Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาบาลีไวยากรณ์

ภาษาบาลีไวยากรณ์

Published by Noy4021, 2020-08-23 19:50:19

Description: ภาษาบาลีไวยากรณ์

Search

Read the Text Version

1๑9๙3๓ อปฺปฏิปุคคฺ โล (ภควา) ไมม ีบคุ คลผูเ ปรยี บ, อนาลโย (ภิกขุ) ไมมคี วามอาลัย เหลา น้วี เิ คราะหเหมือน อปตุ ฺตโก ภนิ นฺ าธกิ รณพหพุ พหิ ิ ในเคราะหแหงพหุพพิหิใด บททั้ง ๒ มีวิภัตติตางกัน ทานเรียก พหุพพิหิน้ัน วา ภินฺนาธิกรณพหุพพิหิ มีคําแปลประจําวา มี...ส้ิน หรือ มี...ใน มี...ท่ี เปนตน คลายตุลยาธิกรณพหุพพิหิ แปลกแตออกสําเนียง อายตนบิ าต แหง วภิ ตั ตทิ ่ีบทหนาหรือบทหลงั เทานัน้ เชน เอกรตฺตึ วา โส อสฺสาติ = เอกรตฺติวาโส (ชโน) อ. การอยูสิ้นราตรีหนึ่งของชนนั้น (อตฺถิ มอี ย)ู เพราะเหตุนั้น ชนนัน้ ชอ่ื วา มีการอยสู น้ิ ราตรีหนึ่ง, อสิ หตเฺ ถ ยสสฺ โส = อสหิ ตโฺ ถ (โยโธ) อ. ดาบ (อตถิ มีอยู) ในมือ ของทหารใด ทหารน้นั ชอื่ วา มีดาบในมือ, อุรสิโลโม (พรฺ าหมฺ โณ พราหมณ) มีขนท่อี ก ฉตตฺ ปาณิ (ปุรโิ ส อ.บรุ ุษ) มรี มในมอื , มณิกณฺโฐ (นาคราชา นาคราช) มแี กวท่ีคอ, ทณฺฑหตฺโถ (ปุริโส บุรุษ) มีทอนไมในมือ เหลานี้วิเคราะห เหมอื น อสิหตโฺ ถ

๑1๙9๔4 สห บพุ พบทพหพุ พหิ ิ สมาสที่มี สห เปนบทหนา เรียกวา สหบุพพบทพหุพพิหิ มีคํา แปลประจําวา เปนไปกับดวย.... เชน สห ปุตฺเตน โย วตฺตตีติ = สปุตฺโต (ปุริโส) อ.บุรุษใด ยอมเปนไปกับดวยบุตร เพราะเหตุน้ัน อ.บุรุษน้ัน ชือ่ วา เปนไปกับดว ยบตุ ร, สราชกิ า (ปริสา) เปนไปกับดวยพระราชา, สมจฺเฉรํ (จิตตฺ )ํ เปนไปกับดว ยความตะหน่ี, สธมโฺ ม (ภควา) เปนไปกบั ดวยพระธรรม, สสงฺโฆ (ภควา) เปน ไปกับดวยพระสงฆ เหลานี้วิเคราะหเหมือน สปุตฺโต ขอ ควรจาํ (ไมต อ งทอง) ๑. ตุลยาธิกรณพหุพพิหิ ๖ อยางมีคําแปลประจําวา มี.... เหมือนกันหมด ถา อยากจะรวู าเปน ตลุ ยาอะไรแนนอนลงไป จะตองแปล บทสมาสนั้น แลวเชื่อมไปใสอัญญบทดวยอายตนิบาตแหงวิภัตติ ทั้ง ๖ คือ ซึ่ง... ดว ย... แก. ... จาก... ของ... ใน... ดังน้ี ก. ถาเช่อื มใสอัญญบทดว ยคาํ วา ซง่ึ ... ส.ู .. ยัง... ส้ิน... ไดความดี ฟง สนิทหู กเ็ ปน ท.ุ ตุลยา... ข. ถาเช่ือมใสอัญญบทดวยคําวา ดวย.. โดย... อัน... ตาม... ได ความดี ฟงสนทิ หกู ็เปน ต.ตุลยา..

1๑9๙5๕ ค. ถาเชื่อมใสอัญญบทดวยคําวา แก... เพื่อ... ตอ... ไดความดี ฟงสนิทหู ก็เปน จ.ตุลยา... ฆ. ถาเชื่อมใสอัญญบทดวยคําวา แต... จาก... กวา... เหตุ... ได ความดี ฟงสนทิ หกู เ็ ปน ปฺจตุลยา.. ง. ถาเชื่อมใสอัญญบทดวยคําวา แหง... ของ.... ไดความดี ฟง สนิทหู ก็เปน ฉ.ตุลยา.... จ. ถาเชื่อมใสอัญญบทดวยคําวา ใน... ใกล.. ที่... เหนือ... บน.. ไดความดี ฟงสนทิ หู กเ็ ปน ส. ตุลยา.... วิธีทดลองหาพหพุ พหิ ิสมาส (ไมต องทอ ง) ๑. เชน กตทณฺฑกมฺโม (สิสฺโส) ใหแปลเชื่อมวา ทัณฑกรรม อันอาจารยทําแลวแกศิษย ไดความดี ดวยคําวา แก ซ่ึงเปนคําแปลของ จตตุ ถีวภิ ตั ติ ฉะนน้ั จึงตอบไดวา กตทณฺฑกมฺโม เปน จตุตถีตุลยาธิกรณ พหุพพหิ ิ แต ถาใช อาจริโย เปนอัญญบท เชน กตทณฺฑกมฺโม (อาจริโย) เชื่อมไปใสอัญญบทวา ทัณฑกรรม (อันอาจารย) ทําแลว ดังน้ี กตทณฺฑกมโฺ ม จึงเปน ตตยิ าตลุ ยา ก็ได พึงฝกหัดวิธีใชคําเช่ือม เพ่ือทดลองหาตุลยาธิกรณะตางๆ ใหชํานาญ ใหยกเอา ทุติยา ถึง ส. ตุลยา.ในหลักสูตรน้ีมาทดลองแปล เช่อื มดกู ไ็ ด

๑1๙9๖6 ๒. การต้ังวิเคราะหฉัฏฐีอุปมา บทหนาแปลออกสําเนียง ฉัฏฐี วภิ ตั ติ ใหแยกออกมาประกอบดวย ฉัฏฐีวิภัตติ สวนบทหลังแปลซํ้าสอง หน ใหแ ยกออกมาเปน ๒ บท แลวลง ปฐมา วิภัตติ เขียนอิว ไวหลังบท หนา เชน สุวณฺณวณฺโณ แปลวา ผูมีสีเพียงดังวาสีแหงทอง บทหนาคือ สุวณฺณ แปลวา แหงทอง แยกออกมาลง ส ฉัฏฐีวิภัตติเปน สุวณฺณสฺส บทหลังคือ วณฺโณ แปลสองหนวามีสีเพียงดังวาสี...ใหแยกออกมาลง สิ ปฐมาวภิ ัตติ และเพม่ิ อวิ ศัพท มรี ปู วิเคราะหวา สุวณฺณสฺส วณฺโณ อิว วณโฺ ณ ยสฺส โส = สวุ ณณฺ วณฺโณ (ภควา) ดังนี้ แมบทอ่ืนท่ีเปน ฉ. อุปมา กพ็ งึ เทยี บกับบทนี้เถดิ ๓. การตั้งวิเคราะห ภินนาธิกรณพหุพพิหิ พึงกําหนดวา บท ๒ บท บทใดแปลออกสําเนียงวิภัตติใด พึงประกอบบทน้ันดวยวิภัตตินั้น สวนบทที่แปลไมออกเสียงวิภัตติใดเลย ก็ใหแยกมาลง สิ – โย ปฐมา วิภตั ติเทา นั้น ๔. น บพุ พบทพหพุ พิหิ พึงกําหนดวา น ที่ทานแปลงเปน อ หรือ อน ซ่ึงติดอยูหนาบทตางๆ น้ัน เม่ือจะแยกออกมาต้ังวิเคราะห ใหแยก อ หรือ อน ออกมาเปน นตฺถิ (น +อตถิ = นตฺถิ) แลววาง ต สัพพนามลง ส ฉัฏฐีวภิ ัตติ เปน ตสฺส ไวห ลัง มีรูปเปน นตถฺ ิ ตสสฺ ดังนีเ้ สมอ ๕. สําหรบั สหบพุ พบท ทา นลบ ห เหลือ ส ติดอยูหนาบทตางๆ เชน สปตุ โฺ ต, สราชกิ า สมจเฺ ฉรํ, สธมฺโม, สกิเลโส, เวลาตัง้ วเิ คราะหใหเอา ส คืนเปน สห อยางเดิม สวนบทหลังแปลออกสําเนียง ตติยาวิภัตติวา

1๑9๙7๗ “ดวย” ใหแยกออกมาประกอบดวย นา- หิ เพ่ิม ย ศัพท และ วตฺต ธาตุ ประกอบวิภตั ติใหต รงลงิ คแ ละวจนะของอญั ญบท ดังน้ี ก. อัญญบทเปน ป.ุ เอก.เปน โย วตฺตตีติ ข. อัญญบทเปน ป.ุ พห.ุ เปน เย วตฺตนฺตตี ิ ค. อญั ญบทเปน อติ . เอก.เปน ยา วตตฺ ตตี ิ ฆ. อญั ญบทเปน อติ . พหุ.เปน ยา วตตฺ นฺตตี ิ ง. อัญญบทเปน นป.ุ เอก.เปน ยํ วตตฺ ตีติ จ. อัญญบทเปน นป.ุ พหุ.เปน ยานิ วตตฺ นฺตตี ิ ๖. สมาสท่ีเปนคุณนาม คือ สมาสที่มีบทอื่นเปนอัญญบท ไดแก กัมมธารยสมาสบางอยาง ตัปปุริสบางอยาง อัพยยีภาวสมาสบางอยาง และพหพุ พิหทิ ง้ั สน้ิ สวนสมาสท่ีเปน นามนาม คอื ทิคสุ มาสทง้ั หมด และทวนั ทวสมาส เปนนามนามลว น ไมม ีอัญญบทเลย

๑1๙9๘8 ตทั ธติ (ใหท อง) ปจจัยหมูหน่ึง สําหรับใชแทนศัพท เปนประโยชนเก้ือกูลแก เนื้อความยอเรียกวา “ตัทธิต” เหมือนคําวา สยาเม ชาโต = สยามิโก เกดิ แลว ในสยาม เปน ตน ตทั ธติ นัน้ วา โดยยอ มี ๓ อยา ง คอื ๑. สามัญญตัทธติ ๒. ภาวตทั ธิต ๓. อพั ยยตัทธิต สามัญญตทั ธิต คอื ตัทธิตทวั่ ไป มี ๑๓ คือ โคตตตัทธิต ตรตยาทิตัทธิต ราคาทิตัทธิต ชาตาทิตัทธิต สมุหตัทธิต ฐานตัทธิต พหุลตัทธิต เสฎฐตัทธิต ตทัสสัตถิตัทธิต ปกติตัทธิต สงั ขยาตัทธติ ปูรณตัทธติ วิภาคตทั ธิต (ยอเพื่อจํางายวา โค ต รา ชา ส ฐา พ เส ต ป สํ ปู ว)ิ ในคัมภีรไวยากรณทั้งหลาย ทานกลาววา สามัญญตัทธิตมี ๑๕ โดยเพ่ิม อุปมาตัทธิต และ นิสสิตตัทธิต เขาอีกเปน ๑๕ พอดี ผูศึกษาพึงกําหนดวา เมื่อลงปจจัยท่ีเน่ืองดวย ณ จะตองพฤทธ์ิ ตนศัพท ถาตนศัพทเปนสระ อ อิ อุ ไมมีตัวสะกด ใหพฤธิ์ได ถามี

1๑9๙9๙ ตัวสะกดหรือเปนสระ อา อี อู หามพฤธ์ิ ทีฆะ อ เปน อา , อิ เปน อี, อุ เปน อู ก็ดี วิการ อิ เปน เอ, อุ เปน โอ ก็ดี ชื่อวา พฤทธ์ิ แลวใหลบ ณ ปจจยั เสีย ๑. โคตตตัทธติ ใชปจจัยแทน โคตฺต ศัพท หรือ อปจฺจ ศัพท แปลวา เหลากอ มปี จจัย ๘ ตวั คอื ณ ณายน ณาน เณยฺย ณิ ณิก ณว เณร ณ ปจ จัย เชน วสิฎฐสฺส อปจจฺ ํ = วาสิฎโฐ เหลากอแหงวสิฎฐะ ชือ่ วา วาสฎิ ฐะ โคตโม เหลากอแหง โคตมะ, วาสุเทโว เหลากอแหงวสุ เทวะ วเิ คราะหเหมือน วาสฎิ โฐ ณายน ปจ จยั เชน กจฺจสฺส อปจฺจํ = กจฺจายโน เหลากอแหงกัจ จะชื่อวากัจจายนะ, วจฺฉายโน เหลากอแหงวัจฉะ, โมคฺคลฺลายโน เหลา กอแหง นางโมคคลั ล,ี เหลาน้ีวเิ คราะหเหมอื น กจจฺ ายโน ณาน ปจจัย เชน กจฺจาโน วจฺฉาโน โมคคลฺลาโน วิเคราะหและ คําแปลแหมือน ณายน ปจจยั เณยฺย ปจจัย เชน ภคินิยา อปจฺจํ = ภาคิเนยฺโย เหลากอแหงพ่ี นองหญิงช่ือ ภาคเิ นยยะ เวนฺเตยฺโย เหลากอแหงนางวินตา, โรหิเณยฺโย เหลา กอแหงนางโรหิณี วิเคราะหเ หมือน ภาคิเนยโฺ ย

๒2๐0๐0 ณิ ปจจัย เชน ทกขสฺส อปจฺจํ = ทกฺขิ เหลากอแหงทักขะ ชื่อวา ทักขิ, วาสวิ เหลากอแหงวสวะ, วารุณิ เหลากอแหงวรุณะ เหลานี้ วเิ คราะหเ หมอื น ทกฺขิ ณิก ปจจัย เชน สกฺยปุตฺตสฺส อปจฺจํ = สากฺยปุตฺติโก เหลาแหง บุตรศากยะ ชอื่ วา สากยปตุ ตกิ ะ, นาฎปุตฺติโก เหลากอแหงบุตรแหงชน รํา, เชนทตฺติโก เหลากอแหงชินทัตตะ วิเคราะหเหมือน สากฺยปุตฺติโก เหลา นว้ี ิเคราะหเหมือน สากยฺ ปุตฺตโิ ก ณว ปจ จยั เชน อุปกสุ สฺ อปจฺจํ = โอปกโว เหลากอแหงอุป กุ ช่ือ โอปกว, มานโว เหลากอแหงมนุษย, ภคฺคโว เหลากอแหงภคฺคุ วเิ คราะหเหมือน โอปกโว เณร ปจจัย เชน เวธวาย อปจจฺ ํ = เวธเวโร เหลา กอแหง แมห มา ย ช่ือวา เวธเวระ สามเณโร เหลากอแหงสมณะ เหลานี้วิเคราะหเหมือน เวธเวโร ๒. ตรตยาทิตัทธิต ใช ณิก ปจจัย แทน ตฺรติ ศัพท เปนตน เชน นาวาย ตรตีติ = นาวิโก (ชโน) โย ชโน อ. ชนใด ตรติ ยอมขาม นาวาย ดวยเรือ อิติ เพราะเหตนุ ั้น โส ชโน อ. ชนนนั้ นาวิโก ชอื่ วา ผูขา มดา ยเรือ, เตลกิ ํ (โภชนํ) ระคนพรอมแลวดว ยงา สากฎิโก (ชโน) ผูเทย่ี วไปดวยเกวยี น

2๒0๐1๑ กายิกํ (กมมฺ )ํ อนั คนทาํ แลวดว ยกาย โทวารโิ ก (ชโน) ประกอบแลวท่ีประตู สากุณโิ ก (ชโน ชน) ผูฆ า แแซงึ่ นกเปน อยู สงฺฆกิ ํ (วตถฺ )ุ เปนของมีอยูแ หงสงฆ อกขฺ ิโก (ชโน) ผเู ลนดวยสกา เหลา นี้พึงตง้ั วิเคราะหตามคําแปล ๓. ราคาทิตทั ธิต ใช ณ ปจจัย แทน รตฺต ศัพท เปนตน เชน กสาเวน รตฺตํ = กาสาวํ (วตฺถํ) อันบุคคลยอมแลวดวยรสฝาด ชื่อวากาสาวะ, มาหิสํ เนอื้ น้ี ของกระบอื , มาคโธ (ชโน) ผเู กดิ แลว ในแควนมคธ หรืออยูในแควน มคธ หรอื เปน ใหญใ นแควนมคธ, กตฺติโก (มาโส) ประกอบแลวดวยฤกษ ช่อื วากตั ติกะ เวยฺยากรโณ (ชโน) ผูเรียนซึ่งพยากรณ (ศัพทเดิมเปนวฺยากรณ) เหลา น้ีพึงตั้งวเิ คราะหตามคาํ แปล ๔. ชาตาทิตทั ธติ ใช อมิ อิย กยิ ปจ จยั แทน ชาต ศัพท เปน ตน ดังน้ี อิม ปจจัย เชน ปุเร ชาโต = ปุริโม (ชโน ชน) เกิดแลวใน กอนชื่อวา ปุริมะ, มชฺฌิโม (ชโน) เกิดแลวในทามกลาง, ปจฺฉิโม (ชโน) เกดิ แลว ในภายหลัง, ปุตฺติโม (ชโน) มีบุตร, อนฺติโม (ชโน) ประกอบแลว ในท่สี ดุ , เหลาน้ีพึงตัง้ วเิ คราะหตามคําแปล

๒2๐0๒2 อิย ปจจัย เชน มนุสฺสสฺส ชาติยา ชาโต = มนุสฺสชาติโย (ชโน) เกดิ แลวโดยชาตแิ หง มนุษย อสสฺ ชาตโิ ย (สตฺโต) เกิดแลวโดยชาติแหงมา, ปณฺทิตชาติโย (ชโน) เกิดแลวโดยชาติแหงบัณฑิต ต้ังวิเคราะหเหมือน มนสุ สฺ ชาติโย กิย ปจจยั เชน อนเฺ ธ นิยุตฺโต = อนฺธกิโย (ชโน) ประกอบแลวใน ท่มี ดื ชอ่ื วา อนฺธกิยะ ขอควรจํา ตรตยาทิตัทธิต ราคาทิตัทธิต และชาตาทิตัทธิต ทั้ง ๓ นี้ ใชป จจยั แทนศพั ทไดมากมาย จัดเปน ๓ ประการ คอื ๑. แทนนามศัพทมี อิทํ มํสํ อิสฺสโร เปนตน และนามศัพทอ่ืนๆ อีกมากมาย สุดแลวแตคําแปลจะบงถึงนามประเภทใด ก็ใหเอานาม ประเภทนั้นมาเขียนใสวิเคราะห นามน้ันจะตองลง สิ ปฐมา เสมอ และ ไมตองใส อิติ ศพั ท คั่นในรปู วเิ คราะห ๒. แทนกริ ิยาอาขยาต จาํ พวก วตตฺ ต,ิ กโรติ, จรติ, ตรติ, หนฺตวา, ชีวติ, วสติ, รกฺขติ, ทิพฺพติ, อตฺถิ, อธิเต (ยอมเรียน) เปนตน และกิริยา อาขยาตอื่นๆ อีกมากมาย แลวแตคําแปลจะบงถึงกิริยาอาขยาตบทใด กใ็ หเ อากริ ยิ าอาขยาตบทนน้ั มาเขยี นใสรปู วิเคราะห แลวใหใส อิติ ไวหลัง กิริยาอาขยาตบทน้ัน เชน วตฺตตีติ กโรตีติ เปนตน เวลาแปลวิเคราะห กใ็ หใส ย – ต โยค อญั ญบท เหมือนแปลวิเคราะหนามกิตก

2๒0๐3๓ ๓. แทนกิริยากิตกจําพวก รตฺต, นิยุตฺต, ยุตฺต. ชาต, สนฺตก (เปน ของมีอย)ู , ฐติ , คต, ปฏิปนฺน (ดําเนินไปแลว), สํสฏฐ (ระคนพรอมแลว), ทินนฺ , ทาตพพฺ , กต, กาตพพฺ เปนตน และอน่ื ๆอีกมากมาย สุดแตคําแปล จะบงถึงกิรยิ ากติ กบ ทใด ก็ใหเ ขียนกริ ยิ ากติ กบทน้นั ใวใ นวเิ คราะห โดยลง วิภัตตินาม มี ลิงค วจนะ ตรงกับอัญญบทเสมอ โดยมากลง สิ – โย ปฐมา สวน อิติ ไมตองใสใ นรปู วิเคราะห ๕. สมุหตทั ธติ ใช กณฺ ณ ตา ปจจัย แทน สมุห ศพั ท ดงั นี้ กฺณ ปจจัย เชน มนุสฺสานํ สมุโห = มานุสโก ประชุมแหงมนุษย ท. ชอ่ื วา มานสุ กะ มายุรโก ฝูงแหง นกยูง, กาโปตโก ฝูงแหง นกพริ าบ, วิเคราะหเหมือน มานุสโก ณ ปจจัย เชน มานุโส, มายุโร, กาโปโต, แปลและวิเคราะห เหมอื น กณ ปจ จัย ตา ปจจยั เชน คามานํ สมโุ ห = คามตา ประชุมแหงชาวบาน ท. ช่ือวา คามตา ชนตา ประชุมแหงชน, สหายตา ประชมุ แหงสหาย, วิเคราะหเ หมือน คามตา

๒2๐0๔4 ๖. ฐานตัทธติ ใช อีย เอยยฺ ปจ จัยแทน ฐาน อรหติ หิต ภว ดงั นี้ อีย ปจจัย เชน มทนสฺส ฐานํ = มทนียํ (วตฺถุ) อ.วัตถุ เปนท่ีตั้ง แหงความเมา ชื่อวา มทนียะ, พนฺธนียํ (วตฺถุ) เปนที่ต้ังแหงความผูก, โมจนยี ํ (วตฺถ)ุ เปนที่ตง้ั แหง ความแก วิเคราะหเ หมือน มทนียํ อยี เอยยฺ ปจจัย ลงศัพทเดียวกัน เชน ทสฺสนํ อรหตีติ = ทสฺสนี โย (ชโน) อ.ชนใด ยอมควรซึ่งการเห็น เพราะเหตุนั้น อ.ชนนั้น ชื่อวา ทั สสนยี ะ ปูชนีโย หรือ ปูชเนยฺโย (ชโน) ผูควรซึ่งการบูชา, ทกฺขิเณยฺโย (ชโน) ผคู วรซึง่ การ ทักษิณา, อาหุเนยฺโย (ชโน ชน) ผูควรซ่ึงของอันเขา พึงนํามาบูชา, ปาหุเนยฺโย (ชโน) ผูควรซึ่งของคํานับ วิเคราะหเหมือน ทสฺสนโี ย อุปาทานานํ หิตํ = อุปาทานียํ (วตฺถุ) อ. วัตถุ เปนประโยชน เกื้อกูลแกอุปาทาน ช่ือวา อุปาทานียะ, อุทเร ภวํ = อุทรียํ (โภชนํ) อ. โภชนะ มใี นทอง เปน ตน ๗. พหุลตัทธติ ใช อาลุ ปจจัยแทน ปกติ หรือ พหุล ศัพท เชน อภิชฺฌา อสฺส ปกติ = อภิชฌฺ าลุ (ชโน) อ. อภิชฌา เปนปกตขิ องชนน้นั อ. ชนน้ัน ช่ือวา มีอภิชฌาเปนปกติ หรือ อภิชฺฌา อสฺส พหุลา = อภิชฺฌาลุ (ชโน)

2๒0๐5๕ อ. อภิชฌาของชนนั้นมาก อ. ชนน้ัน ชื่อวา มีอภิชฌามาก, สีตาลุ (ปเทโส) มีหนาวเปนปกติ หรือ มีหนาวมาก, ทยาลุ (ชโน) มีความเอ็นดู เปนปกติ หรือ มีความเอน็ ดูมาก วเิ คราะหเ หมอื น อภิชฌฺ าลุ ๘. เสฏฐตัทธติ ใช ตร, ตม อิยิสฺสก, อิย, อิฏฐ ปจจัย เปนเครื่องหมายคุณนาม ๒ ช้นั มวี ิเคราะหแ ละคําแปลเหมอื นกัน ดังน้ี ตร ปจจัย เชน สพฺเพ อิเม ปาปา, อยมิเมสํ วิเสเสน ปาโปติ = ปาปตโร (ชโน) ชน ท. เหลาน้ี ท้ังปวงเปนบาป อ. ชนน้เี ปนบาปโดยวิเศษ แหงชน ท. เหลาน้ี เพราะเหตุน้ัน อ. ชนน้ัน ช่ือวา เปนบาปกวา, ปณฺฑิตฺตโร (ชโน) เปนบัณฑิตกวา, หีนตโร (ชโน) เลวกวา, ปณีตตโร (ชโน) ประณีตกวา เหลานี้แปลและวิเคราะหเ หมอื น ปาปตโร ตม ปจจัย เชน ปาปตโม (ชโน) เปนบาปท่ีสุ, ปณฺฑิตตโม (ชโน) เปน บัณฑิตท่ีสุด หีนตโม (ชโน) เลวท่ีสุด, ปณีตตโม (ชโน) ประณีตที่สุด เหลานี้พึงตั้งวเิ คราะหเหมือน ปาปตโร อิยิสฺสก ปจจัย เชน ปาปยิสฺสโก (ชโน) เปนบาปกวา วิเคราะห เหมือน ปาปตโร อิย ปจจัย เชน ปาปโย (ชโน) เปนบาปกวา, กนิโย (ชโน) นอยกวา, เสยฺโย (ชโน) ประเสริฐกวา, เชยฺโย (ชโน) เจริญกวา พึงต้ัง วิเคราะหเ หมอื น ปาปตโร

๒2๐0๖6 อฏิ ฐ ปจ จยั เชน ปาปฏ โ ฐ (ชโน ชน) เปนบาปท่ีสุด กนิฏโฐ (ชโน ชน) นอ ยทีส่ ดุ เสฏโฐ ประเสริฐท่ีสุด เชฏโฐ (ชโน ชน) เจริญท่ีสุด พึงตั้ง วเิ คราะหเ หมอื น ปาปตโร ๙. ตทสั สตั ถติ ทั ธติ ใช วี, ส, สี, อกิ , อี, ร, วนฺตุ, มนตฺ ,ุ ณ ปจ จัยแทน อตถฺ ิ ศพั ท ดังนี้ วี ปจ จยั เชน เมธา อสฺส อตฺถีติ = เมธาวี (ชโน) อ. เมธาของชน น้ันมีอยู เพราะเหตุนั้น อ.ชนน้ัน ชื่อวา มีเมธา, มายาวี (ชโน) มีมายา วเิ คราะหเหมือน เมธาวี ส ปจจัย เชน สุเมธา อสฺส อตฺถีติ = สุเมธโส (ชโน) เมธาดี ของ ชนนน้ั มีอยู เพราะเหตุนน้ั ชนน้ัน ชือ่ วา มีเมธาดี สี ปจจัย เชน ตปสี (ชโน) มีตบะ, เตชสี (ชโน) มีเดช วิเคราะห เหมอื น เมธาวี อิก ปจจัย เชน ทณฺฑิโก (ชโน) มีไมเทา, อตฺถิโก (ชโน) มีความ ตอ งการ วิเคราะหเหมือน เมธาวี อี ปจจัย เชน ทณฺฑี (ชโน) มีไมเทา, สุขี (ชโน) มีความสุข, โภคี (ชโน) มโี ภคะ วิเคราะหเหมือน เมธาวี ร ปจจัย เชน มธุโร (ปโู ว) มีนํ้าผ้งึ , มขุ โร (ชโน) มีปาก, วิเคราะห เหมือน เมธาวี วนฺตุ ปจจัย เชน คุณวา (ชโน) มีคุณ, ธนวา (ชโน) มีทรัพย, ปญฺ วา (ชโน) มปี ญญา ปุ ญฺ วา (ชโน) มบี ุญ วเิ คราะหเหมอื น เมธาวี

2๒0๐7๗ มนฺตุ ปจจัย เชน อายุ อสสฺ อตฺถีติ = อายสฺมา (ชโน) อ.อายุของ ชนน้ันมีอยู เพราะเหตุนั้น อ.ชนนั้น ช่ือวา มีอายุ, สติมา (ชโน) มีสติ, ชตุ ิมา (ชโน) มีความโพลง, จกขฺ ุมา (ชโน) มีจกั ษุ วิเคราะหเหมือน เมธาวี ในคัมภีรสัททนีติวา ลง อิมนฺตุ ปจจัยบาง เชน ปุตฺติมา (ชโน) มีบุตร, ปาปมา (ชโน) มบี าป วเิ คราะหเหมือน เมธาวี ศัพทที่ลง วนฺตุ, มนฺตุ และ อิมนฺตุ ปจจัย สําเร็จแลวแจกตาม แบบ ภควนตฺ ุ ก็ได ณ ปจจัย เชน สทฺโธ (ชโน) มีศรัทธา, มจฺเฉโร (ชโน) มีความ ตระหนี่ ศัพทท ี่ลงปจ จัยเหลา นีท้ ้ังหมด ถาอัญญบทเปนปุลิงค และนปุสก ลิงค มีรูปวิเคราะหเปน อสฺส อตฺถีติ ถาอัญญบทเปน อิตถีลิงค รูปวิเคราะหเปน อสฺสา อตฺถีติ แตถาอัญบทเปนพหุวจนะ ปุ. นปุ. เปน เตสํ /อิต. เปน ตาสํ พึงระวังลิงคของศัพทที่จะแยกออกมาตั้งวิเคราะห เดิมเปนลิงคอะไร เม่ือแยกออกมาใหประกอบเปนลิงคน้ัน ดวยปฐมา วิภัตติ ๑๐. ปกตติ ทั ธติ ใช มย ปจจยั แทน ปกต หรอื วิการ ศพั ท เชน สวุ ณฺเณน ปกตํ = โสวณฺณมยํ (ภาชนํ) อ. ภาชนะ อันบุคคลทําแลว ดวยทอง ช่ือวา โส วัณณมยะ หรือวา สุวณฺณสฺส วิกาโร = โสวณฺณมยํ (ภาชนํ) อ. ภาชนะ เปนวกิ ารแหงทอง ชอื่ วา โสวัณณมยะ, มตตฺ กิ ามยํ (ภาชนํ) อันบุคคลทํา

๒2๐0๘8 แลวดวยดิน หรือเปนวิการแหงดิน, อโยมยํ (ภาชนํ) อันบุคคลทําแลว ดวยเหล็ก วเิ คราะหเ หมือน โสวณฺณมยํ ๑๑. ปรู ณตทั ธติ ใช ติย, ถ, ฐ, ม, อี แทน ปูรณ ศัพท ลงหลังปกติสังขยาอยาง เดยี ว ดังนี้ ติย ปจจัย เชน ทฺวินฺนํ (ชนานํ) ปูรโณ = ทุติโย (ชโน) อ. ชน เปน ท่ีเตม็ แหงชน ท. ๒ ช่อื วา ท่ี ๒, ตติโย (ชโน) เปนที่เต็มแหงชน ท. ๓ หรอื ท่ี ๓ , วิเคราะหเ หมือน ทุตโิ ย ถ ปจจัย เชน จตุตฺโถ (ชโน) เปนที่เต็มแหงชน ท. ๔ หรือ ที่ ๔, วเิ คราะหเหมือน ทุตโิ ย ฐ ปจจัย เชน ฉฏโฐ (ชโน) เปนที่เต็มแหงชน ท. ๖ หรือที่ ๖, วเิ คราะหเ หมือน ทตุ ิโย ม ปจจัย เชน เอกสฺส (ชนสฺส) ปูรโณ = ปฐโม (ชโน) อ. ชน เปน ที่เต็มแหง ชน ๑ ช่อื วา ท่ิ ๑, ปจฺ โม (ชโน) ที่ ๕, สตฺตโม (ชโน) ที่ ๗ วเิ คราะหเหมอื น ทตุ โิ ย จาํ นวนต้ังแต ๗ ข้นึ ไป ใหลง ม ปจ จยั ทั้งสิน้ อี ปจ จยั เปน อติ ถีลงิ คอ ยางเดียว ลงไดต้ังแต เอกาทส ถึง อฏฐา รส เทานั้น เชน เอกาทสนฺนํ (อิตฺถีนํ) ปูรณี = เอกาทสี (อิตถี) อ. หญิง เปน ทเี่ ตม็ แหงหญงิ ท. ชอ่ื วา ที่ ๑๑ เปน ตน สังขยา ตั้งแต เอกาทส ถึง อฏฐารส ถาตองการใหเปนลิงคอ่ืน จากอติ ถีลิงคใหลง ม ปจจัย

2๒0๐9๙ ในตัทธติ นีม้ ีศัพทท ่พี ิเศษอีกศัพทหนึ่ง คือ อฑฺฒ แปลวา กึ่ง หรือ คร่งึ แปลงกบั ปรู ณสงั ขยา มีเศษเปนครึ่ง ตั้งวิเคราะหเปน ตติยาตัปปุริส และ อฑฒฺ ศัพทแ ปลงกับ ปูรณสังขยามรี ตู า ง ๆ ดังน้ี ๑. อฑเฺ ฒน ทตุ ิโย = ทิยฑฺโฒ หรือ ทิวฑฺโฒ (ชน) ที่ ๒ ดวยท้ังกึ่ง ชื่อวา ที่ ๒ ดวยท้งั กึง่ ๒. อฑฺเฒน ตติโย = อฑฺฒติโย หรือ อฑฺฒเตยฺโย (ชน) ท่ี ๓ ดวย ท้ังกึง่ ช่อื วา ที่ ๓ ดว ยท้งั ก่ึง ๓. อฑฺเฒน จตุตฺโถ = อฑฺฒุทฺโฒ (ชน) ที่ ๔ ดวยท้ังก่ึง ช่ือวา ที่ ๔ ดวยทัง้ กึ่ง ๔. อฑเฺ ฒน ปจฺ โม = อฑฺฒปฺจโม (ชน) ที่ ๕ ดวยทั้งก่ึง ชื่อวา ท่ี ๕ ดว ยทัง้ ก่งึ ๑๒. สังขยาตทั ธิต ใช ก ปจจัย แทน ปริมาณ ศัพท และลงหลังปกติสังขยา เชน เทฺว ปริมาณานิ อสฺสาติ = ทฺวิกํ หรือ ทุกํ (วตฺถุ) อ. ปริมาณ ท. (เคร่ืองกําหนดนับ) ของวัตถุนั้น ๒ เพราะเหตุน้ัน อ.วัตถุน้ัน ชื่อวา มีปริมาณ ๒ หรือ หมวด ๒ ติกํ (วตฺถุ) มีปริมาณ ๓, จตุกํ (วตฺถุ) มปี รมิ าณ ๔ ปจฺ กํ (วตฺถุ) มีปริมาณ ๕, ฉกํ (วตฺถุ) มีปริมาณ ๖ เหลาน้ี พงึ วเิ คราะหเหมือน ทกุ ํ

๒2๑1๐0 ๑๓. วภิ าคตทั ธติ ใช ธา, โส, ปจ จยั แทน วภิ าค ศัพท ดังน้ี ธา ปจจัย ลงหลังปกติสังขยาทั้งส้ิน เชน เอเกน วิภาเคน = เอกธา โดยสวนเดียว ช่ือวา เอกธา ทฺวีหิ วิภาเคหิ = ทวิธา โดยสวน ท. สอง ชอ่ื วา ทวิธา เปน ตน โส ปจจัย ลงหลังนามนามอยางเดียว เชน ปเทน วิภาเคน = ปทโส โดยการจําแนกโดยบท ชื่อวา ปทโส สุตฺเตน วิภาเคน = สุตฺตโส โดยความจาํ แนกโดยสตู ร ช่ือวา สตุ ฺตโส เปน ตน ตัทธิตน้ี เปนอลิงค เปนอัพยยศัพท แจกดวยวิภัตตินามไมได แตใ ชแ ทนตตยิ าวภิ ตั ติ ภาวตัทธติ ใช ตฺต, ณฺย, ตฺตน, ตา, ณ, กณฺ ปจจัย แทน ภาว ศพั ท ดงั นี้ ตตฺ ปจ จยั ลงในศพั ท ๕ อยาง คือ - ลงในชื่อ เชน จนฺทสฺส ภาโว = จนฺทตฺตํ อ. ความเปนแหง พระจนั ทร ชอ่ื วา จันทตั ตะ - ลงในชาติ เชน มนุสฺสสฺส ภาโว = มนุสฺสตฺตํ อ. ความเปนแหง มนุษย ชอ่ื วา มนสุ สัตตะ - ลงในทัพพะ เชน ทณฺฑิโน ภาโว = ทณฺฑิตฺตํ อ. ความเปนแหง บคุ คลผูม ไี มเทา ชื่อวา ทัณฑติ ตะ (ลงซํา้ ตทั ธติ อนื่ ชื่อวา ทัพพะ)

2๒1๑1๑ - ลงในกิริยา เชน ปาจกสฺส ภาโว = ปาจกตฺตํ อ. ความเปนแหง คนหงุ ช่ือวา ปาจกัตตะ - ลงในคณุ เชน นีลสฺส ภาโว = นีลตฺตํ อ. ความเปนแหงของเขียว ช่ือวา นีลัตตะ ณฺย ปจจัย มีอํานาจใหพฤทธ์ิตนศัพท แลว ลบ ณ ใหแปลง ย กับ ทส่ี ุดศัพทเปน อยา งอ่นื บาง เปนอยา งเดมิ บาง เชน ๑. แปลง ย กับ ต เปน จฺจ เชน ปณฺฑิจฺจํ อ. ความเปนแหง บัณฑติ ๒. แปลง ย กับ ณ เปน ฺญ เชน สามฺญํ อ. ความเปนแหง สมณะ ๓. แปลง ย กบั ท เปน ชฺช เชน โสหชฺชํ อ. ความเปนแหงบุคคล ผูมใี จดี ๔. แปลง ย กบั ล เปน ลฺล เชน โกสลฺลํ อ. ความเปน แหงบุคคลผู ฉลาด ๕. แปลง ย กับ ส เปน สสฺ เชน โปริสสฺ ํ อ. ความเปนแหง บุรษุ ๖. แปลง ย กับ ก เปน กฺก เชน เนปกฺกํ อ. ความเปนแหงบุคคล ผูมีปญ ญาเปนเครอื่ งรกั ษาไวซ่ึงตนโดยไมเ หลอื ๗. แปลง ย กบั ม เปน มฺม เชน โอปมฺมํ อ.ความเปน แหงอุปมา ฯ

๒2๑1๒2 ตตฺ น ปจ จัย เชน ปถุ ชุ ชฺ นตฺตนํ อ. ความเปน แหง ปุถุชน เวทนตฺตนํ อ. ความเปนแหงเวทนา พึงวิเคราะหเหมือน ตฺต ปจ จัย ตา ปจ จัย เชน มทุ โุ น ภาโว = มุทตุ า อ. ความเปน คนออน ช่ือวา มุทุตา ฯ นิทฺทารามตา อ. ความเปนแหงบุคคลผูมีความหลับเปนที่มา ยนิ ดี, สหายตา อ. ความเปน แหงสหาย วิเคราะหเ หมอื น มุทุตา ณ ปจจัย เชน วิสมสฺส ภาโว = เวสมํ อ. ความเปนแหงวัตถุมี เสมอไปปราศแลว ช่ือวา เวสมะ, สุจิโน ภาโว = โสจํ อ. ความเปนแหง ของสะอาด ช่ือวา โสจะ, มุทุโน ภาโว = มทฺทวํ อ. ความเปนแหงของ ออ น ชื่อวา มัททวะ, อชุ ุโน ภาโว = อาชฺชวํ อ. ความเปน แหงคนซื่อตรง ช่อื วา อาชชวะ กฺณ ปจจัย เชน รมณียสฺส ภาโว = รามณียกํ อ. ความเปนแหง ของอันบุคคลพึงยินดี ชื่อวา รามณียกะ, มนุูญสฺส ภาโว = มานุฺญกํ อ. ความเปนแหง ของเปน ท่ีฟใู จ ชอ่ื วา มานุ ญฺ กะ ปจจัยพิเศษอีก ๓ ตัว คือ ณิย, เณยฺย, พฺย, ใชแทน ภาวศัพท เหมือนกนั ณิย ปจจัย เชน วีริยํ อ. ความเปนแหงคนกลาหาญ, (วีร+ณิย) อาลสิยํ อ. ความเปนแหง บุคคลผูเ กยี จครา น (อลส+ณิย) เณยฺย ปจจัย เชน โสเจยฺยํ อ. ความเปนแหงของสะอาด (สุจิ+ เณยยฺ )

2๒1๑3๓ พฺย ปจจัย เชน ทาสพฺยํ อ. ความเปนแหงทาส เหลานี้ พึงตั้ง วิเคราะหเหมือน ตตฺ ปจจัย อพั ยยตัทธติ ใช ถา, ถํ ปจจยั แทน ปการ ศพั ทลงหลงั สพั พนาม ดงั นี้ ถา ปจจัย เชน โย ปกาโร = ยถา อ. ประการใด ยํ ปการํ = ยถา ซง่ึ ประการใด เยน ปกาเรน = ยถา ดว ยประการใด, โส ปกาโร = ตถา อ. ประการนั้น, ตํ ปการํ = ตถา ซงึ่ ประการน้ัน, เตน ปกาเรน = ตถา ดวยประการน้ัน ถํ ปจจัย ลงหลัง กึ ศพั ท และ อิม ศัพท เชน โก ปกาโร = กถํ อ. ประการไร อยํ ปกาโร = อติ ฺถํ อ. ประการนี้ เปน ตน

๒2๑1๔4 ตัทธติ พเิ ศษ ๒ อยา ง ๑. อุปมาตทั ธติ ใช อายติ ตตฺ ปจจยั แทน วิย ทิสฺสติ เชน ธูโม วิย ทิสฺสตตี ิ = ธมู ายิตตฺ ตํ (วตฺถุ) อ. วัตถใุ ด ยอ มปรากฏราวกะวาควัน เพราะ เหตุน้ัน อ. วัตถุน้ัน ชื่อวา ธูมายิตัตตะ, ติมิรํ วิย ทิสฺสตีติ = ติมิรายิตตฺตํ (วตถฺ ุ) อ. วัตถุใด ยอมปรากฏราวกะวาหมอก เพราะเหตุนั้น อ. วัตถุนั้น ชอ่ื วา ตมิ ริ ายิตตั ตะ ๒. นิสสิตตัทธิต ใช ล ปจจัยแทน นิสฺสิต และ ฐาน ศัพท เชน ทฏุ  ุ(วตถฺ )ุ นิสฺสิตํ = ทุฏลุ ลฺ ํ (กมฺมํ) อ. กรรม อาศยั แลว (ซงึ่ วัตถุ) อันช่ัว ชือ่ วา ทุฏ ลุ ฺละ, หรือ ทุฏุโน (วตฺถุโน) ฐานํ = ทฏุลฺลํ (กมฺมํ) อ. กรรม เปนที่ตัง้ แหง (วัตถ)ุ อนั ชัว่ ชอื่ วา ทฏุ  ลุ ละ, เวทลลฺ ํ (สาสนํ) อันอาศัยแลว ซึ่งพระเวท หรือ เปนท่ีต้ังแหงพระ เวท พงึ ต้งั วิเคราะหเ หมอื น ทุฏ ุลฺลํ จบตัทธติ

2๒1๑5๕ หลกั สมั พันธไทย ชัน้ ประโยค ป.ธ. ๓ หมวดท่ี ๑ แผนกนามศพั ท นามนาม ปฐมาวิภัตตใิ ชใ นอรรถ ๖ อยาง ๑. เปน ประธานในประโยคท่ีไมมีกิริยาคมุ พากย เรยี กวา ลิงฺคตฺถ ๒. เปน ประธานในประโยคกัตตุวาจก เรยี กวา สยกตตฺ า ๓. เปน ประธานในประโยคเหตกุ ัตตวุ าจก เรียกวา เหตกุ ตฺตา ๔. เปนประธานในประโยคกัมมวาจกและเหตุกัมมวาจก เรียกวา วตุ ตฺ กมฺม ๕. เปนประธานในประโยคกิริยาปธานนัย คือ ตฺวา ปจจัย คมุ พากย เรยี กวา ปกติกตฺตา ๖ เปนประธานในประโยคเปรียบเทยี บ คือท่ีมี อิว หรือ วิย ศัพท เรียกวา อปุ มาลงิ คตถฺ

๒2๑1๖6 ทตุ ยิ าวิภตั ติ ใชใ นอรรถ ๖ อยา ง เขากับกิริยา ๑. แปลวา ซึ่ง เรยี กวา อวุตตฺ กมฺม ๒. แปลวา สู เรียกวา สมฺปาปุณยิ กมฺม ๓. แปลวา ยัง เรียกวา การิตกมฺม ๔. แปลวา สน้ิ , ตลอด เรยี กวา อจฺจนฺตสํโยค ๕. แปลวา กะ, เฉพาะ เรียกวา อกถติ กมมฺ ๖. แปลไมอ อกสาํ เนยี งอายตนิบาตของกิริยาและเปนวิเสสนของ กริ ิยา อยูขา งหนา กริ ยิ า เรยี กวา กริ ยิ าวิเสสน ตติยาวภิ ัตติใชใ นอรรถ ๗ อยา ง เขากบั นามศพั ทบา ง กริ ยิ าศพั ทบ า ง อัพยยศพั ทบ า ง ๑. แปลวา ดวย เรียกวา กรณ ๒. แปลวา โดย, ตาม, ขา ง เรยี กวา ตติยาวิเสสน ๓. แปลวา อนั เรียกวา อนภหิ ิตกตตฺ า ๔. แปลวา เพราะ เรียกวา เหตุ ๕. แปลวา ม,ี ดวยทัง้ เรยี กวา อิตถฺ มฺภตู ๖. แปลวา ดวย เขากับ สทฺธึ หรือ สห ศัพท เรียกวา สหตฺถตตยิ า ๗. แปลวา ยงั เรยี กวา ตติยาการิตกมฺม

2๒1๑7๗ จตตุ ถีวิภัตติ ใชในอรรถ ๑ อยาง เขา กับกิรยิ า ๑. แปลวา แก, เพอ่ื , ตอ เรียกวา สมฺปทาน ปญจมวี ภิ ตั ติใชใ นอรรถ ๒ อยาง เขา กบั กิรยิ า ๑. แปลวา แต, จาก, กวา เรียกวา อปาทาน ๒. แปลวา เหตุ, เพราะ เรยี กวา เหตุ ฉฏั ฐีวภิ ตั ติใชใ นอรรถ ๖ อยางเขากบั นามและกริ ยิ าภาวนาม ๑. แปลวา แหง, ของ เน่ืองดวยความเปนเจาของ เรียกวา สามีสมพฺ นฺธ ๒. แปลวา แหง บงบอกกิริยาอาการ เขากับ ภาวศัพท ภาวตัทธิต ภาวสาธนะ เรยี กวา ภาวาทิสมพฺ นฺธ ๓. แปลวา แหง เนอื่ งดวยหมู เรยี กวา สมุหสมฺพนฺธ ๔. แปลวา แหง….หนา เปนที่รวมกันอยูซ่ึงจะตองถอนออก เรยี กวา นิทธฺ ารณ (มี นทิ ธฺ ารณีย รบั ) ๕. แปลวา เมือ่ เปนประธานในประโยคแทรก เรียกวา อนาทร (มี อนาทรกิริยา รบั ) ๖ แปลวา ซึ่ง เปนกรรมในบทที่เปนนามกิตก (ณฺวุ ตุ ยุ ปจจัย) หักฉัฏฐวี ภิ ตั ติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ เรยี กวา ฉฏฐีกมฺม

๒2๑1๘8 สัตตมวี ิภัตติใชใ นอรรถ ๑๐ อยาง เขากบั นามบา งกริ ยิ าบาง ๑. แปลวา ใน เปนท่ีกําบงั ไวโ ดยปกติ เรยี กวา ปฏิจฺฉนนฺ าธาร ๒. แปลวา ใน เปน ทซ่ี ึมซาบหรือปนอยู เรยี กวา พยฺ าปก าธาร ๓. แปลวา ใน เปนทอี่ ยอู าศยั เรียกวา วสิ ยาธาร ๔. แปลวา ใกล, ณ เปนทใ่ี กลเ คียง เรียกวา สมีปาธาร ๕. แปลวา เหนือ,บน, ท่ี เปนท่ีรองรับไว เรียกวา อุปสิเลสิกา- ธาร ๖. แปลวา ใน, ณ เปน กาลเวลา เรียกวา กาลสตฺตมี ๗. แปลวา ครั้นเม่ือ เปนประธานในประโยคแทรก เรียกวา ลกขฺ ณ หรือ ลกขฺ ณวนฺต(มี ลกขฺ ณกริ ิยา หรอื ลกฺขณวนตฺ กิริยา) ๘. แปลวา ในเพราะ เปนเคร่ืองหมาย หรือ เปนเหตุ เรยี กวา นิมิตฺตสตตฺ มี ๙. แปลวา ในหนา เปน ท่รี วมกนั อยูซง่ึ จะตองถอนออก เรยี กวา นทิ ธฺ ารณ (มี นทิ ฺธารณยี รบั ) ๑๐. แปลวา อนั วา (อ.) ลงในอรรถแหงปฐมาวิภัตติ เรยี กวา สตตฺ มปี จจฺ ตฺตสยกตฺตา

2๒1๑9๙ คณุ นาม ๑. มีลงิ คว จนะวิภัตตเิ หมือนนามนามแปลขยายนามนาม แปลวา ผู, ม,ี อนั เรียกวา วิเสสน ๒. เปนคุณนามหรือเปนนามนามใชดุจคุณนาม แปลวา เปน อยู หนา กิรยิ า วามี วา เปน หรือ ชนฺ ธาตุ เรยี กวา วิกตกิ ตตฺ า ๓. เปนวิเสสนะของบทท่ีเปนตัวกรรมแปลวา ใหเปน หนา กรฺ ธาตุ (ทํา) หรือ จรฺ ธาตุ (ประพฤติ) เรียกวา วิกติกมฺม ๔. แปลวา วาเปน เขากับ วจฺ วทฺ พฺรู ธาตุเปนตน เรียกวา สมภฺ าวน ๕. เปนบทคุณนาม มีลิงคตางจากนามนามที่ขยาย เรียกวา วิเสสนลงฺควปิ ลฺลาส มวี จนะตา งจากนามนามน้ัน เรียกวา วิเสสนวจน วิปลฺลาส มลี ิงคและวจนะตางจากนามนามน้ัน เรียกวา วิเสสนลิงควจน วปิ ลฺลาส

๒2๒2๐0 สัพพนาม ๑. ปุริสสพฺพนาม ต ตมุ หฺ อมฺห ศพั ทเรียกชือ่ สัมพันธเหมือนนาม นาม ๒. วิเสสนสพั พนาม (นยิ ม อนิยม) เรยี กวา วิเสสน หมวดท่ี ๒ เเผนกกริ ยิ าศพั ท ก. กริ ยิ าอาขยาตดังนี้ ๑. กิริยาของประโยคกตั ตุวาจก เรียกวา อาขยฺ าตบท กตฺตุวาจก ๒. กิริยาของประโยคกัมมวาจก เรียกวา อาขฺยาตบท กมฺม วาจก ๓. กิรยิ าของประโยคเหตกุ ัตตุวาจก เรยี กวา อาขฺยาตบท เหตกุ ตฺตวุ าจก ๔. กิรยิ าของประโยคเหตุกมั มวาจก เรียกวา อาขฺยาตบท เหตกุ มฺมวาจก ๕. กิริยาของประโยคภาววาจก เรียกวา อาขยฺ าตบท ภาววาจก กิรยิ ากิตกค ุมพากย ต อนยี ตพพฺ ดงั นี้ ๑. กิรยิ าของประโยคกตั ตุวาจก เรยี กวา กติ บท กตตฺ วุ าจก ๒. กิรยิ าของประโยคกัมมวาจก เรียกวา กติ บท กมมฺ วาจก

2๒2๒1๑ ๓. กิริยาของประโยคเหตุกัตตุวาจก เรียกวา กิตบท เหตุกตฺตุ วาจก ๔. กริ ิยาของประโยคเหตุกัมมวาจก เรียกวา กิตบท เหตุกมฺม วาจก ๕. กริ ิยาของประโยคภาววาจก เรยี กวา กิตบท ภาววาจก หมายเหตุ : ต ปจจัย เปนได ๕ วาจก อนีย, ตพฺพ ปจจัย เปนได ๓ วาจก คอื ภาววาจก กมั มวาจก และเหตกุ ตั ตุวาจก ค. กิรยิ ากติ กท เ่ี ปน วเิ สสนะและกริ ยิ าในระหวาง ๑. ต, อนีย, ตพพฺ (ท่ไี มใ ชกิริยาคุมพากย) เปนวิเสสนะของนาม นามเรยี งไวห นา หรอื หลงั นามท่เี ปนเจาของ เรียกวา วิเสสน ๒. ต, อนยี , ตพพฺ อยหู นาธาตุวามวี าเปน หรือ ชฺน ธาตุ แปลวา เปน เรียกวา วกิ ติกตฺตา ๓. ต, อนีย, ตพพฺ อยูหนา กรฺ ธาตุ หรือ กมฺมวาจก แปลวา ให เปน เรยี กวา วกิ ติกตฺตา ๔. อนฺต, มาน มีลิงค วจนะ วิภัตติเสมอประธาน เรียงไวหนา ประธาน หรือประกอบดว ยวภิ ตั ตอิ ่ืนจากปฐมาวิภัตติ จะอยหู นาหรือหลัง กต็ าม เรยี กวา วเิ สสน

๒2๒2๒2 ๕. อนฺต, มาน เปน กริ ยิ าในระหวางประกอบดวยปฐมาวิภัตติอยู หลังประธาน สมั พนั ธเ ขา กบั ประธาน เรียกวา อพภฺ นฺตรกิรยิ า (ของ) ๖. อนฺต, มาน เปน กริ ิยาในระหวางประกอบดวยปฐมาวิภัตติอยู หนากิรยิ า มีเนอื้ ความเน่อื งดวยกิรยิ าน้นั สมั พันธเขากับกิริยานั้น เรียกวา อพภฺ นฺตรกริ ิยา (ใน) ๗. อนฺต, มาน, อยูข างหนา บทประธาน เรยี กวา วเิ สสนะ ๘. อนฺต, มาน,ต ท่ีเปนอุปมาวิเสสนะ จะอยูหนาหรือหลังตัว ประธานกต็ าม สมั พันธเขา กบั ประธาน เรียกวา อปุ มาวเิ สสนะ (ของ) ๙. อนฺต, มาน,ต ท่ีขยายประธานในประโยคอุปมาลิงคัตถะ จะอยูหนาหรือหลังตัวประธานก็ตามสัมพันธเขากับประธาน เรียกวา วิเสสน (ของ) ๑๐. อนฺต, มาน, ต, อนีย, ตพฺพ ประกอบดวยสัตตมีวิภัตติ เปนกิรยิ ารองรบั ลกั ขณะ เรยี กวา ลกขฺ ณกริ ยิ า หรือ ลกฺขณวนตฺ กิรยิ า ๑๑. อนฺต, มาน, ต, อนีย, ตพฺพ ประกอบดวยฉัฏฐีวิภัตติเปน กิริยารองรบั อนาทร เรยี กวา อนาทรกริ ิยา

2๒2๒3๓ ง. ตูนาทปิ จ จัย (ตนู , ตวฺ า, ตฺวาน) ๑. แปลตามลาํ ดับกิริยา แปลวา แลว เปนกิริยาที่ทํากอนแลวจึง ทาํ กิรยิ าอนื่ ตอ ไปอีก เรยี กวา ปพุ พฺ กาลกิรยิ า ๒. แปลตามลําดับกิริยา ไมออกสําเนียงปจจัย เปนกิริยาท่ีทํา พรอมกับกริ ิยาอนื่ เรยี กวา สมานกาลกิรยิ า ๓. ธาตุซํ้ากันกับกิริยาขางตน แสดงวาทําเสร็จแลว แปลวา ครน้ั ...แลว เรียกวา ปริโยสานกาลกริ ยิ า ๔. แปลหลงั กิริยาคุมพากย แปลวา แลว เรียกวา อปรกาลกริ ิยา ๕. แปลหลังกริ ยิ าคมุ พากย แปลวา เพราะ เรียกวา เหตุ ๖. แปลหลงั กิรยิ าอื่น ไมอ อกสาํ เนียงปจจัยของกิริยานั้น เรียกวา กิริยาวเิ สสน ๗. แปลหลงั นาม ไมอ อกสําเนียงปจ จยั เรียกวา วิเสสน ๘. แปลวา แลว ใชเปนกิริยาคุมพากย เรียกวา กิริยาปธานนัย (บทประธานทเี่ ขา กับกริ ยิ าปธานนยั นี้ เรยี กวา ปกตกิ ตฺตา)

๒2๒2๔4 หมวดที่ ๓ แผนกนบิ าต ก. นบิ าตทว่ั ไป นบิ าตบอกอาลปนะ ยคเฺ ฆ สรวมชพี , ขอเดชะ ภนฺเต, ภทนฺเต ขา แตท า นผเู จรญิ ภเณ แนะพนาย อมโฺ ภ แนะทา นผเู จรญิ อาวโุ ส ดูกอ นทา นผมู อี ายุ เร อเร เวย โวย เห เฮย เช แนะแม, แนะ สาวใช นิบาตบอกอาปนะ สมั พันธว า อาลปน นิบาตบอกอาปนะนาม สมั พันธว า วเิ สสน นบิ าตบอกกาล อถ ครั้งน้ัน ปาโต เชา ทิวา วัน หยิ ฺโย วันวาน สายํ เยน็ สุเว ในวนั อายตึ ตอไป เสฺว วันพรุง สมฺปติ บัดเดี๋ยวน้ี สัมพันธวา กาลสตฺตมี นิบาตบอกท่ี อุทฺธํ เบอื้ งบน อนตฺ รา ระหวา ง อุปริ เบือ้ งบน อนฺโต ภายใน ตโิ ร ภายนอก พหิ ภายนอก

2๒2๒5๕ พหทิ ธฺ า ภายนอก พหริ า ภายนอก อโธ เบ้ืองต่ํา เหฏฐ า ภายใต โอรํ ฝงใน ปารํ ฝง นอก ตอหนา หรุ ํ โลกอ่ืน สมฺมขุ า ที่ลับ ปรมมฺ ขุ า ลบั หลงั รโห เขากบั กริ ิยา สัมพนั ธวา อาธาร เขากบั นาม สมั พันธว า ภินฺนาธาร นิบาตบอกปริจเฉท กีว เพียงไร ยาวตา มปี ระมาณเพียงใด ยาว เพยี งใด ตาวตา มปี ระมาณเพยี งน้นั ตาว เพยี งนนั้ กิตฺตาวตา มีประมาณเทา ใด ยาวเทว เพียงใดน่ันเทยี ว เอตตฺ าวตา มีประมาณเทา นัน้ ตาวเทว เพยี งนนั้ นัน่ เทยี ว สมนตฺ า รอบคอบ สัมพันธว า กิรยิ าวิเสสน หรือ ปรจิ ฺเฉทนตถฺ

๒2๒2๖6 นิบาตบอกอุปมาอปุ ไมย วยิ ราวกะ อิว เพยี งดงั ยถา ฉนั ใด เสยยฺ ถา ฉนั ใด ๔ ศพั ทน้ี สมั พันธว า อุปมาโชตก ตถา ฉันนั้น เอวํ ฉนั น้ัน ๒ ศพั ทนี้ สัมพนั ธวา อุปเมยฺยโชตก นบิ าตบอกประการ เอวํ ดว ยประการนนั้ ตถา ดวยประการนนั้ กถํ ดว ยประการไร สมั พนั ธวา ปการตฺถ นบิ าตบอกปฏเิ สธ น ไม โน ไม มา อยา นิบาตบอกปฏเิ สธท้งั หมดนี้ สัมพนั ธว า ปฏิเสธ บา ง ปฏเิ สธนตถฺ บาง สัมพนั ธเขากับกิริยา แปลวา ไม สัมพันธวา ปฏิเสธ (ใน) สัมพันธ ปฏิเสธทั้งประโยค ไมเขากับกิริยา แปลวา หามิได มักเรียงไวตน ประโยค น ศัพท สมั พันธวา ปฏิเสธนตฺถ ว เทียว เอว นั่นเทียว หิ แล นิบาตทั้งหมดนี้ สัมพันธวา อว ธารณ (เขา กับ)

2๒2๒7๗ นิบาตบอกความไดย นิ คาํ เลาลือ กริ ไดยนิ วา ขลุ ไดยินวา สุทํ ไดย ินวา สัมพันธวา อนสุ ฺสวนตถฺ นิบาตบอกปรกิ ปั ผวิ า ถา วา เจ หากวา ยทิ กระไรหนอ สเจ ถาวา อถ อปเฺ ปว นาม ชอื่ แมไ ฉน ยนฺนนู สมั พันธวา ปรกิ ปปฺ ตฺถ นบิ าตบอกความถาม มใิ ชหรือ กึ หรือ อะไร นนุ หรือวา กถํ อยางไร อทุ าหุ หรอื วา อยางไรน้ี กจจฺ ิ แลหรือ อาทู นุ หนอ เสยฺยถีทํ สัมพนั ธวา ปุจฉฺ นตฺถ

๒2๒2๘8 เออ, ขอรบั นบิ าตบอกความรบั อาม เออ, ขอรับ, เจาคะ อามนตฺ า สมั พันธว า สมฺ ปฏจิ ฉนตฺถ นบิ าตบอกความเตอื น อิงฆฺ เชิญเถิด หนทฺ เอาเถิด ตคฺฆ เอาเถิด สมั พันธว า อยุ โฺ ยชนตฺถ นบิ าตสักวา เปน เครอ่ื งทาํ บทใหเ ต็ม นุ หนอ โข แล สุ สิ วต หนอ เว เวย หเว เวย โว โวย ถาอยใู นคาถาสมั พันธวา ปทปูรณ ถาอยนู อกคาถาสัมพนั ธว า วจนาลงฺการ

2๒2๒9๙ อฺญทตถฺ ุ นิบาตมเี นอื้ ความตางๆ คราวเดียว ปภตู ิ โดยแท สกึ รอยคราว จําเดมิ สตกขฺ ตตฺ ุ คอย ๆ อทฺธา เอง อวสฺสํ แนแท สณิกํ เอง ปนุ แนแท สยํ เวน ปุนปปฺ นุ ํ อกี สามํ ไกล บอย ๆ วนิ า แจง ภิยฺโย แล ห รื อ, บ า ง ภยิ ฺโยโส ยง่ิ อารา หรอื นูน โดยยิ่ง อาวี เท็จ มจิ ฺฉา แน กจจฺ ิ จําเดมิ ผดิ มุสา นานา ตาง ๆ ปฏฐาย สัมพันธว า กริ ยิ าวเิ สสน

๒2๓3๐0 ข. นบิ าตพเิ ศษ ลงในอรรถตา ง ๆ เอวํ ศพั ท ใชในอรรถ ๕ อยา ง ๑. เอวํ แปลวา อ.อยา งนนั้ เปน ประธาน เรยี กวา สจจฺ วาจก ลิงคฺ ตถฺ ๒. เอวํ แปลวา อยา งน้ี, อยางนัน้ เขากับกริ ิยา เรียกวา กริ ยิ าวิ เสสน ๓. เอวํ แปลวา อยางนี้, อยางนัน้ แปลเปน วเิ สสนะของนามนาม เรยี กวา วิเสสน ๔. เอวํ แปลวา ดว ยประการฉะน้ี, ดว ยประการอยางน้ี เรียกวา ปการตถฺ ๕. เอวํ แปลวา ฉนั น้ัน เรยี กวา อุปเมยยฺ โชตก ตถา ศพั ท ใชในอรรถ ๕ อยาง ๑. ตถา แปลวา อ.เหมือนอยางน้ัน อ.อยางน้ัน เปนประธาน เรยี กวาลิงฺคตฺถ ๒. ตถา แปลวา เหมือนอยางน้นั , อยา งนี้ (เขากับกริ ิยา) เรียกวา กริ ยิ าวิเสสน ๓. ตถา แปลวา ดว ยประการนั้น เรยี กวา ปการตถฺ ๔. ตถา แปลวา อน่ึง เรียกวา สมปฺ ณ ฺฑนตถฺ ๕. ตถา แปลวา ฉนั น้ัน เรียกวา อปุ เมยฺยโชตก

2๒๓3๑1 อลํ ใชในอรรถ ๔ อยาง ๑. อลํ แปลวา อ.พอละ, อ.อยาเลย เปนประธาน เรียกวา ปฏิเสธลงิ คฺ ตถฺ ๒. อลํ แปลวา พอละ เปน วิเสสนะ เรยี กวา วิเสสน ๓. อลํ แปลวา เปน เขากบั กริ ยิ าวาม,ี วาเปน เรียกวา วิกติกตตฺ า ๔. อลํ แปลวา ควร เปนกิริยาคุมพากยประโยคภาววาจก เรียกวา กิริยาบท ภาววาจก เปนกิริยาคุมพากยประโยคกัมมวาจก เรยี กวา กิริยาบท กมมฺ วาจก สกกฺ า ใชใ นอรรถ ๓ อยา ง ๑. สกฺกา แปลวา อ.อัน (อัน) ....อาจ เปนประธาน เรียกวา สยกตฺตา ๒. สกฺกา แปลวา เปน เขากับกิริยาวามี, วาเปน เรียกวา วิกติกตฺตา ๓. สกฺกา แปลวา อาจ เปนกิริยาคุมพากย ประโยคภาววาจก เรียกวา กิริยาบท ภาววาจก เปนกิริยาคุมพากยประโยคกัมมวาจก เรียกวา กิริยาบท กมฺมวาจก

๒2๓3๒2 ลพฺภา ใชใ นอรรถ ๒ อยาง ๑. แปลวา เปน เขากับกิรยิ าวา ม,ี วาเปน เรยี กวา วิกตกิ ตฺตา ๒. แปลวา พึงได เปนกิริยาคุมพากยประโยคภาววาจก เรียกวา กิริยาบท ภาววาจก เปนกิริยาคุมพากยประโยคกัมมวาจก เรียกวา กริ ยิ าบท กมมฺ วาจก ตุ ปจจยั ใชใ นอรรถ ๒ อยา ง ๑. ตุ แปลวา อ.อนั (อัน)... เปนประธาน เรยี กวา ตมุ ตฺถกตตฺ า ๒. ตุ แปลวา เพอ่ื อัน เรยี กวา ตุมตฺถสัมปทาน สาธุ ใชในอรรถ ๓ อยาง ๑. สาธุ แปลวา อ.ดีละ แปลเปน ประธาน เรียกวา ลงิ คตฺถ ๒. สาธุ แปลวา ดังขาพเจาขอโอกาส (นิบาต) เรียกวา อายาจนตถฺ ๓. สาธุ แปลวา เปนคณุ ยังประโยชนใหสําเรจ็ เขา กบั กริ ยิ าวามี, วาเปน เรียกวา วิกตกิ ตตฺ า

2๒3๓3๓ อถ ใชในอรรถ ๔ อยา ง ๑. อถ ตน ประโยค แปลวา ครง้ั นน้ั , ลําดบั นน้ั , เรียกวา กาล สัตตมี ๒. อถ ใชแ ทน สเจ, เจ, ยทิ แปลวา ถาวา เรียกวา ปริกปฺปตฺถ ๓. อถ ไขความในเลขใน (อถ ภาเว สนเฺ ต) แปลวา คร้นั เม่ือ ความเปนอยา งนน้ั เรยี กวา วเิ สสน ๔. อถ ใชแ ทน ตโต แปลวา ลําดบั นน้ั , ในภายหลัง เรียกวา กาล สตั ตมี อติ ิ ศพั ท เรยี กชอื่ สมั พนั ธ ๙ อยาง ๑. แปลวา วา...ดังนี้ อมความไวเต็มที่ เขากับกิริยา เรียกวา อาการ ๒. แปลวา วา...ดงั น้ี อมความไวเตม็ ที่ เขากบั นาม เรียกวา สรปู ๓. แปลวา วา...ดงั นี้เปน ตน อมความบางสวนเขากบั นาม เรียกวา อาทฺยตฺถ ๔.แปลวา ช่ือวา ใชบอกชื่อเขาศัพทภายใน อิติ ศัพท เรียกวา สฺญาโชตก ๕.แปลวา เพราะเหตุนี้ วางไวเปนตัวอยาง ไมเขาสัมพันธ เรียกวา นทิ สสฺ น

๒2๓3๔4 ๖.แปลวา เพราะเหตุน้ัน วางไวในรูปวิเคราะห ไมเขาสัมพันธ เรยี กวา เหตวฺ ตถฺ ๗.แปลวา ดวยประการฉะนี้, ดวยประการดังน้ี สรุปความไม เขา สัมพันธ เรยี กวา ปการตฺถ ๘. แปลวา คือ อมความขางในแตสัมพันธเขาขางนอก เรียกวา สรูป ๙. แปลวา แล, ดังนี้แล (จบเรื่อง) เรียกวา สมาปนฺน หรือ ปรสิ มาปนนฺ ห,ิ จ, ปน, ตุ ศพั ท มหี ลกั ดงั นี้ หิ แปลวา ดงั จะกลาวโดยพสิ ดาร เรยี กวา วิตถฺ ารโชตก หิ แปลวา ดังจะกลาวโดยยอ เรียกวา สงฺเขปโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา ก็, ก็แล เริ่มตนขอความ เรียกวา วากฺยารมฺภ หรือวากยฺ ารมฺภโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา เหตวุ า, เพราะวา แสดงผลยืดยาว เรียกวา เหตโุ ชตก หรือ การณโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา ดวยวา แสดงผลโดยยอ เรยี กวา ผลโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา แตวา กลาวแยงประธานตัวเดียวกัน เรยี กวา วเิ สสโชตก

2๒3๓5๕ หิ,จ, ปน แปลวา ฝายวา , สว นวา กลา วแยง ตัวประธานตางกัน เรยี กวา ปกขฺ นตฺ รโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา เหมือนอยางวา (หลัง ยถา) เรียกวา ตปฺปาฏกิ รณโชตก หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา จริงอยู, แทจริง กลาวรับรองความจริง เรียกวา ทฬฺหีกรณโชตก จ,ปน,อโถ,ตถา แปลวา อนึ่ง กลาวอีกนัยหน่ึง เรียกวา สมปฺ ณ ฺฑนตถฺ หิ,จ, ปน,ตุ แปลวา ถึงอยางน้ัน, ถึงกระนั้น เรียกวา อรจู สิ จู นตฺถ (อยหู ลัง กิจฺ าป, กามฺจ, กามํ, ยทิป แปลวา แมโ ดยแท, แม กจ็ รงิ , โดยแท, ก็จริง ศพั ทเ หลา น้ี เรยี กวา อนุคฺคหตฺถ) หิ,จ, ปน แปลวา อัน ตอนตนปฏิเสธ ตอนหลังอนุโลม เรียกวา อนฺวยโชตก หิ,จ, ปน แปลวา อัน ตอนหลังก่ึงปฎิเสธ ตอนตนอนุโลม เรยี กวา พยฺ ตเิ รกโชตก

๒2๓3๖6 ชอ่ื สมั พนั ธนบิ าตทคี่ วรรู จ แปลวา ดวย ควบบท เรียกวา ปทสมุจฺจยตฺถ ควบพากย วากยฺ สมจุ จฺ ยตฺถ วา,ยทิวา,อุท แปลวา หรือ, หรือวา ควบบท เรียกวา ปทวกิ ปฺปตฺถ ควบพากย เรียกวา วากยฺ วิกปปฺ ตถฺ อโห แปลวา โอ แสดงความดีใจ, อศั จรรยใจ เรียกวา อจฺฉริยตฺถ แสดงความเสียใจ, เศรา ใจ เรียกวา สเํ วคตฺถ ปจฉฺ า แปลวา ในภายหลงั เรยี กวา กาลสตั ตมี อถโข แปลวา คร้ังน้นั แล, ลําดับน้นั แล เรียกวา กาลสัตตมี อถโข แปลวา โดยที่แท, โดยแทแล เรยี กวา อรจุ ิสจู นตฺถ สทธฺ ึ, สห แปลวา พรอ ม, กับ เขา กับนาม เรียกวา ทพฺพสมวาย เขา กบั กิรยิ า เรยี กวา กิริยาสมวาย จ, ปน, ตถาป, อถโข แปลวา ถึงอยา งน้ัน, ถึงกระน้นั เรยี กวา อรจุ สิ จู นตฺถ ป, อป แปลวา แม, ถึงแม (เขากับนามศัพทและกิริยาศัพท ทวั่ ไป) เรยี กวา อเปกฺขตฺถ (เขา กับ) ป, อป แปลวา แม,ถึงแม ใชในความชมเชย เรียกวา สมฺภา วนตถฺ ป, อป แปลวา แม, ถงึ แม ใชในความตําหนิ เรยี กวา ครหตถฺ

2๒3๓7๗ วา, อถวา, อปจ แปลวา อกี นยั หน่ึง, อกี อยา งหนงึ่ , อกี ประการ หนึ่ง เรยี กวา อปรนยั เตนหิ แปลวา ถาอยา งนน้ั เรียกวา วภิ ตฺตปิ ฏริ ปู ก ค. นบิ าตพเิ ศษ ยาว, อฺญตร (อยูคนเดียว), วินา แปลวา เวน เขากับกิริยา เรยี กวา กริ ิยาวเิ สสน เขากับนาม เรียกวา วิเสสน ยทิทํ (แจกเปนวิเสสนะก็ได), เสยฺยถีทํ (ปุจฺฉนตฺถ) เรียกวา ทสสฺ นนิบาต หรือ สรูปทสสฺ นตฺถ มฺเญ แปลวา เหน็ จะ เรียกวา สสํ ยตฺถ ปเคว แปลวา กอ นนน่ั เทียว เรยี กวา กิรยิ าวิเสสน สพฺพํ สพฺเพ น แปลวา โด ยประก ารทั้งปวง เรียกวา กริ ิยาวเิ สสน กิสฺส, กิมตถฺ ํ, กิมตฺถาย แปลวา เพื่ออะไร, เพอื่ ประโยชนอะไร เรยี กวา สมปฺ ทาน ยทตฺถํ แปลวา เพอื่ ประโยชนอ ันใด เรยี กวา สัมปทาน ยาวทตฺถํ แปลวา เพียงไรแตความตองก าร เรียกวา กริ ิยาวิเสสน กกึ ารณา แปลวา เพราะอะไร เรยี กวา เหตุ

๒2๓3๘8 อิติ ญาปนเหตุกํ แปลวา มีอันใหรูวา...ดังนี้ เปนเหตุ เรียกวา สรูป และ กิริยาวิเสสน สัมพันธวา อิติ ศัพท สรูป และ กิริยาวิเสสน สัมพนั ธว า อติ ิ ศัพท สรูปใน ญาปน – ญาปนเหตุกํ กิริยาวิเสสน ใน... (กริ ยิ าหลัง) ยฺเจ เสยโฺ ย (แปลรวมกนั ) เรียกวา กิริยาวเิ สสน ยํ ใด ท่ีไมใชวิเสสนะ อยูและแปลตัวเดียว เรียกวา กิริยา ปรามาส ยสฺมา เหตใุ ด ท่ไี มใ ชวเิ สสนะ เรยี กวา กริ ยิ าปรามาส หิ เหตุใด เรียกวา กิริยาปรามาส แป ล ว า ชื่ อ ว า ไ ม มี นา ม ศั พ ท เช น วิป สฺ สี เรี ย ก ว า สญฺ าวิเสสน (ของ) แปลวา ช่ือวา มี นามศัพท เชน วิปสฺสี นาม ช่ือวา วิปสสี นาม ศัพท เรยี กวา สฺญาโชตก (เขา กบั ) สว นนามนาม เรียกวา วิเสสน แปลวา ชอื่ วา บทอธิบายอยหู นา ตัวมีในคาถาอยหู ลัง เรยี กวา สญฺ -ี สญฺ า แปลวา คอื วา บทอธบิ ายอยหู ลงั ตวั มีในคาถาอยูหนา เรยี กวา ววิ รยิ – วิวรณ แปลวา วาเปน เชน พฺราหฺมณํ วาเปนพราหมณ เรียกวา สมภฺ าวน

2๒3๓9๙ แปลวา คือ นามนามที่มีวิภัตติและวจนะเสมอดวยนามเดิม เรยี กวา วเิ สสลาภี แปลวา คอื นามนามท่มี ีวภิ ตั ตแิ ละวจนะไมเสมอดวยนามเดมิ เรียกวา สรปู หมวดที่ ๔ ปจ จัยในนามนาม โต ปจจัย เปนเครื่องหมายตติยาวิภัตติ แปลวา โดย,ตาม, ขาง เรียกช่ือสัมพันธวา ตติยาวิเสสน เปนเครื่องหมายปญจมีวิภัตติ แปลวา แต, จาก, กวา สมั พนั ธว า อปาทาน แปลไมออกสําเนียงปจจัย ใชโยคตัวนามนาม ประกอบดวย โต ปจจยั เขามา สมั พนั ธวา วิเสสน เชน ตโต (กาลโต) ตฺร,ตฺถ,ห,ธ,ธิ,หึ,หํ,หิฺจนํ,ว เปนเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลวา ใน สัมพันธว า วิเสสน ทา,ทานิ,รหิ,ธนุ า,ทาจนํ,ชฺช,ชชฺ ุ เปนเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติลง ในกาล แปลวา ใน สมั พันธว า กาลสตฺตมี ฯ

๒2๔4๐0 บรรณานกุ รม สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. บาลไี วยากรณ อักขรวิธี ภาคท่ี ๑ สมัญญาภิธาน – สนธิ. กรุงเทพ โรงพิมพ มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๘ . บาลีไวยากรณ วจวี ิภาค ภาคที่ ๒ นามและอพั ยยศพั ท, กรุงเทพ ฯ โรงพมิ พม หามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑ . บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ อาขยาตและกิตก. กรุงเทพ ฯ โรงพิมพมหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒ . บาลีไวยากรณ วจีวิภาค ภาคที่ ๒ สมาสและตัทธิต, กรงุ เทพ ฯโรงพมิ พมหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔ กรรมการกองตํารา มหามกุฏราชวิทยาลัย. อธิบายบาลีไวยากรณ สมัญญาภิธานและสนธิ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพมหามกุฏราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๑. จรูญ วรรณกสณิ านนท. บาลยี คุ ใหม เรยี นงายกวา เดมิ , กรงุ เทพมหานคร :สํานักพมิ พพุทธลลี า, ๒๕๔๙ จาํ ลอง สารพัดนกึ , แบบเรยี นเร็วมหาบาลเี ลม ๑, กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔. พระญาณลงั การเถร. คัมภีรป ทวจิ าร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพทิ กั ษ อักษร, ๒๕๔๕.

2๒4๔1๑ พระมหานยิ ม อตุ ตฺ โม. หลกั สตู รยอ บาลไี วยากรณ (ฉบับปรับปรงุ ใหม) . ขอนแกน : คลังนานาธรรม, ๒๕๔๙. . หลกั สูตรยอบาลไี วยากรณ (ฉบบั สมบรู ณ) . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเลีย่ งเชยี ง, ๒๕๔๙. พระเทพปรยิ ตั โิ มล.ี หลกั สตู รบาลีไวยากรณแ ละหลกั สัมพนั ธ. สาํ นัก เรียนวัดโมลโี ลกยาราม,๒๕๕๙. พระมหาประสทิ ธ์ิ สริ ิปฺโญ. แตง และแปลบาลี. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ นิติธรรมการพิมพ, ๒๕๕๐. พระราชปรยิ ตั โิ สภณ. บาลีไวยากรณ ฉบบั ยอ . โรงเรยี นวัดหนองกงุ พระสัทธรรมสิริเถร,. สัททนีติสุตตมาลา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพิทักษ อักษร, ๒๕๔๕. พระอมรา ภิรักขิต. อธิบายบาลีไวยากรณสมัญญาภิธานและสนธิ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพมหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘. พระอริยวังสเถร. คันถาภรณมัญชรีและคันถาภรณวรรณนา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพทิ กั ษอักษร, ๒๕๔๕. พระอัคควังสเถร. คัมภีรสัททนีติปทมาลา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพิทักษ อกั ษร, ๒๕๔๕. เวทย วรัญู, แบบเรียนบาลไี วยากรณส มบรู ณเลม ๑, กรุงเทพมหานคร: หจก.ไทยรายวนั การพมิ พ, ๒๕๔๙ .

๒2๔4๒2 สนามหลวงแผนกบาล,ี เรือ่ งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๔. กรุงเทพมหานคร : อาทรการพิมพ, ๒๕๕๔. . เรอื่ งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๕. กรงุ เทพมหานคร : อาทร การพิมพ, ๒๕๕๕. . เรอื่ งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๖. กรงุ เทพมหานคร : อาทร การพิมพ, ๒๕๕๖. . เรอ่ื งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๗. กรุงเทพมหานคร : อาทร การพิมพ, ๒๕๕๗. . เรอื่ งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๘. กรงุ เทพมหานคร :อาทร การพมิ พ, ๒๕๕๘. . เรอ่ื งสอบบาลีสนามหลวง ๒๕๕๙. กรงุ เทพมหานคร : อาทร การพิมพ, ๒๕๕๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook