การจัดการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น รายวชิ าโปรแกรมตารางงาน เรื่อง การเรยี นรโู้ ปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับ ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชน้ั ปที ี่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ วทิ ยาลยั การอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้รปู แบบ E-PLC พรพรรณ ทา่ เลิศ สารนิพนธน์ ีเ้ ปน็ ส่วนหน่งึ ของการศึกษา ตามหลักสูตรประกาศนยี บตั รบณั ฑิตวชิ าชพี ครู คณะศึกษาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร์ วทิ ยาลัยบณั ฑติ เอเซีย พ.ศ. 2564
ใบรบั รองสารนพิ นธ์ วทิ ยาลยั บัณฑติ เอเซยี หลกั สตู รประกาศนียบตั รบณั ฑิตวิชาชีพครู ชอื่ สารนิพนธ์ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น รายวชิ าโปรแกรมตารางงาน เร่ืองการเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วทิ ยาลัยการอาชีพบา้ นไผ่ โดยใช้รูปแบบ E-PLC ชอ่ื ผทู้ าสารนพิ นธ์ พรพรรณ ทา่ เลศิ คณะกรรมการสอบสารนิพนธ์ ประธานกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาทิตย์ ฉัตรชัยพลรัตน)์ กรรมการ (ดร.ธนาศักด์ิ ศริ ปิ ุณยนันท์) กรรมการ (ดร.ชวี ิน ออ่ นละออ) (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาทิตย์ ฉตั รชัยพลรัตน์) คณบดีคณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ลิขสิทธ์ิของวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย 2564
ก ชือ่ เร่ือง การจัดการเรียนร้แู บบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพ่ือ พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เรื่องการเรียนรู้ ผวู้ ิจยั โปรแกรม Microsoft Excel ของนกั เรยี นระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชน้ั ปที ี่ 2 หลักสูตร สาขาวิชาคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ วิทยาลยั การอาชพี บา้ นไผ่ โดยใช้รปู แบบ E-PLC อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา พรพรรณ ท่าเลศิ ปีการศกึ ษา ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อาทิตย์ ฉตั รชัยพลรัตน์ ดร.ธนาศกั ดิ์ ศริ ปิ ุณยนนั ท์ ดร.ชีวนิ อ่อนละออ 2564 บทคดั ย่อ การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพ่ือพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพวิ เตอรธ์ รุ กิจ วิทยาลยั การอาชพี บ้านไผ่ โดยใชร้ ปู แบบ E-PLC ตามเกณฑร์ ้อยละ 80/80 2) เพือ่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกอ่ นและหลังเรยี นของนกั เรยี น ทีเ่ รยี นโดยการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชา โปรแกรมตารางงาน เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบตั ร วิชาชีพชั้นปีท่ี 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้รูปแบบ E-PLC 3) เพื่อ ประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค KWDL เพอ่ื พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เรือ่ ง การเรยี นรโู้ ปรแกรม Microsoft excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชชาชีพชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วทิ ยาลยั การอาชพี บ้านไผ่ โดยใชร้ ปู แบบ E-PLC 4) เพือ่ เปรียบเทยี บจรรยาบรรณวิชาชพี ก่อนสอนและ หลังสอนของครูผู้สอน ที่สอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เร่ือง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้รูปแบบ E-PLC กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนจานวน 22 คน ช้ัน ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี 2 วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ อาเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 ได้มาโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการเลือก เครื่องมือท่ีใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 3 แผน 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
3) แบบประเมินจรรยาบรรณวิชาชพี ครู 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนกั เรียน สถติ ิทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ได้แก่ คา่ เฉลย่ี ( x ) ค่าร้อยละ (%) ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่า ที (t-test) ผลการศกึ ษาพบวา่ 1) ผลการวิเคราะห์แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค KWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เรื่อง การเรียนรู้ โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี 2 สาขาวิชา คอมพวิ เตอร์ธุรกิจ วทิ ยาลัยการอาชพี บา้ นไผ่ โดยใชร้ ูปแบบ E-PLC มคี า่ E1/E2 เท่ากับ 86.30/90.93 ซึ่งสูงกว่าเกณฑท์ ่ีต้งั ไว้ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนท่ี เรียนโดยการจดั การเรียนร้แู บบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD รว่ มกบั เทคนิค KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เร่ือง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียน ระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั ปีท่ี 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ วทิ ยาลยั การอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้ รูปแบบ E-PLC พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเท่ากับ 0.7298 หรือคิดเป็นร้อยละ 72.98 3) ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตาราง งาน เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้รูปแบบ E-PLC โดยภาพรวมอยู่ ในระดับมากท่ีสุด ส่วนข้อทีไ่ ด้ค่าเฉลี่ยต่ําที่สุดคือข้อท่ี 3 นกั เรยี นพอใจการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค STAD รว่ มกับเทคนิค KWDL เปน็ การทําให้คนเก่งมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอ่อน พบวา่ นักเรียนไม่เห็นด้วย กับการท่ี ไดอ้ ยกู่ ลุ่ม กบั คนท่ไี ม่เกง่ และ ไม่ใช่เพือ่ นสนิท 4) เปรยี บเทียบจรรยาบรรณวิชาชีพกอ่ นสอนและหลังสอนของครูผู้สอน ทส่ี อนโดยการจัดการเรียนรู้แบบ รว่ มมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพอื่ พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวชิ าโปรแกรม ตารางงาน เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชัน้ ปี ที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ โดยใช้รูปแบบ E-PLC พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด จากการ วิพากษ์แผน เปิดชั้นเรียน ตลอดจนการสะท้อน ผลหลัง แผน สมาชิกทีม PLC ให้ความเห็นตรงกันว่า จรรยาบรรณวิชาชีพครูของครูผู้สอนตั้งแต่แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1-3 ครูผู้สอนมีการพัฒนา จรรยาบรรณวิชาชีพครูในทุกๆด้านอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ จรรยาบรรณตอ่ ผู้รับบรกิ าร ครูผู้สอนมี ความเอาใจใส่อย่างแทจ้ ริง ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ตอ่ นักเรียนทุกคน
ข กติ ติกรรมประกาศ การศึกษาครั้งนี้สาเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดีย่ิงจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาทิตย์ ฉัตรชัยพลรัตน์ อาจารย์ท่ีปรึกษาหลักสารนิพนธ์ และดร.ธนาศักด์ิ ศิริปุณยนันท์ ดร.ชีวิน อ่อนละออ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ที่ได้กรุณาให้คาปรึกษา แนะนา ช่วยเหลือ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ จนสมบรู ณ์ รวมทัง้ คณาจารย์หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครูทุกท่าน ที่ได้อบรมสั่งสอนให้ความรู้และแนะแนวทางในการศึกษา ผู้ศึกษาขอกราบ ขอบพระคุณทา่ นเป็นอยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาทิตย์ ฉัตรชัยพลรัตน์ ประธานกรรมการ ควบคุมการ สอบสารนิพนธ์ ดร.ธนาศกั ดิ์ ศิรปิ ณุ ยนันท์ และดร.ชีวนิ อ่อนละออ กรรมการ สอบสาร นิพนธ์ ที่ใหค้ วามกรณุ าตรวจสอบและแกไ้ ขขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ ทาใหส้ ารนิพนธ์ฉบบั น้ีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปีที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ท่ีให้ความร่วมมือในการศึกษาและทดลองในคร้ังน้ี ขอขอบพระคุณ บิดา มารดา เพื่อนร่วมช้ันประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพ ห้อง 1 รุ่น 6 ท่ีมีส่วนช่วย ให้กาลังใจในการศึกษาค้นควา้ ในครั้งน้ใี ห้สาเรจ็ ลุล่วงไปดว้ ยดี ประโยชนแ์ ละคุณค่าท้ังหลายท้ังมวลท่ีเกิดจากสารนิพนธฉ์ บับน้ี ขอมอบบูชาแด่มารดา ครู อาจารย์ทุกท่านท่ีส่ังสอน อบรม ช้ีแนะ และประสาทวิชาแก่ผู้ศึกษาได้ภาคภูมิใจในการศึกษาด้วย ความปรารถนาดี พรพรรณ ท่าเลศิ
ค สารบญั หน้า บทที่ ก บทคัดยอ่ ข ค กติ กรรมประกาศ ง จ สารบัญ สารบญั ตาราง สารบญั รปู ภาพ 1 บทนา 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 1 1.2 คาถามการศึกษา 4 1.3 วัตถุประสงค์การศกึ ษา 4 1.4 สมมติฐานการศกึ ษา 5 1.5 ขอบเขตของการศึกษา 5 1.6 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 6 1.7 ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ ับ 8 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี ก่ียวข้อง 2.1 หลักสตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี พุทธศักราช 2562 9 2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ 17 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 22 2.4 ประสิทธิภาพ 31 2.5 การจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือเทคนิค STAD ร่วมกับเทคนคิ KWDL 39 2.6 การวจิ ยั เชิงปฏิบัติการ (Action Research) 44 2.7 รูปแบบการจัดกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 55 เพื่อพฒั นาจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู (E-PLC) 2.8 บริบทของสถานศกึ ษา 83 2.9 งานวิจัยท่ีเก่ียวขอ้ ง 85 2.10 กรอบแนวคดิ ในการศึกษา 89
บทที่ สารบญั (ตอ่ ) หนา้ 3 วิธดี าเนินการวจิ ยั 3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 90 3.2 วธิ ีดาเนนิ การศกึ ษา 90 3.3 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษา 94 3.4 การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมอื 94 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 99 3.6 การวิเคราะหข์ อ้ มูล 100 3.7 สถิตทิ ่ีใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู 101 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 4.1 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชงิ ปริมาณ 104 4.2 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ ตามกระบวนการ E-PLC วงรอบ 1-3 107 4.3 ผลการวิเคราะห์คะแนนประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้โปรแกรม 119 Microsoft Excel 4.4 ผลการวิเคราะห์คะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้โปรแกรม Microsoft 120 Excel 4.5 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี น 120 4.6 ผลการพฒั นาจรรยาบรรณวชิ าชีพครู 122 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา 125 5.2 อภปิ รายผลการศึกษา 126 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 129 บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายช่อื สมาชกิ ทมี E-PLC ภาคผนวก ข เคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการศึกษา ประวตั ผิ ู้ศกึ ษา
ง สารบญั ตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 3.1 การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการมขี น้ั ตอนการดาเนินงานสาคัญ 8 ขน้ั 91 ตารางท่ี 4.1 วิเคราะห์หาประสิทธภิ าพของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ด้วย 106 รปู แบบ ร่วมมอื เทคนิค STAD ร่วมกบั เทคนิค KWDL ตารางท่ี 4.2 ผลการวิพากษ์แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 จากท่ีประชุม E-PLC 109 ก่อนนําไปเปดิ ช้ันเรยี น ตารางที่ 4.3 สมาชิก E-PLC ได้สะทอ้ นคดิ ทไ่ี ดจ้ ากการจัดการเรยี นการสอนใน 111 ชั้นเรียน ตารางที่ 4.4 แสดงผลการทดสอบย่อยท้ายวงรอบปฏบิ ัติการที่ 1 112 ตารางที่ 4.5 ผลการวพิ ากษ์แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 จากที่ประชุม E-PLC 112 ก่อนนาํ ไปเปิดชั้นเรยี น ตารางท่ี 4.6 สมาชิก E-PLC ไดส้ ะท้อนคิดที่ไดจ้ ากการจัดการเรียนการสอนใน 114 ช้ันเรียน ตารางท่ี 4.7 แสดงผลการทดสอบย่อยทา้ ยวงรอบปฏบิ ัตกิ ารที่ 2 115 ตารางที่ 4.8 ผลการวิพากษแ์ ผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3 จากทป่ี ระชุม E-PLC 116 กอ่ นนําไปเปิดช้ันเรยี น ตารางท่ี 4.9 สมาชิก E-PLC ไดส้ ะทอ้ นคดิ ที่ได้จากการจัดการเรยี นการสอน 117 ในช้ันเรยี น ตารางที่ 4.10 แสดงผลการทดสอบยอ่ ยท้ายวงรอบปฏิบัติการท่ี 3 119 ตารางท่ี 4.11 แสดงผลการทดสอบยอ่ ยทา้ ยวงรอบปฏิบัตกิ ารท่ี 1-3 119 ตารางท่ี 4.12 การเปรียบเทียบคะแนนประสิทธิภาพแผนการจดั การเรียนรู้ 119 โปรแกรม Microsoft excel ตารางที่ 4.13 แสดงการวัดคะแนนผลสัมฤทธิด์ ้านการเรียนรู้โปรแกรม Microsoft 120 excel ตารางที่ 4.14 120 ตารางที่ 4.15 คา่ เฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และความพงึ พอใจของนักเรียน 122 ค่าเฉลยี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจรรยาบรรณวิชาชพี ครผู ่านกระบวนการ E-PLC
114 จ บญั ชภี าพประกอบ หน้า เรื่อง 47 ภาพที่ 2.1 วงจรของการวจิ ัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis & 54 McTaggart 76 ภาพท่ี 2.2 ภาพที่ 2.3 กรอบการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ 77 หลกั การและกระบวนการปฏบิ ัติการเพื่อการเสริมสร้างการปฏิบัติตาม 78 ภาพท่ี 2.4 จรรยาบรรณวชิ าชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ 89 กรอบแนวคดิ การวิจัย 108 ภาพที่ 2.5 กรบวนการพฒั นากิจกรรมแบบบรู ณาการ 108 กรอบแนวคิดการศึกษา ภาพที่ 2.6 ปัญหา/สาเหตุของปัญหา ภาพที่ 4.1 แนวทางการแกไ้ ขปญั หา ภาพท่ี 4.2
2 ถ่อมตน และ 3) คุณลักษณะด้านการเรียนรู้ หมายถึง คุณลักษณะท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาหาความรู้ การทาความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ดังน้ันบทบาทที่สาคัญท่ีสุดของครู คือ การปูพ้ืนฐานให้เกิด คุณธรรมและเกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ต่อตัวนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการดาเนินชีวิตในสังคม หรือ การดแู ลใหค้ วามรว่ มมือและใหค้ วามช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกนั ในการเรยี น (slavin, 1995) ได้กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลาย ชนิด ได้แก่ เทคนิคก าร แบ่งกลุ่มตามสังกัดสัมฤทธ ผ์ี ลทาง การเรียน STAD เทคนิคก าร เรียนรู้แบบ ย้ายกลุ่มการแข่งขัน (TGT) เทคนิคการเรียนรู้แบบกลุ่มการต่อเนื่อง (Jigsaw) เทคนิคการเรียนรู้แบบ ร่วมมือีและเทคนิคการเรียนรู้แบบสืบสวนี(GI) เป็นตน ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าการจัดีกจกรรมการเรยนรู แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค (Student Teams Achievement Divisions) STADีเป็นเทคนคหนึ่งของ การเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี โดยมีหลักการจัดกิจกรรม ท่ีสาคัญดังน้ี คือ แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีนักศึกษาท่ีมี ความสามารถทางการเรยน แตกต่างกันเพศแตกต่างกัน การจัดกิจกรรมจะเริ่มตนจากอาจารย์ผูสอนนาเสนอบทเรยนแลวจึงให นักศึกษาทางานเป็นทีมหรือเป็นกลุ่ม และเม่ือม่ันใจว่านักศึกษาทุก คนมีความรู้ความเข้าใจ ใ น บ ท เ รี ย น แ ล้ ว จึ ง ท า ก า ร ท ด ส อ บ ย่ อ ย โ ด ย ที่ ไ ม่ ใ ห้ นั ก ศึ ก ษ า ป รึ ก ษ า ห า รื อ กั น คะแนนจากการทาแบบทดสอบย่อยของนักศึกษาแต่ละคนจะถูกเปรียบเทียบกับคะแนนฐาน จากน้ัน จึงนามาคิดเป็นคะแนนเฉล่ียของกลุ่ม ซ่ึงกลุ่ม ท่ีทาคะแนนได้ดี ที่สุดจะได้รับใบประกาศหรือรางวัล กิจกรรมดังกล่าวข้างด้น จะดาเนินเป็นวงจร โดยเร่ิมตั้งแต่อาจารย์นาเสนอบทเรียน การทา แบบฝึกหัดเป็นกลุ่ม และการทาแบบทดสอบย่อย ดังนั้นสมาชิกในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือซึ่งกนั และกนั กลุ่มจะประสบความสาเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม และ การเรียนรู้ท่ีช่วยเหลือร่วมมือกันเป็นสาคัญ วิธีการน้ีจึงเหมาะในการนามาใช้สร้างแรงจูงใจกับ นกั ศึกษาใหม้ คี วามกระตืีอรอื รีนในการเรียนมากย่งิ ขนึ้ การจัดกจกรรมการเรยนรูโดยใชเทคนคีKWDL นั้นเป็นเทคนคการจัดกจกรรมการเรยนรู ท่พัฒนาจากเทคนค KWDL ของโอเกลี(Ogle, 1986)ีท่ตองอาศัยทักษะการอ่านเป็นพื้นฐานีคือี นักเรยนตองมความสามารถทางการอ่านก่อนจึงจะสามารถพัฒนาทักษะการอ่านใหมคุณภาพได ประกอบดวยี4ีขั้นตอนีดังน้ีขั้นท่ี1ีK :ีเรารูอะไรี(What we know) หรือโจทย์บอกอะไรเราบางีีีี ข้ันท่ี2ีWี:ีเราตองการอะไรตองการทราบอะไรี(What we want to know) โจทย์ใหอะไรหรือโจทย์ บอกอะไรบางขั้นท่ี3ีDี:ีเราทาอะไรอย่างไรี(What we do) และหาคาตอบหรือเรามวธการอย่างไร บางีข้ันท่ี4ีL :ีเราเรยนรูอะไรจากการดาเนนการีข้ันท่ี3ี(What we learned) ซึ่งคือคาตอบสาระ ความรูและวธการศึกษาคาตอบี(วัชราีเล่าเรยนดี,ี2554)ีวธการจัดกจกรรมการเรยนรูขางตนครู สามารถนามาใชจัดกจกรรมการเรยนรูคณตศาสตร์โดยการใชเทคนคีKWDL ทต่ องอาศยั ทักษะการอ่าน เป็นพื้นฐานีทาใหนักเรยนมความสามารถในการอ่านและพัฒนาทักษะการอ่านใหมคุณภาพมากขึ้น ีี
3 ช่วยใหเกดแนวคดในการอ่านโดยเฉพาะการอ่านเชงวเคราะห์ีหาคาตอบของคาถามสาคัญๆีต่างๆีีีีีีีีีี จากเร่อื งนั้นๆี เมอื่ นาเทคนคีKWDL ร่วมกบั การเรยนรแู บบกลุ่มร่วมมือเทคนคีSTAD ทม่ กระบวนการเรยนรู ท่พ่ึงพาและเก้ือกูลกันีมการปรึกษาหารือและปฏสัมพันธ์กันอย่างใกลชดีทุกคนมบทบาทหนาท่ท่ตอง รับผดชอบสามารถตรวจสอบไดีสมาชกกล่มุ ตองใชทักษะการทางานกลมุ่ ีและการสมั พนั ธ์ระหว่างบคุ คล ในการทางานหรือการเรยนรรู ่วมกันีมการวเคราะห์กระบวนการทางานของกลุ่มเพ่ือเพ่มประสทธภาพ และคุณภาพของการทางานร่วมกันีส่งผลดต่อการเรยนรูใหบรรลุเป้าหมายีเป็นผลทาใหผลสัมฤทธ์ ทางการเรยนสูงขนึ้ ีและสามารถพัฒนาการจัดกจกรรมการเรยนรูของครูใหมประสทธภาพี(ทศนาีแขม มณ,ี2562) จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาข้างตน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ในรายวิชา เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน พบว่า ผลสัมฤทธี์ทางการเรียนของผู้เรียนมีแนวโนม้ ท่ีต่าลงมาเร่อื ย ๆ ทุกปี ซ่ึงจากการศึกษาผลคะแนนในรายวิชาโปรแกรมตารางงานีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตร วชาชพีชั้นปีที่ี2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วทยาลัยการอาชพบานไผ่ นักศึกษามีคะแนน เรื่องการใช้งานโปรแกรม Microsoft Excel ไม่ถึงร้อยละ 50 ของคะแนนเต็มท้ังหมด เน่ืองจาก เน้ือหาในโปรแกรม Microsoft Excel เป็นเน้ือหาที่ค่อนข้างยาก เพราะนักศึกษาจะต้องใช้สูตร คานวณและใช้ฟัีงก์ช่นีั ต่าง ๆ ที่มีในโปรแกรมการหาข้อมูลในเวลาท่ีจากัด ทาให้ผู้เรียนบางคนทาความ เข้าใจยากและเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาแนวทางที่ทาให้ผู้เรียนสามารถ เพ่ิมผลสัมฤทธ ี์ทางการเรียน มากย่ิงข้ึน ดังที่ สิริพร ทิพย์คง (2545) ได้ให้ความเห็นว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งท่ีแบ่งนักเรียน ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทางานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกท่ีมี ความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพากัน มีความรับผิดชอบ ร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสาเร็จตาม เป้าหมายท่ีกาหนด ซ่ึงตรงข้ามกันกับการเรียนท่ีเน้นการแข่งขันและการเรียนตามลาพัง การท่ีมี สมาชิกในกลุ่มทางานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทางานร่วมกัน โดยท่ีสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมทุก คนมีบทบาทหน้าที่ และประสบความสาเร็จร่วมกัน ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีความ เก่ียวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก ผูวจัยจึงทาการศึกษาเรือ่ งีการจัดการเรยนรูแบบรว่ มมือโดยใชเทคนคี STAD ร่วมกับเทคนคีKWDL ีเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเร่ืองี การเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพชั้นปีท่ี2ีสาขาวชา คอมพวเตอร์ธุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ี โดยใชรูปแบบี E-PLCีีเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจี สนกุ กับการเรยี นีและเกิดความรู้สกึ ท่ดี ีต่อการเรยี นตลอดจนตอบสนองีความต้องการของความแตกตา่ งี ระหว่างบคุ คลอีกท้งั สามารถนามาใช้ในการเรียนรูแ้ ก่ผูเ้ รียนให้มีผลสมั ฤทธีท์ างการเรียนท่ดี ขี ้ึน
4 1.2 คำถำมในกำรศึกษำ 1.2.1ีประสทธภาพแผนการจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคี KWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเรื่องีการเรยนรูโปรแกรมี Microsoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพช้ันปีท่ี2ีสาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจี วทยาลัยการอาชพบานไผี่ โดยใชรูปแบบีE-PLCีเป็นไปตามเกณฑี์ 80/80 หรือไม่ 1.2.2ีผลสัมฤทธ์ทางการเรยนก่อนและหลังเรยนของนักเรยนี ท่เรยนโดย การจัดการเรยนรู แบบร่วมมือโดยใชเทคนคี STAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชา โปรแกรมตารางงานีีเรื่องีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตร วชาชพชัน้ ปีที่ 2ีสาขาวชาคอมพวเตอรธ์ รุ กจีวทยาลัยการอาชพบานไผี่ โดยใชรปู แบบีE-PLC แตกตา่ งกันหรอื ไม่ 1.2.3ีความพึงพอใจของนักเรยนีท่เรยนโดยการจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคี STAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีีีีีีีีีีีีีีีี เรื่องีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพช้ันปีท่ี2ี สาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีโดยใชรูปแบบีE-PLCีอยู่ในระดับใด 1.2.4 ีีเปรยบเทยบจรรยาบรรณวชาชพก่อนสอนและหลังสอนของครูผูสอนีท่สอนโดยการ จดั การเรยนรูแบบรว่ มมอื ดวยเทคนคีีSTADีรว่ มกบั เทคนคีีKWDL เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธ์ทางการเรยนี รายวชาโปรแกรมตารางงานีีเร่ืองีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excel ีของนักเรยนระดับ ประกาศนยบัตรวชาชพีชั้นปีท่ี2 สาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีโดยใชรูปแบบีีีีี E-PLCีแตกต่างกันหรอื ไม่ 1.3 วัตถปุ ระสงคข์ องกำรศกึ ษำ 1.3.1ีเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคี KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีเร่ืองีการเรยนรูโปรแกรมี Microsoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพช้ันปีท่ี2ีสาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจี วทยาลยั การอาชพบานไผี่ โดยใชรูปแบบีE-PLC ตามเกณฑร์ อยละี80/80 1.3.2ีเพือ่ เปรยบเทยบผลสมั ฤทธ์ทางการเรยนกอ่ นและหลงั เรยนของนักเรยนีท่เรยนโดยการ จัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการ เรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเรื่องีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับ ประกาศนยบัตรวชาชพชน้ั ปีท่ี2ีสาขาวชาคอมพวเตอร์ธรุ กจีวทยาลยั การอาชพบานไผ่ี โดยใชรูปแบบี E-PLC 1.3.3ีเพื่อประเมนความพงึ พอใจของนกั เรยนท่เรยนโดยการจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใช เทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธท์ างการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีเร่อื งี
5 การเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft excel ของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชชาชพชั้นปีท่ี2ีสาขาวชา คอมพวเตอรธ์ ุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีโดยใชรปู แบบีE-PLC 1.3.4 เพื่อเปรยบเทยบจรรยาบรรณวชาชพก่อนสอนและหลังสอนของครูผูสอนีท่สอนโดย การจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD รว่ มกับเทคนคีKWDL เพือ่ พฒั นาผลสมั ฤทธท์ างการ เรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเรื่องีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับ ประกาศนยบตั รวชาชพีชนั้ ปีท่ี2 สาขาวชาคอมพวเตอรธ์ ุรกจีวทยาลยั การอาชพบานไผ่ีโดยใชรปู แบบีE- PLC 1.4 สมมุตฐิ ำนของกำรศึกษำ 1.4.1ีผลการพัฒนาแผนการจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคี KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเรื่องีีการเรยนรูโปรแกรมี Microsoft Excelีของนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพชั้นปีท่ี2ีสาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจี วทยาลัยการอาชพบานไผ่ีโดยใชรูปแบบีE-PLCีมประสทธภาพตามเกณฑ์ี80/80 1.4.2ีผลการเปรยบเทยบผลสัมฤทธท์ างการเรยนก่อนและหลงั เรยนของนักเรยนีท่เรยนโดย การจัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการ เรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีเร่ืองีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excelีของนักเรยนระดับ ประกาศนยบตั รวชาชพช้นั ปีที่ 2ีสาขาวชาคอมพวเตอรธ์ รุ กจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ี โดยใชรูปแบบี E-PLCีแตกตา่ งกนั อย่างมนัยสาคัญทางสถตระดับี.05 1.4.3ีความพงึ พอใจของนกั เรยนีทเ่ รยนโดยการจัดการเรยนรแู บบรว่ มมอื โดยใชเทคนคีSTAD ร่วมกับเทคนคีKWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเร่ืองีการเรยนรู โปรแกรมีMicrosoft Excelีของนกั เรยนระดบั ประกาศนยบัตรวชาชพช้นั ปีที่ 2ีสาขาวชาคอมพวเตอร์ ธุรกจีวทยาลยั การอาชพบานไผี่ โดยใชรปู แบบีE-PLCีอยใู่ นระดบั มาก 1.4.4ีีีเปรยบเทยบจรรยาบรรณวชาชพก่อนสอนและหลังสอนของครูผูสอนีท่สอนโดยการ จัดการเรยนรูแบบร่วมมือโดยใชเทคนคีSTADีร่วมกับเทคนคีีKWDL เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการ เรยนีรายวชาโปรแกรมตารางงานีีเร่ืองีการเรยนรูโปรแกรมีMicrosoft Excel ีของนักเรยนระดับ ประกาศนยบัตรวชาชพีช้ันปีท่ี2 สาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีโดยใชรูปแบบีีีีีีีีีีีี E-PLCีแตกตา่ งกันอยา่ งมนัยสาคญั ทางสถตระดับี.05
5 1.5 ขอบเขตกำรศึกษำ 1.5.1 กลุ่มเปำ้ หมำย กลุ่มเป้าหมายท่ใชในการศึกษาคร้ังน้ีเป็นนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพีชั้นปีท่ี2ี สาขาวชาคอมพวเตอร์ธุรกจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีอาเภอบานไผ่ีจังหวัดขอนแก่นีภาคเรยนท่ี 1ีีีีีีีีีีีี ปีการศึกษาี2564ีจานวนี26ีคนี1 หองเรยนีเป็นนักเรยนชายี4 คนีนักเรยนหญงี22 คนีโดยใช เทคนคการเรยนรูแบบร่วมมือี STADีไดมาโดยวธเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงี (Purposive Sampling)ีโดยใชหองเรยนเปน็ หน่วยในการเลอื กี(บุญชมีศรสะอาด,ี2560) 1.5.2 ขอบเขตดำ้ นเนือ้ หำ เน้ือหาท่ใชในการศกึ ษาครัง้ นี้ เป็นวชาโปรแกรมตารางงานี เร่ืองี การสรางตารางขอมูลี ของนกั เรยนระดบั ประกาศนยบตั รวชาชพช้ันปีท่ี 2ี ประกอบดวยแผนการจัดการเรยนรูทบ่ รู ณาการดวย การจัดการเรยนรูแบบร่วมมอื โดยใชเทคนคีSTADีจานวนทง้ั สน้ ี3ีแผนการจดั การเรยนรูีรวมี12 ชว่ั โมงี ดงั น้ 1.5.2.1 แผนการจดั การเรยนรทู ่ีี1 เรอ่ื งีการปอ้ นและการจัดเก็บขอมลู ีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีี ีีีีีีีีีีีีีีีีีีจานวนี4 ชัว่ โมงี 1.5.2.2 แผนการจดั การเรยนรทู ี่ ี2 เรือ่ งีการใชสูตรและฟงั ก์ชันในการคานวนีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีี ีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีจานวนี4 ช่ัวโมงี 1.5.2.3ีแผนการจดั การเรยนรทู ี่ ี3 เรือ่ งีการสรุปและนาเสนอขอมลู ในรูปของแผนภูมีีีีี ีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีจานวนี4 ชั่วโมง 1.5.3 ขอบเขตดำ้ นตวั แปร ี 1.5.3.1 ตัวแปรตนีไดแก่ีแผนการจดั การเรยนรูแบบร่วมมอื เทคนคีSTADีร่วมกบั เทคนคีKWDLีจานวนี3 แผนการจดั การเรยนรีู รวมี12 ชัว่ โมง 1.5.3.2 ตวั แปรตามีไดแก่ 1)ีประสทธภาพแผนการจัดการเรยนรู 2)ีผลสมั ฤทธ์ทางการเรยน 3)ีความพึงพอใจของนกั เรยน 4)ีจรรยาบรรณวชาชพ 1.5.4 ขอบเขตด้ำนระยะเวลำ ีีีีระยะเวลาท่ใชในการศกึ ษาีตัง้ แตี่ เดือนมถนุ ายนี2564 ีถงึ ีเดือนสงหาคมี2564
6 1.6 นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ นยามศัพท์เฉพาะีเป็นการเขยนอธบายความหมายของคาีกลุ่มคาีขอความีหรือ ตัวแปรท่ ศึกษาเพ่ือส่ือความหมายใหเขาใจตรงกันระหว่างผูวจัยกับผูอา่ นีการนยามศัพท์เฉพาะถือเป็นส่วนหนึ่ง ในการนยามหรอื การชเ้ ฉพาะเจาะจงปัญหาการวจัยี 1.6.1 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน หมายถึง ความรู้และทักษะที่นักศึกษาได้รับการเรียนการ สอนทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านตา่ ง ๆ ซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ได้ด้วยคะแนนจากแบบทดสอบ ผลสัมฤทธที์ างการเรียนและแบบทดสอบวัดทักษะ เร่ืองการเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ด้วยเทคนคิ การจัดการเรยี นรแู้ บบกลุ่มรว่ มมอื แบบ STAD (student Teams Achievement Divisions)ี รว่ มกบั เทคนคีKWDL 1.6.2 กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STADีหมายถึงีจัดเป็นการเรยนรแู บบเนนให ผูเรยนเกดการเรยนรูแบบกลุ่ม โดยการจัดกลุ่มท่มลักษณะแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนในการจัดแบ่งเป็นีเก่งี ปานกลางีและออ่ นีซงึ่ จะทาใหผูเรยนเกดการช่วยเหลอื ระหวา่ งกลุ่มีกระตนุ บคุ คลภายในกล่มุ เกดการ เรยนรูไดรับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มการแบ่งปันความรูภายในกลุ่มอันจะทาใหผูเรยนเกด ความสัมพันธร์ วมถงึ ปลกู ฝัง่ ลักษณะนสัยใหกับผเู รยนเกดความแบง่ ปนั และช่วยเหลอื 1.6.3 กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค KWDL หมายถึง การจัดกจกรรมการเรยนรู โดยใชเทคนคีKWDL หมายถงึ ีการจดั กจกรรมการเรยนการสอนท่ประกอบดวยี4ีข้ันตอนีคอื ขั้นท่ี1ีK (What We Know) หมายถงึ ีเรารูอะไรหรือโจทย์บอกอะไรบาง ข้นั ท่ี2ีWี(What We Want to Know) หมายถงึ ีเราตองการรูหรือเราตองการทราบ อะไรหรอื โจทย์ใหหาอะไรีมวธการอยา่ งไรีใชวธอะไรไดบาง ขั้นท่ี3ีDี(What We do to Find Out) หมายถึงีเราทาอะไรีอย่างไรีหรือดาเนนี ตามกระบวนการแกโจทย์ปัญหา ขั้นท่ี4ีL (What We Learned) หมายถึงเราเรยนรูอะไรบางีสรุปเป็นความรูท่'ไดี จากการเรยนอย่างไร 1.6.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนีหมายถึงีเป็นเคร่ืองมือท่ใชประเมนผลจาก การเรยนรูของผูเรยนท่ไดเรยนมาแลวว่าีมความรูความเขาใจีความถนัดีรวมถึงทักษะในการนาไป ประยุกต์ใชในเนื้อหาสาระท่กาหนดีตามจุดประสงค์การเรยนรมู ากนอยเพยงใดีซ่ึงเป็นการวัดทางดาน พทุ ธพสัยหรือดานความรูี 1.6.5 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ีหมายถงึ ีแผนการจัดการเรยนรูเป็นกรอบแนวทางท่ครอบคลุม จดุ ประสงคข์ องการเรยนรูีโดยแผนการจดั การเรยนรูเปน็ รูปแบบการวางแนวคดหรือกาหนดแนวทางไว ล่วงหนาผ่านการตรวจสอบีทดลองีพจารณาอย่างถ่ทวนเพ่ือพัฒนาผูเรยนใหเกดผลสัมฤทธ์ท่ม ประสทธภาพ
7 1.6.6 ควำมพึงพอใจของนักเรียนีหมายถึงีความรูสึกนึกคดท่เกดข้ึนภายในจตใจีท่มต่อส่ง ตา่ งๆีทอ่ ยู่รอบตวั เราีแบ่งไดเปน็ ี2 ลักษณะีคอื ีความพึงพอใจดานบวกีกบั ความพึงพอใจดานลบีโดย ท้ังี2 ลักษณะน้เกดจากการส่ือสารภายในตนเองผสมกับความเชื่อีการเรยนรูีประสบการณ์ีและ ทศั นคตของแตล่ ะบุคคลีแลวแสดงผลออกมาทางอารมณี์ ความรูสกึ ีและบคุ ลกภาพในหลายระดับ 1.6.7 จรรยำบรรณวิชำชีพีหมายถึงีประมวลมาตรฐานความประพฤตท่ผูประกอบวชาชพ จะตองประพฤตปฏบัตเป็นแนวทางใหผูประกอบวชาชพปฏบัตอย่างถูกตองเพื่อผดุงเกยรตและสถานะี ของวชาชพน้ันก็ไดผูกระทาผดจรรยาบรรณจะตองไดรับโทษโดยว่ากล่าวีตักเตือนีถูกพักงานีหรือถูก ยกเลกใบประกอบวชาชพได 1.6.8 วิจัยปฏิบัติกำรีหมายถึงีีการวจัยประเภทหน่ึงีซึ่งใชกระบวนการปฏบัตอย่างมระบบี ผูวจัยและผูเก่ยวของมส่วนร่วมในการปฏบัตการี และวเคราะห์วจารณ์ี ผลการปฏบัตโดยการใชวงจรี ประกอบดวยี4ีขัน้ ตอนีคือี 1.การวางแผนี(Planning)ี 2.การลงปฎบตั ี(Acting) 3.การสังเกตี(Observing) 4.การสะทอนผลี(Reflecting)ี 1.6.9 นักเรียนีหมายถึงีนักเรยนนักเรยนระดับประกาศนยบัตรวชาชพีช้ันปีท่ี2ีสาขาวชา คอมพวเตอร์ธรุ กจีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีอาเภอบานไผ่ีจงั หวัดขอนแกน่ ีภาคเรยนท่ี1ีปกี ารศกึ ษาี 2564ีจานวนี26ีคน 1.6.10 โรงเรียนีหมายถึงีวทยาลัยการอาชพบานไผ่ีอาเภอบานไผ่ีจังหวัดขอนแก่นีสังกัด อาชวศึกษาจังหวัดขอนแกน่ ีสานกั งานคณะกรรมการการอาชวศกึ ษาีี 1.6.11 กระบวนกำรชมุ ชนแหง่ กำรเรยี นรทู้ ำงวิชำชีพีหมายถงึ ีีข้ันตอนการพฒั นาการจดั กจกรรมการเรยนการสอนเพ่อื แกปัญหาในช้นั เรยนีมขั้นตอนีดังนี้ ีี 1. การสรางแผนการดาเนนงาน 2.ีการสรางทมีีE-PLC จานวนี5-7ีคนีีประกอบดวยสมาชกดงั นี้ ีี 1)ีครผู ูสอนี(Model Teacher) 2)ีครเู พ่อื นร่วมเรยนรูี(Buddy Teacher) 3)ีครพู ่เล้ยงี(Mentor) 4)ีผูบรหารสถานศกึ ษาี(Administrator) 5)ีผูเชย่ วชาญี(Expert) 6)ีครผู ูสรางแรงบนั ดาลใจี(Inspirator) 3. การดาเนนงาน E-PLC 3ีวงรอบ
8 1.7 ประโยชนท์ ีค่ ำดวำ่ จะได้รบั 1.7.1 นักเรยนมผลสมั ฤทธท์ างการเรยนวชาีโปรแกรมตารางงานีเขาใจเน้อื หาสาระท่เรยนตาม เกณฑร์ อยละี80 1.7.2ีนกั เรยนไดแสวงหาความรูีสบื คนีสารวจีตรวจสอบีและคนควารว่ มกนั ปฏบตั และฝึกฝน ความคดอย่างเป็นระบบีจนสามารถสรางเป็นองค์ความรูของตนเองและสามารถนามาแกปัญหาตา่ งๆี ไดตามทักษะการจัดการเรยนรูแบบร่วมมอื ีเทคนคีSTADีรว่ มกับเทคนคีKWDL 1.7.3 นักเรยนมความพึงพอใจต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ทางการเรยนโดยใชการจัดการเรยนรู แบบร่วมมือเทคนคีSTAD รว่ มกับเทคนคีKWDLีอย่ใู นระดับมาก ีีีีีีีีีีี1.7.4 เป็นข้อสนเทศสาหรับอาจารย์ที่สอนในวิชาโปรแกรมตารางงานและรายวิชาอื่นีๆ รวมถึงผู้ที่เกย่ี วข้องได้นาไปใช้ในการพิจารณาเลือกวิธกี ารจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีเหมาะสม เพ่ือพฒั นา กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในรายวชิ าคอมพิวเตอร์ได้อยา่ งมีคุณภาพ
10 3. เป็นหลักสูตรท่ีสนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง หน่วยงาน และองคก์ รเก่ยี วขอ้ งท้ังภาครฐั และเอกชน 4. เปน็ หลักสตู รทเี ปิดโอกาสใหส้ ถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและทอ้ งถิน่ มสี ว่ นร่วมใน การพัฒนา หลักสูตรให้ตรงตามความต้องการ โดยยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ และสอดคล้องกับสภาพ ยทุ ธศาสตร์ ของภมู ภิ าค เพอื่ เพ่มิ ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ 2.1.2 จุดหมายของหลักสูตร 1. เพื่อให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ สามารถนาไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกวิถีการดารงชีวิต และการ ประกอบ อาชีพได้อย่างเหมาะสมกับตน สรา้ งสรรค์ความเจริญต่อชมุ ชน ทอ้ งถิ่นและประเทศชาติ 2. เพ่ือให้เป็นผู้มีปัญญา มีความคิดริเริมสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและการ ประกอบ อาชีพ มที กั ษะการส่อื สารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวติ ทักษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละการแก้ปัญหา ทักษะดา้ นสุขภาวะและความปลอดภัย ตลอดจนทกั ษะการจดั การ สามารถ สรา้ งอาชพี และพัฒนาอาชีพใหก้ ้าวหน้าอยูเ่ สมอ 3. เพ่ือให้มีเจตคติทีดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพทีเรียน รักงาน รัก หนว่ ยงาน สามารถทางานเปน็ หมู่คณะไดด้ ี โดยมีความเคารพในสทิ ธแิ ละหนา้ ทีของตนเองและผ้อู ื่น 4. เพ่ือให้เป็นผู้พฤติกรรมทางสังคมทีดีงาม ท้ังในการทางาน การอยู่ร่วมกัน การต่อต้านความ รุนแรงและ สารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ท้องถิ่นและประเทศชาติ ดารงตน ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิ ปัญญาทอ้ งถิน่ มจี ิตสาธารณะและจิตสานึกในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสร้างสิงแวดลอ้ มทดี ี 5. เพ่ือให้มีบุคลิกภาพทีดี มีมนุษยสัมพันธ์ มีคุณธรรม จริยธรรม และวินัยในตนเอง มีสุขภาพ อนามยั ทีสมบรู ณ์ท้ังร่างกายและจติ ใจ เหมาะสมกับงานอาชีพ 6. เพ่อื ใหต้ ระหนักและมีสว่ นร่วมในการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ สงั คม การเมืองของประเทศและ โลก มีความรักชาติ สานึกในความเป็นไทย เสียสละเพ่ือส่วนรวม ดารงรักษาไวซ่ึงความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ และการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข 2.1.3 หลกั เกณฑ์การใช้หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี พทุ ธศักราช 2562 2.1.3.1 การเรียนการสอน 1.1 การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวีิธิเรยี นที กาหนด และนาผลการเรียนแต่ละวิธี มาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และ ขอเทยี บโอนความรู้ และประสบการณไ์ ด้ 1.2 การจัดเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้ หลากหลาย รูปแบบ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการ วธิ กี ารและการดาเนนิ งาน มที ักษะ การปฏิบตั งิ านตาม แบบแผนในขอบเขตสาคญั และบริบทต่าง ๆ ท่ีสมั พนั ธ์กนั ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นงานประจา
11 ให้คาแนะนาพ้ืนฐาน ท่ีต้องใช้ในการตัดสินใจ วางแผนและแก้ไขปัญหาโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมใน บางเรือง สามารถ ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะทางวิชาชีพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการ แก้ปัญหาและการ ปฏิบัติงานในบริบทใหม่ รวมท้ังผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ เจตคติและกิจนสิ ยั ทีเหมาะสมในการทางาน 2.1.3.2 การจดั การศกึ ษาและเวลาเรียน การจดั การศึกษาในระบบปกติ ใช้ระยะเวลา 3 ปีการศึกษา การจัดเวลาเรียนให้ ดาเนนิ การ ดังนี้ 2.1 ในปกี ารศกึ ษาหน่ึง ๆ ใหบ้ ่งภาคเรียนออกเปน็ 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาคี ภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจานวนหน่วยกิต ตามท่ีกาหนดและ สถานศึกษา อาชวี ศึกษาหรือสถาบนั เปดิ สอนภาคเรียนฤดรู ้อนดีอกี ตามทีเหน็ สมควร 2.2 การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทาการสอน ไม่นอ้ ยกว่า สปั ดาห์ละ 5 วัน ๆ ละไม่เกิน 7 ชวั่ โมง โดยกาหนดใหจ้ ดั การเรียนการสอนคาบละ 60 นาที 2.1.3.3 หน่วยกติ ให้มีจานวนหนว่ ยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกวา่ 13 - 110 หน่วยกิต การคิดหนว่ ยกิต ถือเกณฑ์ ดังน้ี 3.1 รายวิชาทฤษฎที ีใช้เวลาในการบรรยายหรืออภิปราย 1 ช่วั โมงตอ่ สปั ดาห์ หรือ 18 ชั่วโมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มคี ่าเทา่ กบั 1 หน่วยกิต 3.2 รายวิชาปฏิบตั ทิ ี่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบตั ิในห้องปฏบิ ัติการ 2 ช่วั โมงต่อ สัปดาห์ หรือ 36 ชว่ั โมงต่อภาคเรยี น รวมเวลาการวัดผล มีค่าเทา่ กบั 1 หน่วยกติ 3.3 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบีัติในโรงฝึกงานหรอื ภาคสนาม 3 ชั่วโมงต่อ สัปดาห์ หรอื 54 ชวั่ โมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากบั 1 หนว่ ยกติ 3.4 การฝกึ อาชพี ในการศกึ ษาระบบทวภิ าคี ทีใช้เวลาไมน่ ้อยกวา่ ว่า 54 ช่ัวโมงต่อภาค เรียนรวมเวลา การวัดผล มคี ่าเท่ากับ 1 หนว่ ยกติ 3.5 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชพี ในสถานประกอบการ ทีใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชัว่ โมง ต่อภาคเรยี น รวมเวลาการวัดผล มคี ่าเท่ากับ 1 หน่วยกติ 3.6 การทาโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ ที่ใช้เวลาไม่น้อยกวา่ 54 ชั่วโมงต่อภาค เรียนรวมเวลา การวัดผล มีค่าเท่ากบั 1 หนว่ ยกติ 2.1.3.4 โครงสรา้ ง โครงสร้างของหลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี พุทธศักราช 2562 2562 แบง่ เปน็ 3 หมวดวิชา และ กจิ กรรมเสริมหลกั สตู ร ดังนี้ 4.1 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง 4.1.1 กลมุ่ วชิ าภาษาไทย 4.1.2 กล่มุ วชิ าภาษาตา่ งประเทศ
12 4.1.3 กลมุ่ วชิ าวิทยาศาสตร์ 4.1.4 กลุ่มวชิ าคณติ ศาสตร์ 4.1.5 กลมุ่ วชิ าสังคมศกึ ษา 4.1.6 กลุ่มวชิ าสุขศกึ ษาและพลศึกษา 4.2 หมวดวิชาสมรรถนะวชิ าชีพ 4.2.1 กลุ่มสมรรถนะวชิ าชีพพนื้ ฐาน 4.2.2 กลมุ่ สมรรถนะวิชาชพี เฉพาะ 4.2.3 กลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพเลือก 4.2.4 ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชพี 4.2.5 โครงงานพฒั นาสมรรถนะวชิ าชพี 4.3 หมวดวิชาเลอื กเสรี ไมน่ ้อยกวา่ 10 หน่วยกิต 4.4 กจิ กรรมเสริมหลักสูตร (2 ชวั่ โมง/สปั ดาห)์ - หนว่ ยกิต หมายเหตุ 1) จานวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวิชาและกลุ่มวิชาในหลักสูตร ให้เป็นไปตามที่ กาหนดไว้ ในโครงสร้างของแต่ละประเภทวิชาและสาขาวชิ า 2) การพัฒนารายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพ้ืนฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพ เฉพาะ จะเป็น รายวิชาบังคับที่สะท้อนความเป็นสาขาวิชาตามมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ด้าน สมรรถนะวิชาชีพของ สาขาวิชาซึ่งยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ จึงต้องพัฒนากลุ่มสาระรายวิชาให้ครบ จานวนหนว่ ยกิต ทีก่ าหนด และ ผูเ้ รยี นต้องเรยี นทุกรายวิชา 3) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถจัดรายวิชาเลือกตามท่ีกาหนดไว้ใน หลกั สตู ร และ หรือพฒั นาเพม่ิ ตามความตอ้ งการเฉพาะด้านของสถานประกอบการหรอื ตามยุทธศาสตร์ ภมู ิภาค เพอ่ื เพมิ่ ขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ ทงั้ น้ีต้องเปน็ ไปตามเงอื นไขและมาตรฐาน การศกึ ษาวชิ าชพี ทีประเภทวชิ า สาขาวิชาและสาขางานกาหนด 2.1.3.5 การฝกึ ประสบการณส์ มรรถนะวิชาชีพ เป็นการจัดระบวนการเรียนรู้โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือ สถาบันกับภาคการผลติ และหรอื ภาคบริการ หลังจากทีผ้เู รียนได้เรยี นภาคทฤษฎีและการฝกึ หัดหรือฝึก ปฏิบัติเบ้อื งต้นในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันแล้วระยะเวลาหน่ึง ทงั้ น้ี เพอ่ื เปดิ โอกาสให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ได้สัมผัสกับการปฏิบัติงานอาชีพ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ท่ี ทันสมัย และบรรยากาศ การทางานร่วมกัน ส่งเสริมการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การ เผชิญสถานการณ์ ซงึ จะชว่ ยให้ ผ้เู รียนทาได้ คิดเป็น ทาเปน็ และเกดิ การใฝร่ ูอ้ ย่างตอ่ เนอื ง ตลอดจนเกิด ความมั่นใจและ เจตคติทีดีในการ ทางานและการประกอบอาชีพอสิ ระ โดยการจัดฝึกประสบการณ์ สมรรถนะวิชาชีพต้องดาเนินการ ดังนี้
13 1) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดใหม่การฝึกประสบการณ์สมรรถนะ วิชาชีพ ในรูป ของการฝึกงานในสถานประกอบการ แหล่งวิทยาการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรฐั ในภาคเรียนที 5 และหรอื ภาคเรียนที 6 โดยใช้เวลารวมไมน่ ้อยกว่า 320 ชวั่ โมง กาหนดให้ค่าเท่ากับ 4 หน่วยกิตกรณีสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ สามารถนารายวิชาท่ีตรงหรือสัมพันธก์ ับลักษณะงานไปเรียนหรอื ฝึกในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรฐั ในภาคเรยี นทีจัดฝึกประสบการณส์ มรรถนะรายวิชาชีพได้ รวมไม่น้อยกว่า 1 ภาค เรียน 2) การตดั สนิ ผลการเรียนและให้ระดบั ผลการเรยี น ใหป้ ฏบิ ัติ เช่นเดยี วกบั รายวิชาอื่น 2.1.3.6 โครงงานพฒั นาสมรรถนะวิชาชีพ เป็นรายวิชาทีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า บูรณาการความรู้ ทักษะและ ประสบการณ์จาก สิงทีได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัตดิ ้วยตนเองตามความถนดั และความสนใจ ตั้งแต่การเลอื ก หัวข้อหรือเร่ืองทีจะ ศึกษา ทดลอง พัฒนาและหรือประดิษฐ์คิดค้น โดยการวางแผน กาหนดข้ันตอน กระบวนการ ดาเนินการ ประเมินผล สรุปและจัดทารายงานรายงานเพื่อนาเสนอเสนอ ซึงอาจทาเป็น รายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ท้ังน้ี ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของโครงการน้ันๆ โดยการจัดทาโครงงานพัฒนา สมรรถนะวิชาชพี ต้องดาเนินการ ดงั นี้ 1) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้ผู้เรียนต้องทาโครงงานพัฒนา สมรรถนะวิชาชีพทีสัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสาขาวิชา ในภาคเรียนที 5 และหรือภาคเรียนที 6 รวม จานวน 4 หน่วยกิตใช้เวลาไม่นอ้ ยกว่า 216 ช่ัวโมง ทั้งนี้ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ต้องจัดทา ให้มีช่ัวโมงเรียน 4 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ กรณีที่กาหนดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 4 หน่วยกิต หากจัดให้ เรียนรายวิชาโครงงาน 2 หน่วยกิต คือ โครงงาน 1 และโครงงาน 2 ให้สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือ สถาบนั จดั ใหม้ ชี วั่ โมงเรียนตอ่ สัปดาหท์ เี ทียบเคยี งกับเกณฑ์ดงั กลา่ วข้างตน้ 2) การตัดสนิ ผลการเรียนและใหร้ ะดับผลการเรยี น ใหป้ ฏบิ ตั เิ ชน่ เดยี วกับรายวชิ าอืน่ 2.1.3.7 กิจกรรมเสรมิ หลักสูตร 1) สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันจัดขึ้นให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรไมน่ ้อยกว่า 2 ช่ัวโมงต่อ สัปดาห์ทุกภาคเรียน เพ่ือส่งเสริมสมรรถนะแกนกลางและหรือสมรรถนะวิชาชีพ ปลูกฝัง คณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม ระเบียบวนิ ยั การตอ่ ตา้ นความรนุ แรง สารเสพตดิ และการทุจรติ เสริมสร้าง การเป็นพลเมืองไทยและ พลโลก ในด้านการรักชาติ เทิดทูนพระมหากษัตริย์ ส่งเสริมการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทะนุบารุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิ ปัญญาไทย ปลูกฝังจิตสานึกและ จิตอาสาในการอนุรักษ์สิ่งแวดและทาประโยชน์ต่อชุมชนและท้องถน่ิ ท้ังนี้ โดยใช้รูปแบบกลุ่ม ในการวางแผน ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล และปรับปรุงการทางาน สาหรับ นกั เรยี นอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ให้เข้าร่วมกิจกรรมทีสถานประกอบการจดั ขึ้น 2) การประเมินผลกิจกรรมเสริมหลักสูตร ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วา่ ด้วยการจดั การศกึ ษาและการประเมินผลการเรยี นตามหลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ
14 2.1.3.8 การจดั แผนการเรยี น เป็นการกาหนดรายวิชาตามโครงสร้างหลักสูตรท่ีจะดาเนินการเรียนการสอนในแต่ละ ภาคเรียน โดยจดั อตั ราสว่ นการเรียนร้ภู าคทฤษฎตี ่อภาคปฏิบัติในหมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ประมาณ 20 : 80 ทั้งนี้ ข้ึนอยู่กับลักษณะหรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ของแต่ละสาขาวิชา ซึงมีข้อเสนอแนะ ดงั น้ี 1) จัดรายวิชาในแต่ละภาคเรียน โดยคานึงถึงรายวิชาทีต้องเรียนตามลาดับก่อน-หลัง ความง่าย-ยาก ของรายวิชา ความต่อเนืองและเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของรายวิชา รวมทั้งรายวิชาที สามารถบรู ณาการจดั การเรียนรูร้ ว่ มกนั ในลักษณะของงาน โครงงานและหรอื ชนิ งานในแตล่ ะภาคเรยี น 2) จดั ใหผ้ ู้เรียน เรียนรายวิชาบงั คบั ในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง หมวดวิชาสมรรถนะ วชิ าชีพ ในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพืน้ ฐานและกล่มุ สมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ และกิจกรรมเสริมหลกั สูตรให้ ครบ ตามทกี่ าหนดในโครงสร้างหลกั สูตร โดย 2.1 การจดั รายวชิ าในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ควรจัดกระจายทุกภาคเรียน 2.2 การจัดรายวิชาในกลุ่มวิชาชีพพื้นฐาน โดยเฉพาะรายวิชาท่ีเป็นพ้ืนฐานของการ เรยี น วชิ าชพี ควรจดั ให้เรยี นในภาคเรยี นที 1 2.3 การจัดรายวิชาในกลุ่มวิชาชีพเฉพาะ ควรจัดให้เรียนก่อนรายวิชาในกลุ่มวิชาชีพ เลือกและ รายวชิ าในหวดวิชาเลอื กเสรี 3) จัดให้มีผู้เรียนเข้าเลือกเรียนรายวิชาชีพเลือกและรายวิชาเลือกเสรี ตามความถนัด ความสนใจ เพือ่ สนบั สนุนการประกอบอาชีพหรอื ศกึ ษาต่อ 4) จดั รายวิชาทวิภาคีท่นี าไปเรียนและฝึกในสถานประกอบการ รฐั วสิ าหกจิ หรอื หน่วยงานของรัฐ โดยประสานงานรว่ มกับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกจิ หรอื หนว่ ยงานของรัฐ เพอื่ พิจารณากาหนด ภาคเรียนทีจัดฝึกอาชีพ รวมท้ังกาหนดรายวิชาหรือกลุ่มวิชาชีพตรงกับลักษณะงานของสถาน ประกอบการ รฐั วสิ าหกจิ หรอื หน่วยงานของรฐั ที่นาไปรว่ มฝกึ อาชพี ในภาคเรียนนนั้ ๆ 5) จัดรายวิชาฝึกงานในภาคเรียนที 5 หรือ 6 ครั้งเดียว จานวน 4 หน่วยกิต 320 ช่วั โมง (เฉลย่ี 20 ช่ัวโมงต่อสปั ดาหต์ ่อภาคเรยี น) หรอื จัดให้ลงทะเบยี นเรยี นเปน็ 2 คร้งั คอื ภาคเรยี นที่ 5 จานวน 2 หน่วยกิต และ ภาคเรียนที่ 6 จานวน 2 หน่วยกิต รายวิชาละ 160 ช่ัวโมงโมง (เฉลี่ย 10 ชว่ั โมงต่อสัปดาหต์ อ่ ภาคเรียน) ตามเงอื นไข ของหลกั สูตรสาขาวิชานั้น ๆ ในภาคเรยี นทีจดั ฝกึ งานนี้ ให้ สถานศึกษาพิจารณากาหนดรายวิชาหรือกลุ่มวิชาทีตรงกับ ลักษณะงานของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพ่ือนาไปเรียนและฝึกปฏิบีัติใน ภาคเรียนทีจัดฝึกงานด้วยการจัด ฝกึ งานในภาคฤดูรอ้ นสามารถทาไดโ้ ดยตอ้ งพจิ ารณาระยะเวลาในการฝึกให้ครบตามที หลักสูตรกาหนด 6) จัดรายวิชาโครงงานในภาคเรียนท่ี 5 หรือ 6 คร้ังเดียว จานวน 4 หน่วยกิต (12 ชวั่ โมงต่อสปั ดาห์ ตอ่ ภาคเรียน) หรือจัดให้ลงทะเบียนเรียนเป็น 2 คร้ัง คือ ภาคเรียนที่ 5 และภาคเรียน ที่ 6 รวม 4 หน่วยกติ (6 ชวั่ โมงตอ่ สัปดาหต์ อ่ ภาคเรยี น) ตามเง่ือนไขของหลกั สตู รสาขาวิชานนั้ ๆ
15 2.1.3.9 การศกึ ษาระบบทวิภาคี เปน็ รูปแบบการจดั การศกึ ษาที่เกิดจากขอ้ ตกลงรว่ มกันระหว่างสถานศกึ ษาอาชีวศึกษา หรือ สถาบัน กับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหน่ึงใน สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หนว่ ยงานของรัฐ เพ่อื ให้การจัดการศึกษาระบบทวภิ าคีสามารถเพ่ิมขีดความสามารถด้านการผลิตและ พัฒนากาลงั คนตรงตาม ความตอ้ งการของผู้ใช้และเปน็ ไปตามจุดหมายของหลักสูตร ทงั้ นี้ สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบนั ต้อง ดาเนินการดงั น้ี 1) นารายวิชาทวิภาคีในกลุ่มสมรรถนะวชิ าชีพเลือก รวมไม่น้อยกว่า 18 หน่วยกิต ไป ร่วมกาหนด รายละเอยี ดของรายวิชากับสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐทีร่วมจัด การศึกษาระบบทวิภาคี ได้แก่ จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา คาอธิบายรายวิชา เวลาทีใช้ฝึก และจานวนหน่วยกิต ให้สอดคล้องกับลักษณะงานของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงาน ของรัฐ รวมท้ังสมรรถนะ วชิ าชีพของสาขางาน ท้งั นี้ การกาหนดจานวนหนว่ ยกิตและจานวนชว่ั โมงทีใช้ ฝกึ อาชพี ของแต่ละรายวิชา ทวภิ าคีให้เปน็ ไปตามทหี ลกั สูตรกาหนด และใหร้ ายงานการพัฒนารายวิชา ดังกล่าวให้สานักงานกรรมการ การอาชีวศกึ ษาทราบดว้ ย 2) รว่ มจดั ทาแผนฝึกอาชพี พร้อมแนวการวดั และประเมินผลในแต่ละรายวชิ ากบั สถาน ประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐทีร่วมจัดศึกษาระบบทวิภาคี เพ่ือนาไปใช้ในการฝึก อาชพี และ เนินการวัดและประเมินผลเปน็ รายวิชา 3) จัดแผนการเรียนระบบทวิภาคีตามความพรอ้ มของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐทีจัดการศึกษาศึกษาระบบทวิภาคีร่วมกัน โดยอาจนารายวิชาอื่นสอดคล้องกับ ลักษณะงานของ สถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจ หรอื หนว่ ยงานของรัฐนนั้ ๆ ไปจดั รว่ มดว้ ยก็ได้ 2.1.3.10 การเขา้ เรยี นผเู้ รียน ต้องสาเร็จการศึกษาไม่ต่ากว่าระดับมะยมศึกษาปีที 3 หรือเทียบเท่า และมีคุณสมบัติ เป็นไป ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตร ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ 2.1.3.11 การประเมินผลการเรียนเน้นการประเมินสภาพจรงิ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการศึกษา และการ ประเมนิ ผลการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี 2.1.3.12 การสาเรจ็ การศึกษาตามหลกั สตู ร 1) ได้รายวิชาและจานวนหน่วยกติ สะสมในทุกหมวดวิชา ครบถ้วนตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตร แตล่ ะประเภทวิชาและสาขาวชิ า และตามแผนการเรียนทสี ถานศึกษากาหนด 2) ไดค้ า่ ระดับคะแนนเฉลยี่ สะสมไม่ตา่ กวา่ 2.00 3) ผ่านเกณฑ์การประเมนิ มาตรฐานวชิ าชีพ
16 4) ได้เข้าร่วมการปฏิบัตกิ ิจกรรมส่งเสริมหลักสูตรตามแผนการเรียนทสี ถานศึกษากาหนด และ “ผา่ น” ทุกภาคเรียน 2.1.3.13 การพฒั นารายวชิ าในหลักสตู ร 1) หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรอื สถาบนั สามารถพัฒนารายวชิ า เพิ่มเติม ในแต่ละกลุ่มวิชา เพ่ือเลือกเรียนนอกเหนือจากรายวิชาที่กาหนดให้เป็นวิชาภาคบังคับได้ โดย สามารถพัฒนาเป็น รายวชิ าหรือลกั ษณะบรู ณาการ ผสมผสานเนื้อหาวชิ าทคี รอบคลมุ สาระของกลุ่มวิชา ภาษาไทย กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์กลุ่มวชิ าคณิตศาสตร์ กลุ่มวิชาสังคมศึกษา กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ในสัดส่วนท่ีเหมาะสม โดยพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่ม วชิ าน้นั ๆ เพอ่ื ใหบ้ รรลุจดุ ประสงค์ของหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง 2) หมวดวชิ าสมรรถนะวชิ าชพี สถานศกึ ษาอาชวี ศึกษาหรอื สถาบนั สามารถเพม่ิ เติมรายละเอียด ของรายวิชาในแต่ละกลุ่มวชิ าในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละสามารถพัฒนารายวิชาเพม่ิ เติมใน กลมุ่ สมรรถนะวชิ าชีพเลือกได้ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการหรือยุทธศาสตร์ของภมู ิภาคเพ่ิม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ท้ังนี้ ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับจุดประสงค์สาขาวิชา และสมรรถนะวิชาชีพสาขางานด้วย 3) หมวดวิชาเลือกเสรีสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถพัฒนารายวิชาเพ่ิมเติมได้ ตามความต้องการของสถานประกอบการ ชุมชน ท้องถ่ินหรือยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเพ่ือเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศและหรือเพ่ือการศึกษาต่อท้ังน้ี การกาหนดรหัสวิชา จานวน หนว่ ยกติ และจานวนชว่ั โมงเรยี นให้เป็นไปตามทหี่ ลักสูตรกาหนด 2.1.3.14 การปรบั ปรุงแกไ้ ข พฒั นารายวชิ า กลมุ่ วิชาและการอนมุ ัตหิ ลกั สูตร 1) การพฒั นาหลักสตู รหรือการปรับปรงุ สาระสาคัญของหลักสตู รตามเกณฑม์ าตรฐานคณุ วฒุ ิ อาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ให้เป็นหน้าท่ีของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบนั การอาชวี ศกึ ษา และสถานศกึ ษา โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) การอนุมตั หิ ลักสูตร ให้เป็นท่ีของสานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา โดยความเหน็ ชอบ ของคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา 3) การประกาศใช้หลกั สตู รใหท้ าเป็นประกาศกระทรวงศึกษาธิการ 4) การพัฒนารายวิชาหรือกลุ่มวิชาเพิ่มเติม สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันสามารถ ดาเนินการไดโ้ ดยต้องรายงานให้สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษาทราบ 2.1.3.15 การประกนั คณุ ภาพของหลักสตู รและการจัดการเรียนการสอน ให้ทุกหลักสตู รกาหนดระบบประกันคุณภาพของหลักสตู รและการจดั การเรียนการสอนไว้ให้ชัดเจน อย่างน้อยประกอบดว้ ย 4 ดา้ น คอื 1) หลกั สตู รทีย่ ึดโยงกบั มาตรฐานอาชีพ 2) ครู ทรพั ยากรและการสนบั สนุน
17 3) วธิ ีการจัดการเรยี นรู้ การวดั และประเมินผล 4) ผูส้ าเรจ็ การศึกษา ใหส้ านักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา สถาบนั การอาชีวศึกษาและสถานศึกษาจดั ให้มกี ารประเมิน และรายงานผลการดาเนินการหลักสูตร เพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตรที่อยู่ในความรับผิดชอบอยา่ ง ต่อเน่ืองอยา่ งนอ้ ยทกุ 5 ปี 2.2 แผนการจดั การเรียนรู้ 2.2.1 ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อ อุปกรณ์การสอน การวัดและการประเมินผล สาหรับเน้ือหาสาระและจุดประสงค์การเรียนการสอน ย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์หรอื จุดเนน้ ของหลักสูตร สภาพผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียนใน ด้านวัสดุอุปกรณ์ และตรงกับชีวิตจริงในท้องถิ่น หรือเป็นการเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ล่วงหนา้ น้ันเอง (กรมวชิ าการ,2545) เขียน วันทนียตระกลุ (2551) ไดใ้ หค้ วามหมาย แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถงึ แผนการสอน นาวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ท่ีจะต้องสอน ตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรยี น การสอน การใชส้ อื่ อุปกรณ์การสอน และการวัดผลประเมินผล โดยจัดเน้อื หาสาระและจดุ ประสงค์การ เรียนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตรสภาพของผู้เรียนความพร้อมของ โรงเรียนในด้านวัสดุอปุ กรณ์ และตรงกบั ชีวิตจรงิ เอกรินทร์ ล่ีมหาศาล (2552) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วัสดุหลักสูตรท่ีควรพัฒนามาจากหน่วย การเรียนรู้ เพ่ือกาหนดไว้ให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ของ หลักสูตร เป็นส่วนแสดงการจัดการเรียนการสอนตามบทเรียน และประสบการณ์การเรยี นรู้เป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ วมิ ลรัตน์ สุนทรวโิ รจน์ (2553) ได้อธบิ ายไว้ว่า แผนการจดั การเรยี นรู้ เปน็ แผนการจดั กจิ กรรม การเรียน การจัดการเรียนรู้ การใช้ส่ือการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้อง กับเน้ือหา และจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ในหลักสูตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนท่ี จัดทาข้ึนจากคู่มือครู หรือแนวทางการจัดการเรียนรู้ของกรมวชิ าการ ทาให้ผู้จัดการเรียนรู้ ทราบวา่ จะ จดั การเรียนรู้เน้อื หาใด เพ่อื จดุ ประสงค์ใด จัดการเรียนรู้อย่างไร ใชส้ อื่ อะไร และวดั ผล ประเมินผลโดย วิธใี ด สาลี รักสุทธี (2553) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรยี นร้วู ่า แผนการจัดการเรียนร้คู ือ แผนการหรือโครงสร้างที่จัดทาเป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือการปฏิบัติการสอนในวิชาหนึ่ง เป็นการ เตรียมการสอนอย่างเป็นระบบ และเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ไปสู่ จดุ มุ่งหมายการเรียนร้แู ละจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมปี ระสิทธิภาพ
18 อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการสอนมีความหมายเช่นเดียวกันกับ แผนการ จัดการเรียนรู้ กล่าวคือ เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่อการเรียนรู้ และการ วัดผล ประเมนิ ผลทส่ี อดคลอ้ งกับสาระการเรยี นรู้ และจดุ ประสงค์การเรียนรทู้ ก่ี าหนด วันชัย แย้มจันทร์ฉาย (2554) กล่าวสรุปไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผน ล่วงหน้าเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยจัดทาเป็นเอกสาร เน้ือหาความรู้ สื่อการเรียน การสอน กิจกรรมและการประเมินผล สรปุ ไดว้ า่ แผนการจัดการเรียนรู้เป็นกรอบแนวทางที่ครอบคลุมจุดประสงค์ของการเรยี นรู้ โดย แผนการจัดการเรียนรู้เป็นรูปแบบการวางแนวคิดหรือกาหนดแนวทางไว้ล่วงหน้าผ่านการตรวจสอบ ทดลอง พจิ ารณาอยา่ งถ่ที ว้ นเพื่อพัฒนาผูเ้ รียนให้เกดิ ผลสมั ฤทธิ์ท่ีมีประสทิ ธิภาพ 2.2.2 ความสาคัญของแผนจัดการเรียนรู้ อาภรณ์ ใจเท่ียง (2553) ได้อธิบายไวว้ า่ แผนการจดั การเรียนรมู้ คี วามสาคญั หลายประการดงั น้ี 1) ทาให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ เม่ือเกิดความม่ันใจในการสอนย่อมจะสอนด้วยความคล่องแคล่ว เป็นไปตามลาดบั ข้นั ตอนอย่างราบรื่น ไม่ตดิ ขัด การสอนจะดาเนนิ ไปสู่จดุ หมายปลายทางอย่างสมบูรณ์ 2) ทาให้เป็นการสอนที่มคี ณุ ค่าคมุ้ กบั เวลาที่ผ่านไป เพราะผู้สอนอยา่ งมีแผนมีเปา้ หมาย และมที ศิ ทางใน การสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะ เกิด ประสบการณ์ใหม่ตามทผี่ ู้สอนวางแผนไว้ ทาใหเ้ ป็นการจัดการเรียนการสอนทมี่ ีคณุ ค่า 3) ทาให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการจัดการเรียนรผู้ ู้สอน ต้องศึกษา หลักสูตรท้ังด้านจุดประสงค์ เนื้อหาสารท่ีจะสอน การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลและประเมินผล แล้วจดั ทาออกมาเปน็ แผนการจดั การเรยี นรหู้ ลักสตู ร 4) ทาให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากผู้สอนต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้ อย่าง รอบคอบในทุกองค์ประกอบของการรวมทั้งการจัดเวลาเวลา สถานท่ี และส่งิ อานวยความสะดวกต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ีรอบคอบและปฏิบตั ิตามแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ีวางไว้ ผล ของการสอนย่อมสาเรจ็ ไดด้ กี วา่ การไม่ได้วางแผนการจดั การเรยี นรู้ 5) ทาให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจาสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทาให้ไม่เกิดความ ซ้าซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลและประเมินผลผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทาให้ผู้สอนมีเอกสารไว้เป็นแนวทางแก่ผู้ท่ีเข้าสอนในกรณีจาเป็น เม่ือผู้สอนไม่สามารถเข้า สอนเองได้ ผูเ้ รยี นจะได้รบั ความรูแ้ ละประสบการณ์ทต่ี ่อเนื่องกัน 6) ทาให้ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียนท้ังนี้เพราะผู้สอนสอนด้วยความพร้อม เป็น ความพร้อมทัง้ ทางด้านจิตใจคอื ความมัน่ ใจในการสอน และความพร้อมทางดา้ นวัตถุ คอื การที่ผู้สอนได้ เตรียมเอกสาร หรือสิ่งการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เม่ือผู้สอนมีความพร้อมในการสอนย่อมสอนด้วย ความกระจ่างแจ้ง ทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอยา่ งชัดเจนในบทเรียนอนั จะส่งให้ผู้เรียนเกดิ เจตคติท่ีดี ตอ่ ผสู้ อนและตอ่ วิชาทเี่ รียน
19 ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีรายละเอียดสาคัญ ดงั น้ี 1) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพมีการเตรียมล่วงหน้า แผนการจดั การเรียนรู้จะสะท้อนใหเ้ ห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และจิตวทิ ยาการเรียนรู้ มาผสมผสานกันหรอื ประยกุ ตใ์ ช้ให้เหมาะสมกบั สภาพของนักเรียนทตี่ นเองสอนอยู่ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการสอน ส่ือนวตั กรรม และวธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล 3) แผนการจัดการเรียนรู้ทาให้ครูผู้สอนและครูท่ีจะปฏิบัติการสอนแทนสามารถปฏิบัติการ สอนแทนไดอ้ ย่างมัน่ ใจและมปี ระสทิ ธิภาพ 4) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเป็นหลักฐานท่ีแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและ ประเมนิ ผลที่จะนาไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรูใ้ นครัง้ ต่อไป 5) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานท่ีแสดงถึงความเช่ียวชาญในวิชาชีพครู ซึ่งสามารถนาไป เสนอเปน็ ผลงานทางวิชาการเพือ่ ขอเลอ่ื นวทิ ยฐานะหรอื ตาแหน่งได้ สงบ ลักษณะ (2533; อ้างถึงในศศิธร เวียงวะลัย. 2556) ได้อธิบายไว้ว่า ผลดีของการจัดทา แผนการจัดการเรยี นรู้ มีดงั น้ี 1) ทาให้เกิดการวางแผน วิธีการจัดการเรียนรู้ วิธีเรียนที่มีความหมายมากข้ึน เพราะเป็นการ จัดทาอยา่ งมหี ลกั การท่ถี กู ต้อง 2) ช่วยให้ครูมีสื่อการจัดการเรยี นรู้ที่ทาด้วยตัวเอง ทาให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ ทาให้การจัดการเรียนรคู้ รบถ้วนตรงตามหลกั สูตรและจดั การเรยี นรไู้ ด้ทนั เวลา 3) เป็นผลงานทางวชิ าการทสี่ ามารถเผยแพร่เป็นตวั อยา่ งได้ 4) ชว่ ยอานวยความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรูแ้ ทน ในกรณีผู้จดั การเรยี นรู้ไม่สามารถจัดการ เรยี นรู้ไดเ้ อง สรุปได้ว่าความสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นรูปแบบแนวทางที่จัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีมี ประสิทธิภาพบรรลุวัตถุประสงค์ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด ท้ังนี้ยังช่วยพัฒนาการจัดการเรียนรขู้ องครูผู้สอน ให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมีทักษะ ประยุกต์ใช้นวัตกรรมเหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม ซ่ึง แผนการจดั การเรยี นรเู้ ปน็ รปู แบบที่มคี วามสาคัญต่อการจัดการเรยี นการสอนของครแู ละผู้เรียน 2.2.3 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี สาลี รักสุทธี (2553) กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนท่ีดีจะต้อง ประกอบด้วยองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ครบถ้วน มีกิจกรรม สื่อ การวัดและประเมินผลท่ี สอดคลอ้ งกันตลอด แนวทีส่ าคญั ต้องใหผ้ ู้เรียนมีส่วนในการปฏิบัตมิ ากท่ีสุดทกุ ขัน้ ตอน ทุกกระบวนการ ต้องลงสผู่ เู้ รยี น ให้ผู้เรยี นไดพ้ ฒั นาความรู้ความสามารถอย่างเต็มศักยภาพ ซึง่ สรปุ เปน็ ขอ้ ๆไดด้ งั นี้ 1. เป็นแผนการสอนที่มกี ิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ลงมอื ปฏิบัติใหม้ ากที่สุด โดยครูเป็นเพียงผู้ คอยช้ีนา ส่งเสริม หรือกระตุน้ ให้กิจกรรมที่ผ้เู รียนดาเนินการเป็นไปตามความมุ่งหมาย
20 2. เป็นแผนการสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นเป็นผู้คน้ พบคาตอบหรอื ทาสาเร็จดว้ ยตนเอง โดยครู พยายามลดบทบาทของผู้บอกคาตอบ มาเป็นผู้คอยกระตุ้นดว้ ยคาถาม หรือปัญหาให้ผู้เรียนคิดแก้หรือ หาแนวทางไปสู่ความสาเรจ็ ในการทากจิ กรรมเอง 3. เป็นแผนการสอนทเี่ น้นทกั ษะกระบวนการมุ่งใหผ้ ้เู รียนรับรู้ และนากระบวนการไปใช้จรงิ 4. เป็นแผนการสอนท่ีส่งเสริมให้ใช้วัสดุอุปกรณ์ท่ีสามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเล่ียงการใช้ วัสดุ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) สรปุ ได้ว่า ลักษณะของแผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ีดีมีลักษณะ ดงั นี้ 1) สอดคลอ้ งกับหลกั สตู ร และแนวการสอนของกรมชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2) นาไปใช้สอนจริงได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 3) เขียนอยา่ งถูกตอ้ งตามหลักวชิ า เหมาะสมกบั ผ้เู รยี นและเวลาท่ีกาหนด 4) มีความกระจา่ งชัดเจน ทาใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจงา่ ยและเขา้ ใจได้ตรงกนั 5) มรี ายละเอียดมากพอทท่ี าให้ผูอ้ ่านสามารถนาไปใชส้ อนได้ 6) ทุกหัวข้อในแผนการจดั การเรียนรมู้ ีความสอดคลอ้ งสมั พันธก์ นั สรุปได้ว่า การจัดแผนการเรยี นรทู้ ่ีดี ในการจัดการเรียนรู้ต้องมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้เรยี นเปน็ หลัก ตรวจสอบความต้องการหรือความสนใจของผู้เรียน อันจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากความ สนใจ ใฝ่เรียนต่อการเรียนรู้ท่ีสร้างข้ึนจากความสนใจของผู้เรียนเอง ท้ังนี้ยังต้องมีการ เพ่ิมเติมใน อปุ กรณ์ สือ่ การเรยี นรู้ กจิ กรรม เพอื่ ตอบสนองและพฒั นาทักษะการเรียนรู้ใหม้ ากข้ึน 2.2.4 องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล และคณะ, 2552 ได้อธิบายเก่ียวกับ องค์ประกอบของแผนการจัดการ เรยี นรู้ไว้ 7 องคป์ ระกอบดงั นี้ 1. สาระสาคัญ เปน็ การเขียนในลักษณะความคดิ รวบยอด หรอื concept 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ เขียนในลักษณะจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึงเม่ือผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติทุกพฤติกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรยี นรู้ของหนว่ ยการเรียนรู้แล้วบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ตวั ชวี้ ดั และมาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ีก่ าหนดไวใ้ นแต่ละหน่วย 3. สาระการเรียนรู้ เป็นการเขียนสาระในลกั ษณะเปน็ ประเดน็ สาคญั สน้ั ๆ สอดคล้องกบั เนือ้ หา สาระท่กี าหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ ระบุวิธีสอน กระบวนการจัดการเรียนรู้เทคนิคการสอนท่ีหลากหลาย เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครบถ้วนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ เม่ือเรียนครบทุกแผนการจัดการ เรียนรู้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ครบถ้วนตาม เปา้ หมายการเรยี นรู้ของตวั ชวี้ ัด และมาตรฐานการเรยี นรู้ที่กาหนดไว้ โดยออกแบบการจัดกิจกรรมการ เรยี นร้ทู ีผ่ ้เู รยี นตอ้ งปฏิบตั ใิ นแต่ละรายชว่ั โมงอยา่ งชัดเจน 5. สื่อ แหล่งการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะกาหนดสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ ประกอบการเรยี นการสอนไว้อย่างชัดเจน มีใบความรู้ ใบงาน แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรู้เอกสารเพ่ิมเติม
21 สาหรับผู้สอนตามความเหมาะสม และบอกแหล่งเรียนรู้ที่สาคัญที่ช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เปน็ ไปตามเป้าหมายทีก่ าหนด 6. การวัดและประเมินผล ทุกแผนการจัดการเรียนรู้ จะระบุรายละเอียดเก่ียวกับเรื่องการวัด และประเมินผล ทุกแผนการจัดการเรียนรู้จะระบุรายละเอียดเก่ียวกับเรื่องการวัดและประเมินผล คือ หลกั ฐานการเรียนรู้ ร่องรอยการเรียนรู้ วิธีการวดั และประเมินผล เคร่อื งมือในการวัดและประเมนิ ผล 7. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ เป็นการบันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละแผนการ จัดการเรยี นรู้ เพ่ือนาไปปรบั ปรงุ และพฒั นาวธิ จี ดั การเรียนร้ใู ห้บรรลุเปา้ หมาย จากการศกึ ษา ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ทด่ี ีข้างตน้ สรุปไดว้ า่ การที่จะเกิดการเรียนรู้ ที่ดีน้ันต้องเกิดจากการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย หลักสูตร แผน กิจกรรม สื่อ กระบวนการแก้ไขปรับ ประยกุ ตใ์ ห้สอดคล้องกับยุคสมัยของการเรียนรใู้ นปัจจุบัน ท้ังนตี้ ้องเกดิ การสงั เกตกลุ่มผู้เรยี นวา่ มีความ สนใจในการจัดการเรียนรู้แบบใด ควรดาเนนิ การเรียนรู้แบบใด สังเกตจติ ใจ พฤติกรรมของผู้เรยี น แล้ว จงึ มากาหนด วางแผนการจัดการเรยี นร้จู ึงจะเกดิ ผลดีต่อผเู้ รียนใหไ้ ดเ้ รยี นรูอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ 2.2.5 รูปแบบของแผนการจัดการเรยี นรู้ วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2551; อา้ งถึงในรสั รินทร์ แพร่งสุวรรณ์.2558) ไดอ้ ธิบายเก่ียวกับรูปแบบ ของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า ไม่มีรูปแบบตายตัวข้ึนอยู่กับหน่วยงาน สถานศึกษาแต่ละแห่งกาหนด อย่างไรก็ตามลักษณะส่วนใหญ่ของแผนจะคลา้ ยคลงึ กัน พอสรปุ ได้ 3 รูปแบบ ดงั นี้ 1. แบบเรียงหัวข้อ รูปแบบนจี้ ะเรยี งลาดับก่อนหลงั โดยไม่ต้องตีตาราง รปู แบบนสี้ ะดวกในการ เขยี น เพราะไม่ต้องตตี าราง แตม่ ีส่วนท่เี สยี คือ ยากต่อการดใู หส้ มั พนั ธก์ นั ในแต่ละหวั ขอ้ 2. แบบตาราง เป็นการเขยี นแผนการจัดการเรียนรู้ โดยนารายละเอยี ดของแตล่ ะองคป์ ระกอบ มาเขียนไวใ้ นลักษณะตารางแสดงความสมั พนั ธ์สอดคล้องของแต่ละหัวข้อขององค์ประกอบทกี่ าหนดใน แผนการจัดการเรียนรู้ 3. แบบก่ึงตาราง รูปแบบน้ีจะเขียนเป็นช่อง ๆ ตามหัวข้อท่ีกาหนด แม้ว่าต้องใช้เวลาในการตี ตารางแตก่ ็สะดวกต่อการอา่ น ทาให้เห็นความสัมพันธข์ องแตล่ ะหัวข้ออย่างชัดเจน จากการศึกษาเก่ียวกับรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีกล่าวมาน้ันสรุปได้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้เป็นรูปแบบการกาหนดการเรียนรู้ของผู้เรียนเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพต่อรายวิชาส่ือการเรียนรู้นั้นสามารถนาการเรียนรู้ไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวนั ได้ ในการจดั แผนการเรียนร้ขู องแตล่ ะสถานศกึ ษาจึงมมี ากมายและแตกต่างกนั แต่หากจะเกดิ รูปแบบท่ีดีได้ น้ันต้องคานึงถึงรปู แบบการจัดเน้ือหา ให้สามารถพบเห็นแลว้ เกิดความเขา้ ใจ เช่อื มโยงการเรียนร้ไู ด้ ซงึ่ มีสามรูปแบบในการจัด คือ แบบเรียงหัวข้อ แบบตาราง และแบบกึ่งตาราง เป็นต้น แต่การจัดรูปแบบ การเรียนรู้ท่ีดีท่ีสุด คือการจัดการเรียนรู้แบบก่ึงตาราง เพราะเกิดความสัมพนั ธข์ องแต่ละหัวข้อได้อยา่ ง ชดั เจน
22 2.3 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 2.3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเปน็ ส่งิ ทม่ี ีความสาคัญย่ิงในกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ไมว่ ่าจะ ใช้วิธีสอนรูปแบบใดก็ตาม สิ่งท่ีพึงปรารถนาของครู คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจะต้องมี การพัฒนาในทิศทางท่ีดีข้ึน เป็นตัวบ่งชี้ว่านักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้มากขึ้น จากการศึกษา ความรเู้ กยี่ วกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น มนี กั การศึกษาหลายท่านให้ความหมายไว้ ดงั นี้ สมนึก ภัททิยธนี (2552) อธิบายความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง สมรรถภาพทางด้านสมองด้านตา่ งๆ ของนักเรียน การจากได้รับการเรยี นรผู้ ่านมาแล้ว และสามารถวดั ได้โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ทิศนา แขมมณี (2553) ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จในด้านความรู้ ทักษะ และสมรรถนะด้านต่างๆ ของสมอง ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ประกอบดว้ ย สงิ่ สาคญั อย่างนอ้ ย 3 ส่ิงคอื ความรู้ ทกั ษะ สมรรถภาพของสมองในดา้ นตา่ งๆ ศศิธร เชาวน์ช่ืน (2556) ได้สังเคราะห์ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า ความรู้ความสามารถและมวลประสบการณ์ที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอนซึ่งมีผลทาให้บุคคลเกิด การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมด้านตา่ งๆ ทสี่ ามารถตรวจสอบไดจ้ ากการวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น อัษฎายุธ พุทโธ (2559) ได้สรุปผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า หมายถึง ความรู้ ความสามารถทเี่ กิดจากการเรยี นการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณต์ ่างๆ ของตัวบุคคล และสามารถ วดั ไดโ้ ดยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น อมร เมยมงคล (2560) สรุปความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นว่า หมายถึง ส่ิงที่ แสดงออกถึงความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียน ให้ได้บรรลุถึงความรูท้ ักษะความสาเรจ็ ด้านตา่ งๆ ท่ีได้จากการเรียนการสอนในวชิ าตา่ งๆ ซง่ึ สามารถวัดเปน็ คะแนนได้จากแบบทดสอบ ศภุ สุตา ศรลี าไย (2560) ได้อธิบายความหมายของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวา่ เปน็ ผลท่ี เกดิ จากกระบวนการเรียนการสอนท่ีจะทาใหน้ กั เรียนเกิดการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้ โดยการแสดงออกมาท้ัง 3 ด้าน คือ ดา้ นพุทธพิ ิสัย ดา้ นจติ พสิ ยั และด้านทกั ษะพิสยั วิทวัส แก้วสม (2562) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียน โดยอาศัยทักษะการเรียนรู้ในวิชาต่างๆ หรือการแสวงหาความรู้ของตนเอง ทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านตา่ งๆ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นส่ิงท่ีแสดงถึงสมรรถภาพของนักเรียนในการเรียนรู้ เน้อื หาสาระของวิชานัน้ ๆ โดยผ่านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรอู้ ย่างมีระบบ มกี ารวดั ประเมินผล จากการทดสอบ และสามารถนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีได้ นาไปใช้เป็นข้อมูลวางแผนพัฒนาเพ่ือให้ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนบรรลุ ตามวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้
23 2.3.2 การวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน มักจะมีความมงุ่ หมายเพอื่ วัดผลการเรียนรู้ด้านเนือ้ หา และทักษะตา่ งๆ ของแต่ละสาขาวชิ าวิชา ซงึ่ มรี ายละเอียดดงั น้ี (วทิ วัส แกว้ สม, 2562) อารีด บินหัด (2555) ได้อธิบายถึงจุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธ์ิตามแนวคิดของ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ ว่าเป็นการตรวจสอบความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลว่าเรยี นแลว้ รู้ อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเพียงใด เช่น พฤติกรรมด้านความจา ความเข้าใจ การ นาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่าว่าอยู่ในระดับใด เป็นต้น หมายความว่า การวัด ผลสัมฤทธ์ิเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียนด้านพุทธิพิสัย ซ่ึงเป็นการวัด 2 องค์ประกอบตาม จดุ มุง่ หมายและลักษณะของวิชาท่เี รียน คือ 1. การวัดด้านการปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถทางการปฏิบัติ โดย ใหผ้ ูเ้ รยี นไดล้ งมอื ปฏิบตั ิจรงิ ใหเ้ ปน็ ผลงานปรากฏออกมา ให้ทาการสงั เกตและวัดได้ เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา งานช่าง เปน็ ตน้ การวดั แบบนี้ต้องวดั โดยใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) ซง่ึ การ ปฏิบตั ิผลจะพิจารณาทวี่ ธิ ีปฏิบตั ิ (Procedure) และผลงานที่ปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความรู้ความสามารถเก่ียวกับเน้ือหาวิชา รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆ อันเป็นผลมาจากการจดั การเรียนการสอน มีวิธีการสอบท่ี วัดได้ 2 ลกั ษณะ คือ 2.1 การสอบปากเปล่า การสอบแบบน้ีมักจะกระทาเป็นรายบุคคล ซึ่งเป็นการ สอบท่ตี ้องการดผู ลเฉพาะอยา่ ง เช่น การสอบอ่านฟังเสยี ง การสอบสัมภาษณ์ ซงึ่ ต้องการดูการใช้ถอ้ ยคา ในการตอบคาถาม รวมทัง้ การแสดงความคดิ เหน็ และบคุ ลกิ ภาพต่างๆ 2.2 การสอนแบบให้เขียนความ เป็นการสอบวัดท่ีเน้นให้ผู้เรียนสอบโดยการ เขยี นเปน็ ตวั หนังสือตอบ ซง่ึ มีการตอบอยู่ 2 รปู แบบ คอื 2.2.1 แบบไม่จากัดคาตอบ ได้แก่ การสอบวัดผลที่ใช้ข้อสอบเป็นแบบอัตนัย หรอื ความเรยี ง 2.2.2 แบบจากัดความ เป็นการสอบที่กาหนดขอบเขตของคาถามท่ีจะตอบ หรือกาหนดคาตอบออกมาให้เลือก ซ่ึงมีรูปแบบของคาตอบ 4 รูปแบบ คือ แบบเลือกทางใดทางหน่ึง แบบจับคู่ แบบเติมคา และแบบเลอื กตอบ สมคิด สิงห์จารย์ (2556) ได้ให้ความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คณุ ลกั ษณะและความสามารถของบุคคลอนั เกิด จากการเรียนการสอน เปน็ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการ ฝึกฝนอบรม หรือจากการสอน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถ หรือความสัมฤทธิ์ผล (Level of accomplishment) ของ บุคคลว่าเรยี นแลว้ ร้เู ท่าไร มีความสามารถ ชนดิ ใด ซง่ึ สามารถวัดได้ 2 แบบตามจุดประสงค์ และลกั ษณะ วิชาท่สี อน คือ
24 1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะ ของผู้เรยี น โดยเน้นให้ผูเ้ รียนได้แสดงความสามารถดงั กล่าวออกมาอยู่ในรูปแบบของการกระทาจริง ให้ ออกเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การช่าง เป็นต้น การวัดแบบนี้จึงต้องใช้ “ข้อสอบ ภาคปฏบิ ตั ิ” (Performance Test) 2. การวัดด้านเนือ้ หา ซ่ึงเป็นการตรวจสอบวดั ความสามารถที่เกย่ี วข้องกบั เน้ือหาวชิ า อันเป็นประสบการณ์การการเรียนร้ขู องผู้เรยี น รวมถึงพฤตกิ รรมความสามารถในด้านต่างๆ สามารถวัด ได้โดยใช้ “ขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธิ์” (Achievement Test) สรปุ ไดว้ า่ การวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น เปน็ สิ่งที่จะทาให้ทราบว่าผเู้ รียนมีจุดแข็งดา้ นใดบ้างท่ี จะส่งเสริมพัฒนาให้ดีขึ้น และมีจุดอ่อนใดบ้างท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไข โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การวัดผลด้านภาคปฏิบัติ กับการวัดผลด้านภาคทฤษฎี ซ่ึงในการศึกษาคร้ังนี้ ผู้ศึกษาจะทาการวัดผล สัมฤทธท์ิ างการเรียนด้วยการวัดด้านเนื้อหา 2.3.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดทางด้านพุทธิพิสัยหรือด้าน ความรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบว่าผู้เรียนเมื่อได้รับการเรียนการสอนแล้ว มีความรู้อยู่ใน ระดับใด เพื่อท่ีจะหาทางปรับปรุง แก้ไข พัฒนา วางแผน และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตาม ศักยภาพ (อนุวตั ิ คณู แกว้ , 2559) 2.3.4 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) ได้มีนักการศึกษาให้ ความหมายไว้หลายทา่ น ดงั นี้ สมนึก ภัททิยธนี (2553) ให้ความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถงึ แบบทดสอบท่วี ดั สมรรถภาพสมองดา้ นตา่ งๆ ทน่ี กั เรยี นได้รบั การเรียนร้ผู า่ นมาแล้ว ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2553) ได้สรุปเก่ียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นว่า เปน็ แบบทดสอบที่ใชว้ ัดความรู้ของนักเรียนท่ไี ดเ้ รียนไปแลว้ ซึง่ มักจะเปน็ ขอ้ คาถามให้ นักเรยี นตอบดว้ ยกระดาษและดนิ สอ กับให้นกั เรียนปฏบิ ัติจริง โดยแบ่งแบบทดสอบประเภทนอ้ี อกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบของครู และแบบทดสอบมาตรฐาน พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2556) ได้อธิบายเก่ียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิว่า เป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ทักษะและความสามารถทางวิชาการท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผล สาเรจ็ ตามจุดประสงคท์ ่กี าหนดไวเ้ พยี งใด เสาวลักษณ์ หล้าสิงห์ (2558) ได้สรุปความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนไวว้ า่ เป็นแบบทดสอบหรือชุดของขอ้ สอบที่ใช้วัดความสาเร็จหรือความสามารถในการทา กิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่าน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ที่ตงั้ ไวเ้ พยี งใด
25 อนุวัติ คูณแก้ว (2559) ให้คาจากัดความของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็นเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวัดทางดา้ นความรู้ ความสามารถ และทักษะตา่ งๆ ของนักเรยี น ที่ได้เรยี นรูห้ รอื ไดร้ ับการสอนและการฝึกฝนมาแลว้ วา่ ผู้เรียนมีความรอบรมู้ ากนอ้ ยเพียงใด บญุ ชม ศรีสะอาด (2560) แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถงึ แบบทดสอบ ที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรยี นรใู้ นเนอ้ื หาสาระและตาม จดุ ประสงคข์ องวชิ าหรือเน้ือหาทสี่ อนนน้ั โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวชิ าต่างๆ ทเี่ รียนในโรงเรียนหรือ สถาบันการศกึ ษา อมร เมยมงคล (2560) สรุปความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ เป็นการวัดตรงตามจุดประสงค์ท่ีครูกาหนดไว้ ทั้งในด้านความรู้ สติปัญญา ทักษะและสมรรถภาพด้านต่างๆ ของผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า บรรลุผลสาเร็จจาม จุดประสงค์ทีก่ าหนดไว้เพียงใด ศุภสุตา ศรีลาไย (2560) อธิบายความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ว่า เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้วัดความสามารถของผู้เรียนจากส่ิงท่ีเรียนรู้ในวิชาต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงความรู้ ความสามารถ ทีผ่ ู้เรยี นได้เรียนมาแลว้ สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือท่ีใช้ประเมินผลจากการ เรียนรู้ของผู้เรียนที่ได้เรียนมาแล้วว่า มีความรู้ความเข้าใจ ความถนัด รวมถึงทักษะในการนาไป ประยุกต์ใชใ้ นเนื้อหาสาระที่กาหนด ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้มากนอ้ ยเพยี งใด ซ่ึงเป็นการวัดทางด้าน พทุ ธพิ สิ ัยหรือด้านความรู้ 2.3.5 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เยาวดี รางชยั กลู วบิ ลู ยศ์ รี (2552) ได้อธิบายถงึ ประเภทของแบบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรียนจาแนก 3 มติ ิ คือ มิติที่ 1จาแนกตามขอบข่ายเนอื้ หาวิชาท่ีวัด เช่น แบบวัดผลสัมฤทธิ์บางประเภทจะวัด เนื้อหาวชิ าทางคณติ ศาสตร์ หรือประวตั ิศาสตร์ การสะกดคา ฯลฯ มิติท่ี 2 จาแนกตามลักษณะหน้าท่ีทั่วไปของแบบทดสอบ โดยสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคอื แบบทดสอบเพอื่ สารวจผลสัมฤทธ์ิ แบบทดสอบเพอื่ วินิจฉัยผลสมั ฤทธ์ิ และแบบทดสอบเพื่อ วัดความพร้อม มิติที่ 3 จาแนกตามคาตอบที่ใช้ โดยจะเป็นแบบทดสอบประเภทข้อเขียนและท่ี คอ่ นข้างใช้กนั มาก ได้แก่ แบบทดสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) ซงึ่ เปน็ แบบทดสอบทีต่ ้องการ ใหน้ กั เรยี นเขา้ สอบได้สาธิตทกั ษะของตนเอง ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2553) ได้แบ่งเครื่องมือวัดใช้ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื 1. แบบทดสอบของครู หมายถงึ ชุดของข้อคาถามท่ีครูจะเปน็ ผู้สร้างขน้ึ ซง่ึ หากพบว่า มขี อ้ บกพรอ่ งตรงไหนจะได้ซ่อมแซมหรือวดั ดูความพรอ้ มก่อนที่จะสอนเรอื่ งใหม่
26 2. แบบมาตรฐาน สรา้ งขนึ้ จากผู้เช่ียวชาญในแต่ละสาขาวิชา หรือจากครูทสี่ อนวิชาน้ัน แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายคร้ังจนกระท่ังมีคุณภาพดีพอ จึงสร้างเกณฑ์ปกติ (Norm) ของ แบบทดสอบน้ัน ซ่ึงสามารถใช้เป็นหลัก และเปรียบเทียบผลเพ่ือประเมินค่าของการเรียนการสอนใน เร่ืองใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มภาคก็ได้ จะใช้สาหรับครูวินิจฉัย ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นระหว่างวิชาต่าง ๆ ในแตล่ ะคนก็ได้ ขอ้ สอบมาตรฐานนนั้ นอกจากจะมคี ุณภาพ ของแบบทดสอบสูงแล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีการสอนก็คือ ไม่ว่าจะมีคุณภาพของแบบทดสอบสูง แล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีการดาเนินการข้อสอบก็คือ ไม่ว่าโรงเรียนหรือส่วนราชการใด จะนาไปใช้ ต้องดาเนินการสอนแบบเดียวกัน แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดาเนินการสอบบอกถึงวิธีการสอบวา่ ทาอย่างไร และมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนอีกด้วย ท้ังแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นและ แบบทดสอบมาตรฐานมีวิธีสร้างข้อคาถามท่ีเหมอื นกันคอื จะเปน็ คาถามท่ีวัดเนื้อหาและพฤตกิ รรมที่ได้ สอนนักเรียนไปแล้ว สาหรับท่ีใช้วัดพฤติกรรมท่ีสามารถตั้งคาถามไว้ได้ ซึ่งสรุปได้ว่าการวัดผลด้าน สติปัญญาควรวัดพฤตกิ รรมออกเป็น 6 ระดบั ดงั นี้ - วดั ด้านความรู้ ความจา (Knowledge) - วดั ดา้ นความเขา้ ใจ (Comprehension) - วัดด้านการนาไปใช้ (Application) - วดั ดา้ นการวิเคราะห์ (Analysis) - วัดด้านการสงั เคราะห์ (Synthesis) - วดั ด้านการประเมินค่า (Evalution) การวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้านนี้ จะใช้แบบทดสอบแบบอัตนัยหรือปรนัยก็ได้ ข้อสาคัญ อย่คู าถาม ซ่งึ ต่อไปนีเ้ ป็นตวั อย่างข้อคาถามของแบบทดสอบประเภทปรนัย ดงั น้ี 1. ข้อคาถามวัดความรู้-ความจา เป็นข้อคาถามที่วัดความสามารถท่ีระลึกออกมาได้ หรือจาได้ เช่นถามคาศัพท์ นิยาม สถานที่ เวลา ขนาด ปริมาณ บุคคล เข้าใจ ระเบียบ ลาดับขั้น ของ การกระทาอยา่ งใดอย่างหน่ึง สงิ่ เหลา่ นถี้ า้ สอนมาแลว้ จงึ นามาถาม และถือวา่ เปน็ การวัดความจาเท่านน้ั 2. ข้อคาถามวัดความเข้าใจ เป็นข้อคาถามที่วัดความสามารถในการจับใจความสาคญั จากเรอื่ งราวหรอื เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ เช่น ความสามารถในการจับใจความสาคัญ การแปลความหมาย การ ตีความหมาย และการขยายความหมายของขอ้ ความ คา เรอ่ื งราว เหตุการณ์ ภาพ ฯลฯ 3. ขอ้ คาถามว่าการนาไปใชเ้ ปน็ ข้อคาถามท่ีวัดความสามารถในการนาความรู้ทีเ่ รียนมา ใชแ้ กป้ ัญหาในสถานการณใ์ หม่ 4. ข้อคาถามวัดการวิเคราะห์ เป็นข้อคาถามที่วัดความสามารถในการแยกแยะ ส่วนย่อย ๆ ของเหตุการณ์ เรื่องราว เน้ือหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรือความ ประสงค์ส่ิงใด นอกจากน้ันยังบอกถึงว่า ส่วนย่อย ๆ ที่สาคัญน้ัน แต่ละเหตุการณ์การเก่ียวพันกัน โดย อาศัยหลักการใดจะเห็นได้ว่า ความสามารถในด้านการวิเคราะห์จะมากไปด้วยการหาเหตุผลมา
27 เก่ียวข้องอยู่เสมอ และพยายามมองให้ลกึ ลงไปถึงแกน่ แท้ของเนอ้ื หา และเหตุการณ์นั้น ๆ การวิเคราะห์ จึงตอ้ งอาศยั พฤติกรรมดา้ นความจา ความเข้าใจ และการนาไปใช้ประกอบพจิ ารณา 5. ข้อคาถามการวัดการสังเคราะห์ เป็นข้อคาถามที่วัดความสามารถในการผสม ส่วนย่อยๆ เข้าเป็นเร่ืองเดียวกนั เป็นการวัดว่า นักเรียนจะสามารถนาเอาความรแู้ ต่ละหนว่ ยมารวมกัน จัดเป็นหน่วยใหม่หรือโครงสร้างใหม่ที่ต่างไปจากเดิมหรอื ไม่ ลักษณะคาถามประเภทนี้จะถามเกี่ยวกับ การสงั เคราะหค์ วามสัมพนั ธเ์ ปน็ คาถามท่ดี ึงดดู วา่ ใครมีความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์มากเพยี งใด 6 ขอ้ คาถามการวัดประเมินค่า เปน็ ขอ้ คาถามทวี่ ดั ความสามารถในการวินิจฉัย ตรี าคา โดยสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ ส่ิงท่ีมีค่าอาจเป็นวัตถุ สิ่งของ ผลงานต่างๆ หรือเป็นความคิดเห็นก็ได้ การ ประเมินค่าน้ัน อาศัยเกณฑ์ และมาตรฐานไปประกอบการวินจิ ฉัยชี้ขาดเสมอว่า สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี และ เพราะเหตุใดจึงดีหรือไม่ดี ข้อคาถามอาจจะอยู่ในรูปแบบการประเมิน โดยอาศัยเกณฑ์ภายในหรอื การ ประเมนิ ทอ่ี าศยั เกณฑ์ภายนอกตดั สินกไ็ ด้ สมนึก ภัททิยธนี (2553) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบท่ีครูสร้าง กับแบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่งแบบทดสอบท่ีครูสร้างมี หลายแบบแตท่ ่นี ยิ มใชม้ ี 6 แบบ ดังนี้ 1. ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay Test) เป็นข้อสอบที่มี เฉพาะคาถาม แล้วใหน้ กั เรียนเขยี นตอบอยา่ งเสรี เขยี นบรรยายตามความร้แู ละข้อคิดเห็นแตล่ ะคน 2. ข้อสอบแบบกาถูก – ผิด (True – false Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบท่ีมี 2 ตัวเลือก แต่ละตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก – ผิด ใช่ – ไม่ใช่ จริง – ไมจ่ รงิ เหมอื นกนั – ต่างกนั เปน็ ต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคา (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือ ขอ้ ความท่ยี ังไม่สมบรู ณ์ แลว้ ให้ผูต้ อบเตมิ คาหรือประโยคลงไปในช่องวา่ งท่ีเวน้ ไวน้ ้ัน เพ่ือให้มขี ้อความท่ี สมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ ง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ (Short Answer Test) ข้อสอบประเภทน้ีคล้ายกับข้อสอบ แบบเติมคา แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ เขียนเป็นประโยคคาถามท่ีสมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบ เขียนตอบ คาตอบที่ต้องการจะส้ันและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบ ความเรยี งหรืออตั นยั 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งท่ีมีคาหรือ ขอ้ ความแยกออกจากกันเปน็ 2 ชดุ แลว้ ให้ผูต้ อบเลอื กจบั คูว่ ่า แต่ละข้อความในชดุ หน่งึ (ตวั ยนื ) จะคู่กับ คาหรือข้อความใดในอีกชุดหน่ึง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนงึ่ ตามท่ีผู้ออกข้อสอบ กาหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลักษณะทั่วไปของคาถามแบบ เลือกตอบจะประกอบดว้ ย 2 ตอน คือ ตอนนาหรอื คาถาม (Stem) กับตอนเลอื ก (Choice) ในตอนเลอื ก นจ้ี ะประกอบดว้ ยตวั เลือกท่เี ปน็ คาตอบถูกกับตวั เลอื กทเ่ี ป็นตัวลวง ปกตจิ ะมีคาถามที่กาหนดใหน้ ักเรียน
28 พิจารณา แลว้ หาตัวเลือกที่ถกู ต้องมากที่สดุ เพียงตัวเดยี วจากตวั ลวงอนื่ ๆ และคาถามแบบเลือกตอบที่ดี นิยมใชต้ วั เลือกทใ่ี กลเ้ คยี งกนั ดเู ผินๆ จะเห็นวา่ ถูกหมด แตค่ วามจริงแล้วมนี ้าหนกั ของความถูกตอ้ งมาก นอ้ ยต่างกนั พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2556) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้น หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน โดยเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็น แบบทดสอบข้อเขียน (Paper and pencil test) ซ่ึงแบง่ ออกได้อกี 2 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบอตั นยั (subjective or essay test) เปน็ แบบทดสอบท่กี าหนด คาถามหรอื ปัญหาให้ แลว้ ใหผ้ ตู้ อบเขยี นโดยแสดงความรู้ ความคดิ และเจตคติไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้นๆ (objective test or short answer) เป็นแบบทดสอบท่ีกาหนดให้ผู้สอบเขียนตอบส้ันๆ หรือมีคาตอบให้เลือกแบบจากัดคาตอบ (restricted response type) ผู้ตอบไม่มีโอกาสได้แสวงหาความรู้ความคิดได้อย่างกว้างขวาง แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเปน็ 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบเติมคา แบบทดสอบจับคู่ และแบบทดสอบเลอื กตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธข์ิ องผู้เรียนทั่วๆ ไป ซง่ึ สร้างโดยผ้เู ช่ียวชาญ มกี ารวิเคราะหแ์ ละปรบั ปรงุ แก้ไขเป็นอย่างดีจนมีคณุ ภาพ มมี าตรฐาน กล่าวคือ มีมาตรฐานในการสอน วิธกี ารใหค้ ะแนนและการแปรความหมายของคะแนน บุญชม ศรีสะอาด (2560) ได้จาแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. แบบทดสอบองิ เกณฑ์ (Criterion referenced Test) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีสร้าง ขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจดุ ตัดหรอื คะแนนเกมสาหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สาหรับใช้ตัดสินว่า ผู้สอบมีความรู้ตาม เกณฑ์ท่กี าหนดไวห้ รือไม่ การวัดตรงตามจุดประสงคเ์ ป็นหวั ใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภท น้ี 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีมุ่งสร้าง เพ่ือวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจาแนกผู้เข้า สอบตามความเก่งออ่ นได้ดี หวั ใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ รายงานผลการสอบอาศัย คะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถให้ความหมายแสดงถึงสภาพความสามารถของบุคคลนน้ั เมอ่ื เปรยี บเทียบกบั บุคคลอืน่ ๆ ทีใ่ ช้เป็นกลุ่มเปรยี บเทียบ สรปุ ไดว้ า่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื แบบทดสอบมาตรฐาน กับแบบทดสอบท่ีผู้สอนสร้างข้ึนเอง ซึ่งแบบทดสอบมาตรฐานจะมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนอื้ หาและ
29 ด้านการวัดและประเมินผลการศึกษาเป็นผู้สร้างขึ้น ใช้ในวัดผลภาพรวมขนาดใหญ่ ส่วนแบบทดสอบท่ี ผสู้ อนสร้างข้ึนเอง จะใชท้ ดสอบภายในหอ้ งเรยี น 2.3.6 ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น นักการศึกษาหลายท่านได้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นให้เป็นแบบทดสอบทีม่ คี ุณภาพ โดยมหี ลักการดงั น้ี เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี (2552) ได้อธิบายถึง ข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีดี จะต้องมีวิธีการเตรียมตัวและมีการวางแผน เพื่อให้แบบทดสอบดังกล่าวมี กลุ่มตัวอยา่ งของพฤตกิ รรมทีต่ อ้ งการวดั ไดอ้ ย่างชดั เจน จากการสอบแตล่ ะคร้ังซึง่ จะอาศยั กรรมวธิ ีอย่าง มีระบบ ในการสรา้ งแบบทดสอบแต่ละชุดโดยปกติกรรมวิธีในการสรา้ งแบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ สามารถ แบ่งไดเ้ ปน็ 4 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นตอนท่ี 1 กาหนดวัตถุประสงค์ท่ัวไปของการสอบให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม โดยระบุเป็นข้อๆ และให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่าน้ันสอดคล้องกับเน้ือหาสาระ ทัง้ หมด ขน้ั ตอนที่ 2 กาหนดโครงสรา้ งเรอื่ งของเนอื้ หาสาระที่จะทาการทดสอบให้ครบถว้ น ข้ันตอนท่ี 3 เตรียมตารางเฉพาะหรือผังของแบบทดสอบ เพื่อแสดงถึงน้าหนักของ เนื้อหาวชิ าแต่ละส่วนและพฤติกรรมตา่ งๆ ทีต่ อ้ งการทดสอบใหเ้ ด่นชดั สนั้ กะทัดรดั และมีความชัดเจน ขั้นตอนท่ี 4 สร้างข้อกาหนดทั้งหมดที่ต้องการจะทดสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของ น้าหนักท่รี ะบุไว้ในตารางเฉพาะ พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2556) ได้อธิบายถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนดังนี้ 1. วิเคราะหห์ ลักสตู รและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพือ่ วเิ คราะห์เนื้อหาสาระและ พฤติกรรมท่ีต้องการวัด ตารางวิเคราะห์หลักสูตรจะใช้เป็นกรอบในการออกข้อสอบโดยระบุจานวน ขอ้ สอบในแตล่ ะเร่อื ง และพฤตกิ รรมทตี่ ้องการจะวัด 2. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องกาหนดไวล้ ่วงหน้าสาหรับเป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนการสอนและการสร้างข้อสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ 3. กาหนดชนดิ ของขอ้ สอบและศึกษาวธิ สี ร้าง ผ้อู อกข้อสอบตอ้ งเลือกชนิดของข้อสอบ ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และเหมาะสมกับวยั ของผู้เรียน แล้วศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนดิ น้ันให้มีความรู้ความเขา้ ใจในหลักและวธิ ีการเขียนข้อสอบ 4. เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดท่ีกาหนดไว้ในตารางวิเคราะห์ หลกั สูตร และใหส้ อดคลอ้ งกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5. ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบมีความถูกต้องตามหลักวิชา มีความสมบูรณ์ ครบถ้วนตามรายละเอียดท่ีกาหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณา ทบทวน ตรวจทานขอ้ สอบอกี คร้งั กอ่ นทจ่ี ะพิมพ์ และนาไปใชต้ อ่ ไป
30 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง โดยทาการจัดพิมพข์ ้อสอบท้ังหมด จากนั้นจัดทา เป็นแบบทดสอบฉบับทดลองโดยมีคาชี้แจง หรือคาอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบ (Direction) และวาง รูปแบบการพิมพ์ใหเ้ หมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ ก่อนนาไปใช้จริง โดยนาแบบทดสอบไปทดลองสอบกับกลุ่มท่ีมีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกับกลุ่มท่ีต้องการ สอบจริง แลว้ นาผลการทดสอบมาวเิ คราะหแ์ ละปรับปรุงข้อสอบใหม้ คี ุณภาพ 8. จัดทาแบบทดสอบฉบับจริงจากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่ามีข้อสอบข้อใด ไมม่ ีคุณภาพหรือคุณภาพไม่ดีพอ อาจจะตอ้ งตัดทิ้งหรอื ปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ สอบนน้ั ให้มคี ุณภาพดขี ้นึ แล้ว จึงจดั ทาเป็นแบบทดสอบฉบับจรงิ ท่ีจะนาไปทดสอบกับกล่มุ เป้าหมายตอ่ ไป บุญชม ศรีสะอาด (2560) ได้สรุปข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน โดยดาเนนิ การตามขั้นตอนดงั นี้ 1. วิเคราะห์วัตถุประสงค์ เน้ือหารายวิชา และทาตารางกาหนดลักษณะข้อสอบ ขั้น แรกจะต้องการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาหรือหัวข้อที่จะสร้างข้อสอบวัดนั้นมีจุดประสงค์ของการสอนหรือ จุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง ทาการวิเคราะห์เน้ือหาวิชาว่ามีโครงสร้างอย่างไร ทาการเขียนหัวข้อ ใหญ่ หวั ขอ้ ยอ่ ยทุกหัวขอ้ พิจารณาความเกย่ี วโยง ความสมั พันธร์ ะหว่างเนอ้ื หาเหลา่ น้ัน จากนัน้ กจ็ ะทา ตารางกาหนดลักษณะข้อสอบท่ีเรียกว่า ตารางวิเคราะห์หลักสูตร ตารางนี้มี 2 มิติคือ ด้านเน้ือหากับ ด้านสมรรถนะภาพท่ตี อ้ งการวดั และพจิ ารณาว่าหัวขอ้ เรอื่ งใดสาคญั มากนอ้ ย จงึ เขียนลาดับความสาคัญ ลงไป แล้วกาหนดจานวนข้อที่วัดในช่อง ขึ้นอยู่กับเรื่องนั้นว่าจะต้องการให้เกิดสมรรถภาพด้านใดมาก น้อยกว่ากนั 2. กาหนดรูปแบบข้อคาถามและศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ทาการพิจารณาและตัดสินใจ ว่าจะใช้ข้อคาถามแบบใด ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ รักการอ่านเขียนคาถาม ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ สมรรถภาพต่างๆ ศกึ ษาเทคนิคในการเขียนขอ้ สอบเพื่อนามาใช้เปน็ หลกั ในการเขยี นข้อสอบ 3. เขียนข้อสอบลงมือเขียนข้อสอบ ใช้ตารางกาหนดลักษณะของข้อสอบท่ีจัดทาไว้ใน ข้ันตอนที่ 1 เป็นกรอบซึ่งทาให้สามารถออกข้อสอบวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อ เน้ือหา และทุก สมรรถภาพ สว่ นรปู แบบเทคนคิ ในการเขยี นขอ้ สอบยดึ ตามทไ่ี ดศ้ ึกษาไว้ในขั้นท่ี 2 4. ตรวจทานข้อสอบ นาข้อสอบท่ไี ด้เขียนไวใ้ นขัน้ ท่ี 3 มาพจิ ารณาทบทวนอีกคร้ังหน่ึง โดยพิจารณาถึงความถูกต้องตามหลักวิชา พิจารณาว่าแต่ละข้อในเน้ือหาและสมรรถภาพตามตารางที่ กาหนดของข้อสอบหรือไม่ ภาษาที่ใช้เขียนมีความเข้าใจง่าย เหมาะสมดีแล้วหรือไม่ ตัวถูกและตัว เหมาะสมเขา้ กับหลักเกณฑห์ รือไม่ 5. พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง นาข้อสอบทั้งหมดมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบโดย จัดพิมพ์คาชี้แจงหรือคาอธิบายวิธีทาแบบทดสอบไว้ที่ปกแบบทดสอบอย่างละเอียด และชัดเจนการ จัดพิมพว์ างรูปแบบให้เหมาะสม
31 6. ทดลองใช้การวิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง นาแบบทดสอบไปทดลองกับกลุ่มท่ี คล้ายกับกลุ่มตัวอย่างท่ีจะทดสอบจริง ซ่ึงได้เรียนในวิชาหรือเน้ือหาที่จะสอบแล้ว นาผลการสอบมา ตรวจให้คะแนน ทาการวิเคราะห์ค่าอานาจจาแนก ค่าความยากของข้อสอบรายข้อ โดยใช้วิธีการ วิเคราะห์คุณภาพเคร่ืองมือคัดเลือกเครื่องมือเอาข้อที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์ตามจานวนที่ต้องการ ถ้า ข้อสอบเข้าเกมมีจานวนมากกว่าท่ีต้องการก็ตัดข้อท่ีมีเน้ือหามากกว่าที่ต้องการ ซึ่งเป็นข้อที่มีอานาจ จาแนกต่าสุดต่อไปตามลาดับ หลังจากน้ันนาเอาผลการสอบที่คิดเฉพาะข้อสอบที่เข้าเกณฑ์เหล่านัน้ มา คานวณหาความเชอ่ื มน่ั สรุปได้ว่า ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนน้ัน ต้องเริ่มจากการ วิเคราะห์หลักสูตรแล้วกาหนดวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ จากนั้นเลือกชนดิ ข้อสอบใหม้ ีความเหมาะสมกบั เน้ือหาสาระและระดบั ชั้นของผูเ้ รียนก่อนสร้างข้อสอบ เมือ่ สรา้ งข้อสอบแลว้ ควรมกี ารตรวจทานข้อสอบ การจัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง การทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ ก่อนจัดพิมพ์แบบทดสอบ ฉบับจริง เพื่อนาไปใช้กับผู้เรียน ซ่ึงในการศึกษาคร้ังน้ี ผู้ศึกษาจะนาแนวคิดและทฤษฎีไปใช้ในการ ออกแบบสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เพื่อใหม้ คี ุณภาพตามความต้องการ 2.4 ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่แสดงถึงคุณภาพของนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ ใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึง คุณภาพของเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนกับผ้เู รียน มรี ายละเอียดดงั น้ี 2.4.1 ความหมายของประสทิ ธภิ าพ วิทยา ด่านธารงกูล (2556) ได้ให้ความหมายประสิทธิภาพว่า หมายถึง ความสามารถ ในการใช้งานทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ประสิทธิภาพจึงมักถูกวดั ในรูปแบบ ของตน้ ทนุ หรือจานวนทรัพยากรที่ใชไ้ ป เม่ือเทยี บกับผลงาน หรือผลผลติ ทไ่ี ด้ เช่น ตน้ ทนุ แรงงานเวลา ที่ใช้ อตั ราผลตอบแทนจากการลงทุน ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) อธิบายถึงประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถงึ สภาวะหรือ คุณภาพของสมรรถนะในการดาเนินงานเพื่อให้งานสาเร็จ โดยใช้เวลา ความพยายาม และค่าใช้จ่าย คุ้มค่าท่ีสุดตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ โดยกาหนดเป็นอัตราส่วนหรือร้อยละระหวา่ ง ปจั จยั นาเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ (Ratio between input, process and output) ทิพาวดี เมฆสวรรค์ (2558) สรุปถึงประสทิ ธภิ าพวา่ มีความหมายรวมถงึ ผลิตภาพ และ ประสทิ ธภิ าพ โดยประสิทธภิ าพเป็นส่ิงท่ีวัดได้หลายมติ ิ แต่วัตถุประสงค์ทต่ี อ้ งการพิจารณาคอื 1. ประสิทธิภาพในมิติของกระบวนการบริหาร (Process) ได้แก่ การทางานที่ได้ มาตรฐาน รวดเร็ว ถกู ต้อง และใชเ้ ทคนิคทสี่ ะดวกขน้ึ กวา่ เดมิ 2. ประสิทธิภาพในมิติขอผลผลิตและผลลัพธ์ ได้แก่ การทางานท่ีมีคุณภาพเกิด ประโยชน์ต่อสังคม เกิดผลกาไร ทันเวลาผู้ปฏิบัติงาน มีจิตสานึกท่ีดีต่อการทางาน และให้บริการเปน็ ที่ พอใจของลกู คา้ หรือผมู้ ารบั บริการ
32 วชิรวัชร งามละม่อม (2558) ได้อธิบายว่า ประสิทธิภาพมีความคล้ายประสิทธิผล แต่จะ พิจารณาวิธีการ หรือทางเลือกใดๆ ในแง่ความสามารถ และความสาเร็จในการให้เกิดผลลัพธ์ต่างกับ ประสิทธิภาพ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนาเข้า หรือทรัพยากรท่ีใช้ไปกับผลสาเร็จตาม เป้าหมายของทางเลือกน้ัน นอกจากประสิทธิภาพจะประเมินได้จากการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัย นาเข้า หรือทรัพยากรท่ีใช้ไปกับผลสาเร็จตามเป้าหมายของวิธีการ หรือทางเลือกนั้นแล้วประสิทธิภาพ จะพจิ ารณาจากปรมิ าณ หรือคุณภาพของผลผลิต หรือผลลัพธท์ ่เี กดิ ข้นึ อย่างเพยี งพอเดยี ว พจิ ารณาจาก ปริมาณ หรือคุณภาพของทรัพยากรก็ได้ บุญชม ศรีสะอาด (2560) ให้ความหมายของประสิทธิภาพว่า หมายถึง คุณภาพด้าน กระบวนการและผลลัพธ์ของการจัดการเรียนรู้ 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนท่ีทาได้ระหว่าง เรียน จากการประเมินพฤติกรรม ประเมินผลงาน และการทดสอบย่อย มีค่าเฉล่ียตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้น ไป 80 ตัวหลัง หมายถึง รอ้ ยละของคะแนนเฉล่ยี จากการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นของ นกั เรยี นทกุ คน เพอื่ วดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน คิดค่าเฉลี่ยเปน็ รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป สรุปได้ว่า ประสิทธิภาพเป็นคุณภาพด้านกระบวนการ และผลลัพธ์ของการจัดการเรียนรู้ โดย วัดจากร้อยละของคะแนนเฉล่ียของนักเรียนทุกคนทท่ี าได้ระหวา่ งเรยี นจากการประเมินพฤตกิ รรม และ ร้อยละของคะแนนเฉล่ียจากการทาแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนทุกคน ซึ่งประสิทธิภาพมี ความ คล้ายประสิทธิผล แต่จะพิจารณาวิธีการหรือทางเลือกใดๆ ในแง่ความสามารถ และความสาเร็จในการ ให้เกดิ ผลลัพธต์ ่างกับประสิทธิภาพนน่ั เอง 2.4.2 ความจาเป็นทีจ่ ะตอ้ งหาประสิทธภิ าพ การทดสอบประสิทธภิ าพของสือ่ หรอื ชุดการสอนมีความจาเปน็ ด้วยเหตุผล 3 ประการ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2556) คอื 1. สาหรับหน่วยงานผลิตสือ่ หรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธภิ าพชว่ ยประกัน คณุ ภาพของสื่อหรือชุดการสอนว่าอยู่ในขัน้ สูงเหมาะสมท่ีจะลงทุนผลิตออกมาเป็นจานวนมาก หากไม่มี การทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้ว เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ดีก็จะต้องผลติ หรอื ทาขึ้น ใหม่ เป็นการสน้ิ เปลอื งทัง้ เวลา แรงงาน และเงินทอง 2. สาหรับผู้ใช้สื่อหรือชุดการสอน สื่อหรือชุดการสอนท่ีผ่านการทดสอบ ประสิทธิภาพ จะทาหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยสอนได้ดีในการสร้างสภาพการเรียนให้ผู้เรียนได้ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามท่ีมุ่งหวัง บางคร้ังชุดการสอนต้องช่วยครูสอน บางคร้ังต้องสอนแทนครู (อาทใิ นโรงเรียนครูคนเดียว) ดงั นั้น ก่อนนาสอื่ หรอื ชุดการสอนไปใช้ครูจงึ ควรมัน่ ใจว่า ชุดการสอนน้ันมี ประสิทธิภาพในการช่วยให้นกั เรียนเกิดการเรียนจริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลาดับข้ันจะช่วยให้ เราไดส้ อ่ื หรือชดุ การสอนทม่ี คี ณุ ค่าทางการสอนจรงิ ตามเกณฑ์ท่กี าหนดไว้
33 3. สาหรับผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทาใหผ้ ู้ผลิตมั่นใจ ไดว้ ่าเนื้อหาสาระท่บี รรจุลงในสื่อหรอื ชุดการสอนมีความเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ อันจะชว่ ยให้ผู้ผลิต มีความชานาญสงู ขึ้น เป็นการประหยัดแรงสมอง แรงงาน เวลาและเงนิ ทองในการเตรียมต้นแบบ วชิรวัชร งามละมอ่ ม (2558) ได้อธิบายว่า การทดสอบประสทิ ธิภาพของสอ่ื หรือชุดการ สอนมคี วามจาเป็นดว้ ยเหตุ 2 ประการคอื 1. สาหรับหนว่ ยงานผลติ สาหรับชดุ การสอน การทดสอบประสทิ ธิภาพและคุณภาพ ของส่ือ หรือชดุ การสอนว่าอย่ใู นขนั้ สูงเหมาะสมการทดสอบประสทิ ธภิ าพเสียก่อนแลว้ เมือ่ ผลิตออกมา ใชป้ ระโยชนไ์ ม่ดกี ็จะต้องผลิตขึน้ ใหม่เปน็ การสิน้ เปลอื งทง้ั เวลา แรงงาน และเงินทอง 2. สาหรับผู้ใช้ส่ือหรือชุดการสอนส่ือการสอนที่มีการทดสอบประสิทธิภาพจะทา หน้าท่ีเป็นเครอ่ื งมอื ช่วยสอนไดด้ ี ในการสรา้ งสภาพการเรยี นใหผ้ ู้เรียนมีพฤตกิ รรมตามที่มุ่งหวงั บางครงั้ ชุดการสอนต้องช่วยครูสอน ก่อนนาสื่อหรือชุดการสอนไปใช้คู่ควรม่ันใจว่าชุดการสอนน้ันมี ประสิทธิภาพ ในการช่วยให้นักเรยี นเกิดการเรียนรูจ้ ริงการทดสอบประสิทธิภาพตามจริง สาหรับผู้ผลิต สอ่ื หรอื ชดุ การสอนการทดสอบประสิทธภิ าพจะทาให้ผู้ผลิตมั่นใจได้วา่ เนือ้ หาสาระทบ่ี รรจุลงในส่ือหรือ ชุดการสอนมีความเหมาะสมง่ายต่อการเข้าใจเป็นการประหยัดแรงสมอง แรงงาน เวลา และเงินทอง ดว้ ย สรุปได้ว่า ความจาเป็นท่ีจะต้องหาประสิทธิภาพ คือ การตรวจสอบว่าส่ือการสอนน้ันมี ประสิทธิภาพมากนอ้ ยเพียงใด สามารถช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรอู้ ยา่ งคุ้มค่าหรอื ไม่ เพราะหากส่อื การเรียนรู้ไม่มปี ระโยชน์ต่อการเรียนรู้ ก็จะทาให้ต้องผลิตข้ึนมาใหม่เปน็ การสิ้นเปลืองท้ังเวลา แรงงาน และทุนทรพั ย์ แตห่ ากสอื่ การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเน้ือหาสาระและวัตถุประสงค์ ก็จะทา ให้เกิดการเรยี นรแู้ ละการพฒั นาอยา่ งแทจ้ ริง 2.4.3 การกาหนดเกณฑ์ประสทิ ธิภาพ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2556) ได้อธิบายถึงเกณฑ์และการกาหนดเกณฑป์ ระสิทธิภาพของ ชุดการสอนไวด้ ังนี้ 2.11.3.1 ความหมายของเกณฑ์ (Criterion) เกณฑ์เป็นข้อกาหนดที่จะยอมรับว่า พฤติกรรมใดมคี ณุ ภาพ และมปี ริมาณทจี่ ะไดร้ บั การตั้งเกณฑ์ต้องตั้งไว้ครงั้ แรกคร้ังเดียว เพื่อจะปรบั ปรุง คุณภาพให้มีเกณฑ์สูงข้ึน จะต้ังเกณฑ์การทดสอบประสิทธิภาพไว้ต่างกันไม่ได้ เช่น เม่ือมีการทดสอบ ประสิทธภิ าพแบบเดย่ี ว เกณฑไ์ ว้ 60/60 แบบกล่มุ ตั้งไว้ 70/70 ส่วนแบบสนาม 80/80 ถอื ว่าเปน็ การต้ัง เกณฑท์ ี่ไมถ่ กู ต้อง เน่ืองจากเกณฑท์ ตี่ ง้ั ไวเ้ ปน็ เกณฑ์ต่าสุด ดังน้นั การทดสอบคุณภาพของพฤติกรรมใด ได้ผลสงู กว่าเกณฑ์ทตี่ ั้งไว้อย่างมนี ยั ยะสาคญั .05 ตา่ หรอื สงู กวา่ ต่ากว่าประสิทธภิ าพทีต่ งั้ ไว้คือ 2.5 กใ็ ห้ ปรบั เกรดข้นึ ไป แตห่ ากได้คา่ ตา่ กวา่ ค่าประสิทธิภาพทตี่ งั้ ไว้ต้องปรับปรงุ และนาไปทดสอบประสทิ ธิภาพ ในภาคสนามจนถงึ เกณฑ์ทีก่ าหนด
34 2.11.3.2 ความหมายของเกณฑป์ ระสิทธิภาพ หมายถึง ระดบั ประสิทธิภาพของสื่อ หรือชุดการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรยี นเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม เป็นระดับท่ีผลิตส่ือหรือชุดการสอน จดั พมิ พพ์ อใจวา่ หากชดุ การสอนมปี ระสทิ ธิภาพถึงระดับนน้ั แลว้ สอื่ การสอนน้นั ก็มีคุณคา่ ท่ีจะนาไปสอน นักเรียน คุ้มค่ากับการลงทุนผลิตออกมาเป็นจานวนมาก การกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพและทาได้โดย การประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) กาหนดค่า ประสิทธิภาพเป็น E1 = Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรม สุดท้าย (ผลลัพธ์) กาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E2 = Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์) 1. ประเมินพฤตกิ รรมตอ่ เน่อื ง (Transitional Behavior) ประเมนิ ผลต่อเนอื่ งซ่งึ ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อของผู้เรียนเรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ท่ีเกิดจากการประกอบ กจิ กรรมกลมุ่ ได้แก่ การทาโครงการหรือรายงานเป็นกลมุ่ และไดง้ านบคุ คลได้แก่ งานที่มอบหมายและ กจิ กรรมอน่ื ใดท่ผี ้สู อนกาหนด 2. ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal Behavior) คือ ประเมินผลลัพธ์ (Product) ของผูเ้ รียน โดยพจิ ารณาจากการสอบหลงั เรยี นและการสอบไล่ ประสทิ ธิภาพของสือ่ หรือชดุ การสอนจะกาหนดเป็นเกณฑ์ทผี่ ู้สอนคาดหมายว่าผู้เรยี นจะเปล่ียน พฤติกรรมทีพ่ งึ พอใจ โดยกาหนดใหผ้ ลเฉลยี่ ของคะแนนการทางานและการประกอบกิจกรรมของผู้เรียน ทงั้ หมดต่อรอ้ ยละของผลการประเมนิ หลงั เรียนทงั้ หมด นัน่ คอื E1/E2 =ประสิทธภิ าพของกระบวนการ/ ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่าเมื่อเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนแลว้ ผู้เรียนจะ สามารถทาแบบฝึกปฏิบัติ หรือผลงานได้ผลเฉล่ีย 80% แบบประเมินหลังเรียนและงานสุดท้ายได้ผล เฉลี่ย 80% การทจี่ ะกาหนด E1/E2 ไมม่ คี า่ เท่าใดนน้ั ผสู้ อนจะเป็นผูพ้ ิจารณาตามความพอใจโดยพิจารณา พิสัยการเรียนท่ีจาแนกเป็นพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะ พสิ ยั (Skill Domain) ในขอบขา่ ยวิทยพสิ ัย (เดมิ เรยี กว่า พุทธพิ สิ ัย) เนอื้ หาท่ีเปน็ ความรู้ความจามากจะ ตง้ั ไว้สงู สุดแล้วลดตา่ ลงมาคอื 90/90 85/85 และ 80/80 ส่วนเนื้อหาสาระที่เป็นจิตพิสัยจะต้องใช้เวลาไปฝึกฝน และพัฒนา โดยไม่สามารถทาให้ถือ เกณฑ์ระดับสงู ได้ในห้องเรียนหรอื ในขณะทเ่ี รยี น จึงอนโุ ลมใหต้ ั้งไวต้ ่าลงนนั้ คอื 80/80 75/75 แตไ่ ม่ต่า กว่า 75/75 เพราะเป็นระดบั ความพอใจต่าสดุ จึงไม่ควรตง้ั เกณฑไ์ วต้ ่ากว่านี้ หากตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใด ก็มัก ได้ผลเท่านั้น ดังน้ันจะเห็นได้จากระบบการสอนของไทยปัจจุบัน ได้กาหนดเกณฑ์โดยไม่เขียนเป็นลาย ลักษณ์อักษรไว้ 0/50 น่ันคือ ให้ประสิทธิภาพกระบวนการมีค่า 0 เพราะครูมักไม่มีเวลาในการใช้งาน หรอื แบบฝกึ ปฏิบัตติ ่อนกั เรียน สว่ นคะแนนผลลพั ธ์ท่ีให้ผ่านคือ 50% ถึงจึงปรากฏว่า คะแนนวิชาต่างๆ นักเรียนต่าในทุกวิชา เช่น คะแนนภาษาไทยนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเฉล่ียคะแนนแต่ละปี เพยี ง 51% เทา่ นนั้
35 สรุปได้ว่า การกาหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพ เป็นการกาหนดเปา้ หมายของผลสัมฤทธิท์ ่ไี ด้จากการ เรยี นร้ขู องนักเรยี น โดยแบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื ระหว่างเรยี น กบั หลงั เรยี น ซง่ึ ระหว่างเรยี นจะเปน็ แบบต่อเน่ืองแล้วนามาหาค่าเฉลี่ย ส่วนหลังเรียนจะเป็นการทดสอบครั้งเดียวแล้วประเมินผลได้ทันที ดังน้ัน ครูผู้สอนจึงควรกาหนดเกณฑ์ไว้เพื่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาต้ังแต่แรกเริ่มจนกระทั่งส้ินสุด กระบวนการของเน้ือหาสาระน้ันๆ ซ่ึงจะทาให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบและมี ประสทิ ธิภาพ 2.4.4 วธิ กี ารคานวณหาประสทิ ธภิ าพ วิธีการคานวณหาประสิทธิภาพ กระทาได้ 2 วิธี คือ โดยการใช้สูตรและการคานวณ แบบธรรมดาโดยไม่ใชส้ ูตร (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์, 2556) 2.4.4.1 การใชส้ ตู รสามารถกระทาไดโ้ ดยใช้สตู รต่อไปนี้ สูตรท่ี 1 ∑ ������ ������1 = ������ ������ 100 ������ หรอื X/A×100 เมอ่ื E1 คอื ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑× คอื คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบตั ิกิจกรรม หรืองานท่ีทาระหวา่ งเรยี นทงั้ ทีเ่ ป็น กิจกรรมในหอ้ งเรียน นอกห้องเรียนหรือออนไลน์ A คือ คะแนนเตม็ ของแบบฝึกปฏิบัติ ทกุ ชิ้นรวมกัน N คอื จานวนผูเ้ รียน สูตรที่ 2 ∑ ������ ������2 = ������ ������ 100 ������ หรือ F/B×100 เม่ือ E2 คือ ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์
36 ∑F คือ คะแนนรวมของผลลพั ธข์ องการประเมินหลังเรยี น A คือ คะแนนเต็มของการประเมนิ สดุ ทา้ ยของแตล่ ะหน่วย ประกอบดว้ ยผลการสอบ หลังเรยี นและคะแนนการประเมนิ งานสดุ ทา้ ย N คือ จานวนของผเู้ รยี น การคานวณหาประสิทธภิ าพโดยใช้สตู รดังกล่าวข้างตน้ กระทาได้โดยการนาคะแนน รวมแบบฝึกปฏิบตั ิ หรือผลงานในขณะประกอบกิจกรรมกลุ่มหรอื เด่ียว และคะแนนสอบการเรียนมาขอ้ ตารางแล้วจึงคานวณหา E1/E2 2.4.4.2 การใช้วิธกี ารคานวณแบบธรรมดาโดยไมใ่ ช้สูตร หากจาสูตรไม่ได้หรือไม่อยากใช้สูตรผู้ผลิตส่ือหรือชุดการสอนก็สามารถใช้วิธีการ คานวณหาค่า E1 และ E2 ไดด้ ้วยวธิ ีการคานวณธรรมดา สาหรับ E1 คือ คา่ ประสิทธภิ าพของงานและแบบฝึกปฏบิ ตั ิ จะทาไดโ้ ดยการทาคะแนน งานทกุ ชนิ้ ของนกั เรยี นในแตล่ ะกิจกรรม แตล่ ะคนมารวมกนั หาค่าเฉลย่ี และเทยี บส่วนโดยเปน็ ร้อยละ สาหรับ E2 คือ ประสิทธิภาพผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียนของแต่ละส่ือ หรือชุด การสอนทาได้โดยการเอาคะแนนจากการสอบหลังเรียน และคะแนนจากงานสุดท้ายของนักเรียน ท้งั หมดรวมการหาคา่ เฉลีย่ แลว้ เทยี บสว่ นร้อย เพอ่ื หาคา่ ร้อยละ สรุปได้ว่า วิธีการคานวณหาประสิทธิภาพสามารถกระทาได้ 2 แบบคือ การใช้สูตรกับ การคานวณแบบธรรมดาโดยไมใ่ ช้สตู ร ซ่ึงทั้ง 2 วธิ ี ครูสามารถนาไปใช้ไดต้ ามความถนดั 2.4.5 การตีความหมายของผลการคานวณ หลังจากคานวณหาค่า E1 และ E2 ได้แล้วผู้หาประสิทธิภาพต้องตีความหมายของ ผลลัพธโ์ ดยยดึ หลักการและแนวทาง (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. 2556) ดังน้ี ความคลาดเคล่อื นของผลลัพธ์ให้มคี วามคลาดเคล่ือน หรือความแปรปรวนของผลลัพธ์ ได้ไม่เกิน .05 (ร้อยละ 5) จากช่วงต่าไปสูง = +2.5 น้ันให้ผลลัพธ์ของค่า E1 หรือ E2 ที่ถือว่าเป็นไป ตามเกณฑ์ มีคา่ ตา่ กว่าเกณฑ์ไม่เกิน 2.5% และสงู กวา่ เกณฑ์ทตี่ ้ังไวไ้ มเ่ กิน 2.5% คะแนน E1 หรอื E2 ห่างกันเกนิ 5% แสดงวา่ กจิ กรรมทีใ่ หน้ กั เรียนทากับการสอบหลัง เรียนไม่สมดุลกัน เช่น ค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่างานท่ีมอบหมายอาจจะง่ายกว่าการสอบ หรือหาก ค่า E2 มากกวา่ คา่ E1 แสดงว่า การสอบง่ายกวา่ หรอื ไม่สมดุลกับงานทม่ี อบหมายให้ทาจาเป็นทจ่ี ะต้อง ปรบั แก้ หากสื่อหรือชุดการสอนได้รับการออกแบบ และพัฒนาอย่างมคี ุณภาพค่า E1 หรือ E2 ที่คานวณได้จากการทดสอบประสิทธิภาพ จะต้องใกล้เคียงกัน และห่างกันไมเ่ กิน 5% ซ่ึงเป็นตัวชี้ท่ีจะ ยืนยันได้ว่านักเรียนได้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมต่อเนื่องตามลาดับขั้นหรือไม่ก่อนที่จะมีการเปล่ียน พฤติกรรมขนั้ สดุ ท้ายหรืออกี นยั หนึ่งต้องประกันไดว้ ่า นักเรยี นมีความรจู้ ริงไมใ่ ช่ทากจิ กรรม หรือทาสอบ ไดเ้ พราะการเดา
37 การประเมินในอนาคตจะเสนอผลการประเมินเปน็ เลข 2 ตวั คือ E1 คู่ E2 เพราะจะทา ใหผ้ ้อู ่านผลการประเมนิ ทราบลักษณะนิสัยของผู้เรียน ระหว่างนิสัยในการทางานอยา่ งต่อเนอ่ื งคงเส้นคง วาหรือไม่ จบการทางานสดุ ท้ายว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใดเพ่อื ประโยชน์ของการกล่ันกรองบุคลากร เขา้ ทางาน ตัวอย่าง นักเรียน 2 คนคือเกษมกับปรีชา เกษมได้ผลลัพธ์ E1/E2 = 78.50/82.50 สว่ นปรชี าไดผ้ ลลัพธ์ 82.50/78.50 แสดงวา่ นักเรยี นคนแรกคือ เกษม ทางานและแบบฝึกปฏิบตั ิทั้งปีได้ 78% และสอบไลไ่ ด้ 83% จะเห็นได้ว่ามีลักษณะนิสัยที่เปน็ กระบวนการสนู้ กั เรียนคนที่ 2 คอื ปรชี าท่ีได้ ผลลัพธ์ E1/E2 = 82.50/78.50 ไมไ่ ด้ สรุปได้ว่า การคานวณหาค่า E1 และ E2 ถ้าสื่อการเรียนการสอนมีคุณภาพ จะต้องได้ ค่าใกล้เคียงกันหรือห่างกันไม่เกินร้อยละ 5 เพราะหากค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่างานที่มอบหมาย อาจจะงา่ ยกวา่ การสอบ หรือหากค่า E2 มากกว่าคา่ E1 แสดงว่าการสอบง่ายกว่าหรือไม่สมดุลกับงานท่ี มอบหมายให้ทา จาเป็นท่จี ะต้องปรับปรงุ แก้ไข 2.4.6 ขั้นตอนการทดสอบประสทิ ธิภาพ เมื่อผลติ ส่อื หรือชดุ การสอนขึน้ เป็นต้นแบบแล้ว ต้องนาชุดการสอนไปหาประสิทธิภาพ ตามขั้นตอน (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2556) ต่อไปน้ี 1. การทดสอบประสิทธภิ าพแบบเดยี ว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพท่ีผู้สอนหนึ่งคน ทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือ ชุดการสอนกับผู้เรียน 1-3 คนโดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับ เวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่าหงุดหงิด ทาหน้าฉงน หรือทาท่าทางไม่ เข้าใจหรือไม่ ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจงานที่มอบหมายให้ทา และ ทดสอบหลังเรียน นาคะแนนมาคานวณหาประสิทธิภาพหากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเน้ือหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนท่ีได้จากการทดสอบ ประสิทธิภาพแบบเด่ียวน้ี จะได้คะแนนต่ากว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตกเม่ือปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก กอ่ นนาไปทดสอบประสทิ ธิภาพแบบกลมุ่ นี้ E1/E2 ที่ได้จะมีคา่ ประมาณ 60/60 2. การทดสอบประสิทธภิ าพแบบกลุ่ม (1:10) ภาพทผ่ี สู้ อน 1 คนทดสอบประสทิ ธภิ าพสอ่ื หรอื ชุดการสอนกับผู้เรยี น 6 ถึง 10 คน (คละผู้เรยี นทเ่ี ก่ง ปานกลาง และอ่อน) ระหวา่ งทดสอบประสทิ ธิภาพให้จบั เวลาในการประกอบ กิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทาหน้าฉงน ทาไมไม่เข้าใจหรือไม่ การทดสอบ ประสิทธิภาพให้ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจ และงานที่มอบให้ทาและ ประเมินผลลัพธ์ คือ การทดสอบแหล่งเรียนและงานสุดท้ายที่มอบให้นักเรียนทาส่งก่อนสอบประจา หนว่ ย ให้นาคะแนนมาคานวณประสทิ ธภิ าพ หากไม่ถึงเกณฑต์ ้องปรบั ปรุงเนอ้ื หาสาระ กิจกรรมระหวา่ ง เรียนและแบบทดสอบหน่วยการเรียนรู้ที่ดีข้ึนคานวณหาประสิทธิภาพและปรับปรุง ในคราวน้ีคะแนน
38 ของผู้เรียนจะเพมิ่ ข้ึนอกี เกือบเท่าเกณฑ์ โดยเฉล่ียจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ 10% น่ันคือ E1/E2 ที่จะ ได้มีคา่ ประมาณ 70/70 3. การทดสอบประสทิ ธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบสมรรถภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพส่ือหรือ ชุดการสอนกับผู้เรียนทั้งช้ัน ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกต พฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทาหน้าฉงน หรือทาท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบ ประสิทธิภาพภาคสนามแล้ว ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือภารกิจ และงานที่ มอบให้ทา ทดสอบหลังเรียนนาคะแนนมาคานวณหาประสิทธภิ าพ หากไมถ่ ึงเกณฑต์ ้องปรบั ปรงุ เนื้อหา สาระ กจิ กรรมระหว่างเรยี นและแบบทดสอบหลงั เรียนให้ดขี ้นึ แล้วนาไปทดสอบประสทิ ธิภาพภาคสนาม ซ้ากับนักเรียนต่างกลุ่ม อาจทดสอบประสิทธิภาพ 2-3 คร้ัง จนได้ค่าประสิทธิภาพถึงเกณฑ์ขั้นต่า ปกติ ไมน่ า่ จะทดสอบประสทิ ธภิ าพเกิน 3 ครง้ั ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ แทนด้วย 1:100 ผลลัพธ์ท่ีได้จากการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามใกล้เคียงกนั เกณฑ์ที่ต้ังไว้หากต่า จากเกณฑไ์ ม่ 2.5% ก็ใหย้ อมรบั วา่ ชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ต้งั ไว้ หาคา่ ทไ่ี ด้ต่ากว่าเกณฑ์ มากกวา่ -2.5 และทดสอบประสิทธิภาพภาคเฉลิมซ้าจนกวา่ จะถงึ เกณฑ์ จะหยดุ กบั กูแลว้ สรุปว่าชุดการ สอนให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือจะลดลงเพราะ “ถอดใจ” หรือยอมแพ้ไม่ได้ หากสูงกว่า เกณฑไ์ มเ่ กิน +2.5 ก็ยอมรับว่าส่ือหรือชุดการสอนมีประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ตี่ ้งั ไว้ หากค่าท่ีได้สูงกว่าเกณฑ์ +2.5 ระดับเก่งข้ึนไปอีกขั้นหนึง่ เช่น ต้ังไว้ 80/80 ก็ให้ปรับ ขนึ้ เป็น 85/85 หรอื 90/90 ตามค่าประสทิ ธิภาพท่ที ดสอบประสิทธิภาพได้ ตัวอย่าง เม่ือทดสอบหาประสิทธิภาพแล้วได้ 83.5/85.4 ก็แสดงว่า ส่ือชุดการสอนนนั้ มีประสิทธิภาพ 83.5/85.4 ใกล้เคยี งกับเกณฑ์ 85/85 ท่ตี ั้งไว้ แตถ่ า้ ตงั้ เกณฑไ์ ว้ 75/75 เม่ือมีผลทดสอบ ประสิทธิภาพเปน็ 83.5/85.4 กอ็ าจเล่อื นเกณฑ์ขึน้ มาเป็น 85/85 ได้ สรุปได้ว่า ข้ันตอนการทดสอบประสิทธิภาพแบ่งได้ 3 ขั้นตอน คือ การทดสอบ ประสทิ ธิภาพแบบเดี่ยว การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม และการทดสอบประสิทธิภาพแบบรวม โดย การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว คือ การทดสอบโดยให้เด็กทดสอบด้วยตนเองไม่มีเพ่ือนๆ คอย ช่วยเหลือ ซึ่งคะแนนที่ได้อาจต่ากว่าเกณฑ์ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะสามารถปรับแก้ไขได้ ส่วนการทดสอบ ประสิทธิภาพแบบกลุ่ม เปน็ การทดสอบท่นี ักเรียนคอยช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม การทดสอบในลักษณะ น้ีคะแนนท่ีได้จะเพิ่มมากขึ้นกว่าแบบเด่ียว สาหรับการทดสอบประสิทธิภาพแบบรวม เป็นการทดสอบ กับนักเรียนท้ังชั้น สามารถทดสอบซ้าได้หากคะแนนต่ากว่าเกณฑ์ โดยทั้ง 3 ข้ันตอนนี้สามารถปรับปรงุ แก้ไขเนือ้ หาสาระหรอื กิจกรรมได้
39 2.5 การจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมอื เทคนคิ STAD 2.5.1 ความหมายของการจดั การเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื เทคนคิ STAD รว่ มกับเทคนิค KWDL กลุม่ หรือทีม (Student Teams) ทัศนวรรณ รามณรงค์ (2556) ได้ให้ความหมายไว้ว่า กลุ่มนักเรียนในกิจกรรมการเรียนแบบ STAD น้ัน ในแต่ละกลุ่มหรือทีมจะมีสมาชิก 4-5 คน ซ่ึงประกอบด้วยนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนสูง ปานกลาง ซ่ึงสมาชิกในกลุ่มหรือทีมจะต้องร่วมมือกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้าน การเรยี น เพื่อที่จะให้แต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจในเน้อื หาทีเ่ รยี น ในแต่ละกลมุ่ หรือทีมจะตอ้ งเตรียม สมาชิกในกลุ่มของตนให้พร้อมสาหรับการทดสอบรายบุคคลท่ีจะมีขึ้นประมาณสัปดาห์ละ 2 คร้ัง คะแนนที่แต่ละคนทาได้จะถูกแปลงให้เป็นคะแนนของกลุ่มโดยใช้ระบบกลุ่มสัมฤทธ์ิ( Achievement Division) จากนั้นนาคะแนนที่ได้มารวมกันเพ่ือเป็นคะแนนของกลุ่มหรือทีมในแต่ละสัปดาห์ จะมีการ ประกาศผล ทมี ทไ่ี ด้คะแนนสงู สดุ ในลกั ษณะของจดหมายขา่ ว (Newsletter) สมาชกิ ภายในกลุ่มหรือทีม จะร่วมมอื กันในการทางานเพอ่ื ทจี่ ะแข่งขันกบั กล่มุ หรือทีมอ่ืน วิมลรัตน์ สุนโรจน์ (2545 ; อ้างถึงในประภาพร จิตกาวิน.2559) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการ เรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถทแ่ี ตกต่างกนั โดยท่ีแตล่ ะคนมสี ว่ นร่วมอยา่ งแทจ้ ริงในการเรียนร้แู ละความสาเร็จของกลุ่ม ท้ังโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการแบ่งปนั ทรัพยากรการเรยี นรแู้ ละความสาเร็จของกลมุ่ ทัง้ โดยการ แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ การแบง่ ปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งการเปน็ กาลังใจแก่กนั และกนั ทศิ นา แขมมณี (2552; อา้ งถึงในกิติยา กล้าหาญ. 2558) ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ วธิ ีการเรียนที่ จัดนกั เรียนเปน็ กลมุ่ ย่อย ๆกล่มุ ละ 4 ประกอบด้วย สมาชิกท่มี รี ะดับความสามารถแตกตา่ งกนั หลงั จาก ท่ีครูนาเสนอความรู้แก่นักเรียนทั้งช้ันเรียนแล้ว นักเรียนในแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละทีมจะทากิจกรรม ร่วมกัน โดยการอธิบายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกนั ปรึกษาหารือกันให้ให้ความช่วยเหลือกนั โดยการอธบิ ายแลกเปล่ียนความคิดเห็นซง่ึ กันและกนั ปรกึ ษาหารือกันให้ความชว่ ยเหลือกันในด้านการ เรียนเพ่ือให้สมาชิกแต่ละคนของกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจในบทเรยี นมากขึ้น รวมทั้งต้องเตรยี มสมาชกิ ในกลุ่มของตนให้พร้อมสาหรับการทดลองท่ีจะมีขึ้นหลังจบบทเรียนแต่ละบท เวลาเรียนนักเรียนจะ ร่วมมือกันศึกษาหาความรู้ แต่เวลาทดสอบนักเรียนจะต่างคนต่างทา จะช่วยเหลือกันไม่ได้ ผลจากการ ทดสอบของนักเรียนจะพิจารณาออกเป็น 2 ระดับ กล่าวคือ พิจารณาเป็นรายบุคคล และเป็นคะแนน คะแนนเฉลี่ยของกลุม่ ดงั นน้ั ในการเรยี นการสอนแบบน้ผี ู้เรยี นตอ้ งเขา้ ใจว่าการทางานของตนนน้ั ส่งผล ตอ่ การบรรลเุ ป้าหมายของกลุ่ม ทุกคนมสี ว่ นเพิม่ หรอื การลดคะแนนของกลุ่ม นกั เรยี นที่เกง่ จะพยายาม ช่วยเหลือนักเรียนท่ีอ่อน ด้วยการอธิบายแนะนาให้เข้าใจเร่ืองท่ีเรียน เพื่อที่จะทาให้คะแนนเฉล่ียของ กลุ่มดีขึ้น โดยครูมีรางวัลเป็นการเสริมแรง โดยการกล่าวชมเชย หรือการประกาศเกียรติคุณยกย่อง ชมเชยแกน่ ักเรียนท้ังกล่มุ หรือเป็น รายบุคคล เม่ือสามารถทาคะแนนได้ตามเกณฑท์ คี่ รไู ด้กาหนด
40 พมิ สิริ บุยมาก (2554 ; อา้ งถงึ ในกิติยา กลา้ หาญ. 2558) ได้ใหค้ วามหมายไว้ว่า การเรยี นแบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD เป็นวิธีการท่ีเน้นความสาคัญของการเรียนเป็นกลุ่ม การช่วยเหลือกันใน กลุ่มเป็นการฝึกทักษะทางสังคมให้กับผู้เรียน และทาให้มองเห็นคุณค่าของการร่วมมือกันในการ แสดงออกทางความรูม้ ากขนึ้ เพราะจะทาให้นักเรยี นเก่ง ปานกลาง และออ่ น รว่ มมอื กนั ทางานทาให้ นกั เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจในส่งิ ทีท่ าและในการเรยี นวชิ าอน่ื ไดด้ ีย่งิ ข้ึน สรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD จัดเป็นการเรียนรู้แบบเน้นให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้แบบกลุ่ม โดยการจัดกลุ่มท่ีมีลักษณะแบบเพื่อนช่วยเพอ่ื นในการจัดแบ่งเป็น เก่ง ปานกลาง และอ่อน ซึ่งจะทาให้ผูเ้ รยี นเกิดการช่วยเหลือระหวา่ งกลมุ่ กระตุ้นบคุ คลภายในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ได้รับ การชว่ ยเหลอื จากเพอื่ นในกลมุ่ การแบง่ ปันความรู้ภายในกลมุ่ อนั จะทาให้ผเู้ รียนเกดิ ความสัมพนั ธร์ วมถึง ปลูกฝงั่ ลักษณะนิสัยให้กับผู้เรียนเกดิ ความแบ่งปันและชว่ ยเหลอื 2.5.2 ลกั ษณะการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมอื เทคนคิ STAD Slavin (1995;อ้างถึงในกิติยา กล้าหาญ.2558) ได้อธิบายไว้ว่า วิธี STAD นี้สามารถใช้ได้กับ ทุกรายวิชา ตั้งแต่คณิตศาสตร์ไปจนถึงศิลป์ภาษา หรือสังคมศึกษา และใช้ได้กับระดับการศึกษาต้ังแต่ ชัน้ ประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย และเหมาะอย่างยิง่ กับรายวิชาท่ีมีการวางจุดประสงค์ไวอ้ ย่างแน่ชัด โดยมีคาตอบท่ีตายตัว เช่น คณิตศาสตร์ วิชาคานวณต่าง ๆ การใช้ภาษา และภูมิศาสตร์ เป็นต้น จุดประสงค์หลักของการใช้ STAD ก็เพื่อท่ีจะจูงใจให้ผู้เรยี นกระตือรือรน้ กล้าแสดงออก และช่วยเหลอื กนั ในการทาความเข้าใจเน้ือหานนั้ ๆ อยา่ งแท้จรงิ สลาวินได้อธิบายเพมิ่ เติมว่า การเรยี นตามวธิ ี STAD เป็นวธิ กี ารเรียนทง่ี า่ ยที่สุด และเปน็ ตัวอยา่ งทดี่ ีท่ีสดุ สาหรับครใู นการเริ่มต้นใช้วธิ กี ารเรยี นแบบร่วมมือ สุดใจ พงษ์เพียจันทร์ (2551) ได้อธิบายไวว้ ่า การจัดกิจกรรมแบบกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการเรียนรูท้ ่สี ่งเสริมใหน้ ักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ และทางานรว่ มกันเป็นกลมุ่ เล็ก ๆ กลมุ่ ละประมาณ 3- 5 คน สมาชิกในกลุ่มมรี ะดับความสามรถแตกต่างกัน เชน่ เพศ เชอื้ ชาติ และความสามารถทางการเรียน ร่วมมือกันศกึ ษาและปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย โดยทีส่ มาชิกแตล่ ะคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ ตน และตอ่ งานกลุม่ โดยมเี ป้าหมายร่วมกัน และได้รางวัลร่วมกนั เม่อื กลมุ่ ประสบความสาเรจ็ บัณชา ชินโณ(2556อ้างถึงในกิติยา กล้าหาญ.2558) ได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะการเรียนแบบ ร่วมมือไวว้ ่า การที่ผู้เรียนได้เรียนเป็นกลุ่มมกี ารทางานร่วมกัน นักเรียนได้พง่ึ พาอาศัยซึ่งกนั ภายในกลมุ่ มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ช่วยเหลือสนับสนุนกัน กระตุ้นส่งเสริมการทางานและการเรียนที่ได้รับ มอบหมายจนสาเร็จ ทาให้นักเรียนเกิดความรับผิดชอบในหน้าที่และบทบาทของตน รู้จักการทางานใน กลุ่มย่อย มีมนุษยสัมพันธ์ รู้จักการเรียนรู้ในนิสัยของคนอ่นื และมีความช่วยกันในการประเมินปรับปรงุ การทางานใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากขึ้น สรุปได้ว่าลักษณะการจัดการเรียนรู้แบบรว่ มมอื เทคนคิ STAD เป็นกลุ่มมีสมาชิก 4-5 คน ซึ่ง ประกอบด้วยนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง ซ่ึงในกลุ่มจะต้องร่วมมือกัน ให้ความ ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ในด้านการเรียน เพื่อท่ีจะให้แต่ละคนมีความร้คู วามเข้าใจในเนื้อหาท่ีเรียน เพ่ือ
41 เตรียมความพร้อมส่งตัวแทนในการมาทดสอบโดยคะแนนเฉลี่ยเข้ากลุ่มของผุ้เรียนอันจะแสดงถึงการ แบ่งปนั การมปี ฏิสมั พันธ์ในการเรียนรู้ของผเู้ รยี น 2.5.3 แนวคดิ การจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมอื เทคนิค KWDL การสอนแบบเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล (K W D L) หรอื เทคนิค เค ดบั เบลิ้ ยู ดี แอล (K W D L) ไดพ้ ัฒนาขึ้นโดย Ogle (1989) เพอื่ ใชส้ อนและฝึกทักษะทางการอา่ น และต่อมาได้พฒั นาให้สมบูรณ์ ขึ้น โดย Carr และ Ogle ในปีถัดมา (1987) โดยยังคงสาระเดิมไว้ แต่เพ่ิมการเขียนผังสัมพันธ์ทาง ความหมาย (Semantic Mapping) สรุปเร่ืองที่อ่าน และมีการนาเสนอเรื่องจากผังอันเป็นการพัฒนา ทักษะการเขยี นและพูด นอกเหนอื ไปจากทกั ษะการฟัง และการอ่าน โดยมวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั คือการสอน ทักษะภาษา แต่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการเรียนวชิ าอ่ืนๆที่มีการอ่านเพื่อทาความเข้าใจ เช่น วิชา สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น เพราะว่าผู้เรียนจะได้รับการฝึกให้ตระหนักใน กระบวนการการทาความเขา้ ใจตนเอง การวางแผนการ ต้งั จุดมงุ่ หมาย ตรวจสอบความเขา้ ใจในตนเอง การจัดระบบขอ้ มลู เพ่ือดงึ มาใชภ้ ายหลงั ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ จงึ มปี ระโยชน์ในการฝกึ ทักษะการอ่าน คิดวเิ คราะห์ เขยี นสรปุ และนาเสนอ 2.5.4 ความหมายของการจัดการเรยี นรแู้ บบร่วมมือเทคนิค KWDL นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ซ่ึงผู้ศกึ ษาได้รวบรวมไวด้ งั ต่อไปนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2554) ได้สรุปการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้เทคนคิ KWDLหมายถึง การเรียนรู้แบบทีจ่ ะชว่ ยช้นี าการคิดแนวทางในการอ่านและหาคาตอบของคาถามสาคญั ต่าง ๆ จากเรอ่ื ง นัน้ และยังสามารถนามาใช้ในการเรียนรแู้ ละเร้าความสนใจเป็นอยา่ งดีซ่งึ มี 4 ขั้นตอน 1. K (What We Know) เรารอู้ ะไร 2. W (What We Want to Know) เราต้องการรู้ ต้องการทราบอะไร 3. D (What We do to Find Out) เราทาอะไรอยา่ งไร หรือเรามวื ธิ กี ารอยา่ งไรบา้ ง 4. L (What We Learned) เราเรียนรู้อะไร Shaw et al. (2010) ได้ให้ความหมายเทคนิค KWDL หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนทป่ี ระกอบไปด้วย 4 ขัน้ ตอน 1. K (What We know) เรารู้อะไรบา้ ง 2. W (What We Want to Know) เราตอ้ งการรู้ ตอ้ งการทราบอะไร 3. D (What We do to Find Out) เราทาอะไรไปบ้างแลว้ 4. L (What We Learned) เราเรยี นรู้อะไรบ้าง จากความหมายท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL หมายถึง การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่ประกอบด้วย 4 ขนั้ ตอน คอื ขน้ั ที่ 1 K (What We Know) หมายถงึ เรารอู้ ะไรหรอื โจทย์บอกอะไรบา้ ง
42 ขัน้ ที่ 2 W (What We Want to Know) หมายถงึ เราต้องการรู้หรือเราต้องการทราบ อะไรหรือโจทย์ใหห้ าอะไร มีวธิ กี ารอย่างไร ใช้วธิ ีอะไรไดบ้ า้ ง ข้ันที่ 3 D (What We do to Find Out) หมายถึง เราทาอะไร อย่างไร หรือดาเนิน ตามกระบวนการแก้โจทยป์ ัญหา ขั้นที่ 4 L (What We Learned) หมายถึงเราเรียนรู้อะไรบ้าง สรุปเป็นความรู้ท่ี'ได้ จากการเรียนอย่างไร 2.5.5 กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ บบร่วมมือเทคนิค KWDL นกั การศึกษาหลายท่านไดก้ าหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนคิ KWDL ดงั น้ี Shaw et al. (1997) อาจารย์ประจามหาวิทยาลัยมิสซีสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ พฒั นา เทคนิค KWDL มาใช้ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนการแก้โจทย์ปีญหาคณิตศาสตร์ ซ่ึง มี 4 ขนั้ ตอน ดังนี้ ข้ันที่ 1 แบ่งกลุ่มให้นักเรียนช่วยกันหาส่ิงท่ีรู้เกี่ยวกับโจทย์ ส่ิงท่ีโจทย์กาหนดให้และสิ่งที่ โจทย์ตอ้ งการทราบโดยใชบ้ ตั รกจิ กรรมเทคนิค KWDL ข้ันท่ี 2 นักเรียนในกลุ่มร่วมกันอภิปรายเพื่อหาสิ่งที่ต้องการรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโจทย์ หา ความสัมพันธ์ชองโจทย์และกาหนดวิธกี ารในการแกัปีญหา ขน้ั ท่ี 3 นักเรียนชว่ ยกันดาเนินการเพ่ือแกโ้ จทยป์ ญั หาคณติ ศาสตร์ โดยเขยี นโจทยป์ ัญหา คณติ ศาสตร์ใหอ้ ยใู่ นรปู ประโยคสญั ลักษณ์ หาดาตอบและตรวจสอบดาตอบ ขน้ั ท่ี 4 ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มสรุปเปน็ ความรู้ท่ีไดจ้ ากการแก้โจทยป์ ญั หาคณิตศาสตร์ โดย ให้ ตัวแทนกลุม่ ออกมานาเสนอแนวคดิ ในการแกโ้ จทยป์ ญั หาคณิตศาสตร์ และสรุปสิง่ ท่ไี ด้จากการเรียน วัชรา เล่าเรียนดี (2554) ได้กาหนดข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิค KWDL ในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมี 4 ขัน้ ตอน ดังน้ี 1. ขน้ั นา 1.1 ทบทวนความรเู้ ดมิ 1.2 แจง้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.3 เร้าความสนใจดว้ ยเกมคณติ ศาสตร์ 2. ขน้ั สอนเน้อื หาใหม่ 2.1 ครูนาเสนอโจทย์ปัญหาให้กับนักเรียนท้ังขั้นแล้วให้นกั เรียนร่วมกันอ่านโจทยแ์ ละ แก้ปญั หาตามแผนผัง KWDL ดงั น้ี K = ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั หาสงิ่ ท่โี จทย์บอกใหท้ ราบ W = ครูและนกั เรียนรว่ มกันหาสิ่งทีโ่ จทย์ตอ้ งการทราบและวางแผนแก้โจทยป์ ญั หา คณติ ศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111