แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
การจัดทำแผนการบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดนิ และฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) : ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความสอดคล้องของ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ: แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และสอดคล้องของ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2558 - 2569): ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟู สภาพป่าต้นน้ำที่เสือ่ มโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน กลยุทธ์ : การอนุรักษ์ฟื้นฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ในพื้นที่ดินเสือ่ มโทรมและชะล้างพังทลายของดิน โดยมีเป้าหมายสำคัญสงู สุด คือ พื้นที่เกษตรกรรมได้รบั การอนุรักษ์และฟื้นฟูให้สามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่ ไม่น้อยกว่า 20 ล้านไร่ ภายใน 20 ปี คณะทำงานจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นท่ี เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรกั ษด์ ินและน้ำ พื้นท่ลี ุ่มน้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จงั หวดั น่าน ได้ดำเนนิ การ ศึกษา วิเคราะห์ และประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสำหรับแก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลาย ของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมและความต้องการของชุมชน และการรับ ฟงั ขอ้ คดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะจากหนว่ ยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องท้ังในสว่ นกลางและส่วนภูมิภาค ทำให้ได้ แผนการบรหิ ารจัดการโครงการท่กี รมพัฒนาท่ีดนิ สามารถนำไปใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการ อนุรักษ์ดินและน้ำให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนบริหารจัดการน้ำ ของประเทศ การกำหนดกรอบแนวคิดจากหลักการ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยการนำฐานข้อมูลด้านทรัพยากรดิน ประกอบด้วย ดินปัญหาและการชะล้างพังทลายของดิน เป็นตัวกำหนดพื้นที่เป้าหมายจากสภาพปัญหา สำหรบั นำไปใชใ้ นการบรหิ ารจัดการ โดยยดึ ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเนน้ กระบวนการมี ส่วนร่วมของชุมชน บูรณาการข้อมูลเชิงสหวิชาการเพื่อใช้ในการพัฒนาและวางแผนการใช้ที่ดิน กำหนด มาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และความต้องการของชุมชน เพื่อให้ได้เขตอนุรักษ์ดินและน้ำที่มีการบริหารจัดการเชิงระบบ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ การเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน โดยสามารถสรุปผลการจัดทำ แผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดิน และน้ำ ดงั นี้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
จากการศึกษาและสำรวจข้อมูลดินในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและประเมิน สถานภาพทรพั ยากรดิน โดยเนน้ ดา้ นการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ ทง้ั นี้เพ่ือนำไปสกู่ ารวเิ คราะห์แนวทางการ ใช้ที่ดินด้านการเกษตร และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันชะล้างพังทลายของดินและอนุรักษ์ดินและน้ำที่ เหมาะสม ผลการจำแนกสภาพปัญหาของดินหรือข้อจำกัดต่อการใช้ที่ดินด้านการเกษตร แบ่งเป็น 5 ประเภท หลัก ได้แก่ (1) การใช้ที่ดินไม่ตรงตามศักยภาพของดิน (ที่ดอนทำนา) ครอบคลุมเนื้อที่รวม 664 ไร่ หรือ คดิ เป็นรอ้ ยละ 0.72 (2) ดนิ ค่อนขา้ งเป็นทรายและความอุดมสมบูรณข์ องดินต่ำท่ีบนพน้ื ท่ีดอน ครอบคลุม เนื้อที่รวม 915 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.00 และ (3) ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำบนพื้นที่ดอน ครอบคลุม เนื้อที่รวม 3,400 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.71 (4) ดินตื้น เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของพืชด้านการ ชอนไชของรากพชื ครอบคลุมเนอ้ื ท่รี วม 6,253 ไร่ หรอื คิดเป็นรอ้ ยละ 6.82 (5) ปัญหาพ้นื ทม่ี ีความลาดชัน สูง ครอบคลุมเนื้อที่รวม 68,030 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 74.20 ส่วนใหญ่มีสภาพการใช้ที่ดินเป็นป่าไม้ มี เนื้อที่ 78,863 ไร่ หรอื คิดเปน็ ร้อยละ 67.68 ของเนือ้ ท่ที ้งั หมด จากการศกึ ษาความสมั พนั ธข์ อง 3 ปจั จัยหลัก ได้แก่ การใชท้ ่ดี นิ และทรัพยากรดิน ขอ้ มูลสภาพ ภมู อิ ากาศ พบวา่ พนื้ ทล่ี ุ่มน้ำห้วยนำ้ แหงมีพื้นที่ 146.71 ตารางกิโลเมตร (91,696 ไร่ ) มีปริมาณน้ำท่าคิด เป็น 48.43 ล้านลูกบาศกเ์ มตรต่อปี ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นว่ามศี ักยภาพในการพัฒนาด้านการเก็บกักน้ำท่าเพื่อใช้ ในพื้นทกี่ ารเกษตรได้ พื้นที่ส่วนใหญ่มีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายในระดับรุนแรง โดยมีปริมาณการสูญเสีย ดิน 5-15 ตันต่อไร่ต่อปี โดยครอบคลุมพื้นท่ีร้อยละ 78.71 ของเนื้อที่ทั้งหมด มีลักษณะการชะล้าง พังทลายของดินเป็นร่องลึกเกิดขนึ้ ท่ัวไป และมีการใชท้ ีด่ นิ ในการปลูกขา้ วโพด และข้าวโพด (ไร่หมุนเวยี น) เมื่อพิจารณาถึงการประเมินการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพื้นท่ี และแต่ละระดับ แม้ใน พื้นที่ที่มีการชะล้างพังทลายในระดับน้อย มีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี ก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อ การใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ และหากมีการละเลยหรือมีการจัดการที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตาม หลักวิชาการอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาการสูญเสียดิน ปริมาณและคุณภาพผลผลิต และส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลติ การจัดการดิน น้ำ ปุ๋ย จนส่งผลให้เกษตรกรในพื้นทีม่ ีค่าใช้จ่ายท่ีเพิม่ สงู ขนึ้ ตามไปด้วย แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
จากการศึกษาข้อมูล เศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการชะล้ าง พงั ทลายของดนิ พบว่า เกษตรกรมีความรู้ ความเขา้ ใจในวิธีการรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดการชะล้างพังทลาย ของดินในแต่ละวิธีการมากน้อยแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาความต้องการ วิธีการรักษาและป้องกันการชะล้าง พังทลายของดิน จะเห็นว่า เกษตรกรมีความต้องการ การทำคันดินขวางทางลาดเท การทำฝายน้ำล้น หรือ คันชะลอความเร็วของน้ำ การยกร่อง และการปลูกพืชตามแนวระดับ เมื่อพิจารณาผลกระทบด้านต้นทุน การผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกพืชในพื้นที่ที่มีระดับการชะล้าง พังทลายของดินต่างกัน จะเห็นว่า ต้นทุนการผลิตของแต่ละพืช มีแนวโน้มสูงขึ้นตามระดับความรุนแรง ของการชะล้างพังทลายของดินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งต้นทุนเพิ่มขึ้นอาจ เป็นผลจากการเปลย่ี นแปลงต้นทุนผันแปรในการผลิต เช่น คา่ จา้ งแรงงาน ค่าเมล็ดพันธ์ุ ค่าปยุ๋ นอกจากน้ี ยงั พบว่า ผลผลิตของทุกพืชลดลงตามความรนุ แรงของการชะลา้ งพังทลายของดนิ โดยเฉพาะขา้ วโพดเลี้ยง สตั ว์ และยางพารา ในการคัดเลือกพื้นที่เพื่อดำเนินการ โดยอาศัยปัจจัยหลักและเกณฑ์ท่ีกำหนด สำหรับพิจารณา จัดลำดับความสำคัญมี 6 ด้าน ประกอบด้วย (1) ระดับความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน (2) เอกสารสิทธิ์ (3) การใช้ที่ดิน (4) กิจกรรมที่ดำเนินงานในพื้นที่ (5) แผนปฏิบัติงานของพื้นที่ (6) ความ ตอ้ งการของชุมชน เพือ่ ให้การดำเนินงานสอดคล้องกับสภาพปัญหาของพ้ืนที่และความต้องการของชุมชน สามารถนำมาจัดทำแผนการดำเนินงาน 4 ปี โดยกำหนดแนวทางและมาตรการที่มีความสอดคล้องกับ สภาพปญั หา แผนการใช้ทดี่ ินบนพ้ืนฐานการมีส่วนรว่ ม ดังนี้ แบ่งตามระดับความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน ในพื้นที่ที่มีระดับรุนแรงมาก และระดับปาน กลาง กำหนดมาตรการในการไถพรวนและปลูกพืชตามแนวระดับ การยกร่องตามแนวระดับ การสร้างคัน ดิน คันดินเบนน้ำ แนวหญ้าแฝก ทางลำเลียง คูรับน้ำขอบเขา ทางระบายน้ำ ฝายชะลอน้ำ และบ่อดัก ตะกอน ส่วนระดับรุนแรงน้อย มีมาตรการเพิ่มเติมตามลักษณะภูมิประเทศ คือ การไถพรวนดิน การปรับ ระดับ และปรบั รปู แปลงนา ส่วนใหญ่มีปัญหา พื้นที่เกษตรมีความลาดชันสูง ดินตื้น และดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ กำหนดมาตรการโดยเน้นการเพ่ิม อินทรียวตั ถดุ ว้ ยการปลกู พชื คลุมดิน ปลูกพืชปุ๋ยสด การใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุย๋ ชีวภาพ ในพื้นที่ทาง การเกษตรซึ่งมีสภาพปัญหาการขาดแคลนน้ำ จึงกำหนดมาตรการตามสภาพปัญหาและสอดคล้องตาม แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
ความต้องการของชุมชน คือ อ่างเก็บน้ำ สระเก็บน้ำ ฝายทดน้ำ การปรับปรุงลำน้ำ คลองส่งน้ำ ระบบส่ง น้ำดว้ ยท่อ และระบบให้นำ้ แบบ micro irrigation แผนการบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้ำเชิงบูรณาการ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน เป็นรูปแบบการบรหิ ารจดั การลมุ่ น้ำเชิงระบบ ครอบคลุมทุกมิตแิ บบองคร์ วม ได้แก่ มติ ทิ างกายภาพ สังคม เศรษฐกจิ และสิง่ แวดล้อม โดยกำหนดทิศทางจากสภาพปัญหาเป็นตวั นำ ความร้ทู างวชิ าการที่หลากหลาย สาขาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์จากงานวิจัย และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน การอนุรักษ์ดินและ น้ำ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย การวิเคราะห์สภาพปัญหาของพื้นท่ี คัดเลือก วิธีการประเมินปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และตรวจสอบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันครอบคลุมประเด็น ปัญหาของสภาพพน้ื ทอ่ี ย่างแทจ้ ริง ไดแ้ ก่ ข้อมลู การชะลา้ งพังทลายของดิน ข้อมูลดา้ นทรพั ยากรดนิ ข้อมลู สภาพการใชท้ ีด่ นิ ระดับการเปลี่ยนแปลงของการใช้ท่ีดิน ข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำ สภาพภูมปิ ระเทศ และ สิ่งแวดล้อม ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันในด้านกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยนำข้อมูลมาประกอบการวิเคราะห์และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟื้นฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทั้งนี้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล ถกู ตอ้ งตามสมรรถนะและศักยภาพของทีด่ ิน และใหผ้ ทู้ ี่เกี่ยวขอ้ งได้เกิดความระหนักและการเรียนรู้นำไปสู่ การจัดการที่ถูกต้อง พร้อมทั้งการประเมินสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง โดยการติดตามและประเมินผล ตามตัวชี้วัด เพื่อให้ทราบผลสำเร็จจากการดำเนินงานด้านการลดอัตราการชะล้างพังทลายของดิน และ ด้านเศรษฐกิจสังคมของชุมชนบริเวณบนพื้นที่ลุ่มน้ำสู่การพัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการด้านการอนุรักษ์ ดินและน้ำ ใหเ้ กษตรกรและชมุ ชนสามารถใชท้ ี่ดินไดอ้ ย่างยั่งยนื การดำเนินงานตามแผนบริหารจดั การป้องกันการชะลา้ งพังทลายของดินและฟื้นฟพู ื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ มีกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานในรูปแบบคณะกรรมการและ คณะทำงาน ในการจัดทำต้นแบบแผนการบริหารจัดการโครงการจัดการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟู พื้นทีเ่ กษตรกรรม ดว้ ยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ สำหรบั ขับเคล่ือนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำให้ บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 และแผนแม่บท การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ดังนั้น เพื่อให้แผนบริหารจัดการเกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ บรรลุ วตั ถุประสงค์และเปา้ หมายท่ีกำหนดไว้ จงึ จำเป็นตอ้ งไดร้ ับการขบั เคลอื่ นและผลักดนั จากทุกภาคส่วน และให้ เกิดการบูรณาการทุกระดับผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้ำมี เปา้ หมายไปในทศิ ทางเดยี วกัน ควรมแี นวทางการดำเนินงาน ดงั นี้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ให้สามารถนำไปสู่ การวางแผน การกำหนดมาตรการและบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรรมที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้าง พงั ทลายของดิน และพน้ื ท่ีดินเส่อื มโทรม โดยนำแนวทางการปฏิบัติงานไปกำหนดเป็นแผนงานโครงการ และ กำหนดเป็นข้อตกลงการทำงานระหว่างหน่วยงาน เน้นการทำงานเชิงบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ บรรลุเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ โดยจัดตั้งคณะทำงาน ติดตามประเมินผลที่มีกลไกและเครือข่ายการดำเนินงานทั้งหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในส่วนกลางและส่วน ภูมิภาคเชื่อมโยงการประเมินผล ทุกมิติ ประกอบด้วย มิติทางกายภาพหรือสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติ เศรษฐกิจ ที่สามารถสะทอ้ นผลสมั ฤทธ์ิของงานได้ชัดเจน จนนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาแผนการดำเนินงาน โครงการให้เกดิ ประสทิ ธผิ ลและมีประสิทธิภาพ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
กรมพัฒนาที่ดิน มีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทรัพยากรที่ดิน โดยการพัฒนาที่ดินและ อนุรักษ์ดินและน้ำ ซึ่งมาตรการด้านการอนรุ ักษ์ดินและน้ำจะช่วยปรบั โครงสร้างพืน้ ฐานของที่ดิน ในพื้นท่ี ให้เหมาะสมกับการปลูกพืช พร้อมกับช่วยรักษาระบบนิเวศทางดินให้เกิดการใช้ที่ดินได้อย่างยั่งยืน โดย ก่อนเริ่มดำเนินงานจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์สภาพของที่ดินในพื้นที่ในการกำหนด มาตรการ ด้านอนุรักษ์ดินและน้ำด้วยวิธีกลและวิธีพืชเฉพาะพื้นที่ เพื่อควบคุมหรือป้องกันความรุนแรงของสภาพดิน ปัญหาไม่ให้ส่งผลกระทบก่อปัญหาเพิ่มขึ้นในพื้นที่อื่น ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดิน จึงเป็นหน่วยงานที่มบี ทบาท สำคญั ในการบรหิ ารจัดการทรัพยากรดินเชิงบรู ณาการระดบั ลุ่มน้ำ โดยนำหลกั วิชาการด้านการอนุรักษ์ดิน และน้ำ พิจารณาจากสภาพพื้นท่ีและความต้องการของชุมชนเป็นหลัก นอกจากน้ียังศึกษาแนวนโยบาย ด้านการเกษตรของรัฐบาล และท้องถิ่นในระดับต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดมาตรการในแผนการใช้ ที่ดินพร้อมข้อเสนอแนะด้านการจัดการพื้นที่ ให้เป็นแนวทางในการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ได้ อยา่ งย่ังยนื คณะทำงานจัดทำแผนการบรหิ ารจัดการโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดนิ และฟื้นฟูพ้ืนที่ เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ได้ดำเนินการ ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสำหรับแก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลาย ของดินและฟ้ืนฟูพื้นที่เกษตรกรรมผ่านกระบวนการมีสว่ นรว่ มและความต้องการของชมุ ชน และการรับฟัง ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานในส่วนกลาง และสว่ นภมู ภิ าค ทำใหไ้ ด้ตน้ แบบแผนการบรหิ ารจดั การโครงการที่กรมพัฒนาทีด่ ินสามารถนำไปใช้ในการ ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูป ประเทศ และแผนบริหารจัดการนำ้ ของประเทศ ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ ฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ นักวิชาการที่ปฏิบัติงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เจา้ หน้าที่ของสำนักงานพฒั นาท่ีดินเขต 7 สถานีพฒั นาทด่ี นิ น่าน หนว่ ยงานภาคีเครือข่ายและหน่วยงานท่ี เกี่ยวข้อง และเกษตรกรในชุมชนพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ที่มีส่วนร่วมในการ ดำเนินงานโครงการให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจนบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ เพื่อนำข้อมูลแผนการ บริหารจดั การโครงการป้องกันการชะล้างพงั ทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นท่เี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรักษ์ดิน และน้ำไปขยายผลในพื้นที่อื่นสู่การแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการชะล้างพั งทลาย ของดินและพื้นที่ดินปัญหา ทำให้สามารถใช้ที่ดินได้อย่างเหมาะสมตรงตามศักยภาพของพื้นที่ และมี คุณภาพชวี ิตทดี่ ขี ้ึน คณะทำงานฯ มิถุนายน 2563 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
1.1 หลักการและเหตผุ ล 2 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 3 1.3 กรอบแนวคิดการดำเนินงาน 3 1.4 เป้าหมาย 4 1.5 ขัน้ ตอนการดำเนนิ งาน 4 1.6 สถานท่ดี ำเนินงาน 5 1.7 ระยะเวลาดำเนินการ 5 1.8 ผลผลิต 6 1.9 ผลลพั ธ์ 6 1.10 ผลกระทบ 6 1.11 ตวั ช้ีวดั ความสำเรจ็ 6 1.12 ผลประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ บั 7 1.13 ผู้รบั ผิดชอบ 7 1.14 ทีป่ รึกษาโครงการ 7 1.15 การส่งมอบงาน 7 2.1 การรวบรวมขอ้ มูล 11 2.2 การสำรวจศึกษาและวเิ คราะห์ข้อมูลพน้ื ฐาน 11 2.3 การประเมนิ พืน้ ที่การชะลา้ งพงั ทลายของดิน 17 2.4 การจัดทำแผนการใชท้ ี่ดิน 19 2.5 การรับฟังความคิดเห็นจากผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสยี 21 2.6 การวเิ คราะห์ลำดับความสำคัญ 23 2.7 การจดั ทำแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินและฟน้ื ฟพู น้ื ที่ 24 เกษตรกรรมดว้ ยระบบอนรุ ักษด์ นิ และน้ำ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุม่ น้าหว้ ยน้าแหง
3.1 ท่ตี ้งั และอาณาเขต 28 3.2 สภาพภูมิประเทศ 28 3.3 สภาพภมู ิอากาศ 31 3.4 ทรพั ยากรดนิ 33 3.5 ทรัพยากรนำ้ 41 3.6 ทรพั ยากรป่าไม้ 45 3.7 ขอบเขตทดี่ นิ ตามกฎหมายและนโยบาย 46 3.8 สภาพการใช้ทด่ี ิน 50 3.9 พนื้ ท่ีเสยี่ งตอ่ การชะลา้ งพงั ทลายของดิน 57 3.10 สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม 61 3.11 การวเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ มและศกั ยภาพ (SWOT) 75 3.12 ภาวะการผลิตพชื 79 4.1 เขตพ้นื ท่ีป่าไม้ตามกฎหมาย 94 4.2 เขตเกษตรกรรม 96 4.3 เขตพืน้ ท่ชี มุ ชนและสง่ิ ปลูกสร้าง 98 4.4 เขตแหลง่ นำ้ 99 4.5 เขตพ้นื ทค่ี งสภาพปา่ ไมน้ อกเขตป่าตามกฎหมาย 99 4.6 เขตพ้ืนทีอ่ ืน่ ๆ 99 5.1 แผนการดำเนินงาน 106 5.2 ความก้าวหน้าผลการดำเนนิ งาน 107 5.3 แนวทางการรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของชมุ ชนต่อการดำเนนิ โครงการผา่ นกระบวนการมี 108 สว่ นรว่ มของชมุ ชนในพน้ื ทีล่ มุ่ นำ้ หว้ ยน้ำแหง 112 5.4 แผนบริหารจดั การปอ้ งกันการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟนื้ ฟพู ื้นท่เี กษตรกรรมดว้ ย 118 ระบบอนรุ กั ษด์ นิ และน้ำ 6.1 แนวทางการขับเคลือ่ นไปสูก่ ารปฏิบตั ิ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
6.2 บทบาทของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายทุกระดับในการขับเคลื่อนแผนบริหารจัดการ 119 ทรัพยากรดินและน้ำ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่ 121 เกษตรกรรม 6.3 แนวทางการติดตามและประเมินผลตามแผนบริหารทรัพยากรดินเพื่อป้องกัน การชะล้างพงั ทลายของดินและฟ้นื ฟพู ้ืนทเี่ กษตรกรรม แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
2-1 ระดบั ความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน 18 2-2 ชั้นของการกัดกรอ่ น 19 3-1 ความลาดชันพน้ื ท่ีล่มุ น้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จังหวัดนา่ น 28 3-2 สถิติภูมิอากาศโดยเฉลี่ยในคาบ 30 ปี (พ.ศ. 2531-2561) ณ สถานีตรวจวัดอากาศ 32 จงั หวัดนา่ น 35 3-3 ทรพั ยากรดินในพื้นท่ลี ุม่ นำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนานอ้ ย จงั หวัดนา่ น 39 3-4 สภาพปัญหาของดนิ ในพื้นทล่ี ุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดน่าน 44 3-5 แหลง่ น้ำตน้ ทุนทด่ี ำเนนิ การผ่านโครงการพฒั นาแหล่งนำ้ ตน้ ทุน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 45 3-6 สถานภาพทรัพยากรปา่ ไม้ในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำหว้ ยน้ำแหง อำเภอนานอ้ ย จังหวดั น่าน 46 3-7 ข้อมลู ทด่ี นิ ของรัฐทใ่ี ช้ร่วมในการวิเคราะห์ด้านทรัพยากรป่าไม้ อำเภอนานอ้ ย จงั หวดั น่าน 47 3-8 พน้ื ท่เี ขตป่าสงวนแหง่ ชาตใิ นพื้นท่ีลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวดั นา่ น 48 3-9 พืน้ ทีเ่ ขตการใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรและทด่ี นิ ป่าไมพ้ ื้นที่ล่มุ น้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัด 49 นา่ น 49 3-10 พน้ื ที่ช้นั คณุ ภาพลุ่มนำ้ ในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวดั น่าน 53 3-11 พ้นื ท่เี ขตป่าไมถ้ าวรนอกเขตปา่ ในพืน้ ที่ลุ่มน้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จงั หวดั นา่ น 58 3-12 ประเภทการใชท้ ด่ี ินในพืน้ ท่ีล่มุ นำ้ ห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จังหวัดนา่ น 3-13 ระดับความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอ 65 66 นาน้อย จังหวัดนา่ น 68 3-14 ประชากรและโครงสรา้ งประชากรในพื้นที่ล่มุ น้ำหว้ ยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 3-15 ปญั หาและความต้องการของเกษตรกรเกีย่ วกับการใชท้ ดี่ นิ 70 3-16 ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย 72 จงั หวดั น่าน ปกี ารผลิต 2563 75 3-17 ความรูแ้ ละความเข้าใจ และลำดบั ความต้องการของวิธกี ารรกั ษาและป้องกนั การชะลา้ ง พังทลายของหน้าดนิ พืน้ ทล่ี ุ่มนำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวดั น่าน ปีการผลติ 2563 3-18 ทศั นคตขิ องเกษตรกรดา้ นการใช้ท่ดี ิน 3-19 ทศั นคติของเกษตรกรท่เี ป็นปญั หาและอุปสรรคต่อการอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
3-20 ภาวะการผลิตพืช ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีความรุนแรงของการสูญเสียดิน 80 ในระดับรุนแรง 3-21 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตข้าวโพด ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรท่ีมีความ 81 รุนแรงของการสญู เสยี ดินในระดบั รนุ แรง 3-22 ตน้ ทนุ และผลตอบแทนในการผลติ ยางพารา ปกี ารผลิต 2562/63 ในพนื้ ท่ีทำการเกษตรท่ีมีความ 83 รุนแรงของการสญู เสยี ดนิ ในระดับรุนแรง 3-23 ภาวะการผลิตพืช ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีความรุนแรงของการสญู เสียดิน 84 ในระดับปานกลาง 3-24 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตข้าวโพด ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีความ 86 รนุ แรงของการสูญเสยี ดนิ ในระดับปานกลาง 3-25 ตน้ ทุนและผลตอบแทนในการผลิตยางพารา ปีการผลิต 2562/63 ในพ้นื ท่ีทำการเกษตรที่มีความ 87 รนุ แรงของการสญู เสยี ดนิ ในระดบั ปานกลาง 3-26 ภาวะการผลิตพืช ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีความรุนแรงของการสญู เสียดนิ 90 ในระดับนอ้ ย 3-27 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตข้าว ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นท่ีทำการเกษตรที่มีความ 90 รุนแรงของการสญู เสยี ดนิ ในระดับน้อย 3-28 ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิตข้าวโพด ปีการผลิต 2562/63 ในพื้นที่ทำการเกษตรที่มีความ 91 รนุ แรงของการสูญเสยี ดนิ ในระดับน้อย 4-1 แผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเ ภอ 100 นาน้อย จงั หวดั น่าน 4-2 สรุปแนวทางแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหงอำเภอนาน้อย 102 จงั หวัดน่าน 5-1 แผนดำเนนิ งาน 106 5-2 กำหนดการประชุมรับฟงั ความคิดเหน็ 110 5-3 รูปแบบการจัดประชุมและส่อื ประกอบการประชมุ ประชาพจิ ารณ์ 111 6-1 บทบาทของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายทกุ ระดับในการขบั เคลอ่ื นแผนบริหารจัดการทรพั ยากรดนิ 119 และนำ้ เพือ่ ป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดนิ และฟนื้ ฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรม 6-2 กรอบตวั ช้ีวัดในการติดตามและประเมนิ ผล 122 6-3 การจัดทำฐานข้อมูลเพ่อื ประเมินการเปลย่ี นแปลงตามตวั ชีว้ ดั มติ ิกายภาพ เศรษฐกิจและสงั คม 124 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
1-1 กรอบแนวคดิ การดำเนนิ งาน 4 2-1 กรอบวิธกี ารดำเนินงาน 10 2-2 ประเดน็ การรบั ฟังความคิดเห็นของชมุ ชนแบบมีสว่ นรว่ ม 22 2-3 หลกั การสำคัญในการจดั ทำแผนการบริหารจัดการท่ีดนิ และทรัพยากรดนิ ของประเทศ 25 3-1 ท่ตี ง้ั และอาณาเขต และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ พนื้ ทีล่ ่มุ นำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนานอ้ ย จังหวัดนา่ น 29 3-2 ความลาดชันพนื้ ทีล่ ่มุ นำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดนา่ น 30 3-3 สมดุลของน้ำเพ่ือการเกษตร (พ.ศ. 2531-2561) จังหวัดน่าน 33 3-4 ทรัพยากรดนิ พื้นที่ล่มุ นำ้ ห้วยนำ้ แหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดนา่ น 37 3-5 สภาพปัญหาทรพั ยากรดนิ พน้ื ที่ลุ่มนำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จงั หวดั น่าน 40 3-6 เสน้ ทางน้ำและเส้นทางคมนาคมในพื้นทล่ี มุ่ นำ้ ห้วยนำ้ แหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดนา่ น 42 3-7 พ้ืนท่ลี ุม่ นำ้ หว้ ยนำ้ แหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดน่าน 43 3-8 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปริมาณนำ้ ท่าเฉลย่ี รายปีและพน้ื ท่รี ับนำ้ ฝนของล่มุ น้ำนา่ น 44 3-9 สถานภาพป่าไม้ และแปลงทดี่ ินทำกิน ในพื้นท่ีลมุ่ นำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดน่าน 52 3-10 สภาพการใช้ที่ดิน ในพนื้ ท่ลี ุ่มน้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จังหวัดน่าน 56 3-11 การสูญเสยี ดินในพืน้ ท่ลี ุ่มนำ้ หว้ ยน้ำแหง อำเภอนานอ้ ย จงั หวัดน่าน 60 4-1 แผนการใชท้ ่ดี นิ เพื่อการอนุรกั ษ์ดนิ และนำ้ ในพ้นื ทล่ี ุม่ น้ำหว้ ยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จังหวัดน่าน 101 5-1 กรอบวธิ ีการดำเนนิ งานกระบวนการมีสว่ นร่วม 108 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
1 1 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
12 ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เกษตรกรทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน คิดเป็นร้อยละ 37 ของ พื้นที่ประเทศ โดยมีพื้นที่เกษตรน้ำฝน 119 ล้านไร่ ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ ข้าว 49.24 ล้านไร่ อ้อย 11.47 ล้านไร่ มันสำปะหลัง 10.84 ล้านไร่ ข้าวโพด 6.40 ล้านไร่ ไม้ผล 11.10 ล้านไร่ สวนผัก 4.19 ล้านไร่ และ ยางพารา 25.78 ล้านไร่ (กรมพัฒนาที่ดิน, 2558) พื้นที่ดังกล่าว มักประสบปญั หาขาดแคลนนำ้ ในฤดแู ลง้ ทำใหก้ ารใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรดินได้ไมเ่ ตม็ ศกั ยภาพ จำเป็นตอ้ ง ได้รับการพัฒนาแหลง่ น้ำให้พอเพียงกับความต้องการของเกษตรกร ประกอบกับในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพ้นื ที่ดินปัญหาทางการเกษตรกรรม โดยสามารถจำแนกตามสาเหตุของการเกิดได้ 2 ประเภท คือ 1) ดิน ปัญหาท่เี กดิ ตามสภาพธรรมชาติ มเี นื้อทีร่ วม 60 ล้านไร่ ไดแ้ ก่ ดนิ อนิ ทรีย์ 0.34 ลา้ นไร่ ดนิ เปรี้ยวจัด 5.42 ล้านไร่ ดินทรายจัด 11.86 ล้านไร่ ดินตื้น 38.19 ล้านไร่ ดินเค็ม 4.20 ล้านไร่ (บางพื้นที่พบคราบเกลือ และมีผลกระทบจากคราบเกลือมีเนื้อที่ 11.50 ล้านไร่) และ 2) ดินปัญหาที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดนิ เช่น ดินดาน ดินปนเปื้อน ดินเหมืองแร่ร้าง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีดินที่มีปัญหาเล็กน้อยที่เป็นข้อจำกัด ทางการเกษตร เช่น ดินกรด ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เป็นต้น (กรมพัฒนาที่ดิน, 2561) ปัญหา ทรัพยากรดินดังกล่าวกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่เกษตรน้ำฝนไม่สามารถ ก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการวางระบบเพื่อป้องกันไม่ให้ ปัญหาดินเกดิ เพิ่มมากขึน้ จนกอ่ ความเสยี หายในวงกว้าง ไมค่ มุ้ คา่ กบั การลงทุน ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งทีส่ ่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมในปัจจุบันเกิดจากการใชท้ ี่ดินและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดกระบวนการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ เกษตรกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการชะล้างพังทลายของดินเกิดจากกระบวนการที่สำคัญ คือ กระบวนการแตกกระจาย เมื่อเม็ดฝนตกลงมากระทบกับก้อนดิน ทำให้ก้อนดินแตกเป็นเม็ดดินเล็ก ๆ ภายหลังที่เม็ดฝนกระทบก้อนดินแล้วน้ำบางส่วนก็จะไหลซึมลงไปในดิน เมื่อดินอิ่มตัวจนน้ำไม่สามารถจะ ไหลซึมไปได้อีกแลว้ ก็จะเกิดน้ำไหลบา่ พัดพาเอาก้อนดินเล็ก ๆ ที่แตกกระจายอยู่บนผวิ ดินไปด้วยและพดั พาไป และการตกตะกอนทับถม เมด็ ดนิ ท่ีถกู พัดพาไปกบั นำ้ จะไหลลงสู่พ้ืนท่ีต่ำ ทำใหเ้ กิดการสะสมตะกอน ของดินในท่ีลุ่มต่ำ การชะล้างพังทลายของดิน เกิดจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ คือ 1) การชะล้างพังทลาย โดยธรรมชาติ เป็นการชะลา้ งพังทลายซ่ึงเกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ โดยมีทั้งน้ำและลมเป็นตัวการ เชน่ การชะ ละลาย การพัดพาโดยลมตามชายฝั่งทะเลหรือในทะเลทราย การพัดพาดินแบบนี้เป็นแบบที่ป้องกันไม่ได้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
3 และถ้าเกิดมกั ใช้เวลานาน เป็นการเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปและช้ามาก และ 2) การชะล้างพังทลายโดยมี ตัวเรง่ ท่มี ีมนษุ ย์หรือสตั ว์เลีย้ งเข้ามาช่วยเร่งให้มีการกัดกร่อนเพม่ิ ข้ึนจากการชะล้างพังทลายโดยธรรมชาติ เช่น การหักล้างถางป่าทำการเพาะปลูกอย่างขาดหลักวิชาการ ทำให้พื้นดินปราศจากส่ิงปกคลุม เกิดการ กัดกร่อนโดยลมและฝนและพัดพาดินสูญเสียไปได้เพิ่มขึ้น การสูญเสียดินจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ วธิ ีการทใี่ ช้ทำการเกษตร (กรมพัฒนาท่ีดนิ , 2558) กรมพัฒนาที่ดิน มีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทรัพยากรที่ดิน โดยการพัฒนาที่ดินและ อนุรักษ์ดินและนำ้ ซึ่งมาตรการด้านการอนุรักษ์ดนิ และน้ำจะชว่ ยปรบั โครงสร้างพื้นฐานของดินในพื้นท่ใี ห้ เหมาะสมกับการปลูกพืช พร้อมกับช่วยรักษาระบบนเิ วศทางดินให้เกิดการใช้ทีด่ ินได้อย่างย่ังยนื โดยก่อน เรม่ิ ดำเนินการต้องมีการการศึกษาและวเิ คราะห์สภาพของทดี่ ินในพ้ืนที่ก่อนเสมอ หากพ้ืนที่ดำเนินการอยู่ ในพนื้ ทีด่ ินปัญหา เชน่ ดินเคม็ ดินตน้ื หรอื ดนิ ทราย จำเป็นจะต้องมกี ารออกแบบระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ด้วยวิธกี ลและวธิ ีพชื เฉพาะพ้นื ท่ี เพ่ือควบคมุ หรือป้องกันไม่ใหด้ ินปัญหาเกิดการแพรก่ ระจายส่งผลกระทบ ก่อปญั หาเพิ่มข้ึนในพืน้ ที่อนื่ ต่อไป ดังนัน้ กรมพัฒนาทดี่ ิน จงึ เป็นหน่วยงานท่มี บี ทบาทสำคัญในการบริหาร จัดการทรัพยากรดินเชิงบูรณาการระดับลุ่มน้ำ โดยนำหลักวชิ าการและเทคนิคด้านการอนุรักษ์ดินและนำ้ มาใช้เป็นมาตรการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ให้พื้นที่สามารถใช้ ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า โดยพิจารณาจากสภาพปัญหาพื้นที่และความต้องการของชุมชนเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังศึกษานโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาล และท้องถิ่นในระดับต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ กำหนดมาตรการในแผนการใช้ที่ดินพร้อมข้อเสนอแนะด้านการจัดการพื้นทีใ่ ห้เกิดการใช้ท่ีดินอยา่ งยั่งยนื สามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมและขยายผลสู่การปฏิบัติใน พ้นื ทีอ่ นื่ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 1) เพื่อศึกษาและประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชงิ ระบบสำหรบั การป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดนิ และฟ้นื ฟพู น้ื ที่เกษตรกรรม 2) เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้ำที่มีการกำหนดมาตรการด้านการ ป้องกันการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟนื้ ฟูพน้ื ท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนรุ ักษ์ดินและนำ้ การจดั ทำแผนการบรหิ ารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟน้ื ฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความสอดคล้องของ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580): ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม ความสอดคล้องของ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ: แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำทั้ง ระบบ และความสอดคล้องของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2558 - 2569): แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
4 ยุทธศาสตร์ที่ 5 การอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน กลยุทธ์: การอนุรกั ษฟ์ นื้ ฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมในพ้ืนที่ดินเสื่อมโทรมและชะล้างพังทลายของดนิ โดยมีเป้าหมายสำคัญ สูงสุด คือ พื้นที่เกษตรกรรมได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูให้สามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตาม ศักยภาพของพื้นท่ี ไมน่ ้อยกว่า 20 ล้านไร่ ภายใน 20 ปี กำหนดกรอบแนวคิดจากหลักการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยการนำฐานข้อมลู ด้านทรัพยากรดิน ประกอบด้วย ดินปัญหาและการชะล้างพังทลายของดิน เป็นตัวกำหนดพื้นที่เป้าหมายจากสภาพปัญหา สำหรับนำไปใช้ในการบริหารจัดการ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเน้นกระบวนการมี ส่วนร่วมของชุมชน บูรณาการข้อมูลเชิงสหวิชาการ นำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาและวางแผนการใช้ที่ดิน กำหนดมาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำให้สอคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และความต้องการของ ชมุ ชน เพ่ือให้ได้เขตอนรุ ักษด์ ินและน้ำที่มีการบริหารจดั การเชิงระบบ พนื้ ทีก่ ารเกษตรสามารถใชป้ ระโยชน์ ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และเกษตรกรสามารถใช้ท่ีดินได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสมตามศักยภาพของดิน (ภาพ ท่ี 1-1) ภาพที่ 1-1 กรอบแนวคิดการดำเนินงาน จัดทำแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบ อนรุ ักษด์ ินและน้ำ พ้นื ทีล่ ุ่มน้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จังหวดั น่าน ครอบคลุมพ้นื ที่ 91,696 ไร่ 1) การรวบรวมข้อมูล เป็นข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากการรวบรวมเอกสารและงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ศึกษา วิเคราะห์ เชื่อมโยงสู่การจัดทำแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
5 ดนิ ดว้ ยระบบอนรุ กั ษด์ นิ และน้ำ ไดแ้ ก่ ฐานขอ้ มูลดา้ นทรพั ยากรดนิ ทรพั ยากรนำ้ สภาพภูมปิ ระเทศ สภาพ การใช้ที่ดิน เศรษฐกจิ และสงั คม แผนการใชท้ ่ดี ิน และขอ้ มลู การอนุรกั ษด์ ินและน้ำทีเ่ กยี่ วข้อง 2) การสำรวจภาคสนาม ข้อมูลปฐมภูมิ ได้แก่ การชะล้างพงั ทลายของดนิ ทรัพยากรดิน สภาพการ ใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงของการใช้ที่ดิน ทรัพยากรน้ำ สภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม และสภาวะ เศรษฐกจิ สงั คม 3) การวิเคราะห์และประเมินผลข้อมูล การประเมินสถานภาพทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ การ ประเมินการเปล่ยี นแปลงการใชท้ ด่ี ิน และการสำรวจขอ้ มูลดา้ นเศรษฐกิจและสงั คม 4) การประเมนิ พน้ื ทก่ี ารชะล้างพงั ทลายของดนิ 5) การจัดทำแผนการใชท้ ี่ดนิ เพื่อปอ้ งกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ 6) การรับฟังความคดิ เห็นของชมุ ชนผ่านกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม การประชาพจิ ารณ์เพื่อการรับฟงั ความคิดเหน็ ของชมุ ชนต่อการดำเนนิ งานโครงการ 7) การวิเคราะห์ลำดบั ความสำคญั เพื่อกำหนดพ้ืนท่ีเปา้ หมายในการดำเนินงาน 8) การจัดทำแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้ 9) การประชาพิจารณ์เพื่อการรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้าง พังทลายของดนิ และฟน้ื ฟพู นื้ ท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนรุ กั ษ์ดินและน้ำ 10) นำเสนอ (ร่าง) แผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่ เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการป้องกันการชะล้าง พังทลายของดินและฟื้นฟพู ื้นทเี่ กษตรกรรม ดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้ำ 11) ปรบั ปรุง (ร่าง) แผนบรหิ ารจัดการฯ และนำขอ้ มลู ใช้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการป้องกันการ ชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ขยายผลและขับเคลื่อน การดำเนนิ งานโครงการระยะตอ่ ไป พ้ืนทล่ี ุ่มน้ำห้วยนำ้ แหง อำเภอนานอ้ ย จงั หวดั นา่ น ปงี บประมาณ พ.ศ. 2563 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
6 1) ฐานข้อมูลด้านการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่เกษตรกรรม และสถานภาพด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม และเศรษฐกจิ และสงั คม สำหรบั เปน็ ขอ้ มลู พืน้ ฐานประกอบการพิจารณา กำหนดแผนการใชท้ ี่ดนิ 2) แผนบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้ำที่มีการกำหนดมาตรการด้านการป้องกันและฟื้นฟู ทรัพยากรดนิ ตามสภาพปัญหาของพืน้ ทแี่ ละความต้องการของชมุ ชน 1) กรมพัฒนาที่ดินมีต้นแบบแผนการบริหารจัดการโครงการจัดการชะล้างพังทลายของดินและพนื้ ฟพู ้ืนทีเ่ กษตรกรรมด้วยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และนำ้ ปี 2563 สำหรบั นำไปขยายผลในพืน้ ทีอ่ ื่น 2) มาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำที่กำหนดมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และ สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทรัพยากรดนิ ไดต้ ามตวั ชี้วดั ทก่ี ำหนด 1) กรมพัฒนาที่ดินสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำให้บรรลุเป้าหมาย ตามยุทธศาสตรช์ าติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนบรหิ ารจัดการน้ำของประเทศ 2) พื้นที่เกษตรกรรมมีแผนการจัดการการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนรุ ักษด์ นิ และนำ้ ทำใหเ้ กษตรกรสามารถใชท้ ด่ี ินไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตรงตามศักยภาพของพืน้ ท่ี 1) เชิงปรมิ าณ - ร้อยละความสำเร็จในการจัดทำฐานข้อมูลด้านการชะล้างพังทลายของดินสำหรับเป็นข้อมูล พน้ื ฐานประกอบการจัดทำแผนการบรหิ ารจัดการทรัพยากรดนิ ระดบั ลุม่ นำ้ (ร้อยละ 100) - จำนวนพื้นที่ที่มีการกำหนดแนวทางด้านการป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรดินตามสภาพปัญหา ของพื้นที่ (ไม่น้อยกว่า 100,000 ไร่/ลุ่มน้ำ) และจำนวนพื้นที่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ (ไม่น้อยกว่า 10,000 ไร่/ปี) 2) เชิงคุณภาพ - ฐานข้อมลู ด้านการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ มีความถูกต้อง ครบถว้ น สอดคล้องกบั สภาพปัญหา ของพ้นื ที่ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
7 - มาตรการด้านการป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรดิน มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพื้นท่ี และสามารถนำไปกำหนดแผนงานโครงการไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 1) กรมพัฒนาที่ดินมีต้นแบบแผนการบรหิ ารจัดการการปอ้ งกันการชะล้างพังทลายของดินและ พื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ สำหรับขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ดิน และนำ้ ให้บรรลเุ ปา้ หมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏริ ูปประเทศ และแผนบริหารจดั การน้ำของประเทศ 2) หน่วยงานที่ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำ มีค่าดัชนีชี้วัดที่สำหรับนำไปใช้ในการ พัฒนางานวิจัยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ ทรพั ยากรดนิ 3) กรมพัฒนาที่ดินมีแนวทางการดำเนินงานจัดทำแผนบริหารจัดการที่เป็นไปตามมาตรฐาน หลักวิชาการดา้ นอนรุ ักษ์ดินและนำ้ 4) เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของดินและพื้นที่ดินปัญหา มีแผนบริหาร การจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำ ใหส้ ามารถใช้ประโยชน์ทีด่ ินไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตรงตามศักยภาพของพ้นื ที่ คณะทำงานจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟู พื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรกั ษ์ดินและนำ้ พืน้ ที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนานอ้ ย จังหวดั นา่ น คณะกรรมการขบั เคลื่อนโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดนิ และฟืน้ ฟูพื้นท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษด์ นิ และน้ำ 1) ส่งรายงานเบื้องต้น (Preliminary Report) ประกอบการประชุมประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 (วันท่ี30 มถิ ุนายน 2563) 2) ส่งรายงานฉบับกลาง (Interiminary Report) แผนการใช้ที่ดินเพื่อป้องกันการชะล้าง พังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ประกอบการประชุมประชา พจิ ารณ์ครั้งที่ 2 (วนั ที่ 3 สงิ หาคม 2563) แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
8 3) ส่งร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ (Draft Final Report) แผนบริหารจัดการทรัพยากรดินเพื่อ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เสนอคณะ กรรมการฯ 4) ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) แผนบริหารจัดการทรัพยากรดินเพื่อป้องกันการ ชะลา้ งพังทลายของดนิ และฟ้นื ฟพู ้นื ท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้ (วันที่ 25 กนั ยายน 2563) แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
9 2 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
2 10 การจัดทำแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นการศึกษาและประเมิน สถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสำหรับแก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลายของดิ นและฟื้นฟูดินในพื้นท่ี เกษตรกรรมมีการกำหนดมาตรการด้านการป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรดินตามสภาพปัญหาของแต่ละ พื้นที่ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้ได้ต้นแบบแผนการบริหารจัดการป้องกันการชะล้าง พงั ทลายของดินและพ้ืนฟพู ้ืนทีเ่ กษตรกรรมดว้ ยระบบอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้ ปี 2563 สำหรับนำไปขยายผลใน พื้นทอี่ น่ื ตามกรอบวิธีการดำเนนิ งาน และขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน (ภาพท่ี 2-1) ดังนี้ ภาพท่ี 2-1 กรอบวธิ ีการดำเนินงาน แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
11 การรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เชื่อมโยงสู่การจัดทำแผนบริหาร จัดการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ประกอบด้วยข้อมูล แผนท่ี เอกสารรายงาน และผลงานวิชาการหรอื วิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ ทรัพยากรดนิ (มาตราสว่ น 1 : 25,000) ปี พ.ศ. 2561 และข้อมูลลักษณะสมบัติดินบางประการ (กองสำรวจดินและวิจัยทรัพยากรดิน กรมพัฒนาที่ดิน) ทรัพยากรน้ำ สภาพภูมิประเทศ สภาพภมู อิ ากาศ ปี พ.ศ. 2531 – 2561 (กรมอตุ นุ ิยมวิทยา) สภาพการ ใช้ที่ดิน มาตราส่วน 1 : 25,000 ปี พ.ศ. 2563 ข้อมูลเศรษฐกิจและสังคม และแผนการใช้ที่ดิน (กอง นโยบายและแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน และกรมการพัฒนาชุมชน) ข้อมูลพื้นที่เขตป่าไม้ถาวร ปี พ.ศ. 2561 (สำนกั เทคโนโลยกี ารสำรวจและทำแผนที่ กรมพัฒนาที่ดิน) และขอ้ มลู ดา้ นการชะลา้ งพงั ทลาย ของดนิ ระบบการอนุรักษด์ ินและน้ำ ตลอดจนรวบรวมข้อมลู อื่นๆ ท้ังในรูปแบบดิจิตอลและส่ิงพิมพ์ จาก หนว่ ยงานที่เก่ยี วขอ้ ง การสำรวจศึกษาข้อมูลภาคสนามเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลท่ี นอกเหนือจากที่มีอยู่ (ข้อ 2.1.1) และครอบคลุมประเด็นปัญหาของสภาพพื้นที่อย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อ วิเคราะห์ในการจัดทำแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ และวิเคราะห์การจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ดำเนินการ ได้แก่ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ สภาพการ ใช้ทีด่ นิ การชะล้างพงั ทลายของดิน และขอ้ มลู เศรษฐกิจและสังคม การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิที่มีอยู่ และดำเนินการสำรวจศึกษา และตรวจสอบ ดินในภาคสนามเพิ่มเติมในการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรดินในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง เพื่อสนับสนุนการ ประเมินการชะล้างพังทลายของดิน จัดทำแผนการใช้ที่ดิน และการกำหนดมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ และจัดทำแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหงมีขั้นตอน หลักในการศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลทุติยภูมิ สำรวจศึกษาดินในภาคสนาม และวิเคราะห์สภาพปญั หาดินทาง การเกษตร ดงั นี้ 1) ข้อมูลทรัพยากรดิน การประเมินข้อมูลทรัพยากรดิน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแผน ที่ดิน มาตราส่วน 1 : 25,000 ที่มีอยู่ เพื่อเป็นกรอบการพิจารณาการสำรวจศึกษา เก็บข้อมูล และ ตรวจสอบดนิ ในภาคสนามเพ่ิมเติม โดยใช้ข้อมูลประกอบได้แก่ แผนท่ีภาพถา่ ยออรโ์ ธสีเชิงเลข และแผนท่ี ภูมิประเทศเป็นแผนท่ีพื้นฐานในการสำรวจ โดยมขี ้นั ตอนการดำเนินงาน ดังนี้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุม่ น้าหว้ ยน้าแหง
12 (1) การปฏิบัติงานก่อนออกสนาม - การแปลข้อมูลในแผนที่ภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่โครงการ ถนน เสน้ ทางนำ้ การใช้ทด่ี ิน ลักษณะภูมิประเทศ ความลาดชนั และการชะล้างพังทลายของดิน - การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ข้อมูลดิน ข้อมูลทางธรณีวิทยา ข้อมูลสภาพภูมิ ประเทศ รว่ มกบั การแปลข้อมูลในแผนท่ภี าพถ่ายออรโ์ ธสีเชิงเลข เพอื่ ใหท้ ราบถึงสภาพพื้นที่และวิเคราะห์ พ้ืนท่ี เพือ่ อนุมานลกั ษณะและสมบัติของดินเบ้ืองตน้ ในพน้ื ท่ีศึกษา - การเขียนขอบเขตดินเบื้องต้น โดยพิจารณาข้อมูลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้าง พงั ทลายของดินและข้อมูลอน่ื ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องประกอบการกำหนดจุดเจาะสำรวจดนิ บนแผนที่ภาพถ่ายออร์ โธสเี ชงิ เลข (2) การปฏบิ ัตงิ านในภาคสนาม - การเจาะสำรวจดินตามจุดที่กำหนดไว้ในแผนที่ภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข หรือใน บริเวณพื้นที่ที่มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยใช้สว่านเจาะดินลึก 200 เซนติเมตร หรือถึงชั้น เชื่อมแข็งหรือแนวสัมผัสชั้นหินพื้น วางเรียงกันตามความลึก เพื่อตรวจศึกษาสมบัติทางเคมีและทาง กายภาพของดินทุกจุดดว้ ยเครือ่ งมือตรวจวัดภาคสนาม - การบันทึกสภาพแวดล้อมบริเวณพื้นที่ศึกษา ได้แก่ วัตถุต้นกำเนิดดิน ภูมิสัณฐาน ความลาดชัน การชะล้างพังทลายของดิน การระบายน้ำของดิน ความสามารถให้น้ำซึมผ่านของดิน ระดับน้ำใต้ ดนิ สภาพนำ้ ท่วมขงั พืชพรรณและการใชท้ ดี่ นิ - การศึกษาลักษณะสมบัติดินเพื่อใช้ในการจำแนกดิน เช่น ความหนาของชั้นดิน เน้ือ ดนิ สีดิน โครงสร้างของดนิ การจดั เรยี งตัวของชน้ั ดิน การยึดตัวของอนุภาคดนิ การเคลอ่ื นย้ายของอนุภาค ดนิ เหนียว ปริมาณการกระจายของรากพืช คา่ ปฏกิ ริ ิยาดิน ชนิดของชนิ้ สว่ นหยาบในดิน หรือวัตถุต่างๆ ท่ี พบในชน้ั ดนิ เชน่ กอ้ นกรวด ลกู รงั และเศษหิน เป็นตน้ - การจำแนกดินตามระบบอนุกรมวิธานดิน (Soil Survey Staff, 2014) ในระดับ ประเภทของชุดดินและดินคล้าย (phases of soil series or soil variants) เขียนหน่วยแผนที่ดินลงใน ภาพถ่ายออร์โธสี พร้อมทั้งปรับแก้ไขขอบเขตของดินในภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลขให้สอดคล้องกับสภาพ พ้ืนทจี่ รงิ ในสนาม - การบันทึกลักษณะดิน สภาพพื้นที่ และเก็บตัวอย่างดินบริเวณที่เป็นตัวแทนของ หนว่ ยแผนทด่ี นิ สำหรบั นำไปวิเคราะห์หาสมบัติกายภาพและทางเคมี เพอ่ื ประเมินความอุดมสมบูรณข์ องดิน (3) การจดั ทำแผนที่ดนิ การจัดทำแผนที่ดิน และสรุปหน่วยแผนที่ทั้งหมดในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง ในมาตราส่วน 1 : 25,000 2) ข้อมูลทรัพยากรดินปัญหา การจัดทำข้อมูลและแผนที่ดินปัญหาหรือสภาพปัญหาดิน ทางการเกษตร มาตราสว่ น 1 : 25,000 ในพ้ืนทล่ี ุ่มน้ำหว้ ยน้ำแหงตามขัน้ ตอน ดงั น้ี แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
13 (1) การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลดินเพื่อการจำแนกตามลักษณะและสมบัติดินประจำ ชุดดนิ จำแนกประเภทและความรนุ แรงของดินปญั หาต่อการผลิตพืช ตามปัญหาท่ีเกิดจากสภาพธรรมชาติ และจากการใช้ทด่ี ิน รวมถงึ ดนิ ที่มปี ัญหาเลก็ น้อยทีเ่ ป็นข้อจำกดั ทางการเกษตร (2) การจัดทำแผนที่ดินปัญหาและประเมินความรุนแรงของดินปัญหาในพื้นที่ ดำเนนิ การเพอ่ื นำไปใช้ในแก้ไข ฟื้นฟู และป้องกนั การชะล้างพังทลายของดิน รวมถึงกำหนดมาตรการด้าน การอนรุ ักษ์ดนิ และนำ้ เพ่ือการใช้ทีด่ ินทางการเกษตรไดอ้ ย่างย่งั ยืน การประเมินสถานภาพทรัพยากรน้ำ สำหรับนำไปใช้ในการประเมินการชะล้างพังทลาย ของดิน จัดทำแผนการใช้ทีด่ ิน กำหนดมาตรการป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินและอนุรักษ์ดินและน้ำ การประเมินปริมาณน้ำผิวดินที่ไหลจากพื้นผิวดินสู่รอ่ งน้ำ ลำห้วย คลองและแม่น้ำ โดยอาศัยการคำนวณ จากปริมาณนำ้ ฝนทต่ี กลงมาบนพน้ื ท่หี นงึ่ ๆ แล้วถกู ดูดซับลงไปเก็บกักไวใ้ นดนิ และระเหยไปในอากาศ น้ำ ที่เหลือจากกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ จะไหลลงสู่ร่องน้ำ ลำห้วย คลองและแม่น้ำต่อไป อัตราการไหล และปริมาณน้ำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรง ปริมาณน้ำ ทิศทางลม ลักษณะความลาดเท ของพ้นื ที่ ประสิทธภิ าพการเก็บกักนำ้ บนผวิ ดิน การใชท้ ่ีดิน สมบัตขิ องดนิ และขนาดของพื้นที่รับน้ำ ท้ังน้ี เพ่อื ใหไ้ ด้ฐานขอ้ มลู ทสี่ อดคลอ้ งกบั หลักการสำคัญของการอนุรักษ์ดินและน้ำท่ีเป็นการรักษาความชุ่มชื้นใน ดิน การเก็บกักน้ำไหลบ่าบนผิวดินไว้ใช้ในพื้นที่ที่เพื่อประโยชน์สูงสุดตามศักยภาพของพื้นที่บริเวณนั้น ๆ ในขณะเดียวกันจะต้องระบายน้ำส่วนเกินทิ้งไปในพื้นที่ที่ควบคุมได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพื้นท่ี โดยเฉพาะการกดั เซาะพังทลายของดิน จึงกำหนดการประเมนิ ศกั ยภาพภาพปริมาณน้ำทา่ ดงั นี้ 1) การคำนวณปริมาณน้ำท่า คำนวณด้วยวิธี Reginal Runoff equation (Lanning-Rush, 2000) โดยอาศัยความสัมพันธแ์ บบรีเกรซชน่ั (regression) ระหวา่ งปรมิ าณนำ้ นองสูงสดุ เฉลี่ยและพื้นท่ีรับ น้ำฝนจากข้อมูลสถานีวัดน้ำในลุ่มน้ำต่าง ๆ ในลุ่มน้ำขนาดใหญ่ เพื่อหาปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยที่จุดต่าง ๆ ใน ล่มุ นำ้ ดงั สมการ ������������ = ������������������ (1) เม่อื ������������ คอื ปรมิ าณน้ำนองสูงสุดรายปเี ฉลยี่ (ลูกบาศก์เมตร/วนิ าที) ������ คือ พนื้ ทรี่ ับน้ำฝน (ตารางกิโลเมตร) ������, ������ คือ ค่าคงท่ีคำนวณจากกราฟ 2) การคำนวณปริมาณน้ำท่าโมเดล ในพื้นที่ที่มีจำนวนและความซับซ้อนของข้อมูลมาก สามารถใช้ซอฟแวร์แบบจำลอง SWAT (SWAT model software) ในการจำลองสถานการณ์ได้ SWAT model เป็นการจำลองกระบวนการทางอุทกวทิ ยา โดยใชส้ มการสมดุลนำ้ ดังสมการ SWt = SW +∑������������=1(������������ − ������������ − ������������������ − ������������ − ������������������) (2) แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
14 เม่ือ SWt คือ ปรมิ าณน้ำในดินที่เปน็ ประโยชน์ (Available water capacity , มิลลเิ มตร) t คอื ชว่ งระยะเวลา i คือ เวลา (วัน) R คอื ปริมาณน้ำฝน (มลิ ลเิ มตร) Q คือ ปริมาณน้ำไหลบา่ (มิลลิเมตร) ET คือ ปรมิ าณการคายระเหย (มิลลิเมตร) P คือ ปริมาณนำ้ ที่ซึมลงไปในดนิ (มลิ ลเิ มตร) QR คือ ปริมาณนำ้ ท่ีไหลลงแม่น้ำ (มิลลเิ มตร) SWAT model ใชส้ ำหรบั การประเมินปริมาณน้ำทา่ ปรมิ าณนำ้ ใตด้ ิน ปรมิ าณตะกอนและ ปริมาณสารเคมที ีใ่ ช้ในการเกษตรภายในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำขนาดเล็ก ขนาดใหญ่และซับซ้อน แบบจำลอง SWAT (Soil and Water Assessment Tool) พัฒนาโดย Arnold et al. (1998) โดยอาศัยข้อมูลเชิงกายภาพ ได้แก่ ความสงู ตำ่ ของพื้นที่ (DEM) การใช้ประโยชน์ที่ดนิ สมบัติของดิน และภูมิอากาศ เพื่อการประเมินค่าดัชนี ที่บ่งชี้ความสมบูรณ์ของลุ่มน้ำ โดยแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยและภายในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยถูก แบ่งเปน็ หนว่ ยจัดการอุทกวิทยา (Hydrologic Response Units, HRUs) ซ่ึงเป็นการซอ้ นทบั ของช้นั ข้อมูล เชิงกายภาพ ความสงู ตำ่ ของพื้นที่ การใชท้ ่ีดิน ดิน สภาพภมู ิอากาศ และฝน 1) การรวบรวมและตรวจสอบเอกสาร ทั้งในรูปแบบของแผนที่ แผนที่เชิงเลข และรายงานท่ี เกี่ยวขอ้ งกับจงั หวดั นา่ น เพือ่ ใชใ้ นการกำหนดแนวทางการดำเนนิ งาน 2) การเตรยี มขอ้ มลู ดาวเทยี มและภาพถ่ายออรโ์ ธสี (1) ข้อมูลจากดาวเทียมไทยโชตที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วยข้อมูลเชิงเลข (digital data) และขอ้ มลู เชิงภาพ (analog data) การเตรยี มข้อมูลดาวเทียม มีข้นั ตอนการดำเนนิ งานดงั น้ี - การแก้ไขความคลาดเคลื่อนทางเรขาคณิต (geometric correction) เนื่องจาก ข้อมูลดาวเทียมที่ได้รับมา ยังมีความคลาดเคลื่อนเชิงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไข ตำแหน่งให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ซ้อนทบั กับชัน้ ข้อมูลอื่น ๆ ได้ โดยใช้ภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข ของกรมพฒั นาทดี่ ิน และแผนท่ีภมู ปิ ระเทศ มาตราส่วน 1 : 50,000 จากกรมแผนทที่ หารเป็นข้อมูลอา้ งอิง - การผลิตภาพจากข้อมลู ดาวเทียมไทยโชต ภาพทใ่ี ช้เป็นภาพผสมสเี ทจ็ (false color) สามช่วงคลื่น เพื่อให้ภาพชัดเจนและง่ายต่อการวิเคราะห์มากขึ้น ทำการผสมสีดังนี้ ช่วงคลื่นอินฟราเรด ใกล้ (Near Infrared–NIR) ให้ผ่านตัวกรองแสงสีแดง (red filter) เนื่องจากช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้เป็น ช่วงคลื่นที่พืชสีเขียวสะท้อนพลังงานมากที่สุด ดังนั้น บริเวณที่มีพืชใบเขียวอยู่ในภาพ จะมองเห็นเป็นสี แดงชัดเจน ส่วนช่วงคลื่นสีแดงให้ผ่านตัวกรองแสงสีเขยี ว (green filter) และช่วงคลื่นสีน้ำเงินให้ผ่านตัว กรองแสงสีน้ำเงิน (blue filter) หลังจากนั้น ทำการเน้นรายละเอียดของข้อมูลภาพด้วยข้อมูลภาพ ช่วงคลื่นเดียวหรือภาพขาว-ดำ ที่มีรายละเอียดจุดภาพ 2 เมตร ซึ่งเทคนิคนี้หรือที่เรียกว่า Pansharpening method จะทำให้ขอ้ มลู ภาพสีมรี ายละเอียดจดุ ภาพเพม่ิ ขึ้นเทา่ กบั 2 เมตร แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
15 - การผลิตภาพข้อมูลดาวเทยี ม LANDSAT 8 OLI จะใช้เทคนคิ ผสมสีเท็จ (false color composite) โดยช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้ Near Infrared (NIR) (0.85 - 0.88 ไมครอน) ผ่านตัวกรองสีแดง ช่วงคลื่นอินฟราเรดคลื่นส้ัน1 (Short Wave Infrared1: SWIR1) (1.57 - 1.65 ไมครอน) ผ่านตัวกรองสี เขยี ว และช่วงคลื่นสีแดง (0.64 - 0.67 ไมครอน) ผ่านตวั กรองสนี าํ้ เงิน เพ่อื ใช้ในการจำแนกพืชพรรณ (2) การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพการใช้ที่ดินจากข้อมูลดาวเทียม และภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของข้อมูล คือ ความเข้มของสีและสี (tone/color) ขนาด (size) รูปร่าง (shape) เนื้อภาพ (texture) รูปแบบ (pattern) ความสูงและเงา (height and shadow) ความ เก่ยี วพนั (association) และการเปล่ียนแปลงตามฤดูกาล (temporal change) เพ่ือวเิ คราะหข์ ้อมูลสภาพ การใช้ที่ดิน โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์แล้วจึงนำชั้นข้อมูลที่ได้ทำการ วิเคราะห์ซ้อนทับกับภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข และข้อมูลจากดาวเทียมไทยโชต เพื่อจัดพิมพ์เป็นแผนท่ี สำหรบั การสำรวจและตรวจสอบข้อมลู ในภาคสนาม 3) การสำรวจข้อมลู ในภาคสนาม โดยสำรวจและตรวจสอบรายละเอียดสภาพการใชท้ ีด่ ินใน พน้ื ท่ีจริง พร้อมทง้ั แกไ้ ขรายละเอยี ดให้มีความถูกต้องตรงกบั สภาพปัจจบุ ัน 4) การสร้างฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS database) เป็นการจัดทำทั้งฐานข้อมูล เชิงพื้นที่ (spatial data) และฐานข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (attribute data) ของข้อมูลจากภาคสนาม และข้อมูลแผนทจี่ ากส่วนทเี่ กยี่ วขอ้ ง โดยนำเขา้ และประมวลผลในระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ ดงั นี้ (1) การสร้างฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ เป็นการนำเข้าข้อมูลในรูปแผนที่เชิงเลข เพื่อใช้วิเคราะห์ และประมวลผลเชิงพนื้ ท่ี (2) การสร้างฐานข้อมูลเชิงคุณลักษณะ เป็นการนำเข้าข้อมูลด้านคุณลักษณะของแผนที่ และ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลทั้ง 2 ประเภท สำหรับ ใช้ในการวิเคราะห์และประมวลผลในระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ 5) การจัดทำแผนที่และฐานข้อมูล สภาพการใช้ที่ดินของพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนา นอ้ ย จงั หวัดนา่ น พ.ศ. 2563 การสำรวจเก็บรวบรวบข้อมูลด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อประกอ บการจัดทำแผนการใช้ ที่ดินและแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและความเสื่อมโทรมของดิน ด้ว ยระบบ อนุรักษ์ดินและน้ำ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่ ได้แก่ ข้าว ขา้ วโพดเลย้ี งสตั ว์ ยางพารา และไมส้ กั มขี น้ั ตอนการดำเนินงาน ดังน้ี 1) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ เกษตรกรผู้ให้สัมภาษณ์ ข้อมูลสถิติจาก หนว่ ยงานตา่ ง ๆ โดยสามารถจัดข้อมลู ได้ 2 ประเภท คือ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
16 (1) ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากการสำรวจในภาคสนามด้วยวิธี การ สัมภาษณ์เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย โดยการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใชต้ ารางสําเร็จรูปของ Taro Yamane ที่ระดับความเชื่อม่ัน 90% ได้ขนาดจำนวนตวั อย่างทัง้ สิ้น 100 ตัวอย่าง แล้วทำการสุ่มตัวอยา่ ง ในการเก็บข้อมูลโดยใช้วิธีแบบเจาะจง (purposive sampling) คือ เลือกเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกพืช (ข้าว ข้าวโพดเล้ยี งสัตว์ ยางพารา และไมส้ กั ) ในพนื้ ทเ่ี ป้าหมาย และใชแ้ บบสอบถามในการสมั ภาษณ์เกษตรกร (2) ข้อมูลทุติยภูมิ คือ ข้อมูลต่างๆ ที่เก็บรวบรวมจากเอกสารวิชาการ ผลงานวิจัย รายงาน บทความ และระบบสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับระบบการปลูก การดูแลรักษา และการเกบ็ เกย่ี ว เป็นต้น เพอื่ เป็นข้อมลู สำหรับอา้ งองิ และประกอบการศึกษาต่อไป 2) การวิเคราะหข์ อ้ มูล การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ แล้วทำการตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของ ข้อมูล และประมวลผล จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (descriptive analysis) แสดงผลเปน็ คา่ ร้อยละ และ/หรอื คา่ เฉล่ีย แบง่ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ดงั น้ี (1) การวเิ คราะห์ข้อมลู ทั่วไปของครัวเรือนเกษตร ความรู้ ความเข้าใจ ด้านการอนุรักษ์ ดินและน้ำ ผลกระทบของการชะล้างพังทลายของดิน ตลอดจนทัศนคติ ปัญหาและความต้องการความ ชว่ ยเหลือจากรฐั ของเกษตรกร (2) การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ปัจจัยการผลิต โดยใช้ปริมาณและมูลค่าปัจจัยการ ผลิตที่สำคัญ ได้แก่ การใช้พันธุ์ การใช้ปุ๋ยชนิดต่าง ๆ (ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์) การใช้สารป้องกันและ กำจัดวัชพืช/ศัตรูพืช/โรคพืช การใช้แรงงานคน และแรงงานเครื่องจักร โดยวิเคราะห์และสรุปข้อมูลมาเป็น ค่าเฉลี่ยต่อพนื้ ท่ี 1 ไร่ (3) การวิเคราะห์ข้อมูลต้นทนุ และผลตอบแทนในการผลติ ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต ประกอบด้วย ต้นทุนทั้งหมด ต้นทุนผันแปร และต้นทุน คงที่ โดยมวี ธิ กี ารคำนวณต้นทุน ดงั นี้ ตน้ ทุนทั้งหมด = ต้นทุนผันแปร + ต้นทุนคงท่ี ต้นทนุ ผันแปร เป็นค่าใช้จ่ายท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการผลติ ทจี่ ะเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการ ผลิต คา่ ใช้จ่ายประเภทนี้ เกษตรกรสามารถเพมิ่ หรือลดไดใ้ นช่วงระยะเวลาการผลิตพืช เช่น คา่ พนั ธุ์ ค่าปยุ๋ ค่าแรงงานคน คา่ แรงงานเคร่ืองจกั ร คา่ ซ่อมแซมอปุ กรณก์ ารเกษตร และค่าขนสง่ ผลผลิต เป็นต้น ต้นทุนคงที่ เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแก่เกษตรกร ถึงแม้จะไม่ได้ทำการผลิตพืช เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายประเภทนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิตพืช เช่น ค่าเช่าที่ดินที่ใช้ในการปลูกพืช ค่า ภาษที ดี่ นิ ซงึ่ ตอ้ งเสียทกุ ปี ไม่วา่ ทด่ี ินผนื น้ันจะใชป้ ระโยชนใ์ นปีน้นั ๆ หรือไม่ก็ตาม - การวเิ คราะหผ์ ลตอบแทนการลงทุน มีวิธกี ารคำนวณ ดงั นี้ ผลตอบแทนเหนือตน้ ทุนท้ังหมด = ผลตา่ งระหวา่ งมลู ค่าผลผลติ ทงั้ หมดกบั ต้นทุนทง้ั หมด แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
17 - อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนทั้งหมด (Benefit-cost Ratio: B/C Ratio) เป็นการ วิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน เพื่อใช้ในการตัดสินใจในการลงทุนว่าควรจะลงทุนในการผลิตหรือไม่ เป็นการวิเคราะห์อัตราสว่ นเปรยี บเทียบมูลค่าปัจจุบันเฉลี่ยต่อไร่ของผลตอบแทนกับต้นทุนทั้งหมดตลอด ช่วงปีที่ทำการผลิต โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกลงทุนในโครงการใด ๆ คือ B/C Ratio ที่มีค่า มากกว่าหรือเท่ากับ 1 ถ้า B/C Ratio มากกว่า 1 หมายความว่า ผลตอบแทนท่ีได้รับจากการผลิตพืช มากกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เสียไป หรือถ้า B/C Ratio เท่ากับ 1 หมายความว่า ผลตอบแทนที่ได้รับจาก การผลติ พชื เทา่ กับคา่ ใชจ้ ่ายหรอื ตน้ ทุนทเ่ี สยี ไปพอดี การประเมินการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่โครงการฯ โดยอาศัยสมการการสูญเสียดินสากล (Universal Soil Loss Equation, USLE) (Wischmeier and Smith, 1965) ซงึ่ สมการนถี้ ูกพัฒนาข้ึนมา เพื่อใช้ประเมินการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่เกษตร และเป็นการชะล้างพังทลายของดินที่เกิดจาก การกระทำของนำ้ ไม่รวมถึงการชะล้างพังทลายท่ีเกิดจากลม ดังสมการ A = R K LS C P (3) สมการดังกล่าวพิจารณาการชะล้างพังทลายของดินจากการตกกระทบของเม็ดฝน (raindrop erosion) และแบบแผน่ (sheet erosion) ไม่ครอบคลมุ ถึงการชะล้างพังทลายแบบริว้ (rill erosion) และ แบบร่อง (gully erosion) (Wischmeier and Smith, 1965) ซึ่งปัจจัยที่นำมาพิจารณาในสมการ ได้แก่ ปรมิ าณนำ้ ฝน ความแรงของน้ำฝน ลกั ษณะของดิน ลกั ษณะของพชื คลุมดิน สภาพของพ้นื ท่ีและมาตรการ ระบบอนรุ กั ษด์ นิ และนำ้ รายละเอยี ดแต่ละปจั จยั ทีเ่ ก่ียวข้อง ดงั น้ี 1) ปจั จัยทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับฝน (erosivity factor: R) เป็นคา่ ความสัมพันธข์ องพลังงานจลน์ของเม็ดฝน ที่ตกกระทบผิวหน้าดินกับปริมาณความหนาแน่นของฝนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งความสัมพันธ์นี้ได้มีผู้ ศกึ ษาและนำมาประยกุ ตใ์ ช้อยา่ งกวา้ งขวาง (มนูญ และคณะ, 2527 และ Kunta, 2009) ในการศึกษานี้ได้ นำค่าสหสัมพนั ธ์ระหว่างค่าปัจจัยการกดั กร่อนของฝนสอดคล้องตามวธิ ีการของ Wischmeier (กรมพัฒนา ที่ดิน, 2545; มนูญ และคณะ, 2527) มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี (average annual rainfall) ในช่วงระยะเวลา 30 ปี (พ.ศ. 2531-2561) ได้ค่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับฝนสำหรับพื้นท่ี โครงการฯ 2) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของดิน (erodibility factor: K) เป็นค่าความคงทนของดิน ภายใต้ สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันดินแต่ละชนิดจะทนต่อการชะล้างพังทลายที่แตกต่างกัน สอดคล้องตาม หลักการของ Wischmeier นั้น สามารถวิเคราะห์ค่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะดินน้ีจากภาพ Nomograph โดยประเมนิ ได้จากสมบัตขิ องดิน 5 ประการคอื (1) ผลรวมปรมิ าณร้อยละดินของทรายแป้ง และปริมาณร้อยละของทรายละเอียดมาก (2) ปริมาณร้อยละของทราย (3) ปริมาณร้อยละของ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
18 อินทรียวัตถุในดิน (4) โครงสร้างของดิน และ (5) การซาบซึมน้ำของดิน (กรมพัฒนาที่ดิน, 2545) ได้มี การศึกษาปจั จยั ดงั กลา่ ว และใหค้ า่ ปจั จยั ท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของดินสอดคลอ้ งตาม 3) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิประเทศ (slope length and slope steepness factor: LS) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความลาดชัน และความยาวของความลาดชัน ตามปกติแล้วค่าการชะล้าง พังทลายของดินนั้นจะแปรผันตรงกับความลาดชันสูงและความยาวของความลาดชัน ในการศึกษานี้ได้ใช้ ข้อมูลความสูงจากแบบจำลองระดับความสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model, DEM) โดยคำนวณทั้ง สองปัจจยั สอดคล้องกับการศึกษาของ (Hickey et al., 1994) 4) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพืช (crop management factor: C) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ พืชคลุมดิน ซึ่งพืชแต่ละชนิดย่อมมีความต้านทานในการชะล้างพังทลายของดินที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ความสูงของต้น ลักษณะพุ่ม หรือการยึดอนุภาคดินของรากพืชนั้น ๆ เป็นต้น ในกรณีที่ไม่มีพืชปกคลุมดิน นั้น ค่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพืชนี้จะมีค่ามากที่สุด ในที่นี้ คือ 1.00 ส่วนกรณีที่พืชปกคลุมดิน สามารถต้านทางการชะล้างพังทลายของดินไดด้ ีจะใหค้ ่าปัจจัยนีน้ อ้ ย นอกจากน้ี ปัจจัยที่เกี่ยวขอ้ งกับการ จัดการพืชนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศในพื้นที่นั้น ๆ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศนัน้ มีผลต่อการ เจริญเติบโตของพชื 5) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ดินและน้ำ (conservation factor: P) เป็นปัจจัยที่แสดงถึง มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่นั้น ๆ เช่น การปลูกพืชตามแนวระดับ (contouring) การปลูกพืชสลับ ขวางความลาดเอียง (strip cropping) การปลูกพืชในพื้นที่ท่ีมีคันนา เป็นต้น ในที่นี้ใช้ค่าตามการศึกษา ของกรมพัฒนาที่ดิน (2545) จากค่าปัจจัยทั้ง 5 ปัจจัยนั้น สามารถนำมาคำนวณการสูญเสียดินสอดคล้อง ตามสมการการสูญเสียดินสากลได้บนฐานข้อมูลแบบราสเตอร์ (raster) โดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จากผลการคำนวณค่าการสูญเสียดินนั้น สามารถนำมาจัดชั้นความรุนแรงของการสูญเสียดิน ทำให้ทราบ ถงึ ขอบเขตของพ้นื ท่ีมปี ญั หา เนื่องจากการสูญเสียดินเพอื่ เป็นแนวทางในการวางแผนอนรุ ักษ์ดินและน้ำใน พ้ืนท่ีตอ่ ไป ตารางท่ี 2-1 ระดบั ความรุนแรงของการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ ระดบั ความรนุ แรงของการชะลา้ งพงั ทลาย ค่าการสูญเสียดนิ (ตนั /ไร/่ ป)ี น้อย 0-2 ปานกลาง 2-5 รนุ แรง 5-15 รนุ แรงมาก 15-20 รุนแรงมากทส่ี ุด มากกว่า 20 ที่มา: กรมพัฒนาท่ีดนิ (2545) แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
19 ตารางที่ 2-2 ชั้นของการกัดกร่อน (degree of erosion classes) สญั ลักษณ์ ช่ือเรียก การสูญเสยี ของชนั้ ดนิ (%) E0 ไมม่ กี ารกร่อน (non eroded) 0 E1 กร่อนเลก็ น้อย (slightly eroded) E2 กร่อนปานกลาง (medium eroded) 0 - <25 E3 กร่อนรนุ แรง (severe erosion) 25 – 75 E4 กรอ่ นรุนแรงมาก (very severe erosion) > 75 ที่มา: กรมพฒั นาท่ีดิน (2551) 100 การจัดทำแผนการใช้ที่ดิน เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางภูมิสารสนเทศ (Geographic Information System: GIS) เพื่อจัดทำแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยการประมวลผล ข้อมูลทางกายภาพ ได้แก่ ประเภทการใช้ที่ดิน การประเมินคุณภาพดิน น้ำ สภาพภูมิอากาศ สภาพ เศรษฐกจิ และสงั คม ดงั นี้ วิเคราะห์ประเภทการใช้ที่ดิน จากชนิดของพืช ลักษณะการดำเนินงาน และสภาพการผลิต ในการใชท้ ด่ี นิ ท้ังทางด้านกายภาพและสภาพเศรษฐกิจสงั คม ซ่งึ ได้แก่ รปู แบบการผลิต การเขตกรรม การ จัดการ เงินทุน และขนาดของกิจการ เป็นต้น โดยใช้ขอ้ มูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพือ่ คัดเลือกประเภทการใช้ ทีด่ นิ ทีเ่ หมาะสม (กรมพฒั นาที่ดิน, 2561) กบั ความต้องการการผลิตพืชของเกษตรกรในท้องถ่นิ น้นั การคัดเลือกประเภทการใช้ที่ดินมีวิธีการโดยวิเคราะห์ข้อมูลดินร่วมกับข้อมูลสภาพการใช้ ที่ดินมาจดั ทำหน่วยที่ดิน หลังจากนนั้ ถึงดำเนินการเก็บข้อมลู ตามเนื้อทสี่ ภาพการใชท้ ่ดี ินที่มีมากทีส่ ุดในลุ่มน้ำ การประเมินคุณภาพที่ดินด้านกายภาพเป็นการวิเคราะห์ศักยภาพของหน่วยที่ดินต่อการใช้ ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ในระดับการจัดการที่แตกต่างกัน วิธีการประเมินคุณภาพที่ดินมีหลายวิธี กลุ่มวางแผนทรัพยากรน้ำเพื่อการพัฒนาที่ดินได้เลือกใช้วิธีการประเมินคุณภาพที่ดินตามหลั กการของ FAO Framework ซึง่ มจี ำนวน 2 รูปแบบ แต่ในการประเมินคุณภาพที่ดินเบ้ืองต้นจะทำการประเมินเพียง ด้านเดียว คือ การประเมินทางด้านคุณภาพ เป็นการประเมินเชิงกายภาพว่าที่ดินนั้น ๆ มีความเหมาะสม มากหรือน้อยเพียงใดต่อการใช้ที่ดินประเภทต่าง ๆ โดยศึกษาการประเมินคณุ ภาพดนิ ร่วมกับประเภทการ ใช้ทด่ี นิ ท่ีได้กำหนดเป็นตัวแทนการเกษตรกรรมหลักในลุม่ นำ้ สาขา การวิเคราะห์ได้คำนงึ ถึงปจั จยั ที่มีผลต่อ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
20 การเจรญิ เตบิ โตของพชื ในแต่ละดา้ นของดนิ ที่แตกต่างกัน โดยอาศยั คุณลกั ษณะดนิ แตกต่างกนั ไปตามวัตถุ ตน้ กำเนิดของดนิ ซงึ่ คุณลกั ษณะทดี่ นิ ท่ีใชใ้ นการแสดงค่าเพ่ือวดั ระดับการเจรญิ เตบิ โตแตกต่างกัน คุณภาพที่ดินที่นำมาประเมินสำหรับการปลูกพืช ในระบบ FAO Framework ได้กำหนดไว้ ทั้งหมด 25 ชนิด แต่ที่นำมาพิจารณาเพื่อประเมินความเหมาะสมของที่ดินในแต่ละประเภทการใช้ที่ดินมี จำนวน 8 คุณภาพท่ดี นิ ประกอบด้วย 2.1) ระบอบอุณหภูมิ (Temperature regime: T) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิในฤดูเพาะปลูก เพราะอุณหภูมิมี อิทธิพลต่อการงอกของเมล็ด การออกดอกของพืชบางชนิด และมีส่วนสัมพันธ์กับกระบวนการสังเคราะห์ แสง ซงึ่ ส่งผลกระทบต่อการเจรญิ เตบิ โตของพืช 2.2) ความชมุ่ ชนื้ ทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ พชื (Moisture availability: M) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ ระยะเวลาการท่วมขังของน้ำในฤดูฝน ปริมาณ น้ำฝนเฉลี่ยในรอบปหี รือความต้องการน้ำในช่วงการเจริญเติบโตของพืช นอกจากน้ีได้พิจารณาถึงลักษณะ ของเนื้อดิน ซงึ่ มีผลต่อความสามารถในการอุม้ น้ำ ที่เปน็ ประโยชน์ต่อพชื 2.3) ความเป็นประโยชน์ของออกซเิ จนตอ่ รากพืช (Oxygen availability: O) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ สภาพการระบายน้ำของดิน ทั้งนี้เพราะพืช โดยทัว่ ไปรากพชื ต้องการออกซิเจนในกระบวนการหายใจ 2.4) ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร (Nutrient availability: S) คุณลักษณะที่เปน็ ตัวแทน ได้แก่ ปรมิ าณธาตุอาหารพชื ในดิน 2.5) ความเสียหายจากนำ้ ทว่ ม (Flood hazard: F) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ จำนวนครั้งที่น้ำท่วมในช่วงรอบปีที่กำหนดไว้ หมายถึง พืชได้รับความเสียหายจากการที่น้ำท่วมบนผิวดินชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือเป็นน้ำที่มีการไหลบ่า การทน่ี ำ้ ท่วมขังจะทำให้ดนิ ขาดออกซิเจน สว่ นน้ำไหลบา่ จะทำให้รากพืชได้รับความกระทบกระเทือนหรือ รากอาจหลุดพ้นผิวดินข้นึ มาได้ ความเสียหายจากน้ำทว่ มไม่ใช่จะเกิดกับพืชเท่านนั้ แต่ยังทำความเสียหาย ให้กับดินและโครงสรา้ งพืน้ ฐานต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการใชท้ ่ดี ิน 2.6) สภาวะการหย่ังลึกของราก (Rooting conditions: R) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ ความลึกของดิน ความลึกของระดับน้ำใต้ดิน และชั้น การหยง่ั ลึกของราก โดยความยากง่ายของการหยั่งลึกของรากในดินมปี ัจจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ ลักษณะเน้ือดิน โครงสร้างของดนิ การเกาะตัวของเม็ดดิน และปรมิ าณกรวดหรอื เศษหินที่พบบนหน้าตดั ดิน 2.7) ศกั ยภาพในการใช้เคร่ืองจักร (Potential for mechanization: W) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ ความลาดชันของพื้นที่ ปริมาณหินโผล่ ปริมาณก้อน หนิ และการมีเนอื้ ดินเหนียวจัด ซง่ึ ปัจจัยทั้ง 4 น้ีอาจเปน็ อปุ สรรคตอ่ การไถพรวนโดยเครือ่ งจักร 2.8) ความเสียหายจากการกดั กรอ่ น (Erosion hazard: E) คณุ ลักษณะทด่ี ินทเ่ี ป็นตัวแทน ไดแ้ ก่ ความลาดชันของพนื้ ท่ี แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
21 การจำแนกความเหมาะสมของที่ดินตามหลักเกณฑ์ของ FAO Framework เป็นการ ประเมินศักยภาพของที่ดินสำหรับการปลูกพืชหรือประเภทการใช้ที่ดิน โดยการพิจารณาเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพที่ดินกับความต้องการปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญ เติบโตของพืชหรือ ประเภทการใช้ทีด่ ินว่ามคี วามเหมาะสมอยู่ในระดับใด และมีข้อจำกัดใดบ้าง โดยไดจ้ ำแนกความเหมาะสม ออกเปน็ 4 ชน้ั คือ S1 : ช้นั ทม่ี คี วามเหมาะสมสงู S2 : ชนั้ ทีม่ คี วามเหมาะสมปานกลาง S3 : ชัน้ ทม่ี คี วามเหมาะสมเลก็ น้อย N : ชนั้ ทีไ่ ม่มคี วามเหมาะสม จากการประเมินคุณภาพที่ดินสามารถสรุปพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปลูกพืชแต่ละชนิดโดย พจิ ารณาจากเน้ือท่ีประเภทการใช้ที่ดนิ ที่ดำเนนิ การปลูกจริงและมีเนื้อท่ีการปลูกพชื มากท่ีสดุ ในล่มุ น้ำห้วยน้ำ แหง จำนวน 6 ประเภทการใช้ที่ดิน เป็นพืชตัวอย่างที่นำมาพิจารณาชั้นความเหมาะสมตามศักยภาพ ของเน้ือ ที่ลุ่มน้ำ ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทำแผนการใช้ที่ดิน จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพการใช้ที่ดินร่วมกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายในพื้นที่โครงการฯ โดยการ วิเคราะห์อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องรักษาสภาพป่าไม้และระบบนิเวศของพื้นที่ไว้ ร่วมกับการใช้พื้นที่ให้ เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายใต้ข้อจำกัดการใช้ที่ดินของภาครฐั และต้องสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสงั คมของชมุ ชนในพื้นที่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นการ มีสว่ นร่วมของชมุ ชนและภาครฐั ในการพจิ ารณาจัดทำแผนการใช้ที่ดินในพื้นทีโ่ ครงการฯ เพือ่ ให้เกิดการใช้ พื้นที่อย่างยั่งยืน และคงไว้ซึ่งสมดุลของระบบนิเวศรวมทั้งก่อให้เกิดประโยชน์ ในแง่ของการฟื้นฟูและ อนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 1) กลุ่มเปา้ หมายและพน้ื ที่ดำเนินการ การคดั เลอื กกลมุ่ เป้าหมายบริเวณลมุ่ นำ้ ห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จงั หวดั นา่ น จำนวน 6 ตำบล 49 หมู่บ้าน โดยเลือกตัวแทนชุมชนจากผู้นำชุมชน หมอดินอาสาประจำตำบล และเกษตรกรผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง รวมกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมการประชุม จำนวน 60 คน ซ่ึง เปน็ ตัวแทนของพ้ืนทีด่ ำเนนิ การ ดงั นี้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
22 (1) ตำบลน้ำตก จำนวน 40 ราย ประกอบด้วย ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบล นำ้ ตก กำนนั ผู้ใหญ่บ้าน หมอดินอาสา เกษตรกรผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย ท้ัง 7 หมบู่ า้ น คือ บ้านพืชเจริญ บ้าน น้ำพุ บ้านน้ำสระ บ้านวงั กอก บ้านเปา บ้านไทยงาม บ้านพชื มงคล (2) ตำบลนานอ้ ย จำนวน 8 ราย ประกอบดว้ ย ผแู้ ทนจากองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลนา น้อย กำนัน หมอดินอาสาประจำตำบล และเกษตรกรผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสียในพ้ืนทลี่ มุ่ น้ำห้วยน้ำแหง (3) ตำบลบัวใหญ่ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบลบัว ใหญ่ กำนนั หมอดินอาสาประจำตำบล (4) ตำบลศรีษะเกษ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบล ศรษี ะเกษ กำนัน หมอดนิ อาสาประจำตำบล (5) ตำบลเชียงของ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย ผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนตำบล เชยี งของ กำนนั หมอดนิ อาสาประจำตำบล (6) ตำบลสนั ทะ จำนวน 3 ราย ประกอบดว้ ย ผูแ้ ทนจากองค์การบรหิ ารส่วนตำบลสันทะ กำนนั หมอดนิ อาสาประจำตำบล 2) ประเด็นการรับฟงั ความคดิ เห็น กำหนดการแบง่ กลุ่ม (Focus group) ออกเปน็ 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ กลมุ่ พน้ื ทต่ี น้ น้ำ ทีม่ ีความ เสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายสูง กลุ่มพื้นที่กลางน้ำ ที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายปานกลาง กลุ่ม พื้นที่ปลายน้ำ ที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายเล็กน้อย เป็นตัวแทนกลุ่มที่เป็นผู้นำชุมชน หมอดิน อาสา และเกษตรกรผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีประเด็นการรับฟังความคิดเห็น คือ ความรู้ความเข้าใจของ เกษตรกรต่อการชะล้างพังทลายของดิน สภาพปัญหาของพื้นที่ แนวทางการแก้ไขปัญหา (ภูมิปัญญาและ ตามหลักวิชาการ) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของพื้นที่ร่วมกับชุมชน และการกำหนดเป้าหมายในการ ดำเนินงาน (ภาพที่ 2-2) ภาพท่ี 2-2 ประเดน็ การรับฟังความคิดเหน็ ของชมุ ชนแบบมีส่วนรว่ ม แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
23 1) จัดทำ (ร่าง) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นท่ี เกษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดินและนำ้ เพ่ือประกอบการประชมุ รบั ฟงั ความคิดเหน็ จากเกษตรกรผมู้ ีส่วน ได้สว่ นเสยี ในพืน้ ทล่ี ุ่มน้ำห้วยน้ำแหง หนว่ ยงานภาครัฐ ประชุมรบั ฟังความคดิ เห็นต่อการจัดทำแผนบริหาร จดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดินและฟืน้ ฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมดว้ ยระบบอนรุ ักษ์ดินและนำ้ พน้ื ท่ีลุ่ม นำ้ หว้ ยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวดั น่าน ในวันพุธท่ี 15 กรกฎาคม 2563 เวลา 08.30 น. – 16.30 น. ณ ห้อง ประชมุ สถานพี ัฒนาที่ดินนา่ น โดยมผี เู้ ข้ารว่ มประชุมจากเกษตรกรผู้มีสว่ นได้ส่วนเสียในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำห้วยน้ำ แหงและหน่วยงานภาครัฐระดับจังหวัด ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ ม กระทรวงมหาดไทย และองค์การบรหิ ารส่วนตำบล 2) ปรับปรุงแก้ไข (ร่าง) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ ฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ก่อนนำเสนอต่อคณะทำงานจัดทำแผนการบริหาร จดั การโครงการปอ้ งกันการชะลา้ งพังทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพ้นื ท่เี กษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน และคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการป้องกันการชะ ล้างพังทลายของดนิ และฟน้ื ฟูพ้นื ทเี่ กษตรกรรม ดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดินและนำ้ การกำหนดพน้ื ทีเ่ ป้าหมายเพื่อดำเนินกิจกรรม (implement) ประกอบการจดั ทำแผนปฏิบัติการให้ สอดคล้องกับสภาพปัญหาพื้นที่และความต้องการของชุมชน ด้วยการวิเคราะห์ลำดบั ความสำคัญเปน็ การ กำหนดพื้นที่นำร่องโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบ อนุรักษ์ดินและน้ำ พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน จากขอบเขตพื้นที่ลุ่มน้ำย่อย จำนวน 91,696 ไร่เมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์จากข้อมูลทุติยภูมิเบื้องต้นทั้งรูปแบบรายงานและแผนท่ี ประกอบด้วย ข้อมูลดินและสภาพดินปัญหา การชะล้างพังทลายของดิน การใช้ทีด่ ิน และแผนการใช้ที่ดิน จากขอ้ มูลหน่วยงานท่ีเก่ยี วขอ้ ง และการสำรวจขอ้ มลู จากสภาพพน้ื ทด่ี ำเนินการจรงิ ในปัจจุบัน และการรบั ฟังความคิดเห็นต่อแนวทางการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบ อนุรักษ์ดินและน้ำ จะทำให้ได้เกณฑ์ (criteria) สำหรับนำมาใช้ในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายและกำหนด แผนงาน/โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการได้ เช่น ระดับความรุนแรงของพื้นที่ชะล้างพังทลาย ของดิน (soil erosion) พื้นที่ถือครอง แหล่งน้ำ สถานการณ์ภัยแล้งและน้ำท่วม ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ การใช้ทีด่ นิ และการมสี ว่ นร่วมหรอื การยอมรับของชมุ ชน ในการคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการ ปัจจัยหลักที่นำมาพิจารณา 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ระดับความ รนุ แรงของการชะล้าง 2) เอกสารสิทธ์ิ 3) การใชท้ ่ีดิน 4) กิจกรรมทีด่ ำเนินงานในพืน้ ท่ี 5) แผนปฏิบัติงาน ของพืน้ ที่ 6) ความต้องการของชุมชน โดยมเี กณฑก์ ารให้คะแนน ดงั นี้ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
24 = 3 คะแนน = 2 คะแนน 1) ระดับความรุนแรงของการชะลา้ ง = 1 คะแนน สูง ปานกลาง = 2 คะแนน ตำ่ = 1 คะแนน 2) การถอื ครองที่ดิน = 3 คะแนน มเี อกสารสิทธิ์ = 2 คะแนน ไม่มีเอกสารสทิ ธิ์ = 1 คะแนน 3) การใชท้ ่ีดนิ = 2 คะแนน พชื หลัก (พืชไร)่ = 1 คะแนน นาขา้ ว (พืชรอง) ไม้ผล/ไม้ยนื ตน้ (พชื รอง) = 3 คะแนน = 2 คะแนน 4) กจิ กรรมที่ดำเนนิ งานในพื้นท่ี = 1 คะแนน ไม่เคยมี เคยมี = 3 คะแนน = 2 คะแนน 5) แผนการดำเนนิ งานในพื้นท่ี ปี 2563 = 1 คะแนน แหล่งน้ำ ปรับปรงุ ดนิ ระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้ำ แหลง่ น้ำและปรับปรุงดิน แหลง่ น้ำหรอื ปรบั ปรุงดิน 6) ความตอ้ งการของชุมชน ต้องการแหล่งนำ้ และระบบอนุรกั ษด์ ินและน้ำ ต้องการแหลง่ น้ำหรือระบบอนรุ กั ษ์ดินและน้ำ ต้องการงานดา้ นอนื่ ๆ แผนปฏบิ ตั ิการเพือ่ ปอ้ งกนั การชะลา้ งพังทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทีเ่ กษตรกรรม ล่มุ น้ำห้วยนำ้ แหง ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) และระยะ 1 ปี เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนโครงการป้องกันการชะ ล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ให้สามารถนำไปสู่การ วางแผน การกำหนดมาตรการและบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรรมที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลาย ของดินและพื้นที่ดินเสื่อมโทรม นำไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน รวมทั้ง สามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามระบบการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับ ประเด็นปัญหาและบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคีผู้มี ส่วนไดเ้ สียที่เกยี่ วข้อง แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
25 ภาพที่ 2-3 หลักการสำคญั ในการจัดทำแผนการบรหิ ารจัดการท่ีดนิ และทรัพยากรดนิ ของประเทศ ที่มา: สำนกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม (2561) การบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้ำ ได้นำหลักการด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำ การบริหาร จัดการเชิงระบบนิเวศที่ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง การบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน มีความ เชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรน้ำ ป่าไม้ และชายฝั่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประเทศ โดยให้คำนึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของประชาชนหลัก ธรรมาภิบาล การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนและ ภูมิ สังคม ดังนั้น เพื่อให้แผนบริหารจัดการแปลงไปสู่การปฏิบัติ จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะ 4 ปี และระยะ 1 ปี โดยนำเสนอต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้ำใน พื้นทีอ่ ่ืน ๆ ครอบคลมุ การแก้ไขและปอ้ งกันการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟน้ื ฟูพนื้ เกษตรกรรมครอบคลุม ทั้งประเทศ ครอบคลุมทุกมิติแบบองค์รวม (interdisciplinary) ประกอบด้วย มิติทางกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดทิศทางจากสภาพปัญหาเป็นตัวนำ (problem orientation) ความรู้ทางวิชาการที่หลากหลายสาขาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ จากงานวิจัย (research) และ เทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน (participation approach) แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
26 . แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
27 3 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
3 28 พื้นที่ลุ่มน้ำห้วยน้ำแหง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 146.71 ตารางกิโลเมตร หรือ 91,696 ไร่ โดยตั้งอยู่ ระหว่างเส้นรุ้งที่ 18 28' ถึง 18 44' องศาเหนือ และเส้นแวงท่ี 100 54' ถึง 100 71' องศาตะวันออก อยู่ ในลมุ่ นำ้ นา่ น และเปน็ สว่ นหนึ่งของลุม่ น้ำสาขาน้ำแหง โดยพ้นื ที่ส่วนใหญอ่ ยใู่ น ตำบลน้ำตก ตำบลบวั ใหญ่ ตำบลสนั ทะ ตำบลเชยี งของ ตำบลศรษี ะเกษ และตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวดั นา่ น ลกั ษณะล่มุ น้ำ วางตัวตามแนวทศิ ตะวนั ตก - ตะวันออก มอี าณาเขตตดิ ต่อ (ภาพที่ 3-1) ดังน้ี ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ ลุ่มน้ำสาขานำ้ แหง (0910) ลมุ่ นำ้ นา่ น (09) ทิศใต้ ตดิ ตอ่ ลมุ่ นำ้ สาขาน้ำแหง (0910) ลมุ่ นำ้ น่าน (09) ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ ล่มุ น้ำสาขาแม่นำ้ นา่ นส่วนที่ 3 (0907) ล่มุ น้ำน่าน (09) ทศิ ตะวันตก ตดิ ตอ่ ลุ่มนำ้ สาขาน้ำแมค่ ำมี (0807) ลุ่มน้ำแมค่ ำปองเขตที่ 1 (08) สภาพภูมิประเทศสว่ นใหญ่เป็นพ้ืนทีเ่ นินเขาถึงพื้นที่สูงชัน รองลงมา เป็นพื้นท่ีลูกคลื่นลอนลาดชันพืน้ ที่ ลูกคลื่นลอนลาด พื้นที่สูงชันมาก ลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อย พื้นที่ราบเรียบหรือค่อนข้างราบเรียบ และ พื้นที่สูงชั้นมากที่สุดตามลำดับ มีความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 254-1,294 เมตร โดยมีห้วยน้ำสระ และห้วยนำ้ แหง ไหลผ่านพื้นทจ่ี ากทศิ ตะวันตกลงไปแม่นำ้ นา่ นทางทิศตะวนั ออกของพ้ืนทีโ่ ครงการ (ภาพที่ 3-1 และภาพท่ี 3-2) ตารางท่ี 3-1 ความลาดชันพนื้ ทลี่ มุ่ น้ำหว้ ยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ความลาดชนั (เปอร์เซน็ ต)์ สภาพพ้ืนที่ เนอื้ ท่ี 0-2 ราบเรียบหรือค่อนขา้ งราบเรียบ ไร่ ร้อยละ 2-5 ลกู คล่ืนลอนลาดเลก็ นอ้ ย 2,459 2.68 5-12 ลูกคล่ืนลอนลาด 3,575 3.90 12-20 ลกู คลื่นลอนชนั 9,563 10.43 20-35 เนนิ เขา 13,984 15.25 35-50 สงู ชนั 34,339 37.45 50-75 สูงชนั มาก 20,885 22.77 >75 สงู ชนั มากท่ีสดุ 6,417 7.00 474 0.52 รวมเนอื้ ท่ี 91,696 100.00 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
29 ภาพที่ 3-1 ที่ตัง้ และอาณาเขต และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ พื้นทล่ี ุ่มน้ำหว้ ยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จงั หวัดนา่ น แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุม่ น้าหว้ ยน้าแหง
30 ภาพที่ 3-2 ความลาดชนั พน้ื ที่ลุ่มนำ้ หว้ ยน้ำแหง อำเภอนาน้อย จังหวดั น่าน แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟูพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุ่มน้าหว้ ยน้าแหง
31 พื้นทีโ่ ครงการอยใู่ นพ้ืนท่ีตอนล่างของจังหวดั น่าน ได้รับอทิ ธิพลของลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ และ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังมีพายุดีเปรสชั่นและพายุใต้ฝุ่นพัดผ่านมาจากทะเลจีนใต้เข้า มาเป็นครั้งคราว ส่งผลทำให้เกิดฤดูกาลตา่ ง ๆ ได้แก่ ฤดูฝนจะเกิดในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ฤดูหนาวจะเกิดในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์และฤดูร้อนจะเกิดในช่วงเดือนมีนาคมถึง เดือนเมษายน นอกจากนี้ จังหวัดน่านยังมีสภาพภูมิประเทศโดยรอบเป็นหุบเขาและภูเขาสูงชันมาก ทิว เขาวางตัวในแนวเหนือใต้ ทำให้บริเวณยอดเขา รับความกดอากาศสูงที่แผ่มาจากประเทศจีนในฤดูหนาว ได้ทั่วถึงและเต็มท่ี ขณะเดียวกันที่ทิวเขาวางตัวเหนือใต้ทำให้เสมือนกำแพงปิดกั้นลมมรสุมทางทิศ ตะวันออก รวมทั้งยังมีระดับความสูงเฉลี่ยบนยอดเขากับความสูงเฉลี่ยในพื้นที่ลุ่มแตกต่างกันมาก จาก ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ ในตอนกลางวันถูกอิทธิพลของแสงแดดเผา ทำให้อุณหภูมิร้อนมาก และในตอน กลางคนื จะไดร้ ับอทิ ธิพลของลมภเู ขา พดั ลงสู่หุบเขา ทำให้อากาศเยน็ ในตอนกลางคนื จากข้อมูลอุตุนิยมวิทยาของกรมอุตุนิยมวิทยา มีสถานีตรวจอากาศในพื้นที่ ได้แก่ สถานีตรวจวัด อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยแบ่งรายละเอียดของลักษณะภูมิอากาศ ของสถานตี รวจอากาศ ชว่ ง 30 ปี คอื (ปี พ.ศ. 2531-2561) รายละเอียด ดงั นี้ จังหวัดน่าน มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 26.2 องศาเซลเซียส มีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยตลอดปี 33.2 องศาเซลเซียส โดยพบอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน คือ 37.1 องศาเซลเซียส และมีอุณหภูมิต่ำสุด เฉล่ียตลอดปี 20.7 องศาเซลเซยี ส โดยพบอุณหภมู ิต่ำสุดในเดือนมกราคม คอื 14.7 องศาเซลเซียส จงั หวดั น่าน มีปริมาณน้ำฝนรวม 1,262.0 มิลลิเมตร โดยในเดือนสงิ หาคม มีปริมาณน้ำฝน เฉลยี่ มากท่ีสุด 271.4 มิลลิเมตร และเดือนกุมภาพันธ์มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ 9.5 มิลลิเมตร ปรมิ าณน้ำฝนใชก้ ารได้ คือ ปริมาณนำ้ ฝนท่ีเหลืออยใู่ นดิน ซ่งึ พืชสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ ไดภ้ ายหลงั จากมีการไหลซึมลงไปในดินจนดินอิ่มตัวด้วยน้ำแล้วไหลบ่าออกมากักเก็บในพื้นดินจังหวัดน่าน มีปริมาณน้ำฝนใช้การได้ 893.5 มิลลิเมตร ในเดือนสิงหาคม มีปริมาณน้ำฝนใช้การได้มากที่สุด 152.1 มิลลเิ มตร และเดือนกมุ ภาพนั ธม์ ปี ริมาณนำ้ ฝนใช้การไดน้ ้อยทีส่ ดุ คอื 9.4 มิลลเิ มตร จังหวัดน่าน พบว่า มีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปี 77.0 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณการคาย ระเหยเฉลี่ยตลอดปี 59.0 มิลลิเมตร ปริมาณการคายระเหยสูงสุด 71.9 มิลลิเมตร ในเดือนพฤษภาคม ปรมิ าณการคายระเหยต่ำสุด 43.1 มลิ ลเิ มตร ในเดอื นมกราคม แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุม่ น้าหว้ ยน้าแหง
32 การวิเคราะห์ช่วงฤดูเพาะปลูกพืชเพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกพืชโดยใช้ข้อมูล ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย และค่าศักยภาพการคายระเหยน้ำของพืชรายเดือนเฉลี่ย (Evapotranspiration : ETo) ซึ่งคำนวณและพิจารณาจากระยะเวลาช่วงที่เส้นน้ำฝนอยู่เหนือเส้น 0.5 ETo ถือเป็นช่วงระยะเวลาท่ี เหมาะสมในการปลูกพืช จากการวิเคราะห์ช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมจากการปลูกพืชเศรษฐกิจจังหวัดน่าน สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี 1) ช่วงระยะเวลาท่ีเหมาะสมต่อการปลูกพืช เป็นช่วงทีด่ ินมคี วามชื้นพอเหมาะต่อการปลูกพืช ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนปกติอยู่ในช่วงระหว่างต้นเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในช่วงกลางเดือน พฤศจิกายนนั้น เป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนเพียงเล็กน้อยแต่เนื่องจากมีปริมาณน้ำที่สะสมไว้ในดิน จึงมี ความชื้นในดินเพียงพอสำหรับปลูกพืชอายุสั้นได้ แต่ควรมีการวางแผนจัดการระบบการเพาะปลูกให้ เหมาะสมสำหรับพื้นที่เพาะปลูกแต่ละแห่ง เน่ืองจากอาจต้องอาศัยน้ำจากแหล่งน้ำในไร่นาหรือน้ำ ชลประทานชว่ ยในการเพาะปลูกบา้ ง 2) ช่วงระยะเวลาที่มีน้ำมากเกินพอ เป็นช่วงที่ดินมีความชื้นสูงและมีฝนตกชุก อยู่ใน ช่วง ระหวา่ งปลายเดอื นมนี าคมถงึ ปลายเดือนตลุ าคม 3) ช่วงระยะเวลาที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชโดยอาศัยน้ำฝน เนื่องจากมีปริมาณฝน และการ กระจายของฝนนอ้ ย ทำให้ดินมีความชืน้ ไมเ่ พยี งพอตอ่ การเจริญเติบโตของพชื อยูใ่ นชว่ งระหว่างกลางเดือน พฤศจิกายนถึงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวถ้าพื้นที่เพาะปลูกแห่งใดมีการจัดการระบบ ชลประทานทีด่ กี ส็ ามารถปลูกพืชฤดแู ล้งได้ ตารางท่ี 3-2 สถิตภิ ูมิอากาศ โดยเฉลย่ี ในคาบ 30 ปี (พ.ศ. 2531-2561) ณ สถานีตรวจวัดอากาศ จังหวัด น่าน เดอื น ปรมิ าณ นำ้ ฝนทใ่ี ช้ จำนวนวนั อณุ หภูมิ (๐ซ) ความชน้ื ศกั ยภาพการคาย นำ้ ฝนเฉลย่ี (มม.) ประโยชน์ (มม.)* ทฝี่ นตก สงู สดุ ต่ำสดุ เฉลยี่ สัมพัทธ์ (%) ระเหยน้ำ (มม.)* ม.ค. 11.6 11.4 2 30.8 14.7 21.7 76.0 43.1 ก.พ. 9.5 9.4 2 33.6 16.0 23.8 69.0 44.2 ม.ี ค. 39.5 37.0 4 36.2 19.4 27.0 65.0 58.3 เม.ย. 99.8 83.9 9 37.1 22.6 29.1 68.0 65.7 พ.ค. 181.6 128.8 16 35.2 23.9 28.8 76.0 71.9 มิ.ย. 131.2 103.7 16 33.8 24.3 28.5 79.0 69.9 ก.ค. 211.4 139.9 20 32.6 24.1 27.8 82.0 71.0 ส.ค. 271.4 152.1 22 32.2 23.8 27.4 84.0 68.5 ก.ย. 211.1 139.8 17 32.8 23.6 27.3 84.0 62.4 ต.ค. 64.8 58.1 10 32.7 22.2 26.6 82.0 58.3 พ.ย. 17.8 17.3 3 31.6 18.9 24.3 79.0 49.2 ธ.ค. 12.3 12.1 1 30 15.3 21.5 78.0 44.0 รวม 1,262.0 893.5 - - -- - 706.5 เฉล่ยี - - 10 33.2 20.7 26.2 77.0 59.0 แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลมุ่ น้าหว้ ยน้าแหง
33 ภาพที่ 3-3 สมดุลของนำ้ เพ่อื การเกษตร (พ.ศ. 2531-2561) จงั หวดั น่าน หมายเหตุ : *ได้จากการคำนวณ จากการศกึ ษาและวิเคราะห์ข้อมลู ทรัพยากรดินในระดบั ชุดดนิ มาตราส่วน 1:25,000 ในพื้นทลี่ ุ่มน้ำ ห้วยน้ำแหง ซึ่งมีเนื้อที่ครอบคลุม 91,696 ไร่ สามารถจำแนกเป็นหน่วยแผนที่ดินได้ 20 หน่วยแผนที่ (ตารางที่ 3-3 และภาพที่ 3-4) ประกอบด้วย ระดับหน่วยจำแนก มี 6 ชุดดิน (11 หน่วยแผนที่) ดินคล้าย 6 ดิน (6 หน่วยแผนที่) มีเนื้อที่ 20,787 ไร่หรือร้อยละ 12.66 ของเนื้อที่ทั้งหมด (รายละเอียดชุดดินตาม ภาคผนวกท่ี 1) พื้นทีล่ าดชนั เชิงซ้อน (SC) มี 1 หนว่ ยแผนท่ี ซง่ึ มกี ารกระจายตวั เป็นส่วนใหญ่ของพื้นท่ี มี เน้ือที่ 68,030 ไร่ หรือร้อยละ 74.20 ของเนือ้ ท่ีทง้ั หมด และพนื้ ทเ่ี บด็ เตลด็ ประกอบด้วย พน้ื ที่ชุมชนและ สิ่งปลูกสร้าง (U) 1 หน่วยแผนที่ และพื้นที่น้ำ (W) 1 หน่วยแผนที่ มีเนื้อที่ 2,879 ไร่ หรือร้อยละ 3.14 ของเน้ือท่ีทัง้ หมด (ตารางที่ 3-3, ภาพที่ 3-4) เมื่อพิจารณาการกระจายตัวของดิน จะเห็นว่า ชุดดินที่มีการกระจายตัวมากที่สุด คือ ชุดดินวังสะ พุง (Ws) และดินคล้ายชุดดินวังสะพุง (Ws varients) มีเนื้อที่ 7,036 ไร่ ร้อยละ 7.66 ของเนื้อที่ทั้งหมด กระจายครอบคลุมในพื้นที่ตำบลน้ำตก ตำบลนาน้อย ตำบลบัวใหญ่ และตำบลศรีษะเกษ ลักษณะดินเป็นดิน เหนยี ว ลึกปานกลางถึงลกึ มาก มเี นื้อดนิ บนเป็นดินร่วนถึงดนิ รว่ นปนดินเหนยี ว ดินลา่ งเปน็ ดนิ เหนียว พบใน สภาพพื้นที่แบบลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อยถึงลูกคลื่นลอนลาด นอกจากนี้ ยังพบการกระจายตัวของกลุ่ม ดินตนื้ ประกอบดว้ ยชดุ ดนิ แมร่ ิม (Mr) มเี นอ้ื ท่ี 6,253 ไร่ หรือรอ้ ยละ 6.82 ของเน้อื ทที่ ้ังหมด และชุดดินล้ี (Li) มีเนื้อที่ 5,157 ไร่ หรือร้อยละ 5.62 ของเนื้อที่ทั้งหมด ตามลำดับ ส่วนใหญ่พบกระจายตัวในพื้นท่ี แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ลุม่ น้าหว้ ยน้าแหง
34 ทางตอนล่างของตำบลบวั ใหญ่ ตอนกลางของตำบลน้ำตก และตอนบนของตำบลนาน้อย ดินมีลักษณะเป็นดนิ ตื้นถึงชั้นก้อนกรวดมน และชั้นหินพื้น เป็นดินร่วนถึงดินเหนียวปนกรวด หรือเศษหิน สภาพพื้นที่แบบลูก คลื่นลอนลาดเล็กน้อยถึงลูกคลื่นลอนชัน ดินบนมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินร่วนปนดินเหนียวปน กรวด หรือเศษหิน ดินล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนปนทรายถึงดินเหนียวปนกรวด หรือเศษหินมาก สำหรับ กลุ่มดินร่วนหยาบ ประกอบด้วย ชุดดินสนั ปา่ ตอง (Sp) มีเนื้อที่ 636 ไร่ หรือร้อยละ 0.69 ของเนื้อทีท่ ัง้ หมด สว่ นใหญ่พบกระจายตัวในพื้นทตี่ ำบลนาน้อย และตำบลบัวใหญ่ดนิ ร่วนหยาบ (ดนิ ค่อนขา้ งเป็นทราย) ลกี มาก สภาพพืน้ ที่แบบลูกคลน่ื ลอนลาดเลก็ น้อย ดนิ บนมีเนื้อดนิ เป็นดนิ รว่ นปนทราย ดินลา่ งมีเนอื้ ดนิ เป็นดินร่วน ปนทรายถึงดินร่วนเหนียวปนทราย ซึ่งกลุ่มดินเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการชะล้างพังทลาย โดยเฉพาะดินท่ีมีลักษณะเนื้อดินบนและดินลา่ งต่างกัน และมีความลาดชันสูง (สภาพพ้ืนท่ีลูกคลื่นลอนชัน ความลาดชัน 12-20 เปอร์เซ็นต์) ควรมีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสม เช่น การทำคันดินกั้นน้ำ ทำขั้นบันได และปลูกพืชตามแนวระดับขวางความลาดชันของพ้ืนท่ี เพื่อชะลอความเร็วของน้ำที่ไหลบ่า ผา่ นผวิ ดิน ชว่ ยลดการชะล้างของหน้าดิน และนำ้ ซมึ ผา่ นลงไปในดนิ ช้ันล่างได้มากข้ึน ทำใหค้ วามชื้นในดิน มากข้นึ นอกจากนี้ ควรปลกู พชื คลุมดนิ เพ่ือช่วยรกั ษาความช้นื ของดินไว้และยังช่วยลดการชะลา้ งพังทลาย ของดนิ ไดอ้ ีกด้วย เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยดา้ นลักษณะของดินที่มีผลต่อการชะล้างพังทลายของดิน ซึ่งดินแตล่ ะชนิดจะ ทนต่อการชะล้างพังทลายที่แตกต่างกันในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลงึ โดยเฉพาะค่าปัจจัยความคงทนของ ดิน (K-factor) ที่สามารถนำไปประเมินการสูญเสียดินในสมการการสูญเสียดินสากล (USLE) จะเห็นว่า ปัจจัยสมบัติดินที่มีผลต่อค่าปัจจัยความคงทนของดิน ได้แก่ (1) ผลรวมปริมาณร้อยละของทรายแป้งและ ปริมาณร้อยละของทรายละเอียดมาก (% silt + % very fine sand) (2) ปริมาณร้อยละของทราย (%sand) (3) ปริมาณร้อยละของอินทรียวัตถุในดิน (% organic matter) (4) โครงสร้างของดิน (soil structure) และ (5) การซาบซึมน้ำของดิน (permeability) (กรมพัฒนาที่ดิน, 2545) จากการศึกษาค่า ปจั จยั ความคงทนของดนิ ต่อการชะล้างพังทะลาย (K-factor) ตามชนิดวตั ถุต้นกำเนิดดนิ ในพื้นท่ีสูงของลุ่ม นำ้ น่านพบวา่ ผลรวมปรมิ าณร้อยละของทรายแป้งและปริมาณร้อยละของทรายละเอยี ดมากมีค่าสูง ส่งผล ใหค้ า่ K-factor สูง และปรมิ าณร้อยละของอินทรียวตั ถุในดนิ สูงส่งผลให้คา่ K-factor ต่ำ และยังพบว่าดิน ในกล่มุ วัตถตุ น้ กำเนิดดินพวกหินตะกอนเน้ือหยาบมแี นวโน้มให้คา่ K-factor มากทส่ี ุด และดินในกลุ่มวัตถุ ต้นกำเนิดดินพวกหินอัคนีสีเข้มมีค่า K-factor น้อยที่สุด (กองสำรวจดินและวิจัยทรัพยากรดิน, 2562) จากลักษณะและสมบัติดินดังกล่าวชี้ใหเ้ หน็ ว่า ดินทม่ี ีค่า K-factor สูง (ง่ายตอ่ การกร่อน) จะมแี นวโน้มเกิด การชะล้างพังทลายของดินได้สูง ส่วนดินที่มีค่า K-factor ต่ำ (ยากต่อการกร่อน) จะมีแนวโน้มเกิดการ ชะล้างพงั ทลายของดนิ ได้ต่ำ นอกจากปัจจัยด้านลักษณะสมบัติของดินแล้ว ปัจจัยด้านสภาพพื้นที่และการใช้ประโยชน์ที่ดินก็มี ผลต่อการชะล้างพังทลายของดนิ โดยเฉพาะความลาดชันของพื้นท่ีจะมีผลโดยตรงต่อการชะล้างพังทลาย ของผิวหนา้ ดิน การไหลบ่าของน้ำผ่านผิวหนา้ ดนิ ระดับน้ำใตด้ นิ ความชื้นในดนิ การระบายน้ำ ความยาก ง่ายตอ่ การกักเก็บนำ้ และการเขตกรรม ดงั นั้น สภาพพื้นท่ีจงึ เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหน่ึงท่ีควบคุมลักษณะ แผนบรหิ ารจดั การป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ และฟ้ืนฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า ล่มุ น้าหว้ ยน้าแหง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161