การจัดทาแผนการบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้า มีความสอดคล้องและเชอ่ื มโยงของยุทธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) : ยุทธศาสตร์ท่ี 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม ความสอดคล้องของ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ : แผนแม่บทการบริหารจัดการน้าท้ังระบบ และสอดคล้องของ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้าของประเทศ (พ.ศ. 2558 - 2569) : ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การอนุรักษ์ฟ้ืนฟู สภาพป่าต้นน้าท่ีเสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน กลยุทธ์ : การอนุรักษ์ฟ้ืนฟูพ้ืนที่เกษตรกรรม ในพ้ืนท่ีดินเส่ือมโทรมและชะล้างพังทลายของดิน โดยมีเป้าหมายสาคัญสูงสุดคือ พ้ืนที่เกษตรกรรมได้รับ การอนุรักษ์และฟื้นฟูให้สามารถใช้ท่ีดินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตามศักยภาพของพ้ืนท่ี ไม่น้อยกว่า 20 ล้านไร่ ภายใน 20 ปี คณะทางานจัดทาแผนการบริหารจัดการโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่ เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ดาเนินการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบ สาหรับแก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม และความตอ้ งการของชุมชน และการรับฟังขอ้ คิดเหน็ ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานภาคเี ครือขา่ ยทีเ่ ก่ยี วข้อง ท้ังในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทาให้ได้ต้นแบบแผนการบริหารจัดการโครงการที่กรมพัฒนาท่ีดิน สามารถนาไปใช้ในการขับเคลื่อนการดาเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้าให้บรรลุเป้าหมายตาม ยทุ ธศาสตรช์ าติ แผนปฏิรปู ประเทศ และแผนบริหารจดั การน้าของประเทศ การกาหนดกรอบแนวคิดจากหลกั การ เข้าใจ เข้าถงึ และพัฒนา โดยการนาฐานขอ้ มลู ดา้ นทรัพยากร ดิน ประกอบด้วย ดินปัญหาและการชะล้างพังทลายของดิน เป็นตัวกาหนดพื้นท่ีเป้าหมายจากสภาพ ปัญหาสาหรับนาไปใช้ในการบริหารจัดการ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเน้น กระบวนการมสี ่วนรว่ มของชุมชน บูรณาการข้อมูลเชิงสหวิชาการเพ่ือใชใ้ นการพัฒนาและ วางแผนการใช้ ท่ดี ิน กาหนดมาตรการด้านการอนุรกั ษ์ดนิ และน้าให้สอดคล้องกับสภาพปญั หาของพ้นื ท่ีและความต้องการ ของชุมชน เพ่ือให้ได้เขตอนุรักษ์ดินและน้าที่มีการบริหารจัดการเชิงระบบเกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ พ้ืนท่ีการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมตามศักยภาพของที่ดิน โดยสามารถสรุปผลการ จัดทาแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ ดินและน้า ดังนี้
จากการศึกษาและสารวจข้อมูลดินในพ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย เพ่ือจัดทาฐานข้อมูลและประเมินสถานภาพ ทรัพยากรดิน โดยเน้นด้านการชะล้างพังทลายของดิน ท้ังน้ีเพื่อนาไปสู่การวิเคราะห์แนวทางการใช้ที่ดิน ด้านการเกษตร และกาหนดมาตรการเพื่อป้องกันชะลา้ งพังทลายของดินและอนรุ กั ษด์ นิ และน้าท่เี หมาะสม ผลการจาแนกสภาพปัญหาของดินหรือข้อจากัดต่อการใช้ที่ดิน ด้านการเกษตร แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ดินตื้น เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเตบิ โตของพืชด้านการชอนไชของรากพืช ครอบคลุมเน้ือท่ีรวม 62,438 ไร่ หรอื คิดเปน็ รอ้ ยละ 18.89 (2) ดนิ มีความอุดมสมบูรณต์ ่า ครอบคลุมเนอื้ ทร่ี วม 45,347 ไร่ หรอื คิดเป็นร้อยละ 13.71 (3) ดินมีความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลาง ครอบคลุมเนื้อที่ 839 ไร่ หรือคิดเป็น ร้อยละ 0.25 และ (4) ปัญหาพ้ืนที่มีความลาดชันสูง ส่วนใหญ่มีสภาพการใช้ที่ดินเป็นป่าไม้ มีเนื้อท่ี 211,610 ไร่ หรอื คดิ เปน็ ร้อยละ 64.01 ของเน้ือท่ีลมุ่ น้า จากการศึกษาความสัมพันธ์ของ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การใช้ที่ดิน และทรัพยากรดินข้อมูลสภาพ ภูมิอากาศ พบว่า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุยมีพื้นท่ี 528.93 ตารางกิโลเมตร (330,583 ไร่) แบ่งพ้ืนท่ีรับน้า ออกเป็น 5 พ้ืนท่ี มีปริมาณน้าท่าคิดเป็น 43.18 30.16 24.35 18.21 และ 19.65 ลูกบาศ์กเมตรต่อปี ตามลาดับ แสดงให้เห็นว่าลุ่มน้าคลองกุยมีศักยภาพในการพัฒนาด้านการเก็บกักน้าท่าเพื่อใช้ในพ้ืนท่ี การเกษตรได้ การเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดินในพื้นท่ีเกษตรกรรมในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีพ.ศ. 2554 (70,991 ไร่) โดยมีเน้ือท่ีเพ่ิมข้ึนประมาณ 361 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.51 ของเน้ือท่ีเดิม เน่ืองจากการ เพิ่มขึ้นของประชากรในพ้ืนท่ี และการเพ่ิมข้ึนของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ทาให้มีความ ต้องการสินค้าเกษตรกรรมเพิ่มข้ึน โดยเฉพาะการใช้ที่ดินสาหรับพืชไร่ ซ่ึงมีพื้นที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในปี พ.ศ. 2562 ถึงร้อยละ 20.33 ของเน้ือที่เดิม (พ.ศ. 2554) ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นพืชท่ีมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น สับปะรด นอกจากนี้มีพื้นที่ปลูกยางพาราเพ่ิมขึ้นจากเดิม 6,142 ไร่ เป็น 13,285 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 53.76 ของเนอ้ื ที่เดิม พ้ืนที่ส่วนใหญ่มีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายในระดับน้อย โดยมีปริมาณ การสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี โดยครอบคลุมพื้นท่ีร้อยละ 80.88 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า นอกจากน้ีในพ้ืนท่ีที่มีสภาพภูมิประเทศ แบบเนินเขา แบบสูงชัน และแบบสูงชันมากจะเกิดการชะล้างพังทลายของดินท่ีมีความรุนแรงมากที่สุด โดยกอ่ ใหเ้ กิดปริมาณการสูญเสียดนิ มากกว่า 20 ตันต่อไรต่ ่อปี (รอ้ ยละ 3.73 ของเน้อื ทีล่ ุ่มน้า) พบบริเวณ
พนื้ ทเ่ี กษตรของบ้านวังไทร หมู่ 7 ตาบลไร่ใหม่ อาเภอสามร้อยยอด บ้านโปง่ กระสงั หมู่ 4 บา้ นยางชมุ หมู่ 5 บ้านยางชุมเหนือ หมู่ 6 บ้านรวมไทย หมู่ 7 บ้านย่านซ่ือ หมู่ 9 และบ้านเขาน้าตก หมู่ 11 ตาบลหาด ขาม อาเภอกยุ บรุ ี พื้นทส่ี ่วนใหญม่ ีความลาดชนั สูง มีลักษณะเปน็ พ้ืนลูกคลื่นลอนชันถึงเนินเขา (ความลาด ชัน 12-35 เปอร์เซ็นต์) มีลักษณะการชะล้างพังทลายของดินเป็นรอ่ งลึกเกิดขึ้นทั่วไป และมีการใช้ท่ีดินใน การปลูกสบั ปะรด เม่ือพิจารณาถึงการประเมินการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพ้ืนท่ี และแต่ละระดับแม้ในพื้นท่ีท่ีมี การชะล้างพังทลายในระดับน้อย มีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี ก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อการใช้ มาตรการอนุรักษ์ดินและน้า และหากมีการละเลยหรือมีการจัดการท่ีไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตามหลัก วิชาการอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงข้ึน ก่อให้เกิดปัญหาการสูญเสียดินปริมาณและคุณภาพผลผลิต และ สง่ ผลกระทบต่อตน้ ทนุ การผลิต การจัดการดนิ นา้ ปุ๋ย จนสง่ ผลให้เกษตรกรในพน้ื ที่มคี ่าใชจ้ ่ายที่เพ่ิมสูงข้ึน ตามไปด้วย จากการศกึ ษาข้อมูลเศรษฐกจิ และสังคมโดยเฉพาะในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการชะลา้ งพงั ทลายของ ดิน พบว่า เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจในวิธีการรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ในแต่ละวิธีมากน้อยแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาความต้องการ วิธีการรักษาและป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดิน จะเห็นว่า เกษตรกรคิดว่าการปลูกหญ้าแฝก และการทาฝายน้าล้นหรือคันชะลอความเร็วของน้า สามารถปอ้ งกันการชะล้างการพังทลายของดิน ในขณะที่การบุกรกุ ป่าตัดไม้ทาลายป่า การขุดถนน ทาให้ เกดิ การชะล้างพังทลายของดิน เม่อื พจิ ารณาผลกระทบดา้ นต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือ ต้นทุนทั้งหมดของการปลูกพืชในพ้ืนท่ีท่ีมีระดับการชะล้างพังทลายของดินที่แตกต่างกัน จะเห็นได้ว่า ต้นทุนการผลิตของพืชแต่ละชนิดมีแนวโน้มสูงข้ึนตามระดับความรุนแรงของดินท่ีเพิ่มสูงข้ึน ซ่ึงต้นทุนที่ เพิ่มขึ้นอาจเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนผันแปรในการผลิต อาทิ ค่าจ้างแรงงาน ค่าปุ๋ย ค่าต้น พันธ์ุ เป็นต้น นอกจากน้ี ยังพบว่า ผลผลิตของพืชทุกชนิดลดลงตามความรุนแรงของการชะล้างการ พังทลายของดิน มะม่วง ปาลม์ นา้ มนั และ ไมผ้ ลผสม ในขณะทย่ี างพาราและสับปะรดมีการเปล่ียนแปลง เล็กนอ้ ย ในการคัดเลือกพ้ืนที่เพ่ือดาเนินการ โดยอาศัยปัจจัยหลักและเกณฑ์ที่กาหนด สาหรับพิจารณา จัดลาดับความสาคัญมี 6 ด้าน ประกอบด้วย (1) ระดับความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน (2) เอกสารสิทธิ์ (3) การใช้ที่ดิน (4) กิจกรรมที่ดาเนินงานในพื้นท่ี (5) แผนปฏิบัติงานของพ้ืนท่ี (6) ความ ต้องการของชุมชน พบว่า บา้ นวังไทร เปน็ พื้นท่ที ่ีมีความสาคัญอันดับต้น ๆ ทคี่ ัดเลือกเป็นพน้ื ท่ีดาเนินการ รองลงมา คือ บา้ นยา่ นซ่ือ บา้ นโปง่ กระสัง บา้ นยางชุม บ้านยางชุมเหนือ บา้ นรวมไทย และบ้านเขาน้าตก ตามลาดับ ซ่ึงในแต่ละสภาพพื้นท่ีส่วนใหญ่มีลักษณะใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดาเนินงาน
สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และความต้องการของชุมชน สามารถนามาจัดทาแผนการดาเนินงาน แบง่ ออกเป็น 4 ระยะโดยมเี ปา้ หมายไม่น้อยกว่า 10,000 ไรต่ ่อปี ได้แก่ ระยะท่ี 1 (ปี 2563) ดาเนินงานใน พ้ืนท่ีบ้านวังไทร และบ้านยางชุม ระยะท่ี 2 (ปี 2564) ดาเนินงานในพื้นท่ีบ้านรวมไทย และบ้านพุบอน ระยะที่ 3 (ปี 2565) ดาเนินงานในพ้ืนที่บ้านย่านซื่อ ระยะที่ 4 (ปี 2566) ดาเนินงานในพ้ืนท่ีบ้านโป่ง กระสัง แบ่งตามระดับ ความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดิน ในพื้นที่ท่ีมีระดับรุนแรงมาก และระดับปานกลางกาหนด มาตรการในการไถพรวนและปลกู พืชตามแนวระดับ การยกรอ่ งตามแนวระดบั การสร้างคันดิน คนั ดนิ เบน น้า แนวหญ้าแฝก ทางลาเลยี ง ครู ับน้าขอบเขา ทางระบายนา้ ฝายชะลอนา้ และบ่อดักตะกอน ส่วนระดับ รุนแรงน้อย มีมาตรการเพิ่มเติมตามลักษณะภูมิประเทศ คือ การไถพรวนดิน การปรับระดับ และปรับรูป แปลงนา ส่วนใหญ่มีปัญหาดินตื้นและ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่า กาหนดมาตรการโดยเน้นการเพิ่มอินทรียวัตถุด้วยการปลูกพืชคลุมดินปลูกพืช ปุย๋ สด การใชป้ ุย๋ คอก ปุ๋ยหมกั และปุ๋ยชีวภาพ ในพืน้ ที่ทาง การเกษตรซ่ึงมีสภาพปัญหาการขาดแคลนน้า จึงกาหนดมาตรการตามสภาพปัญหาและสอดคล้องตาม ความต้องการของชุมชน คือ อ่างเก็บน้า สระเก็บน้า ฝายทดน้า การปรับปรุงลาน้า คลองส่งน้า ระบบส่ง นา้ ด้วยท่อและระบบใหน้ ้าแบบ micro irrigation ต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้าเชิงบูรณาการ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน เปน็ รปู แบบการบริหารจัดการลุ่มนา้ เชงิ ระบบ ครอบคลุมทุกมติ ิแบบองค์รวม ไดแ้ ก่มิตทิ างกายภาพ สังคม เศรษฐกจิ และสงิ่ แวดล้อม โดยกาหนดทิศทางจากสภาพปัญหาเปน็ ตวั นาความรู้ทางวิชาการทหี่ ลากหลาย สาขาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์จากงานวิจัย และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาท่ีดิน การอนุรักษ์ดินและ น้า ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย การวิเคราะห์สภาพปัญหาของพื้นท่ี คัดเลือก วิธีการประเมินปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และตรวจสอบข้อมูลท่ีเป็นปัจจุบันครอบคลุมประเด็น ปัญหาของสภาพพน้ื ทอ่ี ย่างแทจ้ ริง ได้แก่ ขอ้ มลู การชะล้างพังทลายของดนิ ขอ้ มูลดา้ นทรัพยากรดิน ขอ้ มูล สภาพการใช้ท่ีดิน ระดับการเปลี่ยนแปลงของการใชท้ ่ีดิน ข้อมูลด้านทรัพยากรน้า สภาพภูมิประเทศ และ ส่ิงแวดล้อม ข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงมีความเช่ือมโยงกันในด้านกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยนาข้อมูลมาประกอบการวิเคราะห์และจัดทาแผนปฏิบัติการเพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ท้ังน้ี เพ่ือให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล
ถูกต้องตามสมรรถนะและศักยภาพของที่ดิน และให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องได้เกิดความตระหนักและการเรียนรู้ นาไปสู่การจัดการที่ถูกต้องพร้อมทั้งการประเมินสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง โดยการติดตามและ ประเมินผลตามตัวช้วี ัด เพ่อื ให้ทราบผลสาเร็จจากการดาเนินงานด้านการลดอัตราการชะลา้ งพังทลายของ ดิน และด้านเศรษฐกิจสังคมของชมุ ชนบริเวณบนพื้นท่ีล่มุ น้าสู่การพัฒนาระบบการบริหารจดั การด้านการ อนุรักษด์ ินและน้าให้เกษตรกรและชุมชนสามารถใชท้ ดี่ นิ ได้อย่างยัง่ ยืน การดาเนินงานตามแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า มีกลไกการขับเคลื่อนการดาเนินงานในรูปแบบคณะกรรมการและ คณะทางาน ในการจัดทาต้นแบบแผนการบริหารจัดการโครงการจัดการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟู พื้นท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า สาหรับขับเคล่ือนการดาเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและ น้าให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผน แม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้า ดังนั้น เพื่อให้แผนบริหารจัดการเกิดผลสมั ฤทธิ์ในทางปฏบิ ัติ บรรลุ วัตถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายทกี่ าหนดไว้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งได้รบั การขบั เคลอื่ นและผลักดันจากทุกภาคสว่ น และ ให้เกิดการบูรณาการทุกระดับผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรดนิ และนา้ มี เปา้ หมายไปในทศิ ทางเดียวกัน ควรมแี นวทางการดาเนินงาน ดังน้ี ให้สามารถนาไปสู่การวางแผนการ กาหนดมาตรการ และบริหารจัดการพ้ืนท่ีเกษตรกรรรมที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของดิน และ พื้นท่ดี นิ เสือ่ มโทรม ระดบั หนว่ ยงานท่ปี ฏิบัติงานส่วนกลาง และส่วนภูมภิ าค โดย นาแนวทางการปฏิบัติงานไปกาหนดเป็นแผนงานโครงการ และกาหนดเป็นข้อตกลงการทางานระหว่าง หนว่ ยงาน เน้นการทางานเชงิ บรู ณาการ เพือ่ ขบั เคล่ือนองค์กรใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทก่ี าหนดไว้ โดยจัดตั้งคณะทางานติดตาม ประเมินผลที่มีกลไกและเครือข่ายการดาเนินงานท้ังหน่วยงานท่ีปฏิบัติงานในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่ือมโยงการประเมนิ ผล ทกุ มติ ิ ประกอบด้วย มติ ิทางกายภาพหรือสิ่งแวดลอ้ ม มติ ิสังคม และมติ เิ ศรษฐกิจ ท่ีสามารถสะท้อนผลสัมฤทธ์ิของงานได้ชัดเจน จนนาไปสู่การปรับปรุงพัฒนาแผนการดาเนินงานโครงการ ให้เกิดประสิทธผิ ลและมปี ระสิทธภิ าพ
กรมพัฒนาที่ดิน มีภารกิจสาคัญเก่ียวกับการแก้ไขปัญหาทรัพยากรท่ีดิน โดยการพัฒนาที่ดินและ อนุรักษ์ดินและน้า ซ่ึงมาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้าจะช่วยปรับโครงสร้างพ้ืนฐานของท่ีดินในพ้ืนท่ี ให้เหมาะสมกับการปลูกพืช พร้อมกับช่วยรักษาระบบนิเวศทางดินให้เกิดการใช้ท่ีดินได้อย่างยั่งยืน โดย ก่อนเร่ิมดาเนินงาน จาเป็นต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์สภาพของท่ีดินในพ้ืนที่ในการกาหนดมาตรการ ด้านอนุรักษ์ดินและน้าด้วยวิธีกลและวิธีพืชเฉพาะพ้ืนท่ี เพ่ือควบคุมหรือป้องกันความรุนแรงของสภาพดิน ปัญหาไม่ให้ส่งผลกระทบก่อปัญหาเพิ่มข้ึนในพ้ืนท่ีอ่ืน ดังนั้น กรมพัฒนาท่ีดินจึงเป็นหน่วยงานท่ีมีบทบาท สาคญั ในการบริหารจัดการทรัพยากรดินเชิงบรู ณาการระดับลุ่มน้า โดยนาหลกั วชิ าการดา้ นการอนุรักษ์ดิน และน้า พิจารณาจากสภาพพื้นท่ีและความต้องการของชุมชนเป็นหลัก นอกจากน้ี ยังศึกษาแนวนโยบาย ด้านการเกษตรของรัฐบาล และท้องถ่ินในระดับต่าง ๆ เพื่อนามาวิเคราะห์กาหนดมาตรการในแผนการใช้ ท่ีดิน พร้อมข้อเสนอแนะด้านการจัดการพ้ืนที่ ให้เป็นแนวทางในการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ได้ อยา่ งยั่งยืน คณะทางานจัดทาแผนการบริหารจัดการโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ ฟ้ืนฟูพ้ืนที่ เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า พ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ได้ดาเนินการศึกษา วิเคราะห์ เพื่อประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสาหรับ แก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรม ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมและความ ต้องการของชุมชน และการรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย และหน่วยงานท่ี เกย่ี วขอ้ ง ทีป่ ฏิบตั ิงานในสว่ นกลางและส่วนภมู ภิ าค ทาใหไ้ ด้ต้นแบบแผนการบริหารจดั การโครงการที่กรม พัฒนาที่ดินสามารถนาไปใช้ในการขับเคล่ือนการดาเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้าให้บรรลุเป้าหมาย ตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรปู ประเทศ และแผนบริหารจดั การนา้ ของประเทศ ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณ คณะกรรมการขับเคล่ือนโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ ฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า นักวิชาการที่ปฏิบัติงานส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เจ้าหน้าที่ของสานกั งานพัฒนาท่ดี นิ เขต 10 สถานีพฒั นาที่ดนิ ประจวบคีรขี ันธ์ หนว่ ยงานภาคเี ครอื ขา่ ยและ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง และเกษตรกรในชุมชนพ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มีส่วนร่วมในการดาเนินงานโครงการให้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจนบรรลุ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ เพ่ือนาข้อมูลแผนการบริหารจัดการโครงการป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดิน และฟ้ืนฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ไปขยายผลในพ้ืนท่ีอ่ืนสู่การแก้ไขปัญหาให้กับ เกษตรกรท่อี ยใู่ นพืน้ ทเ่ี ส่ยี งต่อการชะลา้ งพังทลายของดนิ และพน้ื ท่ีดนิ ปญั หา ทาใหส้ ามารถใชท้ ่ดี นิ ได้อย่าง เหมาะสมตรงตามศักยภาพของพ้นื ท่ี และมคี ุณภาพชีวิตทด่ี ขี น้ึ คณะทางานฯ ตลุ าคม 2562
1.1 หลักการและเหตุผล 3 1.2 วตั ถุประสงค์ 4 1.3 กรอบแนวคิดการดาเนนิ งาน 4 1.4 เป้าหมาย 5 1.5 ข้ันตอนการดาเนินงาน 5 1.6 สถานท่ีดาเนนิ งาน 6 1.7 ระยะเวลาดาเนินการ 6 1.8 ผลผลิต 6 1.9 ผลลพั ธ์ 7 1.10 ผลกระทบ 7 1.11 ตัวชี้วดั ความสาเร็จ 7 1.12 ผลประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดร้ บั 8 1.13 ผูร้ บั ผดิ ชอบ 8 1.14 ท่ปี รึกษาโครงการ 8 1.15 การสง่ มอบงาน 8 2.1 การรวบรวมขอ้ มูล 12 2.2 การสารวจศกึ ษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 12 2.3 การประเมนิ พืน้ ท่ีการชะล้างพงั ทลายของดิน 17 2.4 การจัดทาแผนการใชท้ ่ดี ินเพ่ือการอนุรักษด์ นิ และนา้ 19 2.5 การรบั ฟงั ความคิดเหน็ จากผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย 22 2.6 การวเิ คราะห์ลาดบั ความสาคญั 23 2.7 การจัดทาแผนบริหารจดั การปอ้ งกันการชะลา้ งพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นท่ี 24 เกษตรกรรม ด้วยระบบอนรุ กั ษ์ดนิ และน้า
3.1 ท่ตี ั้งและอาณาเขต 27 3.2 สภาพภูมปิ ระเทศ 27 3.3 สภาพภมู ิอากาศ 27 3.4 ทรัพยากรดิน 31 3.5 ทรพั ยากรน้า 33 3.6 ขอบเขตท่ดี ินตามกฎหมายและนโยบาย 41 3.7 ทรพั ยากรป่าไม้ 44 3.8 สภาพการใช้ที่ดนิ 50 3.9 พื้นทเี่ สีย่ งต่อการชะล้างพังทลายของดิน 50 3.10 สภาวะเศรษฐกิจและสังคม 56 3.11 การวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมและศักยภาพ (SWOT) 60 4.1 เขตพน้ื ท่ีป่าไมต้ ามกฎหมาย 75 4.2 เขตเกษตรกรรม 77 4.3 เขตพ้ืนทีช่ มุ ชนและส่งิ ปลูกสร้าง 80 4.4 เขตแหลง่ น้า 80 4.5 เขตพน้ื ที่คงสภาพป่าไมน้ อกเขตป่าตามกฎหมาย 80 4.6 เขตพ้นื ที่อนื่ ๆ 80 5.1 แผนบริหารจัดการปอ้ งกันการชะลา้ งพังทลายของดินและฟ้นื ฟพู นื้ ที่ 87 เกษตรกรรมด้วยระบบอนรุ กั ษด์ นิ และนา้ 93 5.2 ตน้ แบบ (model) แผนบริหารจดั การทรัพยากรดนิ เพอ่ื ปอ้ งกันการชะลา้ ง 97 พังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้นื ท่เี กษตรกรรม 98 6.1 แนวทางการขบั เคล่อื นแผนไปสู่การปฏิบัติ 6.2 กลไกการขบั เคลอ่ื นแผนบรหิ ารการจดั การป้องกันการชะลา้ งพงั ทลายของดิน และฟื้นฟพู ื้นทเ่ี กษตรกรรม ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2562-2580)
6.3 บทบาทของหน่วยงานและภาคเี ครือขา่ ยทกุ ระดบั ในการขับเคลอ่ื นแผนบรหิ าร 99 จดั การทรัพยากรดนิ และนา้ เพ่อื ป้องกนั การชะลา้ งพังทลายของดินและฟืน้ ฟู 101 พน้ื ที่เกษตรกรรม 6.4 แนวทางการตดิ ตามและประเมนิ ผลตามแผนบริหารทรพั ยากรดนิ เพอ่ื ป้องกัน การชะลา้ งพงั ทลายของดินและฟนื้ ฟูพน้ื ท่ีเกษตรกรรม
2-1 ระดับความรนุ แรงของการชะลา้ งพังทลายของดนิ 19 2-2 ชนั้ ของการกดั กร่อน 19 3-1 ความลาดชนั พน้ื ท่ีลุ่มนา้ คลองกยุ จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ 28 3-2 สถิติภูมิอากาศโดยเฉลี่ยในคาบ 30 ปี (พ.ศ. 2533-2562) ณ สถานีตรวจวัดอากาศ 32 จงั หวัดประจวบครี ีขันธ์ 35 3-3 ทรัพยากรดนิ ในพ้นื ท่ีลมุ่ นา้ คลองกยุ จงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ 39 3-4 สภาพปญั หาของดิน พน้ื ท่ีลมุ่ น้าคลองกุย จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ 44 3-5 แหลง่ นา้ ตน้ ทนุ ทีด่ าเนินการผ่านโครงการพัฒนาแหลง่ น้าตน้ ทุน 45 จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์ 3-6 ข้อมูลที่ดินของรัฐท่ีใช้ร่วมในการวิเคราะห์ด้านทรัพยากรป่าไม้ลุ่มน้าคลองกุย 45 46 จังหวัดประจวบคีรีขนั ธ์ 3-7 พนื้ ทเี่ ขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นทีล่ ุ่มนา้ คลองกุย จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์ 46 3-8 พน้ื ทเี่ ขตการใชป้ ระโยชน์ทรัพยากรและท่ีดินปา่ ไม้ พ้นื ที่ลุ่มน้าคลองกยุ 48 50 จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ 3-9 พื้นที่ชน้ั คุณภาพลุ่มน้า พ้ืนทีล่ ุม่ นา้ คลองกยุ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ 52 3-10 พื้นที่เขตปา่ ไม้ถาวรนอกเขตปา่ พืน้ ทลี่ ุ่มนา้ คลองกยุ จังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ 3-11 สถานภาพทรัพยากรปา่ ไม้ พื้นทลี่ มุ่ นา้ คลองกยุ อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามร้อยยอด 56 จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ 60 3-12 ประเภทการใชท้ ่ีดิน พ้ืนทล่ี ุม่ น้าคลองกยุ อาเภอกยุ บุรี และอาเภอสามร้อยยอด 65 จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ 67 3-13 ระดบั ความรุนแรงของการชะลา้ งพงั ทลายของดิน พน้ื ท่ีลุ่มนา้ คลองกยุ 69 จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ 3-14 สภาวะเศรษฐกจิ และสงั คม พื้นที่ลมุ่ น้าคลองกยุ จังหวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ 70 3-15 ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนอื ต้นทุนท้ังหมดของการปลกู พืชในพืน้ ที่ มรี ะดบั การชะลา้ งพังทลายของดนิ ต่างกัน 3-16 ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนรุ ักษด์ นิ และนา้ พ้นื ทล่ี ุม่ นา้ คลองกุย จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ์ ปีการผลิต 2562 3-17 ความรู้และความเข้าใจ การรักษาและป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน พื้นท่ีล่มุ น้าคลองกุย จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ ปกี ารผลติ 2562 3-18 ทศั นคติด้านการยา้ ยถนิ่ ฐาน ปัญหาดา้ นการเกษตร และแนวทางแกไ้ ขของเกษตรกร พน้ื ที่ลุม่ น้าคลองกุย จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ปีการผลติ 2562
4-1 แผนการใชท้ ด่ี นิ เพ่อื การอนรุ ักษ์ดนิ และน้า พน้ื ทลี่ ุ่มนา้ คลองกยุ จงั หวดั ประจวบครี ขี ันธ์ 80 4-2 สรุปแนวทางแผนการใชท้ ่ีดินเพื่อการอนรุ ักษ์ดนิ และนา้ พนื ท่ีลมุ่ นา้ คลองกยุ 83 จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์ 5-1 แผนปฏิบตั กิ ารเพื่อป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพืนทเ่ี กษตรกรรม 89 ล่มุ น้าคลองกุย จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) 6-1 บทบาทของหน่วยงานและภาคเี ครือข่ายทุกระดับในการขบั เคลอ่ื นแผนบรหิ าร 99 จัดการทรัพยากรดนิ และนา้ เพอื่ ป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดนิ และฟ้นื ฟูพนื ที่ เกษตรกรรม 101 6-2 กรอบตัวชีวัดในการตดิ ตามและประเมนิ ผล 6-3 การจัดท้าฐานข้อมลู เพอื่ ประเมนิ การเปลี่ยนแปลงตามตัวชีวัดมิติกายภาพเศรษฐกิจ 104 และสังคม
1-1 กรอบแนวคิดการดาเนนิ งานโครงการ 5 2-1 กรอบวธิ กี ารดาเนนิ งาน 11 2-2 ประเดน็ การรับฟังความคิดเห็นของชุมชนแบบมสี ่วนร่วม 22 2-3 หลกั การสาคัญในการจัดทาแผนการบรหิ ารจดั การทีด่ นิ และทรพั ยากรดนิ ของประเทศ 25 3-1 ที่ต้ังและอาณาเขต และลักษณะภูมิประเทศ ลุ่มน้าคลองกุย จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์ 29 3-2 ความลาดชัน ล่มุ นา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ 30 3-3 สมดุลของนา้ เพื่อการเกษตร (พ.ศ. 2533-2562) จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์ 33 3-4 ทรัพยากรดนิ ลุ่มนา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์ 37 3-5 สภาพปญั หาทรพั ยากรดนิ ลุ่มนา้ คลองกุย จงั หวัดประจวบคีรขี นั ธ์ 40 3-6 เสน้ ทางนา้ และระบบคมนาคม ลุม่ นา้ คลองกยุ จงั หวัดประจวบครี ีขันธ์ 42 3-7 ขอบเขตลุ่มน้าคลองกุย จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์ 43 3-8 สถานภาพปา่ ไม้ ลุม่ น้าคลองกุย จงั หวดั ประจวบครี ีขันธ์ 49 3-9 สภาพการใชท้ ีด่ นิ ล่มุ น้าคลองกุย จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ 59 3-10 การสูญเสยี ดิน ลมุ่ น้าคลองกยุ จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ 59 4-1 แผนการใช้ทดี่ ินเพ่ือการอนุรักษ์ดินและนา้ ล่มุ น้าคลองกยุ 82 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 92 5-1 พืน้ ที่ล่มุ น้าเปา้ หมายในแผนปฏบิ ัติการเพื่อป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินและ 93 ฟืน้ ฟูพนื้ ที่เกษตรกรรม ลุ่มน้าคลองกุย จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ 5-2 รูปแบบมาตรการเพื่อป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดนิ และฟ้นื ฟพู น้ื ทเ่ี กษตรกรรม 94 ดว้ ยระบบอนรุ กั ษ์ดินและน้า ล่มุ นา้ คลองกยุ จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์ 5-3 ตน้ แบบ (Model) แผนบริหารจดั การปอ้ งกนั การชะลา้ งพังทลายของดิน และฟ้นื ฟู พน้ื ท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และนา้ ลมุ่ น้าคลองกุย จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์
1 1
12 ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เกษตรกรทาการเกษตรอาศัยน้าฝน คิดเป็นร้อยละ 37ของ พ้ืนท่ีประเทศ โดยมีพื้นท่ีเกษตรน้าฝน 119 ล้านไร่ (ศูนย์ป้องกันวิกฤติน้า, 2562) ซ่ึงเป็นแหล่งท่ีปลูกพืช เศรษฐกิจที่สาคัญของประเทศ ได้แก่ ข้าว 62.9 ล้านไร่ อ้อย 13.29 ล้านไร่ มันสาปะหลัง 13.83 ล้านไร่ ข้าวโพด 8.67 ล้านไร่ ไม้ผล (เงาะทุเรียนมังคุด) 1.54 ล้านไร่ และ ยางพารา 27.64 ล้านไร่ (กองนโยบาย และแผนการใชท้ ่ีดิน, 2562) พ้นื ท่ีดังกล่าวมักประสบปัญหาขาดแคลนนา้ ในฤดูแลง้ ทาให้การใช้ประโยชน์ ทรัพยากรดินได้ไม่เต็มศักยภาพ จาเป็นต้องได้รับการพัฒนาแหล่งน้าให้พอเพียงกับความต้องการของ เกษตรกรประกอบกับในพื้นท่ีดังกล่าวอยู่ในพ้ืนท่ีดินปัญหาทางการเกษตรกรรม โดยสามารถจาแนกตาม สาเหตขุ องการเกดิ ได้ 2 ประเภท คือ 1) ดินปัญหาท่เี กดิ ตามสภาพธรรมชาติ มีเนอ้ื ที่รวม 60 ลา้ นไร่ ได้แก่ ดินอินทรีย์ 0.34 ล้านไร่ ดินเปร้ียวจัด 5.42 ล้านไร่ ดินทรายจัด 11.86 ล้านไร่ ดินต้ืน 38.19 ล้านไร่ดิน เค็ม 4.20 ล้านไร่ (บางพ้ืนท่ีพบคราบเกลือและมีผลกระทบจากคราบเกลือมีเนื้อท่ี 11.50 ล้านไร่) และ 2) ดนิ ปัญหาทเี่ กดิ จากการใช้ประโยชนท์ ่ดี ิน เช่น ดินดาน ดินปนเปอ้ื น ดินเหมอื งแร่รา้ ง เป็นต้นนอกจากน้ี ยงั มีดินที่มีปัญหาเล็กน้อยท่ีเป็นข้อจากัดทางการเกษตร เช่น ดินกรด ดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ต่า เป็นต้น (กรมพัฒนาท่ีดิน, 2561) ปัญหาทรัพยากรดินดังกล่าวกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศและเป็นปัจจัยสาคัญท่ีทา ให้พื้นท่ีเกษตรน้าฝนไม่สามารถก่อสร้างแหล่งน้าขนาดใหญ่ได้ เน่ืองจากต้องใช้งบประมาณจานวนมากใน การวางระบบเพ่ือป้องกันไม่ให้ปัญหาดินเกิดเพ่ิมมากขึ้นจนก่อความเสียหายในวงกว้าง ไม่คุ้มค่ากับการ ลงทุน ปัญหาสาคัญอีกประการหน่ึงที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมในปัจจุบันเกิดจากการใช้ที่ดินและ การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการเร่งให้เกิดกระบวนการชะล้างพังทลายของดินในพ้ืนท่ี เกษตรกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการชะล้างพังทลายของดินเกิดจากกระบวนการท่ีสาคัญคือ กระบวนการแตกกระจาย เมอ่ื เมด็ ฝนตกลงมากระทบกับก้อนดิน ทาใหก้ อ้ นดนิ แตกเป็นเมด็ ดนิ เลก็ ๆ ภายหลังท่ีเม็ดฝนกระทบก้อนดินแล้วน้าบางส่วนก็จะไหลซึมลงไปในดิน เม่ือดินอ่ิมตัวจนน้าไม่ สามารถจะไหลซึมไปได้อีกแล้ว ก็จะเกิดน้าไหลบ่าพัดพาเอาก้อนดินเล็ก ๆ ท่ีแตกกระจายอยู่บนผิวดินไป ด้วยและพัดพาไป และการตกตะกอนทับถม เม็ดดินท่ีถูกพัดพาไปกับน้าจะไหลลงสู่พ้ืนท่ีต่า ทาให้เกิดการ สะสมตะกอนของดินในท่ีลมุ่ ต่า การชะลา้ งพังทลายของดิน เกดิ จากสาเหตใุ หญ่ 2 ประการ คอื 1) การชะ ล้างพังทลายโดยธรรมชาติ เป็นการชะล้างพังทลายซ่ึงเกิดข้ึนตามธรรมชาติ โดยมีท้ังน้าและลมเป็นตวั การ เช่น การชะละลาย การพัดพาโดยลมตามชายฝั่งทะเลหรือในทะเลทราย การพัดพาดินแบบน้ีเป็นแบบที่
3 ป้องกันไม่ได้ และถ้าเกิดมักใช้เวลานาน เป็นการเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปและช้ามาก และ 2) การชะล้าง พงั ทลายโดยมตี วั เรง่ ที่มมี นุษยห์ รือสัตวเ์ ลย้ี งเข้ามาช่วยเร่งให้มีการกัดกร่อนเพ่ิมข้ึนจากการชะล้างพังทลาย โดยธรรมชาติ เช่น การหักล้างถางป่าทาการเพาะปลูกอยา่ งขาดหลกั วชิ าการ ทาให้พื้นดินปราศจากสิ่งปก คลุม เกิดการกัดกร่อนโดยลมและฝนและพัดพาดินสญู เสียไปได้เพ่ิมขึ้น การสูญเสียดินจะมากน้อยเพียงใด ข้ึนอยู่กับวิธีการที่ใช้ทาการเกษตร (กรมพัฒนาที่ดิน, 2558) กรมพัฒนาที่ดิน มีภารกิจสาคัญเกี่ยวกับการ แก้ไขปัญหาทรัพยากรท่ีดิน โดยการพัฒนาท่ีดินและอนุรักษ์ดินและน้า ซ่ึงมาตรการด้านการอนุรักษ์ดิน และน้าจะช่วยปรบั โครงสร้างพน้ื ฐานของดนิ ในพ้ืนท่ีให้เหมาะสมกับการปลูกพืช พรอ้ มกบั ช่วยรักษาระบบ นิเวศทางดินให้เกิดการใช้ที่ดินได้อย่างยั่งยืน โดยก่อนเร่ิมดาเนินการต้องมีการการศึกษาและวิเคราะห์ สภาพของท่ีดินในพ้ืนท่ีก่อนเสมอหากพื้นที่ดาเนินการอยู่ในพ้ืนที่ดินปัญหา เช่น ดินเค็ม ดินตื้น หรือดิน ทราย จาเป็นจะต้องมีการออกแบบระบบอนุรักษ์ดินและน้าด้วยวิธีกลและวิธีพืชเฉพาะพื้นที่ เพื่อควบคุม หรือป้องกนั ไม่ให้ดินปญั หาเกิดการแพรก่ ระจายส่งผลกระทบก่อปญั หาเพิ่มข้ึนในพืน้ ท่ีอ่นื ต่อไป ดงั นน้ั กรม พัฒนาที่ดิน จึงเป็นหน่วยงานท่ีมีบทบาทสาคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรดินเชิงบูรณาการระดับลุ่ม น้า โดยนาหลักวิชาการและเทคนิคด้านการอนุรักษ์ดินและน้า มาใช้เป็นมาตรการเพ่ือป้องกันการชะล้าง พังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นท่ีเกษตรกรรม ให้พื้นท่ีสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า โดยพิจารณาจาก สภาพปัญหาพ้ืนที่และความต้องการของชุมชนเป็นหลัก นอกจากน้ี ยังศึกษานโยบายด้านการเกษตรของ รัฐบาล และท้องถิ่นในระดับต่าง ๆ เพ่ือนามาวิเคราะห์กาหนดมาตรการในแผนการใช้ท่ีดินพร้อม ข้อเสนอแนะด้านการจัดการพ้ืนที่ให้เกิดการใช้ท่ีดินอย่างยั่งยืน สามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหาร จดั การทรัพยากรธรรมชาติท่เี หมาะสมและขยายผลส่กู ารปฏิบตั ใิ นพืน้ ท่อี น่ื ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ 1) เพื่อศึกษาและประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสาหรับการป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดินและฟ้ืนฟูพืน้ ทเ่ี กษตรกรรม 2) เพ่ือจัดทาแผนการบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้าท่ีมีการกาหนดมาตรการด้านการ ปอ้ งกนั การชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพน้ื ทเี่ กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรักษ์ดินและน้า การจัดทาแผนการบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้า มีความสอดคล้องและเช่ือมโยงยุทธศาสตร์ความสอดคล้องของ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580): ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโต บนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรกับ ส่ิงแวดล้อม ความสอดคล้องของ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ : แผนแม่บทการบริหารจัดการน้าท้ัง ระบบ และความสอดคล้องของ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้าของประเทศ (พ.ศ. 2558 - 2569) : ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การอนุรักษ์ฟ้ืนฟูสภาพป่าต้นน้าที่เส่ือมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน กลยุทธ์ :
4 การอนุรักษ์ฟืน้ ฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมในพ้นื ท่ดี ินเส่ือมโทรมและชะล้างพังทลายของดิน โดยมเี ป้าหมายสาคัญ สูงสุด คือ พื้นท่ีเกษตรกรรมได้รับการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูให้สามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามศกั ยภาพของพื้นท่ี ไมน่ ้อยกว่า 20 ล้านไร่ ภายใน 20 ปี กาหนดกรอบแนวคิดจากหลักการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยการนาฐานข้อมูลด้านทรัพยากรดิน ประกอบด้วย ดินปัญหาและการชะล้างพังทลายของดิน เป็นตัวกาหนดพ้ืนที่เป้าหมายจากสภาพปัญหา สาหรับนาไปใช้ในการบริหารจัดการ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเน้นกระบวน การมี ส่วนร่วมของชุมชน บูรณาการข้อมูลเชิงสหวิชาการ นาข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาและวางแผนการใช้ท่ีดิน กาหนดมาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้าให้สอคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่และความต้องการของ ชมุ ชน เพอ่ื ใหไ้ ด้เขตอนรุ ักษ์ดนิ และน้าทีม่ ีการบริหารจัดการเชิงระบบพนื้ ที่การเกษตรสามารถใช้ประโยชน์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกษตรกรสามารถใช้ที่ดินได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามศักยภาพของดนิ (ภาพ ท่ี 1-1) ภาพท่ี 1-1 กรอบแนวคดิ การดาเนนิ งานโครงการ จัดทาแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ด้วยระบบ อนุรักษ์ดินและน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมพ้นื ท่ี 330,583 ไร่ 1) การรวบรวมข้อมูล เป็นข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากการรวบรวมเอกสารและงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อนาไปใช้ศึกษา วิเคราะห์ เชื่อมโยงสู่การจัดทาแผนบริหารจัดการเพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของ
5 ดนิ ด้วยระบบอนุรักษด์ ินและน้า ไดแ้ ก่ ฐานขอ้ มูลดา้ นทรัพยากรดนิ ทรพั ยากรน้าสภาพภูมปิ ระเทศ สภาพ การใชท้ ดี่ ิน เศรษฐกิจและสงั คม แผนการใชท้ ่ีดิน และข้อมูลการอนรุ ักษด์ นิ และน้าทีเ่ กย่ี วข้อง 2) การสารวจภาคสนาม ข้อมลู ปฐมภมู ิ ไดแ้ ก่ การชะล้างพังทลายของดนิ ทรพั ยากรดินสภาพการใช้ ที่ดิน การเปล่ียนแปลงของการใช้ที่ดิน ทรัพยากรน้า สภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมและสภาวะ เศรษฐกจิ สงั คม 3) การวิเคราะห์และประเมินผลข้อมูล การประเมินสถานภาพทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้า การ ประเมินการเปล่ยี นแปลงการใช้ท่ีดนิ และการสารวจขอ้ มลู ด้านเศรษฐกิจและสังคม 4) การประเมนิ พ้นื ทก่ี ารชะล้างพงั ทลายของดิน 5) การจดั ทาแผนการใชท้ ด่ี นิ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน 6) การรับฟังความคิดเห็นของชุมชนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม การประชาพิจารณ์เพ่ือการรับฟัง ความคดิ เหน็ ของชุมชนต่อการดาเนนิ งานโครงการ 7) การวิเคราะห์ลาดบั ความสาคัญเพือ่ กาหนดพื้นที่เปา้ หมายในการดาเนนิ งาน 8) การจัดทาแผนบริหารจัดการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรม ด้วยระบบอนรุ ักษด์ นิ และน้า 9) การประชาพิจารณ์เพ่ือการรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้าง พังทลายของดนิ และฟ้นื ฟูพนื้ ทเ่ี กษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและนา้ 10) นาเสนอ (ร่าง) แผนบรหิ ารจัดการป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพ้ืนทเ่ี กษตรกรรม ดว้ ยระบบอนรุ กั ษด์ ินและนา้ ต่อคณะกรรมการขับเคลอื่ นโครงการป้องกนั การชะล้างพังทลายของดนิ และ ฟื้นฟูพ้นื ท่ีเกษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรักษด์ นิ และน้า 11) ปรับปรุง (ร่าง) แผนบริหารจัดการฯ และนาข้อมูลใช้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการป้องกันการ ชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ขยายผลและขับเคลื่อน การดาเนินงานโครงการระยะต่อไป พนื้ ที่ลุ่มนา้ คลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ ปงี บประมาณ พ.ศ. 2563 1) ฐานข้อมลู ดา้ นการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่เกษตรกรรม และสถานภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และเศรษฐกิจและสังคม สาหรบั เปน็ ขอ้ มลู พื้นฐานประกอบการพิจารณากาหนดแผนการใช้ทด่ี ิน
6 2) แผนบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้าที่มีการกาหนดมาตรการด้านการป้องกันและฟ้ืนฟู ทรัพยากรดินตามสภาพปญั หาของพน้ื ท่ีและความต้องการของชมุ ชน 3) ต้นแบบการบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วย ระบบอนรุ กั ษ์ดินและนา้ 1) กรมพัฒนาท่ีดินมีต้นแบบแผนการบรหิ ารจดั การโครงการจัดการชะลา้ งพังทลายของดินและฟ้ืนฟู พ้ืนทเี่ กษตรกรรมดว้ ยระบบอนุรักษ์ดนิ และน้า ปี 2562 สาหรบั นาไปขยายผลในพ้นื ท่ีอืน่ 2) มาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้าที่กาหนดมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาของพ้ืนท่ีและ สามารถติดตามการเปลย่ี นแปลงสถานภาพทรัพยากรดินได้ตามตวั ชว้ี ัดที่กาหนด 1) กรมพัฒนาท่ีดินสามารถขับเคลื่อนการดาเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้าให้บรรลุเป้าหมาย ตามยทุ ธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรปู ประเทศ และแผนบรหิ ารจดั การน้าของประเทศ 2) พื้นท่ีเกษตรกรรมมีแผนการจัดการการชะล้างพังทลายของดิน และฟื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดนิ และนา้ ทาใหเ้ กษตรกรสามารถใช้ที่ดินไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตรงตามศักยภาพของพืน้ ที่ 1) เชิงปรมิ าณ - ร้อยละความสาเร็จในการจัดทาฐานข้อมูลด้านการชะล้างพังทลายของดินสาหรับเป็นข้อมูล พื้นฐานประกอบการจดั ทาแผนการบริหารจดั การทรพั ยากรดินระดับล่มุ น้า (รอ้ ยละ 100) - จานวนพ้ืนที่ที่มีการกาหนดแนวทางด้านการป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรดินตามสภาพปัญหา ของพ้ืนที่ (ไม่น้อยกว่า 200,000 ไร่/ลุ่มน้า) และจานวนพื้นที่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ (ไม่น้อยกว่า 10,000 ไร/่ ปี) 2) เชงิ คุณภาพ - ฐานข้อมูลด้านการชะล้างพังทลายของดินมีความถูกต้อง ครบถ้วน สอดคล้องกับสภาพปัญหา ของพน้ื ท่ี - มาตรการด้านการป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรดินมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพพ้ืนที่ และสามารถนาไปกาหนดแผนงานโครงการไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
7 1) กรมพัฒนาท่ีดินมีต้นแบบแผนการบริหารจัดการการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟู พ้ืนที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า สาหรับขับเคล่ือนการดาเนินงานด้าน การอนุรักษ์ดินและ นา้ ให้บรรลุเปา้ หมายตามยทุ ธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนบรหิ ารจัดการนา้ ของประเทศ 2) หน่วยงานท่ีดาเนินงานด้านการอนุรักษ์ดินและน้า มีค่าดัชนีช้ีวัดท่ีสาหรับนาไปใช้ในการพัฒนา งานวิจัยให้สอดคลอ้ งกับสภาพปัญหาของพ้ืนท่ี และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทรัพยากร ดนิ 3) กรมพัฒนาที่ดินมีแนวทางการดาเนินงานจัดทาแผนบริหารจัดการที่เป็นไปตามมาตรฐานหลัก วิชาการด้านอนรุ ักษด์ นิ และนา้ 4) เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของดินและพ้ืนท่ีดินปัญหา มีแผนบริหารการ จัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ทาให้ สามารถใช้ประโยชนท์ ่ีดนิ ได้อย่างเหมาะสมตรงตามศักยภาพของพน้ื ที่ คณะทางานจัดทาแผนการบรหิ ารจดั การโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพื้นท่ี เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี อาเภอสามร้อยยอด จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการป้องกนั การชะล้างพงั ทลายของดิน และฟ้ืนฟพู ืน้ ที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนรุ ักษ์ดินและน้า 1) ส่งรายงานเบ้ืองต้น (Preliminary Report) เอกสารประกอบการประชุมประชาพิจารณ์ ครั้งท่ี 1 (วันท่ี 30 มิถุนายน 2563) 2) ส่งร่างรายงานฉบับร่าง (Draft Final Report) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้าง พังทลายของดิน และฟื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ปี 2563 พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย (วันท่ี 3 สงิ หาคม 2563) 3) ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดิน และฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ปี 2563 พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย (วันท่ี 25 กันยายน 2563)
8
9 2
2 10 การจัดทาแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษ์ดินและน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นการศึกษาและประเมินสถานภาพทรัพยากรดินเชิงระบบสาหรับแก้ปัญหาด้านการชะล้างพังทลาย ของดินและฟ้ืนฟูดินในพื้นที่เกษตรกรรม มีการกาหนดมาตรการด้านการป้องกัน และฟ้ืนฟูทรัพยากรดิน ตามสภาพปัญหาของแต่ละพื้นท่ีผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพ่ือให้ได้ต้นแบบแผนการบริหาร จัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และพื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ปี 2562 สาหรับนาไปขยายผลในพื้นที่อื่น ตามกรอบวิธีการดาเนินงาน และขั้นตอนการดาเนินงาน (ภาพที่ 2-1) ดังนี้ พ้ืนทีเ่ ปา้ หมาย สารวจศึกษาขอ้ มลู ลมุ่ น้าคลองกยุ มงุ่ เนน้ การป้องกันการชะล้างของดินและ ฟื้นฟูพ้ืนที่เกษตรกรรมด้วย ระบบอนุรักษด์ ินและนา้ วเิ คราะห์ขอ้ มลู เพอ่ื ป้องกนั การชะลา้ งของดนิ และฟนื้ ฟูพนื้ ท่ี เกษตรกรรมดว้ ยระบบอนรุ กั ษ์ดินและน้า ประชาพิจารณ์ (ครั้งท่ี 1) (แผนการใชท้ ด่ี นิ ฯ/พน้ื ทดี่ าเนนิ การ) ปรับปรุงพฒั นาแผน แผนบรหิ ารจัดการ เพ่ือปอ้ งกนั การชะลา้ งของดนิ และฟนื้ ฟูพน้ื ท่ี เกษตรกรรมดว้ ยระบบอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ การปอ้ งกันการชะลา้ งของดนิ และฟนื้ ฟูพนื้ ทเี่ กษตรกรรม (คร้ังที่ 2) ด้วยระบบอนรุ กั ษ์ดินและน้า ประชาพิจารณ์ (แผนการใช้ทีด่ นิ ฯ/ พนื้ ท่ีดาเนนิ การ) ภาพที่ 2-1 กรอบวธิ ีการดาเนนิ งาน
11 การรวบรวมข้อมูลเพื่อนาไปใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เชื่อมโยงสู่การจัดทาแผนบริหารจดั การ เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้าประกอบด้วยข้อมูล แผนที่ เอกสารรายงาน และผลงานวิชาการหรือวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทรัพยากรดิน (มาตราส่วน 1 : 25,000) ปี พ.ศ. 2561 และข้อมลู ลักษณะสมบัติดนิ บางประการ จากกองสารวจดนิ และวจิ ัยทรัพยากรดนิ กรมพัฒนา ท่ีดิน ทรัพยากรน้า สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ ปี พ.ศ. 2533 – 2562 (กรมอุตุนิยมวิทยา) สภาพ การใช้ท่ีดิน มาตราส่วน 1 : 25,000 ปี พ.ศ. 2561 ข้อมูลเศรษฐกิจและสังคม และแผนการใช้ที่ดิน จาก กองนโยบายและแผนการใช้ที่ดนิ กรมพฒั นาที่ดิน และกรมการพัฒนาชุมชน ขอ้ มลู พ้นื ที่เขตป่าไม้ถาวร ปี พ.ศ. 2561 จากสานักเทคโนโลยีการสารวจและ ทาแผนท่ี กรมพัฒนาทีด่ ิน ข้อมลู ด้านการชะล้างพงั ทลาย ของดิน และระบบการอนุรักษ์ดินและน้าตลอดจนรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ ท้ังในรูปแบบดิจิตอล และส่ิงพิมพ์ จากหน่วยงานทีเ่ กย่ี วข้อง การสารวจศึกษาข้อมูลภาคสนามเพ่ือให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันตลอดจนข้อมูลท่ีนอกเหนือจากท่ีมีอยู่ (ข้อ 2.1.1) และครอบคลุมประเด็นปัญหาของสภาพพ้ืนที่อย่างแท้จริงท้ังนี้เพ่ือวิเคราะห์ในการจัดทาแผน บริหารจดั การป้องกันการชะลา้ งพังทลายของดิน ดว้ ยระบบอนรุ ักษ์ดนิ และนา้ และวเิ คราะห์การจัดลาดับ ความสาคญั ของพ้ืนที่ดาเนินการ ได้แก่ ทรัพยากรดิน ทรพั ยากรนา้ สภาพการใช้ทีด่ ิน การชะล้างพังทลาย ของดนิ และข้อมลู เศรษฐกิจและสังคม การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิท่ีมีอยู่ และดาเนินการสารวจศึกษาและตรวจสอบดินใน ภาคสนามเพิ่มเติมในการจัดทาฐานข้อมูลทรัพยากรดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าห้วยกระเสียว -ห้วยท่ากวยเพื่อ สนับสนุนการประเมินการชะล้างพังทลายของดินจัดทาแผนการใช้ท่ีดินและการกาหนดมาตรการอนุรักษ์ ดินและน้า และจัดทาแผนบริหารจัดการเพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าห้วยกระ เสียว-ห้วยท่ากวย มีข้ันตอนหลักในการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ สารวจศึกษาดินในภาคสนาม และ วิเคราะหส์ ภาพปญั หาดินทางการเกษตร ดงั นี้ 1.1) ขอ้ มูลทรพั ยากรดิน การประเมินข้อมูลทรัพยากรดิน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแผนที่ดิน มาตราส่วน 1 : 25,000 ท่ีมีอยู่เพ่ือเป็นกรอบการพิจารณาการสารวจศึกษาเก็บข้อมูลและตรวจสอบดินใน ภาคสนาม เพ่ิมเติม โดยใช้ข้อมูลประกอบ ได้แก่ แผนท่ีภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข และแผนที่ภูมิประเทศ เป็นแผนท่ี
12 พืน้ ฐานในการสารวจโดยมีขัน้ ตอนการดาเนนิ งาน ดงั นี้ (1) การปฏบิ ัตงิ านก่อนออกสนาม - การแปลข้อมูลในแผนท่ีภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข เพื่อกาหนดขอบเขต พ้ืนที่โครงการ ถนน เส้นทางนา้ การใช้ท่ดี ิน ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ความลาดชัน และการชะลา้ งพังทลายของดิน - การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ข้อมูลดินข้อมูลทางธรณีวิทยา ข้อมูลสภาพภูมิ ประเทศ รว่ มกบั การแปลขอ้ มลู ในแผนท่ภี าพถา่ ยออร์โธสีเชงิ เลข เพ่ือให้ทราบถงึ สภาพพน้ื ทีแ่ ละวิเคราะห์ พืน้ ท่ี เพ่อื อนมุ านลกั ษณะและสมบตั ิของดนิ เบื้องต้นในพนื้ ท่ีศกึ ษา - การเขียนขอบเขตดินเบ้ืองต้นโดยพิจารณาข้อมูลพื้นท่ีท่ีมีความเส่ียงต่อ การชะล้าง พังทลายของดนิ และข้อมลู อ่ืน ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ งประกอบการกาหนดจุดเจาะสารวจดินบนแผนทภี่ าพถ่ายออร์ โธสเี ชิงเลข (2) การปฏบิ ัติงานในภาคสนาม - การเจาะสารวจดินตามจุดที่กาหนดไว้ในแผนท่ีภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข หรือใน บริเวณพ้ืนที่ท่ีมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยใช้สว่านเจาะดินลึก 200 เซนติเมตร หรือถึงช้ัน เชื่อมแข็งหรือแนวสัมผัสชั้นหินพ้ืนวางเรียงกันตามความลึกเพื่อตรวจศึกษาสมบัติทาง เคมีและทาง กายภาพของดนิ ทุกจดุ ด้วยเครื่องมอื ตรวจวัดภาคสนาม - การบันทึกสภาพแวดล้อมบริเวณพ้ืนท่ีศึกษา ได้แก่ วัตถุต้นกาเนิดดิน ภูมิสัณฐาน ความลาดชนั การชะล้างพังทลายของดิน การระบายน้าของดิน ความสามารถให้น้าซึมผ่านของดิน ระดับ นา้ ใตด้ ิน สภาพนา้ ท่วมขัง พชื พรรณและการใชท้ ด่ี ิน - การศึกษาลักษณะสมบัติดินเพ่ือใช้ในการจาแนกดิน เช่น ความหนาของชั้นดิน เน้ือ ดิน สีดิน โครงสร้างของดิน การจัดเรียงตัวของชั้นดิน การยึดตัวของอนุภาคดิน การ เคล่ือนย้ายของ อนุภาคดินเหนียว ปริมาณการกระจายของรากพืช ค่าปฏิกิริยาดิน ชนิดของชิ้นส่วน หยาบในดินหรอื วัตถุ ตา่ ง ๆ ที่พบในช้นั ดิน เชน่ ก้อนกรวดลกู รงั และเศษหนิ เปน็ ต้น - การจาแนกดินตามระบบอนุกรมวิธานดิน (Soil Survey Staff, 2014) ในระดับ ประเภทของชุดดินและดินคล้าย (phases of soil series or soil variants) เขียนหน่วย แผนท่ีดินลงใน ภาพถ่ายออร์โธสีพร้อมทั้งปรับแก้ไขขอบเขตของดินในภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลขให้ สอดคล้องกับสภาพ พน้ื ท่ีจรงิ ในสนาม - การบันทึกลักษณะดิน สภาพพ้นื ทแ่ี ละเก็บตัวอย่างดินบริเวณท่ีเป็นตวั แทนของหน่วย แผนที่ดนิ สาหรับนาไปวิเคราะหห์ าสมบตั กิ ายภาพและทางเคมี เพอ่ื ประเมนิ ความอุดมสมบูรณข์ องดนิ (3) การจดั ทาแผนท่ีดนิ การจัดทาแผนท่ีดนิ และสรุปหน่วยแผนท่ีทั้งหมดในพน้ื ที่ลุ่มนา้ หว้ ยกระเสียว-ห้วยท่ากวย ในมาตราส่วน 1 : 25,000 1.2) ข้อมลู ทรัพยากรดินปัญหา การจัดทาข้อมูลและแผนท่ีดินปัญหาหรือสภาพปัญหาดินทางการเกษตร มาตราส่วน
13 1 : 25,000 ในพ้นื ทล่ี ุม่ น้าห้วยกระเสยี ว-หว้ ยท่ากวย ตามขน้ั ตอน ดงั น้ี (1) การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลดินเพื่อการจาแนกตามลักษณะและสมบัติดิน ประจาชุด ดิน จาแนกประเภทและความรุนแรงของดินปัญหาต่อการผลิตพืชตามปัญหาท่ีเกิดจาก สภาพธรรมชาติ และจากการใชท้ ดี่ ิน รวมถึงดนิ ทมี่ ปี ัญหาเล็กน้อยทเ่ี ปน็ ข้อจากัดทางการเกษตร (2) การจัดทาแผนท่ีดินปัญหาและประเมินความรุนแรงของดินปัญหาในพื้นท่ี ดาเนินการ เพ่ือนาไปใช้ในแก้ไขฟ้ืนฟูและป้องกนั การชะล้างพังทลายของดินรวมถงึ กาหนด มาตรการด้านการอนุรักษ์ ดินและน้าเพ่ือการใชท้ ่ีดนิ ทางการเกษตรได้อยา่ งยงั่ ยืน การประเมินสถานภาพทรัพยากรน้า สาหรับนาไปใช้ในการประเมินการชะล้าง พังทลาย ของดินจัดทาแผนการใช้ท่ีดินกาหนดมาตรการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ อนุรักษ์ดินและน้า การประเมนิ ปรมิ าณน้าผวิ ดนิ ทไี่ หลจากพ้นื ผิวดนิ สู่ร่องน้าลาหว้ ยคลองและแมน่ ้าโดยอาศัยการคานวณจาก ปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมาบนพ้ืนท่ีหน่ึง ๆ แล้วถูกดูดซับลงไปเก็บกักไว้ในดิน และระเหยไปในอากาศ น้าที่ เหลือจากกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ จะไหลลงสู่ร่องน้า ลาห้วย คลองและแม่น้าต่อไปอัตราการไหลและ ปริมาณน้าข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรง ปริมาณน้าทิศทางลมลักษณะความลาดเทของ พื้นทปี่ ระสทิ ธิภาพการเก็บกักนา้ บนผิวดนิ การใชท้ ี่ดนิ สมบัตขิ องดนิ และขนาดของพน้ื ทรี่ ับนา้ ทงั้ นเี้ พือ่ ให้ได้ ฐานข้อมูลท่ีสอดคล้องกับหลักการ สาคัญของการอนุรักษ์ดินและน้าที่เป็นการรกั ษาความชุ่มชื้นในดินการ เก็บกักน้าไหลบ่าบนผิวดินไว้ ใช้ในพื้นท่ีเพ่ือประโยชน์สูงสุดตามศักยภาพของพ้ืนที่บริเวณน้ัน ๆ ใน ขณะเดียวกันจะต้องระบายน้าส่วนเกินท้ิงไปในพื้นที่ที่ควบคุมได้เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพ้ืนท่ี โดยเฉพาะการกัดเซาะพังทลายของดินจงึ กาหนดการประเมนิ ศกั ยภาพภาพปรมิ าณน้าท่า ดังนี้ - การคานวณปริมาณน้าท่า ดว้ ยวิธี Regional Runoff equation (Lanning-Rush, 2000) โดยอาศัย ความสมั พันธ์แบบรเี กรซชั่น (regression) ระหวา่ งปริมาณน้านองสูงสุดเฉลี่ยและพ้ืนที่รับนา้ ฝนจากข้อมูล สถานวี ดั นา้ ในล่มุ นา้ ต่าง ๆ ในลุม่ น้าขนาดใหญเ่ พอ่ื หาปริมาณน้าท่าเฉลี่ยทจี่ ดุ ต่าง ๆ ในลุ่มนา้ ดงั สมการ Qf = aAb เม่ือ Qf คือปริมาณน้านองสงู สุดรายปเี ฉลี่ย (ลกู บาศกเ์ มตร/วนิ าที) A คอื พื้นท่ีรบั นา้ ฝน (ตารางกโิ ลเมตร) a, b คือคา่ คงที่คานวณจากกราฟ 1) การรวบรวมและตรวจสอบเอกสาร ทงั้ ในรปู แบบของแผนที่ แผนทเี่ ชงิ เลข และ รายงาน ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั จงั หวดั อุทัยธานี เพอื่ ใชใ้ นการกาหนดแนวทางการดาเนินงาน 2) การเตรียมขอ้ มลู ดาวเทยี ม (1) ข้อมูลจากดาวเทียมไทยโชตที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วยข้อมูลเชิงเลข
14 (digital data) และข้อมูลเชิงภาพ (analog data) การเตรียมข้อมูลดาวเทียมมีข้ันตอนการ ดาเนินงาน ดังนี้ - การแก้ไขความคลาดเคล่ือนทางเรขาคณิต (geometric correction) เน่ืองจาก ข้อมูลดาวเทียมที่ได้รับมายังมีความคลาดเคล่ือนเชิงตาแหน่งทางภูมิศาสตร์จาเป็นต้องดาเนินการแก้ไข ตาแหน่งให้ถูกต้องเพ่ือให้สามารถวิเคราะห์ซ้อนทับกับช้ันข้อมูลอ่ืน ๆ ได้โดยใช้ ภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลข ของกรมพัฒนาทด่ี ิน และแผนท่ภี ูมปิ ระเทศ มาตราส่วน 1:50,000 จากกรมแผนทท่ี หารเปน็ ข้อมูลอา้ งองิ - การผลิตภาพจากข้อมูลดาวเทียมไทยโชตภาพท่ีใช้เป็นภาพผสมสีเท็จ (false color) สามช่วงคลื่น เพื่อให้ภาพชัดเจนและง่ายต่อการวิเคราะห์มากข้ึน ทาการผสมสีดังน้ี ช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้ (Near Infrared–NIR) ให้ผ่านตัวกรองแสงสีแดง (red filter) เน่ืองจากช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้เป็นช่วงคล่ืนที่ พืชสีเขียวสะท้อนพลังงานมากท่ีสุดดังนั้นบริเวณที่มีพืชใบเขียว อยู่ในภาพจะมองเห็นเป็นสีแดงชัดเจนส่วน ช่วงคลื่นสีแดงให้ผ่านตัวกรองแสงสีเขียว (green filter) และช่วงคลื่นสีน้าเงินให้ผ่านตัวกรองแสงสีน้าเงิน (blue filter) หลังจากน้ันทาการเน้นรายละเอียดของข้อมูลภาพด้วยข้อมูลภาพช่วงคลื่นเดียวหรือภาพขาว- ดา ที่มีรายละเอียด จุดภาพ 2 เมตร ซ่ึงเทคนิคน้ีหรือที่เรียกว่า Pansharpening method จะทาให้ ข้อมูลภาพสมี รี ายละเอียดจุดภาพเพ่ิมขนึ้ เท่ากับ 2 เมตร - การผลิตภาพข้อมูลดาวเทียม LANDSAT 8 OLI จะใช้เทคนิคผสมสีเท็จ (false color composite) โดยช่วงคล่ืนอินฟราเรดใกล้ Near Infrared (NIR) (0.85-0.88 ไมครอน) ผ่านตัว กรองสีแดงช่วงคลื่นอินฟราเรดคล่ืนส้ัน 1 (Short Wave Infrared1: SWIR1) (1.57-1.65 ไมครอน) ผ่าน ตัวกรองสีเขียวและช่วงคลื่นสีแดง (0.64-0.67 ไมครอน) ผ่านตัวกรองสีน้าเงินเพ่ือใช้ในการจาแนกพืช พรรณ (2) การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพการใช้ท่ีดินจากข้อมูลดาวเทียม โดยพิจารณาจาก องค์ประกอบของข้อมูล คือ ความเข้มของสีและสี (tone/color) ขนาด(size) รูปร่าง (shape) เนื้อภาพ (texture) รูปแบบ (pattern) ความสูงและเงา (height and shadow) ความเกี่ยวพัน (association) และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล (temporal change) เพ่ือวิเคราะห์ข้อมูลสภาพการใช้ที่ดิน โดยใช้ โปรแกรมวิเคราะห์ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์แล้ว จึงนาช้ันข้อมูลที่ได้ทาการวิเคราะห์ซ้อนทับกับ ภาพถ่ายออร์โธสีเชิงเลขและข้อมูลจากดาวเทียมไทย โชตเพื่อจัดพิมพ์เป็นแผนท่ีสาหรับการสารวจและ ตรวจสอบข้อมลู ในภาคสนาม 3) การสารวจข้อมูลในภาคสนาม โดยสารวจและตรวจสอบรายละเอียดสภาพ การใช้ท่ีดิน ในพนื้ ทีจ่ รงิ พร้อมท้ังแก้ไขรายละเอียดให้มีความถูกต้องตรงกับสภาพปัจจบุ นั 4) การสร้างฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS database) เป็นการจัดทาท้ัง ฐานข้อมูล เชิงพื้นท่ี (spatial data) และฐานข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (attribute data) ของข้อมูลจากภาคสนามและ ขอ้ มูลแผนท่ีจากสว่ นที่เกีย่ วขอ้ ง โดยนาเข้าและประมวลผลในระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ ดังน้ี (1) การสรา้ งฐานข้อมูลเชิงพื้นทเี่ ป็นการนาเข้าขอ้ มูลในรูปแผนท่ีเชงิ เลขเพ่ือ ใช้วเิ คราะห์ และประมวลผลเชงิ พนื้ ที่
15 (2) การสร้างฐานข้อมูลเชิงคุณลักษณะ เป็นการนาเข้าข้อมูลด้านคุณลักษณะของแผนท่ี และข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับข้อมูลเชิงพื้นท่ีเพ่ือทาให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลท้ัง 2 ประเภท สาหรบั ใช้ในการวิเคราะหแ์ ละประมวลผลในระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ 5) การจัดทาแผนที่และฐานข้อมูล สภาพการใช้ท่ีดินของพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์ พ.ศ. 2563 การสารวจเก็บรวบรวบขอ้ มลู ดา้ นเศรษฐกิจและสังคมเพื่อประกอบการจดั ทาแผนการใช้ท่ีดินและ แผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและความเสื่อมโทรมของดิน ด้วยระบบอนุรักษ์ดิน และน้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรท่ีปลูกพืชเศรษฐกิจสาคัญของพื้นที่ ได้แก่ สับปะรด ยางพารา ปาล์มนา้ มนั ไม้ผลผสม และมว่ ง มขี น้ั ตอนการดาเนนิ งาน ดังนี้ 1) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่สาคัญ ได้แก่ เกษตรกรผู้ให้สัมภาษณ์ ข้อมูลสถิติจาก หน่วยงานต่าง ๆ โดยสามารถจดั ข้อมูลได้ 2 ประเภท คอื (1) ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมจากการสารวจในภาคสนามด้วยวิธีการสัมภาษณ์ เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย โดยการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางสาเร็จรูปของTaro Yamane ทรี่ ะดบั ความเช่ือมนั่ ร้อยละ 90 ได้ขนาดจานวนตัวอย่างทง้ั ส้ิน 100 ตวั อย่าง แลว้ ทาการสุ่มตวั อยา่ งในการ เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีแบบเจาะจง (purposive sampling) คือ เลือกเฉพาะเกษตรกรท่ีปลูกพืช (ข้าว ขา้ วโพดเล้ยี งสตั ว์ ยางพารา และไมส้ ัก) ในพ้ืนทเ่ี ป้าหมาย และใช้แบบสอบถามในการสัมภาษณ์เกษตรกร (2) ข้อมูลทุติยภูมิ คือ ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเก็บรวบรวมจากเอกสารวิชาการ ผลงานวิจัย รายงาน บทความ และระบบสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต เช่น ข้อมูลเก่ียวกับระบบการปลูก การดูแลรักษา และการ เกบ็ เกยี่ ว เป็นต้น เพ่ือเป็นขอ้ มูลสาหรบั อา้ งองิ และประกอบการศึกษาต่อไป 2) การวิเคราะหข์ ้อมลู การนาข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ แล้วทาการตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของ ข้อมูล และประมวลผล จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ( descriptive analysis) แสดงผลเป็นค่าร้อยละ และ/หรือคา่ เฉล่ยี แบง่ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ดังนี้ (1) การวเิ คราะหข์ อ้ มูลทั่วไปของครัวเรอื นเกษตร ความรู้ ความเข้าใจ ดา้ นการอนุรักษ์ดินและ น้า ผลกระทบของการชะล้างพังทลายของดิน ตลอดจนทัศนคติ ปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือ จากรฐั ของเกษตรกร (2) การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ปัจจัยการผลิต โดยใช้ปริมาณและมูลค่าปัจจัยการผลิตท่ีสาคัญ ได้แก่ การใช้พันธุ์ การใช้ปุ๋ยชนิดต่าง ๆ (ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์) การใช้สารป้องกันและกาจัดวัชพืช/ ศัตรูพืช/โรคพืช การใช้แรงงานคน และแรงงานเครื่องจักร โดยวิเคราะหแ์ ละสรุปข้อมูลมาเป็นค่าเฉล่ียตอ่ พน้ื ที่ 1 ไร่
16 (3) การวิเคราะห์ขอ้ มลู ต้นทนุ และผลตอบแทนในการผลติ ได้แก่ - การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต ประกอบด้วยต้นทุนทั้งหมด ต้นทุนผันแปร และต้นทุน คงที่ โดยมีวธิ ีการคานวณต้นทุน ดังนี้ ตน้ ทนุ ทง้ั หมด = ตน้ ทนุ ผันแปร + ต้นทุนคงที่ ต้นทุนผันแปรเป็นค่าใช้จ่ายท่ีเก่ียวข้องกับการผลิตท่ีจะเปล่ียนแปลงไปตามปริมาณการ ผลิต ค่าใช้จ่ายประเภทนี้ เกษตรกรสามารถเพิ่มหรือลดได้ในช่วงระยะเวลาการผลิตพืช เช่น ค่าพันธุ์ ค่า ปุ๋ย ค่าแรงงานคน ค่าแรงงานเครือ่ งจกั ร ค่าซ่อมแซมอปุ กรณ์การเกษตร และคา่ ขนส่งผลผลิต เปน็ ต้น ต้นทุนคงที่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแก่เกษตรกรถึงแม้จะไม่ได้ทาการผลิตพืช เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายประเภทนี้จะไม่เปล่ียนแปลงไปตามปริมาณการผลิตพืช เช่น ค่าเช่าท่ีดินที่ใช้ในการปลูกพืช ค่า ภาษีทด่ี ินซึ่งต้องเสียทกุ ปี ไม่ว่าที่ดนิ ผนื นนั้ จะใชป้ ระโยชน์ในปนี ้นั ๆ หรอื ไมก่ ต็ าม - การวเิ คราะห์ผลตอบแทนการลงทนุ มีวิธีการคานวณ ดังน้ี ผลตอบแทนเหนือต้นทนุ ทง้ั หมด = ผลตา่ งระหวา่ งมูลค่าผลผลิตทั้งหมดกบั ต้นทุนทง้ั หมด - อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุนท้ังหมด (Benefit-cost Ratio: B/C Ratio) เป็นการ วิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินเพ่ือใช้ในการตัดสินใจในการลงทุนว่าควรจะลงทุน ในการผลิตหรือไม่ เปน็ การวเิ คราะห์อัตราสว่ นเปรยี บเทียบมูลค่าปัจจุบันเฉล่ียต่อไร่ของผลตอบแทน กบั ต้นทุนทงั้ หมดตลอด ช่วงปีท่ีทาการผลิต โดยเกณฑ์ท่ีใช้ในการตัดสินใจเลือกลงทุนในโครงการใด ๆ คือ B/C Ratio ที่มีค่า มากกว่าหรือเท่ากับ 1 ถ้า B/C Ratio มากกว่า 1 หมายความว่า ผลตอบแทนท่ีได้รับจากการผลิตพืช มากกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนท่ีเสียไป หรือถ้า B/C Ratio เท่ากับ 1 หมายความว่า ผลตอบแทนท่ีได้รับ จากการผลติ พืชเท่ากบั ค่าใช้จา่ ยหรอื ตน้ ทนุ ที่เสยี ไปพอดี การประเมินการชะล้างพังทลายของดินในพ้ืนที่โครงการฯ โดยอาศัยสมการการสูญเสียดินสากล (Universal Soil Loss Equation, USLE) (Wischmeier and Smith, 1965) ซงึ่ สมการน้ีถกู พัฒนาข้นึ มา เพอ่ื ใชป้ ระเมนิ การชะล้างพงั ทลายของดินในพน้ื ที่เกษตรและเป็นการชะลา้ งพังทลายของดินทเี่ กิดจากการ กระทาของนา้ ไม่รวมถงึ การชะลา้ งพังทลายท่เี กดิ จากลมดังสมการ A = R K LS C P (3) สมการดังกล่าวพิจารณาการชะล้างพังทลายของดินจากการตกกระทบของเม็ดฝน (raindrop erosion) และแบบแผน่ (sheet erosion) ไมค่ รอบคลุมถงึ การชะล้างพงั ทลายแบบรวิ้ (rill erosion) และ แบบร่อง (gully erosion) (Wischmeier and Smith, 1965) ซ่ึงปัจจัยที่นามาพิจารณาในสมการ ได้แก่ ปริมาณน้าฝน ความแรงของน้าฝน ลักษณะของดิน ลักษณะของพืชคลุมดิน สภาพของพ้ืนท่ี และ
17 มาตรการระบบอนุรกั ษด์ นิ และน้า รายละเอยี ดแตล่ ะปัจจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ดงั นี้ 1) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับฝน (erosivity factor: R) เป็นค่าความสมั พันธ์ของพลงั งานจลน์ ของเม็ด ฝนที่ตกกระทบผิวหน้าดินกับปริมาณความหนาแน่นของฝนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซง่ึ ความสมั พันธ์น้ีได้มีผู้ ศึกษาและนามาประยุกต์ใช้อย่างกวา้ งขวาง (มนแู ละคณะ, 2527 และ Kunta, 2009) ในการศึกษาน้ีได้นา ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างค่าปัจจัยการกัดกร่อนของฝนสอดคล้อง ตามวิธีการของ Wischmeier (กรมพัฒนา ที่ดิน, 2545; มนูและคณะ, 2527) มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลปริมาณน้าฝนเฉล่ียรายปี (average annual rainfall) ในช่วงระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2559-2562) ได้คา่ ปัจจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับฝนสาหรบั พืน้ ทโ่ี ครงการฯ 2) ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของดิน (erodibility factor: K) เป็นค่าความคงทนของดิน ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีคล้ายคลึงกันดินแต่ละชนิดจะทนต่อการชะล้างพังทลายที่แตกต่างกัน สอดคล้อง ตามหลักการของ Wischmeier นั้น สามารถวิเคราะห์ค่าปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับลักษณะดินน้ีจากภาพ Nomograph โดยประเมินได้จากสมบัติของดิน 5 ประการคือ (1) ผลรวมปริมาณร้อยละของทรายแป้ง และปริมาณร้อยละของทรายละเอียดมาก (2) ปริมาณร้อยละของทราย (3) ปริมาณ ร้อยละของ อินทรียวัตถุในดิน (4) โครงสร้างของดิน และ (5) การซาบซึมน้าของดิน (กรมพัฒนาที่ดิน, 2545) ได้มี การศึกษาปัจจัยดังกล่าวและให้ค่าปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะของดินสอดคล้องตามสมการการสูญเสีย ดนิ สากล 3) ปัจจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั สภาพภูมปิ ระเทศ (slope length and slope steepness factor: LS) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความลาดชัน และความยาวของความลาดชัน ตามปกติแล้วค่า การชะล้าง พังทลายของดินน้ันจะแปรผันตรงกับความลาดชันสูงและความยาวของความลาดชันใน การศึกษานี้ได้ใช้ ข้อมูลความสูงจากแบบจาลองระดับความสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model, DEM) โดยคานวณท้ัง สองปัจจัยสอดคลอ้ งกับการศกึ ษาของ (Hickey et al., 1994) 4) ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการจัดการพืช (crop management factor: C) เป็นปัจจัยที่ เกี่ยวข้อง กับพืชคลุมดิน ซึ่งพืชแต่ละชนิดย่อมมีความต้านทานในการชะลา้ งพังทลายของดินที่แตกต่างกันข้ึนอยู่กับ ความสูงของต้นลักษณะพุ่มหรือการยึดอนุภาคดินของรากพืชน้ัน ๆ เป็นต้น ในกรณีท่ีไม่มีพืชปกคลุมดิน น้ันค่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพืชน้ีจะมีค่ามากที่สุดในที่นี้ คือ 1.00 ส่วนกรณีที่พืชปกคลุมดิน สามารถตา้ นทานการชะล้างพังทลายของดินไดด้ ีจะใหค้ ่าปัจจัยนี้น้อย นอกจากน้ี ปจั จยั ท่ีเกี่ยวข้องกับการ จัดการพชื นี้ ยังมคี วามสัมพนั ธ์กับสภาพภูมิอากาศในพื้นทน่ี ั้น ๆ เน่ืองจากสภาพภูมิอากาศนน้ั มีผลต่อการ เจรญิ เติบโตของพืช 5) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ดินและน้า (conservation factor: P) เป็นปัจจัยท่ีแสดงถึง มาตรการอนรุ กั ษ์ดนิ และน้าในพ้นื ที่นั้น ๆ เชน่ การปลูกพืชตามแนวระดับ (contouring) การปลกู พชื สลบั ขวางความลาดเอียง (strip cropping) การปลูกพืชในพ้ืนท่ีท่ีมีคันนา เป็นต้น ในท่ีน้ีใช้ค่าตามการศึกษา ของกรมพัฒนาท่ีดิน (2545) จากค่าปัจจัยท้ัง 5 ปัจจัยน้ันสามารถนามาคานวณการสูญเสียดินสอดคล้อง ตามสมการการสูญเสียดินสากลได้บนฐานข้อมูลแบบราสเตอร์ (raster) โดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จากผลการคานวณค่าการสูญเสยี ดินน้นั สามารถนามาจัดช้นั ความรุนแรงของการสูญเสียดนิ ทาให้ทราบถึง
18 ขอบเขตของพื้นท่ีมีปัญหาเน่ืองจากการสูญเสียดินเพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนอนุรักษ์ดินและน้าใน พื้นท่ีตอ่ ไป ตารางท่ี 2-1 ระดบั ความรุนแรงของการชะล้างพงั ทลายของดิน ระดบั ความรุนแรงของการชะล้างพังทลาย ค่าการสูญเสียดนิ (ตนั /ไร่/ปี) นอ้ ย ปานกลาง 0-2 รนุ แรง 2-5 รนุ แรงมาก 5-15 รนุ แรงมากทสี่ ุด 15-20 ทม่ี า: กรมพฒั นาที่ดนิ (2545) มากกว่า 20 ตารางที่ 2-2 ชัน้ ของการกดั กรอ่ น สัญลักษณ์ ช่อื เรียก การสญู เสยี ของช้นั ดนิ (%) E0 ไม่มีการกรอ่ น (non eroded) 0 E1 กร่อนเลก็ น้อย (slightly eroded) E2 กรอ่ นปานกลาง (medium eroded) 0 - <25 E3 กรอ่ นรนุ แรง (severe erosion) E4 กรอ่ นรุนแรงมาก (very severe erosion) 25 – 75 > 75 100 ท่มี า: กรมพัฒนาท่ดี นิ (2551) การจัดทาแผนการใช้ที่ดินเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางภูมิสารสนเทศ (Geographic Information System: GIS) เพ่ือจัดทาแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้าโดยการ ประมวลผล ข้อมูลทางกายภาพ ได้แก่ ประเภทการใช้ที่ดิน การประเมินคุณภาพดินและน้า สภาพภูมิอากาศ สภาพ เศรษฐกิจและสงั คม ดงั น้ี วิเคราะห์ประเภทการใช้ทีด่ ินจากชนดิ ของพชื ลักษณะการดาเนนิ งานและสภาพการผลิตในการใช้ ท่ีดินทั้งทางด้านกายภาพและสภาพเศรษฐกิจสังคม ได้แก่ รูปแบบการผลิต การเขตกรรม การจัดการ เงินทุนและขนาดของกิจการ เป็นต้น โดยใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกประเภทการใช้ท่ีดินที่ เหมาะสม (กรมพัฒนาท่ีดิน, 2561) กับความต้องการการผลิตพืชของเกษตรกรในท้องถิ่นน้ันการคัดเลือก
19 ประเภทการใช้ที่ดินมีวิธีการโดยวิเคราะห์ข้อมูลดินร่วมกับข้อมูลสภาพการใช้ท่ีดินมาจัดทาหน่วยที่ดิน หลงั จากนัน้ ถึงดาเนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ตามเนอ้ื ทสี่ ภาพการใชท้ ่ีดินทมี่ ีมากท่ีสุดในลุ่มนา้ การประเมินคุณภาพที่ดินด้านกายภาพเป็นการวิเคราะห์ศักยภาพของหน่วยท่ีดินต่อการใช้ ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ในระดับการจัดการที่แตกต่างกัน วิธีการประเมินคุณภาพท่ีดินมีหลายวิธี กลุ่มวางแผนทรัพยากรน้าเพื่อการพัฒนาท่ีดินได้เลือกใช้วิธีการประเมินคุณภาพท่ีดินตามหลักการของ FAO Framework ซ่ึงมีจานวน 2 รูปแบบแต่ในการประเมินคุณภาพที่ดินเบอื้ งต้นจะทาการประเมินเพยี ง ด้านเดียวคอื การประเมนิ ทางด้านคณุ ภาพเป็นการประเมนิ เชงิ กายภาพวา่ ทีด่ ินน้ัน ๆ มคี วามเหมาะสมมาก หรือน้อยเพียงใดต่อการใช้ท่ีดินประเภทต่าง ๆ โดยศึกษาการประเมินคุณภาพดินร่วมกับประเภทการใช้ ที่ดินที่ได้กาหนดเป็นตัวแทนการเกษตรกรรมหลักในลุ่มน้าสาขา การวิเคราะห์ได้คานึงถึงปัจจัยท่ีมีผลต่อ การเจริญเติบโตของพืชในแต่ละด้านของดินที่แตกต่างกันโดยอาศัยคุณลักษณะดินแตกต่างกันไปตามวตั ถุ ต้นกาเนิดของดินซึ่งคณุ ลักษณะท่ีดินทีใ่ ชใ้ นการแสดงค่าเพื่อวัดระดบั การเจริญเติบโตแตกตา่ งกนั คณุ ภาพท่ีดินทน่ี ามาประเมนิ สาหรบั การปลูกพชื ในระบบ FAO Framework ไดก้ าหนดไว้ทงั้ หมด 25 ชนดิ แต่ท่ีนามาพิจารณาเพื่อประเมินความเหมาะสมของทดี่ ินในแต่ละ ประเภทการใชท้ ี่ดินมีจานวน 8 คุณภาพท่ีดนิ ประกอบด้วย 1) ระบอบอุณหภมู ิ (Temperature regime: T) คุณลักษณะทีด่ ินที่เป็นตัวแทน ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ยอุณหภูมใิ นฤดเู พาะปลกู เพราะอุณหภูมิมอี ิทธิพล ต่อการงอกของเมล็ด การออกดอกของพืชบางชนิด และมีส่วนสัมพันธ์กับกระบวนการสังเคราะห์แสง ซ่ึง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพชื 2) ความชมุ่ ช้ืนทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อพชื (Moisture availability: M) คุณลักษณะท่ีดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ ระยะเวลาการท่วมขังของน้าในฤดูฝน ปริมาณน้าฝน เฉลี่ยในรอบปีหรือความต้องการน้าในช่วงการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้ได้พิจารณาถึงลักษณะของ เนื้อดิน ซ่ึงมผี ลต่อความสามารถในการอุ้มน้าท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อพชื 3) ความเปน็ ประโยชน์ของออกซเิ จนต่อรากพชื (Oxygen availability: O) คณุ ลักษณะทด่ี ินทีเ่ ป็นตวั แทน ได้แก่ สภาพการระบายนา้ ของดนิ ท้ังนีเ้ พราะพชื โดยทัว่ ไปราก พชื ตอ้ งการออกซเิ จนในกระบวนการหายใจ 4) ความเป็นประโยชนข์ องธาตอุ าหาร (Nutrient availability: S) คุณลกั ษณะท่เี ปน็ ตวั แทน ได้แก่ ปรมิ าณธาตอุ าหารพชื ในดนิ 5) ความเสยี หายจากนา้ ท่วม (Flood hazard: F) คุณลักษณะที่ดินที่เป็นตัวแทน ได้แก่ จานวนครั้งท่ีน้าท่วมในช่วงรอบปีที่กาหนดไว้ หมายถึง พืชได้รบั ความเสียหายจากการท่ีนา้ ทว่ มบนผวิ ดินชวั่ ระยะเวลาหนึ่งหรือเป็นนา้ ที่มีการไหลบ่าการมนี ้าท่วม ขังจะทาให้ดินขาดออกซิเจนส่วนน้าไหลบ่าจะทาให้รากพืชได้รับความกระทบกระเทือนหรือรากอาจหลุด
20 พน้ ผวิ ดินขน้ึ มาได้ความเสียหายจากน้าทว่ มไม่ใชจ่ ะเกดิ กับพืชเทา่ น้ัน แตย่ งั ทาความเสียหายให้กับดินและ โครงสรา้ งพืน้ ฐานตา่ ง ๆ ที่เกีย่ วข้องกับการใชท้ ี่ดิน 6) สภาวะการหยงั่ ลกึ ของราก (Rooting conditions: R) คุณลักษณะที่ดินท่ีเป็นตัวแทน ได้แก่ ความลึกของดิน ความลึกของระดับน้าใต้ดิน และชั้น การหยั่งลกึ ของราก โดยความยากง่ายของการหยงั่ ลึกของรากในดินมีปัจจยั ทเี่ กีย่ วข้อง ได้แก่ ลกั ษณะเนื้อ ดนิ โครงสร้างของดินการเกาะตวั ของเม็ดดินและปรมิ าณกรวดหรอื เศษหินที่พบบนหน้าตัดดิน 7) ศักยภาพในการใช้เคร่ืองจักร (Potential for mechanization: W) คณุ ลักษณะที่ดินท่ีเป็นตวั แทนได้แกค่ วามลาดชันของพน้ื ทป่ี ริมาณหนิ โผล่ ปรมิ าณก้อนหินและ การมเี น้ือดินเหนยี วจัด ซงึ่ ปจั จัยทั้ง 4 น้ีอาจเปน็ อุปสรรคตอ่ การไถพรวนโดยเคร่อื งจักร 8) ความเสียหายจากการกดั กร่อน (Erosion hazard) คณุ ลักษณะท่ดี ินทเี่ ป็นตัวแทน ได้แก่ ความลาดชนั ของพื้นท่ี การจาแนกความเหมาะสมของที่ดินตามหลักเกณฑ์ของ FAO Framework เป็นการประเมิน ศักยภาพของท่ีดินสาหรับการปลูกพืชหรือประเภทการใช้ที่ดินโดยการพิจารณาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ ระหว่างคุณภาพที่ดินกับความต้องการปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชหรือประเภทการใช้ ท่ีดินว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับใดและมีข้อจากัดใดบ้างโดยได้จาแนกความเหมาะสมออกเป็น 4 ช้ัน คอื S1 : ช้ันที่มีความเหมาะสมสงู S2 : ชัน้ ท่มี คี วามเหมาะสมปานกลาง S3 : ชัน้ ที่มีความเหมาะสมเล็กน้อย N : ชน้ั ทไ่ี มม่ ีความเหมาะสม จากการประเมนิ คุณภาพทด่ี นิ สามารถสรุปพ้ืนท่ีที่มีศักยภาพในการปลกู พชื แต่ละชนิดโดยพิจารณา จากเน้ือที่ประเภทการใช้ท่ีดินที่ดาเนินการปลูกจริงและมีเนือ้ ที่การปลกู พืชมากที่สุดในลมุ่ น้าห้วยกระเสยี ว และห้วยท่ากวย จานวน 5 ประเภทการใช้ท่ีดินเป็นพืชตัวอย่างที่นามาพิจารณาช้ันความเหมาะสมตาม ศักยภาพของเน้ือทีล่ ุ่มนา้ ทั้งน้ีการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือจัดทาแผนการใช้ท่ีดินจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพการใช้ท่ีดินร่วมกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายในพื้นที่โครงการฯ โดยการ วิเคราะห์อยู่ภายใต้เง่ือนไขท่ีต้องรักษาสภาพป่าไม้และระบบนิเวศของพื้นท่ีไว้ ร่วมกับการใช้พ้ืนที่ให้ เหมาะสมกับศักยภาพของที่ดินตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินภายใต้ข้อจากัดการใช้ท่ีดินของภาครัฐ และตอ้ งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกจิ สังคมของชมุ ชนในพื้นท่ตี ามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยเนน้ การมี
21 ส่วนร่วมของชุมชนและภาครัฐในการพิจารณาจัดทาแผนการใช้ท่ีดินในพื้นที่โครงการฯ เพื่อให้เกิดการใช้ พื้นที่อย่างย่ังยืนและคงไว้ซึ่งสมดุลของระบบนิเวศ รวมท้ังก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ ของการฟ้ืนฟูและ อนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 1) กลมุ่ เปา้ หมายและพืน้ ท่ีดาเนินการ การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายบริเวณลุ่มน้าคลองกุย ตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี และ ตาบลไร่ใหม่พัฒนา อาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเลือกจากตัวแทนชุมชนและหมอ ดินอาสาประจาหมู่บ้าน รวมกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมการประชุม จานวน 80 คน ซ่ึงเป็นตัวแทนของ พ้ืนทด่ี าเนนิ การ 2) ประเด็นการรบั ฟังความคดิ เห็น กาหนดการแบ่งกลุ่ม (Focus group) ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพื้นท่ีต้นน้า ที่มีความเสี่ยง ต่อการชะล้างพังทลายสูง กลุ่มพื้นท่ีกลางน้า ท่ีมีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายปานกลาง กลุ่มพ้ืนที่ ปลายน้า ทม่ี คี วามเสีย่ งตอ่ การชะลา้ งพงั ทลายเลก็ นอ้ ย เปน็ ตัวแทนกล่มุ ทเี่ ปน็ ผ้นู าชมุ ชนและหมอดนิ อาสา โดยมีประเด็นการรับฟังความคิดเห็น คือ ความรู้ความเข้าใจของเกษตรกรต่อการชะล้างพังทลายของดิน สภาพปัญหาของพ้ืนท่ีแนวทางการแก้ไขปัญหาตามภูมิปัญญาและตามหลักวิชาการ และการกาหนด เปา้ หมายในการดาเนินงาน (ภาพที่ 2-2) ภาพที่ 2-2 ประเดน็ การรับฟังความคิดเหน็ ของชุมชนแบบมีสว่ นร่วม
22 1) จัดทา (ร่าง) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพ้ืนท่ี เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า เพื่อประกอบการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงาน ภาครัฐ ประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อการจัดทาแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและ ฟน้ื ฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษด์ นิ และนา้ พ้นื ทีล่ ุ่มน้าคลองกุย อาเภอกยุ บุรี อาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์ ในวนั อังคาร ท่ี 23 มิถนุ ายน 2563 เวลา 8.30 น. – 16.30 น. ณ ทว่ี ่าการอาเภอ กุยบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานภาครัฐระดับจังหวัด ได้แก่ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จาก ส่วนกลางของกรมพัฒนาที่ดิน สานักงานพัฒนาทีด่ ินเขต 10 สถานีพัฒนาท่ีดินประจวบคีรขี ันธ์ หน่วยงาน ในพ้นื ทีโ่ ครงการ ผู้นาชุมชน หมอดนิ อาสาและเกษตรกร 2) ปรับปรุงแก้ไข (ร่าง) รายงานแผนบริหารจัดการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟู พ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ก่อนนาเสนอต่อคณะทางานจัดทาแผนการบริหารจัดการ โครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรกั ษ์ดินและน้า พื้นที่ ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์และคณะกรรมการขบั เคลื่อน โครงการปอ้ งกันการชะล้างพงั ทลายของดิน และฟื้นฟพู ื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรกั ษ์ดนิ และน้า การกาหนดพ้ืนที่เป้าหมายเพื่อดาเนินกิจกรรม (implement) ประกอบการจัดทาแผนปฏิบัติการให้ สอดคล้องกับสภาพปัญหาพ้ืนท่ีและความต้องการของชุมชน ด้วยการวิเคราะห์ลาดบั ความสาคัญเป็นการ กาหนดพื้นท่ีนาร่องโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบ อนุรักษ์ดินและน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากขอบเขตพื้นที่ลุ่มน้า จานวน 330,583 ไร่ เมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์จากข้อมูลทุติยภูมิเบ้ืองต้น ทั้งรูปแบบรายงานและแผนที่ ประกอบด้วย ข้อมูลดินและสภาพดินปัญหา การชะล้างพังทลายของดิน การใช้ท่ีดิน และแผนการใช้ที่ดิน จากข้อมูลหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และการสารวจข้อมูลจากสภาพพื้นท่ี ดาเนินการจริงในปัจจุบัน และการรับฟังความคิดเห็นต่อแนวทางการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า จะทาให้ได้เกณฑ์ (criteria) สาหรับนามาใช้ใน การกาหนดพื้นท่ีเป้าหมายและกาหนดแผนงาน/โครงการสนับสนุนการดาเนินงานโครงการได้ เช่น ระดับ ความรุนแรงของพ้ืนท่ีชะล้างพังทลายของดิน (soil erosion) พ้ืนที่ถือครอง แหล่งน้า สถานการณ์ภัยแลง้ และนา้ ท่วม ระบบอนุรกั ษด์ ินและน้า การใชท้ ่ดี ิน และการมีสว่ นร่วมหรือการยอมรบั ของชมุ ชน ในการคัดเลือกพ้ืนท่ีดาเนินการ ปัจจัยหลักที่นามาพิจารณา 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ระดับความ
23 รุนแรงของการชะล้าง 2) เอกสารสทิ ธิ์ 3) การใช้ท่ีดนิ 4) กิจกรรมท่ีดาเนินงานในพ้นื ท่ี 5) แผนปฏิบตั ิงาน ของพน้ื ท่ี 6) ความตอ้ งการของชมุ ชน โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดงั นี้ 1) ระดบั ความรนุ แรงของการชะล้าง สูง = 3 คะแนน ปานกลาง = 2 คะแนน ตา่ = 1 คะแนน 2) การถอื ครองทีด่ นิ มีเอกสารสิทธิ์ = 2 คะแนน ไม่มีเอกสารสิทธิ์ = 1 คะแนน 3) การใชท้ ่ดี นิ พชื หลัก (พืชไร่) = 3 คะแนน นาข้าว (พชื รอง) = 2 คะแนน ไมผ้ ล/ไม้ยนื ตน้ (พชื รอง) = 1 คะแนน 4) กจิ กรรมที่ดาเนนิ งานในพื้นที่ ไม่เคยมี = 2 คะแนน เคยมี = 1 คะแนน 5) แผนการดาเนินงานในพืน้ ที่ ปี 2563 แหลง่ น้า ปรบั ปรงุ ดนิ ระบบอนุรักษ์ดนิ และนา้ = 3 คะแนน แหล่งนา้ และปรับปรงุ ดิน = 2 คะแนน แหล่งน้า หรอื ปรบั ปรุงดิน = 1 คะแนน 6) ความตอ้ งการของชมุ ชน ต้องการแหลง่ น้าและระบบอนรุ ักษด์ นิ และน้า = 3 คะแนน ต้องการแหล่งนา้ หรือระบบอนรุ ักษด์ ินและนา้ = 2 คะแนน ต้องการงานดา้ นอนื่ ๆ = 1 คะแนน แผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ลุ่มน้าคลองกุย ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2563-2566) และระยะ 1 ปี เพอ่ื เปน็ เครือ่ งมอื ในการขบั เคล่ือน โครงการปอ้ งกนั การชะ ล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูพื้นท่ีเกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้า ให้สามารถนาไปสู่การ วางแผน การกาหนดมาตรการและบริหารจัดการพ้ืนท่ีเกษตรกรรรมท่ีมีความเส่ียงต่อการชะล้างพังทลาย ของดินและพ้ืนท่ีดินเส่ือมโทรม นาไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดสมดุล เป็นธรรมและยั่งยืน รวมท้ัง
24 สามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามระบบการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ท่ีสอดคล้องกับ ประเด็นปัญหาและบูรณาการการดาเนินงานของหน่วยงาน โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคีผู้มี ส่วนไดเ้ สยี ทเี่ กี่ยวข้อง ภาพที่ 2-3 หลกั การสาคญั ในการจดั ทาแผนการบรหิ ารจดั การทดี่ นิ และทรัพยากรดินของประเทศ ทีม่ า: สานกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม (2561) การบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้า ได้นาหลักการด้านการอนุรักษ์ดินและน้าการบริหาร จัดการเชิงระบบนิเวศท่ีต้องดาเนินการเพ่ือให้เกิดความสมดุลของระบบ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง การบูรณาการให้การใช้ประโยชน์ท่ีดินเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของท่ีดิน มีความ เช่ือมโยงกับการจัดการทรัพยากรน้า ป่าไม้ และชายฝั่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม และความม่ันคงของประเทศ โดยให้คานึงถึงสิทธิในทรัพย์สินของประชาชนหลัก ธรรมาภิบาล การรบั รขู้ ้อมูลข่าวสาร การกระจายอานาจ การมสี ว่ นร่วมของประชาชนชมุ ชนและ ภูมิสงั คม ดังน้ัน เพอื่ ใหแ้ ผนบรหิ ารจดั การแปลงไปสู่การปฏิบัติ จึงได้จดั ทาแผนปฏบิ ตั ิการแบ่งออกเปน็ 2 ระยะ คือ ระยะ 4 ปี และระยะ 1 ปี โดยนาเสนอต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรดินระดับลุ่มน้าในพ้ืนที่อ่ืน ๆ ครอบคลุมการแก้ไข และป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพื้นเกษตรกรรมครอบคลุมท้ังประเทศ ครอบคลุมทุกมิติ แบบองค์รวม (interdisciplinary) ประกอบด้วย มิติทางกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดย กาหนดทิศทางจากสภาพปัญหาเป็นตัวนา (problem orientation) ความรู้ทางวิชาการที่หลากหลาย สาขาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ จากงานวิจัย (research) และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาท่ีดิน การ อนรุ กั ษด์ นิ และน้า ผ่านกระบวนการมีส่วนรว่ มของชมุ ชน (participation approach)
25 3
26 3 พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย มีพ้ืนท่ีรวมท้ังสิ้น 528.93 ตารางกิโลเมตร หรือ 330,583 ไร่ โดยต้ังอยู่ระหวา่ ง ละติจูดท่ี 11.96 ถึง 12.26 N และเส้นลองจิจูดท่ี 99.52 ถึง 99.78 E อยู่ในลุ่มน้าหลักเพชรบุรี- ประจวบคีรีขันธ์ และเป็นส่วนหน่ึงของลุ่มน้าสาขาคลองกุย โดยพื้นท่ีส่วนใหญ่อยู่ในอาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลักษณะลุ่มน้าวางตัวตามแนวทิศตะวันตก-ตะวันออก มี อาณาเขตติดตอ่ (ภาพท่ี 3-1) ดงั นี้ ทศิ เหนอื ตดิ ต่อ ลุ่มนา้ สาขาแมน่ า้ ปราณบุรี (2001) ลมุ่ นา้ ชายฝ่งั ทะเลประจวบครี ีขนั ธ์ (20) ทิศใต้ ตดิ ตอ่ ลมุ่ นา้ สาขาชายฝ่งั ทะเลประจวบครี ขี นั ธ์ (2004) ลุ่มนา้ ชายฝ่ังทะเลประจวบคีรขี นั ธ์ (20) ทิศตะวนั ออก ตดิ ต่อ ลุ่มนา้ สาขาคลองเขาแดง (2002) ลมุ่ นา้ ชายฝงั่ ทะเลประจวบคีรขี ันธ์ (20) ทิศตะวนั ตก ติดตอ่ ลมุ่ น้าสาขาแมน่ ้าปราณบุรี (2001) ลุ่มนา้ ชายฝง่ั ทะเลประจวบคีรีขนั ธ์ (20) สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นท่ีเนินเขาถึงพ้ืนที่สูงชันมาก รองลงมาเป็นพ้ืนที่สูงชัน เนินเขาลูก คลื่นลอนลาด ลูกคล่ืนลอนลาดเล็กน้อย ลูกคล่ืนลอนชัน ราบเรียบถึงค่อยข้างราบเรียบ และสูงชันมาก ที่สุด ตามลาดับ ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 28-962 เมตร โดยมีคลองกุย คลองหก ห้วยดงมะไฟ ห้วยพุบอน ห้วยแพรกซ้าย ห้วยลึก ห้วยสาโหรง ห้วยหมาหอน ห้วยแห้ง แม่น้ากุยบุรีอ่างเก็บน้าบ้านโป่ง กะสัง อ่างเก็บน้าบ้านย่านซื่อ อ่างเก็บน้ายางชุม อ่างเก็บน้าห้วยลึก อ่างเก็บน้าห้วยสาโหรงไหลผา่ นพืน้ ที่ จากทิศเหนอื ลงสทู่ ิศใตข้ องพื้นทีโ่ ครงการ (ภาพท่ี 3-1 และภาพท่ี 3-2)
27 ตารางท่ี 3-1 ความลาดชันพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภ อสามร้อ ยย อ ด จงั หวัดประจวบคีรขี ันธ์ ความลาดชัน สภาพพื้นที่ เน้อื ท่ี (เปอร์เซ็นต์) ไร่ รอ้ ยละ 0-2 (A) ราบเรยี บถึงค่อนขา้ งราบเรยี บ 14,183 4.29 2-5 (B) ลกู คลน่ื ลอนลาดเล็กน้อย 29,117 8.81 5-12 (C) ลกู คล่ืนลอนลาด 37,320 11.29 12-20 (D) ลกู คลื่นลอนชนั 22,930 6.94 20-35 (E) เนนิ เขา 42,973 13.00 35-50 (F) สูงชัน 67,322 20.36 50-75 (G) สูงชันมาก 97,598 29.52 >75 (H) สงู ชันมากที่สดุ 19,140 5.79 รวมเนื้อท่ี 330,583 100.00
28 ภาพที่ 3-1 ทตี่ ง้ั และอาณาเขต และลักษณะภูมิประเทศ ล่มุ น้าคลองกยุ จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์
29 ภาพที่ 3-2 ความลาดชัน ลมุ่ น้าคลองกุย จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์
30 พ้ืนท่ีโครงการอยู่ในพ้ืนท่ีตอนกลางของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตก เฉยี งใตแ้ ละลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลทาให้เกิดฤดูกาลตา่ ง ๆ ได้แก่ ฤดูฝนเกิดในช่วงกลางเดือน พฤษภาคมถงึ กลางเดือนตุลาคม ฤดูหนาวเกดิ ในช่วงกลางเดือนตลุ าคมถงึ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์และฤดู ร้อนเกิดในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนพฤษภาคม นอกจากน้ีสภาพภูมิประเทศของจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ท่ีอยู่ติดกับทะเลและอยู่ในพื้นที่อับฝนทาให้อุณหภมู ิระหวา่ งฤดูกาลและกลางวนั กลางคืน จงึ ไมแ่ ตกตา่ งกนั มากนกั และมีฝนคอ่ นข้างน้อย จากข้อมูลอุตุนิยมวิทยาของกรมอุตุนิยมวิทยา มีสถานีตรวจอากาศในพื้นท่ี ได้แก่ สถานีตรวจวัด อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ตาบลเกาะหลัก อาเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยแบ่งรายละเอียด ของลกั ษณะภูมิอากาศของสถานตี รวจอากาศ ช่วง 30 ปี คอื (ปี พ.ศ. 2533-2562)รายละเอยี ด ดงั นี้ 1) อณุ หภมู ิ จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ มีอุณหภูมเิ ฉลย่ี ตลอดปี 27.70 องศาเซลเซียส โดยมีอณุ หภูมเิ ฉลย่ี สูงสุดใน เดอื นเมษายน 34.60 องศาเซลเซียส และอณุ หภูมิเฉล่ียต่าสดุ ในเดอื นมกราคม 21.20 องศาเซลเซียส 2) ปริมาณนา้ ฝน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีปริมาณน้าฝนรวมตลอดปี 1,106.30 มิลลิเมตร โดยมีปริมาณน้าฝน สูงสุดในเดอื นตลุ าคม 228.6 มิลลิเมตร และปริมาณน้าฝนตา่ สดุ ในเดือนธันวาคม 26.10 มิลลเิ มตร 3) ปริมาณนา้ ฝนใชก้ ารได้ (Effective Rainfall : ER) ปริมาณน้าฝนใช้การได้ คือ ปริมาณน้าฝนท่ีเหลืออยู่ในดิน ซ่ึงพืชสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ภายหลังจากมีการไหลซึมลงไปในดินจนดินอ่ิมตัวด้วยน้าแล้วไหลบ่าออกมากักเก็บในพื้นดินจังหวัด ประจวบครี ขี ันธ์ มปี รมิ าณน้าฝนใช้การได้ 888.9 มลิ ลเิ มตร ในเดอื นตลุ าคม มปี รมิ าณน้าฝนใช้การได้มาก ทสี่ ดุ 145.0 มลิ ลเิ มตร และเดือนกมุ ภาพันธ์มีปรมิ าณน้าฝนใช้การไดน้ อ้ ยท่สี ุด คอื 21.5มิลลเิ มตร 4) ความชืน้ สัมพัทธ์และศักยภาพการคายระเหยน้า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบว่า มีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยตลอดปี 76.60 เปอร์เซ็นต์ โดยมีความชื้น สัมพัทธ์สูงสุดในเดือนตุลาคม 82.00 เปอร์เซ็นต์ และต่าสุดในเดือนธันวาคม 71.00 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณ การคายระเหยเฉล่ียตลอดปี 61.90 มิลลิเมตร ปริมาณการคายระเหยสูงสุด 69.40 มิลลิเมตร ในเดือน พฤษภาคม ปริมาณการคายระเหยต่าสุด 52.60 มิลลิเมตร ในเดอื นกมุ ภาพันธ์ 5) การวเิ คราะห์ชว่ งฤดูกาลทเ่ี หมาะสมสาหรบั ปลกู พืช จากการวเิ คราะห์สถานการณ์สมดลุ ของน้า เพือ่ การเกษตรดว้ ยข้อมูลเกย่ี วกบั ปริมาณน้าฝนเฉล่ียราย เดือน และค่าศักยภาพการคายระเหยน้าเฉล่ียรายเดือน (Evapotranspiration : ETo) ซึ่งคานวณโดยใช้ โปรแกรม Cropwat for Windows Version 8.0 โดยพิจารณาจากช่วงระยะที่น้าฝนอยู่ท่ีเหนือระดับเสน้ 0.5 ของคา่ ศักยภาพการคายระเหยนา้ (0.5 ETo) เปน็ หลกั (ภาพที่ 3-3) สามารถสรุปไดด้ งั น้ี (1) ช่วงระยะเวลาทเี่ หมาะสมต่อการปลูกพชื เป็นชว่ งที่ดนิ มีความชื้นพอเหมาะต่อการปลูกพชื ซึ่งเป็น
31 ช่วงฤดูฝนปกติอยู่ในช่วงระหว่างต้นเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนธันวาคม ซ่ึงในช่วงกลางเดือนธันวาคมน้ัน เป็นช่วงท่ีมีปริมาณน้าฝนเพียงเล็กน้อยแต่เนื่องจากมีปริมาณน้าท่ีสะสมไว้ในดิน จึงมีความช้ืนในดิน เพียงพอสาหรับปลูกพืชอายุสั้นได้ แต่ควรมีการวางแผนจัดการระบบการเพาะปลูกให้เหมาะสมสาหรับ พื้นท่ีเพาะปลูกแต่ละแห่ง เน่ืองจากอาจต้องอาศัยน้าจากแหล่งน้าในไร่นาหรือน้าชลประทานช่วยในการ เพาะปลกู บา้ ง (2) ช่วงระยะเวลาท่ีมีน้ามากเกินพอ เป็นช่วงที่ดินมีความชื้นสูงและมีฝนตกชุก มีด้วยกัน 2 ช่วง คือ ช่วงแรกอยู่ระหว่างต้นเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ช่วงที่สองอยู่ระหว่างปลายเดือนเมษายนถึงต้น เดอื นธันวาคม (3) ช่วงระยะเวลาที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชโดยอาศัยน้าฝน เน่ืองจากมีปริมาณฝน และการ กระจายของฝนน้อย ทาให้ดินมีความชื้นไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชอยู่ในช่วงระหว่าง กลางเดือนธันวาคมถึงปลายเดอื นกุมภาพันธ์ ซ่ึงในช่วงเวลาดังกล่าวถ้าพ้ืนท่ีเพาะปลกู แห่งใดมีการจัดการ ระบบชลประทานทดี่ กี ส็ ามารถปลกู พชื ฤดูแลง้ ได้ ตารางที่ 3-2 สถิตภิ ูมิอากาศ ณ สถานตี รวจอากาศจงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ (ปี พ.ศ.2533 - 2562) เดอื น อุณหภมู ิ (°ซ) ความชืน้ ปริมาณ จานวนวันท่ี ศกั ยภาพการ ปรมิ าณฝน สัมพัทธ์ นา้ ฝน ฝนตก คายระเหยน้า ใช้การ ต่าสดุ สูงสุด เฉล่ีย (%) (มม.) (วัน) (มม.) (มม.) ม.ค. 21.2 31.2 25.8 75.0 47.2 3.8 53.3 43.6 ก.พ. 22.0 32.2 26.9 77.0 22.3 3.3 52.6 21.5 มี.ค. 23.6 33.2 28.2 77.0 76.6 4.9 63.9 67.2 เม.ย. 25.1 34.6 29.4 77.0 60.3 4.8 66.3 54.5 พ.ค. 25.6 34.3 29.2 77.0 112.8 12.4 69.4 92.4 มิ.ย. 25.5 33.4 28.6 76.0 87.2 15.3 66.3 75.0 ก.ค. 25.0 32.6 28.1 77.0 117.0 17.1 67.9 95.1 ส.ค. 25.0 32.4 27.9 77.0 97.6 16.9 67.6 82.4 ก.ย. 24.8 32.8 27.9 77.0 99.3 14.3 64.5 83.5 ต.ค. 24.0 31.9 27.3 82.0 228.6 16.8 62.3 145.0 พ.ย. 23.3 31.5 27.0 76.0 131.3 6.9 55.2 103.7 ธ.ค. 21.9 30.9 26.0 71.0 26.1 3.0 53.3 25.0 เฉล่ีย 23.9 32.6 27.7 76.6 รวม 1,106.3 119.5 742.7 888.9 ที่มา: กรมอุตุนิยมวทิ ยา (2563) หมายเหตุ: *จากการคานวณโดยโปรแกรม CropWat for Windows Version 8.0
32 ชว่ งขาดน้า ช่วงนา้ ช่วงนา้ มากพอ ช่วงขาดนา้ มากพอ ชว่ งเพาะปลกู พชื ภาพท่ี 3-3 สมดุลของน้าเพ่ือการเกษตร (พ.ศ. 2533-2562) จงั หวดั ประจวบครี ีขันธ์ จากการศกึ ษาและวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรดินในระดับชดุ ดนิ มาตราสว่ น 1:25,000 ในลมุ่ นา้ คลอง กุย ซ่ึงมีเนื้อที่ครอบคลุม 330,583 ไร่ สามารถจาแนกเป็นหน่วยแผนท่ีดินได้ 18 หน่วยแผนที่(ตารางที่ 3-3 และภาพท่ี 3-4) ประกอบด้วย ระดับหน่วยจาแนก มี 4 ชุดดิน (8 หน่วยแผนท่ี) ดินคล้าย 2 ดิน (7 หน่วยแผนที่) คิดเป็นร้อยละ 32.85 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า (รายละเอียดชุดดินตามภาคผนวกท่ี 1) พื้นท่ีลาดชัน เชงิ ซอ้ น (SC) มี 1 หน่วยแผนท่ี ซง่ึ มีการกระจายตัวเป็นส่วนใหญ่ของพน้ื ท่ี คดิ เปน็ ร้อยละ 64.01 ของเน้ือ ที่ลุ่มน้า พื้นท่ีชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (U) 1 หน่วยแผนท่ี คิดเป็นร้อยละ 1.26 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า และพ้ืนท่ี น้า (W) 1 หน่วยแผนท่ี คิดเปน็ ร้อยละ 1.86 ของเนือ้ ทลี่ ุ่มน้า เมื่อพิจารณาการกระจายตัวของดิน จะเห็นว่า ชุดดินที่มีการกระจายตัวมากท่ีสุด คือ ชุดดินท่ายาง (Ty) และดินคล้ายชุดดินท่ายาง (Ty variants) มีเน้ือท่ีร้อยละ 18.89 ของเนื้อที่ลุ่มน้ากระจายครอบคลุม ในพ้ืนท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี และตาบลไร่ใหม่ อาเภอสามร้อยยอด ลักษณะดินเป็นดินต้ืนถึงชั้น เศษหนิ และหนิ พื้น มเี นือ้ ดนิ บนเป็นดินร่วนปนทรายปนกรวด ดนิ ลา่ งเปน็ ดินรว่ นเหนียวปนทรายปนกรวด มาก พบในสภาพพื้นท่ีแบบลูกคล่ืนลอนลาดถึงเนินเขา นอกจากน้ี ยังพบการกระจายตัวของชุดดินปราณบุรี (Pr) ดนิ คลา้ ยชุดดินปราณบุรี (Pr variants) มเี นือ้ ทร่ี อ้ ยละ 8.06 ของเนอ้ื ท่ีลุ่มน้า ส่วนใหญพ่ บกระจายตัว ในพ้ืนท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ลักษณะดินเป็นดินลึก มีเน้ือดินบนเป็นดินร่วนปนทราย ดินล่างเป็น ดินร่วนปนทรายถึงดินร่วนเหนียวปนทราย พบในสภาพพื้นท่ีค่อนข้างราบเรียบถึงลูกคล่ืนลอนลาด เล็กนอ้ ย ชุดดินลาดหญ้า (Ly) ดนิ คลา้ ยชดุ ดนิ ลาดหญ้า (Ly variants) มเี นอื้ ท่รี ้อยละ 5.69 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า
33 ส่วนใหญ่พบกระจายตัวในพ้ืนที่ตาบลหาดขามอาเภอกุยบุรี ลักษณะดินเป็นดินลึกปานกลางถึงลึกมาก มี เน้ือดินบนเป็นดนิ รว่ นปนทราย ดินล่างเปน็ ดินรว่ นเหนียวปนทรายถึงดนิ ร่วนเหนยี วปนทรายปนกรวดมาก พบในสภาพพื้นที่ลูกคล่ืนลอนลาดเล็กน้อยถึงลูกคลื่นลอนลาด และชุดดินท่าม่วง (Tm) มีเนื้อที่ร้อยละ 0.25 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า ส่วนใหญ่พบในพ้ืนท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ลักษณะดินเป็นดินลึก มีเนื้อดิน บนเป็นดินร่วนปนทราย ดินล่างเป็นดินร่วนปนทราย/ดินทรายปนดินร่วน พบในสภาพพ้ืนท่ีราบเรียบถึง ค่อนข้างราบเรียบ ดินมีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดการชะล้างพังทลาย โดยเฉพาะดินท่ีมีลักษณะเนื้อดินบน และดินล่างต่างกัน ดินตื้นที่มีเนื้อดินร่วนหยาบ และมีความลาดชันสูง (สภาพพื้นท่ีลอนชันและพื้นท่ีเนิน เขา ความลาดชนั 12-35 เปอรเ์ ซน็ ต์) ควรมมี าตรการอนุรักษ์ดินและน้าที่เหมาะสม เช่น การทาคันดินก้ัน น้า ทาขนั้ บันไดและปลกู พืชตามแนวระดับขวางความลาดชนั ของพ้ืนที่ เพือ่ ชะลอความเรว็ ของนา้ ท่ีไหลบ่า ผา่ นผิวดนิ ช่วยลดการชะล้างของหน้าดิน และนา้ ซึมผ่านลงไปในดินชนั้ ลา่ งได้มากข้ึน ทาใหค้ วามชื้นในดิน มากขน้ึ นอกจากนี้ ควรปลูกพืชคลุมดนิ เพอื่ ชว่ ยรักษาความชื้นของดินไว้ และยงั ช่วยลดการชะล้างพังทลาย ของดนิ ได้อีกดว้ ย เม่ือพิจารณาถึงปัจจัยด้านลักษณะของดินที่มีผลต่อการชะล้างพังทลายของดิน ซ่ึงดินแต่ละชนิดจะ ทนต่อการชะล้างพังทลายท่ีแตกต่างกันในสภาพแวดลอ้ มที่คล้ายคลึง โดยเฉพาะค่าปัจจัยความคงทนของ ดิน (K-factor) ที่สามารถนาไปประเมินการสูญเสียดินในสมการการสูญเสียดินสากล(USLE) จะเห็นว่า ปัจจัยสมบัติดินที่มีผลต่อค่าปัจจัยความคงทนของดิน ได้แก่ (1) ผลรวมปริมาณร้อยละของทรายแป้งและ ปริมาณร้อยละของทรายละเอียดมาก (% silt + % very fine sand) (2) ปริมาณร้อยละของทราย (%sand) (3) ปริมาณร้อยละของอินทรียวัตถุในดิน (% organic matter) (4) โครงสร้างของดิน (soil structure) และ (5) การซาบซึมนา้ ของดิน (permeability) (กรมพฒั นาทด่ี นิ , 2545) จากการศึกษา ค่าปัจจัยความคงทนของดินต่อการชะล้างพังทลาย (K-factor) ตามชนิดวัตถุต้นกาเนิดดินในพื้นที่สูงของ ลุ่มน้าคลองกุย พบว่า ผลรวมปริมาณร้อยละของทรายแป้งและปรมิ าณร้อยละของทรายละเอียดมากมีค่า สงู สง่ ผลใหค้ ่า K-factor สงู และปริมาณร้อยละของอินทรยี วัตถใุ นดินสงู ส่งผลให้ค่า K-factor ต่า และยัง พบว่าดินในกลุ่มวัตถุต้นกาเนิดดินพวก หินตะกอนเนื้อหยาบมีแนวโน้มให้ค่า K-factor มากท่ีสุด และดิน ในกลุ่มวัตถุต้นกาเนิดดินพวกหินอัคนีสีเข้มมีค่า K-factor น้อยที่สุด จากลักษณะและสมบัติดินดังกล่าว ช้ีให้เห็นว่า ดินที่มีค่า K-factor สูง (ง่ายต่อการกร่อน) จะมีแนวโน้มเกิดการชะล้างพังทลายของดินได้สูง สว่ นดนิ ท่ีมีค่า K-factor ตา่ (ยากตอ่ การกร่อน) จะมีแนวโน้มเกดิ การชะลา้ งพงั ทลายของดินไดต้ ่า ดินท่ีพบเป็นส่วนใหญ่ของพ้ืนท่ี อยู่ในกลุ่มดินที่มีวตั ถุต้นกาเนิดดินพวกหินตะกอนเน้ือหยาบซ่ึงมเี น้ือ ดนิ ปนทราย ส่วนใหญม่ ปี ริมาณอินทรยี วัตถุตา่ ได้แก่ ชุดดนิ ท่ายาง (Ty) และชุดดินลาดหญา้ (Ly) คิดเปน็ ร้อยละ 24.58 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า และดินในกลุ่มวัตถุต้นกาเนิดจากตะกอนน้าพาซึ่งมี เน้ือดินปนทรายและ ปริมาณอินทรียวัตถุต่า ได้แก่ ชุดดินปราณบุรี (Pr) และชุดดินท่าม่วง (Tm) คิดเป็นร้อยละ 8.31 ของเน้ือ ท่ลี ุ่มน้า มีคา่ ปจั จยั ความคงทนของดนิ (K-factor) เท่ากนั ทกุ ชดุ ดิน นอกจากปัจจัยด้านลักษณะสมบัติของดินแล้ว ปัจจัยด้านสภาพพื้นที่ และการใช้ประโยชน์ที่ดินก็มี ผลต่อการชะล้างพังทลายของดิน โดยเฉพาะความลาดชันของพ้ืนที่จะมีผลโดยตรงต่อการชะล้างพังทลาย
34 ของผิวหน้าดิน การไหลบ่าของน้าผ่านผิวหน้าดิน ระดับน้าใต้ดิน ความช้ืนในดิน การระบายน้าความยาก งา่ ยตอ่ การกักเกบ็ น้าและการเขตกรรม ดงั นน้ั สภาพพ้นื ทจ่ี ึงเปน็ ปจั จยั ท่ีสาคญั อย่างหน่ึงท่ีควบคุมลักษณะ ของการใช้ประโยชน์ท่ีดินซ่ึงส่งผลต่อการชะล้างพังทลายของดินด้วย โดยเฉพาะพืชไร่เช่น สับปะรด ซ่ึง เป็นพืชเศรษฐกิจท่ีปลูกเป็นส่วนใหญ่และปลูกในพื้นที่ท่ีมีความลาดชันสูง ทาให้ดินมีอัตราการถูกชะล้าง พังทลายของดินสูง เน่ืองจากปลูกในพ้ืนท่ีท่ีมีความลาดชันสูงและมีสิ่งปกคลุมผิวหน้าดินน้อย ส่งผลทาให้ ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง รวมท้ังในพื้นที่มีการใช้เคร่ืองจักรกลในการไถพรวนดินบ่อยคร้ัง เป็น สาเหตสุ าคญั ท่ที าให้สมบัตดิ ินทางกายภาพลดลง และสง่ เสริมใหเ้ กดิ การชะล้างพงั ทลายของดินเพ่ิมสูงขน้ึ พ้ืนท่ีลาดชันเชิงซ้อนหรือพื้นที่ลาดชันสูง (slope complex or steep slope) มีความลาดชัน มากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ เป็นพื้นท่ีท่ียังไม่การจาแนกประเภทดิน ซ่ึงกระจายตัวเป็นส่วนใหญ่ของพ้ืนท่ีคิด เป็นร้อยละ 64.02 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชทุกชนิด เนื่องจากมีอัตราการชะล้าง พังทลายสูงมาก การจัดการดูแลรักษาลาบาก ทาให้เกิดการชะล้างพังทลายรุนแรงมาก แต่ถ้ามีความ จาเป็นต้องนาพื้นที่นี้มาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร มีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องพิจารณาถึงชนิด พืชที่จะปลูกร่วมกับลักษณะของดินภายใต้การจัดการอนุรักษ์ดินและน้าเป็นพิเศษหรือทาในระบบวน เกษตร สภาพพื้นที่ลาดชนั เชงิ ซ้อนหรือพน้ื ที่ลาดชันสงู สามารถแบง่ ยอ่ ยออกเปน็ 3 ระดบั ดงั น้ี 1) พนื้ ทส่ี งู ชัน (steep slope) มคี วามลาดชัน 35-50 เปอร์เซน็ ต์ 2) พ้นื ทส่ี งู ชันมาก (very steep slope) มีความลาดชนั 50-75 เปอรเ์ ซน็ ต์ 3) พน้ื ที่สูงชันมากท่สี ดุ (extremely steep slope) มีความลาดชันมากกวา่ 75 เปอร์เซน็ ต์ ตารางท่ี 3-3 ทรพั ยากรดิน พน้ื ที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์ ลาดับ สัญลักษณ์ คาอธิบาย เน้อื ท่ี ไร่ ร้อยละ 1 Ly-slB ชดุ ดินลาดหญ้า มเี น้อื ดินบนเป็นดนิ รว่ นปนทราย 8,274 2.50 ความลาดชัน 2-5 เปอรเ์ ซน็ ต์ 7,444 2.25 2 Ly-slC ชดุ ดนิ ลาดหญา้ มเี นอ้ื ดนิ บนเปน็ ดนิ รว่ นปนทราย ความลาดชัน 5-12 เปอรเ์ ซ็นต์ 1,355 0.41 3 Ly-vd-slB ดนิ ลาดหญา้ ที่เปน็ ดินลกึ มาก มเี นอ้ื ดินบนเปน็ ดินร่วนปนทราย 1,765 0.53 ความลาดชนั 2-5 เปอร์เซ็นต์ 3,087 0.93 4 Ly-vd-slC ดนิ ลาดหญ้าที่เปน็ ดินลึกมาก มเี นอื้ ดนิ บนเปน็ ดินรว่ นปนทราย ความลาดชัน 5-12 เปอร์เซ็นต์ 14,703 4.45 5 Pr-slA ชดุ ดนิ ปราณบุรี มเี น้ือดินบนเป็นดนิ ร่วนปนทราย ความลาดชัน 0-2 เปอร์เซน็ ต์ 6 Pr-slB ชุดดนิ ปราณบุรี มเี นือ้ ดนิ บนเปน็ ดนิ รว่ นปนทราย ความลาดชัน 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144