาตา 4. โอราทอริโอ (Oratorio) และแคนตาตา (Cantata) เป็ นเพลงสาํ หรับศาสนาใชร้ ้องในโบสถ์ จดั เป็ น โอเปรา แบบหนึง แต่เป็นเรืองเกียวกบั ศาสนา วงโอราทอริโอ 5. โอเปรา (Opera) หมายถึง เพลงทีใชป้ ระกอบการแสดงละครทีมีการร้องโต้ตอบกนั ตลอดเรือง เพลงประเภทนีใชใ้ นวงดนตรีวงใหญ่บรรเลงประกอบ ละคร Opera ทีดงั ทีสุดเรืองหนึงของโลกคือเรือง The Phantom of the Opera 6. เพลงทขี ับร้องโดยทวั ไป เช่น เพลงทีร้องเดียว ร้องหมู่ หรือร้องประสานเสียงในวงออร์เคสตรา วงคอมโบ ( Combo) หรือวงชาโดว์ (Shadow ) ซึงนิยมฟังกนั ทงั จากแผน่ เสียงและจากวงดนตรีทีบรรเลงกนั อยู่ โดยทวั ไป
39 ประเภทของเครืองดนตรีสากล เครื องดนตรี สากลมีมากมายหลายประเภท แบ่งตามหลักในการทําเสียงหรื อวิธีการบรรเลง เป็น 5 ประเภท ดงั นี 1. เครืองสาย เครืองดนตรีประเภทนี ทาํ ใหเ้ กิดเสียงโดยการทาํ ใหส้ ายสนั สะเทือน โดยสายทีใชจ้ ะเป็ นสายโลหะหรือ สายเอน็ เครืองดนตรีประเภทเครืองสาย แบ่งตามวธิ ีการเล่นเป็น 2 จาํ พวก คือ 1) เครืองดีด ไดแ้ ก่ กีตาร์ แบนโจ ฮาร์ป แบนโจ 2) เครืองสี ไดแ้ ก่ ไวโอลิน วิโอลา วโิ อลา . เครืองเป่ าลมไม้ เครืองดนตรีประเภทนีแบ่งตามวิธีทาํ ใหเ้ กิดเสียงเป็น 2 ประเภท คือ 1) จาํ พวกเป่ าลมผา่ นช่องลม ไดแ้ ก่ เรคอร์เดอร์ ปิ คโคโล ฟลุต ปิ คโคโล
40 2) จาํ พวกเป่ าลมผา่ นลนิ ไดแ้ ก่ คลาริเน็ต แซกโซโฟน คลาริเนต็ 3. เครืองเป่ าโลหะ เครื องดนตรีประเภทนี ทาํ ให้เกิดเสียงไดโ้ ดยการเป่ าลมให้ผ่านริ มฝี ปากไปปะทะกับช่องทีเป่ า ไดแ้ ก่ ทรัมเป็ต ทรอมโบน เป็นตน้ ทรัมเป็ ต 4. เครืองดนตรีประเภทคยี ์บอร์ด เครืองดนตรีประเภทนีเลน่ โดยใชน้ ิวกดลงบนลมิ นิวของเครืองดนตรี ไดแ้ ก่ เปี ยโน เมโลเดียน คียบ์ อร์ด ไฟฟ้ า อิเลค็ โทน เมโลเดียน
41 5. เครืองดนตรีประเภทเครืองตี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 5.1) เครืองตีประเภททาํ นอง ไดแ้ ก่ ไซโลไฟน เบลไลรา ระฆงั ราว เบลไลรา 5.2) เครืองตีประเภททาํ จงั หวะ ไดแ้ ก่ กลองทิมปานี กลองใหญ่ กลองแต็ก ทอมบา กลองชุด ฉาบ กรับ ลกู แซก กลองทิมปานี กจิ กรรม ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มและร่วมกันสืบค้นหาเครืองดนตรีสากลทุกประเภทๆ ละ - ชนิด แลว้ เก็บ รวบรวม ไวใ้ นแฟ้ มสะสมงาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106