หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ๒ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ เล่ม ๒ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ จัดทำาโดย สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ ISBN 978-616-317-093-4 พมิ พ์ครั้งท่ีสาม ๒๓๐,๐๐๐ เลม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ องคก์ ารคา้ ของ สกสค. จดั พิมพ์จาำ หน่าย พมิ พ์ที่โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว ๒๒๔๙ ถนนลาดพรา้ ว วังทองหลาง กรงุ เทพมหานคร มลี ขิ สทิ ธต์ิ ามพระราชบัญญัติ
ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เร่ือง อนุญาตให้ใช้หนังสอื ในสถานศึกษา ดว้ ยสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ไดจ้ ดั ทาำ หนงั สอื เรยี นรายวชิ า พืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 2 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 เล่ม 2 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแล้ว อนญุ าตให้ใช้หนงั สอื น้ีในสถานศกึ ษาได้ ประกาศ ณ วนั ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553 (นายชินภทั ร ภมู ริ ัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน
คำานาำ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มอี าำ นาจหนา้ ที่ในการพฒั นาหลกั สตู รวธิ กี าร เรียนรู้ การประเมินผล การจดั ทำาหนงั สอื เรียน แบบฝึกหัด และสือ่ การเรยี นรทู้ ุกประเภทท่ีใชป้ ระกอบ การเรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ของการจัดการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน หนังสอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 เล่ม 2 น้ี จดั ทาำ ตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 โดยมเี นือ้ หาเก่ียวกับบรรยากาศ ลมฟ้าอากาศ การเคลอ่ื นท่ี หน่วยของส่ิง มีชีวิตและการดำารงชีวติ ของพชื ซงึ่ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นาความรู้ ทกั ษะ จติ วิทยาศาสตร์ และ การสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ของผเู้ รยี นได้เปน็ อย่างดี สำานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนเล่มน้ีจะเป็น ประโยชนต์ ่อการจัดการเรียนรู้ และเปน็ ส่วนสาำ คญั ในการพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กลุ่ม สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ขอขอบคณุ สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยตี ลอดจน บุคคลและหนว่ ยงานอน่ื ๆ ที่มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งในการจัดทำาไว้ ณ โอกาสนี้ (นายชินภัทร ภมู ริ ัตน) เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 22 มกราคม 2553
คำาช้ีแจง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้รับมอบหมายจาก กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ใหด้ าำ เนนิ การจดั ทาำ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของกลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ประกอบดว้ ยตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระ หลกั 8 สาระ ไดแ้ ก่ สง่ิ มชี วี ติ กบั กระบวนการดาำ รงชวี ติ ชวี ติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม สารและสมบตั ขิ องสาร แรงและการเคลอ่ื นท่ี พลงั งาน กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และกาำ หนดมาตรฐานการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายสาำ หรบั ผเู้ รยี นทกุ คนทจ่ี ะไดร้ บั การพฒั นาทง้ั ดา้ นความรู้ กระบวนการคดิ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การ แกป้ ญั หา ความสามารถในการสอ่ื สาร การตดั สนิ ใจ การนาำ ความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาำ วนั ตลอดจนมี จติ วทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรมและคา่ นยิ มทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม โดยมงุ่ เนน้ ความเปน็ ไทยควบคกู่ บั ความเปน็ สากล ตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา 2553 เปน็ ตน้ ไป โรงเรยี นจะตอ้ งใชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 จงึ จาำ เปน็ ตอ้ งมสี อ่ื การเรยี นการสอนท่ไี ดร้ บั การพฒั นาอยา่ งเหมาะสมและเปน็ ไป ตามเปา้ หมายของหลกั สตู รดงั กลา่ ว หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ สำาหรับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เล่ม 2 สสวท.ได้ พัฒนาขึ้นตามมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เพื่อนำาไปใชเ้ ป็นหนังสือเรยี น หลักประกอบด้วยเนื้อหาความรู้ที่เป็นหลักการพื้นฐานที่จำาเป็นสามารถนำามาใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจาำ วนั มกี ิจกรรมการเรียนรู้ท่หี ลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสาำ รวจตรวจสอบ การปฏบิ ัติ ทดลอง การสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ ราย อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ทกั ษะทส่ี าำ คญั ในการเรยี นรแู้ ละการดาำ รงชวี ติ ในการจดั ทาำ หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ ลม่ นไี้ ดร้ บั ความรว่ มมอื อยา่ งดยี ง่ิ จากคณาจารย์ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ นกั วิชาการอสิ ระ นักวชิ าการ และครูผสู้ อนจากสถาบันตา่ งๆ ทง้ั ภาครฐั และเอกชน จงึ ขอขอบคุณ ไว้ ณ ท่นี ้ี สสวท.หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่นักเรียนและ ผเู้ ก่ยี วข้องทกุ ฝ่าย ทจี่ ะชว่ ยให้การจัดการศกึ ษาวิทยาศาสตรม์ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล หาก มขี อ้ เสนอแนะใดทีจ่ ะทาำ ให้หนังสอื เรียนวิทยาศาสตรเ์ ล่มน้ีสมบรู ณ์ยง่ิ ขน้ึ โปรดแจง้ สสวท. ทราบ ด้วย จักขอบคุณย่ิง (นางพรพรรณ ไวทยางกรู ) ผอู้ ำานวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
สารบญั บทท่ี 1 บรรยากาศ........................................................................................1 1.1 ช้ันบรรยากาศ.........................................................................................2 1.2 ผลของรังสจี ากดวงอาทติ ยตอ บรรยากาศ....................................................4 1.3 องคประกอบของลมฟา อากาศ ..................................................................5 บทท่ี 2 ลมฟา อากาศ................................................................................... 27 2.1 พายุฟาคะนอง ......................................................................................28 2.2 พายุหมนุ เขตรอ น ..................................................................................29 2.3 มรสุม..................................................................................................32 2.4 การพยากรณอ ากาศ..............................................................................33 2.5 เอลนีโญ-ลานญี า..................................................................................36 2.6 การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิอากาศของโลก ..................................................38 2.7 มลพิษทางอากาศ..................................................................................42 บทที่ 3 การเคลอ่ื นท่ี................................................................................... 47 3.1 การบอกตาํ แหนง ของวตั ถ.ุ ......................................................................48 3.2 การเปล่ยี นตําแหนง ของวัตถุ ...................................................................50 3.3 ปรมิ าณเวกเตอรและปริมาณสเกลาร .......................................................52 3.4 อตั ราเรว็ และความเรว็ ของวตั ถุ................................................................55 บทท่ี 4 หนว ยของสง่ิ มชี ีวติ .......................................................................... 61 4.1 รูจักและใชงานกลอ งจ�ลทรรศน. ...............................................................63 4.2 เซลลข องส่ิงมีชีวิต .................................................................................66 4.3 การลาํ เลียงสารเขา และออกจากเซลล ......................................................72 บทท่ี 5 การดาํ รงชวี ติ ของพชื ....................................................................... 79 5.1 การลาํ เลียงน้ําและอาหารของพชื .............................................................80 5.2 การสงั เคราะหด ว ยแสง ..........................................................................88 5.3 การสบื พันธุและการเจริญเติบโตของพืช ...................................................93 5.4 การตอบสนองของพชื .......................................................................... 100
1 บรรยากาศ จดุ ประสงคการเรยี นรู อธบิ ายประโยชนข์ องบรรยากาศ อธบิ ายการแบง ชั้นบรรยากาศและปรากฏการณ์ที่เกดิ ขึ้น ในบรรยากาศแตละชน้ั อธิบายผลของรังสีจากดวงอาทติ ยท์ ่ีมีตอบรรยากาศ ทดลองและอธิบายองคป์ ระกอบของลมฟาอากาศไดแ ก อุณหภูมิความดันอากาศลมความช้ืนอากาศเมฆและฝน
อากาศรอบตัวเราประกอบด้วยแกสชนิดต่างๆ ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน อากาศห่อหุ้มโลกเรา ตั้งแตผ่ วิ โลกจนสูงข้ึนไปประมาณ600กิโลเมตรเราเรียกอากาศทหี่ อ่ ห ้มุ โลกนี้วา่ บ รรยากาศ ความหนาของบรรยากาศเมื่อเทียบกับขนาดของโลกแล้ว บางมาก แต่บรรยากาศมีประโยชน์ ต่อโลกและสิ่งมีชีวิตมากมาย บรรยากาศช่วยให้อุณหภูมิของโลกไม่สูงเกินไปในเวลากลางวันและ ไมต่ าํ่ เกนิ ไปในเวลาก ลางค นื จงึ เหมาะต อ่ การด าํ รงช วี ติ บ รรยากาศยงั ช ว่ ยป อ้ งกนั สง่ิ ม ชี วี ติ จากอนั ตราย ตา่ งๆเช่นรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์ และชว่ ยเผาไหมว้ตั ถุทีเ่ข้ามาในบรรยากาศ บรรยากาศมปี ระโยชน์ตอสง�ิ มีชีวิตในดานใดอีกบาง อากาศมอี งค์ประกอบอะไรบา ง จากที่กล่าวมาแล้วว่าบรรยากาศประกอบด้วยแกสชนิดต่างๆ นั้น หากพิจารณาอากาศที่ไม่มี ไอนํ้าจะพบว่ามีสัดส่วนของแกสต่างๆ คงท่ีตั้งแต่ระดับผิวโลก จนถึงระดับสูงขึ้นไปประมาณ 80ก ิโลเมตรสาํ หรับไอน ํา้ ในอากาศไมค่ งทีค่ ิดเปน็ รอ้ ยละ1-4ขององค์ป ระกอบข องบ รรยากาศ แกสไนโตรเจน78.084% แกส ออกซิเจน20.946% ชนิดของแกส ปรมิ าณ แกสไนโตรเจน (รอ้ ยละโดยปรมิ าตร) 78.084 % แกส คารบ์ อนไดออกไซด์ 0.033% แกส คาร์บอนไดออกไซด์ 0.033 % แกสอน่ื ๆ(อาร์กอนน�ออนฮีเลียมมีเทน)0.937% แกส ออกซเิ จน 20.946 % นแอีกอส นอน่ื Îæีเล(ยีอมารม์กเีอทนน) ภาพ 1.1 องค์ประกอบของแกส ในอากาศท่ีไมม ไี อนํา้ 0.937 % เหตุใดปรมิ าณไอนํ้าในอากาศจึงมสี ัดสวนไมค งท่ี แกส ในบรรยากาศชนิดใดมปี ริมาณมากทีส่ ุด 1.1 ชั้นบรรยากาศ นักอุตุนิยมวิทยาพบว่าอุณหภูมิของบรรยากาศ มีการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ ตามระดับ ความสูงจากผ วิ โลกจงึ แ บง่ บ รรยากาศออกเป็น4ช น้ั ต ามก ารเปลี่ยนแปลงอ ณุ หภูมติ ามความสูงโดย เรยี งลาํ ดบั จากช้นั ทอี่ ยู่ใกล้กับผ วิ โลกท ีส่ ดุ ไปถงึ ชน้ั ท ่อี ยไู่ กลจากผ ิวโลกที่สดุ ดังภาพ1.2 2
ช้ันโทรโพสเฟยร์ ช้ันน้ีอุณหภูมิจะลดลง ภาพ 1.2 การแบงชนั้ บรรยากาศ ตามความสูงจากผิวโลก และเป็นช้ันท่ีมีความ บรรยากาศช้นั โทรโพสเ¿‚ยรเ์ ปน็ แปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น เกิด ช้นั ท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อการดาํ รงชีวติ ของ พายฟุ ้าคะนอง มนÉุ ยม์ ากทสี่ ดุ เนื่องจากเป็นชัน้ ท่ี มนุÉย์อาศัยอยู่ และเป็นช้ันทเ่ี กดิ ช้ันสตราโตสเฟยร์ ช้ันนี้อุณหภูมิจะเพิ่ม ปราก¯การณ์ทางลม¿‡าอากาศต่างæ ขนึ้ ตามค วามสูงจากผิวโลกแ ละในชั้นนี้มปี ริมาณ โดยมีดวงอาทิตย์เปน็ แหลง่ พลังงาน โอโซนอยู่มาก โอโซนในบรรยากาศจะดูดกลืน รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ทําให้ส่ิงมี ชีวิตบนโลกปลอดภัยจากอันตรายท่ีเกิดจากรังสี อลั ตราไวโอเลตพ บความเขม้ ข น้ ข องโอโซนสงู สดุ ทรี่ ะดบั ค วามสงู ประมาณ25กโิ ลเมตร ชน้ั มโี ซสเฟยร์ช้ันน ้ีอณุ หภมู จิ ะลดลงตาม ความสูงอีกครั้ง และเป็นชั้นสุดท้ายที่มีสัดส่วน ของแกสในอากาศคงท่ีเหมือนบรรยากาศสอง ชนั้ แ รกเมอ่ื มวี ัตถุนอกโลกผา่ นเขา้ ม าจะเร่ิมเกิด การเผาไหม้ ช น้ั เทอรโ์ มสเฟย ร์ ชนั้ น อ้ี ณุ หภ มู จิ ะเพมิ่ ข นึ้ ตามความสงู จนถงึ ประมาณ1,700ํC เนือ่ งจาก อณุ หภมู สิ งู อากาศจงึ แตกตวั เปน็ ป ระจุ บ รรยากาศ สามารถสะท้อนค ลนื่ วิทยุได้แ ละมีปรากฏการณ์ แสงเหนือแสงใต้เกิดขึ้น บรรยากาศในช้ันน้ีจะ เบาบางม าก บรรยากาศชน้ั ใดมอี ณุ หภูมิต่าํ สดุ และมคี าประมาณเทา ใด บรรยากาศแตล ะช้นั มีความสําคัญตอ ส�งิ มชี วี ติ อยางไรบา ง กจิ กรรมเพม่ิ เตมิ ใหน้ กั เรียนวาดภาพหรือทาํ แ¼นภาพปราก¯การณ์ท่เี กดิ ขึ้นในชัน้ บรรยากาศชั้นต่างæ ของโลก บทที่ 1 บรรยากาศ 3
1.2 ผลของรงั สจี ากดวงอาทติ ยตอ บรรยากาศ โลกได้รับพลังงานจากรังสีของดวงอาทิตย์ท่ีแผ่มายังโลกซึ่งรังสีบางส่วนจะมีการสะท้อนกลับ สู่อวกาศ บางส่วนจะถูกดูดกลืนโดยแกสต่างๆ ในบรรยากาศ และส่วนท่ีเหลือจะลงมาถึงผิวโลก ดังภาพ1.3 รงั สีจากดวงอาทติ ย์ 100% สะท้อน สะท้อน สะท้อนโดย จากพน้ื ¼วิ โดยเม¦ บรรยากาศ 6% 4% 20% ดูดกลนื โดย บรรยากาศ 19% ดูดกลนื ท่ีพนื้ ¼วิ 51% ภาพ 1.3 การสะทอ้ นและดูดกลืนรงั สจี ากดวงอาทิตยท์ ่ีแผม ายงั โลก โดยพน้ื ผิวโลกท่ีแตกตา่ งก นั จะสามารถสะท้อนและดดู กลืนรังสไี ดแ้ ตกตา่ งกนั การท ่ีผ ิวโลกใน บริเวณตา่ งๆม กี ารสะท้อนหรอื ดดู ก ลนื รังสีจากดวงอาทิตย์ต า่ งก ันสง่ ผลอยา่ งไรต่ออุณหภูมอิ ากาศ ศกึ ษาจากกิจกรรม1.1 กจิ กรรม 1.1 รงั สีจากดวงอาทติ ย 1. นําภาชนะท่ีเหมอื นกัน 3 ใบ ใส่ดนิ นา้ํ และทรายอยา่ งละ เทอร์มอมิเตอร์ 500 cm3 ใสล่ งในภาชนะใบที่ 1, 2 และ 3 ตามลาํ ดบั วดั อณุ หภมู ิ ดิน น้ํา ทราย 2. ใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์ 3 อนั วัดอณุ หภูมิของดนิ นา้ํ และทราย ทร่ี ะดบั ความลกึ 2 cm สงั เกตและบันทึก¼ล 3.นําภาชนะทงั้ 3 วางไวบ้ ริเวณเดียวกันท่มี ีแดดส่องเต็มท่ี 4. อา่ นค่าอุณหภมู ขิ องดิน นํ้า และทราย ในภาชนะ แต่ละใบ สงั เกตทุกæ 5 นาที จนครบ 15 นาที บนั ทกึ ¼ล นําขอ้ มลู ทบี่ ันทกึ ได้มาเขยี นกรา¿ระหวา่ ง อุณหภูมิกับเวลา 4
รังสีจากดวงอาทติ ยแ์ ผม าถงึ ภาชนะแตล ะใบเทากันหรือไมอยางไร จากการทดลองใหเ รียงลาํ ดบั ภาชนะทม่ี ีอณุ หภมู ิเพิม� ขน้ึ จากมากไปนอ ย หากพื้นผิวโลกเปนดิน น้ํา และทรายไดร บั แสงแดดเทากนั นกั เรยี นคิดวาอณุ หภูมิอากาศ เหนอ� พื้นผวิ ดงั กลาวจะแตกตางกนั อยางไร ลักษณะของพื้นผิวโลกท่ีแตกต่างกันจะส่งผลให้อุณหภูมิอากาศเหนือบริเวณน้ันแตกต่างกัน เน่อื งจากอากาศจะไดร้ ับการถ ่ายโอนความร้อนจากพ้นื ผวิ โลกบริเวณนนั้ 1.3 องคประกอบของลมฟาอากาศ การท ผ่ี วิ โลกม กี ารสะทอ้ นห รอื ด ดู ก ลนื รงั สี ลม¿า‡ อากาศคอื สภาวะของบรรยากาศ จากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากันส่งผลให้องค์ประกอบ ณ ส¶านที่ ใดใดในชว่ งเวลาหนึ่ง ลม¿‡า ของลมฟ า้ อากาศไดแ้ ก่ อณุ หภมู อิ ากาศความด นั อากาศมกี ารเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอด อากาศลมความชนื้ เมฆและฝ นณ บ รเิ วณต า่ งๆ เวลา เช่น พายุ¿‡าคะนอง พายลุ กู เหบ็ ข องโลกม คี วามแตกต า่ งกนั เกดิ เปน็ ป รากฏการณ์ ลมกระโชก ต า่ งๆในบ รรยากาศโดยแต่ละองคป์ ระกอบของ ลมฟ ้าอากาศมคี วามสมั พนั ธ์กัน 1.3.1อ ุณหภูมอิ ากาศ เกณ±อ์ ุณหภูมิของประเทศไทย เม่ือเรากล่าวถึงอากาศรอบตัว ส่ิงท่ีเรา Äดหู นาวพจิ ารณาจากอณุ หภมู ติ ่ําสุดในแตล่ ะวนั สัมผัสได้โดยตรงและส่งผลต่อเรามากท่ีสุด อากาศหนาวจัด อุณหภูมิตํ่ากว่า 8.0 Cํ ก็คือความรู้สึกร้อนหรือเย็น ในตอนเช้าก่อน อากาศหนาว อณุ หภูมิระหวา่ ง 8.0 ํ– 15.9 Cํ ดวงอาทิตย์ขึ้นเราจะรู้สึกว่าอากาศร้อนน้อยกว่า อากาศเยน็ อุณหภมู ิระหวา่ ง 16.0 –ํ 22.9 ํC เม่อื ด วงอาทิตยข์ ้นึ แ ลว้ และเราจะรูส้ กึ ว่าอากาศ รอ้ นขนึ้ เรือ่ ยๆ จนรอ้ นทีส่ ุดในชว่ งเวลาบ่าย แ ต่ Äดูรอ้ นพจิ ารณาจากอณุ หภมู ิสูงสุดในแต่ละวนั ค วามรสู้ กึ รอ้ นห รอื เยน็ ข องแตล่ ะค นอาจแตกต า่ ง อากาศร้อน อณุ หภูมริ ะหวา่ ง 35.0 ํ– 39.9 ํC กัน ไม่สามารถใช้เป็นมาตรฐานในการบอก อากาศรอ้ นจัด อุณหภูมติ ้ังแต่ 40.0 ํC ขน้ึ ไป อุณหภูมิอากาศได้ จึงต้องใช้เทอร์มอมิเตอร์ เปน็ เคร่ืองมอื วัดแ ละบอกอ ณุ หภมู อิากาศ บทที่ 1 บรรยากาศ 5
อ ณุ หภมู ิอากาศในแ ต่ละวนั ม ีการเปลีย่ นแปลงอ ย่างไรให้ศกึ ษาจากกิจกรรม1.2 กจิ กรรม 1.2 อุณหภูมอิ ากาศ เทอร์มอมิเตอรว์ ัดอุณหภูมิ สูงสดุ -ตาํ่ สุด 1. วัดและบนั ทึกอุณหภมู ิอากาศ ณ บริเวณทตี่ ้องการจะศกึ Éา (MAX-MIN THERMOMETER) ทุกชวั่ โมง ต้ังแต่ 06.00 น. จน¶ึง 18.00 น. โดยใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์ วิธี ใช้ แบบธรรมดา กดปม†ุ ตรงกลางหรือ ใช้แม่เหลก็ ทตี่ ิดมากบั 2. วัดอณุ หภมู ิสงู สุดและอุณหภมู ิต่ําสดุ เทอร์มอมิเตอร์ ดูดแท่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยใช้ ดชั นที ั้งสองใหส้ ัม¼สั กับ เทอร์มอมิเตอรแ์ บบวัดอณุ หภมู ิ ¼ิวหนา้ ปรอท เพอ่ื ให้ สงู สุด - ต่าํ สุด อปุ กรณพ์ ร้อมใชง้ าน วิธีอา่ นคา่ 3.นําคา่ อณุ หภูมทิ ่ีวัดได้ในข้อ 1 มาเขียน ให้อา่ นคา่ อุณหภมู ิสูงสุด กรา¿หาความสมั พันธ์ระหวา่ ง ตํ่าสดุ ทีป่ ลายแทง่ ดัชนี อุณหภมู กิ บั เวลา ด้านใกล้กับ¼ิวปรอท จากกราฟบอกการเปลยี่ นแปลงของ ภาพ 1.4 การดดู กลนื และคายพลังงาน อุณหภมู ิอากาศจากชวงเวลา6นาิกา ของผวิ โลกในเวลากลางวนั และกลางคืน จนถึงเวลา18นากิ า (ลกู ศรแสดงพลงั งาน) คา อณุ หภมู ิสงู สดุ -ตา่ํ สุดที่อา นไดจาก กราฟใกลเคียงกับคาทอ่ี านไดจ าก เทอร์มอมเิ ตอรว์ ดั อุณหภูมสิ ูงสดุ -ตาํ่ สดุ หรือไมอยางไรและอยูใน ชวงเวลาใด แนวโนมของอณุ หภูมิอากาศในชว งเวลา กลางคืนควรเปน อยา งไร ป จ จัยสาํ คญั ท่มี ีผลต อ่ อณุ หภมู ิอากาศท บ่ี รเิ วณใดๆคอื รงั สีจากดวงอาทิตย์ที่ผิวโลกดดู กลนื ไว้ และเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ในเวลากลางวันผิวโลกได้ดูดกลืนรังสีจากดวงอาทิตย์และคาย พลังงานค วามรอ้ นให้อากาศบ ริเวณนั้นทําให้อ ุณหภมู อิ ากาศบ ริเวณน้นั สูงต ามไปดว้ ย 6
ส่วนในเวลากลางคืนผิวโลกไม่ได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ แต่ยังมีพลังงานความร้อนส่วนหนึ่ง ที่สะสมไว้และยังคงคายพลังงานความร้อนให้อากาศเหนือบริเวณนั้น แต่ไม่มากเท่าในเวลากลางวัน อุณหภูมิของอากาศเวลากลางคืนจึงต่ํากว่าในเวลากลางวัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการ เปลีย่ นแปลงของอุณหภมู ิในช ่วงเวลาตา่ งๆใน1วนั ให้พ จิ ารณากราฟในภ าพ1.5 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 ภาพ 1.5 กราฟอณุ หภูมอิ ากาศ วนั ท่ี 1 มกราคม 2551 ต้ังแตเ วลา 1:00 น. จนถงึ เวลา 0:00 น. ณ สถาน�อตุ ุนยิ มวทิ ยาบางนา กรุงเทพมหานคร ท่ีมา:ข้อมูลจากกรมอตุ ุนิยมวทิ ยา จากกราฟเวลาเทาใดทีอ่ ณุ หภมู ิ อากาศมคี า สูงสดุ และต่าํ สดุ ตามลาํ ดบั นอกจากน้ีสภาพแวดล้อมท่ีต่างกัน เช่น ภาพ 1.6 อิทธิพลของเมฆตออณุ หภมู ิอากาศ บรเิ วณป า บรเิ วณท ม่ี ตี น้ ไมน้ อ้ ยอ ณุ หภมู อิ ากาศ เหน�อผวิ โลก ก็จะต่างกัน เพราะต้นไม้จะให้ร่มเงาและดูด พ ลั ง ง า น แ ส ง อ า ทิ ต ย์ ไ ป ใ ช้ ใ น กร ะ บ ว น ก า ร สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงท าํ ใหผ้ วิ โลกบ รเิ วณท มี่ ตี น้ ไม้ มากอุณหภูมิต่าํ กว่าบ รเิ วณที่มีต้นไม้น้อย นอกจากนี้สภาพโดยท่ัวไปของบรรยากาศ เช่น ปริมาณเมฆในท้องฟ้า สามารถส่งผลต่อ อุณหภูมิอากาศได้เช่นกัน กล่าวคือเมฆจะให้ร่มเงาและทําหน้าท่ีสะท้อนและดูดกลืนพลังงาน จากดวงอาทิตย์ ทําให้ผิวโลกรับพลังงานจากดวงอาทิตย์น้อยลง ดังน้ันในวันท่ีท้องฟ้ามีปริมาณเมฆ แตกต ่างกันอาจสง่ ผลให้อุณหภูมิอากาศแ ตกต ่างกันได้ บทที่ 1 บรรยากาศ 7
น อกจากอุณหภูมอิ ากาศในแ ตล่ ะชว่ งของวันไม่เทา่ ก ันด ังภ าพ1.5 แล้ว อุณหภมู ิในแต่ละช ว่ ง ของปแ ตกต ่างก ันด้วยดังกราฟในภ าพ1.7 34 32 ุอณหภู ิม (องศาเซลเ ีซยส) 30 เชยี งใหม อุบลราชธาน กรุงเทพฯ 28 ระยอง 26 สงขลา 24 22 เดือน 20 ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ภาพ 1.7 กราฟอณุ หภูมิอากาศเฉลีย่ ของจงั หวดั ตางๆ ในแตละภาคของประเทศไทย ชวงเดือนมกราคม-ธันวาคม 2551 ทีม่ า : ขอ้ มลู จากกรมอุตุนิยมวทิ ยา แนวโนม การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ขิ องแตล ะภาคในประเทศไทยเหมือนหรือแตกตางกัน หรอื ไม อยา งไร อุณหภมู อิ ากาศในแตละภาคชว งใดมีคา สูงสุดและตาํ่ สดุ และเปนชวงเดยี วกนั หรอื ไม อยางไร 1 .3.2ความดันอากาศ โมเลกลุ ของแกส คือ หนว่ ยย่อยทเ่ี ล็กทส่ี ดุ อากาศประกอบด้วยโมเลกุลของแกสชนิดต่างๆ ท่ีเคล่ือนที่ ของแกส นัน้ æ ตลอดเวลา เมื่อโมเลกุลของอากาศชนกับพ้ืนผิวของวัตถุ จะทําให้ เกิดแรงกระทําบนพ้ืนผิวน้ันเรียกแรงที่เกิดขึ้นว่า แรงดันอากาศ บนพ้ืนท่ีนั้น แรงดันอากาศต่อหน่วยพื้นท่ีเรียกว่า ความดันอากาศ ดงั น น้ั ถา้ จาํ นวนโมเลกลุ ข องอากาศม ากโอกาสท จี่ ะช นพ น้ื ผ วิ จงึ ม มี าก จะทําให้เกิดแรงบนพื้นผิวน้ันมาก ส่งผลให้ความดันอากาศสูงด้วย นอกจากจํานวนโมเลกุลของอากาศแล้ว ยังมีปจจัยอื่นอีกหรือไม่ท่ี สง่ ผลต่อความด นั อากาศใหศ้ ึกษาจากก ิจกรรม1.3 8
กิจกรรม 1.3 อุณหภูมกิ ับความดนั อากาศ 1. เป†าลูกโป†งให้มขี นาดพอประมาณและ มัดปากลกู โปง† ให้แน่น 2.นําลกู โป†งมาวางบนนํ้ารอ้ น อุณหภูมิประมาณ 70 Cํ 3. สังเกตขนาดของลกู โปง† ที่เปล่ยี นแปลง จํานวนโมเลกลุ ของอากาศในลกู โปงกอนและหลงั วางบนน้ํารอ นเทา กนั หรอื ไม ขนาดของลูกโปงเปล่ียนแปลงอยา งไร อะไรเปนสาเหตทุ ที่ ําใหข นาดของลกู โปงเปลีย่ นแปลงไป เม่ือวางลูกโปงบนนํ้าร้อนขนาดของลูกโปงจะขยายใหญ่ขึ้น เน่ืองจากโมเลกุลของอากาศ ภายในลูกโปง ได้รับพลังงานความร้อนทําให้เคล่ือนท่ีด้วยความเร็วสูงข้ึน และอากาศในลูกโปง ถกู ป ด ลอ้ มโดยผ วิ ลกู โปง โมเลกลุ อากาศจงึ ช นพ น้ื ผ วิ ภ ายในลกู โปง บ อ่ ยค รงั้ ข น้ึ สง่ ผ ลใหค้ วามด นั อากาศ ภายในลกู โปง เพิ่มขน้ึ แ ละมากกวา่ ความดันอากาศภ ายนอกลูกโปงจึงมีขนาดข ยายใหญ่ข ้ึน สําหรับบริเวณพื้นโลกอากาศไม่ถูก 500 ปดล้อมแบบลูกโปงทั้งทางด้านข้างและด้านบน 400 โมเลกุลของอากาศท่ีมีอุณหภูมิสูง จะเคลื่อนที่ 300 เร็วและกระจายตัวออกจากกันไปทางด้านข้าง 200 และด้านบนนั่นคือ จํานวนโมเลกุลอากาศต่อ 100 ปริมาตรจะลดลงโมเลกุลอากาศจึงชนพ้ืนโลก น้อยลง ทําให้แรงดันอากาศต่อพ้ืนที่นั้นตํ่า 0 ตํ่าความดนัสูง บนพื้นโลกบริเวณที่อากาศมีอุณหภูมิสูงจึง มีความดันอากาศน้อยกว่าบริเวณท่ีอากาศมี ภาพ 1.8 กราฟความสัมพันธ์ระหวา งความดันอากาศ อุณหภมู ติ าํ่ และความสงู จากผวิ พน้ื โลก ความ ูสง(กิโลเมตร) ดงั น้ันความดนั อากาศนอกจากข ึ้นอ ยู่กับ จํานวนโมเลกุลของอากาศ จํานวนโมเลกุลของอากาศแล้วยังข้ึนอยู่กับ อุณหภูมิอากาศด้วย แต่เนื่องจากแรงโน้มถ่วง จํานวนโมเลกลุ อากาศในหนึ่งหนว่ ย ของโลกทําให้จํานวนโมเลกุลของอากาศใกล้ผิว ปริมาตร คอื ความหนาแน่นของอากาศ โลกมีปริมาณมากกว่าที่ระดับสูงข้ึนไป ดังน้ัน ความดันอากาศจึงลดลงต ามความสูง บทที่ 1 บรรยากาศ 9
ในการวัดความดันอากาศ ใช้เคร่ืองมือท่ีเรียกว่า บารอมิเตอร์ สร้างข้ึนโดยใช้หลักความ แตกต่างของความดันอากาศของสองบริเวณ บารอมิเตอร์มีหลายแบบด้วยกัน บารอมิเตอร์ที่ใช้กัน อย่างแพร่หลายคือบารอมิเตอร์แบบแอนิรอยด์ ประกอบด้วยตลับโลหะ ปดผนึกท่ีนําอากาศออกไป บางส่วนและเชื่อมต่อกับกลไกที่แสดงค่าความดันอากาศได้โดยตรง เม่ือความดันอากาศภายนอก เพ่ิมข้ึน จะดันให้ตลับโลหะยุบตัวลงจากปกติ แต่ถ้าความดันอากาศภายนอกลดลง ตลับโลหะจะ พองตัวข้ึนมากกว่าปกติ การยุบตัวหรือพองตัวของตลับโลหะส่งผลให้เคร่ืองกลไกแสดงค่าความดัน อากาศ ภาพ 1.9 บารอมิเตอรแ์ บบแอนริ อยด์ ในการบอกระดับ ความสงู ของเครือ่ งบนิ ใชแ้ อนิรอยดบ์ ารอมิเตอร์ ชนดิ พิเศÉ ท่ีแปลงคา่ ความดนั เปน็ ความสงู จากพ้ืนโลกทเ่ี รยี กว่า อัลตมิ เิ ตอร์ บ ารอมเิ ตอรท์ ่ีใชก้ นั ท ว่ั ไปอ กี แบบห นง่ึ เรยี กวา่ บ ารอมเิ ตอรแ์ บบป รอทเปน็ แบบท ี่ใชว้ ดั ค วามด นั อากาศได้แม่นยําที่สุด ประกอบด้วยหลอดแก้วปลายปดข้างหน่ึงท่ีบรรจุปรอทจนเต็ม ควํ่าหลอด ให้ปลายเปดจุ่มอยู่ในภาชนะท่ีบรรจุปรอท ทําให้เกิดสุญญากาศเหนือระดับปรอทของหลอดแก้ว ด้านปลายปด ความสูงของลําปรอทในหลอดแก้วปลายปด จะแสดงค่าความดันอากาศ ถ้าความดัน อากาศภายนอกสูง จะดันปรอทในภาชนะให้เข้าไปภายในหลอดลําปรอทก็จะสูงขึ้น หากความดัน อากาศภายนอกลดลง ปรอทภายในหลอดแก้วก็จะไหลออกมาอยู่ในภาชนะ ทําให้ความสูงของ ลําปรอทภายในหลอดแก้วลดลง จากการศึกษาพบว่าที่ระดับนํ้าทะเลเฉล่ียความสูงของลําปรอทมีค่า เทา่ กับ76เซนตเิ มตรหรือ760ม ิลลเิ มตรซึง่ กลา่ วไดว้ า่ ความดันอากาศท ีร่ ะดบั นา้ํ ท ะเลเฉลี่ยมคี า่ 760มิลลิเมตรข องปรอท ความดันอากาศบนยอดดอยอนิ ทนนท์ มคี า มากกวา หรอื นอยกวา 760มิลลิเมตรปรอท หนว่ ยวดั ความดันอากาศ 1 บรรยากาศ = 760 mmHg = 1.013 x 105 N/m2 ภาพ 1.10 ความสงู ของปรอทในหลอดแก้ว 1 ปาสคาล = 1 N/m2 เมอื่ ความดนั อากาศตา งกัน 1 บาร์ = 105 N/m2 10
1.3.3ล ม จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าบริเวณท่ีอากาศมีอุณหภูมิสูงจะมีความดันอากาศต่ํากว่าบริเวณท่ี อากาศม อี ณุ หภมู ติ า่ํ เมอื่ ความด นั อากาศใน2บ รเิ วณม คี วามแตกต า่ งก นั จะท าํ ใหอ้ ากาศม กี ารเคลอื่ นที่ โดยอากาศจะเคลอื่ นทจ่ี ากบ รเิ วณท มี่ คี วามด นั อากาศสงู กวา่ (อณุ หภมู ติ า่ํ กวา่ )ไปยงั บ รเิ วณท ม่ี คี วามด นั อากาศตา่ํ กว่า(อ ุณหภมู สิ งู กวา่ )การเคล่อื นทข่ี องอากาศลกั ษณะน ี้เรยี กวา่ ลม อัตราเร็วลมมีความสัมพันธ์กับความแตกต่างของความดันอากาศใน2 บริเวณใดๆ หาก ความดันอากาศแตกต า่ งก ันมากลมจะเคลอ่ื นทด่ี ้วยอ ัตราเร็วสงู และห ากค วามดนั อากาศแตกต า่ งก นั นอ้ ยอัตราเร็วของลมก ็จะลดต่าํ ลงด้วย การวัดอัตราเร็วลมนิยมใช้ มาตรอัตราเร็วลมแบบ ภาพ 1.11 ถวยซง่ึ ประกอบดว้ ยถ้วยรูปรา่ งคล้ายกรวยหรอื ค รึง่ วงกลม มาตรอตั ราเร็วลมแบบถว้ ย 3 หรือ4 ถ้วย ติดกับแกนที่ยื่นออกมาจากแกนท่ีอยู่ใน แนวดิ่ง โดยด้านเว้าของถ้วยจะต้านลมมากกว่าด้านนูน ของถ ว้ ยจึงท าํ ให้ถ ว้ ยห มนุ ได้จาํ นวนรอบท ่ีถ ว้ ยห มุนไปจะ สมั พนั ธก์ ับอ ัตราเรว็ ลมจึงใชม้ าตรอ ัตราเร็วลมวัดอตั ราเรว็ ลมในช่วงเวลาห นง่ึ ๆได้ การบอกทิศทางของลมนั้นจะแสดงถึงทิศทางที่ ลมนั้นพัดมา การวัดทิศทางของลมนิยมใช้เครื่องมือท่ี เรียกวา่ ศรลมม ีลักษณะเปน็ แทง่ โลหะเบาคลา้ ยลูกศรสว่ น หัวลูกศรแหลมส่วนท้ายลูกศรแบน ศรลมสามารถหมุนได้ รอบในแนวราบ เม่ือมีลมพัดมาจะพัดให้ศรลมขนานกับ ทศิ ทางของลมโดยสว่ นห างข องลกู ศ รต า้ นลมไดม้ ากกวา่ จงึ ถกู พ ัดไปในทิศทางตรงกนั ข า้ มกบั ท ิศทางทล่ี มพ ัดมาทาํ ให้ หวั ลกู ศ รจะช ้ีไปในทิศทางทล่ี มพ ดั มา ภาพ 1.12 ศรลม บทที่ 1 บรรยากาศ 11
3ลองมาประดิษฐเ์ ครอ่ื งม ือวดั อัตราเรว็ ลมและท ศิ ทางลมอ ย่างง่ายได้จากกจิ กรรม1.4 54 กิจกรรม 1.4 การวดั อตั ราเรว็ ลมและทิศทางลม 1. ตดั กระดาÉเป็นรูป 1 ใน 4 ของวงกลมโดยมรี ศั มขี องวงกลมประมาณ 5 cm และ ลากเสน้ แบ่งกระดาÉจากจดุ ศนู ย์กลางเป็นส่วน ส่วนละเท่าæ กันและเขยี นหมายเลข ดงั ภาพ จากนั้นนาํ ไปตดิ กับลวดหรอื แทง่ ไม้ 2. ตดั กระดาÉว่าวเปน็ รูปสีเ่ หลี่ยม¼นื ¼า้ ขนาด 1 cm x 10 cm เจาะรทู ปี่ ลายดา้ นหนึง่ ร้อยด้วยด้าย แลว้ ¼ูกกบั ปลายของแท่งไม้ในอุปกรณข์ อ้ 1 ดงั ภาพตัวอยา่ ง 3. ใช้อุปกรณว์ ัดอัตราเร็วลมและทศิ ทางลมโดย¶ือแทง่ ไม้ด้านที่ไม่ตดิ กระดาÉให้ขนานกบั พื้น และให้อุปกรณช์ ้ี ไปในทศิ ทางท่ีทําให้กระดาÉวา่ วเคล่ือนท่เี ขา้ หาตวั ¼ูต้ รวจวดั ซ่ึงคือ ทิศทางที่ลมพัดมา สังเกตระดบั ท่กี ระดาÉวา่ วเคลอ่ื นท่ีเทยี บกบั หมายเลขบนกระดาÉ หากตวั เลขมากแสดงวา่ อตั ราเรว็ ลมสงู 21 4. นําอุปกรณ์วัดอัตราเร็วลมและทิศทางลมทป่ี ระดÉิ °ข์ ้ึนไปวัดอตั ราเร็วลมและทศิ ทางลม บรเิ วณตา่ งæ ในโรงเรยี น 5. เขยี นแ¼นภาพบริเวณโรงเรียนและบนั ทกึ ข้อมูลอัตราเร็วลมและทศิ ทางลมลงในแ¼น¼งั นน้ั 6. รว่ มกนั อภปิ รายอัตราเร็วและทศิ ทางลมจากข้อมูลทีแ่ สดงไว้ในแ¼น¼งั (ขอ้ 5) จากขอ มลู บริเวณทม่ี ีอตั ราเรว็ ลมมากที่สดุ คือบรเิ วณใด ขอ มูลอตั ราเรว็ และทิศทางลมมีประโยชนอ์ ยางไรบาง ลมท่ีพัดเป็นประจําในพ้ืนท่ีหนึ่งๆ หรือ เรียกว่า ลมประจําถิ่น เช่น ลมบกลมทะเล เกิดจากความแตกต่างของความดันอากาศบริเวณทะเลและแผ่นดิน ลมภูเขา ลมหุบเขา เกิดจาก ความแตกต่างของความดันอากาศบริเวณหุบเขาและภูเขา นอกจากนั้นยังมีลมท่ีพัดใน พื้นที่และส่งผลกระทบในบริเวณกว้าง ได้แก่ ลมค้าที่เกิดจากความแตกต่างของความดันอากาศ บริเวณละติจูดต่างๆ ของโลก มรสุมที่เกิดจากความแตกต่างของความดันอากาศเหนือพ้ืนทวีปและ ม หาสมุทรซึง่ จะไดศ้ ึกษาต่อไป 12
ลกั Éณะที่สังเกตได้เมื่อเกดิ ลมทีอ่ ตั ราเรว็ ตา่ งæ กอตัม.ร/าชเมร.็วลม ลกั Éณะท่ีสงั เกตได้ น้อยกวา่ 1 ลมสงบ ควันลอยขึน้ ตรงæ 1 - 5 ควนั ลอยตามลมแต่ศรลมไมห่ นั ไปตามทศิ ลม 6 - 11 รหู้สันกึ ไปลตมาพมัดททิศี่ ใลบมหนา้ ใบไม้แกวง่ ไกว ศรลม 12 - 19 ใบไม้และก่ิงไม้เล็กæ กระดกิ ธงปลวิ 20 - 28 ม½ี นุ† ตลบ กระดาÉปลวิ ก่ิงไม้เลก็ ขยบั เขยอื้ น 29 - 38 ตน้ ไมเ้ ลก็ แกวง่ ไกวไปมา มรี ะลอกน้าํ 39 - 49 กใช่งิ ร้ ไม่มล้ใหําบÞา่ขกยับเขยอ้ื น ไดย้ ินเสียงหวดี หวิว 50 - 61 ตน้ ไม้ใหÞท่ ้ังตน้ แกว่งไกว เดนิ ทางไม่สะดวก 62 - 74 ก่งิ ไม้หกั ลมตา้ นการเดิน 75 - 88 อาคารท่ีไมม่ ัน่ คงหักพงั หลังคาปลิว 89 - 102 ต(ไน้มไป่ มร้¶าอกน¯รบา่อกยลน้มกั )เกดิ ความเสยี หายมาก มากกว่า 103 เกดิ ความเสียหายทั่วไป (ไมค่ อ่ ยปราก¯) ภาพ 1.13 กังหันลมผลติ กระแสไฟฟา ทมี่ า:กรมอุตนุ ิยมวทิ ยา ลมส่งผ ลกระทบต ่อสิง่ ม ชี ีวิตแ ละสงิ่ แวดล้อมหลายป ระการเชน่ เม่ือลมพ ัดผ ่านบ รเิ วณทม่ี แี หลง่ นา้ํ ข นาดใหญม่ ากจะพ ดั พ าเอาค วามช มุ่ ช น้ื ไปยงั บ รเิ วณท มี่ ลี มพดั ผ า่ นไปด ว้ ยอาจท าํ ใหเ้ กดิ การก อ่ ต วั ของเมฆและเกิดเป็นฝนในท่ีสุด หรือเม่ือลมพัดผ่านบริเวณที่แห้งแล้งและหนาวเย็นจะพัดพาเอา อากาศที่มีไอน้าํ น้อยและอุณหภูมิต่าํ ม ายงั บ ริเวณท ีล่ มพัดผา่ นดว้ ยเช่นก นั ลมท มี่ ีอตั ราเรว็ สูงมากอาจ ทาํ ให้เกิดความเสยี หายต ่อบ ริเวณท่ลี มพดั ผ ่านอยา่ งไรก ต็ ามม นุษย์กส็ามารถใชป้ ระโยชนจ์ากลมได้ เช่นกัน เช่น การสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ในบริเวณท่ีมีลมพัดต่อเนื่องสมํ่าเสมอและ มากพอ 1.3.4ค วามช้นื อากาศ ความชื้นอากาศคอื ป รมิ าณไอนํ้าในอากาศความชน้ื อากาศส่งผลต่อส่ิงต่างๆ บนโลก เช่น ความชื้นอากาศท่ี ความชนื้ อากาศมีผลดี พอเหมาะช่วยให้เมล็ดพืชงอกและทําให้พืชเจริญเติบโตได้ดี และผลเสียอื่นๆ แตค่ วามชนื้ กท็ าํ ใหเ้ หลก็ เปน็ สนมิ และช ว่ ยใหเ้ ชอ้ื ราเจรญิ เตบิ โต อยา งไรอกี บา ง ได้ดีเช่นก ันถ ้าความชน้ื อากาศตา่ํ จะท าํ ให้นํา้ ระเหยได้เรว็ ซ่งึ เป็นประโยชน์ต่อการตากเส้ือผ้าและสิ่งของ แต่อาจทําให้ ผวิ หนงั แห้งเกนิ ไปเป็นตน้ บทท่ี 1 บรรยากาศ 13
น้ําจากแหล่งต่างๆ บนพ้ืนผิวโลก ระเหย ไอนํ้าในอากาศคือนา้ํ ในอากาศ กลายเป็นไอลอยขึ้นไปในบรรยากาศ ไอน้ําใน ทีอ่ ยู่ในส¶านะแกส อากาศทาํ ให้อากาศช นื้ จะม ีวธิ ตี รวจสอบค วามชน้ื อากาศได้อ ย่างไรให้ศ กึ ษาจากก จิ กรรม1.5 กจิ กรรม 1.5 การหาความชื้นอากาศ 1. ชบุ กระดาÉกรองในสารละลายโคบอลต์ (II) คลอไรด์ สงั เกตสีของกระดาÉขณะเปย‚ ก และแหง้ บันทกึ ¼ล 2. ใหอ้ อกแบบการทดลอง โดยใช้สารละลายโคบอลต์ (II) คลอไรด์ วดั ความชน้ื อากาศ บรเิ วณต่างæ ในบา้ น หรือที่โรงเรยี น ความช้นื อากาศมผี ลตอ สขี องโคบอลต์ (II)คลอไรด์อยา งไร ความชนื้ อากาศทบ่ี ริเวณตา งๆเหมอื นหรือแตกตา งกนั อยางไร ปจ จยั ใดสงผลตอความช้นื อากาศบา ง การต รวจสอบความชน้ื อากาศทาํ ไดห้ ลายวธิ ี วธิ หี นงึ่ ค อื ใชส้ารเคมีเชน่ สารโคบอลต์ (II)คลอ ไรด์ สารนี้เม่ืออยู่ในอากาศท่ีมีความช้ืนสูงจะให้สีชมพู และจะเป็นสีนํ้าเงินม่วงเม่ืออยู่ในอากาศที่มี ความชนื้ ต่ําและใหส้ นี าํ้ เงนิ เมอื่ ป ราศจากค วามช้นื จากการทํากิจกรรมจะพบว่าบริเวณที่ต่างกัน อาจมีความช้ืนอากาศแตกต่างกัน เน่ืองจาก แตล่ ะบ รเิ วณมแี หลง่ กาํ เนดิ ไอนา้ํ ในอากาศแตกตา่ งกัน นอกจากน นั้ อากาศอุณหภ มู ิหนง่ึ ๆ สามารถ รับปริมาณไอน้ําได้ปริมาณจํากัด สภาวะท่ีอากาศรับปริมาณไอน้ําได้สูงสุด เรียกว่า อากาศอยูใน สภาวะอ�ิมตัวดวยไอน้ํา ปริมาณไอนํ้าสูงสุดท่ีอากาศสามารถรับไว้ได้เรียกว่า ปริมาณไอนํ้าอิ�มตัว อากาศท่ีมีอุณหภูมิแตกต่างกันสามารถรับไอนํ้าได้แตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ศึกษาได้จากกราฟ ในภาพ1.14เมอ่ื ปริมาณไอน าํ้ ในอากาศมมี ากกวา่ ป ริมาณไอน า้ํ อิ่มตวั ไอน า้ํ ในอากาศกจ็ะควบแนน่ เป็นละอองน้าํ นกตวั ใดอยูในบรเิ วณทม่ี คี วามชืน้ สงู ? 14
ป ิรมาณไอน้ําอิ่ม ัตวท่ีมีไ ้ดในอากาศ(g/m3) เปรียบเทยี บปรมิ าณไอนํา้ อิม� ตัว ในอากาศที่อณุ หภมู ิ30ํC และ40ํC จากกราฟอณุ หภูมิและปริมาณไอน้ํา อ�มิ ตัวในอากาศมีความสมั พันธ์กัน อยา งไร อณุ หภูมิ(ํC) ภาพ 1.14 กราฟแสดงปริมาณไอนา้ํ อิม� ตวั ในอากาศท่ีอุณหภูมิตา งๆ การหาความช้ืนในอากาศทําได้หลายวิธี วิธีหน่ึงคือวัดเป็นค่าความชื้นสัมพัทธ์ ซ่ึงเป็นการ เปรียบเทียบระหว่างมวลของไอนํ้าที่มีอยู่จริงในอากาศกับมวลของไอนํ้าเมื่ออากาศอ่ิมตัวด้วยไอน้ํา ณอ ุณหภูมแิ ละปรมิ าตรเดยี วกันคา่ ข องความช้ืนสัมพทั ธแ์ สดงเปน็ รอ้ ยละด ังน้ี ความช้นื สมั พัทธ์ = มวลของไอนา้ํ ท่ีมีอยู่จรงิ x 100 มวลของไอนํ้าเม่ืออากาศอิม่ ตัวด้วยไอนํ้า ทอ่ี ุณหภูมิและปรมิ าตรเดยี วกัน ค่าความช้ืนสัมพัทธ์บอกให้รู้ว่าอากาศใกล้อิ่มตัวด้วยไอนํ้าเพียงใด เม่ืออากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ํา ความชืน้ สัมพทั ธจ์ะมีค ่าเท่ากับร้อยละ100 อากาศท่ีมีอุณหภูมิสูง จะมีปริมาณไอน้ําอิ่มตัวสูงกว่าอากาศท่ีมีอุณหภูมิตํ่ากว่า เมื่อปริมาณ ไอน้ําในอากาศเท่ากัน อากาศที่มีอุณหภูมิตํ่ากว่าจึงมีความช้ืนสัมพัทธ์สูงกว่า ดังนั้นช่วงเช้ามืด จึงม ักม ีความช้ืนสัมพัทธ์สูงกวา่ ช ว่ งบา่ ย อากาศมีความชนื้ สัมพัทธร์ อ ยละ70หมายความวาอยา งไร การตากผาในวันทอี่ ากาศมคี วามช้นื สัมพัทธร์ อยละ60 และรอ ยละ95 วันใดผา แหง ชากวา กันเพราะเหตุใด บทท่ี 1 บรรยากาศ 15
ในการวัดค่าความช้ืนสัมพัทธ์ นิยมใช้เคร่ืองมือ ท่ีเรียกว่า ไซครอมิเตอร์ ประกอบด้วยเทอร์มอมิเตอร์แบบ กระเปาะเปยกและกระเปาะแห้งดังภาพ1.15 การวัดค่า ความชน้ื สมั พัทธจ์ ากไซครอมิเตอร์ศกึ ษาไดจ้ ากกิจกรรม1.6 กิจกรรม 1.6 การหาความชน้ื สมั พัทธ 1. นาํ ไซครอมเิ ตอร์ไปวัดอณุ หภูมอิ ากาศท่ีบริเวณใด บรเิ วณหนึง่ ในโรงเรยี น แลว้ บนั ทกึ ค่าอณุ หภมู ิจาก เทอรม์ อมิเตอรก์ ระเปาะแห้งและกระเปาะเปย‚ ก 2. หาค่า¼ลต่างระหว่างอณุ หภูมจิ ากเทอร์มอมเิ ตอร์ กระเปาะแห้งและกระเปาะเป‚ยก 3. นําคา่ ¼ลต่างของอณุ หภูมไิ ปเทียบหาคา่ ความชืน้ สมั พัทธ์จากตารางหาค่าความชื้นสัมพทั ธ์ ภาพ 1.15 ไซครอมเิ ตอร์ คาความช้นื สมั พทั ธ์ ณเวลาเดยี วกนั ท่ไี ดจ ากบริเวณทต่ี างกนั ในโรงเรียนมคี า เปนอยางไร คา ความช้ืนสัมพัทธใ์ นชวงเวลาตา งกันในสถานทีเ่ ดยี วกนั แตกตา งกันหรือไม อยา งไร การหาค่าความชื้นสัมพัทธ์โดยใช้ไซครอมิเตอร์น้ันใช้หลักการ คือ การระเหยของน้ําจาก เทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปยกจะใช้ความร้อนจากกระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ ทําให้อุณหภูมิของ เทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปยกลดลง ถ้าอากาศมีความช้ืนสัมพัทธ์ตํ่าอากาศยังสามารถรับไอน้ํา ได้อีกมาก นํ้าจากเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปยกจึงเกิดการระเหยได้มาก และทําให้อุณหภูมิของ เทอ ร์มอมเิ ตอร์กระเปาะเปย กลดต ํ่าลงม ากผลตา่ งข องอ ณุ หภูมิระหวา่ งเทอ ร์มอม เิ ตอรก์ ระเปาะเปย ก และกระเปาะแหง้ จึงม ีค า่ มากแตถ่ า้ อากาศมคี วามชน้ื สัมพัทธส์งู นา้ํ จากเทอรม์ อมิเตอรก์ระเปาะเปย ก ระเหยไดน้ อ้ ยท าํ ใหอ้ ณุ หภมู ขิ องเทอ รม์ อม เิ ตอรก์ ระเปาะเปย กลดลงน อ้ ยผ ลต า่ งข องอ ณุ หภมู ริ ะหวา่ ง เทอ ร์มอมเิ ตอร์กระเปาะเปย กและกระเปาะแ หง้ จงึ มีคา่ น อ้ ยด้วยห ลกั ก ารน ี้จึงสามารถใช้ไซค รอมเิ ตอร์ วดั อ ุณหภมู อิ ากาศแล้วเทียบหาความชน้ื สมั พัทธ์ได้ 16
ตัวอย่างตารางหาคา่ ความชื้นสัมพทั ธ์ วธิ ีหาค่าความชื้นสมั พัทธ์จากตาราง 1. หา¼ลต่างของอณุ หภูมจิ ากเทอรม์ อมิเตอรก์ ระเปาะแหง้ และกระเปาะเป‚ยก 2. เทยี บหาจุดตัดระหว่าง¼ลตา่ งในข้อ 1. กับอุณหภมู เิ ทอรม์ อมเิ ตอรก์ ระเปาะเปย‚ กหรอื กระเปาะแห้ง (ขน้ึ อยูก่ ับตารางหาค่าความชนื้ สมั พทั ธ์ที่ ใชว้ า่ กาํ หนดไวอ้ ย่างไร) เชน่ อณุ หภูมกิ ระเปาะแหง้ 32 ํC กระเปาะเปย‚ ก 26 Cํ จากตวั อย่างตาราง จะอ่านคา่ ความชื้นสัมพัทธ์ไดร้ ้อยละ 62 ถาอุณหภูมิกระเปาะแหง อานได28Cํ และอุณหภมู ิกระเปาะเปยกอา นได 24ํC 17 คาความช้นื สัมพทั ธ์จะเปนเทา ใด บทท่ี 1 บรรยากาศ
ก. ข. ภาพ 1.16 ก. ไฮกรอมิเตอร์เสน้ ผม ข. เสน้ ผมท่ีใชใ้ นไฮกรอมเิ ตอร์ น อกจากไซครอมเิ ตอรแ์ ลว้ ยงั มเี ครอ่ื งมอื วดั ความชน้ื สมั พทั ธอ์ กี ช นดิ หนง่ึ ทเ่ี รยี กวา่ ไฮกรอมเิ ตอร์ เส้นผม ดังภาพ1.16 ไฮกรอมิเตอร์ชนิดน้ีวัดความช้ืนโดยใช้การยืดหดของเส้นผมตามความชื้นใน อากาศโดยเสน้ ผมจะต อ่ ก บั ก ลไกท จ่ี ะแสดงเปน็ ค า่ ค วามชนื้ สมั พทั ธเ์ มอื่ ค วามชน้ื สมั พทั ธ์ในอากาศเพม่ิ ขึน้ เส้นผมจะยืดตวั แ ละเส้นผมจะหดตวั เม่ือค วามชืน้ สัมพทั ธล์ ดลง ความชืน้ สมั พัทธ์ของอากาศสง่ ผลต ่อก ารระเหยของน ้ําจากรา่ งกายกรณีท อี่ ากาศรอ้ นมากห รอื หลังจากออกกําลังกาย ร่างกายจะขับเหง่ือออกมาทางผิวหนัง และต้องใช้พลังงานความร้อนจาก ร่างกายในการระเหยของเหงื่อ ถ้าอากาศมีความช้ืนสัมพัทธ์ต่ําเหงื่อระเหยจากร่างกายเร็ว อุณหภูมิ ของร่างกายจะลดลงทําให้รสู้ ึกเยน็ ถ้าอากาศมีความช้นื สัมพทั ธ์สงู เหงอ่ื จะระเหยไดช้ ้าอุณหภมู ิของ รา่ งกายลดลงช า้ ทาํ ให้รู้สึกร้อนแ ละเหนียวตัว อุณหภูมิเมอ่ื อากาศมีคา่ ความชน้ื สัมพัทธร์ ้อยละ 100 เรียก อุณหภมู นิ วี้ ่า อุณหภมู ิจุดนา้ํ ค้าง ซึง่ ไอน้าํ ในอากาศจะเรม่ิ ควบแน่น กลายเปน็ ละอองนา้ํ ขนาดเลก็ 32 ํC อากาศชน้ื 32 Cํ อากาศแหง้ 18
1.3.5เมฆแ ละฝน ถ ้าอากาศเคล่ือนตัวสงู ขนึ้ จนถึงระดบั ท่ีอากาศม ีอณุ หภูมติ า่ํ จนอากาศอ่มิ ตัวด ว้ ยไอนาํ้ ไอน ้ําจะ เกดิ การค วบแนน่ เปน็ ละอองน าํ้ ห รอื ระเหดิ กลบั เปน็ ผ ลกึ น าํ้ แขง็ ข นาดเลก็ และเมอื่ อยรู่ วมก นั เปน็ กลมุ่ จะ เรียกว่าเมฆเมฆม ีรปู ร่างทแี่ ตกต่างก นั และอยูสู่งจากผ วิ โลกต า่ งก นั ห รอื ไม่ อย่างไรศึกษาตัวอยา่ ง เมฆช นิดต า่ งๆจากภ าพ1.17 ซีร์โรสเตรตสั ซีรร์ ัส 8000 เมตร ซรี ์โรควิ มูลสั ควิ มูโลนิมบสั เมฆช้ันสูง 6000 เมตร แอลโตสเตรตสั 4000 เมตร แอลโตคิวมลู ัส เมฆชั้นกลาง ควิ มลู ัส 2000 เมตร สเตรโตคิวมลู ัส นิมโบสเตรตสั สเตรตสั เมฆช้นั ตํา่ ภาพ 1.17 ชนิดของเมฆ บทท่ี 1 บรรยากาศ 19
เมอ่ื พ จิ ารณารปู ร่างลักษณะของเมฆ สามารถ เม¦ซีร์โรสเตรตสั จะทาํ ใหเ้ กดิ แบ่งเมฆเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือเมฆก้อน ดวงอาทติ ยห์ รอื ดวงจนั ทรท์ รงกลด มีช่ือว่า คิวมูลัส เมฆแผ่นหรือเมฆช้ันมีช่ือว่า เม¦นิมโบสเตรตัส เป็นเม¦ที่ทาํ ให้ สเตรตัส และเมฆท่ีเป็นริ้วๆ คล้ายขนสัตว์ มีช่ือว่า เกิด½นพรําæ ตอ่ เน่ืองเปน็ เวลานาน ซีร์รัส เมฆท่ีเกิดในธรรมชาติ นอกจากจะมี 3 เม¦คิวมโู ลนมิ บสั เป็นเม¦ทท่ี าํ ให้ ลกั ษณะกวา้ งๆด งั ก ล่าวแ ลว้ ยงั มีลกั ษณะปลกี ย่อยท ่ี ½นตกหนกั ลมแรง และเกดิ พายุ แตกต่างห รอื ผ สมผ สานก นั ในทางอตุ นุ ิยมวทิ ยาแ บ่ง ¿า‡ คะนอง เมฆอ อกเป็น10ช นดิ สาํ คัญดังภ าพ1.17 กอนฝนตกเมฆบนทองฟา มลี ักษณะอยา งไร ทาํ ไมเมฆจึงมรี ูปรางลกั ษณะแตกตา งกนั ภาพ 1.18 ดวงอาทิตย์ทรงกลด ทมี่ า:http://en.wikipedia.org/wiki/ เมฆท่ีอยู่ระดับสูงประกอบด้วยผลึกนํ้าแข็งเกือบทั้งหมด เพราะอุณหภูมิท่ีระดับนี้ต่ํากว่า จุดเยือกแข็ง ส่วนเมฆที่ระดับปานกลางจะประกอบด้วยผลึกนํ้าแข็งและละอองนํ้า เนื่องจากเมฆ เกิดในระดับท่ีไม่สูงมาก มีอุณหภูมิไม่ต่ําพอที่จะเป็นผลึกน้ําแข็งทั้งหมด สําหรับเมฆท่ีระดับตํ่า จะประกอบด้วยละอองนํ้าทั้งหมด ท้องฟ้าในแต่ละวันจะมีเมฆชนิดต่างๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน นักอุตุนิยมวิทยาจึงกําหนดเกณฑ์ในการบอกลักษณะของท้องฟ้าโดยใช้ปริมาณเมฆในท้องฟ้า เป็นเกณฑ์ โดยสงั เกตวา่ มเี มฆค รอบคลมุ พ้ืนที่ทอ้ งฟ้าก สี่่วนใน10สว่ นเพอ่ื บ อกลกั ษณะของท ้องฟา้ ตามตาราง1.1 20
จากการศ กึ ษาช นดิ และป รมิ าณ ตาราง 1.1 ลกั Éณะของทอ้ ง¿า‡ โดยใช้ปริมาณเม¦เปน็ เกณ±์ เ ม ฆ ใ น ท้ อ ง ฟ้ า ช่ ว ย ใ ห้ ท ร า บ ว่ า ในแต่ละวันหรือแต่ละเวลาในหน่ึงวัน ลักÉณะท้อง¿า‡ ปรมิ าณเม¦ มีเมฆชนิดต่างๆ และมีปริมาณที่ แตกต ่างกันเพอ่ื ใหเ้ข้าใจเกย่ี วกบั ชนิด แจ่มใส มีเม¦นอ้ ยกวา่ 1/10 ของท้อง¿‡า และปริมาณเมฆดียิ่งขึ้น ศึกษาจาก โปรง่ มเี ม¦ 1/10 แตไ่ มเ่ กนิ 3/10 กจิ กรรม1.7 มีเม¦บางส่วน มากกวา่ 3/10 แต่ไม่เกนิ 5/10 มีเม¦เป็นสว่ นมาก มากกว่า 5/10 แต่ไมเ่ กนิ 8/10 มีเม¦มาก มากกว่า 8/10 ¶ึง 9/10 เม¦เตม็ ท้อง¿า‡ 10/10 ทีม่ า:กรมอตุ นุ ยิ มวิทยา กิจกรรม 1.7 มาดเู มฆกนั 1. สงั เกตลักÉณะและปริมาณเม¦ในท้อง¿‡า พรอ้ มทงั้ บนั ทกึ ¼ลและวาดภาพเม¦ 2. เปรียบเทียบ¼ลการสงั เกตลักÉณะของเม¦กบั แ¼นภาพเม¦ สังเกตพบเมฆลกั ษณะอยา งไรบาง ขณะทสี่ งั เกตเมฆมีการเปลี่ยนแปลงลกั ษณะและปรมิ าณหรอื ไมอยา งไร เม่ือละอองนํ้าหรือเกล็ดน้ําแข็งในเมฆมีขนาดใหญ่ข้ึน(สังเกตได้จากสีของเมฆจะเข้มข้ึน) จน กระแสอากาศไหลข น้ึ ในเมฆไม่สามารถพยงุ นํา้ หรอื น้ําแขง็ ไวไ้ด้ นา้ํ หรอื น า้ํ แขง็ กจ็ ะต กลงมายงั ผ ิวโลก ในรปู ต า่ งๆค อื เป็นฝนหิมะหรอื ลกู เห็บซงึ่ เรียกวา่ นาํ้ ฟา้ ลกู เหบ็ คอื นํา้ แข็งที่อยู่ในเม¦ควิ มูโลนิมบสั ละอองนา้ํ ในเม¦ ขนาดใหÞ่ ที่¶กู กระแสลมพัดวนอยภู่ ายในเม¦ หยดนา้ํ ½น เปน็ เวลานาน จนกระทัง่ มีขนาดใหÞ่มากพอที่ เมอ่ื ตกลงมาแลว้ ละลายไมห่ มดก่อน¶งึ พนื้ ภาพ 1.19 ขนาดของหยดน้ําฝนเทยี บกบั ละอองนาํ้ ในเมฆ บทท่ี 1 บรรยากาศ 21
สาํ หรบั ป ระเทศไทยอากาศบ รเิ วณผ วิ โลกสงู กวา่ จดุ เยอื กแขง็ น า้ํ ฟ า้ ท ตี่ กในป ระเทศไทยสว่ นใหญ่ คอื ฝ นสว่ นป ระเทศในเขตห นาวบ างฤ ดอู ณุ หภมู อิ ากาศบ รเิ วณผ วิ โลกต า่ํ กวา่ จดุ เยอื กแขง็ จงึ เกดิ ห มิ ะได้ ละอองนํ้าในเมฆมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ20 ไมโครเมตรขณะท่ีหยดนํ้าฝนมีเส้นผ่าน ศนู ยก์ ลางประมาณ2000ไมโครเมตรหรอื หยดน า้ํ ฝ นมเี สน้ ผ า่ นศนู ยก์ ลางเปน็ 100เทา่ ของละอองน า้ํ หรอื มปี รมิ าตรเปน็ 1ล้านเทา่ ของละอองน ํา้ ในเมฆน ัน่ เอง ประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุมจึงมีฝนตกชุก เน่ืองจากปริมาณฝนข้ึนอยู่กับฤดูกาลและสภาพ ภูมปิ ระเทศด งั น นั้ ในรอบ1ป จงึ มีบางช่วงท มี่ ีป รมิ าณฝ นมากกว่าช ว่ งอืน่ พิจารณาภาพ1.20ท ่แี สดง ปรมิ าณฝนเฉล่ียในประเทศไทยในรอบ30ป ภาพ 1.20 กราฟแสดงปรมิ าณฝนเฉลี่ยในประเทศไทยในรอบ 30 ป (ป พ.ศ. 2515 - 2544) ที่มา: กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยา ปรมิ าณฝนเฉล่ียมากทีส่ ดุ และนอ ยทส่ี ุดมีคาเทา ใดและตรงกับเดือนใด เดือนทมี่ ปี รมิ าณฝนเฉลีย่ มากตรงกับฤดูฝนของประเทศไทยหรอื ไมอยา งไร 22
จากข้อมูลในกราฟจะพบว่า อาจ เกณ±์ปรมิ าณ½น ใช้ปริมาณฝนเฉลี่ยเป็นเกณฑ์ในการ กําหนดฤดูในประเทศไทย เช่น ช่วง ½นเลก็ น้อย 0.1 – 10.0 มิลลเิ มตร เดอื นพ ฤษภาคมถงึ เดอื นต ลุ าคมม ปี รมิ าณ ½นปานกลาง 10.1 – 35.0 มิลลิเมตร ฝนเฉลี่ยสูงซึ่งตรงกับฤดูฝน ส่วนในช่วง ½นหนัก 35.1 – 90.0 มลิ ลเิ มตร พฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนจะตรงกับ ½นหนกั มาก 90.1 มลิ ลิเมตรขน้ึ ไป ฤดูหนาวและฤดูร้อนมีปริมาณฝนเฉลี่ย ตํ่า อย่างไรก็ตามการกําหนดฤดูไม่ได้ ที่มา: กรมอตุ ุนิยมวิทยา ใช้ปริมาณฝนเฉลี่ยเป็นเกณฑ์เพียง อย่างเดยี ว หน่วยที่ใช้วัดปริมาณฝนในภาพ1.20 คือมิลลิเมตร เหตุใดจึงวัดปริมาณฝนเป็นมิลลิเมตร ซ่ึงเป็นหน่วยวัดระยะ แทนท่ีจะวัดเป็นหน่วยปริมาตร นักเรียนทราบหรือไม่ว่ากรมอุตุนิยมวิทยา ม ีการวัดปรมิ าณฝ นอย่างไรเราจะศ ึกษาหลกั ก ารวดั ป ริมาณฝนอย่างง่ายจากกจิ กรรม1.8 กจิ กรรม 1.8 การวัดปริมาณฝนอยา งงาย 1. หาภาชนะทรงกระบอกขนาดต่างæ เช่น กระป‰อง ขวดปากกว้าง 2. ใชท้ ีร่ ดนา้ํ ตน้ ไม้©ดี นาํ้ เป็น½อยæ เหนือภาชนะ และสงั เกตการเพ่มิ ขนึ้ ของน้าํ ในภาชนะ จนกระท่งั ระดับนํ้าพอจะวดั ความสูงได้ 3. วัดความสงู ของนํ้าในภาชนะ และเปรียบเทยี บความสงู ของนํ้าในแตล่ ะภาชนะ ปริมาณนา้ํ ในภาชนะทมี่ ขี นาดตางๆแตกตา งกันหรอื ไมอยางไร ความสงู ของนาํ้ ในภาชนะตา งๆแตกตางกนั หรือไม อยา งไร ถาใชภาชนะที่ไมใชทรงกระบอกทาํ กจิ กรรมจะใหผ ลแตกตา งกันหรือไมอยา งไร บทท่ี 1 บรรยากาศ 23
ภาพ 1.21 เคร่อื งวัดปรมิ าณฝน เมื่อวัดความสูงของน้ําท่ีตกลงในภาชนะในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าภาชนะที่เป็นทรงกระบอก เหมอื นก นั ถ งึ แมจ้ ะม ขี นาดแตกต า่ งก นั ความสงู ข องน าํ้ ในภ าชนะเกอื บเทา่ ก นั แตป่ รมิ าตรน า้ํ จะต า่ งก นั เพราะภาชนะขนาดใหญ่มีพ้ืนท่ีหน้าตัดกว้าง ทําให้รับน้ําฝนได้ปริมาตรมากกว่าภาชนะท่ีมีขนาดเล็ก แต่ถ้าภาชนะที่ใช้ไม่เป็นทรงกระบอก ความสูงของน้ําในภาชนะจะต่างกัน และถ้าภาชนะที่ใช้รองรับ นํา้ มคี วามสงู น อ้ ยเกนิ ไปนํ้าอาจจะล้นท ําให้การวัดปริมาณนาํ้ คลาดเคลื่อน หลักการดังกล่าวได้นํามาใช้ออกแบบสร้างเครื่องวัดปริมาณฝน เครื่องวัดปริมาณฝนแบบท่ี ใช้ทั่วไปเป็นภ าชนะท รงกระบอกข นาดม าตรฐานจะม เีสน้ ผา่ นศ ูนย์กลาง20เซนติเมตรห รือ8นิ้ว ดังภาพ1.21 ภายในมีภาชนะทรงกระบอกสําหรับรองรับน้ําฝนที่สามารถอ่านค่าปริมาณนํ้าฝนได้ โดยตรง 24
จากการศึกษาเรื่ององค์ประกอบของลมฟ้าอากาศในบทนี้ เราจะพบว่า อุณหภูมิอากาศ ความด ันอากาศความชน้ื อากาศลมเมฆแ ละฝ นต ่างก็มคี วามสมั พันธก์ นั ด ังเช่นในช่วงฤดหู นาว ม อี ุณหภูมิตาํ่ ความดันอากาศสงู ปริมาณไอนาํ้ ในอากาศม ีน อ้ ยซึ่งไม่เอื้อตอ่ ก ารกอ่ ต วั ของเมฆด งั นั้น ในช่วงฤดูหนาวท้องฟ้าจึงมักแจ่มใสไม่ค่อยมีเมฆหรือฝน ส่วนในช่วงฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูง ความดัน อากาศต า่ํ ป รมิ าณไอน าํ้ ในอากาศม มี ากจงึ ม โี อกาสจะเกดิ เมฆและฝ นไดม้ ากกวา่ ในฤ ดหู นาวน อกจาก นเี้ มอ่ื อากาศม กี ารเคลอ่ื นทเี่ นอื่ งจากค วามด นั อากาศในแตล่ ะพ นื้ ทต่ี า่ งก นั จงึ ท าํ ใหเ้ กดิ ลมพ ดั ในท ศิ ทาง และอ ตั ราเรว็ ต ่างๆด ้วย เมื่อแต่ละองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การศึกษาองค์ประกอบ ข องลมฟา้ อากาศจะทาํ ให้เขา้ ใจกระบวนการเปลยี่ นแปลงต่างๆในบรรยากาศไดด้ ียิง่ ขนึ้ นอกจากน ้นั อ งค์ประกอบข องลมฟ า้ อากาศยังสง่ ผลตอ่ ป รากฏการณ์ลมฟ ้าอากาศซ งึ่ จะได้ศกึ ษาในบทต ่อไป บทที่ 1 บรรยากาศ 25
1. บนโลกของเรามีหลุมอกุ กาบาตหรือไม เพราะเหตุใด 2. อากาศแหงมสี ดั สว นของแกส ไนโตรเจนเปนก่เี ทาของแกสออกซเิ จน และแกส ออกซเิ จน เปนกเี่ ทาของแกส คารบอนไดออกไซด 3. แกส ออกซเิ จนท่ีใหกบั ผปู วยเปน แกส ออกซิเจนบรสิ ุทธห์ิ รอื ไม อยา งไร 4. ถา พบวา อากาศมีไอนา้ํ ในอากาศรอ ยละ 2 แลวสดั สวนของแกส ไนโตรเจนในอากาศจะมีคา เปลีย่ นแปลงจากสดั สว นในอากาศแหง หรือไม อยา งไร 5. เพราะเหตใุ ดวตั ถจุ ากนอกโลกทีเ่ ขา มาในชน้ั บรรยากาศของโลกจึงเร�ิมเผาไหมท ีบ่ รรยากาศ ช้ันมีโซสเฟย ร 6. บรรยากาศชน้ั สตราโตสเฟย รมีอณุ หภมู สิ ูงสดุ และตา่ํ สุดเทาใด 7. ผิวโลกท่ปี กคลมุ ดว ยหมิ ะ ทะเลทราย จะสะทอ นแสงอาทติ ยไดแ ตกตา งกนั หรอื ไม อยา งไร 8. ยกตวั อยางองคป ระกอบของลมฟาอากาศมา 3 อยา ง 9. จากขอมลู ชว งเวลาใดของแตละวนั มีอุณหภูมสิ ูงสดุ และตาํ่ สดุ ตามลําดับ เหตใุ ดจึงเปนเชนนน้ั 10. เหตใุ ดอณุ หภูมิอากาศบริเวณที่แหง แลง ไมม ตี น ไม จึงมคี าสูงกวาบรเิ วณทเ่ี ปนปาไม 11. ความดนั อากาศคืออะไร 12. เหตใุ ดความหนาแนน� ของอากาศบรเิ วณผิวโลกจงึ มีคา มากกวาระดับสงู ขึน้ ไป 13. บารอมิเตอรแ บบแอนิรอยดม ีหลักการทํางานอยา งไร 14. ความดนั 1 บรรยากาศเทา กับกีบ่ าร 15. จากขอ มูลในบทเรียนถาอากาศมีความชน้ื 30 กรัมตอ ลกู บาศกเ มตร ท่อี ุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส และทอ่ี ณุ หภูมิ 40 องศาเซลเซียส มคี วามชน้ื สมั พทั ธเปน เทา ใดตามลําดับ 16. บรเิ วณทม่ี ีคาความชนื้ สัมพทั ธสงู จะมีปรมิ าณไอนาํ้ ตอปริมาตรสูงกวา บรเิ วณ ทม่ี คี า ความชน้ื สัมพทั ธต่ําหรอื ไม อยางไร 17. บรเิ วณ 2 บริเวณ มอี ณุ หภมู อิ ากาศเทา กัน แตม ีความช้ืนสมั พทั ธของอากาศตา งกัน จะสง ผลตอ เราแตกตางกันหรอื ไมอ ยางไร 18. เมฆประกอบดว ยนํ้าในสถานะใดบา ง 19. นกั เรียนคิดวา เพราะเหตใุ ดจึงวดั ปริมาณฝนเปน มิลลิเมตร
ลมฟา อากาศ จดุ ประสงคก ารเรียนรู วเิ คราะหแ ละอภิปรายผลของลมฟาอากาศทมี่ ตี อ มนุษย แปลความหมายขอมูลจากการพยากรณอากาศ วเิ คราะหและอภปิ รายผลของ เอลน�โญ ลาน�ญา วเิ คราะหแ ละอภิปรายสาเหตแุ ละผลจากการเปล่ียนแปลง อุณหภูมิของโลกจากปรากฏการณเรอื นกระจก วเิ คราะหและอภิปรายผลของมลพิษทางอากาศ รโู หวโ อโซน และฝนกรด
เราไดท้ ราบแลว้ วา่ อณุ หภมู อิ ากาศความด นั อากาศลมความชน้ื เมฆและฝ นเปน็ องคป์ ระกอบ ของลมฟ า อากาศห ากแตล่ ะองคป์ ระกอบข องลมฟ า อากาศม กี ารเปลย่ี นแปลงจะท าำ ใหเ้ กดิ ลมฟ า อากาศ ต ่างๆอ นั สง่ ผ ลต อ่ สิง่ ม ีชวี ิตและสิ่งแวดล้อมเช่นพายฟุ าค ะนองพายุห มนุ เขตรอ้ นและม รสมุ 2.1 พายฟุ าคะนอง ÅÁ¿Ò‡ ÍÒ¡ÒÈËÁÒ¶֧ÊÀÒÇТͧ ºÃÃÂÒ¡ÒÈ㹪Nj §àÇÅÒÊÑ¹é æ ³ ʶҹ·Õè จากการศึกษาองค์ประกอบของลมฟา ˹§Öè હ‹ »ÃÔÁÒ³½¹ã¹ 3 ªÇèÑ âÁ§ อากาศ พบว่าเม่ือน้ำาจากแหล่งต่างๆ บนโลก ÍØ³ËÀÙÁÊÔ Ù§Ê´Ø ã¹áµ‹ÅÐÇѹ ʋǹ ระเหยกลายเป็นไอนำ้า และเมื่ออากาศอ่ิมตัว ÀÙÁÍÔ Ò¡ÒÈËÁÒ¶֧ÊÀÒ¾ÅÁ¿‡ÒÍÒ¡ÒÈ ด้วยไอนำ้า ไอน้ำาจะควบแน�นเป็นละอองน้ำาและ ·èÕäดŒจาก¤‹า·างʶตÔ Ô¢องลม¿‡าอากาศ อยู่รวมกันเป็นเมฆ แต่ในบางช่วงของฤดูร้อน ã¹ÃÐÂÐàÇÅÒÂÒǹҹ ઋ¹ »ÃÁÔ Ò³½¹ ท่ีอากาศร้อนมาก น้ำาจะระเหยเป็นไอน้ำาได้มาก à©ÅèÕÂÃÒ»¨‚ Ò¡¢ŒÍÁÅÙ 30 »‚ ÍØ³ËÀÙÁÔ อากาศร้อนช้ืนน�้ จะลอยตัวสูงข้ึนอย่างรวดเร็ว Ê§Ù Ê´Ø ã¹Ãͺ 50 »‚ ໚¹µ¹Œ ถึงระดับท่ีอุณหภูมิต่ำาจนไอนำ้าควบแน�นเป็น ละอองนำ้าปริมาณมหาศาล และเกิดต่อเน่ือง เป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส เม่ือกลายเป็นฝนจะ ตกหนกั ม ีลมกระโชกแรง เกิดฟ าแลบ ฟ าร้อง และฟาผ่า ซ่ึงเราเรียกลมฟาอากาศแบบน้�ว่า พายุฟาคะนอง พายุฟาค ะนองเกดิ เฉพาะถ ่ินในระยะเวลา สัน้ ๆและครอบคลุมพน้ื ท่ีไมก่ วา้ งม ากแ ต่พายุ ฟาคะนองอาจทำาให้เกิดอันตรายและก่อให้เกิด ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ จาก ฝนตกหนัก ลมแรง ลูกเห็บ และน้ำาท่วมฉับ พลนั น อกจากน้ส�่ิงม ีชวี ติ อาจไดร้ับอ นั ตรายจาก ฟาผ่าได้ พายุÄดรู อŒ น ¤×อพายุ¿‡า¤Ðนอง ภาพ 2.1 การเกดิ ฟาแลบและฟา ผา ·èมÕ ¤Õ วามรุนáรง เกÔดãนª‹วงÄดูรอŒ น 28
ฟาผ่าเป็นปรากฏการณ์ท่ีเกิดจากการแลกเปลี่ยนประจุระหว่างเมฆคิวมูโลนิมบัสและพ้ืน โลก แต่ถ้าการแลกเปล่ียนประจุไฟฟาภายในก้อนเมฆหรือระหว่างก้อนเมฆท่ีอยู่ใกล้กันจะทำาให้เกิด ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าฟาแลบ ขณะเกิดฟาแลบหรือฟาผ่า อากาศโดยรอบจะมีอุณหภูมิสูงประมาณ 30,000 องศาเซลเซียส ทำาให้อากาศเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงดังมากเรียกว่า ฟา รอ้ ง เพราะเหตุใดจงึ ไมเกิดฟา แลบและฟา รอ งทกุ ครง้ั ที่มเี มฆในทอ งฟา พายฟุ าคะนองทีม่ ีความรนุ แรงนา� จะเกดิ ในชว งฤดใู ดของประเทศไทย 2.2 พายหุ มนุ เขตรอ น จากการศึกษาท่ีผ่านมา ทำาให้ทราบว่าพายุฟาคะนองส่วนใหญ่เกิดในบริเวณแคบและกินเวลา ไม่นาน แต่ประเทศไทยอาจมีฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง เกิดน้ำาท่วมและลมแรง อันเนื่องมาจาก ลมฟ าอากาศทเ่ี รยี กวา่ พ ายุหมุนเขตร้อน พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทรที่นำ้าในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูง และระเหยเป็นไอนำ้า ปริมาณม ากท ำาใหอ้ ากาศบรเิ วณน นั้ ก ลายเปน็ อากาศรอ้ นช ื้นและลอยตวั ขึ้นอย่างรวดเร็วเปน็ บ ริเวณ กวา้ งอากาศภ ายนอกบ รเิ วณน จ�้ งึ เคลอ่ื นต วั เขา้ ม าแทนท่ี และการห มนุ รอบต วั เองข องโลกท าำ ใหอ้ ากาศ เคลอ่ื นทพ่ี ดั เวยี นเขา้ หาศ นู ยก์ ลางข องพ ายใุ นท ศิ ท วนเขม็ น ากิ าในซ กี โลกเหนอื และท ศิ ตามเขม็ น ากิ า ในซีกโลกใต้ เกิดเปน็ พ ายุหมนุ เขตร้อน พายไุ ซโคลนนากสี เกิดในซีกโลกเหน�อ พายไุ ซโคลนแลร่ี เกิดในซกี โลกใต ภาพ 2.2 พายหุ มนุ เขตรอนทีเ่ กิดในซีกโลกเหน�อและซีกโลกใต ที่มา : www.nasa.gov บทที่ 2 ลมฟา อากาศ 29
พายุจะรุนแรงที่สุดใกล้ศูนย์กลางพายุ แต่บริเวณศูนย์กลางพายุที่เรียกว่าตาพายุจะมีลมอ่อน พายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณมหาสมุทรและทะเลในเขตร้อนเท่านั้น ในขณะที่พายุ เคลื่อนตัวจะพัดพาเมฆจำานวนมากมาด้วยและทำาให้เกิดฝนตกหนัก เม่ือพายุเคลื่อนตัวเข้าสู่แผ่นดิน หรือเข้าสบู่ ริเวณท ่นี า้ำ ทะเลม ีอ ณุ หภูมติ ำ่าพ ายุจะอ่อนก ำาลงั และสลายตัวไปในทสี่ ดุ พ ายุหมนุ เขตร้อนจำาแนกต ามอ ัตราเรว็ ลมรอบจดุ ศนู ยก์ ลางดงั ตาราง2.1 อตั ราเรว็ ลมรอบจดุ ศนู ยก์ ลาง พายุ ¡ÔâÅàÁµÃ/ªèÇÑ âÁ§ ´Õà»ÃÊªÑ¹è µíèÒ¡ÇÒ‹ 63 ⫹ÃÍŒ ¹ µé§Ñ ᵋ 63 – 117 䵌½¹Ø† ÁÒ¡¡Ç‹Ò 117 เนื่องจากพายุหมุนเขตร้อนจะมีการ ภาพ 2.3 ความเสียหายจากพายเุ กย์ เคลื่อนท่ีไปด้วย ดังนั้นความเร็วของพายุหมุน ท่จี ังหวัดชมุ พร ปี 2532 เขตร้อนจึงมีท้ังความเร็วของลมที่พัดเวียน รอบศูนย์กลาง และความเร็วในการเคลื่อนท่ี ของพายุ ซ่ึงหมายถึงความเร็วท่ีพายุทั้งระบบ เคลอ่ื นท่ีไป ในขณะท่ีพายุหมุนเขตร้อนอยู่ในทะเล อาจจะทำาให้เกิดคล่ืนขนาดใหญ่ ซ่ึงเป็น อันตรายต่อการเดินเรือ ถ้าคล่ืนขนาดใหญ่ ดังกล่าวเคล่ือนที่เข้าสู่ฝั่ง เราเรียกว่าคล่ืนพายุ ซัดฝั่ง(Stormsurge) ซ่ึงเป็นคลื่นที่สามารถ ทาำ ลายสิ่งกอ่ สร้างบรเิ วณช ายฝั่งได้ ดงั ภาพ2.4 30
กข ภาพ 2.4 ก. สภาพอาคารกอ นเกิดคลนื่ พายพุ ดั ฝง ข. สภาพอาคารหลงั เกดิ คลืน่ พายซุ ดั ฝง ยกตัวอยา งจงั หวดั ท่ไี ดรับผลกระทบจากพายหุ มนุ เขตรอน ประชาชนทอ่ี าศัยอยใู นพื้นที่เส่ียงภัยการเกิดพายหุ มุนเขตรอ น ควรปฏบิ ัติตนอยา งไร »รÐกาศเตอ× นÀยั “พายâุ «นรŒอน “ เม¢ลา ”” ©ºÑº·èÕ 1 (352/2551) ŧÇѹ·èÕ 29 ¡¹Ñ ÂÒ¹ 2551 ¾ÒÂØ´Õà»Ãʪ¹èÑ ã¹·ÐàŨ¹Õ 㵌µÍ¹¡ÅÒ§ä´·Œ Ç¡Õ íÒÅѧáç¢éֹ໚¹¾ÒÂâØ «¹ÃŒÍ¹“ àÁ¢ÅÒ ” áÅŒÇ âดยเมอè× เวลา 11.00 น. มศÕ นู ย์กลางอยËู‹ า‹ งจากเม×องดานงั »รÐเ·ศเวÕยดนาม»รÐมา³ 220 กÔâลเมตร Ëร×อ·èÕลÐตÔจดู 16.2 องศาเËนอ× ลองจÔจูด 111.2 องศาตÐวันออก ม¤Õ วามเรว็ ลมÊงู Êดุ ãกลŒศนู ยก์ ลาง »รÐมา³ 65 กÔâลเมตรตอ‹ ªัèวâมง กา í ลงั เ¤ลè×อนตวั ·าง·ÔศเËน×อ¤‹อนä»·างตÐวนั ตกเล็กนŒอยดŒวย ¤วามเร็ว»รÐมา³ 15 กÔâลเมตร ตอ‹ ªวัè âมง ¤าดว‹า พายุนจÕé Ðเ¤ลèอ× นตัวเ¢าŒ ãกลเŒ กาÐäËËล íาãนรÐยÐáรก áลÐจÐเ»ลèÕยน·ศÔ ·างการเ¤ล×èอนตัวเ¢ŒาÊ‹ูอ‹าวตังเกëÕยáลлรÐเ·ศเวยÕ ดนามตอนบนãนรÐยÐตอ‹ ä» ลกั ɳРเªน‹ น·Õé าí ãËบŒ รเÔ ว³»รÐเ·ศä·ยมÕ½นตกªุกËนาáนน‹ áลÐมÕ½นตกËนกั Ëลายพ×éน·Õèâดยเ©พาÐãนÀา¤เËนอ× Àา¤ตÐวันออกเ©ยÕ งเËน×อ Àา¤ตÐวนั ออก áลÐÀา¤ãต Œ ¢อãËŒ»รЪาªน·อÕè าศัยอยู‹ãนพน×é ·ÕèเÊÕèยงÀัย บรÔเว³·èÕลาดเªÔงเ¢าáลÐãกลŒ·างนาéí äËล¼า‹ นâดยเ©พาÐบรÔเว³จงั Ëวดั เªÕยงราย พÐเยา นา‹ น อตุ รดตÔ ¶์ เพªรบรู ³ ์ ¢อนáกน‹ น¤รราªÊมÕ า บุรÕรัมย์ Êรุ Ôน·ร์ อุบลราª¸านÕ น¤รนายก »ราจนÕ บรุ Õ จัน·บรุ Õ ตราด Ãйͧ áÅо§Ñ §Ò ÃÐÇ§Ñ Í¹Ñ µÃÒ¨ҡÊÀÒÇн¹µ¡Ë¹Ñ¡·Õ¨è зÒí ãËàŒ ¡´Ô ¹Òíé ·Ç‹ Á©ºÑ ¾Å¹Ñ áÅйÒíé »Ò† äËÅËÅÒ¡ เกดÔ ¢éนÖ äดอŒ กÕ ãนรÐยÐ 1-3 วัน¢ŒางËนาŒ (29 ก.ย.- 2 ต.¤. 51) นÕé Ê íาËรับมรÊมุ ตÐวนั ตกเ©Õยงãต·Œ พÕè ัด »ก¤ลุม·Ðเลอนั ดามนั áลÐอา‹ วä·ยมÕก าí ลงั ¤‹อน¢Œางáรง·า í ãË·Œ Ðเลม¤Õ ลน×è Êงู »รÐมา³ 2 เมตร Êว‹ นãน บรÔเว³·มÕè ½Õ น¿‡า¤Ðนอง ¤ลè×นÊูงมากกวา‹ 2 เมตร ¢อãËŒªาวเร×อรÐมดั รÐวังอนั ตรายãนการเดนÔ เร×อ ãนª‹วงวัน·Õè 29 ก.ย. - 2 ต.¤. 51 นÕé äวŒดวŒ ย ·มèÕ า : กรมอตุ นุ ÔยมวÔ·ยา www.tmd.go.th บทที่ 2 ลมฟาอากาศ 31
2.3 มรสุม นอกจากพายุหมุนเขตร้อนและพายุฟาคะนองแล้วยังมีลมฟาอากาศอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดข้ึน เนอื่ งจากค วามแตกต า่ งข องอ ณุ หภมู อิ ากาศเหนอื ท วปี ก บั ม หาสมทุ รเกดิ ข นึ้ ในบรเิ วณกวา้ งม ชี ว่ งเวลา ทเ่ี กิดน านและเกดิ ข น้ึ ตามฤ ดูในแตล่ ะป ลมฟาอากาศป ระเภทน้เ� รียกวา่ ม รสุม ภาพ 2.5 น้าํ ทวมเน�องจากมรสมุ ในฤดูร้อนอุณหภูมิของอากาศเหนือทวีปสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศเหนือมหาสมุทร ส่งผลให้ ความดันอากาศเหนือทวีปต่ำากว่าความดันอากาศเหนือมหาสมุทร ทำาให้เกิดลมพัดจากมหาสมุทร เขา้ สู่แผ่นดินซ่งึ เรียกวา่ มรสมุ โดยมรสมุ น �้จะพ าความชืน้ จากท ะเลสู่แผ่นด ินทำาใหเ้ กิดฝ น เน่ืองจากมรสุมน ้�เกิดในช ่วงฤดรู อ้ นข องป ระเทศทางซ ีกโลกเหนือแ ละมีทศิ ทางข องลมพ ดั จาก ทศิ ตะวนั ตกเฉย� งใต้จึงเรียกว่ามรสุมฤดูร้อนหรอื มรสมุ ต ะวันต กเฉ�ยงใต้ ดังภ าพ2.6 ภาพ 2.6 แผนที่แสดงทิศทางลมในชว งมรสุมตะวันตกเฉย� งใต 32
ในฤดูหนาวอุณหภูมิของอากาศเหนือทวีปจะตำ่ากว่าอุณหภูมิของอากาศเหนือมหาสมุทร ความดันอากาศเหนือทวีปจึงสูงกว่าความดันอากาศเหนือมหาสมุทร ทำาให้เกิดลมพัดจากทวีปสู่ ม หาสมทุ รซ ง่ึ เรยี กวา่ ม รสมุ เชน่ ก นั แตม่ รสมุ น จ้� ะพ ดั พ าค วามห นาวเยน็ และค วามแหง้ แลง้ จากท วปี ท าง ซีกโลกเหนือมายังบริเวณศูนย์สูตร เน่ืองจากมรสุมน้�เกิดในช่วงฤดูหนาวและมีทิศทางของลมพัดจาก ทิศต ะวันออกเฉย� งเหนอื จึงเรียกว่ามรสมุ ฤ ดูหนาวห รอื ม รสุมตะวนั อ อกเฉ�ยงเหนือด งั ภ าพ2.7 ภาพ 2.7Hแผนทีแ่ สดงทิศทางลมในชวงมรสุมตะวนั ออกเฉ�ยงเหน�อ 2.4 การพยากรณอากาศ H การเปลย่ี นแปลงข องลมฟ า อากาศในแตล่ ะวนั อยเู่ หนอื การควบคมุ ข องม นษุ ย์ แตไ่ ดส้ ง่ ผ ลต อ่ ช วี ติ ความเปน็ อ ยู่ของมนุษย์ สตั ว์ และพ ชื รวมท ั้งส่ิงตา่ งๆบนโลกมนษุ ย์จงึ จาำ เปน็ ต้องพยากรณล์ มฟา อากาศเพอ่ื การป อ งกนั ภ ยั และบ รรเทาภ ยั รวมท งั้ น าำ ข อ้ มลู ไปใชป้ ระโยชน์ เชน่ วางแผนการจดั ก จิ กรรม กลางแ จ้งแ ละต ากพืชผ ลทางการเกษตรศ กึ ษาขอ้ มูลท่ีได้จากก ารพ ยากรณ์อากาศต ามก ิจกรรม2.1 กจิ กรรม 2.1 การพยากรณอ ากาศ 1. ¤นŒ Ëา¤ íาพยากร³์อากาศ จากอÔนเ·อรเ์ นต็ Ëนงั Êอ× พÔมพ ์ Ëร×อ â·ร·ศั น์ 2. Êรุ»¢อŒ มูล·èÕäดŒจาก¤ าí พยากร³์อากาศ 3. á»ล¤วามËมายจาก¤ าí พยากร³์อากาศ บทท่ี 2 ลมฟาอากาศ 33
จากคาํ พยากรณอากาศขอมูลใดที่แสดงถงึ องคป ระกอบของลมฟา อากาศ จากการแปลความหมายของคําพยากรณอากาศ ควรจะมกี ารปฏิบตั ติ นอยางไร การพยากรณ์อากาศนั้นประกอบด้วยหลายขั้นตอนได้แก่ การตรวจอากาศเพื่อให้ทราบสภาวะ อากาศป ัจจบุ นั ซ ่งึ ไดม้ าจากการตรวจอากาศผิวพ ื้นและอากาศชนั้ บนท่รี ะดบั ความสูงตา่ งๆ การตรวจอากาศผ วิ พืน้ ทำาใหไ้ดข้ อ้ มลู เกีย่ วก ับอุณหภูมิ ภาพ 2.8 บอลลนู ตรวจอากาศช้นั บน ความชน้ื ความด ันอากาศลมเมฆแ ละฝนโดยปกตจิ ะต รวจ ทกุ 3ช่วั โมงสว่ นก ารต รวจอากาศช นั้ บนจะตรวจท ิศทางแ ละ ค วามเรว็ ลมท ุก6ช ัว่ โมงแ ละตรวจอณุ หภูมกิ ับความชื้นทกุ 12ชัว่ โมง น อกจากใชข้ อ้ มลู การต รวจอากาศในบ รเิ วณน นั้ แลว้ ยงั ตอ้ งใชผ้ ลการต รวจอากาศจากบ รเิ วณท อ่ี ยโู่ ดยรอบด ว้ ยเพราะ ลมฟ า อากาศมีก ารเคลอ่ื นท่ีอยู่ต ลอดเวลาดว้ ยเหตนุ จ�้ งึ ต อ้ งมี การแลกเปลยี่ นข อ้ มลู ระหวา่ งสถานต� รวจอากาศในประเทศและ ระหวา่ งป ระเทศเพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู อยา่ งเพยี งพ อต อ่ การพ ยากรณ์ อากาศ ในปัจจุบันการตรวจอากาศด้วยเรดาร์และดาวเทียม อุตุนิยมวิทยาช่วยให้การพ ยากรณ์อากาศแม่นยาำ ยงิ่ ขน้ึ ภาพ 2.9 ภาพถา ยจากดาวเทยี มอตุ นุ ิยมวิทยา ภาพ 2.10 ดาวเทียมอตุ ุนิยมวทิ ยา MTSAT-1R วนั ที่ 5 มีนาคม 2552 ท่ีมา : ขอ มลู จากกรมอตุ นุ ิยมวทิ ยา 34
ข้อมูลที่ได้จากสถาน�ตรวจอากาศทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และจากดาวเทียมจะนำามาใช้ ในการทำาแผนท่ีอากาศชนิดต่างๆ ดังตัวอย่างภาพ2.11 ซ่ึงแสดงองค์ประกอบของลมฟาอากาศ ณ เวลาใดเวลาหนงึ่ แ ลว้ จึงจัดท ำาคำาพ ยากรณอ์ ากาศจากแผนทอ่ีากาศ พยากร³์อากาศ»รÐจ าí วัน· èÕ 4 ÊÔงËา¤ม 2552 ลมมรÊมุ ตÐวนั ตกเ©ยÕ งãตŒก าí ลังáรงพัด»ก¤ลมุ ·Ðเลอันดามนั »รÐเ·ศä·ย áลÐ อ‹าวä·ย ·í าãËŒม½Õ นเ»นš áË‹งæ¶งÖ กรÐจาย Êว‹ น¤ลèน× ลมãน·Ðเลอันดามนั áลÐอา‹ ว ä·ยตอนบนม¤Õ ลนè× Êงู 2-4 เมตร ¢อã˪Œ าวเร×อรÐมดั รÐวงั อนั ตรายãนการเดนÔ เร×อ áลÐเร×อเล็ก¤วรงดออกจาก½˜ง› ãนªว‹ งวัน·è Õ 4-7 Ê.¤. นÕé ͹Öè§ ¾ÒÂØ´Õà»ÃʪѹºÃÔàdz·ÐàŨչ㵌µÍ¹º¹·ÇÕ¡íÒÅѧáç¢éֹ໚¹¾ÒÂØâ«¹ÃŒÍ¹ “âกนÕ (GONI)” เ¤ล×èอนตัว·างตÐวันตกเ©ÕยงเËน×อ ¢อãËŒ¼Œู·ÕèจÐเดนÔ ·างä»เกาÐ ÎÍ‹ §¡§ áÅлÃÐà·È¨Õ¹µÍ¹ãµµŒ ÃǨÊͺÊÀÒ¾ÍÒ¡Òȡ͋ ¹ÍÍ¡à´Ô¹·Ò§ ภาพ 2.11 แผนทอ่ี ากาศและคาํ พยากรณ์ วันท่ี 4 สิงหาคม 2552 ทมี่ า : ขอ มลู จากกรมอตุ ุนิยมวิทยา จากตัวอย่างแผนท่ีอากาศ ตัวเลขบนแผนท่ี แสดงถึงค่าความดันอากาศ(หน�วยเป็นเฮคโต ปาสคาล) เส้นที่ลากบนแผนท่ีคือเส้นความดันอากาศเท่า จะลากผ่านจุดท่ีมีค วามดันอากาศเทากัน บางบ ริเวณจะม ีตวั อ กั ษรHหรือLก ำากับไว้ก ล่าวคือHคอื ศ ูนยก์ ลางของบ รเิ วณค วามดนั อากาศสูง ส่วนLค ือศูนยก์ ลางข องบรเิ วณค วามดนั อากาศตำ่า จากภาพ 2.11 ความดันอากาศบริเวณ ¤วามดนั 760 มÔลลÔเมตร»รอ· ประเทศไทยมีคาเทา ใดบา ง = 1013.250 เΤâต»าʤาล บทที่ 2 ลมฟาอากาศ 35
แม้ว่าในปัจจุบันการพยากรณ์อากาศจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่การพยากรณ์อากาศก็ยัง มีความคลาดเคล่ือนอยู่บ้าง เน่ืองมาจากสาเหตุหลายประการ เช่น สถาน�ตรวจอากาศมีน้อยและ อยู่ห่างกันมากทำาให้ไม่ทราบสภาวะท่ีแท้จริงของบรรยากาศได้ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ป รากฏการณต์ า่ งๆทางอ ตุ นุ ยิ มวทิ ยายงั ไมส่ มบรู ณ์ นอกจากน น้ั บ รรยากาศเปน็ สง่ิ ท มี่ กี ารเปลยี่ นแปลง ต่อเน่ืองตลอดเวลา และธรรมชาติของกระบวนการที่เกิดข้ึนในบรรยากาศนั้น มีความละเอียดอ่อน ซบั ซอ้ นอ ย่างยง่ิ ป รากฏการณซ์ ่งึ เกิดข ึน้ ในบ ริเวณแ คบหรือเกดิ ข ้นึ ในระยะเวลาสนั้ ๆซ ึ่งไมส่ ามารถ ตรวจพ บได้อาจท ำาใหล้ มฟา อากาศเกิดการเปล่ียนแปลงอยา่ งม ากในระยะเวลาต่อม า 2.5 เอลนโี ญ- ลานญี า ลมฟา อากาศมีก ารเปลี่ยนแปลงเกิดข ึน้ อ ย่างตอ่ เนอ่ื งต ลอดเวลา เชน่ การเกดิ ลมบก ลมทะเล ลมภ เู ขาและลมห บุ เขาเปน็ การเปลยี่ นแปลงลมฟ า อากาศในช ว่ งเวลาก ลางวนั และก ลางค นื สว่ นม รสมุ เป็นลมฟา อากาศที่เปลย่ี นแปลงต ามฤ ดูน อกจากการเปลย่ี นแปลงของลมฟ าอากาศท ี่ได้ศกึ ษามาแลว้ ยงั ม กี ารเปลย่ี นแปลงข องลมฟ า อากาศท ่ีไมไ่ ดเ้ กดิ ข น้ึ อ ยา่ งต อ่ เนอื่ งซ ง่ึ จดั วา่ เปน็ ค วามแปรปรวนข องลม ฟาอากาศดังจะได้ศกึ ษาต่อไป มหาสมุทรเป็นพ้ืนที่ส่วนใหญ่ของโลก ดังน้ันอุณหภูมิของน้ำาในมหาสมุทรจึงส่งผลต่อลมฟา อากาศในสภาวะป กตนิ า้ำ ในม หาสมทุ รแปซฟิ ก ด า้ นต ะวนั อ อกม อี ณุ หภมู ติ า่ำ นาำ้ ในม หาสมทุ รจงึ ระเหยได้ นอ้ ยทาำ ใหเ้ มฆกอ่ ต วั ไดย้ ากสง่ ผ ลใหบ้ รเิ วณน เ้� ชน่ ป ระเทศเปรมู ฝี นต กน อ้ ยสว่ นน า้ำ ในม หาสมทุ รแปซฟิ ก ด้านตะวนั ตกมีอณุ หภูมสิ งู นำ้าในมหาสมทุ รจึงระเหยไดม้ ากท าำ ใหเ้มฆก่อต ัวได้มากส่งผ ลให้บริเวณน �้ เชน่ ป ระเทศอ ินโดน เ� ซียมีฝนต กมาก แตบ่ างครั้งนา้ำ ในม หาสมทุ รแปซิฟก ด ้านต ะวนั ออกมอี ณุ หภมู สิ งู ข ึ้นทาำ ให้เมฆก่อต ัวในบริเวณน�้ ไดม้ ากสง่ ผ ลใหบ้ รเิ วณนซ�้ งึ่ เคยแ หง้ แ ลง้ ก ลบั มีฝ นต กมากส่วนน ำ้าในม หาสมุทรแปซิฟก ด า้ นตะวนั ต ก กลับมีอุณหภูมิลดต่ำาลง ทำาให้เมฆก่อตัวได้น้อย บริเวณน้�ซึ่งเคยมีฝนตกมากกลับแห้งแล้ง ปรากฏการณท์ เี่ กดิ ข น้ึ น เ�้ รยี กว่าเอลนโ� ญ 36
¡ÃÐáʹÒéí ͹‹Ø ภาวะปกติ ¡ÃÐáʹíéÒ͹؋ เอลนโ� ญ ¡ÃÐáʹÒéí ͹؋ ลานญ� า 37 ภาพ 2.12 สภาพบริเวณมหาสมทุ รแปซิฟก ในสภาวะปกติ เอลนโ� ญและ ลาน�ญา (สแี ดงและสีสมในภาพแทนบรเิ วณทน่ี ํ้าทะเลมีอณุ หภูมิสงู กวา ปกต)ิ บทที่ 2 ลมฟา อากาศ
ในบางคร้ังจะเกิดปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนตรงกันข้ามกับเอลน�โญ คือ นำ้าในมหาสมุทรแปซิฟก ด้านตะวันออกมีอุณหภูมิตำ่ากว่าปกติ บริเวณน�้จึงแห้งแล้งกว่าปกติ ส่วนน้ำาในมหาสมุทรแปซิฟก ด้านตะวันตกอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ส่งผลให้บริเวณน�้เกิดฝนตกหนักกว่าปกติ เรียกปรากฏการณ์น้�ว่า ลานญ� า เอลน�โญ และ ลาน�ญา ทำาให้เกิดความแปรปรวนของลมฟ าอากาศท่ัวโลกซ่ึงประเทศไทยก็ได้ รับอ ิทธพิ ลจากปรากฏการณ์ดงั ก ลา่ วเชน่ ก ันอย่างไรกต็ ามบรเิ วณตา่ งๆของโลกจะไดร้บั ผลกระทบ ไมเ่ ทา่ ก นั โดยทว่ั ไปเอลนโ� ญจะท าำ ใหบ้ รเิ วณท เ่ี คยม ฝี นต กช กุ ม ปี รมิ าณฝ นลดลงอ ยา่ งม ากและบ รเิ วณ ท่ีเคยแห้งแล้งมีฝนเพ่ิมขึ้นมาก ส่วนลาน�ญาจะทำาให้บริเวณที่มีฝนมากอยู่แล้วมีฝนเพ่ิมขึ้นอีก และ บริเวณท่แี ห้งแ ล้งจะยง่ิ แหง้ แล้งยงิ่ ข ้ึนเชน่ ก ัน การเกิดเอลน�โญ และ ลาน�ญา เป็นการเปล่ียนแปลงตามธรรมชาติท่ีมีช่วงการเปล่ียนแปลง ไมแ่ นน� อนคอื อ ยู่ในช ว่ ง2ปถ งึ 10ป ปรากฏการณเอลนโ� ญและลานญ� าสงผลกระทบตอ ประเทศไทยอยางไร 2.6 การเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิอากาศของโลก พลังงานจากดวงอาทิตย์ทำาให้อุณหภูมิ ภาพ 2.13 การระเบิดของภเู ขาไฟพินาทูโบ ของโลก ทั้งอุณหภูมิบรรยากาศและอุณหภูมิ ประเทศฟลิปปน ส์ พ้ืนผิวเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เม่ือใดท่ี โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากขึ้นกว่า ปกติ อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น และเม่ือใดที่ โลกไดร้ บั พ ลงั งานจากด วงอาทติ ยล์ ดลงกวา่ ป กติ อุณหภูมิของโลกจะลดลง จากการศึกษาพบ ว่ามีหลายปัจจัยท่ีทำาให้โลกได้รับพลังงานจาก ดวงอาทิตย์ลดลง เช่น การระเบิดของภูเขาไฟ พนิ าทูโบทำาให้อณุ หภูมอิ ากาศลดลง0.5Cำ นอกจากธรรมชาติแล้ว มนุษย์ก็มีส่วน ทำาให้อุณหภูมิของโลกเกิดการเปล่ียนแปลงได้ เชน่ กนั 38
บรรยากาศมีแกสบางชนิด เช่น ไอนำ้า แกสคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ซึ่งมีสัดส่วนน้อยในบรรยากาศแต่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิของโลก เนื่องจากแกสเหล่าน้�มีสมบัติ ในการดูดกลืนรังสีความร้อนในลักษณะของรังสีคล่ืนยาวท่ีโลก เมฆ และบรรยากาศ ปล่อยออกมา แล้วคายรังสีความร้อนน้�กลับคืนสู่ผิวโลกและบรรยากาศ ทำาให้บรรยากาศบริเวณ ผิวโลกมีอุณหภูมิสูงข้ึน เรียกปรากฏการณ์น�้ว่า ปรากฏการณเรือนกระจกดังภาพ2.14 และ แกสท่มี สี มบัตดิ ังกลา่ วเรียกว่าแกส เรือนกระจก ภาพ 2.14 ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ในธรรมชาติปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดข้ึน áกÊเร×อนกรÐจก·èÕÊ าí ¤ัÞäดጠก‹ ตอ่ เนอ่ื งตง้ั แตอ่ ดตี ยาวนานม าจนถงึ ป จั จบุ นั เปน็ เวลาห ลายลา้ น äอนíาé ¤ารบ์ อนäดออกä«ด์ ป ท าำ ใหอ้ ณุ หภมู อิ ากาศบ รเิ วณผ วิ โลกไมห่ นาวเยน็ จนเกนิ ไป มเÕ ·น âอâ«น äนตรัÊออกä«ด์ พอเหมาะต ่อก ารดาำ รงชีวติ ของสงิ่ ม ชี วี ติ จากก ารศ ึกษาของ «ัลเ¿อร์เÎก«Ð¿ลูออäรด์ นกั วทิ ยาศาสตรพ์ บวา่ ถา้ ไมม่ แี กส เรอื นกระจกในบ รรยากาศ Êารกลุ‹ม¿ลอู อâร¤าร์บอน อณุ หภมู ขิ องโลกจะต่ำากวา่ ทเ่ี ปน็ อยู่ในปัจจบุ นั ถ ึง33Cำ (CFCs áÅÐ HFCs) บทที่ 2 ลมฟา อากาศ 39
ปัจจุบันพบว่ากิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุที่ทำาให้แกสเรือนกระจกในบรรยากาศมีการเพ่ิม มากข้นึ อ ย่างรวดเร็วและต่อเน่ืองสง่ ผ ลใหอ้ ุณหภูมอิ ากาศของโลกมแี นวโน้มสงู ข น้ึ เรอื่ ยๆศ กึ ษาแนว โน้มการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก และปริมาณแกสเรือนกระจกในบรรยากาศ ดังกิจกรรม2.2 กิจกรรม 2.2 อณุ หภูมิอากาศของโลก กับแกส เรือนกระจก ãËนŒ ักเรยÕ นเ¢Õยนกรา¿รÐËวา‹ ง »รมÔ า³áกÊเรอ× นกรÐจกãนบรรยากาศกบั เวลา áลÐ à¢ÂÕ ¹¡ÃÒ¿¡ÒÃà»ÅÂèÕ ¹á»Å§Í³Ø ËÀÁ٠ԢͧâÅ¡¡ÑºàÇÅÒ¨Ò¡¢ŒÍÁÙÅ·èÕ¡Òí ˹´ãËŒ »‚ พ.ศ. 2523 2528 2533 2538 2543 2548 Í³Ø ËÀÙÁÔ·àèÕ »ÅÕè¹á»Å§ä» ( íC)* 0.18 0.13 0.38 0.40 057 0.62 ¤ารบ์ อนäดออกä«ด์ (ppm)** 338 345 354 359 369 378 äนตรัÊออกä«ด์ (ppb)*** 300 303 308 311 315 319 มเÕ ·น (ppb)*** 1575 1640 1715 1745 1770 1775 ËมายเËต ุ : * เ»šนอ³ุ ËÀูม·Ô เÕè »ลèยÕ นá»ลงจากอุ³ËÀมู เÔ ©ลÕยè ¢องâลกãน พ.ศ. 2494-2523 ** ʋǹã¹ÅÒŒ ¹ÊÇ‹ ¹ *** ʋǹ㹾ѹŌҹʋǹ ทม่ี า : www.esrl.noaa.gov และ www.nasa.gov กรา¿อุ³ËÀูม¢Ô องâลกáลÐáกÊเรอ× น กรÐจกáตล‹ ЪนดÔ มáÕ นวâนŒมเËมอ× นËร×อ ᵡµ‹Ò§¡¹Ñ ÍÂÒ‹ §äà แกสเรือนกระจกท่ีมีปริมาณเพ่ิมขึ้นจากการกระทำาของมนุษย์ เช่น แกสคาร์บอนไดออกไซด์ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ แกสมีเทนจากกระบวนการผลิตในภาคเกษตรกรรม และแกส ไนต รัสอ อกไซด์จากกระบวนการในภ าคอตุ สาหกรรม แกสเรือนกระจกแต่ละชนิดจะมีความสามารถในการดูดกลืนและคายรังสีความร้อนได้ แตกต่างกัน เช่น แกสมีเทนดูดกลืนและคายรังสีความร้อนได้ดีกว่าคาร์บอนไดออกไซด์62 เท่า ส่วนแ กสไนตรสั ออกไซดด์ ดู กลนื แ ละคายรงั สคี วามรอ้ นไดด้ กีวา่ คารบ์ อนไดออกไซด์ 296เทา่ 40
นอกจากน้ันแกสเรือนกระจกแต่ละชนิดสามารถคงอยู่ในบรรยากาศได้ยาวนานแตกต่างกัน เช่นแ กสไนตรสั ออกไซด์คงอยู่ในบรรยากาศไดน้ าน114ป แกสซ ลั เฟอร์เฮกซ ะฟ ลูออไรด์ ค งอ ยู่ใน บรรยากาศไดน้ าน3,200ป อ ยา่ งไรก ต็ ามแ กส คารบ์ อนไดออกไซด์ในบ รรยากาศม ีป รมิ าณสูงและม ี อัตราก ารเพม่ิ ข ้นึ จากในอดตี มาก จึงเป็นต วั การสาำ คัญทที่ ำาใหป้ รากฏการณ์เรือนกระจกรนุ แรงขน้ึ กวา่ ท่ีเคยเป็นอย่ตู ามธรรมชาติ พÔ¸ÕÊารเกÕยวâตเ»นš ¼ลมาจากการ»รЪุม ·èเÕ ม×องเกยÕ วâต »รÐเ·ศÞÕ»è ุ†นâดยมÕ ¢ŒÍµ¡Å§ ãˌᵋÅлÃÐà·ÈËÇÁ¡Ñ¹Å´ การ»ล‹อยáกÊเร×อนกรÐจกãËäŒ ด Œ 5.2% จาก»รมÔ า³·Õè»ลอ‹ ยãน » ‚ พ.ศ. 2533 ãËŒäดÀŒ ายãน»‚ พ.ศ. 2553 »˜จจุบันมÕ ÁÒ¡¡Ç‹Ò 160 »ÃÐà·ÈÃÇ‹ Áŧ¹ÒÁ ãนพÔ¸ÕÊารนÕéรวม·งัé »รÐเ·ศä·ยดŒวย ภาพ 2.15 การเผาไหมเ ช้อื เพลงิ ของเคร่อื งยนต์ การตัดไมทาํ ลายปา สง ผลตอการเพมิ� ขน้ึ ของแกสคารบ อนไดออกไซด ในบรรยากาศไดอยางไร การท่ีอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยมีค่าสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อมในด้าน ตา่ งๆ เชน่ นำา้ แ ขง็ ท ่ขี ั้วโลกละลาย ระดบั นา้ำ ทะเลสูงขึ้น ค วามแ หง้ แ ล้งแผ่ขยาย และท ำาให้ส่ิงมีชีวติ บางชนิดสูญพันธ์ุ นอกจากน้�ยังมีรายงานการวิจัยว่าการท่ีอุณหภูมิของโลกเพิ่มข้ึน อาจมีผลทำาให้ เกดิ ภัยธรรมชาติตา่ งๆเพ่มิ ขนึ้ โดยเฉพาะการเพ่ิมความรนุ แรงแ ละจำานวนของพายุหมนุ เขตรอ้ น บทที่ 2 ลมฟาอากาศ 41
พ.ศ. 2452 พ.ศ. 2547 ภาพ 2.16 ธารนา้ํ แข็ง McCarty ท่อี ลาสกา เม่ือปี พ.ศ. 2452 และ ปี พ.ศ. 2547 ทีม่ า : ภาพจาก GNU. ยกตัวอยา งผลกระทบตอสง�ิ มีชีวิตทเี่ กิดจากการเปลีย่ นแปลงอณุ หภมู ขิ องโลก 2.7 มลพษิ ทางอากาศ การเพิ่มขึ้นของฝุนละอองและแกสบางชนิด นอกจากจะมีผลต่ออุณหภูมิของโลกแล้ว ยังส่ง ผลให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ดังตัวอย่างสารแหล่งกำาเนิด แ ละผ ลต่อสงิ่ ม ชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ มในตาราง2.2 ภาพ 2.17 ฝุน ละออง ณ เมอื งปกกิง� ในชว งทีม่ กี ารแขงขันกีฬาโอลมิ ปก ปพี .ศ. 2551 ท่มี า : http://doctoranonymous.blogspot.com / 2008 / 08 / beijing-olympic-smog.html 42
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117