Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

Published by สรวิศ จันพุ่ม, 2020-04-25 08:39:28

Description: วิทยศาสตร์ เล่ม ๒

Search

Read the Text Version

หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ๒ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ เล่ม ๒ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ จัดทำาโดย สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 978-616-317-093-4 พมิ พ์ครั้งท่ีสาม ๒๓๐,๐๐๐ เลม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ องคก์ ารคา้ ของ สกสค. จดั พิมพ์จาำ หน่าย พมิ พ์ที่โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว ๒๒๔๙ ถนนลาดพรา้ ว วังทองหลาง กรงุ เทพมหานคร มลี ขิ สทิ ธต์ิ ามพระราชบัญญัติ



ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เร่ือง อนุญาตให้ใช้หนังสอื ในสถานศึกษา ดว้ ยสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไดจ้ ดั ทาำ หนงั สอื เรยี นรายวชิ า พืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 2 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 เล่ม 2 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแล้ว อนญุ าตให้ใช้หนงั สอื น้ีในสถานศกึ ษาได้ ประกาศ ณ วนั ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553 (นายชินภทั ร ภมู ริ ัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน



คำานาำ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มอี าำ นาจหนา้ ที่ในการพฒั นาหลกั สตู รวธิ กี าร เรียนรู้ การประเมินผล การจดั ทำาหนงั สอื เรียน แบบฝึกหัด และสือ่ การเรยี นรทู้ ุกประเภทท่ีใชป้ ระกอบ การเรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ของการจัดการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน หนังสอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 เล่ม 2 น้ี จดั ทาำ ตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 โดยมเี นือ้ หาเก่ียวกับบรรยากาศ ลมฟ้าอากาศ การเคลอ่ื นท่ี หน่วยของส่ิง มีชีวิตและการดำารงชีวติ ของพชื ซงึ่ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นาความรู้ ทกั ษะ จติ วิทยาศาสตร์ และ การสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ของผเู้ รยี นได้เปน็ อย่างดี สำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนเล่มน้ีจะเป็น ประโยชนต์ ่อการจัดการเรียนรู้ และเปน็ ส่วนสาำ คญั ในการพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กลุ่ม สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ขอขอบคณุ สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยตี ลอดจน บุคคลและหนว่ ยงานอน่ื ๆ ที่มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งในการจัดทำาไว้ ณ โอกาสนี้ (นายชินภัทร ภมู ริ ัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 22 มกราคม 2553

คำาช้ีแจง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับมอบหมายจาก กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ใหด้ าำ เนนิ การจดั ทาำ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ประกอบดว้ ยตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระ หลกั 8 สาระ ไดแ้ ก่ สง่ิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดาำ รงชวี ติ ชวี ติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม สารและสมบตั ขิ องสาร แรงและการเคลอ่ื นท่ี พลงั งาน กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และกาำ หนดมาตรฐานการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายสาำ หรบั ผเู้ รยี นทกุ คนทจ่ี ะไดร้ บั การพฒั นาทง้ั ดา้ นความรู้ กระบวนการคดิ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การ แกป้ ญั หา ความสามารถในการสอ่ื สาร การตดั สนิ ใจ การนาำ ความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั ตลอดจนมี จติ วทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรมและคา่ นยิ มทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม โดยมงุ่ เนน้ ความเปน็ ไทยควบคกู่ บั ความเปน็ สากล ตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา 2553 เปน็ ตน้ ไป โรงเรยี นจะตอ้ งใชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 จงึ จาำ เปน็ ตอ้ งมสี อ่ื การเรยี นการสอนท่ไี ดร้ บั การพฒั นาอยา่ งเหมาะสมและเปน็ ไป ตามเปา้ หมายของหลกั สตู รดงั กลา่ ว หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ สำาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เล่ม 2 สสวท.ได้ พัฒนาขึ้นตามมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เพื่อนำาไปใชเ้ ป็นหนังสือเรยี น หลักประกอบด้วยเนื้อหาความรู้ที่เป็นหลักการพื้นฐานที่จำาเป็นสามารถนำามาใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจาำ วนั มกี ิจกรรมการเรียนรู้ท่หี ลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสาำ รวจตรวจสอบ การปฏบิ ัติ ทดลอง การสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ ราย อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ทกั ษะทส่ี าำ คญั ในการเรยี นรแู้ ละการดาำ รงชวี ติ ในการจดั ทาำ หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ ลม่ นไี้ ดร้ บั ความรว่ มมอื อยา่ งดยี ง่ิ จากคณาจารย์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ นกั วิชาการอสิ ระ นักวชิ าการ และครูผสู้ อนจากสถาบันตา่ งๆ ทง้ั ภาครฐั และเอกชน จงึ ขอขอบคุณ ไว้ ณ ท่นี ้ี สสวท.หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนและ ผเู้ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่าย ทจี่ ะชว่ ยให้การจัดการศกึ ษาวิทยาศาสตรม์ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล หาก มขี อ้ เสนอแนะใดทีจ่ ะทาำ ให้หนังสอื เรียนวิทยาศาสตรเ์ ล่มน้ีสมบรู ณ์ยง่ิ ขน้ึ โปรดแจง้ สสวท. ทราบ ด้วย จักขอบคุณย่ิง (นางพรพรรณ ไวทยางกรู ) ผอู้ ำานวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

สารบญั บทท่ี 1 บรรยากาศ........................................................................................1 1.1 ช้ันบรรยากาศ.........................................................................................2 1.2 ผลของรังสจี ากดวงอาทติ ยตอ‹ บรรยากาศ....................................................4 1.3 องคประกอบของลมฟา‡ อากาศ ..................................................................5 บทท่ี 2 ลมฟา‡ อากาศ................................................................................... 27 2.1 พายุฟ‡าคะนอง ......................................................................................28 2.2 พายุหมนุ เขตรอŒ น ..................................................................................29 2.3 มรสุม..................................................................................................32 2.4 การพยากรณอ ากาศ..............................................................................33 2.5 เอลนีโญ-ลานญี า..................................................................................36 2.6 การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิอากาศของโลก ..................................................38 2.7 มลพิษทางอากาศ..................................................................................42 บทที่ 3 การเคลอ่ื นท่ี................................................................................... 47 3.1 การบอกตาํ แหนง‹ ของวตั ถ.ุ ......................................................................48 3.2 การเปล่ยี นตําแหนง‹ ของวัตถุ ...................................................................50 3.3 ปรมิ าณเวกเตอรและปริมาณสเกลาร .......................................................52 3.4 อตั ราเรว็ และความเรว็ ของวตั ถุ................................................................55 บทท่ี 4 หนว‹ ยของสง่ิ มชี ีวติ .......................................................................... 61 4.1 รูŒจักและใชŒงานกลอŒ งจ�ลทรรศน. ...............................................................63 4.2 เซลลข องส่ิงมีชีวิต .................................................................................66 4.3 การลาํ เลียงสารเขาŒ และออกจากเซลล ......................................................72 บทท่ี 5 การดาํ รงชวี ติ ของพชื ....................................................................... 79 5.1 การลาํ เลียงน้ําและอาหารของพชื .............................................................80 5.2 การสงั เคราะหด วŒ ยแสง ..........................................................................88 5.3 การสบื พันธุและการเจริญเติบโตของพืช ...................................................93 5.4 การตอบสนองของพชื .......................................................................... 100

1 บรรยากาศ จดุ ประสงคการเรยี นรูŒ อธบิ ายประโยชนข์ องบรรยากาศ อธบิ ายการแบง ชั้นบรรยากาศและปรากฏการณ์ที่เกดิ ขึ้น ​ ในบรรยากาศแตละชน้ั อธิบายผลของรังสีจากดวงอาทติ ยท์ ่ีมีตอบรรยากาศ ทดลองและอธิบายองคป์ ระกอบของลมฟาอากาศ​ไดแ ก​​ อุณหภูมิ​ความดันอากาศ​ลม​ความช้ืนอากาศ​เมฆ​และฝน

อากาศ​รอบ​ตัว​เรา​ประกอบ​ด้วย​แกส​ชนิด​ต่างๆ​ ​ผสม​เป็น​เนื้อ​เดียวกัน​ อากาศ​ห่อ​หุ้ม​โลก​เรา​ ​ตั้งแต​ผ่ วิ ​โลกจ​น​สูง​ข้ึน​ไป​ประมาณ​6​00​​กิโลเมตร​​เรา​เรียกอ​ากาศ​ทห​ี่ อ่ ห​ ้มุ ​โลก​นี​้วา่ ​บ​ รรยากาศ​ ความ​หนา​ของ​บรรยากาศ​เมื่อ​เทียบ​กับ​ขนาด​ของ​โลก​แล้ว​ ​บาง​มาก​ ​แต่​บรรยากาศ​มี​ประโยชน์​ ต่อ​โลก​และ​สิ่ง​มี​ชีวิต​มากมาย​ ​บรรยากาศ​ช่วย​ให้​อุณหภูมิ​ของ​โลก​ไม่​สูง​เกิน​ไป​ใน​เวลา​กลาง​วัน​และ​ ไ​มต​่ าํ่ เ​กนิ ไ​ปใ​นเ​วลาก​ ลางค​ นื ​จ​งึ เ​หมาะต​ อ่ ก​ารด​ าํ รงช​ วี ติ ​บ​ รรยากาศย​งั ช​ ว่ ยป​ อ้ งกนั ส​ง่ิ ม​ ช​ี วี ติ จ​ากอ​นั ตราย​ ตา่ งๆ​​เช่น​​รังสี​อันตรายจ​าก​ดวง​อาทิตย​์ ​และ​ชว่ ย​เผาไ​หมว้​ตั ถ​ุทีเ่​ข้า​มา​ใน​บรรยากาศ บรรยากาศมปี ระโยชน์ตอสง�ิ มีชีวิตในดานใดอีกบาง อากาศมอี งค์ประกอบอะไรบา ง จาก​ที่​กล่าว​มา​แล้ว​ว่า​บรรยากาศ​ประกอบ​ด้วย​แกส​ชนิด​ต่างๆ​ ​นั้น​ ​หาก​พิจารณา​อากาศ​ที่​ไม่มี​ ไอ​นํ้าจะ​พบ​ว่า​มี​สัดส่วน​ของ​แกส​ต่างๆ​ ​คงท่ี​ตั้งแต่​ระดับ​ผิว​โลก​ จนถึง​ระดับ​สูง​ขึ้น​ไป​ประมาณ 80​ก​ ิโลเมตร​​สาํ หรับไอน​ ํา้ ​ใน​อากาศ​ไมค่​ งท​ีค่ ิดเ​ปน็ ​รอ้ ย​ละ​​1-​4​​​ของ​องค์ป​ ระกอบข​ องบ​ รรยากาศ​ แกสไนโตรเจน​78.084​% แกส ออกซิเจน​20.946​% ชนิดของแกส ปรมิ าณ แกสไนโตรเจน (รอ้ ยละโดยปรมิ าตร) 78.084 % แกส คารบ์ อนไดออกไซด​์ 0.033​% แกส คาร์บอนไดออกไซด์ 0.033 % แกสอน่ื ๆ​(อาร์กอน​น�ออน​ฮีเลียม​มีเทน)​0.937​% แกส ออกซเิ จน 20.946 % นแอีกอส นอน่ื Îæีเล(ยีอมารม์กเีอทนน) ภาพ 1.1 องค์ประกอบของแกส ในอากาศท่ีไมม ไี อนํา้ 0.937 % เหตุใดปรมิ าณไอนํ้าในอากาศจึงมสี ัดสวนไมค งท่ี แกส ในบรรยากาศชนิดใดมปี ริมาณมากทีส่ ุด 1.1 ชั้นบรรยากาศ นัก​อุตุนิยมวิทยา​พบ​ว่า​อุณหภูมิ​ของบรรยากาศ​ ​มี​การ​เปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ​ ​ตามระดับ ความ​สูงจากผ​ วิ ​โลก​จงึ แ​ บง่ บ​ รรยากาศออกเ​ป็น​4​​ช​ น้ั ​ต​ ามก​ าร​เปลี่ยนแปลงอ​ ณุ หภูมติ​ าม​ความ​สูง​โดย​ เรยี ง​ลาํ ดบั จ​าก​ช้นั ​ทอี่​ ยู่ใ​กล​้กับผ​ วิ โ​ลกท​ ีส่ ดุ ไ​ป​ถงึ ​ชน้ั ท​ ่อ​ี ยไ​ู่ กล​จากผ​ ิว​โลก​ที่สดุ ​​ดังภาพ​1.2 2

ช้ัน​โทร​โพสเฟยร์​ ช้ัน​น้ี​อุณหภูมิ​จะ​ลด​ลง ภาพ 1.2 การแบงชนั้ บรรยากาศ ​ตาม​ความ​สูง​จาก​ผิว​โลก​ ​และ​เป็น​ช้ัน​ท่ี​มี​ความ​ บรรยากาศช้นั โทรโพสเ¿‚ยรเ์ ปน็ แปรปรวน​ของ​สภาพ​ลม​ฟ้า​อากาศ​ ​เช่น​ เกิด ช้นั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการดาํ รงชีวติ ของ พายฟุ ้าคะนอง มนÉุ ยม์ ากทสี่ ดุ เนื่องจากเป็นชัน้ ท่ี มนุÉย์อาศัยอยู่ และเป็นช้ันทเ่ี กดิ ช้ัน​ส​ตรา​โตสเฟยร์​ ช้ัน​นี้​อุณหภูมิ​จะ​เพิ่ม​ ปราก¯การณ์ทางลม¿‡าอากาศต่างæ ขนึ้ ​ตามค​ วาม​สูงจ​าก​ผิว​โลกแ​ ละ​ใน​ชั้น​นี​้มป​ี ริมาณ​ โดยมีดวงอาทิตย์เปน็ แหลง่ พลังงาน โอโซน​อยู่​มาก​ ​โอโซน​ใน​บรรยากาศ​จะ​ดูด​กลืน​ รังสี​อัลตราไวโอเลต​จาก​ดวง​อาทิตย์​ ​ทําให้​ส่ิง​มี​ ชีวิต​บน​โลก​ปลอดภัย​จาก​อันตราย​ท่ี​เกิด​จาก​รังสี​ อลั ตราไวโอเลต​พ​ บค​วามเ​ขม้ ข​ น้ ข​ องโ​อโซนส​งู สดุ ​ ทร​ี่ ะดบั ค​ วาม​สงู ​ประมาณ​2​5​​กโิ ลเมตร​​ ​ชน้ั ​มโ​ี ซสเฟยร์​ช้ันน​ ​้ีอณุ หภมู ​จิ ะล​ดล​ง​ตาม​ ความ​สูง​อีก​ครั้ง​ และ​เป็น​ชั้น​สุดท้ายที่​มี​สัดส่วน​ ของ​แกส​ใน​อากาศ​คงท่ี​เหมือนบรรยากาศสอง​ ชนั้ แ​ รก​เ​มอ่ื ​ม​วี ัตถุ​นอกโ​ลก​ผา่ น​เขา้ ม​ า​จะเ​ร่ิมเ​กิด​ การเ​ผาไ​หม้​​ ช​ น้ั เ​ทอ​รโ​์ มสเฟย ร​์ ชนั้ น​ อ​้ี ณุ หภ​ มู จ​ิ ะเ​พมิ่ ข​ นึ้ ​ ตาม​ความส​งู ​จนถงึ ​ประมาณ​1,​​700​ํC​ ​เนือ่ งจาก​ อ​ณุ หภมู ส​ิ งู ​อ​ากาศจ​งึ แ​ตกต​วั เ​ปน็ ป​ ระจ​ุ บ​ รรยากาศ​ สามารถ​สะท้อนค​ ลนื่ วิทย​ุได้​แ​ ละ​มี​ปรากฏการณ์​ แสง​เหนือ​แสง​ใต้​เกิด​ขึ้น​ บรรยากาศ​ในช้ันน้ีจะ เบาบางม​ าก​ บรรยากาศชน้ั ใดมอี ณุ หภูมิต่าํ สดุ และมคี าประมาณเทา ใด บรรยากาศแตล ะช้นั มีความสําคัญตอ ส�งิ มชี วี ติ อยางไรบา ง กจิ กรรมเพม่ิ เตมิ ใหน้ กั เรียนวาดภาพหรือทาํ แ¼นภาพปราก¯การณ์ท่เี กดิ ขึ้นในชัน้ บรรยากาศชั้นต่างæ ของโลก บทที่ 1 บรรยากาศ 3

1.2 ผลของรงั สจี ากดวงอาทติ ยตอ‹ บรรยากาศ โลก​ได้​รับ​พลังงาน​จาก​รังสี​ของ​ดวง​อาทิตย์​ท่ี​แผ่​มายัง​โลก​ซึ่ง​รังสี​บาง​ส่วน​จะ​มี​การ​สะท้อน​กลับ​ ​สู่​อวกาศ​ ​บาง​ส่วน​จะ​ถูก​ดูด​กลืน​โดย​แกส​ต่างๆ​ ​ใน​บรรยากาศ​ ​และ​ส่วน​ท่ี​เหลือ​จะ​ลง​มา​ถึง​ผิว​โลก ดังภาพ​1.3 รงั สีจากดวงอาทติ ย์ 100% สะท้อน สะท้อน สะท้อนโดย จากพน้ื ¼วิ โดยเม¦ บรรยากาศ 6% 4% 20% ดูดกลนื โดย บรรยากาศ 19% ดูดกลนื ท่ีพนื้ ¼วิ 51% ภาพ 1.3 การสะทอ้ นและดูดกลืนรงั สจี ากดวงอาทิตยท์ ่ีแผม ายงั โลก โดย​พน้ื ผิวโ​ลกท่ีแตก​ตา่ งก​ นั จ​ะ​สามารถ​สะท้อน​และ​ดดู ​กลืนร​ังสไ​ี ดแ้​ ตก​ตา่ ง​กนั ​​การท​ ่ีผ​ ิว​โลก​ใน บริเวณตา่ งๆ​ม​ ​กี ารส​ะท้อน​หรอื ​ดดู ก​ ลนื รังส​ีจาก​ดวง​อาทิตย์ต​ า่ งก​ ัน​สง่ ​ผลอย​า่ ง​ไรต่อ​อุณหภูมอิ ากาศ​ ศกึ ษา​จาก​กิจกรรม​​1.1 กจิ กรรม 1.1 รงั สีจากดวงอาทติ ย 1. นําภาชนะท่ีเหมอื นกัน 3 ใบ ใส่ดนิ นา้ํ และทรายอยา่ งละ เทอร์มอมิเตอร์ 500 cm3 ใสล่ งในภาชนะใบที่ 1, 2 และ 3 ตามลาํ ดบั วดั อณุ หภมู ิ ดิน น้ํา ทราย 2. ใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์ 3 อนั วัดอณุ หภูมิของดนิ นา้ํ และทราย ทร่ี ะดบั ความลกึ 2 cm สงั เกตและบันทึก¼ล 3.นําภาชนะทงั้ 3 วางไวบ้ ริเวณเดียวกันท่มี ีแดดส่องเต็มท่ี 4. อา่ นค่าอุณหภมู ขิ องดิน นํ้า และทราย ในภาชนะ แต่ละใบ สงั เกตทุกæ 5 นาที จนครบ 15 นาที บนั ทกึ ¼ล นําขอ้ มลู ทบี่ ันทกึ ได้มาเขยี นกรา¿ระหวา่ ง อุณหภูมิกับเวลา 4

รังสีจากดวงอาทติ ยแ์ ผม าถงึ ภาชนะแตล ะใบเทากันหรือไม​อยางไร จากการทดลองใหเ รียงลาํ ดบั ภาชนะทม่ี ีอณุ หภมู ิเพิม� ขน้ึ จากมากไปนอ ย หากพื้นผิวโลกเปนดิน​ น้ํา​ และทรายไดร บั แสงแดดเทากนั ​ นกั เรยี นคิดวาอณุ หภูมิอากาศ ​ เหนอ� พื้นผวิ ดงั กลาวจะแตกตางกนั อยางไร ​ลักษ​ณะ​ของ​พื้นผิว​โลก​ท่ี​แตก​ต่าง​กัน​จะ​ส่ง​ผล​ให้อุณหภูมิ​อากาศ​เหนือบริเวณน้ัน​แตก​ต่าง​กัน​ เน่อื งจากอากาศจะไ​ดร​้ ับการถ​ ่าย​โอน​ความ​ร้อนจ​ากพ้นื ผวิ ​โลกบริเวณ​นนั้ ​​ 1.3 องคประกอบของลมฟ‡าอากาศ ก​ารท​ ผ​่ี วิ โ​ลกม​ ก​ี ารส​ะทอ้ นห​ รอื ด​ ดู ก​ ลนื ร​งั ส​ี ลม¿า‡ อากาศคอื สภาวะของบรรยากาศ ​จาก​ดวง​อาทิตย์​ไม่​เท่า​กัน​ส่ง​ผล​ให้​องค์​ประกอบ​ ณ ส¶านที่ ใดใดในชว่ งเวลาหนึ่ง ลม¿‡า ข​องล​มฟ​ า้ อ​ากาศ​ไ​ดแ้ ก​่ อ​ณุ หภมู อ​ิ ากาศ​ค​วามด​ นั ​ อากาศมกี ารเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอด อ​ากาศ​ล​ม​ค​วามชนื้ ​เ​มฆ​แ​ละฝ​ น​ณ​ ​บ​ รเิ วณต​ า่ งๆ​ เวลา เช่น พายุ¿‡าคะนอง พายลุ กู เหบ็ ข​ องโ​ลกม​ ค​ี วามแ​ตกต​ า่ งก​นั ​เ​กดิ เ​ปน็ ป​ รากฏการณ​์ ลมกระโชก ต​ า่ งๆ​​ในบ​ รรยากาศ​โ​ดย​แต่ละ​องคป​์ ระกอบ​ของ​ ล​มฟ​ ้าอ​ากาศ​มคี​ วาม​สมั พนั ธ​์กัน​ ​1.3.1​อ​ ุณหภูมอ​ิ ากาศ​ เกณ±อ์ ุณหภูมิของประเทศไทย ​เม่ือ​เรา​กล่าว​ถึง​อากาศ​รอบ​ตัว​ ​ส่ิง​ท่ี​เรา​ Äดหู นาวพจิ ารณาจากอณุ หภมู ติ ่ําสุดในแตล่ ะวนั ​สัมผัส​ได้​โดยตรง​และ​ส่ง​ผล​ต่อ​เรา​มาก​ท่ีสุด​ อากาศหนาวจัด อุณหภูมิตํ่ากว่า 8.0 Cํ ก็​คือ​ความ​รู้สึก​ร้อน​หรือ​เย็น​ ​ใน​ตอน​เช้า​ก่อน​ อากาศหนาว อณุ หภูมิระหวา่ ง 8.0 ํ– 15.9 Cํ ​ดวง​อาทิตย์​ขึ้น​เรา​จะ​รู้สึก​ว่า​อากาศ​ร้อน​น้อย​กว่า​ อากาศเยน็ อุณหภมู ิระหวา่ ง 16.0 –ํ 22.9 ํC ​เม่อื ด​ วง​อาทิตยข์​ ้นึ แ​ ลว้ ​​และเ​ราจ​ะ​รูส้ กึ ​ว่าอ​ากาศ​ ร​อ้ น​ขนึ้ เ​รือ่ ยๆ​ จ​น​รอ้ น​ทีส่ ุด​ใน​ชว่ ง​เวลา​บ่าย​ แ​ ต่​ Äดูรอ้ นพจิ ารณาจากอณุ หภมู ิสูงสุดในแต่ละวนั ค​ วามร​สู้ กึ ร​อ้ นห​ รอื เ​ยน็ ข​ องแ​ตล่ ะค​ นอ​าจแ​ตกต​ า่ ง​ อากาศร้อน อณุ หภูมริ ะหวา่ ง 35.0 ํ– 39.9 ํC ​กัน​ ​ไม่​สามารถ​ใช้​เป็น​มาตรฐาน​ใน​การ​บอก​ อากาศรอ้ นจัด อุณหภูมติ ้ังแต่ 40.0 ํC ขน้ึ ไป ​อุณหภูมิ​อากาศ​ได้​ ​จึง​ต้อง​ใช้​เท​อร์​มอ​มิเตอร์​ ​เปน็ ​เคร่ือง​มอื ว​ัดแ​ ละ​บอกอ​ ณุ หภมู อิ​ากาศ​ บทที่ 1 บรรยากาศ 5

อ​ ณุ หภมู ิอ​ากาศ​ในแ​ ต่ละ​วนั ม​ ี​การเ​ปลีย่ นแปลงอ​ ย่างไร​ใ​ห​้ศกึ ษาจ​าก​กิจกรรม​​1.2​ กจิ กรรม 1.2 อุณหภูมอิ ากาศ เทอร์มอมิเตอรว์ ัดอุณหภูมิ สูงสดุ -ตาํ่ สุด 1. วัดและบนั ทึกอุณหภมู ิอากาศ ณ บริเวณทตี่ ้องการจะศกึ Éา (MAX-MIN THERMOMETER) ทุกชวั่ โมง ต้ังแต่ 06.00 น. จน¶ึง 18.00 น. โดยใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์ วิธี ใช้ แบบธรรมดา กดปม†ุ ตรงกลางหรือ ใช้แม่เหลก็ ทตี่ ิดมากบั 2. วัดอณุ หภมู ิสงู สุดและอุณหภมู ิต่ําสดุ เทอร์มอมิเตอร์ ดูดแท่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยใช้ ดชั นที ั้งสองใหส้ ัม¼สั กับ เทอร์มอมิเตอรแ์ บบวัดอณุ หภมู ิ ¼ิวหนา้ ปรอท เพอ่ื ให้ สงู สุด - ต่าํ สุด อปุ กรณพ์ ร้อมใชง้ าน วิธีอา่ นคา่ 3.นําคา่ อณุ หภูมทิ ่ีวัดได้ในข้อ 1 มาเขียน ให้อา่ นคา่ อุณหภมู ิสูงสุด กรา¿หาความสมั พันธ์ระหวา่ ง ตํ่าสดุ ทีป่ ลายแทง่ ดัชนี อุณหภมู กิ บั เวลา ด้านใกล้กับ¼ิวปรอท จากกราฟ​บอกการเปลยี่ นแปลงของ​ ​ ภาพ 1.4 การดดู กลนื และคายพลังงาน ​ อุณหภมู ิอากาศจากชวงเวลา​6​นาิกา​​ ของผวิ โลกในเวลากลางวนั และกลางคืน ​ จนถึงเวลา​18​นากิ า​ (ลกู ศรแสดงพลงั งาน) คา อณุ หภมู ิสงู สดุ ​-​ตา่ํ สุดที่อา นไดจาก ​ กราฟใกลเคียงกับคาทอ่ี านไดจ าก ​ เทอร์มอมเิ ตอรว์ ดั อุณหภูมสิ ูงสดุ ​​ ​ -​ตาํ่ สดุ หรือไม​อยางไร​และอยูใน ​ ชวงเวลาใด แนวโนมของอณุ หภูมิอากาศในชว งเวลา ​ กลางคืนควรเปน อยา งไร​​ ป​ จ จัยส​าํ คญั ​ท่​มี ี​ผลต​ อ่ ​อณุ หภมู ิ​อากาศท​ บ​่ี รเิ วณ​ใดๆ​​คอื ​รงั สี​จากดวง​อาทิตย​์ที่​ผิวโ​ลก​ดดู ​กลนื ไ​ว​้ และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน​ ใน​เวลา​กลาง​วันผิว​โลก​ได้​ดูด​กลืนรังสี​จากดวง​อาทิตย์​และ​คาย​ พลังงานค​ วาม​รอ้ นใ​ห้อ​ากาศบ​ ริเวณ​นั้น​ทําให้อ​ ุณหภมู อ​ิ ากาศบ​ ริเวณ​น้นั ส​ูงต​ ามไ​ป​ดว้ ย​​ 6

​ส่วน​ใน​เวลา​กลาง​คืน​ผิว​โลก​ไม่​ได้​รับรังสี​จาก​ดวง​อาทิตย์​ ​แต่​ยัง​มี​พลังงาน​ความ​ร้อน​ส่วน​หนึ่ง​ ที่​สะสม​ไว้​และ​ยัง​คง​คาย​พลังงาน​ความ​ร้อน​ให้​อากาศ​เหนือ​บริเวณ​นั้น​ ​แต่​ไม่​มาก​เท่า​ใน​เวลา​กลาง​วัน​ ​อุณหภูมิ​ของ​อากาศ​เวลา​กลาง​คืน​จึง​ต่ํา​กว่า​ใน​เวลา​กลาง​วัน​ ​เพื่อ​ให้​เกิด​ความ​เข้าใจ​เกี่ยว​กับ​การ​ เปลีย่ นแปลง​ของ​อุณหภมู ิ​ในช​ ่วงเ​วลา​ตา่ งๆ​​ใน​1​​ว​นั ​​ให้พ​ จิ ารณา​กราฟใ​นภ​ าพ​1​.5 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ภาพ 1.5 กราฟอณุ หภูมอิ ากาศ วนั ท่ี 1 มกราคม 2551 ต้ังแตเ วลา 1:00 น. จนถงึ เวลา 0:00 น. ณ สถาน�อตุ ุนยิ มวทิ ยาบางนา กรุงเทพมหานคร ท่ีมา​:​ข้อมูลจากกรมอตุ ุนิยมวทิ ยา จากกราฟ​เวลาเทาใดทีอ่ ณุ หภมู ิ ​ อากาศมคี า สูงสดุ และต่าํ สดุ ตามลาํ ดบั ​นอกจาก​น้ี​สภาพ​แวดล้อม​ท่ี​ต่าง​กัน​ ​เช่น​ ภาพ 1.6 อิทธิพลของเมฆตออณุ หภมู ิอากาศ บรเิ วณป​ า ​บรเิ วณท​ ม​่ี ต​ี น้ ไมน​้ อ้ ย​อ​ ณุ หภมู อ​ิ ากาศ เหน�อผวิ โลก ​ก็​จะ​ต่าง​กัน​ เพราะ​ต้นไม้​จะ​ให้​ร่ม​เงา​และ​ดูด​ พ ลั ง ง า น แ ส ง ​อ า ทิ ต ย์ ​ไ ป ​ใ ช้ ​ใ น ​กร ะ บ ว น ก า ร​ สงั เคราะหด​์ ว้ ยแ​สง​ท​ าํ ใหผ​้ วิ โ​ลกบ​ รเิ วณท​ ม​ี่ ต​ี น้ ไม​้ มาก​​อุณหภูม​ิต่าํ ​กว่าบ​ รเิ วณ​ที่​มี​ต้นไม​้น้อย​​ ​นอกจาก​นี้​สภาพ​โดย​ท่ัวไป​ของ​บรรยากาศ​ เช่น​ ​ปริมาณ​เมฆ​ใน​ท้องฟ้า​ สามารถ​ส่ง​ผล​ต่อ​ อุณหภูมิ​อากาศ​ได้​เช่น​กัน​ กล่าว​คือ​เมฆ​จะ​ให้​ร่ม​เงาและ​ทํา​หน้าท่ี​สะท้อน​และ​ดูด​กลืน​พลังงาน ​จาก​ดวง​อาทิตย์​ ​ทําให้​ผิว​โลก​รับ​พลังงาน​จากดวง​อาทิตย์​น้อย​ลง​ ดังน้ัน​ใน​วัน​ท่ี​ท้องฟ้า​มีปริมาณเมฆ แตกต​ ่าง​กัน​อาจ​สง่ ​ผล​ให้​อุณหภูมิอ​ากาศแ​ ตกต​ ่าง​กันไ​ด​้ บทที่ 1 บรรยากาศ 7

น​ อกจาก​อุณหภูมอ​ิ ากาศใ​นแ​ ตล่ ะ​ชว่ ง​ของ​วัน​ไม่​เทา่ ก​ ันด​ ังภ​ าพ​1​.5​ ​แล้ว​ ​อุณหภมู ิใ​น​แต่ละช​ ว่ ง​ ของ​ปแ​ ตกต​ ่างก​ ัน​ด้วย​​ดัง​กราฟใ​นภ​ าพ​1​.7 34 32 ุอณหภู ิม (องศาเซลเ ีซยส) 30 เชยี งใหม อุบลราชธาน กรุงเทพฯ 28 ระยอง 26 สงขลา 24 22 เดือน 20 ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ภาพ 1.7 กราฟอณุ หภูมิอากาศเฉลีย่ ของจงั หวดั ตางๆ ในแตละภาคของประเทศไทย ชวงเดือนมกราคม-ธันวาคม 2551 ทีม่ า : ขอ้ มลู จากกรมอุตุนิยมวทิ ยา แนวโนม การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ขิ องแตล ะภาคในประเทศไทยเหมือนหรือแตกตางกัน ​ หรอื ไม​ อยา งไร​ อุณหภมู อิ ากาศในแตละภาคชว งใดมีคา สูงสุดและตาํ่ สดุ และเปนชวงเดยี วกนั หรอื ไม​​ ​ อยางไร 1​ .3.2​​ความ​ดัน​อากาศ​ โมเลกลุ ของแกส คือ หนว่ ยย่อยทเ่ี ล็กทส่ี ดุ ​อากาศ​ประกอบ​ด้วย​โมเลกุล​ของ​แกส​ชนิด​ต่างๆ​ ​ท่ี​เคล่ือนที่​ ของแกส นัน้ æ ตลอด​เวลา​ ​เมื่อ​โมเลกุล​ของ​อากาศ​ชน​กับ​พ้ืน​ผิว​ของ​วัตถุ​ จะ​ทําให้​ เกิดแรง​กระทํา​บน​พ้ืน​ผิว​น้ัน​เรียก​แรง​ที่​เกิด​ขึ้น​ว่า​ แรง​ดัน​อากาศ​ บน​พ้ืนท่ี​นั้น​ ​แรง​ดัน​อากาศ​ต่อ​หน่วย​พื้นท่ี​เรียก​ว่า​ ​ความ​ดัน​อากาศ ดงั น​ น้ั ถ​า้ จ​าํ นวนโ​มเลกลุ ข​ องอ​ากาศม​ าก​โ​อกาสท​ จ​ี่ ะช​ นพ​ น้ื ผ​ วิ จ​งึ ม​ ม​ี าก​ จะ​ทําให้​เกิด​แรง​บน​พื้น​ผิว​น้ัน​มาก​ ​ส่ง​ผล​ให้​ความ​ดัน​อากาศ​สูง​ด้วย​​ นอกจาก​จํานวน​โมเลกุล​ของ​อากาศ​แล้ว​ ​ยัง​มี​ปจจัย​อื่น​อีก​หรือ​ไม่​ท่ี​ สง่ ​ผล​ต่อ​ความด​ นั ​อากาศ​ใ​ห​ศ้ ึกษา​จากก​ ิจกรรม​​1.3​ 8

กิจกรรม 1.3 อุณหภูมกิ ับความดนั อากาศ 1. เป†าลูกโป†งให้มขี นาดพอประมาณและ มัดปากลกู โปง† ให้แน่น 2.นําลกู โป†งมาวางบนนํ้ารอ้ น อุณหภูมิประมาณ 70 Cํ 3. สังเกตขนาดของลกู โปง† ที่เปล่ยี นแปลง จํานวนโมเลกลุ ของอากาศในลกู โปงกอนและหลงั วางบนน้ํารอ นเทา กนั หรอื ไม ขนาดของลูกโปงเปล่ียนแปลงอยา งไร​ อะไรเปนสาเหตทุ ที่ ําใหข นาดของลกู โปงเปลีย่ นแปลงไป ​เม่ือ​วาง​ลูกโปง​บน​นํ้า​ร้อน​ขนาด​ของ​ลูกโปง​จะ​ขยาย​ใหญ่​ขึ้น​ ​เน่ืองจาก​โมเลกุล​ของ​อากาศ​ ภายใน​ลูกโปง​ ได้​รับ​พลังงาน​ความ​ร้อน​ทําให้​เคล่ือนท่ี​ด้วย​ความเร็ว​สูง​ข้ึน​ ​และ​อากาศ​ใน​ลูกโปง​ ถกู ป​ ด ล​อ้ ม​โ​ดยผ​ วิ ล​กู โปง ​โมเลกลุ อากาศจ​งึ ช​ นพ​ น้ื ผ​ วิ ภ​ ายในล​กู โปง บ​ อ่ ยค​ รงั้ ข​ น้ึ ​สง่ ผ​ ลใ​หค​้ วามด​ นั อ​ากาศ​ ภายในลกู โปง เ​พิ่ม​ขน้ึ แ​ ละ​มากกวา่ ความ​ดันอ​ากาศภ​ ายนอก​ลูกโปงจ​ึง​มี​ขนาดข​ ยาย​ใหญ่ข​ ้ึน​ สําหรับ​บริเวณ​พื้น​โลก​อากาศ​ไม่​ถูก 500 ปด​ล้อม​แบบลูกโปงทั้งทางด้านข้าง​และ​ด้าน​บน 400 โมเลกุล​ของ​อากาศ​ท่ี​มี​อุณหภูมิ​สูง​ จะ​เคลื่อนที่​ 300 เร็วและ​กระจาย​ตัว​ออก​จาก​กัน​ไป​ทาง​ด้าน​ข้าง​ 200 และ​ด้าน​บนนั่น​คือ​ จํานวนโมเลกุล​อากาศ​ต่อ​ 100 ปริมาตรจะ​ลด​ลงโมเลกุล​อากาศ​จึง​ชน​พ้ืน​โลก น้อย​ลง​ ทําให้​แรง​ดันอากาศ​ต่อ​พ้ืนที่​นั้น​ตํ่า​ 0 ตํ่า​​​​​​​ค​​ว​า​ม​​ด​นั​​​​​​​​​​​​​​​​​​​สูง ​บน​พื้น​โลก​บริเวณ​ที่​อากาศ​มี​อุณหภูมิ​สูง​จึง​ มี​ความ​ดัน​อากาศ​น้อย​กว่า​บริเวณ​ท่ี​อากาศ​มี​ ภาพ 1.8 กราฟความสัมพันธ์ระหวา งความดันอากาศ อุณหภมู ติ​ าํ่ ​ และความสงู จากผวิ พน้ื โลก ความ ูสง​(กิโลเมตร) ดงั ​น้ัน​​ความ​ดนั ​อากาศ​นอกจากข​ ึ้นอ​ ยู่​กับ​ จํานวนโมเลกุลของอากาศ จํานวน​โมเลกุล​ของ​อากาศ​แล้ว​ยัง​ข้ึน​อยู่​กับ อุณหภูมิ​อากาศ​ด้วย​ แต่​เนื่องจาก​แรง​โน้ม​ถ่วง​ จํานวนโมเลกลุ อากาศในหนึ่งหนว่ ย ของ​โลก​ทําให้​จํานวน​โมเลกุล​ของ​อากาศ​ใกล้​ผิว​ ปริมาตร คอื ความหนาแน่นของอากาศ โลก​มี​ปริมาณ​มากกว่า​ที่​ระดับ​สูง​ข้ึน​ไป​ ​ดัง​น้ัน​ ความ​ดันอากาศจ​ึง​ลด​ลงต​ าม​ความ​สูง บทที่ 1 บรรยากาศ 9

​ใน​การ​วัด​ความ​ดัน​อากาศ​ ​ใช้​เคร่ือง​มือ​ท่ี​เรียก​ว่า​ ​บารอมิเตอร์​ ​สร้าง​ข้ึน​โดย​ใช้​หลัก​ความ​ แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​ของ​สอง​บริเวณ​ ​บารอมิเตอร์​มี​หลาย​แบบ​ด้วย​กัน​ ​บารอมิเตอร์​ที่​ใช้​กัน​ อย่าง​แพร่​หลาย​คือ​บารอมิเตอร์​แบบ​แอ​นิ​รอย​ด์​ ​ประกอบ​ด้วย​ตลับ​โลหะ​ ปด​ผนึก​ท่ี​นํา​อากาศ​ออก​ไป​ บาง​ส่วน​และ​เชื่อม​ต่อ​กับ​กลไก​ที่​แสดง​ค่า​ความ​ดัน​อากาศ​ได้​โดยตรง​ ​เม่ือ​ความ​ดัน​อากาศ​ภายนอก ​เพ่ิม​ข้ึน​ ​จะ​ดัน​ให้​ตลับ​โลหะ​ยุบ​ตัว​ลง​จาก​ปกติ​ ​แต่​ถ้า​ความ​ดัน​อากาศ​ภายนอก​ลด​ลง​ ​ตลับ​โลหะ​จะ ​พอง​ตัว​ข้ึน​มากกว่า​ปกติ​ การ​ยุบ​ตัว​หรือ​พอง​ตัว​ของ​ตลับ​โลหะ​ส่ง​ผล​ให้​เคร่ืองกล​ไก​แสดง​ค่า​ความ​ดัน​ อากาศ​ ภาพ 1.9 บารอมิเตอรแ์ บบแอนริ อยด์ ในการบอกระดับ ความสงู ของเครือ่ งบนิ ใชแ้ อนิรอยดบ์ ารอมิเตอร์ ชนดิ พิเศÉ ท่ีแปลงคา่ ความดนั เปน็ ความสงู จากพ้ืนโลกทเ่ี รยี กว่า อัลตมิ เิ ตอร์ บ​ ารอมเิ ตอรท​์ ่ีใ​ชก​้ นั ท​ ว่ั ไปอ​ กี แ​บบห​ นง่ึ ​เ​รยี กว​า่ บ​ ารอมเิ ตอรแ​์ บบป​ รอท​เ​ปน็ แ​บบท​ ี่ใ​ชว​้ ดั ค​ วามด​ นั ​อากาศ​ได้​แม่นยํา​ที่สุด​ ประกอบ​ด้วย​หลอด​แก้ว​ปลาย​ปด​ข้าง​หน่ึง​ท่ี​บรรจุ​ปรอท​จน​เต็ม​ ควํ่าหลอด​ ให้​ปลาย​เปด​จุ่ม​อยู่​ใน​ภาชนะ​ท่ี​บรรจุ​ปรอท​ ​ทําให้​เกิด​สุญญากาศ​เหนือ​ระดับ​ปรอท​ของ​หลอด​แก้ว​ ด้าน​ปลาย​ปด​ ความ​สูง​ของ​ลํา​ปรอท​ใน​หลอด​แก้ว​ปลาย​ปด​ ​จะ​แสดง​ค่า​ความ​ดัน​อากาศ​ ถ้า​ความ​ดัน ​อากาศ​ภายนอก​สูง​ จะ​ดัน​ปรอท​ใน​ภาชนะ​ให้​เข้าไป​ภายใน​หลอด​ลํา​ปรอท​ก็​จะ​สูง​ขึ้น​ ​หาก​ความ​ดัน​ อากาศ​ภายนอก​ลด​ลง​ ​ปรอท​ภายใน​หลอด​แก้ว​ก็​จะ​ไหลออก​มา​อยู่​ใน​ภาชนะ​ ทําให้​ความ​สูง​ของ ลํา​ปรอท​ภายในหลอด​แก้ว​ลด​ลง​ จาก​การ​ศึกษา​พบ​ว่า​ที่​ระดับ​นํ้า​ทะเล​เฉล่ีย​ความ​สูง​ของ​ลํา​ปรอท​มี​ค่า​ เทา่ กับ​​76​​เซนตเิ มตร​​หรือ​​760​ม​ ิลลเิ มตร​​ซึง่ ​กลา่ ว​ไดว​้ า่ ​ความ​ดัน​อากาศท​ ี​ร่ ะดบั ​นา้ํ ท​ ะเล​เฉลี่ย​มค​ี า่ ​ ​760​​มิลลิเมตรข​ อง​ปรอท​​ ความดันอากาศบนยอดดอยอนิ ทนนท์ ​ มคี า มากกวา หรอื นอยกวา ​760​มิลลิเมตรปรอท หนว่ ยวดั ความดันอากาศ 1 บรรยากาศ = 760 mmHg = 1.013 x 105 N/m2 ภาพ 1.10 ความสงู ของปรอทในหลอดแก้ว 1 ปาสคาล = 1 N/m2 เมอื่ ความดนั อากาศตา งกัน 1 บาร์ = 105 N/m2 10

​1.3.3​ล​ ม​ ​จาก​การ​ศึกษา​ที่​ผ่าน​มา​พบ​ว่า​บริเวณ​ท่ี​อากาศ​มี​อุณหภูมิ​สูง​จะ​มี​ความ​ดัน​อากาศ​ต่ํา​กว่า​บริเวณ​ท่ี​ อากาศม​ อ​ี ณุ หภมู ต​ิ า่ํ ​เ​มอื่ ค​วามด​ นั อ​ากาศใ​น​2​​บ​ รเิ วณม​ ค​ี วามแ​ตกต​ า่ งก​ นั ​จ​ะท​ าํ ใหอ​้ ากาศม​ ก​ี ารเ​คลอื่ นท​ี่ โดยอ​ากาศจ​ะเ​คลอื่ นทจ​่ี ากบ​ รเิ วณท​ ม​ี่ ค​ี วามด​ นั อ​ากาศส​งู ก​วา่ ​(อ​ณุ หภมู ต​ิ า่ํ ก​วา่ )​​ไปย​งั บ​ รเิ วณท​ ม​่ี ค​ี วามด​ นั ​ อากาศ​ตา่ํ ก​ว่า​(อ​ ุณหภมู ​สิ งู ก​วา่ ​)​​การ​เคล่อื นท​ข่ี อง​อากาศล​กั ษณะน​ ี้​เรยี กว​า่ ​ลม ​อัตราเร็ว​ลม​มี​ความ​สัมพันธ์​กับ​ความ​แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​ใน​2​ ​บริเวณ​ใดๆ​ หาก ​ความ​ดันอ​ากาศแตกต​ า่ งก​ ัน​มาก​ล​มจ​ะ​เคลอ่ื นทด่​ี ้วยอ​ ัตราเร็วส​งู ​และห​ ากค​ วาม​ดนั อ​ากาศ​แตกต​ า่ งก​ นั ​ นอ้ ย​​อัตราเร็ว​ของล​มก​ ็​จะ​ลด​ต่าํ ล​ง​ด้วย​​ ​การ​วัด​อัตราเร็ว​ลม​นิยม​ใช้​ ​มาตร​อัตราเร็ว​ลม​แบบ​ ภาพ 1.11 ถวย​ซง่ึ ​ประกอบ​ดว้ ย​ถ้วยร​ูป​รา่ ง​คล้ายก​รวย​หรอื ค​ รึง่ ว​งกลม​ มาตรอตั ราเร็วลมแบบถว้ ย 3​ หรือ​​4​ ​ถ้วย​ ​ติด​กับ​แกน​ที่​ยื่น​ออก​มา​จาก​แกน​ท่ี​อยู่​ใน​ แนว​ดิ่ง​ ​โดย​ด้าน​เว้า​ของ​ถ้วย​จะ​ต้าน​ลม​มากกว่า​ด้าน​นูน​ ของถ​ ว้ ย​จ​ึงท​ าํ ให้ถ​ ว้ ยห​ มนุ ​ได้​​จาํ นวน​รอบท​ ่ีถ​ ว้ ยห​ มุน​ไปจ​ะ​ สมั พนั ธก์​ ับอ​ ัตราเรว็ ​ลม​จ​ึงใ​ชม​้ าตรอ​ ัตราเร็ว​ลม​วัด​อตั ราเรว็ ​ ลมใ​น​ช่วง​เวลาห​ นง่ึ ๆ​​ได้​ ​การ​บอก​ทิศทาง​ของ​ลม​นั้น​จะ​แสดง​ถึง​ทิศทาง​ที่​ ลม​นั้น​พัด​มา​ ​การ​วัด​ทิศทาง​ของ​ลม​นิยม​ใช้​เครื่อง​มือ​ท่ี​ เรียก​วา่ ​​ศร​ลม​ม​ ​ีลักษณะ​เปน็ ​แทง่ โ​ลหะ​เบา​คลา้ ย​ลูก​ศร​​สว่ น​ หัว​ลูก​ศร​แหลม​ส่วน​ท้ายลูก​ศร​แบน​ ​ศร​ลม​สามารถ​หมุน​ได้​ รอบ​ใน​แนว​ราบ​ ​เม่ือ​มี​ลม​พัด​มา​จะ​พัด​ให้​ศร​ลม​ขนาน​กับ​ ทศิ ทางของล​ม​โ​ดยส​ว่ นห​ างข​ องล​กู ศ​ รต​ า้ นล​มไ​ดม​้ ากกวา่ ​จ​งึ ​ ถกู พ​ ัด​ไปใ​น​ทิศทาง​ตรง​กนั ข​ า้ ม​กบั ท​ ิศทาง​ทล​่ี มพ​ ัด​มา​ทาํ ให้​ หวั ​ลกู ศ​ ร​จะช​ ้ีไ​ป​ใน​ทิศทาง​ท​ล่ี มพ​ ดั ​มา​ ภาพ 1.12 ศรลม บทที่ 1 บรรยากาศ 11

3ล​อง​มา​ประดิษฐ​เ์ ครอ่ื งม​ ือว​ดั ​อัตราเรว็ ล​ม​และท​ ศิ ทาง​ลมอ​ ย่างง​่ายไ​ด​้จาก​กจิ กรรม​​1.4​ 54 กิจกรรม 1.4 การวดั อตั ราเรว็ ลมและทิศทางลม 1. ตดั กระดาÉเป็นรูป 1 ใน 4 ของวงกลมโดยมรี ศั มขี องวงกลมประมาณ 5 cm และ ลากเสน้ แบ่งกระดาÉจากจดุ ศนู ย์กลางเป็นส่วน ส่วนละเท่าæ กันและเขยี นหมายเลข ดงั ภาพ จากนั้นนาํ ไปตดิ กับลวดหรอื แทง่ ไม้ 2. ตดั กระดาÉว่าวเปน็ รูปสีเ่ หลี่ยม¼นื ¼า้ ขนาด 1 cm x 10 cm เจาะรทู ปี่ ลายดา้ นหนึง่ ร้อยด้วยด้าย แลว้ ¼ูกกบั ปลายของแท่งไม้ในอุปกรณข์ อ้ 1 ดงั ภาพตัวอยา่ ง 3. ใช้อุปกรณว์ ัดอัตราเร็วลมและทศิ ทางลมโดย¶ือแทง่ ไม้ด้านที่ไม่ตดิ กระดาÉให้ขนานกบั พื้น และให้อุปกรณช์ ้ี ไปในทศิ ทางท่ีทําให้กระดาÉวา่ วเคล่ือนท่เี ขา้ หาตวั ¼ูต้ รวจวดั ซ่ึงคือ ทิศทางที่ลมพัดมา สังเกตระดบั ท่กี ระดาÉวา่ วเคลอ่ื นท่ีเทยี บกบั หมายเลขบนกระดาÉ หากตวั เลขมากแสดงวา่ อตั ราเรว็ ลมสงู 21 4. นําอุปกรณ์วัดอัตราเร็วลมและทิศทางลมทป่ี ระดÉิ °ข์ ้ึนไปวัดอตั ราเร็วลมและทศิ ทางลม บรเิ วณตา่ งæ ในโรงเรยี น 5. เขยี นแ¼นภาพบริเวณโรงเรียนและบนั ทกึ ข้อมูลอัตราเร็วลมและทศิ ทางลมลงในแ¼น¼งั นน้ั 6. รว่ มกนั อภปิ รายอัตราเร็วและทศิ ทางลมจากข้อมูลทีแ่ สดงไว้ในแ¼น¼งั (ขอ้ 5) จากขอ มลู บริเวณทม่ี ีอตั ราเรว็ ลมมากที่สดุ คือบรเิ วณใด ขอ มูลอตั ราเรว็ และทิศทางลมมีประโยชนอ์ ยางไรบาง ​ลม​ท่ี​พัด​เป็น​ประจํา​ใน​พ้ืน​ท่ี​หนึ่งๆ​ ​หรือ​ ​เรียก​ว่า​ ​ลม​ประจํา​ถิ่น​ ​เช่น​ ​ลมบก​ลมทะเล​ ​เกิด​จาก​ความ​แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​บริเวณ​ทะเล​และ​แผ่นดิน​ ​ลม​ภูเขา​ ​ลม​หุบเขา​ ​เกิด​จาก​ ​ความ​แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​บริเวณ​หุบเขา​และภูเขา​ ​นอกจาก​นั้น​ยัง​มี​ลม​ท่ี​พัด​ใน​ ​พื้นที่​และ​ส่ง​ผลก​ระ​ทบ​ใน​บริเวณ​กว้าง​ ​ได้แก่​ ​ลมค้า​ที่​เกิด​จาก​ความ​แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​ ​บริเวณ​ละติจูด​ต่างๆ​ ​ของ​โลก​ ​มรสุม​ที่​เกิด​จาก​ความ​แตก​ต่าง​ของ​ความ​ดัน​อากาศ​เหนือ​พ้ืน​ทวีป​และ​ ม​ หาสมุทร​​ซึง่ ​จะ​ไดศ​้ ึกษา​ต่อ​ไป​ 12

ลกั Éณะที่สังเกตได้เมื่อเกดิ ลมทีอ่ ตั ราเรว็ ตา่ งæ กอตัม.ร/าชเมร.็วลม ลกั Éณะท่ีสงั เกตได้ น้อยกวา่ 1 ลมสงบ ควันลอยขึน้ ตรงæ 1 - 5 ควนั ลอยตามลมแต่ศรลมไมห่ นั ไปตามทศิ ลม 6 - 11 รหู้สันกึ ไปลตมาพมัดททิศี่ ใลบมหนา้ ใบไม้แกวง่ ไกว ศรลม 12 - 19 ใบไม้และก่ิงไม้เล็กæ กระดกิ ธงปลวิ 20 - 28 ม½ี นุ† ตลบ กระดาÉปลวิ ก่ิงไม้เลก็ ขยบั เขยอื้ น 29 - 38 ตน้ ไมเ้ ลก็ แกวง่ ไกวไปมา มรี ะลอกน้าํ 39 - 49 กใช่งิ ร้ ไม่มล้ใหําบÞา่ขกยับเขยอ้ื น ไดย้ ินเสียงหวดี หวิว 50 - 61 ตน้ ไม้ใหÞท่ ้ังตน้ แกว่งไกว เดนิ ทางไม่สะดวก 62 - 74 ก่งิ ไม้หกั ลมตา้ นการเดิน 75 - 88 อาคารท่ีไมม่ ัน่ คงหักพงั หลังคาปลิว 89 - 102 ต(ไน้มไป่ มร้¶าอกน¯รบา่อกยลน้มกั )เกดิ ความเสยี หายมาก มากกว่า 103 เกดิ ความเสียหายทั่วไป (ไมค่ อ่ ยปราก¯) ภาพ 1.13 กังหันลมผลติ กระแสไฟฟา ทมี่ า​:​กรมอุตนุ ิยมวทิ ยา ​ลมส​่งผ​ ลกร​ะ​ทบต​ ่อสิง่ ม​ ​ชี ีวิตแ​ ละ​สงิ่ ​แวดล้อม​หลายป​ ระการ​เชน่ ​​เม่ือล​มพ​ ัดผ​ ่านบ​ รเิ วณ​ทม่ี​ แ​ี หลง่ ​ นา้ํ ข​ นาดใหญม่ าก​จ​ะพ​ ดั พ​ าเ​อาค​ วามช​ มุ่ ช​ น้ื ไ​ปย​งั บ​ รเิ วณท​ ม​ี่ ลี มพดั ผ​ า่ นไ​ปด​ ว้ ย​อ​าจท​ าํ ใหเ​้ กดิ ก​ารก​ อ่ ต​ วั ​ ​ของ​เมฆ​และ​เกิด​เป็น​ฝน​ใน​ท่ีสุด​ หรือ​เม่ือ​ลม​พัด​ผ่าน​บริเวณ​ที่​แห้ง​แล้ง​และ​หนาว​เย็น​จะ​พัด​พา​เอา​ อากาศที่มีไอน้าํ น้อยและอุณหภูมิต่าํ ม​ ายงั บ​ ริเวณท​ ีล​่ มพัด​ผา่ น​ดว้ ยเ​ช่นก​ นั ​​ลมท​ มี่​ ี​อตั ราเรว็ ​สูง​มากอ​าจ​ ทาํ ให้​เกิด​ความ​เสยี ​หายต​ ่อบ​ ริเวณ​ท​่ลี ม​พดั ผ​ ่าน​อยา่ งไรก​ ต็ าม​ม​ นุษย​์กส็​ามารถใ​ชป​้ ระโยชนจ์​าก​ลม​ได​้ เช่น​กัน​ ​เช่น​ ​การ​สร้าง​กังหัน​ลม​เพื่อ​ผลิต​กระแส​ไฟฟ้า​ ​ใน​บริเวณ​ท่ี​มี​ลม​พัด​ต่อ​เนื่อง​สมํ่าเสมอ​และ​ มาก​พอ​ 1.3.4​ค​ วามช้นื ​อากาศ​ ​ความชื้น​อากาศ​คอื ​ป​ รมิ าณ​ไอ​นํ้าใ​นอ​ากาศ​​ความชน้ื ​ อากาศ​ส่ง​ผล​ต่อ​ส่ิง​ต่างๆ​ ​บน​โลก​ ​เช่น​ ​ความชื้นอากาศ​ท่ี​ ความชนื้ อากาศมีผลด​ี พอ​เหมาะ​ช่วย​ให้​เมล็ด​พืช​งอก​และ​ทําให้​พืช​เจริญ​เติบโต​ได้​ดี​ ​ และผลเสียอื่นๆ​​ ​ แ​ตค​่ วามชนื้ ก​ท​็ าํ ใหเ​้ หลก็ เ​ปน็ ส​นมิ ​แ​ละช​ ว่ ยใ​หเ​้ ชอ้ื ร​าเ​จรญิ เ​ตบิ โต​ ​ อยา งไรอกี บา ง ​ได้​ดีเ​ช่นก​ ัน​ถ​ ้า​ความชน้ื อ​ากาศ​ตา่ํ ​จะท​ าํ ให้​นํา้ ร​ะเหย​ได​้เรว็ ​ซ่งึ ​เป็น​ประโยชน์​ต่อ​การ​ตาก​เส้ือผ้า​และ​สิ่งของ​ แต่​อาจ​ทําให้​ ​ผวิ หนงั ​แห้ง​เกนิ ไ​ป​เ​ป็นตน้ ​ บทท่ี 1 บรรยากาศ 13

​น้ํา​จาก​แหล่ง​ต่างๆ​ ​บนพ้ืน​ผิว​โลก​ ​ระเหย​ ไอนํ้าในอากาศคือนา้ํ ในอากาศ กลาย​เป็น​ไอ​ลอย​ขึ้น​ไป​ใน​บรรยากาศ​ ​ไอ​น้ํา​ใน​ ทีอ่ ยู่ในส¶านะแกส อากาศ​ทาํ ให​้อากาศช​ นื้ ​ จะม​ ​ีวธิ ต​ี รวจส​อบค​ วามชน้ื อากาศไ​ด้อ​ ย่างไร​​ให้ศ​ กึ ษาจ​ากก​ จิ กรรม​​1.5​ กจิ กรรม 1.5 การหาความชื้นอากาศ 1. ชบุ กระดาÉกรองในสารละลายโคบอลต์ (II) คลอไรด์ สงั เกตสีของกระดาÉขณะเปย‚ ก และแหง้ บันทกึ ¼ล 2. ใหอ้ อกแบบการทดลอง โดยใช้สารละลายโคบอลต์ (II) คลอไรด์ วดั ความชน้ื อากาศ บรเิ วณต่างæ ในบา้ น หรือที่โรงเรยี น ความช้นื อากาศมผี ลตอ สขี องโคบอลต​์ (II)​คลอไรด์อยา งไร ความชนื้ อากาศทบ่ี ริเวณตา งๆ​เหมอื นหรือแตกตา งกนั อยางไร ปจ จยั ใดสงผลตอความช้นื อากาศบา ง ​การต​ รวจ​สอบ​ความชน้ื ​อากาศ​ทาํ ไดห้​ ลาย​วธิ ​ี ว​ธิ หี​ นงึ่ ค​ อื ใ​ชส้​าร​เคมี​​เชน่ ​​สาร​โคบอลต​์ ​(​II​)​​คลอ​ ไรด์​ ​สาร​นี้​เม่ือ​อยู่​ใน​อากาศ​ท่ี​มี​ความช้ืน​สูง​จะ​ให้​สีชมพู​ ​และ​จะ​เป็น​สีนํ้าเงิน​ม่วง​เม่ือ​อยู่​ใน​อากาศ​ที่​มี​ ความชนื้ ​ต่ํา​​และใ​หส​้ นี าํ้ เงนิ เ​มอื่ ป​ ราศจากค​ วามช้นื ​​ ​จาก​การ​ทํา​กิจกรรม​จะ​พบ​ว่า​บริเวณ​ที่​ต่าง​กัน​ ​อาจ​มี​ความช้ืน​อากาศ​แตก​ต่าง​กัน​ เน่ืองจาก​ แตล่ ะบ​ รเิ วณ​ม​แี หลง่ ​กาํ เนดิ ​ไอ​นา้ํ ใ​นอ​ากาศ​แตก​ตา่ ง​กัน​ ​นอกจากน​ นั้ ​ อากาศ​อุณหภ​ ​มู ิ​หนง่ึ ๆ​ ส​ามารถ​ รับ​ปริมาณ​ไอ​น้ํา​ได้​ปริมาณ​จํากัด​ สภาวะ​ท่ี​อากาศ​รับ​ปริมาณไอ​น้ํา​ได้​สูงสุด​ ​เรียก​ว่า​ อากาศ​อยู​ใน​ สภาวะ​อ�ิม​ตัว​ดวย​ไอ​น้ํา​ ​ปริมาณ​ไอ​นํ้า​สูงสุด​ท่ี​อากาศ​สามารถ​รับ​ไว้​ได้​เรียก​ว่า​ ​ปริมาณ​ไอ​นํ้า​อิ�ม​ตัว​ อากาศ​ท่ี​มี​อุณหภูมิ​แตก​ต่าง​กัน​สามารถ​รับ​ไอ​นํ้าได้​แตก​ต่าง​กัน​มาก​น้อย​เพียง​ใด​ ​ศึกษา​ได้​จาก​กราฟ​ ใน​ภาพ​​1.14​​เมอ่ื ​ปริมาณไ​อน​ าํ้ ​ใน​อากาศ​มมี​ ากกวา่ ป​ ริมาณ​ไอน​ า้ํ ​อิ่ม​ตวั ​ไ​อน​ า้ํ ใ​นอ​ากาศ​กจ็​ะ​ควบแนน่ ​ เป็นล​ะออง​น้าํ ​ นกตวั ใดอยูในบรเิ วณทม่ี คี วามชืน้ สงู ? 14

ป ิรมาณ​ไอ​น้ํา​อิ่ม​ ัตว​ท่ีมีไ ้ดในอากาศ​(g/m3)​ เปรียบเทยี บปรมิ าณไอนํา้ อิม� ตัว ​ ในอากาศที่อณุ หภมู ิ​30​ํC​ ​ และ​40​ํC จากกราฟ​อณุ หภูมิและปริมาณไอน้ํา ​ อ�มิ ตัวในอากาศมีความสมั พันธ์กัน ​ อยา งไร อณุ หภูมิ​(​ํC) ภาพ 1.14 กราฟแสดงปริมาณไอนา้ํ อิม� ตวั ในอากาศท่ีอุณหภูมิตา งๆ การ​หาความ​ช้ืน​ใน​อากาศ​ทําได้​หลาย​วิธี​ ​วิธี​หน่ึง​คือ​วัด​เป็น​ค่า​ความชื้นสัมพัทธ์​ ​ซ่ึง​เป็นการ​ เปรียบ​เทียบ​ระหว่าง​มวล​ของ​ไอ​นํ้า​ที่​มี​อยู่​จริง​ใน​อากาศ​กับ​มวล​ของ​ไอ​นํ้า​เมื่อ​อากาศ​อ่ิม​ตัว​ด้วย​ไอ​น้ํา​ ​ณ​อ​ ุณหภูม​แิ ละ​ปรมิ าตรเ​ดยี วกัน​​คา่ ข​ อง​ความช้ืนสัมพทั ธแ​์ สดง​เปน็ ร​อ้ ย​ละด​ ังน้​ี ความช้นื สมั พัทธ์ = มวลของไอนา้ํ ท่ีมีอยู่จรงิ x 100 มวลของไอนํ้าเม่ืออากาศอิม่ ตัวด้วยไอนํ้า ทอ่ี ุณหภูมิและปรมิ าตรเดยี วกัน ​ค่า​ความช้ืนสัมพัทธ์​บอก​ให้​รู้​ว่า​อากาศ​ใกล้​อิ่ม​ตัว​ด้วย​ไอ​นํ้า​เพียง​ใด​ เม่ือ​อากาศ​อิ่ม​ตัว​ด้วย​ไอ​น้ํา​​ ความชืน้ สัมพทั ธจ์​ะ​มีค​ ่า​เท่ากับ​ร้อยล​ะ​​100​​ ​อากาศ​ท่ี​มี​อุณหภูมิ​สูง​ จะ​มี​ปริมาณ​ไอ​น้ํา​อิ่ม​ตัว​สูง​กว่า​อากาศ​ท่ี​มี​อุณหภูมิ​ตํ่า​กว่า​ เมื่อ​ปริมาณ​ ไอ​น้ํา​ใน​อากาศ​เท่า​กัน​ ​อากาศ​ที่​มี​อุณหภูมิ​ตํ่า​กว่า​จึง​มี​ความช้ืนสัมพัทธ์​สูง​กว่า​ ดัง​นั้น​ช่วง​เช้า​มืด​ จึงม​ ักม​ ี​ความช้ืนสัมพัทธ์ส​ูง​กวา่ ช​ ว่ ง​บา่ ย​​ อากาศมีความชนื้ สัมพัทธร์ อ ยละ​70​หมายความวาอยา งไร การตากผาในวันทอี่ ากาศมคี วามช้นื สัมพัทธร์ อยละ​60​ ​ และรอ ยละ​95 วันใดผา แหง ชากวา กัน​เพราะเหตุใด บทท่ี 1 บรรยากาศ 15

​ใน​การ​วัด​ค่าความช้ืนสัมพัทธ์​ นิยม​ใช้เคร่ือง​มือ​ ท่ี​เรียก​ว่า​ ไซ​ค​รอมิ​เตอร์​ ​ประกอบ​ด้วยเท​อร์​มอ​มิเตอร์​แบบ กระเปาะ​เปยก​และ​กระเปาะ​แห้ง​ดัง​ภาพ​1.15​ ​การ​วัด​ค่า ความชน้ื สมั พัทธ​จ์ าก​ไซ​ค​รอม​ิเตอร์​ศกึ ษาไ​ด​จ้ าก​กิจกรรม​1.6​ กิจกรรม 1.6 การหาความชน้ื สมั พัทธ 1. นาํ ไซครอมเิ ตอร์ไปวัดอณุ หภูมอิ ากาศท่ีบริเวณใด บรเิ วณหนึง่ ในโรงเรยี น แลว้ บนั ทกึ ค่าอณุ หภมู ิจาก เทอรม์ อมิเตอรก์ ระเปาะแห้งและกระเปาะเปย‚ ก 2. หาค่า¼ลต่างระหว่างอณุ หภูมจิ ากเทอร์มอมเิ ตอร์ กระเปาะแห้งและกระเปาะเป‚ยก 3. นําคา่ ¼ลต่างของอณุ หภูมไิ ปเทียบหาคา่ ความชืน้ สมั พัทธ์จากตารางหาค่าความชื้นสัมพทั ธ์ ภาพ 1.15 ไซครอมเิ ตอร์ คาความช้นื สมั พทั ธ​์ ณ​เวลาเดยี วกนั ท่ไี ดจ ากบริเวณทต่ี างกนั ในโรงเรียน​มคี า เปนอยางไร คา ความช้ืนสัมพัทธใ์ นชวงเวลาตา งกัน​ในสถานทีเ่ ดยี วกนั แตกตา งกันหรือไม​ อยา งไร ​การ​หา​ค่า​ความชื้นสัมพัทธ์​โดย​ใช้​ไซ​ค​รอมิ​เตอร์​น้ัน​ใช้​หลัก​การ​ คือ​ การ​ระเหย​ของ​น้ํา​จาก เท​อร์​มอ​มิเตอร์​กระเปาะ​เปยก​จะ​ใช้​ความ​ร้อน​จาก​กระเปาะ​เท​อร์​มอ​มิเตอร์​ ​ทําให้อุณหภูมิ​ของ​ เท​อร์​มอ​มิเตอร์​กระเปาะ​เปยก​ลด​ลง​ ถ้า​อากาศ​มี​ความช้ืนสัมพัทธ์​ตํ่า​อากาศ​ยังสามารถ​รับ​ไอ​น้ํา​ ได้​อีก​มาก​ นํ้า​จาก​เท​อร์​มอ​มิเตอร์​กระเปาะ​เปยก​จึง​เกิด​การ​ระเหย​ได้​มาก​ ​และ​ทําให้​อุณหภูมิ​ของ​ เทอ​ ร​์มอ​มเิ ตอร์​กระเปาะเ​ปย ก​ลดต​ ํ่า​ลงม​ าก​​ผล​ตา่ งข​ องอ​ ณุ หภูมิ​ระหวา่ งเ​ทอ​ ร์​มอม​ เิ ตอรก​์ ระเปาะเ​ปย ก​ และ​กร​ะ​เปาะ​แหง้ ​จึงม​ ีค​ า่ ​มาก​​แตถ่​ า้ ​อากาศ​มค​ี วามชน้ื สัมพัทธส์​งู ​​นา้ํ ​จากเ​ท​อรม​์ อ​มิเตอรก์​ระเปาะเ​ปย ก​ ระเหยไ​ดน​้ อ้ ย​ท​ าํ ใหอ​้ ณุ หภมู ข​ิ องเ​ทอ​ รม​์ อม​ เิ ตอรก​์ ระเปาะเ​ปย กล​ดล​งน​ อ้ ย​ผ​ ลต​ า่ งข​ องอ​ ณุ หภมู ร​ิ ะหวา่ ง​ เทอ​ ร์​มอ​มเิ ตอร์​กระเปาะเ​ปย ก​และก​ระเ​ปาะแ​ หง้ ​จงึ ​ม​ีคา่ น​ อ้ ย​​ด้วยห​ ลกั ก​ ารน​ ​ี้จึง​สามารถใ​ช้ไ​ซค​ ​รอม​เิ ตอร์​ วดั อ​ ุณหภมู อ​ิ ากาศ​แล้ว​เทียบ​หาความ​ชน้ื ส​มั พัทธ์​ได้​ 16

ตัวอย่างตารางหาคา่ ความชื้นสัมพทั ธ์ วธิ ีหาค่าความชื้นสมั พัทธ์จากตาราง 1. หา¼ลต่างของอณุ หภูมจิ ากเทอรม์ อมิเตอรก์ ระเปาะแหง้ และกระเปาะเป‚ยก 2. เทยี บหาจุดตัดระหว่าง¼ลตา่ งในข้อ 1. กับอุณหภมู เิ ทอรม์ อมเิ ตอรก์ ระเปาะเปย‚ กหรอื กระเปาะแห้ง (ขน้ึ อยูก่ ับตารางหาค่าความชนื้ สมั พทั ธ์ที่ ใชว้ า่ กาํ หนดไวอ้ ย่างไร) เชน่ อณุ หภูมกิ ระเปาะแหง้ 32 ํC กระเปาะเปย‚ ก 26 Cํ จากตวั อย่างตาราง จะอ่านคา่ ความชื้นสัมพัทธ์ไดร้ ้อยละ 62 ถาอุณหภูมิกระเปาะแหง อานได​28​Cํ ​และอุณหภมู ิกระเปาะเปยกอา นได​ 24​ํC​​ 17 ​ คาความช้นื สัมพทั ธ์จะเปนเทา ใด บทท่ี 1 บรรยากาศ

ก. ข. ภาพ 1.16 ก. ไฮกรอมิเตอร์เสน้ ผม ข. เสน้ ผมท่ีใชใ้ นไฮกรอมเิ ตอร์ น​ อกจาก​ไซ​ครอม​เิ ตอรแ​์ ลว้ ​ย​งั ​มเ​ี ครอ่ื ง​มอื ว​ดั ​ความชน้ื สมั พทั ธ​อ์ กี ช​ นดิ ​หนง่ึ ​ท​เ่ี รยี กว​า่ ​ไฮกรอมเิ ตอร​์ เส้นผม​ ​ดัง​ภาพ​1.16​ ​ไฮกรอมิเตอร์​ชนิด​น้ี​วัด​ความช้ืน​โดย​ใช้​การ​ยืด​หด​ของ​เส้นผม​ตาม​ความชื้นใน​ อากาศ​โดยเสน้ ผมจ​ะต​ อ่ ก​ บั ก​ ลไกท​ จ​่ี ะแ​สดงเ​ปน็ ค​ า่ ค​ วามชนื้ สมั พทั ธเ​์ มอื่ ค​ วามชน้ื สมั พทั ธ์ใ​นอ​ากาศเ​พม่ิ ​ ขึน้ เ​ส้นผม​จะย​ืด​ตวั ​แ​ ละเ​ส้นผมจ​ะ​หด​ตวั เ​ม่ือค​ วามชืน้ สัมพทั ธ​ล์ ดล​ง​ ความชืน้ สมั พัทธ์​ของอ​ากาศ​สง่ ​ผลต​ ่อก​ ารร​ะเหย​ของน​ ้ําจ​ากร​า่ งกาย​​กรณีท​ อ​ี่ ากาศร​อ้ น​มากห​ รอื ​ หลัง​จาก​ออก​กําลัง​กาย​ ​ร่างกาย​จะ​ขับ​เหง่ือ​ออก​มา​ทาง​ผิวหนัง​ ​และ​ต้อง​ใช้​พลังงาน​ความ​ร้อน​จาก ร่างกายใน​การ​ระเหย​ของ​เหงื่อ​ ​ถ้า​อากาศ​มี​ความช้ืนสัมพัทธ์​ต่ํา​เหงื่อ​ระเหย​จาก​ร่างกาย​เร็ว​ ​อุณหภูมิ​ ของ​ร่างกายจ​ะ​ลดล​ง​ทําให้ร​สู้ ึกเ​ยน็ ​​ถ้า​อากาศ​มี​ความช้นื สัมพทั ธ์​สงู ​เ​หงอ่ื จ​ะ​ระเหย​ไดช​้ ้า​​อุณหภมู ​ิของ​ ​รา่ งกายล​ด​ลงช​ า้ ​​ทาํ ให้​รู้สึก​ร้อนแ​ ละ​เหนียว​ตัว​ อุณหภูมิเมอ่ื อากาศมีคา่ ความชน้ื สัมพัทธร์ ้อยละ 100 เรียก อุณหภมู นิ วี้ ่า อุณหภมู ิจุดนา้ํ ค้าง ซึง่ ไอน้าํ ในอากาศจะเรม่ิ ควบแน่น กลายเปน็ ละอองนา้ํ ขนาดเลก็ 32 ํC อากาศชน้ื 32 Cํ อากาศแหง้ 18

​1.3.5​เ​มฆแ​ ละ​ฝน​​​​​​​​ ถ​ ้า​อากาศเ​คล่ือน​ตัวส​งู ​ขนึ้ จ​นถึง​ระดบั ​ท่ี​อากาศม​ ี​อณุ หภูมติ​ า่ํ ​​จนอ​ากาศ​อ่มิ ​ตัวด​ ว้ ย​ไอ​นาํ้ ​​ไอน​ ้ําจะ​ เกดิ การค​ วบแนน่ เ​ปน็ ล​ะอองน​ าํ้ ห​ รอื ระเหดิ กลบั เปน็ ผ​ ลกึ น​ าํ้ แ​ขง็ ข​ นาดเ​ลก็ ​แ​ละเ​มอื่ อ​ยร​ู่ วมก​ นั เ​ปน็ กล​มุ่ จ​ะ​ เรียก​ว่า​เมฆ​​เ​มฆม​ ี​รปู ร​่าง​ทแี​่ ตก​ต่างก​ นั ​​และ​อยูส่​ูงจ​ากผ​ วิ ​โลกต​ า่ งก​ นั ห​ รอื ไ​ม​่ ​อย่างไร​ศึกษา​ตัวอยา่ ง​ เมฆช​ นิดต​ า่ งๆ​จากภ​ าพ​1.17 ซีร์โรสเตรตสั ซีรร์ ัส 8000 เมตร ซรี ์โรควิ มูลสั ควิ มูโลนิมบสั เมฆช้ันสูง 6000 เมตร แอลโตสเตรตสั 4000 เมตร แอลโตคิวมลู ัส เมฆชั้นกลาง ควิ มลู ัส 2000 เมตร สเตรโตคิวมลู ัส นิมโบสเตรตสั สเตรตสั เมฆช้นั ตํา่ ภาพ 1.17 ชนิดของเมฆ บทท่ี 1 บรรยากาศ 19

เมอ่ื พ​ จิ ารณา​รปู ​ร่างล​ักษณะ​ของเ​มฆ​ ส​ามารถ​ เม¦ซีร์โรสเตรตสั จะทาํ ใหเ้ กดิ แบ่ง​เมฆ​เป็น​ ​3​ ​ประ​เภท​ใหญ่ๆ​ ​คือ​เมฆ​ก้อน ดวงอาทติ ยห์ รอื ดวงจนั ทรท์ รงกลด มีช่ือ​ว่า​ คิว​มูลั​ส​ ​เมฆ​แผ่น​หรือ​เมฆ​ช้ัน​มีช่ือ​ว่า​ เม¦นิมโบสเตรตัส เป็นเม¦ที่ทาํ ให้ ส​เตรตัส​ ​และ​เมฆ​ท่ี​เป็น​ริ้วๆ​ ​คล้าย​ขน​สัตว์​ ​มีช่ือ​ว่า เกิด½นพรําæ ตอ่ เน่ืองเปน็ เวลานาน ​ซีร์​รัส​ ​เมฆ​ท่ี​เกิด​ใน​ธรรมชาติ​ ​นอกจาก​จะ​มี​ ​3​​ เม¦คิวมโู ลนมิ บสั เป็นเม¦ทท่ี าํ ให้ ลกั ษณะก​วา้ งๆ​ด​ งั ก​ ล่าวแ​ ลว้ ​ย​งั ​ม​ีลกั ษณะ​ปลกี ย​่อยท​ ่​ี ½นตกหนกั ลมแรง และเกดิ พายุ แตก​ต่างห​ รอื ผ​ สมผ​ สานก​ นั ​ใ​น​ทาง​อตุ นุ ิยมวทิ ยาแ​ บ่ง​ ¿า‡ คะนอง เมฆอ​ อก​เป็น​​10​ช​ นดิ ​สาํ คัญ​​ดังภ​ าพ​​1.17​ กอนฝนตกเมฆบนทองฟา มลี ักษณะอยา งไร ทาํ ไมเมฆจึงมรี ูปรางลกั ษณะแตกตา งกนั ภาพ 1.18 ดวงอาทิตย์ทรงกลด ทมี่ า​:​http://en.wikipedia.org/wiki/ ​เมฆ​ท่ี​อยู่​ระดับ​สูง​ประกอบ​ด้วย​ผลึก​นํ้า​แข็ง​เกือบ​ทั้งหมด​ ​เพราะ​อุณหภูมิ​ท่ี​ระดับ​นี้​ต่ํา​กว่า​ ​จุดเยือกแข็ง​ ​ส่วน​เมฆ​ที่​ระดับ​ปาน​กลาง​จะ​ประกอบ​ด้วย​ผลึก​นํ้า​แข็ง​และ​ละออง​นํ้า​ ​เนื่องจาก​เมฆ​ เกิด​ใน​ระดับ​ท่ี​ไม่​สูง​มาก​ ​มี​อุณหภูมิ​ไม่​ต่ํา​พอที่​จะ​เป็น​ผลึก​น้ําแข็ง​ทั้งหมด​ ​สําหรับ​เมฆ​ท่ี​ระดับ​ตํ่า​ จะ​ประกอบ​ด้วย​ละออง​นํ้า​ทั้งหมด​ ​ท้องฟ้า​ใน​แต่ละ​วัน​จะ​มี​เมฆ​ชนิด​ต่างๆ​ ​ใน​ปริมาณ​ที่​แตก​ต่าง​กัน​ ​นัก​อุตุนิยมวิทยา​จึง​กําหนด​เกณฑ์​ใน​การ​บอก​ลักษณะ​ของ​ท้องฟ้า​โดย​ใช้​ปริมาณ​เมฆ​ใน​ท้องฟ้า​ ​เป็น​เกณฑ​์ ​โดยส​งั เกต​วา่ ​ม​เี มฆค​ รอบคลมุ ​พ้ืนที่​ทอ้ งฟ้าก​ สี่​่วนใ​น​​10​​สว่ น​​เพอ่ื บ​ อก​ลกั ษณะ​ของท​ ้องฟา้ ​ ตาม​ตาราง​​1.1 20

จ​ากก​ารศ​ กึ ษาช​ นดิ แ​ละป​ รมิ าณ ตาราง 1.1 ลกั Éณะของทอ้ ง¿า‡ โดยใช้ปริมาณเม¦เปน็ เกณ±์ เ ม ฆ ​ใ น ​ท้ อ ง ฟ้ า ​ช่ ว ย ​ใ ห้ ​ท ร า บ ​ว่ า ใน​แต่ละ​วันหรือ​แต่ละ​เวลา​ใน​หน่ึง​วัน​ ลักÉณะท้อง¿า‡ ปรมิ าณเม¦ มี​เมฆ​ชนิด​ต่างๆ​ ​และ​มี​ปริมาณ​ที่​ แตกต​ ่าง​กัน​เพอ่ื ใ​หเ้​ข้าใจ​เกย่ี ว​กบั ​ชนิด​ แจ่มใส มีเม¦นอ้ ยกวา่ 1/10 ของท้อง¿‡า และ​ปริมาณ​เมฆ​ดี​ยิ่ง​ขึ้น​ ​ศึกษา​จาก​​ โปรง่ มเี ม¦ 1/10 แตไ่ มเ่ กนิ 3/10 กจิ กรรม​​1.7​ มีเม¦บางส่วน มากกวา่ 3/10 แต่ไม่เกนิ 5/10 มีเม¦เป็นสว่ นมาก มากกว่า 5/10 แต่ไมเ่ กนิ 8/10 มีเม¦มาก มากกว่า 8/10 ¶ึง 9/10 เม¦เตม็ ท้อง¿า‡ 10/10 ทีม่ า​:​กรมอตุ นุ ยิ มวิทยา กิจกรรม 1.7 มาดเู มฆกนั 1. สงั เกตลักÉณะและปริมาณเม¦ในท้อง¿‡า พรอ้ มทงั้ บนั ทกึ ¼ลและวาดภาพเม¦ 2. เปรียบเทียบ¼ลการสงั เกตลักÉณะของเม¦กบั แ¼นภาพเม¦ สังเกตพบเมฆลกั ษณะอยา งไรบาง ขณะทสี่ งั เกต​เมฆมีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะและปรมิ าณหรอื ไม​อยา งไร ​เม่ือ​ละออง​นํ้า​หรือ​เกล็ด​น้ํา​แข็ง​ใน​เมฆ​มี​ขนาด​ใหญ่​ข้ึน​​(​สังเกต​ได้​จาก​สี​ของ​เมฆ​จะ​เข้ม​ข้ึน​)​ ​จน​ กระแส​อากาศไ​หลข​ น้ึ ใ​น​เมฆ​ไม่ส​ามารถ​พยงุ ​นํา้ ​หรอื ​น้ํา​แขง็ ​ไวไ้​ด​้ นา้ํ ​หรอื น​ า้ํ แขง็ ​ก​จ็ ะต​ กลง​มายงั ผ​ ิวโ​ลก​ ในร​ปู ต​ า่ งๆ​ค​ อื ​เ​ป็น​ฝน​หิมะ​​หรอื ล​กู เห็บ​​ซงึ่ เ​รียกว​า่ ​นาํ้ ​ฟา้ ​ ลกู เหบ็ คอื นํา้ แข็งที่อยู่ในเม¦ควิ มูโลนิมบสั ละอองนา้ํ ในเม¦ ขนาดใหÞ่ ที่¶กู กระแสลมพัดวนอยภู่ ายในเม¦ หยดนา้ํ ½น เปน็ เวลานาน จนกระทัง่ มีขนาดใหÞ่มากพอที่ เมอ่ื ตกลงมาแลว้ ละลายไมห่ มดก่อน¶งึ พนื้ ภาพ 1.19 ขนาดของหยดน้ําฝนเทยี บกบั ละอองนาํ้ ในเมฆ บทท่ี 1 บรรยากาศ 21

ส​าํ หรบั ป​ ระเทศไทยอ​ากาศบ​ รเิ วณผ​ วิ โ​ลกส​งู กว​า่ จ​ดุ เยอื กแขง็ ​น​ า้ํ ฟ​ า้ ท​ ต​ี่ กในป​ ระเทศไทยส​ว่ นใ​หญ​่ คอื ฝ​ น​ส​ว่ นป​ ระเทศใ​นเ​ขตห​ นาว​บ​ างฤ​ ดอ​ู ณุ หภมู อ​ิ ากาศบ​ รเิ วณผ​ วิ โ​ลกต​ า่ํ ก​วา่ จ​ดุ เยอื กแขง็ จ​งึ เ​กดิ ห​ มิ ะได​้ ​ละออง​นํ้า​ใน​เมฆ​มี​เส้น​ผ่าน​ศูนย์กลาง​ประมาณ​20​ ​ไมโครเมตร​ขณะ​ท่ี​หยด​นํ้า​ฝน​มี​เส้น​ผ่าน​ ศนู ยก์ ลาง​ประมาณ​​2000​ไ​มโครเมตร​หรอื ​หยดน​ า้ํ ฝ​ น​มเ​ี สน้ ผ​ า่ น​ศนู ยก์ ลางเ​ปน็ ​100​เทา่ ​ของล​ะอองน​ า้ํ ​ หรอื มปี รมิ าตรเปน็ ​1​ล้าน​เทา่ ​ของล​ะอองน​ ํา้ ​ใน​เมฆน​ ัน่ เอง​ ​ประเทศไทย​อยู่​ใน​เขต​มรสุม​จึง​มี​ฝน​ตก​ชุก​ ​เน่ืองจาก​ปริมาณ​ฝน​ข้ึน​อยู่​กับ​ฤดูกาล​และ​สภาพ​ ภูมปิ ระเทศ​ด​ งั น​ นั้ ​ใน​รอบ​1​​​ป​ ​จงึ ​มี​บาง​ช่วงท​ ม​ี่ ีป​ รมิ าณฝ​ น​มากกว่าช​ ว่ ง​อืน่ ​​พิจารณา​ภาพ​1​.20​ท​ ่แ​ี สดง​ ปรมิ าณ​ฝนเ​ฉล่ีย​ใน​ประเทศไทย​ใน​รอบ​​30​​ป​ ภาพ 1.20 กราฟแสดงปรมิ าณฝนเฉลี่ยในประเทศไทยในรอบ 30 ป (ป พ.ศ. 2515 - 2544) ที่มา​: กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยา ปรมิ าณฝนเฉล่ียมากทีส่ ดุ และนอ ยทส่ี ุดมีคาเทา ใด​และตรงกับเดือนใด​ เดือนทมี่ ปี รมิ าณฝนเฉลีย่ มาก​ตรงกับฤดูฝนของประเทศไทยหรอื ไม​อยา งไร 22

​จาก​ข้อมูล​ใน​กราฟ​จะ​พบ​ว่า​ อาจ​ เกณ±์ปรมิ าณ½น ใช้​ปริมาณ​ฝน​เฉลี่ย​เป็น​เกณฑ์​ใน​การ​ กําหนดฤดู​ใน​ประเทศไทย​ ​เช่น​ ​ช่วง​ ½นเลก็ น้อย 0.1 – 10.0 มิลลเิ มตร เดอื นพ​ ฤษภาคมถ​งึ เดอื นต​ ลุ าคมม​ ป​ี รมิ าณ​ ½นปานกลาง 10.1 – 35.0 มิลลิเมตร ฝน​เฉลี่ย​สูง​ซึ่ง​ตรง​กับฤดู​ฝน​ ส่วน​ใน​ช่วง​ ½นหนัก 35.1 – 90.0 มลิ ลเิ มตร พฤศจิกายนถึงเดือน​เมษายน​จะ​ตรง​กับ ½นหนกั มาก 90.1 มลิ ลิเมตรขน้ึ ไป ​ฤดู​หนาว​และ​ฤดู​ร้อน​มี​ปริมาณฝน​เฉลี่ย​ ตํ่า​ ​อย่างไร​ก็ตาม​การ​กําหนดฤดู​ไม่​ได้​ ที่มา​: กรมอตุ ุนิยมวิทยา ใช้​ปริมาณ​ฝน​เฉลี่ย​เป็น​เกณฑ์​เพียง​ อย่าง​เดยี ว​ ​หน่วย​ที่​ใช้​วัด​ปริมาณ​ฝน​ใน​ภาพ​​1.20​ ​คือ​มิลลิเมตร​ ​เหตุ​ใด​จึง​วัด​ปริมาณ​ฝน​เป็น​มิลลิเมตร​​ ซ่ึง​เป็น​หน่วย​วัด​ระยะ​ ​แทนท่ี​จะ​วัด​เป็น​หน่วย​ปริมาตร​ ​นักเรียน​ทราบ​หรือ​ไม่​ว่า​กรม​อุตุนิยมวิทยา​ ม​ ี​การว​ัด​ปรมิ าณฝ​ น​อย่างไร​​เรา​จะศ​ ึกษา​หลกั ก​ ารว​ดั ป​ ริมาณ​ฝน​อย่าง​ง่ายจ​าก​กจิ กรรม​​1.8​ กจิ กรรม 1.8 การวัดปริมาณฝนอยา‹ งง‹าย 1. หาภาชนะทรงกระบอกขนาดต่างæ เช่น กระป‰อง ขวดปากกว้าง 2. ใชท้ ีร่ ดนา้ํ ตน้ ไม้©ดี นาํ้ เป็น½อยæ เหนือภาชนะ และสงั เกตการเพ่มิ ขนึ้ ของน้าํ ในภาชนะ จนกระท่งั ระดับนํ้าพอจะวดั ความสูงได้ 3. วัดความสงู ของนํ้าในภาชนะ และเปรียบเทยี บความสงู ของนํ้าในแตล่ ะภาชนะ ปริมาณนา้ํ ในภาชนะทมี่ ขี นาดตางๆ​แตกตา งกันหรอื ไมอยางไร ความสงู ของนาํ้ ในภาชนะตา งๆ​แตกตางกนั หรือไม​ อยา งไร ถาใชภาชนะที่ไมใชทรงกระบอกทาํ กจิ กรรม​จะใหผ ลแตกตา งกันหรือไม​อยา งไร บทท่ี 1 บรรยากาศ 23

ภาพ 1.21 เคร่อื งวัดปรมิ าณฝน ​เมื่อ​วัด​ความ​สูง​ของ​น้ํา​ท่ี​ตกลง​ใน​ภาชนะ​ใน​ช่วง​เวลา​เดียวกัน​ ​พบ​ว่า​ภาชนะ​ที่​เป็น​ทรง​กระบอก​ เหมอื นก​ นั ​ถ​ งึ แ​มจ​้ ะม​ ข​ี นาดแ​ตกต​ า่ งก​ นั ​ค​วามส​งู ข​ องน​ าํ้ ใ​นภ​ าชนะเ​กอื บเ​ทา่ ก​ นั ​แ​ตป​่ รมิ าตรน​ า้ํ จ​ะต​ า่ งก​ นั ​ เพราะ​ภาชนะ​ขนาด​ใหญ่​มี​พ้ืนท่ี​หน้า​ตัด​กว้าง​ ​ทําให้​รับ​น้ํา​ฝน​ได้​ปริมาตร​มากกว่า​ภาชนะ​ท่ี​มี​ขนาด​เล็ก​​ แต่​ถ้า​ภาชนะ​ที่​ใช้​ไม่​เป็น​ทรง​กระบอก​ ​ความ​สูง​ของ​น้ํา​ใน​ภาชนะ​จะ​ต่าง​กัน​ ​และ​ถ้า​ภาชนะ​ที่​ใช้​รองรับ​ นํา้ ​มคี​ วามส​งู น​ อ้ ย​เกนิ ไ​ป​นํ้า​อาจจ​ะ​ล้นท​ ําให​้การว​ัด​ปริมาณ​นาํ้ ​คลาด​เคลื่อน​ ​หลัก​การ​ดัง​กล่าว​ได้​นํา​มา​ใช้​ออกแบบ​สร้าง​เครื่อง​วัด​ปริมาณ​ฝน​ ​เครื่อง​วัด​ปริมาณ​ฝน​แบบ​ท่ี​ ใช้​ทั่วไปเ​ป็นภ​ าชนะท​ รงก​ระบอก​ข​ นาดม​ าตรฐาน​จะม​ เี​สน้ ​ผา่ นศ​ ูนย์กลาง​2​0​เ​ซนติเมตร​ห​ รือ​​8​​นิ้ว ​ดัง​ภาพ​​1.21​ ​ภายใน​มี​ภาชนะ​ทรง​กระบอก​สําหรับ​รองรับ​น้ํา​ฝน​ที่สามารถอ่านค่าปริมาณนํ้าฝนได้ โดยตรง 24

​จาก​การ​ศึกษา​เรื่อง​องค์​ประกอบ​ของ​ลม​ฟ้า​อากาศ​ใน​บท​นี้​ ​เรา​จะ​พบ​ว่า​ ​อุณหภูมิ​อากาศ​ ​ความด​ ัน​อากาศ​​ความชน้ื ​อากาศ​​ลม​เ​มฆ​แ​ ละฝ​ น​ต​ ่าง​ก็​มคี​ วาม​สมั พันธ​ก์ นั ​ด​ ังเ​ช่นใ​น​ช่วง​ฤดห​ู นาว ม​ อี​ ุณหภูมิ​ตาํ่ ความ​ดันอ​ากาศส​งู ​​ปริมาณไ​อ​นาํ้ ​ในอ​ากาศม​ ีน​ อ้ ย​​ซึ่ง​ไม​่เอื้อ​ตอ่ ก​ ารกอ่ ต​ วั ​ของเ​มฆ​ด​ งั ​นั้น​ ใน​ช่วง​ฤดู​หนาว​ท้องฟ้า​จึง​มัก​แจ่มใส​ไม่​ค่อย​มี​เมฆ​หรือ​ฝน​ ​ส่วน​ใน​ช่วง​ฤดู​ร้อน​มี​อุณหภูมิ​สูง​ ​ความ​ดัน​ อากาศต​ า่ํ ​ป​ รมิ าณไ​อน​ าํ้ ใ​นอ​ากาศม​ ม​ี าก​จ​งึ ม​ โ​ี อกาสจ​ะเ​กดิ เ​มฆแ​ละฝ​ นไ​ดม​้ ากกวา่ ใ​นฤ​ ดห​ู นาว​น​ อกจาก​ นเ​ี้ มอ่ื อ​ากาศม​ ก​ี ารเ​คลอ่ื นทเ​ี่ นอื่ งจากค​ วามด​ นั อ​ากาศใ​นแ​ตล่ ะพ​ นื้ ทต​่ี า่ งก​ นั ​จ​งึ ท​ าํ ใหเ​้ กดิ ล​มพ​ ดั ใ​นท​ ศิ ทาง​ และอ​ ตั ราเรว็ ต​ ่างๆ​ด​ ้วย​ ​เมื่อ​แต่ละ​องค์​ประกอบ​ของ​ลม​ฟ้า​อากาศ​มี​ความ​สัมพันธ์​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​ ​การ​ศึกษา​องค์​ประกอบ​ ข​ องล​ม​ฟา้ ​อากาศจ​ะ​ทาํ ให​้เขา้ ใจก​ระบวนการเ​ปลยี่ นแปลง​ต่างๆ​ใน​บรรยากาศไ​ดด้​ ​ียิง่ ​ขนึ้ ​​นอกจากน​ ้นั ​ อ​ งค​์ประกอบข​ องล​มฟ​ า้ ​อากาศย​ัง​สง่ ​ผล​ตอ่ ป​ รากฏการณ​์ลมฟ​ ้าอ​ากาศซ​ งึ่ ​จะ​ได​้ศกึ ษาใ​น​บทต​ ่อไ​ป​​ บทที่ 1 บรรยากาศ 25

​1. บนโลกของเรามีหลุมอกุ กาบาตหรือไม เพราะเหตุใด ​2. อากาศแหงมสี ดั สว นของแกส ไนโตรเจนเปนก่เี ทาของแกสออกซเิ จน และแกส ออกซเิ จน เปนกเี่ ทาของแกส คารบอนไดออกไซด ​3. แกส ออกซเิ จนท่ีใหกบั ผปู วยเปน แกส ออกซิเจนบรสิ ุทธห์ิ รอื ไม อยา งไร ​4. ถา พบวา อากาศมีไอนา้ํ ในอากาศรอ ยละ 2 แลวสดั สวนของแกส ไนโตรเจนในอากาศจะมีคา เปลีย่ นแปลงจากสดั สว นในอากาศแหง หรือไม อยา งไร ​5. เพราะเหตใุ ดวตั ถจุ ากนอกโลกทีเ่ ขา มาในชน้ั บรรยากาศของโลกจึงเร�ิมเผาไหมท ีบ่ รรยากาศ ช้ันมีโซสเฟย ร ​6. บรรยากาศชน้ั สตราโตสเฟย รมีอณุ หภมู สิ ูงสดุ และตา่ํ สุดเทาใด ​7. ผิวโลกท่ปี กคลมุ ดว ยหมิ ะ ทะเลทราย จะสะทอ นแสงอาทติ ยไดแ ตกตา งกนั หรอื ไม อยา งไร ​8. ยกตวั อยางองคป ระกอบของลมฟาอากาศมา 3 อยา ง ​9. จากขอมลู ชว งเวลาใดของแตละวนั มีอุณหภูมสิ ูงสดุ และตาํ่ สดุ ตามลําดับ เหตใุ ดจึงเปนเชนนน้ั ​10. เหตใุ ดอณุ หภูมิอากาศบริเวณที่แหง แลง ไมม ตี น ไม จึงมคี าสูงกวาบรเิ วณทเ่ี ปนปาไม ​11. ความดนั อากาศคืออะไร ​12. เหตใุ ดความหนาแนน� ของอากาศบรเิ วณผิวโลกจงึ มีคา มากกวาระดับสงู ขึน้ ไป ​13. บารอมิเตอรแ บบแอนิรอยดม ีหลักการทํางานอยา งไร ​14. ความดนั 1 บรรยากาศเทา กับกีบ่ าร ​15. จากขอ มูลในบทเรียนถาอากาศมีความชน้ื 30 กรัมตอ ลกู บาศกเ มตร ท่อี ุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส และทอ่ี ณุ หภูมิ 40 องศาเซลเซียส มคี วามชน้ื สมั พทั ธเปน เทา ใดตามลําดับ ​16. บรเิ วณทม่ี ีคาความชนื้ สัมพทั ธสงู จะมีปรมิ าณไอนาํ้ ตอปริมาตรสูงกวา บรเิ วณ ทม่ี คี า ความชน้ื สัมพทั ธต่ําหรอื ไม อยางไร ​17. บรเิ วณ 2 บริเวณ มอี ณุ หภมู อิ ากาศเทา กัน แตม ีความช้ืนสมั พทั ธของอากาศตา งกัน จะสง ผลตอ เราแตกตางกันหรอื ไมอ ยางไร ​18. เมฆประกอบดว ยนํ้าในสถานะใดบา ง ​19. นกั เรียนคิดวา เพราะเหตใุ ดจึงวดั ปริมาณฝนเปน มิลลิเมตร

ลมฟา‡ อากาศ จดุ ประสงคก ารเรียนรŒู วเิ คราะหแ ละอภิปรายผลของลมฟาอากาศทมี่ ตี อ มนุษย แปลความหมายขอมูลจากการพยากรณอากาศ วเิ คราะหและอภปิ รายผลของ เอลน�โญ ลาน�ญา วเิ คราะหแ ละอภิปรายสาเหตแุ ละผลจากการเปล่ียนแปลง อุณหภูมิของโลกจากปรากฏการณเรอื นกระจก วเิ คราะหและอภิปรายผลของมลพิษทางอากาศ รโู หวโ อโซน และฝนกรด

เราไ​ดท​้ ราบแ​ลว้ ว​า่ ​อ​ณุ หภมู อ​ิ ากาศ​ค​วามด​ นั อ​ากาศ​​ล​ม​​ค​วามชน้ื ​เ​มฆ​แ​ละฝ​ นเ​ปน็ อ​งคป​์ ระกอบ​ ของล​มฟ​ า อ​ากาศ​ห​ ากแ​ตล่ ะอ​งคป​์ ระกอบข​ องล​มฟ​ า อ​ากาศม​ ก​ี ารเ​ปลย่ี นแปลง​จ​ะท​ าำ ใหเ​้ กดิ ล​มฟ​ า อ​ากาศ ต​ ่างๆ​อ​ นั ​สง่ ผ​ ลต​ อ่ ส​ิง่ ม​ ี​ชวี ิต​และส​ิ่ง​แวดล้อม​เ​ช่น​​พายฟ​ุ าค​ ะนอง​​พายุห​ มนุ เ​ขต​รอ้ น​​และม​ รสมุ ​ 2.1 พายฟุ ‡าคะนอง ÅÁ¿Ò‡ ÍÒ¡ÒÈËÁÒ¶֧ÊÀÒÇТͧ ºÃÃÂÒ¡ÒÈ㹪Nj §àÇÅÒÊÑ¹é æ ³ ʶҹ·Õè ​จาก​การ​ศึกษา​องค์​ประกอบ​ของ​ลม​ฟา​ ˹§Öè હ‹ »ÃÔÁÒ³½¹ã¹ 3 ªÇèÑ âÁ§ อากาศ​ ​พบ​ว่า​เม่ือ​น้ำา​จาก​แหล่ง​ต่างๆ​ ​บน​โลก​ ÍØ³ËÀÙÁÊÔ Ù§Ê´Ø ã¹áµ‹ÅÐÇѹ ʋǹ ระเหย​กลาย​เป็น​ไอ​นำ้า​ ​และ​เมื่อ​อากาศ​อ่ิม​ตัว​ ÀÙÁÍÔ Ò¡ÒÈËÁÒ¶֧ÊÀÒ¾ÅÁ¿‡ÒÍÒ¡ÒÈ ด้วย​ไอ​นำ้า​ ​ไอ​น้ำา​จะ​ควบแน�น​เป็น​ละออง​น้ำา​และ​ ·èÕäดŒจาก¤‹า·างʶตÔ Ô¢องลม¿‡าอากาศ อยู่​รวม​กัน​เป็น​เมฆ​ ​แต่​ใน​บาง​ช่วง​ของ​ฤดู​ร้อน​ ã¹ÃÐÂÐàÇÅÒÂÒǹҹ ઋ¹ »ÃÁÔ Ò³½¹ ท่ี​อากาศ​ร้อน​มาก​ ​น้ำา​จะ​ระเหย​เป็น​ไอ​น้ำา​ได้​มาก​​ à©ÅèÕÂÃÒ»¨‚ Ò¡¢ŒÍÁÅÙ 30 »‚ ÍØ³ËÀÙÁÔ อากาศ​ร้อน​ช้ืน​น�้​ ​จะ​ลอยตัว​สูง​ข้ึน​อย่าง​รวดเร็ว​​ Ê§Ù Ê´Ø ã¹Ãͺ 50 »‚ ໚¹µ¹Œ ถึง​ระดับ​ท่ี​อุณหภูมิ​ต่ำา​จน​ไอ​นำ้า​ควบแน�น​เป็น​ ละออง​นำ้า​ปริมาณ​มหาศาล​ ​และ​เกิด​ต่อ​เน่ือง​ เป็น​เมฆ​คิว​มู​โลนิ​ม​บัส​ ​เม่ือ​กลาย​เป็น​ฝน​จะ​ ตกหนกั ​ ม​ ี​ลม​กระโชก​แรง​ ​เกิดฟ​ าแลบ​ ฟ​ าร้อง​ ​และ​ฟาผ่า​ ​ซ่ึง​เรา​เรียก​ลม​ฟา​อากาศ​แบบ​น้�​ว่า​​ พาย​ุฟา​คะนอง​​ ​พาย​ุฟาค​ ะนองเ​กดิ ​เฉพาะถ​ ่ิน​ใน​ระยะเ​วลา​ สัน้ ๆ​​และ​ครอบคลุม​พน้ื ท่ี​ไม​ก่ วา้ งม​ าก​แ​ ต​่พาย​ุ ​ฟา​คะนอง​อาจ​ทำาให้​เกิด​อันตราย​และ​ก่อ​ให้​เกิด​ ความ​เสีย​หาย​ต่อ​ชีวิต​และ​ทรัพย์สิน​ได้​ ​จาก ฝน​ตกหนัก​ ​ลม​แรง​ ​ลูกเห็บ​ ​และ​น้ำา​ท่วม​ฉับ​ พลนั ​น​ อกจาก​น้ส�​่ิงม​ ี​ชวี ติ ​อาจไ​ดร้​ับอ​ นั ตราย​จาก ฟาผ่า​ได​้ ​ พายุÄดรู อŒ น ¤×อพายุ¿‡า¤Ðนอง ภาพ 2.1 การเกดิ ฟาแลบและฟา ผา ·èมÕ ¤Õ วามรุนáรง เกÔดãนª‹วงÄดูรอŒ น 28

​ฟาผ่า​เป็น​ปรากฏการณ์​ท่ี​เกิด​จาก​การ​แลก​เปลี่ยน​ประจุ​ระหว่าง​เมฆ​คิว​มู​โลนิ​ม​บัส​และ​พ้ืน​ โลก​ ​แต่​ถ้า​การ​แลก​เปล่ียน​ประจุไฟฟา​ภายใน​ก้อน​เมฆ​หรือ​ระหว่าง​ก้อน​เมฆ​ท่ี​อยู่​ใกล้​กัน​จะ​ทำาให้​เกิด​ ปรากฏการณ์​ที่​เรียก​ว่า​ฟาแลบ​ ​ขณะ​เกิด​ฟาแลบ​หรือ​ฟาผ่า​ ​อากาศ​โดย​รอบ​จะ​มี​อุณหภูมิ​สูง​ประมาณ​​ 30,000​ ​องศา​เซลเซียส​ ​ทำาให้​อากาศ​เกิด​การ​ขยาย​ตัวอย่าง​รวดเร็ว​จน​เกิด​เป็น​เสียง​ดัง​มาก​เรียก​ว่า​​ ฟา รอ้ ง​​​ เพราะเหตุใดจงึ ไมเกิดฟา แลบและฟา รอ งทกุ ครง้ั ที่มเี มฆในทอ งฟา พายฟุ าคะนองทีม่ ีความรนุ แรงนา� จะเกดิ ในชว งฤดใู ดของประเทศไทย 2.2 พายหุ มนุ เขตรอŒ น ​จาก​การ​ศึกษา​ท่ี​ผ่าน​มา​ ​ทำาให้​ทราบ​ว่า​พายุ​ฟา​คะนอง​ส่วน​ใหญ่​เกิด​ใน​บริเวณ​แคบ​และ​กิน​เวลา ​ไม่​นาน​ ​แต่​ประเทศไทย​อาจมี​ฝน​ตกหนัก​เป็น​บริเวณ​กว้าง​ ​เกิด​น้ำา​ท่วม​และ​ลม​แรง​ ​อัน​เนื่อง​มา​จาก ล​มฟ​ าอ​ากาศ​ทเ่​ี รยี กว​า่ พ​ ายุ​หมุนเ​ขต​ร้อน​​ ​พายุ​หมุน​เขต​ร้อน​เกิด​เหนือ​มหาสมุทร​ที่​นำ้า​ใน​มหาสมุทร​มี​อุณหภูมิ​สูง​ ​และ​ระเหย​เป็น​ไอ​นำ้า​ ปริมาณม​ าก​ท​ ำาใหอ​้ ากาศ​บรเิ วณน​ นั้ ​ก​ ลายเ​ปน็ อ​ากาศร​อ้ นช​ ื้น​และ​ลอยตวั ​ขึ้น​อย่างร​วดเร็ว​เปน็ บ​ ริเวณ​ กวา้ ง​อ​ากาศภ​ ายนอกบ​ รเิ วณน​ จ​�้ งึ เ​คลอ่ื นต​ วั เ​ขา้ ม​ าแ​ทนท​่ี แ​ละก​ารห​ มนุ ร​อบต​ วั เ​องข​ องโ​ลก​ท​ าำ ใหอ​้ ากาศ​ เคลอ่ื นทพ​่ี ดั เ​วยี นเขา้ หาศ​ นู ยก์ ลางข​ องพ​ ายใ​ุ นท​ ศิ ท​ วนเ​ขม็ น​ ากิ าใ​นซ​ กี โ​ลกเ​หนอื ​แ​ละท​ ศิ ต​ามเ​ขม็ น​ ากิ า​ ใน​ซีกโ​ลกใ​ต​้ ​เกิด​เปน็ พ​ าย​ุหมนุ เขตร้อน​ พายไุ ซโคลนนากสี เกิดในซีกโลกเหน�อ พายไุ ซโคลนแลร่ี เกิดในซกี โลกใต ภาพ 2.2 พายหุ มนุ เขตรอนทีเ่ กิดในซีกโลกเหน�อและซีกโลกใต ที่มา : www.nasa.gov บทที่ 2 ลมฟา‡ อากาศ 29

​พายุ​จะ​รุนแรง​ที่สุด​ใกล้​ศูนย์กลาง​พายุ​ ​แต่​บริเวณ​ศูนย์กลาง​พายุ​ที่​เรียก​ว่า​ตา​พายุ​จะ​มี​ลม​อ่อน ​พายุ​หมุน​เขต​ร้อน​เกิด​ขึ้น​เฉพาะ​บริเวณ​มหาสมุทร​และ​ทะเลใน​เขต​ร้อน​เท่านั้น​ ​ใน​ขณะ​ที่​พายุ​ เคลื่อน​ตัว​จะพัด​พาเมฆจำานวน​มากมา​ด้วย​และ​ทำาให้​เกิด​ฝน​ตกหนัก​ ​เม่ือ​พายุเคลื่อน​ตัวเข้า​สู่​แผ่น​ดิน​ หรือเ​ข้า​ส​บู่ ริเวณท​ ่​นี า้ำ ​ทะเลม​ ีอ​ ณุ หภูมต​ิ ำ่า​พ​ ายุ​จะ​อ่อนก​ ำาลงั ​และ​สลาย​ตัว​ไป​ใน​ทสี่ ดุ ​ พ​ าย​ุหมนุ เ​ขต​ร้อน​จำาแนกต​ ามอ​ ัตราเรว็ ล​ม​รอบ​จดุ ศนู ยก์ ลาง​​ดงั ตาราง​2.1 อตั ราเรว็ ลมรอบจดุ ศนู ยก์ ลาง พายุ ¡ÔâÅàÁµÃ/ªèÇÑ âÁ§ ´Õà»ÃÊªÑ¹è µíèÒ¡ÇÒ‹ 63 ⫹ÃÍŒ ¹ µé§Ñ ᵋ 63 – 117 䵌½¹Ø† ÁÒ¡¡Ç‹Ò 117 ​เนื่องจาก​พายุ​หมุน​เขต​ร้อน​จะ​มี​การ​ ภาพ 2.3 ความเสียหายจากพายเุ กย์ ​เคลื่อนท่ี​ไป​ด้วย​ ​ดัง​นั้น​ความเร็ว​ของ​พายุ​หมุน​ ท่จี ังหวัดชมุ พร ปี 2532 ​เขต​ร้อน​จึง​มี​ท้ัง​ความเร็ว​ของ​ลม​ที่​พัด​เวียน​ ​รอบ​ศูนย์กลาง​ ​และ​ความเร็ว​ใน​การ​เคลื่อนท่ี​ ​ของ​พายุ​ ​ซ่ึง​หมาย​ถึง​ความเร็ว​ท่ี​พายุ​ทั้ง​ระบบ​ ​เคลอ่ื นท่ี​ไป​ ​ใน​ขณะ​ท่ี​พายุ​หมุน​เขต​ร้อน​อยู่​ใน​ทะเล​ ​อาจ​จะ​ทำาให้​เกิด​คล่ืน​ขนาด​ใหญ่​ ​ซ่ึง​เป็น​ ​อันตราย​ต่อ​การ​เดิน​เรือ​ ​ถ้า​คล่ืน​ขนาด​ใหญ่​ ​ดัง​กล่าว​เคล่ือนที่​เข้า​สู่​ฝั่ง​ ​เรา​เรียก​ว่า​คล่ืน​พายุ​ ​ซัด​ฝั่ง​​(​Storm​​surge​)​ ​ซ่ึง​เป็น​คลื่น​ที่​สามารถ​ ​ทาำ ลาย​สิ่ง​กอ่ สร้าง​บรเิ วณช​ ายฝั่ง​ได​้ ​ดงั ​ภาพ​​2.4​ 30

กข ภาพ 2.4 ก. สภาพอาคารกอ นเกิดคลนื่ พายพุ ดั ฝง ข. สภาพอาคารหลงั เกดิ คลืน่ พายซุ ดั ฝง ยกตัวอยา งจงั หวดั ท่ไี ดรับผลกระทบจากพายหุ มนุ เขตรอน ประชาชนทอ่ี าศัยอยใู นพื้นที่เส่ียงภัยการเกิดพายหุ มุนเขตรอ น ควรปฏบิ ัติตนอยา งไร »รÐกาศเตอ× นÀยั “พายâุ «นรŒอน “ เม¢ลา ”” ©ºÑº·èÕ 1 (352/2551) ŧÇѹ·èÕ 29 ¡¹Ñ ÂÒ¹ 2551 ¾ÒÂØ´Õà»Ãʪ¹èÑ ã¹·ÐàŨ¹Õ 㵌µÍ¹¡ÅÒ§ä´·Œ Ç¡Õ íÒÅѧáç¢éֹ໚¹¾ÒÂâØ «¹ÃŒÍ¹“ àÁ¢ÅÒ ” áÅŒÇ âดยเมอè× เวลา 11.00 น. มศÕ นู ย์กลางอยËู‹ า‹ งจากเม×องดานงั »รÐเ·ศเวÕยดนาม»รÐมา³ 220 กÔâลเมตร Ëร×อ·èÕลÐตÔจดู 16.2 องศาเËนอ× ลองจÔจูด 111.2 องศาตÐวันออก ม¤Õ วามเรว็ ลมÊงู Êดุ ãกลŒศนู ยก์ ลาง »รÐมา³ 65 กÔâลเมตรตอ‹ ªัèวâมง กา í ลงั เ¤ลè×อนตวั ·าง·ÔศเËน×อ¤‹อนä»·างตÐวนั ตกเล็กนŒอยดŒวย ¤วามเร็ว»รÐมา³ 15 กÔâลเมตร ตอ‹ ªวัè âมง ¤าดว‹า พายุนจÕé Ðเ¤ลèอ× นตัวเ¢าŒ ãกลเŒ กาÐäËËล íาãนรÐยÐáรก áลÐจÐเ»ลèÕยน·ศÔ ·างการเ¤ล×èอนตัวเ¢ŒาÊ‹ูอ‹าวตังเกëÕยáลлรÐเ·ศเวยÕ ดนามตอนบนãนรÐยÐตอ‹ ä» ลกั ɳРเªน‹ น·Õé าí ãËบŒ รเÔ ว³»รÐเ·ศä·ยมÕ½นตกªุกËนาáนน‹ áลÐมÕ½นตกËนกั Ëลายพ×éน·Õèâดยเ©พาÐãนÀา¤เËนอ× Àา¤ตÐวันออกเ©ยÕ งเËน×อ Àา¤ตÐวนั ออก áลÐÀา¤ãต Œ ¢อãËŒ»รЪาªน·อÕè าศัยอยู‹ãนพน×é ·ÕèเÊÕèยงÀัย บรÔเว³·èÕลาดเªÔงเ¢าáลÐãกลŒ·างนาéí äËล¼า‹ นâดยเ©พาÐบรÔเว³จงั Ëวดั เªÕยงราย พÐเยา นา‹ น อตุ รดตÔ ¶์ เพªรบรู ³ ์ ¢อนáกน‹ น¤รราªÊมÕ า บุรÕรัมย์ Êรุ Ôน·ร์ อุบลราª¸านÕ น¤รนายก »ราจนÕ บรุ Õ จัน·บรุ Õ ตราด Ãйͧ áÅо§Ñ §Ò ÃÐÇ§Ñ Í¹Ñ µÃÒ¨ҡÊÀÒÇн¹µ¡Ë¹Ñ¡·Õ¨è зÒí ãËàŒ ¡´Ô ¹Òíé ·Ç‹ Á©ºÑ ¾Å¹Ñ áÅйÒíé »Ò† äËÅËÅÒ¡ เกดÔ ¢éนÖ äดอŒ กÕ ãนรÐยÐ 1-3 วัน¢ŒางËนาŒ (29 ก.ย.- 2 ต.¤. 51) นÕé Ê íาËรับมรÊมุ ตÐวนั ตกเ©Õยงãต·Œ พÕè ัด »ก¤ลุม·Ðเลอนั ดามนั áลÐอา‹ วä·ยมÕก าí ลงั ¤‹อน¢Œางáรง·า í ãË·Œ Ðเลม¤Õ ลน×è Êงู »รÐมา³ 2 เมตร Êว‹ นãน บรÔเว³·มÕè ½Õ น¿‡า¤Ðนอง ¤ลè×นÊูงมากกวา‹ 2 เมตร ¢อãËŒªาวเร×อรÐมดั รÐวังอนั ตรายãนการเดนÔ เร×อ ãนª‹วงวัน·Õè 29 ก.ย. - 2 ต.¤. 51 นÕé äวŒดวŒ ย ·มèÕ า : กรมอตุ นุ ÔยมวÔ·ยา www.tmd.go.th บทที่ 2 ลมฟ‡าอากาศ 31

2.3 มรสุม นอกจาก​พายุ​หมุน​เขต​ร้อน​และ​พายุ​ฟา​คะนอง​แล้ว​ยัง​มี​ลม​ฟา​อากาศ​อีก​รูป​แบบ​หนึ่ง​ที่​เกิด​ข้ึน​ เนอื่ งจากค​ วามแ​ตกต​ า่ งข​ องอ​ ณุ หภมู อ​ิ ากาศเ​หนอื ท​ วปี ก​ บั ม​ หาสมทุ ร​เ​กดิ ข​ นึ้ ใ​นบรเิ วณก​วา้ ง​ม​ ช​ี ว่ งเ​วลา​ ทเ​่ี กิดน​ าน​​และ​เกดิ ข​ น้ึ ​ตามฤ​ ดูใ​น​แตล่ ะ​ป​ ​ลม​ฟาอ​ากาศป​ ระเภท​น้​เ� รียกว​า่ ​ม​ รสุม ภาพ 2.5 น้าํ ทวมเน�องจากมรสมุ ​ใน​ฤดู​ร้อน​อุณหภูมิ​ของ​อากาศ​เหนือ​ทวีป​สูง​กว่า​อุณหภูมิ​ของ​อากาศ​เหนือ​มหาสมุทร​ ​ส่ง​ผล​ให้​ ความ​ดัน​อากาศ​เหนือ​ทวีป​ต่ำา​กว่า​ความ​ดัน​อากาศ​เหนือ​มหาสมุทร​ ​ทำาให้​เกิด​ลม​พัด​จาก​มหาสมุทร ​เขา้ ​ส่​ูแผ่นดิน​​ซ่งึ ​เรียกว​า่ ​มรสมุ ​​โดย​มรสมุ น​ �้จ​ะพ​ า​ความชืน้ ​จากท​ ะเลส​ู่​แผ่นด​ ิน​ทำาใหเ​้ กิดฝ​ น​​ ​เน่ืองจาก​มรสุมน​ ้�​เกิดใ​นช​ ่วง​ฤดร​ู อ้ นข​ องป​ ระเทศ​ทางซ​ ีกโ​ลกเ​หนือ​แ​ ละ​ม​ีทศิ ทางข​ อง​ลมพ​ ดั ​จ​าก​ ทศิ ​ตะวนั ​ตกเ​ฉย� ง​ใต้​จ​ึง​เรียก​ว่า​มรสุม​ฤด​ูร้อน​​หรอื ​​มรสมุ ต​ ะวันต​ กเ​ฉ�ยง​ใต​้ ​ดังภ​ าพ​2​.6 ภาพ 2.6 แผนที่แสดงทิศทางลมในชว งมรสุมตะวันตกเฉย� งใต 32

​ใน​ฤดู​หนาว​อุณหภูมิ​ของ​อากาศ​เหนือ​ทวีป​จะ​ตำ่า​กว่า​อุณหภูมิ​ของ​อากาศ​เหนือ​มหาสมุทร​ ​ความ​ดัน​อากาศ​เหนือ​ทวีป​จึง​สูง​กว่า​ความ​ดัน​อากาศ​เหนือ​มหาสมุทร​ ​ทำาให้​เกิด​ลม​พัด​จาก​ทวีป​สู่​ ม​ หาสมทุ ร​ซ​ ง่ึ เ​รยี กว​า่ ม​ รสมุ เ​ชน่ ก​ นั ​แ​ตม​่ รสมุ น​ จ​้� ะพ​ ดั พ​ าค​ วามห​ นาวเ​ยน็ แ​ละค​ วามแ​หง้ แ​ลง้ จ​ากท​ วปี ท​ าง​ ซีก​โลก​เหนือ​มายัง​บริเวณ​ศูนย์สูตร​ ​เน่ืองจาก​มรสุม​น้�​เกิด​ใน​ช่วง​ฤดู​หนาว​และ​มี​ทิศทาง​ของ​ลม​พัด​จาก​ ทิศต​ ะวัน​ออก​เฉย� งเ​หนอื ​​จึง​เรียกว​่า​มรสมุ ฤ​ ด​ูหนาวห​ รอื ม​ รสุม​ตะวนั อ​ อก​เฉ�ยง​เหนือ​ด​ งั ภ​ าพ​2​.7 ภาพ 2.7Hแผนทีแ่ สดงทิศทางลมในชวงมรสุมตะวนั ออกเฉ�ยงเหน�อ 2.4 การพยากรณอากาศ H การเ​ปลย่ี นแปลงข​ องล​มฟ​ า อ​ากาศใ​นแ​ตล่ ะว​นั อ​ยเ​ู่ หนอื ก​ารค​วบคมุ ข​ องม​ นษุ ย​์ แ​ตไ​่ ดส​้ ง่ ผ​ ลต​ อ่ ช​ วี ติ ​ ความ​เปน็ อ​ ยู่​ของ​มนุษย​์ ​สตั ว​์ ​และพ​ ชื ​รวมท​ ั้งส​่ิง​ตา่ งๆ​​บน​โลก​​มนษุ ย์จ​งึ ​จาำ เปน็ ต้องพยากรณล​์ ม​ฟา​ อากาศ​เ​พอ่ื ก​ารป​ อ งกนั ภ​ ยั แ​ละบ​ รรเทาภ​ ยั ร​วมท​ งั้ น​ าำ ข​ อ้ มลู ไ​ปใ​ชป​้ ระโยชน​์ เ​ชน่ ​ว​างแผนก​ารจ​ดั ก​ จิ กรรม​ กลางแ​ จ้ง​แ​ ละต​ าก​พืชผ​ ล​ทางการ​เกษตร​ศ​ กึ ษา​ขอ้ มูล​ท่ี​ได​้จากก​ ารพ​ ยากรณ์อ​ากาศต​ ามก​ ิจกรรม​​2.1​ กจิ กรรม 2.1 การพยากรณอ ากาศ 1. ¤นŒ Ëา¤ íาพยากร³์อากาศ จากอÔนเ·อรเ์ นต็ Ëนงั Êอ× พÔมพ ์ Ëร×อ â·ร·ศั น์ 2. Êรุ»¢อŒ มูล·èÕäดŒจาก¤ าí พยากร³์อากาศ 3. á»ล¤วามËมายจาก¤ าí พยากร³์อากาศ บทท่ี 2 ลมฟ‡าอากาศ 33

จากคาํ พยากรณอากาศขอมูลใดที่แสดงถงึ องคป ระกอบของลมฟา อากาศ จากการแปลความหมายของคําพยากรณอากาศ ควรจะมกี ารปฏิบตั ติ นอยางไร ​การ​พยากรณ์​อากาศ​นั้น​ประกอบ​ด้วย​หลาย​ขั้น​ตอน​ได้แก่​ ​การ​ตรวจ​อากาศ​เพื่อ​ให้​ทราบ​สภาวะ​ อากาศป​ ัจจบุ นั ​ซ​ ่งึ ไ​ด​ม้ าจ​าก​การ​ตรวจอ​ากาศ​ผิวพ​ ื้น​และอากาศ​ชนั้ ​บน​ท่ร​ี ะดบั ​ความส​ูง​ตา่ งๆ​​​ ​การ​ตรวจ​อากาศผ​ วิ ​พืน้ ​ทำาใหไ้​ดข้​ อ้ มลู ​เกีย่ วก​ ับ​อุณหภูม​ิ ​ ภาพ 2.8 บอลลนู ตรวจอากาศช้นั บน ความชน้ื ​​ความด​ ัน​อากาศ​ล​ม​​เมฆ​แ​ ละ​ฝน​โ​ดย​ปกตจ​ิ ะต​ รวจ​ ทกุ ​​3​​ช่วั โมง​ส​ว่ นก​ ารต​ รวจอ​ากาศช​ นั้ ​บน​​จะ​ตรวจท​ ิศทางแ​ ละ​ ค​ วามเรว็ ล​มท​ ุก​​6​ช​ ัว่ โมง​แ​ ละ​ตรวจ​อณุ หภูม​กิ ับความชื้น​​ทกุ ​ 12​​ชัว่ โมง​​ น​ อกจากใ​ชข​้ อ้ มลู ก​ารต​ รวจอ​ากาศใ​นบ​ รเิ วณน​ นั้ แ​ลว้ ​ย​งั ​ ตอ้ งใ​ชผ​้ ลก​ารต​ รวจอ​ากาศจ​ากบ​ รเิ วณท​ อ​่ี ยโ​ู่ ดยร​อบด​ ว้ ย​เ​พราะ​ ลมฟ​ า ​อากาศ​มีก​ ารเ​คลอ่ื นท่​ีอยู่ต​ ลอด​เวลา​​ดว้ ยเ​หตนุ​ ​จ�้ งึ ต​ อ้ ง​มี​ การแ​ลกเ​ปลยี่ นข​ อ้ มลู ร​ะหวา่ งส​ถานต​� รวจอ​ากาศใ​นประเทศแ​ละ​ ระหวา่ งป​ ระเทศเ​พอื่ ใ​หไ​้ ดข​้ อ้ มลู อ​ยา่ งเ​พยี งพ​ อต​ อ่ ก​ารพ​ ยากรณ​์ อากาศ​​ ใน​ปัจจุบัน​การ​ตรวจ​อากาศ​ด้วย​เรดาร์​และ​ดาวเทียม​ อุตุนิยมวิทยา​​ช่วย​ให้การพ​ ยากรณ​์อากาศ​แม่นยาำ ย​งิ่ ​ขน้ึ ​ ภาพ 2.9 ภาพถา ยจากดาวเทยี มอตุ นุ ิยมวิทยา ภาพ 2.10 ดาวเทียมอตุ ุนิยมวทิ ยา MTSAT-1R วนั ที่ 5 มีนาคม 2552 ท่ีมา : ขอ มลู จากกรมอตุ นุ ิยมวทิ ยา 34

​ข้อมูล​ที่​ได้​จาก​สถาน�​ตรวจ​อากาศ​ทั้ง​ใน​ประเทศ​ ​ต่าง​ประเทศ​ ​และ​จาก​ดาวเทียม​จะ​นำา​มา​ใช้​ ​ใน​การ​ทำา​แผนท่ี​อากาศ​ชนิด​ต่างๆ​ ​ดัง​ตัวอย่าง​ภาพ​​2.11​ ​ซ่ึง​แสดง​องค์​ประกอบ​ของ​ลม​ฟา​อากาศ​ ณ​ ​เ​วลาใ​ด​เ​วลา​หนงึ่ ​แ​ ลว้ จ​ึงจ​ัดท​ ำา​คำาพ​ ยากรณ​อ์ ากาศจ​าก​แผนทอ่ี​ากาศ​ พยากร³์อากาศ»รÐจ าí วัน· èÕ 4 ÊÔงËา¤ม 2552 ลมมรÊมุ ตÐวนั ตกเ©ยÕ งãตŒก าí ลังáรงพัด»ก¤ลมุ ·Ðเลอันดามนั »รÐเ·ศä·ย áลÐ อ‹าวä·ย ·í าãËŒม½Õ นเ»นš áË‹งæ¶งÖ กรÐจาย Êว‹ น¤ลèน× ลมãน·Ðเลอันดามนั áลÐอา‹ ว ä·ยตอนบนม¤Õ ลนè× Êงู 2-4 เมตร ¢อã˪Œ าวเร×อรÐมดั รÐวงั อนั ตรายãนการเดนÔ เร×อ áลÐเร×อเล็ก¤วรงดออกจาก½˜ง› ãนªว‹ งวัน·è Õ 4-7 Ê.¤. นÕé ͹Öè§ ¾ÒÂØ´Õà»ÃʪѹºÃÔàdz·ÐàŨչ㵌µÍ¹º¹·ÇÕ¡íÒÅѧáç¢éֹ໚¹¾ÒÂØâ«¹ÃŒÍ¹ “âกนÕ (GONI)” เ¤ล×èอนตัว·างตÐวันตกเ©ÕยงเËน×อ ¢อãËŒ¼Œู·ÕèจÐเดนÔ ·างä»เกาÐ ÎÍ‹ §¡§ áÅлÃÐà·È¨Õ¹µÍ¹ãµµŒ ÃǨÊͺÊÀÒ¾ÍÒ¡Òȡ͋ ¹ÍÍ¡à´Ô¹·Ò§ ภาพ 2.11 แผนทอ่ี ากาศและคาํ พยากรณ์ วันท่ี 4 สิงหาคม 2552 ทมี่ า : ขอ มลู จากกรมอตุ ุนิยมวิทยา ​จาก​ตัวอย่าง​แผนท่ี​อากาศ​ ​ตัวเลข​บน​แผนท่ี​ ​แสดง​ถึง​ค่า​ความ​ดัน​อากาศ​​(​หน�วย​เป็น​เฮค​โต​ ปาส​คาล​)​ ​เส้น​ที่​ลาก​บน​แผนท่ี​คือ​เส้น​ความ​ดัน​อากาศเท่า​ ​จะ​ลาก​ผ่าน​จุด​ท่ี​มีค​ วามดันอากาศเทากัน บางบ​ ริเวณจ​ะม​ ​ีตวั อ​ กั ษร​​H​​หรือ​​L​ก​ ำากับ​ไว้​ก​ ล่าว​คือ​​H​​คอื ศ​ ูนยก์ ลาง​ของบ​ รเิ วณค​ วาม​ดนั อ​ากาศ​สูง​ ส่วน​​L​ค​ ือ​ศูนยก์ ลางข​ อง​บรเิ วณค​ วาม​ดนั อ​ากาศ​ตำ่า​​ จากภาพ 2.11 ความดันอากาศบริเวณ ¤วามดนั 760 มÔลลÔเมตร»รอ· ประเทศไทยมีคาเทา ใดบา ง = 1013.250 เΤâต»าʤาล บทที่ 2 ลมฟ‡าอากาศ 35

​แม้ว่า​ใน​ปัจจุบัน​การ​พยากรณ์​อากาศ​จะ​ก้าวหน้า​ไป​อย่าง​รวดเร็ว​ ​แต่​การ​พยากรณ์​อากาศ​ก็​ยัง ​มี​ความคลาด​เคล่ือน​อยู่​บ้าง​ ​เน่ือง​มา​จาก​สาเหตุ​หลาย​ประการ​ ​เช่น​ สถาน�​ตรวจ​อากาศ​มี​น้อย​และ​ ​อยู่​ห่าง​กัน​มาก​ทำาให้​ไม่​ทราบ​สภาวะ​ท่ีแท้​จริง​ของ​บรรยากาศ​ได้​ ​ความ​รู้​ความ​เข้าใจ​เกี่ยว​กับ​ ป​ รากฏการณต​์ า่ งๆ​ทางอ​ ตุ นุ ยิ มวทิ ยาย​งั ไ​มส​่ มบรู ณ​์ นอกจากน​ น้ั บ​ รรยากาศเ​ปน็ ส​ง่ิ ท​ ม​ี่ ก​ี ารเ​ปลยี่ นแปลง​ ต่อ​เน่ือง​ตลอด​เวลา​ ​และ​ธรรมชาติ​ของ​กระบวนการ​ที่​เกิด​ข้ึน​ใน​บรรยากาศ​นั้น​ ​มี​ความ​ละเอียด​อ่อน​ ซบั ​ซอ้ นอ​ ย่างย​ง่ิ ​ป​ รากฏการณซ​์ ่งึ ​เกิดข​ ึน้ ​ในบ​ ริเวณแ​ คบ​​หรือเ​กดิ ข​ ้นึ ​ใน​ระยะ​เวลา​สนั้ ๆ​ซ​ ึ่งไ​ม​ส่ ามารถ​ ตรวจพ​ บ​ได้​อ​าจท​ ำาใหล​้ ม​ฟา ​อากาศเ​กิด​การ​เปล่ียนแปลง​อยา่ งม​ าก​ใน​ระยะเ​วลา​ต่อม​ า​​​ 2.5 เอลนโี ญ- ลานญี า ​ลม​ฟา ​อากาศ​มีก​ าร​เปลี่ยนแปลงเ​กิดข​ ึน้ อ​ ย่าง​ตอ่ เ​นอ่ื งต​ ลอด​เวลา​ ​เชน่ ​ ​การเ​กดิ ​ลมบก​ ลมทะเล​ ลมภ​ เู ขา​แ​ละล​มห​ บุ เขา​เ​ปน็ การเ​ปลยี่ นแปลงล​มฟ​ า อ​ากาศใ​นช​ ว่ งเ​วลาก​ ลางว​นั แ​ละก​ ลางค​ นื ​ส​ว่ นม​ รสมุ ​ เป็นล​ม​ฟา ​อากาศ​ที่​เปลย่ี นแปลงต​ ามฤ​ ดู​น​ อกจาก​การ​เปลย่ี นแปลง​ของ​ลมฟ​ า​อากาศท​ ี่ไ​ด้​ศกึ ษา​มา​แลว้ ​ ยงั ม​ ก​ี ารเ​ปลย่ี นแปลงข​ องลมฟ​ า อ​ากาศท​ ่ีไ​มไ​่ ดเ​้ กดิ ข​ น้ึ อ​ ยา่ งต​ อ่ เ​นอื่ งซ​ ง่ึ จ​ดั ว​า่ เ​ปน็ ค​ วามแ​ปรปรวนข​ องล​ม​ ฟาอ​ากาศ​ดัง​จะ​ได้​ศกึ ษา​ต่อ​ไป​ ​มหาสมุทร​เป็น​พ้ืนที่​ส่วน​ใหญ่​ของ​โลก​ ​ดัง​น้ัน​อุณหภูมิ​ของ​น้ำา​ใน​มหาสมุทร​จึง​ส่ง​ผล​ต่อ​ลม​ฟา​ อากาศใ​นส​ภาวะป​ กตน​ิ า้ำ ใ​นม​ หาสมทุ รแ​ปซฟิ ก ด​ า้ นต​ ะวนั อ​ อกม​ อ​ี ณุ หภมู ต​ิ า่ำ ​นาำ้ ใ​นม​ หาสมทุ รจ​งึ ระเหยไ​ด้ นอ้ ย​ทาำ ใหเ​้ มฆก​อ่ ต​ วั ไ​ดย​้ าก​ส​ง่ ผ​ ลใ​หบ​้ รเิ วณน​ เ​้� ชน่ ​ป​ ระเทศเ​ปรม​ู ฝ​ี นต​ กน​ อ้ ย​ส​ว่ นน​ า้ำ ใ​นม​ หาสมทุ รแ​ปซฟิ ก ​ ด้าน​ตะวนั ​ตก​มี​อณุ หภูมส​ิ งู ​นำ้า​ใน​มหาสมทุ ร​จึง​ระเหย​ไดม้​ ากท​ าำ ใหเ้​มฆ​ก่อต​ ัวไ​ด​้มาก​​ส่งผ​ ล​ให้​บริเวณน​ �้​ เชน่ ​ป​ ระเทศอ​ ินโดน​ ​เ� ซ​ียม​ีฝนต​ กมาก ​แตบ่​ าง​ครั้ง​นา้ำ ​ในม​ หาสมทุ ร​แปซิฟก ด​ ้านต​ ะวนั ​ออก​ม​อี ณุ หภมู ส​ิ งู ข​ ึ้น​ทาำ ให้​เมฆ​ก่อต​ ัวใ​น​บริเวณ​น�​้ ไดม​้ าก​ส​ง่ ผ​ ล​ใหบ​้ รเิ วณ​นซ�​้ งึ่ เ​คยแ​ หง้ แ​ ลง้ ก​ ลบั ​มีฝ​ นต​ กมาก​​ส่วนน​ ำ้า​ในม​ หาสมุทร​แปซิฟก ด​ า้ น​ตะวนั ต​ ก ​กลับ​มี​อุณหภูมิ​ลด​ต่ำา​ลง​ ​ทำาให้​เมฆ​ก่อ​ตัว​ได้​น้อย​ ​บริเวณ​น้�​ซึ่ง​เคยมี​ฝน​ตกมากกลับ​แห้ง​แล้ง ปรากฏการณ​ท์ เี​่ กดิ ข​ น้ึ น​ เ​�้ รยี กว​่า​​เอลนโ� ญ 36

¡ÃÐáʹÒéí ͹‹Ø ภาวะปกติ ¡ÃÐáʹíéÒ͹؋ เอลนโ� ญ ¡ÃÐáʹÒéí ͹؋ ลานญ� า 37 ภาพ 2.12 สภาพบริเวณมหาสมทุ รแปซิฟก ในสภาวะปกติ เอลนโ� ญและ ลาน�ญา (สแี ดงและสีสมในภาพแทนบรเิ วณทน่ี ํ้าทะเลมีอณุ หภูมิสงู กวา ปกต)ิ บทที่ 2 ลมฟา‡ อากาศ

​ใน​บาง​คร้ัง​จะ​เกิด​ปรากฏการณ์​ที่​เกิด​ข้ึน​ตรง​กัน​ข้าม​กับ​เอ​ลน�โญ​ ​คือ​ ​นำ้า​ใน​มหาสมุทร​แปซิฟก​ ​ด้าน​ตะวัน​ออก​มี​อุณหภูมิ​ตำ่า​กว่า​ปกติ​ ​บริเวณ​น�้​จึง​แห้ง​แล้ง​กว่า​ปกติ​ ​ส่วน​น้ำา​ใน​มหาสมุทร​แปซิฟก​ ​ด้าน​ตะวัน​ตก​อุณหภูมิ​สูง​กว่า​ปกติ​ ​ส่ง​ผล​ให้​บริเวณ​น�้​เกิด​ฝน​ตกหนัก​กว่า​ปกติ​ ​เรียก​ปรากฏการณ์​น้�​ว่า​ ลานญ� า เอลน�โญ​ ​และ​ ลาน�ญา​ ​ทำาให้​เกิดความ​แปรปรวน​ของ​ลมฟ​ า​อากาศ​ท่ัว​โลก​ซ่ึง​ประเทศไทย​ก็ได้​ รับอ​ ิทธพิ ล​จาก​ปรากฏการณ์​ดงั ก​ ลา่ วเ​ชน่ ก​ ัน​อย่างไร​กต็ าม​บรเิ วณ​ตา่ งๆ​​ของ​โลก​จะไ​ดร้​บั ​ผลกร​ะ​ทบ ไ​มเ​่ ทา่ ก​ นั ​โ​ดยทว่ั ไป​เ​อลนโ� ญจะท​ าำ ใหบ​้ รเิ วณท​ เ​่ี คยม​ ฝ​ี นต​ กช​ กุ ม​ ป​ี รมิ าณฝ​ นล​ดล​งอ​ ยา่ งม​ าก​แ​ละบ​ รเิ วณ​ ท่ี​เคย​แห้ง​แล้ง​มี​ฝน​เพ่ิม​ขึ้น​มาก​ ​ส่วน​ลาน�ญา​จะ​ทำาให้​บริเวณ​ที่​มี​ฝน​มาก​อยู่​แล้ว​มี​ฝน​เพ่ิม​ขึ้น​อีก​ ​และ​ บริเวณ​ท​่แี ห้งแ​ ล้ง​จะย​ง่ิ ​แหง้ ​แล้งย​งิ่ ข​ ้ึนเ​ชน่ ก​ ัน​ ​การ​เกิด​เอลน�โญ​ ​และ​ ​ลาน�ญา​ ​เป็นการ​เปล่ียนแปลง​ตาม​ธรรมชาติ​ท่ี​มี​ช่วง​การ​เปล่ียนแปลง​ ไมแ่​ นน� อน​​คอื อ​ ยู่​ในช​ ว่ ง​​2​​ป​ถ​ งึ ​​10​ป​ ​ ปรากฏการณเอลนโ� ญและลานญ� าสงผลกระทบตอ ประเทศไทยอยางไร 2.6 การเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิอากาศของโลก ​พลังงาน​จาก​ดวง​อาทิตย์​ทำาให้​อุณหภูมิ​ ภาพ 2.13 การระเบิดของภเู ขาไฟพินาทูโบ ของ​โลก​ ​ทั้ง​อุณหภูมิ​บรรยากาศ​และ​อุณหภูมิ​ ประเทศฟลิปปน ส์ พ้ืน​ผิว​เปลี่ยนแปลง​ไป​ตาม​ธรรมชาติ​ ​เม่ือ​ใด​ท่ี​ โลก​ได้​รับ​พลังงาน​จาก​ดวง​อาทิตย์​มาก​ขึ้น​กว่า​ ปกติ​ ​อุณหภูมิ​ของ​โลก​จะ​สูง​ขึ้น​ ​และ​เม่ือ​ใด​ที่​ โลกไ​ดร​้ บั พ​ ลงั งานจ​ากด​ วงอ​าทติ ยล​์ ดล​งก​วา่ ป​ กต​ิ อุณหภูมิ​ของ​โลก​จะ​ลด​ลง​ ​จาก​การ​ศึกษา​พบ​ ว่า​มี​หลาย​ปัจจัย​ท่ี​ทำาให้​โลก​ได้​รับ​พลังงาน​จาก ​ดวง​อาทิตย์​ลด​ลง​ ​เช่น​ ​การ​ระเบิด​ของ​ภู​เขา​ไฟ​ พ​นิ า​ทูโ​บ​​ทำาให​้อณุ หภูมอ​ิ ากาศ​ลดล​ง​0​.5​C​ำ ​​ ​นอกจาก​ธรรมชาติ​แล้ว​ ​มนุษย์​ก็​มี​ส่วน​ ทำาให้​อุณหภูมิ​ของ​โลก​เกิด​การ​เปล่ียนแปลง​ได้​ เชน่ ​กนั ​ 38

​บรรยากาศ​มี​แกส​บาง​ชนิด​ ​เช่น​ ​ไอ​นำ้า​ ​แกส​คาร์บอนไดออกไซด์​ ​มีเทน​ ​ไน​ตรัส​ออกไซด์​ ซึ่ง​มี​สัดส่วน​น้อย​ใน​บรรยากาศ​แต่​ส่ง​ผลก​ระ​ทบต่อ​อุณหภูมิ​ของ​โลก​ ​เนื่องจาก​แกส​เหล่า​น้�​มี​สมบัติ​ ​ใน​การ​ดูด​กลืน​รังสี​ความ​ร้อน​ใน​ลักษณะ​ของ​รังสี​คล่ืนยาว​ท่ี​โลก​ ​เมฆ​ ​และบรรยากาศ ปล่อย​ออก​มา​ ​แล้ว​คาย​รังสี​ความ​ร้อน​น้�​กลับ​คืน​สู่​ผิว​โลก​และ​บรรยากาศ​ ​ทำาให้​บรรยากาศ​บริเวณ ผิว​โลก​มี​อุณหภูมิ​สูง​ข้ึน​ ​เรียก​ปรากฏการณ์​น�้​ว่า​ ​ปรากฏการณเรือนกระจกดัง​ภาพ​​2.14​ ​และ​ แกส​ท​่มี ส​ี มบัต​ดิ ัง​กลา่ ว​เรียกว​่า​​แกส เรือนกระจก ภาพ 2.14 ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ​ใน​ธรรมชาติ​ปรากฏการณ์​เรือน​กระจก​เกิด​ข้ึน áกÊเร×อนกรÐจก·èÕÊ าí ¤ัÞäดጠก‹ ต​อ่ เ​นอ่ื งต​ง้ั แตอ​่ ดตี ย​าวนานม​ าจ​นถงึ ป​ จั จบุ นั เ​ปน็ เ​วลาห​ ลายลา้ น​ äอนíาé ¤ารบ์ อนäดออกä«ด์ ป​ ท​ าำ ใหอ​้ ณุ หภมู อ​ิ ากาศบ​ รเิ วณผ​ วิ โ​ลกไ​มห​่ นาวเ​ยน็ จ​นเ​กนิ ไ​ป​ มเÕ ·น âอâ«น äนตรัÊออกä«ด์ พอเ​หมาะต​ ่อก​ าร​ดาำ รง​ชีวติ ​ของ​สงิ่ ม​ ช​ี วี ติ ​จ​ากก​ ารศ​ ึกษา​ของ​ «ัลเ¿อร์เÎก«Ð¿ลูออäรด์ นกั ว​ทิ ยาศาสตรพ​์ บว​า่ ​ถา้ ไ​มม่ แ​ี กส เ​รอื นก​ระจกใ​นบ​ รรยากาศ​ Êารกลุ‹ม¿ลอู อâร¤าร์บอน อณุ หภมู ​ขิ อง​โลก​จะ​ต่ำาก​วา่ ​ท​เ่ี ปน็ ​อยู่ใ​น​ปัจจบุ นั ถ​ ึง​​33​​Cำ ​​ (CFCs áÅÐ HFCs) บทที่ 2 ลมฟา‡ อากาศ 39

​ปัจจุบัน​พบ​ว่า​กิจกรรม​ของ​มนุษย์​เป็น​สาเหตุ​ที่​ทำาให้​แกส​เรือน​กระจก​ใน​บรรยากาศ​มี​การ​เพ่ิม​ มาก​ข้นึ อ​ ย่างร​วดเร็ว​​และ​ต่อ​เน่ือง​สง่ ผ​ ล​ให​อ้ ุณหภูมอ​ิ ากาศ​ของโ​ลก​ม​แี นว​โน้มส​งู ข​ น้ึ ​เรอื่ ยๆ​ศ​ กึ ษาแนว​ โน้ม​การ​เปลี่ยนแปลง​อุณหภูมิ​ของ​โลก​ ​และ​ปริมาณ​แกส​เรือน​กระจก​ใน​บรรยากาศ​ ​ดัง​กิจกรรม​​2.2​ กิจกรรม 2.2 อณุ หภูมิอากาศของโลก กับแกส เรือนกระจก ãËนŒ ักเรยÕ นเ¢Õยนกรา¿รÐËวา‹ ง »รมÔ า³áกÊเรอ× นกรÐจกãนบรรยากาศกบั เวลา áลÐ à¢ÂÕ ¹¡ÃÒ¿¡ÒÃà»ÅÂèÕ ¹á»Å§Í³Ø ËÀÁ٠ԢͧâÅ¡¡ÑºàÇÅÒ¨Ò¡¢ŒÍÁÙÅ·èÕ¡Òí ˹´ãËŒ »‚ พ.ศ. 2523 2528 2533 2538 2543 2548 Í³Ø ËÀÙÁÔ·àèÕ »ÅÕè¹á»Å§ä» ( íC)* 0.18 0.13 0.38 0.40 057 0.62 ¤ารบ์ อนäดออกä«ด์ (ppm)** 338 345 354 359 369 378 äนตรัÊออกä«ด์ (ppb)*** 300 303 308 311 315 319 มเÕ ·น (ppb)*** 1575 1640 1715 1745 1770 1775 ËมายเËต ุ : * เ»šนอ³ุ ËÀูม·Ô เÕè »ลèยÕ นá»ลงจากอุ³ËÀมู เÔ ©ลÕยè ¢องâลกãน พ.ศ. 2494-2523 ** ʋǹã¹ÅÒŒ ¹ÊÇ‹ ¹ *** ʋǹ㹾ѹŌҹʋǹ ทม่ี า : www.esrl.noaa.gov และ www.nasa.gov กรา¿อุ³ËÀูม¢Ô องâลกáลÐáกÊเรอ× น กรÐจกáตล‹ ЪนดÔ มáÕ นวâนŒมเËมอ× นËร×อ ᵡµ‹Ò§¡¹Ñ ÍÂÒ‹ §äà แกส​เรือน​กระจก​ท่ี​มี​ปริมาณ​เพ่ิม​ขึ้น​จาก​การก​ระ​ทำา​ของ​มนุษย์​ เช่น​ ​แกส​คาร์บอนไดออกไซด์​ ​จาก​การ​เผา​ไหม้​เชื้อ​เพลิง​ต่างๆ​ ​แกส​มีเทน​จาก​กระบวนการ​ผลิต​ใน​ภาค​เกษตรกรรม​ ​และ​แกส​ ​ไนต​ รัสอ​ อกไซด​์จาก​กระบวนการ​ในภ​ าค​อตุ สาหกรรม​​ ​แกส​เรือน​กระจก​แต่ละ​ชนิด​จะ​มี​ความ​สามารถ​ใน​การ​ดูด​กลืน​และ​คาย​รังสี​ความ​ร้อน​ได้​ ​แตก​ต่าง​กัน​ ​เช่น​ ​แกส​มีเทน​ดูด​กลืน​และ​คาย​รังสี​ความ​ร้อน​ได้​ดี​กว่า​คาร์บอนไดออกไซด์​​62​ ​เท่า​ ส​่วนแ​ กสไ​น​ตรสั ​ออกไซดด​์ ดู ​กลนื แ​ ละ​คาย​รงั สคี​ วาม​รอ้ น​ได​ด้ กี​วา่ ​คารบ์ อนไดออกไซด​์ ​296​เ​ทา่ ​​ 40

​นอกจาก​น้ัน​แกส​เรือน​กระจก​แต่ละ​ชนิด​สามารถ​คง​อยู่​ใน​บรรยากาศ​ได้​ยาวนาน​แตก​ต่าง​กัน​ เ​ช่น​แ​ กส​ไนตรสั ออกไซด์คงอยู่ในบรรยากาศไดน้ าน​114​ป​ แกสซ​ ลั เฟอร​์เฮกซ​ ะฟ​ ลู​ออไ​รด​์ ค​ งอ​ ยู่ใ​น​ บรรยากาศ​ไดน​้ าน​3​,​​200​ป​ ​อ​ ยา่ งไรก​ ต็ าม​แ​ กส ​คารบ์ อนไดออกไซด์​ในบ​ รรยากาศม​ ีป​ รมิ าณส​ูง​​และม​ ​ี อัตราก​ าร​เพม่ิ ข​ ้นึ ​จากใ​น​อดตี ​มาก​ ​จึงเ​ป็นต​ วั การส​าำ คัญทที่ ำาใหป้​ รากฏการณ์เ​รือนก​ระจกรนุ แรงขน้ึ กวา่ ท่ีเคยเป็นอย่ตู ามธรรมชาติ​​ พÔ¸ÕÊารเกÕยวâตเ»นš ¼ลมาจากการ»รЪุม ·èเÕ ม×องเกยÕ วâต »รÐเ·ศÞÕ»è ุ†นâดยมÕ ¢ŒÍµ¡Å§ ãˌᵋÅлÃÐà·ÈËÇÁ¡Ñ¹Å´ การ»ล‹อยáกÊเร×อนกรÐจกãËäŒ ด Œ 5.2% จาก»รมÔ า³·Õè»ลอ‹ ยãน » ‚ พ.ศ. 2533 ãËŒäดÀŒ ายãน»‚ พ.ศ. 2553 »˜จจุบันมÕ ÁÒ¡¡Ç‹Ò 160 »ÃÐà·ÈÃÇ‹ Áŧ¹ÒÁ ãนพÔ¸ÕÊารนÕéรวม·งัé »รÐเ·ศä·ยดŒวย ภาพ 2.15 การเผาไหมเ ช้อื เพลงิ ของเคร่อื งยนต์ การตัดไมทาํ ลายปา สง ผลตอการเพมิ� ขน้ึ ของแกสคารบ อนไดออกไซด ในบรรยากาศไดอยางไร ​การ​ท่ี​อุณหภูมิ​ของ​โลก​โดย​เฉลี่ย​มี​ค่า​สูง​ขึ้น​ส่ง​ผลก​ระ​ทบ​ต่อ​ส่ิง​มี​ชีวิต​และ​ส่ิง​แวดล้อม​ใน​ด้าน​ ​ตา่ งๆ​ ​เชน่ ​ ​นำา้ แ​ ขง็ ท​ ่​ขี ั้ว​โลก​ละลาย​ ร​ะดบั ​นา้ำ ​ทะเลส​ูง​ขึ้น​ ค​ วามแ​ หง้ แ​ ล้ง​แผ​่ขยาย​ ​และท​ ำาให​้ส่ิง​มี​ชีวติ ​ ​บาง​ชนิด​สูญ​พันธ์​ุ ​นอกจาก​น้�​ยัง​มี​รายงาน​การ​วิจัย​ว่าการ​ท่ี​อุณหภูมิ​ของ​โลก​เพิ่ม​ข้ึน​ ​อาจ​มี​ผล​ทำาให้​ ​เกดิ ​ภัยธ​รรมชาต​ิตา่ งๆ​​เพ่มิ ​ขนึ้ โ​ดยเ​ฉพาะ​การ​เพ่ิม​ความร​นุ แรงแ​ ละจ​ำานวน​ของ​พาย​ุหมนุ ​เขต​รอ้ น​ บทที่ 2 ลมฟ‡าอากาศ 41

พ.ศ. 2452 พ.ศ. 2547 ภาพ 2.16 ธารนา้ํ แข็ง McCarty ท่อี ลาสกา เม่ือปี พ.ศ. 2452 และ ปี พ.ศ. 2547 ทีม่ า : ภาพจาก GNU. ยกตัวอยา งผลกระทบตอสง�ิ มีชีวิตทเี่ กิดจากการเปลีย่ นแปลงอณุ หภมู ขิ องโลก 2.7 มลพษิ ทางอากาศ ​การ​เพิ่ม​ขึ้น​ของ​ฝุน​ละออง​และ​แกส​บาง​ชนิด​ ​นอกจาก​จะ​มี​ผล​ต่อ​อุณหภูมิ​ของ​โลก​แล้ว​ ยัง​ส่ง​ ผล​ให้​เกิด​มลพิษ​ทาง​อากาศ​ซึ่ง​เป็น​อันตราย​ต่อ​สิ่ง​มี​ชีวิต​และ​ส่ิง​แวดล้อม​ ​ดัง​ตัวอย่าง​สาร​แหล่ง​กำาเนิด​ แ​ ละผ​ ล​ต่อ​สงิ่ ม​ ชี​ ีวิต​และ​สิง่ ​แวดลอ้ มใ​น​ตาราง​2​.2​​ ภาพ 2.17 ฝุน ละออง ณ เมอื งปกกิง� ในชว งทีม่ กี ารแขงขันกีฬาโอลมิ ปก ปพี .ศ. 2551 ท่มี า : http://doctoranonymous.blogspot.com / 2008 / 08 / beijing-olympic-smog.html 42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook