1.4 เป็นกิจกรรมท่ีเนน้ นกั เรียนเป็นสาคญั 1.5 มีความหลากหลายและเหมาะสมกบั นกั เรียนและเน้ือหาสาระ 1.6 สอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมที่พึงประสงค์ 1.7 ช่วยใหน้ กั เรียนเขา้ สู่แหลง่ การเรียนรู้และเครือขา่ ยการเรียนรู้ที่หลากหลาย 1.8 เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิจริง 2. ข้นั ตอนในการจัดกิจกรรม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพฒั นานักเรียนให้มีศักยภาพ ตาม มาตรฐานการเรียนรู้/ ตวั ช้ีวดั ท่ีกาหนด เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีพงึ ประสงคไ์ วแ้ ลว้ น้นั ครูผสู้ อนตอ้ งคดิ ทบทวน ยอ้ นกลบั ว่า มี กระบวนการ หรือข้นั ตอนกิจกรรม ต้งั แต่ตน้ จนจบอย่างไร จึงจะทาใหผ้ ูเ้ รียนมีข้นั ตอนการ พฒั นาความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ ความสามารถตา่ งๆ รวมถึงคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ จนบรรลุเป้าหมายการ เรียนรู้ และเกิดหลกั ฐานของการเรียนรู้ท่ีกาหนด ความรู้ความเขา้ ใจที่ลึกซ้ึง อนั เป็ นผลมาจากการสร้าง ความรู้ของผูเ้ รียนดว้ ยการทาความ เขา้ ใจหรือแปลความหมายในสิ่งที่ตนเองไดเ้ รียนรู้ท้งั หมดทุกแง่ทุกมุม ตลอดแนว ดว้ ยวธิ ีการถามคาถาม การแสดงออก และการสะทอ้ นผลงาน ซ่ึงสามารถใชต้ วั ช้ีวดั ดงั ต่อไปน้ีใน การตรวจสอบวา่ ผเู้ รียนเกิดการ เรียนรู้จนกลายเป็นความรู้ความเขา้ ใจท่ีลึกซ้ึงแลว้ หรือไม่ ความเขา้ ใจ 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. ผเู้ รียนสามารถอธิบาย (Can explain) เร่ืองราวต่างๆ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีหลกั การ โดย แสดงใหเ้ ห็น ถึงการใช้เหตุผล ขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริง ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่น่าเช่ือถือประกอบในการอา้ งอิง เชื่อมโยงกับ ประเด็นปัญหา สามารถคาดการณ์ไปสู่อนาคต 2. ผเู้ รียนสามารถแปลความหมาย (Can interpret) เรื่องราวต่างๆ ไดอ้ ยา่ งมีความหมาย ทะลุปรุโปร่ง ตรงประเด็น กระจ่างชดั โดยอาจใชแ้ นวคิด ทฤษฎี เหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ หรือมุมมอง ของตนเอง ประกอบการตีความและสะทอ้ นความคิดเห็น 3. ผเู้ รียนสามารถประยกุ ตใ์ ช้ ความรู้(Can apply) ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ เหมาะสมกบั สถานการณ์ คลอ่ งแคลว่ ยดื หยนุ่ และสงา่ งาม 4. ผูเ้ รียนสามารถมองจากมุมมองที่หลากหลาย มองเห็น รับรู้ประเด็นความคิดต่างๆ (Have perspective) และตดั สินใจท่ีจะเชื่อหรือไม่เชื่อ โดยผา่ นข้นั ตอน การวพิ ากษว์ ิจารณ์ และมมุ มอง ในภาพกวา้ ง โดยมีแนวคดิ ทฤษฎี ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จริงสนบั สนุนการรับรู้น้นั ๆ 5. ผูเ้ รียนสามารถเข้าใจความรู้สึกของผูอ้ ื่น บอกคุณค่าในส่ิงต่างๆ ที่คนอ่ืนมองไม่เห็น (Can empathize) หรือคิดวา่ ยากที่จะเช่ือถือได้ ดว้ ยการพิสูจนส์ มมติฐานเพ่ือทาใหข้ อ้ เทจ็ จริงน้นั ๆ ปรากฏ มีความ ละเอียดอ่อนที่จะซึมซบั รับทราบความรู้สึกนึกคิดของผเู้ ก่ียวขอ้ ง 6. ผเู้ รียนรู้จกั ตนเอง มีความตระหนกั รู้ถึงความสามารถทางดา้ นสติปัญญา วิถีชีวติ นิสยั ใจคอ ความ เป็ นตวั ตนของตนเอง (Have self-knowledge) ซ่ึงคือเบา้ หลอมความเขา้ ใจ ความหยงั่ รู้ใน เรื่องราวต่างๆ มี ความตระหนักว่า มีสิ่งใดอีกท่ียงั ไม่เข้าใจ และสามารถสะท้อนความหมายของส่ิงท่ีได้ เรียนรู้และมี ประสบการณ์ ปรับตวั ได้ รู้จกั ใคร่ครวญ และมีความเฉลียวฉลาด
ครูผสู้ อนสามารถใชต้ วั ช้ีวดั ความรู้ความเขา้ ใจคงทน ท้งั 6 ตวั ช้ีวดั น้ี เป็นเคร่ืองมือในการ กาหนด กิจกรรมการเรียนรู้และวิธีการวดั ประเมินผลเรียนรู้ว่า ผูเ้ รียนบรรลุผลการเรียนรู้ตรงตามท่ี กาหนดไวใ้ น มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั และเป้าหมายหลกั ของการจดั การเรียนรู้หรือไม่ หลกั การจดั ประสบการณ์หรือ กิจกรรมการเรียนรู้มีดงั น้ี 1. เลือกกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ สอดคล้องเชื่อมโยง กับ มาตรฐานหรือตวั ช้ีวดั หากเป็ นทกั ษะ ควรเป็ นทกั ษะท่ีปฏิบตั ิแลว้ ผูเ้ รียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ตาม วตั ถปุ ระสงค์ 2. เลือกกิจกรรมท่ีผูเ้ รียนพึงพอใจ สนุก น่าสนใจ ไม่ซ้าซาก มีประโยชน์ต่อการนาไปใช้ ใน ชีวติ ประจาวนั และทาใหผ้ เู้ รียนมีเจตคติที่ดีตอ่ การเรียน 3. เลือกกิจกรรมท่ีเหมาะสมกบั ความสามารถดา้ นร่างกายของผเู้ รียนที่จะปฏิบตั ิไดแ้ ละ ควรคานึงถึง ประสบการณ์เดิม เพอ่ื จดั กิจกรรมใหมไ่ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง 4. เลือกกิจกรรมที่ส่งเสริมจุดมุ่งหมายในการจดั การเรียนรู้หลายๆ ดา้ น 5. เลือกกิจกรรมใหห้ ลากหลาย คานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เหมาะสมกบั วยั ความสามารถ และความสนใจของผเู้ รียน ใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชป้ ระสาทสัมผสั ในการเรียนรู้มากท่ีสุด 6. ใชส้ ่ือ/แหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลายและเหมาะสม 7. ใชเ้ ทคนิควธิ ีการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ส่งเสริมกระบวนการคิดและทกั ษะต่างๆ 8. ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมและการประเมินผล มีการวดั และประเมินผลท่ี หลากหลาย และสอดคลอ้ งกบั กิจกรรม 3. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นกระบวนการปฏิบตั ิ ต่างๆ ของผูเ้ รียนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่าง มีประสิทธิภาพ ไดแ้ ก่ วิธีการ/กิจกรรมที่ครูหรือผูเ้ ก่ียวขอ้ ง นามาใช้เพื่อให้ผูเ้ รียนได้เรียนรู้ตามเป้าหมาย วตั ถุประสงค์ สอดคลอ้ งเช่ือมโยงกับมาตรฐานตวั ช้ีวดั ที่ กาหนดไวใ้ นหลกั สูตรสถานศึกษา โดยมี องค์ประกอบที่สาคญั ของการจดั การเรียนรู้ คือกระบวนการ/ วิธีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเหมาะสม ซ่ึง จะมีผลต่อการเรียนรู้ของผูเ้ รียนอยา่ งแทจ้ ริง โดยกิจกรรมการ เรียนรู้มีผลต่อผเู้ รียนในการกระตุน้ ความ สนใจ สนุกสนาน ตื่นตวั ในการเรียน มีการเคลื่อนไหว เปิ ดโอกาส ให้ผูเ้ รียนประสบความสาเร็จในการ เรียนรู้ปลูกฝังความเป็ นประชาธิปไตย การใช้ทกั ษะชีวิต ฝึ กความ รับผิดชอบ การทางานร่วมกนั ช่วยเหลือเก้ือกูลตามศกั ยภาพ และคุณลกั ษณะที่ดีนอกจากน้ี กิจกรรมการ เรียนรู้ยงั ต้องส่งเสริมทักษะ กระบวนการต่างๆ เช่น การคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม การบริหาร จดั การ ฝึ กการใชเ้ ทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์เป็ นเคร่ืองมือการเรียนรู้ตลอด ชีวิต สร้างปฏิสัมพนั ธ์ที่ดี ระหว่างผูเ้ รียนกับผูเ้ รียน กับครู และบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ สร้างความเขา้ ใจ บทเรียนและส่งเสริม พฒั นาการผเู้ รียนในทุกๆ ดา้ น การจดั กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็น การใชก้ ระบวนการปฏิบตั ิ ต่างๆ ของผเู้ รียนท่ีก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ไดแ้ ก่
1. วิธีการ/กิจกรรมการเรียนรู้ ครูหรือผูเ้ กี่ยวข้องนามาใช้เพ่ือให้ผูเ้ รียนได้เรียนรู้ตาม เป้าหมาย มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ย่อยของตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้ใน หลักสูตร สถานศึกษา โดยมีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของการจดั การเรียนรู้ คอื กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีผลต่อผเู้ รียน ในการ กระตุ้นความสนใจ สนุกสนาน ตื่นตัวในการเรียน มีการเคล่ือนไหว เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียน ประสบ ความสาเร็จในการเรียนรู้ ปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย เป็นกิจกรรมในการเรียนรู้ที่ครู ออกแบบการสอน ตามลกั ษณะของตวั ช้ีวดั วา่ เป็นดา้ นความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการปฏิบตั ิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ โดยเนน้ การลงมือปฏิบตั ิ การอ่าน ฟัง คิด ถาม เขียน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาเสนอ ผลงานการศึกษาคน้ ควา้ ของ นกั เรียน ท้งั น้ีข้นึ อยกู่ บั ประเภทของตวั ช้ีวดั เป็นสาคญั 2.กระบวนการเรียนรู้ มีการส่งเสริมทักษะกระบวนการสอนรูปแบบต่างๆ อย่างเป็ น ระบบ มี ข้นั ตอนการสอนเฉพาะแบบตามท่ีครูเลือกใช้ ซ่ึงการเลือกกระบวนการสอนในศตวรรษ 21 มี หลากหลายที่ นิยมสอนในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ การสอนแบบโครงงาน การสอนแบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน การจดั การเรียนรู้ แบบเน้นประสบการณ์การสอนท่ีเน้นทกั ษะกระบวนการคิด การสอนแบบสะเต็ม ศึกษา การสอนแบบ 5STEP/QSCCS เป็นตน้ ซ่ึงกระบวนการสอนรูปแบบต่างๆ เหล่าน้ีจะมีเทคนิคการ สอนวิธีสอนผสมผสาน อยู่ เช่น การสอนคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม การ บริหารจดั การ การใช้ เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์เป็ นเครื่องมือการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างปฏิสัมพนั ธ์ท่ีดี ระหว่างผูเ้ รียนกับ ผูเ้ รียน กบั ครูและบุคคลท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ สร้างความเขา้ ใจบทเรียนและส่งเสริม พฒั นาการผูเ้ รียนในทุกๆ ดา้ นการใชท้ กั ษะชีวติ ฝึกความรับผดิ ชอบ การทางานร่วมกนั ช่วยเหลือเก้ือกูล ตามศกั ยภาพและคุณลกั ษณะ ที่ดี ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ (2550) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูผูส้ อนในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตาม แนวทางของ Active Learning ดงั น้ี 1. จดั ให้ผูเ้ รียนเป็ นศูนยก์ ลางของการเรียนการสอน กิจกรรมตอ้ งสะทอ้ นความตอ้ งการ ในการ พฒั นาผเู้ รียนและเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ จริงของผเู้ รียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโตต้ อบท่ีส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมี ปฏิสัมพนั ธ์ที่ดี กบั ผสู้ อนและเพ่ือนในช้นั เรียน 3. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็ นพลวตั ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม รวมท้งั กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ 4. จดั สภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมใหเ้ กิดการร่วมมือในกลมุ่ ผเู้ รียน 5. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนใหท้ า้ ทาย และใหโ้ อกาสผเู้ รียนไดร้ ับวิธีการสอนที่ หลากหลาย 6. วางแผนเกี่ยวกบั เวลาในจดั การเรียนการสอนอยา่ งชดั เจน ท้งั ในส่วนของเน้ือหา และ กิจกรรม 7.ครูผสู้ อนตอ้ งใจกวา้ ง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดของ ผเู้ รียน ดุษฎี โย เหลาและคณะ (2557) ไดก้ ล่าวถึง บทบาทสาคญั ของครูในขณะจดั กิจกรรม การเรียนรู้ว่า ครูจะตอ้ งแสดง บทบาทต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวน การเรียนรู้แบบ Active Learning ข้ึน โดยครูจะตอ้ งเป็นผูส้ ังเกต การทางานของนกั เรียน ครูตอ้ งสร้างแรงบนั ดาลใจในการเรียนรู้ โดยใชค้ าถามปลายเปิ ดกระตุน้ การเรียนรู้
แทนการบอกกล่าว ครูตอ้ งศึกษาและรู้จกั ขอ้ มูลนักเรียนเป็ น รายบุคคล เพ่ือแสดงบทบาทให้เหมาะสมใน การทาใหเ้ กิด Active Learning กบั นกั เรียนเป็นรายคน ดงั น้ี แผนภาพท่ี 4 บทบาทของครูในฐานะผกู้ ระตุน้ การเรียนรู้ 1. ใชค้ าถามกระตา้ นการเรียนรู้คาถามที่ใชใ้ นการกระตนุ้ การเรียนรู้น้นั ตอ้ งเป็นคาถามที่ มีลกั ษณะ เป็นคาถามปลายเปิ ด เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนไดอ้ ธิบาย โดยข้นึ ตน้ ว่า “ทาไม” หรือ ลงทา้ ยวา่ “อยา่ งไร บา้ ง” “อะไรบา้ ง” “เพราะอะไร” 2. ทาหนา้ ที่เป็นผสู้ งั เกต ครูจะตอ้ งคอยสงั เกตวา่ ผเู้ รียนแต่ละคนมีพฤติกรรมอยา่ งไร ขณะปฏิบตั ิ กิจกรรม เพ่อื หาทางช้ีแนะ กระตนุ้ หรือยบั ย้งั พฤติกรรมที่ไมเ่ หมาะสม 3. สอนใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้การต้งั คาถาม เม่ือผเู้ รียนสามารถต้งั คาถามได้ จะทาใหผ้ เู้ รียน รู้จกั ถามเพื่อ คน้ ควา้ ขอ้ มลู รู้จกั รับฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และร่วมแสดงความคดิ เห็นของตนเองใน เรื่องที่เกี่ยวขอ้ งกบั การเรียนรู้ 4. ใหค้ าแนะนาเม่ือผเู้ รียนเกิดขอ้ สงสัย ครูจะตอ้ งเป็นผคู้ อยแนะนา ช้ีแจง ใหข้ อ้ มลู ต่างๆ หรือ ยกตวั อยา่ งเหตกุ ารณ์ใกลต้ วั ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั ของผูเ้ รียน เชื่อมโยงไปสู่ความรู้ ดา้ นอื่นๆ ในขณะทากิจกรรม เมื่อผเู้ รียนเกิดขอ้ สงสัย หรือคาถาม โดยไมบ่ อกคาตอบ 5. เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนคิดหาคาตอบดว้ ยตนเอง สงั เกตและคอยกระตนุ้ ดว้ ยคาถามให้ ผเู้ รียนไดค้ ิด กิจกรรมที่อยากเรียนรู้และหาคาตอบในสิ่งท่ีสงสัยดว้ ยตนเอง 6. เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนสร้างสรรคผ์ ลงานอยา่ งอสิระตามความคดิ และความสามารถของ ตนเอง เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชจ้ ินตนาการและความสามารถของตนเองในการคิดสร้างสรรคอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี นอกจากน้ีวารินทพ์ ร ฟันเฟื่ องฟู (2562: 142) ไดก้ ลา่ วถึง Active Learning สู่การ ปฏิบตั ิไวว้ า่ การนา รู ปแบบหรื อเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้ตามแนวคิด Active Learning ไป ปฏิบัติเพ่ือให้เกิด ประสิทธิภาพน้นั ผูส้ อนและผูเ้ รียนลว้ นมีบทบาทสาคญั และมีลกั ษณะเฉพาะ ผูส้ อนจึง ตอ้ งศึกษาทาความ
เขา้ ใจเพือ่ ที่จะจดั กิจกรรมการเรียนรู้ใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสุด และจากการวิเคราะห์ และสงั เคราะห์บทบาท ผสู้ อนในการจดั การเรียนรู้จากนกั การศึกษา สามารถจาแนกบทบาทของผสู้ อนได้ ดงั น้ี 1. วิเคราะหเ์ ป้าหมายของการเรียนรู้และเลือกเทคนิคการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ สนบั สนุนการ เรียนรู้ตามแนว Active Learning 1-2 วิธี ที่เหมาะสมกบั เน้ือหาและสิ่งท่ีตอ้ งการให้ ผเู้ รียนปฏิบตั ิ 2. เลือกใชเ้ ทคนิคการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีงา่ ยและใชเ้ วลาไม่มากสาหรับการเริ่มตน้ เช่น “one minute paper” และ “Think-pair-share” หรือให้ผูเ้ รียนแข่งขนั กนั ตอบคาถามท่ีเกี่ยวขอ้ ง กบั เร่ืองที่จะ เรียนต่อไป เป็นตน้ 3. มีการมอบหมายงานให้ผูเ้ รียนเพ่ือการเตรียมตวั หรือเตรียมความรู้ก่อนการเขา้ เรียน เช่น มีการ มอบหมายใหอ้ า่ นเน้ือหาสาระที่จะเรียนหรือเร่ืองท่ีเก่ียวขอ้ งในสิ่งท่ีจะเรียนล่วงหนา้ 4. บอกถึงกิจกรรมและประโยชนท์ ่ีจะไดร้ ับจากการร่วมกิจกรรม 5. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนคน้ หาค าตอบดว้ ยตนเอง มีความเขา้ ใจและสร้างมโนทศั น์ที่ไดจ้ าก การเรียนรู้ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองไดเ้ ช่น มอบหมายใหผ้ เู้ รียนศึกษาสื่อวีดีโอโดยมีการต้งั คาถาม และใหผ้ เู้ รียน หาคาตอบ 6. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ควรจดั เป็นกลมุ่ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกนั และกระตนุ้ ให้ ผเู้ รียนมีส่วนร่วม ในการทากิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งมีชีวิตชีวา 7. สร้างสรรคก์ ิจกรรมอยา่ งหลากหลายมีความยดื หยนุ่ เพือ่ ขยายประสบการณ์การ เรียนรู้ของผเู้ รียน ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิ 8. ให้ความสาคญั และกระตุน้ ให้เกิดการสร้างปฏิสัมพนั ธ์ในช้ันเรียนโดยใช้ทักษะการ ส่ือสาร แลกเปล่ียนเรียนรู้ 9. กิจกรรมการเรียนรู้ยึดปัญหาเป็ นสาคัญและกระตุ้นให้ผู้เรียนเลือกใช้วิธีแก้ปัญหา อย่าง หลากหลายเป็ นระบบ 10. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดทกั ษะการคิดข้นั สูง 11. ใหผ้ เู้ รียนรับผิดชอบในผลงาน โดยกาหนดเวลาและงบประมาณที่ใช้ 12. มีการสรุปแลกเปล่ียนเรียนรู้กนั ก่อนเริ่มเน้ือหาใหม่ 4. การวดั และประเมินผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การวดั และประเมินผลการ จดั การเรียนรู้ เป็นกระบวนการในการตรวจสอบผลการ ดาเนินกิจกรรมวา่ บรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ หรือไม่ มีส่วนใดตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ขเพื่อพฒั นาต่อไป โดยประเมินท้งั กระบวนการในการจดั กิจกรรม และ ประเมินคุณภาพของผูเ้ รียน ใชก้ ารประเมิน หลากหลายวิธี ให้ทุกฝ่ ายไดม้ ีโอกาสในการประเมิน เช่น ครู ประเมินผเู้ รียน ผเู้ รียนประเมินเพื่อน ผูเ้ รียน ประเมินตนเอง วิธีการในการประเมินควรถูกตอ้ งเหมาะสมกบั ความรู้ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะของผเู้ รียน ที่กาหนดไวใ้ นเป้าหมายของการจดั กิจกรรมน้นั ๆ การประเมินผล
การเรียนรู้เชิงรุก ควรใชห้ ลกั การประเมินตามสภาพจริงและนาผลการ ประเมินมาพฒั นาผเู้ รียนอยา่ งต่อเนื่อง โดยมีลกั ษณะ ดงั น้ี 4.1 ใชผ้ ปู้ ระเมินจากหลายฝ่าย เช่น ผเู้ รียน เพ่อื น ผสู้ อน ผเู้ กี่ยวขอ้ ง 4.2 ใชว้ ิธีการหลากหลายวิธี/ชนิด เช่น การสังเกต การปฏิบตั ิ การทดสอบ การ รายงานตนเอง 4.3 ประเมินหลายๆ คร้ังในแต่ละช่วงเวลาของการเรียนรู้ เช่น ก่อนเรียน ระหวา่ ง เรียน สิ้นสุดการ เรียน ติดตามผล 4.4 สะทอ้ นผลการประเมินแก่ผเู้ รียนและผเู้ กี่ยวขอ้ ง เพอ่ื นาไปสู่การพฒั นาผเู้ รียน แผนภาพท่ี 5 การประเมินผลกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก จากแผนภาพที่ 5 การประเมินผลกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ผูส้ อน สามารถใช้ วธิ ีการประเมินผล ดงั น้ี 1. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็ นการประเมินดว้ ยวิธีการที่ หลากหลาย เพ่ือให้ไดผ้ ลการประเมินที่สะทอ้ นความสามารถที่แทจ้ ริงของผูเ้ รียน จึงควรใช้การประเมิน การปฏิบตั ิ (Performance Assessment) ร่วมกบั การประเมินดว้ ยวิธีการอ่ืน และกาหนดเกณฑใ์ นการ ประเมิน (Rubrics) ใหส้ อดคลอ้ งหรือใกลเ้ คยี งกบั ชีวิตจริง 2. การประเมินการปฏิบตั ิ (Performance Assessment) เป็นวิธีการประเมินงานหรือ กิจกรรมท่ีผสู้ อน มอบหมายใหผ้ เู้ รียนปฏิบตั ิงาน เพื่อให้ทราบถึงผลการพฒั นาของผูเ้ รียน การประเมิน ลกั ษณะน้ีผูส้ อนตอ้ ง เตรียมส่ิงสาคญั 2 ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรือเกณฑ์การประเมินกิจกรรม ที่จะให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิ (Scoring Rubrics) การประเมินการปฏิบตั ิ จะช่วยตอบคาถามที่ทาให้เรารู้ว่า “ผูเ้ รียนสามารถนาส่ิงที่เรียนรู้ ไปใช้ไดด้ ีเพียงใด” ดงั น้ัน เพื่อให้การปฏิบตั ิในระดบั ช้นั เรียนเป็ นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ผูส้ อนตอ้ งทา ความเขา้ ใจท่ีชดั เจนเก่ียวกบั ประเด็นต่อไปน้ี 2.1 สิ่งที่เราตอ้ งการจะวดั (พิจารณาจากมาตรฐาน/ตวั ช้ีวดั หรือผลลพั ธท์ ี่เราตอ้ งการ)
2.2 การจดั การเรียนรู้ที่เอ้ือต่อการประเมินการปฏิบตั ิ 2.3 รูปแบบหรือวิธีการประเมินการปฏิบตั ิ 2.4 การสร้างเครื่องมือประเมินการปฏิบตั ิ 2.5 การกาหนดเกณฑใ์ นการประเมิน (Rubrics) 3. การประเมินโดยการใชค้ าถาม (Questioning) คาถามเป็นวิธีหน่ึงในการกระตุน้ /ช้ีแนะ ใหผ้ ูเ้ รียน แสดงออกถึงพฒั นาการการเรียนรู้ของตนเอง รวมถึงเป็ นเคร่ืองมือวดั และประเมินเพื่อ พฒั นาการเรียนรู้ ดงั น้นั เทคนิคการต้งั คาถามเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผูเ้ รียน จึงเป็นเร่ืองสาคญั ยง่ิ ท่ี ผสู้ อนตอ้ งเรียนรู้และ นาไปใชใ้ หไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ การต้งั คาถามเพื่อพฒั นาผเู้ รียนจึงเป็นกลวิธี สาคญั ท่ีผูส้ อนใชป้ ระเมิน การเรียนรู้ของผูเ้ รียน รวมท้งั เป็นเคร่ืองสะทอ้ นให้ผูส้ อนสามารถช่วยเหลือ ผเู้ รียนใหบ้ รรลุจุดมุ่งหมายของ การเรียนรู้ 4. การประเมินโดยการการสนทนา (Communication) เป็ นการสื่อสาร 2 ทางอีกประเภท หน่ึง ระหว่างผูส้ อนกับผูเ้ รียน สามารถดาเนินการเป็ นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ โดยทวั่ ไปมักใช้อย่างไม่เป็ น ทางการ เพ่ือติดตามตรวจสอบวา่ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้เพยี งใด เป็นขอ้ มูลสาหรับพฒั นา วธิ ีการน้ีอาจใช้ เวลา แต่มีประโยชน์ต่อการคน้ หา วินิจฉยั ขอ้ ปัญหา ตลอดจนเรื่องอ่ืนๆ ท่ีอาจเป็นปัญหา อุปสรรคต่อ การเรียนรู้ เช่น วิธีการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกนั เป็นตน้ 5. การประเมินการสังเกตพฤติกรรม (Behavioral Observation) เป็ นการเก็บขอ้ มูลจาก การดูการ ปฏิบตั ิกิจกรรมของผเู้ รียนโดยไม่ขดั จงั หวะการทางานหรือการคิดของผเู้ รียน การสังเกต พฤติกรรมเป็นส่ิงที่ ทาได้ตลอดเวลา แต่ควรมีกระบวนการและจุดประสงค์ท่ีชัดเจนว่าตอ้ งการประเมิน อะไร โดยอาจใช้ เคร่ืองมือ เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ สมดุ จดบนั ทึก เพอ่ื ประเมินผเู้ รียนตามตวั ช้ีวดั และควรสังเกตหลายคร้ัง หลายสถานการณ์ และหลายช่วงเวลา เพ่ือขจดั ความลาเอียง 6. การประเมินตนเองของผเู้ รียน (Student Self-assessment) การประเมินตนเอง นบั เป็นท้งั เครื่องมือ ประเมินและเคร่ืองมือพฒั นาการเรียนรู้ เพราะทาใหผ้ เู้ รียนไดค้ ดิ ใคร่ครวญวา่ ได้ เรียนรู้อะไร เรียนรู้อยา่ งไร และผลงานท่ีทาน้ันดีแลว้ หรือยงั การประเมินตนเองจึงเป็ นวิธีหน่ึงท่ีจะช่วย พฒั นาผูเ้ รียนให้เป็ นผูเ้ รียนที่ สามารถเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 7. การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) เป็ นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหน่ึงที่ น่าจะ นามาใชเ้ พื่อพฒั นาผูเ้ รียนให้เขา้ ถึงคุณลกั ษณะของงานท่ีมีคุณภาพ เพราะการที่ผเู้ รียนจะบอกไดว้ า่ ชิ้นงาน น้นั เป็นเช่นไร ผเู้ รียนตอ้ งมีความเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนก่อนวา่ เขากาลงั ตรวจสอบอะไรในงานของ เพ่ือน ฉะน้นั ผูส้ อนตอ้ งอธิบายผลที่คาดหวงั ให้ผูเ้ รียนทราบก่อนที่จะลงมือประเมิน การที่จะสร้างความ มน่ั ใจว่าผูเ้ รียน เขา้ ใจการประเมินรูปแบบน้ี ควรมีการฝึกผเู้ รียน
3.6 บทบาทครูผ้สู อนในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การทาให้นกั เรียนเกิดการเรียนรู้ ครูเป็นผทู้ ่ีมีบทบาทสาคญั ซ่ึงบทบาทของครูในขณะจดั กิจกรรม การเรียนรู้น้นั ครูจะตอ้ งแสดงบทบาทต่างๆ เพ่อื ส่งเสริมใหเ้ กิดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ข้นึ คือครูจะตอ้ งเป็ นผูส้ ังเกต โดยสังเกตการทางานของนักเรียนและการเล่นของนักเรียน ครู ตอ้ งสร้างแรง บนั ดาลใจในการเรียนรู้ โดยใชค้ าถามปลายเปิ ดกระตุน้ การเรียนรู้แทนการบอกกล่าว ครู ตอ้ งศึกษาและรู้จกั ขอ้ มูลนกั เรียนเป็ นรายบุคคลเพื่อแสดงบทบาทให้เหมาะสมในการทาให้เกิด Active Learning กบั นักเรียน เป็นรายบคุ คล ซ่ึงบทบาทหรือส่ิงที่ครูแสดงออกเหล่าน้ีมีผลตอ่ การเรียนรู้ของ นกั เรียน ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง Active Learning ครูผสู้ อนตอ้ งออกแบบกิจกรรมที่ สะทอ้ นการพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กิดการเรียนรู้ และเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตจริง โดยดาเนินการ ดงั น้ี (ดุษฎี โยเหลา และคณะ, 2557) 1. สร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม และการเจรจาโตต้ อบ ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์ที่ดี กบั ผสู้ อนและเพ่ือนในช้นั เรียน 2. ลดบทบาทการสอน และการให้ความรู้โดยตรง เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการ จดั ระบบ การเรียนรู้ แสวงหาความรู้ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง 3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหเ้ ป็นพลวตั (มีการเคล่ือนไหว/การขบั เคล่ือน) ส่งเสริมให้ ผเู้ รียนมี ส่วนร่วมในทุกกิจกรรม กระตุน้ ให้ผเู้ รียนคน้ พบความสาเร็จในการเรียนรู้ สามารถนาความรู้ ความเขา้ ใจไป ประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และคิดสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ โดย เชื่อมโยงกับ สภาพแวดลอ้ มใกลต้ วั ปัญหาของชุมชน สังคม หรือประเทศชาติ 4. จดั การเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มผูเ้ รียน วางแผนเกี่ยวกบั เวลาใน จดั การเรียนรู้อยา่ งชดั เจน รวมถึงเน้ือหาและกิจกรรม 5. จดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีทา้ ทาย เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากวิธีการสอนที่ หลากหลาย 6. เปิ ดใจกวา้ งยอมรับในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นของ ผเู้ รียน 7. ผสู้ อนควรทราบวา่ ผเู้ รียนมีความถนดั ท่ีแตกตา่ งกนั และทราบความรู้พ้ืนฐานของผเู้ รียน 8. ผสู้ อนควรสร้างบรรยากาศในการเรียน ใหผ้ เู้ รียนกลา้ พูด กลา้ ตอบและมีความสุขในการ เรียนรู้ สาหรับ Shenker, Goss & Bernstein (1996) ไดก้ ลา่ วถึงหลกั การสอนเพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทาง ในการ จดั การเรียนรู้เชิงรุก ไวด้ งั น้ี 1. ครูควรสื่อสารกบั นกั เรียนใหช้ ดั เจนในเรื่องของการเรียนการสอน เนื่องจากการเรียนรู้เชิง รุกเป็น การขยายทกั ษะการคิดวิเคราะห์และคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ตลอดจนความสามารถของการ ประยุกตเ์ น้ือหา ของนกั เรียน
2. การจดั การเรียนรู้เชิงรุก ควรส่งเสริมความรับผดิ ชอบในการคน้ ควา้ และส่งเสริมการเรียนรู้ นอก เวลาของนักเรียน รวมท้งั การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ อีกท้งั ตอ้ งมุ่งเน้นให้นักเรียนคน้ ควา้ หา คาตอบ ดว้ ยตนเองมากข้นึ 3. การเรียนแบบบรรยายในช้นั เรียนอาจจะครอบคลุมเน้ือหามากกว่า แต่เมื่อนักเรียนออก จากช้นั เรียน เน้ือหาที่มากจนไม่ชดั เจน จะทาให้นกั เรียนลืมและไม่เขา้ ใจได้ ถึงแมว้ ่าการเรียนรู้เชิงรุกจะ ใชเ้ วลา สอนมากกว่าและเรียนรู้มโนทศั น์ได้น้อยกว่า แต่ครูสามารถปรับแกไ้ ด้โดยสอนมโนทศั น์ท่ีสาคญั และ ส่ือสารอยา่ งชดั เจนกบั นกั เรียนวา่ นกั เรียนตอ้ งเรียนรู้บางมโนทศั น์ดว้ ยตนเอง ซ่ึงนกั เรียนจะทาไดด้ ี เพราะ นกั เรียนมีความเขา้ ใจในมโนทศั น์ที่ไดเ้ รียนรู้และสามารถนาไปใชก้ บั การเรียนมโนทศั นใ์ หม่ดว้ ย ตนเองได้ 4. ครูควรเลือกวธิ ีและกิจกรรมที่เหมาะสมกบั นกั เรียนและปรับวธิ ีการสอน เน่ืองจากการ เรียนรู้ เชิงรุกวิธีหน่ึงๆ ไม่ใช่วิธีการท่ีดีท่ีสุดสาหรับนักเรียนทุกคน ซ่ึงการเรียนรู้เชิงรุกจะมีความยืดหยุ่น สูง เนื่องจากสามารถปรับวธิ ีกสอนและเทคนิคการสอน ตลอดจนใชก้ ิจกรรมและแหลง่ เรียนรู้ท่ี หลากหลาย ซ่ึง ทาไดม้ ากกวา่ การสอนแบบบรรยาย 5. ครูควรสอนจากเรื่องง่ายไปสู่เรื่องยาก และควรสอนจากสิ่งท่ีอยใู่ กลว้ ไปหาสิ่งท่ีอยู่ไกลตวั โดย คานึงถึงประสลบการณ์เดิมและทกั ษะเดิมที่นกั เรียนมีอยู่ การจดั กิจรรมใหมค่ วรใหต้ อ่ เนื่องกบั กิจกรรมเดิม ทวีวฒั น์ วฒั นกุลเจริญ (2559) สรุปไวว้ ่า การเรียนรู้เชิงรุกเป็ นการเรียนที่เนน้ ผเู้ รียนเป็น สาคญั ซ่ึง ตอ้ งอาศยั เทคนิควิธีและกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย มีการฝึ กปฏิบตั ิในสภาพจริง มีการ เชื่อมโยงกบั สถานการณ์ตา่ งๆ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการพฒั นาศกั ยภาพทางสมอง ใหส้ ามารถคิด แกป้ ัญหา และนาความรู้ไป ประยุกต์ได้ รวมท้งั สามารถพฒั นาความรู้ได้ด้วยตนเองมากกว่าการจาเน้ือหาของบทเรียน ซ่ึงผูส้ อนมี บทบาทสาคญั มากในการสร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม กระตุน้ ให้ผูเ้ รียนสนใจที่จะร่วม กิจกรรม ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่ม มีวิธีการสอนท่ีหลากหลายไม่ใช่บรรยายอย่างเดียว วางแผน เรื่องของ เวลาใหช้ ดั เจน เน่ืองจากการเรียนรู้เชิงรุกจาเป็นตอ้ งใชเ้ วลาการจดั กิจกรรมมากกวาการ บรรยาย ท่ีสาคญั ตอ้ ง ยอมรับการแสดงออกและความคิดเห็นของผูเ้ รียน ดงั น้นั ผูส้ อนควรมีบทบาทใน การเรียนการสอนเชิงรุก ดงั น้ี 1. จดั กิจกรรมที่สะทอ้ นความตอ้ งการที่จะพฒั นาผเู้ รียน และเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวติ จริง ของผเู้ รียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโตต้ อบที่ส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมี ปฏิสัมพนั ธ์ท่ีดี กบั ผสู้ อน และเพือ่ นในช้นั เรียน 3. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็ นพลวตั ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมท่ี สนใจ รวมท้งั กระตุน้ ให้ผเู้ รียนประสบความสาเร็จในการเรียน กิจกรรมที่เป็นพลวตั ไดแ้ ก่ การฝึ ก แกป้ ัญหา และ การศึกษาดว้ ยตนเอง เป็นตน้ 4. จดั สภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaboratory Learning) ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือ ในกลุ่ม ผเู้ รียน
5. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้ทา้ ทาย และให้โอกาสผูเ้ รียนไดร้ ับวิธีการสอนที่ หลากหลาย มากกว่าการบรรยายเพียงอย่างเดียว แมร้ ายวิชาที่เน้นทางดา้ นการบรรยายหลกั การ และ ทฤษฎีเป็ นหลกั ก็ สามารถจดั กิจกรรมเสริมได้ เช่น การอภิปราย การแกไ้ ขสถานการณ์ที่กาหนด เสริมเขา้ กบั กิจกรรมการ บรรยาย เป็นตน้ 6. วางแผนในเรื่องของเวลาการสอนอยา่ งชดั เจน ท้งั ในเร่ืองของเน้ือหา และกิจกรรมในการ เรียน ท้ังน้ีเนื่องจากการเรียนรู้เชิงรุกจาเป็ นต้องใช้เวลาการจัดกิจกรรมมากกว่าการบรรยาย ดังน้ันผูส้ อน จาเป็นตอ้ งวางแผนการสอนอยา่ งชดั เจน โดยสามารถกาหนดรายละเอียดลงในประมวลรายวชิ า เป็นตน้ 7. ใจกวา้ ง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเห็นท่ีผูเ้ รียนนาเสนอ ศาสตร์ ทางการสอนไดใ้ ห้ท้งั ทฤษฎี หลกั การ และแนวคิดเก่ียวกบั การเรียนการสอนได้ หลากหลาย รวมท้งั ยงั ไดม้ ี การคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอน (instructional models) วิธีสอน (teaching methods) และเทคนิคการ สอน (teaching techniques) ไวจ้ านวนมาก นบั เป็นคลงั ความรู้ ที่สามารถนามาใชเ้ ป็นกลยุทธ์ในการสอนได้ เป็นอย่างดี เพียงแต่ครูตอ้ งศึกษา เลือกสรรใหเ้ หมาะสม ตรง ตามความตอ้ งการเฉพาะในการสอนแต่ละคร้ัง และเพ่ือให้เป็ นแนวทางกว้างๆ สาหรับครูในการพิจารณา เลือกกลยุทธ์ท่ีช่วยกระตุ้นและส่งเสริม องค์ประกอบท้ัง ๔ ด้าน ของการเรียนรู้เชิงรุก จึงได้ประมวล ข้อมูลมานาเสนอในตารางต่อไปน้ี (คณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏิรูปการศึกษาและสานกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา, ม.ป.ป.: 12 – 18) ตารางท่ี 1 กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นร่างกาย การเรียนรู้เชิงรุก กลยทุ ธ์การจดั การเรียนรู้เชิงรุก physically active ⬧ จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีการเคล่ือนไหวท้งั ๔ ดา้ น (กาย สติปัญญา อารมณ์ สงั คม) อยา่ ง learning) หมายถึง สมดุลตามความเหมาะสมกบั วยั และความสนใจ เช่น สาหรับเดก็ เลก็ ในคาบ ๕๐ นาทีครูอาจจะ การเรียนรู้อยา่ ง เริ่มตน้ ดว้ ยการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้โดยการร้องเพลง และเตน้ ประกอบเพลง ๕ นาที ตื่นตวั ทางร่างกาย ตอ่ ไปเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ตาม บทเรียน ๑๕ นาที สลบั ดว้ ยการใหอ้ อกไปเล่น ๕ นาที กลบั มา ใหร้ ่างกายมีการ ทางานท่ีไดร้ ับมอบหมาย ๑๕ นาที แลว้ จึงปล่อยใหเ้ ล่นเกมกบั เพ่อื นๆ อีก ๑๐ นาที สาหรับผเู้ รียน เคล่ือนไหวอยา่ ง ในวยั ท่ีสูงข้ึน มีสมาธิท่ีมากข้นึ จะสามารถใชเ้ วลาในกิจกรรมการเรียนรู้ไดน้ านข้ึน หรือหากเร่ือง เหมาะสม ท่ี เรียนเป็นเร่ืองท่ีผเู้ รียนสนใจ กจ็ ะมีสมาธิจดจ่อกบั เร่ืองที่เรียนไดน้ าน ข้ึนและมากข้ึน ⬧ กิจกรรมที่ช่วยใหเ้ กิดความพร้อมทางร่างกายท่ีจะรับรู้และเรียนรู้ ไดอ้ ยา่ งดีมีต้งั แต่กิจกรรมที่ ตอ้ งใชก้ ลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ การออกแรง การออกกาลงั ต้งั แต่นอ้ ยไปมาก เช่น การร้องเพลงและเตน้ ตาม จงั หวะ การออกกาลงั กายดว้ ยทา่ ที่ง่ายๆ เบาๆ ไปจนถึงการว่ิงเล่น ในสนาม การกระโดดไป จนถึงการทางานท่ีตอ้ งออกแรงมาก เช่น การยกโตะ๊ เกา้ อ้ีหรือของท่ีหนกั ๆ กิจกรรมที่มีการลงมือ ทา/ปฏิบตั ิ ส่วนใหญ่จะมีท้งั กิจกรรมท่ีไม่ตอ้ งใชแ้ รงมาก และที่จาเป็นตอ้ งออก แรงมาก
การเรียนรู้เชิงรุก กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุก physically active ผสมผสานกนั ไป กิจกรรมที่มีลกั ษณะเช่นน้ี นบั วา่ มีความ เหมาะสมในแง่ที่ทาใหร้ ่างกายมีความ learning) หมายถึง ต่ืนตวั อยา่ งต่อเน่ือง การเรียนรู้อยา่ ง ตื่นตวั ทางร่างกาย ⬧ นอกจากกิจกรรมที่ใชก้ ลา้ มเน้ือมดั ใหญ่แลว้ ยงั มีกิจกรรมท่ีใช้ กลา้ มเน้ือมดั เลก็ อีกจานวนมาก ใหร้ ่างกายมีการ ซ่ึงมีความเหมาะสมกบั ผเู้ รียนที่อยู่ ในวยั ท่ีสูงข้นึ ท่ีมีสมาธิมากข้ึน เคล่ือนไหวอยา่ ง เหมาะสม ⬧ การสลบั กิจกรรมจากกิจกรรมที่ตอ้ งใชค้ วามคดิ มาก ซ่ึงอาจทาให้ ผเู้ รียนเกิดความเครียด มาสู่ กิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นการผ่อนคลาย เช่น การใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั วาดภาพ จดั โปสเตอร์ จดั หอ้ ง เพื่อ เตรียมการ แสดง ทางานประดิษฐ์เพื่อใชใ้ นการเสนอผลงานหรือการแสดง เหลา่ น้ีก็จะช่วยให้ ผเู้ รียนมีความต่ืนตวั (active) ตอ่ เน่ืองอยา่ ง เหมาะสม ตารางที่ 2 กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นสติปัญญา การเรียนรู้เชิงรุก กลยทุ ธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุก การเรียนรู้เชิงรุก ⬧ การใชค้ าถามกระตนุ้ การคดิ (questioning ) ดา้ นสติปัญญา ⬧ การใหผ้ เู้ รียนใชก้ ระบวนการสืบสอบ (inquiry) ในการหาคาตอบ ในเร่ืองท่ีสงสัย/สนใจ Intellectually ⬧ การวิเคราะหข์ อ้ มูลใหไ้ ดค้ าตอบหรือขอ้ สรุปในเรื่องต่างๆ และ นาเสนอต่อกลุ่ม active learning) หมายถึง การเรียนรู้ ⬧ การสังเคราะห์ขอ้ มลู และนาเสนอต่อกลมุ่ หรือสาธารณชนโดยใช้ สื่อและเทคโนโลยี อยา่ งตื่นตวั ⬧ การใหผ้ เู้ รียนทาโครงการ/โครงงานท่ีสนใจโดยครูเป็นท่ีปรึกษา ทางดา้ นสติปัญญา ⬧ การแกโ้ จทยป์ ัญหาท้งั โจทยท์ ่ีครูเตรียมมา โจทยท์ ่ีนกั เรียนต้งั ข้ึน โจทยท์ ี่มาจาก ชีวิตประจาวนั รวมท้งั โจทยท์ ่ีมาจากสังคมและโลก หรือการคิด ⬧ การใหผ้ เู้ รียนเผชิญปัญหาและแกป้ ัญหาดว้ ยตนเองในสถานการณ์ ต่างๆ ⬧ การใชเ้ ทคนิคการคิดแบบต่างๆ เช่น เทคนิคการคิดนอกกรอบของ กอร์ดอน (Gordon) เทคนิคหมวก ๖ ใบ ของเดอโบโน (De Bono) เทคนิคการระดมสมองแบบต่างๆ เทคนิคการใช้ ผงั กราฟิ ก เช่น ผงั มโนทศั น์ (concept map) ผงั ความคิด (mind map) ผงั วฏั จกั ร (cyclical map) ผงั เวน็ น์ ไดอะแกรม (Venn diagram) ผงั วี ไดอะแกรม (Vee diagram) ⬧ การใชว้ ธิ ีสอนแบบตา่ งๆ เช่น วธิ ีสอนแบบอุปนยั (inductive method) วิธีสอนโดยใชก้ รณี ตวั อยา่ ง (case method) วธิ ีสอน แบบทศั นศึกษา (fieldtrip method) วิธีสอนโดยใชส้ ถานการณ์ จาลอง (simulation method) ฯลฯ ⬧ การใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน เช่น - รูปแบบการเรียนการสอนมโนทศั น์ (Concept Attainment Model) พฒั นาโดยจอยส์และเวลล์ (Joyce & Weil, ๑๙๙๖) โดย ใชแ้ นวคิดของบรู เนอร์ กูดนาวและออสติน ( Bruner, Goodnow & Austin) - รูปแบบการเรียนการสอน
ตารางที่ 2 กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นสติปัญญา (ต่อ) การเรียนรู้เชิงรุก กลยุทธ์การจดั การเรียนรู้เชิงรุก การเรียนรู้เชิงรุก กระบวนการคดิ สร้างสรรค์ (Synectics Model) พฒั นาโดยจอยส์และเวลล์ (Joyce & Weil, ดา้ นสติปัญญา ๑๙๙๖) โดยใชแ้ นวคิดของกอร์ดอน (Gordon) Intellectually - รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนยั (Inductive Thinking Model) พฒั นาโดย active learning) จอยส์และ เวลล์ (Joyce & Weil, ๑๙๙๖) โดยใชแ้ นวคิดของทาบา (Taba) หมายถึง การ - รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแกป้ ัญหาอนาคต (Future Problem Solving Model) เรียนรู้อยา่ งตื่นตวั พฒั นาโ ดยท อร ์์ แ ร น ซ์ (Torrance, ๑๙๖๒) ทางดา้ น - รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชผ้ งั กราฟิ ก (Graphic Organizer Model) พฒั นาโดยจอยส์ สติปัญญาหรือ และเวลล์ (Joyce & Weil, ๑๙๙๒) โดย ใชแ้ นวคดิ ของโจนส์ และคณะ (Jones and others) การคดิ ตารางท่ี 3 กลยทุ ธ์การจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นสังคม การเรียนรู้เชิงรุก กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เชิงรุก การเรียนรู้เชิงรุก ⬧ จดั ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ร่วมกนั เป็นกลมุ่ ไดน้ าเสนอและแลกเปลี่ยน ขอ้ มูลและความคิดเห็น ดา้ นสังคม กนั ไดร้ ับขอ้ มูลยอ้ นกลบั และพฒั นาผลงาน ใหด้ ีข้ึน ( socially active ⬧ จดั การอภิปรายกลมุ่ ยอ่ ยในประเด็นท่ีเรียนรู้ เปิ ดโอกาสใหท้ กุ คน มีส่วนร่วม และนาผลการ learning) อภิปรายไปใชป้ ระโยชน์ หมายถึง การ ⬧ ใชเ้ ทคนิคการจดั กลมุ่ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperation Learning Techniques) เช่น เรียนรู้อยา่ งต่ืนตวั เทคนิค Think-Pair-Share เทคนิค Jigsaw เทคนิค Fishbowl เทคนิค Circular Response เทคนิค ทางสงั คม Brainstorm ⬧ ใชว้ ธิ ีสอนแบบตา่ งๆ เช่น วิธีสอนแบบอภิปรายกลุ่มยอ่ ย วธิ ีสอนแบบ โตว้ าที วิธีสอนแบบ สถานการณ์จาลอง วธิ ีสอนแบบกรณีตวั อยา่ ง วธิ ีสอน แบบเกม วิธีสอนแบบบทบาทสมมตุ ิ ⬧ ใหผ้ เู้ รียนผลดั เปล่ียนหมุนเวียนกนั เป็นผนู้ ากลุ่ม ไดเ้ รียนรู้บทบาท หนา้ ที่ กระบวนการ ทางานเป็นทีมและทกั ษะการทางานร่วมกนั ⬧ ใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทกั ษะทางสังคม เช่น รูปแบบ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning Model) พฒั นาโดย จอห์นสนั และจอห์นสนั (Johnson & Johnson, ๑๙๙๔)รูปแบบการ เรียนรู้แบบสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกล่มุ (Group Investigation Model) พฒั นาโดยจอยส และเวลล์ (Joyce & Weil, ๑๙๙๖) โดยใช้ แนวคิดของเธเลน (Thelen) รูปแบบการเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning Model) พฒั นาโดยไมเคลิ เสน (Michaelsen, ๒๐๑๒)
3.7 รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ Active Learning การจดั การเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างใหเ้ กิดข้ึนไดท้ ้งั ในหอ้ งเรียนและนอก หอ้ งเรียน รวมท้งั สามารถใชไ้ ดก้ บั นกั เรียน นกั ศึกษาทกุ ระดบั ท้งั การเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบ กลมุ่ เลก็ และการเรียนรู้แบบกล่มุ ใหญ่ รูปแบบของกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีนิยมมาใชใ้ นการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้จะข้นึ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องกิจกรรมการเรียนรู้ เน้ือหา เวลา และจานวนของผเู้ รียน จากการ สงั เคราะห์ตวั อยา่ งรูปแบบหรือเทคนิคการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ไดด้ ี McKinney (2008), วิทวสั ดวงภมุ เมศ และวารีรัตน์ แกว้ อไุ ร(2560) และเยาวเรศ ภกั ดี จิตร (2557) สรุปรูปแบบหรือเทคนิคการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ Active Learning ไดด้ งั น้ี 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคดิ หรือเทคนิคคูค่ ิด (Think-pair-share) คือ การจดั กิจกรรม การ เรียนรู้ที่ใหผ้ เู้ รียนคดิ เกี่ยวกบั ประเดน็ ที่กาหนดแต่ละคน ประมาณ 2-3 นาที (Think)จากน้นั ใหแ้ ลกเปล่ียน ความคดิ กบั เพ่อื นอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนาเสนอความคดิ เห็นต่อผเู้ รียนท้งั หมด (Share) 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning Group) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ที่ใหผ้ เู้ รียน ไดท้ างานร่วมกบั ผอู้ ื่น โดยจดั เป็นกลุ่มๆ ละ 4-6 คน สมาชิกในกลมุ่ มีความสามารถแตกต่างกนั มีการ แลกเปล่ียนความคดิ เห็น มีการช่วยเหลือสนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั และมีความรับผิดชอบร่วมกนั ท้งั ในส่วน ตนและส่วนรวม เพ่อื ใหก้ ลุ่มไดร้ ับความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนด 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผเู้ รียน (Student-led Review Sessions) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ที่เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดท้ บทวนความรู้และพิจารณาขอ้ สงสยั ตา่ งๆ ในการปฏิบตั ิกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครู จะคอยช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา 4. การเรียนรู้แบบใชเ้ กม (Games) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผสู้ อนนาเกมเขา้ มาบรู ณาการใน การเรียนการสอน ซ่ึงใชไ้ ดท้ ้งั ในข้นั การนาเขา้ สู่บทเรียน ข้นั การสอน การมอบหมายงานและข้นั การ ประเมินผล 5. การเรียนรู้แบบวเิ คราะห์วีดีโอ (Analysis or Reactions to Videos) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ใหผ้ เู้ รียนไดด้ ูวีดีโอ 5-20 นาที แลว้ ใหผ้ เู้ รียนแสดงความคิดเห็น หรือสะทอ้ นความคิดเกี่ยวกบั สิ่งท่ีไดด้ ู อาจ โดยวิธีการพูดโตต้ อบกนั การเขยี น หรือการร่วมกนั สรุปเป็นรายกล่มุ 6. การเรียนรู้แบบโตว้ าที (Student Debates) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่จดั ใหผ้ เู้ รียนไดน้ าเสนอ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพ่ือยนื ยนั แนวคดิ ของตนเองหรือกลุ่ม โดยผสู้ อนกาหนดหัวขอ้ หรือประเด็น ฝึกการทางานเป็นกล่มุ แบ่งกลมุ่ เพ่ือใหส้ มาชิกแต่ละกลมุ่ ไปคน้ ควา้ หาขอ้ มลู เพอ่ื ใชส้ าหรับ นาเสนอหนา้ ช้นั เรียน ฝึกซอ้ มและเตรียมตวั ดา้ นการพูดนาเสนอ เป็นการฝึกฝนดา้ นความคดิ และฝึกทกั ษะ การพดู ใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ การออกเสียง สาเนียงการพูดใหผ้ อู้ ่ืนสนใจ คลอ้ ยตาม และแฝงไปดว้ ยความสนุกสนาน
7. การเรียนรู้แบบผเู้ รียนสร้างแบบทดสอบ (Student Generated Exam Questions) คอื การจดั กิจกรรม การเรียนรู้ท่ีใหผ้ ูเ้ รียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งท่ีไดเ้ รียนรู้ เช่น ใหผ้ ูเ้ รียนเขยี นคาถามและตวั เลือกของ คาตอบจากเร่ืองท่ีเรียน และผลดั กนั ถามตอบกบั เพ่อื น 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจยั (Mini-research Proposals or Project) คือ การจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่อิงกระบวนการวจิ ยั โดยใหผ้ เู้ รียนกาหนดหวั ขอ้ ท่ีตอ้ งการเรียนรู้ วางแผนการเรียนเรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะทอ้ นความคิดในสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้ หรืออาจเรียกวา่ การสอนแบบโครงงาน (Project-based Learning) หรือการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem based Learning) 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze Case Studies) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีใหผ้ เู้ รียนได้ อ่านกรณีตวั อยา่ งที่ตอ้ งการศึกษา จากน้นั ใหผ้ เู้ รียนวเิ คราะห์และแลกเปล่ียนความคดิ เห็นหรือแนวทาง แกป้ ัญหาภายในกลุม่ แลว้ นาเสนอความคิดเห็นต่อผเู้ รียนท้งั หมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบนั ทึก (Keeping Journals or Logs) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ ผเู้ รียนจดบนั ทึกเรื่องราวตา่ งๆ ที่ไดพ้ บเห็น หรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในแต่ละวนั รวมท้งั เสนอความคดิ เพิม่ เติมเกี่ยวกบั บนั ทึกท่ีเขยี น 11. การเรียนรู้แบบการเขยี นจดหมายข่าว (Write and Produce a Newsletter) คือ การจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ใหผ้ เู้ รียนร่วมกนั ผลิตจดหมายข่าว อนั ประกอบดว้ ย บทความ ขอ้ มูล สารสนเทศข่าวสาร และ เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน แลว้ แจกจ่ายไปยงั บคุ คลอื่นๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผงั ความคดิ (Concept Mapping) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใหผ้ เู้ รียน ออกแบบแผนผงั ความคิด เพ่ือนาเสนอความคดิ รวบยอด และความเช่ือมโยงกนั ของกรอบ ความคิด โดยการใชเ้ สน้ เป็นตวั เชื่อมโยง อาจจดั ทาเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แลว้ นาเสนอผลงานต่อ ผเู้ รียนอ่ืนๆ จากน้นั เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนคนอ่ืนไดซ้ กั ถามและแสดงความคดิ เห็นเพมิ่ เติม 13. การเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ (Anchored Instruction) คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ ผสู้ อนไดแ้ บง่ กลมุ่ และกาหนดสถานการณ์ให้ และใหส้ มาชิกในกลมุ่ ช่วยกนั แสดงความคดิ เห็นหาขอ้ มลู ใน สถานการณ์ที่ไดแ้ ละออกมาแสดงทา่ ทาง ใชบ้ ทสนทนา รวมถึงเปิ ดโอกาสใหแ้ สดงความคิดความรู้สึกต่อ สถานการณ์น้นั ๆ ดว้ ย 14. การสอนโดยใชค้ าถาม (Questioning Method) คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ี ผสู้ อนตงั้ คาถามในลกั ษณะตา่ งๆ ทเ่ี ป็นคาถามเชงิ ทา้ ทาย มุ่งเน้นพฒั นาความคดิ ของผเู้ รยี น ซง่ึ ลกั ษณะ คาถาม ตามระดบั ชนั้ ของ Bloom คอื ถามความรู้ เป็นคาถามทผ่ี เู้ รยี นสามารถตอบขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ เชน่ ใคร(who) อะไร (what) เมอ่ื ไหร่ (when) ทไ่ี หน (where) ถามความเขา้ ใจ เป็นคาถามทผ่ี เู้ รยี น สามารถอธบิ ายดว้ ยคาพดู มกั ใชค้ าวา่ อย่างไร (how) ถามการนาไปใช้ เป็นคาถามทผ่ี เู้ รยี นสามารถนา ความรไู้ ปแกป้ ัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้ ถามการวเิ คราะห์ เป็นคาถามทผ่ี เู้ รยี นสามารถจาแนกแยกแยะ เรอ่ื งราวตา่ งๆ ได้ ถามการสงั เคราะห์ เป็นคาถามทผ่ี เู้ รยี นใชก้ ระบวนการคดิ สรุปเป็นหลกั การหรอื แนวคดิ ใหม่ถามการประเมนิ ค่า เป็นคาถามทใ่ี หผ้ เู้ รยี นตคี ณุ ค่าโดยใชค้ วามรคู้ วามรสู้ กึ
15. การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื เทคนิค STAD (Student Teams Achievement Division)คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ เ่ี ป็นการรว่ มมอื กนั ระหว่างสมาชกิ ในกลุ่ม โดยทุกคนจะตอ้ ง พฒั นาความรขู้ องตนเองในเร่อื งทผ่ี สู้ อนกาหนด ซง่ึ จะมกี ารช่วยเหลอื ทบทวนความรใู้ หแ้ กก่ นั มกี าร ทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแขง่ ขนั และรวมคะแนนเป็นกลุ่ม กลุ่มทไ่ี ดค้ ะแนนมากทส่ี ุดจะเป็นฝ่าย ชนะเหมาะสาหรบั ใชใ้ นการเรยี นการสอนในบทเรยี นทม่ี เี น้อื หาไม่ยากเกนิ ไป สานกั งานเขตพน้ื ท่ี การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 35 (ม.ป.ป.: 5 – 8) ไดน้ าเสนอรปู แบบการ จดั เรยี นรเู้ ชงิ รุก ไวด้ งั น้ี 1. การเรยี นรเู้ ชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการสอนทส่ี ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ การเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ทเ่ี ป็นรปู ธรรม เพอ่ื นาไปสคู่ วามรคู้ วามเขา้ ใจเชงิ นามธรรม เหมาะกบั รายวชิ าทเ่ี น้นปฏบิ ตั ิ หรอื เน้นการฝึกทกั ษะ สามารถใชจ้ ดั การเรยี นการสอนไดท้ งั้ เป็นกลุ่ม และเป็น รายบคุ คล หลกั การสอน คอื ผสู้ อนวางแผนจดั สถานการณ์ใหผ้ เู้ รยี นมปี ระสบการณ์จาเป็นต่อการเรยี นรู้ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นสะทอ้ นความคดิ อภปิ ราย สง่ิ ทไ่ี ดร้ บั จากสถานการณ์ ตวั อยา่ งเทคนิคการสอนทใ่ี ชใ้ น การจดั การเรยี นรแู้ บบเน้นประสบการณ์ ไดแ้ ก่ เทคนิคการสาธติ และเทคนิคเน้นการฝึกปฏบิ ตั ิ มขี นั้ ตอน ดงั น้ี แผนภาพท่ี 6 เทคนิคการสอนที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้แบบเนน้ ประสบการณ์ 1.1 เทคนิคการสอนแบบการสาธิต ผสู้ อนวางแผนการสอนและออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้โดยแบง่ สดั ส่วนเวลาสาหรับการบรรยายเน้ือและการสาธิต พร้อมกบั คดั เลือกวธิ ีการที่จะลง มือปฏิบตั ิใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ โดยถา้ เป็นกิจกรรมกลุม่ จะตอ้ งมีการวางโครงสร้างการทางานกลมุ่ การแบ่ง หนา้ ท่ี และมีการสลบั หมุนเวียนกนั ทุกคร้ัง จากน้นั ดาเนินการบรรยายเน้ือหาและสาธิต โดยขณะสาธิต จะเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถาม ผสู้ อนแนะนาเทคนิคปลีกยอ่ ย จากน้นั ใหผ้ เู้ รียนลงมือปฏิบตั ิ และผสู้ อน ประเมินผเู้ รียนโดยการสังเกตพร้อมกบั ใหค้ าแนะนาในจุดท่ีบกพร่องเป็นรายบุคคลหรือเป็นรายกลุม่ เม่ือ เสร็จสิ้นการปฏิบตั ิกิจกรรม ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปราย สรุปผลส่ิงท่ีไดเ้ รียนรู้จากการลงมือปฏิบตั ิ 1.2 เทคนิคการสอนแบบเนน้ ฝึกปฏิบตั ิ ผสู้ อนวางแผนและออกแบบกิจกรรมที่เนน้ การฝึกทกั ษะ เช่น การฝึกทกั ษะทางภาษา โดยจดั กิจกรรมที่กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกทกั ษะชา้ ๆ อาจเป็น ในลกั ษณะใชโ้ ปรแกรมช่วยสอนสาหรับการฝึก โดยผสู้ อนมีบทบาทใหค้ าแนะนา อานวยความสะดวก
กระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนร่วมในช้นั เรียน 2. การสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) โดยการสอนแบบโครงงาน สามารถจดั เป็นกจิ กรรมกล่มุ หรอื กจิ กรรมเดย่ี วกไ็ ด้ ใหพ้ จิ ารณาจากความยาก – งา่ ย และความเหมาะสม ของโจทยง์ าน และคณุ ลกั ษณะทต่ี อ้ งการพฒั นา วางแผนและกาหนดเกณฑอ์ ย่างกวา้ งๆ แลว้ ใหผ้ เู้ รยี น วางแผนดาเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง โดยผสู้ อนมบี ทบาทเป็นผใู้ หค้ าปรกึ ษา จากนนั้ ให้ ผเู้ รยี นนาเสนอแนวคดิ การออกแบบชน้ิ งาน พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบจากการคน้ ควา้ ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณา รว่ มกบั การอภปิ รายในชนั้ เรยี น จากนนั้ ผเู้ รยี นลงมอื ปฏบิ ตั ทิ าชน้ิ งาน และสง่ ความคบื หน้าตาม กาหนดการประเมนิ ผลจะประเมนิ ตามสภาพจรงิ โดยมเี กณฑก์ ารประเมนิ กาหนดไวล้ ว่ งหน้าและแจง้ ให้ ผเู้ รยี นทราบกอ่ นลงมอื ทาโครงการ และมกี ารเชญิ ผทู้ รงคุณวุฒริ ว่ มประเมนิ ผล แผนภาพท่ี 7 รูปแบบการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) 3. การสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นการสอนที่ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเกิด จากเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีกาหนด ดว้ ยการศึกษาปัญหาที่สมมุติข้ึนจากความจริง แลว้ ผสู้ อนกบั ผเู้ รียน ร่วมกนั วิเคราะห์ปัญหา เสนอวธิ ีแกป้ ัญหา หลกั ของการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐานคอื การเลือกปัญหาท่ี สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาการสอนและกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดคาถาม วิเคราะห์ วางแผน กาหนดวิธีแกป้ ัญหาดว้ ย ตนเอง โดยผสู้ อนมีบทบาทใหค้ าแนะนาแก่ผเู้ รียนขณะลงมือแกป้ ัญหา สุดทา้ ยเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ แกป้ ัญหา ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปผลการแกป้ ัญหา และแลกเปล่ียนเรียนรู้ถึงสิ่งที่ไดจ้ ากการลงมือ แกป้ ัญหา แผนภาพที่ 8 รูปแบบการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
4. การสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) เป็นกระบวนการ สอนท่ีผสู้ อนใชเ้ ทคนิค วธิ ีการกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนคิดเป็นลาดบั ข้นั แลว้ ขยายความคดิ ต่อเนื่องจากความคิด เดิมพิจารณาแยกแยะอยา่ งรอบดา้ น ดว้ ยใหเ้ หตผุ ลและเชื่อมโยงกบั ความรู้เดิมท่ีมี จนสามารถสร้างส่ิง ใหมห่ รือตดั สินประเมินหาขอ้ สรุป แลว้ นาไปแกป้ ัญหาอยา่ งมีหลกั การ แผนภาพที่ 9 รูปแบบการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) 4.1 การคิดวิเคราะห์ หมายถึง การพจิ ารณาส่ิงตา่ งๆ ในส่วนยอ่ ยๆ ซ่ึงประกอบดว้ ยการวิเคราะห์ เน้ือหาดา้ นความสัมพนั ธแ์ ละดา้ นหลกั การจดั การโครงสร้างของการสื่อความหมาย และสอดคลอ้ งกบั กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ทางวทิ ยาศาสตร์ คือ การคิดจาแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่ และจบั ประเด็นต่างๆ เชื่อมโยงความสมั พนั ธ์ ดงั น้นั การคิดเชิงวิเคราะหเ์ ป็นทกั ษะการคดิ ที่สามารถพฒั นาใหเ้ กิดกบั ผเู้ รียน 4.2 การคิดสงั เคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดท่ีดึงองคป์ ระกอบตา่ งๆ มาหลอมรวมกนั ภายใตโ้ ครงร่างใหม่อยา่ งเหมาะสมเพอื่ ใหเ้ กิดสิ่งใหมท่ ี่มีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างไปจากเดิมการคิดสังเคราะห์ ครอบคลุมถึงการคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูลที่เก่ียวขอ้ งกบั เรื่องที่จะคดิ ซ่ึงมีมากหรือกระจายกนั อยมู่ าหลอม รวมกนั คนที่คิดสังเคราะหไ์ ดเ้ ร็วกวา่ ยอ่ มไดเ้ ปรียบกว่าคนท่ีสังเคราะหไ์ มไ่ ด้ ซ่ึงจะทาใหเ้ ขา้ ใจและเห็น ภาพรวมของสิ่งน้นั ไดม้ ากกวา่ การคดิ สงั เคราะหแ์ บ่งเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 4.2.1 การคิดสงั เคราะหเ์ พอ่ื สร้างส่ิงใหม่ เช่น ประดิษฐส์ ิ่งของเคร่ืองใช้ อุปกรณ์ ต่างๆ ตามตอ้ งการ 4.2.2 การคิดสังเคราะห์เพอ่ื สร้างแนวคิดใหม่ เป็นการพฒั นาและคิดคน้ แนวคดิ ใหม่ ถา้ เราสามารถคิดสังเคราะหไ์ ดด้ ี จะทาใหพ้ ฒั นาความคดิ หรือส่ิงใหมๆ่ ที่เป็นประโยชนต์ ่อสังคม 4.3 การคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความคดิ ใหมๆ่ แนวทางใหม่ๆ ทศั นคติใหมๆ่ ความเขา้ ใจและการ มองปัญหาในรูปแบบใหม่ ผลลพั ธข์ องความคิดสร้างสรรคท์ ี่ชดั เจน คือ ดนตรี การแสดงวรรณกรรม ละคร ส่ิงประดิษฐ์ นวตั กรรมทางเทคนิค แตบ่ างคร้ังความคดิ สร้างสรรคก์ ม็ องไมเ่ ห็นชดั เจนเช่น การต้งั คาถาม บางอยา่ งที่ช่วยขยายกรอบของแนวคิดซ่ึงใหค้ าตอบบางอยา่ ง หรือการมองโลกหรือปัญหาในแนวนอกกรอบ ความคิดสร้างสรรค์ คอื ความคดิ เชื่อมโยงท่ีพยายามหาทางออกหลายๆ ทาง ใชค้ วามคิดที่หลากหลาย
แสวงหาความเป็นไปไดใ้ หม่ๆ และนอกกรอบ คดั สรรคห์ าทางเลือกใหมๆ่ และพยายามปรับปรุงใหด้ ีข้ึน เร่ือยๆ ซ่ึงมีวิธีการอยู่ ๖ ข้นั ตอน คือ 4.3.1 แสวงหาขอ้ บกพร่อง (Mess Finding) 4.3.2 รวบรวมขอ้ มูล (Data Finding) 4.3.3 มองปัญหาทกุ ดา้ น (Problem Finding) 4.3.4 แสวงหาความคดิ ท่ีหลากหลาย (Idea Finding) 4.3.5 หาคาตอบท่ีรอบดา้ น (Solution Finding) 4.3.6 หาขอ้ สรุปท่ีเหมาะสม (Acceptance Finding) กระบวนการของความคดิ สร้างสรรค์ อาจเกิดข้ึนโดยบงั เอิญหรือโดยความต้งั ใจซ่ึงสามารถทาได้ ดว้ ยการศึกษา การอบรมฝึกฝน การระดมสมอง (brain-storming) มากกวา่ คร่ึงหน่ึงของการคน้ พบที่ยง่ิ ใหญ่ ของโลก เกิดจากการคน้ พบโดยบงั เอิญ (serenity) หรือการคน้ พบส่ิงหน่ึงซ่ึงใหม่ในขณะท่ีกาลงั ตอ้ งการ คน้ พบสิ่งอ่ืนมากกวา่ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. (2562: 7 - 25) ไดน้ าเสนอรูปแบบวิธีการ จดั กิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีเนน้ บทบาทและการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้กจิ กรรมเป็ นฐาน (Activity-Based Learning) การเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรม เป็นฐาน เป็นวธิ ีการจดั การเรียนรู้ท่ีพฒั นามาจากแนวคดิ ในการจดั การเรียนการสอนท่ีเผยแพร่ในปลาย ศตวรรษที่ 20 ที่เรียกวา่ การเรียนรู้ท่ีเนน้ บทบาทและการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน หรือ“การเรียนรู้เชิงรุก” (Active Learning) ซ่ึงหมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนที่มงุ่ เนน้ ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และบทบาทในการเรียนรู้ของผเู้ รียน \"ใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน\" หมายถึง นากิจกรรมเป็นท่ีต้งั เพ่ือที่จะฝึกหรือ พฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กิดการเรียนรู้ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคห์ รือเป้าหมายท่ีกาหนด 1.1 ลกั ษณะสาคญั ของการเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน 1.1.1 ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีความตื่นตวั และกระตือรือร้นดา้ นการรู้คิด 1.1.2 กระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรียนรู้จากตวั ผเู้ รียนเอง มากกวา่ การฟังผสู้ อนในหอ้ งเรียน และ การท่องจา 1.1.3 พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ของผเู้ รียน ใหส้ ามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตวั เอง ทาให้เกิดการ เรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองนอกหอ้ งเรียนดว้ ย 1.1.4 ไดผ้ ลลพั ธใ์ นการถา่ ยทอดความรู้ใกลเ้ คยี งกบั การเรียนรู้รูปแบบอ่ืน แตไ่ ดผ้ ล ดีกวา่ ในการพฒั นาทกั ษะดา้ นการคดิ และการเขยี นของผเู้ รียน 1.1.5 ผเู้ รียนมีความพึงพอใจกบั การเรียนรู้แบบน้ีมากกวา่ รูปแบบที่ผเู้ รียนเป็นฝ่ายรับ ความรู้ ซ่ึงเป็นการเรียนรู้แบบต้งั รับ (Passive Learning) 1.1.6 มุง่ เนน้ ความรับผิดชอบของผเู้ รียนในการเรียนรู้โดยผา่ นการอา่ น เขียนคิด อภิปราย และเขา้ ร่วมในการแกป้ ัญหา และยงั สมั พนั ธ์กบั การเรียนรู้ตามลาดบั ข้นั การเรียนรู้ ของบลูมท้งั ในดา้ นพทุ ธิพิสัย ทกั ษะพิสยั และจิตพิสยั
1.2 หลกั การจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน 1.2.1 ใหค้ วามสนใจท่ีตวั ผเู้ รียน 1.2.2 เรียนรู้ผา่ นกิจกรรมการปฏิบตั ิที่น่าสนใจ 1.2.3 ครูผสู้ อนเป็นเพียงผอู้ านวยความสะดวก 1.2.4 ใชป้ ระสาทสัมผสั ท้งั 5 ในการเรียน 1.2.5 ไม่มีการสอบ แตป่ ระเมินผลจากพฤติกรรม ความเขา้ ใจ และผลงาน 1.2.6 เพ่ือนในช้นั เรียนช่วยส่งเสริมการเรียน 1.2.7 มีการจดั สภาพแวดลอ้ ม และบรรยากาศที่เอ้ือต่อการพฒั นาความคดิ และเสริมสร้างความมนั่ ใจในตนเอง 1.3 ประเภทของกิจกรรมในการเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐานกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรม เป็นฐาน มีหลากหลายกิจกรรม การเลือกใชข้ ้นึ อยกู่ บั ความเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องการจดั กิจกรรมน้นั ๆ วา่ ม่งุ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้หรือพฒั นาในเร่ืองใด สามารถจาแนกออกเป็น 3 ประเภทหลกั คอื 1.3.1 กิจกรรมเชิงสารวจ เสาะหา คน้ ควา้ (Exploratory) ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั การ รวบรวม ส่ังสมความรู้ ความคิดรวบยอด และทกั ษะ 1.3.2 กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Constructive) ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั การรวบรวม สัง่ สมประสบการณ์ โดยผา่ นการปฏิบตั ิ หรือการทางานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ 1.3.3 กิจกรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ไดแ้ ก่ กิจกรรมที่เก่ียวกบั การนาเสนอ การ เสนอผลงาน กิจกรรมการเรียนรู้ที่นิยมใชจ้ ดั การเรียนรู้โดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน 1) การอภิปรายในช้นั เรียน (class discussion) ท่ีใชไ้ ดท้ ้งั ในหอ้ งเรียนปกติ และการอภิปราย ออนไลน์ 2) การอภิปรายกลุ่มยอ่ ย (Small Group Discussion) 3) กิจกรรม “คิด-จบั คู่-แลกเปลี่ยน” (think-pair-share) 4) เซลการเรียนรู้ (Learning Cell) 5) การฝึกเขยี นขอ้ ความส้ันๆ (One-minute Paper) 6) การโตว้ าที (Debate) 7) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (Role Play) 8) การเรียนรู้โดยใชส้ ถานการณ์ (Situational Learning) 9) การเรียนแบบกลมุ่ ร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative learning group) 10) ปฏิกิริยาจากการชมวิดิทศั น์ (Reaction to a video) 11) เกมในช้นั เรียน (Game) 12) แกลเลอร่ี วอลค์ (Gallery Walk)
13) การเรียนรู้โดยการสอน (Learning by Teaching) 2. รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) หรือการเรียนรู้ผา่ นประสบการณ์เชิงประจกั ษ์ เป็นการ เรียนรู้ท่ีส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมหรือการปฏิบตั ิซ่ึงเป็นประสบการณ์ท่ี เป็นรูปธรรม เพอ่ื นาไปสู่ความรู้ความเขา้ ใจเชิงนามธรรมโดยผา่ นการสะทอ้ นประสบการณ์ การคิดวิเคราะห์ การสรุปเป็น หลกั การ ความคดิ รวบยอด และการนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณ์จริง 2.1 ลกั ษณะสาคัญของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ 2.1.1 เป็นการเรียนรู้ท่ีผา่ นประสบการณ์เชิงประจกั ษจ์ ากกิจกรรม หรือการ ปฏิบตั ิของผเู้ รียน 2.1.2 ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ใหมๆ่ ที่ทา้ ทายอยา่ งต่อเนื่อง และเป็นการเรียนรู้ที่ เกิดจากบทบาทการมีส่วนร่วมของผเู้ รียน 2.1.3 มีปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ยกนั เอง และระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อน 2.1.4 ปฏิสัมพนั ธ์ที่มีทาใหเ้ กิดการขยายตวั ของเครือขา่ ยความรู้ท่ีทกุ คนมีอยู่ ออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง 2.1.5 อาศยั กิจกรรมการส่ือสารทุกรูปแบบ เช่น การพูด การเขียน การวาดรูป การแสดงบทบาทสมมุติ การนาเสนอดว้ ยสื่อต่างๆ ซ่ึงเอ้ืออานวยใหเ้ กิดการแลกเปล่ียน การวิเคราะห์ และสังเคราะห์การเรียนรู้ แผนภาพท่ี 10 วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning Cycles) 2.2 วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบที่สาคญั 4 องคป์ ระกอบ คอื ประสบการณ์ รูปธรรม การสะทอ้ นประสบการณ์จากกิจกรรมและอภิปราย การสรุปความคิดรวบยอด หลกั การ องคค์ วามรู้
การทดลอง/ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ ซ่ึงการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ควรมีครบท้งั 4 องคป์ ระกอบ แมบ้ างคนจะ ชอบ/ถนดั หรือมีบางองคป์ ระกอบมากกวา่ เช่น ไม่ชอบ หรือไม่กลา้ แสดงความคดิ เห็น หรือไม่นา ประสบการณ์จากการปฏิบตั ิมาร่วมอภิปราย ผเู้ รียนจะขาดการมีทกั ษะในองคป์ ระกอบอ่ืน ฉะน้นั ผเู้ รียนควร ไดร้ ับการกระตุน้ ส่งเสริมให้มีทกั ษะการเรียนรู้ครบทกุ ดา้ น และควรมีพฒั นาการการเรียนรู้ใหค้ รบท้งั วงจร หรือท้งั 4 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี 2.2.1 ประสบการณ์รูปธรรม (Concrete Experience) เป็นข้นั ตอนแรกของ การเรียนรู้ ท่ีผเู้ รียนจะไดร้ ับประสบการณ์จากการลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมที่ผสู้ อนกาหนดไว้ การเรียนรู้ท่ี แทจ้ ริงจะเร่ิมข้ึนเม่ือไดล้ งมือปฏิบตั ิ กิจกรรมอาจเป็นการทดลอง การอ่าน การดูวีดิทศั น์ การฟังเรื่องราว การพดู คุยสนทนา การทางานกล่มุ เกม บทบาทสมมตุ ิ สถานการณ์จาลอง และการนาเสนอผลการ ปฏิบตั ิ เงื่อนไขสาคญั คอื ผเู้ รียนมีบทบาทหลกั ในการทากิจกรรม (Do, Act) 2.2.2 การสะทอ้ นประสบการณ์จากกิจกรรม และอภิปราย (Reflective Observation and Discussion) หรือ Reflect เป็นข้นั ที่ผเู้ รียนจะมีการสะทอ้ นคิด แสดงความคดิ เห็นและ ความรู้สึกของตนเองจากประสบการณ์ในการปฏิบตั ิกิจกรรม และแลกเปล่ียนกบั สมาชิกในกลุ่ม (Discussion) ผเู้ รียนจะไดเ้ รียนรู้ถึงความคดิ ความรู้สึกของคนอื่นท่ีแตกตา่ งหลากหลาย ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดการ เรียนรู้ที่กวา้ งขวางข้นึ และผลของการสะทอ้ นความคิดเห็น หรือการอภิปรายแลกเปล่ียน หรือการยอ้ นกลบั จะทาใหไ้ ดแ้ นวคิดหรือขอ้ สรุปท่ีมีน้าหนกั มากยงิ่ ข้นึ นอกจากน้ีผูเ้ รียนจะรู้สึกวา่ ตวั เองไดม้ ีส่วนร่วมใน ฐานะสมาชิกคนหน่ึง มีคนฟังเร่ืองราวของตนเอง และไดม้ ีโอกาสรับรู้เร่ืองของคนอ่ืน ทาใหส้ ัมพนั ธภาพใน กลมุ่ ผเู้ รียนเป็นไปดว้ ยดี 2.2.3 การสรุปความคิดรวบยอดหลกั การ องคค์ วามรู้ (Abstract Conceptualization) เป็นข้นั ที่ผเู้ รียนร่วมกนั สรุปขอ้ มูล ความคดิ เห็น จบั หลกั ขององคค์ วามรู้ท่ีไดจ้ ากการสะทอ้ นความคิดเห็น และ อภิปรายในข้นั ท่ี 2 ในข้นั น้ีครูอาจใชค้ าถามกระตุน้ ผูเ้ รียนใหช้ ่วยกนั สรุปขอ้ คิดเห็น กรณีที่กิจกรรมน้นั เป็น เร่ืองของขอ้ มลู ความรู้ใหม่ ครูอาจเสริมขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริงในประเด็นน้นั ๆ เพ่ิมเติม (Adding) โดยการอธิบาย บอกกล่าว การใหอ้ ่านเอกสาร การดูวีดิทศั น์ ฯลฯ เพ่อื เติมเตม็ ประสบการณ์ใหม่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถสรุปเป็น หลกั การ ความคดิ รวบยอด หรือองคค์ วามรู้ใหมไ่ ด้ อาจใหผ้ เู้ รียนสรุปโดยการเขยี นบนั ทึกสรุปผลการเรียนรู้ การเขียนแผนภาพมโนทศั น์ (Mind Mapping) การเสนอแผนภาพ แผนภมู ิโดยใช้ Graphic Organizers การ สรุปเป็นกรอบงาน (Framework) ตวั แบบหรือแบบจาลองความคิด (Model) 2.2.4 การทดลอง/ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ (Active Experimentation/ application) ในข้ันน้ีผูเ้ รียนจะต้องนาความคิดรวบยอด องค์ความรู้ หรือข้อสรุปที่ได้จากข้ันตอนท่ี 3 ไปทดลอง ประยกุ ตใ์ ช้ กิจกรรมการเรียนการสอนส่วนมากมกั จะขาดองคป์ ระกอบการทดลอง/ประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิด ซ่ึงถือวา่ เป็นข้นั ตอนสาคญั ท่ีผสู้ อนจะไดเ้ ปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดร้ ู้จกั การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ และนาไปใช้ ไดจ้ ริง กิจกรรมที่เก่ียวกบั การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ เช่น การทาโครงงาน การจดั กิจกรรมเผยแพร่ขอ้ มลู ความรู้ การจดั กิจกรรมรณรงค์ (Campaign) ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ จาเป็นตอ้ ง
จดั กิจกรรมใหค้ รบวงจรท้งั 4 องคป์ ระกอบ เพราะองคป์ ระกอบท้งั 4 มีความสัมพนั ธเ์ กี่ยวขอ้ งอยา่ งล่ืน ไหล ตอ่ เน่ือง ส่งผลถึงกนั การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ใหไ้ ดผ้ ลดีน้นั ควรจะฝึกผเู้ รียนใหม้ ีทกั ษะต่อไปน้ี คือ 1) ผูเ้ รียนตอ้ งมีความมุ่งมนั่ ท่ีจะมีส่วนร่วมกบั การเรียน ไม่ใช่ต้งั ใจจะมาเป็ นผูร้ ับ “ป้อน” ความรู้ อยา่ งเดียว 2) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการฝึกเรื่องกระบวนการสะทอ้ นคิด ( Reflection) มาพอสมควร 3) ผูเ้ รียนควรไ ด้ฝึ กกระบว นการคิดวิเค ราะห์ analytical เ เ ล ะconceptualization skill มาก่อน โดยเฉพาะหากเป็นการเรียนรู้เชิงเทคนิคท่ีมีความซบั ซ้อน เช่น การเรียนวิชาเเพทย์ จาเป็นท่ีระบบการศึกษา จะตอ้ งมีช่วงเวลาที่ฝึกฝนนกั เรียนใหม้ ีทกั ษะน้ีมาต้งั เเตเ่ ริ่มแรก 4) ผูเ้ รียนควรไดร้ ับการฝึ ก decision making เเละ problem solving skillsเพื่อจะไดเ้ ป็ นกลไกสาคญั ในการสรุป เเละเลือกใชอ้ งคค์ วามรู้ท่ีไดใ้ หม่น้ีในอนาคตสรุป การเรียนรู้เชิงประสบการณ์หรือ Experiential Learning Model (ELM) เป็นวงจรการเรียนรู้ที่มี 4 ข้นั ตอน เริ่มตน้ ต้งั เเตก่ ารใหผ้ ูเ้ รียนฝึกปฏิบตั ิ ใหไ้ ดฝ้ ึกการ สะทอ้ นคิด ให้ฝึ กมีการสรุปหลกั การเหตุผลจนเกิดเป็ นความรู้ใหม่ของตน เเละข้นั ตอนสุดทา้ ยคือ การฝึ ก การนาเอาความรู้ใหมไ่ ปลองปฏิบตั ิอีกคร้ัง การที่ใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกฝนกระบวนการต่างๆ เหล่าน้ีบ่อยข้ึน เเละมี ความชานาญข้นึ จะเป็นประโยชนใ์ นการเรียนรู้ของผเู้ รียนตอ่ ไปในอนาคต 3. รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน (Problem-Based Learning) การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหา เป็นตวั กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนต้งั สมมติฐาน สาเหตุและกลไกของการเกิดปัญหาน้นั รวมถึงการคน้ ควา้ ความรู้ พ้ืนฐานที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา เพอ่ื นาไปสู่การแกป้ ัญหาต่อไป โดยผเู้ รียนอาจไม่มีความรู้ใน เรื่องน้นั ๆ มาก่อน แต่อาจใชค้ วามรู้ท่ีผเู้ รียนมีอยเู่ ดิมหรือเคยเรียนมา นอกจากน้ียงั มุ่งใหผ้ เู้ รียนใฝ่หาความรู้เพอ่ื แกไ้ ขปัญหา ได้ คดิ เป็น ทาเป็น มีการตดั สินใจที่ดี และสามารถเรียนรู้การทางานเป็นทีม โดยเนน้ ให้ผเู้ รียนไดเ้ กิดการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง และสามารถนาทกั ษะจากการเรียนมาช่วยแกป้ ัญหาในชีวิตการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานเป็น การเรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเร่ิมจากการไดป้ ระสบการณ์ตรงจากโจทยป์ ัญหา ผา่ นกระบวนการคิดและ การสะทอ้ นกลบั ไปสู่ความรู้และความคิดรวบยอด อนั จะนาไปใชใ้ นสถานการณ์ใหมต่ ่อไป การเรียนรู้โดย ใชป้ ัญหาเป็นฐานยงั เป็นการตอบสนองต่อแนวคิด constructivism โดยใหผ้ เู้ รียนวิเคราะห์หรือต้งั คาถามจาก โจทยป์ ัญหา ผา่ นกระบวนการคดิ และสะทอ้ นกลบั เนน้ ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งผเู้ รียนในกลุ่ม เนน้ การเรียนรู้ที่มี ส่วนร่วม นาไปสู่การคน้ ควา้ หาคาตอบหรือสร้างความรู้ใหม่ บนฐานความรู้เดิมที่ผเู้ รียนมีมาก่อนหนา้ น้ี นอกจากน้ี การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานยงั เป็นการสร้างเงื่อนไขสาคญั ท่ีส่งเสริมการเรียนรู้กล่าวคือ (1) การเรียนรู้สิ่งใหมจ่ ะไดผ้ ลดีข้ึน ถา้ ไดม้ ีการเชื่อมโยงหรือกระตนุ้ ความรู้เดิมที่ผเู้ รียนมีอยู่ (2) การเรียนรู้ เน้ือหาท่ีใกลเ้ คียงสถานการณ์จริงหรือมีประสบการณ์ตรงจากโจทยป์ ัญหาจะทาใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ไดด้ ีข้นึ (3) เน่ืองจากการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐานเป็นการเรียนกลมุ่ ยอ่ ย การไดแ้ สดงออก แสดงความคิดเห็นหรือ อภิปรายถกเถียงกนั จะทาใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจและเรียนรู้สิ่งน้นั ไดด้ ีข้นึ การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน เป็น
รูปแบบการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรคน์ ิยม (Constructivism) โดยให้ ผเู้ รียนสร้างความรู้ใหม่จากการใชป้ ัญหาที่เกิดข้ึนจริงในโลก เป็นบริบทของการเรียนรู้ เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รียนเกิด ทกั ษะในการคิดวิเคราะหแ์ ละคดิ แกป้ ัญหา รวมท้งั ไดค้ วามรู้ตามศาสตร์ในสาขาวชิ าที่ตนศึกษาไปพร้อมกนั ดว้ ย การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็ นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทางานท่ีตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจและการ แกไ้ ขปัญหาเป็นหลกั 3.1 สิ่งสาคญั ในการจดั การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็ นฐาน ส่ิงสาคญั ในการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน คือ ปัญหา เพราะปัญหาท่ีดีจะเป็นสิ่งกระตุน้ ใหผ้ ูเ้ รียน เกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาท่ีมีประสิทธิภาพผสู้ อนจะตอ้ งคานึงถึงพ้ฐื านความรู้ ความสามารถของผเู้ รียน ประสบการณ์ความสนใจและภมู ิหลงั ของผเู้ รียน เพราะคนเรามีแนวโนม้ ท่ีจะสนใจ เร่ืองใกลต้ วั มากกวา่ เร่ืองไกลตวั สนใจส่ิงท่ีมีความหมายและความสาคญั ตอ่ ตนเองและเป็นเรื่องที่ตนเอง สนใจใคร่รู้ ดงั น้นั การกาหนดปัญหาจึงตอ้ งคานึงถึงตวั ผเู้ รียนเป็นหลกั รวมถึงสภาพแวดลอ้ ม และแหลง่ เรียนรู้ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรียนท่ีเอ้ืออ อานวยตอ่ การแสวงหาความรู้ของผเู้ รียนดว้ ยการจดั การเรียนรู้ ในรูปแบบน้ีจะเนน้ การส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดล้ งมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง เผชิญหนา้ กบั ปัญหาดว้ ยตนเองเพ่ือให้ ผเู้ รียนไดฝ้ ึกทกั ษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิดวิจารณญาณ คดิ วิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์ คิดสร้างสรรค์ เป็ นตน้ 3.2 วัตถุประสงค์หรือผลลพั ธ์ทีค่ าดหวังจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน วตั ถปุ ระสงคห์ รือผลลพั ธ์ท่ีคาดหวงั จากการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ไดแ้ ก่ 3.2.1 ไดค้ วามรู้ท่ีสอดคลอ้ งกบั บริบทจริงและสามารถนาไปใชไ้ ด้ 3.2.2 พฒั นาทกั ษะการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ การใหเ้ หตุผลและนาไปสู่การแกป้ ัญหา 3.2.3 ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตวั เองอยา่ งตอ่ เนื่อง 3.2.4 ผเู้ รียนสามารถทางานและสื่อสารกบั ผอู้ ่ืนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 3.2.5 สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียน 3.2.6 ความคงอยู่ (retention) ของความรู้จะนานข้ึน 3.3 ลกั ษณะสาคัญของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน 3.3.1 ใชป้ ัญหาท่ีสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์จริงเป็นตวั กระตนุ้ การแกป้ ัญหาและ เป็นจุดเริ่มตน้ ในการแสวงหาความรู้ ปัญหาท่ีเหมาะสมกบั การนามาจดั กิจกรรมควรมีลกั ษณะ ดงั น้ี 1) เป็นเรื่องจริงเก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ประจาวนั ที่เกิดข้ึนในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ ของผเู้ รียนหรือผูเ้ รียนอาจมีโอกาสเผชิญกบั ปัญหาน้นั 2) ทา้ ทาย กระตนุ้ ความสนใจ อาจต่ืนเตน้ บา้ ง เป็นปัญหาที่ยงั ไมม่ ีคาตอบชดั เจน ตายตวั เป็นปัญหาท่ีมีความซบั ซอ้ น คลมุ เครือ หรือผเู้ รียนเกิดความสบั สน 3) เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสาคญั มีขอ้ มูลประกอบเพียงพอสาหรับการคน้ ควา้ ได้
ฝึกทกั ษะการตดั สินใจโดยขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ มูลข่าวสาร ตรรกะ เหตผุ ล และต้งั สมมติฐาน 4) เช่ือมโยงความรู้เดิมกบั ขอ้ มลู ใหม่ สอดคลอ้ งกบั เน้ือหา/แนวคิดของหลกั สูตร มีการ สร้างความรู้ใหม่ บูรณาการระหวา่ งบทเรียน นาไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ 5) ปัญหาซบั ซอ้ นท่ีก่อใหเ้ กิดการทางานกลมุ่ ร่วมกนั มีการแบง่ งานกนั ทาโดยเชื่อมโยง กนั ไม่แยกส่วน เหมาะสมกบั เวลา เกิดแรงจูงใจในการแสวงหาความรู้ใหม่ 6) ชกั จูงใหเ้ กิดการอภิปรายไดก้ วา้ งขวาง ปัญหาท่ีเป็นประเด็นขดั แยง้ ขอ้ ถกเถียงใน สังคมท่ียงั ไม่มีขอ้ ยตุ ิ เป็นปลายเปิ ด ไมม่ ีคาตอบท่ีชดั เจน มีหลายทางเลือก/หลายคาตอบสัมพนั ธก์ บั ส่ิงท่ีเคย เรียนรู้มาแลว้ มีขอ้ พิจารณาที่แตกต่าง แสดงความคดิ เห็นไดห้ ลากหลาย 7) ปัญหาท่ีสร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษภยั เป็ นสิ่งท่ีไม่ดีหากใชข้ อ้ มูลโดย ลาพงั คนเดียวอาจทาใหต้ อบปัญหาผดิ พลาด 8) ปัญหาที่มีการยอมรับวา่ จริง ถกู ตอ้ ง แตผ่ เู้ รียนไม่เชื่อจริง ไม่สอดคลอ้ งกบั ความคิด ของผเู้ รียน 9) ปัญหาที่อาจมีคาตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคาตอบไดห้ ลายทาง ครอบคลมุ การเรียนรู้ท่ีกวา้ งขวางหลากหลายเน้ือหา 10) ปัญหาที่มีความยากความงา่ ยเหมาะสมกบั พ้นื ฐานของผเู้ รียน 11) ปัญหาที่ไมส่ ามารถหาคาตอบไดท้ นั ที ตอ้ งการการสารวจ คน้ ควา้ และการรวบรวม ขอ้ มูลหรือทดลองดูก่อน ไม่สามารถท่ีจะคาดเดาหรือทานายไดง้ ่ายๆ วา่ ตอ้ งใชค้ วามรู้อะไร 12) ปัญหาท่ีส่งเสริมความรู้ดา้ นเน้ือหาทกั ษะ สอดคลอ้ งกบั หลกั สูตรการศึกษา 13) ใชส้ ื่อหลากหลายรูปแบบในการระบปุ ัญหา เช่น ขอ้ ความบรรยายรูปภาพ วีดีทศั น์ ส้ันๆ ขอ้ มูลจากผลการทดลองในหอ้ งปฏิบตั ิการ ข่าว บทความจากหนงั สือพิมพ์ วารสารสิ่งพมิ พ์ 3.3.2 บรู ณาการเน้ือหาความรู้ในสาขาตา่ งๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหาน้นั 3.3.3 เนน้ กระบวนการคิดอยา่ งมีเหตผุ ลและเป็นระบบ 3.3.4 เรียนเป็นกลุ่มยอ่ ย โดยมีครูหรือผสู้ อนเป็นผสู้ นบั สนุนและกระตนุ้ ให้ ผเู้ รียนร่วมกนั สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนในกล่มุ 3.3.5 ผเู้ รียนมีบทบาทสาคญั ในการเรียนรู้ และเรียนโดยการกากบั ตนเอง (Self-directed learning) กลา่ วคือ 1) สามารถประเมินตนเองและบง่ ช้ีความตอ้ งการได้ 2) จดั ระบบประเด็นการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเท่ียงตรง 3) รู้จกั เลือกและใชแ้ หลง่ เรียนรู้ที่เหมาะสม 4) เลือกกิจกรรมการศึกษาคน้ ควา้ แกป้ ัญหาที่ตรงประเด็น มีประสิทธิภาพ 5) บ่งช้ีขอ้ มูลท่ีไมเ่ ก่ียวขอ้ งได้ และคดั แยกออกไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 6) ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ใหม่เชิงวเิ คราะหไ์ ด้
7) รู้จกั ข้นั ตอนการประเมิน 3.4 กระบวนการจัดกจกิ รรมการรเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน ข้นั ที่ 1 กาหนดปัญหา จดั สถานการณ์ตา่ งๆ กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความสนใจ และมองเห็นปัญหา สามารถกาหนดสิ่งที่เป็นปัญหาท่ีผเู้ รียนอยากรู้ อยากเรียน เกิดความสนใจที่จะ คน้ หาคาตอบ 1) จดั กลุม่ ผเู้ รียนใหม้ ีขนาดเลก็ (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2) ใชป้ ัญหาเป็นตวั กระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ โดยลกั ษณะของปัญหาที่ นามาใช้ ควรมีลกั ษณะคลุมเครือไม่ชดั เจน มีวิธีแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งหลากหลาย อาจมีคาตอบไดห้ ลาย คาตอบ โดยคานึงถึงการเช่ือมโยงความรู้ใหม่เขา้ กบั ความรู้เดิม ความซบั ซอ้ นของปัญหาจากงา่ ยไปสู่ยาก ระดบั และประสบการณ์ผเู้ รียน เวลาท่ีกาหนดให้ผเู้ รียนใชด้ าเนินการ และแหล่งคน้ ควา้ ขอ้ มลู ข้นั ที่ 2 ทาความเขา้ ใจกบั ปัญหา ปัญหาที่ตอ้ งการเรียนรู้ ตอ้ งสามารถอธิบายสิ่ง ตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาได้ 3) ผเู้ รียนทาความเขา้ ใจหรือทาความกระจ่างในคาศพั ทท์ ี่อยใู่ นโจทยป์ ัญหาน้นั เพ่อื ให้ เขา้ ใจตรงกนั 4) ผเู้ รียนจบั ประเด็นขอ้ มลู ท่ีสาคญั หรือระบุปัญหาในโจทย์ วเิ คราะหห์ าขอ้ มลู ท่ีเป็น ขอ้ เทจ็ จริง ความจริงท่ีปรากฏในโจทย์ แยกแยะขอ้ มูลระหวา่ งขอ้ เท็จจริงกบั ขอ้ คิดเห็น จบั ประเด็นปัญหา ออกเป็นประเดน็ ยอ่ ย 5) ผเู้ รียนระดมสมองเพอื่ วิเคราะห์ปัญหา อภิปราย แตล่ ะประเดน็ ปัญหาวา่ เป็นอยา่ งไร เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ความเป็นมาอยา่ งไร โดยอาศยั พ้นื ความรู้เดิมเทา่ ท่ีผเู้ รียนมีอยู่ 6) ผเู้ รียนร่วมกนั ต้งั สมมติฐานเพอื่ หาคาตอบปัญหาประเด็นตา่ งๆ พร้อมจดั ลาดบั ความสาคญั ของสมมติฐานที่เป็นไปไดอ้ ยา่ งมีเหตุผล 7) จากสมมติฐานที่ต้งั ข้นึ ผเู้ รียนจะประเมินวา่ มีความรู้เรื่องอะไรบา้ ง มีเรื่องอะไรท่ียงั ไม่รู้หรือขาดความรู้ และความรู้อะไรจาเป็นท่ีจะตอ้ งใชเ้ พื่อพสิ ูจน์สมมติฐาน ซ่ึงเชื่อมโยงกบั โจทยป์ ัญหาท่ี ได้ ข้นั ตอนน้ีกล่มุ จะกาหนดประเด็นการเรียนรู้ หรือวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ เพือ่ จะไปคน้ ควา้ หาขอ้ มลู ตอ่ ไป ข้นั ที่ 3 ดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ ผเู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองดว้ ยวิธีการ หลากหลาย 8) ผเู้ รียนคน้ ควา้ หาขอ้ มลู และศึกษาเพมิ่ เติมจากทรัพยากรการเรียนรู้ ต่างๆ เช่น หนงั สือ ตารา วารสาร สื่อการเรียนการสอนตา่ งๆ การศึกษาในหอ้ งปฏิบตั ิการ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน อินเทอร์เนต็ หรือปรึกษาผรู้ ู้ในเน้ือหาเฉพาะ เป็นตน้ พร้อมท้งั ประเมินความถกู ตอ้ งโดย - ประเมินแหล่งขอ้ มลู ความถกู ตอ้ ง เชื่อถือไดข้ องขอ้ มลู - เลือกนาความรู้ท่ีเก่ียวขอ้ งมาเช่ือมโยงวา่ ตรงประเดน็ เพียงพอท่ีจะแกป้ ัญหา
อยา่ งไร - หาประเด็นความรู้เพ่ิมเติม ถา้ จาเป็น - สรุป เตรียมสื่อ เลือกวิธีนาเสนอผลงาน ข้นั ท่ี 4 สังเคราะห์ความรู้ ผเู้ รียนนาความรู้ท่ีไดค้ น้ ควา้ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกนั 9) ผเู้ รียนนาขอ้ มลู หรือความรู้ท่ีไดม้ าสงั เคราะห์ อธิบาย พิสูจน์ สมมติฐานและประยกุ ตใ์ หเ้ หมาะสมกบั โจทยป์ ัญหา พร้อมสรุปเป็นแนวคิดหรือหลกั การทวั่ ไปโดย - นาเสนอผลงานกลุ่มดว้ ยสื่อหลากหลาย - สะทอ้ นความคิด ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั อภิปราย ทาความเขา้ ใจ แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหวา่ งกลมุ่ ถึงกระบวนการเรียนรู้ การแกป้ ัญหา การ เชื่อมโยง การสร้าง องคค์ วามรู้ใหม่ - สรุปภาพรวมเป็นความรู้ทว่ั ไป ข้นั ท่ี 5 สรุปและประเมินค่าหาคาตอบ 10) ผเู้ รียนแต่ละกลุ่ม สรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงาน วา่ ขอ้ มูลท่ีศึกษาคน้ ควา้ มีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคดิ ภายในกลุ่มของ ตนเองอยา่ งอิสระ ทุกกลุ่มช่วยกนั สรุปองคค์ วามรู้ ในภาพรวมของปัญหาอีกคร้ัง 11) ประเมินผลจากสภาพจริง โดยดูจากความสามารถในการปฏิบตั ิ 3.5 บทบาทของครูในการจัดกจกิ รรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็ นฐาน 3.5.1 ทาหนา้ ท่ีเป็นผอู้ านวยความสะดวก หรือผใู้ หค้ าปรึกษาแนะนา 3.5.2 เป็นผกู้ ระตุน้ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ มิไดเ้ ป็นผถู้ ่ายทอดความรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียนโดยตรง 3.5.3 ใชท้ กั ษะการต้งั คาถามท่ีเหมาะสม 3.5.4 กระตุน้ และส่งเสริมกระบวนการกล่มุ ใหก้ ลุ่มดาเนินการตามข้นั ตอนของ การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 3.5.5 สนบั สนุนการเรียนรู้ของผเู้ รียนและเนน้ ใหผ้ เู้ รียนตระหนกั วา่ การเรียนรู้ เป็นความรับผิดชอบของผเู้ รียน 3.5.6 กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนเอาความรู้เดิมท่ีมีอยมู่ าใชอ้ ภิปรายหรือแสดงความคดิ เห็น3.5.7 สนบั สนุนใหก้ ลุ่มสามารถต้งั ประเดน็ หรือวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้/แกป้ ัญหาไดส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ ของกิจกรรมที่ครูกาหนด 3.5.8 หลีกเล่ียงการแสดงความคิดเห็นหรือตดั สินวา่ ถกู หรือผดิ 3.5.9 ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง รวมท้งั เป็นผปู้ ระเมินทกั ษะของ
ผเู้ รียนและกล่มุ พร้อมการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั แผนภาพท่ี 11 ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน
4. รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็ นฐาน (Project-Based Learning) การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) หมายถึง การเรียนรู้ท่ีจดั ประสบการณ์ ในการปฏิบตั ิงานให้แก่ผูเ้ รียนเหมือนกบั การทางานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพ่ือเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดม้ ี ประสบการณ์ตรง ไดเ้ รียนรู้วิธีการแกป้ ัญหา วิธีการหาความรู้ความจริงอยา่ งมีเหตุผล ไดท้ าการทดลอง ได้ พิสูจนส์ ่ิงตา่ งๆ ดว้ ยตนเอง รู้จกั การวางแผนการทางาน ฝึกการเป็นผนู้ าผตู้ าม ตลอดจนไดพ้ ฒั นากระบวนการ คิด โดยเฉพาะการคิดข้นั สูง และการประเมินตนเอง โดยมีครูเป็ นผูก้ ระตุน้ เพื่อนาความสนใจที่เกิดจากตวั ผเู้ รียนมาใชใ้ นการทากิจกรรมคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตวั เอง นาไปสู่การเพิ่มความรู้ท่ีไดจ้ ากการลงมือปฏิบตั ิ การฟัง และการสังเกตจากผรู้ ู้ โดยผเู้ รียนมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางานเป็ นกลุ่มท่ีจะนามาสู่การสรุป ความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจดั ทาโครงงานและได้ผลการจดั กิจกรรมเป็ นผลงานแบบรูปธรรม นอกจากน้ีการจดั การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ยงั เนน้ การเรียนรู้ท่ีให้ผูเ้ รียนไดร้ ับประสบการณ์ชีวิต ขณะที่เรียน ไดพ้ ฒั นาทกั ษะต่างๆ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั พฒั นาการตามลาดบั ข้นั ความรู้ความคิดของบลูมท้งั 6 ข้นั คือ ความรู้ความจา ความเขา้ ใจ การประยกุ ตใ์ ช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินคา่ และการคิด สร้างสรรค์ การจดั การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ถือไดว้ า่ เป็น การจดั การเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั เน่ืองจากผูเ้ รียนได้ลงมือปฏิบตั ิเพื่อฝึ กทกั ษะต่างๆ ด้วยตนเองทุกข้นั ตอน โดยมีครูเป็ นผูใ้ ห้การส่งเสริม สนบั สนุน 4.1 ลกั ษณะสำคญั ของกำรจดั กำรเรียนร้โู ดยใช้โครงงำนเป็นฐำน 4.1.1 ยดึ หลกั การจดั การเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั ทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี น ไดท้ างานตามระดบั ทกั ษะทต่ี นเองมอี ยู่ 4.1.2 เป็นรปู แบบหน่งึ ของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ เ่ี น้นบทบาทและการมี สว่ นรว่ มของผเู้ รยี น (Active Learning) 4.1.3 เป็นเรอ่ื งทผ่ี เู้ รยี นสนใจและรสู้ กึ สบายใจทจ่ี ะทา 4.1.4 ผเู้ รยี นไดร้ บั สทิ ธใิ นการเลอื กว่าจะตงั้ คาถามอะไร และตอ้ งการผลผลติ อะไรจากการทาโครงงาน 4.1.5 ครทู าหน้าทเ่ี ป็นผสู้ นบั สนุนอปุ กรณ์และจดั ประสบการณ์ใหแ้ ก่ผเู้ รยี น สนบั สนุนการแกไ้ ขปัญหาและสรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ ก่ผเู้ รยี น 4.1.6 ผเู้ รยี นกาาหนดการเรยี นรขู้ องตนเอง 4.1.7 เชอ่ื มโยงกบั ชวี ติ จรงิ สงิ่ แวดลอ้ มจรงิ 4.1.8 มฐี านจากการวจิ ยั ศกึ ษา คน้ ควา้ หรอื องคค์ วามรทู้ เ่ี คยมี 4.1.9 ใชแ้ หล่งขอ้ มลู หลายแหล่ง 4.1.10 ฝังตรงึ ดว้ ยความรแู้ ละทกั ษะตา่ งๆ 4.1.11 สามารถใชเ้ วลามากพอเพยี งในการสรา้ งผลงาน 4.1.12 มผี ลผลติ
4.2 ประเภทของโครงงำน โครงงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น อาจจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทหลกั ๆ คอื โครงงานทแ่ี บง่ ตามระดบั การใหค้ าปรกึ ษาของครู และโครงงานทแ่ี บง่ ตามลกั ษณะ กจิ กรรม ดงั น้ี 4.2.1 โครงงานที่แบง่ ตามระดบั การใหค้ าปรึกษาของครูหรือระดบั การมีบทบาท ของผเู้ รียน 1) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project) แผนภาพท่ี 12 โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project)
2) โครงงานประเภทครูลดการนาทาง - เพิม่ บทบาทผเู้ รียน (Less – guided Project) แผนภาพท่ี 13 โครงงานประเภทครูลดการนาทาง - เพมิ่ บทบาทผเู้ รียน (Less – guided Project)
3) โครงงานประเภทผเู้ รียนนาเอง ครูไม่ตอ้ งนาทาง (Unguided Project) แผนภาพท่ี 14 โครงงานประเภทผเู้ รียนนาเอง ครูไม่ตอ้ งนาทาง (Unguided Project) 4.2.2 โครงงานที่แบง่ ตามลกั ษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชิงสารวจ (Survey Project) ลกั ษณะกิจกรรมคือ ผเู้ รียนสารวจและรวบรวมขอ้ มลู แลว้ นาขอ้ มลู เหล่าน้นั มาจาแนกเป็นหมวดหมู่ และนาเสนอในรูปแบบตา่ งๆเพอื่ ใหเ้ ห็นลกั ษณะหรือ ความสมั พนั ธใ์ นเรื่องที่ตอ้ งการศึกษาไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้นึ 2) โครงงานเชิงการทดลอง (Experiential Project) ข้นั ตอนการดาเนินงาน ของโครงงานประเภทน้ีจะประกอบดว้ ย การกาหนดปัญหา การกาหนดจุดประสงค์ การต้งั สมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดาเนินการทดลอง การรวบรวมขอ้ มลู การตีความหมายขอ้ มูล และการสรุป
3) โครงงานเชิงพฒั นาสร้างสิ่งประดิษฐแ์ บบจาลอง (Development Project) เป็นโครงงานเก่ียวกบั การประยกุ ตอ์ งคค์ วามรู้ ทฤษฎี หรือหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์หรือศาสตร์ดา้ นอื่นๆ มาพฒั นา สร้าง ส่ิงประดิษฐ์ เครื่องมือ เคร่ืองใช้ อุปกรณ์ แบบจาลอง เพ่ือประโยชน์ใชส้ อยตา่ งๆ ซ่ึงอาจจะเป็นส่ิงประดิษฐ์ ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยแู่ ลว้ ใหม้ ีประสิทธิภาพสูงข้นึ ก็ไดอ้ าจจะเป็นดา้ นสังคม หรือ ดา้ นวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจาลองเพ่ืออธิบายแนวคดิ ตา่ งๆ 4) โครงงานเชิงแนวคิดทฤษฎี (Theoretical Project) เป็ นโครงงานนาเสนอทฤษฎี หลกั การ หรือ แนวคิดใหม่ๆ ซ่ึงอาจจะอยู่ในรูปของสูตรสมการหรือคาอธิบายก็ได้ โดยผูเ้ สนอไดต้ ้งั กติกาหรือขอ้ ตกลง ข้ึนมาเอง แลว้ นาเสนอทฤษฎี หลกั การ หรือแนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือขอ้ ตกลงน้ัน หรืออาจจะใช้กติกาหรือขอ้ ตกลงเดิมมาอธิบายก็ได้ ผลการอธิบายอาจจะใหม่ยงั ไม่มีใครคิดมาก่อน หรือ อาจจะขดั แยง้ กบั ทฤษฎีเดิม หรืออาจจะเป็นการขยายทฤษฎีหรือแนวคิดเดิม ก็ได้ การทาโครงงานประเภทน้ี ตอ้ งมีการศึกษาคน้ ควา้ พ้ืนฐานความรู้ในเรื่องน้นั ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง 5) โครงงานดา้ นบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสงั คม(Community Service and Social Justice Project) เป็ นโครงงานท่ีมุ่งให้ผูเ้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ประเด็นที่เป็ นปัญหา ความตอ้ งการในชุมชน ทอ้ งถิ่นและดาเนินกิจกรรมเพื่อการให้บริการทางสังคม หรือร่วมกบั ชุมชน องค์กรอื่นๆ ในการแกป้ ัญหา หรือพฒั นาในเรื่องน้นั ๆ 6) โครงงานดา้ นศิลปะและการแสดง (Art and Performance Project)เป็ นโครงงานท่ีมุ่งส่งเสริมให้ ผเู้ รียนศึกษา คน้ ควา้ นาความรู้ที่ไดจ้ ากการเรียนตามหลกั สูตร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ดา้ นภาษาและสังคม มาต่อ ยอด สร้างผลงานดา้ นศิลปะและการแสดง เช่น งานศิลปกรรมประติมากรรม หนงั สือการ์ตูน การแต่งเพลง ดนตรี แสดงคอนเสิร์ต การแสดงละคร การสร้างภาพยนตร์ส้ัน 7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรียนรู้ เป็นโครงงานที่มงุ่ ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนบูรณาการเช่ือมโยงความรู้ จากต่างสาระการเรียนรู้ต้งั แต่สองสาขาวิชาข้ึนไป มาด ดาเนินการแก้ปัญหาหรือสร้างประเด็นการศึกษา คน้ ควา้ ท้งั ในแง่มิติเชิงประวตั ิศาสตร์ ทกั ษะการประกอบอาชีพขา้ มสาขาวิชา การแกป้ ัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม ท่ีตอ้ งนาความรู้ตา่ งสาขามาประยกุ ตใ์ ช้ การคดิ คน้ สร้างนวตั กรรมจากการ บูรณาการความรู้ ฯลฯ 4.3 กระบวนการและข้ันตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็ นฐาน การจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็ นฐาน มีกระบวนการและข้นั ตอนแตกต่างกนั ไปตามแต่ละ ทฤษฎี ในท่ีน้ี ขอนาเสนอแนวคิดการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็ นงาน ที่เหมาะสมกบั บริบทการจดั การศึกษาของไทย คือ แนวคิดท่ี 1 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน ของส สานักงานเลขาธิการสภา การศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) แนวคิดที่ 2 การจดั การเรียนรู้ตามโมเดลจกั รยานแห่งการเรียนรู้ แบบ PBL ของนายแพทยว์ ิจารณ์ พาณิช (2555) และแนวคิดท่ี 3 การจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ที่ไดจ้ ากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21
ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียนไทย ของดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557) มีรายละเอียด ดงั น้ี แนวคิดท่ี 1 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ของสานักงานเลขาธิการสภา การศึกษาและ กระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงไดน้ าเสนอข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ข้นั ตอนดงั น้ี แผนภาพที่ 15 ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงานของสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ ข้นั ตอนท่ี 1 ข้นั นาเสนอ หมายถึง ข้นั ที่ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนศึกษาใบความรู้ กาหนด สถานการณ์ศึกษา สถานการณ์เลน่ เกม ดูรูปภาพ หรือผสู้ อนใชเ้ ทคนิคการต้งั คาถามเกี่ยวกบั สาระการ เรียนรู้ท่ีกาหนดในแผนการจดั การเรียนรู้แตล่ ะแผน เช่น สาระการเรียนรู้ตามหลกั สูตรและสาระการ เรียนรู้ที่เป็นข้นั ตอนของโครงงานเพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการวางแผนการเรียนรู้ ข้นั ตอนที่ 2 ข้นั วางแผน หมายถึง ข้นั ที่ผเู้ รียนร่วมกนั วางแผน โดยการระดม ความคดิ อภิปรายหารือขอ้ สรุปของกลมุ่ เพื่อใชเ้ ป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ ข้นั ตอนที่ 3 ข้นั ปฏิบตั ิ หมายถึง ข้นั ท่ีผเู้ รียนปฏิบตั ิกิจกรรม เขยี นสรุปรายงานผล ท่ีเกิดข้ึนจากการวางแผนร่วมกนั ข้นั ตอนที่ 4 ข้นั ประเมินผล หมายถึง ข้นั การวดั และประเมินผลตามสภาพจริง โดยใหบ้ รรลจุ ุดประสงคก์ ารเรียนรู้ที่กาหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้ โดยมีผสู้ อน ผเู้ รียน และเพ่อื น ร่วมกนั ประเมิน แนวคดิ ที่ 2 การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของวิจารณ์ พาณิช (2555 : 71-75) ซ่ึงแนวคดิ น้ี มีความเช่ือวา่ หากตอ้ งการใหก้ ารเรียนรู้มีพลงั และ ฝังในตวั ผเู้ รียนได้ ตอ้ งเป็นการเรียนรู้โดยการลงมือทาเป็นโครงการ (Project) ร่วมมือกนั ทาเป็นทีม และทา กบั ปัญหาท่ีมีอยใู่ นชีวิตจริง ซ่ึงส่วนของวงลอ้ มี 5 ส่วน ประกอบดว้ ย Define Plan Do Review และ Presentation ดงั รูป
แผนภาพท่ี 16 โมเดลจกั รยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL 1. Define คือ ข้นั ตอนการระบุปัญหา ขอบข่าย ประเด็นที่จะทาโครงงาน เป็นการสร้างความเขา้ ใจ ระหว่างสมาชิกของทีมงานร่วมกบั ครู เก่ียวกบั คาถาม ปัญหา ประเด็น ความทา้ ทายของโครงงานคืออะไร และเพ่ือใหเ้ กิดการเรียนรู้อะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทาโครงงาน ครูก็ตอ้ งวางแผนในการทาหนา้ ที่โคช้ รวมท้งั เตรียมเครื่อง อานวยความสะดวกในการทาโครงงานของผูเ้ รียน เตรียมคาถามเพื่อกระตุน้ ให้คิดถึงประเด็นสาคญั บาง ประเด็นที่ผูเ้ รียนอาจมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูตอ้ งไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาสคิดเอง แกป้ ัญหาเอง ผูเ้ รียนที่เป็ นทีมงานก็ตอ้ งวางแผนงานของตน แบ่งหนา้ ท่ีกนั รับผิดชอบ การประชุมพบปะ ระหวา่ งทีมงาน การแลกเปล่ียนขอ้ คน้ พบแลกเปล่ียนคาถาม แลกเปล่ียนวิธีการ ย่ิงทาความเขา้ ใจร่วมกนั ไว้ ชดั เจนเพยี งใด งานในข้นั ต่อไป (Do) ก็จะสะดวกเลื่อนไหลดีเพียงน้นั 3. Do คือ การลงมือทา ผูเ้ รียนจะไดเ้ รียนรู้ทกั ษะในการแกป้ ัญหา การประสานงาน การทางาน ร่วมกนั เป็ นทีม การจดั การความขดั แยง้ ทกั ษะในการทางานภายใตท้ รัพยากรจากดั ทกั ษะในการคน้ หา ความรู้เพิ่มเติม ทกั ษะในการทางานในสภาพท่ีทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทกั ษะการทางานในสภาพ กดดนั ทกั ษะการบนั ทึกผลงาน ทกั ษะในการวิเคราะห์ผล และแลกเปล่ียนขอ้ วิเคราะห์กบั เพือ่ นร่วมทีม เป็น ตน้ ในข้นั ตอน Do น้ี ครูจะไดม้ ีโอกาสสังเกต ทาความรู้จกั และเขา้ ใจผูเ้ รียนเป็นรายคน และเรียนรู้หรือฝึ กทา หนา้ ท่ีเป็นผดู้ ูแล สนบั สนุน กากบั และโคช้ ดว้ ย 4. Review คอื ผเู้ รียนจะทบทวนการเรียนรู้ วา่ โครงงานไดผ้ ลตามความมุ่งหมาย หรือไม่ รวมถึงทบทวนวา่ งานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแตล่ ะข้นั ตอนไดใ้ หบ้ ทเรียนอะไรบา้ ง ท้งั ข้นั ตอนท่ีเป็นความสาเร็จและความลม้ เหลว เพื่อนามาทาความเขา้ ใจ และกาหนดวิธีทางานใหม่ท่ี
ถกู ตอ้ งเหมาะสม รวมท้งั เอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ท่ีภาคภมู ิใจ ประทบั ใจ มาแลกเปล่ียน เรียนรู้กนั ข้นั ตอนน้ีเป็นการเรียนรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือ เรียกวา่ AAR (After Action Review) 5. Presentation ผเู้ รียนนาเสนอโครงงานต่อช้นั เรียน เป็นข้นั ตอนท่ีใหก้ ารเรียนรู้ ทกั ษะอีกชุดหน่ึงต่อเนื่องกบั ข้นั ตอน Review เป็นข้นั ตอนท่ีทาใหเ้ กิดการทบทวนข้นั ตอนของงานและ การเรียนรู้ที่เกิดข้ึนอยา่ งเขม้ ขน้ แลว้ เอามานาเสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ใหอ้ ารมณ์และใหค้ วามรู้ ทีมงาน อาจสร้างนวตั กรรมในการนาเสนอก็ได้ โดยอาจเขยี นเป็นรายงาน และนาเสนอเป็นการรายงานหนา้ ช้นั มีส่ือประกอบ หรือจดั ทาวีดิทศั น์หรือนาเสนอเป็นละคร เป็นตน้ แนวคิดท่ี 3 การจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ที่ไดจ้ ากโครงการสร้างชุด ความรู้เพ่อื สร้างเสริมทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี21 ของเดก็ และเยาวชน: จากประสบการณ์ความสาเร็จของ โรงเรียนไทย ของดุษฎีโยเหลา และคณะ (2557) มี 6 ข้นั ตอน ดงั น้ี แผนภาพท่ี 17 ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 1. ข้นั ใหค้ วามรู้พ้ืนฐาน ครูใหค้ วามรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกบั การทาโครงงานก่อนการ เรียนรู้ เน่ืองจากการทาโครงงานมีรูปแบบและข้นั ตอนท่ีชดั เจนและรัดกมุ ดงั น้นั ผเู้ รียนจึงมีความจาเป็น อยา่ งยงิ่ ท่ีจะตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั โครงงานไวเ้ ป็นพ้ืนฐาน เพ่ือใชใ้ นการปฏิบตั ิขณะทางานโครงงานจริง ในข้นั แสวงหาความรู้
2. ข้นั กระตุน้ ความสนใจ ครูเตรียมกิจกรรมที่จะกระตุน้ ความสนใจของผูเ้ รียนโดยต้องคิดหรือ เตรียมกิจกรรมท่ีดึงดูดให้ผูเ้ รียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทาโครงงานหรือกิจกรรมร่วมกนั โดยกิจกรรมน้นั อาจเป็ นกิจกรรมท่ีครูกาหนดข้ึน หรืออาจเป็นกิจกรรมท่ีผเู้ รียนมีความสนใจตอ้ งการจะทา อยู่แลว้ ท้งั น้ีในการกระตุน้ ของครูจะตอ้ งเปิ ดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนเสนอจากกิจกรรมที่ไดเ้ รียนรู้ผ่านการจดั การ เรียนรู้ของครูท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชุมชนท่ีผเู้ รียนอาศยั อยหู่ รือเป็นเร่ืองใกลต้ วั ที่สามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง 3. ข้นั จดั กลุ่มร่วมมือ ครูใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่มกนั แสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการกลุ่มในการวางแผน ดาเนินกิจกรรม โดยนกั เรียนเป็นผรู้ ่วมกนั วางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง โดยระดมความคิดและหารือ แบ่งหนา้ ท่ีเพื่อเป็นแนวทางปฏิบตั ิร่วมกนั หลงั จากท่ีไดท้ ราบหวั ขอ้ ส่ิงท่ีตนเองตอ้ งเรียนรู้ในภาคเรียนน้นั ๆ เรียบร้อยแลว้ 4. ข้นั แสวงหาความรู้ ในข้นั แสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบตั ิสาหรับผเู้ รียนในการทากิจกรรม ดงั น้ี 4.1 นกั เรียนลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมโครงงานตามหวั ขอ้ ท่ีกลมุ่ สนใจผเู้ รียนปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของ ตนตามขอ้ ตกลงของกลุ่ม พร้อมท้งั ร่วมมือกนั ปฏิบตั ิกิจกรรม โดยขอคาปรึกษาจากครูเป็ นระยะ เมื่อมีขอ้ สงสยั หรือปัญหาเกิดข้ึน 4.2 ผเู้ รียนร่วมกนั เขียนรูปเล่ม สรุปรายงานจากโครงงานท่ีตนปฏิบตั ิ 5. ข้นั สรุปสิ่งท่ีเรียนรู้ ครูให้ผูเ้ รียนสรุปสิ่งที่เรียนรู้จากการทากิจกรรม โดยครูใชค้ าถามถามผูเ้ รียน นาไปสู่การสรุปสิ่งที่เรียนรู้ 6. ข้นั นาเสนอผลงาน ครูใหผ้ ูเ้ รียนนาเสนอผลการเรียนรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรม หรือจดั เวลาให้ ผูเ้ รียนไดเ้ สนอสิ่งที่ตนเองไดเ้ รียนรู้ เพ่ือให้เพื่อนร่วมช้นั และผูเ้ รียนอ่ืนๆ ในโรงเรียนได้ชมผลงานและ เรียนรู้กิจกรรมท่ีผเู้ รียนปฏิบตั ิในการทาโครงงานการประเมินผล 1. ประเมินตามสภาพจริง โดยผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั ประเมินผลวา่ กิจกรรมที่ทาไปน้นั บรรลุตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนดไวห้ รือไม่ อยา่ งไร ปัญหาและอุปสรรคท่ีพบคืออะไรบา้ ง ไดใ้ ชว้ ิธีการแกไ้ ข อยา่ งไร ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ งจากการทาโครงงานน้นั ๆ 2. ประเมินโดยผเู้ กี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ ผเู้ รียนประเมินตนเอง เพอ่ื นช่วยประเมิน ผสู้ อน หรือครูที่ปรึกษาประเมิน ผปู้ กครองประเมิน บคุ คลอ่ืนๆ ที่สนใจและมีส่วนเก่ียวขอ้ ง 4. แนวคดิ เกย่ี วกบั แผนการจดั การเรียนรู้ 4.1 ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ เดิมเรียกว่า แผนการสอน เมื่อระบบการศึกษาไทยให้ความสาคญั กบั การ จดั การเรียนรู้โดยเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั แผนการสอนจึงเปลี่ยนคาเรียกเป็นแผนการจดั การเรียนรู้ กรมวิชาการ (2545) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรี ยนรู้ คือ การนาวิชาหรื อกลุ่ม ประสบการณ์ท่ีตอ้ งทาการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน การใชส้ ื่อ อุปกรณ์ การวดั ประเมินผลสาหรับเน้ือหาสาระและจุดประสงค์การเรียนการสอนย่อย ๆ ให้ตรงกับ
วตั ถุประสงคห์ รือจุดเนน้ ของหลกั สูตร สภาพผเู้ รียน ความพร้อมของโรงเรียน ในดา้ นวสั ดุอุปกรณ์และตรง กบั ชีวติ จริง ซ่ึงถา้ กล่าวอีกนยั แผนการจดั การเรียนรู้ คือการเตรียมการสอนเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรไวล้ ่วงหนา้ สถาบนั พฒั นาความกา้ วหน้า (2545) ไดใ้ ห้ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ว่า เป็ นแผนงาน หรือโครงการที่ผสู้ อนไดเ้ ตรียมการจดั การเรียนรู้ไวล้ ว่ งหนา้ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเพ่ือ ใชป้ ฏิบตั ิการเรียนรู้ใน รายวิชาใดวิชาหน่ึงอย่างเป็ นระบบระเบียบโดยใช้เป็ นเครื่องมือสาหรับจดั การเรียนรู้เพื่อนาผูเ้ รียนไปสู่ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้และจุดหมายของหลกั สูตรอยา่ งมีประสิทธิภาพ กฤษดา บญุ หม่ืน (2555) แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง แนวการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่กาหนดให้ ผูส้ อนปฏิบตั ิตามข้นั ตอนการจดั กิจกรรม ซ่ึงกาหนดรายละเอียดการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เป็ นลายลกั ษณ์ อกั ษร เพ่อื ใหผ้ สู้ อนสามารถนาไปปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการจดั การเรียนรู้ สรุปไดว้ า่ แผนการจดั การเรียนรู้ คือ การวางแผนการจดั กิจกรรมเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรไวล้ ่วงหน้า อยา่ งละเอียด เพ่ือเป็นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงมีเน้ือหากิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน และวิธีวดั ผลประเมินผลกาหนดชดั เจน เป็นเคร่ืองมือสาคญั ท่ีจะนาผเู้ รียนไปสู่จุดประสงคก์ าร เรียนรู้และจุดหมายตามหลกั สูตรอยา่ งมีประสิทธิภาพ 4.2 องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ 1) ส่วนหัวของแผน ประกอบด้วย ชื่อแผนการจดั การเรียนรู้ ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ช่ือเร่ืองของ แผนการจดั การเรียนรู้ ช้นั ท่ีสอน และจานวนคาบท่ีใชใ้ นการสอน 2) สาระสาคญั เป็ นการบรรยายกรอบความคิดหลกั ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของแผนตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยผูส้ อนไดร้ ะบุความคิดรวบยอด ของเน้ือหาท่ีเรียน ทกั ษะหรือกระบวนการทาง ภาษาท่ีฝึกและคณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงคท์ ี่เกิดข้นึ จากการปฏิบตั ิภาระงานตามตวั ช้ีวดั 3) ตวั ช้ีวดั การออกแบบกิจกรรมเป็นการออกแบบท่ีอิงมาตรฐานและตวั ช้ีวดั ตามหลกั สูตร 4) สาระการเรียนรู้ เป็ นสาระการเรียนรู้ที่ระบุไวใ้ นตวั ช้ีวดั และเป็ นสาระการเรียนรู้ท่ีผูเ้ รียนต้อง เรียนในแผนการจดั การเรียนรู้น้นั ๆ 5) จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ในแผนการจดั การเรียนรู้ที่อิงมาตรฐานตอ้ งกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ที่มาจากการวเิ คราะห์มาตรฐานและตวั ช้ีวดั ที่กาหนดตามตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร 6) ภาระงาน เมื่อมีจุดประสงค์การเรียนรู้ ผูส้ อนตอ้ งกาหนดภาระงาน เพ่ือใช้เป็ นหลกั ฐานหรือ ร่องรอยการเรียนรู้ของผูเ้ รียนว่าอยู่ในระดบั ใด ดงั น้นั ภาระงานจึงเป็ นภาระงาน หรือชิ้นงานท่ีเกิดจากการ เรียนรู้ของผเู้ รียนในแต่ละจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 7) การวดั ประเมินผล การวดั ประเมินผลการเรียนรู้ไดร้ ับการออกแบบให้สอดคลอ้ งและเหมาะสม กบั ภาระงานท่ีกาหนด เช่น ภาระงานดา้ นการอา่ น วดั ประเมินผลจากหลกั ฐานผเู้ รียนสร้างไวจ้ ากการอ่านบท อ่านประเภทต่าง ๆ เป็ นตน้ สาหรับคุณลกั ษณะที่พึงประสงคบ์ างประการจาเป็ นตอ้ งอาศยั การสังเกตจาก พฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมในช้นั เรียน ซ่ึงแสดงออกให้เห็นถึงคุณลกั ษณะน้นั ๆ เช่น คุณลกั ษณะของ
การรักการอ่าน ผูเ้ รียนมกั แสดงออกด้วยความมุ่งมน่ั ในการอ่านเพื่อท่ีจะเขา้ ใจ บทอ่านและเรียนรู้ที่จะ ถ่ายทอดความรู้ท่ีได้ 8) ส่ือและอุปกรณ์การจดั การเรียนรู้ แบบมุ่งเนน้ ภาระงาน สื่อและอุปกรณ์เป็นส่ิง สาคญั ท่ีจะช่วยให้ ผเู้ รียนเรียนรู้ภาษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 9) กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ตอ้ งเป็นไปตามข้นั ตอนของเทคนิควิธีการสอนท่ีเลือกและ ควรเป็นกิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และตวั ช้ีวดั ที่กาหนด 10) เกณฑก์ ารประเมินความกา้ วหนา้ ในการเรียน เป็นเกณฑท์ ี่ผสู้ อนสร้างข้ึน เพอ่ื วดั ประเมินผลการ เรียนตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ดงั น้นั จึงควรสร้างใหม้ ีความเหมาะสมกบั สิ่งที่ ตอ้ งการวดั และสอดคลอ้ งกบั เร่ืองท่ีสอน ผลการวดั และประเมินผลทวั่ ไปแบ่งระดบั คุณภาพ ออกเป็ น 5 ระดบั คือ ระดบั 4 3 2 1 และ 0 การแปลความหมาย คอื ดีมาก ดี ปานกลาง พอใช้ และ ปรับปรุง 11) ขอ้ เสนอแนะ เป็นหวั ขอ้ ท่ีกาหนดไวส้ าหรับการเสนอทางเลือกหรือแนวทางอ่ืน ๆ ในการปฏิบตั ิ ภาระงาน เช่น ในการปฏิบตั ิภาระงานเขยี นประโยคตอ่ เน่ืองเกี่ยวกบั บา้ นในฝันของ ตนเอง ผเู้ รียนอาจวาดรูป บา้ นในฝันของตนเองในกระดาษ A4 หรือสมุดการบา้ นก็ได้ หรือผเู้ รียนอาจตดั ภาพบา้ นท่ีชอบจากสื่อท่ีมีอยู่ จริงมาเขยี นอธิบายบา้ นในฝันของตนเองก็ได้ 12) บนั ทึกหลงั สอน เป็นหัวขอ้ ท่ีใชเ้ ป็นขอ้ มูลสารสนเทศท่ีสาคญั ในการปรับปรุง แผนการจดั การ เรียนรู้ เนื่องจากผูส้ อนตอ้ งบนั ทึกเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในห้องเรียนว่าเป็ นอย่างไร ผูส้ อนไดใ้ ห้ตวั ป้อนเขา้ (Input) อะไร และผลออกมาเป็นอย่างไร ผเู้ รียนผา่ นเกณฑท์ ่ีกาหนดหรือไม่มีอุปสรรคหรือปัจจยั ใดท่ีส่งผล ตอ่ การเรียนของผเู้ รียน สรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนประกอบ ได้แก่ ส่วนหัวของแผน สาระสาคัญ ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ ภาระงาน การวดั ประเมินผล ส่ืออุปกรณ์ กิจกรรมการเรียนรู้ เกณฑก์ ารประเมิน ขอ้ เสนอแนะ และบนั ทึกหลงั การสอน 4.3 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ หากผูส้ อนจดั ทาแผนการสอนและใช้แผนการสอนที่จดั ทาข้ึน เพ่ือนาไปใช้สอนในคราวต่อไป แผนการสอนดงั กล่าวจะเกิดประโยชน์ ดงั น้ี (สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2544:134) 1) ผสู้ อนรู้วตั ถุประสงคข์ องการสอน 2) ผสู้ อนจดั กิจกรรมการเรียนการสอนดว้ ยความมน่ั ใจ 3) ผสู้ อนจดั กิจกรรมการเรียนการสอนไดเ้ หมาะสมกบั วยั ของผเู้ รียน 4) ผสู้ อนจดั กิจกรรมการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพ 5) กรณีผสู้ อนประจาช้นั ไม่สามารถมาสอนได้ ผสู้ อนคนอื่นสามารถสอนแทนได้ กฤษดา บญุ หมื่น (2555) ไดร้ ะบปุ ระโยชนข์ อง แผนการจดั การเรียนรู้ไว้ ดงั น้ี 1) เป็นคมู่ ือในการดาเนินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามท่ีกาหนด
2) เป็นคู่มือจดั เตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 3) เป็นคู่มืออธิบายรายละเอียดแนวคดิ และข้นั ตอนการวดั ผลประเมินผล 4) เป็นเคร่ืองช้ีวดั ประสิทธิภาพ และขอ้ บกพร่องในการจดั การเรียนรู้ 5) เป็นหลกั ฐานในการปฏิบตั ิการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนอยา่ งเป็นระบบมี ข้นั ตอนการจดั การ เรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ สรุปไดว้ า่ ประโยชน์ของแผนการจดั การเรียนรู้ ทาให้ทราบวา่ จะสอนอะไร เม่ือไหร่ อยา่ งไร เป็น เคร่ืองช้ีทางในการกาหนดพฤติกรรมแก่ผูเ้ รียน และเป็ นเครื่องมือในการเลือกกิจกรรมและวิธีการจดั การ เรียนรู้ ช่วยใหผ้ สู้ อนบริหารเวลาในการสอนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง 1. งานวจิ ยั ภายในประเทศ ริมล โพธ์ิชัยรัตน์ (2559) ศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ และความพึงพอใจต่อการเรี ยน ภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร (CLT) กบั วิธีการ สอนแบบตอบสนองดว้ ยท่าทาง (TPR) กลุ่มตวั อย่างที่ใช้ในการวิจยั ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Samplings) เป็นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 หอ้ ง 1 จานวน 35 คน เป็นกล่มุ ทดลอง ใชว้ ธิ ีการสอน ภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) และนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 หอ้ ง 2 จานวน 35 คน เป็นกลุ่มควบคุม ใช้ วิธีการสอนแบบตอบสนองดว้ ยท่าทาง (TPR) ผลการวิจยั พบวา่ 1) นกั เรียนที่เรียนโดยวิธีการสอนภาษาเพอ่ื การส่ือสาร (CLT) เรื่อง Descriptions มีผลการเรียนรู้ในการเรียนภาษาองั กฤษสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดย วิธีการสอนแบบตอบสนองดว้ ยทา่ ทาง (TPR) อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 สุวิมล พุฒิรุ่งโรจน์ (2559) ศึกษาความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาองั กฤษ และความสนใจต่อ การเรียนภาษาองั กฤษของนักเรียนระดบั ช้ันอนุบาลปี ท่ี 2 โรงเรียนวดั พเนินพลู โดยใช้วิธีสอนตามแนว ทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการส่ือสารด้วยกิจกรรมเพลงและเกม กลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังน้ี เป็ น นักเรียนระดบั ช้นั อนุบาลปี ที่ 2 โรงเรียนวดั พเนินพลู ท่ีเรียนวิชาภาษาองั กฤษในระดับเตรียมความพร้อม ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2559 ซ่ึงไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ แผนการ จดั การประสบการณ์โดยใชว้ ิธีสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสารดว้ ยกิจกรรมเพลงและเกม แบบสังเกตพฤติกรรมความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาองั กฤษ และแบบสังเกตพฤติกรรมความสนใจ ต่อการเรียนภาษาองั กฤษ สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาองั กฤษของนักเรียนระดบั ช้ันอนุบาลปี ท่ี 2 โรงเรียนวดั พเนินพลู โดยใชว้ ธิ ีสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารดว้ ยกิจกรรมเพลงและเกมหลงั การทดลองอยู่ใน ระดบั ดีมาก คือ ร้อยละ 82.1
2. ความสนใจต่อการเรียนภาษาองั กฤษของนกั เรียนระดบั ช้นั อนุบาลปี ที่ 2 โรงเรียนวดั พเนินพลู โดยใชว้ ิธี สอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารดว้ ยกิจกรรมเพลงและเกมหลงั การทดลองอยใู่ นระดบั มาก คือ ร้อยละ 84.3 วาสนา สิงหท์ องลา (2555) ศึกษาการพฒั นาทกั ษะการฟังภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 5 โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร มีกลุ่มเป้าหมาย คือ นกั เรียนช้นั ป.5/3 โรงเรียน ชุมชนบา้ นฝาง สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2555 จานวน 30 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 15 แผน แบบสังเกต พฤติกรรมผเู้ รียน และแบบทดสอบทกั ษะการฟังภาษาองั กฤษ ผลการวิจยั พบว่า 1. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้ภาษาเพื่อการส่ือสาร โดย มี 3 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ ข้นั นาเสนอเน้ือหา ข้นั ฝึ กทกั ษะ และข้นั นาไปใช้ ทาให้ผูเ้ รียนมีโอกาสไดใ้ ชภ้ าษาเพ่ือ การสื่อสารในสถานการณ์จริง ส่งผลให้ผูเ้ รียนได้รู้จักการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน มีความม่ันใจ กล้า แสดงออก รู้จกั คดิ และตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเอง 2. ผูเ้ รียนมีทกั ษะการฟังภาษาองั กฤษเฉล่ีย 24.20 คิดเป็ นร้อยละ 80.67 และมีจานวนนักเรียนผ่าน เกณฑ์ 26 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ 3. ผเู้ รียนมีความพงึ พอใจตอ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้ ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก วิไล ตนั เสียงสม (2548) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาความสามารถดา้ นการฟังและการอ่านภาษาองั กฤษของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ด้วยวิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 จานวน 27 คน โรงเรียนวดั บางพระ อาเภอนครชยั ศรี จงั หวดั นครปฐม ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2548 แผนการทดลอง คือ One Group Pretest – Posttest Design เครื่ องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบดว้ ย 1) แผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยวธิ ีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร 2) แบบทดสอบวดั ความสามารถ ดา้ นการฟังภาษาองั กฤษ 3) แบบทดสอบวดั ความสามารถดา้ น การอ่านภาษาองั กฤษ และ 4) แบบสอบถาม ความคิดเห็นท่ีมีต่อวิธีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานดว้ ย t-test แบบ Dependent ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) ความสามารถดา้ นการฟัง ภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ก่อนและหลงั การสอนดว้ ยวิธีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 โดยหลงั เรียนมีคะแนนเฉล่ียดา้ นการฟังสูงกว่าก่อนเรียน 2) ความสามารถดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ก่อนและหลงั การสอนดว้ ยวิธีการ สอนภาษาเพื่อการสื่อสารแตกต่างกันอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 โดยหลงั เรียนมีคะแนนเฉลี่ยดา้ น การอ่านสูงกว่าก่อนเรียน 3) นกั เรียนมีความคิดเห็นต่อวิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดบั เห็นดว้ ย มากท่ีสุด โดยมีความคิดเห็นว่าช่วยให้นกั เรียนไดพ้ ฒั นาจากการฝึ กภาษาสามารถฟัง อ่านและนาไปใชใ้ น ชีวิตประจาวนั ได้
เดชดนยั จุยชุม, เกษรา บาวแชมชอย และศิริกญั ญา แกนทอง (2559: บทคดั ยอ่) ไดศ้ ึกษาเร่ือง การ พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ทกั ษะการคิดของนกั ศึกษาในรายวิชาทกั ษะการคิด(Thinking Skills) ดว้ ยการเรียนรูแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) รหสั วิชา 11-024-112 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2558 โดย มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมทางการเรียน (2)เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และ (3) ศึกษา ความพึงพอใจของนกั ศึกษาในรายวิชาทกั ษะการคิด(Thinking Skills) รหัสวิชา 11-024-112 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2558 ดว้ ยการเรียนรูแบบมีสวนรวม (Active Learning) ผลการวิจยั พบวา่ (1) พฤติกรรมทางการ เรียนของนกั ศึกษา หลงั การเรียนรูแบบมีส่วนร่วมดีข้ึนท้งั ในดา้ นการทางานเป็นกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกเพื่อสะทอ้ นความคิดเห็นร่วมกัน (2) คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนของ นักศึกษาสูงกว่าก่อนเรียน(3) นักศึกษามีความพึงพอใจตอการเรียนรูแบบมีสวนรวม (Active Learning) โดยรวมอยรู่ ะดบั มาก จุฑามาศ เพม่ิ พนู เจริญยศ (2561: 95 – 97) ทาการวิจยั เร่ือง การพฒั นาการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ น หอ้ งเรียนอจั ฉริยะสาหรับนกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนอนุบาลไทรโยคโดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื (1) พฒั นาการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะสาหรับนกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนอนุบาลไทรโยค (2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนระหวา่ งการจดั การเรียนรู้ แบบเดิมกบั การจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะ (3) ศึกษาปัจจยั ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ท่ีใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นห้องเรียนอจั ฉริยะ และ(4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจดั การ เรียนรู้เชิกรุกผา่ นห้องเรียนอจั ฉริยะของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนอนุบาลไทรโยค ผลการวจิ ยั พบวา่ (1) รูปแบบการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะที่ไดพ้ ฒั นาข้ึนมีความเหมาะสม มาก มีคณุ ภาพในเกณฑด์ ี โดยประเดน็ ที่ผเู้ ช่ียวชาญส่วนใหญ่มีความเห็นวา่ มีคุณภาพดีมาก คอื รูปแบบการ จดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นห้องอจั ฉริยะสามารถจูงใจในการเรียนรู้ของผเู้ รียน (2) การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนของผเู้ รียนระหวา่ งการจดั การเรียนรู้แบบเดิมกบั การจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะ พบวา่ ผเู้ รียนท่ีมีการใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะมีคะแนนผลสัมฤทธ์ิเฉลี่ยสูง กวา่ ผเู้ รียนท่ีมีการจดั การเรียนรู้ แบบเดิม อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 (3) ปัจจยทั ่ีส่งผลต่อ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนที่ใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะในระดบั ช้นั ประถมศึกษา ปี ท่ี 6 โรงเรียนอนุบาลไทรโยคพบวา่ มีปัจจยั 3 ปัจจยั คือ ดา้ นผเู้ รียน ดา้ นผสู้ อน และดา้ นส่ือการเรียนการ สอน เป็นปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 สามารถทานายการ เปลี่ยนแปลงผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนได้ ร้อยละ 70.10 (4) ความพึงพอใจของผเู้ รียนที่มีความ คดิ เห็นตอ่ การจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นหอ้ งเรียนอจั ฉริยะ พบวา์่ โดยรวมผูเ้ รียนมีความคดิ เห็นอยใู่ นระดบั พึงพอใจมาก สรุปไดว้ า่ การจดั การเรียนรู้เชิงรุกผา่ นห้องเรียนอจั ฉริยะช่วยกระตุน้ หรือเร้าความสนใจให้ เกิดกระบวนการเรียนรู้ ทกั ษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ ไดล้ งมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง อิสระในการคน้ ควา้ หาความรู้ มีเทคโนโลยที ่ีหลากหลายมาช่วยสนบั สนุนและสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้
ชรินทร ชะเอมเทส (2561: บทคดั ยอ่ ) ไดท้ าการวจิ ยั เร่ือง การใชร้ ูปแบบการสอน Active Learning เพอ่ื พฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าการบญั ชีบริหาร สาหรับผเู้ รียนระดบั ปวส. 2 สาขาการบญั ชี โดยมี วตั ถุประสงคเ์ พือ่ (1) หาประสิทธิภาพของบทเรียนวชิ าการบญั ชีบริหาร ท่ีใชร้ ูปแบบการสอน Active Learning สาหรับผเู้ รียนระดบั ปวส. 2 สาขาการบญั ชี (2) พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาการบญั ชี บริหาร โดยใชร้ ูปแบบการสอน Active Learning (3) ศึกษาความพึงพอใจของผเู้ รียนท่ีมีต่อรูปแบบการสอน Active Learning ในรายวชิ าการบญั ชีบริหาร ผลการวจิ ยั พบวา่ (1) บทเรียนวิชาการบญั ชีบริหารท่ีใชร้ ูปแบบ การสอน Active Learning มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ผเู้ รียนมีผลสมั ฤทธ์ิหลงั การเรียนวิชาการบญั ชีบริหาร โดยใชร้ ูปแบบการสอน Active Learning สูงกวา่ ก่อนเรียน และ (3) ผูเ้ รียนมีความพงึ พอใจต่อการเรียนการสอนวิชาการบญั ชีบริหาร โดยใชร้ ูปแบบการ สอน Active Learning อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด จนั ทรา แซ่ล่ิว (2561: 82 – 83) ทาการวิจยั เรื่อง การจดั การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active learning) ใน รายวิชาการพฒั นาทกั ษะการคิดสาหรับเดก็ ปฐมวยั โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อศึกษาผลการจดั การเรียนรู้แบบเชิง รุก Active learning ของนกั ศึกษาช้นั ปี ที่ 2 ในรายวชิ าการพฒั นาทกั ษะการคดิ สาหรับเด็กปฐมวยั ในประเด็น (1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ในรายวิชาการพฒั นาทกั ษะการคิดสาหรับเด็กปฐมวยั (2) ทกั ษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 และ (3) ความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรู้แบบเชิงรุกActive learning ผลการวิจยั พบว่า (1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั ศึกษาช้นั ปี ท่ี 2 ในรายวิชาการพฒั นาทกั ษะการคิดสาหรับเด็กปฐมวยั ภาค เรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2560 จานวน 60 คน นกั ศึกษามีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ในระดบั A จานวน 17 คน คดิ เป็นร้อยละ 28.33 ในระดบั B+ จานวน 21คน คิดเป็นร้อยละ 35 ในระดบั B จานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 26.67 ในระดบั C+ จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 8.33 และอยใู่ นระดบั C จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 1.67 (2) การประเมินทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 หลงั การจดั การเรียนรู้แบบเชิงรุก Active Learning ทกั ษะท่ี มีคา่ เฉล่ียมากท่ีสุดคือ ทกั ษะการเห็นอกเห็นใจและการเป็นพลเมืองดี (Compassion) มีคา่ เฉลี่ย 4.67 ในระดบั มากที่สุดคิดเป็ นร้อยละ 92.00 ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่มีค่าเฉล่ียน้อยที่สุดคือ ทกั ษะการคิด สร้างสรรค์ (Creative Skills) มีค่าเฉลี่ย 4.09 ในระดบั มาก คิดเป็นร้อยละ 81.80 และทกั ษะท่ีมีค่าเฉล่ียก่อน และหลงั การจดั การเรียนรู้แบบ Active Learning มีค่าเฉล่ียท่ีต่างกนั มากที่สุดคือ ทกั ษะดา้ น ส่ือ เทคโนโลยี และสารสนเทศ (ICT Literacy skills) มีคา่ เฉลี่ยที่แตกตา่ งกนั คอื 0.73 และ(3)ความพงึ พอใจของนกั ศึกษาต่อ การจดั การเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning ในรายวิชาการพฒั นาทกั ษะการคิดสาหรับเด็กปฐมวยั รูปแบบ ท่ีนักศึกษามีความพึงพอใจมากที่สุดคือ รูปแบบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) มี ค่าเฉลี่ย 4.58 ในระดบั มากที่สุด คิดเป็ นร้อยละ 91.60และการจดั การเรียนรู้แบบเชิงรุก Active learning ที่ นกั ศึกษามีความพงึ พอใจนอ้ ยท่ีสุดคอื รูปแบบการเรียนรู้โดยการสืบคน้ (Inquiry-Based Learning) มีค่าเฉลี่ย 4.41 ในระดบั มาก คิดเป็ นร้อยละ 88.20และประเด็นท่ีนกั ศึกษาแสดงขอ้ คิดเห็นมากท่ีสุด คือ นกั ศึกษาได้ จดั ทาโครงการบริการวิชาการในสถานศึกษาและชุมชน การจดั ประสบการณ์ในสถานศึกษาเป็ นการสร้าง ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีเรียนรู้จากการปฏิบตั ิจริง ส่งเสริมความกลา้ แสดงออกและไดแ้ กป้ ัญหาเฉพาะ
หน้าไดอ้ ย่างแทจ้ ริงมีค่าความถี่ 49 คน คิดเป็ นร้อยละ 81.67 การเรียนรู้นอกห้องเรียนในสถานศึกษา และ ชุมชนเป็นการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้และการนาไปใช้ในวิชาชีพครูไดจ้ ริง มีค่าความถ่ี 48 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 และการจดั ทาโครงการบริการวชิ าการในสถานศึกษาและชุมชน เป็นกิจกรรมท่ี ดีฝึ กกระบวนการทางานที่เป็ นระบบ เป็ นข้ันตอน มีการวางแผน การทางานเป็ นทีมท่ีเขม้ แข็งและการ แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ มีคา่ ความถ่ี 42 คน คดิ เป็นร้อยละ 70.00 2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ เอลลิส (Ellis, 1984) ศึกษาวิธีการส่ือสารในการประเมินการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารของนักเรียน จากโรงเรียนแห่งหน่ึงในกรุงลอนดอน ซ่ึงมีอายรุ ะหวา่ ง 10 - 12 ปี กลมุ่ ตวั อยา่ งแบ่งเป็น 2 กลุม่ คอื กลมุ่ ท่ี 1 เป็นนกั เรียนที่เรียนภาษาองั กฤษในประเทศองั กฤษมาเป็นเวลา 1 ปี จานวน 16 คน กลุ่มที่ 2 เป็นนกั เรียน ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาแม่ จานวน 16 คน กลุ่มตัวอย่างต้องบรรยายเรื่องจากภาพเหตุการณ์ซ่ึง ประกอบดว้ ยภาพยอ่ ย 3 ภาพให้ครูฟัง ผลการวิจยั พบวา่ นกั เรียนที่ใชภ้ าษาองั กฤษเป็นภาษาแม่สามารถส่ือ เน้ือหาสาระในภาพได้ดีกว่านักเรียนท่ีไม่ใชเ้ จา้ ของภาษา นักเรียนที่ไม่ใช้เจา้ ของภาษาใช้กลวิธีการถอด ความมากกว่านกั เรียนที่เป็ นเจา้ ของภาษา และสรุปว่านักเรียนที่สามารถใช้ภาษาไดด้ ีท่ีใชว้ ิธีการการถอด ความมากกวา่ วธิ ีการหลีกเล่ียง จอห์นสัน (Johnson, 1994) ไดท้ าการวิจยั เร่ืองปัญหาและการปฏิรูปการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร พบว่าในอนาคตการสอนภาษาองั กฤษเพ่ือการสื่อสารน้นั มีความจาเป็นอยา่ งยง่ิ เพราะมนุษยใ์ ชภ้ าษาในการ ติดต่อสื่อสารและเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่ึงขอ้ มูลต่าง ๆ และมีความจาเป็นอยา่ งมากในการดาเนินชีวิต ฉะน้นั จึงจาเป็น อย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งตระหนักและมองเห็นความสาคัญในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสอนภาษาโดยใช้ วธิ ีการสอนภาษาเพ่อื การส่ือสาร ฮอลด์ นิก (Haldnig, 1996) ไดท้ าการวิจยั เร่ือง การสอนวิชาภาษาองั กฤษในโรงเรียนประถมศึกษา ประเทศออสเตรเลีย พบว่า การพฒั นาการสอนวิชาภาษาองั กฤษในโรงเรียนการประถมศึกษาน้นั ไดม้ ีการ พฒั นาอย่างเป็ นระบบและสืบเน่ืองกนั มาตลอด โดยเฉพาะหลงั สงครามโลกคร้ังท่ีสอง มีการส่งเสริมให้มี การจดั กิจกรรมการเรียนรู้เป็ นอย่างมาก เนื่องจากความจาเป็ นทางด้านการสื่อสารซ่ึงนาไปสู่การสอน ภาษาองั กฤษในรูปแบบการสอนภาษาเพอ่ื การศึกษาอยา่ งกวา้ งขวางข้นึ และจาเป็นที่จะตอ้ งฝึกครูใหม้ ีความรู้ ความมามารถในการใชภ้ าษาใหม้ าก จากการศึกษางานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งท้งั งานวิจยั ในประเทศและงานวิจยั ต่างประเทศที่กล่าวมาขา้ งตน้ แสดงให้เห็นว่า การจดั การเรียนรู้ภาษาองั กฤษดว้ ยวิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสารสามารถ พฒั นาทักษะในการส่ือสารภาษาอังกฤษของผูเ้ รียนให้สูงข้ึน ท้ังน้ีอาจเป็ นเพราะว่า การจดั การเรียนรู้ ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร ผูเ้ รียนได้ฝึ กภาษาอังกฤษการโดยสื่อ ความหมายใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ ตามสถานการณ์ และบริบท ไมใ่ ช่เพียงยดึ ตามหลกั ไวยากรณ์ที่ถกู ตอ้ งเทา่ น้นั ซ่ึงได้ จดั การเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ข้นั ตอน คือ 1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) 2. การนาเสนอเน้ือหา
(Presentation) 3. การฝึ กปฏิบตั ิ (Practice) 4. การใช้ภาษา (Production) และ5. การสรุปบทเรียน (Wrap up) โดยเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิกิจกรรมใช้ภาษา จึงส่งผลให้ผูเ้ รียนมี ทกั ษะในการ สื่อสารภาษาองั กฤษสูงข้ึน
บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การศึกษา การวิจยั คร้ังน้ี เพ่ือศึกษาความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใชว้ ิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่อื การสื่อสาร ซ่ึงผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือที่ใชใ้ นการศึกษา 3. การสร้างและการหาคณุ ภาพของเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 5. การจดั กระทาขอ้ มลู และการวิเคราะหข์ อ้ มลู 6. สถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู 1. กล่มุ ตัวอย่าง 1.1 ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี เป็นนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คา สวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ท่ีเรียนในปี การศึกษา 2564 จานวน 4 หอ้ ง จานวนนกั เรียนท้งั หมด 47 คน 1.2 กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) จานวนนกั เรียน 15 คน ไดม้ าโดย การใชว้ ิธีสุ่มอยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) 2. เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการศึกษา เครื่องมือท่ีใชใ้ นการศึกษา มี 3 ชนิด คอื 2.1 แผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง Out and about กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 3 แผน 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง Out and about กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีตอ่ การเรียนโดยใช้แผนการจดั การเรียนรู้ตาม แนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 12 ขอ้
3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.1 การสร้างแผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ผศู้ ึกษาดาเนินการสร้างและหาคณุ ภาพตามลาดบั ดงั น้ี 3.1.1 ศึกษารายละเอียดหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 คู่มือครูวิชาภาษาองั กฤษและ แบบเรียนภาษาองั กฤษ ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ศึกษาจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ภาษาองั กฤษ 3.1.2 ศึกษาวิธีจดั ทาแผนการสอนจากตาราและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งเพื่อเป็นแนวทางในการ จดั ทาแผนการสอน 3.1.3 จดั ทาแผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลมุ่ สาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยการแบ่งเน้ือหาออกเป็น 3 แผน 3.1.4 นาแผนการสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ท่ีผศู้ ึกษาสร้างข้ึน เสนอผเู้ ชี่ยวชาญ เพอ่ื ตรวจสอบความเหมาะสม ดา้ นจุดประสงค์ เน้ือหา กิจกรรม ของ แผน 3.1.5 นาแผนการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร (Communication Language Teaching) เรื่อง Out and about กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 มาปรับปรุงตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ชี่ยวชาญ 3.1.6 นาแผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ท่ีไดป้ รับปรุงแลว้ เสนอผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 5 ทา่ น พร้อมแบบประเมินเพ่ือตรวจพิจารณาแกไ้ ข ความ เที่ยงตรงดา้ นเน้ือหา ภาษาแลว้ นามาปรับปรุงตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ 3.1.7 นาแผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เรื่อง Out and about กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ที่ผเู้ ชี่ยวชาญประเมินแลว้ มารวมและหาค่าเฉลี่ย ซ่ึงผลการประเมินใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนตามแบบ
ประเมินของ ลิเคอร์ท (Likert) ซ่ึงเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ซ่ึงมี 5 ระดบั บญุ ชม ศรี สะอาด. (2543 : 69-71) ดงั น้ี คะแนนเฉล่ีย 4.51-5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก คะแนนเฉล่ีย 2.51-3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉล่ีย 1.51-2.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย คะแนนเฉล่ีย 1.00-1.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยที่สุด 3.2 การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ผศู้ ึกษาไดด้ าเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี 3.2.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการวเิ คราะหห์ ลกั สูตร จากหนงั สือแนวทางการวดั และประเมินผลในช้นั เรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ หนงั สือการ วดั ผลการศึกษาของ (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2544 : 73-97) 3.2.2 ศึกษาหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เพ่อื ทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั วตั ถปุ ระสงค์ เน้ือหา วิธีสอน และการวดั ประเมินผล 3.2.3 ศึกษากลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ในส่วนของเน้ือหาท่ี จะนามาสร้างแบบทดสอบ 3.2.4 วเิ คราะห์เน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ของบทเรียนที่ใชใ้ นการทดลองแลว้ สร้าง ตารางวิเคราะห์หลกั สูตร เพ่ือสร้างแบบทดสอบใหม้ ีความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาและพฤติกรรม 3.2.5 สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน จานวน 40 ขอ้ เป็นแบบปรนยั ชนิด เลือกตอบ 4 ตวั เลือก เพอ่ื จะเลือกใชจ้ ริง 20 ขอ้ ดงั ตาราง 2
ตาราง 4 ความสอดคลอ้ งของเน้ือหา และจานวนขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง เวลาทใี่ ช้ (ชั่วโมง) 1 Some children are at the internet cafe 3 2 My dream town 3 3 Directions 4 รวม 10 3.2.6 นาแบบทดสอบท่ีผศู้ ึกษาสร้างข้นึ เสนอต่อผเู้ ช่ียวชาญเพือ่ ตรวจสอบความสอดคลอ้ ง ระหวา่ งขอ้ สอบกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคลอ้ ง 3.2.7 นาแบบทดสอบที่ผา่ นการประเมินความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งขอ้ คาถามของ แบบทดสอบกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้จากผเู้ ช่ียวชาญ เลือกขอ้ สอบท่ีมีคา่ IOC ต้งั แต่ 0.5 ข้ึนไป จานวน 40 ขอ้ 3.2.8 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่แกไ้ ขปรับปรุงแลว้ ไปทดลองกบั นกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานีเขต1 จานวน 15 คน 3.2.9 วิเคราะห์ขอ้ สอบโดยหาค่าระดบั ความยาก (P) ที่มีค่าระดบั ความยากอยรู่ ะหวา่ ง 0.20 ถึง 0.80 3.2.10 วิเคราะห์ขอ้ สอบเพื่อหาค่าอานาจจาแนะ (r) ซ่ึงมีค่าอานาจจาแนก 0.20 ข้นึ ไป 3.2.11 ทาการคดั เลือกขอ้ สอบที่มีความเหมาะสมจานวน 40 ขอ้ ซ่ึงไดต้ ามจานวนที่ตอ้ งการ ท้งั หมด 40 ขอ้ มีคา่ ความยากอยรู่ ะหวา่ ง 0.20 ถึง 0.80 และมีค่าอานาจจาแนกต้งั แต่ 0.20 ข้นึ ไป 3.2.12 นาแบบทดสอบที่เขา้ เกณฑ์ มาหาค่าความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั โดยใชว้ ิธี ของโลเวตต์ ผลการวเิ คราะห์ไดค้ า่ ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.68 3.2.13 พิมพแ์ บบทดสอบฉบบั จริงจานวน 20 ขอ้ เพ่ือใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ ง
3.3 แบบวดั ความพงึ พอใจในการเรียนรู้ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ที่มีต่อการจดั การเรียน การสอนแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ซ่ึงประเมินโดยผเู้ ชี่ยวชาญเป็น แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั จานวน 1 ฉบบั มี 12 ขอ้ ผศู้ ึกษาไดด้ าเนิน การสร้างตามข้นั ตอนดงั น้ี 3.3.1 ศึกษาเอกสารวิธีการสร้างแบบสอบถามจากตาราพ้ืนฐานการวจิ ยั การศึกษาภาควิชาวิจยั และพฒั นาการศึกษา (ชวลิต ชูกาแพง. 2548 : 104-137) 3.3.2 สร้างแบบวดั ความพึงพอใจในการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั จานวน 1 ฉบบั มี 20 ขอ้ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) ของลิเคิร์ท (Likert) แบบ 5 ระดบั ดงั น้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 102) ความหมายการตอบแบบสอบถาม มีความพึงพอใจมากท่ีสุด หมายถึง 5 คะแนน มีความพงึ พอใจมาก หมายถึง 4 คะแนน มีความพงึ พอใจปานกลาง หมายถึง 3 คะแนน มีความพงึ พอใจนอ้ ย หมายถึง 2 คะแนน มีความพึงพอใจนอ้ ยท่ีสุด หมายถึง 1 คะแนน 3.3.3 นาแบบวดั ท่ีสร้างเสร็จแลว้ ไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญดา้ นการวดั ผลประเมินผลพจิ ารณาตรวจสอบ ความถกู ตอ้ ง แลว้ นามาปรับปรุงแกไ้ ข 3.3.6 พิมพแ์ บบวดั ความพงึ พอใจในการเรียนรู้ภาษาองั กฤษเป็นฉบบั จริง เพื่อนาไปใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ตอ่ ไป 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การศึกษาเป็นการศึกษาโดยใชแ้ ผนการสอนตามแนวคิดภาษาเพอ่ื การส่ือสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ซ่ึงผศู้ ึกษาไดป้ ฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ใชเ้ วลาในการสอนแผนละ 3 ชวั่ โมง รวมระยะเวลาท้งั สิ้น 10 ชว่ั โมง ข้นั ตอนการศึกษาผศู้ ึกษาไดด้ าเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ปฐมนิเทศช้ีแจงขอ้ ตกลงในการเรียนการสอน 2 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิการเรียนรู้ การพฒั นาทกั ษะ การเรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 จานวน 20 ขอ้ เพ่ือทดสอบความรู้เดิมของนกั เรียน
3. ดาเนินการสอนตาม แผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 3 แผน ท้งั หมด 10 ชวั่ โมง 4. แบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) หลงั จากจดั กิจกรรมการเรียนการสอนเสร็จสิ้นแลว้ โดย ใชแ้ บบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่ีใชแ้ บบทดสอบก่อนเรียน จานวน 20 ขอ้ ในการศึกษาคร้ังน้ีผศู้ ึกษาไดก้ าหนดรูปแบบของการศึกษาเป็นแบบ One Group Pre-test Post- test Design ดงั ตาราง 3 ตาราง แบบแผนการศึกษา One Group Pre-test Post-test Design ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลงั เรียน O1 X O2 สัญลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการศึกษา เม่ือ O1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน ทดลองใชแ้ ผน O2 แทน การทดสอบหลงั เรียน 5. การจดั กระทาข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาคร้ังน้ี ผศู้ ึกษาไดว้ ิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้ แผนการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) เรื่อง Out and about กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยดาเนินการจดั กระทาและวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี 1. นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมาตรวจใหค้ ะแนน โดยขอ้ ที่ตอบถูกให้ 1 คะแนน และขอ้ ที่ตอบผิดให้ 0 คะแนน 2. นาคะแนนหาคา่ เฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ 3. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของผลการสอนโดยใชแ้ ผนการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการ ส่ือสาร (Communication Language Teaching) เร่ือง Out and about กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ท่ีมีผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160