0 พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 0
สารบญั 1 เรื่อง หน้า วชิ าเรียงความแก้กระทู้ ๘ - ความเบ้อื งตน้ ๘ - แนวการแตง่ ๙ - โวหาร ๔ ๑๑ - วิธีเรียงความ ๑๔ - ตวั อยา่ งเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรม ๑๘ - พทุ ธศาสนสุภาษติ ๑๘ - อตั ตวรรค คือหมวดตน ๑๘ - อปั ปมาทวรรค คือ หมวดไม่ประมาท ๑๙ - กมั มวรรค คอื หมวดกรรม ๑๙ - กิเลสวรรค คือหมวดกิเลส ๒๒ - ขนั ตวิ รรค คือหมวดอดทน ๒๒ - จิตตวรรค คือหมวดจิต ๒๓ - ทานวรรค คอื หมวดทาน ๒๔ - ธมั มวรรค คือหมวดธรรม ๒๗ - ปัญญาวรรค คือหมวดปัญญา ๒๘ - มจั จุวรรค คือหมวดความตาย ๒๘ - วาจาวรรค คือหมวดวาจา ๒๘ - วิริยวรรค คอื หมวดความเพยี ร ๒๙ - สามคั คีวรรค คือหมวดสามคั คี ๓๐ - อกั ษรยอ่ บอกนามคมั ภีร์ ๓๑ วิชาธรรมวิจารณ์ ๓๑ - นิพพทิ า ความหน่ายในสงั ขาร ๓๕ - วริ าคะ ความสิ้นกาํ หนดั ๓๖ - วิมตุ ติ ความหลดุ พน้ ๓๗ - วสิ ุทธิ ความหมดจด ๓๙ - สนั ติ ความสงบ ๓๙ - นิพพาน การดบั กิเลสและกองทกุ ข์ ๔๔ - สงั สารวฏั การเวียนวา่ ยตายเกิด พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 1
2 เรื่อง หน้า - สมถกรรมฐาน วธิ ีฝึกจิตใจใหส้ งบ ๔๗ - กสิณ ๔๘ - อสุภะ ๔๘ - อนุสสติ ๔๘ - พรหมวิหาร ๔๙ - อรูปกรรมฐาน ๔๙ - อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๔๙ - จตุธาตวุ วตั ถาน ๔๙ - วปิ ัสสนากรรมฐาน ๕๐ - ธรรมอนั เป็นปัจจยั ให้เกิดนามรูป ๕๑ - เหตุปัจจยั ใหเ้ กิดนามรูป คือเบญจขนั ธ์ ๕๑ - ความสงสยั ในส่วนอดีต ๕ ๕๑ - ความสงสยั ในส่วนอนาคต ๕ ๕๑ - ความสงสยั ในส่วนปัจจุบนั ๖ ๕๑ - อานิสงส์การเจริญวปิ ัสสนา ๕๒ - พทุ ธคณุ ๙ ๕๒ - วปิ ลาส ความสาคญั ผิด ๕๓ - มหาสติปัฦฏฐานสูตร ๕๔ - กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๕๔ - เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๕๔ - จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๕๕ - ธมั มานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๕๕ - คริ ิมานนทสูตร ๕๕ วิชาพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ - สร้างกรุงกบลิ พสั ดุ์ ๕๗ - ออู่ ารยธรรมของโลก ๕๗ - พระศาสดาประสูติ ๕๙ - บาํ เพญ็ เบญจมหาบปริจาค ๕ ประการและบาเพญ็ บารมี ๓๐ ประการ ๕๙ - สุทธาวาส ๕ ๕๙ - ปัญจโกลาหล ๕๙ - ปัญจบพุ พนิมิต ๖๐ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 2
3 เร่ือง หน้า - ปัญจมหาวิโลกนะ ๖๐ - สุบินนิมิต ๖๐ - ทานายสุบนิ นิมติ ๖๑ - เสียงทา้ วมหาพรหม ๖๑ - อาสภิวาจา ๖๑ - ทาํ นายลกั ษณะ ๖๒ - ราชาภิเษก ๖๒ - บรรพชา ๖๓ - เสด็จหอ้ งพิมพา ๖๔ - ถงึ อโนมานที ๖๔ - บาเพญ็ เพียร ๖๔ - ทุกกรกิริยา ๖๕ - สุชาดาบวงสรวง ๖๖ - ความปรารถนาของสุชาดา ๖๖ - วิธีทาขา้ วมธุปายาส ๖๖ - ถวายขา้ วมธุปายาส ๖๗ - ทรงลอยถาด ๖๗ - เสดจ็ สู่ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ๖๗ - ผจญมาร ๖๗ - ตรัสรู้ ๖๘ - สัตตมหาสถาน ๖๘ - พรหมอาราธนา ๖๙ - ดอกบวั ๔ เหลา่ ๖๙ - ปฐมเทศนา ๗๐ - เสดจ็ เมืองพาราณสี ๗๐ - พบปัญจวคั คยี ์ ๗๐ - แสดงธรรมจกั กปั ปวตั ตนสูตร ๗๑ - ยสบรรพชา ๗๑ - อุบาสกคนแรก ๗๒ - อุบาสิกาคนแรก - ส่งสาวกประกาศศาสนา ๗๒ ๗๒ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 3
4 เรื่อง หน้า - โปรดชฎิล ๓ พน่ี อ้ ง ๗๓ - พบภทั ทวคั คยี ์ ๗๓ - อุรุเวลกสั สปะบวช ๗๓ - นอ้ งชายท้งั สองบวช ๗๓ - โปรดพระเจา้ พมิ พิสาร ๗๓ - ความปรารถนาของพระเจา้ พมิ พิสาร ๗๓ - ไดอ้ คั รสาวกขวาซา้ ย ๗๔ - ทรงรับเวฬุวนั ๗๔ - บรรลุอมตธรรม ๗๔ - โกลติ บรรลุธรรม ๗๕ - โปรดพุทธบดิ า ๗๕ - เสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุ์ ๗๕ - ฝนโบกขรพรรษตก ๗๖ - โปรดพมิ พาเทวี ๗๖ - พุทธบดิ าบรรลโุ สดาปัตติผล ๗๖ - โปรดพระนางมหาปชาบดี ๗๖ - เสดจ็ ปราสาทพระนางยโสธรา ๗๗ - ศากยบรรชา ๗๗ - นนั ทบรรพชา ๗๗ - ราหุลบรรชา ๗๗ - พุทธบิดาขอพร ๗๘ - อนาถปิ ณฑิกสร้างวดั ถวาย ๗๘ - ๖ กษตั ริยบ์ รรพชา ๗๘ - พระเทวทตั ทาอนนั ตริยกรรม ๗๘ - แผ่นดินสูบพระเทวทตั ๗๙ - เมตไตยพยากรณ์ ๗๙ - เมตไตยโพธิสตั วอ์ ุบตั ิ ๗๙ - ทรงแยม้ พระโอษฐ์ ๘๑ - สุทโธทนราชานิพพาน ๘๑ - พุทธบิดาทรงประชวร ๘๑ - พทุ ธบดิ าบรรลุอรหัต ๘๑ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 4
5 เรื่อง หน้า - ถวายพระเพลงิ พระบรมศพ ๘๒ - พระนางพมิ พาออกผนวช ๘๒ - แสดงยมกปาฏิหาริย์ ๘๓ - เศรษฐีอยากรู้จกั พระอรหนั ต์ ๘๓ - นิครนถนาฏบตุ รแสดงทา่ เหาะ ๘๓ - พระปิ ณโฑลภารทวาชะเหาะ ๘๓ - เดียรถยี แ์ ข่งฤทธ์ิ ๘๔ - แสดงยมกปาฏหิ าริยบ์ นตน้ มะม่วง ๘๔ - โปรดพุทธมารดา ๘๕ - เสดจ็ พิภพดาวดึงส์ ๘๕ - ทรงแสดงอภิธรรมปิ ฎก ๘๕ - เสด็จลงจากดาวดึงส์ ๘๕ - พระมหาโมคคลั ลานะทลู ถามการเสดจ็ ลง ๘๕ - พระมหาโมคคลั ลานะข้นึ ไปเฝ้า ๘๖ - อคั รสาวกนิพพาน ๘๖ - ลาดบั พรรษายกุ าล ๘๖ - พระธรรมเสนาบดีนิพพาน ๘๗ - พระมหาโมคคลั ลานะถกู โจรทบุ ๘๘ - พระมหาเถระทูลลานิพพาน ๘๙ - พทุ ธปรินิพพาน ๘๙ - ทรงปรารภธรรม ๘๙ - บิณฑบาตคร้ังสุดทา้ ย ๙๐ - รบั ผา้ สิงควรรณ ๙๐ - ทรงปรารภสกั การบชู า ๙๑ - โปรดสุภทั ทปริพาชก ๙๑ - โปรดใหล้ งพรหมทณั ฑ์ ๙๑ - ปัจฉิมโอวาท ๙๒ - แจกพระบรมสารีริกธาตุ ๙๒ - พระบรมศพไมเ่ คลอ่ื นที่ ๙๒ - มลั ลกิ าถวายสกั การะ ๙๒ - ถวายพระเพลงิ ไม่ติด ๙๒ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 5
เรื่อง 6 - ดอกมณฑารพตก หน้า - เตโชธาตุโพลงข้ึนเอง - โทณพราหมณห์ ้ามทพั ๙๓ - ทรมานพญาวสั สวดีมาร ๙๓ - ฉลองพระสถปู ๙๔ - สรุปเนือ้ หาสาคัญ ๙๕ - ตัวอย่างข้อสอบวชิ าพทุ ธานพุ ุทธประวตั ิ ๙๕ วิชาวนิ ัยมขุ เล่ม ๓ นกั ธรรมเอก ๙๘ - กัณฑ์ท่ี ๒๓ สังฆกรรม ๑๑๑ - กัณฑ์ที่ ๒๔ สีมา ๑๑๓ - กัณฑ์ท่ี ๒๕ สมมติเจ้าหน้าท่ีทาการสงฆ์ ๑๑๓ - กัณฑ์ที่ ๒๖ กฐิน ๑๑๖ - กณั ฑ์ที่ ๒๗ บรรพชาและอปุ สมบท ๑๑๙ - กณั ฑ์ที่ ๒๘ วิธีระงับววิ าทาธิกรณ์ ๑๒๓ - กณั ฑ์ท่ี ๒๙ วิธรี ะงับอนุวาทาธกิ รณ์ ๑๒๖ ๑๒๘ ปัญหาพร้อมเฉลย ๑๓๒ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-ธรรมวจิ ารณ์ ๑๓๕ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-ธรรม-เอก-ส่วนปรมตั ถะ ๑๓๘ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-ธรรม-เอก-ส่วนสงั สารวฏั ฏ์ ๑๔๑ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-ธรรม-เอก-สมถกมั มฐั าน ๑๔๔ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-ธรรม-เอก-วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน - แบบทดสอบ ปัญหาเฉลย วชิ าพุทธาพทุ ธประวตั ิ ๑๔๘ - แกแ้ บบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พทุ ธา-เอก-๑-๓ ๑๕๑ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พทุ ธา-เอก-๔-๖ ๑๕๔ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พทุ ธา-เอก-๗-๙ ๑๕๗ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พทุ ธา-เอก-๑๐-๑๓ - แบบทดสอบ ปัญหาเฉลย วชิ าวนิ ยั มขุ ๑๖๐ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-วนิ ยั -เอก-๒๓-๒๕ ๑๖๔ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-วินยั -เอก-๒๖-๒๘ ๑๖๘ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-วินยั -เอก-๒๙-๓๐ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 6
เร่ือง 7 - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-วินยั -เอก-๓๑-๓๓ หน้า - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลยวชิ าพระราชบัญญัติคณสงฆ์ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พรบ-เอก-๑-๔ ๑๗๑ - แบบทดสอบ-ปัญหาเฉลย-พรบ-เอก๕-๘ ๑๗๖ ๑๘๐ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 7
8 เนื้อหาวิชาเรียงความแก้กระทู้ นกั ธรรมศึกษาช้ันเอก วชิ า เรียงความแกก้ ระทู้ ธรรมศกึ ษาช้นั เอก คาํ อธิบาย วิธีเรียงความแกก้ ระทูธ้ รรมแนวใหม่ ความเบ้อื งตน้ วิธีเรียงความแกก้ ระทธู้ รรม จดั เป็นวิชาหน่ึงในหลกั สูตรนกั ธรรมตรี โท เอก นกั เรียนผสู้ อบกลวั ตกวชิ าน้ีมากกว่าวิชาอื่นๆ เพราะการแตง่ กระทธู้ รรม หากนกั เรียนยงั จบั หลกั ฐานไมไ่ ด้ จะทาํ ให้มึนงงสับสนในเมื่อแม่บทหรือกระททู้ ี่ท่านต้งั ไว้ ยิง่ เป็นช้นั เอกก็ ยิ่งทวคี วามยากข้นึ ตามส่วน ฉะน้นั การแตง่ กระทธู้ รรมจึงจดั วา่ สาํ คญั ย่งิ กวา่ ๓ วิชาน้นั เพราะเทา่ กบั วา่ ไดฝ้ ึกหดั เทศนาวิธีไปดว้ ยนนั่ เอง เม่อื ผูใ้ คร่ตอ่ การศึกษาพยายามเรียนหลกั การแต่ง ทาํ ความเขา้ ใจวธิ ีการแต่งดแี ลว้ จะกลบั เหน็ ว่าการแต่งกระทกู้ ค็ อื การแสดงภมู ิความรู้ใน วชิ าท้งั ๓ น้นั วา่ นกั เรียนมคี วามเขา้ ใจแจม่ แจง้ ดเี พียงไร ถา้ เขา้ ใจแลว้ ก็สามารถทจ่ี ะหยบิ ยกขอ้ ธรรมมาอธบิ ายไดโ้ ดยไมย่ ากนกั ส่วน หลกั การและแนวในการแตง่ น้นั จะไดช้ ้ีให้เขา้ ใจในลาํ ดบั ต่อไปดงั จะไดช้ ้ีแจงหลกั และแนวการแต่ง ซ่ึงทางสนามหลวงทา่ นไดว้ างไว้ พอเป็นปทฏั ฐานนกั เรียนพึงทราบต่อไปน้ี ฯ แนวการแตง่ การแตง่ กระทูธ้ รรมน้นั พึงพยายามเรียบเรียงถอ้ ยคาํ ให้สละสลวย พดู ส้นั ๆ แตใ่ หไ้ ดใ้ จความมาก ใชถ้ อ้ ยคาํ สาํ นวนทสี่ ุภาพ อ่อนโยนใหเ้ หมาะแกก่ าลเทศะ บรรยายขอ้ ความให้ติดตอ่ กลมกลนื กนั เมื่อจะอา้ งหรือยกอีกกระทูป้ ระกอบประหน่ึงชา่ งภาพระบายสี เช่นเหลืองกบั เขยี วเป็นตน้ ระบายตอนทเ่ี หลืองจะเปลี่ยนเป็นเขียวใหก้ ลมกลนื กนั ฉะน้นั การอา้ งกระทปู้ ระกอบก็เชน่ เดยี วกนั คือตอ้ ง อธิบายขอ้ ความใหเ้ ช่ือมสนิทสนม จู่ ๆ จะอา้ งข้ึนมาเฉย ๆ ไม่ได้ เพราะจะผิดหลกั แห่งการแตง่ ไปและจะกลายเป็นคนละรูปเร่ือง อ่าน แลว้ ไมไ่ ดใ้ จความ ขาดความสละสลวยดว้ ยประการท้งั ปวง ไม่สมภมู ิที่เป็นนกั ธรรมเอกเลย พึงพยายามแต่งใหเ้ หมาะสมกบั ความหมาย ของกระทู้ ซ่ึงจะไดช้ ้ีแจงเป็นลาํ ดบั ไป ฯ ความหมายของกระทู้ ความหมายของคาํ วา่ เรียงความแกก้ ระทธู้ รรม ซ่ึงท่านเรียกรวมเป็นคาํ เดียวกนั เมื่อนกั เรียนพจิ ารณาให้รอบคอบแลว้ จะเห็นวา่ แยกออกเป็นคาํ ๆ ได้ ๓ คาํ คือเรียงความ แกก้ ระทูธ้ รรม จะไดช้ ้ีแจงใหเ้ ห็นความหมายของคาํ ท้งั ๓ น้นั ดงั ต่อไปน้ี คือ ๑. คาํ ว่า “เรียงความ” ไดแ้ ก่ การเกบ็ ถอ้ ยคาํ หรือขอ้ ความต่าง ๆ มาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ และภาษาศาสตร์ อา่ นและฟังไดค้ วามชดั เจนแจม่ แจง้ สมแกร่ ูปเรื่องของธรรมน้นั ๆ ประหน่ึงนายมาลาการผฉู้ ลาด มคี วาม เช่ียวชาญนาํ ดอกไมซ้ ่ึงมสี ีสัณฐานแตกต่างกนั มารอ้ ยกรองใหเ้ ป็นระเบยี บเรียบร้อยในภาชนะอนั เดียวกนั ฉะน้นั คือเกบ็ ขอ้ ความในท่ตี า่ ง ๆ เชน่ ใน ธรรม พุทธ วินยั (โดยมากเป็นธรรม) แลว้ แต่หวั ขอ้ ธรรมน้นั จะเพง่ ถงึ อะไร พงึ บรรยายไปในแนวน้นั ตามหลกั โวยากรณ์ คอื เรียบเรียงถอ้ ยคาํ สํานวนใหส้ ละสลวยสมแกเ่ หตผุ ล สมแกบ่ ริษทั ประชุมชนและกาลเทศะ ให้มีความหมายตรงกบั จดุ ประสงคข์ องแมบ่ ท หรือกระทูท้ ่ตี ้งั ไว้ ดงั น้ีเรียกวา่ “เรียงความ” ๒. คาํ ว่า แก้ ไดแ้ ก่การทาํ ใหค้ ลายหรือขยายออก คอื กิริยาทคี่ ลายหรือขยายส่ิงท่ีมดั ไวอ้ อกไป ก็เรียกกนั วา่ แก้ แมบ่ ทหรือ กระทูท้ ต่ี ้งั ไว้ เป็นเพียงหวั ขอ้ ธรรมอนั หน่ึง ซ่ึงมีความหมายทจี่ ะพงึ ขยายความออกไปอีกไดม้ ากมาย นกั เรียนผูม้ ีความสามารถ จึงควร อธิบายขยายความของบทธรรมหรือภาษิตที่ทา่ นต้งั ไวน้ ้นั ใหก้ วา้ งขวาง ไดค้ วามไพเราะถกู ตอ้ งตามจดุ มุ่งหมายของกระทู้ พดู งา่ ย ๆ กค็ อื ขยายความประสงคข์ องกระทูห้ รือถอ้ ยคาํ ที่ทา่ น กล่าวไวโ้ ดยย่อ ใหพ้ สิ ดาร เรียกว่า “แก”้ ๓. คาํ ว่า กระทธู้ รรม ไดแ้ กธ่ รรมท่ีเป็นแมบ่ ท หรือบทธรรมย่อ ๆ ทท่ี า่ นต้งั ไวเ้ ป็นหลกั แมบ่ ทหรือกระทูท้ ่ีย่อ ๆ แต่มี ใจความที่จะพึงอธิบายขยายออกไปอีกไดม้ าก เรียกว่า กระทูธ้ รรม พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 8
9 เม่ือนกั เรียนทราบความหมายของคาํ ว่า เรียงความแกก้ ระทธู้ รรม โดยสงั เขปดงั น้ีแลว้ พึงวางโครงเรื่องที่จะยกข้ึนอธิบาย ต่อไป แตก่ ารอธิบายจาํ ตอ้ งมหี ลกั เกณฑป์ ฏิบตั ิในการแต่งอกี ซ่ึงเรียกว่าองคป์ ระกอบการเรียงความมี ๓ ประการ คอื ก. อเุ ทศ ไดแ้ ก่ บทต้งั หรือแม่บท ซ่ึงตรงกบั คาํ วา่ กระทู้ ข. นเิ ทศ ไดแ้ ก่ การขยายความอุเทศน้นั ให้กวา้ งขวางออกไปตามแนวของกระทนู้ ้นั ๆซ่ึงตรงกบั คาํ ว่า แก้ ค. ปฏินิเทศ ไดแ้ ก่ การกล่าวทบทวนขอ้ ความเบ้อื งตน้ คอื ยอ่ เอาความในนิเทศมากลา่ วส้นั ๆ เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจและจาํ งา่ ย ซ่ึงตรง กบั คาํ วา่ สรุปความ โวหาร ๔ นกั เรียนนอกจากจะทราบองคป์ ระกอบเรียงความ ๓ ประการ ดงั กลา่ วเบ้อื งตน้ แลว้ จะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจในหลกั ของการขยาย ความอีก ท่านเรียกวา่ โวหาร ซ่ึงจกั วา่ เป็นความจาํ เป็นท่ีผแู้ ตง่ ผูเ้ ยียนจะตอ้ งดาํ เนินในโวหาร ๔ อยา่ งน้ี อย่างใดอยา่ งหน่ึง เพราะตาม ธรรมดาการแต่งการเขยี นหนงั สือ สาํ นวนโวหารย่อมแตกต่างกนั ตามความคิดเห็น แตเ่ พื่อใหเ้ หมาะสมกบั เรื่องทกี่ ล่าวถงึ และตรงกบั ความประสงคข์ องผแู้ ตง่ ในอนั จะโนม้ นา้ วใจผอู้ า่ นผูฟ้ ังให้มีความเหน็ ความเขา้ ใจ ตามกระบวนความท่ีตนแตง่ ทต่ี นเขียนไปในแนวไหน กต็ าม ก็คงอยใู่ นลกั ษณะแห่งโวหาร ๔ น้ี คอื ๑. พรรณนาโวหาร ไดแ้ ก่ การพรรณนาความ คือเลา่ เร่ืองที่ไดเ้ ห็นมาแลว้ หรือคิดประพนั ธ์ข้นึ ดว้ ยมุ่งความไพเราะ หรือความ บนั เทิง โดยเขา้ ใจว่า อาจเป็นไปไดเ้ ช่นน้นั เช่น การเขยี นนวนิยาย หรือการเล่าความจริงจากหลกั ฐานทีไ่ ดฟ้ ังมา เชน่ การเขยี นตาํ นาน เป็น ตน้ เรียกว่า พรรณนาโวหาร ๒. บรรยายโวหาร ไดแ้ ก่ การอธิบายขอ้ ความที่ย่อซ่ึงยงั เคลอื บคลุมอยูใ่ ห้เกิดความกระจ่าง เพ่อื ให้ผอู้ ่านผูฟ้ ังเขา้ ใจไดง้ ่าย การแต่งในทาํ นองน้ีมุง่ ไปในทางไขปัญหาอนั ลกึ ซ้ึงสุขมุ คมั ภีรภาพ ดงั เช่นปัญหาว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร ? ศีลธรรมคอื อะไร ? สตคิ อื อะไร ? สัมปชญั ญะคืออะไร ? ดงั น้ีเป็นตน้ แต่ละอย่าง ๆ ตอ้ งอธิบายขยายความออกไปให้ผูฟ้ ังเห็นเง่อื นงาํ คาํ ถามและขอ้ ธรรมน้นั ๆ โดยแจม่ แจง้ เรียกว่า บรรยายโวหาร ๓. เทศนาโวหาร ไดแ้ ก่ การแตง่ ทาํ นองการสอน คอื ช้ีแงหลกั ธรรมน้นั ๆ ให้ผอู้ ่านผฟู้ ังยึดถอื เป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ เช่น เทศนา หรือกฎหมายเป็นตน้ เพื่ออบรมนิสยั ใหป้ ระณีตงดงามข้ึน โดยไดฟ้ ังและตรึกตรองพจิ ารณาเห็นคุณและโทษของสิ่งน้นั ๆ การแต่ง ทาํ นองน้ีมงุ่ ให้ผูอ้ า่ นผูฟ้ ังเกิดฉันทะ อตุ สาหะ อนั จะนาํ มาปฏิบตั ิตาม เรียกว่า เทศนาโวหาร ๔. สาธกโวหาร ไดแ้ ก่ การบรรยายขอ้ เปรียบเทยี บคอื นาํ ขอ้ อปุ มาอปุ ไมยมาเทยี บเคียง เพื่อใหข้ อ้ ความท่ีอธิบายน้นั แจม่ แจง้ ดี ข้นึ อนั ไดแ้ กก่ ารยกขอ้ ความอ่นื มาเปรียบเทยี บกบั ขอ้ ความทกี่ ล่าวมทาถึงน้นั ช้ีแจงใหช้ กั เจน แสดงขอ้ ความท่ีเปรียบเทยี บน้นั ใหเ้ ห็น เป็นความจริงยิง่ ข้นึ ซ่ึงมีกิริยาการคลา้ ยคลงึ กนั ดงั ตวั อย่างวา่ คนทข่ี าดสตยิ อ่ มเป็นเสมอื นเรือทข่ี าดหางเสือเคร่ืองคดั วาดฉะน้นั โดย อธิบายวา่ ธรรมดาคนเราทกุ ๆ คนจะทาํ จะพดู จะคดิ อะไร ตอ้ งมีสติระลึกไวก้ อ่ นแลว้ จงึ ทาํ จงึ พดู จึงคดิ เม่อื ระลกึ ไวก้ อ่ นแลว้ ส่ิงท่ีทาํ คาํ ทพ่ี ูด และเรื่องที่คดิ น้นั กไ็ มผ่ ดิ พลาด ย่อมไดร้ บั ผลสมประสงค์ เหมอื นเรือท่มี ีหางเสือเคร่ืองคดั วาดใหห้ วั เรือแลน่ ตรงไปสู่จุดหมาย ปลายทางฉะน้นั หากบุคคลผจู้ ะทาํ จะพดู จะคิด ขาดสติ แลว้ ไซร้ การท่ที าํ คาํ ทพ่ี ูด และเรื่องทค่ี ิด ก็จะผิดพลาด ไมไ่ ดผ้ ลสม ประสงคเ์ หมอื นเรือท่ขี าดหางเสือ แลน่ เปะปะ ไมต่ รงไปถงึ จดุ หมายหลายทาง และมแี ตจ่ ะกระทบกระทงั่ สิ่งตา่ ง ๆ ซ่ึงจะเป็นอนั ตราย ฉะน้นั หรือจะยกเรื่องอนื่ ๆ เชน่ นิทานชาดกเป็นตน้ มาเปรียบเทียบให้เหน็ เป็นตวั อย่าง ดงั เร่ืองพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เมือ่ คร้งั เป็นพระ มหาบรุ ุษทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกิริยา เพอ่ื แสวงหาพระสมั มาสัมโพธิญาณอนั เป็นตวั อยา่ งแห่งการบาํ เพญ็ ความเพยี รเป็นตน้ เรียกวา่ สาธก โวหาร การแตง่ กระทูธ้ รรมทุกช้นั ท่านกาํ หนดให้แตง่ ดว้ ยเทศนาโวหาร เทศนาโวหารน้นั ประกอบดว้ ยลกั ษณะ ๔ ประการ คอื ๑. ช้ีแจงเหตผุ ลใหเ้ ห็นตามความเป็นจริง แสดงไปตามลาํ ดบั ขอ้ ความใหเ้ หมาะแก่กาลเทศะ แกบ่ คุ คลและเร่ืองราว ไม่ใหล้ กั ลนั่ กนั ๒. โนม้ นา้ วให้ผูอ้ า่ นผฟู้ ังเกิดความเชื่อถอื ในขอ้ ความตามทต่ี นกล่าวนนั่ ๓. ให้ผอู้ า่ นผฟู้ ังเกิดฉันทะอตุ สาหะทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ าม เช่นต้งั ในละชวั่ ประพฤตดิ ีและใหม้ อี ุตสาหะที่จะทาํ ดีใหย้ ิ่ง ๆ ข้ึนไป พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 9
10 ๔. ใหผ้ อู้ า่ นผูฟ้ ังเกิดความกลา้ หาญร่าเริงในการทาํ ดที ไ่ี ดท้ าํ อยแู่ ลว้ น้นั ดงั น้นั การแต่งหรือเรียงความทว่ั ๆ ไปจะใชโ้ วหารอะไรเป็นหลกั ก็ตามจาํ ตอ้ งมีโวหารอ่ืนแทรกเขา้ มาอีกตามควร แมก้ าร เรียงความแกก้ ระทธู้ รรมกเ็ ช่นเดยี วกนั ใชเ้ ทศนาโวหารเป็นหลกั และตอ้ งแทรกโวหารอีก ๓ น้นั ประกอบดว้ ย เพอ่ื ให้ขอ้ ความพิสดาร และเด่นชดั ข้นึ การแต่งในทาํ นองน้ีตอ้ งอธิบายลกั ษณะของธรรมให้แจ่มแจง้ ซ่ึงเรียกว่า บรรยายโวหารกอ่ น ต่อจากน้นั จึงหาเหตุผลอ่ืน มาประกอบตอ่ ไป เพอ่ื โนม้ นา้ วใจผดู้ ่อนผูฟ้ ังใหเ้ กิดฉันทะอุตสาหะข้นึ ในตน ตอนน้ีเป็นหนา้ ท่ีของเทศนาโวหาร หากเห็นว่าขอ้ ความท่ี กลา่ วน้นั ยงั เคลอื บคลุมหรือไมม่ ีหลกั ฐานเพียงพอ จงึ นาํ เอาขอ้ เปรียบเทียบมาแสดงอกี เพอื่ ใหค้ วามท่กี ลา่ วมาน้นั แน่นแฟ้นยิ่งข้นึ ตอนน้ี เรียกสาธกโวหาร รวมความว่าการแตง่ การเขียนจะตอ้ งอาศยั โวหาร ๔ เสมอไป วธิ ีเรียงความ เมื่อนกั เรียนเหน็ บทธรรมหรือกระทูท้ ท่ี า่ นต้งั ไว้ พึงตีความหมายของกระทู้ ใหถ้ กู ตอ้ งกอ่ น แลว้ จึงวางโครงเรื่องท่จี ะอธิบาย ต่อไป ดว้ ยการพิจารณาว่ากระทูน้ ้ีกลา่ วถึงอะไร เกี่ยวกบั ธรรมหมวดไหน และจะอธิบายอย่างไรจงึ จะให้ผูอ้ า่ นผฟู้ ังเกิดศรทั ธาปสาทะ ได้ ดงั น้ีเป็นตน้ จะอธิบายควบกนั ไปหรือแยกอธิบายเป็นตอน ๆ ก็ได้ ใหร้ ู้จกั ส่วนที่เป็นเหตแุ ละเป็นผลวา่ มีความเก่ียวเน่ืองกนั อย่างไร พงึ อธิบายใหป้ ระสานกนั เม่อื จะยกภาษิตประกอบอกี ๓ ภาษิต พึงอธิบายทา้ วความใหเ้ ช่ือมกนั หรือในทอ่ี ื่น ๆ อย่างนอ้ ย ๓ สุภาษิต ตามกฎเกณฑข์ องสนามหลวงซ่ึงไดป้ ระกาศใหท้ ราบโดยทว่ั กนั แลว้ น้นั . พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 10
11 (ตวั อย่างเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑) เรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาช้ันเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๐ สีลเมว อิธ อคฺคํ ป�ฺญวา ปน อตุ ตโม มนุสฺเสสุ จ เทเวสุ สีลป�ฺญญาณโต ชยํ ศลี เท่าน้นั เป็นเลิศในโลก ส่วนผูท้ ่มี ปี ัญญาเป็นผูส้ ูงสุด ความชนะในหมู่มนุษยแ์ ละเทวดาย่อมมีเพราะศีลและปัญญาฯ บดั น้ี จกั ไดอ้ ธิบายความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ท่ีอญั เชิญมาต้งั เป็นอุเทสคาถาขา้ งตน้ น้ีพอเป็นแนวทางแห่งการศกึ ษาและ ปฏบิ ตั ธิ รรมเป็นลาํ ดบั ไป กระทธู้ รรมคาถาน้ี แสดงถึงความชนะเป็นทยี่ อมรับเป็นท่ยี นิ ดีในหม่มู นุษยแ์ ละเทวดาวา่ ตอ้ งเป็นความชนะที่ไดม้ าเพราะศีล และปัญญา ฟังแลว้ ออกจะเป็นเร่ืองทแ่ี ปลกหูแปลกใจของผูท้ ีห่ ่างจากพระพุทธศาสนา ไมเ่ คยสนใจในการศึกษาและปฏบิ ตั ธิ รรม เพราะความชนะในทางคดโี ลก ส่วนใหญ่มงุ่ แตค่ วามชนะผูอ้ ื่นเป็นที่ต้งั เรื่องการชนะตนเองไม่ค่อยคาํ นึงถงึ เมือ่ มุ่งแต่จะเอาชนะผอู้ ื่น กต็ อ้ งเตรียมพร้อมเรื่องการต่อสูท้ กุ ๆดา้ น ท้งั ดา้ นกาํ ลงั ดา้ นช้นั เชิง ดา้ นเชาวไ์ วไหวพริบ เป็นตน้ เพอื่ ใหเ้ หนือกว่า ยิง่ กวา่ ค่ตู อ่ สู้ ใน การบางคร้งั มงุ่ หวงั เพือ่ ผลคือ ความชนะแก่ตนเองและแก่หม่คู ณะของตนจนเกินไป ถึงกบั พริกผนั ปัญญาความพริบไหวทถ่ี กู ตอ้ ง ยตุ ิธรรมเป็นทปุ ปัญญาไป ก็จาํ ตอ้ งทาํ อย่างน้ีก็มี ทุปปัญญาน้นั ไดแ้ ก่ ปัญญาที่เจือดว้ ยเลห่ เ์ หล่ียม กลโกง เอารัดเอาเปรียบ ไมส่ ุจริตมี ประการต่างๆ ความชนะทไี่ ดม้ าดว้ ยวิธีการเชน่ น้ี แมจ้ ะยนิ ยอมกนั ได้ กเ็ ป็นแต่เพยี งเพื่อยุตเิ ท่าน้นั แตห่ าหยุดสุดส้ินยนิ ยอมที่แทจ้ ริงไม่ ยงั จะตอ้ งมีการตอ่ สูข้ บั เคีย่ วกนั ตอ่ ไป ไม่มีทีส่ ้ินสุด ฝ่ายทพ่ี า่ ยแพย้ อ่ มไม่พอใจ เป็นทุกขเ์ ป็นโศก มีความเคอื งแคน้ หมายมน่ั จองเวร กนั ต่อไปนานเท่านาน ฝ่ ายที่ชนะเป็นฝ่ ายกอ่ เวร ฝ่ ายแพเ้ ป็นฝ่ายจองเวร ไดช้ ่ือว่าเป็นผมู้ เี วรท้งั ๒ ฝ่าย ข้ึนชื่อว่าผูม้ ีเวรแลว้ ยอ่ มจะมี ความสุขท่แี ทจ้ ริงไม่ได้ และทสี่ ําคญั อกี อยา่ งหน่ึงก็คอื ความไม่เป็นทีย่ อมรับ ไมเ่ ป็นทปี่ ราบปล้มื อนุโมทนาสาธุการในหมมู่ นุษยแ์ ละ เทวดาโดยทว่ั หนา้ ดงั ที่กล่าวถึงตามกระทขู้ า้ งตน้ น้ี ความมงุ่ หมายของกระทนู้ ้ี เป็นความม่งุ หมายในทางคดธี รรม หมายถงึ ความชนะทีบ่ ริสุทธ์ิยุติธรรม และมุง่ ถึงความชนะ ตนเองเป็นท่ตี ้งั เพราะความชนะเช่นน้นั เป็นความชนะทีป่ ราศจากเวรภยั ท้งั เป็นท่ยี อมรับของมนุษยแ์ ละเทวดาท้งั หลายท้งั ปวง ความ ชนะเชน่ น้นั ย่อมเกิดมขี ้นึ ไดก้ ็เพราะศลี และปัญญา ดงั เชน่ ทที่ ่านผรู้ ูท้ ้งั หลายมีพระพุทธเจา้ เป็นประธานและท่านไดร้ บั รองและยนื ยนั วา่ ศีลเทา่ น้นั เป็นเลิศในโลก เพราะศีล ไมว่ ่าจะเป็นศีลประเภทใด มศี ลี ๕ เป็นตน้ ลว้ นแต่เป็นขอ้ ปฏิบตั ิเป็นเครื่องดาํ เนินของชีวติ ทาํ ชีวิตใหเ้ ป็นอยอู่ ยา่ งปกติ ที่น้นั กเ็ ป็นสุข ศีลน้นั นอกจากเป็นเลศิ ในการทาํ ผูป้ ฏิบตั ใิ หม้ ีความเป็นอย่อู ย่างปกติสุขแลว้ ศลี ยงั เป็นเลิศใน ดา้ นปรับปรุงรากฐานของชีวิตให้มน่ั คง เป็นทพ่ี ่งึ เป็นบอ่ เกิดแห่งคณุ ธรรมนอ้ ยใหญใ่ ห้ต้งั มน่ั และเจริญยิ่งๆ ข้นึ ไป สมตามเทศนานยั เถรภาษติ ท่มี าในขทุ ทกนิกาย เถรคาถาว่า อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณน�ฺจ มาตกุ ํ ปมขุ ํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วโิ สธเย ศลี เป็นท่พี ่ึงเบ้ืองตน้ เป็นมารดาของกลั ยาณธรรมท้งั หลาย เป็นประมขุ ของธรรมท้งั ปวง เพราะเหตนุ ้นั ควรชาํ ระศีลใหบ้ ริสุทธ์ิ. ศีลจะมคี ุณค่า มีประสิทธิภาพ เป็นทพ่ี ่ึง เป็นมารดา เป็นประมขุ ของความดที ้งั ปวงได้ กอ็ ยูท่ ีผ่ ปู้ ฏิบตั ิคอยพจิ ารณาสํารวจ ตรวจตรา ชาํ ระศลี ของตนใหบ้ ริสุทธ์ิอยเู่ สมอ ไมใ่ หข้ าดไมใ่ ห้ด่างพรอ้ ย ศลี ทบี่ ริสุทธ์ิจงึ เป็นเลิศในการเป็นเกราะคมุ้ ครองเวรภยั ทาํ ความระแวงหวาดกลวั ใหส้ ลายไป มีความเป็นอยูเ่ ป็นสุขสดใสในโลกสนั นิวาสน้ี สมจริงตามพระคาถาบาลี ทีม่ าในขุททกนิกาย ธรรม บทว่า พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 11
12 สุสุขํ วต ชีวาม เวริเนสุ อเวริโน เวริเนสุ มนุสฺเสสุ วหิ าราม อเวริโน ในหมมู่ นุษยผ์ มู้ ีเวรกนั เราเป็นผไู้ ม่มเี วรอยู่ ในหมู่มนุษย์ ผูม้ เี วรกนั เราเป็นผูไ้ มม่ ีเวรอยู่ เราจงึ เป็นอยู่อย่างเป็นสุขดหี นอ. การรกั ษาศีลใหบ้ ริสุทธ์ิ เป็นทม่ี นั่ ใจในศลี ของตนกต็ อ้ งอาศยั ปัญญา ปัญญาเป็นเคร่ืองชาํ ระศลี ใหบ้ ริสุทธ์ิ ศลี น้นั แมจ้ ะเป็นเลิศ ทาํ ใหป้ ลอดเวรปลอดภยั มคี วามสุขกายสุขใจได้ กอ็ ยใู่ นระดบั ของศีลเทา่ น้นั เพราะศีลเป็นเพียงเบ้อื งตน้ เป็นเครื่องป้องกนั กาํ จดั ได้ เฉพาะกิเลสอยา่ งหยาบ มที ุจริตทางกาย ทางวาจา ปิ ดก้นั ทคุ ตภิ มู ิ เปิดทางนาํ ไปสู่ทคุ ติภูมิเทา่ น้นั ศลี เป็นเครื่องอบรมจิตเบ้อื งตน้ ทาํ จติ ให้มีหลกั หนกั แน่นเป็นสมาธิทจี่ ะดาํ เนินไปสู่ระดบั สูงย่งิ ๆ ข้ึนไป ผมู้ ีศลี สมบรู ณ์ มสี มาธิ มปี ัญญาพอประมาณ เป็นผทู้ รงไวซ้ ่ึงอริย คณุ ข้นั สูงสุด คอื พระอรหันต์ ปัญญาจึงเป็นคณุ ข้นั อดุ ม สามารถกาํ จดั กิเลสาสวะท้งั อย่างหยาบ อย่างละเอียดให้หมดส้ินไป ไมม่ สี ่วน เหลือ เมอ่ื กลา่ วถงึ ความชนะกนั แลว้ ผูท้ ก่ี าํ จดั กิเลสของตนได้ ไมต่ กอยภู่ ายใตอ้ าํ นาจของกิเลส ไม่ถกู กิเลสฉุดคร่าพาไป ผูน้ ้นั ช่ือว่า เป็นผชู้ นะตนเอง ผูท้ ี่ชนะตนเองได้ ไดช้ ่ือว่าเป็นจอมแห่งผูช้ นะ ความขอ้ น้ี สมกบั พระพทุ ธวจนะคาถาท่มี าใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า โย สหสฺสํ สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน เอก�ฺจ ชยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม บุคคลใด พึงชนะหมูม่ นุษยต์ ้งั พนั คูณดว้ ยพนั ในสงคราม บคุ คลน้นั (ยงั หา) ชื่อว่าเป็นผูช้ นะอย่างสูงในสงครามไม่ ส่วนบุคคลใด พึงชนะ ตนผเู้ ดียวได้ บคุ คลน้นั แล (ช่ือว่า) เป็นยอดแห่งผูช้ นะในสงคราม. ความขอ้ น้ี พึงเหน็ ไดจ้ ากพระปฏิปทาของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ที่ทรงชนะศตั รูหมู่มารคนพาลท้งั ปวงเป็นอทุ าหรณ์ พระองค์ ทรงใชค้ ณุ ธรรม คือ ศลี และปัญญา เป็นเครื่องปราบ ทาํ เหลา่ พาลใหส้ งบราบคาบ โดยไม่รู้สึกตวั วา่ ตนเป็นผูไ้ ดร้ ับความเจ็บช้าํ ระกาํ ใจ ไมค่ ดิ จองเวรจองภยั เพราะความพ่ายแพ้ มีความสุขดว้ ยกนั ท้งั สองฝ่ าย และเป็นทชี่ ื่นชมแซ่ซ้องสาธุการกนั ทว่ั หนา้ ปราชญผ์ ูม้ ีปัญญา ในอดีตจึงไดบ้ นั ทกึ จารึกเป็นพุทธชยมงคลอฏั ฐคาถา สรรเสริญพุทธปฏปิ ทาท่ีทรงมีชยั แก่เหล่าหมูม่ ารพาลรา้ ยคร้งั ยง่ิ ใหญ่รวม ๘ หน พุทธศาสนิกชนผูม้ ีศรัทธา ใชเ้ ป็นขอ้ สวดรอ้ งท่องบ่น จาํ ทรงสืบๆ กนั มาจนตราบเท่าทุกวนั น้ี สรุปความตามทีไ่ ดบ้ รรยายมา จะเห็นจริงไดว้ า่ ศีลและปัญญาเป็นปฏิปทาท่ลี ้าํ เลศิ ประเสริฐสูงสุด ใชไ้ ดท้ ้งั เป็นเกราะและ อาวธุ รักษาตน ท้งั เป็นเครื่องตอ่ สู้กบั เหลา่ พาลชนประสบผลคอื ความมชี ยั เป็นท่ีพ่ึงพอใจของมนุษยแ์ ละเทวดา สมตามกระทธู้ รรมคาถา ทตี่ ้งั ไวต้ อนตน้ ซ่ึงมีอรรถาธิบายตามทีบ่ รรยายมา ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 12
13 (ตัวอย่างเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๒) หมวดไม่ประมาท เอววํ ิหารี สโต อปปฺ มตฺโต ภกิ ฺขุ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ ชาติชฺชรํ โสกปริทฺทว�ฺจ อิเธว วิทฺวา ปชเหยฺย ทุกฺขํ ภกิ ษมุ ธี รรมเป็นเคร่ืองอยอู่ ย่างน้ี มีสติไม่ประมาท เป็นผูร้ ูล้ ะความถอื มนั่ ว่าของเราไดแ้ ลว้ เที่ยวไป พึงละชาติ ชรา โสกะ ปริเทวะและทุกข์ ในโลกน้ีได้ บดั น้ีจกั ไดอ้ ธิบายเน้ือความแห่งกระทูธ้ รรมภาษติ ทไี่ ดล้ ขิ ติ ไวเ้ ป็นขอ้ อเุ ทศเบ้อื งตน้ น้นั พอเป็นแนวทางศกึ ษาและปฏิบตั ขิ อง สาธุชนพุทธมามกบริษทั ท้งั หลายผฝู้ ักใฝ่ ใคร่ต่อพระสัทธรรม ของพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ เพือ่ ยดึ ถอื เอาพระสทั ธรรมเหล่าน้นั เป็น เครื่องอบรมบม่ นิสยั ของตน และผูอ้ ่นื ให้บรรลถุ งึ ความสุขอนั เกิดจากการขา้ มชาติชราโสกะปริเทวะทกุ ขท์ ้งั หลายเป็นลาํ ดบั ไป เน้ือความแห่งกระทนู้ ้ีมอี ยูว่ า่ ภิกษคุ อื ผูล้ ะเพศคฤหสั ถถ์ อื เพศสมณะมีสมณธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ มีศลี เป็นเคร่ืองรักษากายวาจา และใจ ให้สงบเรียบร้อยปกติสุข มสี มณสญั ญาอยเู่ สมอ มีสติ ความระลกึ ไดอ้ ยทู่ ้งั ทค่ี ดิ ท้งั ทพี่ ดู ท้งั ที่ทาํ แมต้ นเองคิดดี คอดชวั่ คดิ ผิด คิด ถกู ก็ดี พดู ดี พดู ผิด พดู ถกู กด็ ี ทาํ ดี ทาํ ชว่ั ทาํ ผดิ ทาํ ถูกก็ดี กร็ ะลึกไดอ้ ยู่ กลา่ วคือกาํ หนดรูอ้ ยู่เสมอในเหตุน้นั มีความไม่ประมาทคือไม่ ปล่อยให้สติเผลอไปในอารมณแ์ ห่งการคิด การพดู และการกระทาํ น้นั ๆ กล่าวคอื ยง้ั สตไิ วใ้ นอารมณน์ ้นั ๆ ใหม้ น่ั คงไมห่ วนั่ ไหว เม่ือเป็น เช่นน้นั เขายอ่ มเกิดปัญญาความรู้แจง้ ข้ึนวา่ เขาคดิ ผดิ คดิ ถูก พูดผิดถกู หรือกระทาํ ผิดกระทาํ ถกู อย่างไร จึงยอมละความคดิ ผิด พดู ผิด ทาํ ผิด อย่างน้นั เสีย ยดึ เอาการคิดถกู พูดถกู และทาํ ถูกเป็นเกณฑ์ รูเ้ ท่าทนั ธรรมดาของทุกส่ิงในโลกน้ีว่าตกอยู่ในลกั ษณะอาการท้งั ๓ ประการ คอื อนิจฺจตา ความเป็นสภาพไม่เทยี่ ง ทกุ ฺขตา ความเป็นสภาพลาํ บากยากแคน้ ไม่สบายต่างๆ นานา อนตฺตตา ความเป็นสภาพไม่ใชต่ วั ตน เพราะไมเ่ ป็นไปในอาํ นาจของใคร เมือ่ รู้เชน่ น้ี เขายอ่ มละความยดึ มน่ั ถอื มนั่ วา่ รูปของเรา เสียงของเราเป็นตน้ เสียได้ เขามีปหานธรรมเป็น เคร่ืองละ ชาติ คอื ความเกิด ชรา คอื ความแก่คร่ําคร่า ปริเทวะ คอื ความพไิ รราํ พนั และทกุ ขค์ อื ความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ ในโลกน้ีเสีย ได้ คาํ ว่า “ภิกษ”ุ แปลวา่ ผูข้ อ คอื กุลบุตรไดร้ ับอุปสมบทแลว้ ในพระพุทธศาสนยอ่ มยดึ ถอื เอาเพศแห่งสมณะ มสี มณกิจเป็นเครื่อง ประกอบกิจทส่ี มณะประกอบน้นั ยอ่ มเป็นกิจทถ่ี กู ตอ้ ง ไม่ผดิ ท้งั ทางคดีธรรมคือระเบยี บแบบแผนแห่งธรรมวินยั ทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรง บญั ญติ ไิ วแ้ ลว้ ตรงกบั คาํ พระบาลีว่า สมณีธ อรณา โลเก แปลว่า สมณะไม่เป็นขา้ ศึกในโลก การขอของบรรชิตน้ีไมไ่ ดข้ อดว้ ยการเอ่ย ปากวา่ “ทา่ นจงให้ส่ิงน้นั แกข่ า้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการส่ิงโนน้ ” ดงั น้ี แตว่ า่ ขอดว้ ยกาย คอื แสดงความประสงคห์ รือความตอ้ งการใหร้ ู้ได้ ดว้ ยกิริยาอาการ แมผ้ ูถ้ กู ขอจะใหห้ รือไมก่ ็ตามที บรรพชิตผเู้ ป็นสมณะน้นั ย่อมไม่แสดงอาการโกรธฉุนเฉียวหรือไม่พอใจแต่ประการ หน่ึงประการใด เรียกวา่ การขอดว้ ยอาการสงบเสง่ยี มเรียบร้อยและบรรพชิตน้นั จะตอ้ งประพฤตติ วั ใหเ้ ป็นผูอ้ นั เขาเล้ียงง่าย ชาวบา้ นเขา บริโภคอาหารกนั จะดีเลว ละเอยี ด ประณีต รอ้ น เยน็ ประการใดก็ตาม ช่ือว่าย่อมสมควรแก่บรรพชิตท้งั สิ้น อน่ึง บรรพชิตย่อมถงึ การ เทยี่ วไปบิณฑบาตตามตรอกนอ้ ยและใหญ่ถึงความมานะว่าหากเทา้ ท้งั สองยงั เดนิ ไปได้ จกั เป็นผเู้ ดินไปดว้ ยเทา้ และจกั ยืนทีป่ ระตูเรือน เทา่ น้นั รบั ภิกษา ตอ้ งตามภาษติ กถาในธรรมบทขทุ ทกนิกายว่า ปจฺจติ มนุ ิโน ภตฺตํ โถกํ โถกํ กุเล กุเล ปิ ณฺฑิกาย จริสฺสามิ อตฺถิ ชงฺฆพลํ มม ภตั รในทุกๆ สกลุ ละนิดละหนอ่ ย อนั ชนหุงไวเ้ พ่อื มุนี เรา จกั เที่ยวไปดว้ ยปลีแขง้ เพราะกาํ ลงั ปลแี ขง้ ของเรายงั มีอยู่ ดงั น้ี แมเ้ ป็นความจริงอยแู่ ลว้ บรรพชิตจะตอ้ งอาศยั บิณฑบาตล้ยี งอตั ภาพให้เป็นอยู่ การเท่ยี วสู่ตรอกนอ้ ยใหญ่ทม่ี ีภตั รตระกูลละนิด ละหน่อยเพอ่ื รบั ภิกษาน้นั ยอ่ มถกู ตอ้ งตามประเพณีของสมณะบรรพชิต ผมู้ ีศีลเป็นเคร่ืองรกั ษากายวาจาและใจใหป้ กตสิ งบจากบาป อกุศลท้งั หลาย ยอ่ มมคี วามเป็นอยดู่ ว้ ยอาหารอนั ชาวบา้ นเขาถวาย บรรพชิตผปู้ ระกอบดว้ ยสมณกิจดงั กล่าวน้ีชื่อวา่ ภิกษุ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 13
14 ธรรมเป็นเครื่องอย่ขู องภกิ ษุน้นั คอื ศลี สมาธิ ปัญญา ศลี คอื ธรรมทป่ี รกติจากการประพฤตชิ ว่ั ทางกายบา้ ง ทางวาจาบา้ ง และ ทางใจบา้ ง ทางกาย เช่น เวน้ จากการฆ่ามนุษยแ์ ละสตั ว์ เวน้ จากการขโมยส่ิงของผอู้ น่ื หรือถอื เอาสิ่งของ ของผอู้ ่ืนดว้ ยอาการแห่งขโมย การเวน้ จากเสพเมถุนธรรมเป็นตน้ เหล่าน้ีช่ือวา่ การประพฤติเวน้ จากกรรมชว่ั ทางกาย ทางวาจา เช่นเวน้ จากพดู โกหกอวดอตุ ตริ มนุษยธรรม คือธรรมอนั ยง่ิ แห่งมนุษยท์ ีไ่ มม่ อี ยู่ในตนเป็ นตน้ ช่ือว่าการประพฤตเิ วน้ จากกรรมชว่ั ทางวาจา ทางใจ เช่นการคดิ เวน้ จากการ เบียดเบียนเพอื่ นมนุษยค์ ดิ เวน้ จากการลกั สิ่งของ ของผอู้ ื่น เหลา่ น้ีเป็นตน้ เรียกว่าการเวน้ จากกรรมชว่ั ทางใย และใหก้ ลบั ประพฤติดีทาง กาย วาจา และใจ แมผ้ อู้ ื่นกม็ ีชีวติ จติ ใจ รูส้ ึกเจ็บปวดเม่อื ถูกประทษุ รา้ ยและมีความไม่อยากตาย มีความอยากเป็นอยู่ ทกุ คนตา่ งก็มี ความรูส้ ึกเชน่ เดียวกนั การไม่ผลาญชีวิตหรือไมท่ าํ ร้ายกนั และกนั น้นั จึงเป็นการประพฤตดิ ที างกายมวี าจาพูดแสดงให้คนรู้จกั ความมุง่ หมายของกนั และกนั การพูดไพเราะก็ทาํ ให้ผูฟ้ ังสุขหูและทาํ ให้เกิดประโยชนไ์ ด้ ถา้ เป็นวาจาทีจ่ ริงต่ออรรถตอ่ ธรรม วาจาน้นั เป็นสําเนียง บอกภาษาทาํ ให้คนรูจ้ กั ไดด้ งั ภาษิตวา่ “สาํ เนียงบอกภาษา กิริยาบอกสกลุ ” แตว่ าจาที่จะให้สําเร็จประโยชน์ไดน้ ้นั ก็ตอ้ งเป็นวาจาท่ีจริง ตอ้ งตามพระบาลีวา่ สจฺจํ เว อมตา วาจา แปลวา่ คาํ สตั ยเ์ ท่าน้นั เป็นวาจาท่ีไม่ตาย ทกุ คนตอ้ งการวาจาคอื การพูดจาปราศยั ทจ่ี ริงตอ่ เหตผุ ล และชอบวาจาท่ีไพเราะเสนาะโสตดว้ ยกนั ท้งั สิ้น การไม่โกหกอวดอุตตริมนุษยธรรมอนั ไมม่ ีมูลความจริงตอ่ กนั และกนั น้นั จงึ เป็นการ ประพฤติทีด่ ีทางวาจา มีใจเป็นเคร่ืองรบั รู้อารมณต์ า่ งๆ และยึดเอาอารมณ์ท่คี ดิ แลว้ บงั คบั ใหแ้ สดงออกทางกายบา้ ง ทางวาจาบา้ ง กรรม ชว่ั ท้งั หลายทจี่ ะเกิดข้ึนทางกายและวาจาน้นั คอื จะปรากฎประจกั ษแ์ ก่มอื แก่เทา้ แกห่ ู แก่ตา แก่ปากท้งั ตนและผอู้ ่นื ไดน้ ้นั ตอ้ งมีใจเป็น หวั หนา้ มีใจเป็นใหญ่ สําเร็จดว้ ยใจท้งั สิ้น ตอ้ งตามนยั ธรรมภาษิตทีม่ มี าในธรรมบทขุททกนิกายว่า มโนปุพฺพงฺคม ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปทฏุ เฐน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกวํ วหโต ปท.ํ ธรรมท้งั หลายมีใจเป็นสภาพถึงก่อน มใี จเป็นหวั หนา้ มใี จประเสริฐ สาํ เร็จดว้ ยใจ หากชนมีใจรายแลว้ กล่าวอยกู่ ็ดี กระทาํ ก็ดี ทกุ ขย์ อ่ มไปตามเขาเพราะทจุ ริตท้งั ๓ ประการน้นั ประดุจลอ้ หมุนไปตามรอยเทา้ โคผูน้ าํ ธุระไปอยฉู่ ะน้นั นี่พอจะช้ีใหเ้ ห็นแลว้ ว่าธรรมท้งั หลายมใี จเป็นหัวหนา้ มีใจประเสริฐสําเร็จดว้ ยใจ คือใจเป็นสภาพของเจา้ เรือน มอื จะทาํ อะไร ปากจะพดู อะไร เนื่องจากใจเป็นหัวหนา้ เป็นใหญ่ สาํ เร็จเพราะใจ เมือ่ ชนมีใจดี การกล่าวและการกระทาํ ท้งั สองประการน้ีกด็ ไี ปตาม ถา้ ใจชว่ั รา้ ย การกลา่ วและการกระทาํ กช็ ว่ั ร้าย เขาย่อมลาํ บากเพราะผลกรรมอนั เป็นกายทจุ ริต วจีทจุ ริต และมโนทุจริต ย่อมติดตามเขาไป ลอ้ แห่งเกวียนหมนุ ไปตามรอยเทา้ แห่งโค ลากเกวยี นไปอยา่ งไมล่ ดละจนไปถงึ ท่หี มายไดข้ อ้ น้ีฉนั ใด บาปกรรมอนั ชวั่ ร้ายกย็ ่อมติดตาม คนชว่ั ไปจนถึงทีน่ นั่ ฉันน้นั เม่ือคนมีใจดีการกลา่ วและการกระทาํ กด็ ไี ปตามกนั ธรรมทเี่ ป็นกศุ ลท้งั หลายก็ยงั มใี จเป็นหัวหนา้ มใี จเป็น สภาพประเสริฐ สาํ เร็จแลว้ ดว้ ยใจ สุขเทา่ น้นั ย่อมตามเขาไป เพราะสุจริตท้งั ๓ ประการ คอื กายกเ็ ป็นกายสุจริต วาจาก็เป็นสภาพท่ีสุจริต และใจกเ็ ป็นธรรมชาติท่สี ุจริต เงาย่อมตดิ ตามตวั คนไปทุกวถิ ีกา้ ว แมค้ นจะยืนมนั ก็ยืนตาม จะนอนมนั ก็นอนตาม จะนง่ั มนั กน็ ง่ั ตาม จะ ทาํ อะไรตอ่ อะไรมนั ก็ทาํ ตามเราไดท้ ุกวิถที าง ขอ้ น้ีฉันใด บญุ กศุ ลคอื ความสุขก็ย่อมตดิ ตามชนผูม้ ใี จดี กล่าวดี กระทาํ ดี ไปฉันน้นั จึงตอ้ ง ตามวจนประพนั ธธ์ รรมภาษติ ที่มาในธรรมบทขทุ ทกนิกายว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี. ธรรม (ท่ีเป็นกศุ ล) ท้งั หลาย มีใจเป็นหวั หนา้ มีใจประเสริฐ สําเร็จดว้ ยใจ หากคนมีใจผ่องใส กล่าวอยกู่ ็ดี กระทาํ อยกู่ ด็ ี สุขยอ่ มไปตามเขาเพราะสุจริต ๓ ประการน้นั ประดุจเงามีปกติตามตวั ฉะน้นั ช้ีให้เหน็ ว่าคนกลา่ วดกี เ็ พราะใจดี ทาํ ดีกเ็ พราะใจดี สุขอนั เป็นผลแห่งกรรมดนี ้นั ยอ่ มตดิ ตามเขาไป แมเ้ ขาจะยืนเดินนง่ั นอนก็ ไดร้ ับความสบาย คนทงั่ หลายยอ่ มชอบการคดิ ดี ไมค่ ิดพยาบาทปองรา้ ยกนั เป็นตน้ จงึ ไมค่ วรทาํ ความเดอื ดรอ้ นใหต้ อ่ กนั และกนั เช่นน้ีจงึ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 14
15 ช่ือว่าเป็นการประพฤตดิ ีทางใจ การรกั ษาตวั คอื สงั วรระวงั ตวั ให้ปรกตจิ ากการประพฤตผิ ดิ ทางกาย วาจา และใจ ท้งั ๓ ทวารน้ี ชื่อวา่ ศลี ความจริงพระพุทธพจน์มอี ยวู่ ่า เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ แปลว่า ดูกอ่ นภิกษุท้งั หลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นศีล ดงั น้ี หมายความวา่ ความ จงใจเวน้ จากการกระทาํ ชว่ั เวน้ จากการพดู ชว่ั เวน้ จากการคดิ ชว่ั จึงจะชื่อวา่ เป็นปรกติ เป็นตวั ศลี ได้ สมาธิ คอื การทาํ ใจใหน้ ่ิง แมใ้ จจะนิ่งไดก้ เ็ พราะศีลเป็นเบ้อื งตน้ ศลี จึงเป็นทตี่ ้งั คือเป็นบาทวิถเี บ้ืองตน้ ของสมาธิ การทาํ ใจให้น่ิง ท่ีเรียกวา่ สมาธิน้นั แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภทบา้ ง ๓ ประเภทบา้ ง ตามกิจแห่งอารมณน์ ้นั ๆ ท่แี บง่ ออกเป็น ๒ ประเภทน้นั คือ อุปจารสมาธิ สมาธิเป็นแต่เฉียดๆ ประการหน่ึง อปฺปนาสมาธิ สมาธิอนั แน่วแน่ประการหน่ึง การทาํ ใจให้น่ิงชวั่ คร้งั ชวั่ คราว คือมอี ารมณ์เดียวชว่ั ขณะ ใดขณะหน่ึง ไมด่ ่งิ ลงไปแท้ เป็นแต่เพียงเฉียดๆ ช่ือวา่ อุปจารสมาธิ การทาํ ใจให้แน่วแน่ลงไป คือมอี ารมณเ์ ดียวใหต้ ลอดไป ด่งิ ลงไป สุขุมลงไปกวา่ อุปจารสมาธิ ชื่อว่าอปั ปนาสมาธิ ที่แบง่ ออกเป็น๓ ประเภทน้นั คอื (๑) สุ�ฺญตสมาธิ การทาํ ใจให้น่ิงจากความว่างเปล่า ไดแ้ ก่ว่างเปล่าจากราคะ ความกาํ หนดั ยินดี วา่ งเปลา่ จากโทสะ ความโกรธประทษุ รา้ ย วา่ งเปลา่ จากโมหะความหลงใหล (๒) อนิมิตฺต สมาธิ การทาํ ใจให้น่ิงจากเร่ืองหมายไดแ้ กไ่ ม่มเี คร่ืองหมายกล่าวคอื ราคะ โทสะ โมหะ (๓) อปฺปณิหิตสมาธิ การทาํ ใจใหน้ ิ่งจากทตี่ ้งั กลา่ วคือ การไมม่ ีราคะ โทสะ และโมหะเป็นทีต่ ้งั สมาธิดงั กลา่ วน้ียอ่ ลงไดเ้ ป็น ๒ ประการคือ สมาธิของสามญั ชนประการหน่ึง สมาธิ ของอริยชนประการหน่ึง ปัญญา แปลวา่ ความรูท้ ว่ั กล่าวคอื การรูเ้ หตุและผลตามความเป็นจริงรู้ว่ามีเหตดุ ี จงึ มีผลดี หรือรู้เหตุเป็นมาแลว้ ว่าไม่ดี ผลจึงไม่ ดี หรือเหตเุ ป็นเช่นน้นั ผลจงึ เป็นเชน่ น้ี ผลเป็นเช่นน้ีเหตุจึงเป็นเชน่ โนน้ เป็นตน้ อยา่ งถูกตอ้ ง ปัญญาน้นั ก็แบง่ ไดเ้ ป็น ๒ ประเภทคอื โลกิย ปัญญา ปัญญาอนั เป็นวสิ ัยของโลกิยมหาชนประเภทหน่ึง โลกตุ ตรปัญญา ปัญญาอนั พน้ วิสัยของโลกิยมหาชน คือเป็นปัญญาของพระ อริยเจา้ ประเภทหน่ึง ดงั กล่าวมาน้ีช่ือว่าธรรมเป็นเครื่องอยขู่ องภกิ ษุท้งั หลาย คาํ ว่า “สต”ิ แปลวา่ สภาพทร่ี ะลึกได้ แมค้ นจะทาํ งานอะไรทจี่ ะให้เป็นไปโดยถูกตอ้ ง หรือพดู อะไรท่จี ะไมใ่ หผ้ ิดพลาด และคิด อะไรทจ่ี ะไมใ่ หผ้ ดิ ไดน้ ้นั ตอ้ งอาศยั สติเป็นเครื่องควบคมอยเู่ สมอ การกระทาํ การพดู การคดิ เหล่าน้ีจึงจะเป็นไปโดยถูกตอ้ งได้ สติเป็น ประดุจหางเสือของเรือ เรือจะว่งิ ตรงไปได้ ก็เพราะหางเสือ หรือประดจุ นายทา้ ย เรือจะตรงไปไดก้ ็เพราะนายทา้ ยท่ดี ฉี นั ใด คนจะทาํ จะ พูดจะคิดถูกตอ้ งใหไ้ ดน้ ้นั ก็ตอ้ งอาศยั สตฉิ นั น้นั เพราะสติเป็นธรรมเคร่ืองตน่ื อยู่เสมอ ตอ้ งตามนยั ธรรมภาษติ ท่ีมาในสคาถวรรคสงั ยตุ ต นิกายวา่ สติ โลกสฺมิ ชาคโร สติเป็นธรรมเครื่องตน่ื อย่ใู นโลก เป็นความจริงอยู่เอง บรรดามนุษยท์ ้งั หลายบนพ้นื พิภพโลกน้ี ยอ่ มมสี ตเิ ป็นเคร่ืองควบคมุ อยทู่ กุ คน แตว่ า่ สติของพวกเขา เหล่าน้นั ยอ่ มมีเหล่ือมล้าํ ต่าํ สูงมากนอ้ ยย่งิ หย่อนกวา่ กนั อยู่บา้ ง การทาํ การพูด การคดิ ของคนเราแต่ละคนจึงไม่เสมอเหมอื นกนั กลา่ วคือ ย่อมย่งิ หยอ่ นมากนอ้ ยผดิ ถูกต่างๆ กนั ผูใ้ ดมีสติตลอดกาล ผูน้ ้นั กท็ าํ พดู คิด เป็นไปดว้ ยความเรียบร้อยและถกู ตอ้ งเสมอ ผมู้ สี ตบิ างคร้งั บางคราว การทาํ พดู คิด กย็ อ่ มมพี ล้งั เผลอและเป็นไปดว้ ยความไมส่ ม่าํ เสมอกนั ผิดบา้ งถกู บา้ ง จะอย่างไรก็ดี ผกู้ ระทาํ พดู คดิ น้นั จะทาํ อะไร จะพูดอะไรและคิดอะไรให้ถกู ตอ้ งไดน้ ้นั ตอ้ งอาศยั สติคือธรรมเป็นเครื่องตื่น สติน้นั ย่อมปลกุ ให้คนระลกึ ไดใ้ หต้ ่นื ข้ึนอย่เู สมอ ความไม่ประมาท ก็คอื ความเป็นผไู้ ม่อยปู่ ราศจากสตนิ ัน่ เอง กลา่ วคือมสี ตอิ ยู่เสมอ ความไมป่ ระมาทน้นั ท่านกล่าววา่ เป็น รากเหงา้ แห่งกศุ ลท้งั หลาย เป็นทปี่ ระชุมหรือเป็นทรี่ วมลงแห่งกุศลธรรมท้งั หลายคนผูป้ ระกอบดว้ ยความไม่ประมาทชื่อว่าย่อมยงั กศุ ล ธรรมท้งั ปวงใหเ้ กิดข้ึน เขายอ่ มไม่เลินเลอ่ ในการทาํ พดู คดิ ท้งั ต่อหนา้ หรือลบั หลงั เขาทาํ อะไร พดู อะไร หรือคิดส่ิงไหน ยอ่ มลว้ นแต่ เป็นกศุ ลธรรมคือธรรมอนั เป็นสภาพทดี่ ี เป็นสภาพทหี่ ลกี ธรรมทช่ี วั่ ทเ่ี ป็นบาปอกศุ ลออกไป นอ้ มนาํ เอาแตธ่ รรมทด่ี เี ทา่ น้นั เขา้ มา ฉะน้นั สภาพแห่งธรรมท่ีเป็นบญุ กศุ ลท้งั หลาย จึงมีความไมป่ ระมาทเทา่ น้นั เป็นทีร่ วมลง เป็นที่ประชุมลงตอ้ งตามพระพุทธนิพนธภ์ าษติ ว่า “เสยฺยถาปิ ภกิ ฺขเว ยานิ กานิจิ ชงฺคลานํ ปาณานํ ปทชาตานิ สพฺพานิ ตานิ หตฺถิปเท สโมธานํ คจฺฉนฺติ หตฺถปิ ทํ เตสํ อคฺคมกฺขายติ ยททิ ํ มหนฺตตฺเตน เอวเมว โข ภกิ ฺขเว เยเกจิ กุสลา ธมฺมา สพฺเพ เต อปปฺ มาทมลู กา อปฺปมาทสโมสรณา อปฺปมาโท เตสํ ธมฺานํ อคฺคมกฺขายต”ิ แปลความว่า “ดกู ่อนภิกษุท้งั หลายรอยเทา้ เหล่าใดเหลา่ หน่ึงของสตั วท์ ้งั หลายผสู้ ญั จรไปบทแผน่ ดนิ รอยเทา้ ท้งั ปวงเหลา่ น้นั ยอ่ มถึงความ ประชุมลงในรอยเทา้ แห่งชา้ ง รอยเทา้ ชา้ งอนั ชาวโลกยอ่ มเรียกว่าเป็นยอดแห่งรอยเทา้ ท้งั หลายเหลา่ น้นั เพราะรอยเทา้ ชา้ งน้ีเป็นของใหญ่ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 15
16 แมฉ้ นั ใด ภิกษุท้งั หลาย กุศลธรรมเหลา่ ใดเหลา่ หน่ึง กุศลธรรมเหล่าน้นั ท้งั หมดมีความไมป่ ระมาทเป็นรากเหงา้ มคี วามไมป่ ระมาทเป็นท่ี ประชุมลง ความไม่ประมาทอนั เรา (ตถาคต) กล่าวว่าเป็นยอดแห่งธรรมท้งั หลายเหล่าน้นั ฉันน้นั เหมือนกนั แล” ดงั น้ี ทีเ่ ป็นดงั น้ี เพราะวา่ สตั วท์ ้งั หลายบนโลกน้ี คอื ทเี่ ห็นมอี ยู่ในปัจจบุ นั น้ี ชา้ งชื่อวา่ เป็นสัตวท์ ี่ใหญ่ เทา้ ของชา้ งน้นั ก็ใหญ่ สตั วท์ ้งั หลายสญั จรไปมาในทไ่ี หนๆ รอยเทา้ ยอ่ มปรากฏในที่น้นั ๆ เสมอ เมอื่ สตั วท์ ้งั หลายเดนิ ไปมาขวกั ไขว่อยเู่ ช่นน้นั มนุษยผ์ ูท้ ่ีสงั เกต ตรวจตราหรือผทู้ ีไ่ ปมาอยบู่ นโลกน้ี ยอ่ มจะเหน็ รอยเทา้ ของสัตวเ์ หล่าน้นั เมอื่ เขาเหน็ แลว้ ยอ่ มเทยี บเคียงดู แลว้ เขาก็จะเห็นประจกั ษไ์ ด้ อย่างแน่ชดั วา่ รอยเทา้ บรรดาทีม่ ีอยูใ่ นโลกน้ี มรี อยเทา้ ชา้ งเทา่ น้นั เป็นรอยเทา้ ที่ใหญก่ วา่ รอยเทา้ สตั วท์ ้งั ปวง รอยเทา้ สตั วท์ ้งั ปวงจงึ ชื่อว่ามี รอยเทา้ ชา้ งเป็นยอดท้งั หมด เพราะรอยเทา้ ชา้ งน้นั ใหญ่ บรรดากุศลธรรมท้งั หลายเหลา่ ใดเหล่าหน่ึงท่พี ระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รัสไวแ้ ลว้ กศุ ลธรรมเหลา่ น้นั ท้งั หมดย่อมมคี วามไมป่ ระมาทเป็นรากเหลา้ มีความไมป่ ระมาทเป็นทีป่ ระชุมลงเพราะความไมป่ ระมาทน้ันเป็นยอด คือเป็นธรรมทีด่ ีเลิศส่วนใหญ่ แมพ้ ระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองคย์ งั ไดต้ รัสไวอ้ กี เม่อื จวนจะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน ซ่ึงมาในโอวาท ปาฏโิ มกขบ์ าลี เป็นปัจฉิมวาจาวา่ “หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงั ฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลวา่ “เอาเถอะภกิ ษุ ท้งั หลายเราย่อมตรสั เรียกพวกเธอมาในกาลบดั น้ี (เพราะว่า) สังขารท้งั หลายเป็นสภาพมคี วามเลือ่ มส้ินไปเป็นธรรมดา เธอท้งั หลายจงยงั ความไม่ปรมาทใหถ้ งึ พรอ้ มเถิด” ดงั น้ี จะทราบไดว้ า่ พระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงเป็นห่วงพุทธเวไนยนิกรเพียงไร แมส้ ังขาร ท้งั หลายมีเหตปุ รุงแตง่ ข้ึนย่อมเป็นไปในคติธรรมดา คอื อนิจจตา ความเป็นสภาพไมเ่ ทย่ี ง ทุกขตา ความเป็นสภาพที่ลาํ บากแสนเขญ็ อนตั ตตา ความเป็นสภาพท่ไี ม่ใช่ตน เพราะไมเ่ ป็นไปในอาํ นาจของใคร เป็นไปตามปัจจยั คือ มเี กิดในเบ้อื งตน้ แปรปรวนไปใน ท่ามกลาง และย่อมสลายไปในทีส่ ุด ไดค้ วามวา่ ธรรมท้งั หมดยอ่ มเกิดข้ึนแตเ่ หตุ เมื่อจะดบั ไปกเ็ พราะเหตดุ งั น้ี เหล่าน้ีเป็นธรรมของ สงั ขารท้งั หลาย เม่ือรูค้ ติแห่งธรรมแลว้ คนเราจงึ ควรไม่ประมาท คือ ไมป่ ลอ่ ยสติใหเ้ พลิดเพลนิ ในอารมณ์ต่างๆ อนั จะเป็นเหตใุ ห้เกิด อกศุ ลธรรม อย่าอย่ปู ราศจากสติ คือใหม้ ีสตปิ ระจาํ อยู่เสมอทกุ เวลาและนาที “เป็นผูร้ ู”้ น้นั คอื รู้ว่าบรรดาสัตวท์ ้งั หลาย โดยเฉพาะมนุษยเ์ ป็นสตั วม์ ใี จสูงกว่าสัตวท์ ้งั หมด จงึ รู้วา่ เมื่อทาํ กรรมดีก็ยอ่ มมีผลเป็น สุข เมือ่ ทาํ กรรมทเ่ี ป็นตน้ เหตชุ วั่ ก็ย่อมมีผลเป็นทกุ ข์ แมค้ นจะดีไดก้ ็เพราะกรรมดี คนจะเลวไดก้ เ็ พราะกรรมชวั่ เกตุดกี ม็ ิไดพ้ ลาดไปจาก ผลดี หากแต่วา่ กรรมเป็นไปดว้ ยความสม่าํ เสมอกนั หรือรู้สภาวธรรมท้งั หลายทีม่ จี ติ ใจครองกด็ ี หาจิตใจครองมิไดก้ ด็ ี รูปธรรมกด็ ี นา ธรรมก็ดี รูปธาตกุ ด็ ี ซ่ึงประชุมกนั เขา้ แลว้ แมส้ ภาพทีย่ งั มปี ัจจยั ปรุงแต่งอยู่คอื ยงั มีกรรม กิเลส วิบาก หมนุ เวียนกนั อยู่น้นั ยงั เป็นสภาพท่ี ตา่ํ อยู่ ยอ่ มมคี วามเกิดข้ึนแปรปรวนไป ทรุดโทรมไป สลายไป เป็นลาํ ดบั ส่วนสภาพทไ่ี มม่ ปี ัจจยั ปรุงแตง่ น้นั คือเป็นสภาพทอ่ี ย่เู หนือ บาปและบญุ ย่อมไมม่ ีความเกิด ไม่มคี วามเปล่ยี นแปลงไม่มีความทรุดโทรม และไม่มีความเล่ือมสลาย สภาพทีเ่ ป็นเชน่ น้ีคือพระอมตม หานิพพาน กลา่ วคอื สภาพดบั จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือจากสรรพทกุ ข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภยั สรรพอนั ตรายท้งั หมด อน่ึง รู้ว่า กรรมทีท่ าํ ในอดีตชาติทลี่ ว่ งแลว้ น้นั ยอ่ มใหผ้ ลในอนาคตชาตกิ ม็ ี กรรมทท่ี าํ แลว้ ในปัจจุบนั ชาตนิ ้ี ยอ่ มใหผ้ ลในชาติน้ีก็มี เป็นตน้ เป็นลาํ ดบั กนั ภิกษุผูม้ ธี รรม มีสติ มคี วามไม่ประมาท มคี วามรู้ดงั กล่าวแลว้ น้นั ยอ่ มละความยดึ มน่ั ต่อสภาพธรรมท่เี ป็นอกุศลท้งั หลาย ต่อ สภาพธรรมท่เี กิดในเบ้อื งตน้ แปรปรวนในทา่ มกลาง หมดลงในที่สุดน้นั คือไม่ยดึ ถอื ว่าเป็นของ ของเรา เพราะเป็นธรรมดาแห่ง สภาวธรรมท่เี กิดจากเคร่ืองปรุงแต่ง อนั สิ่งทธ่ี รรมสรา้ งข้นึ มาเป็นสงั ขารหาใจครองมิได้ ยอ่ มเป็นสภาพท่สี วยสดงดงามก็มี สิ่งท่เี ป็น สงั ขารมีใจครองยอ่ มเป็นผูแ้ ต่งเขาเองใหส้ วยสดงดงามบา้ งกม็ ี ส่ิงสวยงามจากธรรมชาตกิ ด็ ี จากสัตวท์ ้งั หลายกด็ ี ยอ่ มเป็นส่ิงทีต่ รึงตาตรึง ใจ เป็นเครื่องผกู มดั จิตใจใหเ้ ขา้ ไปผูกพนั ไว้ เม่อื มีจติ ใจผกู พนั เขาย่อมยึดวา่ ส่ิงทตี่ นไดส้ มปรารถนาน้นั เป็นของขา้ พเจา้ ท้งั หมด ช่ือว่า ความยึดมน่ั ถอื มนั่ ภกิ ษุผูม้ ธี รรม มีสติ มีความไม่ประมาท มคี วามรูเ้ ป็นเคร่ืองรกั ษาตนแลว้ ยอ่ มละความยดึ มน่ั ถือมน่ั วา่ เราว่าเขา วา่ ของ เรา ว่าของเขา เหลา่ น้ีเสียได้ เมอื่ เป็นเช่นน้นั เขาก็ยอ่ มช่ือวา่ พึงละชาติ คือ ความเกิด ชราคือความแกเ่ ฒา่ คร่ําคร่าทรุดโทรม โสกะคอื ความ เศร้าโศกเสียใจ ปริเทวนาคือการคร่าํ ครวญและทุกขค์ อื ความไม่สบายกายสบายจติ ในโลกน้ีเสียไดเ้ รื่อยไป สมดงั นยั ธรรมภาษิตท่ีไดล้ ิขิต ไว้ ณ เบ้ืองตน้ น้นั วา่ เอววํ หิ ารี สโต อปปฺ มตฺโต ภิกฺขุ จรํ หิตฺวา มมายติ านิ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 16
17 ดงั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน้ีฯ ชาตชิ ฺชรํ โสกปริทฺทว�ฺจ อเิ ธว วิทฺวา ปชเหยฺย ทกุ ขํ ภิกษุมธี รรมเป็นเครื่องอย่อู ย่างน้ี มสี ติไมป่ ระมาท เป็นผรู้ ู้ละความถอื มน่ั ว่าของเราไดแ้ ลว้ เท่ยี วไป พึงละชาติ ชรา โสกะ ปริเทวะ และทุกขใ์ นโลกน้ีได.้ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 17
18 พุทธศาสนสุภาษิต ๑. อัตตวรรค คือหมวดตน ๑. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตฺตนา หิ สทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ (ข.ุ ธ.๒๕/๒๖) ตนแล เป็นทพี่ ่ึงของตน คนอนื่ ใครเล่าจะเป็นทพ่ี ่ึงได้ ก็บคุ คลมตี นฝึกดีแลว้ ยอ่ มไดท้ ี่พ่งึ ทไี่ ดย้ าก. (พุทฺธ) ข.ุ ธ.๒๕/๒๖ ๒. นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ นตฺถิ ธ�ฺญสมํ ธนํ นตฺถิ ป�ฺญาสมา อาภา วฏุ ฺฐิ เว ปรมา สรา ส่ิงทีร่ กั (อนื่ ) เสมอดว้ ยตนไมม่ ี, ทรพั ย์ (อนื่ ) เสมอดว้ ยขา้ วเปลือก ไมม่ ี, แสงสวา่ ง (อน่ื ) เสมอดว้ ยปัญญา ไม่มี, ฝนแล เป็นสระอย่างยง่ิ . (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๙ ๓. ยสฺส อจฺจนฺตทุสฺสีลฺยํ มาลวุ า สาลมิโวตฺถตํ กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทโิ ส ผูใ้ ดมีความไร้ศลี ธรรมครอบคลุม เหมือนย่านทรายคลุมไมส้ าละ ผนู้ ้นั ชื่อว่าทาํ ตนเหมอื นถูกผูร้ ้ายคุมตวั (พุทฺธ) ขุ.ธ.๒๕/๓๗ ๒. อปั ปมาทวรรค คือ หมวดไม่ประมาท ๔. อปฺปมตฺตา สตีมนฺโต สุสีลา โหถ ภกิ ฺขโว สุสมาหิตสงฺกปปฺ า สจติ ฺตมนุรกฺขถ ภิกฺษทุ ้งั หลาย พวกเธอจงเป็นผูไ้ มป่ ระมาท มสี ติ มีศีลดีงาม ต้งั ความดาํ ริไวใ้ หด้ ี คอยรักษาจติ ใจของตน. (พุทฺธ) ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๒ ๕. อปปฺ มาทรตา โหถ สจิตฺตมนุรกฺขถ ทคุ ฺคา อทุ ฺธรถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว กุ�ฺชโร ท่านท้งั หลาย จงยนิ ดีในความไม่ประมาท คอยรักษาจติ ของตน จงถอนตนข้ึนจากหล่ม เหมือนชา้ งทตี่ กหล่มถอนตนข้ึน ฉะน้นั . (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๕๘ ๖. อปปฺ มาทรโต ภกิ ฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา ส�ฺโญชนํ อณุํ ถลู ํ ฑหํ อคฺควี คจฺฉติ ภกิ ษุยินดีในความไม่ประมาท หรือเป็นภยั ในความไม่ประมาท ย่อมเผาสังโยชนน์ อ้ ยใหญ่ไป เหมอื นไฟไหมเ้ ช้ือนอ้ ยใหญ่ไป ฉะน้นั . (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ ๗. อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน ส�ฺญเมน ทเมน จ ทปี ํ กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภกิ ีรติ คนมีปัญญา พงึ สรา้ งเกาะ ทนี่ ้าํ หลากมาท่วมไมไ่ ด้ ดว้ ยความหมน่ั ความไม่ประมาท ความสาํ รวม และความข่มใจ. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. มหา. ๒๕/๑๘ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 18
19 ๓. กมั มวรรค คือหมวดกรรม อปฺปมตฺโต วจิ กฺขโณ ๑๐ อุฏฺฐาตา กมฺมเธยฺเยสุ ส ราชวสตี วเส สุสํวหิ ิตกมฺมนฺโต ผูห้ มน่ั ในการงาน ไม่ประมาท เป็นผรู้ อบคอบ จดั การงานเรียบรอ้ ย, จึงควรอยใู่ นราชการ. (พุทฺธ) ขุ.ชา มหา. ๒๘/๓๓๙ ๑๑. ปาป�ฺเจ ปุริโส กยริ า น นํ กยริ า ปุนปฺปนุ ํ น ตมฺหิ ฉนฺทํ กยริ าถ ทุกฺโข ปาปสฺส อจุ จโย ถา้ คนพึงทาํ บาป กไ็ มค่ วรทาํ บาปน้นั บอ่ ยๆ ไม่ควรทาํ ความพอใจในบาปน้นั เพราะการส่งั สมบาป นาํ ทุกขม์ าให.้ (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๓๐ ๑๒. โยปุพฺเพ กตกลฺยาโณ กตตฺโถ นาวพุชฺฌติ ปจฺฉา กิจฺเจ สมปุ ฺปนฺเน กตฺตารํ นาธิคจฺฉติ ผูอ้ ืน่ ทาํ ความดีให้ ทาํ ประโยชนใ์ หก้ อ่ น แตไ่ ม่สาํ นึกถึง(บุญคณุ ) เม่อื มีกิจเกิดข้ึนภายหลงั จะหาผชู้ ว่ ยทาํ ไม่ได.้ (โพธิสตฺต) ขุ.ชา. เอก. ๒๗/๒๙ ๑๓. สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน อตฺตานํ อปุ มํ กตฺวา น หเนยฺย น ฆาตเย สัตวท์ ้งั ปวง หวาดต่ออาญา ลว้ นกลวั ตอ่ ความตาย ควรทาํ ตนใหเ้ ป็นอปุ มาแลว้ ไม่ฆ่าเขาเอง ไมพ่ ึงใหผ้ ูอ้ ืน่ ฆา่ (ผูอ้ ่ืน) (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๓๒ ๔. กเิ ลสวรรค คือหมวดกเิ ลส ๑๔. อนิจฺจา อทฺธวุ า กามา พหุทุกฺขา มหาวิสา อโยคุโฬว สนฺตตฺโต อฆมูลา ทุกฺขปฺผลา กามท้งั หลาย ไมเ่ ทย่ี ง ไมย่ งั่ ยืน มที ุกขม์ าก ดงั กอ้ นเหล็กที่ร้อนจดั เป็นตน้ เคา้ แห่งความคบั แคน้ มีทุกขเ์ ป็นผล. (สุ เมธาเถรี) ขู.เถรี. ๒๖/๕๐๓ ๑๕. อวิชฺชาย นิวโุ ต โลโก เววิจฺฉา (ปมาทา) นปปฺ กาสติ ชปปฺ าภิเลปนํ พฺรูมิ ทุกฺขมสฺส มหพฺพยํ โลกถูกอวิชชาปิดบงั แลว้ ไม่ปรากฏเพราะความตระหน่ี (และความประมาท) เรากลา่ วความอยากวา่ เป็นเครื่องฉาบ ทาโลก ทุกขเ์ ป็นภยั ใหญข่ องโลกน้นั . (พุทฺธ) ข,ุ สุ. ๒๕/๕๓๐ ๑๖. อิจฺฉาย พชฺฌตี โลโก อจิ ฺฉาวนิ ยาย มจุ ฺจติ อจิ ฺฉาย วิปปฺ หาเนนสพฺพํ ฉินฺทติ พนฺธนํ โลกถูกความอยากผกู มดั ไว้ จะหลดุ ไดเ้ พราะกาํ จดั ความอยาก, เพราะละความอยากไดเ้ สีย จงึ ชื่อว่าตดั เครื่องผกู ท้งั ปวงได.้ (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๖ ๑๗. อจิ ฺฉา นรํ ปริถสฺสติอิจฺฉา โลกสมิ ทชุ ฺชหา อิจฺฉา พทฺธา ปถุ ู สตฺตา ปาเสน สกุณึ ยถา ความอยากย่อมชกั ลากนรชนไป ความอยากละไดย้ ากในโลก, สัตวเ์ ป็นอนั มาก ถกู ความอยาก พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 19
20 ผกู มดั ไว้ ดุจนางนกถูกบว่ งรัดไวฉ้ ะน้นั . (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๖๑ ๑๘. อเุ ปกฺขโก สทา สโต น โลเก ม�ฺญตี สมํ น วิสเสสี น นีเจยฺโย ตสฺส โน สนฺติ อสุ ฺสทา ผวู้ างเฉย มีสตทิ กุ เมอ่ื ไม่สาํ คญั ตนวา่ เสมอเขา ว่าดกี ว่าเขา ว่าต่าํ กว่าเขาในโลก, ผูน้ ้นั ช่ือว่าไมม่ กี ิเลสเคร่ืองฟูข้ึน. (พทุ ฺธ) ข.ุ มหา. ๒๙/๒๘๙ ๑๙. อจุ ฺฉินฺนภวตณฺหสฺส สนฺตจิตสฺส ภิกฺขุโน วิกฺขโี ณ ชาติสํสาโรนตฺถิ ตสฺส ปนพฺภโว ภิกษุผถู้ อนภวตณั หาไดแ้ ลว้ มจี ิตสงบแลว้ สิ้นความเวยี นเกิดแลว้ ย่อมไมม่ ีภพอีก. (พุทฺธ) ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๔๓ ๒๐. กามา หิ จติ ฺรา มธุรา มโนรมา วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺตํ อาทนี วํ กามคุเณสุ ทสิ ฺวา เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป กามท้งั หลาย ตระการหวานช่ืนใจ ย่อยา่ํ ยจี ิตโดยรูปร่างต่างๆ กนั บุคคลพงึ เหน็ โทษในกามคุณแลว้ เที่ยวไปผเู้ ดยี ว เหมอื นนอแรด. (พทุ ฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๓๓๔ ๒๑. โกธํ ชเห วปิ ปฺ ชเหยฺย มานํ ส�ฺโญชนํ สพฺพมตกิ ฺกเมยฺย ตํ นามรูปสฺมมิ สชฺชมานํ อกิ�ฺจนํ นานุปตนฺติ สงฺคา บคุ คลพึงละความโกรธ พึงเลกิ ถือตวั พงึ กา้ วลว่ งสงั โยชน์ท้งั ปวง (เพราะ) เครื่องขอ้ งท้งั หลาย ย่อมไมต่ ดิ ตามผไู้ มข่ อ้ งในนามรูป ไมม่ กี งั วลน้นั . (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๓๕๐ ๒๒. โกธํ ชเห วิปปฺ ชเหยฺย มานํ ส�ฺโญชนํ สพฺพมตกิ ฺกเมยฺย ตนฺนามรูปสฺมึ อสชฺชมานํ อกิ�ฺจนํ นานูปตนฺติ ทุกฺขา บคุ คลพึงละความโกรธ พงึ เลกิ ถือตวั พึงกา้ วล่วงสังโยชน์ท้งั ปวง (เพราะ) ทุกขท์ ้งั หลายยอ่ มไม่ ตดิ ตามผูไ้ ม่ขอ้ งอยู่ในนามรูป ไมม่ กี งั วลน้นั . (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๔ ๒๓. ตณฺหา ชเนติ ปรุ ิสํ จิตฺตมสฺส วธิ าวติ สตฺโต สสํ ารมาปาทิ ทกุ ฺขา น ปริมุจฺจติ ตณั หายงั คนให้เกิด จิตของเขาย่อมวง่ิ พลา่ น สตั วย์ งั ทอ่ งเทยี่ วไป จึงไม่พน้ จากทกุ ข.์ (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ ๒๔. ตณฺหา ชเนติ ปรุ ิสํ จิตฺตมสฺส วิธาวติ สตฺโต สสํ ารมาปาทิ ทกุ ฺขมสฺส มหพฺภยํ ตณั หายงั คนใหเ้ กิด จิตของเขายอ่ มว่งิ พลา่ น สตั วย์ งั ท่องเที่ยวไปจงึ มีทุกขเ์ ป็นภยั ใหญ.่ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 20
21 (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ ๒๕. ตณฺหา ชเนติ ปรุ ิสํ จิตฺตมสฺส วธิ าวติ สตฺโต สสํ ารมาปาทิ กมฺมํ ตสฺส ปรายนํ ตณั หายงั คนใหเ้ กิด จิตของเขายอ่ มว่งิ พลา่ น สัตวย์ งั ทอ่ งเท่ยี วไปจงึ ยงั มกี รรมนาํ หนา้ . (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๑ ๒๖. นิราสตฺตี อนาคเต อตีตํ นานุโสจติ วเิ วกทสฺสี ผสฺเสสุ ทฏุ ฺฐีสุ จ น นิยฺยติ ผไู้ ม่คาํ นึงถึงสิ่งทย่ี งั มาไม่ถงึ ยอ่ มไมเ่ ศรา้ โศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแลว้ ผเู้ หน็ ความสงดั ในผสั สะท้งั หลาย ยอ่ มไมถ่ ูกชกั นาํ ไปในทิฏฐิท้งั หลาย. (พุทธ) ขุ.สุ. ๒๕/๕๐๐, ข.ุ มหา. ๒๙/๒๖๔,๒๖๗ ๒๗. ปรุ าณํ นาภนิ นฺเทยฺย นเว ขนฺติมกุพฺพเย หิยฺยมาเน น โสเจยฺย อากาสํ น สีโต สิยา ไมพ่ ึงเพลิดเพลินของเกา่ ไมพ่ งึ ทาํ ความพอใจในของใหม่ เมื่อส่ิงน้นั เส่ือมไป ก็ไม่พึงเศร้าโศก ไมพ่ งึ อาศยั ตณั หา. (พุทธ) ขุ.สุ. ๒๕/๕๑๘ ๒๘. มจฺจนุ าพฺภาหโต โลโก ชราย ปริวาริโต ตณฺหาสลฺเลน โอติณฺโณ อิจฺฉาธุปายโิ ต สทา สัตวโ์ ลกถกู มฤตยูขจดั แลว้ ถกู ชราลอ้ มไว้ ถูกลูกศร คอื ตณั หาเสียบแลว้ ถูกอิจฺฉาคกุ รุ่นแลว้ ทกุ เม่อื . (พุทธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๕ ๒๙. มฬุ ฺโห อตฺถํ น ชานาติ มฬู ฺโห ธมฺมํ น ปสฺสติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โมโห สหเต นรํ ผูห้ ลงยอ่ มไมร่ ู้อรรถ ผูห้ ลงยอ่ มไมเ่ หน็ ธรรม ความหลงครอบงาํ คนใดเม่อื ใด ความมดื มิดย่อมมเี มอื่ น้นั . (พทุ ฺธ) ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๙๖ ๓๐. ลทุ ฺโธ อตฺถํ น ชานาติ ลุทฺโธ ธมฺมํ น ปสฺสติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โลโภ สหเต นรํ ผูโ้ ลภ ยอ่ มไมร่ ูอ้ รรถ ผูโ้ ลภ ย่อมไมเ่ ห็นธรรม, ความโลภเขา้ ครอบงาํ คนใด เม่ือใด ความมดื มดิ ย่อมมี เมอ่ื น้นั . (พทุ ฺ โธ) ขุ.อิติ. ๒๕/๒๙๕, ขุ.มหา. ๒๙/๑๗ ๓๑. วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ วนโต ชายตี ภยํ เฉตฺวา วน�ฺจ วนถ�ฺจ นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว ทา่ นท้งั งหลายจงตดั ป่ า (กิเลส) อย่าตดั ตน้ ไม,้ ภยั ยอ่ มเกิดจากป่ า ภิกษทุ ้งั หลาย พวกทา่ นจงตดั ป่ า และส่ิงที่ต้งั อยใู่ นป่ าแลว้ เป็นผไู้ ม่มปี ่ าเถดิ . (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๕๒ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 21
22 ๕. ขนั ตวิ รรค คือหมวดอดทน ๓๒. ขนฺติ ธีรสฺส ลงฺกาโร ขนฺติ ตโป ตปสฺสิโน ขนฺติ พลํ ว ยตนี ํ ขนฺติ หิตสุขาวหา ขนั ติ เป็นเคร่ืองประดบั ของนกั ปราชญ์ ขนั ติเป็นตบะของผพู้ ากเพยี ร ขนั ติเป็นกาํ ลงั ของนกั พรต ขนั ตินาํ ประโยชนส์ ุขมาให.้ ส.ม.๒๒ ๓๓. น สุทฺธิ เสจเนน อตฺถิ นปิ เกวลี พฺราหฺมโณ น เจว ขนฺติ โสรจฺจ นปิ โส ปรินิพฺพโุ ต ความบริสุทธ์ิกด็ ี ผูท้ ่จี ะประเสริฐลว้ นกด็ ี ขนั ตแิ ละโสรจั จะก็ดี จะเป็นผูเ้ ยน็ สนิทกด็ ี ยอ่ มไมม่ ี เพราะการชาํ ระลา้ ง (ดว้ ยน้าํ ) (โพธิสตฺต) ข.ุ ชา. ปกิณฺณก. ๒๗/๓๗๖ ๓๔. นเหตมตฺถํ มหตปี ิ เสนา สราชิกา ยชุ ฺฌมานา ลเภถ ยํ ขนฺติมา สปฺปรุ ิโส ลเภถ ขนฺติ ผลสฺสูปสมนฺติ เวรา เสนาแมห้ มใู่ หญ่ พรอ้ มดว้ ยพระราชา รบอยู่ ไม่พงึ ไดป้ ระโยชน์ ที่สตั บุรุษผมู้ ขี นั ติพึงได(้ เพราะวา่ ) เวรท้งั หลายของผู้ มขี นั ติเป็นกาํ ลงั ยอ่ มสงบระงบั (โพธิสตฺต) ขุ.ชา. จตฺตาฬีส. ๒๗/๕๓๘ ๖. จติ ตวรรค คือหมวดจิต ๓๕. อนวสฺสุตจิตฺตสฺส อนนฺวาหตเจตโส ป�ุ ฺญปาปปหีนสฺส นตฺถิ ชาครโต ภยํ ผมู้ จี ติ อนั ไมช่ ุ่มดว้ ยราคะ มีใจอนั โทสะไม่กระทบแลว้ มีบญุ และบาปอนั ละไดแ้ ลว้ ตน่ื อยู่ ย่อมไม่ มภี ยั . (พทุ ฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๒๐ ๓๖. กุมฺภปู มํ กายมมิ ํ วิทิตฺวา นครูปมํ จิตฺตมทิ ํ ถเกตฺวา โยเธถ มารํ ป�ฺญาวุเธน ชิต�ฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา บคุ คลรู้กายน้ีที่เปรียบดว้ ยหมอ้ ก้นั จติ ทเ่ี ปรียบดว้ ยเมืองน้ีแลว้ พงึ รบมารดว้ ยอาวุธ คือปัญญา และพึงรักษาแนวท่ชี นะไว้ ไม่พงึ ยบั ยง้ั อย.ู่ (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐ ๓๗. จติ ฺเตน นียติ โลโก จติ ฺเตน ปริกสฺสติ จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคู โลกถูกจิตนาํ ไป ถกู จติ ชกั ไป, สัตวท์ ้งั ปวงไปสู่อาํ นาจแห่งจิตอย่างเดียว. (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๕๔ ๓๘. ตณฺหาธิปนฺนา วตฺตสีลพทฺธา ลขู ตป วสฺสสตํ จรนฺตา จติ ฺต�ฺจ เนสํ น สมฺมา วมิ ุตฺตํ หีนตฺตรูปา น ปารงฺคมา เต พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 22
23 ผูถ้ กู ตณั หาครอบงาํ ถกู ศีลพรตผูกมดั ประพฤตติ บะอนั เศรา้ หมองต้งั ร้อยปี,จิตของเขากห็ ลดุ พน้ ดว้ ยดีไมไ่ ด้ เขามตี นเลวจะถึงฝั่งไมไ่ ด.้ (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๔๐ ๓๙. ทนุ ฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถ กามนิปาตโิ น จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุจิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ การฝึกจติ ที่ขม่ ยาก ทีเ่ บา มกั ตกไปในอารมณ์ทนี่ ่าใคร่ เป็นความดี (เพราะว่า) จิตทฝี ึกแลว้ นาํ สุขมาให้. (พุทธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ ๔๐. ปทฏุ ฺฐจติ ฺตสฺส น ผาติ โหติ น จาปิ นํ เทวตา ปชู ยนฺติ โย ภาตรํ เปตฺตกิ ํ สาปเตยฺยํ อว�ฺจยี ทุกฺกฏกมฺมการี ผใู้ ดทาํ กรรมชวั่ ลอ่ ลวงเอาทรพั ยส์ มบตั พิ ่นี อ้ งพอ่ แม่ ผนู้ ้ัน มจี ติ ชว่ั ร้าย ย่อมไมม่ ีความเจริญ แมเ้ ทวดากไ็ มบ่ ูชาเขา. (นทเี ทวดา) ข.ุ ธ. ๒๗/๑๒๐ ๔๑. โย อลเี นน จิตฺเตน อลนี มนโส นโร ภาเวติ กสุ ลํ ธมฺมํ โยคคฺเขมสฺส ปตฺตยิ า ปาปุเณ อนุปพุ ฺเพน สพฺพสโํ ยชนกฺขยํ คนใดมีจติ ไม่ทอ้ ถอย มีใจไม่หดหู่ บาํ เพญ็ กศุ ลธรรม เพ่อื บรรลธุ รรมทีเ่ กษมจากโยคะ พงึ บรรลุธรรมเป็นทส่ี ้ินสังโยชน์ท้งั ปวงได.้ (พุทฺธ) ข.ุ ชา.เอก ๒๗/๑๘ ๔๒. สุทุทฺทสํ สุนิปณุ ํ ยตฺกามนิปาตินํ จติ ฺตํ รกฺเขถ เมธาวี จิตฺตํ คตุ ฺตํ สุขาวหํ ผมู้ ีปัญญา พึงรักษาจติ ทีเ่ หน็ ไดย้ ากนกั ละเอียดนกั มกั ตกไปในอารมณ์ท่ีน่าใคร่ (เพราะว่า) จติ ท่คี มุ้ ครองแลว้ นาํ สุขมาให้. (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ ๗. ทานวรรค คือหมวดทาน ๔๓. อนฺนโท พลโท โหติ วตฺถโท โหติ วณฺณโท ยานโท สุขโท โหติ ทีปโท โหติ จกฺขโุ ท ผใู้ ห้ขา้ ว ช่ือว่าใหก้ าํ ลงั ผใู้ ห้ผา้ ช่ือว่าใหผ้ วิ พรรณ ผใู้ ห้ยานพาหนะ ช่ือว่าใหค้ วามสุข ผใู้ ห้ประทปี โคมไฟ ช่ือวา่ ให้จกั ษ.ุ (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๔๔ ๔๔. มนาปทายี ลภเต มนาเป อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ วรสฺส ทาตา วรลาภี จ โหติ เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปโต ฐานํ ผใู้ หข้ องชอบใจ ย่อมไดข้ องชอบใจ ผใู้ หข้ องเลศิ ย่อมไดข้ องเลศิ ผูใ้ หข้ องดี ยอ่ มไดข้ องดี ผใู้ ห้ ของประเสริฐ ย่อมถึงฐานะอนั ปะเสริฐ. (พทุ ฺธ) องฺ.ป�ฺจก. ๒๒/๕๖ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 23
24 ๘. ธัมมวรรค คือหมวดธรรม ๔๕. อาทานตณฺหํ วนิ เยถ สพฺพํ อทุ ฺธํ อโธ ติริยํวาปิ มชฺเฌ ยํ ยํ หิ โลกสฺมึ อปุ าทยิ นฺติ เตเนว มาโร อนฺเวติ ชนฺตุ พงึ ขจดั ตณั หาที่เป็นเหตถุ ือมน่ั ท้งั ปวง ท้งั เบ้อื งสูงเบ้อื งต่าํ เบ้อื งขวาง ท่ามกลาง เพราะเขาถอื มน่ั ส่ิงใดๆในโลกไว้ มารยอ่ มตดิ ตามเขาไป เพราะสิ่งน้นั ๆ. (พทุ ฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๕๔๖, ขุ.จู. ๓๐/๒๐๒ ๔๖. โอวเทยฺยานุสาเสยฺย อสพฺภา จ นิวารเย สตํ หิ โส ปิ โย โหติอสตํ โหติ อปปฺ ิโย บคุ คลควรเตือนกนั ควรสอนกนั และป้องกนั จากคนไมด่ ี เพราะเขายอ่ มเป็นท่ีรักของคนดี แต่ไมเ่ ป็นที่รักของคนไมด่ .ี (พุทธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๒๕ ๔๗. จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ องฺคํ จเช ชีวติ ํ รกฺขมาโน องฺคํ ธนํ ชีวติ �ฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต พงึ สละทรพั ยเ์ พื่อรักษาอวยั วะ, เมอ่ื รกั ษาชีวติ พึงสละอวยั วะ, เมื่อคาํ นึงถึงธรรม พึงสละอวยั วะ ทรพั ย์ และแมช้ ีวติ ทุกอยา่ ง. (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.อสีติ. ๒๘/๑๔๗ ๔๘. ฉนฺทชาโต อนกฺขาเต มนสา จ ผโุ ฐ สิยา กาเม จ อปฏิพทฺธจติ ฺโต อุทฺธโํ สโตติ วุจฺจติ พงึ เป็นผูพ้ อใจ และประทบั ใจในพระนิพพานทีบ่ อกไม่ได้ ผูม้ ีจิตไม่ตดิ กาม ทา่ นเรียกวา่ ผูม้ ี กระแสอยูเ่ บ้อื งบน. (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๔ ๔๙. ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา สงฺขารา ปรมา ทกุ ฺขา เอตํ ฆตฺวา ยถาภูตํ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ความหิวเป็นโรคอย่างยิง่ สังขารเป็นทกุ ขอ์ ยา่ งย่งิ รูข้ อ้ น้นั ตามเป็นจริงแลว้ ดบั เสียได้ เป็นสุขอยา่ งยง่ิ . (พทุ ฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๔๒ ๕๐. ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจติ ฺตา อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อเุ ปติ สต�ฺจ ธมฺโม น ชรํ อเุ ปติ สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ราชรถอนั งาม ยอ่ มคร่ําคร่า แมร้ ่างกายกเ็ ขา้ ถงึ ชรา ส่วนธรรมของสัตบรุ ุษย่อมไม่เขา้ ถงึ ชรา สัตบรุ ุษกบั สัตบรุ ุษเทา่ น้นั ยอ่ มรู้กนั ได.้ (พุทธ) ส.ํ ส. ๑๕/๑๐๒ ๕๑. ทุกฺขเมว หิ สมมฺโภติ ทุกฺขํ ตฏิ ฺฐติ เวติ จ นา�ฺญตฺร ทกุ ฺขา สมฺโภติ นา�ฺญตฺร ทกุ ฺขา นิรุชฺฌติ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 24
25 ทุกขเ์ ท่าน้นั ทเ่ี กิดข้ึน ทกุ ขย์ อ่ มต้งั อยู่ และเส่ือมไป นอกจากทกุ ขไ์ มม่ ีอะรเกิด นอกจากทกุ ขไ์ มม่ อี ะไรดบั . (วชิรา ภิกขนุ ี) ส.ํ ส. ๑๕/๑๙๙, ขุ.มหา. ๒๙/๕๓๖ ๕๒. นนฺทิส�ฺโญชโน โลโก วิตกฺกสฺส วจิ ารณา ตณฺหาย วปิ ปฺ หาเนน นิพฺพานํ อิติ วุจฺจติ สตั วโ์ ลกมีความเพลินเปแนเคร่ืองผูกพนั มีวิตกเป็นเคร่ืองเท่ยี วไป ท่านเรียกว่านิพพาน เพราะละตณั หาได.้ (พุทธ) ข.ุ ส. ๒๕/๕๔๗ ๕๓. ปตฺตา เต นิพฺพานํ เย ยตุ ฺตา ทสพลสฺส ปาวจเน อปฺโปสฺสุกฺกา ฆเฏนฺติ ชาตมิ รณปิ ปหานาย ผใู้ ดประกอบในธรรมวินยั ของพระทศพล มีความขวนขวายนอ้ ย พากเพยี ร ละความเกิดความ ตาย ผนู้ ้นั ยอ่ มบรรลพุ ระนิพพาน. (สุเมธาเถร) ข.ุ เถรี ๒๖/๕๐๒ ๕๔. มคฺคานฏฺฐงฺคิโก เสฏฺโฐ สจฺจานํ จตุโร ปทา วริ าโค เสฏฺโฐ ธมฺมานํ ทปิ าทาน�ฺจ จกฺขุมา บรรดาทางท้งั หลาย ทางมีองค๘์ ประเสริฐ บรรดาสัจจะท้งั หลาย บท ๔ ประเสริฐสุด บรรดาธรรมท้งั หลาย วริ าคธรรม ประเสริฐสุด และบรรดาสัตว์ ๒ เทา้ ท้งั หลาย พระพทุ ธเจา้ ผูม้ ีจกั ษุ ประเสริฐสุด. (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๕๑ ๕๕. เย สนฺตจติ ฺตา นิปกา สติมนฺโต จ ฌายโิ น สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสนฺติ กาเมสุ อนเปกฺขโิ น ผมู้ ีจิตสงบ มปี ัญญารกั ษาตวั มีสติ เป็นผูเ้ พง่ พินิจ ไมเ่ ยือ่ ใยในกาม ย่อมเห็นธรรมโดยชอบ. (พุทฺธ) ขุ.อติ ิ.๒๕/๒๖๐ ๕๖. หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย ปมาเทน น สวํ เส มจิ ฺฉาทฏิ ฺฐิ น เสเวยฺย น สิยา โลกวพฺฒโน ไม่ควรเสพธรรมทเี่ ลว ไมค่ วรอยู่ดว้ ยความไมป่ ระมาท ไม่ควรเสพมิจฉาทิฏฐิ ไม่ควรเป็นคนรกโลก. (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๓๗ ๕๗. อชฺฌตฺต�ฺจ พหิทฺธา จ เวทนํ นาภนิ นฺทโต เวสํ ตสฺส จรโต วิ�ฺญาณํ อปุ รุชฺฌติ บุคคลไมเ่ พลิดเพลินเวทนา ท้งั ภายในท้งั ภายนอก มสี ติดาํ เนินอยูอ่ ยา่ งน้ี วญิ ญาณย่อมดบั . (พทุ ฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๕๔๗ ๕๘. อปปฺ สฺสาทา ทุกฺขา กามา นตฺถิ กามา ปรํ ทุกฺขํ เย กาเม ปกิเสวนฺติ นิรยนฺเต อุปปชฺชเร กามท้งั หลาย มคี วามยินดีนอ้ ย มที กุ ขม์ าก ทุกขอ์ นั ย่งิ กวา่ กามไม่มี ผูใ้ ดซ่องเสพกาม ผนู้ ้นั ยอ่ มเขา้ ถงึ นรก. (โพธิสตั ว)์ ข.ุ ชา. เอกาทสก. ๒๗/๓๑๕ ๕๙. อพฺยาปชฺโฌ สิยา เอวํ สจฺวาที จ มาณโว อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ เอวํ เปจฺจ น โสจติ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 25
26 พึงเป็นคนไม่เบยี ดเบียน (ผูอ้ ื่น) และกลา่ วคาํ สัตยอ์ ย่างน้ี ละไปจากโลกน้ี ไปสู่โลกอืน่ แลว้ ยอ่ มไมเ่ ศร้าโศก. (พุทฺธ) ข.ุ ชา. มหา. ๒๘/๓๓๒ ๖๐. อลโส คิหี กามโภคี น สาธุ อส�ฺญโต ปพฺพชิโต น สาธุ ราชา น สาธุ อนิสมฺมการี โย ปณฺฑิโต โกธโน ตํ น สาธุ คฤหัสถผ์ ูบ้ ริโภคกามเป็นผเู้ กียจครา้ น ไม่ดี, บรรพชิตไมส่ ํารวม กไ็ ม่ด,ี พระราชาไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแลว้ ทาํ ไม่ด,ี บณั ฑติ มกั โกรธ ก็ไมด่ ี. (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.วสี . ๒๗/๔๔๖ ๖๑. อตตี ํ นานุโสจนฺติ นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ ปจฺจปุ ปฺ นฺเนน ยาเปนิติ เตน วณฺโณ ปสีทติ บุคคลไมเ่ ศรา้ โศกถงึ สิ่งทล่ี ่วงไปแลว้ ไมใ่ ฝ่ หาถงึ สิ่งทีย่ งั มาไม่ถึง ยงั ชีวติ ให้เป็นไปดว้ ยสิ่งที่เกิดข้ึนเฉพาะหนา้ เพราะเหตุน้นั ผิวพรรณยอ่ มผอ่ งใส. (พทุ ฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๗ ๖๒. อติ ฺถีธตฺโต สุราธุตฺโต อกฺขธุตฺโต จ โย นโร ลทฺธํ ลทฺธํ วินาเสติ ตํ ปราภวโต มุขํ คนใดเป็นนกั เลงหญงิ นกั เลงสุรา และนกั เลงการพนนั ยอ่ มลา้ งผลาญทรัพยท์ ่ีตนไดแ้ ลว้ ๆ ขอ้ น้นั เห็นเหตุแห่งความฉิบหาย. (พุทฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๓๔๗ ๖๓. ทาเนน สมจริยาย สํยเมน ทเมน จ ยํ กตฺวา สุขโิ ต โหติ น จ ปจฺฉานุตปปฺ ติ คนทาํ กรรมใดดว้ ยทาน ดว้ ยความประพฤติสมา่ํ เสมอ ดว้ ยความสํารวม และดว้ ยการฝึกตน ยอ่ มมคี วามสุข เพราะกรรมน้นั ย่อม ไมต่ ามเผาผลาญในภายหลงั . (โพธิสตฺต) ขุ.ชา.ปกิณฺณก. ๒๗/๓๙๘ ๖๔. นิทฺทาสีลี สภาสีลี อนุฏฺฐาตา จ โย นโร อลโส โกธป�ฺญาโณ ตํ ปราภวโต มขุ ํ คนใดมกั หลบั มกั คยุ และไม่ขยนั เกียจครา้ น มคี วามมุทะลุ ขอ้ น้นั เป็นเหตแุ ห่งผูฉ้ ิบหาย. (พทุ ฺธ) ขุ.ส.๒๕/๓๔๖ ๖๕. นตฺถิ โลเก รโห นาม ปาปกมฺมํ ปกุพฺพโต ปสฺสนฺติ วนภูตานิ ตํ พาโล ม�ฺญเต รโห ช่ือวา่ ทีล่ บั ของผูท้ าํ ชว่ั ไม่มอี ย่ใู นโลก คนท้งั หลายเห็นเป็นป่ า แต่คนเขลาสาํ คญั ท่ีนนั่ ว่าเป็นทลี่ บั . (โพธิสตฺต) ขุ.ชา. จตุกฺก. ๒๗/๑๓๑ ๖๖. โย เว ตํ สหตี ชมฺมี ตณฺห โลเก ทรุ จฺจยํ โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ อทุ พนิ ฺทวุ โปกขรา ผูใ้ ดครอบงาํ ตณั หาลามกอนั ลว่ งไดย้ ากในโลก ความโศกท้งั หลาย ย่อมตกไปจากผูน้ ้นั เหมอื นหยาดน้าํ ตกจากใบบวั ฉะน้นั . (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๖๐ ๖๗. สพฺพปาปสฺส อกรณํ กสุ ลสฺสูปสมฺปทา สจติ ฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 26
27 การไม่ทาํ บาปท้งั ปวง การยงั กศุ ลให้ถึงพรอ้ ม การทาํ จิตของตนใหผ้ อ่ งแผว้ , ๓ ขอ้ น้ีเป็นคาํ สงั่ สอนของทา่ นผูร้ ู้ท้งั หลาย. (พุทฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๓๙ ๙. ปัญญาวรรค คือหมวดปัญญา ๖๘ คมฺภรี ป�ฺหํ มนสาภจิ ินฺตยํ นจฺจาหิตํ กมฺม กโรติ สุทฺท าลาคตํ อติถปทํ ริ�ฺจติ ตถาวิธํ ป�ฺญวนฺตํ วทนฺติ ผขู้ บคิดปัญหาอนั ลกึ ซ้ึงดว้ ยใจ ไม่ทาํ กรรมชว่ั อนั ไมม่ ปี ระโยชนเ์ ก้ือกลู เลย, ไม่ละทางแห่งประโยชน์ท่ีมาถงึ ตามเวลา, บณั ฑิต ท้งั หลายเรียกคนอย่างน้นั วา่ ผูม้ ีปัญญา. (สรภงฺคโพธิสตฺต) ขุ.ชา. จตฺตาฬสี . ๒๗/๕๔๐ ๖๙. �ฺญวนฺตํ ตถาวาที สีเลสุ สุสมาหิตํ เจโตสมถมนุยตุ ฺตํ ตํ เว ว�ิ ฺ�ู ปสสเร ผรู้ ูย้ อ่ มสรรเสริญเสริญคนมีปัญญา พูดจริง ต้งั มน่ั ในศีล ประกอบความสงบใจน้นั แล. (มหากสฺสปเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๔๑๑ ๑๐. ปุคคลวรรค คือหมวดบุคคล ๗๐. กฺโกธโน อนุปนาที อมกฺขี สุทฺธตํ คโต สมฺปนฺนทิฏฺฐิ เมธาวี ตํ ช�ฺญา อริโย อติ ิ ผูใ้ ดไมโ่ กรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่ ถงึ ความหมดจด มที ฏิ ฐิสมบรู ณ์ดว้ ยปัญญา, พึงรู้ว่าผูน้ ้นั เป็นอริยะ. สารีปุตฺต เถร) ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๒๔๑ ๗๑. อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา อิติ ว�ิ ฺญาย ปณฺฑิโต อปิ ทิพฺเพสุ กาเมสุ รตี โส นาธิคจฺฉติ กามท้งั หลายมีความยินดนี อ้ ย มที กุ ขม์ าก, บณั ฑติ รู้ดงั น้ีแลว้ ไม่ยนิ ดใี นกามแมเ้ ป็นทิพย.์ (พทุ ฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๔๐ ๗๒. โกธโน อปุ นาที จ ปาปมกฺขี จ โย นโร วปิ นฺนทฏิ ฺฐิ มายาวี ตํ ช�ฺญา วสโล อติ ิ ผูใ้ ดมกั โกรธ ผูกโกรธไว้ ลบหลู่เขาดว้ ยความชว่ั มีความเห็นวบิ ตั ิ มีมายา พงึ รูว้ ่าคนน้นั เป็นคนเลว. (พุทฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๓๔๙ ๗๓. ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต อปุ สนฺโต สุขํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยํ ผชู้ นะยอ่ มกอ่ เวรผแู้ พย้ ่อมนอนเป็นทุกข์ คนละความชนะและความแพไ้ ดแ้ ลว้ สงบใจไดย้ ่อมนอนเป็นสุข.(พทุ ฺธ) ขุ.ธ.๒๕๔๒ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 27
28 ๑๑. มัจจุวรรค คือหมวดความตาย ๗๔. อจเิ จนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺตโย วโยคณุ า อนุปุพฺพํ ชหนฺติ เอตํ ภยํ มรเณน เปกฺขมาโน ปุญญานิ กยริ าถ สุขาวหานิ กาลย่อมล่วงไป ราตรียอ่ มผ่านไป ช้นั แห่งวยั ยอ่ มละลาํ ดบั ไป ผเู้ ลง็ เหน็ ภยั ในมรณะน้นั พงึ ทาํ บญุ อนั นาํ สุขมาให้. นนฺทเทวปุตฺต) ส.ํ ส. ๑๕/๘๙ ๗๕. ผลานมวิ ปกฺกานํ ปาโต ปตนโต ภยํ เอวํ ชาตาน มจฺจานํ นิจฺจํ มรณโต ภยํ ภยั ของสตั วผ์ ูเ้ กิดมาแลว้ ยอ่ มมเี พราะตอ้ งตายแน่นอน เหมือนภยั ของผลไมส้ ุก ย่อมมเี พราะตอ้ งหล่นในเวลาเชา้ ฉะน้นั . (พุทฺธ) ขุ.สุ. ๒๕/๔๔๘, ขุ.มหา. ๒๙/๑๔๕ ๑๒. วาจาวรรค คือหมวดวาจา ๗๖. อกกฺกสํ ว�ิ ฺญาปนี คริ ํ สจจฺ ํ อุทีรเย ยาย นาภิสเช ก�ฺจิ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ผูใ้ ดพงึ กลา่ วถอ้ ยคาํ อนั ไมเ่ ป็นเหตุให้ใครๆ ขดั ใจ ไมห่ ยาบคาย เป็นเครื่องใหร้ ู้ความไดแ้ ละคาํ เป็นจริง เราเรียกผูน้ ้นั วา่ เป็นพราหมณ.์ (พุทฺธ) ข.ุ ธ. ๒๕/๗๐ ๗๗. อกฺโกธโน อสนฺตาสี อวิกตฺตี อกกุ ฺกจุ ฺโจ มนฺตาภาณี อนุทฺธโต ส เว วาจายโต มุนิ ผูใ้ ด ไม่โกรธ ไม่สะดงุ้ ไม่โออ้ วด ไมร่ าํ คาญ พดู ดว้ ยปัญญา ไม่ฟ้งุ ซ่าน ผูน้ ้นั แลช่ือวา่ เป็นมุนี มีวาจาสาํ รวมแลว้ . (พทุ ฺธ) ข.ุ ส. ๒๕/๕๐๐, ขุ.มหา. ๒๙/๒๕๗ ๗๘. สจฺจํ เว อมตา วาจา เอส ธมฺโม สนนฺตโน สจฺเจ อตฺเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปตฏิ ฺฐิตา คาํ สัตยแ์ ล เป็นวาจาไมต่ าย นน่ั เป็นธรรมเก่า สัตบุรุษท้งั หลาย เป็นผูต้ ้งั มน่ั ในคาํ สัตย์ ทีเ่ ป็นอรรถและ เป็นธรรม. (วงฺคีสเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๔๓๔ ๑๓. วิริยวรรค คือหมวดความเพยี ร ๗๙. ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺป อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายโิ น มารพนฺธนา ท่านท้งั หลายตอ้ งทาํ ความเพียรเอง ตถาคตเป็นแตผ่ ูบ้ อก ผูม้ ีปกติเพง่ พินิจดาํ เนินไปแลว้ จกั พน้ จากเคร่ืองผกู ของมาร. (พุทฺธ) ขุ.ธ. ๒๕/๕๑ ๘๐. สพฺพทา สีลสมฺปนฺโน ป�ฺญวา สุสมาหิโต อารทฺธวิริโย ปหิตตฺโต โอฆํ ตรติ ทตุ ฺตรํ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 28
29 ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยศลี มีปัญญา มีใจมน่ั คงดแี ลว้ ปรารภความเพยี ร ต้งั ตนไวใ้ นกาลทกุ เมอ่ื ยอ่ มขา้ มโอฆะทข่ี า้ มไดย้ าก. (พุทฺธ) ส.ํ ส. ๑๕/๗๔ ๑๔.สามัคคีวรรค คือหมวดสามคั คี ๘๑. สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี สมคฺคานญจนุคฺคโห สมคฺครโต ธมฺมฏฺโฐ โยคกฺเขมา น ธสํ ติ ความพร้อมเพรียงของหมูเ่ ป็นสุข และการสนบั สนุนคนผูพ้ รอ้ มเพรียงกนั กเ็ ป็นสุข, ผยู้ ินดใี นคนผพู้ ร้อมเพรียงกนั ต้งั อยู่ในธรรม ยอ่ มไม่คลาดจากธรรมอนั เกษมจากโยคะ. (พุทฺธ) ข.ุ อิติ. ๒๕/๒๓๘ ๑๕. สีลวรรค คอื หมวดศีล ๘๒. สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวธุ มุตฺตมํ สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภตุ ํ ศีลเป็นกาํ ลงั ไม่มีท่ีเปรียบ ศลี เป็นอาวุธสูงสุด ศีลเป้นเครื่องประดบั อย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกาะอย่าง อศั จรรย.์ (สีลวเถร) ข.ุ เถร. ๒๖/๓๕๘ ๘๓. สีลเมว อธิ อคฺคํ ป�ฺญวา ปน อุตตโม มนุสฺเสสุ จ เทเวสุ สีลป�ฺญาณโต ชยํ ศีลเทา่ น้นั เป็นเลิศในโลกน้ี ส่วนผมู้ ปี ัญญาเป็นผูส้ ูงสุด ความชนะในหมู่มนุษยแ์ ละเทวดา ยอ่ มมีเพราะ ศลี และปัญญา. (สีลวเถร) ขุ.เถร. ๒๖/๓๕๘ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 29
30 อกั ษรย่อบอกนามคมั ภีร์ นกั ธรรมศึกษาช้ันเอก อกั ษรย่อบอกนามคมั ภีร์ นกั ธรรมศกึ ษาช้นั เอก องฺ. อฏฺฐก. องฺคุตฺตรนิกาย อฏฺฐกนิปาต ขุ. ชา. วีสต.ิ \" ชาตก วสี ตินิปาต องฺ. จตกุ ฺก. องฺ. ฉกฺก. \" จตกุ ฺกนิปาต ขุ. ชา. สฏฺฐี. \"\" สฏฺ ฐีนิปาต องฺ. ตกิ . \" ฉกฺกนิปาต ชุ. เถร. องฺ. ทสก. \" ติกนิปาต “ เถรคาถา องฺ. ป�ฺจก. ข.ุ เถรี. \" เถรีคาถา องฺ. สตฺตก. ข.ุ อติ .ิ \" ทสกนิปาต ข.ุ ธ. “ ธมฺมปทคาถา ขุ.อุ. \" ป�ฺจกนิปาต ข.ุ ปฏ.ิ \" ปฏสิ มฺภิทามคฺค ข.ุ จริยา. ข.ุ จ.ู \" สตฺตกนิปาต ข.ุ พ.ุ \" พุทฺธวสํ ขุ. ชา. อฏฺฐก. ขุทฺทกนิกาย อติ วิ ตุ ฺตก ข.ุ มหา. \" มหานิทฺเทส ข.ุ ชา. อสีต.ิ ข.ุ ชา. เอก. \" อทุ าน ข.ุ ว.ิ \" วมิ านวตฺถุ ข.ุ ชา.จตฺตาฬสี . ข.ุ ชา. จตุกฺก. \" จริยาปิ ฎก ขุ. เปต. \" เปตวตฺถุ ข.ุ ชา. ฉกฺก \" จฬู นิทฺเทส ขุ. สุ. \" สุตฺตนิปาต ข.ุ ชา. ตึส. ข.ุ ชา. ติก. \" ชาตก อฏฺฐกนิปาต ที. ปาฏ.ิ ทฆี นิกาย ปาฏกิ วคฺค ขุ. ชา. เตรส. \" \" อสีตนิ ิปาต ที. มหา. \" มหาวคฺค ขุ. ชา. ทวาทส. ขุ. ชา. ทสก. \" \" เอกนิปาต ม. อุป. มชฺฌิมนิกาย อปุ ริปณฺณาสก ข.ุ ชา. ทกุ . \" \" จตฺตาฬสี นิปาต ม. ม. \" มชฺฌิมปณฺณาสก ข.ุ ชา. นวก. ข.ุ ชา. ปกิณฺณก. \" \" จตุกฺกนิปาต ว.ิ จลุ . วนิ ยปิฏก จุลฺลวคฺค ข.ุ ชา. ป�ฺจก. \" \" ฉกกฺ นิปาต วิ. ภ.ิ \" ภิกฺขนุ ีวภิ งฺค ข.ุ ชา. ป�ฺญาส. ข.ุ ชา. มหา. \" \" ตึสนิปาต วิ. มหา. \" มหาวคฺค \" \" ติกนิปาต ว.ิ มหาวิภงค. \" มหาวิภงฺค \" \" เตรสนิปาต ส.ํ นิ. สยํ ุตฺตนิกาย นิทานวคฺค \" \" ทฺวาทสนิปาต สํ. มหา. \" มหาวารวคฺค \" \" ทสกนิปาต ส.ํ ส. \" สคาถวคฺค \" \" ทกุ นิปาต ส. ม. สวดมนตฉ์ บบั หลวง \" \" นวกนิปาต ร. ร. ๔ พระราชนิพนธ์รัชกาลท่ี ๔ ขทุ ฺทกนิกาย “ ปกิณฺณกนิปาต ว. ว. สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส \" \" ป�ฺจกนิปาต ส.ฉ. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ฉิม ) \" \" ป�ฺญาสนิปาต ส. ส. สมเด็จพระสงั ฆราช( สา ) \" \" มหานิปาต -/- เลม่ ท/่ี หนา้ ที่ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 30
31 เนื้อหาวิชาธรรม นกั ธรรมศึกษาช้ันเอก วิ ชาธรรมวิ จารณ์ บทนาํ ความลกึ ซ้ึงแห่งธรรมระดบั ช้นั เอก การศกึ ษาวชิ าธรรมในช้นั เถรภูมิน้ี นกั ศกึ ษาส่วนมากมคี วามหนกั ใจอยา่ งย่งิ เพราะหลกั สูตรไดบ้ รรจุเน้ือหา สาระซ่ึงเป็นหลกั วิชาไวม้ าก และเรื่องทจ่ี ะตอ้ งกาํ หนดจดจาํ กม็ ีมาก ขอ้ น้ียอ่ มเป็นทที่ ราบกนั อยโู่ ดยทวั่ ไปในหมู่ นกั ศกึ ษา เมือ่ เป็นเช่นน้นั นกั ศกึ ษาจะตอ้ งอาศยั ความรู้ความเขา้ ใจโดยรู้จกั เลอื กเฟ้นขอ้ ธรรมซ่ึงมเี น้ือความสุขมุ ลกึ ซ้ึง ใหร้ ู้อรรถ คอื ผล รู้ธรรมคือเหตอุ ยา่ งถูกตอ้ งโดยตลอดว่า อยา่ งไหนเป็นสัทธรรมแท้ อยา่ งไหนเป็นสทั ธรรมปฏริ ูป แลว้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ กู ตอ้ ง กย็ อ่ มบรรลผุ ลอนั เป็นสิ่งที่ประสงคไ์ ดโ้ ดยไมล่ าํ บากนกั เมอ่ื ปฏบิ ตั ิไดด้ งั น้ีก็จะช่ือว่าเป็นผูป้ ฏบิ ตั ิธรรม สมควรแก่ธรรม ดงั พระบาบวี า่ อตฺตม�ฺญาย ธมฺม�ฺญาย ธมฺมานุธมฺมปฏปิ นฺโน โหติ รู้อรรถทว่ั ถงึ แลว้ รู้ธรรมทว่ั ถงึ แลว้ ยอ่ มเป็นผูป้ ฏิบตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม ดงั น้ี ข้อควรจาํ ธรรมวิจารณ์ คอื การเลอื กเฟ้นขอ้ ธรรมโดยใชโ้ ยนิโสมนสิการ พิจารณาสอดส่องให้ถ่องแทว้ ่า ธรรมประเภท ไหนเป็นสัทธรรมแท้ ธรรมประเภทไหนเป็นสัทธรรมปฏิรูปโดยหาหลกั ฐานมาประกอบอา้ งองิ เพื่อใหท้ ราบวา่ เร่ือง น้นั ท่านผูก้ ลา่ วมคี วามมุ่งหมายอยา่ งไร กวา้ งแคบ ต้ืนลกึ แคไ่ หนเพียงไร ในกสั สปสังยตุ นิทานวรรค กลา่ วไวม้ ีใจความวา่ สัทธรรมปฏริ ูป ยงั ไม่มีเพียงใด พระสทั ธรรมก็ยงั ทรงอยเู่ พียง น้นั เมือ่ สทั ธรรมปฏิรูปเกิดข้นึ พระสัทธรรมยอ่ มอนั ตรธานไป โมฆบุรุษ คอื คนเปล่าในพระศาสนาน้ีเอง เป็นผูย้ งั พระ สทั ธรรมใหอ้ นั ตรธาน ธรรมส่วนปรมตั ถปฏปิ ทา ธรรมวิจารณ์ส่วนปรมตั ถปฏิปทา ท่านยกขอ้ ธรรมทเ่ี ป็นกระทตู้ ้งั ไว้ ๖ ประการ คอื นิพพทิ า๑ วริ าคะ๑ วมิ ุตติ๑ วิสุทธิ๑ สันติ๑ นิพพาน๑ นิพพิทา ความหน่ายในสังขาร นิพพิทา คอื ความหน่ายในเบญจขนั ธ์ซ่ึงเกิดดว้ ยปัญญาโดยพจิ ารณาเห็นว่า สังขารท้งั ปวงไม่เทีย่ ง สังขารท้งั ปวงเป็นทกุ ข์ ธรรมท้งั ปวงเป็นอนตั ตา เม่อื พจิ ารณาไดด้ งั น้ี ยอ่ มเกิดความเบอ่ื หน่ายในทุกขขนั ธ์ ไม่มวั เมาเพลดิ เพลนิ ยดึ มนั่ หมกมนุ่ อยใู่ นสังขารอนั ยว่ั ยวนเสน่หา เพือ่ ใหส้ ตั วท์ ้งั หลายพน้ จากความทกุ ขน์ ้ี พระพทุ ธเจา้ จึงไดต้ รัสภาษิตบทหน่ึง วา่ เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานต.ํ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 31
32 สูท้งั หลายจงมาดโู ลกน้ี อนั ตระการดุจราชรถ ท่พี วกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผรู้ ู้หาขอ้ งอยไู่ ม่. (ธรรมบท หมวด โลกวรรค) ภาษิตน้ี พระพุทธเจา้ ตรัสเรียกให้คนทว่ั ไปมองดูสิ่งวจิ ิตรพิสดารอนั งดงามที่ถูกตบแต่งข้ึนโดยมนุษยห์ รือ เกิดข้นึ ตามธรรมชาติ สิ่งเหลา่ น้นั ไม่ใช่ของวิจิตรอยา่ งแทจ้ ริง ท่เี ท่ียงแทอ้ ยอู่ ยา่ งน้นั ตลอดไป ยอ่ มเปลี่ยนแปลงไป หา สาระแกน่ สารไม่ได้ แตพ่ วกคนผทู้ ี่ยงั ไม่รู้ความจริงหรือถึงรู้แลว้ แตส่ ลดั กิเลสไมไ่ ด้ กย็ งั หลงเพลดิ เพลินอยู่ หลงไหลอยู่ ยึดมน่ั ถอื มน่ั ต่อสิ่งเหลา่ น้นั ว่ามีแกน่ สารสาระ โลกในความหมายท่พี ระพทุ ธเจา้ ตรสั เรียกให้คนมาดนู ้ี มีความหมายอยู่ ๒ อยา่ ง คือ ๑. โลก คอื แผน่ ดิน หรือพ้ืนโลกทเี่ ราอาศยั อยใู่ นขณะน้ี ซ่ึงแบ่งออกเป็นทวีปต่างๆ ๗ ทวีป คอื เอเชีย ยโุ รป ออสเตรเลยี แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และแอนตาร์กติกา ถา้ จะแยกออกเป็นส่วนยอ่ ยๆ กเ็ ป็นประเทศต่างๆทว่ั โลก รวมท้งั พ้ืนดินน้ีดว้ ย รวมอยู่ในความหมายว่า แผน่ ดินในความหมายทห่ี น่ึงน้ีท้งั หมด ๒. โลก คือหมสู่ ัตวผ์ อู้ าศยั อยบู่ นพ้ืนดินน้ีทกุ จาํ พวกที่มบี นผวิ โลก ไม่ว่าจะเป็นสัตวบ์ ก สัตวน์ ้าํ หรือสตั วค์ ร่ึง บกคร่ึงน้าํ ก็ตามเช่น ปลา มด ปลวก ชา้ ง มา้ มนุษย์ เป็นตน้ นบั รวมอยใู่ นความหมายว่า หมสู่ ตั วท์ ้งั หมด พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงชวนเราให้พจิ ารณาดูโลกน้ี อนั มีความวิจิตรพสิ ดารสลบั ซบั ซอ้ นสวยงามท้งั ที่ เกิดข้นึ เองตามธรรมชาติและท่ถี ูกสร้างข้นึ โดยมนุษย์ ตบแตง่ ข้นึ มามีสีสรรสวยงามเพ่อื ชกั ชวนให้คนตดิ และลวดลาย ประดบั ประดาไปดว้ ยไฟแสงสี มเี ครื่องอาํ นวยความสะดวกตา่ งๆ จึงทาํ ให้มนุษยห์ ลงยึดติดอยใู่ นรูปแบบน้นั เช่น ชอบ เที่ยวตามสวนสนุก ตามภตั ตาคาร ไนทค์ ลบั ตามสถานท่เี ริงรมยต์ า่ งๆ หรือหา้ งสรรพสินคา้ เป็นตน้ เพลิดเพลินไปดว้ ย ของท่ีประสบน้นั แต่แทจ้ ริงแลว้ ส่ิงเหลา่ น้นั ไมเ่ ป็นแกน่ สาร พระพทุ ธเจา้ จึงทรงเรียกให้เรามาดูว่า ทุกอยา่ งน้นั มคี วาม สวยงามเหมือนราชรถ ซ่ึงพวกคนทไ่ี มร่ ู้ความจริง(เขลา) เทา่ น้นั ท่ียงั หลงเพลดิ เพลินอยดู่ ว้ ยกิเลส อนั เป็นไปตาม อนิ ทรีย์ ๖ ท่ีรับอารมณ์มา คอื ตา ชอบการละเล่น การแสดง ชอบดูหนงั ภาพยนตร์ โทรทศั น์ วีดิโอ ไม่เป็นอนั ทาํ การงานอยา่ งอ่นื หรือชอบ ทอ่ งเทย่ี วไปหาชมถ่นิ ตา่ งๆ จนเสียการเสียงาน หู กช็ อบฟังเพลง ฟังลาํ เปิ ดวทิ ยดุ งั ลนั่ จนอาจจะนาํ ไปเป็นขอ้ ขดั แยง้ กบั คนขา้ งเคียงก็ได้ จมูก กเ็ ช่นเดียวกนั ชอบเที่ยวหาสูดดมแต่ของที่หอม สด แพงเท่าไรก็ไปหาซ้ือมาใช้ ขวนขวายหามาใช้ ลิ้น ก็ชอบแตข่ องดีๆ รสอร่อยๆ แพงเทา่ ไรก็ไม่ว่า หามา ซ้ือมา เงินหามาโดยสุจริตไม่พอใช้ กต็ อ้ งหาดว้ ยทาง ทุจริตผดิ ศีล คา้ ยาบา้ ยาอี ยาเค เฮโลอีน ฝิ่น กญั ชา คา้ ของเถอื่ น เพือ่ หาเงนิ มาบาํ รุงบาํ เรอตนเร่ืองที่เก่ียวกบั ปากกบั ลิน้ น้ี ตอ้ งระมดั ระวงั ใหจ้ งมาก มแี ต่กินไม่รู้จกั เลือกกิน(พจิ ารณาเสียก่อน) จะลาํ บาก อนั จะกอ่ ใหเ้ กิดโรคต่างๆตามมา เช่น เป็นโรคขาดไวตามนิ เป็นโรคเบาหวาน เป็นตน้ กาย ชอบแต่ให้เขาบบี เขานวดให้ เที่ยวออกไปในสถานท่ีอาบอบนวด ชอบของนุ่มๆ ทนี่ อนหมอนหนุน มแี ต่ น่ิมๆเลยทาํ ใหเ้ ป็นโรคปวดกระดูก ปวดสันหลงั กนั อยบู่ ่อยๆ แตก่ ็ยงั หาซ้ือมาใชก้ นั อยู่ ใจ เป็นส่วนสาํ คญั ทส่ี ุด ในกระบวนการทเ่ี ป็นอายตนะภายในและภายนอก ทเี่ ป็นทางรบั อารมณท์ ้งั หลาย ถา้ เราปล่อยใจไปในส่ิงทพ่ี บประสบมา ก็จะทาํ ใหเ้ พลิดเพลนิ หลงไปตามสิ่งเหล่าน้นั ซ่ึงเป็นโลกสมมติ โลกสมญั ญา ไม่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 32
33 พบทางแห่งพระนิพพานกลายเป็นคนเขลาทหี่ มกอยใู่ นโลกอนั ไร้สาระน้ีตอ่ ไป เพราะการปล่อยใจไปตามกิเลสเหลา่ น้ี เป็ นเหตุ ดงั น้นั พระพุทธเจา้ จึงตรัสภาษิตอกี บทหน่ึงว่า เย จิตฺตํ ส�ฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผูใ้ ดจกั ระวงั รักษาจิต ผนู้ ้นั จกั พน้ จากบ่วงแห่งมาร. การสาํ รวมจิต เพ่ือใหพ้ น้ จากบว่ งแห่งมารน้ี ท่านจาํ แนกวธิ ีการสาํ รวมออกเป็น ๓ วธิ ี คือ ๑. สาํ รวมอินทรีย์ มิให้ความยนิ ดีและความยนิ ร้ายครอบงาํ ในเมอื่ เห็นรูป เป็นตน้ ๒. สาํ รวมดว้ ยการเจริญสมถกรรมฐาน อนั เป็นปฏปิ ักขต์ ่อกามฉนั ทะ คอื อสุภะและกายคตาสติ หรือมรณัสสติ ๓. สาํ รวมดว้ ยการเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน พิจารณาสงั ขารแยกออกเป็นขนั ธ์แลว้ สนั นิษฐานใหเ้ ห็นเป็นสภาพ ไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนตั ตา ในความหมายทว่ี ่า สาํ รวมแลว้ จิตก็จกั หลดุ พน้ จากบว่ งแห่งมาร บว่ งแห่งมารในทน่ี ้ี ทา่ นหมายถงึ วตั ถเุ ป็นเหตุ ใหป้ รารถนา(วตั ถุกาม) ส่วนมารน้นั ทา่ นหมายเอากิเลสทท่ี าํ ใหจ้ ิตเศร้าหมอง(กิเลสกาม) ไดแ้ ก่ ราคะ โทสะ โมหะ อิจฉา เป็นตน้ ปฏิปทาแห่งนิพพิทา หลกั พจิ ารณาไตรลกั ษณเ์ พื่อนาํ ไปสู่ความหน่ายในทกุ ข์ อนั เป็นหนทางไปสู่ความหมดจด คอื พระนิพพาน ตามทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงเรียกมหาชนมาดโู ลกน้ี เพื่อใหเ้ กิดความหน่าย คลายกาํ หนดั ดงั ในบทท่แี ลว้ น้นั ยงั ไม่ แจม่ แจง้ ชดั เจนพอ ในบทน้ีทา่ นจาํ แนกหลกั ทีจ่ ะใหพ้ ิจารณาลงไปให้เห็นความจริงแทข้ องของสรรพสิ่งทกุ อยา่ งว่า เป็น อยา่ งไร เพอื่ ให้เกิดปัญญาเห็นแจง้ แลว้ ไดม้ ีความเบื่อหน่ายคลายกาํ หนดั อนั เป็นเหตใุ ห้ดาํ เนินไปในทางทีถ่ ูก คือความ หลดุ พน้ จากกิเลสาสวะต่อไป ขอ้ แห่งการใชป้ ัญญาพจิ ารณาให้เห็นความจริงของสงั ขารน้นั ทา่ นจาํ แนกออกเป็น ๓ อยา่ ง คอื ๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สงั ขารท้งั ปวงไม่เทีย่ ง กอ่ นจะไดอ้ ธิบายถึงความไมเ่ ท่ยี งของสงั ขารท้งั ปวง ก็ขอให้ทราบเป็นรายละเอยี ดเสียก่อนว่า อะไร หมายถงึ สังขาร คาํ ว่าสงั ขารในทน่ี ้ี หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ ท้งั หมด คอื รูป คอื ร่างกายท่ีประกอบดว้ ยธาตุท้งั ๔ เวทนา คอื การเสวยอารมณ์ สัญญา คือความรู้ความจาํ สังขาร คือการปรุงแต่งของจิตใหเ้ กิดอารมณ์ วญิ ญาณคือความรู้แจง้ ทางอายตนะ ๖ คาํ วา่ สังขารท้งั ปวงไม่เท่ยี ง น้ี ท่านหมายถงึ ส่ิงประกอบกนั ข้นึ เป็นรูปร่าง สังขารอนั เป็นสิ่งทเ่ี ป็นอปุ าทนิ ก สังขารและอนุปาทินกสงั ขารดว้ ย ซ่ึงเป็นสังขตธรรมอนั เป็นปัจจยั ปรุงแต่งข้นึ ซ่ึงสิ่งน้นั มกี ารปรากฏเป็น ๓ ลกั ษณะ คอื มกี ารเกิดข้ึน(อุปาท) ต้งั อย(ู่ ฐิติ) ดบั ไป(ภงั ค) พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 33
34 ๒. สพฺพ สงฺขารา ทกฺขา สงั ขารท้งั ปวงเป็นทกุ ข์ ความทกุ ขน์ ้นั หมายถึง สภาพทีค่ งทนอยไู่ ม่ได้ เพราะความขดั แยง้ บีบค้นั ดว้ ยการเกิดและการดบั สลายไปตาม เหตุปัจจยั ที่ประกอบกนั ข้ึน สงั ขารทุกอยา่ งทีป่ ระกอบกนั ข้ึนแลว้ เมือ่ ส่ิงทปี่ ระกอบน้นั ขดั กนั กส็ ่งผลไปเป็นอนิจจงั คือ การเปลีย่ นแปลงไป สงั ขารทเ่ี ป็นทุกขน์ ้ี กห็ มายเอาส่ิงทเ่ี ป็นสังขตธรรม อนั ประกอบดว้ ยอุปาทินกสังขาร และอนุปาทินกสังขาร เหมือนกนั กบั อนิจจงั แต่ในทกุ ขน์ ้ี ทา่ นแยกออกเป็นทกุ ขต์ า่ งๆ ๑๐ ลกั ษณะดงั น้ี ๑. สภาวทกุ ข์ ทกุ ขป์ ระจาํ สังขาร คอื ความเกิด ความแก่ ความตาย ๒. ปกิณณกทกุ ข์ ทกุ ขท์ ี่จรมาเป็นบางขณะ คอื ความโศกเศร้า เสียใจ คบั แคน้ ใจ ๓. นิพทั ธทกุ ข์ ทกุ ขป์ ระจาํ ทีม่ ีตลอด คือ หนาว ร้อน หิว ปวดอจุ จาระ ปวดปัสสาวะ ๔. พยาธิทุกข์ ความป่ วยไข้ ๕. สนั ตาปทุกข์ ทกุ ขท์ ใ่ี จเร่าร้อน กระวนกระวายไป เพราะถกู ไฟคอื กิเลส(ราคะ โทสะ โมหะ)แผดเผา ๖. วปิ ากทุกข์ ผลของกรรมท่ีทาํ ใหเ้ ร่าร้อน เช่น ตกนรก ถกู ลงโทษ ๗. สหคตทุกข์ ทุกขอ์ นั กาํ กบั ไปดว้ ยกนั ๘. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกขเ์ พราะการหาเล้ียงชีพ เช่นหางานทาํ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่าํ (ฟองสบแู่ ตก) ถกู นายจา้ งเลิกจา้ ง หรือทาํ งานหนกั ตลอดท้งั วนั แต่ก็มีเงนิ ไมเ่ พยี งพอแกก่ ารดาํ รงชีวติ เป็นตน้ ๙. วิวาทมูลกทกุ ข์ ทุกขเ์ พราะความทะเลาะววิ าทกนั ๑๐. ทกุ ขขนั ธ์ คือทกุ ขร์ วบยอด ไดแ้ ก่ อุปาทาน ขนั ธ์ ๕ เป็นทกุ ข์ ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมท้งั ปวงเป็นอนตั ตา ในขอ้ น้ี คาํ วา่ ธรรม หมายถงึ สิ่งทเ่ี ป็นสังขตธรรม และอสังขตธรรม รวมกนั เพราะสภาวะทกุ อยา่ ง เมอ่ื แยก ออกจากกนั เป็นส่วนยอ่ ยๆลงไปแลว้ ยอ่ มไมม่ อี ะไรเป็นแกน่ สาร ท่คี งอยไู่ ดอ้ ยา่ งแยกกนั ไมอ่ อก เพราะทุกอยา่ งน้นั เกิด มีข้ึนมาไดเ้ พราะอาศยั สิ่งต่างๆมารวมกนั ประกอบกนั เขา้ (ปฏิจจสมปุ บาท) เมื่อปัจจยั ต่างๆ แยกกนั ออกไป จึงหาสิ่งที่ คงทนอยไู่ มไ่ ด้ ดงั น้นั ทุกอยา่ งจึงเป็นอนตั ตา สงั ขตธรรม ทท่ี า่ นจดั เป็นอนตั ตาน้ี เพราะมีลกั ษณะท่ีจะพงึ รู้ไดด้ ว้ ย ๕ วิธี คอื ๑. ไม่อยใู่ นอาํ นาจ เช่นร่างกายของมนุษยเ์ รา ถา้ หากเป็นตวั ตน(อตั ตา)แลว้ เราจะสามารถบงั คบั มนั ได้ แต่ ตรงกนั ขา้ ม เราไม่สามารถบงั คบั ไดเ้ ลย เช่น ปวดหวั ปวดทอ้ ง ปวกฟัน หรือเป็นโรคตา่ งๆ เป็นตน้ เราทาํ ไดอ้ ยา่ งมาก เพียงบาํ บดั ความเจบ็ ปวดเทา่ น้นั ท้งั น้ีกเ็ พราะมนั เป็นอนตั ตา จึงไมอ่ ยใู่ นอาํ นาจของเรา ๒. ขดั แยง้ ต่ออตั ตา คอื เพราะเป็นอนตั ตานนั่ เองร่างกายเรา หรือวตั ถุสิ่งของอยา่ งอ่นื จึงไม่คงทนอยเู่ ป็นรูปร่าง อยา่ งเดียวไดต้ ลอดไปชว่ั นิรนั ดรได้ จาํ เป็นตอ้ งเปล่ยี นแปลงรูปร่างอาการเป็นไปอยา่ งอนื่ เสมอ เช่น เป็นเดก็ แลว้ เปลีย่ น มาเป็นหนุ่มๆสาวๆ แลว้ กลายเป็นคนแกเ่ ฒา่ ชราและตายไปหาอตั ตาที่คงทนอยไู่ มไ่ ด้ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 34
35 ๓. หาเจา้ ของท่แี ทไ้ มม่ ี (เนตํ มม) ทุกสิ่งทกุ อยา่ ง เร่ิมต้งั แตต่ วั เราเองนน่ั แหละ เมอื่ พดู โดยปรมตั ถแ์ ลว้ ไมม่ ีใคร เป็นเจา้ ของๆตวั เราได้ เพราะเราไมเ่ คยบงั คบั มนั ไดเ้ ลย เมอ่ื หิวห้ามมนั ไมใ่ หห้ ิว เรากห็ า้ มไม่ได้ ปวดหัว ปวดทอ้ ง เป็น โรคตา่ งๆ ก็ตาม เราสง่ั มนั ไม่ให้ปวดไม่ได้ มีแต่เราเทา่ น้นั ทคี่ อยปรนนิบตั ริ ่างกายน้ีอยเู่ สมอ เหมือนทาสผูซ้ ื่อสัตย์ คอย ปรนนิบตั เิ จา้ นายฉะน้นั ๔. เป็นสภาพท่ีสูญหรือวา่ งเปล่า ส่ิงที่เป็นรูปธรรมท่เี รามองเห็นอยนู่ ้ี หากแยกออกเป็นส่วนยอ่ ยๆจากกล่มุ กอ้ น(ฆน) ทม่ี องแยกส่วนลงไปเรื่อยๆ จะหาสิ่งท่ีเป็นรูปร่างน้นั ๆไมพ่ บเลย ร่างกายเราน้ี หากแยกธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ ออกเป็นอยา่ งๆแลว้ กห็ าอะไรไม่พบ เม่อื เป็นเช่นน้ี จึงเป็นสูญ ๕. เป็นไปตามเหตุปัจจยั ไม่มีใครบงั คบั อะไรได้ เมือ่ มเี หตุปัจจยั เกิดกเ็ ป็นไปตามเหตปุ ัจจยั น้นั ๆ สพั เพ สงั ขารา อนิจจา ข้อควรจํา สัพเพ สงั ขารา ทุกขา สงั ขตธรรม ไม่เที่ยง สัพเพ ธมั มา อนตั ตา สงั ขตธรรม เป็นทกุ ข์ สังขตธรรมและอสงั ขตธรรม เป็นอนตั ตา วริ าคะ ความสิ้นกําหนัด ความสิ้นกาํ หนดั ราคะ หรือความหลดุ พน้ จากกิเลสตณั หา อนั จะทาํ ใหต้ ิดขอ้ งและอยกู่ บั การมารมณ์ ซ่ึงเป็น มารและบว่ งแห่งมาร การถงึ ซ่ึงความสิ้นกิเลสตณั หาทีเ่ ป็นวริ าคะน้ี ถา้ พูดให้เขา้ ใจงา่ ยกว่าน้ี ก็คือการบรรลุถงึ นิพพาน นน่ั เอง ท้งั น้ีเพราะวริ าคะ เป็นไวพจน์(คาํ แทนช่ือ หรือช่ือที่ใช้เรียกแทนกนั ได)้ ของนิพพานหรือของอรหตั ต ผล อยา่ งไรกต็ าม คาํ แทนช่ือ(ไวพจน)์ ที่ใชเ้ รียกแทนวริ าคะน้นั มมี ากมายหลายชื่อ ซ่ึงมีท้งั หมด ๘ ช่ือดงั มี รายละเอียดดงั ต่อไปน้ี ๑. มทนิมฺมทโน ธรรมทย่ี งั ความเมาให้สร่าง หมายถึงหมดความเยอ่ หยิง่ ในชาติ วรรณะ ตระกูล ว่า ตนเองเลิศ กวา่ คนอน่ื หรือหมดความมวั เมาเพราะยศตาํ แหน่ง หลงอาํ นาจไมเ่ พลดิ เพลนิ ไปตามวยั ตามความมงั่ มีดว้ ยเครื่องอาํ นวย ความเพลิดเพลนิ เช่น โทรทศั น์ วิทยุ เคร่ืองสุขภณั ฑอ์ นื่ ๆ จนทาํ ใหเ้ สียการงาน เป็นตน้ ๒. ปิ ปาสวนิ โย ความนาํ เสียซ่ึงความกระหาย คือการหมดความกระหายทเี่ ป็นไปดว้ ยเพราะอาํ นาจของตณั หา ๓. อาลยสมุคฺคาโต ความถอนข้ึนดว้ ยดีซ่ึงอาลยั คือการถอนอาลยั คอื ตณั หาไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด เช่น ตณั หาทอี่ ยาก ในกามคณุ เป็นตน้ ๔. วฏฺฏูปจฺเฉโท ความเขา้ ไปตดั เสียซ่ึงวฏั ฏะ คือการตดั ขาดซ่ึงการเวยี นวา่ ยตายเกิดหรือวนเวียน เพราะอาํ นาจ กิเลสกรรมและวิบาก เช่น เมือเกิดกิเลสข้ึน ยอ่ มใหท้ าํ กรรมลงไป และกจ็ ะไดร้ ับผลกรรมน้นั และแลว้ กิเลสก็กลบั เกิดมี ข้นึ มาอกี เป็นเหตุให้ทาํ กรรมและรับผลของกรรมน้นั หมุนเวียนอยอู่ ยา่ งน้นั ตลอดไป จนกว่าจะตดั วฏั ฏะได้ ๕. ตณฺหกฺขโย ความสิ้นแห่งตณั หา ตณั หาในที่น้ีก็หมายเอาตณั หา ๓ อยา่ งคอื กามตณั หา ภวตณั หา และ วิภวตณั หา พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 35
36 ๖. วริ าโค ความสิ้นกาํ หนดั ปราศจากกามราคะหรือเป็นทสี่ ิ้นไปแห่งราคะ วิราคะ น้ีเป็นไวพจนแ์ ห่งนิพพาน เหมอื นกนั ๗. นิโรโธ ความดบั คือการดบั ตณั หาไดส้ ิ้นเชิง ปราศจากความทกุ ข์ ๘. นิพฺพานํ ธรรมชาตหิ าเคร่ืองเสียดแทงมไิ ด้ คอื การดบั กิเลสาวะและกองทกุ ขท์ ้งั ปวงไดเ้ สียแลว้ เป็นโลกตุ ตร ธรรม วมิ ตุ ติ ความหลุดพ้น วิมตุ ติ หมายถึง ความหลุดพน้ จากกิเลสาสวะที่ผูกมดั สตั วใ์ หต้ ิดอยใู่ นสงสาร เวียนว่ายตายเกิดอยรู่ ่าํ ไป เป็น ทกุ ขอ์ ยอู่ ยา่ งน้นั ไมร่ ู้จกั หมดสิ้น การหลดุ พน้ ในทน่ี ้ี หมายเอาการหลดุ พน้ จากอาสวะ คอื กิเลสทหี่ มกั ดองอยใู่ นจิตใจ ทาํ ใหจ้ ิตใจหลงซึมซาบไปตามอารมณท์ ่ีประสบ อาสวะน้นั มีอยู่ ๓ อยา่ ง คือ ๑. กามาสวะ อาสวะคอื กาม ๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ ๓. อวชิ ชาสวะ อาสวะคืออวิชชา วิมุตติ ๒ ตามบาลี ๑. เจโตวมิ ตุ ติ ความหลดุ พน้ ดว้ ยอาํ นาจแห่งใจ เป็นปฏปิ ทาของพระอรหนั ตผ์ สู้ าํ เร็จอริยมรรคดว้ ยการบาํ เพญ็ สมถะและวิปัสสนามาโดยลาํ ดบั ๒. ปัญญาวิมตุ ติ ความหลุดพน้ ดว้ ยอาํ นาจแห่งปัญญา เป็นปฏิปทาของพระอรหนั ตผ์ ูส้ าํ เร็จอริยผล ดว้ ยการ เจริญวิปัสสนาอยา่ งเดียว อยา่ งไรก็ดี วิมตุ ติน้ีท่านยงั จาํ แนกออกไปอีก ซ่ึงเป็นไดท้ ้งั วิมุตตแิ บบปถุ ชุ นคนธรรมดา และวิมตุ ติแบบพระ อรหันต์ ซ่ึงท้งั หมดมี ๕ อยา่ ง คือ ๑. ตทงั ควมิ ตุ ติ พน้ ดว้ ยองคน์ ้นั ๆ ไดแ้ ก่ พน้ จากกิเลสดว้ ยองคธ์ รรมที่เป็นคูป่ รบั ตรงกนั ขา้ มกบั ธรรมน้นั ๆ เช่น เกิดความโกรธ กแ็ กด้ ว้ ยเมตตา เป็นตน้ ๒. วกิ ขมั ภนวิมุตติ พน้ ดว้ ยการขม่ ไว้ ไดแ้ ก่ทา่ นผูบ้ าํ เพญ็ ฌานสมาบตั ิใด เม่อื เขา้ ฌานก็สามารถขม่ นิวรณ์ทท่ี าํ ให้จิตเศร้าหมองไวไ้ ด้ ดว้ ยองคแ์ ห่งฌานน้นั ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ พน้ ไดเ้ ด็ดขาด คอื ดบั กเลสไดอ้ ยา่ งสิ้นเชิงดว้ ยโลกตุ ตรมรรค ๔. ปฏปิ ัสสัทธิวิมุตติ พน้ ดว้ ยความสงบระงบั คือดว้ ยการท่โี ลกตุ ตรธรรมน้นั ดบั กิเลสไดโ้ ดยสิ้นเชิงไปแลว้ จึง ทาํ ใหบ้ รรลุโสดาปัตตผิ ล กิเลสเป็นอนั ดบั ไปหมด ๕. นิสสรณวิมตุ ติ พน้ ดว้ ยการสลดั ออก ไดแ้ ก่ การดบั กิเลสไดโ้ ดยสิ้นเชิงแลว้ เป็นการพน้ ตลอดไป คอื ดาํ รง ในพระนิพพาน เป็นโลกตุ ตรวมิ ตุ ติ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 36
37 ขอ้ ควรจาํ ตทงั ควิมุตติ เป็นโลกิยวมิ ตุ ติ วิกขมั ภนวิมุตติ เป็นโลกุตตรวมิ ุตติ สมจุ เฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ วิสุทธิ ความหมดจด วสิ ุทธิ ความบริสุทธ์ิหรือความหมดจดดว้ ยการชาํ ระจิตใจให้บริสุทธ์ิ ให้บริบูรณ์ ดว้ ยการบาํ เพญ็ โดยลาํ ดบั จน ไดบ้ รรลุถงึ พระนิพพาน ในทนี่ ้ียกตวั อยา่ งทางบริสุทธ์ิมาไวเ้ พยี ง ๒ ทาง คือ ๑. บริสุทธ์ิดว้ ยทางปัญญา (ป�ฺญาย ปริสุชฺฌติ) ๒. บริสุทธ์ิดว้ ยทางปฏิบตั ิ (เอสะ มคฺโค วิสุทฺธิยา) การปฏบิ ตั ติ นใหบ้ ริสุทธ์ิหมดจดดว้ ยปัญญาน้นั ท่านจดั ข้นั ตามลกั ษณะที่ใชป้ ัญญาพจิ ารณา เป็นข้นั ๆไปเป็น ๙ อยา่ ง(วิปัสสนาญาณ ๙) ดงั น้ี ๑. อุทยพั พยานุปัสสนาญาณ ปัญญาท่พี จิ ารณาเห็นความเกิดดบั ของขนั ธ์ ๕ ๒. ภงั คานุปัสสนาญาณ ปัญญาเห็นชดั เขา้ ไปอีกว่า สงั ขารท้งั ปวงลว้ นแต่จตั อ้ งดบั สลายไปหมด ๓. ภยตปู ัฏฐานญาณ ปัญญาพิจารณาเห็นสงั ขารว่า เป็นของน่ากลวั ๔. อาทนี วานุปัสสนาญาณ ปัญญาเห็นโทษของสังขาร ทีต่ อ้ งแตกสลายไป เพราะความทุกข์ ๕. นิพพทิ านุปัสสนาญาณ ปัญญาเมอื่ พิจารณาเห็นโทษแลว้ ก็เกิดความเบอ่ื หน่าย ๖. มุญจิตกุ มั ยตาญาณ ปัญญาท่คี าํ นึงถงึ ความใคร่ทจี่ ะพน้ ไปเสีย จากสังขารเหลา่ น้ี ๗. ปฏิสงั ขานุปัสสนาญาณ ปัญญาพจิ ารณาหาทาง กาํ หนดสังขาร เป็นไตรลกั ษณ์ ๘. สังขารุเปกขาญาณ ปัญญาญาณท่มี องโดยเป็นกลางต่อสังขาร ยดึ เอาพระนิพพานเป็นที่สุด ๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ ปัญญาญาณทีห่ ยงั่ รู้ถึงอริยสัจ ๔ ไม่ยึดมนั่ ในสังขาร มีญาณอนั มงุ่ ตรง ไปสู่พระนิพพาน อนั เป็นข้นั สุดทา้ ย แลว้ สาํ เร็จเป็นพระอริยบคุ คลตอ่ ไป ส่วนวิธีทบ่ี ริสุทธ์ิดว้ ยการปฏบิ ตั นิ ้นั หนทางที่จะปฏิบตั ิตามไดเ้ พ่ือใหบ้ รรลุอริยผล ก็คอื มรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๒. สมั มาสังกปั ปะ ความดาํ หริชอบ ๓. สมั มาวาจา การเจรจาชอบ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 37
38 ๔. สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ ๕. สมั มาอาชีวะ การเล้ียงชีวิตชอบ ๖. สมั มาวายามะ ความพยายามชอบ ๗. สมั มาสติ ความระลกึ ชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ความตง่ั ใจมนั่ ชอบ ผลจากการปฏบิ ตั ติ ามมรรคมอี งค์ ๘ ประการน้ี หรือดว้ ยวิธีเจริญปัญญาตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ทก่ี ล่าว มาแลว้ กต็ าม ผลท่ีสุดกค็ อื ตอ้ งการบรรลถุ ึงความบริสุทธ์ิ สะอาดปราศจากกิเลสาสวะท่ีหมกั หมมอยใู่ นสนั ดานของตน ท้งั น้นั ความบริสุทธ์ิทบ่ี รรลถุ งึ พระอรหนั ตแ์ ลว้ คงไม่จาํ เป็นตอ้ งกลา่ วถงึ แต่เม่อื กาํ ลงั ปฏิบตั เิ พ่อื บรรลอุ ยู่ ท่านก็จาํ แนก ความบริสุทธ์ิออกไวเ้ ป็นข้นั ๆของการปฏบิ ตั ิ ไปเป็นลาํ ดบั จนไดบ้ รรลุถึงพระนิพพานมี ๗ ข้นั คือ ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล ๒. จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ๓. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งทฏิ ฐิ ๔. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ความหมดจดข้นั ทก่ี าํ จดั ความสงสยั เสียได้ ๕. มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณท่รี ู้เห็นว่า เป็นทางหรือมใิ ช่ทางทจี่ ะตรัสรู้ได้ ๖. ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ อนั รู้จกั ทางทคี่ วรดาํ เนินไป ๗. ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ มรรค ๘ เทียบกบั วิสุทธิ ๗ ดงั น้ี - สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สมั มาอาชีวะ สงเคราะห์เขา้ ในสีลวสิ ุทธิ - สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์เขา้ ในจิตตตวสิ ุทธิ - สัมมาทิฏฐิ สัมมาสงั กปั ปะ ไดใ้ นวิสุทธิ ๕ เป็นลาํ ดบั โดยท่ีสมั มาสงั กปั ปะทาํ กิจพจิ ารณา สมั มาทิฏฐิ ทาํ กิจ สันนิษฐาน ข้อควรจาํ สีลวสิ ุทธิ สีลสิกขา จิตตวิสุทธิ จิตตสิกขา ทิฏฐิวสิ ุทธิ ปัญญาสิกขา กงั ขาวติ รณวิสุทธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 38
39 สันตคิ วามสงบ สันติ ความสงบหรือความบริสุทธ์ิที่เป็นทางจะทาํ ใหผ้ มู้ ีสันติอยใู่ นโลกอนั ว่นุ วายน้ี ดว้ ยความสงบสุข ระงบั ไม่วนุ่ วายไปตามโลก ในบทน้ีท่านแบบการปฏบิ ตั ไิ ปสู่สนั ตนิ ้นั เป็น ๓ ลกั ษณะดว้ ยกนั คอื ๑. ทางไปสู่สันติ คือ สนฺติ มคฺเคว พฺรุหย แปลวา่ ทา่ นจงเพิ่มพูนทางสงบน้นั แล ๒. วิธีการเขา้ ถึงสนั ติ คือ โลกามสิ ํ ปชเห สนฺติเปกโข แปลวา่ ผูต้ อ้ งการความสงบพงึ ละโลกามสิ เสีย ๓. ผลแห่งสนั ติ คอื นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ แปลวา่ ไมม่ สี ุขอื่นท่ปี ระเสริฐกวา่ ความสงบ ทางท่ีจะนาํ ไปสู่ความสงบน้นั ซ่ึงม่งุ ถงึ ความสงบภายนอกอนั จะเป็นเหตุทาํ ให้สงั คมหรือเรากบั ผูอ้ ืน่ อยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบสุขร่มเยน็ ไมท่ าํ ให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะความขดั แยง้ กนั ทา่ นไดส้ อนวธิ ีการปฏบิ ตั ิต่อกนั ดว้ ย คณุ ธรรม ๖ ประการ คือ ๑. ไม่เบยี ดเบียนกนั ๒. ชกั นาํ เพ่อื ความสามคั คี ๓. ไม่ทะเลาะววิ าทกนั ๔. กลา่ วแต่ถอ้ ยคาํ สุภาพ ๕. มจี ิตเมตตากรุณา ๖. ทาํ จิตให้ผอ่ งใส เมอ่ื วา่ ถงึ ความสนั ตภิ ายในแลว้ กเ็ ป็นเร่ือง ท่ีเก่ียวกบั จิตใจ ถา้ หากจิตใจมคี วามสงบไม่คิดฟ้งุ ซ่านไปตามอาํ นาจ แห่งกิเลส กจ็ ดั เป็นความสุขภายใน การจะบงั คบั จิตใหไ้ ปสู่สนั ตภิ ายในไดน้ ้นั กค็ อื พึงละอามสิ ในโลกเสีย อามิสทพี่ ูดถงึ น้ี หมายถงึ กามคณุ ๕ ประการ (รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ) ถา้ หากมีจิตยนิ ดีเพลิดเพลนิ ไป ตามกามคุณน้นั อยู่ ชอบเทีย่ วตามคลบั ตามบาร์ ฟังเพลงเท่ียวเริงรมยต์ ่างๆไมข่ าด ยอ่ มทาํ ใหจ้ ิตใจพวั พนั อยดู่ ว้ ยกามคณุ มีจิตยินดีเมือ่ ได้ เสียใจเศร้าโศกเมื่อเสียไป ร่ําไห้คร่าํ ครวญเม่อื ของรักจากไป เมือ่ เป็นเช่นน้ีใจยอ่ มไมส่ งบ เพื่อจะให้ถึง ซ่ึงสนั ตสิ ุขภายใน ทา่ นจึงสอนใหล้ ะโลกามิสเหล่าน้ีเสีย เม่ือละไดแ้ ลว้ ใจยอ่ มสงบเป็นเหตทุ าํ ใหบ้ รรลุถงึ สนั ติหรือ นิพพานอนั เป็นบรมสุขต่อไปได้ ในสันตขิ อ้ สุดทา้ ยน้ี มีความหมายเทา่ กนั กบั นิพพาน คือ หมายถงึ การดบั กิเลสและกองทกุ ข์ เป็นบรมสุขเช่นกนั สันตติ ามทีอ่ ธิบายมาท้งั ๓ ลกั ษณะน้ี เป็นไดท้ ้งั ส่วนที่เป็นโลกิยะ และโลกตุ ตระตามแตข่ ้นั ตอนของสนั ติ ท่ีจะ ละบาปธรรมไดม้ ากนอ้ ยกว่ากนั เพยี งนิด นพิ พาน การดับกิเลสและกองทุกข์ พระนิพพาน เป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา คือการดบั กิเลสตณั หาใหส้ ิ้นเชิง ไร้ทุกขเ์ ป็นบรมสุข เพราะพระพุทธศาสนา ไม่ไดน้ บั ถอื พระเจา้ หรือสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิอนื่ นอกเหนือจากตนเอง ไม่ถือว่าความสุขจะไดม้ าจากเทพ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 39
40 เจา้ หรือเทวดาประทานให้ แตก่ ลบั มองเห็นวา่ สงสาร การเวยี นวา่ ยตายเกิดอยรู่ ่าํ ไปเช่นน้ีเป็นความทกุ ข์ การพน้ ไปจาก ความทุกข์ คอื การละกิเลสาสวะใหห้ มดไป เพื่อบรรลพุ ระนิพพาน เพราะการปฏิบตั ิเพ่ือความพน้ ทกุ ขต์ อ้ งปฏิบตั ดิ ว้ ย ตนเองเทา่ น้นั จะพ่งึ คนอ่นื ในการทาํ ให้ตนเองบรรลถุ ึงความพน้ ทกุ ขไ์ มไ่ ด้ พระนิพพานในท่ีน้ี ทา่ นแยกออกเป็น ๓ ลกั ษณะ คอื ๑. ภาวะของนิพพาน คอื ภาษิตที่วา่ “นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พทุ ฺธา พระพุทธเจา้ ท้งั หลายตรัสนิพพานวา่ เป็น ยอด” ๒. วิธีการเขา้ สู่พระนิพพาน มภี าษติ วา่ “นิพฺพานคมนํ มคฺคํ ขิปฺปเมว วโฺ สธเย พงึ รีบชาํ ระหนทางไปสู่พระ นิพพานโดยเร็ว” ๓. ผลแห่งพระนิพพาน มภี าษติ วา่ “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นความสุขอยา่ งยิ่ง” ความหมายของแต่ละลกั ษณะ ดงั มีรายละเอยี ดจะอธิบายเป็นลาํ ดบั ดงั น้ี ภาวะของนิพพาน นิพพานเป็นช่ือของความสุขข้นั ปรมตั ถ์ ซ่ึงไดจ้ ากการที่ดบั กิเลสไดส้ ิ้นเชิงแลว้ ไมม่ อี าสวะหมกั ดองอยใู่ นจิตใจ เป็นกานสิ้นสุดการเวยี นวา่ ยตายเกิด พระนิพพานน้ีจะปรากฏข้ึนต่อเมอ่ื อวชิ ชา ตณั หา อุปาทานดบั ไป มนุษยป์ ุถชุ นทกุ คน ยอ่ มถูกอวิชชา ตณั หา อุปาทานเหล่าน้ีครอบงาํ จิตใจอยตู่ ลอดเวลา ปิ ดบงั ปัญญาไว้ เป็นตวั ชกั ใยนาํ เอากิเลสตา่ งๆให้ ไหลเขา้ สู่จิตใจ ทาํ ให้ใจว่นุ วายขนุ่ หมองไปตามกิเลสทเี่ ขา้ มาน้นั บางคร้ังก็ยินดีเพลิดเพลิน บางคร้ังกเ็ ศร้าโศก เม่ือใดที่ อวิชชา ตณั หา และอปุ าทานดบั ไป เมอ่ื น้นั ปัญญาจึงจะเกิด วชิ ชาจึงจะเกิด ทาํ ให้จิตใจผอ่ งใสสะอาดสงบ ละเอียดออ่ น ประณีต แจ่มใส อยา่ งไรก็ตาม พระนิพพานน้ี จะมีลกั ษณะเป็นอยา่ งไรแน่ เราปุถชุ นกเ็ พียงแต่คาดคะเนเอาหรือรู้ตามท่ที ่านสอน ต่อๆกนั มา ผทู้ จ่ี ะรู้นิพพานไดด้ ีทส่ี ุดก็คอื ผูบ้ รรลถุ งึ นิพพานเอง จะรู้แจง้ ไดด้ ว้ ยตนเอง เพราะพระนิพพานเป็นธรรมที่ ประณีตมาก ยากทปี่ ถุ ชุ นซ่ึงหนาไปดว้ ยกิเลสจะรู้ตามได้ ดงั น้นั พระพุทธเจา้ เมอ่ื ทรงตรัสรู้แรกๆ จึงทอ้ แทใ้ จในการ ประกาศธรรม เพราะทรงดาํ ริเห็นวา่ ธรรมทพ่ี ระองคไ์ ดบ้ รรลแุ ลว้ น้นั เป็นธรรมอนั ลกึ ซ้ึง รู้ตามไดย้ าก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไมห่ ยง่ั ลงสู่ตรรก(ไม่อยใู่ นวิสัยของวชิ าตรรกศาสตร์) ละเอียดอ่อน เป็นวสิ ยั ทีบ่ ณั ฑติ จะพึงรู้แจง้ นิพพานน้ี เม่ือว่าโดยประเภทแลว้ ทา่ นจาํ แนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. สอุปาทเิ สสนิพพาน ดบั กิเลสยงั มีเบญจขนั ธ(์ ขนั ธ๕์ ) เหลอื หรือพระนิพพานของพระอรหนั ต์ ในเวลาที่ เสวยอารมณต์ ่างๆท้งั สุขและทุกขท์ างอนิ ทรีย์ ๕ แตก่ ารรับอารมณ์หรือเสวยอารมณข์ องจิตพระอรหันตน์ ้ี ไมม่ ีราคะ โทสะ และโมหะ ไปตามอารมณ์น้นั เป็นการเสวยอารมณด์ ว้ ยจิตใจท่ปี ลอดโปร่งเป็นอสิ ระ หรือจะอธิบายความวา่ “สอุ ปาทเิ สสนิพพาน” น้ีไดแ้ ก่ภาวะจิตของพระอรหนั ต์ ซ่ึงปลอดโปร่งเป็นอสิ ระ ไม่ถกู ปรุงแต่งบงั คบั ดว้ ยราคะ โทสะ โมหะ ทาํ ให้พระอรหันตน์ ้นั ผูม้ อี ินทรียส์ าํ หรับรับรู้อารมณต์ ่างๆบริบูรณ์ดีอยตู่ ามปกติ เสวยอารมณท์ ้งั หลายดว้ ยจิต อสิ ระดว้ ยปัญญาท่รี ู้เท่าทนั ตามธรรมชาติของมนั การเสวยอารมณ์หรือเวทนานนั่ ไม่ถกู กิเลสครอบงาํ หรือชกั จงู ได้ จึง ไมท่ าํ ให้เกิดตณั หาท้งั ในทางยนิ ดี ยินร้าย ชอบหรือชงั ตดิ ใจหรือขดั ใจ พดู อกี อยา่ งว่า ไม่มีตณั หาที่ปรุงแตง่ ภพหรือ นาํ ไปสู่ภพ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 40
41 ๒. อนุปาทเิ สสนิพพาน ดบั กิเลสไม่มีเบญจขนั ธ์เหลอื หรือนิพพานของพระอรหนั ตท์ ีพ่ น้ จากการเสวยอารมณ์ ดว้ ยอินทรีย์ ๕ หรือเป็นภาวะของพระนิพพานลว้ นๆทพี่ ระอรหนั ตป์ ระสบในเม่อื การสิ้นสุดการรับอารมณ์ทางประสาท ท้งั ๕ แลว้ หรือหลงั จากที่พระอรหันตต์ ายแลว้ นัน่ เอง มรรควถิ ีเขา้ สู่นิพพาน การปฏิบตั เิ พ่ือใหบ้ รรลุพระนิพพานน้นั มีหลายอยา่ งตามท่นี กั เรียนไดเ้ รียนมาแลว้ เช่นปฏิบตั ติ ามมรรคมีองค์ ๘ การประกอบความเพียรโดยไมป่ ระมาท, การทาํ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน, การละอวิชชา ตณั หา และ อุปาทาน, การละสงั โยชน์ และอีกหลายอยา่ ง หลายช่ือ อยา่ งไรกต็ าม ท้งั หมดน้นั กล็ ว้ นแต่เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน เหมือนกนั ท้งั น้นั เหมอื นประเทศไทย หนทางทจ่ี ะมุ่งตรงมายงั กรุงเทพฯน้นั ก็มีหลายทาง ไมว่ า่ จะเป็นภาคเหนือ, อีสาน , ใต้ ก็มีหนทางเหมอื นกนั ท้งั ทางบกทางน้าํ ทางอากาศ แลว้ แต่คนจะสมคั รใจมาทางไหน ทางไปสู่นิพานก็เช่นเดียวกนั ดงั น้นั ตามประวตั พิ ระอริยสาวกในอดีตทีบ่ รรลพุ ระอรหันต์ จึงมกั จะไม่เหมือนกนั บางท่านบรรลเุ พราะใชส้ มถะและ วปิ ัสสนา,บางทา่ นบรรลุเพราะความสังเวชสลดใจ,บางท่านบรรลเุ พราะฟังธรรม เป็นตน้ ในทน่ี ้ีจะแสดงทางเขา้ สู่พระนิพพานดว้ ยมรรคมอี งค์ ๘ ประการ มรรคมอี งค์ ๘ หรือเรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่า มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ทางสายกลาง อนั เป็นอริยสัจขอ้ สุดทา้ ย คือ มรรค ซ่ึงเป็นหลกั ธรรมท่ปี ระมวลเอาคาํ สอนภาคปฏบิ ตั ิ อนั จะช่วยให้ดาํ เนินไปสู่จดุ หมายสูงสุด คอื พระนิพานไดง้ ่ายข้นึ มรรคมีองค์ ๘ น้ีท่านเรียกวา่ มรรค ๘ เลย อาจจะทาํ ให้เขา้ ใจกนั ผิดไปวา่ ทาง ๘ สาย ท่ีถูกคือทางสายเดียวกนั แตท่ ีองคป์ ระกอบอยดู่ ว้ ยกนั ๘ อยา่ ง เหมือนกบั ตาข่ายหรือแห หรือสวิง มนั จะเป็นตาข่าย หรือสวิงได้ ก็เพราะมดี า้ ย หลายเสน้ มาผูกตอ่ ร้อยรัดรึงกนั ไว้ จึงไดช้ ื่อวา่ ตาขา่ ย เป็นตน้ ได้ มรรคมอี งค์ ๘ น้ีก็เช่นเดียวกนั มอี งคธ์ รรม ๘ อยา่ งน้ี อาศยั เกาะกนั เป็นทางเดียวกนั จึงเรียกวา่ มรรค ซ่ึงเรียกชื่อเตม็ วา่ อริยอฏั ฐงั คิกมรรค หรือ อริยอษั ฏางคกิ มรรค แปลวา่ ทางทมี่ อี งคป์ ระกอบอนั ประเสริฐ ๘ อยา่ ง ซ่ึงพระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ องคป์ ระกอบ ๘ ประการของมรรคน้นั มดี งั น้ี สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ สัมมาทฏิ ฐิ มีองคธ์ รรม ๔ ประการ คือ ๑. การเขา้ ใจความทุกข์ ๒. การเขา้ ใจเหตเุ กิดแห่งทุกข์ ๓. การเขา้ ใจความดบั แห่งทุกข์ ๔. การรู้จกั หนทางทจ่ี ะนาํ ไปสู่ความดบั ทกุ ข์ สัมมาทิฏฐิน้ี แยกออกเป็ น ๒ อย่าง คือ ๑. โลกิยสมั มาทฏิ ฐิ คอื ความเห็นวา่ ทานและการบูชาไมเ่ ป็นของที่ไร้ผล กรรมดีกรรมชว่ั ก็มีผล มวี บิ าก โลกน้ี และโลกหนา้ มอี ยู่ มารดาบิดามคี ณุ สัตวท์ เ่ี ป็นอุปปาติกะมอี ยู่ สมณพราหมณท์ ้งั หลายผปู้ ฏบิ ตั ดิ ีปฏบิ ตั ชิ อบ ดาํ เนิน ในทางทถ่ี ูกแลว้ ประกาศโลกน้ีและโลกหนา้ ซ่ึงทา่ นไดเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ แลว้ แกช่ าวโลกยงั มอี ยู่ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 41
42 ๒. โลกุตตรสมั มาทฏิ ฐิ คอื ปัญญาท่ีแทงตลอด พรั่งพร้อมไปดว้ ยมรรค มจี ิตไกลจากขา้ ศกึ กิเลส ไมม่ อี าสวะ พร่ังพร้อมไปดว้ ยอริยมรรค เป็นองคแ์ ห่งมรรค สมั มาสังกปั ปะ ความดาํ ริชอบ สัมมาสังกัปปะนี้มอี งค์ธรรม ๓ ประการ คือ ๑. ความดาํ ริออกจากกาม ๒. ความดาํ ริในความไมพ่ ยาบาท ๓. ความดาํ ริในความไม่เบยี ดเบียน สัมมาสังกปั ปะน้ี แยกออกเป็ น ๒ อย่าง คือ ๑. โลกิยสัมมาสงั กปั ปะ คอื ความดาํ ริออกจากกาม ออกจากพยาบาท และออกจากการเบียดเบียน ซ่ึงเป็นส่วน แห่งบุญ นาํ วบิ ากผลอนั ดีงามมาให้ ๒. โลกตุ ตรสมั มาสังกปั ปะ คือ ส่ิงที่เป็นความตรึกตรอง การใคร่ครวญ ความดาํ ริการพินิจ การยกจิตข้ึนสู่ อารมณ์ จิตทเ่ี ป็นอริยะ เหินห่างจากโลกและเกิดร่วมกบั อริยมรรค ดาํ เนินตามอริยมรรค วจีสงั ขารเหล่าน้ี เรียกวา่ โลกุตตรสมั มาสังกปั ปะ ซ่ึงเป็นของไมเ่ ท่ยี งในโลก แต่เป็นของที่พน้ จากโลกและเป็นองคแ์ ห่งมรรค สัมมาวาจา การเจรจาชอบ สัมมาวาจาน้ี มีองค์ธรรม ๔ ประการ คือ ๑. การเวน้ จากการพูดเทจ็ ๒. การเวน้ จากการพดู ส่อเสียด ๓. การเวน้ จากการพูดคาํ หยาบ ๔. การเวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้ คอื พูดถูกกาลถกู สมยั พูดตามความจริง พดู คาํ ท่มี ีประโยชน์ พูดถกู ธรรมถกู วินยั คาํ พูดของเขาเป็นประดุจขุมทรพั ย์ พดู ในขณะทส่ี มควร พรง่ั พร้อมไปดว้ ยเหตุผล พอเหมาะพอควร และมี ความหมาย สัมมาวาจาน้ี แยกออกเป็ น ๒ อย่าง คือ ๑. โลกิยสัมมาวาจา คอื การงดเวน้ จากวจีทุจริต ๔ อนั ไดแ้ ก่ เวน้ จากพูดเทจ็ เวน้ จากพดู ส่อเสียด ยใุ ห้เขาแตก กนั เวน้ จากคาํ พดู คาํ หยาบ และเวน้ จากพูดเพอ้ เจอ้ เหล่าน้ี ๒. โลกตุ ตรสมั มาวาจา คือ เป็นความรงั เกียจตอ่ การพูดมจิ ฉาวาจา ๔ อยา่ งน้นั แลว้ การละ การงด การมีเจตนา ยบั ย้งั จากวจีทจุ ริต ๔ น้นั มีจิตเป็นอริยะ หาอาสวะมไิ ด้ พรัง่ พร้อมดว้ ยอริยมรรค และดาํ เนินตามอริยมรรค สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ สัมมากมั มันตะนี้ มอี งค์ธรรม ๓ ประการ คือ ๑. การงดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ๒. การงดเวน้ จากการขโมย พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 42
43 ๓. การงดเวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม สัมมากมั มันตะน้ี ยังแบ่งเป็ นอกี ๒ ประการ คือ ๑. โลกิยสัมมากมั มนั ตะ คอื การเวน้ จากการประพฤตเิ ป็นกายทจุ ริต ๓ อยา่ งที่กลา่ วมาแลว้ ซ่ึงอนั เป็นผลและ นาํ วบิ ากผลอนั ดมี าให้อยา่ งโลกๆ ๒. โลกตุ ตรสมั มากมั มนั ตะ คอื การละทจุ ริต ๓ อยา่ งน้นั แลว้ ยบั ย้งั ไม่กระทาํ มใี จเป็นอริยะ เหินห่างจากโลก และพรัง่ พร้อมไปดว้ ยมรรค ดาํ เนินตามอริยมรรค น้ีแลเป็นโลกตุ ตระ เป็นองคม์ รรค สมั มาอาชีวะ อาชีพทีช่ อบธรรม สัมมาอาชีวะน้ี มีองค์ธรรม ๒ ประการ คือ ๑. เวน้ จากวิชาการหาเล้ียงชีพในทางท่ผี ิด เช่น การหลอกลวง หักหลงั กนั คดโกง ทจุ ริตคอรปั ชนั่ ฉอ้ ราษฎร์บงั หลวง เป็นตน้ ๒. หาเล้ยี งชีพในทางถูกตอ้ ง เช่น ไม่คดโกงหลอกลวง ไม่ทุจริตคอรัปชนั่ ไมค่ า้ ของผิดกฎหมาย ผดิ ศีลธรรม อนั ดีของมนุษยเ์ ป็นตน้ สมั มาอาชีวะน้ี ยงั แบง่ เป็นอกี ๒ อยา่ ง คอื ๑. โลกิยสัมมาอาชีวะ คืออริยสาวกในธรรมวนิ ัยน้ี ยอ่ มละมจิ ฉาอาชีวะ เล้ียงชีพดว้ ยสมั มาอาชีวะ เช่นน้ี เป็น วิธีดาํ เนินการเล้ยี งชีพแบบโลกๆ จะทาํ ให้เกิดผลวบิ ากทีด่ ี ๒. โลกตุ ตรสัมมาอชีวะ คอื การงดเวน้ และยบั ย้งั จากการกระทาํ เช่น มใี จเป็นอริยะ เหินห่างจากโลก มีจอต ปราศจากอาสวะพรง่ั พร้อมดว้ ยอริยมรรค ดาํ เนินตามอริยมรรค เช่นน้ีเป็นการพน้ จากโลกและสมั ปยตุ ดว้ ยมรรค สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ สัมมาวายามะ มอี งค์ธรรม ๔ ประการ คือ ๑. สังวรปธาน คือพระอริยสาวกเกิดความพอใจเพือ่ ระวงั การเกิดข้ึนแห่งบาปธรรม ปรารภความเพียร ประคอง จิตไว้ ต้งั จิตไวเ้ พื่อมใิ หอ้ กศุ ลธรรมอนั ลามกท่ยี งั ไมเ่ กิดบงั เกิดข้ึน หมายความวา่ เม่อื พระอริยสาวก เห็นรูป หรือไดฟ้ ัง เสียง เป็นตน้ แลว้ ระวงั ไม่ให้ยินดียนิ ร้ายไปตาม คุม้ ครองอนิ ทรียส์ าํ รวมอินทรียไ์ วไ้ ด้ ๒. ปหานปธาน คือพระอริยสาวก เกิดฉนั ทะเพือ่ ละอกุศลธรรมอนั ลามกที่บงั เกิดข้นึ แลว้ เพื่อใหก้ ุศลธรรมที่ ยงั ไม่เกิดบงั เกิดข้ึน ทา่ นยอ่ มละ ยอ่ มขบั ไล่ หรือทาํ ลายและกาํ จดั อกศุ ลธรรมทเ่ี กิดข้ึนแลว้ ให้อนั ตรธานไปได้ ๓. ภาวนาปธาน คือพยายามยงั กศุ ลธรรมอนั ดีที่ยงั ไม่เกิด ให้เกิดข้นึ มคี วามเพยี รพยายามประคบั ประคองต้งั จิต ไว้ พยายามเจริญองคธ์ รรมแห่งการตรัสรู้ กลา่ วคอื สติ ธมั มวิจยะ วริ ิยะ ปี ติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา เป็นตน้ ๔. อนุรกั ขนาปธาน คอื เพยี รพยายามเพ่อื รกั ษากศุ ลธรรมทีเกิดข้ึนแลว้ เอาไวไ้ มใ่ ห้กุศลธรรมเหล่าน้นั สูญไป แต่ทาํ ใหก้ ุศลธรรมเหล่าน้นั เจริญ ทาํ ใหแ้ กก่ ลา้ ให้เจริญยง่ิ ไพบูลย์ เตม็ เปี่ ยมอยเู่ สมอ เช่น รกั ษาสมาธิทเี่ จริญได้ ไมใ่ ห้ เส่ือม เป็นตน้ สมั มาวายามะน้ี สามารถเกิดข้ึนร่วมกบั มรรคมอี งค์ ๘ ไดท้ กุ หวั ขอ้ สมั มาสติ ความระลกึ ชอบ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 43
44 สัมมาสติ มอี งค์ธรรม ๔ ประการ หรือทีเ่ รียกว่า สตปิ ัฏฐาน ๔ นั่นเอง คือ ๑. กายานุปัสสนา การพจิ ารณากายใหร้ ู้เท่าทนั อาการของกาย ๒. เวทนานุปัสสนา การพจิ ารณาใหร้ ู้เท่าทนั เวทนา ๓. จิตตานุปัสสนา การพิจารณาให้รู้เท่าทนั จิต ๔. ธมั มานุปัสสนา การพิจารณาใหร้ ู้เท่าธรรม สมั มาสตนิ ้ี กเ็ กิดร่วมกบั มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ อนื่ ไดท้ ุกขอ้ ๑. กายานุปัสสนา สตปิ ัฏฐาน ๔ สมั พนั ธก์ บั ขนั ธ์ ๕ ดงั น้ี ๒. เวทนานุปัสสนา รูปขนั ธ์ ๓. จิตตานุปัสสนา เวทนาขนั ธ์ ๔. ธมั มานุปัสสนา วิญญาณขนั ธ์ สญั ญาขนั ธแ์ ละสงั ขารขนั ธ์ สัมมาสมาธิ ความต้ังใจมัน่ ชอบ สัมมาสมาธิน้ีเป็นองค์ สุดทา้ ย และเป็นขอ้ ทมี่ ีเน้ือหาสาํ หรบั ศึกษามาก เพราะเป็นเรื่องของกาฝึกอบรมในข้นั ลกึ ซ้ึง เป็นเรื่องละเอยี ดประณีต ท้งั ในแงท่ ี่เป็นเรื่องของจิต และในแง่ปฏิบตั ิ ซ่ึงมรี ายละเอียดกวา้ งขวางซบั ซอ้ น เป็นจุด และเป็นสนามรวมของการปฏิบตั ิ สัมมาสมาธนิ ี้ มแี บ่งออกเป็ น ๒ ประการ คือ ๑. อปุ จารสมาธิ ความสงบแน่วแน่ทใ่ี กลต้ อ่ การทจ่ี ิตจะไดอ้ งคฌ์ าน ๒. อปั ปนาสมาธิ ความสงบแน่นิ่งอยใู่ นอารมณ์เดียว เป็นสมาธิในองคฌ์ าน ผลแห่งนิพพาน พระนิพพาน คอื ภาวะท่ีสิ้นกิเลสหมดตณั หา หรือสิ้นราคะ โทสะ โมหะ (รากเงา่ แห่งอกุศลธรรมทกุ อยา่ ง) เป็น เหตุให้ผบู้ รรลุ มีชีวติ สมั พนั ธ์กบั โลกภายนอกอยา่ งไม่เป็นทกุ ข์ ไร้ความทกุ ข์ มีแต่ความสุข อาํ นวยประโยชนเ์ ก้ือกูลให้ ดงั คาํ ภาษิตท่อี า้ งไวว้ า่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอยา่ งยิ่ง อยา่ งไรกต็ าม ความสุขอนั เกิดจากผลแห่งนิพพานน้ีน้นั ยากทจี่ ะอธิบายได้ ผทู้ ปี่ ระสบแลว้ หรือบรรลแุ ลว้ เทา่ น้นั จึงจะรู้ไดแ้ น่ว่าเป็นเช่นไร เพราะสิ่งน้ีเป็นปัจจตั ตงั รู้ไดเ้ ฉพาะตน สังสารวฏั การเวยี นว่ายตายเกดิ สงั สารวฏั การเวยี นว่ายอยใู่ นโลก หรือภพท่เี วียนเกิดเวียนตายของสรรพสัตว์ ผทู้ ่มี อี าสวกิเลสหมกั หมมหมกั ดองอยใู่ นจิตใจ ตราบใดที่จิตไมบ่ ริสุทธ์ิสะอาดจากอาสวกิเลส กจ็ ะมกี ารเวียนว่ายตายเกิดอยรู่ ่ําไป การเวียนว่ายตายเกิดอยใู่ นท่นี ้ี ทา่ นแสดงเป็นปุคคลาธิษฐาน ถึงสถานท่ีจะเวยี นวา่ ยตายเกิดอยมู่ ี ๒ สถาน คือ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 44
45 ๑. ทีไ่ ม่ดีหรือทุคติ มีภาษติ ว่า “จิตฺเต สงฺกิลฏิ ฺเฐ ทคุ ฺคติ ปาฏิกงฺขา เมอ่ื จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอนั หวงั ได”้ ๒. สถานที่ดีหรือสุคติ มีภาษติ วา่ “จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมือ่ จิตไมเ่ ศร้าหมอง สุคติเป็นอนั หวงั ได”้ ทคุ ติ ๓ ประการ ๑. นิรยะ หรือ นรก ไดแ้ ก่สถานที่เสวยทกุ ขข์ องคนผบู้ าปกรรมแลว้ ตายไปเกิดยงั สถานทีไ่ มด่ ี อนั ไดช้ ื่อวา่ นิ รยะ หรือนรก เพราะผไู้ ปเกิดแลว้ จะหาความสุขความเจริญไม่ไดเ้ ลย มีแตค่ วามทกุ ขน์ านาประการ บาปที่จะทาํ ใหค้ นไปเกิดในนรกน้นั มตี ้งั แตฆ่ า่ สตั วต์ ดั ชีวิต ผดิ ลูกเมียคนอนื่ ชอบลกั เล็กขโมยนอ้ ยอยเู่ สมอ เป็นตน้ จนกระทงั่ สร้างบาปกรรมที่หนกั คือ อนนั ตริยกรรม ผลแห่งการกระทาํ กรรมชวั่ เหลา่ น้นั ทท่ี าํ ลงไปแลว้ น้นั ยอ่ มชกั นาํ ใหไ้ ปเกิดในนรกหรืออบาย สถานท่หี าความเจริญไม่ได้ สถานทจ่ี ะทรมานสัตว์ทที่ าํ กรรมไปต่างๆ กัน หนักเบาต่างกันน้ัน ก็คือมหานรก ๘ ขุมใหญ่ คือ ๑.๑ สญั ชีวนรก ๑.๒ กาฬสุตตนรก ๑.๓ สังฆาตนรก ๑.๔ โรรุวนรก ๑.๕ มหาโรรุวนรก ๑.๖ ตาปนนรก ๑.๗ มหาตาปนนรก ๑.๘ อวจี ินรก และยงั มีขุมนรกนอ้ ยๆทเ่ี ป็นบริวารแห่งขุมนรกใหญ่ๆเหล่าน้นั อกี มากมาย ๒. ตริ จั ฉานโยนิ กาํ เนิดสตั วด์ ิรัจฉาน เหตุท่ีสัตวท์ ้งั หลาย ยกเวน้ มนุษยท์ ไี่ ดช้ ื่อว่า ติรัจฉาน น้นั กเ็ พราะวา่ สัตว์ ท้งั หลายมีการเคลือ่ นไหวไปมา ดว้ ยทางขวางมีร่างกายยาวไปกบั พ้ืนดิน ไม่วา่ จะเป็นสตั ว์ ๒ เทา้ ๔ เทา้ หรือมากกวา่ น้นั กต็ าม แมแ้ ต่ลิงซ่ึงบางคร้ังก็เดิน ๒ ขาไดค้ ลา้ ยๆคน แตล่ ิงก็ยงั จดั เป็นพวกสตั วด์ ิรจั ฉานอยู่ ผิดกบั มนุษยซ์ ่ึงเป็นสัตว์ ประเภทเดิน ๒ ขา มกี ระดูกสนั หลงั ตรง มสี ่วนสูงข้ึนไปในอากาศ สัตวด์ ิรจั ฉานท่ที ่านจดั เป็นทคุ ติน้นั เพราะสัตวด์ ิรจั ฉานน้ี จะหาความเจริญไมไ่ ด้ แมแ้ ตอ่ าหารจะกินกล็ าํ บาก ไดก้ ินบา้ งไมไ่ ดก้ ินบา้ ง เป็นวนั ๆไป โดยท่สี ุดแมแ้ ตไ่ ดฟ้ ังธรรมกไ็ มส่ ามารถบรรลุมรรคผลได้ ๓. เปตตวิ ิสยั แดนเปรต คาํ ว่า เปรต น้นั ไดแ้ ก่ ผี ยกั ษห์ รือ เปรต เป็นตน้ ตามภาษาชาวบา้ นใชพ้ ูดจากนั อยู่ ทวั่ ไป และเปรตน้ีกม็ ีกนั อยหู่ ลายจาํ พวก บางพวกก็มรี ูปร่างเล็ก บางพวกก็มีร่างใหญ่ และยงั สามารถเนรมิตตวั เองให้ สวยงามกไ็ ด้ ให้น่าเกลยี ดน่ากลวั กไ็ ด้ ท่สี วยงาม เช่น เนรมติ ให้คนเห็นเป็นรูปเทวดา อนิ ทร์ พรหม เป็นผชู้ ายผหู้ ญิงที่ สวยงาม เป็นดาบส ฤๅษี พระ สามเณร แม่ชี เป็นตน้ ส่วนที่น่ากลวั เช่นน้นั เนรมติ เป็นววั เป็นควาย เป็นสุนขั ทมี่ รี ูปร่าง น่ากลวั ตวั ใหญ่ตาโต บางทีกม็ องเห็นเป็นสีดาํ สีแดง เป็นตน้ บรรดเปรตพวกน้ี บางพวกกไ็ ดร้ บั ความทุกขต์ ่างๆ นานา เช่นอดขา้ วอดน้าํ กินแตข่ องสกปรกโสโครก กินเลอื ดกินหนอง กินอุจจาระปัสสาวะ กินน้าํ ลายเป็นตน้ พระธรี วัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 45
46 บรรดาเปรตท้งั หมดทีม่ อี ยจู่ ดั เป็น ๑๒ พวกบา้ ง ๔ พวกบา้ ง ๒๑ พวกบา้ ง ท้งั หมดน้ี เปรตทจี่ ะมีโอกาสไดร้ ับ ส่วนบญุ จากญาตทิ ีอ่ ุทศิ ไปให้ ก็มีแต่ปรทตั ตปุ ชีวเี ปรต จาํ พวกเดียวเทา่ น้นั เพราะเปรตพวกน้ีอยใู่ กล้ และชีวติ อยดู่ ว้ ยผล ทานที่ญาติอทุ ิศส่วนกุศลไปให้เท่าน้นั ถา้ ญาตไิ มอ่ ทุ ิศไปใหก้ อ็ ด สุคติ ๒ ประการ ๑. มนุษย์ หรือคน เป็นสัตวท์ ี่มีใจสูง รู้จกั คิดดว้ ยเหตดุ ว้ ยผล ดาํ รงชีวิตดว้ ยการใชส้ ติปัญญา เป็นสตั วท์ ี่มีจิตใจ กลา้ แข็ง เป็นไปไดท้ ้งั ฝ่ายดีและฝ่ายไมด่ ี จิตใจฝ่ ายดีน้นั เช่น มนุษยส์ ามารถอบรมจิตใจตนเองให้สาํ เร็จเป็นพระพทุ ธเจา้ ก็ได้ พระปัจเจกพุทธเจา้ หรือ พระสาวกก็ได้ สามารถทาํ ฌานสมาบตั ใิ ห้เกิดก็ได้ ทาํ อภญิ ญากไ็ ด้ เป็นพระเจา้ จกั รพรรดิกไ็ ด้ จิตในฝ่ ายไม่ดีน้นั เช่น สามารถฆา่ บิดามารดาของตนเองกไ็ ด้ ฆ่าพระอรหันต์ ทาํ โลหิตุปบาท หรือ ทาํ ลายสงฆ์ ใหแ้ ตกกนั แบ่งแยกสงฆใ์ ห้แตกออกไปเป็นนิกายตา่ งๆ กไ็ ด้ หรือทาํ ความชว่ั ท่ีต่าํ กว่าน้นั ลงมาทกุ อยา่ ง บางคนกอ็ าจทาํ เป็นอาจิณเลย เช่น ฆ่าสัตวข์ ายเป็นอาชีพ เป็นตน้ การเกิดเป็นมนุษย์ ซ่ึงถอื ว่า เป็นการเกิดในสุคติน้นั ก็ เพราะมนุษยเ์ ป็นสตั วท์ ีม่ ธี รรมประจาํ ใจไวป้ ระพฤติ ปฏบิ ตั ิ เช่น พรหมวิหาร อทิ ธิบาท อนิ ทรีย์ พละ เป็นตน้ เป็นผทู้ ีต่ ดั สินปัญหาดว้ ยปัญญา มีเหตมุ ีผล รู้จกั คณุ ของผทู้ ท่ี าํ อุปการะมากอ่ น ไมต่ ดั สินปัญหาดว้ ยกาํ ลงั เหมอื นสัตวเ์ ดรัจฉานทวั่ ไป ๒. เทวดาหรือเทพผปู้ ระเสริฐ ผเู้ กิดในสถานที่ดี เทวดาหรือเทพในท่ีน้ี หมายถึง ผูท้ เ่ี กิดในสวรรคพ์ ร้อมท้งั เท วโลกดว้ ยในสถานทเ่ี หลา่ น้ี ผไู้ ปเกิดได้ ตอ้ งเป็นผมู้ บี ญุ ทาํ กุศลกรรมไวม้ าก จึงไดไ้ ปเสวยผลของกรรมดีที่ตนสร้างไว้ ในสวรรคน์ ้นั ซ่ึงเมอ่ื ว่าโดยละเอียดแลว้ สวรรค์มีท้งั หมด ๖ ช้นั และพรหมโลกอกี ๑๖ ช้นั อยา่ งไรกต็ าม ถึงแมว้ า่ พวกเทวดาหรือพรหมน้ีจะไดร้ บั ความสุขในสุคตภิ มู ขิ องตน แตค่ วามสุขน้นั กเ็ ป็นสิ่งท่ี ไม่ถาวร ยงั จะตอ้ งกลบั มาเป็นทกุ ข์ ตราบเท่าทีต่ นยงั ไม่บรรลนุ ิพพาน ดงั มีบาลีตอนหน่ึงว่า “ทีฆายกุ าปิ พฺรหฺมาโน อทิ ฺธมนฺโต ชุตนิ ฺธรา ปตนฺติ ยถากมฺมํ เต จวนฺติ อปราปรํ แมพ้ รหมท้งั หลาย ท่ีมอี ทิ ธิฤทธ์ิมาก มรี ัศมีรุ่งเรือง มอี ายยุ นื เหล่าน้ี กต็ อ้ งคอ่ ยกา้ วไปสู่ความตายท้งั สิ้น พรหม เหล่าน้นั ก็ตอ้ งตกอยใู่ นความเวียนวา่ ยตายเกิดไปตามยถากรรมของตน(เร่ือยไป)” ชีวิตของสรรพสตั วท์ ไี่ ปเกิดในอบายน้นั ไดร้ ับความทุกขห์ าประมาณมไิ ด้ แมแ้ ตพ่ วกพรหม ซ่ึงมีอายยุ ืน มีชีวติ ท่ีประกอบไปดว้ ยสุขโดยตลอด เมอ่ื ถึงเวลาครบกาํ หนดแลว้ กต็ อ้ งตายเคลื่อนจากพรหมโลก หากยงั ไมเ่ ป็นอริยบคุ คล แลว้ ก็ไมม่ ีวนั จะพน้ ไปจากความทกุ ขไ์ ปได้ ตอ้ งเวียนมาไดร้ ับกรรมชวั่ ท่ียงั มีอยู่ การท่ีจะพน้ จากอบายไดน้ ้นั กค็ อื การ พน้ จากภาวปถุ ชุ นเขา้ สู่ความเป็นพระอริยบคุ คลโดยทางเดียว ความทกุ ขจ์ ึงจะดบั ลงได้ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 46
47 ทคุ ติ ๒ ข้อควรจาํ ทคุ ติ ๓ ทุคติ ๓ นิรยะ + ดิรัจฉานโยนิ ทุคติ ๔ นิรยะ + ดิรจั ฉานโยนิ + เปตตวิสัย อบาย + ทคุ ติ + วนิ ิบาต อบาย + ทุคติ + วนิ ิบาต + นิรยะ สมถกรรมฐาน วธิ ฝี ึ กจติ ใจให้สงบ สมถกรรมฐาน คืออุบายฝึกใจ วธิ ีอบรมจิตใหส้ ะอาด สว่าง สงบ ผ่องใสจากนิวรณ์ ไมเ่ ศร้าหมองหรือข่นุ มวั ที่ ติดขอ้ งอยใู่ นจิตใจ เรียกวา่ ปราศจากนิวรณ์ ขอ้ ปฏบิ ตั ิตา่ งๆที่มุ่งในทางการอบรมจิตใหเ้ กิดความสงบ จนต้งั มน่ั เป็นสมาธิ แน่วแน่อยใู่ นอารมณ์ใดอารมณห์ น่ึง ถึงข้นั ไดฌ้ านในระดบั ตา่ งๆ คือระดบั ทีก่ าํ หนดรูปธรรมเป็ นอารมณ์ เรียกวา่ รูป ฌาน มี ๔ ข้นั และระดบั ทกี่ าํ หนดรูปธรรมเป็นอารมณ์ เรียกวา่ อรูปฌาน มี ๔ ข้นั เหมือนกนั ซ่ึงรวมเรียกวา่ สมาบตั ิ ๘ ภาวะจิต ขณะท่อี ยใู่ นฌานน้นั เป็นจิตทปี่ ราศจากกิเลสรบกวนตลอดเวลาท่ยี งั อยใู่ นองคฌ์ านน้นั ๆ แตถ่ า้ หากออกจาก ฌานแลว้ กิเลสก็กลบั มีไดต้ ามเดิม อาการเช่นน้ีเรียกวา่ เอาฌานข่มกิเลสไว้ ท่านจึงเรียกวา่ เป็น วิกขมั ภนนิโรธ หรือ วกิ ขมั ภนวิมตุ ติ การเจริญสมถะที่เป็นการฝึกจิตน้ี ทาํ ให้มีผลพลอยไดเ้ นื่องมาจากฌานน้นั อีกอยา่ งหน่ึง คอื สามารถทาํ ใหไ้ ด้ ตามความสามารถพิเศษ เรียกวา่ อภิญญา ๕ อยา่ ง คือ ๑) แสดงฤทธ์ิได้ ๒) อา่ นใจคนอนื่ ได้ ๓) ระลึกชาตไิ ด้ ๔) มหี ูทพิ ย์ ๕) มตี าทิพย์ สมถกรรมฐานน้ี คือวิธีการหรือข้นั ตอนในการฝึกจิต เครื่องมอื ในการฝึกน้ี เราเรียกวา่ อารมณ์ของสมถะ ซ่ึง ท่านจดั ไวเ้ พอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั อารมณ์ของแต่ละทา่ น แลว้ แต่ผูฝ้ ึกจะเลือกเอาวิธีใดกไ็ ด้ ทีเ่ ห็นวา่ ตนทาํ แลว้ จิตใจสงบลง อารมณ์ของสมถะน้ี มที ้งั หมด ๔๐ อยา่ ง คือ ๑) กสิณ ๑๐ ๒) อสภะ ๑๐ ๓) อนุสสติ ๑๐ ๔) พรหมวหิ าร ๔ ๕) อรูปกรรมฐาน ๔ ๖) อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ๑ ๗) จตุธาตวุ วตั ถาน ๑ พระธีรวัฒน์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันเอก 47
48 ๑. กสิณ คอื สิ่งทีจ่ ูงใจใหไ้ ปติดกบั วตั ถุน้นั เพือ่ ใหจ้ ิตหยดุ นิ่งอยู่ในอารมณเ์ ดียว ไม่คดิ ฟ้งุ ซ่านไปตามอารมณท์ ่ี ประสบเขา้ กสิณน้ีเม่ือแยกออกไปมี ๑๐ อยา่ งดว้ ยกนั โดยแยกออกเป็นภูตกสิณ ๔ อยา่ ง และวรรณกสิณ ๔ อยา่ ง คอื ภตู กสิณ ๔ ๑.๑ ปฐวี ดิน ๑.๒ อาโป น้าํ ๑.๓ เตโช ไฟ ๑.๔ วาโย ลม วรรณกสิณ ๔ ๑.๕ นีละ สีเขียว ๑.๖ ปี ตะ สีเหลือง ๑.๗ โลหิตะ สีแดง ๑.๘ โอทาตะ สีขาว ๑.๙ อาโลกะ แสงสว่าง ๑.๑๐ อากาสะ ท่วี ่าง ๒. อสุภะ คือสภาพแห่งสิ่งของอนั ไมส่ วย ไม่งาม ไม่เป็นท่ีชอบใจเจริญใจสาํ หรบั ทา่ นทพี่ บเห็นส่ิงเหลา่ น้ี ทา่ นใชเ้ ป็นอารมณ์ของกรรมฐาน เพอื่ ให้ผูเ้ จริญอสุภะน้ี ไมย่ ดึ มนั่ ในร่างกายตนเองและผอู้ น่ื ว่า เป็นของสวยงาม วธิ ีการ หรือข้นั ตอนในการเจริญน้นั ให้เจริญหรือพิจารณาคนทต่ี ายแลว้ โดยแยกออกพิจารณาเป็น ๑๐ อยา่ ง คือ ๓. อนุสสติ คอื การระลกึ ถึงหรืออารมณท์ ีค่ วรระลึกถงึ อยเู่ นืองๆ เพ่ือใหจ้ ิตไม่ฟ้งุ ซ่านดว้ ยการคิดอยา่ งมีระบบ ไมใ่ ช่คิดแบบวาดวิมานในอากาศ ซ่ึงมหี ลกั ของการระลกึ หรือการคิดน้ีเป็น ๑๐ อยา่ ง คอื ๓.๑ พุทธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ ของพระพุทธเจา้ ๓.๒ ธมั มานุสสติ ระลึกถงึ คุณของพระธรรม ๓.๓ สงั ฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ๓.๔ สีลานุสสติ ระลกึ ถงึ ศลี ทีต่ นรักษา ๓.๕ จาคานุสสติ ระลกึ ถึงทานท่ตี นไดบ้ ริจาคแลว้ ๓.๖ เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณทีท่ าํ ให้เป็นเทวดา ๓.๗ มรณัสสติ ระลกึ ถงึ ความตาย ท่จี ะตอ้ งประสบเป็นเป็นธรรมดา ๓.๘ กายคตาสติ ระลึกทว่ั ในกายให้เห็นวา่ ไมง่ าม ๓.๙ อานาปานสติ ต้งั สติกาํ หนดลมหายใจเขา้ ออก ๓.๑๐ อุปสมานุสสติ ระลกึ ถงึ ธรรมเป็นทีส่ งบระงบั กิเลส และความทุกขค์ อื นิพพาน พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 48
49 คอื พรหมวิหาร คุณธรรมอนั ประเสริฐทมี่ อี ยปู่ ระจาํ ใจของทา่ นผูท้ ีม่ คี วามยนิ ดี ผูท้ เ่ี ป็นที่พ่งึ ของสตั วท์ วั่ ไป ๔ อยา่ ง ๑. เมตตาพรหมวหิ าร มีจิตคิดให้สตั วท์ ้งั ปวงเป็นอยดู่ ว้ ยความสุขทวั่ กนั ๒. กรุณาพรหมวหิ าร คิดให้สัตวท์ ีไ่ ดร้ ับความทุกข์ ไดพ้ น้ จากทุกขน์ ้นั ๓. มทุ ติ าพรหมวหิ าร มจี ิตพลอยยินดีกบั ผไู้ ดส้ ุขสมบตั ิ ขอให้เขาเสวยสุขสมบตั นิ ้นั ตลอดไป อยา่ ไดพ้ ลดั พราก ๔. อเุ บกขาพรหมวหิ าร ความวางเฉยได้ ไม่ยนิ ดียินร้ายเมื่อใชป้ ัญญาพิจารณาเห็นผลอนั เกิดข้ึนโดยสมควรแก่ เหตุ อรูปกรรมฐาน ฌานท่ีมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ท่เี รียกวา่ อรูปฌาน ๔ คอื ๑. อากาสานญั จายตนะ กาํ หนดทว่ี า่ งหารท่สี ุดมิไดเ้ ป็นอารมณ์ (อนนั โต อากาโส) ๒. วิญญานญั จายตนะ กาํ หนดวิญญาณหาทสี่ ุดมิไดเ้ ป็นอารมณ์ (อนนั ตงั วญิ ญาณัง) ๓. อากญิ จญั ญายตนะ กาํ หนดภาวะทไี่ มม่ อี ะไรๆเป็นอารมณ์ (นตั ถิ กญิ จิ) ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ภาวะมสี ญั ญากม็ ใิ ช่ ไมม่ สี ัญญาก็มใิ ช่ (สันตงั ปณีตงั ) อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา กาํ หนดหมายในอาหารว่าเป็นของปฏกิ ูล พจิ ารณาให้เห็นว่าเป็นของปฏิกูลแต่อยา่ งเดียว น่าเกลยี ดโดยลกั ษณะตา่ งๆ ซ่ึงท่านใหพ้ ิจารณาดว้ ยอาการ ๘ คอื ๑. ปฏิกลู โดยบริโภค ๒. ปฏิกลู โดยทอี่ ยขู่ องอาหาร ๓. ปฏิกูล โดยการสัง่ สมอยนู่ าน ๔. ปฏิกลู โดยกาลเมอื่ ยงั ไม่ไดย้ อ่ ย ๕. ปฏกิ ูล ในกาล เม่ือยอ่ ยแลว้ ๖. ปฏิกูล โดยผล คอื ไปหล่อเล้ียงร่างกายใหเ้ จริญข้นึ ๗. ปฏิกูล โดยอนั หลง่ั ไหลออกมา ๘. ปฏิกูล โดยทาํ ให้แปดเป้ื อน จตธุ าตุววตั ถาน การกาํ หนดธาตุ ๔ คือพจิ ารณาร่างกายน้ีแยกออกใหเ้ ห็นเป็นส่วนยอ่ ยๆออกไป อนั ประกอบดว้ ยธาตุ ๔ คอื ดิน น้าํ ลม ไฟ อนั จะทาํ ใหภ้ าวะทแ่ี ทจ้ ริงของสังขารร่างกายว่า เป็นเพียงธาตุ ๔ ประชุมกนั เขา้ เทา่ น้นั มใิ ช่สตั วบ์ ุคคลท่ีเทย่ี งแทถ้ าวรตามทีค่ นทวั่ ไปเขา้ ใจ จริตของคนในโลกมี ๖ คือ ๑. ราคจริต ประพฤตไิ ปตามราคะ (มรี าคะเป็นเจา้ เรือน) ๒. โทสจริต ประพฤตไิ ปตามโทสะ (มีโทสะเป็นเจา้ เรือน) ๓. โมหจริต ประพฤติไปตามโมหะ (มีโมหะเป็นเจา้ เรือน) ๔. สัทธาจริต ประพฤตไิ ปตามความเชื่อ (มคี วามเชื่อเป็นเจา้ เรือน มกั เชื่องมงาย) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วัดไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันเอก 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183