0 โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 0
1 เร่ือง สารบญั วิชาธรรม หน้า - ทุกะ หมวด ๒ - อริยบคุ คล ๒ ๑๓ - กมั มฏั ฐาน ๒ ๑๓ - กาม ๒ ๑๓ - ทิฏฐิ ๒ ๑๓ - เทสนา ๒ ๑๔ - นิพพาน ๒ ๑๔ - บชู า ๒ ๑๔ - ปาพจน์ ๒ ๑๔ - วมิ ตุ ติ ๒ ๑๕ - สังขาร ๒ ๑๕ - สมาธิ ๒ ๑๕ - สุข ๒ ๑๕ - ปฏสิ ันถาร ๒ ๑๖ - ปริเยสนา ๒ ๑๖ - ติกะ หมวด ๓ ๑๖ - อกุศลวิตก ๓ ๑๖ - กศุ ลวติ ก ๓ ๑๖ - อคั คิ ๓ ๑๖ ๑๗ ๑๗ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 1
เรื่อง 2 - อตั ถะ ๓ หน้า - อธิปเตยยะ ๓ - อภิสังขาร ๓ ๑๗ - อาสวะ ๓ ๑๗ - กรรม ๓ ๑๘ - ทวาร ๓ ๑๘ - ตณั หา ๓ ๑๘ - ทฏิ ฐิ ๓ ๑๙ - ปาฏิหาริย์ ๓ ๑๙ - ปิ ฏก ๓ ๑๙ - พุทธจริยา ๓ ๑๙ - โลก ๓ ๒๐ - สงั ขตลกั ษณะ ๓ ๒๐ - สิกขา ๓ ๒๐ - จตุกกะ หมวด ๔ ๒๐ - อบาย ๔ ๒๑ - อปั ปมญั ญา ๔ ๒๑ - อุปาทาน ๔ ๒๑ - โอฆะ ๔ ๒๑ - ทกั ขิณาวสิ ุทธิ ๔ ๒๒ - บริษทั ๔ ๒๒ ๒๒ ๒๒ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 2
เรื่อง 3 - บุคคล ๔ หน้า - ปฏิปทา ๔ - โยนิ ๔ ๒๓ - วบิ ตั ิ ๔ ๒๓ - ปัญจกะ หมวด ๕ ๒๓ - อนุปุพพีกถา ๕ ๒๓ - กามคณุ ๕ ๒๔ - มจั ฉริยะ ๕ ๒๔ - วิญญาณ ๕ ๒๔ - วิมุตติ ๕ ๒๔ - เวทนา ๕ ๒๔ - สุทธาวาส ๕ ๒๕ - สังวร ๕ ๒๕ - ธรรมขนั ธ์ ๕ ๒๕ - ฉักกะ หมวด ๖ ๒๖ - อภิญญา ๖ ๒๖ - อภฐิ าน ๖ ๒๗ - จริต ๖ ๒๗ - ธรรมคุณ ๖ ๒๗ - สวรรค์ ๖ ๒๗ ๒๘ ๒๘ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 3
เรื่อง 4 - สัตตกะ หมวด ๗ หน้า - อนุสัย หรือ สังโยชน์ ๗ - วิญญาณฐิติ ๗ ๒๙ - วสิ ุทธิ ๗ ๒๙ - อฏั ฐกะ หมวด ๘ ๒๙ - อริยบุคคล ๘ ๒๙ - อวิชชา ๘ ๓๐ - วชิ ชา ๘ ๓๐ - สมาบตั ิ ๘ ๓๐ - นวกะ หมวด ๙ ๓๑ - พุทธคุณ ๙ ๓๑ - มานะ ๙ ๓๒ - โลกุตตรธรรม ๙ ๓๒ - วปิ ัสสนาญาณ ๙ ๓๒ - สงั ฆคณุ ๙ ๓๓ - ทสกะ หมวด ๑๐ ๓๓ - บารมี ๑๐ ๓๓ - บารมี ๑๐ มี ๓ ระดบั ๓๔ - สังโยชน์ ๑๐ ๓๔ - ทวาทสกะ หมวด ๑๒ ๓๕ - กรรม ๑๒ ๓๕ ๓๖ ๓๖ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 4
เรื่อง 5 - เตรสกะ หมวด ๑๓ หน้า - ธุดงค์ ๑๓ - หมวดที่ ๑ เก่ียวกบั จีวร ๓๖ - หมวดที่ ๒ เกี่ยวกบั บณิ ฑบาต ๓๖ - หมวดท่ี ๓ เก่ียวเสนาสนะ ๓๖ - ปัณณรสกะ หมวด ๑๕ ๓๗ - จรณะ ๑๕ ๓๗ วิชาอนุพทุ ธประวัติ ๓๘ - ประวตั ิอนุพทุ ธะ ๘๐ องค์ ๓๘ - ๑. พระอญั ญาโกณทญั ญเถระ ๓๙ - ๒. พระวปั ปเถระ ๓๙ - ๓. พระภทั ทยิ เถระ ๓๙ - ๔. พระมหานามเถระ ๔๐ - ๕. พระอสั สชิเถระ ๔๐ - ๖. พระยสเถระ ๔๐ - ๗. พระวิมลเถระ ๔๐ - ๘. พระสุพาหุเถระ ๔๐ - ๙. พระปณุ ณชิเถระ ๔๑ - ๑๐. พระควมั ปตเิ ถระ ๔๑ - ๑๑. พระอรุ ุเวลกสั สปเถระ ๔๑ - ๑๒. พระนทีกสั สปเถระ ๔๑ ๔๑ ๔๒ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 5
เร่ือง 6 - ๑๓. พระคยากสั สปเถระ หน้า - ๑๔. พระสารีบตุ รเถระ - ๑๕. พระมหาโมคคลั ลานเถระ ๔๒ - ๑๖. พระมหากสั สปเถระ ๔๒ - ๑๗. พระมหากจั จายนเถระ ๔๓ - ๑๘. พระอชิตเถระ ๔๓ - ๑๙. พระตสิ สเมตเตยยเถระ ๔๔ - ๒๐. พระปณุ ณกเถระ ๔๔ - ๒๑. พระเมตตคูเถระ ๔๔ - ๒๒. พระโธตกเถระ ๔๔ - ๒๓. พระอปุ สีวเถระ ๔๕ - ๒๔. พระนนั ทกเถระ ๔๕ - ๒๕. พระเทมกเถระ ๔๕ - ๒๖. พระโตทเทยยเถระ ๔๕ - ๒๗. พระกปั ปเถระ ๔๕ - ๒๘. พระชตณั ณีเถระ ๔๕ - ๒๙. พระภทั ทราวุธเถระ ๔๕ - ๓๐. พระอุทยั เถระ ๔๕ - ๓๑. พระโปสาลเถระ ๔๕ - ๓๒. พระโมฆราชเถระ ๔๕ - ๓๓. พระปิ งคิยเถระ ๔๕ ๔๕ ๔๕ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 6
เร่ือง 7 - ๓๔. พระราธเถระ หน้า - ๓๕. พระปณุ ณมนั ตานีบุตรเถระ - ๓๖. พระกาฬุทายีเถระ ๔๕ - ๓๗. พระนนั ทเถระ ๔๖ - ๓๘. พระราหุลเถระ ๔๖ - ๓๙. พระอุปาลเี ถระ ๔๖ - ๔๐. พระภทั ทิยศากยเถระ ๔๗ - ๔๑. พระอนุรุทเถระ ๔๗ - ๔๒. พระอานนทเถระ ๔๗ - ๔๓. พระภคั คเุ ถระ ๔๘ - ๔๔. พระกิมพลิ เถระ ๔๘ - ๔๕. พระโสณโกฬิวสิ เถระ ๔๘ - ๔๖. พระรฏั ฐบาลเถระ ๔๙ - ๔๗. พระปิ ณโฑลภารทวาชเถระ ๔๙ - ๔๘. พระมหาปันถกเถระ ๔๙ - ๔๙. พระจฬู ปันถกเถระ ๔๙ - ๕๐. พระโสณกฏุ กิ ณั ณเถระ ๕๐ - ๕๑. พระสุภตู ิเถระ ๕๐ - ๕๒. พระลกณุ ฏกภทั ทยิ เถระ ๕๐ - ๕๓. พระกงั ขาเรวตเถระ ๕๐ - ๕๔. พระวกั กลเิ ถระ ๕๑ ๕๑ ๕๑ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 7
เรื่อง 8 - ๕๕. พระโกณฑธานะ หน้า - ๕๖. พระวงั คสี เถระ - ๕๗. พระปิ ลินทวจั ฉเถระ ๕๑ - ๕๘. พระกุมารกสั สปเถระ ๕๒ - ๕๙. พระมหาโกฏฐิตเถระ ๕๒ - ๖๐. พระโสภิตเถระ ๕๒ - ๖๑. พระนนั ทกเถระ ๕๒ - ๖๒. พระมหากปั ปิ นเถระ ๕๓ - ๖๓. พระศาคตเถระ ๕๓ - ๖๔. พระอุปเสนเถระ ๕๓ - ๖๕. พระขทิรวนิยเรวตเถระ ๕๓ - ๖๖. พระสีวลเี ถระ ๕๔ - ๖๗. พระพาหิยทารุจิริยเถระ ๕๔ - ๖๘. พระพากลุ เถระ ๕๔ - ๖๙. พระทพั พมลั ลบุตรเถระ ๕๕ - ๗๐. พระอุทายีเถระ ๕๕ - ๗๑. พระอุปวาณเถระ ๕๕ - ๗๒. พระเมฆยิ เถระ ๕๖ - ๗๓. พระนาคติ เถระ ๕๖ - ๗๔. พระจนุ ทเถระ ๕๖ - ๗๕. พระยโสชเถระ ๕๖ ๕๖ ๕๖ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 8
9 เรื่อง หน้า - ๗๖. พระสภิยเถระ ๕๗ - ๗๗. พระเสลเถระ ๕๗ - ๗๘. พระมหาปรนั ตปเถระ ๕๗ - ๗๙. พระนาลกเถระ ๕๗ - ๘๐. พระองคุลมิ าลเถระ ๕๗ - ภิกษุทไ่ี ดร้ ับเอตทคั คะมที ้งั หมด ๔๑ รูป ๕๗ - ภิกษุณีท่ีไดร้ บั เอตทคั คะมี ๑๓ รูป ๕๙ วิชาศาสนพธิ ี ๖๐ - บทนิเทศ ๖๐ - หมวดท่ี ๑ กศุ ลพิธี ๖๑ - หมวดที่ ๒ บุญพิธี ๖๑ - หมวดที่ ๓ ทานพิธี ๖๑ - หมวดที่ ๔ ปกิณณกพธิ ี ๖๒ วชิ าวินยั มุข ๖๓ ๖๓ - อภสิ มาจาร ๖๓ - กณั ฑ์ท่ี ๑๑ กายบริหาร ๖๕ - กณั ฑ์ที่ ๑๒ บริขารบริโภค ๖๙ - บาตร ๗๐ - เคร่ืองอปุ โภค ๗๒ - เคร่ืองเสนาสนะ ๗๔ - กัณฑ์ที่ ๑๓ นสิ ัย โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 9
เรื่อง 10 - องคแ์ ห่งนิสยั มุตกะ หน้า - องคแ์ ห่งเถระ - กณั ฑ์ที่ ๑๔ วตั ร ๗๖ - กิจวตั ร ๗๖ - จริยาวตั ร ๗๖ - วธิ ีวตั ร ๗๗ - กัณฑ์ที่ ๑๕ คารวะ ๘๑ - กัณฑ์ที่ ๑๖ จาํ พรรษา ๘๒ - กณั ฑ์ท่ี ๑๗ อโุ บสถ ปวารณา ๘๒ - อุโบสถ ๘๔ - ปวารณา ๘๖ - สังฆปวารณา ๘๖ - คณะปวารณา ๙๑ - บุคคลปวารณา ๙๒ - กณั ฑ์ท่ี ๑๘ อปุ ปถกริ ิยา ๙๔ - ปาปสมาจาร ๙๔ - อเนสนา ๙๔ - กณั ฑ์ที่ ๑๙ การิก ๔ ๙๖ - กปั ปิ ยภูมิ ๔ ๙๗ - สัตตาหกาลกิ ๙๘ - กณั ฑ์ท่ี ๒๐ ภัณฑะต่างเจ้าของ ๑๐๐ ๑๐๑ ๑๐๒ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 10
เร่ือง 11 - ของสงฆ์ หน้า - ของเจดีย์ - ของบุคคล ๑๐๒ - การปลงบริขาร ๑๐๔ - กัณฑ์ท่ี ๒๑ วนิ ัยกรรม ๑๐๔ - อธิษฐาน ๑๐๔ - วกิ ปั ๑๐๕ - กณั ฑ์ท่ี ๒๒ ปกณิ กะ ๑๐๖ ๑๐๘ - มหาปเทศ ๔ ๑๐๘ ๑๐๘ - พระพุทธานุญาตพิเศษ ๑๐๘ - วบิ ตั ิ ๔ ๑๐๙ วิชากระท้ธู รรม ๑๑๐ - โครงสร้างแบบอยา่ งการแต่งกระทู้ ๑๑๑ - แบบฟอร์มกระทนู้ กั ธรรมโท ๑๑๓ - พุทธศาสนสุภาษิต ๑๑๕ ข้อสอบพร้อมเฉลยอบรมก่อนสอบ ๑๑๘ - ปัญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวดท่ี ๒–๓ ๑๑๘ ๑๒๑ - ปัญหาและเฉลยธรรมวิภาค หมวดท่ี ๔–๕ ๑๒๕ ๑๒๘ - ปัญหาและเฉลยธรรมวภิ าค หมวดท่ี ๖–๘ ๑๓๑ - ปัญหาและเฉลยธรรมวภิ าค หมวดที่ ๙–๑๕ - ปัญหาและเฉลยอนุพทุ ธประวตั ิ องคท์ ี่ ๑–๑๗ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 11
เรื่อง องคท์ ่ี ๑๘–๔๐ 12 องคท์ ่ี ๔๑–๖๐ - ปัญหาและเฉลยอนุพทุ ธประวตั ิ องคท์ ่ี ๖๑–๘๐ หน้า - ปัญหาและเฉลยอนุพทุ ธประวตั ิ หมวดท่ี ๑–๒ - ปัญหาและเฉลยอนุพทุ ธประวตั ิ หมวดที่ ๓–๔ ๑๓๔ - ปัญหาและเฉลยศาสพิธี หมวดท่ี ๑๑–๑๓ ๑๓๗ - ปัญหาและเฉลยศาสนพิธี หมวดที่ ๑๔–๑๖ ๑๔๐ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข หมวดท่ี ๑๗–๑๙ ๑๔๓ - ปัญหาและเฉลยวินยั มขุ หมวดท่ี ๒๑–๒๒ ๑๔๕ - ปัญหาและเฉลยวินยั มุข ๑๔๙ - ปัญหาและเฉลยวนิ ยั มุข ๑๕๓ ๑๕๗ ๑๖๑ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 12
13 เนื้อหาวชิ าธรรม ธรรมศึกษาช้ันโท วชิ า ธรรมศกึ ษา ทุกะ หมวด ๒ อริยบุคคล ๒ (บคุ คลทบี่ รรลุธรรมวิเศษ) ๑. พระเสขะ พระผ้ยู งั ต้องศึกษา ไดแ้ ก่พระอริยบคุ คลทยี่ งั ไมไ่ ดบ้ รรลอุ รหตั ตผลมี ๗ จาํ พวก คือ พระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตตผิ ล พระสกทาคามิมรรค สกทาคามผิ ล พระอนาคามมิ รรค อนาคามิผล พระอหตั ตมรรค ทา่ นเหล่าน้ีทไ่ี ดช้ ื่อว่า “เสขะ” เพราะยงั ตอ้ งปฏบิ ตั ิใหบ้ รรลมุ รรคผลเบ้ืองสูงข้นึ ไป คอื ศกึ ษาในอธิศลี สิกขา อธิ จิตตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาต่อไป เพือ่ ให้บรรลุมรรคผลเบ้อื งสูงข้นึ ไปจนถึงอรหตั ผล อนั เป็นภมู ิ ธรรมของพระ อเสขะ ๒. พระอเสขะ พระผ้ไู ม่ต้องศึกษา คอื ท่านไดบ้ รรลุอรหัตตผลแลว้ ไม่ตอ้ งศกึ ษาตอ่ อกี เพราะไดศ้ ึกษาเสร็จสิ้น พร้อมท้งั ละสงั โยชน์ ๑๐ ไดด้ ว้ ย ดงั น้นั จึงไดน้ ามว่า อเสขะ กัมมฏั ฐาน ๒ (อบุ ายฝึ กจติ วธิ อี บรมจติ ) ๑. สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานฝึ กจิตใจให้ผ่องใส ไมม่ คี วามเศร้าหมองหรือขนุ่ มวั ทตี่ ดิ ขอ้ งอยใู่ นใจ เรียกว่า ปราศจากนิวรณ์ จิตที่ปราศจากนิวรณ์แลว้ น้ียอ่ มต้งั มน่ั เป็นสมาธิแน่วแน่อยใู่ นอารมณใ์ ดอารมณ์หน่ึง จนถงึ ข้นั ไดฌ้ าน ในระดบั ตา่ ง ๆ คือ ระดบั ที่กาํ หนดรูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกวา่ รูปฌาน มี ๔ ข้นั และระดบั ทีก่ าํ หนดรูปธรรมเป็น อารมณ์ เรียกวา่ อรูปฌาน มี ๔ ข้นั เหมอื นกนั รวมเรียกว่า สมาบตั ิ ๘ สมถกรรมฐานน้ีมอี ารมณ์ ๔๐ อยา่ ง คอื กสิณ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ อปั ปมญั ญา ๔ และอรูปกรรมฐาน ๔ อารมณ์ กรรมฐานเหลา่ น้ียงั แบ่งบญั ญตั ิกรรมฐาน ๒๘ และ ปรมตั ถกรรมฐาน ๑๒ ๒. วปิ ัสสนากรรมฐาน คือกรรมฐานเป็ นอบุ ายให้เกดิ ปัญญา รู้เทา่ ทนั สภาวธรรมท้งั หลายที่เกิดข้ึนตามเป็น จริง จนสามารถถอนความหลงผดิ ทห่ี ลงยดึ ในส่ิงท้งั หลายเสี9ยได้ จนยกจิตของตนเองข้ึนสู่ไตรลกั ษณ์ เพอื่ มุง่ ถงึ จดุ สูงสุด คอื วิมุตติ (ความหลุดพน้ ทีแ่ ทจ้ ริง) สมถะและวิปัสสนา ท้งั ๒น้ี มีผลมุ่งหมายต่างกนั คอื สมถะ มผี ลมุ่งใหไ้ ดฌ้ านวปิ ัสสนา มผี ลมงุ่ ใหไ้ ดญ้ าณ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 13
14 กาม ๒ (ความใคร่, ความต้องการส่ิงท่ตี ้องประสงค์) ๑. กเิ ลสกาม กิเลสกามเป็นเหตใุ คร่ หมายถงึ กิเลสทท่ี าํ ให้นรชนหลงใหลไปทางอนั จะหมกมนุ่ อยดู่ ว้ ยความเร่า ร้อนของไฟกิเลส หาทางที่จะสลดั ออกจากภพไดย้ าก เพราะกิเลสทาํ ให้หลงระเริงตดิ อยใู่ นสิ่งยว่ั ยวนตามแรงของกิเลส น้นั ๆ มรี าคะ โลภะ อิจฉา (ความอยากได)้ เป็นตน้ ๒. วัตถกุ าม วสั ดุอนั น่าใคร่ หมายถึงวตั ถุอนั เป็นท่ตี ้งั แห่งความกาํ หนดั มี รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ อนั เป็น ทพี่ อใจ เครื่องประดบั เครื่องนุ่งห่ม เหล่าน้ีเป็นตน้ ทชี่ ื่อว่าเป็นกาม เพราะเป็นอารมณ์ ของตณั หา บคุ คลเมอื่ หลงยึดถอื สิ่งเหล่าน้ีแลว้ กย็ อ่ มทาํ ใหต้ วั เองหลงใหลมวั เมา เพลดิ เพลินอยไู่ มร่ ู้จกั หาทางหลดุ พน้ ออกไปจากภพได้ เพราะเหตุแห่งความปรารถนา ทฏิ ฐิ ๒ (ความเห็น, ทฤษฎี) ๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นวา่ เทย่ี ง หมายถงึ ความเห็นทบี่ ญั ญตั ิวา่ อตั ตาและโลกเทย่ี งแทย้ งั่ ยนื คอื ไมแ่ ปรผนั เปล่ียนแปลงไปเป็นอยา่ งไรกอ็ ยอู่ ยา่ งน้นั หาท่สี ุดมไิ ดถ้ งึ แมร้ ่างกายจะเสื่อมสลายไปก็ตาม ส่วนดวงชีพ หรือ เจตภตู หรือ มนสั (ใจ) ยงั เป็นธรรมชาติไมส่ ูญสิ้น ยอ่ มสามารถถอื ปฏิสนธิในกาํ เนิดอ่นื ต่อไปไดอ้ กี ส่วนมตทิ าง พระพทุ ธศาสนา ไดป้ ฏเิ สธอตั ตาวา่ ไมเ่ ท่ยี งแทถ้ าวร แตย่ อมรับการเวียนว่ายตายเกิดของสภาวธรรมดว้ ยอาํ นาจแห่งเหตุ ปัจจยั และยอมรับความสูญสิ้นของสภาวธรรมเหล่าน้นั เหมือนกนั เมอ่ื ขาดเหตปุ ัจจยั ๒. อจุ เฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ หมายถงึ ความว่ามนุษยแ์ ละสตั วจ์ ุตจิ ากอตั ภาพน้ีแลว้ ขาดสูญหมด ไม่ สามารถถอื ปฏสิ นธิในกาํ เนิดอน่ื หรือภพอ่ืน ต่อไปไดอ้ กี ทฏิ ฐิท้งั ๒ น้ีเป็นความเห็นผิดทข่ี ดั แยง้ กนั เอง พร้อมท้งั ขดั ต่อความเห็นในทางพระพุทธศาสนาดว้ ยเพราะ พระพุทธศาสนาไดแ้ สดงความเห็นไวว้ ่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขนึ้ เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทง้ั มวลล้วนมคี วามดบั เป็น ธรรมดา” เทสนา ๒ (การชีแ้ จง, การแสดงธรรมส่ังสอน) ๑. ปคุ คลาธิฏฐาน มบี คุ คลเป็นท่ีต้งั หมายถึง การแสดงธรรมโดยยกบุคคลข้ึนเป็นตวั อยา่ ง เพ่อื ให้ผูฟ้ ังเห็น ภาพพจนเ์ พ่อื ความเขา้ ใจงา่ ย เช่น พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองการให้ทาน พระองคท์ รงยกเรื่องพระ เวสสันดรชาดกมาเล่าใหผ้ ฟู้ ัง ๆ เป็นตน้ ๒. ธัมมาธิฏฐาน มธี รรมเป็นที่ต้งั หมายถงึ การแสดงธรรมลว้ นๆ โดยยกหัวขอ้ ธรรมข้นึ แสดงเป็นขอ้ ๆแลว้ อธิบายไปตามหัวขอ้ ธรรมน้นั ๆ เช่น แสดงธรรมเร่ือง ปฏจิ จสมปุ บาท เป็นตน้ เทศนาท้งั ๒ น้ีมีลกั ษณะการแสดงทแ่ี ตกตา่ งกนั ปุคคลาธิฏฐาน เป็นการแสดงธรรมในพระสูตร ส่วนธมั มาธิฏฐาน จะเป็นการแสดงธรรมในอภิธรรม นิพพาน ๒ (การดบั กเิ ลศและกองทกุ ข์) ๑. สอุปาทิเสสนพิ พาน ดบั กิเลสยงั มเี บญจขนั ธเ์ หลือ หมายถึง พระอริยะผลู้ ะกิเลสไดส้ ิ้นเชิงดว้ ยการบรรลุ อรหตั ตผล เป็นพระอรหนั ต์ ที่ยงั มชี ีพอยู่ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 14
15 ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดบั กิเลสไมม่ เี บญจขนั ธ์เหลือ(ขนั ธปรินิพพาน) หมายถงึ พระอรหนั ตท์ ่ีสิ้นชีพแลว้ กิเลสาสวะไมม่ ีแลว้ กรรมทีท่ า่ นทาํ มาก่อนจะบรรลุกต็ ามใหผ้ ลไมไ่ ดแ้ ลว้ นิพพานน้ี เป็นโลกตุ รธรรม และเป็นจดุ หมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาอกี ดว้ ย บชู า ๒ (การแสดงความเคารพต่อบุคคลหรือสิ่งที่นบั ถือด้วยเครื่องสักการะ) ๑. อามสิ บชู า บชู าดว้ ยอามสิ คือ สิ่งของ หมายถึงการใหส้ ิ่งของม,ี ดอกไม,้ ของหอม, อาหาร และวตั ถุอืน่ ๆ ให้แกค่ นท่ตี นเคารพนบั ถือแตใ่ นท่ีน้ี ท่านหมายเอาการถวายแก่พระพทุ ธเจา้ และพระสงฆส์ าวก ๒. ปฏิบตั ิบชู า บูชาดว้ ยปฏิบตั ิตาม หมายถึงการปฏบิ ตั ติ ามคาํ สอนของท่านไมล่ ว่ งละเมิดขอ้ ที่ทา่ นบญั ญตั ิไว้ การประพฤตปิ ฏิบตั ิเช่นน้ี พระพุทธองคท์ รงสรรเสริญ เพราะสามารถดาํ รงพระศาสนาไวไ้ ด้ การบชู าท้งั ๒ น้ี อามิสบูชาแมจ้ ะมมี ากเทา่ ไร เช่น พระเจดียเ์ ป็นหมนื่ เป็นแสน มีอารามทง่ั ประเทศ ถา้ ศานิ กชนไม่ปฏิบตั ติ ามธรรมทพ่ี ระศาสดาสง่ั สอนศาสนากย็ อ่ มไม่ยืนยงไปได้ แต่ถา้ ศาสนิกชนปฏิบตั ติ ามธรรมทีพ่ ระ ศาสดาสง่ั สอน แมจ้ ะไม่มากนกั กส็ ามารถดาํ รงศาสนาไวไ้ ด้ ดงั น้นั พระพุทธเจา้ จึงไม่สรรเสริญอามสิ บูชา แตท่ รง สรรเสริญปฏบิ ตั ิบชู าแทน ปาพจน์ ๒ (คาํ เป็ นประธาน คือ พระพุทธพจน์) ๑. ธรรม ไดแ้ ก่ คาํ สอนท่ีมุง่ ขดั เกลาจริตของบคุ คลให้มีความประณีตยิง่ ข้นึ ธรรมน้ีมีอยกู่ ่อนแลว้ แต่ พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบแลว้ นาํ มาแจกแจง แยกแยะ แลว้ สอนให้เวไนยสตั วป์ ฏบิ ตั ติ าม ธรรมน้ีไม่ใช่บทบญั ญตั ทิ จี่ ะไป ลงโทษแก่ผูล้ ว่ งละเมิด แตว่ ่าเม่ือบุคคลปฏบิ ตั ิตามหรือลว่ งละเมิดก็จะไดผ้ ลดว้ ยตนเอง ๒. วนิ ัย ไดแ้ ก่ ขอ้ บญั ญตั ิทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ไิ ว้ และอภิสมาจารถอื มารยาททีค่ วรประพฤติ ทรงวางไว้ เพอ่ื ควบคุมการประพฤติปฏบิ ตั ขิ องพทุ ธบริษทั ให้ดาํ เนินไปในทางท่ีถูกตอ้ ง วิมุตติ ๒ (ความหลุดพ้นจากกิเลส) ๑. เจโตวมิ ุตติ ความหลุดพน้ ดว้ ยอาํ นาจใจ หมายถงึ ความทจี่ ิตหลดุ พน้ จากอาํ นาจของกิเลสดว้ ยการฝึกจิต เรียกว่า “สมถกรรมฐาน” ๒. ปัญญาวมิ ตุ ติ ความหลุดพน้ ดว้ ยอาํ นาจแห่งปัญญา หมายถึงความหลุดพน้ จากกิเลสดว้ ยการใชป้ ัญญา พิจารณาดว้ ยการปฏิบตั วิ ิปัสสนากรรมฐาน สังขาร ๒ (สภาพทีป่ ัจจยั ปรุงแต่งขึน้ ) ๑. อุปาทนิ นกสังขาร สงั ขารมีใจครอง ไดแ้ กส่ ิ่งมชี ีวิตท้งั หลาย สงั ขารมใี จครองสามารถเคลื่อนไหวไปไหนมา ไหนไดต้ ามตอ้ งการ ๒. อนุปาทนิ นกสังขาร สงั ขารไมม่ ใี จครอง ไดแ้ ก่สิ่งไมม่ ชี ีวิตท้งั หลาย เช่น กรวด หิน ดิน ทรายบา้ นเรือน ตลอดถึง รถ เรือ ยานพาหนะตา่ งๆ เป็นตน้ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 15
16 สมาธิ ๒ (การทําจิตใจให้สงบแน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน) ๑. อปุ จารสมาธิ สมาธิแบบเฉียดๆ ไดแ้ กก่ ารทาํ จิตใหส้ งบชว่ั ขณะหน่ึงอาจเป็น ๓นาที ๕นาที ๒. อัปปานาสมาธิ สมาธิกนั แน่วแน่ ไดแ้ ก่จิตท่ีต้งั มน่ั สนิทแลว้ เป็นสมาธิฌาน สุข ๒ (ความสบายกายสบายใจ) ๑. กายิกสุข สุขทางกาย ไดแ้ กก่ ารท่รี ่างกายของคนเราไมม่ ีความทกุ ข์ ไมม่ โี รค ไมม่ ภี ยั เบยี ดเบียน ๒. เจตสิกสุข สุขทางใจ จิตทป่ี ระสบกบั อารมณท์ ่นี ่าปรารถนา ทาํ ให้เกิดความสบายใจ แช่มช่ืนใจ ปฏสิ ันถาร ๒ (การต้อนรับ การทักทายปราศัย) ๑. อามสิ ปฏิสันถาร ปฏิสันถารดว้ ยอามิส ไดแ้ ก่การตอ้ นรับดว้ ยส่ิงของ เช่น ให้น้าํ ดื่ม หรือแมก้ ระทง่ั การให้ท่ี พกั อาศยั การใหข้ า้ วปลาอาหาร เป็นตน้ โดยสมควรแก่ฐานะของแขกผูม้ าเยือน ๒. ธมั มปฏิสันถาร ปฏสิ นั ถารโดยธรรม ไดแ้ ก่การกลา่ วแนะนาํ แขกในทางทีด่ ี เพอ่ื ใหเ้ ขาไดถ้ ือเอาไปปฏิบตั ิ หรือไดแ้ กก่ ารตอ้ นรบั โดยความสมควรแก่ฐานะของแขกผมู้ า ว่าใครควรจะลุกข้ึนยืนรับ ใครควรจะไหว้ เป็นตน้ ปริเยสนา ๒ (การแสวงหา) ๑. อริยปริเยสนา แสวงหาอยา่ งประเสริฐ หมายถึง การประกอบอาชีพเล้ยี งชีวติ ถูกตอ้ งตามกฎหมายและ ศลี ธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ตนเองและผอู้ นื่ อีกความหมายหน่ึง หมายถึงการแสวงหาธรรมเครื่องดบั กิเลส และกองทกุ ข์ ๒. อนริยปริเยสนา แสวงหาอยา่ งไมป่ ระเสริฐ หมายถงึ การประกอบอาชีพเล้ียงชีวิตในทางผิดกฎหมาย ผิด ศีลธรรม สร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ตนเองและผูอ้ ืน่ ตรงขา้ มกบั อริยปริเยสนา อน่ึง สัมมาอาชีวะ เป็นอริยปริเยสนา มิจฉาอาชีวะ เป็นอนริยปริเยสนา ตกิ ะ หมวด ๓ อกศุ ลวิตก ๓ (ความตรึกทีเ่ ป็ นอกุศล) ๑. กามวติ ก ความตริในทางกาม หมายถึงการนึกถึงรูป รส กล่นิ เสียง โผฏฐพั พะ อนั น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ ดว้ ยความคิดที่ไม่ถกู ตอ้ งทางศลี ธรรม ๒.พยาบาทวิตก ความตริในทางพยาบาท หมายถงึ ความตรึกนึกดว้ ยความอาํ นาจแห่งความพยาบาท ซ่ึงอาจจะ เกิดมาจากความไม่พอใจ หรือการกระทบกระทงั่ กนั บางอยา่ งแลว้ ใจยงั เก็บเรื่องน้นั ไวอ้ ยู่ ๓. วหิ งิ สาวิตก ความตริในทางเบียดเบยี น หมายถงึ ความนึกคิดในทางกอ่ ความเดือดร้อนใหเ้ กิดแกผ่ อู้ ่นื ตอ้ งการจะเห็นความวบิ ตั ิ ความเดือดร้อนของคนอืน่ สตั วอ์ ืน่ อกศุ ลวติ ก ๓ น้ี - กามวติ ก มรี าคะ และโลภะ เป็นมูล โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 16
17 - พยาบาทวติ ก มโี ทสะ เป็ นมูล - วิหิงสาวติ ก มโี มหะ เป็ นมูล กศุ ลวิตก ๓ (ความนึกคดิ ทด่ี ีงาม) ๑. เนกขัมมวติ ก ความตรึกปลอดจากกาม หมายถึง ความนึกคิดในทางสงบ ไมค่ ิดในกามารมณ์ อนั เป็น เคร่ืองปรนเปรอ หรือสนองความอยากของตน คิดหาทางออกจากตณั หา ๒. อพยาบาทวิตก ความนึกคิดท่ีปราศจากความพยาบาท หมายถึง ความนึกตดิ ที่ประกอบดว้ ยเมตตา คิด ปรารถนาใหค้ นอืน่ มคี วามสุข ไม่เพง่ มองผอู้ ่นื ในแง่ร้าย ๓. อวิหิงสาวิตก ความนึกคดิ ในทางไม่เบียดเบยี น หมายถึง ความนึกคดิ ที่ประกอบดว้ ยกรุณาปรารถนาให้คน อน่ื พน้ จากความทกุ ขท์ เ่ี ขากาํ ลงั ไดร้ ับ ไม่คดิ ร้ายหรือมุ่งทาํ ลายเขา อัคคิ ๓ (ไฟคือกเิ ลส) ๑. ราคคั คิ ไฟคือราคะ ไดแ้ ก่ ความรู้สึกนึกกาํ หนด รักใคร่ ยินดีในกามคณุ มี รูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ มีความมงุ่ หมายปรารถนาท่จี ะไดข้ องเหลา่ น้นั มาเป็นของ ๆ ตน ถา้ ไมไ่ ดก้ ก็ ระเสือกกระสนแสวงหา ทาํ ให้เดือดร้อน ตา่ ง ๆ นานา เปรียบเสมอื นไฟแผดเผาอยภู่ ายใน ๒. โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ไดแ้ ก่ ความเดือดพลา่ นของอารมณ์ ซ่ึงเกิดข้ึนขณะประสบอารมณไ์ มน่ ่าปรารถนา เกิดความโกรธ อาฆาต พยาบาท เป็นตน้ เมื่อไฟกองน้ีเกิดข้นึ ในสันดานแลว้ ทาํ ให้เกิดการวิวาทประทุษร้ายกนั และ กนั จนถงึ กบั บาดเจ็บลม้ ตายได้ เป็นตน้ ๓. โมหคั คิ ไฟคือโมหะ ไดแ้ ก่ ความหลงมวั เมา ความไม่รู้ ความไมเ่ ขา้ ใจ ไม่รู้วา่ อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป เป็นคณุ เป็นโทษ ไฟกองน้ีเปรียบเหมอื นไฟสุมแกลบฉะน้นั อตั ถะ ๓ (ประโยชน์) ๑. ทิฏฐธัมมกิ ตั ถะ ประโยชน์ในภพน้ี ไดแ้ ก่ ประโยชนท์ ี่บุคคลจะพึงไดร้ ับในปัจจบุ นั ท่ีรู้จกั กนั งา่ ยๆ คอื ความสุข เช่น ความสุขจากการมที รัพย์ ความสุขจากการมีสาม-ี ภรรยาทด่ี ี เป็นตน้ น้ีเรียกวา่ ประโยชนใ์ นปัจจบุ นั ๒. สัมปรายกิ ัตถะ ประโยชน์ในภพหน้า ไดแ้ ก่ ประโยชนท์ เี่ ราจะไดร้ บั หลงั จากตายไปแลว้ ถา้ เราทาํ ดีภาย หนา้ กจ็ ะไดร้ บั ผลทีด่ ี ถา้ ทาํ ชว่ั ภายหนา้ ก็จะไดร้ ับผลไม่ดี ๓. ปรมตั ถะ ประโยชน์คือพระนพิ พาน ไดแ้ ก่ การดบั กิเลสมี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นตน้ อนั เป็นเหตใุ ห้ เกิดความร้อนใจท้งั ปวง การหลุดพน้ จากการเวียนวา่ ยตายเกิดในสังสารวฏั น้ี อธิปเตยยะ ๓ (ความเป็ นใหญ่) ๑. อตั ตาธปิ เตยยะ ความมีตนเป็ นใหญ่ หมายถึง การจะทาํ อะไร ๆ ก็ปรารภตนเองเป็นใหญ่ ปรารภตนเป็น ทต่ี ้งั เช่น เห็นวา่ ตนเองขดั สนในชาตนิ ้ีกเ็ ลยทาํ บุญเพอื่ จะให้ไดป้ ระสบสุขในภพหนา้ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 17
18 ๒. โลกธปิ เตยยะ ความมโี ลกเป็ นใหญ่ หมายถึง การกระทาํ ทปี่ รารภโลกเป็นใหญ่ (ทาํ ตามอยา่ งคนพวกมาก) เช่น เราไม่อยากจะทาํ บญุ แตเ่ ห็นชนส่วนมากหรือเพ่ือนร่วมงานเขาพากนั ทาํ หมด คร้ันจะไมท่ าํ กเ็ กรงเขาติเตียน บางที เรียกว่า ประชาธิปไตย การถอื เอาความคดิ คนส่วนมากเป็นเกณฑถ์ ึงแมจ้ ะเป็นการกระทาํ ท่ีไมด่ ี ๓. ธัมมาธปิ เตยยะ ความมธี รรมเป็ นใหญ่ หมายถึง การกระทาํ ทถี่ อื ธรรมเป็นหลกั ถอื ความถูกตอ้ ง ทาํ เพื่อให้คนอนื่ มคี วามสุข ถึงแมจ้ ะไมไ่ ดร้ บั การยกยอ่ งสรรเสริญ อภิสังขาร ๓ (สภาพท่ีปรุงแต่งผลแห่งการกระทําของสัตว์) ๑. ปุญญาภสิ ังขาร อภสิ ังขารคือบุญ หมายถงึ สภาวะของความดีท่ปี รุงแตง่ ชีวิตสตั วใ์ ห้ดี เพราะกรรมอนั เป็น ฝ่ ายอกุศล อนั ไดแ้ กก่ ุศลเจตนาฝ่ายกามาวจร ๓ และฝ่ ายรูปาวจร ๕ ๒. อปญุ ญาภสิ ังขาร อภสิ ังขารคือบาป หมายถงึ สภาวะของความชวั่ ท่ีปรุงแต่งใหส้ ตั วเ์ ลว ไดแ้ ก่ อกุศลเจตนา อนั เป็นฝ่ ายกามาวจรท้งั ๑๒ ทาํ ให้สัตวเ์ ป็นไปตามแรงกรรมที่ตนไดก้ ระทาํ ไวก้ อ่ ไวใ้ นอดีต เช่น ทาํ ใหเ้ กิดในตระกูล ขดั สน ไม่หลอ่ ไม่สวย เป็นตน้ ๓. อเนญชาภสิ ังขาร อภสิ ังขารคือเนญชา หมายถงึ ภาวะท่มี นั่ คงไม่หวน่ั ไหว ไดแ้ ก่ กศุ ลเจตนาท่ีเป็นอรูปาวจร ๔ ไปจนถงึ อรูปฌาน ๔ อาสวะ ๓ (ส่ิงที่หมักหมมอยู่ในสันดานสัตว์) ๑. กามาสวะ อาสวะเป็ นเหตุอยากได้ ไดแ้ ก่ ความใคร่ในรูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ที่ใจตนกาํ หนดว่า น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ ๒. ภวาสวะ อาสวะเป็ นเหตุอยากเป็ น ไดแ้ ก่ ความชื่นชมยนิ ดีในความมคี วามเป็นต่าง ๆ ทต่ี นกาํ หนดว่า น่ายินดี น่าปรารถนา เช่น ตอ้ งการอยากเป็นเศรษฐี ตอ้ งการอยากมกี ารงานสูง ๆ ๓. อวิชชาสวะ อาสวะคือความเขลา ไดแ้ ก่ ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งเหล่าน้นั ๆ ว่าเป็ นอยา่ งไร เช่น คนไม่เขา้ ใจหลกั สมดุลธรรมชาติทคี่ น พืช สัตว์ ตอ้ งพ่งึ พาอาศยั กนั เมือ่ ไมเ่ ขา้ ใจก็ยอ่ มจาํ ทาํ ลายธรรมชาติ กรรม ๓ (การกระทาํ ทป่ี ระกอบด้วยเจตนา) ๑. กายกรรม การกระทาํ ทางกาย ถา้ เป็นกรรมดีกเ็ ป็นกายสุจริต เช่น ไมฆ่ า่ สัตว์ ไมล่ กั ทรัพย์ ถา้ เป็นกรรม ชว่ั กเ็ ป็นกายทจุ ริต เช่น ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นตน้ ๒. วจีกรรม การกระทาํ ทางวาจา ถา้ เป็นกรรมดีกเ็ ป็นวจีสุจริต เช่น ไมพ่ ูดเทจ็ ไมพ่ ดู คาํ หยาบ เป็นตน้ แต่ ถา้ เป็นกรรมชวั่ ก็เป็นวจีทุจริต เช่น พูดเทจ็ พูดคาํ หยาบ เป็นตน้ ๓. มโนกรรม การกระทําทางใจ ถา้ เป็นกรรมฝ่ ายดีกเ็ ป็นมโนสุจริต เช่น ไม่โลภอยากไดข้ องคนอนื่ ไม่ พยาบาทปองร้ายคนอื่น ถา้ เป็นกรรมชวั่ ก็เป็นมโนทจุ ริต เช่นโลภอยากไดข้ องของคนอื่น พยาบาทคนอนื่ เป็นตน้ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 18
19 ทวาร ๓ (ช่องทางทีท่ าํ กรรม) ๑. กายทวาร ทวารคือกาย ไดแ้ ก่ กายเป็นทีต่ ้งั แห่งการกระทาํ คือการกระทาํ เป็นกายทวาร ผลเป็นกายกรรม เป็นไดท้ ้งั ดีและชวั่ ๒. วจที วาร ทวารคือวาจา ไดแ้ ก่ การกลา่ วดว้ ยวาจา จดั เป็นวจีทวาร คาํ พดู ทอ่ี อกมาจดั เป็นวจีกรรม เป็นได้ ท้งั ฝ่ายดี ฝ่ายชวั่ ๓. มโนทวาร ทวารคือใจ ไดแ้ ก่ จิตทค่ี ิดรําพงึ ถงึ สิ่งทตี่ นปรารถนา เป็นมโนทวาร ผลทีค่ ดิ เป็นมโนกรรม เป็นไดท้ ้งั ฝ่ ายดี ฝ่ายชวั่ ตัณหา ๓ (ความทะยานอยาก) ๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม ไดแ้ ก่ อยากไดอ้ ารมณอ์ นั น่ารกั ใคร่ น่าปรารถนา ตอ้ งการพวั พนั อยู่ ในกามารมณ์ ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ ไดแ้ ก่ การอยากเป็นนน่ั อยากเป็นนี่ หรือไมต่ อ้ งการพลดั พรากจาก ภพหรือสถานที่อยขู่ องตน รวมถงึ ความตอ้ งการเป็นคนมอี าํ นาจ มชี ่ือเสียง มฐี านะดี เป็นตน้ ๓. วภิ วตัณหา ความทะยานอยากในการไปจากภพ ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการพน้ จากความเป็นอยจู่ ากความเป็น ตวั ตนอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง อยากดบั สูญให้หมด ทฏิ ฐิ ๓ (ความเหน็ , ทฤษฏี) ๑. อกิริยทฏิ ฐิ ความเห็นว่าไม่เป็ นอันทาํ หมายถงึ ความเห็นว่าการกระทาํ แลว้ ไม่ช่ือว่าทาํ เช่น เห็นว่าทานที่ ให้ไปแลว้ ไมเ่ ป็นผล ผลวิบากของกรรมทส่ี ัตวท์ าํ แลว้ ไมม่ ี เป็นตน้ ๒. อเหตุกทฏิ ฐิ ความเห็นว่าหาเหตมุ ไิ ด้ หมายถงึ การเห็นว่าสรรพสิ่งไม่มีเหตุปัจจยั ทฏิ ฐิน้ีแสดงว่าสิ่งที่ เกิดข้นึ ในชีวติ ของคนๆน้นั ไม่ว่าจะเป็นความสุขความทกุ ขเ์ ป็นตน้ ลว้ นเกิดข้ึนมาเองโดยไม่มีเหตุปัจจยั ๓. นตั ถกิ ทิฏฐิ ความเหน็ ว่าไม่มี หมายถงึ ความเห็นทป่ี ฏเิ สธทุกอยา่ ง โดยสรุปว่า บุญ บาปไมม่ ี โลกหนา้ ไมม่ ี สตั วท์ ้งั หลายสิ้นสุดลงทีค่ วามตาย เป็นตน้ ทฏิ ฐิท้งั ๓ อยา่ งน้ีเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นขดั แยง้ กบั ทางพระพุทธศาสนา ปาฏิหาริย์ ๓ (การกระทาํ ท่ีให้บังเกดิ ผลเป็ นอศั จรรย์) ๑. อิทธปิ าฏิหาริย์ แสดงฤทธ์เิ ป็ นอัศจรรย์ หมายถึง การแสดงที่พน้ วิสยั ของสามญั ชนธรรมดา เช่น หายตวั ได้ ดาํ ดินได้ เหาะได้ เป็นตน้ ๒. อาเทศนาปาฏิหารยิ ์ ทายใจเป็ นอัศจรรย์ หมายถึง การทายใจของคนอน่ื ไดถ้ ูกตอ้ ง ไม่ว่าเขาจะคิดไป อยา่ งไร จะดีหรือเลว ญาณท่ที าํ ให้รู้ใจผอู้ ่ืนน้ี คอื เจโตปริยญาณ ๓. อนุสาสนปี าฏหิ าริย์ คําสอนเป็ นอศั จรรย์ หมายถงึ คาํ สอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นผลจริง คนผนู้ าํ ไป ปฏบิ ตั สิ ามารถทาํ ใหไ้ ดผ้ ลสมจริงไดโ้ ดยไม่เลอื กเวลา สถานที่ ผปู้ ฏิบตั ิจะรู้ไดด้ ว้ ยตวั เอง โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 19
20 คาํ สอนท้งั ๓ น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญอนุสสาสนีปาฏหิ าริย์ เพราะอาจสามารถดาํ รงศาสนาไวไ้ ด้ ปิ ฏก ๓ (คมั ภรี ์ทร่ี วบรวมคําสอนทางพระพทุ ธศาสนา) ๑. พระวินัยปิ ฎก หมวดพระวนิ ัย ไดแ้ กก่ ารประมวลเอาพุทธบญั ญตั ริ ะเบียบแบบแผนทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรง บญั ญตั ไิ ว้ ใหพ้ ุทธบริษทั ปฏิบตั ติ าม เพอ่ื ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหมูค่ ณะ แบง่ เป็น ๒ หมวด ๕ คมั ภีร์มี พระไตรปิ ฎก ๘ เลม่ ๒. พระสุตตันตปิ ฎก หมวดพระสูตร ไดแ้ ก่หมวดท่ีประมวลเอาพระธรรมเทศนา หรือ คาํ บรรยายธรรมและ เรื่องราวตา่ ง ๆ ท่พี ระพุทธเจา้ ไดท้ รงแสดงไวเ้ ขา้ เป็นหมวดหมมู่ ี ๕ นิกาย มีพระไตรปิ ฎก ๒๕ เล่ม ๓. พระอภธิ รรมปิ ฎก หมวดอภิธรรม ไดแ้ กก่ ารประมวลหลกั ธรรมและคาํ อธิบายลว้ น ๆ ทา่ นเนน้ หนกั ใน เร่ืองปรมตั ถธรรม อนั ไดแ้ ก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มี ๗ คมั ภรี ์ พระไตรปิ ฎก ๑๒ เล่ม พุทธจริยา ๓ (จริยาวตั รของพระพุทธเจ้า) ๑. โลกัตถจริยา ทรงประพฤตเิ พื่อเป็ นประโยชน์แก่โลก หมายถึง การทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงอาศยั พระมหา กรุณาธิคุณเสด็จไปโปรดชาวโลกดว้ ยการนาํ เอาคาํ สอนไปประกาศช้ีแจงแสดง เพ่อื ใหเ้ ป็นประโยชนส์ ุขแกม่ หาชนใน แควน้ ตา่ งๆ เป็นตน้ มา และทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาไวเ้ พือ่ ประโยชน์แก่มหาชนภายหลงั ดว้ ย ๒. ญาตัตถจริยา ทรงประพฤติเพื่อเป็ นประโยชน์แก่พระญาติ ไดแ้ ก่ การท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จไปโปรดพระบดิ า และเสดจ็ ไปหา้ มพระญาตทิ ว่ี ิวาทแยง่ น้าํ กนั เป็นตน้ ๓. พทุ ธตั ถจริยา ทรงประพฤตเิ พ่ือเป็ นประโยชน์ในฐานะเป็ นพระพทุ ธเจ้า ไดแ้ กก่ ารท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดง ธรรมโปรดเวไนยสตั วใ์ ห้รู้ตามธรรมทพ่ี ระองคไ์ ดต้ รัสรู้ ทรงบญั ญตั ิพระวนิ ยั เพือ่ บริหารหม่สู าวกเพ่ือความเป็น ระเบยี บเรียบร้อย และทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาใหย้ ง่ั ยืนมาตราบทกุ วนั น้ี เป็นตน้ โลก ๓ (โลกคือหม่สู ัตว์, สัตว์โลก) ๑. มนุษย์โลก โลกที่เราอาศัยอย่นู ้ี ไดแ้ ก่ โลกทีเ่ ป็นผนื แผ่นดินอนั เป็นทีอ่ ยอู่ าศยั ของมนุษยห์ รือสัตว์ ๒. เทวโลก สวรรค์ช้ันกามาวจร ๖ ช้ัน ไดแ้ ก่ ท่ีอยขู่ องเทพยดา๖ ช้นั ซ่ึงยงั เพลดิ เพลินอยใู่ นกามคณุ ๓. พรหมโลก สวรรค์ช้ันรูปพรหม ๑๖ ช้ัน ไดแ้ ก่ ท่อี ยขู่ องพรหม ๆ น้นั เกิดข้นึ ดว้ ยกาํ ลงั ฌาน สังขตลกั ษณะ ๓ (ลกั ษณะของสิ่งท่ีมีปัจจยั ปรุงแต่ง) ๑. ความเกิดขนึ้ ปรากฏ (อปุ ปา ปัญญายต)ิ ๒. ความดับสลายปรากฏ (วโย ปัญญายติ) ๓. เมื่อต้งั อย่คู วามแปรปรวนปรากฏ (ฐิตสั มิ อญั ญตั ตงั ปัญญายต)ิ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 20
21 สิกขา ๓ (ข้อปฏิบัตทิ จ่ี ะต้องศึกษา) ๑. อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยง่ิ หมายถงึ การปฏิบตั สิ าํ หรับฝึกไมใ่ หฝ้ ่ าฝืนในขอ้ บญั ญตั แิ มเ้ ลก็ นอ้ ยไมใ่ ห้ด่าง พร้อย ๒. อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตอันย่งิ หมายถงึ การฝึกปรืออบรมจิตใจของคนเองดว้ ยระบบของสมถกรรมฐาน ทาํ จิตให้สงบจากกามารมณ์ ๓. อธปิ ญั ญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอนั ย่ิง หมายถงึ การปฏิบตั สิ าํ หรับอบรมปัญญาใหเ้ กิดความรู้แจง้ อยา่ งสูง คอื ให้รู้ถึงความเกิด ความดบั ว่าน้ีทกุ ข์ น้ีเหตุทาํ ใหเ้ กิดทุกข์ น้ีคือความดบั ทุกข์ น้ีเป็นทางปฏบิ ตั ิเพอื่ ใหด้ บั ทุกขแ์ ละ ใหร้ ู้ว่า น้ีคอื อาสวะ ฯลฯ น้ีคอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงความดบั อาสวะ จตกุ กะ หมวด ๔ อบาย ๔ (สถานทอ่ี ันปราศจากความเจริญ) ๑. นิริยะ (นรก) หมายถึง ภมู หิ รือสถานทเ่ี สวยทกุ ขข์ องคนหรือสัตวผ์ ทู้ าํ บาป เม่อื ตายไปแลว้ กไ็ ปเกิดในทีน่ ้นั และแลว้ กไ็ ดร้ ับทกุ ขเวทนาตา่ ง ๆ ตามแต่กรรมทคี่ นไดท้ าํ ไว้ ๒. ตริ ัจฉาน (กาํ เนิดสัตว์ดิรัจฉาน) หมายถึง สัตวด์ ิรัจฉานท่ีเราพบอยทู่ กุ วนั น้ีเอง เช่น ชา้ ง มา้ ววั ควาย เป็น ตน้ ไดช้ ่ือวา่ เป็นอบาย คือ หาความเจริญไมไ่ ด้ ไมส่ ามารถพฒั นาให้มีความกา้ วหนา้ บรรพบุรุษเคยเป็นอยอู่ ยา่ งไร ก็ เป็นอยอู่ ยา่ งน้นั ไม่เปลย่ี นแปลง หรือถา้ เปลี่ยนแปลงก็เปล่ยี นแปลงเลก็ นอ้ ย ๓. ปิ ตติวสิ ัย (ภูมิแห่งเปรต) หมายถึง สถานเป็นทีอ่ ยอู่ าศยั ของสัตวจ์ าํ พวกหน่ึงที่ว่ากนั วา่ มีรูปร่างพกิ ลตา่ ง ๆ เช่น ตวั สูงโยง่ ยาวเท่าตน้ ตาล มีปากเท่ารูเขม็ กินแตเ่ ลือดและหนองเป็นอาหาร เป็นตน้ ๔. อสุรกาย (พวกอสูร) หมายถงึ สัตวท์ ่เี กิดในอบายภมู พิ วกหน่ึง ชอบเท่ียวหลอกหลอนคนค่กู บั เปรต แต่ เปรตไม่เหมอื นอสุรกาย(ผ)ี เป็นแต่คนไปพบเอง อัปปมญั ญา ๔ (ธรรมทแ่ี ผ่ไปไม่มปี ระมาณ) ๑. เมตตา ความรักใคร่ ไดแ้ ก่ ปรารถนาจะใหค้ นอ่ืนมคี วามสุข แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตวท์ ้งั ปวงเป็นสุขทว่ั หนา้ สม่าํ เสมอกนั หมดโดยไมจ่ าํ กดั ขอบเขต ผเู้ จริญยอ่ มกาํ จดั ความพยาบาทเสียได้ ๒. กรุณา ความสงสาร ไดแ้ ก่ ความคิดที่จะช่วยให้คนอื่นพน้ ทกุ ขภ์ ยั พบิ ตั ติ า่ ง ๆ ท่เี ขากาํ ลงั ประสบอยู่ ผเู้ จริญ ยอ่ มกาํ จดั วหิ ิงสาเสียได้ ๓. มุทิตา ความพลอยยนิ ดี ไดแ้ ก่ เม่ือผอู้ ่ืนไดด้ กี ม็ ีความสุขแช่มช่ืนเบกิ บานใจดว้ ย ผเู้ จริญยอ่ มกาํ จดั อคตแิ ละ ริษยาเสียได้ ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไดแ้ ก่ การมใี จเป็ นกลาง ไมเ่ อนเอียงไปดว้ ยความชอบหรือความชงั ในเมอื่ ไม่ สามารถจะช่วยเหลือได้ โดยพจิ ารณาเป็นกลางว่าเขามกี รรมเป็นของตนเอง เมอ่ื ทาํ ดงั น้ีจิตกจ็ ะสงบ ผเู้ จริญยอ่ มกาํ จดั ปฏฆิ ะเสียได้ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 21
22 พรหมวิหาร ๔ แผ่ไปจาํ เพาะเจาะจง แตอ่ ปั ปมญั ญา ๔ แผไ่ ปไม่มีประมาณ ไม่จาํ กดั วา่ เป็นใคร อุปาทาน ๔ (ความถือมั่นด้วยอํานาจกเิ ลส) ๑. กามปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในกาม ไดแ้ ก่ การเขา้ ไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกาม คอื ส่ิงทต่ี นคิดวา่ น่าปรารถนา น่า พอใจ หมกมุ่นอยวู่ า่ นนั่ ของเรา จึงเป็นเหตุใหเ้ กิดการหึงหวงกนั ข้ึน เป็นตน้ ๒. ทิฏ�ุปาทาน ความถือมนั่ ทฏิ ฐิ ไดแ้ ก่ การยึดมนั่ ถอื มนั่ ในลทั ธิหรือหลกั คาํ สอนต่างๆ ของฝ่ ายตน โดยเห็น ผอู้ ื่นผดิ หมดเมอื่ เขา้ ใจกนั ไมไ่ ด้ จึงก่อให้เกิดสงครามระหวา่ งศาสนา หรือลทั ธิต่างกนั ข้ึน เช่น สงครามในเลบานอน หรือแมศ้ าสนาเดียวกนั ก็ฆ่ากนั ได้ เพราะความเห็นขดั แยง้ กนั ๓. สีลพั พตปุ าทาน ถือมน่ั ศีลพรต ไดแ้ ก่ การยดึ ถอื เอาส่ิงท่ตี นประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา่ งงมงายว่าขลงั ว่าศกั ด์ิสิทธ์ิ มไิ ดเ้ ป็นดว้ ยความรู้ความเขา้ ใจดว้ ยตามหลกั เหตุผล ๔. อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นวาทะว่าตน ไดแ้ ก่ ความสาํ คญั หมายวา่ น้ีคือเรา น้ีของเรา นนั่ ของเรา จนเป็น เหตใุ หแ้ บง่ แยกเป็นพรรคเป็นพวกข้ึน จนถงึ กบั ยึดถือว่าตวั ตนทเ่ี ท่ยี งแทอ้ ยู่ โอฆะ ๔ (กเิ ลสดุจนา้ํ ท่วมใจสัตว์) ๑. กาโมฆะ โอฆะคือกาม หมายเอาวตั ถกุ ามและกเิ ลสกามทจี่ ะทาํ ให้คนหลงยดึ ติดอยกู่ บั ความเพลดิ เพลนิ ๒. ภโวฆะ โอฆะคือภพ หมายเอากิเลสท่ีหมกั หมมอยใู่ นสันดานสัตว์ ทาํ ใหอ้ ยากเป็น อยากมี ๓. ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทฏิ ฐิ หมายเอามจิ ฉาทฏิ ฐิทท่ี ่วมทบั ใจสัตว์ ทาํ ให้ยดึ ถือในสิ่งทผี่ ดิ ๔. อวิชโชฆะ โอฆะคืออวิชชา หมายเอาความไมร่ ู้ทวั่ ไป คอื ไม่รู้วิชชา ๔ หรือวิชชา ๖ ทักขิณาวสิ ุทธิ ๔ (ความบริสุทธ์แิ ห่งทักษณิ า (ของท่ที าํ บุญ) ๑. ผูใ้ ห้เป็นผูถ้ อื ศีลมีกลั ยาณธรรม แต่ผูร้ ับทุศีล มีบาปธรรม มผี ลเพียงก่ึงเดียว เหมือนหว่านพืชพนั ธุด์ ีลงใน นาที่ขาดป๋ ุย ๒. ผูใ้ ห้เป็นทศุ ีล มบี าปธรรม แต่ผูร้ ับเป็นผูม้ ีศลี กลั ยาณธรรม มผี ลเพยี งก่ึงเดียวเช่นกนั เหมอื นพืชไม่ดีหว่าน ลงในนาดี ๓. ท้งั ๒ ฝ่ายไมม่ ศี ีล มบี าปธรรม หวงั ผลไดน้ อ้ ย เหมือนหวา่ นพชื ชนิดเลวลงในนาที่ขาดป๋ ุย ๔. ท้งั ๒ ฝ่ ายตา่ งกส็ มบรู ณ์ดว้ ยศีลและกลั ยาณธรรม มผี ลมาก เหมอื นหว่านพชื พนั ธุ์ดีลงในนาทีอ่ ดุ มดว้ ยป๋ ุย ฉะน้นั บริษัท ๔ (พทุ ธศาสนกิ ชน) ๑. ภกิ ษบุ ริษทั คือ ชายท่บี วชเป็นพระในพทุ ธศาสนา ถือศีล ๒๒๗ ขอ้ ๒. ภิกษุณบี ริษทั คอื หญิงที่บวชเป็นพระในพระพทุ ธศาสนา ถือศีล ๓๑๑ ขอ้ (ในปัจจบุ นั ไมม่ แี ลว้ ) ๓. อุบาสกบริษทั คอื คฤหสั ถผ์ ชู้ ายทีน่ บั ถอื พระพุทธศาสนาอยา่ งมนั่ คง ถอื ศีล ๕ หรือศีล ๘ ๔. อบุ าสิกาบริษัท คือ คฤหัสถผ์ หู้ ญงิ ที่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมนั่ คง ถอื ศีล ๕ หรือศีล ๘ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 22
23 บคุ คล ๔ (ประเภทของบคุ คล) ๑. อุคฆฏติ ญั �ู หมายถึง ผูม้ ีไหวพริบปฏภิ าณดี สามารถฟังธรรมทเ่ี ขาแสดงเพียงเล็กนอ้ ยก็เขา้ ใจและบรรลุ ไดเ้ ปรียบเหมอื นดอกบวั ท่พี น้ น้าํ แลว้ พอไดร้ ับแสงอาทติ ยก์ ็บานไดเ้ ลย ๒. วิปจติ ัญ�ู หมายถึง ผรู้ ู้ต่อเมอ่ื ขยายความแลว้ เปรียบเหมือนดอกบวั ทีอ่ ยเู่ สมอน้าํ อีก ๒-๓ วนั ก็บานได้ ๓. เนยยะ หมายถงึ ผพู้ อจะแนะนาํ ได้ คอื มีปัญญาคอ่ นขา้ งนอ้ ย ถา้ สอบบอ่ ย ๆ ก็จะสามารถเขา้ ใจได้ เปรียบ เหมอื นดอกบวั ทยี่ งั อยใู่ นน้าํ อกี ไม่นานกจ็ ะข้ึนพน้ น้าํ แลว้ ๔. ปทปรมะ หมายถงึ ผูม้ ีปัญญานอ้ ยมาก ฟังแลว้ กส็ ักแตว่ ่าฟัง ไมส่ ามารถจะเขา้ ใจความได้ เปรียบเหมอื น ดอกบวั ทย่ี งั อยใู่ นตม มแี ต่จะเป็นอาหารของปลาและเตา่ ปฏิปทา ๔ (แนวทางปฏบิ ัติให้ถึงความหลดุ พ้น) ๑. ทุกขาปฏิปทา ทันธาภญิ ญา ปฏิบตั ิลาํ บาก ท้งั รู้ไดช้ า้ หมายถึง ผูป้ ฏบิ ตั ทิ ่มี กี ิเลสมาก แต่มีอนิ ทรียอ์ ่อน ๒. ทกุ ขาปฏาิ ขปิ ปาภญิ ญา ปฏิบตั ลิ าํ บาก แต่รู้ไดเ้ ร็ว หมายถงึ ผปู้ ฏิบตั ิทมี่ กี ิเลสมาก แต่มอี ินทรียแ์ กก่ ลา้ ๓. สุขาปฏปิ ทา ทันธาภิญญา ปฏิบตั สิ บาย แต่รู้ไดช้ า้ หมายถึงผูป้ ฏิบตั ิท่มี ีกิเลสนอ้ ยแต่มอี ินทรียอ์ อ่ น ๔.สุขาปฏปิ ทา ขิปปาภิญญา ปฏิบตั สิ บาย และรู้ไดเ้ ร็ว หมายถึง ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ่ีมีกิเลสนอ้ ยและมอี ินทรียแ์ กก่ ลา้ โยนิ ๔ (กาํ เนิด, แบบหรือชนดิ ของการเกิด) ๑. ชลาพชุ ะ ไดแ้ ก่ สตั วท์ ถี่ ือปฏิสนธิและเจริญเติบโต เมื่อถึงกาํ หนดกค็ ลอดออกจากครรภม์ ารดา เช่น มนุษย์ และสัตวด์ ิรัจฉานบางประเภท ๒. อัณฑชะ ไดแ้ ก่ สัตวท์ อี่ อกไขม่ าเป็นฟองกอ่ นแลว้ จึงฟักออกมาเป็นตวั ภายหลงั เช่น เป็ด ไก่ นก เป็นตน้ ๓. สังเสทชะ ไดแ้ ก่ สตั วท์ เี่ กิดในของเน่าเป่ื อย ซากสตั วเ์ น่า เช่น หนอน เช้ือโรค เป็นตน้ ๔. โอปปาตกิ ะ ไดแ้ ก่ สตั วท์ ี่เกิดข้ึนมาเป็นตวั เลย เม่อื ตายกไ็ ม่ทอดทิ้งสรีระไว้ เช่น เทวดา สัตวน์ รก พรหม เปรตบางพวก เป็นตน้ วบิ ัติ ๔ (ความผดิ พลาด, ความเสียหาย) ๑. สีลวิบัติ ความวบิ ตั ิแห่งศีล ไดแ้ ก่ ผูม้ ีศลี วิบตั ิ มีการยอ่ หยอ่ นไม่ประพฤติปฏิบตั ิตามหลกั ของศีล ๒. อาจารวิบัติ ความวบิ ตั แิ ห่งมารยาท ไดแ้ ก่ ความเสียหายทางความประพฤตจิ รรยามารยาทไมด่ ี หรือไม่ เหมาะสมแกภ่ าวะของตน ๓. ทิฏฐิวิบัติ ความวบิ ตั ิแห่งทฏิ ฐิ ไดแ้ ก่ ความเห็นท่ีคลาดเคลือ่ นไปจากความเดิม คือมคี วามเห็นที่ขดั แยง้ ต่อ ความเป็นจริง เช่น เห็นว่าการทาํ บุญไมไ่ ดบ้ ุญ เป็นตน้ ๔. อาชีววิบัติ ความวิบตั ิแห่งอาชีวะ ไดแ้ ก่ การหาเล้ยี งชีพในทางท่ผี ิด เรียกว่า มจิ ฉาชีพ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 23
24 ปัญจกะ หมวด ๕ อนุปพุ พีกถา ๕ (เร่ืองท่ีกล่าวไปตามลําดับ) ๑. ทานกถา กลา่ วถึงทาน ก่อนที่พระพทุ ธเจา้ จะสอบธรรมแก่ผทู้ ม่ี ีอปุ นิสัยทพ่ี อจะบรรลธุ รรมได้ พระพุทธเจา้ จะสอนเร่ืองการเสียสละเสียก่อน เพ่ือใหเ้ ขาละความเห็นแก่ตวั ความตระหนี่เสียกอ่ น จึงจะสอนอยา่ งอน่ื ๒. สีลกถา กล่าวถงึ ศลี ในลาํ ดบั ต่อจากทานกถา กท็ รงแสดงคณุ ค่าของศลี เพื่อให้บคุ คลตระหนกั ท่ีจะควบคุม กาย วาจา ของตนให้ประพฤตปิ ฏิบตั ิเรียบร้อย ไมส่ ร้างความเดือดร้อนใหก้ บั ตนและคนอื่น ๓. สัคคกถา กล่าวถงึ สวรรค์ จากน้นั ก็ทรงแสดงผลดีงามทีเ่ กิดข้ึนจากการให้ทานและรกั ษาศลี ๔. กามาทนี วกถา กลา่ วถงึ โทษแห่งกาม จากน้นั ก็ทรงแสดงถึงส่วนเสีย ขอ้ เสียของกาม พร้อมท้งั ผลร้ายท่ีจะมี มาแตก่ าม อนั มนุษยไ์ มค่ วรหลงไหลหมกมุน่ มวั เมา จนถงึ รู้จกั พยายามถอนตนออกจากกามเสีย ๕. เนกขัมมานสิ ังสกถา กลา่ วถงึ อานิสงฆข์ องการออกจากกาม คอื การกลา่ วสรรเสริญผลดีของการไม่ หมกมนุ่ เพลิดเพลินอยใู่ นกามและใหม้ ีฉนั ทะในการทจ่ี ะแสวงหาความดีงามความสงบสุขทด่ี ีกวา่ น้นั กามคณุ ๕ (ส่วนท่ีน่าปรารถนา, น่าใคร่) ๑. รูป ของท่ีปรากฏแก่สายตา อนั เป็นรูปร่างลกั ษณะท่สี วยงาม อนั เป็นส่ิงทีน่ ่าปรารถนา ๒. เสียง ส่ิงทไี่ ดย้ นิ ดว้ ยหู อนั เป็นทน่ี ่าใคร่ เช่น เสียงเพราะของสตรี เสียงเพลง เสียงดนตรี เป็นตน้ ๓. กล่ิน สิ่งทรี่ ู้ไดด้ ว้ ยจมกู เช่น กลิ่นหอมของแป้ง กลน่ิ น้าํ หอม เป็นตน้ ๔. รส สิ่งทรี่ ู้ไดด้ ว้ ยลิ้น เช่น เปร้ียว หวาน มนั เค็ม เป็นตน้ ๕. โผฏฐัพพะ สิ่งที่มาถกู ตอ้ งกาย คอื สิ่งที่นุ่ม ร้อน เยน็ ออ่ น แข็ง เป็นตน้ ท้งั ๕ อยา่ งน้ี ส่วนท่ปี รารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเท่าน้นั จึงจดั เป็นกามคุณ มจั ฉริยะ ๕ (ความตระหน่ี) ๑. อาวาสมจั ฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่ ไดแ้ ก่ ความหวงไม่ให้บุคคลมาอยใู่ นบา้ นของคน หรือในประเทศของตน ๒. กลุ มัจฉริยะ ตระหนี่ตระกลู ไดแ้ ก่ การหวงตระกูล ถือว่าตระกลู ของตนดีกว่าคนอน่ื ๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหน่ีลาภ ไดแ้ ก่ คนท่หี วงไม่ยินดีทจี่ ะอนุเคราะห์บคุ คลอืน่ ดว้ ยวตั ถขุ องตน ๔. วณั ณมจั ฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ไดแ้ ก่ คนท่ีหวงไมต่ อ้ งการใหค้ นอ่นื มชี ่ือเสียงเทา่ เทียมตนเป็นตน้ ๕. ธมั มมจั ฉริยะ ตระหน่ีธรรม ไดแ้ ก่ หวงวิชาความรู้ทตี่ นมี ไมส่ อนใหผ้ อู้ ืน่ รู้ตามดว้ ย ความตระหน่ี ๕ อยา่ งน้ี ท่านจดั เป็นมลทิน เมื่อมีอยใู่ นผูใ้ ดยอ่ มทาํ ใหผ้ ูน้ ้นั มวั หมอง วิญญาณ ๕ (ความรู้ที่เกิดขึน้ เม่ืออายตนะภายในและภายนอกกระทบกนั ) ๑. เม่อื เห็นรูปดว้ ยตา เกิดความรู้ข้นึ เรียกว่า จักขวุ ญิ ญาณ ๒. เม่อื ไดย้ ินเสียงดว้ ยหู เกิดความรู้ข้นึ เรียกว่า โสตวิญญาณ ๓. เมอื่ สูดดมกลิน่ ดว้ ยจมกู จะเป็นกลน่ิ หอม กลนิ่ เหม็นกต็ าม ความรู้น้นั เรียกวา่ ฆานวิญญาณ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 24
25 ๔. เมอื่ ลน้ิ ไดส้ ัมผสั กบั รสชาติอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เกิดความรู้ข้ึน เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ ๕. เมอื่ กายไปกระทบกบั เยน็ ร้อน อ่อน แขง็ ตา่ ง ๆ เกิดความรู้น้นั ข้นึ มา เรียกว่า กายวญิ ญาณ วมิ ุตติ ๕ (ความหลุดพ้น) ๑. วกิ ขมั ภนวมิ ุตติ พน้ ดว้ ยการขม่ ไว้ คอื ความพน้ จากกิเลสของท่านผูบ้ าํ เพญ็ ฌาน ยอ่ มสามารถขม่ นิวรณ์ไวไ้ ด้ ไมใ่ ห้ฟ้งุ ซ่านในจิต แต่เมื่อออกจากฌานแลว้ นิวรณ์กส็ ามารถครอบงาํ จิตไดด้ งั เดิม ทา่ นเปรียบเหมือนหินทบั หญา้ เมอื่ เอาหินออกแลว้ หญา้ ก็กลบั งอกข้ึนไดด้ งั เดิม ๒. ตทังควิมตุ ติ พน้ ไดด้ ว้ ยการสะกดไว้ คอื การทาํ จิตของตนให้หลุดพน้ จากอาํ นาจของกิเลสไดช้ วั่ คราว เช่น มีเรื่องชวนให้โกรธ แตพ่ ิจารณาเห็นโทษของความโกรธ การทะเลาะวิวาทกนั แลว้ ห้ามใจไมใ่ หท้ าํ ตามความโกรธที่ เกิดข้นึ ๓. สมจุ เฉทวมิ ุตติ พนั ไดเ้ ดด็ ขาด คือ ความพน้ จากกิเลสไดเ้ ด็ดขาดสิ้นเชิง ดว้ ยโลกตุ ตรมรรค ๔. ปฏปิ ัสสัทธิวิมตุ ติ พนั ดว้ ยสงบระงบั คือการหลุดพนั ดว้ ยโลกตุ ตรผล กิเลสเป็นอนั สงบระงบั หมดแลว้ ๕. นสิ สรณวิมตุ ติ พนั ดว้ ยสลดั ออกได้ คอื การหลดุ พนั ดว้ ยการดบั กิเลสเสร็จสิ้นเชิง ไดแ้ ก่ การดาํ รงอยใู่ น พระนิพพานนนั่ เอง ปหานะ ๕, วิมตุ ติ ๕, วิเวก ๕, วิราคะ๕ และโวสสคั คะ๕ ท้งั หมดน้ีมีความหมายอยา่ งเดียวกนั เวทนา ๕ (การเสวยอารมณ์) ๑. ความสุข หมายเอา ความสบายทางกาย ๒. ความทกุ ข์ หมายเอา ความไม่สบายกาย ความเจบ็ ปวดทางกาย ๓. โสมนสั ความแช่มชื่น หมายเอา ความสบายใจ ความสุขใจ ๔. โทมนสั ความเสียใจ หมายเอา ความทุกขท์ างใจ ๕. อเุ บกขา ไดแ้ ก่ ความรู้สึกเฉย ๆ ไม่แสดงออกมาในรูปของความดีใจ เสียใจ สุทธาวาส ๕ (ภพทอี่ ย่ขู องท่านผ้บู ริสุทธ์ิ) หมายถึง ภพของทา่ นผเู้ ป็นพระอนาคามีจะไปเกิด มี ๕ คอื ๑. อวิหา ภพของทา่ นผไู้ มล่ ะฐานะของตน ไดแ้ ก่ ภพท่ผี ูม้ ศี รัทธาแก่กลา้ จะไปเกิดในภพน้ี ๒. อตัปปา ภพของทา่ นผไู้ ม่ทาํ ความเดือดร้อนให้ใคร ไดแ้ ก่ ภพท่ีเป็นทอี ยขู่ องผมู้ ีวริ ิยะแกก่ ลา้ ๓. สุทสั สา ภพของทา่ นผงู้ ดงามน่าทศั นา ไดแ้ ก่ ภพที่เป็นอยขู่ องผูม้ ีสตแิ ก่กลา้ ๔. สุทัสสี ภพของท่านผูป้ รากฏเห็นชดั เจน ไดแ้ ก่ ภพทเี่ ป็นที่อยขู่ องผมู้ สี มาธิแกก่ ลา้ ๕. อกนฏิ ฐา ภพของทา่ นผไู้ ม่นอ้ ยกว่าภพอืน่ ไดแ้ ก่ ภพของผูท้ ี่มีปัญญาแกก่ ลา้ สังวร ๕ (ความสํารวม) โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 25
26 ๑. สีลสังวร สาํ รวมระวงั ในศีล ไดแ้ ก่ การสาํ รวมทางการกระทาํ การพดู การคิด อนั จะเป็นเหตใุ ห้เกิดความ เสียหายข้ึนได้ โดยการปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บ(ศีล) เช่น ศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศลี ๒๒๗ และกฎหมายบา้ นเมอื ง น้นั ๆ ๒. สติสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยสติ ไดแ้ ก่ การสาํ รวมดว้ ยอินทรีย์ มีจกั ษุ เป็นตน้ ระวงั มิใหอ้ กุศลธรรมเกิดข้นึ ครอบงาํ ได้ หรือคอยระวงั ก่อนแตจ่ ะทาํ พดู คิด และขณะทาํ เป็นตน้ ๓. ญาณสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยญาณ ไดแ้ ก่ การสาํ รวมดว้ ยปัญญาในเวลา ทาํ พดู คิด ใหร้ ู้จกั ว่าสิ่งทที่ าํ ลง ไปน้นั เป็นความผิดหรือถูก แลว้ ยดึ เอาแตท่ างดี ทางถกู ตอ้ งต่อไป ๔. ขันตสิ ังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยขนั ติ ไดแ้ ก่ การอดทนต่อความหนาว ความร้อน ความหิวกระหาย หรือ อดทนตอ่ ถอ้ ยคาํ หยาบ คาํ ด่า และอดทนตอ่ ทกุ ขเวทนาตา่ ง ๆ ในเม่ือประสบเขา้ ๕. วริ ิยสังวร สาํ รวมระวงั ดว้ ยความเพียร ไดแ้ ก่ การเพียรพยายามขบั ไล่ กาํ จดั อกศุ ลวิตก ทีเ่ กิดข้ึนและให้ หมดไป เป็นตน้ หรือเพยี รละมจิ ฉาชีพ การเล้ียงชีวติ ในทางทีผ่ ดิ ธรรมขันธ์ ๕ (หมวดธรรม รวบรวมหัวข้อธรรมทีม่ ลี ักษณะเหมือนกนั เข้ามาไว้ในหมวดเดียวกัน) ๑. สีลขนั ธ์ หมวดศีล ไดแ้ ก่ การประมวลเอาหมวดธรรมท่มี ีลกั ษณะเป็นศีล เขา้ มารวมไวใ้ นหมวดเดียว เช่น อปจายนมยั ปาติโมกขสงั วร กายสุจริต สัมมวาจา สัมมากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ เป็นตน้ ๒. สมาธิขันธ์ หมวดสมาธิ ไดแ้ ก่ การรวบรวมเอาธรรมอนั เป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั กบั สมาธิ อนั จะพงึ สงเคราะห์เขา้ หมวดกนั ได้ เช่น ชาคริยานุโยค กายคตาสติ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ เป็นตน้ ๓. ปัญญาขันธ์ หมวดปัญญา ไดแ้ ก่ การรวบรวมธรรมอนั เป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั กบั ปัญญา อนั จะพึง สงเคราะหเ์ ขา้ หมวดกนั ได้ เช่น ธมั มวจิ ยะ วิมงั สา ปฏิสมั ภทิ า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกปั ปะ เป็นตน้ ๔. วมิ ตุ ติขนั ธ์ หมวดวมิ ตุ ติ ไดแ้ ก่ การประมวลเอาธรรมทมี่ ลี กั ษณะเป็นความหลุดพน้ เช่น ปทานะ วริ าคะ วโิ มกข์ วิสุทธิ นิโรธ นิพพาน เป็นตน้ ๕. วมิ ตุ ติญาณวทิ สั สนาขันธ์ หมวดวมิ ุตติญาณทสั สนะ ไดแ้ ก่ การประมวลเอาธรรมเก่ียวกบั การเห็นใน วมิ ุตติเขา้ ดว้ ยกนั เช่น ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ เป็นตน้ ฉักกะ หมวด ๖ อภญิ ญา ๖ (ความรู้อย่างย่งิ ยวด หรือ ความรู้ทไ่ี ด้จากการเจริญกรรมฐาน) โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 26
27 ๑. อิทธวิ ธิ ี แสดงฤทธ์ิได้ หมายถงึ แสดงอิทธิปาฏหิ าริยต์ า่ งๆ ได้ เช่น เหาะได้ หายตวั ได้ เป็นตน้ ๒. ทพิ พโสต หูทิพย์ หมายถงึ สามารถจะฟังเสียงที่อยใู่ กล้ ๆ ได้ เม่ือกาํ หนดจะฟัง ๓. เจโตปริยญาณ รู้จกั ใจผูอ้ ื่น หมายถึง กาํ หนดรู้จกั ใจของคนอน่ื วา่ คิดอยา่ งไรได้ ๔. ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ ระลึกชาตไิ ด้ หมายถึง สามารถระลกึ ถึงชาตหิ นหลงั ๆ ได้ ๕. ทพิ พจกั ขุ ตาทพิ ย์ หมายถงึ สามารถมองเห็นการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กิดในสถานทแ่ี ห่งหน่ึงและมองเห็นสตั ว์ ท้งั หลายทเ่ี ป็นไปตามกรรม ทีต่ นเองทาํ ไว้ ๖. อาสวกั ขยญาณ รู้จกั ทาํ อาสวะใหส้ ิ้นไป หมายถึง สามารถทาํ ให้กิเลส ตณั หาสิ้นไปจากสันดานของตนได้ ซ่ึงทาํ ใหบ้ รรลอุ รหัตตผล สิ้นกิเลสนิพพาน อภญิ ญาน้ี ๕ อยา่ งแรกเป็นเพียงโลกียะสามารถจะเสื่อมได้ ถา้ ผูน้ ้นั มจี ิตตกไปในทางอกศุ ล ส่วนขอ้ ๖ เป็นโลกุตตรธรรมไมม่ ีทางเสื่อมได้ อภฐิ าน ๖ (คือ กรรมทหี่ นักยิ่งกว่ากรรมอ่ืนๆ) ๑. มาตุฆาต ฆา่ มารดา หมายถงึ บุคคลที่สามารถฆ่ามารดาของคน ซ่ึงถอื เป็นผูใ้ หช้ ีวิตและใหท้ ุกสิ่งทุกอยา่ ง ชื่อว่าเป็นการทาํ กรรมอนั หนกั (อนนั ตริยกรรม) มีทคุ ตเิ ป็นที่หวงั ๒. ปิ ตฆุ าต ฆ่าบดิ า เหมือนขอ้ ที่ ๑ ๓. อรหนั ตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ หมายถงึ คนที่ฆ่าพระอรหันตผ์ ซู้ ่ึงมจี ิตใจบริสุทธ์ิ ไม่ไดค้ ิดร้ายตอ่ ใครและ เป็นท่นี บั ถอื ของคนทว่ั ไป ผูท้ ่ฆี ่าบคุ คลเช่นน้ีกถ็ อื ว่าเป็นกรรมอนั หนกั ยง่ิ ๔. โลหิตปุ บาท ทาํ ร้ายพระพุทธเจา้ เพียงแต่ทาํ ใหพ้ ระโลหิตหอ้ ข้ึน หมายถงึ ผูท้ ี่ทาํ ร้ายพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงถอื วา่ มี พระคุณอนั ย่งิ ใหญ่ ก็ถือว่าเป็นกรรมอนั หนกั ๕. สังฆเภท ยยุ งสงฆใ์ หแ้ ตกกนั หมายถึง ยยุ งสงฆแ์ ยกจากกนั เป็นพรรคเป็นพวก คือ ฝ่ ายละ ๔ รูปข้ึนไป ก็ ถอื ว่าเป็นกรรมอนั หนกั ๖. อัญญสัตถุทเทส ถอื ศาสนาอน่ื หมายถงึ พระภกิ ษุสามเณรท่ีหนั เหไปนบั ถอื ศาสนาอื่นท้งั ท่บี วชอยู่ จริต ๖ (ความประพฤต,ิ อปุ นิสัย, พืน้ เพของจิตใจ) ๑. ราคจริต มีราคะเป็นปกติ คือ เป็นพฤตกิ รรมของผูท้ ่ีรักสวยรกั งาม ตดิ อยใู่ นอารมณท์ ี่สวยงาม ใชอ้ สุภะ ๑๐ และกายคตาสติแก้ ๒. โทสจริต มโี ทสะเป็นปกติ คือ ผทู้ มี่ โี ทสะเกิดข้ึนเสมอ ๆ ใจร้อนหงุดหงดิ งา่ ย แกด้ ว้ ยการเจริญพรหม วิหารและกสิณ โดยเฉพาะวรรณกสิณ ๓. โมหจริต มีโมหะเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผทู้ ่ีหลงไปในทางอวิชชา คือการไมร่ ู้อะไรเป็นบญุ อะไรเป็นบาป อบุ าย ทีจ่ ะกาํ จดั คือ เจริญอานาปานสติ และจาํ ตอ้ งหมนั่ ศกึ ษาในทุกแง่ทีจ่ ะเพ่มิ ความรู้ ๔. สัทธาจริต มีศรทั ธาเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ ีม่ ีความเช่ืออยา่ งแน่นแฟ้น ยากทีจ่ ถุ อนความยดึ ถอื น้นั ออกไดต้ อ้ ง แกด้ ว้ ยอนุสสติ ๖ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 27
28 ๕. วิตักกจริต มีวิตกเป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผทู้ ี่ประพฤตหิ นกั ไปในทางนึกคดิ จบั จด ฟ้งุ ซ่าน คิดเกินความจาํ เป็น เกินพอดี ตอ้ งแกด้ ว้ ยการสะกดอารมณ์ เช่น เพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสตกิ มั มฏั ฐาน ๖. พุทธิจริต มคี วามรู้เป็นปกติ ไดแ้ ก่ ผูท้ ี่ประพฤตหิ นกั ไปในทางใชค้ วามคดิ การพิจารณา ตอ้ งแนะนาํ ให้ คิดในทางทีถ่ ูก ธรรมคณุ ๖ (คือ คณุ ของพระธรรม) ๑. สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมที่พระผมู้ พี ระภาคตรสั ไวด้ ีแลว้ เป็นคาํ สอนที่สมบูรณด์ ว้ ยอรรถและ พยญั ชนะ มคี วามงามท้งั เบ้ืองตน้ ทา่ มกลางและท่สี ุด ๒. สันทฏิ ฐิโก หมายความวา่ การจะทาํ อะไรกแ็ ลว้ แต่ คนที่ทาํ ดว้ ยตวั เองนนั่ แหละถึงจะรู้เป็นยงั ไงเหมอื นกบั เราบริโภค ของทม่ี รี สขม คนทีก่ ินก็รู้เองว่ามรี สเป็นเช่นไร ๓. อกาลโิ ก ไมข่ ้ึนอยกู่ บั กาล หมายถึง พระธรรมไมล่ า้ สมยั บคุ คลจะนาํ มาประพฤตเิ มอ่ื ไรกไ็ ดไ้ มจ่ าํ เป็นตอ้ ง รอวา่ ตอ้ งทาํ วนั ไหน ปี ไหน หรือตอ้ งทาํ ตอนแก่ ๔. เอหปิ ัสสิโก ควรเรียกให้มาดู หมายถึง พระธรรมทแ่ี สดงไวน้ ้นั สามารถทจ่ี ะใหพ้ ิสูจน์ไดท้ กุ เวลาและนาํ ไป ประพฤติ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นชีวิตประจาํ วนั ๕. โอปนยโิ ก ควรนอ้ มเขา้ ใส่คน หมายถงึ ควรนอ้ มกาย ใจของคนเขา้ ไปหาในส่ิงทีด่ ีงาม ทเ่ี ป็นมงคลแก่ชีวิต ๖. ปัจจตั ตงั เวทติ ัพโพ วิญ�หู ติ ิ วญิ �ูชนพึงรู้ไดเ้ ฉพาะตน หมายถึง ผทู้ ่ปี ระพฤติปฏิบตั ิตามจนถงึ ทสี่ ุดแลว้ ยอ่ มรู้ไดด้ ว้ ยตวั เอง คนอนื่ จะรู้ดว้ ยไม่ได้ สวรรค์ ๖ (สวรรค์ช้ันกามาวจร คือช้ันท่ีมกี ารเกี่ยวข้องด้วยกามารมณ์อย่)ู ๑. ช้ันจาตุมมหาราชิกา เป็นสวรรคช์ ้นั ท่ีต่าํ ทส่ี ุดในบรรดาสวรรค์ ๖ ช้นั น้นั ซ่ึงมีทา้ วมหาราชท้งั ๔ เป็นผูด้ ูแล และปกครอง คอื ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวกเุ วร ๒. ช้ันดาวดึงส์ เป็นที่อยขู่ องเทพบตุ ร ๓๓ ตน ซ่ึงมีทา้ วสกั กะหรือพระอินทร์ปกครอง ในช้นั น้ีมพี วกเทวดา กบั พวกอสูร ส่วนใหญ่จะทาํ การตอ่ สู้กนั ตลอดระหวา่ งเทวดากบั อสูร ผลท่สี ุดอสูรกพ็ า่ ยแพจ้ ึงถูกขบั ไล่ ๓. ช้ันยามา เป็นที่อยขู่ องเทวดามที า้ วสุยามปกครองช้นั น้ีอยู่ ๔. ช้ันดสุ ิต เป็นทีอ่ ยขู่ องเทพผปู้ ราศจากทกุ ข์ อนั มที า้ วสนั ดสุ ิตเป็นผูป้ กครอง และสวรรคช์ ้นั น้ียงั เป็นทอี่ ุบตั ิ ของพระโพธิสตั วแ์ ละพระพทุ ธมารดาดว้ ย ๕. ช้ันนิมมานรดี เป็นทีอ่ ยขู่ องเทพมที า้ วสุนิมนิมติ เป็นผปู้ กครอง เทวดาช้นั น้ีเมอ่ื ตอ้ งการส่ิงไรก็เนรมติ เอาส่ิง น้นั ตามปรารถนา ๖. ช้ันปรนมิ มิตวสวัตตี เป็นท่ีอยขู่ องเทพมที า้ วนิมมิตวสวตั ตปี กครอง เทวดาท่ีอาศยั อยู่ในช้นั น้ีเสวยสมบตั ิที่ เทวดาอน่ื เนรมิตให้ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 28
29 สัตตกะ หมวด ๗ อนุสัย หรือ สังโยชน์ ๗ (กิเลสที่นอนเน่ืองอย่ใู นสันดาน เป็ นกเิ ลสอย่างละเอียด) ๑. กามราคะ ความกาํ หนดั ในราคะ ไดแ้ ก่ ส่ิงท่ีมาปรุงแตง่ จิต ใหก้ าํ หนดั รกั ใคร่พอใจในวตั ถกุ าม ๒. ปฏฆิ ะ ความขดั ใจ ไดแ้ ก่ ความหงุดหงิด ไมพ่ อใจ ขดั เคืองใจ ดว้ ยอาํ นาจโทสะ ๓. ทิฏฐิ ความเห็น ไดแ้ ก่ ความเห็นผดิ เช่น เห็นวา่ ทาํ ดีไมไ่ ดด้ ี มารดา บดิ าไม่มีคณุ เป็นตน้ ๔. วจิ ิกจิ ฉา ความลงั เล ไดแ้ ก่ การท่ีจะลงมือทาํ กิจการอะไรกไ็ มก่ ลา้ ทาํ เพราะกลวั จะไมด่ ีบา้ ง กลวั จะผดิ บา้ ง เลยไม่กลา้ ตดั สินใจอะไรแน่นอน ๕. มานะ ความถอื ตวั ไดแ้ ก่ ความคิดท่เี ยอ่ หย่งิ ถือตวั เห็นว่าตวั เองเหนือกวา่ ผูอ้ ื่นท้งั หมด ๖. ภวราคะ ความอยากได้ อยากเป็น ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการในวตั ถุส่ิงของตา่ ง ๆ ตอ้ งการความมอี าํ นาจ ตอ้ งการเป็นใหญ่ ๗. อวิชชา ความไมร่ ู้จริง ไดแ้ ก่ ความไม่รู้แจง้ เห็นจริงในการทาํ ลายกิเลสตณั หา กิเลสแต่ละอยา่ งจะมอี าํ นาจไปคนละทาง แตล่ ะอยา่ งจะทาํ ใหห้ ลงไปทางน้นั ๆ เหมอื นกบั พาหนะทนี่ าํ โรคมา สู่เราไดห้ ลายทาง เช่น ยงุ ลายนาํ เช้ือไขเ้ ลอื ดออกมา เป็นตน้ พระอรหตั ตมรรคข้ึนไปเทา่ น้นั ทล่ี ะอนุสยั ไดท้ ้งั หมด วิญญาณฐิติ ๗ (ภูมิเป็ นที่ต้ังแห่งวิญญาณ) ๑. สตั วบ์ างพวก มกี ายต่างกนั มสี ญั ญาตา่ งกนั เช่นพวกมนุษย์ เทพบางพวก วินิปาตกิ ะบางพวก ๒. สตั วบ์ างพวก มีกายต่างกนั มสี ญั ญาอยา่ งเดียวกนั เช่น พวกเทพจาํ พวกพรหมผูเ้ กิดในภูมิปฐมฌาน ๓. สตั วบ์ างพวก มกี ายอยา่ งเดียวกนั มีสญั ญาตา่ งกนั เช่น พวกเทพอาภสั สร ๔. สัตวบ์ างพวก มีกายอยา่ งเดียวกนั มสี ญั ญาอยา่ งเดียวกนั เช่น พวกเทพสุภกิณหะ ๕. สัตวบ์ างพวก ผเู้ ขา้ ถงึ ช้นั อากาสานญั จายตนะ ๖. สัตวบ์ างพวก ผเู้ ขา้ ถงึ ช้นั วิญญานญั จายตนะ ๗. สัตวบ์ างพวก ผูเ้ ขา้ ถงึ ช้นั อากิญจญั ญายตนะ วสิ ุทธิ ๗ คือ ความบริสุทธ์ิ ความหมดจด ๑. สีลวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งศีล คือ การรกั ษาศลี ของตนใหห้ มดจด ตามสมควรแกฐ่ านะของตน ๒. จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต คือ จิตท่เี ขา้ ถึงความบริสุทธ์ิจากนิวรณท์ ้งั ๕ ๓. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งทฏิ ฐิ คอื ความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง รู้จกั แยกแยะถูกผิด ๔. กงั ขาวติ รวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองขา้ มพน้ ความสงสยั คอื ความรู้ท่สี ามารถกาํ หนดรู้เหตุเกิด และเหตุดบั แห่งนามรูปได้ จนเป็นเหตุให้สิ้นความสงสยั ในนามรูป ตรงกบั คาํ ว่า ธรรมฐิตญิ าณ หรือ ยถาภตู ญาณ หรือสัมมาทสั สนะ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 29
30 ๕. มคั คามัคคญาณทัสสนะวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองเห็นวา่ ทางและมใิ ช่ทาง คอื ความรู้ท่สี ืบ ทอดมาจากการเจริญวิปัสสนา ดว้ ยการพิจารณาใหเ้ ห็นความเกิดข้ึนและความเลอื่ มไปแห่งสังขารท้งั หลายเห็นว่า วปิ ัสสนูปกิเลสมใิ ช่ทาง ส่วนวิปัสสนานน่ั แลเป็นทางท่ีถกู ตอ้ ง จึงเตรียมทจี่ ะประคองจิตไวใ้ นวิถนี ้นั ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอนั รู้เห็นทางดาํ เนิน คือ ประกอบความเพียรในวปิ ัสสนา ญาณท้งั หลาย เร่ิมต้งั แต่อุทยพั พยยานุปัสสนาญาณท่ีพน้ จากอปุ กิเลส ดาํ เนินเขา้ สู่วิถีทางน้นั เป็นตน้ ไป จนถึงสัจจา นุโลมกิ ญาณ หรือ อนุโลมญาณอนั เป็นทีส่ ุดแห่งวิปัสสนา ต่อแตน่ ้ีเกิดโคตรภูตญาณคนั่ ระหว่างวสิ ุทธิขอ้ น้ีกบั ขอ้ สุดทา้ ย เป็นหัวต่อแห่งความเป็นปุถชุ น กบั ความเป็นอริยบคุ คล โดยสรุปวสิ ุทธิขอ้ น้ีก็คือ วิปัสสนาญาณ ๗. ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ คอื ความรู้ในอริยมรรค ๔ หรือ มรรคญาณอนั เกิดจาก โคตรภตู ญาณ เป็นตน้ ไป เม่อื มรรคเกิดข้นึ แลว้ ผลจิตแต่ละอยา่ งยอ่ มเกิดข้ึนในลาํ ดบั ถดั ไปจากมรรคญาณน้นั ๆความ เป็นพระอริยบุคคลยอ่ มเกิดเพราะวสิ ุทธิขอ้ น้ี เป็นอนั บรรลทุ ีห่ มายสูงสุดแห่งไตรสิกขา วิสุทธิ ๗ ขอ้ น้ีมผี ลต้งั แต่ขอ้ แรกสืบกนั เรื่อย ๆ จนถึงขอ้ สุดทา้ ย จึงทาํ ให้ผูป้ ฏิบตั ิบรรลุนิพพานได้ อฏั ฐกะ หมวด ๘ อริยบคุ คล ๘ (ผู้บรรลุธรรมวิเศษ ต้ังแต่โสดาปัตตมิ รรคขึน้ ไป) ๑. โสดาปัตตมิ รรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นโสดาปัตตมิ รรค ๒. โสดาปัตติผล พระผตู้ ้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล (ละสงั โยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทฎิ ฐิ, วจิ ิกิจฉา, สีลพั พตปรามาส) ๓. สกทาคามิมรรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นสกทาคามิมรรค ๔. สกทาคามิผล พระผตู้ ้งั อยใู่ นสกทาคามผิ ล (ละสงั โยชน์ ๓ ประการได้ และทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเ้ บาบางลงดว้ ย) ๕. อนาคามมิ รรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นอนาคามิมรรค ๖. พระอนาคามิผล พระผูต้ ้งั อยใู่ นอนาคามผิ ล (มีศลี สมาธิบริบูรณ์ และละสงั โยชน์ไดอ้ กี ๒ คอื กามราคะและปฏฆิ ะ) ๗. อรหัตตมรรค พระผตู้ ้งั อยใู่ นอรหตั ตมรรค ๘.พระอรหตั ตผล พระผตู้ ้งั อยใู่ นอรหตั ตผล (พระอรหนั ต์ มีศีล สมาธิ ปัญญา บริบรู ณ์ ละสังโยชนท์ ้งั ๑๐ ประการได)้ อวชิ ชา ๘ (ความไม่รู้แจ้ง, ความไม่รู้จริง) ๑. ความไม่เขา้ ใจเรื่องทกุ ข์ คือ ไมเ่ ขา้ ใจในความเกิด แก่ เจบ็ ตาย ว่ามาจากสาเหตอุ ะไร ๒. ความไมร่ ู้ในเหตทุ ีท่ าํ ใหเ้ กิดทุกข์ คอื ไม่เขา้ ใจในสาเหตขุ องทุกขท์ เี่ กิดจากตณั หา และอปุ าทาน ๓. ความไม่รู้ในความดบั ทกุ ข์ คอื ไม่รู้วา่ เม่อื เหตแุ ห่งทุกขค์ อื ตณั หาดบั ไป ความทกุ ขจ์ ึงดบั ไป ๔.ความไมร่ ู้ในขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ขค์ ือไม่รู้วา่ จะดบั ทกุ ขด์ ว้ ยวธิ ีไหนเพราะไมเ่ ขา้ ใจในมรรค โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 30
31 ๕. ไมร่ ู้จกั อดีต คือ ไมร่ ู้จกั สาเหตุท่ที าํ ใหเ้ กิดผลในปัจจุบนั เช่น คนตดั ไมท้ าํ ลายป่ าจนหมด ซ่ึงเป็นสาเหตใุ ห้ เกิดภยั พบิ ตั ิต่างๆ ตามมา เช่นฝนแลง้ เป็นตน้ คนไม่รู้สาเหตกุ เ็ ชื่อว่าเป็นเพราะเทพเจา้ ลงโทษ ซ่ึงเป็นความเชื่อที่ไร้สาระ ๖. ไมร่ ู้จกั อนาคต คอื ไมร่ ู้วา่ ส่ิงท่ตี นเองทาํ ไปขณะน้ี จะเป็นผลกระทบตอ่ ลกู หลานในภายหนา้ อยา่ งไรบา้ ง ๗. ไม่รู้จกั ท้งั ในอดีตและในอนาคต คือไม่รู้ไม่เขา้ ใจถงึ เหตุและผลอนั เป็นมาจากอดีตจนส่งผลไปถึงอนาคต ๘. ไมร่ ู้จกั ปฎิจจสุปบาท คอื ไม่เขา้ ถงึ หมธู่ รรมหรือกลมุ่ ธรรม ท่ีเกิดข้ึนโดยเป็นปัจจยั ของกนั และกนั เช่น ไม่รู้ วา่ สิ่งน้ีมไี ด้ ก็เพราะสิ่งน้ีเป็นปัจจยั เพราะเหตนุ ้นั สภาวธรรมทีเ่ กิดข้ึนโดยเป็นปัจจยั ของกนั และกนั จึงเรียกช่ือว่า ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา ๘ น้นั จะดบั ไปไดก้ ต็ อ้ งอาศยั การปฏบิ ตั ติ ามมรรคมอี งค์ ๘ ประการให้ต่อเน่ืองกนั . วิชชา ๘ (ความรู้แจ้ง, ความรู้วเิ ศษ) ๑. วิปัสสนาญาณ ไดแ้ ก่ ความรู้ท่นี บั เขา้ ในวิปัสสนา คือ ปัญญาท่ีพิจารณาเห็นสงั ขาร คอื นามรูปโดยเป็นของ ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนตั ตา เป็นตน้ ๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธ์ิทางใจ ไดแ้ ก่ สามารถนิรมติ กายอน่ื ออกจากกายน้ีไดเ้ พยี งแต่นึกเทา่ น้นั เปรียบเหมอื นชกั ดาบออกจากฝัก คิดส่ิงใด กส็ ามารถสาํ เร็จไดต้ ามความคดิ ทุกประการ ๓. อทิ ธิวธิ ิ แสดงฤทธ์ิได้ เช่น แสดงตนใหเ้ ป็นหลายคนได้ หายตวั ได้ ดาํ ดินได้ เป็นตน้ ๔. ทิพพโสต มีหูทิพย์ คือ สามารถทจ่ี ะฟังเสียงไดท้ ้งั ไกลและใกล้ ซ่ึงสามญั ชนไม่สามารถไดย้ ิน ๕. เจโตปริยญาณ รู้จกั กาํ หนดใจผอู้ ืน่ คอื สามารถทจี่ ะทายใจผอู้ ่นื ไดว้ า่ คิดยงั ไง ๖. เพนิวาสานุสสตญิ าณระลกึ ชาตใิ นหนหลงั ไดค้ ือ สามารถระลกึ ไดว้ ่า ในชาตทิ ่ีผ่านมาตนเป็นใคร ๗. ทิพพจกั ษุ ตาทิพย์ คือ สามารถมองไดใ้ นทไ่ี กลเมอ่ื กาํ หนดจะมอง หรือมองกรรมของสตั ว์ ๘. อาสวกั ขยญาณ ญาณท่ที าํ ให้สิ้นอาสวะ คือ ความรู้ในอริยสจั ๔ ท่สี ามารถทาํ ให้สิ้นอาสวะได.้ วชิ ชาท้งั ๘ น้ี ๗ ประการเบ้อื งตน้ เป็นฝ่ายโลกิยะ ส่วนขอ้ ท่ี ๘ เป็นโลกตุ ตระ. สมาบตั ิ ๘ การบรรลุธรรมช้ันสูง ธรรมวิเศษที่ควรเข้าถึง รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ๑. ปฐมฌาน ๑. อากาสานญั จายตนะ ๒. ทตุ ยิ ะฌาน ๒. วิญญาณัญจายตะ ๓. ตตยิ ฌาน ๓. อากิญจญั ยายตนะ ๔. จตุตถฌาน ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ นวกะ หมวด ๙ พทุ ธคุณ ๙ (คุณความดขี องพระพทุ ธเจ้า) โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 31
32 ๑. อรหํ เป็นพระอรหนั ต์ หมายถงึ พระองคเ์ ป็นผบู้ ริสุทธ์ิ ปราศจากกิเลส เป็นผคู้ วรแกก่ ารส่งั สอนผอู้ ่ืน ควรแก่ การไดร้ ับความเคารพบชู า ๒. สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ เป็นผตู้ รัสรู้เองโดยชอบ หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจไดด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผูถ้ ึงพร้อมดว้ ยวชิ ชาและจรณะ หมายถงึ เป็นผถู้ งึ พร้อมดว้ ยวิชชาความรู้และ จรณะความประพฤติ ๔. สุคโต เป็นเสด็จไปดีแลว้ หมายถงึ พระองคท์ รงดาํ เนินพทุ ธจริยาใหเ้ กิดผลประโยชนแ์ กส่ รรสัตวด์ ว้ ยดี และ แมป้ รินิพพานแลว้ ก็ไดป้ ระดิษฐานพระพทุ ธศาสนาไวเ้ ป็นประโยชน์แกม่ หาชนสืบมา ๕. โลกวิทู เป็นผรู้ ู้แจง้ โลก หมายถึง ทรงทราบสภาวะอนั เป็นความจริงของสิ่งท้งั ปวง ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษ ไมม่ ใี ครยิง่ กวา่ หมายถึง เป็นผูฝ้ ึกคนอน่ื ไดด้ ีเย่ยี ม ไมม่ ีผูใ้ ด เทียบเท่า ไม่ว่าผูน้ ้นั จะเป็นใคร สอนต้งั แตม่ หาโจร คนสามญั เจา้ ลทั ธิศาสนา จนถงึ กษตั ริย์ ๗. สตถฺ า เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย หมายถงึ ทรงเป็นครูสอนท้งั เทวดาและมนุษย์ ให้บรรลคุ ุณธรรม ๘. พุทโฺ ธ เป็นผตู้ นื่ และเบิกบานแลว้ หมายถงึ ทรงเป็นผตู้ น่ื จากการปฏิบตั ิทน่ี บั ถอื กนั มาแบบผดิ ๆ ๙. ภควา ทรงเป็นผูม้ ีโชค หมายถงึ ไมว่ า่ พระองคจ์ ะทาํ อะไรก็ตาม ลว้ นแตป่ ระสบผลสาํ เร็จทกุ ประการ เช่น ทรงหวงั โพธิญาณกส็ าํ เร็จ แมถ้ ึงมผี ูค้ ิดร้ายก็ไม่อาจทาํ อนั ตรายได.้ พระพุทธคุณท้งั ๙ ประการน้ี เรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า นวารหาทคิ ณุ . มานะ ๙ (ความถือตวั ) ๑. เป็นผูเ้ ลศิ กว่าเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลิศกวา่ เขา ๒. เป็นผูเ้ ลิศกวา่ เขา สาํ คญั ตวั วา่ เสมอเขา ๓. เป็นผเู้ ลศิ กว่าเขา สาํ คญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา ๔. เป็นผเู้ สมอเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลิศกว่าเขา ๕. เป็นผูเ้ สมอเขา สาํ คญั ตวั ว่าเสมอเขา ๖. เป็นผูเ้ สมอเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลวกว่าเขา ๗. เป็นผเู้ ลวกว่าเขา สาํ คญั ตวั วา่ เลศิ กวา่ เขา ๘. เป็นผูเ้ ลวกวา่ เขา สาํ คญั ตวั ว่าเสมอเขา ๙. เป็นผเู้ ลวกว่าเขา สาํ คญั ตวั ว่าเลวกว่าเขา ขอ้ ๑, ๔,๗ มีความหมายถึงลกั ษณะของผมู้ คี วามทะนงตวั ว่า ตนเองน้ีไมม่ ใี ครเสมอเหมอื น ขอ้ ๒,๕,๘ เป็นเหตุใหต้ ตี นเสมอคนอน่ื และเป็นการยกตนข่มทา่ น พร้อมท้งั สร้างความตกต่าํ ใหต้ วั เอง ขอ้ ๓,๖,๙ เป็นลกั ษณะของบุคคลทถี่ ่อมตวั หรือคนดูถูกตวั เอง ทาํ ให้ขาดความเช่ือมนั่ ในตวั เอง. โลกตุ ตรธรรม ๙ (สภาวธรรมพ้นจากโลก) โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 32
33 ๑. โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ๓. สกทาคามมิ รรค สกทาคามผิ ล ๕. อนาคามมิ รรค อนาคามิผล ๗. อรหัตตมรรค อรหัตตผล วิปัสสนาญาณ ๙ (ญาณในวิปัสสนา) ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณอนั ตามเห็นความเกิดและความดบั หมายถงึ มคี วามรู้พิจารณาเห็นการเกิดข้ึน และความดบั ไปของขนั ธ์ ๕ และพิจารณาเห็นไปจนถงึ วา่ สิ่งท้งั หลายกม็ ีการเกิดการดบั ไปดว้ ยทกุ อยา่ ง ๒. ภงั คานุปัสสณาญาณ ญาณอนั ตามเห็นความดบั หมายถึงรู้เห็นชดั ซ่ึงความไม่เทย่ี งแทข้ องสภาวธรรมท้งั ปวง วา่ ตอ้ งมี เสื่อมสลายไปทกุ อยา่ ง ๓. ภยตูปัสสนาญาณ ญาณอนั มองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลวั หมายถงึ ไดพ้ ิจารณาเห็นว่าสังขาร ท้งั หลายท้งั ปวงทม่ี ปี รากฏข้นึ ลว้ นแตม่ ีการแตกสลายไปในที่สุดท้งั น้นั ไม่มีสิ่งใดยงั่ ยนื ถาวรไดเ้ ลย เมอ่ื รู้อยา่ งน้ีจึงเกิด ความกลวั ๔. อาทนี วานุปสั สนาญาณ ญาณอนั คาํ นึงถึงการเห็นโทษ หมายถึง เมอื่ พจิ ารณาเห็นสภาวะความเป็นไปของ สงั ขารดงั ขอ้ ๓ น้นั แลว้ กเ็ ห็นโทษของการเกิดอกี ซ่ึงมคี วามทุกขร์ ่าํ ไป ไมร่ ู้สร่าง ๕. นพิ พทิ านุปัสสนาญาณ ญาณอนั คาํ นึงเห็นความหน่าย คอื เมอื่ พิจารณาเห็นวา่ สงั ขารเป็นโทษน้นั แลว้ กเ็ กิด ความเบ่อื หน่าย ไมย่ นิ ดีเพลดิ เพลนิ อกี ตอ่ ไป ๖. มญุ จติ ุกัมยตาญาณ ญาณอนั คาํ นึงดว้ ยใคร่จะพน้ ไปเสีย หมายถงึ เม่ือเห็นความเป็นไปของสงั ขารดงั ท่กี ล่าว แลว้ จึงหาทางทจ่ี ะพน้ ไปเสีย จึงกาํ หนดหาอุบายท่จี ะทาํ ตนให้พน้ ไป ดว้ ยการพจิ ารณาดว้ ยหลกั ไตรลกั ษณ์ ๗. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอนั เป็นไปโดยความเป็นกลางตอ่ สังขาร คือ เม่อื ไดพ้ จิ ารณาสงั ขารโดยละเอียดแลว้ ก็ไดค้ วามจริงวา่ ธรรมดาของสังขารยอ่ มเป็นเช่นน้นั เอง จึงวางใจเป็นกลาง ไมย่ ินดียินร้ายแลว้ มุ่งปฏบิ ตั ิไปสู่พระ นิพพาน เพราะเห็นวา่ นิพพานน้นั เป็นท่สี งบ ๘. สัจจานุโลมกิ ญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอนั เป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยงั่ รู้อริยสจั หมายถึง เมื่อไม่ใฝ่ ใจ ยดึ ตดิ ในสังขารท้งั หลายแลว้ ญาณยอ่ มพจิ ารณามุ่งตรงไปหานิพพาน วิปัสสนาญาณเหลา่ น้ี จะมีเหตุตอ่ เน่ืองถงึ กนั ไปต้งั แต่ตน้ จนถงึ สุดทา้ ยตามลาํ ดบั คอื คร้งั แรกไดเ้ ห็นเหตุคือความเกิดและดบั ของสังขาร ต่อไปก็เห็นความสลาย - เกิดความกลวั - เห็นโทษ - แลว้ เบ่ือหน่าย - ใคร่อยากจะพน้ - หาทางพน้ - ปลงใจได้ - แลว้ หยง่ั รู้อริยสจั . สังฆคณุ ๙ (คุณของพระสงฆ์) ๑. สุปฏปิ ันโน เป็นผูป้ ฏบิ ตั ิดีแลว้ คือปฏบิ ตั ิตามหลกั มชั ฌิมาปฏปิ ทาและปฏิบตั ติ ามคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ๒. อชุ ุปฏิปันโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิตรง คอื ไม่หลอกผอู้ ื่นเล้ียงชีพ ไมม่ ีมายาสาไถย ๓. ญายปฏปิ ันโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิถูกทาง คอื ปฏิบตั ิเพ่ือความรู้ในธรรม เพ่ือออกจากทุกข์ โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 33
34 ๔.สามีจิปฏิปนั โนเป็นผปู้ ฏบิ ตั สิ มควรคือปฏิบตั ชิ อบน่านบั ถอื สมควรแก่สามจี ิกรรมของมหาชทวั่ ไป (๔ ขอ้ ขา้ งตน้ น้ีจดั เป็น อตั ตหิตคุณ คอื เป็นขอ้ ปฏิบตั ดิ ีทจี่ ะทาํ ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ไิ ดร้ ับผล) ๕. อาหุเนยโย เป็นผูค้ วรแกก่ ารคาํ นบั คอื ท่านเป็นผูค้ วรจะไดร้ บั การสกั การะต่างๆ ทเ่ี ขานาํ มาถวาย ๖. ปาหุเนยโย เป็นผูค้ วรแกก่ ารตอ้ นรับ คือ เป็นผคู้ วรแกก่ ารตอ้ นรบั เพราะท่านปฏบิ ตั ดิ ีงาม ๗. ทกั ขิเณยโย เป็นผูค้ วรแกข่ องทาํ บุญ คือ สมควรทจ่ี ะไดร้ บั ของทเี่ ขานาํ มาถวาย ๘. อญั ชลกี รณีโยเป็นผคู้ วรแก่การทาํ อญั ชลีคือทา่ นเป็นผมู้ ีคณุ ธรรมสูงทาํ ให้ผกู้ ราบไหวม้ คี วามสุขใจ ๙. อนุตตรัง ปญุ ญักเขตตัง โลกัสสะ เป็นเน้ือนาบญุ ของโลก คอื คนทท่ี าํ บุญกบั ทา่ นจะมผี ลมาก. (๕ ขอ้ หลงั น้ีเป็นผลสืบเนื่องมาจาก๔ขอ้ ขา้ งตน้ เพราะเมื่อ๔ขอ้ ตน้ บริสุทธ์ิท่านจึงจะไดผ้ ลเหลา่ น้ีมา) ทสกะ หมวด ๑๐ บารมี ๑๐ (คณุ ความดที ่ีได้บาํ เพ็ญมาอย่างยิง่ ยวด เพ่ือจดุ หมายสูงสุด) ๑. ทานบารมี หมายถึง การให้เสียสละวตั ถุ สิ่งของ เฉล่ยี แบง่ ปันคนอ่ืน เพอื่ กาํ จดั ความตระหน่ีถเ่ี หนียวใหห้ มด ไปจากใจ (พระพทุ ธเจา้ ทาํ ในชาติ เป็นพระเวสสันดร) ๒. ศีลบารมี หมายถงึ การรกั ษากายวาจาให้เรียบร้อย มีความประพฤตดิ ีงามถูกตอ้ งตามระเบยี บวนิ ยั ไม่ เบยี ดเบียนผอู้ น่ื ไดร้ ับความเดือดร้อน (ทาํ ในชาติ เป็นภรู ิทตั ต์ ) ๓. เนกขมั มบารมี หมายถงึ การออกบวช การพรากตนออกจากกาม คือ ความหมกมนุ่ ในกามารมณต์ ่าง ๆ (ทาํ ในชาติ เป็นเตมีย)์ ๔. ปัญญาบารมี หมายถงึ ความรอบรู้เขา้ ใจสภาวะของสิ่งท้งั หลายตามความเป็นจริง พร้อมท้งั คุณและโทษ (ทาํ ในชาติ เป็นมโหสถ) ๕. วริ ิยบารมี หมายถึง ความเพียรพยายามบากบนั่ ไม่ทอ้ ถอย ไม่เกรงกลวั ตอ่ อปุ สรรคใดๆ เม่ือต้งั ใจแลว้ ไม่ เสร็จไมเ่ ลิก (ทาํ ในชาติ เป็นมหาชนก) ๖. ขนั ติบารมี หมายถงึ อดทนตอ่ ความลาํ บากตรากตราํ อดทนตอ่ คาํ กล่าวเสียดสี คาํ ติเตียนต่างๆ (ทาํ ในชาติ เป็นจนั ทรกุมาร) ๗. สัจจบารมี หมายถึง มคี วามสตั ยจ์ ริง เมอ่ื พูดแลว้ ตอ้ งทาํ จริง ๆ จริงใจตอ่ สิ่งทีไ่ ดล้ น่ั วาจาไวแ้ ลว้ รกั ษาคาํ พูด แมต้ วั จะตายกย็ อม (ทาํ ในชาติ เป็นวทิ ูรย)์ ๘. อธิษฐานบารมี หมายถงึ ความต้งั ใจมนั่ ในสัจจาอธิษฐาน ทาํ ตามจดุ หมาย ของตนทีไ่ ดว้ างเอาไว้ (ทาํ ในชาติ เป็นเนมริ าช) ๙. เมตตาบารมี หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาดีตอ่ เพือ่ นร่วมโลกท้งั หมด ขอใหเ้ ขามคี วามสุข กายสบายใจ ทกุ ตวั ตน (ทาํ ในชาติ เป็นสุวรรณสาม) โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 34
35 ๑๐. อเุ บกขาบารมี หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง สม่าํ เสมอ ไม่เอนเอียงไปดว้ ย ความรัก ความหลง ความชงั ความโกรธ ความกลวั (ทาํ ในชาติ เป็นนารทะ) บารมี ๑๐ มี ๓ ระดับ (บารม,ี อปุ บารมี, และปรมตั ถบารม)ี สัมมัตตะ ๑๐ ความเป็นของถูกตอ้ งดีงาม ๑. สัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ ไดแ้ ก่ การเห็นอริยสัจ ๔ ประการ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ความดาํ ริชอบ ไดแ้ ก่ คดิ ไปในทางดี ๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ ไดแ้ ก่ เวน้ จากวจีทจุ ริต ๔ อยา่ ง มกี ารพดู เทจ็ เป็นตน้ ๔. สัมมากัมมนั ตะ ทาํ การงานชอบ ไดแ้ ก่ การละเวน้ จากกายทุจริต ๓ มกี ารฆา่ สตั ว์ เป็นตน้ ๕. สัมมาอาชีวะ เล้ยี งชีวติ ชอบ ไดแ้ ก่ ละการเล้ียงชีวติ ในทางผิดกฎหมาย ผดิ ศลี ธรรม ๖. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ ไดแ้ ก่ พยายามไม่ให้อกุศลเกิดข้นึ ในจิตใจของตน ๗. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ ไดแ้ ก่ ระลกึ ถงึ แตค่ วามดี ทท่ี าํ ใหจ้ ิตใจตวั เองผ่องใสอยูเ่ สมอ ๘. สัมมาสมาธิ ความต้งั ใจชอบ ไดแ้ ก่ การต้งั ใจบาํ เพญ็ เพียร ตามหลกั สมถกรรมฐาน ๙. สัมมาญาณ ความรู้ที่ชอบ ไดแ้ ก่ สจั จญาณ, กิจจญาณ, กตญาณ หรือรู้วา่ อะไรถกู อะไรผิด ๑๐. สัมมาวิมตุ ติ ความหลดุ พน้ ชอบ ไดแ้ ก่ การเป็นพระอรหนั ต์ หมดกิเลสาสวะ. สังโยชน์ ๑๐ (กิเลสอนั ผูกมดั ใจสัตว์ไว้กับทกุ ข์) ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นท่เี ป็นเหตุให้ถอื ตวั ไดแ้ ก่ เห็นวา่ อตั ภาพร่างกายน้ีเป็นตวั ตน เป็นตวั กู ๒. วจิ กิ ิจฉา ความลงั เลสงสัย ไม่แน่ใจ ไดแ้ ก่ ไมแ่ น่ใจวา่ จะเชื่อศาสนาไหนดี จะเชื่อคาํ สอนของใครดี ลงั เลอยู่ ไม่รู้ว่าจะเอาศาสนาไหน มวั แตส่ งสยั อยู่ เลยหาท่ีพ่ึงทางใจไม่ได้ ๓. สีลัพพตปรามาส ความถอื มนั่ ศีลพรตโดยสกั วา่ ทาํ ตาม ๆ กนั ไปอยา่ งงมงาย ไดแ้ ก่ การออ้ นวอนขอพรพระ เจา้ ท่ีทาํ สืบๆ กนั มา โดยทไี่ ม่รู้เลยว่าพระเจา้ เป็นใครมาจากไหน เป็นตน้ ๔. กามราคะ ตดิ ในรสของกาม ไดแ้ ก่ การยึดตดิ ส่ิงของทเ่ี ห็นว่าสวยงาม เสียงไพเราะ เป็นตน้ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ทางจิต ไดแ้ ก่ ความหงุดหงดิ ความขดั เคืองภายในใจ สังโยชน์ ๕ ขอ้ น้ีเป็นกิเลสเบ้ืองต่าํ มชี ื่อเรียกว่า โอรัมภาคิยสงั โยชน์ ใน ๕ ขอ้ น้ี ขอ้ ๑, ๒ และ ๓ พระโสดาบนั ตดั ได้ ขอ้ ท่ี ๔ และ ๕ พระสกทาคามี ทาํ ให้เบาบางลงได้ แต่พระอนาคามีสามารถตดั ได้ ๖. รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม ไดแ้ ก่ ความตดิ ในรูปธรรมอนั ประณีตที่มไี ดด้ ว้ ยอารมณ์แห่งรูปฌาน ๗. อรูปราคะ ความติดใจในอารมณ์อรูปธรรม ไดแ้ ก่ ความตดิ ใจในอรูปฌาน หรือติดใจในอรูปภพ ๘. มานะ ความถือตวั ไดแ้ ก่ มานะท้งั ๙ อยา่ ง ๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ไดแ้ ก่ ความคดิ ไปเรื่อย ๆหาสาระมิได้ เป็นการสร้างวมิ านในอากาศ ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้ ไดแ้ ก่ ความไมร่ ู้ในอริยสัจ๔ ถือเป็นอนั สาํ คญั ท่ีสุดในสังโยชน์ ๑๐ โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 35
36 สงั โยชนข์ อ้ ที่ ๖, ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ จดั เป็นกิเลสเบ้ืองสูง มชี ่ือเรียกวา่ อุทธมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๆ น้ีพระอรหันต์ สามารถตดั ไดโ้ ดยสิ้นเชิง. ทวาทสกะ หมวด ๑๒ กรรม ๑๒ การกระทาํ ท่ปี ระกอบดว้ ยเจตนา ดีกต็ ามชว่ั กต็ ามในทน่ี ้ีหมายเอากรรมแต่ละประเภททใ่ี หผ้ ลต่างกนั หมวดที่ ๑ ให้ผลตามกาลเวลา ๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม กรรมทใ่ี ห้ผลในชาติน้ี ๒. อุปัชชเวทนียกรรม กรรมทใี่ ห้ผลในชาติหนา้ ๓. อปราปรเวทนยี กรรม กรรมทใ่ี ห้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ๔. อโหสิกรรม กรรมทีเ่ ลกิ ให้ผลแลว้ ไม่มผี ลอกี หมวดที่ ๒ ใหผ้ ลตามกิจ คอื ตามหนา้ ทขี่ องตนๆ ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด กรรมทีเ่ ป็นตวั นาํ ไปเกิด ๖. อุปัตถกรรม กรรมทีม่ าสนบั สนุนซ้าํ เตมิ ตอ่ จากชนกกรรม ๗. อุปปี ฬกกรรม กรรมบบี ค้นั ตดั ผลดีท่ีพอจะไดเ้ สีย ๘. อปุ ปฆาตกรรม กรรมตดั รอนใหเ้ สียผลประโยชน์ เช่น เป็นลกู เศรษฐี มีปัญญาดี แตอ่ ายสุ ้นั หมวดท่ี ๓ กรรมใหผ้ ลตามลาํ ดบั คือ ความหนกั เบาของกรรมน้นั ๙. ครุกรรม กรรมทใ่ี ห้ผลหนกั ทสี่ ุด ไดแ้ ก่ อนนั ตริยกรรม ๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรมทที่ าํ มามากใหผ้ ลรองลงมาจากครุกรรม ๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่ทาํ เมื่อจวนเจียนเวลาจะตาย ยงั ติดตาติดใจใหม่ ๆ อยู่ ๑๒. กตัตตากรรม กรรมทท่ี าํ เพียงสักวา่ ทาํ เพราะไมม่ เี จตนาหรือมีนอ้ ย เช่น เราเดินทางเหยียบมดดาํ มดแดง ตายโดยไมร่ ู้ตวั เม่ือไมม่ กี รรมอ่ืนให้ผลจริงๆ กรรมน้ีก็จะให้ผล. เตรสกะ หมวด ๑๓ ธุดงค์ ๑๓ (ข้อปฏบิ ตั ิประพฤตวิ ตั รทีผ่ ู้สมคั รใจสมาทานประพฤติ เพ่ือเป็ นอุบายขัดเกลากิเลส) หมวดที่ ๑ เกี่ยวกบั จีวร ๑. บังสุกูลกิ ังคะ ผูถ้ ือผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร คอื การไมย่ อมรบั จีวรท่เี ขาถวาย ชอบเทีย่ วแสวงหาเอาผา้ บงั สุกลุ คือ เศษผา้ ผา้ ห่อศพ ทา่ นจะไปเก็บเอามาซกั แลว้ เยบ็ ทาํ เป็นจีวร คาํ สมาทานวา่ ดงั น้ี “คหปติจวี รํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ, ปสุกลู ิกงฺคํ สมาทิยามิ” โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 36
37 ๒. เตจีวริกังคะ ผูถ้ ือเพียงไตรจีวรเป็นวตั ร คือ การใชผ้ า้ ไตรจีวรของตน ๓ ผืนเท่าน้นั มีคาํ สมาทานวา่ “จตุตตฺ ถจีวรํ ปฏิกฺขปิ าม,ิ เตจวี รีกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ หมวดท่ี ๒ เกี่ยวกบั บิณฑบาต ๓. ปิ ณฑปาตกิ งั คะ ผถู้ อื การเทีย่ วบณิ ฑบาตเป็นวตั ร คือ การไมย่ อมรบั กิจนิมนตไ์ ปฉนั ตามบา้ นฉันเฉพาะ อาหารบณิ ฑบาตเท่าน้นั สมาทานวา่ “อติเรกลาภํ ปฏิกขฺ ามิ ปิ ณฺฑปาติกงคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ ๔. สปาทานจาริกังคะ ผูถ้ ือการบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดบั บา้ นเป็นวตั ร คือ การไม่เท่ียวบิณฑบาตไปท่ีโนน้ บา้ งที่น้ี บา้ งตามชอบใจ มีคาํ สมาทานวา่ “โลลปุ ปฺ จารํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทยิ ามิ” ๕. เอกาสนกิ งั คะ ถือการน่ังฉันคร้ังเดยี วเป็ นวตั ร คอื ฉนั วนั ละคร้ัง ถา้ ไดล้ กุ จากอาสนะแลว้ จะไมฉ่ นั อกี มคี าํ สมาทานว่า “นานาสนโภชนํ ปฎกิ ขฺ ิปาม,ิ เอกาสนกงฺคํ สมาทิยามิ” ๖. ปัตตปิ ณฑิกังคะ ถือการฉนั ในบาตรเป็นวตั ร คือ มอี าหารหวานคาวกเ็ อาใส่ในบาตรแลว้ กฉ็ นั ไม่ตอ้ งใส่ถว้ ย จานให้ยาก มคี าํ สมาทานวา่ “ทุติยภาชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ปตฺตปิ ณฑฺ กิ งฺคํ สมาทยิ ามิ” ๗. ขลปัจฉาภัตตกิ งั คะ ถือการไมร่ ับภตั ท่ีเขานาํ มาถวายภายหลงั คอื เมอ่ื ต้งั ใจจะลงมอื ฉันแลว้ เม่อื มีคนเอา อาหารมาเพ่มิ อีก จะไม่รบั มคี าํ สมาทานว่า “อตริ ิตตฺ โภชนํ ปฎิกขฺ ปิ ามิ,ขลปฺ จฺฉาภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ ามิ” หมวดที่ ๓ เก่ียวเสนาสนะ ๘. อารัญญกิ ังคะ ถือการอยปู่ ่ าเป็นวตั ร คอื การอยใู่ นป่ าห่างจากบา้ น ๒๕ เส้น มคี าํ สมาทานวา่ “คามนฺต เสนาสนํ ปฏกิ ขฺ ปิ ามิ,การญญกิ งฺคํ สมาทยิ ามิ” ๙. รุกขมลู กิ ังคะ ถือการอยโู่ คนตน้ ไมเ้ ป็นวตั ร คอื ฝนจะตก แดดจะออก ก็ขออยโู่ คนตน้ ไมไ้ มเ่ ขา้ ไปอยใู่ นกฎุ ิ วหิ าร มีคาํ สมาทานว่า “ฉนนํ ปฎกิ ขฺ ปิ ามิ,รุกฺขมลู กิ ํ สมาทยิ ามิ” ๑๐. อัพโภกาสิกังคะ ถือการอยทู่ ่แี จง้ เป็นวตั ร คือการไม่เขา้ ร่มไมช้ ายคาที่มุมบงั มีคาํ สมาทานว่า “ฉนฺน�ฺจ รุกฺข มูล�จฺ ปฏิกฺขปิ ามิ, อพโภกาสิกงคฺ ํ สมาทยิ ามิ” ๑๑. โสสานิกังคะ ถือการอยปู่ ่ าชา้ เป็นวตั ร คอื อยเู่ ฉพาะในป่ าชา้ ไม่อยทู่ ่ีอนื่ มีคาํ สมาทานวา่ “อสุสานํ ปฏกิ ขฺ ิ ปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ ๑๒. ยถาสันถตกิ งั คะ ถอื การอยใู่ นเสนาสนะแลว้ แตเ่ ขาจะจดั ให้ คอื เขาจดั ให้อยดู่ ีก็อยู่ จดั ใหไ้ มด่ ีกอ็ ยอู่ ยา่ งน้นั ไมว่ า่ แลว้ แต่คนจดั มคี าํ สมาทานวา่ “เสนาสนโลลปุ ฺปํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ ยถาสนฺถิตกงคฺ ํ สมาทิยามิ” หมวดที่ ๔ เก่ียวกบั ความเพยี ร ๑๓. เนสัชชิกงั คะ ผูถ้ ือการนงั่ เป็นวตั ร คอื ไมน่ อนเลย อยดู่ ว้ ยการยืน เดิน นง่ั ๓ อริ ิยาบถน้ีเทา่ น้นั มีคาํ สมาทาน วา่ “เสยฺยํ ปฏิกฺขปิ ามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ ธุดงควตั รน้ี มีส่วนช่วยให้เกิดความมกั นอ้ ยสนั โดษยินดีทส่ี งดั ช่วยเพิ่มพูนอริยมรรค คือ ศลี สมาธิ ปัญญา วมิ ุตติ วิมตุ ตญิ าณทสั สนะ ให้สูงข้นึ . โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 37
38 ปัณณรสกะ หมวด ๑๕ จรณะ ๑๕ (ข้อปฏิบัตอิ นั เป็ นทางให้บรรลถุ งึ วิชชา หรือ พระนิพพาน) ๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศลี คือ ความประพฤตถิ ูกตอ้ งดีงาม มมี ารยาทเรียบร้อย ๒. อินทริยสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยอนิ ทรีย์ คือ การสาํ รวม ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ไมใ่ ห้เกิดความกาํ หนดั ขดั เคอื ง ลมุ่ หลงมวั เมาในอินทรียเ์ หล่าน้นั ๓. โภชเนมตั ตัญ�ตุ า รู้จกั พอดีในการบริโภคอาหาร คอื ไมท่ านมากเกินไป ไม่นอ้ ยเกินไป บริโภคพอให้มี กาํ ลงั ในการประกอบการงาน และปฏบิ ตั ธิ รรมได้ ๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของผูต้ ่ืนอยู่ คอื ไมเ่ ห็นแก่นอนมากเกินไป ไมย่ อมให้ความงว่ งนอนเขา้ ครอบงาํ ๕. สัทธา ความเชื่อ คือ เชื่อความมอี ยขู่ องกรรม เช่ือผลของกรรม ๖. หริ ิ ความละอายแก่ใจ คอื ละอายในการทาํ บาปท้งั ในทแ่ี จง้ ท้งั ในทีล่ บั ท้งั ที่เป็นวจีทุจริต มโนทจุ ริต และกาย ทุจริต ๗. โอตตัปปะ ความเกรงกลวั ตอ่ บาป ความกลวั ต่อการกระทาํ ชวั่ ทกุ อยา่ ง ๘. พาหุสัจจะ ความเป็นผูไ้ ดฟ้ ังมาก คอื ไดร้ บั การศึกษามามาก ไดย้ นิ ไดฟ้ ังมามาก ทรงจาํ พิจารณาและแทง ตลอดถึงปัญหาดว้ ยปัญญาของตนเองได้ ๙. วิริยะ ความเพยี ร คอื ความขยนั หมนั่ เพยี รท้งั ท่ีเป็นไปทางกายและทางจิต เพียรละบาปอกศุ ล เพียรทาํ กศุ ล ๑๐.สติ ความระลกึ ไดค้ ือสามารถระลกึ ถงึ เร่ืองที่ทาํ คาํ พูดท้งั ในขณะกอ่ นทาํ หลงั ทาํ ก่อนพดู หลงั พูด ๑๑. ปัญญา ความรอบรู้ คือ ความรอบรู้ในกองสงั ขารตามความเป็นจริง รู้เหตุปัจจยั แห่งความเกิดดบั ของสงั ขาร สามารถทาํ ลายกิเลส ทาํ ใหต้ นหลดุ พน้ จากทุกขไ์ ด้ ๑๒. ปฐมญาน มีองค์ ๕ คือ วติ ก วจิ าร ปิ ติ สุข เอกคั คตา ๑๓. ทตุ ิยฌาน มีองค์ ๓ คือ ปิ ติ สุข เอกคั คตา ๑๔. ตตยิ ฌาน มีองค์ ๒ คอื อุเบกขา เอกคั คตา ๑๕. จตุตถฌาน มอี งค์ ๒ คอื อุเบกขา เอกคั คตา จรณะท้งั ๑๕ ประการน้ี ในบาลีท่านว่าเป็นเสขปฏิปทา คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิอนั เป็นทางดาํ เนินของพระเสขะ. โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 38
39 เนื้อหาวชิ าอนุพทุ ธประวตั ิ นกั ธรรมศึกษาช้ันโท วชิ า อนุพทุ ธ อนุพุทธประวตั ิ หมายถึง เร่ืองที่กล่าวถงึ ความเป็นไปในชีวประวตั ิ และปฏิปทาของหมชู่ นผไู้ ดส้ ดบั ฟังคาํ สัง่ สอนของพระบรมศาสดา แลว้ นาํ ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามคาํ สั่งสอนน้นั แลว้ รู้ตามจนสามารถดบั กิเลสไดโ้ ดยสิ้นเชิง ประโยชน์ของการศกึ ษาอนุพุทธประวตั ิ อนุพทุ ธบุคคลเป็นพระสงฆส์ าวกซ่ึงจดั เป็นรัตนะประการหน่ึงใน รตั นะท้งั สามประการ พระพุทธเจา้ แมไ้ ดท้ รงตรสั รู้และทรงแสดงพระธรรม แต่เมือ่ ขาดผูฟ้ ังธรรมและผปู้ ระพฤติ ปฏิบตั ติ าม ความตรัสรู้ของพระองคก์ ็จกั ไม่สาํ เร็จประโยชน์ อนุพุทธบุคคลเป็นพยานในการตรสั รู้ของพระองค์ ท้งั ไดเ้ ป็นกาํ ลงั ของพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนา เมอื่ เราทราบความเป็นไปและปฏิปทาของทา่ นเหล่าน้นั แลว้ จกั ไดถ้ ือเอาเป็นแบบอยา่ งในการบาํ เพญ็ ประโยชนเ์ พอื่ ตนและเพอ่ื ผูอ้ ่ืนโดยเหมาะแกภ่ าวะของตนอนั จะเป็นเหตุ ใหพ้ ระศาสนารุ่งเรืองประการหน่ึง จาํ นวนพระมหาสาวก ตามนยั แห่งอรรถกถากาํ หนดจาํ นวนไว้ ๘๐ องค์ ไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นเอตทคั คะจาํ นวน ๔๑ องค์ ประวตั ิอนุพทุ ธะ ๘๐ องค์ (โดยย่อ) ๑. พระอญั ญาโกณทัญญเถระ ชาติภูมิ-การอุปสมบท ทา่ นเป็นบุตรพราหมณม์ หาศาลในบา้ นโทณวตั ถุ ไม่ห่างจากกรุงกบลิ พสั ดนุ์ กั เดิมชื่อ โกณทญั ญะ ภายหลงั ทา่ นทราบว่าพระมหาบรุ ุษทรงออกผนวชและกาํ ลงั บาํ เพญ็ ทกุ กรกิริยา อยทู่ ่ตี าํ บลอรุ ุเวลเสนานิคม ตามคาํ ทาํ นายของ ตนวา่ “จะเสดจ็ ออกบรรพชาและได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกในโลก” จึงชวนพราหมณ์อกี ๔ คน คือ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ ออกบวชติดตามไปเฝา้ ปฏิบตั อิ ยู่ ๖ ปี ดว้ ยหวงั วา่ เม่อื พระองคต์ รสั รู้ แลว้ จกั สอนตนให้รู้บา้ ง คร้นั พระมหาบุรุษทรงเลกิ ทุกกรกิริยา ปรารภจะทาํ ความเพยี รทางใจจึงเบอ่ื หน่ายในพระมหาบุรุษ หลกี ไปอยปู่ ่ าอสิ ิป ตนมฤคทายวนั คร้นั พระมหาบรุ ุษไดต้ รัสรู้แลว้ ไดเ้ สด็จมาแสดง พระธมั มจกั กัปปวัตนสูตร อนั เป็นปฐมเทศนา ท่าน ไดด้ วงตาเห็นธรรมคอื บรรลพุ ระโสดาปัตติผล พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งพระอุทานวา่ “อ�ฺญาสิ วต โภ โกณฺท�ฺ โญ” เพราะคาํ วา่ อญั ญาสิ ทา่ นจึงไดช้ ื่อวา่ อัญญาโกณทญั ญะ ต้งั แต่น้นั เป็นตน้ มาภายหลงั พระบรมศาสดาตรสั พระ ธรรมเทศนาช่ือวา่ อนตั ตลกั ขณสูตร ท่านจึงไดบ้ รรลุพระอรหตั ตผลพร้อมกบั พราหมณอ์ กี ๔ คน เอตทคั คะ ทา่ นไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาวา่ เป็ นผู้เลศิ กว่าภิกษุท้ังหลายทางรัตตญั �ู คอื ทา่ นผรู้ ู้ราตรีนาน เพราะ ทา่ นรู้ธรรมและบวชก่อนสาวกท้งั ปวง โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 39
40 ๒. พระวปั ปเถระ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์ชาวเมืองกบลิ พสั ดุผ์ ูท้ ถี่ กู เลือกเขา้ ทาํ นายพระลกั ษณะของพระมหาบรุ ุษ ท่านไดร้ ับ คาํ แนะนาํ จากบดิ าให้ออกบวชตามพระมหาบรุ ุษจึงออกบวชพร้อมกบั พราหมณอ์ กี ๔ คน มีโกณทญั ญะเป็นหัวหนา้ คอยอปุ ัฏฐากรับใชพ้ ระมหาบรุ ุษ เม่ือเห็นพระมหาบรุ ุษทรงละทุกกรกิริยา จึงหนีไปอยปู่ ่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมือ่ พระ มหาบุรุษไดต้ รัสรู้แลว้ ไดเ้ สด็จไปโปรดแสดง พระธมั มจกั กปั ปวัตนสูตร แตท่ ่านไมไ่ ดส้ าํ เร็จมรรคผลอะไรเลย วนั รุ่งข้นึ ไดฟ้ ัง ปกณิ ณกเทศนา ท่านจึงไดด้ วงตาเห็นธรรม จากน้นั ไดท้ ูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงประทาน อปุ สมบทให้ดว้ ยเอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทาเม่ือทา่ นมอี นิ ทรียแ์ ก่กลา้ ไดฟ้ ังเทศนาชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร จึงไดส้ าํ เร็จเป็น พระอรหนั ต์ ทา่ นไดเ้ ป็นกาํ ลงั ในการประกาศพระศาสนาในช่วงปฐมโพธิกาล ๓. พระภทั ทยิ เถระ (มปี ระวตั คิ ลา้ ยพระวปั ปเถระ ฯ) ๔. พระมหานามเถระ (มปี ระวตั คิ ลา้ ยพระวปั ปเถระ แตท่ ่านไดฟ้ ังปกณิ ณกเทศนา ๒ คร้ัง จึงไดด้ วงตาเห็นธรรม ฯ) ๕. พระอสั สชิเถระ มีประวตั ิคลา้ ยกบั ท่าน๓ องคด์ งั ท่ไี ดก้ ลา่ วมาแลว้ แต่ท่านไดฟ้ ังปกิณณกเทศนา ๒ คร้ังจึงไดด้ วงตาเห็นธรรม และท่านยงั ไดเ้ ป็นอาจารยข์ อง พระสารีบตุ รเถระเมอื่ คร้ังยงั เป็นปริพพาชก นบั วา่ ทา่ นไดม้ ศี ษิ ยส์ าํ คญั องคห์ น่ึง ๖. พระยสเถระ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รเศรษฐีเมืองพาราณสี ซ่ึงมีเรือน ๓ หลงั เป็นทอี่ ยู่ ๓ ฤดู เหตทุ ีอ่ อกบวช เน่ืองดว้ ยความสลดใจ ในหมนู่ างบาํ เรอทแี่ สดงอาการวิปลาสตา่ งๆ ในคนื วนั หน่ึงจึงเกิดความเบ่อื หน่ายเดิน บ่นว่า “ทนี่ ว่ี ่นุ วายหนอ ที่น่ีขดั ข้องหนอ” ไปสู่ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั พบพระบรมศาสดาไดฟ้ ังอนุปพุ พกิ ถาและ อริยสัจ ๔ ก็ต้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล รุ่งข้นึ เชา้ ตรู่เศรษฐีผูบ้ ิดาทราบจึงไดต้ ดิ ตามไปพบ ไดฟ้ ังอนุปุพ พกี ถาและอริยสัจ ๔ ก็ไดต้ ้งั อยใู่ นโสดาปัตตผิ ล ส่วนยสกลุ บตุ รไดฟ้ ังซ้าํ อีกหนกไ็ ดส้ าํ เร็จพระอรหตั ตผล คร้ันเศรษฐีผบู้ ดิ าไปแลว้ จึงไดท้ ูล ขออปุ สมบท ก็ทรงอนญุ าตใหด้ ว้ ยพระดาํ รัสว่า “ธรรมอันเรากล่าวดแี ล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์” ซ่ึงแปลวา่ สาวกอ่ืนท่ีไม่ไดส้ าํ เร็จอรหนั ตก์ อ่ นบรรพชาวา่ “เพ่อื ทาํ ทีส่ ุดแห่งทกุ ข”์ การบําเพญ็ ประโยชน์ การอปุ สมบทของท่านในคร้งั น้ีถอื วา่ สาํ คญั มาก เพราะเป็นเหตุให้เพอ่ื นของทา่ นอีก ๕๔ คนไดเ้ ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา และเป็นกาํ ลงั ของพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนาในช่วงปฐมโพธิกาล โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 40
41 ๗. พระวิมลเถระ ทา่ นเป็นบุตรเศรษฐีคนหน่ึงในเมืองพาราณสี เป็นเพื่อนผูม้ ีความสนิทสนมกบั พระยสะมากในช่วงทีเ่ ป็น ฆราวาส เมอ่ื ท่านไดท้ ราบข่าววา่ ยสะสหายผูเ้ ป็ นทรี่ กั ออกบวชแลว้ จึงคดิ วา่ “ศาสนาท่ยี สะออกบวชน้ีจกั ไมเ่ ลวทราม เป็นแน่แท้ คงจะเป็นส่ิงอาํ นวยประโยชน์สุขแก่ผูส้ นใจเป็นแน่แท”้ คิดไดอ้ ยา่ งน้นั จึงไปชกั ชวนสหายอีก ๓ คน คอื สุ พาหุ ปณุ ณชิ และควปั ติ พากนั เขา้ ไปหาพระยสะบอกความประสงคใ์ นการมา พระยสะจึงไดพ้ าเขา้ ไปเฝ้าพระบรม ศาสดา ทลู ขอให้พระองคท์ รงสัง่ สอน พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนใหบ้ รรลธุ รรมวิเศษและประทานอุปสมบทให้ ตอ่ มาภายหลงั ก็ไดบ้ รรลุเป็นพระอรหันตขณี าสพ ๘. พระสุพาหุเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยพระวมิ ลเถระ ฯ) ๙. พระปณุ ณชิเถระ (มปี ระวตั คิ ลา้ ยพระวิมลเถระ ฯ) ๑๐. พระควมั ปติเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยพระวมิ ลเถระ ฯ) ๑๑. พระอรุ ุเวลกสั สปเถระ ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์กสั สปะโคตร มีนอ้ งชาย ๒ คน ภายหลงั บวชเป็นชฏิล ท่านมีบริวาร ๕๐๐ คน ต้งั อาศรมอยตู่ าํ บลอรุ ุเวลเสนานิคมในมคธรัฐ จึงมีฉายาวา่ “อรุ ุเวลกัสสปะ”นอ้ งชายคนกลางมบี ริวาร ๓๐๐ ต้งั อาศรมที่คงุ้ เแมน่ ้าํ คงคา จึงมฉี ายาว่า “นทกี ัสสปะ” นอ้ งชายคนเล็กมีบริวาร ๒๐๐ คน ต้งั อาศรม ณ บริเวณคยาสีสะ จึงมีฉายา ว่า “คยากสั สปะ” การอปุ สมบท เมื่อพระบรมศาสดามาสู่มคธชนบทดว้ ยปรารถนาดาํ รงพระศาสนา ให้ต้งั มน่ั ในแควน้ น้ีจึงไดเ้ สด็จไปเพ่ือนาํ ท่าน ซ่ึงเป็นทนี่ บั ถอื ของประชาชนเพอื่ เป็นกาํ ลงั เพือ่ สะดวกแกก่ ารประกาศพระศาสนา ไดท้ รงทรมานทา่ น ดว้ ยอบุ าย ต่างๆ จนทา่ นหมดทฏิ ฐิลอยชฏิลบริขาร ทลู ขออุปสมบท ทรงอนุญาตดา้ ยเอหิภกิ ขุ และนอ้ งชายท้งั ๒ ก็มาบวชตาม พี่ชายหมด การบรรลธุ รรม ภายหลงั อุปสมบท พระบรมศาสดาทรงตรสั เทศนาช่ือว่า อาทิตตปริยายสูตร โปรด ท่านจึงบรรลพุ ระ อรหัตตผลพร้อมกบั บริวารและนอ้ งชาย โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 41
42 การบําเพ็ญประโยชน์ ทา่ นไดไ้ ปกบั พระบรมศาสดาถงึ สวนตาลหนุ่มช่ือวา่ “ลฏั ฐิวัน” ไดป้ ระกาศให้พระเจา้ พมิ พสิ ารพร้อมท้งั ขา้ ราชบริพารรู้ว่าลทั ธิเดิมของท่านไมม่ ีแก่นสาร ทาํ ใหช้ นเหล่าน้นั เลือ่ มใสในพระพุทธศาสนา คร้ังน้ีจดั ไดว้ ่าท่านไดช้ ่วย เป็นกาํ ลงั ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแควน้ มคธ เอตทคั คะ ท่านไดร้ ับยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาวา่ เป็ นผู้เลิศกว่าภกิ ษทุ ้ังหลายทางมีบริวารมาก เพราะทา่ นมบี ริวารมาก และรู้จกั การบริหารการเอาใจบริวาร ๑๒. พระนทีกสั สปเถระ (มปี ระวตั ิดงั ท่ไี ดอ้ ธิบายไวใ้ นประวตั พิ ระอรุ ุเวลกสั สปเถระ ฯ) ๑๓. พระคยากสั สปเถระ (มปี ระวตั ิดงั ไดอ้ ธิบายไวใ้ นประวตั พิ ระอรุ ุเวลกสั สปะเถระ ฯ) ๑๔. พระสารีบุตรเถระ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รวงั คนั ตพราหมณ์ และนางสารี ผเู้ ป็นนายบา้ นนาลนั ทะกรุงราชคฤห์ เดิมชื่อ “อปุ ติสสะ” เพราะ เป็นบุตรนางสารีจึงเรียก สารีบตุ ร มีนอ้ งสาว ๓ คน คือ จาลา อุปจาลา สีสุปจาลา นอ้ งชาย ๓ คน คอื จนุ ทะ อปุ เสนะ เรวตะ (บวชหมด) การออกบวช ทา่ นมีสหายคนหน่ึงช่ือโกลิตะ(โมคคลั ลานะ) ไปดูมหรสพในกรุงดว้ ยกนั เสมอ ต่อมาวนั หน่ึงเกิดสลดใจจึง ชวนกนั ออกบวชเป็นปริพพาชกในสาํ นกั สญชยั ปริพพาชก ศึกษาอบรมจนจบลทั ธิเห็นวา่ ไมเ่ ป็นแก่นสารจึงชวนกนั ออกหาอาจารยใ์ หม่ ต่อมาไดฟ้ ังเทศนาของพระอสั สชิเถระไดส้ าํ เร็จโสดาปัตติผล จึงชวนโกลติ ะไปเฝ้าพระบรม ศาสดา ณ วดั เวฬวุ นั ทูลขออปุ สมบท การบรรลธุ รรม ภายหลงั อปุ สมบทได้ ๑๕ วนั ไดฟั ัง เวทนาปริคคหสูตร ทพ่ี ระบรมศาสดาประทานแก่ ฑีฆนขปริพ พาชก อคั คเิ วสนโคตร ณ ถ้าํ สุกรขาตา เขาคชิ กูฏ ก็ไดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหันต์ เอตทัคคะ ท่านมีปัญญาเฉลียวฉลาด ไดเ้ ป็นกาํ ลงั ของพระบรมศาสดาในการประกาศพระศาสนา พระองคจ์ ึงทรงยกยอ่ ง ท่านวา่ เป็ นผ้เู ลศิ กว่าภกิ ษทุ ้งั หลายทางมีปญั ญามาก คณุ ธรรมพเิ ศษ โดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 42
43 ท่านมีคณุ ความดีอกี หลายอยา่ งทพ่ี ระบรมศาสดาทรงยกยอ่ งในทนี่ ้ีจะนาํ มากลา่ วเฉพาะท่ีสาํ คญั ดงั น้ี :- ๑. ทรงยกยอ่ งให้เป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวาคูก่ บั พระมหาโมคคลั ลานเถระ ๒. ทรงยกยอ่ งเป็นพระธรรมเสนาบดี ค่กู บั พระศาสดาที่เป็นพระธรรมราชา ๓. เป็นผมู้ คี วามกตญั �ูกตเวที การนิพพาน ท่านดาํ รงชีพมาถึงพรรษาที่ ๔๘ ไดท้ ลู ลาพระบรมศาสดาไปนิพพานที่บา้ นเกิดของท่าน เมอ่ื จวนนิพพานได้ แสดงธรรมโปรดมารดาซ่ึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ใหด้ าํ รงอยใู่ นโสดาปัตติผลจนสาํ เร็จ จากน้นั กน็ ิพพาน ๑๕. พระมหาโมคคลั ลานเถระ ชาติภมู ิ-การอุปสมบท ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์นายบา้ นโกลติ ะกบั นางโมคคลั ลี เดิมช่ือวา่ โกลิตะ ไดอ้ อกบวชเป็นปริพพานชกบั พระ สารีบุตร ภายหลงั ไดฟ้ ังธรรมของพระอสั สชิท่ีพระสารีบุตรนาํ มาบอก ก็ไดบ้ รรลโุ สดาปัตติผล ไดอ้ ปุ สมบท ณ วดั เวฬวุ นั พร้อมกบั พระสารีบุตร การบรรลุธรรม หลงั จากบวชได้ ๗ วนั ไดไ้ ปทาํ ความเพียรที่บา้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม แขวงมคธรัฐ เกิดความออ่ นใจนง่ั โงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปแสดงอบุ ายแกง้ ่วง ๘ ขอ้ แลว้ ทรงแสดงธรรมของผูป้ รารถนานอ้ ยและธรรมเครื่องสิ้นตณั หา โดยลาํ ดบั ทา่ นปฏิบตั ิตามพทุ ธโอวาท กส็ าํ เร็จพระอรหตั ตผล เอตทัคคะ ท่านไดร้ ับยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาวา่ เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษุท้ังหลายทางมีฤทธ์ิมาก ทา่ นไดร้ บั ยกยอ่ งเป็นพระ อคั รสาวกเบ้ืองซ้ายคู่กบั พระสารีบตุ รดว้ ย นิพพาน ท่านนิพพานภายหลงั พระสารีบตุ ร ๑๕ วนั ณ กาลสิลามคธรัฐ ถกู พวกโจรทเี่ คยี รถยี จ์ า้ งให้มาฆา่ เพราะเหตุ ท่ีทา่ นทาํ ให้พวกคนเสื่อมจากลาภ พวกโจรทุบทา่ นจนกระดูกแหลกสาํ คญั วา่ มรณะ จึงนาํ ไปซ่อนไวใ้ นพมุ่ ไมแ้ ห่งหน่ึง แลว้ หนีไป ทา่ นเยยี วยาสรีระ ดว้ ยกาํ ลงั ฌานแลว้ มาทูลลาพระบรมศาสดากลบั ไปนิพพานทเ่ี ดิม พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปทาํ ฌาปนกิจ สัง่ ให้เกบ็ อฐั ิไปบรรจุไว้ ณ ซุม้ ประตวู ดั เวฬุวนั ๑๖. พระมหากสั สปเถระ ชาตภิ มู -ิ การอปุ สมบท ทา่ นเป็นบตุ รกบิลพราหมณก์ สั สปโคตร ในบา้ นมหาติฏฐะ แควน้ มคธ เดิมช่ือปิ ปผลพิ ออายุ ๒๐ ปี ได้ แต่งงานกบั นางภัททกาปิ ลานี บุตรตรีของพราหมณีโกสิยโคตร ตอ่ มาจิตเบือ่ หน่ายในการอยู่ครองเรือนจึงพากนั ออก บวชอุทิศพระบรมศาสดา วนั หน่ึงไดพ้ บกบั พระบรมศาสดาทพ่ี หุปตุ ตนิโครธจึงยอ่ กายเขา้ ไปถวายบงั คมทูลขอ อปุ สมบท พระองคท์ รงอปุ สมบทให้ดว้ ยการประทานโอวาท ๓ ขอ้ คือ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 43
44 ๑. พึงเขา้ ไปต้งั ความละอาย ความเกรง ไวใ้ นภกิ ษุทกุ ช้นั อยา่ งแรงกลา้ ๒. พึงต้งั ใจฟังธรรมท่เี ป็นกุศล และพิจารณาเน้ือความ ๓. ไม่พึงละสติท่ีพิจารณาไปในกายเป็นอารมณ์ ทา่ นบาํ เพญ็ เพียรไปตามพทุ ธโอวาทน้นั ในวนั ที่ ๘ ก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ตตผล เอตทคั คะ ทา่ นปฏบิ ตั ิมกั นอ้ ยสนั โดษอยใู่ นธุดงค์ ๓ คือ ทรงผา้ บงั สกลุ เป็นวตั ร เทีย่ วบณิ ฑบาตรเป็นวตั ร อยปู่ ่ าเป็นวตั ร ดงั น้นั พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งท่านวา่ เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษทุ ้ังหลายทางทรงธุดงค์ หน้าท่ีสําคัญหลงั พทุ ธปรินิพพาน เม่อื พระบรมศาสดาทรงปรนิพพานและถวายพระเพลิงสรีระแลว้ ประมาณ ๗ วนั ทา่ นไดร้ วบรวมสงฆท์ าํ การ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั หลงั จากพทุ ธปรินิพพาน ๓ เดือน ทาํ อยู่ ๘ เดือนจึงสาํ เร็จ นบั ว่าเป็นประโยชน์อยา่ งยิ่ง เพราะ ไดร้ วบรวมเอาพระธรรมวนิ ยั ไวเ้ ป็นหลกั สืบ ๑๗. พระมหากัจจายนเถระ ชาตภิ ูมิ-การออกบาช ท่านเป็นบุตรพราหมณ์ ชื่อว่ากญั จนา กจั จายนโคตร เป็นปุโรหิตของพระเจา้ จณั ฑปัชโชต แห่งกรุงอชุ เชนี พระเจา้ จณั ฑปัชโชตรบั ส่งั ให้ทา่ นไปเฝา้ พระศาสดาพร้อมกบั บริวาร ๗ คน ณ เวฬุวนาราม เพอ่ื กราบทลู เชิฐเสด็จไป นครอชุ เชนี คร้ันไปถึงไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาไดบ้ รรลุเป็นพระอรหันตท์ ้งั หมด จากน้นั พระบรมศาสดาทรงประทาน อุปสมบทให้ พระบรมศาสดาโปรดให้ทา่ นกลบั ไปแสดงธรรมแก่พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ให้ทา้ วเธอมคี วามเลือ่ มใส แลว้ กลบั มายงั สาํ นกั พระบรมศาสดา เอตทัคคะ ท่านไดร้ บั ยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาว่า เป็ นผู้เลศิ กว่าภิกษุท้ังหลายทางอธิบายภาษติ ย่อให้พสิ ดาร ๑๘. พระอชิตเถระ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์ในกรุงสาวตั ถไี ดศ้ กึ ษาศิลปวิทยาอยใู่ นสาํ นกั ของพราหมณ์พาวรีจนมีวิชาแกก่ ลา้ พราหมณพ์ าวรีไดม้ อบหมายให้ท่านเป็นหวั หนา้ ในมาณพ ๑๖ คน ให้ไปเฝ้าพระบรมศาสดาท่ปี าสาณเจดยี ์ เพอ่ื ทลู ถาม ปัญหา คร้นั ไดฟ้ ังคาํ พยากรณป์ ัญหาแลว้ กไ็ ดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหตั ตผล เมือ่ มาณพ ๑๖ คน ทูลถามปัญหาครบแลว้ อีก ท้งั พระบรมศาสดาก็ไดพ้ ยากรณ์ปัญหาเสร็จหมดแลว้ ท้งั หมดกไ็ ดท้ ูลถามทลู ขออปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา พระ บรมศาสดาทรงประทานใหเ้ ป็นภิกษดุ ว้ ยเอหิภกิ ขสุ ัมปทา ทา่ นดาํ รงอายสุ งั ขารอยพู่ อสมควรแก่อตั ภาพแลว้ ก็นิพพาน ๑๙. พระติสสเมตเตยยเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๐. พระปุณณกเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) โดยพระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ิดี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 44
45 ๒๑. พระเมตตคูเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๒. พระโธตกเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๓. พระอุปสีวเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๔. พระนนั ทกเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๕. พระเทมกเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๖. พระโตทเทยยเถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๗. พระกปั ปเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๘. พระชตัณณเี ถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๒๙. พระภทั ทราวธุ เถระ (มปี ระวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๓๐. พระอทุ ัยเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๓๑. พระโปสาลเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๓๒. พระโมฆราชเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) เอตทคั คะ ท่านยินดีในการครองจีวรเศร้าหมอง จึงไดร้ ับการยกยอ่ งจากพระบรมศาสดาว่า เป็ นผู้เลิศกว่าภกิ ษทุ ้งั หลายผู้ ทรงจวี รเศร้าหมอง ๓๓. พระปิ งคิยเถระ ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณช์ าวนครสาวตั ถี เป็นหลานพราหมณ์พราหมณ์พาวรี ขณะฟังปัญหาพุทธพยากรณ์ ใจ ระลกึ ถึงพราหมณ์พาวรีผูเ้ ป็นอาจารยว์ า่ เสียดายที่ไม่ไดม้ าฟังพทุ ธดาํ รัสดว้ ย เหตุดงั น้ีจึงทาํ ใหท้ า่ นสาํ เร็จเพียงโสดาปัตติ ผล คร้นั บวชพร้อมกบั มาณพอีก ๑๕ คนแลว้ จึงทลู ลาพระบรมศาสดาไปเลา่ ความท้งั ปวงแกพ่ ราหมณพ์ าวรีแลว้ กลบั มา เฝ้าพระบรมศาสดาภายหลงั ไดส้ ดบั โอวาททพ่ี ระบรมศาสดาตรัสสัง่ สอน จึงสาํ เร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนพราหมณ์พาว รีผูเ้ ป็นอาจารย์ ไดบ้ รรลุอนาคามผิ ล ๓๔. พระราธเถระ ท่านเป็นบตุ รพราหมณใ์ นกรุงราชคฤห์ ประสงคจ์ ะบวชแตพ่ วกภิกษุเห็นทา่ นแกไ่ ม่ยอมบวชให้เมือ่ ทา่ นไมไ่ ด้ บวชกเ็ สียใจจนร่างการซูบผอม พระบรมศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นอปุ นิสัยของท่าน จึงรับส่งั ถามภกิ ษทุ ้งั หลายว่า “มีใครระลกึ ถึงคณุ ของพราหมณน์ ้ีไดบ้ า้ ง”พระสารีบุตรทลู วา่ ระลกึ ไดเ้ พราะเคยไดร้ บั ขา้ วทพั พีหนีงจากพราหมณเ์ ม่ือ ไปบิณฑบาตร พระบรมศาสดาทรงตรัสสรรเสริญวา่ “สารีบุตรเป็นผูม้ คี วามกตญั �ูกตเวทีมากแมข้ า้ วทพั พีหน่ึงยงั ระลกึ ได”้ จึงทรงรับสง่ั ใหพ้ ระสารีบุตรเป็นอปุ ัชฌายบ์ วชราธพราหมณ์ด้วยญัตตจิ ตตุ ถกรรมวาจา ณ วดั เวฬวุ นั นบั วา่ เป็น โดยพระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 45
46 ภิกษุองคแ์ รกท่ีบวชดว้ ยญตั ติจตุตถกรรมวาจา เมื่อทา่ นบวชแลว้ ไดฟ้ ังทา่ นไดเ้ ทียวไปกบั พระสารีบุตรเถระ เจริญสมณ ธรรมดว้ ยความไม่ประมาท ไมน่ านกส็ าํ เร็จพระอรหตั ตผล เอตทัคคะ ท่านเป็นผูว้ ่าง่าย และฉลาดปฏบิ ตั ใิ นคาํ สง่ั สอน พระบรมศาสนาจึงทรงยกยอ่ งทา่ นวา่ เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษุ ท้ังหลายผ้มู ปี ฏภิ าณในคําสั่งสอน ๓๕. พระปณุ ณมันตานีบุตรเถระ ท่านเป็นบตุ รของนางตานี(นอ้ งสาวพระอญั ญาโกณทญั ญะ)ท่านไดอ้ ปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาโดยมี พระอญั ญาโกณทญั ญะชกั นาํ เม่อื อปุ สมบทแลว้ ไดไ้ ปเจริญกมั มฏั ฐานท่บี า้ นเกิดของท่านไดส้ าํ เร็จพระอรหัตตผล เอตทัคคะ ท่านประกอบดว้ ยคุณ ๑๐ ประการ คอื มกั นอ้ ย สนั โดษ ชอบสงดั ไม่ชอบเก่ียวขอ้ งดว้ ยหมู่ ปรารภความ เพียรบริบูรณ์ดว้ ย ศลี สมาธิ ปัญญา วมิ ตุ ติ ความรู้ความเห็ฯในวิมตุ ติ เมือ่ ท่านต้งั อยใู่ นคณุ น้ีแลว้ ท่านก็ไดส้ ง่ั สอนผอู้ ืน่ ใหต้ ้งั อยู่ในคณุ ธรรมน้ีดว้ ย อาศยั เหตนุ ้ีพระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งทา่ นว่า เป็ นผ้เู ลศิ กว่าภิกษุท้งั หลายผู้เป็ นพระธรรม กถึก ๓๖. พระกาฬุทายีเถระ ทา่ นเป็นบตุ รมหาอาํ มาตยใ์ นกรุงกบิลพสั ดุ์ เม่อื เจริญวยั แลว้ ไดร้ ับตาํ แหน่งดจุ เดียวกบั บิดา ทา่ นเป็นสหชาติ คอื เกิดวนั เดียวกบั พระมหาบรุ ุษดว้ ยไดอ้ ปุ สมบททีว่ ดั เวฬวุ นั มหาวิหาร ในคราวท่พี ระเจา้ สุทโธทนะโปรดให้ไปทลู เชิญ เสดจ็ พระบรมศาสดามายงั กรุงกบลิ พสั ดุ์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ จนสาํ เร็จพระอรหตั ตผลและบวช พร้อมกบั บริวารพนั หน่ึงแลว้ ทา่ นจึงทูลเชิญเสด็จตามพระราชดาํ รัส เอตทคั คะ ท่านล่วงหนา้ ไปกอ่ น แลว้ จดั การชกั ชวนประชาชนมีพวกกษตั ริยเ์ ป็นประมขุ ใหม้ จี ิตเลอ่ื มใสใน พระพุทธศาสนาเป็นอนั ดี อาศยั ความรอบคอบของท่านน้ี พระบรมศาสดาจึงยกยอ่ งท่านวา่ เป็ นผู้เลิศกว่าภิกษทุ ้งั หลาย ทางเป็ นผ้ยู งั สกลุ ท่ไี ม่เลอื่ มใสให้เลอื่ มใสในพระพทุ ธศาสนา ๓๗. พระนันทเถระ ท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะกบั พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระอนุชาต่างมารดาของพระ มหาบรุ ุษ ในวนั ที่ ๒ แตว่ นั เสด็จไปกรุงกบิลพสั ดุ์ พระศาสดาเสด็จไปทาํ ภารกิจในวนั อาวาหมงคลของนนั ทกุมารกบั นางชนบทกลั ยาณีเสร็จแลว้ ส่งบาตรให้นนั ทกมุ ารแลว้ เสดจ็ กลบั นนั ทกมุ ารถอื บาตรตามมาจนถึงวหิ ารเอาบาตรถวาย พระบรมศาสดาตรัสถามวา่ อยากบาชหรือเปลา่ เธอไมป่ รารถนาแต่ดว้ ยความเคารพจึงทลู รบั เมอื่ อปุ สมบทแลว้ เบอ่ื หน่าย ในเพศพรหมจรรย์ พระบรมศาสดาพาเสด็จเที่ยวเมอื งสวรรค์ แลว้ รับปากจะใหเ้ ทพธิดาสวยๆ ให้แกท่ า่ น แตใ่ หท้ า่ น ต้งั ใจประพฤตพิ รหมจรรย์ พระนนั ทต้งั ใจประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื จะไดเ้ ทพธิดาสวยๆ จนเร่ืองกระจายไปทว่ั พวกภกิ ษุ ต่างพากนั ลอ้ เลยี นท่านวา่ “พระนนั ทเป็นลูกจา้ ง” ท่านเกิดความละอาย จึงหลกี ไปบาํ เพญ็ เพียรแตผ่ ูเ้ ดียวจนบรรลพุ ระ อรหตั ตผล เอตทคั คะ โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันโท 46
47 เมอื่ ท่านจะแลไปทางไหนๆ ยอ่ มมสี ติสาํ รวมเสมอ พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งท่านว่า เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษุ ท้งั หลายทางสํารวมระวงั อินทรีย์ ๓๘. พระราหุลเถระ ทา่ นเป็นพระโอรสของพระมหาบุรุษกบั พระนางพมิ พา เม่ือพระบรมศาสดาแรกเสด็จไปโปรดพระชนกและ พระประยรู ญาติ ในวนั ที่ ๗ แตเ่ สด็จไปราหุลกุมารไดม้ าเฝ้าทูลขอสมบตั ิ ตามพระมารดารับสั่งมา พระบรมศาสดาจึง ทรงประทานโลกุตตรสมบตั โิ ดยรบั สั่งให้พระสารีบตุ รเถระบรรพชาเป็นสามเณรเสีย (รูปแรกในพระพุทธศาสนา) เพราะพระชนมายยุ งั ไมถ่ ึงบวชพระ ท่านเป็นตน้ บญั ญตั ิแห่งการห้ามไมใ่ ห้บวชคนท่พี อ่ แมไ่ มอ่ นญุ าติ เมอ่ื อปุ สมบทแลว้ มีอินทรียแ์ ก่กลา้ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาจึงไดบ้ รรลพุ ระอรหัตตผล เอตทัคคะ อาศยั ความท่ที ่านเป็นผูใ้ คร่ตอ่ การศึกษาธรรมวินยั ต้งั แตบ่ วชเป็นสามเณรมา พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งทา่ น วา่ เป็ นผ้เู ลิศกว่าภกิ ษทุ ้ังหลายผู้ใคร่ต่อการศึกษา ๓๙. พระอปุ าลเี ถระ ทา่ นเป็นบตุ รนายช่างกลั ลบก เม่อื เจริญวยั แลว้ ไดเ้ ป็นนายภูษามาลาในราชสาํ นกั ออกบวชพร้อมกบั ภทั ทยิ ศากยราชเป็นตน้ ทีอ่ นุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละ เรียนกมั มฏั ฐานจากพระบรมศาสดาไมช่ า้ ก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหัตตผล เอตทคั คะ ตอ่ มาพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนพระวินยั ปิ ฏกแกท่ ่านดว้ ยพระองคเ์ องจนชาํ นาญ ทา่ นฉลาดในการตดั สิน อธิกรณต์ า่ งๆ ภายหลงั พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งทา่ นวา่ เป็ นผู้เลิศกว่าภิกษทุ ้ังหลายทางทรงจาํ พระวินยั หน้าทส่ี ําคญั หลงั พทุ ธปรินพิ พาน เมื่อพระบรมศาสดาปรินิพพานแลว้ พระมหากสั สปเถระทาํ การสังคายนาพระธรรมวินยั สงฆไ์ ดเ้ ลือกท่านให้ เป็ นผู้วิสัชนาในส่วนพระวินยั ปิ ฏก เพราะทา่ นเป็นผชู้ าํ นาญในทางน้ี ๔๐. พระภทั ทิยศากยเถระ ทา่ นเป็นพระโอรสของพระนางศากิยกญั ญา พระนามว่าอาฬีโคธาราชเทวี ไดส้ ืบราชสันติวงศเ์ ป็นพระเจา้ แผ่นดินของศากยวงศ์ ตอ่ มาภายหลงั อนุรุทธกมุ ารผสู้ หายชกั ชวนออกผนวช กไ็ ดเ้ สดจ็ ออกผนวชพร้อมกบั พระราช กุมาร ๕ พระองค์ คือ อนุรุทธ อานนั ทะ ภัคคุ กิมพิละ เทวทตั และนายอปุ าลภี ูษามาลาคราวท่ีพระบรมศาสดาทรง ประทบั อยทู่ อี่ นุปิ ยอมั พวนั คร้นั ผนวชแลว้ บาํ เพญ็ เพียรกไ็ ดส้ าํ เร็จเป็นพระอรหันตใ์ นพรรษาน้นั เอตทคั คะ ทา่ นไดเ้ ป็นกษตั ริยเ์ สวยราชสมบตั แิ ลว้ ถงึ อยา่ งน้นั กท็ รงสละราชสมบตั ิออกบวช ดว้ ยเหตุน้นั พระบรมศาสดา จึงทรงยกยอ่ งทา่ นวา่ เป็ นผ้เู ลศิ กว่าภกิ ษทุ ้ังหลายทางเกิดในสกลุ สูง โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 47
48 ๔๑. พระอนุรุทเถระ ท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ อมิโตทนะศากยราช มพี ช่ี ายช่ือมหานามะ มีนอ้ งสาวช่ือโรหิณี ออกผนวชพรอ้ มกบั ศากย กมุ ารท้งั ๕ พระองคก์ บั นายอปุ าลี เมอ่ื ผนวชแลว้ เรียนกมั มฏั ฐานในสํานกั พระสารีบุตร ไปทาํ ความเพียรท่ีสวนปาจีนวงั สะมฤคทายวนั เมอื่ เจริญสมณธรรมอยไู่ ดต้ รึกถึง มหาปรุ ิสวติ ก ๗ ประการ พระบรมศาสดามาประทานอนุโมทนาแลว้ ใหต้ รึกถงึ ขอ้ ที่ ๘ ทา่ นตรึกไป ตามกระแสพทุ ธดาํ รสั ไมน่ านก็สําเร็จเป็นพระอรหันต์ เอตทัคคะ ท่านมีปกตพิ จิ ารณาหม่สู ตั วอ์ นั ปรากฏในโลกทไี่ กลโดยฉบั พลนั ดว้ ยทิพพจกั ษุ ดว้ ยเหตนุ ้นั พระบรมศาสดาจึง ทรงยกยอ่ งท่านวา่ เป็ นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายทางมีทิพยจกั ษุญาณ ๔๒. พระอานนทเถระ ทา่ นเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุกโกทนะกบั พระนางกีสาโคตมี ในกรุงกบิลพสั ดุ์ เสดจ็ ออกผนวชพร้อม กบั ศากยะกมุ ารและนายอปุ าลภี ษู ามาลาท่อี นุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละ คร้นั ผนวชแลว้ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระ ปุณณมนั ตานีบุตร ก็ไดส้ าํ เร็จโสดาปัตติผล เอตทคั คะ เพราะเหตทุ ่ีทา่ นเป็นพหูสูต จึงไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาท่ีพระบรมศาสดาประทานแก่ตนเองและท่ปี ระทานแก่ ผอู้ ่ืน ท่านมสี ติทรงจาํ ไวม้ ากและเอาธุระในการศึกษาเลา่ เรียน จึงเป็นผฉู้ ลาดในการแสดงธรรมมาก และเป็นพทุ ธ อปุ ัฏฐากทด่ี ี ดงั น้นั พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งทา่ นวา่ เป็ นผ้เู ลิศกว่าภกิ ษทุ ้ังหลาย ๕ สถาน คือ เป็ นพหูสูต ๑ มสี ติ ๑ มีคตคิ ือความ ๑ มธี ติ คิ ือความทรงจาํ ๑ เป็ นพทุ ธอปุ ัฏฐาก ๑ หน้าที่สําคญั หลงั พทุ ธปรินพิ พาน เพราะเหตุที่ท่านเป็นพหูสูต เมือ่ พระบรมศาสดาปรินิพพานแลว้ พระมหากสั สปเถระทาํ การสังคายนาพระ ธรรมวนิ ยั สงฆไ์ ดเ้ ลือกท่านให้ เป็ นผ้วู สิ ัชชนาในส่วนของพระสุตตันตปิ ฎกและพระอภธิ รรมปิ ฎก ท่านสาํ เร็จพระ อรหตั ตผลก่อนที่จะทาํ การสังคายนา ๑ วนั คอื เมอ่ื ท่านไดร้ ับคาํ เตือนจากพระมหากสั สปเถระ คร้นั ถงึ เวลาเยน็ กอ็ ตุ ส่าห์ บาํ เพญ็ สมณธรรม จนสาํ เร็จเป็นพระอรหันตใ์ นทา่ ทจ่ี ะลม้ ตวั ลงนอน การนพิ พาน เมอื่ ทา่ นดาํ รงชีพอยพู่ อสมควรแลว้ ก็นิพพาน ณ ทา่ มกลางอากาศเหนือแมน่ ้าํ โรหิณี อนั เป็นพรมแดนระหว่าง นครกบลิ พสั ดุแ์ ละโกศยิ นครตอ่ กนั ๔๓. พระภัคคเุ ถระ ทา่ นเป็นโอรสของเจา้ ศากยะองคห์ น่ึง ในนครกบลิ พสั ดุ์ ออกบวชพร้อมกบั ศากยะกุมารและนายอปุ าลภี ษู า มาลา ท่อี นุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละ เมอื่ บวชแลว้ เจริญสมณธรรมไมน่ านก็บรรลพุ ระอรหตั ตผล โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 48
49 ๔๔. พระกมิ พิลเถระ ทา่ นเกิดในศากยราชตระกลู เมอื่ เจริญวยั แลว้ อนุรุทธกมุ ารชวนออกบวช จึงออกบวชพร้อมกบั ศากยกุมาร ท่ี อนุปิ ยอมั พวนั เมอ่ื อปุ สมบทแลว้ บาํ เพญ็ สมณธรรมจนสาํ เร็จพระอรหตั ตผล ๔๕. พระโสณโกฬิวสิ เถระ ท่านเป็นบุตรอสุภเศรษฐี สกุลพอ่ คา้ ในจมั ปานคร อุปสมบทในสาํ นกั พระบรมศาสดา ท่ีวดั เวฬวุ นั เมอ่ื อปุ สมบทแลว้ ทาํ ความเพยี รเดินจงกลมจนเทา้ แตก กไ็ มไ่ ดส้ าํ เร็จพระอรหันต์ ภายหลงั พระบรมศาสดาเสด็จมาตรสั สอนให้บาํ เพญ็ เพียรพอเป็นมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ยกพณิ ๓ สายข้ึนเป็นอุทาหรณ์ เพราะว่าทา่ นชาํ นาญในการดีดพณิ จากน้นั ทา่ นบาํ เพญ็ พอเป็นมชั ฌมิ า ก็ไดส้ าํ เร็จพระอรหัตตผล เอตทัคคะ เพราะทา่ นไดป้ รารภความเพยี รอยา่ งแรงกลา้ แตค่ ร้งั ยงั ไม่ไดส้ าํ เร็จพระอรหันต์ พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ ง ท่านว่า เป็ นผ้เู ลิศกว่าภกิ ษทุ ้ังหลายผู้ปรารภความเพยี ร ๔๖. พระรัฏฐบาลเถระ ท่านเป็นบตุ รรฏั ฐบาลเศรษฐีในหมบู่ า้ นถลุ ลโกฏฐิตนิคม แวน่ แควน้ กรุ ุ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระบรม ศาสดา เกิดศรทั ธาเลอ่ื มใสอยากจะบวช แตต่ อ้ งไปลามารดา บิดากอ่ น เมอื่ มารดา บิดาไม่อนุญาตกเ็ สียใจไม่นอน ไมก่ ิน อาหาร ยอมตายในเม่ือไมไ่ ดบ้ วชสมหวงั ในท่สี ุดไดร้ ับอนุญาตกม็ ีความยินดี บาํ รุงร่างกายพอมกี าํ ลงั แลว้ ไปเฝา้ พระ บรมศาสดาทลู ขออุปสมบท ก็โปรดให้อปุ สมบทดว้ ยญตั ติจตตุ ถกกรมวาจา เมือ่ บวชแลว้ คร่ึงเดือนตามเสด็จไปสาวตั ถี เจริญวปิ ัสสนาดว้ ยความไมป่ ระมาท ไมน่ านกส็ าํ เร็จเป็นพระอรหตั ตผล เอตทัคคะ อาศยั คณุ ทท่ี า่ นบวชดว้ ยศรัทธามาแตเ่ ดิม พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งทา่ นว่า เป็ นผู้เลศิ กว่าภกิ ษุท้งั หลายผู้ บวชด้วยศรัทธา ๔๗. พระปิ ณโฑลภารทวาชเถระ ทา่ นเกิดในสกุลพราหมณภ์ ารทวาชโคตรในกรุงราชคฤห์ เมือ่ เจริญวยั ไดศ้ กึ ษาจนจบไตรเพทตามลทั ธิ พราหมณ์ ต่อมาไดเ้ ป็นคณาจารยใ์ หญ่ เมือ่ พระบรมศาสดาประกาศพระศาสนามาถงึ พระนครราชคฤห์ ท่านไดท้ ราบ ข่าวจึงเขา้ ไปเฝา้ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาเล่ือมใสทูลขออุปสมบทในพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื อปุ สมบทแลว้ บาํ เพญ็ เพียรไม่นานก็ไดบ้ รรลุรพระอรหัตตผล เอตทคั คะ ตามปกติไมว่ ่าทา่ นจะไปทไี่ หน ๆ แมใ้ นท่เี ฉพาะพระพกั ตร์ของพระบรมศาสดา ท่านชอบบนั ลอื สีหนาทดว้ ย วาจาอนั องอาจว่า “ผใู้ ดมีความสงสัยในมรรคและผล จงถามเราเถิด” อาศยั เหตุน้ีพระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งท่านวา่ เป็ นผ้เู ลศิ กว่าภกิ ษุท้งั หลายผ้บู ันลอื สีหนาท โดยพระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ ฤทธ์ดิ ี : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันโท 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167