Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนประวัติศาสตร์สากล ม.6 เทอม 1_Ver01

หนังสือเรียนประวัติศาสตร์สากล ม.6 เทอม 1_Ver01

Published by dlit_sm037, 2020-05-02 02:39:41

Description: เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์สากล ม.6 ภาคเรียนที่ 1

Keywords: เอกสารประกอบการเรียน

Search

Read the Text Version

คาํ นํา 1 Preamble “คาํ นํา” เอกสารประกอบการเรียน ฉบับน้ีเขียนข้ึนเพื่อ จะเห็นได้ว่า สาระที่เรียนในคอร์สน้ีจะมีสาระ ใช้ในการเรียนคอร์ส INtensive ของกวดวิชาบ้าน ค่อนข้างละเอียดและเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง ครูบอนด์ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่สามารถ ถ่าย มาก ๆ โดยมีเหตุก็คือ ต้องการให้ ผู้เรียนได้ความรู้ เอกสาร คดั ลอก หรือ อ่านได้ ดงั นัน้ ทกุ คนทเี่ ชอื่ วา่ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในประเด็นประวัติศาสตร์ เอกสารฉบับน้ีมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนรา โลก ดังนั้นสาระอาจจะมาก หนังสืออาจจะหลาย วิชาสังคมศึกษา ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ ก็ หนา้ บางสว่ นไม่สามารถนาํ มาพิมพ์ได้ทั้งหมด ก็จะ สามารถถ่ายเอกสารไปอ่านได้ แม้จะไม่ได้เรียนท่ี หมายเหตุให้ไปศึกษาเพิ่มเติมจากเอกสารฉบับน้ัน กวดวิชาบ้านครูบอนด์ ก็ตาม เพราะการศึกษา ฉบบั นี้ ไม่ไดจ้ าํ กัดวา่ ตอ้ งจ่าเยเงินเรียน ถึงจะมีสิทธิได้อ่าน เทา่ น้นั ดังน้ัน อยากอา่ นก็ถา่ ยเอกสารเลย ในทางปฏิบัติ เอกสารประกอบการเรียนฉบับ นี้ให้สาระมากกว่าที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ในเอกสารฉบับนี้จะมีเร่ืองราวเกี่ยวกับ ข้ันพ้ืนฐานกําหนด แต่ด้วยความท่ีเป็นหนังสือท่ี ประวตั ิศาสตรโ์ ลกในสมัยโบราณ โดยแบ่งออกเป็น เขยี นเอง สอนเอง และจดั รายวิชาเอง ทําให้สอนได้ ยุคสมัยตามความเหมาะสมในการศึกษา เช่น ในกรอบเน้ือหาที่อยากสอน น้ันหมายความว่า ประวัติศาสตร์ยุโรปยุคโบราณ ยุคกลาง ยุคฟ้ืนฟู สาระบางอย่างดูเยอะไป แต่นั้นคือความสนุกของ ศิลปวิทยาการ ยุคการสํารวจทางทะเล ซ่ึงในส่วน การเรียนประวัติศาสตร์ เราจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์ยุโรปจะจบลงท่ีสาระการสํารวจ แบบกว้างขวางแต่ไม่เกล้ียงเกลา มันจะเหมือนดวง ทางทะเล (สําหรับภาคเรียนที่ ๑ ในคอร์สนี้) ส่วน จนั ทร์ แต่ก่อนจะเรียนคงเป็นซากดวงจันทร์ท่ียังไม่ ต่อไปก็จะเป็นเร่ืองของประวัติศาสตร์ จีนต้ังแต่ยุค ประกอบกนั พอไดเ้ รียนไดอ้ า่ น มันจะเร่ิมต่อกันจน โบราณ สืบมาจนกระทั่งถึงยุคจีนเปลี่ยนแปลงการ กลม แต่ยังขรุขระ ส่ิงท่ีจะเกลาและอุดส่วนที่ ปกครองเปน็ สังคมนิยม และ ประวตั ิศาสตร์อังกฤษ ขรขุ ระของการเรียนประวัติศาสตร์ก็คือการ พุดคุย โ ด ย เ น้ น ที่ ร า ช ว ง ศ์ ข อ ง อั ง ก ฤ ษ ต้ั ง แ ต่ แ ร ก เ ร่ิ ม กัน น้ันทําให้ต่างคนต่างอุดพื้นที่ของอีกคน จนมัน จนกระท่ังถึงยุคราชวงศ์สจ๊วตเท่าน้ัน และ กลายเป็นความรู้ท่ีกลมและเนียนเรียบในท่ีสุด ประวตั ศิ าสตร์รัสเซียในยุคก่อตั้งราชวงศ์จนกระทั่ง น้นั เอง เปลี่ยนแปลงการปกครองเปน็ สงั คมนิยม จิรพล ลิวา : ผ้เู ขยี น

2 คํานํา Preamble “Thanks” หนังสือเรียนเล่มน้ีสําเร็จลงได้เพราะผลจากบุคคล สําคัญทั้งหลายท่ีเป็นเจ้าของข้อเขีนในหนังสือท่ีได้ นํามาใช้เป็นข้อมูล ท้ัง อ.ทวีศักดิ์ ล้อมล้ิม / อ.ศิริพร ชนะสิทธิ์ / อ.ทวีป วรดิลก และอีกหลาย ๆ ท่านท่ีได้ ออกนามเจ้าของข้อม๔ลไว้ในเชิงอรรถแลว้ และทส่ี าํ คัญ ต้องขอบคุณคนท่ีลืมไม่ได้ นางยุพา ภรณ์ ลิวา มารดาของผู้เขียน ที่ได้มอบสมองและ ร่างกายมาให้ เพ่ือนํามาใช้สร้างประโยชน์เล็ก ๆ กับ เยาวชนร่นุ ใหมอ่ ีกคร้ัง

สารบัญ 3 “Contents”Contents คาํ นาํ 1 สารบัญ 2 ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รป 3 ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ (ยุโรป) 17 อารยธรรมยคุ โบราณ 50 อารยธรรมยุคกลาง 62 ยคุ การสํารวจทางทะเล 70 การปฏริ ปู ศาสนา 77 การตอ่ ต้านการปฏริ ปู ศาสนา 83 การปฏิวตั วิ ทิ ยาศาสตร์ 86 การปฏวิ ัติอุตสาหกรรม 89 ยุคภูมิธรรม ประวัติศาสตรอ์ งั กฤษ 96 ยุคโบราณ (อาณาจักร) 98 ยุคกลาง 100 ราชวงศท์ วิ เดอร์ 102 ราชวงศส์ จว๊ ต 103 สงครามกลางเมืององั กฤษ 104 องั กฤษยคุ ไร้กษัตรยิ ์ 105 การปฏวิ ัตอิ นั รุ่งโรจน์ 107 ราชวงศ์แฮนโนเวอร์ ประวัตศิ าสตร์รสุ เซีย 109 ยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ 111 ยคุ อาณาจักรมสั โกวคิ 112 ยคุ ซารแ์ ห่งรสั เซยี ประวตั ศิ าสตรจ์ ีน 118 ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ 119 ยคุ ราชวงศ์ 135 ยคุ ใหม่ 136 ขอ้ สอบ O-NET “....เอกสารฉบับน้ีมีลิขสิทธ์ิ แต่ไม่ใช่ลิขสิทธ์ิทางกฎหมายใด ๆ เป็นเพียงลิขสิทธ์ิทางมโนสํานึก ใคร ใคร่จะทําสาํ เนาเพื่อการศกึ ษา ขอให้จดั ทําไดโ้ ดยอ้างอิงชอ่ื ผรู้ วบรวมการกระทําดังกล่าวไม่มีความผิด บาปแต่อย่างใด แต่ใครใคร่ทําสําเนาเพื่อการค้า ถ้าจะทําก็ขอให้สํานึกและตระหนักว่า ได้ขโมยเอา สมองของมนุษย์จํานวนมากคนไปแลกเป็นเงิน และท่านจะใช้จ่ายเงินน้ันได้ด้วยหน้าช่ืนตาบานอย่าง นน้ั หรือ จงคดิ ใครค่ รวญและตดั สนิ ใจให้เป็นไปในทางที่ถกู ท่คี วรเถดิ ...” จิรพล ลวิ า

๔ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป “HisEtouofrroype”PartIHistoryofEurope ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องราวว่าด้วย ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์ สิ่งประดษิ ฐ์ ตลอดจนความสําเร็จและความล้มเหลวในการสร้างสรรคอ์ ารยธรรมของมนุษยชาติ โดยกระบวนการใน การศกึ ษา ตอ้ งอาศยั มติ ิเวลา เปน็ เครือ่ งมือทเ่ี ปน็ เกณฑ์ในการพจิ ารณา และตอ้ งใช้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เปน็ เคร่ืองมือสําคัญท่ีจะบอกความเป็นมาของมนุษยชาติ ซ่ึงเรียกกันในทางประวัติศาสตร์ว่า “ร่องรอยทาง ประวัติศาสตร์”๑ นอกจากน้ี ยังมีอีก ๑ สิ่งท่ีสําคัญมากต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ คือ วิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยสามารถแบ่งออกได้ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ตั้งสมมติฐาน วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ หมายถึง กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ ๒. เพ่ือให้ได้ความรู้และคําตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเก่ียวกับอดีตได้ถูกต้อง มากท่ีสุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึง รวบรวมหลกั ฐาน ต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของ หสะลทักอ้ฐานนขแ้อลเทะจ็นจํารไงปิ ทใชแ่ี ้อตยก่าต๒ง่าถงูกจาตก้อนงทิ ทาํานใหน้กยิ าารยศหึกษรอื าเปรรือ่ ะงวบัตอิศกาเลส่าตทร่เี์เลปื่อ็นนศลาอสยตร์ที่ ๓. การศกึ ษาประวัติศาสตร์เร่มิ จากการตงั้ คาํ ถามพ้ืนฐานหลัก ๕ คําถาม วิเคราะห์หลักฐาน คอื ๔. ๑. \"เกดิ เหตุการณ์อะไรขึ้นในอดีต\" (What) ๒. \"เหตกุ ารณ์นน้ั เกิดขึ้นเม่อื ไหร\"่ (When) สงั เคราะหห์ ลักฐาน ๓. \"เหตกุ ารณน์ ้ันเกิดขนึ้ ท่ไี หน\" (Where) ๔. \"ทาํ ไมจึงเกิดเหตกุ ารณน์ ั้นขนึ้ \" (Why) ๕. ๕. \"เหตกุ ารณน์ ้นั เกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร\" (How) นําเสนอขอ้ มูล ๑ คณะกรรมการวชิ ามรดกอารยธรรมโลก , มรดกอารยธรรมโลก , กรุงเทพฯ : ศูนย์วิชาบูรณา การ หมวดวชิ าศกึ ษาทัว่ ไป สํานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ , ๒๕๕๓. หนา้ ๑. ๒ ศริ ิพร ชนะสิทธ์ิ , ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ , อารยธรรมตะวันตก , สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนคริ นทรวโิ รฒ สงขลา , ๒๕๒๕. หน้า ๑๓.

บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตรย์ โุ รป ๕ Part I History of Europe ประเด็นสาํ คัญทค่ี วรศกึ ษาและจดจํา เกีย่ วกบั หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็คอื เร่ืองของการจดั แบ่งหมวดหมู่ของหลักฐานทางประวัตศิ าสตรซ์ ึ่ง สามารถแบง่ ออกมาได้ ดังแผนภาพตอ่ ไปน้ี ไม่เป็นลายลกั ษณ์อักษร เป็นลายลักษณอ์ ักษร ได้แก่ ได้แก่ - หลักฐานทางโบราณคดี (ทั้งก่อน - หลกั ฐานในสมยั ปศ. ท้ังหมด เช่น และหลงั สมัย ปศ.) จารึก ตํานาน พงศาวดาร จดหมาย - หลกั ฐานมุขปาฐะ เหตุ บันทึกความทรงจํา ชีวประวัติ - การศึกษาภาษา หนังสือพิมพ์ กฎหมาย วรรณกรรม - หลักฐานทางศิลปกรรม (ตน้ แบบ) งานวจิ ยั ตาํ รา หนงั สือตา่ งๆ - หลักฐานโสตทศั นวสั ดุ ๑. เคร่ืองมือหิน Boniface เป็นตัวอย่าง  ของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกิดข้ึน ในยคุ ของหลักฐานชั้นต้น ใช้เป็นเครื่องมือ สารพดั ประโยชน์ท้ังล่าสัตว์ และเป็นอาวุธ ปอ้ งกนั ตวั ๒. ซากฟอสซลิ ของมนุษยย์ คุ โบราณ   เป็นเครื่องมือทใี่ ช้เป็นหลักฐาน ทางประวัติศาสตรช์ น้ั ต้น เพอ่ื บอกถึงข้อมลู ของมนษุ ยย์ ุคโบราณ เป็นหลักฐานท่ใี หข้ อ้ มูลดีท่ีสดุ รอง จากหลกั ฐานทเี่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ๓. แผ่นโลหะจารึกภาพการเดนิ ทพั และการบูชา เทพเจ้าของชนเผา่ สเุ มเรยี น ทาํ ใหท้ ราบข้อมลู การ ใชช้ ีวติ ของชนเผ่านับว่าเป็นหลักฐานช้ันต้นท่ีเป็นลาย ลักษณอ์ กั ษรที่สําคญั อีกชิ้นหนึ่ง

๖ บทที่ ๑ ประวัติศาสตร์ยุโรป Part I History of Europe ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ หรือการแบ่ง ช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ เกิดข้ึนเนื่องจาก มนุษย์มีความสัมพันธ์กับ “เวลา” อย่างแนบ แน่น เราเฝ้ามองเวลาของการขึ้นและลงของ น้ํา สังเกตเวลาของการอพยพของฝูงสตั ว์ หรอื เรียนรู้ผลจากการเกิดฟ้าผ่าในเวลาท่ีฝนตก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์กับเวลามีความเกี่ยวข้องกัน อย่างแนบแน่นและยากท่ีจะแยกออกจากกันได้ ดังน้ัน เมื่อเวลาท่ีผ่านไปแต่ละยุคแต่ละสมัยจะนํามา ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ ท้ังการเปล่ียนแปลงทางธรรมชาติ และการเปล่ียนแปลงของ สรรพสิง่ ทมี่ นุษยต์ อ้ งเขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งดว้ ย มนุษย์จึงได้กําหนดเวลาออกมาเป็นยุค เพื่อท่ีจะทําความเข้า ใจความเป็นไปของแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมัยทมี่ นษุ ย์มีวิวัฒนาการตอ่ เนื่องมา โดยมีหลักเกณฑ์ง่าย ๆ ในการ แบ่งก็คือ “...เหตุการณ์ที่เกิดก่อน ย่อมส่งผลต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดภายหลัง...” นั้นหมายความว่าการ กําหนดช่วงเวลาต่าง ๆ ต้องอาศัยการศึกษาความสัมพันธ์ของแต่ละช่วงเวลา โดยนําเอาเหตุการณ์มา เป็นเครื่องมือในการศึกษา ดังนั้นคําว่า ช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ จึงหมายถึง ช่วงเวลาท่ีปรากฏ หลกั ฐานเกีย่ วกบั สงั คมมนษุ ยค์ รง้ั แรกที่เกิดขน้ึ ในโลก จนถงึ ปัจจุบนั ซึ่งสามารถแบง่ ออกได้ดงั น้ี แบ่งแบบสากล แบง่ ตามเกณฑ์วิวัฒนาการ ยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เรม่ิ ตงั้ แต่มนุษย์ถือกําเนิด ยคุ หาของปา่ ลา่ สัตว์ เป็นยุคสงั คมนายพราน (Pre-History) ขึน้ บนโลก จนกระทั่ง (Hunting-Gathering ดิน้ รนเพ่ือมชี ีวิตรอด มนษุ ย์เร่มิ ประดษิ ฐ์ Society Period) ตวั อักษร ยคุ ก่งึ ประวัตศิ าสตร์ ๑. ยงั ไมป่ ระดิษฐ์อักษร ยุคหมบู่ า้ นสงั คม เรยี กอีกช่อื ว่า ยคุ (Proto-History) แต่มีชนชาติอน่ื บันทึก เกษตรกรรม ปฏวิ ตั ิเกษตรกรรม เรอื่ งราวเอาไว้ (Agricultural Village (Agricultural ๒. ประดษิ ฐอ์ ักษร Society Period) Revolution) แล้วแตย่ งั ไมส่ ามารถถอด ความได้ ยคุ ประวตั ิศาสตร์ เริม่ เมอื่ มนุษยม์ ีความ ยุคสังคมเมอื ง เป็นยุคที่มนุษย์พัฒนา (History) เจรญิ เพิ่มขึน้ สามารถ (Urban Society Period) ตนเองสืบต่อมาถึงยุค ประดิษฐ์ตวั อักษรใช้ได้ ป ฏิ วั ติ อุ ต ส า ห ก ร ร ม และบอกเลา่ เรือ่ งราวของ (Industrial ตนเองออกมาเป็น Revolution) ตวั อักษรได้ ยุคสงั คมสารสนเทศ หรือเรยี กว่า ยคุ (Information) โลกาภวิ ัฒน์ (Globalization)

บทท่ี ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป ๗ Part I History of Europe “” “สมยั กอ่ นประวัติศาสตร์ หมายถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เป็น ชว่ งในอดตี ตั้งแต่เรม่ิ ปรากฏหลักฐานของบรรพบุรุษมนุษย์เป็นคร้ังแรก จนกระทั่งถึง สมัยท่ีมนุษย์มีการบันทึกเร่ืองราวของตนไว้ด้วยภาษาเขียน ซ่ึงถือได้ว่าเป็นสมัย ประวัติศาสตร์ปรากฏข้ึนในแต่ละบริเวณของโลก ลักษณะทางกายภาพของบรรพ บุรุษมนุษย์ยุคแรกเริ่มซ่ึงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เริ่มมีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิด อืน่ โดยเฉพาะสัตว์ในตระกลู ไพรเมท ท่เี ดน่ ชัดทส่ี ดุ คอื การเดินสองเท้าและยืนตรง” “บรรพบุรุษเดนิ สองเทา้ รุน่ แรกของมนษุ ย”์ มีขนาดประมาณ ๓ ใน ๔ ของมนษุ ย์ ในแง่ของชีววิทยามนุษย์จะมีความคล้ายคลึงกับ ปัจจบุ ัน สัตว์ตระกูลไพรเมท หรือลิงเป็นอย่างมาก แต่มี (ประมาณ ๑๓๐ ลักษณะทางการภาพอย่างหน่ึงท่ีทําให้เผ่าพันธ์ุมนุษย์ มีความแตกต่างออกไปและทําให้เกิดความได้เปรียบ เซนติเมตร) และความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมเหนือกว่าสัตว์ ทกุ ชนิดบนโลก น่นั คอื การเคล่อื นไหวดว้ ยการเดินสอง เท้า และมีลําตัวตั้งตรงกับพื้นโลก ความแตกต่างตรง ส่วนน้ี เป็นผลจากวิวัฒนาการทางชีวภาพในช่วง ระหว่าง ๘ – ๕ ล้านปีซ่ึงปรากฏจากหลักฐานใน การศึกษา Ardipithecus ซึ่งมีลักษณะเป็นลิงขนาด เล็กแต่เดินสองเท้าและมีลําตัวตั้งตรง มีชีวิตอยู่ราว ๕.๘ ล้าน – ๔.๔ ลา้ นปีก่อน พบหลกั ฐาน ณ ประเทศ เอธิโอเปยี ในเขตแอฟริกาตะวนั ออก

๘ บทที่ ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป Part I History of Europe “มนษุ ย์ออสตราโลพิเธคุส” “ ”Australopithecusในเวลาประมาณ ๕-๔ ล้านปีก่อนเกิดมนุษย์รุ่นแรก เกิดข้ึนในแอฟริกา ในบริเวณพื้นท่ีแบบซาวันนาห์ (ทุ่ง หญา้ กวา้ งโล่งเป็นหย่อมๆ) เรยี กกันว่า มนุษย์ออสตราโลพิ เธคุส ซ่ึงมีการแตกแขนงออกไปหลาย Species โดยพบ หลักฐานเป็นซากฟอสซิลท่ีมีอายุระหว่าง ๔.๒-๑ ล้านปี ก่อน โดยมีลักษณะของมนุษย์ออสตราโลพเิ ธคสุ ดังน้ี  ลกั ษณะคลา้ ยลิงเดิน ๒ เทา้  ลําตัวต้ังตรงกับพื้นโลก  ข น า ด ข อ ง ส ม อ ง เ ท่ า กั บ ชมิ แปนซี / อุรงั อตุ งั  ลักษณะโครงสร้างฟันคล้าย มนษุ ย์มากกว่าลิงทุกชนิดบนโลก  ส่วนกระดูก  ออสตราโลพิเธคัสเพสชายมี สะโพก โคนขา ขนาดตัวใหญ่กว่าเพศหญิง แต่ ขา และเท้าคล้าย สัดส่วนความแตกต่างทางเพศ มนุษย์ ๓ น้ อ ย ก ว่ า ลิ ง อุ ง รั ง อุ ตั ง แ ล ะ ชิมแปนซี แต่มากกว่ามนุษย์ใน ปัจจบุ นั “ประโยชน์จากการเดนิ สองเท้า” “สายพันธุ์ของออสตราโลพเิ ธคุส” ๑. เดินทางหาอาหารในเขตทร่ี าบท่งุ โล่งไดม้ ากกวา่ ๑. ออสตราโลพคิ ุส อฟาเรนซสิ ๒. มอื ๒ ข้างวา่ งใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ๒. ออสตราโลพิคสุ แอฟริกานสุ ๓. ลดการสญู เสียนาํ้ จากการโดดแดดเผา ๓. ออสตราโลพคิ สุ โรบัสตสั ๔. มองสิ่งรอบตวั จากระดับสายตาไดม้ ากกวา่ ๔. ออสตราโลพิคุส บวั ส์ไซ “...ลักษณะท้ังหมดของออสตราโลพเิ ธคสุ เป็นการเคลอื่ นไหวดว้ ยสองเท้า หลังตรง กับพื้นโลก เกอื บสมบูรณ์แบบ แต่ยังมลี ักษณะกะโหลกคลา้ ยลงิ คือ ส่วนของหนา้ ผากลาดลงไปข้างหลัง ไม่ มลี กู คางดา้ นหน้า มโี หนกแก้มสูง สนั ค้ิวสงู และขนาดสมองเล็กกวา่ มนุษย.์ ..” ๓ ธิติมา พิทักษ์ไพรวัน (ก.) , อารยธรรมโบราณตะวันตก ใน เอกสารประกอบการสอนชุดวิชามนุษย์กับ อารยธรรม หน่วยท่ี ๘ – ๑๕ , ๒๕๒๗. หนา้ ๑๓.

บทที่ ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป ๙ Part I History of Europe “มนุษย์โฮโม – ฮาบิลสิ ” “ ”เปน็ ผลจากการปรับตวั ของเป่าพันธุ์มนุษย์ใหเ้ ขา้ กบั HOMO - Habilis สภาพแวดล้อมของทุ่งหญ้าซาวันนาห์ในแอฟริกา ณ บริเวณน้ีเป็นท่ีราบกว้าง ใหญ่ที่อุดมไปด้วยฝูงสัตว์กินหญ้า ทําให้สายพันธุ์ของมนุษย์มีการพัฒนาตนเอง ออกมาเปน็ ส่งิ มชี วี ิตท่ีกนิ พชื และสัตว์ และจากการศกึ ษามนษุ ยก์ นิ สัตวม์ ากกว่าพชื โดยมนุษย์โฮโม – ฮาบลิ ิส เป็นสายพันธ์ุที่สืบเช้ือสายมาจากมนุษย์ออสตราโลพิเธ คสุ น้นั เอง  มีขนาดของสมองใหญ่ขึ้นและ  ลาํ ตัวตั้งตรงกบั พนื้ โลก มขี นาดของฟนั ทเ่ี ล็กลง  ร่องรอยของฟันพบว่ากินเน้ือ มากกว่าพืช โดยระยะแรกเป็น การกินซากสัตว์ที่เหลือสัตว์ใหญ่ ลา่ ก่อน  เป็นมนษุ ยก์ ลมุ่ แรกท่ีใช้เครือง มือหินในการล่าสตั วเ์ รยี กวา่ เครือง มือหิ น โ อล ดูวั น ใน ยุค หิน เ ก่ า ตอนตน้ ค้ น พ บ ห ลั ก ฐ า น ว่ า ใ ช้ ม า ต้ั ง แ ต่ ๒.๕ ล้าน-๒๐๐,๐๐๐ ปมี าแลว้ ทําให้มนุษย์ยุคนี้ใช้การล่าสัตว์ และหาของป่าเปน็ หลัก “...หลักฐานท่ีพบ เป็นซากของมนุษย์วานรทกี่ ้าวหนา้ มากที่สดุ มอี ายุประมาณ ๑,๗๕๐,๐๐๐ B.C. ขดุ พบเมอ่ื ปี ค.ศ. ๑๙๕๙ โดย ดร.หลุยส์ ลกิ กี้ (Louis Leakey) ที่ ถ้ําโอลดเู วย์ (Olduvai) ประเทศ แทนซาเนีย และไดร้ ับการเรยี กอีกชอื่ หน่งึ ว่า มนษุ ย์โอดดุเวย์ ซ่งึ คน้ พบหลกั ซานอ่ืน ๆ คือ ซากโครง กระดูกมือ เทา้ ขา กะโหลกศีรษะบางส่วน และเคร่อื งมือจากหลกั ฐานดังกลา่ วระบวุ ่า มนุษย์โฮโม ฮาบลิ สิ เปน็ มนุษยว์ านรท่ีก้าวหนา้ กวา่ บรรพบุรษุ คือร้จู ักใชเ้ ครอ่ื งมอื อย่างหยาบ ๆ ที่ทําจากหนิ กระดูกสตั ว์ ไม้ และดํารงชีพดว้ ยการอาศัยธรรมชาต.ิ ..” ๔ ๔ ปรชี า น่นุ สขุ , อารยธรรมของมนษุ ยก์ ่อนประวตั ิศาสตร์ , ๒๕๒๕. หน้า ๘.

๑๐ บทที่ ๑ ประวัติศาสตร์ยุโรป Part I History of Europe “มนุษยโ์ ฮโม – อเี รกตสั ” “ ”HOMO - Erectusหลงั จากการขดุ ค้นหลกั ฐานในราว ๒ ล้านปีกอ่ น ไดค้ น้ พบ ซากกระดูกมนุษย์พวกใหม่ปรากฏอยู่ท่ัวไปไม่จํากัดแค่ในแอฟริกาเช่นเดิม แต่ กระจายออกไปยงั ยโุ รป จนี ชวา ซ่งึ เกิดขน้ึ ในช่วงเวลาท่โี ลกเกดิ การเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ คอื เกดิ ICE Age ในสมยั ไพลสโตซนี ระหว่าง ๒ ล้าน ถงึ ๑ หมืน่ ปกี อ่ น ผลจากการเกิดการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศอย่างรุนแรงขนาดน้ีทําให้มนุษย์ ต้องการมีปรับตัวใหม่ โดย HOMO-Erectus นับว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของ มนษุ ย์ปัจจบุ นั ซึง่ มลี ักษณะดังน้ี  มีขนาดของสมองใหญ่ข้ึนแต่ยัง  มีขนาดร่างกาย เล็กกว่ามนุษย์ปัจจุบัน แต่นับว่าใหญ่ กว่าบรรพบุรุษร่นุ กอ่ นหนา้ ทง้ั หมด และส่วนตา่ ง ๆ คล้าย กับมนุษย์ในปัจจุบัน  ขนาดของฟันใหญ่กว่ามนุษย์ ม า ก ท่ี สุ ด แ ต่ ปัจจบุ นั แตเ่ ล็กกว่า HOME-Habilis กล้ามเน้ือลาํ่ สนั กวา่  ผลจากการท่ีมีสมองใหญ่ ทําให้มี ความสามารถในการใช้เคร่ืองมือหิน มากกว่ารุ่นก่อนหน้าเรียกว่า Hand Axe หรือ ขวานมือ เป็นเครื่องมือ สารพัดประโยชน์ และยังพัฒนาเคร่ืองมือหินใช้สําหรับ ขูด สั บ ทํ า ให้ มนุ ษ ย์ ส า ม า รถ ใช้ ประโยชน์จากธรรมชาติได้มากขึ้น กวา่ เดิม “...การค้นพบ โฮโม-อีเรกตัส เปน็ ช่วงระยะเวลาใกล้เคยี งกบั โฮโม-ฮาบลิ สิ คอื ราว ๑,๕๐๐,๐๐๐ B.C. ซาก โครงกระดูกของมนษุ ย์โฮโมอเิ รคตสั ค้นพบท่ที ะเลสาบเทอร์กานา ทางตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศเคนยาใน ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๗๒ – ๑๙๗๕ โดย ริชารด์ ลิกก้ี (Richard Leakey) บตุ รชายของ หลยุ ส์ ลิกก้ี จากหลกั ฐานท่ี ปรากฏพบว่ามนุษยโ์ ฮโมอิเรคตสุ มคี วามกา้ วหนา้ สูงมาก รจู้ ักวธิ ีลา่ สตั วเ์ พ่ือเป็นอาหาร รจู้ กั ทําเครอ่ื งมอื หินใช้อยา่ ง กว้างขวาง เปน็ เป็นมนษุ ย์ทีเ่ รม่ิ เดนิ ตัวตรง ทําให้เปน็ ที่สงสัยวา่ ในการ ขุดพบในครง้ั นั้น มนษุ ยโ์ ฮโม อเิ รคตสุ นา่ จะ เป็นบรรพบรุ ุษของมนษุ ยป์ ัจจบุ นั ...” นอกจากน้ี Homo-Erectus ยังเป็นกลมุ่ แรกทีร่ จู้ กั ใช้และควบคุมไฟมาตั้งแต่ ๑ ล้าน BC. ซงึ่ สง่ ผลให้ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์เปลย่ี นแปลงไปอย่างมหาศาล ไฟทําให้ ไฟช่วยไลส่ ัตวร์ ้าย ไฟสร้างชวี ติ กลางคนื ไฟใชป้ รงุ อาหารให้สุก อบอนุ่

บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตรย์ ุโรป ๑๑ Part I History of Europe “ ”“ความสามารถทนี่ ่าสนใจ” HOMO - Erectus จากหลักฐานที่ค้นพบร่องรอบของมนุษย์โฮโมอิเรกตัส ทําให้ทราบว่าโฮโมอิเรกตัส ดํารงชวี ติ ด้วยการล่าสัตวเ์ ป็นหลัก และยังสามารถนําสัตว์ท่ีได้มาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น หนงั เขา กระดูก เอน็ ฯลฯ นอกจากน้จี ากทพี่ บหลกั ฐาน ณ แหลง่ โบราณคดแี อมโบรนา และ ทอรลั บา ประเทศสเปน ทําใหพ้ บว่า โฮโมอีเรคตัสมีการใช้หอกไม้ และยังมีการรวมกลุ่มเพ่ือ ลา่ อกี ดว้ ย กระบวนการรวมกลุ่มเพื่อลา่ เป็นการแสดงออกถงึ ........................................................... ซ่งึ ในอนาคตจะเปน็ การพฒั นาตอ่ ออกไปเป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมชุมชนขนั้ ต้นในทส่ี ดุ กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถศึกษาได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีและพบว่า มนุษย์โฮโมอเี รคตัสในรนุ่ หลงั ๆ จะมีขนาดของฟันที่เล็กลงและขนาดของสมองท่ีเพิ่มมากขึ้น มีร่องรอยการใช้ไฟในชีวิตประจําวันมากขึ้น เครื่องมือเครื่องใช้ละเอียดข้ึน อันเป็นผลจาก ววิ ฒั นาการชน้ิ สําคญั ของมนษุ ย์ท่เี หนือกว่าสัตว์ปกตินน้ั เอง. “สายพนั ธุ์ยอ่ ยของ HOMO-Erectus” มนุษย์ชวา / พิเธคันโทรปุส อิเรคตุส (Java man / Pithecantropus erectus) และ มนุษย์ปักก่ิง / ซินันโทรปุส เพคิเนนซีส (Peking man / Sinantropus pekinensis) เป็นมนุษย์ที่เดินตัวตรงท่ีมีการขุดพบมาก่อนแล้วเม่ือปี ค.ศ. ๑๘๙๑ โดย นายแพทย์ ชาวฮฮลแลนด์ คือ ยูจีนส์ ดูบัว์ ที่เกาะชวา ได้ขุดพบกะโหลกศีรษะ กระดูกจมูก ฟนั และกระดกู ต้นขาซ้าย มลี กั ษณะลาํ ตวั ที่ตั้งตรง มสี ว่ นสูง ๕ ฟตุ ครึง่ และมีขนาดสมองเลก็ กว่าขนาดสมองของลงิ เพียงเลก็ น้อย สว่ นหลกั ฐานทีเ่ ก่ียวกับมนุษย์ปักก่ิงขุดพบเมื่อราวปี ค.ศ. ๑๙๒๙ในถ้ําแห่งหนึ่งใกล้กรุง ปกั ก่ิง จากซากกะโหลกและกระดกู จาํ นวนหน่งึ ทําให้ทราบได้ว่ามนุษย์ปักก่ิงมีขนาดความสูง ประมาณ ๕ ฟุต กระดูกส่วนคิ้วโปน จมูกแบนกว้างส่วนกระดูกขากรรไกรใหญ่ คางเล็กจนดู เหมือนไม่มีคางลักษณะรูปหน้ายังดูคล้ายวานร แต่มีสมองใหญ่เป็น ๒ เท่าของวานรนัก มานุษยวิทยาได้ลงความเห็นว่าทั้งมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง เกิดในระยะเวลาใกล้เคียงกัน คอื ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ B.C. และสันนษิ ฐานวา่ อาจจะสบื เชือ้ สายมาจากบรรพบุรุษเดยี วกนั  

๑๒ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตรย์ โุ รป Part I History of Europe HOMO - Sapiens“มนษุ ย์โฮโม – เซเปียน” “ ”กลุ่มโฮโม-เซเปียน เรียกกันอีกอย่างว่า กลุ่มมนุษย์ยุคปัจจุบัน ซ่ึงมีการแบ่ง ออกเปน็ ๒ กลุ่มย่อย ๆ คอื Older HOMO-Sapiens Early Modern Homo-sapiens มอี ายรุ าว ๒ แสน ถงึ ๒๗,๐๐๐ BC. มอี ายรุ าว ๑ แสน ถึง ๓๐,๐๐๐ BC. ดาํ รงชีวิตในหลายพ้นื ท่ขี องโลก ดํารงชวี ิตในหลายพื้นท่ีของโลก แบ่งออกได้ ๒ กลุ่ม คือ มที ฤษฏอี ธิบายการเกิดไดค้ ือ Neanderthal Archaic Homo Sapiens ทฤษฏีหลายถนิ่ ทฤษฏถี น่ิ กาํ เนิด (Cro-Magnon Man) กําเนดิ จากแอฟริกา มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neandertal Man) เป็น มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon) / โฮโมซาเปียน มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ท่ีสามารถสืบค้นเร่ือราว หรือเรียกว่า มนุษย์สมัยใหม่หรือมนุษย์ฉลาด ซึ่งถือว่า ได้มากทสี่ ุด โดยมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลถือว่าเป็นมนุษย์ถํ้า เป็นต้นกําเนิดของมนุษย์ปัจจุบันโครงกระดูกของมนุษย์ รนุ่ แรก ซากโครงกระดูกของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล ได้ขุด โครมนั ยองพบครง้ั แรกที่แควน้ เวลส์ ประเทศอังกฤษ เมือ่ พบคร้ังแรกในถ้ําท่ีหุบเขานีแอนเดอร์ ใกล้เมืองดุส ปี ค.ศ. ๑๘๒๓ และต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๖๘ ได้ขุดพบ เซนดอร์ฟ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี กระดูกของมนุษย์พวกเดี่ยวกันที่ ถ้ําดอร์ดอจน์ ใน เมือ่ ปี ค.ศ. ๑๘๕๖ และต่อมาไดพ้ บซากโครงกระดูกของ ประเทศฝรั่งเศสจากหลักฐานที่ค้นพบปรากฏว่า มนุษย์ มนุษย์พวกน้อี กี ท่ปี ระเทศเบลเยยี ม สเปน อิตาลี รุสเซีย โครมันยอง มีความสูง ๖ ฟุต กระดูกสันหลังตรง ไหล่ ยโู กสลาเวียและในดินแดนปาเลสไตน์ มนุษย์นีแอนเดอร์ กว้าง รูปคางกลม กระดูกโหนกค้ิวไม่หนา ขนาดสมอง ทัลมีความสูงประมาณ ๕ ฟุต ๔ น้ิวรูปคางเลก็ หน้าผาก กว้าง ขนาดของสมองใหญ่ใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบัน ใกลเ้ คยี งกบั ชาวยุโรปในปัจจุบัน พวกนส้ี ามารถประดิษฐ์ส่ิงของเครื่องใช้ท่ีมีประสิทธิภาพ มากข้นึ และเรยี นร้สู ่งิ ต่าง ๆ ไดด้ ี แตก่ ารดํารงชีวิตก็ยังคง อาศัยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารหรือท่ีอยู่ อาศัยวัฒนธรรมของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลนั้นได้สูญ หายไปโดยไม่มรี อ่ งรอยหลงเหลืออยเู่ ลยทําให้ไม่ทราบว่า พวกนี้สูญพันธุ์ไปได้อย่างไรแต่ก็มีการสันนิษฐานสาเหตุ เอาไว้ ๒ ประการคอื - เกิดจากการขาดแคลนอาหาร เพราะได้เกิด การเปลย่ี นแปลงของเลือกโลกเข้าสู่ยุคนํ้าแข็ง ทําให้สัตว์ ปา่ และตน้ ไม้ลม้ ตายเป็นจาํ นวนมาก - เกิดจากการกระทําของมนุษยอ์ กี พวกคือ เผ่าพนั ธุท์ ่ีมวี ัฒนธรรมสงู กวา่ คอื โครมันยอง ซึ่งแยง่ อาหารไดม้ ากกว่า หรอื อาจจะฆา่ นีแอนเดอร์ทัลทัง้ เผ่า ตายหมดเพือ่ ความอยรู่ อดของเผ่าตนเอง

บทที่ ๑ ประวัติศาสตร์ยโุ รป ๑๓ Part I History of Europe “วัฒนธรรมของมนษุ ยใ์ นยคุ กอ่ นประวัติศาสตร”์ วัฒนธรรมเกิดข้ึนจากการที่มนุษย์อยู่รวมกันในสังคมทั้งน้ีเพื่อความอยู่รอด ปลอดภยั เม่อื มนษุ ย์ได้มาอยู่รวมกัน ได้มีการแบ่งหน้าที่ แบ่งงานกันทํา และรู้จัก เคารพสิทธิของกันและกัน ในการอยู่รวมกันในสังคมของมนุษย์ก็ได้สร้างสรรค์ ความเจริญข้ึน และเร่ิมมีวัฒนธรรมเดียวกัน ดังน้ันจึงอาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรม คือความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ แต่วัฒนธรรมของมนุษย์ในยุคก่อน ประวัติศาสตร์นั้น ตามหลักวิชาการทางโบราณคดี ซ่ึงอาศัยเครื่องมือหินเป็น เกณฑ์ในการแบ่ง ได้แบ่งระยะเวลาการสร้างสรรค์วัฒนธรรมออกเป็น ๓ ยุค คือ ยุคหินเก่า (Paleolithic Period) ยุคหินกลาง (Mesolithic Period) และยุคหิน ใหม่ (Neolithic Period) ตามลําดับหลังจากยุคหินใหม่แล้วมนุษย์เร่ิมรู้จักตั้ง บ้านเรือนเป็นหลักแหล่งแน่นอน และรู้จักนําเอาโลหะมาใช้ในการประดิษฐ์ เครื่องมือเครื่องใช้ จึงมักเรียกยุคเวลาดังกล่าวว่า ยุคโลหะ (Metal Age) ซึ่งได้ แบ่งย่อยออกเป็น ๓ ยุค คAือgeย) ุคตทามอลงแํา๕ดดบัง (Cooper Age) ยุคสัมฤทธ์ิ (Bronze Age) และยคุ เหลก็ (Iron ยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ ยคุ หิน ยุคโลหะ Paleolithic / Old Stone Age Chalcolithic Age Mesolithic / Middle Stone Age Bronze Age Neolithic / New Stone Age Iron Age* ๕ ศิริพร ชนะสิทธ์ิ , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ , อารยธรรมตะวันตก , สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา , ๒๕๒๕. หนา้ ๒๔. * ยุคเหลก็ ในบางอารยธรรมเร่มิ เขา้ ส่ยู คุ ประวัติศาสตร์บา้ งแลว้ เช่น โมเฮนโจดาโร และ ฮารปั ปา เปน็ ต้น

๑๔ บทท่ี ๑ ประวัติศาสตรย์ โุ รป Part I History of Europe “ ”คือ ระยะเวลาท่มี นษุ ยม์ ีสภาพสังคมแบบเรร่ ่อนต้องพ่ึงพาธรรมชาติทั้งในดา้ น “ยคุ หินเก่า (Paleolithic Period)” Paleolithic Period ความเป็นอยู่ และอาหารการกิน คืออาศัยอยู่ตามถํ้า เพิงผา เพิงไม้ใกล้กับลําธาร แหลง่ ทีม่ ีสัตว์อาศยั อยู่ ผลไม้รากไม้ ทพี่ อจะนาํ มาเปน็ อาหารได้ก็แค่พอเลีย้ งชพี ไป วัน ๆ ลักษณะเศรษฐกิจของมนุษย์ในยุคน้ีจึงเป็นแบบที่เรียกว่า การแสวงหา อาหาร (Food gathering economic) มนุษย์รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ อย่างหยาบ ๆ เชน่ เครื่องมอื หนิ กะเทาะไม้ และ กระดูก หรือเขาสัตว์ เป็นต้น ใน ยุคหินเก่าตอนปลาย มนุษย์รู้จักประดิษฐ์หน้าไม้ และลูกดอกเป็นอาวุธ และยัง รูจ้ ักประดิษฐเ์ ครอื่ งตกแต่งร่างกายด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตว์ เนื่องจากมนุษย์ในยุคหินเก่าต้องเร่ร่อนแสวงหาอาหาร จึงมีการรวมกลุ่มใน การลา่ สัตว์ ทาํ ให้มนษุ ย์เริม่ รจู้ ักใช้ภาษาในกาสื่อสารความหมายกันบ้างแล้ว และ จากหลักฐานที่ค้นพบแสดงว่ามนุษย์เร่ิมมีความคิดในเรื่องของอนาคต เพราะใน บรเิ วณทม่ี กี ารฝงั ศพ มกี ารฝ่ังเครื่องมือเครื่องใช้ไว้ด้วยจึงสันนิษฐานว่าพวกน้ีคงมี ความเช่อื เกย่ี วกับคนตายท่ีจะฟนื้ คนื ชีพข้นึ มาใหม่ “ ”Mesolithic Period “ ”ยุคหินกลาง (Mesolithic Period) เป็นช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการเปล่ียนแปลงจากการแสวงหาอาหารมาเป็น การผลติ อาหาร เครอ่ื งมอื ท่สี ําคัญในยุคนี้คือ เคียว ซ่ึงทําจากหินเหล็กไฟ สอดอยู่ ในด้ามไม้หรือเขาสัตว์เชื่อว่าในยุคน้ีมนุษย์เร่ิมเรียนรู้วิธีการเพาะปลุก ซึ่งมนุษย์ ค้นพบเต็มที่ในยุคหินใหม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงขนาดใหญ่ในชีวิตของ มนษุ ย์ มนุษย์ในยุคหินเก่าเริ่มรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาในรูปแบบของศิลปะ มีการทํารูปปั้นขนาดเล็ก ฝีมือง่าย ๆ เป็นรูปของสตรี อาจจะหมายถึง พระแม่ธรณี ซึ่งเช่ือว่าเป็นที่มาหรือผู้ท่ีทําให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ นอกจากน้ันยังได้พบภาพวาดในถํ้าของมนุษย์ในยุคหินเก่าท่ีประเทศ สเปน และฝร่ังเศส เป็นภาพการล่าสัตว์ มีภาพกวาง วัวกระทิง ม้าป่า เช่ือว่าสัตว์เหล่าน้ีเป็นสัตว์ที่มนุษย์สมัยนั้นล่ากินเป็นอาหารอายุของ ภาพคงอยู่ที่ประมาณ ๓๐,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ B.C.

บทท่ี ๑ ประวัติศาสตรย์ โุ รป ๑๕ Part I History of Europe “ ”Neolithic Period “ ”ยคุ หนิ ใหม่ (Neolithic Period) คือระยะเวลาท่ีมนุษย์มีความเจริญทางเทคโนยีสูงข้ึน มีความรู้พอท่ีจะผลิต อาหารขึ้นมาเองได้ คือรู้จักการเพาะปลูก รู้จักนําสัตว์เล้ียงมาเลี้ยงและสามารถ ประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่มีความประณีตใช้งานได้ดี การที่มนุษย์รู้จักค้นพบ การเกษตร เช่ือว่าเป็นกระบวนการที่มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ นัก ประวัติศาสตร์เรียกกระบวนการน้ีว่า การปฏิวัติทางเศรษฐกิจ (Economic Revolution) และเช่ือว่าการเกษตรได้เร่ิมต้นเป็นครั้งแรกในดินแดนตะวันออก กลาง จึงทาํ ให้เกดิ ชุมชนในระดบั หมูบ่ ้านขน้ึ เป้ฯคร้งั แรกในโลก จากการที่มนุษยส์ ามารถผลิตอาหารได้เอง มีผลทําใหส้ ภาพความเป็นอยู่แบบ เร่ร่อนหมดไป และมีการสร้างบ้านเรือน อยู่กันเป็นหลักแหล่ง โดยสร้างเป็น กระท่อมแบบง่าย ๆ และใช้ดินเหนียวเป็นวัสดุสําคัญ แต่ละครอบครัวก็อาศัยใน กระทอ่ มของตนเองเปน็ การถาวร เมอ่ื มนษุ ย์รู้จกั ตัง้ หลกั แหลง่ และสามารถผลติ อาหารได้เองการดํารงชีวิตของ มนุษย์เริ่มมีความมั่นคงมากข้ึน และมีเวลาว่างมากพอท่ีจะเริ่มสนใจสิ่งอ่ืน ๆ เพม่ิ ขน้ึ ได้มีการประดิษฐ์หัตถกรรมในครัวเรือน เช่น เครื่องป่ันฝ้าย เคร่ืองทอผ้า เคร่ืองจักสาน และเครื่องป้ันดินเผา เพ่ือใช้เป็นประโยชน์ในการจัดเก็บถนอม อาหาร และเป็นภาชนะสําหรับหุงต้ม เครื่องป้ันดินเผาสมัยแรก ๆ มักทําอย่าง หยาบ ๆ และไม่มีการตกแตง่ ลวดลาย ส่วนงานด้านศลิ ปะในยคุ นีม้ กั เป็นรูปปน้ั สตรีและทารก สนั นิษฐานวา่ เปน็ พระ แม่ธรณี ซึง่ เชอื่ กันวา่ เปฯ้ ผทู้ น่ี ําความอุดมสมบรู ณม์ าให้แกม่ นุษย์ การผลิตอาหารได้เปน็ จาํ นวนมาก ทําใหช้ ุมชนเริ่มขยายตัวเป็นระดับหมู่บ้าน และค่อย ๆ ขยายตัวเป็นชุมชนที่ใหญ่ข้ึนมีการแบ่งงานกันทําในสาขาอาชีพต่างๆ ตามความถนัดของแต่ล่ะบุคคล เช่น พวกที่ทําหน้าท่ีทางศาสนา พวกช่างท่ีทํา เครื่องมือทําภาชนะ และพวกท่ีเป็นเกษตรกร เป็นต้นลักษณะระการแบ่งหน้าที่ แบ่งงานกันทําในสังคมมนุษย์ยุคหินใหม่ เป็นการแสดงออกถึงความพยายามใน การแก้ปัญหาของมนษุ ย์ เพื่อการอยรู่ อดและอยูร่ ่วมกนั ในสังคมอย่างสงบสุข

๑๖ บทที่ ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป Part I History of Europe “ ”Metal Age “ ”ยุคโลหะ (Metal Age) เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้ค้นพบโลหะและนําเอาโลหะมาใช้ประโยชน์ ทําเป็น เครื่องมือเคร่ืองใช้ จัดได้ว่าเป็นยุคท่ีมีความคาบเก่ียวระหว่างยุคก่อน ประวัตศิ าสตรก์ บั ยุคประวัตศิ าสตร์ เพราในระยะเวลาของการเกิดยุคน้ีมนุษย์เริ่ม ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นบ้างแล้ว การศึกษาวัฒนธรรมในยุคโลหะอาจจะแบ่งย่อย ออกไดเ้ ปน็ ๓ ยคุ ดังนี้ ยุคทองแดง (Copper Age) ทองแดงเป็นโลหะประเภทแรกท่ีมนุษย์รู้จัก นําเอามาใช้ประโยชน์โดยนํามาทําเคร่ืองไม้เคร่ืองมือขนาดเล็ก เช่น เข็มและ เคร่ืองไม้เคร่ืองมือขนาดเล็ก เครื่องประดับประเภทลูกปัด การใช้ทองแดง สันนิษฐานว่าใช้เป็นครั้งแรกในอียิปต์ และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ ประมาณ ๔,๐๐๐ – ๓,๕๐๐ B.C ซง่ึ เปน็ ช่วงเวลาปลายยคุ หินใหม่การใช้เครอ่ื งมอื หินและทองแดงจึงดําเนินไปพร้อม ๆ กันจึงทําให้บางคร้ัง มีการเรียกยุคทองแดง ว่า ยคุ หนิ ทองแดง (Chalcolithic) ยคุ สมั ฤทธิ์ (Bronze Age) มนุษยไ์ ด้ค้นพบโลหะผสมคือ สัมฤทธ์ิ หรือโลหะ บรอนซ์ เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ B.C สัมฤทธิ์ เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับ ดบี ุก มคี วามแข็ง และทนทานกว่าทองแดง จึงเป้ฯท่ีนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง มี การนําสมั ฤทธิ์ มาทําเป็นเคร่ืองมอื เครอ่ื งใชอ้ ยา่ งมาก รวมท้ังนาํ มาทาํ เป็นอาวุธ ยคุ เหล็ก (Iron Age) ผเู้ ชี่ยวชาญยงั ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ถึงข้อสันนิษฐานว่า เหลก็ ค้นพบครั้งแรกเม่ือใด และที่ไหน สําหรับในยุโรปยุคเหล็กเร่ิมทางแถบทะเล อีเจียน เม่ือประมาณ ๑,๓๐๐ B.C และมนุษย์ได้นําเหล็กมาใช้เป็นเคร่ืองประดับ ในครง้ั แรก ตอ่ มาไดค้ น้ พบวิธีถลุงและหลอมเหล็กเพ่ือทําเครื่องมือเคร่ืองใช้และมี การใชเ้ หลก็ อย่างแพร่หลายจนกระท่งั ปัจจุบัน การค้นพบโลหะทําให้สังคมของมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น จึงถือว่ายุคเหล็กเป็นยุคท่ีก้าวนําเข้าสู่ยุค ประวตั ิศาสตร์ หรือท่ีเรียกว่า Proto – history เมื่อโลหะเป็นวัสดุที่สําคัญและจําเป็นต่อมนุษย์มากข้ึน ทําให้มี การเร่ิมกระบวนการการแสวงหาโลหะและเกิดการแลกเปลี่ยนติดต่อกันระหว่างสังคมอย่างกว้างขวาง ปรากฏผลคือ โลหะในสมัยนั้นได้ค้นพบมากแถบตะวนั ออกกลาง ซ่งึ อาจจะเปน็ สาเหตุหน่ึงท่ีทําให้สังคมแถบน้ีมี ความเจรญิ มากกวา่ แถบพ้ืนท่ีอนื่ และเปน็ บอ่ เกดิ ของแหลง่ อารยธรรมตะวันตก ยุคโลหะ นี้ลักษณะสังคมของมนุษย์ได้เปล่ียนแปลงไป แต่ละสังคมไม่อาจะรักษาความสมบูรณ์ หรือ เศรษฐกิจแบบที่สมบูรณ์ในตัวเอง ได้อีกต่อไป สังคมใดที่ไม่มีโลหะก็ต้องทําการเกษตรเพ่ือนําผลผลิตไป แลกเปลยี่ นเป็นโลหะ การแลกเปล่ียนโลหะทําให้สังคมขยายตัวและมีความเจริญมากขึ้น เพราะมีส่ิงกระตุ้นให้ เกิดความกระตือรือร้นที่จะทําการเพาะปลูก หรือประดิษฐ์ส่ิงต่าง ๆ ขึ้น ตามความถนัดของตนเองให้มากข้ึน กว่าท่ีสังคมต้องการทําให้เกิดระบบการค้าขายท่ีขยายตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดและวัฒนธรรมซึง่ กนั และกนั ในดินแดนใดทมี่ ีโลหะกไ็ ด้ขุดค้นและหาวิธีหลอมโลหะ ปรากฏคือดินแดน แถบเอเชียไดร้ ู้จกั วธิ ีการหลอมโลหะเมื่อประมาณ ๑,๔๐๐ B.C. การท่มี นษุ ยร์ ูจ้ ักใช้โลหะและค้นพบวิธีการหลอมโลหะ ซ่ึงเป็นงานที่ต้องการความชํานาญเป็นพิเศษดังนั้น ในสังคมจึงเกิดการแบ่งงานกันทําผู้ที่มีความสามารถในการหลอมแร่และตีโลหะ ก็เลิกทําการเกษตร เพรา เครือ่ งมือโลหะเปน็ ของที่มคี ่าพวกเกษตรกรก็เรม่ิ ตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เพราะต้องนําผลผลิตทางการเกษตร จาํ นวนมากไปแลกเปล่ียนกับเคร่อื งมือโลหะ ทําใหเ้ กดิ ชนชน้ั ทางสังคมข้นึ

บทท่ี ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป ๑๗ Part I History of Europe ในยุคประวัติศาสตร์มนุษย์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรและจารึก “ ”Mesopotamia เร่ืองราวของตนเองไว้บนวัสดุถาวร ทําให้สามารถใช้หลักฐาน CIVILIZATIONs เหล่านั้นเพื่อศึกษาเร่ืองราวความเป็นมาของมนุษย์ได้ชัดเจน และ ถูกต้องมากย่ิงขึ้น ประกอบกับการศึกษาจากหลักฐานทางด้าน โบราณคดี ช่วยใหเราสามารถทราบถงึ ความเจริญทางด้านวัตถุและ ความก้าวหน้าทางด้านศิลปะได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจาก หลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร ทําให้เราสามารถศึกษาความ เป็นอยู่ ความคิด และความเช่ือของมนุษย์ในยุคสมัยน้ัน ได้เป็น อยา่ งดี ยุคประวัติศาสตร์น้ันเร่ิมต้นพร้อม ๆ กับการเกิดอารยธรรม เมือง และจากหลักฐานทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์พบว่า อารยธรรมเก่าแก่ของโลกเกดิ ข้นึ ท่ีดินแดนตะวันออกกลางอันได้แก่ ดินแดนแถบแม่น้ําไทกริส (Tigris) และ ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ํายูเฟร ติส (Euphrates) หรือท่ีเรียกกันว่า ดินแดนเมโสโปเตเมีย กับ ดนิ แดนแถบลมุ่ แมนาํ้ ไนล์ (Nile) ซ่งึ เช่ือกันว่าอารยธรรมในดินแดน ท้ังสองนัน้ เกดิ ขึน้ ในระยะเวลาใกลเ้ คยี งกัน คําว่า เมโสโปเตเมีย มาจากภาษากรีก แปลว่า ดินแดนระหว่างแม่น้ํา คือ เป็นดินแดนที่มี แม่น้ําสองสายไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ําไทกริส และแม่น้ํายูเฟรติส และมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดินแดนพระจันทร์เส้ียวอันอุดมสมบูรณ์ (The Fertile Crescent) ปัจจุบันคือท่ีต้ังของประเทศ อิรัก อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นอารยธรรมเก่าแก่แห่งหน่ึง ซึ่งมีลักษณะท่ีคล้ายกับอารยธรรม อยี ปิ ต์ คอื เปน็ อารยธรรมทเี่ กดิ จากลุ่มแม่น้ํา ได้รับภัยธรรมชาติจากน้ําท่วมเช่นกัน แต่จะมีความ แตกต่างกันในเรื่องของความเช่ือคือเมโสโปเตเมียจะไม่มีความเช่ือเก่ียวกับโลกหน้า และให้ ความสําคัญด้านกฎหมาย ในขณะท่ีอียิปต์ เน้นในด้านของคุณธรรมและเช่ือในเร่ืองของโลกหน้า นอกจากน้ีลักษณะดินแดนของอียิปต์มีพรมแดนธรรมชาติท่ีดีกว่าเมโสโปเตเมีย เพราะดินแดน เมโสโปเตเมียเป็นที่ราบระหว่างลุ่มนํ้า จึงยากแก่การป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก ประวัตศิ าสตร์ของดินแดนแถบนสี้ ว่ นใหญจ่ งึ เปน็ เร่ืองราวของการต่อสู้ แย่งชิงเอาดินแดนและแย่ง ชิงอํานาจกันระหว่าง ชนชาติต่าง ๆ และอารยธรรมในแถบนี้ไม่ได้มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน แต่จะเปน็ อารยธรรมทผี่ สมผสานกนั ของชนชาติท่ีเขา้ มาปกครองดินแดนแถบน้ี ชนเผ่าท่ีเขา้ มาครอบครอง และสร้างสรรคอ์ ารยธรรมในดนิ แดนเมโสโปเตเมยี พวกแรกคือ ชน เผ่าสุเมเรียน ต่อมาก็มีชนเผ่าอีก ๒ เผ่า คือ ชนเผ่าเซมิติก (Semitic) กับ ชนเผ่าชาวอินโด ยูโรเปียน (Indo-European) หรือ พวกอารยัน แม้ว่าชนเผ่าท้ังสองน้ีจะได้ผลัดเปล่ียนกันเข้า ครอบครองดนิ แดนและแยง่ ชงิ ดนิ แดนเมโสโปเตเมียกันมาตลอด อารยธรรมท่ีเป็นพ้ืนฐานด้ังเดิมก็ ยงั คงเป็นของพวกทีเ่ ขา้ มาต้ังถน่ิ ฐานอยกู่ ่อนแต่แรกเร่มิ คือ ชนเผ่าสุเมเรียน อารยธรรมเมโสโปเต เมีย จึงเป็นอารยธรรมของกลุม่ ชนดังต่อไปน้ี

๑๘ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยุโรป Part I History of Europe  อารยธรรมสุเมเรียน เป็นอารยธรรมที่ ก่อตัวขึ้นมาพร้อม ๆ กับอารยธรรมอียิปต์ โดย ชนเผ่าสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้ง ถิ่นฐานบรเิ วณทางตอนใต้ของลุม่ แมน่ ้ําไทกริส - ยูเฟรติส เม่ือประมาณ ๕,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ B.C. แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกสุเม เรียนเปน็ ชนเผา่ ใด สันนิษฐานวา่ คงอพยพมา จากทรี่ าบสงู ในเอเชยี กลาง พวกสุเมเรียนมีความสามารถในการเกษตร รู้จักทําเข่ือนทดนํ้า เพื่อควบคุมน้ําไปใช้ ประโยชน์ในการเพาะปลุก จึงสามารถทําการผลิตอาหารได้มาก พวกสุเมเรียนได้จัดตั้งนครรัฐ (City - States) ขนึ้ นครรฐั ทส่ี ําคญั ได้แก่ เออร์ (Ur) , เออรุค (Uruk) , คิช (Kish) , นิปเปอร์ (Nipper) , บาบิโลน (Babylon) , อีรดิ ู (Eridu) และ ลากาซ (Lagash) เปน็ ต้น แตล่ ะนครรฐั มีอสิ ระในการปกครองตนเองและมีระบบการปกครอง ท่แี ตกต่างกนั ออกไป นครรัฐเหล่านม้ี ักจะมีการทําสงครามกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่กันอยู่เสมอ แต่ไม่มีนคร รัฐใดสามารถรักษาความเป็นใหญ่ไว้ได้นาน ด้วยเหตุนี้นครรัฐของพวกสุเมเรียนได้ถูกชนเผ่าอ่ืนที่อยู่แถบ ทะเลทราย และมีความสามารถทางการรบมากกว่าเข้ารุกราน จนในท่ีสุดราว ๒,๔๐๐ B.C. หัวหน้าเผ่าเซมิติก พวกหนึ่ง คือ ซาร์กอนท่ี ๑ (Sargon I) ผู้ปกครอง ดินแดนอัคคัด (Akkad) สามารถรบชนะพวกสุเมเรียน และ เขา้ ครอบครองดนิ แดนเมโสโปเตเมีย จากชัยชนะในคร้ังน้ัน นําไปสู่การสถาปณาอาณาจักรเซมิติกข้ึนเป็นครั้ง แรกในเอเชียตะวันตก คือ อาณาจักรอัคเคเดียน ต่อมาซาร์กอนท่ี ๑ ได้ขยาย อาณาจักรและอํานาจออกไปครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของซีเรียตลอดไป จนจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่อย่างไรก็ตามชัยชนะของซาร์กอนที่ ๑ ก็ไม่ย่ังยืน เพราะหลังจากท่ีซาร์กอนท่ี ๑ สิ้นพระชนม์ พวกสุเมเรียนก็ก่อการกบฏขึ้น แม้ไม่ ประสบความสําเร็จ แต่เป็นการแสดงออกถึงความอ่อนแอของอาณาจักรอัค เคเดียน ในท่ีสุดอาณาจักรอัคเคเดียนก็ถูกโค่นล้มลงโดยชนเผ่าเร่ร่อน จากทาง เหนอื คอื พวกกตู ิ (Guti) หลงั จากน้นั เมอ่ื ประมาณ ๒,๑๕๐ B.C. ผูป้ กครองนครรัฐ เออร์ ซึ่งเป็นเช้ือสายชนเผ่าสุเมเรียน ได้ทําการขับไล่พวกกูติออกไปจากดินแดน เมโสโปเตเมียไดส้ าํ เร็จ ทําใหพ้ วกสุเมเรยี นเป็นอิสระอีกครงั้ หลังจากพวกสุเมเรียน เป็นอิสระผู้ปกครองนครรัฐเออร์ ได้จัดตั้ง อาณาจกั รสเุ มเรยี นข้นึ และพยายามสร้างอาณาจักรให้มีความเข้มแข็งและย่ิงใหญ่ เหมือนกับอาณาจกั รของซารก์ อนที่ ๑ แต่อาณาจักรสุเมเรียนก็ตั้งมั่นอยู่ได้แค่ ๕๐ ปี ก็ไดถ้ ูก พวกอีลาไมท์ (Elamites) เข้ายึดครองเม่ือราว ๒,๐๐๐ B.C. และต่อมา ประมาณ ๑,๙๕๐ B.C. ได้ถูกชนเผ่าเซมิติกอีกพวกหน่ึงคือ พวกอามอไรท์ (Amorites) ซึ่งได้อพยพมาจากทะเลทรายอาระเบีย เข้าครอบครอง และพวกอา มอไรท์ได้เข้าต้ังเมืองหลวงที่กรุงบาบิโลน อันนําไปสู่การต้ังอาณาจักรใหม่คือ อาณาจกั รบาบโิ ลเนีย ๒,๔๐๐ BC. ๒,๑๕๐ BC. ๒,๐๐๐ BC. ๑,๙๕๐ BC. ซารก์ อนท่ี ๑ ยึด Guti ยดึ ครอง Elamites ยึด Amorites ยึดครอง สุเมเรียน ครอง สเุ มเรียน สุเมเรียน ครอง สเุ มเรียน เปลี่ยนเปน็ บาบโิ ลเนีย

บทท่ี ๑ ประวัติศาสตร์ยโุ รป ๑๙ Part I History of Europe “การเมืองการปกครองของสุเมเรียน” ลักษณะท่ีเด่นของอารยธรรมสุเม เรยี นท่ีแตกต่างจากอารยธรรมอียิปต์ก็คือ ลักษณะการปกครองท่ีไม่ได้รวมกันเป็น อาณาจกั รใหญ่ แตจ่ ะมีลักษณะเปน็ นครรฐั และแต่ละนครรัฐก็จะมีอิสระในตัวเอง มีระบบการปกครองของตนเอง ไม่ขึ้นกับใคร และจะรวมตัวกันก็ต่อเม่ือมีศัตรูเข้า มารุกราน ตาํ แหน่งผปู้ กครองนครรัฐจะเรียกว่า ปะเตซี (Patesi) ซ่ึงทาํ หนา้ ท่ีเป็น ผู้นําในทางศาสนาด้วยควบคู่กับการเมืองการปกครอง และการทําสงคราม นอกจากนีย้ ังต้องดแู ลด้านการเกษตรและจดั ระบบการทดน้ํา เพอ่ื เป็นประโยชน์ต่อ การเพาะปลูก ซ่ึงเป็นหัวใจหลักของสังคมสุเมเรียน ในบางคร้ังก็จะมีปะเตซีที่มี ความทะเยอทะยานในอํานาจทางการเมือง พยายามขยายอํานาจของตนเองให้มี เหนือนครรบั อื่น ๆ เพ่อื ตั้งตนเปน็ กษตั รยิ ์ เชน่ ปะเตซีของนครรฐั เออร์ ได้สถาปนา ราชวงศ์ของตนขึ้น และพยายามขยายอํานาจครอบครองนครรัฐคิชและนิปเปอร์ เม่ือประมาณ ๒,๔๐๐ B.C. การรวมอํานาจการปกครองเข้าเปน็ อาณาจักรของพวก สุเมเรยี นอยา่ งมนั่ คงเกิดขึ้นเมอื่ ประมาณ ๒,๐๐๐ B.C. “สังคมและเศรษฐกิจของสุเมเรียน” สังคมของชาวสุเมเรียน นั้นเป็นสังคม   เกษตรกรรม ชาวนาเป็นชนชั้นท่ีมีจํานวนมากท่ีสุด และเป็นหัวใจสําคัญของสังคม แต่ชาวนาไม่มิสิทธิในการครอบครองท่ีดิน ท้ังน้ีเพราะเชื่อว่าที่ดินทั้งหมดเป็นของ เทพเจ้า ผู้นําทางศาสนาหรือผู้นําทางการเมือง เป็นผู้ครอบครองที่ดิน และชานา เป็นเพียงแรงงานของนครรับ ชาวนาสุเมเรียน มีความสามารถในการเพาะปลุก รู้จักสรา้ งเข่อื นกัน้ น้าํ สรา้ งคลองระบายน้าํ ประตนู าํ้ และอา่ งเกบ็ นํ้า เพื่อระบายน้ํา ออกไปยังบริเวณดินแดนที่แห้งแล้งที่อยู่ห่างไกลจากฝั่งแม่น้ําออกไป และเพื่อกัก เก็บน้ําไว้ใช้ในยามท่ีต้องการ ซึ่งวิธีการควบคุมน้ําและจัดการระบายนํ้าดังกล่านั้น เรียกว่า ระบบชลประทาน ชาวนาสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่รู้จักใช้ระบบนี้อย่าง กว้างขวาง การเกษตรของชาวสุเมเรียนก้าวหน้ามาก มีการใช้คันไถเทียมด้วยโค ทําให้สามารถหว่านไถได้เป็นบริเวณกว้างทําให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้น จนบริโภคเองไม่หมด จึงได้นําออกไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าต่างแดน ทําให้การค้า เจรญิ ขึ้น และมีความสําคญั ต่อระบบเศรษฐกิจของชาวสเุ มเรยี น การค้าของชาวสุเมเรียนเปน็ ระบบการคา้ แบบเสรี ไมม่ ีการผูกขาดการค้า พวกพ่อค้าสุเมเรียนจะนําเอาสินค้าเกษตรกรรม เช่น ข้าวสาลี อินทผลัม ขนสัตว์ และสินค้าหัตถกรรม อาทิเช่น เครื่องปั้นดินเผา ไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าไม้จาก ดนิ แดนทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และซเี รีย สนิ ค้าพวกทองแดง หนิ จากโอมาน อญั มณตี ่าง ๆ จากอัฟกานสิ ถาน และดบี ุกจากเอเชียไมเนอร์ โดยพ่อค้าสุเมเรยี นใช้ เส้นทางการค้า ท้ังทางบกและทางเรือ ระบบการค้าของชาวสุเมเรียนมีการใช้ ใบเสรจ็ รับเงนิ และมีระบบเงนิ ตราแลกเปลย่ี นสินคา้ ซึง่ เป็นทองแท่งหรือ เงนิ แทง่ “ความเช่ือทางศาสนาของสุเมเรียน” พวกสุเมเรียนนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เพทพ เจ้าสูงสุดคือ สุริยเทพ หรือ  ชามาช (Shamash) ซ่ึงเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เพท เจ้าเอนลิล (Enlil) เทพเจ้าแห่งฝนและลม  เทพีอิชตา (Ishtar) เป็นเทพีแห่งความรัก ความอดุ มสมบรู ณ์ หรอื พระแม่ธรณี นอกจาน้แี ต่ละ่ นครรัฐ จะมเี ทพเจ้าประจํานครรัฐ เช่น เทพเจ้าแนนนาร์ (Nannar) เป็น เทพประจํานครรัฐเออร์ เทพเจ้าของชาวสุเมเรียนจะเป็น ทงั้ เทพเจ้าแห่งความดแี ละความช่วั เชน่ สรุ ยิ เทพ ก็จะให้แสงสวา่ งและความอบอุ่นแก่มนุษย์ พรอ้ มกนั น้นั กใ็ หค้ วามแห้งแล้งและทําลายพืชพันธุ์ธัญญาหารของมนุษย์ด้วย ชาวสุเมเรียน ไม่มีความเช่ือในเร่ืองโลกหน้า จึงทําให้มีความสนใจและให้ความสําคัญกับโลกน้ีมาก และ เช่ือวา่ ตอ้ งทาํ ให้เทพเจา้ พอใจ

๒๐ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป Part I History of Europe “ความเจริญทางด้านศิลปะวิทยาการของสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนมีความ เจริญทางด้านศิลปะวิทยาการหลายแขนง อารยธรรมที่สําคัญคือ การประดิษฐ์ อักษรล่ิม หรือเรียกว่า อักษรคูนิฟอร์ม (Cuniform) ขึ้นใช้เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ B.C. อกั ษรลิ่มเป็นอักษรท่ีเขียนด้วย ก้านอ้อ ใช้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียว ขณะที่ ยังอ่อนตัวแล้วนําไปตากแดดให้แห้ง ตัวอักษรล่ิมในระยะแรกเป็นตัวอักษรภาพ ต่อมาได้มีการดัดแปลงแก้ไขปรับปรุงใหม่เป็นเคร่ืองหมายต่าง ๆ เพ่ือใช้แทนภาพ เคร่ืองหมายบางตวั ใชแ้ ทนเสยี งเพ่อื ใช้ในการผสมคํา หรือใช้แทนภาพทเี่ ขียนได้ยาก เคร่อื งหมายเหล่านี้มีจํานวนมากถึง ๓๕๐ เคร่ืองหมาย ชาวสุเมเรียนมีความเจริญ ด้านคณิตศาสตร์ ได้ค้นพบวิธีการคิดเลขเป็นชาติแรก คือ ค้นพบวิธีการ บวก ลบ คูณ และการถอดรากกําลังสอง รากกําลังสาม ชาวสุเมเรียนนิยมใช้เลขฐาน ๖๐ สําหรับในปัจจุบนั ในเร่ืองการนับเวลา รวมทั้งการแบ่งมุมในวงกลมออกเป็น ๓๖๐ องศา นอกจากน้ีชาวสุเมเรียนยังสามารถประดิษฐ์นาฬิกานํ้าข้ึนใช้ ได้คิดค้นหลัก ใหญ่ของปฏิทินข้ึนเป็นคร้ังแรก โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการณ์การโคจรของดวง จันทรส์ ําหรบั ปฏทิ นิ ของชาวสุเมเรยี น เปน็ ปฏิทนิ แบบจนั ทรค์ ติ โดยแบ่งปีออกเป็น ๑๒ เดือน และเดือนหนงึ่ จะมี   วนั  งานดา้ นศลิ ปะของชาวสุเมเรียน ท่ีมีชื่อเสียงมากคือ รู้จักเจียระไนเพชรพลอย นักโบราณคดีได้ขุด พบสร้อยทองคําที่นครรัฐเออร์ซ่ึงมีความสวยงามและมีฝีมือประณีตมีอายุประมาณ ๓,๕๐๐ B.C. และจาก หลกั ฐานการขุดค้นทางโบราณคดี พบวา่ ชาวสเุ มเรยี นมีความรใู้ นเรอ่ื งงานช่างโลหะเป็นอย่างดี คือ รู้จักใช้เตา หลอมโลหะคุฯภาพดี สามารถละลายโลหะทองแดงจนเป็นของเหลว และสามารถทําโลหะผสมขึ้นใช้คือ สัมฤทธ์ิ นอกจากนี้ยังรู้วิธีหล่อ วิธีบัดกรี จึงมีการทําเครื่องมือเคร่ืองใช้และอาวุธที่ทํามาจากโลหะอย่าง กว้างขวาง ชาวสเุ มเรียนรูจ้ กั นําตะกั่ว เงิน และทองแดง มาใช้ในการทําเครื่องประดับและเครื่องถ้วยชามจาก การขดุ คันเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ของชาวสุเมเรียนท่ที าํ จากโลหะ ไดแ้ สดงให้เห็นว่าชาวสุเมเรียนมีความเจริญ และมี ความสามารถอย่างสูงของช่างโลหะชาวสุเมเรยี น งานด้านสถาปัตยกรรมของสุเมเรียนส่วนใหญ่นั้น มักจะก่อสร้างด้วยอิฐ เพราดินแดนแถบสุเม เรียนไม่มีหิน อิฐของชาวสุเมเรียนทําจากดินเหนียวที่ตากแห้ง อิฐประเภทน้ีเรียกวว่า อิฐตากแห้ง (Sun – dried brick) ซง่ึ ปอ้ งกันความช้นื ไมไ่ ด้ และถา้ ถกู นา้ํ มากเกินไปมกั จะยอ่ ยสลายและย่ยุ อีกประเภทหน่งึ จะเป็น อิฐเผา หรือ อบจนแห้ง (baked – brick) ซ่ึงสามารถป้องกันความชื้นได้ดี งานด้านสถาปัตยกรรมของสุเม เรียนคือ พระราชวังท่ีสร้างด้วยอิฐอย่างใหญ่โตท่ีนครรัฐคิช และ ศาสนสถานที่เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) ซึง่ เปน็ สิ่งก่อสรา้ งคลา้ ยปริ ามิด คือเปน็ วิหารทสี่ รา้ งบนฐานท่ยี กสูงจากพน้ื ดนิ ข้างบนทําเป้ฯวิหารของเทพเจ้า มีบันไดทอดยาวข้ึนไป ท่ีนครรัฐเออร์ ยังมีซากของซิกกูแรตหลงเหลืออยู่หน่ึงแห่ง มีฐานยาว ๒๐๐ ฟุต กว้าง ๑๕๐ ฟุต สูง๗๐ ฟตุ วรรณกรรมของชาวสุเมเรียนที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ มหากาพย์กิลกาเมซ (Gilgamesh Epic) ซึ่งได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ B.C. ได้กล่าวถึงการผจญภัยของกษัตริย์ในเทพ นิยายของนครรัฐอีเรค ลักษณะของเน้ือหาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับวรรณกรรมในปัจจุบัน คือจะกล่าวถึง ความรัก มิตรภาพและคุณธรรม มหากาพย์กิลกาเมซเขียนลงบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ ๑๒ แผ่น รวม ด้วยกันท้ังหมด ๓,๐๐๐ บรรทัด และบทโคลงท่ีกล่าวถึงการสร้างโลก มีความคล้ายคลึงกับเร่ืองราวที่ พรรณนาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลของพวกฮิบรู ทําให้เชื่อว่าวรรณกรรมของชาวสุเมเรียนมีอิทธิพลต่อชาว ฮิบรใู นระยะต่อมา

บทท่ี ๑ ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป ๒๑ Part I History of Europe “อาณาจกั รบาบโิ ลเนีย” เรยี กวา่  อาณาจกั รบาบโิ ลเนียเกา่ หรอื (Old Babylonia Empire) ได้จัดตง้ั ข้นึ เมอ่ื ประมาณ ๑,๙๕๐ B.C. โดยชนเผา่ เซมติ กิ คือ พวกอามอไรท์ (Amorite) อาณาจกั รน้ีมคี วามสาํ คญั มากทส่ี ุดเพราะ มคี วามเจริญร่งุ เรอื งและมอี าณาเขต กวา้ งขวาง นอกจากนไ้ี ด้สร้างสรรค์อารยธรรมไวม้ ากมาย ไม่แพ้ชาวสเุ มเรยี น และกษตั รยิ ์ทส่ี าํ คญั ทส่ี ุดคือ พระเจา้ ฮมั มรู าบี (Hammurabi) ข้ึนครองราชย์เมื่อประมาณ ๑,๙๔๗ B.C. ในสมัยของพระองค์ได้รวบรวมเอานครรัฐเล็ก ๆ เข้า ด้วยกัน จดั ตัง้ เป็นจกั รวรรดขิ ้ึน และไดข้ ยายดินแดนข้นึ ไปทางเหนอื จนถงึ ดินแดนอสั ซเี รีย แต่หลังจากพระเจ้าฮัมมูรา บีส้ินพระชนม์ลง อาณาจักรบาบิโลเนียเร่ิมเส่ือมอํานาจลงเรื่อย ๆ จนในท่ีสุดอาณาจักรบาบิโลเนียได้ถูกโค่นล้มโดย พวกแคสไซต์ (Kassites) เมื่อประมาณ ๑,๖๕๐ B.C ทําให้อาณาจักรแถบนี้ตกอยู่ในยุคมืด แม้ว่าบาบิโลเนียจะเป็น ชาวต่างชาตทิ ีเ่ ขา้ รกุ รานชาวสเุ มเรยี น แต่พวกบาบโิ ลนก็ได้รับเอาอารยธรรมของชาวสุเมเรียนเข้ามาไว้ และปรับปรุง ใหเ้ หมาะสมมคี วามเจริญก้าวหนา้ ขน้ึ หลายประการที่สาํ คญั คือ “การเมืองการปกครองของบาบิโลเนียเก่า” พวกบาบิโลนได้สถาปนาอาณาจักรท่ีมีอํานาจส่วนกลาง เข้มแข็งฐานะของกษัตริย์สูงส่งและมีอํานาจสูงสุดในการปกครอง มีการเก็บภาษีและการเกณฑ์ทหาร รัฐเข้าควบคุม การค้าขายต่าง ๆ เพื่อนําเงินรายได้เข้าสู่ส่วนกลางและใช้ประโยชน์ในทางการทหารและการปกครอง ดังนั้น การ ปกครองแบบนครรบั ทีม่ อี ํานาจอสิ ระและปกครองตนเองแบบทส่ี เุ มเรยี นเคยใชก้ ็ถกู ยกเลกิ ไป “การประกาศใช้ประมวลกฎหมาย” นับว่าเป็นผลงานที่สําคัญยิ่งของพวกบาบิโลน ประมวลกฏหมายท่ี เก่าแก่ท่ีสุดและมีความสําคัญที่สุด คือ ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี (The Code of Hummurabi) ซึ่ง จารกึ บนแผ่นหนิ ไดโอไรท์สดี าํ ขนาดสูงประมาณ ๘ ฟุต โดยใชต้ ัวอักษรคนู ิฟอร์ม และมีความเช่ือว่าพระเจ้าฮัมมูราบี ได้รบั พระราชทานมาจากสุริยเทพ กฎหมายนี้จะตั้งไว้ในที่สาธารณะเพ่ือให้ประชาชนได้ศึกษาข้อบังคับของกฎหมาย ตลอดจนสิทแิ ละหน้าท่ีของตนเอง ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮมั มรู าบีมรี ากฐานมาจากกฎหมายของชาวสุเมเรียน คือ จะมีบทลงโทษท่ีรุนแรงมาก โดยอาศัย หลักการ เล็กซ์ ตาลิโอนิส (Lex Talionis) หรือหลักการตาต่อตา ฟันต่อ ฟนั (an eye for an eye, a tooth for a tooth) ดงั กาํ หนดไวใ้ นมาตราที่ ๑๙๖ ว่า “ถ้าบุคคลใดทําลายดวงตาของ ผู้อืน่ ดวงตาขอบคุ คลผู้นั้นกจ็ ะต้องถูกทาํ ลายดว้ ยเชน่ กัน” ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบีน้ันให้ความสําคัญกับด้านเศรษฐกิจ คือจะให้ความคุ้มครองธุรกิจ การค้า การประกอบอาชีพ ทรัพยส์ นิ และท่ดี ิน จากประมวลกฎหมายฮัมมูราบีทําให้ทราบว่า อาณาจักรบาบิโลน ไม่ เชื่อเร่ืองทฤษฏีการค้าเสรี และการแข่งขันทางการค้า ดังนั้นการค้าขายจึงตกอยู่ในการควบคุมของรัฐ มีการออก กฎหมายเกีย่ วกบั หา้ งหนุ้ ส่วน คลังสินคา้ และตัวแทนจาํ หน่าย กฎหมายควบคุมการค้ากําไรเกินควร การบริการ และ ในการค้าขายต้องมีสัญญาและพยาน หากดําเนินการค้าขายโดยไม่มีหลักฐานถือว่าเป้ฯการกระทําท่ีผิดกฎหมาย จะต้องถูกลงโทษอย่างรนุ แรง ถงึ ข้ันประหารชีวิต สําหรับอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของอาณาจักรอย่างมาก จึงมีการออก กฎหมายควบคมุ การเพาะปลกุ กําหนดบทลงโทษแก่บคุ คลที่ละเลยการเพาะปลกู เชน่ ไมข่ ุดคลองทดน้าํ ปอ้ งกนั ความ แหง้ แล้ง และได้กาํ หนดใหท้ ่ดี ินเป็นของรฐั แตอ่ นุญาตให้เอกชนเข้าครอบครองท่ีดินทํากินได้โดยต้องจ่ายค่าเช่า หรือ เสยี ภาษใี หแ้ ก่รฐั เปน็ การตอบแทนในอตั รา ๒ ใน ๓ ของผลผลติ จากการเกษตร “ศาสนาของบาบโิ ลเนยี เก่า” รบั เอาอิทธิพลทางความเชอื่ ด้านศาสนามาจากพวกสุเมเรยี น คือ การนับ ถอื เทพเจ้าหลายองค์ แต่เทพเจ้าท่ีพวกบาบิโลเนียให้ความยกย่องว่าเป้ฯเทพเจ้าสูงสุดคือ เทพเจ้ามาร์ดุค (Marduk) ซึ่งเป็นเทพเจ้าประจํากรุงบาบิโลน นอกจากนี้มีการนับถือ เทพีอิชต้า และเทพเจ้าแทนมุช (Tanmuz) ซึ่งพวกบาบิ โลนเชอื่ ว่าเทพเจา้ แทนมุซจะสนิ้ ชีพในชว่ งฤดใู บไมร้ ่วง และจะฟื้นคืนชีพใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อันเป็นสัญลักษณ์ของ การตายและเกิดใหมข่ องพฤกษชาติ แตม่ ีความเช่อื ในเรื่องของไสยศาสตร์ คือ นับถือภูตผีปีสาจ และพ่อมดหมอผี ซ่ึง ความเชอื่ ในเรือ่ งเหลา่ นี้ สนั นษิ ฐานวา่ ได้รับมาจากการเกดิ ภยั พิบตั ิ จากการเกิดนํ้าทว่ มจากแมน่ ํา้ ไทกริส และยูเฟรติส ทําให้จิตใจของพวกบาบโิ ลเนยี หดหูแ่ ละสิน้ หวงั ความเชอ่ื ในเรอ่ื งไสยศาสตร์นน้ั อาจจะมาจากชาวนาก่อนและค่อย ๆ ขยาย ๆ ออกไปสชู่ นสว่ นใหญ่

๒๒ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยุโรป Part I History of Europe “จักรวรรดอิ ัสซีเรยี ” เปน็ จักรวรรดทิ ่ใี หญท่ สี่ ุดนบั ต้ังแตม่ นษุ ย์เร่ิมกอ่ ต้ัง  และสรา้ งบา้ นเมืองขึน้ มา เพราะนอกจากจะได้รวบรวม เอาดินแดนในเมโสโปเตเมยี ทงั้ หมดเข้าด้วยกันแล้ว ยงั ได้รวบรวมเอาอียปิ ต์เขา้ มารวมอยูใ่ นจักรวรรดดิ ้วย พวกอสั ซีเรยี นเป็นพวกเซมติ ิก มีถนิ่ ฐานเดมิ อย่ทู างตอนเหนือของลมุ่ นํ้าไทกรสิ ยุเฟรติส และได้จดั ตัง้ อาณาจักรของตนเองข้ึนทแ่ี ถบ ท่ีราบสูงอสั เซอร์ (Assur) เมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ B.C. จนกระท่ัง พวกแคสไซต์ (Kessite) เข้ายดึ ครองอาณาจักรบาบิโลเนีย และครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมียเป็น เวลานานถึง ๖๐๐ ปี ทําใหด้ ินแดนเมโสโปเตเมียตกอยู่ในยุคมืด เพราะ พวกแคสไซต์เป็นพวกที่ด้อยความเจริญ จึงไม่ได้สร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ดินแดนน้ีเลย ส่งผลให้ดินแดนเมโสโปเตเมียเริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ สิ่งเด่ียวท่ี แคสไซตน์ ํามาให้แก่บาบโิ ลเนีย คือ การใช้มา้ เทา่ น้นั ในขณะท่อี ารยธรรมแถบนี้กําลังเสื่อมลง พวกอัสซีเรียนได้ ขยายอทิ ธพิ ลลงมาทางใต้ และเมอ่ื ประมาณ ๑,๓๐๐ B.C. ได้ต้ังตนเป็นอสิ ระและเข้ายดึ อาํ นาจจากพวกแคสไซต์ ได้สาํ เร็จ หลงั จากนั้นพวกอัสซีเรยี ไดส้ ถาปนาจกั รวรรดิอัสซเี รยี ขนึ้ เมอื่ ประมาณ ๑,๐๐๐ B.C. จักรวรรดิอัสซีเรีย ได้เจริญสูงสุดในราว ๘๐๐ – ๖๐๐ B.C. คือในสมัยของ พระเจ้าซาร์กอนที่ ๒ (Sargon II, ๗๗๒ – ๗๐๕ B.C.) และในสมัยของ พระเจ้าซีนนาเซริบ (Sennacherib, ๗๐๕ – ๖๘๑ B.C.) และในสมัยของ พระเจ้าแอสซูร์บา นิพัล (Assurbanipal, ๖๖๘ – ๖๒๖ B.C.) ในเวลานี้ จักรวรรดิอัสซีเรียเป้ฯที่รวสบรวมของอารยะรรมโลกไว้ เกือบทั้งหมด เนอื่ งจากสามารถเขา้ ไปมอี ิทธิพลเหนือ ดนิ แดนซีเรยี ฟินเิ ชีย อาณาจกั รอิสราเอล และอียปิ ต์ ความเขม้ แขง็ ของจกั รวรรดิอัสซีเรียน้นั ตั้งอยู่บนรากฐานของกองกําลังท่ีมีระเบียบวินัย มีการใช้อาวุธ ท่ีทําด้วยเหล้ก จึงทําให้มีประสิทธิภาพสูง และใช้กําลังทหารในการขยายอํานาจรับ พร้อมกันนั้นได้ใช้กําลังทา หรในการปกครองดินแดนที่ยึดได้มาด้วย เม่ือทําสงครามได้ชัยชนะ ในดินแดนใด ก็จะฆ่าผู้คนและทําลาย บ้านเมอื ง และปกครองผแู้ พ้อย่างกดขีท่ ารณุ ด้วยเหตุนี้ทําให้ชนชาติอ่ืน ๆ หวาดกลัวและเกลียดชังพวกอัสซีเรีย ในที่สุดเผ่าเซมิติกอีกพวกหนึ่ง คือ พวกแคลเดียน (Chaldean) ภายใต้การนําของ เนโบโพลัสซาร์ (Nebopolassar) ซึ่งเคยสวามิภักด์ิ ต่ออัสซีเรีย มาก่อนได้ก่อการกบฏข้ึน และเข้ายึดครอง เมืองนิเนอเวห์ (Ninerveh) นครหลวงของจักรวรรดิอัสซีเรยได้สาํ เรจ็ เมอ่ื ปี ๖๑๒ B.C. อันเปน็ การสิน้ สุดของจกั รวรรดิอัสซีเรยี จกั รวรรดิอสั ซีเรียแมเ้ ปน็ จกั รวรรดทิ ี่ย่งิ ใหญ่ แตก่ ็ไมค่ ่อยได้สร้างสรรคอ์ ารยธรรมให้แก่ชาวโลกมากนัก อารยธรรมท่สี าํ คัญของอัสซีเรีย ที่ทง้ิ ไวเ้ ปน็ มรดกแกช่ นรุน่ หลังทสี่ ําคญั มดี งั น้ี “การเมอื งการปกครองและการทหาร” จักรวรรดิอัสซีเรียได้แบ่งจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ออกเป็นรัฐเล็ก ๆ ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองขึ้น แต่ล่ะรัฐมีกษัตริย์ปกครอง หากกษัตริย์รัฐใดไม่สวามิภักดิ์ ต่อจักรวรรดิจักรพรรดิ จะ แตง่ ตั้งผู้ปกครองคนใหม่ไปปกครองแทนโดยให้มีอํานาจควบคมุ กองทัพรัฐนนั้ และคอยควมคมุ การเกบ็ ภาษีสง่ แก่ จักรวรรดิ จงึ ทําให้กษัตริย์ในรัฐเล็ก ๆ ไม่มีอิสระในการปกครองเหมือนเม่ือก่อนการปกครองจักรวรรดิของอัสซี เรียน เป็นการปกครองท่ีเข้มงวดเด็ดขาด ในลักษณะท่ีเรียกว่า การปกครองแบบกําปั้นเหล็ก และได้ใช้นโยบาย โยกย้ายประชาชนจากรฐั หนึ่งไปสูอ่ กี รฐั หนึ่ง เพ่ือทาํ ลายความผูกพันกบั ประชานทจ่ี ะมตี อ่ มาตุภูมขิ องตน ในด้านกฎหมายของพวกอัสซีเรียน ได้นําเอาประมวลกฎหมายของฮัมมูราบีมาใช้ปรับปรุงแก้ไขใหม่ เพอ่ื ใช้เปน็ หลกั การในการปกครองอาณาจักร มีการกําหนดโทษท่ีรุนแรงแก่พวกที่ทําแท้งบุตร ทั้งนี้อาจะเป็นไป เพราะเหตุผลทางด้านการทหาร และกําหนดให้หญิงเป็นสมบัติของสามี ดังน้ันสิทธิในการหย่าจึงเป็นสิทธิของ ฝา่ ยชายเทา่ นั้น และอนญุ าตให้ฝา่ ยชายมีภรรยาไดห้ ลายคน นอกจากนี้ยังได้หา้ มหญิงทีแ่ ต่งงานแล้วปรากฏตวั ใน ท่ีสาธารณะโดยปราศจากการใส่ผา้ ปิดหนา้ ส่วนทางด้านการทหารพวกอัสซีเรียมีความ สามารถในการรบ กองทัพของอัสซีเรียเป็นกองทัพท่ิ ยิ่งใหญ่และมีอาวุธพรอ้ ม อาวุธท่ีสําคญั ไดแ้ ก่ ดาบเหลก็ ธนู หอกยาว โล่ และเกราะที่ทาํ ด้วยโลหะ ทหารอัสซเี รีย รู้จักสรา้ งป้อมปราการเคล่ือนท่ีและใช้ไม้ซุงทําลายกําแพงเมือง วิธีการรบของกองทัพอัสซีเรียเป้ฯที่เกรงขามคือ ใชว้ ิธกี ารขม่ ขวัญศตั รู ด้วยการกระทําอยา่ งทารณุ อย่างโหดร้ายต่อพวกเชลยทั้งท่เี ป็นทหารและราษฏร ด้วยเหตุ น้ีพวกอัสซเี รีย จงึ ไดช้ ื่อว่าเป็นพวกดุรา้ ย และนา่ กลวั มาที่สุดในสมัยโบราณ

บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป ๒๓ Part I History of Europe “เศรษฐกิจและสังคม” พวกอัสซีเรียนิยมการเป็นนักรบมากกว่าการเป็นพ่อค้า เศรษฐกิจของจักรวรรดิอัส ซีเรียจงึ ตกอยู่ในมือของพ่อค้าต่างชาติ คือ พวกอาเรเมียน (Arameans) ฟีนิเชียน และ ฮิบรู แต่อัสซีเรียนเองก็ ให้ความสําคัญกับด้านการเกษตรมาก ที่ดินส่วนใหญ่จะเป็นของจักรพรรดิ แต่ก็ยินยอมให้ประชาชนครอบครอง ได้บ้าง และจักรพรรดิเองก็ไดใ้ ชท้ ดี่ ินเป็นบําเหนจ็ รางวลั แกท่ หารผ้ทู ร่ี ับใช้ และเป็นผทู้ ไี่ ด้รับชัยชนะในสงคราม สังคมอัสซีเรียน ยกย่องทหารเป็นชนช้ันสูงสุด เพราะเป็นผู้ปกครอง และมีอํานาจออกกฎหมายด้วย พวกน้ีจะมีชีวิตที่หรูหรา สุขสบายและร่ํารวยกว่า ส่วนชนชั้นกลางน้ัน ได้แก่พ่อค้า ช่างฝีมือ และนักปราชญ์ ซ่ึง สว่ นใหญ่เป็นพวกต่างชาติ ทเี่ ข้ามาติดต่อคา้ ขาย สาํ หรบั ชนชัน้ ตาํ่ สดุ ได้แก่ พวกทาส และทาสเชลยศึก พวกทาส ยังมีฐานะดีกว่าทาสเชลยสึกมาก พวกทาสเป็นแรงานในการเพาะปลุก โดยทํางานส่งผลผลิตให้แก่นายของตน และทํางานในหนว่ ยทหาร เพ่อื นําเอาผลผลิตไปใหท้ หารด้วย ส่วนทาสเชยศึกอยู่ในฐานะที่ลําบากมาก พวกน้ีจะ ตอ้ ถกู พนั ธนาการและถูกบังคับใหท้ ํางานตา่ ง ๆ เช่น ทําถนน ขุดคลอง สรา้ งพระราชวงั เป็นตน้ “ศลิ ปะวิทยาการ” ชาวอสั ซเี รยี นมคี วามเจรญิ ทางด้านวิทยาศาสตร์พอสมควร ในสมัยนี้ได้มีกาค้นพบเส้นรอ บวงว่ามี ๓๖๐ องศา และได้คิดค้นเกี่ยวกับเส้นลองติจูด ในทางดาราศาสตร์ ได้ต้ังช่ือดาวพระเคราะห์ และ สามารถคาํ นวณการเกดิ สรุ ยิ ปุ ราคาได้สําเรจ็ สว่ นด้านการแพทยไ์ ด้มกี ารพัฒนาใหม้ ีความเจรญิ มากขน้ึ ท้ังน้ีกเ็ พื่อ ตอบสนองในการรักษาทหารท่ีเจ็บป่วย ปรากฏว่าในสมัยน้ีมีการค้นพบยารักษาโรคมากกว่า ๕๐๐ ชนิด และมี การศกึ ษาอาการของโรคตา่ ง ๆ แตอ่ ยา่ งไรก็ตามการรักษาโรคดว้ ยวิธกี ารทางไสยศาสตร์กย็ งั มีอยู่ ศิลปะของชาวอสั ซเี รยี เปน็ การแกะสลกั ภาพนนู ตํา่ ภาพท่ีมชี ่ือเสยี งมกั เป้ฯภาพทีเ่ กย่ี วกับสงคราม และ การลา่ สตั ว์ ศลิ ปลักษณะเชน่ นี้ ของชาวอัสซเี รยี แสดงออกเพียง ๒ ดา้ นคอื การสงครามและการกีฬา เท่านั้นเพ่ือ สะทอ้ นถึงความกลา้ หาญในการเผชญิ หนา้ กับอันตรายและความยงิ่ ใหญข่ องชนชน้ั ปกครอง สว่ นทางดา้ นสถาปัตยกรรมของชาวอัสซีเรียนนิยมใชห้ ินในการสร้างพระราชวงั และโบสถ์ วิหารต่าง ๆ ซึ่งนําหินมาจากภูเขาทางตอนเหนือเข้ามาใช้ แทนอิฐตากแห้งท่ีเคยใช้ในสมัยก่อน สําหรับศิลปะการก่อสร้าง ได้รบั อิทธพิ ลมาจากพวกสุเมเรียนคือ นิยมสร้างเป็น รูปโค้งครึ่งวงกลมและโดม สถาปัตยกรรมของชาวอัสซีเรีย เนน้ ความใหญโ่ ตมโหฬารมาก ศิลปวัฒนธรรม อัสซีเรียนมีความเจริญสูงสุดในราว ๗๐๐ B.C. โดยเฉพาะในสมัยของ พระเจ้าอัสซูร์ บาร์นิพัล พระองคท์ รงอปุ ถมั ป์งานด้านดา้ นศิลปวัฒนธรรมโดยได้มีพระราชโองการให้นักปราชญ์ราชบัณฑิต ทํา การรวบรวมงานเขียนของชาวบาบิโลเนียในทุกสาขามาเก็บไว้ที่ห้อสมุดหลวงในเมืองนิเนอร์เวห์ ปรากฏว่า พระองค์สามารถรวบรวมแผ่นดินเผาจารึกอักษรไว้ได้มากประมาณ ๒๒,๐๐๐ แผ่น ซ่ึงมีทั้งการจารึกเรื่อง เวท มนต์คาถา จดหมาย เอกสารด้านธุรกิจและบันทึกเหตุการณ์สงคราม พระเจ้าอัสซูร์บานิพัล ทรงพระนิพนธ์พระ ราชประวัติของพระองค์เองและทรงพระอักษรหลายฉบับ ซึ่งแสดงถึงความเป็นอัจฉริยะทางด้านภาษาศาสตร์ ของพระองค์

๒๔ บทที่ ๑ ประวัติศาสตร์ยโุ รป Part I History of Europe  “อาณาจกั รแคลเดียน หรือ อาณาจกั รบาบิโลเนียใหม”่ (Claldean Empire or Neo – Babylonian Empire) หลังจากพวกแคลเดียน ได้โค่นล้มจักรวรรดิอัสซีเรียนได้สําเร็จและสถาปนาอาณาจักรแคลเดียนขึ้น โดยมี เมืองหลวงอยู่ที่ นครบาบิโลน จึงทําให้อาณาจักรแคลเดียนถูกเรียกว่าอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ อาณาจักรน้ี เจริญรึ่งเรืองอย่ไู ดเ้ พยี ง ๗๕ ปี และเจริญสงู สดุ ในสมยั พระเจา้ เนบคู ัดเนซซา (Nebuchadnezzar) ซึ่งเป็นโอรส ของ พระเจา้ เนโบโพลัสซาร์ ได้ครองราชย์ในราว ๖๐๕ – ๕๖๒ B.C. ในสมัยของพระองค์อาณาจักรแคลเดียนมี ความเจริญรุ่งเรืองมาก ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการติดต่อของโลกตะวันอกใกล้ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ได้ยก กองทัพไปโจมตีอาณาจักรยดู าห์ เมือ่ ประมาณ ๕๘๖ B.C. และกวาดต้อนเชลยศึกชาวยิวกลับมายังนครบาบิโลน หลานพันคน พระเจ้าเนบูคัดเนซซารโ์ ปรดให้มกี ารสร้างกาํ แพงเมืองขนาดใหญล่ อ้ มรอบนครบาบโิ ลน ซึ่งกาํ แพงนี้ ใหญ่และหนามาก นอกจาน้ี ยังได้สร้างพระราชวังและวิหารขนาดใหญ่โตมากบนฝ่ังแม่นํ้ายูเฟรติส และเหนือ พระราชวังขึ่นไป ได้มีการสร้างอุทยานท่ีเรียกว่า สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน (The Hanging Garden of Babylon) ซ่งึ นบั วา่ เปน็ ส่ิงมหัศจรรยือยา่ งหน่งึ ในเจ็ดอย่างของโลกโบราณ อารยธรรมของพวกแคลเดียนนนั้ ส่วนใหญจ่ ะรูจ้ ักกันในนามของอารยธรรมบาบิโลเนยี ใหม่ แม้ว่าเทพเจ้ามาร์ คดุ ได้ถกู ยกย่องใหเ้ ป้ฯเทพเจ้าสงู สุดเชน่ เดมิ ก็ตาม แต่วิธกี ารและความเชอ่ื แตกต่างออกไป คือมีความเชื่อม่ีลึกซึ้ง มากขึน้ เชน่ เชือ่ ในเรื่องของโชคชะตา (Fatalism) ว่าถูกกําหนดไว้โดยเทพเจ้าแล้ว หากมนุษย์ยอมรับในอํานาจ และวางใจในเทพเจ้า มนษุ ยกื ็จะได้รับผลตอบแทนทด่ี พี วกแคลเดียนไมเ่ ชอ่ื โลกหนา้ จึงไม่สนใจการเกิดใหม่ หรอ การฟนื้ คืนชพี ส่วนความเจริญทางด้านวิทยาการ พวกแคนเดียนมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์มาก สามารถคํานวณการ โคจรของดาวต่าง ๆ และสามารถทาํ นายการเกิดสรุ ิยปุ ราคาและจนั ทรปุ ราคาไดอ้ ย่างถูกต้อง พวกแคลเดียนแบ่ง สปั ดาห์ออกเปน็ ๗ วัน และแบง่ วนั ออกเปน็ ๑๒ คาบ คาบละ่ ๑๒๐ นาที อาณาจกั รแคลเดยี น เปน็ อาณาจกั รสุดทา้ ยของชนเผา่ เซมิติกทีไ่ ด้เข้าครอบครองดนิ แดนเมโสโปเตเมีย เอาไว้ ได้ในสมัยโบราณ จนเมื่อประมาณ ๕๓๙ B.C. พระเจ้าไซรัส (Cyrus) แห่งอาณาจักรเปอรืเซีย ได้ยกทัพเข้ามา ดินแดนเมโสโปเตเมีย และยึดครองนครบาบิโลเนียได้อบย่างง่ายดาย ทําให้ดินแดนแถบน้ีตําอยู่ภายใต้ความ ครอบครองของชนเผ่า อินโด – ยูโรเปียน พวกต่าง ๆ เช่น เปอร์เซีย กรีก และโรมัน ผลัดกันเข้าครอบครองนาน หลายศตวรรษการสร้างสรรคอ์ ารยธรรมของชนเผ่าเซมิติกมารุ่งเรืองอีกครั้งเม่ือพวกอาหรับได้ขยายอิทธิพลจาก ทะเลทรายอาระเบยี เข้ามายงั ดินแดนแถบนี้ และศาสนาอสิ ลามก็ได้แพร่หลายเขา้ มาอย่างรวดเร็วในชว่ ง C.๗

บทท่ี ๑ ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป ๒๕ Part I History of Europe “อารยธรรมอียิปต์” การสร้างสรรค์ความเจริญ “ ”Egypt CIVILIZATIONs ของมนุษย์นั้นต้องอาศัยการสร้างสรรค์ความสมบูรณ์ ในแหล่งท่ีอยู่อาศัยตามธรรมชาติด้วย จึงจะเจริญได้ อย่างเต็มกําลงั ความสามารถของมนุษย์ ดังในกรณขี องอารยธรรมอียิปตท์ ีอ่ าศัยความอุดม สมบรู ณ์ของแมน่ าํ้ ไนล์เป็นเครื่องมอื ในการสร้างความ เจรญิ ทา่ มกลางทะเลทรายทแี่ หง้ แลง้ และทุรกันดาร อยี ปิ ต์เป็นแหล่งอารยธรรมท่ีพัฒนาข้ึนมาจากการใช้ประโยชน์ของแม่น้ําไนล์อย่างเต็มรูปแบบถึงแม้ว่าในทาง ปฏบิ ตั ิแลว้ แม่น้าํ ไนลจ์ ะไหลอยู่ในเขตอียปิ ต์ทางตอนกลางเปน็ เสน้ ตรงเท่าน้ัน แต่บริเวณโดยรอบของอียิปต์ก็ยังคง เปน็ ทะเลทรายทรี่ ้อน แห้งแลง้ ทรุ กันดาร และมฝี นตกเพียงเลก็ นอ้ ยเทา่ นน้ั ในฤดูหนาว และตกเฉพาะบริเวณเดล ตา หรอื สามเลี่ยมปากแมน่ ้าํ ไนล์เทา่ นั้น จากสภาพการณ์เช่นนี้ทําให้ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ได้กล่าววลีอมตะไว้ว่า “...Egypt is the gift of the nile…” คํากล่าวของเฮโรโดตัสเป็นจริงอย่างย่ิงเพราะ อียิปตไ์ ด้รบั ผลจากการที่แม่น้ําไนลไ์ หลอยา่ งตอ่ เน่อื งตลอดปีอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมของทุกปี แม่นํา้ ไนล์จะไหลทว่ มเอ่อล้นสองฝ่งั และพัดพาเอาตะกอนจํานวนมหาศาลจากแผ่นดินภายในของอียิปต์มากองกัน ไว้ ณ สามเปล่ียมปากแมน่ าํ้ ไนล์ หรือเรยี กกนั ในอนาคตวา่ อเลก็ ซานเดรยี จากประโยชน์ของแมน่ าํ้ ไนล์ดังกล่าวทํา ให้อียิปต์เรียนรู้วิธีการเพาะปลูก ทํานา ทํานบก้ันน้ํา ขุดคูและคลองส่งน้ํา เพื่อลําเล้ียงน้ําไปยังตอนในของ อาณาจักร ทําให้เกิดการกระจายพ้นื ท่เี พาะปลูกออกไปอีกโดยอารยธรรมอียปิ ต์แบ่งออกได้ ๒ ส่วน คือ “อียิปตบ์ น” “อยี ปิ ตล์ า่ ง” คื อ บ ริ เ ว ณ ที่ แ ม่ นํ้ า ไ น ล์ คื อ บ ริ เ ว ณ ท่ี แ ม่ น้ํ า ไ น ล์ ไหลผ่านหุบเขาทางตอน แตกตัวออกเป็นรูปพัด ใต้มีความยาวประมาณ ไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เร ๕๐๐ ไมล์ ทั้งสองฝั่งของ เ นี ย น ชา วก รี ก เ รี ย ก แม่น้ําไนล์ในตอนนี้เป็น ดินแดนแถบนี้ว่า เดลตา หน้าผากว้างลาดไปจน เป็นบริเวณของลําน้ําท่ี สดุ สายตาและเต็มไปด้วย อุดมสมบูรณ์ มีความยาว ปร ะมาณ ๑ ๐๐ ไ มล์ เนนิ เขาท่แี หง้ แล้ง อ า ร ย ธ ร ร ม ข อ ง อี ยิ ป ต์ โบราณเริ่มต้นที่ดินแดน แถบนี้

๒๖ บทที่ ๑ ประวัติศาสตรย์ ุโรป Part I History of Europe “ผลจากการท่ีอยี ปิ ต์มแี ตกตา่ งทางภมู ศิ าสตร์ทั้ง ๒ ส่วน” เนอ่ื งจากบรเิ วณหนง่ึ เปน็ พื้นที่สงู อกี บริเวณหนึ่งเป็นทรี่ าบลมุ่ ประกอบกบั ลักษณะภูมิประเทศท่ีแคบและยาวของอียิปต์ทําให้ ยากต่อการจัดการ ปกครองให้ทําให้ ประวัติศาสตร์ของอียิปต์ จึงไปเน้นที่เร่ืองของการรวม ประเทศให้เป็นปึกแผ่นมากกว่าเร่ืองอื่น โดยประเด็นหลักก็คือ ความสามารถเหนอื กว่ามนุษยป์ กตขิ องฟาโรห์ สลับกับการเกิดจลาจลเพ่ือ ขาดผู้ปกครองท่ีเด็ดขาดและเข้มเข็ง ปัจจัยดังกล่าวทําให้อียิปต์มีการ ปกครองโดยกลุ่มราชวงศ์หลาย ๆ ราชวงศ์ แต่สภาพแวดล้อมของอียิปต์ก็ เป็นผลดตี อ่ การปกปอ้ งประเทศจากการรุกรานโดยศัตรู เน่ืองจากการต้อง ข้ามทะเลทรายซาฮาราทางตะวันตก และทะเลทรายนูเบียทางใต้ ซ่ึงยังมี โตรกเขาที่แมน้ําไนล์ไหลผ่านจนเกิดเป็นแก่งนํ้าตกมากมาย เพื่อมาทํา สงครามกับอียปิ ต์ เป็นได้ยาก โดยอียิปต์มีเพียงทิศเหนือที่ติดกับทะเลเมดิ เตอรเ์ รเนียนเท่าน้ันทเ่ี ปิดโอกาศให้ต่างชาติเข้ารุกรานอียิปต์ได้ จากสภาพ ภูมิศาสตร์เช่นนี้ทําให้อียิปต์จึงค่อนข้างปลอดภัยจากการคุกคามโดยชาติ อน่ื เมอ่ื เทียบกบั อาณาจักรใกลเ้ คียง อยี ิปตด์ าํ รงสภาพการเป็นอาณาจักร ๒ ส่วน “สมัยอาณาจกั รเกา่ : The Old Kingdom)” อยู่จนกระทั่งประมาณ ๓,๐๐๐ BC. เมเนส เกิดขนึ้ ประมาณประมาณ ๒,๗๐๐-๒,๒๐๐ BC (Menes) กษัตริย์จากอียิปตืบนได้ยกทัพเข้า เป็นยุคของการวางรูปแบบการปกครองที่เข้มแข็ง รกุ รานอียิปต์ล่างและยึดครองได้ในท่ีสุดเป็น รวมทั้งพื้นฐานความเจริญในสมัยต่อมาของอียิปต์ การผนวก ๒ อียิปต์เข้าด้วยกัน และต้ังเมือง ผู้ปกครองสูงสุดเรียกว่า ฟาโรห์ เชื่อกันว่าทรงสืบเชื้อ หลวงข้ึนท่ี เมืองเมมฟิส (Memphis) ซ่ึงอยู่ สายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ จึงทรงมีสถานะ ระหว่างพรมแดนของทั้ง ๒ อาณาจักร เป็นท้ังเทพเจ้าและผู้ปกครอว ดังน้ันฟาโรห์จะ โดกษัตร์ย์เมเนสได้ทรงตั้งราชวงศ์ข้ึน ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เพ่อื ความมัน่ คงปลอดภัยและ ปกครองอียิปต์ตั้งแต่ ๓,๐๐๐ BC ถึง ความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร ในฐานะผู้ปกครอง ประมาณ ๓๓๒ BC ส่งผลให้อียิปต์มีราชวงศื ประชาชนจะตอ้ งเคารพเช่อื ฟงั คาํ ส่ังของฟาโรหเ์ รียกวา่ ปกครองสืบต่อมาประมาณ ๓๐ ราชวงศ์ ซ่ึง ระบบการปกครองแบบเทวาธิปไตย (Theocracy) นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งช่วงเวลาดังกล่าว ระบบการปกครอง : ฟาโรห์ทรงมีขุนนางและข้า ออกเป็น ๓ สมัย ดังน้ี ราชบริพารคอยควบคุมดูแลช่วยเหลือที่สําคัญที่สุด เรียกว่า วิเซียร์ (Vizior) มีหน้าที่คอยปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ เช่น ควบคมุ กองทพั ค้าขาย เก็บภาษี เป็นต้น นอกจากน้ยี ังมีหนา้ ท่ีดูแลรับผิดชอบการสร้างเขอ่ื น ขุดคลอง และสรา้ งยุ้งฉางเพื่อเก็บพืชผลซึ่งเป็นภารกิจ ทสี่ ําคัญมากในยุคโบราณ ศาสนา : จากความเช่ือเร่ืองเทพเจ้าและการมีชีวิตนิรันดร์ของฟาโรห์ ทําให้ชาวอียิปต์โบราณใน อาณาจกั รเกา่ ไดส้ รา้ งทีส่ ุสานสําหรับฟาโรห์ (ตามคาํ สัง่ ของฟาโรห)์ เรยี กว่า ปรี ะมดิ โดยปิระมิดท่ีใหญ่ ที่สุดคือ ปิระมิดคีออฟ / คูฟูร์ ซ่ึง สูง ๔๘๑ ฟุต , ฐานแต่ละด้าน ๗๕๖ ฟุต , คลุมพื้นที่ ๓๒ ไร่ , ใช้ แรงงานทาส ๑ แสนคน , ใช้เวลาสรา้ ง ๒๐ ปี , ใชห้ นิ ๒ ลา้ นก้อน ซึ่งลากหินมาจากแม่นา้ํ ไนล์ เนือ่ งจากชาวอียปิ ตเ์ ช่ือว่าวญิ ญาณเป็นสง่ิ อมตะ ดังนนั้ หลังการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์แล้วทําให้มี การรกั ษาพระศพของฟาโรห์ไวไ้ ม่ใหเ้ นา่ เปือ่ ยเรยี กว่า มมั ม่ี

บทท่ี ๑ ประวัติศาสตร์ยโุ รป ๒๗ Part I History of Europe ภายในปีระมิดจะมีทางเดินขนาดเล็กและแคบ ซับซ้อนวกวน น้ันเพราะความเช่ือเรื่องของชีวิต อมตะของชาวอียิปต์ท่ีเช่ือว่าฟาโรห์จะมีชีวิตอย่างอมตะ ถึงแม้ว่าร่างกายจะสูญสลายแต่วิญญาณ จะยังคงอยู่และคอยปกปักษ์รักษาอาณาจักรต่อไป ทําให้เกิดความเช่ือเรื่องการรักษาร่างกายของ ฟาโรห์เอาไว้ และมีการเตรียมการณ์ให้ฟาโรห์ฟื้นคืนชีพด้วยการฝังทรัพย์สมบัติมีค่าของฟาโรห์ เอาไว้พร้อมกบั สสุ าน  “สมัยอาณาจกั รกลาง (The Middle Kingdom)” เป็นชว่ งเวลาราว ๒,๐๕๐-๑,๘๐๐ BC เป็นยุคท่ีอาณาจักรเก่าที่มีศูนย์กลางอยู่ท่ีเมืองเมมฟิสสิ้นสุดลง เน่ืองจาก การแบง่ ชงิ อํานาจกนั เองระหว่างขุนนางที่ตอ้ งการมีอํานาจแทนฟาโรห์ ทํา ให้อาณาจักรอียิปต์เกิดความระสํ่าระสาย จนกระท่ังเม่ือกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ที่ ๑๒ สามารถรวบรวมอียิปต์ให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้งเม่ือ ประมาณ ๒,๐๕๐ BC และย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ เมืองธีบส์ (Thebes) หรือ ธีบีส ในอียิปต์บน ยุคน้ีเป็นยุคที่อียิปต์มีความเจริญทางด้าน ชลประทานสูงมาก มีการขยายพ้ืนที่เพาะปลูกออกไปอย่างกว้างขวาง มี การสร้างป้อมปราการตามแนวแม่น้ําไนลืเพ่ือเป้าหมายคือเข้ายึดครองนู เบีย รวมทั้งทําสงครามกับซีเรีย นอกจากนี้ยังมีการขุดคลองเช่ือมแม่นํ้า ไนล์กับทะเลแดงทาํ ให้อียิปตส์ ามารถทําการค้ากับตะวันออกกลางได้อย่าง สะดวกขนึ้

๒๘ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตร์ยุโรป Part I History of Europe ในตอนปลายของอาณาจักรกลางเมือ่ ประมาณ ๑,๗๐๐ BC เกิดปัญหาข้ึนใน ? อียปิ ต์ เน่อื งจากสาเหตุ ๒ ประการ “...อียติ ป์ถูกฮคิ ซอส ๑. ขนุ นางท้องถนิ่ พากันแยง่ อาํ นาจกนั เอง และตั้งตวั เป็นใหญ่ ยดึ ครองส่งผลอย่างไร ๒. อยี ิปตถ์ ูกรกุ รานโดยพวก ฮิคซอส (Hyksos) ซึ่งเป็นพวกเร่ร่อนจาก เอเชยี ตะวันตก เน่ืองจากพวกฮิคซอสมีอาวุธท่ีทันสมัยมากกว่าทําจากสําริด บา้ ง...” และมีการใช้รถศึกเทียมม้าในการรบ ทําให้ชาวอียิปต์ท่ีรบด้วยกองทัพราบ อาวุธจากทองแดงและกินล้าสมัยกว่ามากและต้องพ่ายแพ้ไปในท่ีสุดทําให้ อียิปต์ตกอยใู่ นปกครองของฮคิ ซอสนานราว ๑๑๐ ปี “สมัยอาณาจักรใหม่ / สมยั จักรวรรดิ : The New Kingdom)” อยใู่ นช่วงราว ๑,๕๘๐-๑,๐๙๐ BC เมือ่ ประมาณ ๑,๖๐๐ BC เจ้าชายอาห์โมส (Ahmos) สามารถรวมกําลงั ขบั ไลพ่ วกฮิคซอสออกไป จากอยี ิปตไ์ ดใ้ นทีส่ ุดและทรงตงั้ ราชวงศ์ที่ ๑๘ ข้ึนปกครอง และได้มีการตราพระนามกษัตริย์อย่าง เปน็ ทางการว่า ฟาโรห์ (จากเดมิ ที่เรียกเป็นการลาํ ลอง) โดยคาํ ว่า Pharaoh แปลว่า “ท่ีประทับอัน ยิง่ ใหญ่ของกษัตริย์” โดยฟาโรห์ฮาโมสได้ทําการบูรณะวัดแห่งเทพเจ้าต่าง ๆ และผ้ืนผูการค้าขาย ข้ึนใหม่ ในขณะที่ฟาโรห์สมัยต่อ ๆ มาก็เริ่มสร้างกองทัพของอียิปต์ให้มีขนาดใหญ่และเกรียงไกร มากขนึ้ และเรมิ่ ดาํ เนนิ นโยบายขยายอาณาเขตทาํ ให้อียปิ ตใ์ นยคุ อาณาจกั รใหม่มขี นาดใหญ่กว่ายุค อาณาจักรกลาง สมัยของอียิปตย์ คุ จกั รวรรดิรงุ่ เรืองที่สดุ ในสมยั ของ ฟาโรหท์ ัตโมส ที่ ๓ (Thutmose III) ซง่ึ อยใู่ ต้อาํ นาจของ พระนางฮตั เซปซตุ (Hatshepsut) พระมารดาโดยพระองค์ทรงขยายอาณาจกั รออกไป ทางตะวันออกเฉียงเหนอื ยดึ ครองซเี รีย ส่วนทางตะวนั ออกขยายไป จนตอนเหนือของแมน่ ํา้ ยูเฟรติส สง่ ผลให้จักรวรรดยิ ีอปิ ต์มง่ั คง่ั จาก การค้าและบรรณาการจากอาณาจักรในปกครองเมืองธีบส์ในขณะน้นั อดุ มไปดว้ ยวิหาร พระราชวัง และเสาโอเบลสิ ก์ ซ่งึ เปน็ การแสดงให้ อาณาจกั รอ่ืน ๆ เห็นถึงความยง่ิ ใหญ่และอํานาจท่ีเหนือกว่า ของอียปิ ต์ วหิ ารที่มีชอื่ เสียงมากท่ีสดุ ไดแ้ ก่ Valley of kings (หุบผากษตั ริย)์ ซง่ึ เป็นทฝ่ี งั ศพสร้างขึน้ ในภูเขาริมฝง่ั แม่น้ําไนล์ ต่อมาในสมัยของ ฟาโรห์อคั คันนาเตน (Akhenaton) เกดิ ความวุน่ วายขน้ึ เพราะมีการเปลยี่ นแปลงศาสนาใหมท่ ัง้ หมด โดยยกเลิกเทพเจา้ พหเุ ทวนยิ ม มาเป็นเอกเทวนยิ ม คอื เทพอาเตน เพยี งองค์เดียว และยังทรงย้ายเมอื งหลวง จากเมอื งธีบส์มายังเมืองใหม่ตอนกลางของอยี ปิ ต์ โดยกําหนดใหฟ้ าโรห์และ เชอื้ พระวงศ์ต้องบชู าเทพอาเตน สว่ นประชาชนให้บูชาฟาโรห์ ทาํ ใหเ้ กิด กระแสต่อตา้ นอย่างมาก เพราะมีผ้เู สียผลประโยชน์จากการยกเลกิ พหุเทพวนยิ ม

บทท่ี ๑ ประวัตศิ าสตรย์ โุ รป ๒๙ Part I History of Europe ในช่วงศตวรรษที่ ๑๒ BC อียิปต์ได้เสียอํานาจการปกครองท้ังหมดให้กับ อาณาจกั รอัสซเี รยี ซึง่ เป็นระยะสั้น ๆ เพราะต่อมาเปอร์เซียก็เข้ามารุกรานต่อ และยดึ ครองอยี ิปตไ์ ด้ จนกระทงั่ เปอรเ์ ซยี พา่ ยแพ้ต่อกรีก ทําให้อียิปต์ตกอยู่ใน การปกครองของกรีก และโรมันสืบมาตามลําดับ จนกระท่ังเข้าสู่ยุคปลาย ศตวรรษที่ ๗ อียิปต์ได้ถูกอิทธิพลของศาสนาอิสลามเข้าครอบงําจนทําให้ เปล่ียนแป็นรัฐอิสลามและตกอยู่ในการปกครองของเครือรัฐอิสลามใน ตะวันออกกลาง และมีการเปล่ียนแปลงอํานาจในช่วงสงครามครูเสด ไปอยู่ใน มือของชาวยุโรประยะส้ัน ๆ จนกระท่ังรัฐอิสลามยึดครองกลับมาได้อีกคร้ัง และเปล่ียนแปลงใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่อเมริกาเข้ามามีอํานาจใน อยี ิปต์ และหลังการส้ินสดุ สงครามเย็น อยี ปิ ตจ์ ึงได้เปน็ เอกราชโดยแทจ้ รงิ . “ ”มรดกทางอารยธรรมของอียิปต์ “สถาปตั ยกรรม” “ศาสนาและความเป็นเทพของฟาโรห”์ ศาสนามีอิทธิพลต่อชาวอียิปต์อย่างมาก ชาวอียิปต์มีความเชี่ยวชาญมากในเรื่องการสร้าง เนื่องจากชาวอียิปต์เป็นกลุ่ม Polytheism ดังนั้น ส่ิงก่อสร้างอันย่ิงใหญ่ ที่มีชื่อเสียงท่ีสุดก็คือปีระมิด โดยมีความเช่ือว่าปีระมิดจะเป็นท่ีเก็บรักษาพระศพ ชาวอยี ปิ ตจ์ ะเชื่อว่าเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในร่างของสัตว์ ของฟาโรห์ไม่ให้เน่าเปื่อย และรักษาความเป็นอมตะ ชนิดต่าง ๆ เช่น จระเข้ เหยี่ยว อีกอย่างคือ รอวนั ทฟ่ี าโรหจ์ ะฟนื้ คนื ชพี ดังน้ันจึงมกี ารรักษาความ ธรรมชาติ ชาวอียิปต์จะเช่ือว่า ธรรมชาติคืออํานาจ สวยงามในสสุ านอยา่ งมาก ทงั้ โลงบรรจุพระศพก็ต้อง ของเทพเจ้า เช่น ดวงอาทิตย์ ท้องฟ้า สายลม เป็น ทําจากทองคาํ ที่มคี ่า ในสุสานตอ้ งมีการบรรจขุ า้ วของ ต้น โดยเทพและทพีเหล่าน้ีจะมีร่างกายเป็นคร่ึงคน เครื่องใช้ท่ีมีค่ามีราคาเพื่อให้ฟาโรห์สามารถนํามาใช้ ครึ่งสัตว์ ท้องถิ่นของอียิปต์แต่ละที่ก็จะมีเทพเจ้า ได้อีกเม่ือฟ้ืนคืนชีพ โดยมัมมี่ของฟาโรห์จะถูกเก็บ แตกต่างกัน โดยมีการบูชาทําพิธีเพ่ือให้ความบันเทิง รักษาไว้ในห้องพระศพ ใจกลางของปีระมิด และมี แก่เทพเจา้ ให้มากท่ีสุด โดยผู้ประกอบพิธีต้องเป็นชน ห้องสวดมนตข์ องนักบวช และฟาโรห์ นอกจากนี้ยังมี ชั้นสงู แตท่ ้งั นี้ท้ังน้ัน เทพเจ้าที่มีคนนับถือมากท่ีสุดก็ วหิ ารสาํ คญั ๆ อีกมาก เชน่ วิหารคาร์นัค , วิหารอาบู ซิมเบล และการสร้าง สฟิงซ์ เพ่ือบูชาสุรยเทพและ คือ เทพโอซิริส (Osiris) หรือเทพเจ้าประจําแม่นํ้า ปกปอ้ งรกั ษาปีระมิด ไนล์ ต่อมาเป็นเทพเจ้าแหง่ ความตายคู่กนั ไปด้วย ก า ร ส ร้ า ง ปี ร ะ มิ ด เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ความเชื่อเรื่องศาสนาของชาวอียิปต์แสดงออกมา ความก้าวหนา้ ทางสติปัญญาของชาวอียิปต์อย่างมาก ท้ังการคํานวณขนาดของก้อนหินที่ใช้ในการสร้าง ในรูปของ ความเช่ือหลังความตาย ชาวอียิปต์เช่ือว่า การขนก้อนหินจากแหล่งหินมาตามแม่นํ้าไนล์ท่ีต้อง ร่างกายสูญสลายแต่จะฟ้ืนคืนชีพใหม่อีกครั้ง ทําให้ อาศัยแรงลม การสร้างวิหารท่ีมีหลังคาลักษณะยอด เกิดการทํามัมมี่ขึ้น และเขียนวรรณกรรมชิ้นสําคัญ แหลม เพ่อื ระบายอากาศ นบั ได้วา่ เป็นความก้าวหน้า คือ คมั ภรี ์มรณะ (Book of Dead) ประกอบไปกับ การฝังมมั ม.ี่ ทางภมู ปิ ญั ญาของชาวอยี ปิ ตอ์ ย่างมากในสมยั โบราณ.

๓๐ บทที่ ๑ ประวัตศิ าสตรย์ โุ รป Part I History of Europe “การประดษิ ฐต์ ัวอักษร” “วิทยาศาสตร”์ ชาวอียิปต์รู้จักการประดิษฐ์อักษรเฮียโรกลิฟฟิค ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของชาว (Hieroglyph) เม่ือประมาณ ๔,๐๐๐ BC โดยเป็น อยี ิปต์เหน็ ไดช้ ดั จากการสร้างปรี ะมิด และสงิ่ ก่อสร้าง อื่ น ๆ ซึ่ ง ล้ ว น แ ล้ ว แ ต่ เ ป็ น ผ ล ม า จ า ก ค ว า ม อักษรภาพที่แสดงความหมายของสิ่งต่าง ๆ ต่อมาใช้ เจริญก้าวหน้าทางด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิต ภาพแทนเสียงและพยัญชนะ ทําให้สามารถผสมคํา ได้แกก่ ารนับเลข การคาํ นวณค่าบวกลบและหาร (ยัง ต่าง ๆ ได้ คําว่าเฮียโรกลิฟฟิค หมายถึง อักษรอัน ไม่รู้จักการคณู ) ซึง่ ช่วยให้สามารถหาพื้นท่ีท่ีแน่ชัดได้ ศักด์ิสิทธิ์ เพราะส่วนใหญ่ใช้บันทึกเรื่องราวเก่ียวกับ อย่างแมน่ ยํา พืน้ ฐานความรู้ดังกล่าวทําให้ชาวอียิปต์ ศาสนา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเฮียโรกลิฟฟิคให้เป็น สามารถสร้างปฏิทินสุริยคติได้อย่างถูกต้อง โดย ศึกษาตําแหน่งของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ อักษรตัวหวัด เรียกว่า อักษรเฮียราติก (Hieratic) ดวงดาวในท้องฟ้า โดยปฏิทินของอียิปต์ ๑ ปี มี ๓๖๐ วัน แบ่งเป็น ๑๒ เดือน เดอื นละ ๓๐ วัน อกี ๕ ใช้ในการบันทึกเร่ืองราวต่าง ๆ ทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ วนั ทเ่ี หลอื เปน็ วันสาํ คัญปลายปี ชาวอียิปตย์ ังเรยี นรกู้ ารทํากระดาษจากตน้ กกปาปิรุส เรียกกันว่า กระดาษปาปริ สุ โดยเขยี นจากหมกึ ทผี่ สม ชาวอียิปต์มีเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ที่ กันระหว่าง ยางไม้และเขม่า ปากกาทําจากก้านต้น เจริญก้าวหน้าท่ีสุดในโลก รู้จักการเข้าเฝือก การปิด อ้อ หนังสือของชาวอียิปต์จะเขียนและม้วนเป็นแผ่น แผลสด การรักษากระดูกหกั ด้วยเฝือกออ่ น การใช้ผ้า บรรจุในตุ่มดินเผา ผู้ท่ีมีความรู้สามารถอ่านออก เขยี นไดใ้ นสมยั โบราณเป็นกลุ่มชนช้ันสูง เช่นนักบวช อาบนํ้ายาศพ ฯลฯ อาลกั ษณ์ (ฟาโรหอ์ ่านไมอ่ อก) อักษรเฮียโรกลิฟฟิคเส่ือมความนิยมลงไปเมื่อ อาณาจักรอียิปต์โบราณล่มสลายลง ทําให้บันทึกที่ เขียนด้วยอักษรชนิดนี้กลายเป็นความลับท่ีอ่านไม่ ออกมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี จนกระทงั่ ปี ค.ศ. ๑๗๙๙ ทหารชาวฝรั่งเศสช่ือ บูร์ชาร์ด (Bourchard) ได้ พบแผ่นหินชนวน ๒ แบบ อายุราว ๒๐๐ BC จารึก เป็นภาษากรีก และภาษาอียิปต์ ที่เมืองโรเซตตา และในปี ค.ศ. ๑๘๒๒ ศาสตราจารย์ฟรังซัวร์ ชองโป ลิยอง นักโบราณคดชี าวฝร่ังเศสได้ศึกษาศิลาจารึกโร เซตตาจนสามารถถอดความออกมาได้โดยใช้วิธีการ เทยี บอักษรกับภาษากรีกทําให้เร่ืองราวของอียิปต์ถูก ค้นพบอีกจาํ นวนมาก.






































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook