96 3.2 ทักษะขั้นสงู หรอื ทกั ษะข้นั ผสม 5 ทักษะ ไดแ้ ก่ 3.2.1 ทักษะการต้ังสมมตุ ฐิ าน (Formulating Hypothesis) 3.2.2 ทกั ษะการควบคมุ ตวั แปร (Controlling Variables) 3.2.3 ทกั ษะการตีความและลงขอ้ สรุป (Interpreting data) 3.2.4 ทักษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบตั กิ าร (Defining Operationally) 3.2.5 ทกั ษะการทดลอง (Experimenting) 4. เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้สึกท่ีดตี ่อวชิ าวิทยาศาสตร์ ได้แก่ มีเหตผุ ล ความอยากรูอ้ ยากเหน็ เป็นบคุ คลที่มีใจกว้าง เปน็ บุคคลทม่ี ีความซ่ือสัตย์ มคี วามเพยี รพยายาม มคี วาม ละเอียดรอบคอบ การนาความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช้แก้ปญั หาต่างๆ โดยใช้รูปแบบ โครงงาน แบง่ เป็น 4 ประเภท ดังน้ี 4.1 ประเภททดลอง มีขัน้ ตอนไดแ้ ก่ กาหนดปัญหา ตง้ั สมมตฐิ าน ออกแบบการทดลอง ดาเนินการทาลอง รวบรวมข้อมลู แปรผลและสรปุ การทดลอง 4.2 ประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล เป็นการศึกษา สารวจ และรวบรวมข้อมูลจากส่ิงท่ี สนใจแลว้ นามาจดั หมวดหมเู่ พือ่ ความชัดเจน โดยไม่ตอ้ งกาหนดตัวแปร 4.3 ประเภทประดิษฐ์ เป็นการนาหลักการหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์ อุปกรณเ์ คร่ืองมือ เครอ่ื งใช้ ทาใหป้ ระหยัดแรงงาน และค่าใช้จา่ ย 4.4 ประเภททฤษฎี เป็นการนาความคิดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ มาศึกษาทดลองจน พิสูจนไ์ ด้ดว้ ยความจริงทางวทิ ยาศาสตร์ หนว่ ยที่ 2 ส่งิ มีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม เซลล์ (Cell) หมายถึง หน่วยท่ีเล็กที่สุดของส่ิงมีชีวิต โดยเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ มี โครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องเซลล์ท่ีแตกตา่ งกนั เชน่ เซลล์พืชมีผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์ สร้างอาหารเอง ได้ ส่วนเซลล์สัตว์ ไม่มีผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์ จึงสร้างอาหารเองไม่ได้ ซ่ึงปัจจัยท่ีมีผลต่อการ ดารงชีวิตของพืชและสัตว์ ได้แก่ แสง อุณหภูมิ น้า ดิน อากาศ ลักษณะท่ีสาคัญของสัตว์ คือมี กระบวนการเมทาบอลิซึม (กระบวนการเผาผลาญพลังงาน) มีการเคลื่อนไหว มีความรู้สึกต่อสิ่งเร้า มีการเจรญิ เตบิ โตต้ังแต่ไข่ได้รบั การผสมและเจริญเติบโตจนเป็นตัวเต็มวัย มกี ารสบื พนั ธท์ุ ัง้ แบบอาศัยเพศ และแบบไมอ่ าศยั เพศ มีการปรับตวั ใหเ้ ข้ากบั สง่ิ แวดลอ้ ม มีการประสานงานในส่ิงมชี ีวติ วดิ ีทัศน์ เร่ืองเซลล์ ระบบนเิ วศ (Ecosystem) คือ ความสัมพันธ์ระหวา่ งกลมุ่ ส่งิ มชี วี ติ สิ่งแวดล้อม และแหล่ง ทีอ่ ย่หู รือทอ่ี ยอู่ าศัย ไดแ้ ก่ ประชากร ท่ีอาศยั อยใู่ นแหลง่ ที่อยเู่ ดยี วกนั ช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มสิ่งมีชีวิตท่ีมี ความสัมพันธ์กันและอาศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณใดบริเวณหน่ึง และแหล่งท่ีอยู่เป็นบริเวณที่มี สภาพแวดล้อมทมี่ สี ง่ิ มีชวี ติ อาศยั อยู่
97 โดยระบบนิเวศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ระบบนิเวศบนบก และระบบนิเวศในน้า ประกอบดว้ ย 1. ผผู้ ลติ หมายถึง สง่ิ มีชวี ิตทสี่ ร้างอาหารไดเ้ อง โดยวิธกี ารสังเคราะห์แสง 2. ผู้บริโภค หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ต้องบริโภคส่ิงมีชีวิตอื่น หรอื ส่งิ มีชวี ิตด้วยกันเองเป็นอาหาร พชื ทเี่ ป็นไดท้ งั้ ผู้ผลิตและผู้บริโภค ได้แก่ หมอ้ ขา้ วหม้อแกงลิง ว่านกาบหอยแครง เปน็ ต้น ผบู้ ริโภค แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ได้แก่ 1. ผู้บริโภคพืช เปน็ สง่ิ มีชวี ติ ที่กนิ พืชเป็นอาหารเพียงอยา่ งเดียว 2. ผบู้ ริโภคสตั ว์ เปน็ ส่งิ มชี ีวติ ท่กี นิ สตั วเ์ ป็นอาหารอยา่ งเดียว 3. ผู้บริโภคท้งั พชื และสัตว์ เป็นส่ิงมีชวี ิตท่กี ินทั้งพืชและสตั ว์เปน็ อาหาร 4. ผ้บู รโิ ภคซากพชื และซากสัตว์ เปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทก่ี ินซากพืช ซากสตั วท์ เี่ นา่ เปอื่ ย เป็นอาหาร ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งสง่ิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ 1. แบบต่างฝา่ ยต่างไดร้ ับประโยชน์ (+,+) คือ ได้ประโยชน์รว่ มกนั เชน่ เพล้ยี กับมดดา รากบั สาหรา่ ย แมลงกบั ดอกไม้ นกเอ้ยี งกบั ควาย ปูเสฉวนกบั ดอกไม้ทะเล เปน็ ต้น 2. ภาวะพึ่งพากัน (+,+) คอื การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ซึ่งต่างก็ได้รับประโยชน์ ซ่ึงกันและกัน หากแยกจากกันจะไม่สามารถดารงชีวิตต่อไปได้ เช่น ไลเคนส์ โปรโทซัวในลาไส้ปลวก แบคทีเรียในปมรากพชื ตระกูลถัว่ ราในรากพชื ตระกลู สน สาหร่ายสีเขยี วแกมน้าเงินในแหนแดง เป็นต้น 3. ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเก้ือกูล (+,0) คือ การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดย ฝ่ายหน่ึงได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ เช่น ปลาฉลามกับเหาฉลาม พืชอิงอาศัย บนต้นไม้ใหญ่ นก ต่อ แตน ผ้ึง ทารังบนต้นไม้ 4. ภาวะล่าเหย่ือ (+,-) คือ การอยู่ร่วมกันของส่ิงมีชีวิต โดยฝ่ายหนึ่งจับอีกฝ่ายหน่ึงเป็น อาหาร เรยี กวา่ ผู้ลา่ สว่ นฝา่ ยทถ่ี ูกจบั เป็นอาหารหรอื ถกู ล่า เรียกวา่ เหยื่อ เช่น แมวกับหนู เสือกับกวาง เปน็ ตน้ 5. ภาวะแข่งขัน (-,-) คือ การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีการแย่งปัจจัยในการดารงชีพ เหมือนกัน จงึ ทาให้เสียประโชนท์ ั้งสองฝ่าย เช่น เสอื สงิ โต สนุ ขั ช้างปา่ แย่งชิงครอบครองที่อยู่อาศัยหรือ อาหารพืชหลายชนดิ ทีเ่ จรญิ อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั 6. ภาวะปรสิต (-,+) คอื ความสมั พันธ์ของสงิ่ มีชีวติ ที่สิง่ มชี ีวิตชนิดหนงึ่ ไปอาศัยสิ่งมีชีวติ ชนดิ หนึง่ ฝา่ ยทไี่ ดป้ ระโยชน์ เรยี กวา่ ปรสิต ฝ่ายทีถ่ กู อาศัย เรียกวา่ ผูถ้ กู อาศยั เชน่ กาฝากกับต้นมะม่วง พยาธิทีอ่ าศยั อย่ใู นร่างกายของคนและสัตว์ หนอนกัดกินใบไม้ เป็นต้น 7. ภาวะมีการยอ่ ยสลาย (+,0) คือ ความสัมพันธ์ท่ีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งได้รับประโยชน์จาก ซากส่ิงมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ จุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา เป็นกลุ่มส่ิงมีชีวิตที่เป็นผู้ย่อยสลาย อนิ ทรียสาร โดยจุลนิ ทรียจ์ ะสร้างสารออกมายอ่ ยสลายซากสิ่งมีชีวิตให้มีขนาดเล็กลงเพื่อดูดกลับไปใช้ใน การดารงชีวิตของมัน ซ่ึงกระบวนการย่อยสลายดังกล่าวน้ีจะทาให้ซากส่ิงมีชีวิตเน่าเปื่อยและย่อยสลาย
98 เป็นอนนิ ทรียค์ นื กลบั สธู่ รรมชาติต่อไป เช่น เห็ดท่ีข้ึนบนขอนไม้ผุ โดยเห็ดจะย่อยสลายซากของไม้ผุเพื่อ นาไปเปน็ อาหาร ราที่ข้นึ บนซงั ข้าวโพด 8. ภาวะหลั่งสารยับยั้งการเจริญ (0,-) คือ การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หลั่งสารมายับยั้งการเจริญของแบคทีเรียสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน บางชนิดหล่ังสารพิษ เรียกว่า hydroxylamine ทาใหส้ ัตวน์ ้าในบริเวณนน้ั ได้รับอันตราย 9. ภาวะกระทบกระเทือน (0,-) คือ คล้ายกับภาวะหลั่งสารห้ามการเจริญเติบโต แต่การ อยู่รว่ มกันในลักษณะน้ีจะไม่มีการหล่ังสารออกมา เช่น ต้นไม้ใหญ่เม่ือโตเต็มท่ีจะบังแสงทาให้ต้นไม้เล็ก ประเภท ตน้ หญา้ และไม้ล้มลุกไม่ไดร้ ับแสงท่เี พยี งพอ 10. แบบเป็นกลางตอ่ กัน (0,0) คือ เป็นการอยรู่ ว่ มกันของสิง่ มชี วี ิตที่เป็นอิสระต่อกัน จึง ไมม่ ฝี า่ ยหน่ึงฝา่ ยใดได้หรือเสียประโยชน์ เช่น แมงมุมกับกระต่ายอาศัยอยู่ในทุ่งหญา้ แมงมมุ กินแมลงเป็น อาหาร สว่ นกระตา่ ยกินหญ้าเป็นอาหารจงึ ไมม่ ฝี า่ ยใดไดห้ รือเสียประโยชน์ กำรถำ่ ยทอดพลงั งำนในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศ เปน็ การถ่ายทอดพลังงานจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปยัง สิ่งมชี ีวิตชนิดหน่ึง เร่ิมต้นจากผู้ผลิตได้รับจากแสงอาทิตย์ มีน้าและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นวัตถุดิบ ซึ่งจากกระบวนการสังเคราะห์แสง พลังงานจากดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสารอาหารและ ถ่ายทอดไปยงั ผบู้ ริโภค ซงึ่ มี 2 ลกั ษณะดงั นี้ 1. หว่ งโซ่อาหาร (Food Chain) เป็นความสัมพนั ธ์ชองสิง่ มีชีวิตท่ีมีการกินเป็นทอด ๆ ใน แนวเดียวกัน การเขียนโซ่อาหารทาได้โดยเป็นลูกศรระหว่างสิ่งมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตท่ีถูกกินอยู่ทางซ้าย ส่วนผ้บู รโิ ภคอยทู่ างขวา รูปแสดงความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิตในรูปของห่วงโซ่อาหาร 2. สายใยอาหาร (Food Web) เปน็ ความสัมพนั ธ์ของส่งิ มชี ีวิตท่ีมีการถา่ ยทอดพลงั งาน ทีซ่ ับซ้อนมโี ซ่อาหารท่ีมคี วามสัมพนั ธก์ นั หลาย ๆ โซอ่ าหารในระบบนิเวศ
99 รูปแสดงความสมั พันธ์ของสิง่ มีชีวิตในรูปของสายใยอาหาร จานวนสิ่งมีชีวิตท่ีกินกันเป็นทอด ๆ ในระบบนิเวศ ต้ังแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภคลาดับท่ี 2 ผบู้ ริโภคลาดบั ที่ 2 มี จานวนมากกวา่ ผู้บริโภคลาดับท่ี 3 จนกระทั่งถึงผู้บริโภคลาดับสุดท้าย ซึ่งมีจานวน น้อยที่สุด สามารถเขียนพรี ะมดิ โซอ่ าหารของสงิ่ มีชวี ติ ได้ ดงั รูป รูปแสดงพรี ะมดิ โซอ่ าหารของสิ่งมีชีวติ
100 การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลาดับต่าง ๆ จนถึงผู้สลาย สารอนิ ทรยี ์ พลังงานจะลดลงไปในแต่ละลาดับ และเมื่อพิจารณาจานวนผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลาดับต่างๆ จะมีจานวนลดลงตามลาดับ ซึ่งคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงมวลสาร ซ่ึงทั้งการถ่ายทอดพลังงาน จานวน ประชากร และมวลของสง่ิ มีชวี ิตจะมีลกั ษณะเป็นรูปพรี ะมิด ซึ่งมี 3 แบบ ดังนี้ 1. พีระมิด จานวนของส่งิ มีชวี ิต (Pyramid of Numbers) ผผู้ ลติ จะมจี านวนมากกว่าผูบ้ รโิ ภค และผู้บรโิ ภคลาดับท่ี 1 จะมจี านวนมากกวา่ ผบู้ รโิ ภคลาดบั ท่ี 2 ผ้บู รโิ ภคสดุ ท้ายของโซ่อาหารจะมีจานวน น้อยที่สุด จานวนผู้บรโิ ภคลาดบั ท่ี 2 จานวนผ้บู รโิ ภคลาดับที่ 1 จานวนผู้ผลิต 2. พรี ะมดิ มวลของสงิ่ มีชีวิต (Pyramid of Biomass) สร้างขึ้นจากการคาดคะเนมวลของน้าหนัก แห้งของส่ิงมีชีวิตท่ีถ่ายทอดพลังงานตามลาดับโซ่อาหารแทนการนับจานวน เพราะจานวนของสิ่งมีชีวิต อาจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขนาดของสิ่งมีชีวิตต่างกัน จึงเสนอความสัมพันธ์ในรูปของมวลซ่ึงมีความ ถูกตอ้ งมากกวา่ พรี ะมดิ จานวนของสิ่งมีชวี ิต
101 ผบู้ ริโภคลาดบั ที่ 3 ผบู้ รโิ ภคลาดบั ที่ 2 (11 กรัม) ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 1 (37 กรมั ) ผู้ผลิต (807 กรัม) 3. พีระมิดปริมาณพลังงาน (Pyramid of Energy) เป็นพีระมิดที่แสดงอัตราการถ่ายทอด พลังงาน ในรูปของสารอาหาร (คือส่วนที่กินได้) ไปตามโซ่อาหาร ซึ่งมีความชัดเจนมากกว่าพีระมิดแบบ อน่ื และเปน็ พรี ะมดิ ที่มฐี านกวา้ งเสมอ ผู้บริโภคลาดับท่ี 2 (48 กิโลแคลอร)ี่ ผบู้ รโิ ภคลาดับที่ 1 (596 กโิ ลแคลอร่ี) ผู้ผลติ (36,381 กโิ ลแคลอรี่) วิดีทัศน์ เร่อื งระบบนเิ วศ หน่วยที่ 3 สำรเพ่ือชีวิต สำรและสมบัติของสำร สาร (Substance) หมายถึง สิ่งท่ีมีมวล ต้องการท่ีอยู่และสัมผัสได้ มี 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เช่น เงิน และเกลือแกง เป็นของแข็ง น้า และเอทานอล เป็นของเหลว คาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซออกซเิ จน เปน็ กา๊ ซ เป็นตน้
102 สมบตั ขิ องสาร หมายถึง ลักษณะประจาตัวของสาร เช่น สถานะ สี กลิ่น รส การละลาย การนาไฟฟา้ จุดเดือด และการเผาไหม้ เปน็ ต้น 1. สมบัติของสำร แบง่ เป็น 2 ประเภท ดังน้ี 1.1 สมบตั ทิ างกายภาพ หมายถึง สมบัตเิ ฉพาะตวั ของสารทีส่ ังเกตเห็นได้ง่ายจากลักษณะ ภายนอก หรือจากการทดลองง่าย ๆ โดยไมเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี เช่น สถานะ รูปร่าง สี กล่ิน รส การละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น การนาความร้อน การนาไฟฟ้า ความร้อนแฝง ความถว่ งจาเพาะ เปน็ ต้น 1.2 สมบตั ิทางเคมี หมายถึง สมบตั เิ ฉพาะตัวของสารท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เช่น การเกิดสารใหม่ การสลายตวั ให้ไดส้ ารใหม่ การเผาไหม้ การระเบดิ ความเปน็ กรด - เบส ของสาร และการเกิดสนิมของโลหะ เปน็ ตน้ 2. สำรจำแนกได้ดังน้ี 2.1 การใชส้ ถานะเป็นเกณฑ์ จาแนกได้ 3 สถานะ คือ ของแข็ง (Solid) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงท่ี อนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม, ทองแดง ของเหลว (Liquid) จะมีรูปร่าง ตามภาชนะท่ีบรรจุ และมีปริมาตรที่คงท่ี อนุภาคภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็ง และมีสมบัติเป็น ของไหล เช่น นา้ มัน, แอลกอฮอล์, ปรอท ฯลฯ ก๊าซ (Gas) จะมีรูปร่าง และปริมาตรที่ไม่คงท่ี โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะท่ีบรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ห่างกันมากที่สุด และมีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหงุ ตม้ , อากาศ 2.2 การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จาแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สารเนื้อเดียว เป็นสารท่ีมี เนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทาให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์, ทองคา(Au), โลหะบัดกรี สารเนื้อผสม (Heterogeneous Substance) เป็นสารท่ีมีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทาใหส้ ารน้ันมสี มบตั ิ ไม่เหมอื นกันตลอดทกุ สว่ น เช่น นา้ อบไทย, นา้ คลอง ฯลฯ 2.3 การใช้การละลายน้าเป็นเกณฑ์ จาแนกได้ 3 กลุ่ม คือ สารที่ละลายน้าได้ เช่น เกลอื แกง, ด่างทบั ทิม ฯลฯ สารท่ลี ะลายน้าได้บา้ ง เช่น ก๊าซคลอรีน, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ และ สารท่ีไม่สามารถละลายน้าได้ เช่น กามะถนั , เหลก็ ฯลฯ 2.4 การใช้การนาไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จาแนกได้ 2 กลุ่ม คือ สารท่ีนาไฟฟ้าได้ เช่นทองแดง, นา้ เกลอื ฯลฯ และสารที่ไม่นาไฟฟา้ เช่น หนิ ปูน, กา๊ ซออกซิเจน ตวั อย่ำงสำรและผลิตภณั ฑข์ องสำรท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวนั วิดีทัศน์ เร่ืองสารและการจาแนกสาร
103 หนว่ ยที่ 4 แรงและพลงั งำนเพ่อื ชวี ติ แรง (Force) หมายถึง อานาจอย่างหนึ่งท่ีกระทาหรือพยายามกระทาต่อวัตถุแล้วทาให้วัตถุเกิด การเปลี่ยนแปลงสภาพ เชน่ ถ้ามีแรงมากระทากับวตั ถุซงึ่ กาลังเคล่อื นท่ี อาจทาให้วัตถุน้ันเคล่ือนท่ีเร็วขึ้น ช้าลง หรือหยดุ น่ิง หรอื เปล่ียนทิศทาง แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ คือ ต้องบอกขนาดและทิศทาง มีหน่วย เป็น นวิ ตนั งาน (Work) คือ ผลของแรงที่กระทาตอ่ วตั ถเุ พ่ือให้วัตถุเคลอ่ื นทต่ี ามแรงท่กี ระทา พลังงาน (Energy) หมายถึง ความสามารถทางานได้ สิ่งใดท่ีทางานได้ เรียกว่า สิ่งนั้นมีพลังงาน เช่น - พลงั งานลมในรูปของพลังงานจลน์ของลม - พลังงานน้าในรูปของพลังงานศักย์ของน้าฝนท่ีตกลงมาและถูกกักเก็บไวใ้ นท่ีสงู - พลังงานมหาสมุทรในรูปของพลังงานจลน์ของคลื่นและกระแสน้าและพลังงานความ รอ้ นในน้าของมหาสมุทร - พลังงานชีวมวลในรูปของพลังงานเคมีและชีวมวล - พลังงานฟอสซิลในรูปของพลังงานเคมีของถ่านหินน้ามัน และแก๊สธรรมชาติ แหล่ง พลงั งานทางอ้อมของดวงอาทติ ยก์ ไ็ ด้ แสง (Light) เป็นพลังงานรูปแบบหน่งึ ท่ชี ่วยใหม้ องเหน็ สงิ่ ตา่ ง ๆ รอบตัวแหล่งกาเนิดแสงที่มนุษย์ สร้างขึน้ เชน่ หลอดไฟ ตะเกยี ง เทยี นไขแหล่งกาเนดิ แสง แสงจากดวงดาว แสงจากดวงจันทร์ วดิ ที ศั น์ เรอ่ื งงานและพลังงาน หนว่ ยท่ี 5 ดำรำศำสตรเ์ พอ่ื ชวี ิต ดวงดำวกบั ชวี ติ กลุ่มดาวจักรราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์ จานวน 12 กลุ่ม ที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ออกไป โดยเม่อื มองจากโลกจะเห็นกลุม่ ดาวเหลา่ น้ี ปรากฎแตกต่างกันไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซ่ึงมนุษย์ ในสมัยโบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลมุ่ ดาวเปน็ สง่ิ ตา่ งๆ ดาวเหนือ หรือ ดาวโพลาริส เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างท่ีสุดในกลุ่มดาวหมีเล็ก และอยู่ใกล้กับ ขว้ั ฟา้ เหนือ จึงปรากฏเหมือนอยู่น่ิงกับที่บนทอ้ งฟา้ การใชป้ ระโยชน์จากตาแหน่งของกลุ่มดาวฤกษ์ - การบอกเวลา กลุ่มดาวที่บอกเวลาที่นิยมกันเป็นส่วนใหญ่คือ ดาวหมีใหญ่ (Ursa Major) เป็น กลุ่มดาวที่อยู่ในซีกโลกเหนือ คนไทยเรียกว่า กลุ่มดาวจระเข้ ในตอนหัวค่าเราจะเห็นด้านหัวของดาว จระเขข้ ้นึ ทางทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ และเมอ่ื เวลา 24.00 น. ดาวกลุ่มน้ีจะอยู่กลางท้องฟ้าโดยส่วน หัวจะช้ีไปทางทศิ เหนอื และเม่ือใกล้สว่างส่วนหัวจะค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก เราจึงนิยมใช้ กลมุ่ ดาวหมีใหญ่หรือกลุม่ ดาวจระเข้ในการบอกเวลา
104 - การหาทิศดาวทีเ่ รานิยมใช้ในการหาทศิ คอื ดาวเหนอื (Polaris) ซึง่ เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ข้ัวโลก เหนือมากท่ีสุด อยู่ในกลุ่มดาวหมีเล็ก (Ursa Minor) ดาวเหนือจะอยู่คงท่ีส่วนดาวอ่ืนจะโคจรไปรอบๆ ตามการหมุนรอบตัวเองของโลก ดังนั้น เราจึงใช้ดาวเหนือในการหาทิศ กล่าวคือ ถ้าหันหน้าไปทางดาว เหนือคอื ทิศเหนือด้านขวามือจะเป็นทิศตะวันออก ด้านซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันตก และด้านหลังจะเป็น ทิศใต้ วิดีทศั น์ เร่ืองดวงดาวกับชวี ิต หมำยเหตุ : ใหน้ ักศกึ ษา ได้ศกึ ษาเพิ่มเตมิ จากหนังสอื แบบเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ พว21001
105 แบบทดสอบรำยวชิ ำวิทยำศำสตร์ พว21001 จงเลือกคำตอบท่ีถกู ต้องที่สุดเพยี งคำตอบเดียว 5. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์หมายถึงข้อใด 1. วทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ขอ้ ใด ก. พฤตกิ รรมที่แสดงออกมาจากการคิดแกไ้ ขปัญหา ก. การนาเอาข้อมูลพ้ืนฐานของคนมาทานายเพอื่ บอก ทางวทิ ยาศาสตร์ อนาคต ข. พฤตกิ รรมที่ส่งผลใหเ้ กิดการความชานาญทางดา้ น ข. การนาเอาความรู้เกี่ยวกับส่งิ ต่าง ๆ ในธรรมชาติมา วทิ ยาศาสตร์ ศึกษาหาความจริง ค. พฤตกิ รรมท่ีเกิดจากการสังเกตและการทดลอง ค. การนาข้อมูลท่ที ดลองหรอื สงั เกตไดจ้ ากธรรมชาติ ทางวิทยาศาสตรอ์ ย่างชานาญ มาศกึ ษาเพ่ือหาความจริง ง. พฤตกิ รรมทเ่ี กิดจากการคดิ และการปฏบิ ัตทิ าง ง. การนาเอาความร้เู ก่ียวกบั สง่ิ ต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้ง วทิ ยาศาสตรจ์ นเกิดความชานาญ ท่ีมีชีวิตและไม่มชี ีวิตมาศึกษาเพ่ือหาความจริง 6. โครงสรา้ งทท่ี าหนา้ ท่เี ปรยี บไดก้ บั สมองของเซลล์ 2. จดุ เร่มิ ตน้ ของการศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์ของ ไดแ้ ก่ขอ้ ใด นกั วิทยาศาสตร์มกั มาจากทกั ษะใด ก. ไรโบโซม ก. การวัด ข. นิวเคลียส ข. การสังเกต ค. เซนทรโิ อล ค. การจาแนก ง. คลอโรพลาสต์ ง. การใช้ตัวเลขและการคานวณ 7. เปรยี บผนังเซลล์เปน็ สว่ นใดของร่างกาย 3. การออกแบบการทดลอง การปฏบิ ตั ิการทดลองและ ก. หัวใจ การบนั ทกึ ผลการทดลองใชใ้ นทกั ษะกระบวนการทาง ข. ผวิ หนัง วทิ ยาศาสตร์ใด ค. ช้นั ไขมัน ก. ทักษะการทดลอง ง. เสน้ เลือด ข. ทกั ษะการต้ังสมมุตฐิ าน 8. ออแกเนลล์ใดท่ีไม่สามารถพบได้ในเซลล์สัตว์ ค. ทกั ษะการตคี วามและลงข้อสรปุ ก. ไซโทพลาสซมึ ง. ทักษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบัตกิ าร ข. เย่ือหมุ้ เซลล์ 4. ข้อใด ไม่ใช่ คุณลักษณะของบุคคลทีม่ เี จตคติทาง ค. เซนทริโอล วิทยาศาสตร์ ง. ผนังเซลล์ ก. เปน็ คนมีเหตุผล ข. เปน็ คนชา่ งสังเกต ค. เป็นคนอยากรอู้ ยากเห็น ง. เป็นคนละเอยี ดรอบคอบ
106 9. เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์แตกต่างกันอย่างไร 14. ข้อใดตอ่ ไปนี้เป็นความหมายของสารประกอบ ก. เซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีลักษณะเหมือนกนั มาก ก. สารที่ธาตเุ ปน็ ชนดิ เดียวกนั ข. เซลลพ์ ืชมีลักษณะกลมรี ส่วนเซลล์สตั ว์มีลักษณะ ข. สารทเี่ กดิ จากธาตุ 2 ชนิดข้นึ ไปมารวมกัน เป็นเหลยี่ ม ค. โมเลกุลของสารประกอบด้วยธาตุ 2 อะตอมขึ้น ค. เซลลพ์ ืชและเซลล์มีลักษณะรูปร่างนิวเคลยี สที่ ไป แตกตา่ งกนั ง. ผลติ ภัณฑ์ทไี่ ดจ้ ากการทาปฏกิ ิริยากันของสาร 2 ง. เซลล์พืชมลี ักษณะเปน็ ส่เี หล่ยี ม ส่วนเซลล์สตั วเ์ ปน็ ชนดิ วงกลม 15. ขอ้ ความตอ่ ไปน้ขี อ้ ใดถกู ตอ้ ง 10. ระบบนเิ วศ หมายถึงอะไร ก. ธาตบุ างชนิดเป็นสารเน้ือเดียว ก. ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิตในปา่ ไม้ ข. สารละลายทุกชนิดเปน็ สารบริสทุ ธ์ิ ข. ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมชี ีวิตในแหล่งที่อยูอ่ าศัย ณ ค. สารบริสุทธิ์บางชนดิ เป็นสารเนื้อเดียว ทใี่ ดทห่ี น่งึ ง. สารประกอบทกุ ชนิดเป็นสารเนื้อเดยี ว ค. ความสัมพนั ธ์ระหว่างธรรมชาติกบั ส่งิ มีชีวติ ใน ต่างแหล่งที่อยู่ท่ีหลากหลาย 16. ขอ้ ใดจัดเป็นสารเน้อื เดียว ง. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชีวติ ทอ่ี าศัยอยใู่ นทวปี ก. น้าพริกกะปิ เดยี วกันโดยมสี ภาพพืน้ ทเ่ี หมือนกัน ข. พรกิ เกลือ ค. ทองแดง 11. สิง่ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ แบ่งออกเป็น 3 กล่มุ มี ง. แยม อะไรบ้าง ก. ปา่ ไม้ พืช สัตว์ 17. ตวั ถูกละลายคืออะไร ข. สัตว์ พืช แบคทีเรยี ก. สารทม่ี ปี รมิ าณน้อยกว่า ค. ผู้ผลิต ผบู้ รโิ ภค ผ้ยู ่อยสลาย ข. สารทม่ี ีสถานะเดียวกบั สารละลาย ง. สตั วก์ ินพชื สตั วก์ นิ สัตว์ สัตวก์ นิ ซาก ค. สารทีม่ สี ถานะเปน็ ของเหลวเทา่ นน้ั ง. สารที่มคี วามหนาแน่นนอ้ ยกว่าสารละลาย 12. ข้อใดจะมีความดันของบรรยากาศมากท่ีสดุ ก. กน้ เหว 18. ข้อใดต่อไปน้ีกล่าวถูกตอ้ ง ข. ยอดภูเขา ก. พลังงาน คือ ส่ิงที่ทาให้เกิดแรง ค. กลางทงุ่ นา ข. พลังงานคือสิ่งที่ทาให้วัตถุเคล่ือนที่ ง. ระดับน้าทะเล ค. พลังงานคือความสามารถในการทางาน ง. พลังงานคือการออกแรงกระทาให้วัตถุเคล่ือนท่ี 13. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ สาร ก. นา้ แกงกาลงั เดอื ด ข. เสยี งของสุนัขหอน ค. เกลือแกงใสล่ งในอาหาร ง. สายไฟทที่ าจากพลาสติก
107 19. ดาวเคราะห์ดวงใดท่มี ขี นาดใกล้เคยี งกับโลกมาก 20. ดวงดาวใดมีประโยชนใ์ นการหาทิศ ทส่ี ุด ก. ดาวไถ ก. ดาวพุธ ข. ดาวเสาร์ ข. ดาวศุกร์ ค. ดาวลกู ไก่ ค. ดาวองั คาร ง. ดาวเหนือ ง. ดาวเนปจูน
108 สรุปเนื้อหำรำยวชิ ำช่องทำงกำรพฒั นำอำชีพ อช21001 จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. มีความรู้ และความเขา้ ใจ การงานอาชีพ ช่องทางการพัฒนาอาชีพ การตัดสินใจเลือกพัฒนา อาชีพ วพิ ากษว์ จิ ารณ์เรื่องต่าง ๆ ได้ 2. มคี วามคิดสร้างสรรค์ทางการงานอาชีพ ช่องทางการพัฒนาอาชีพ การตัดสินใจเลือกพัฒนา อาชีพ ขอบเขตเนือ้ หำ ศกึ ษา และฝึกทกั ษะเก่ียวกับเรือ่ งตอ่ ไปนี้ การงานอาชีพ ช่องทางการพัฒนาอาชีพ การตัดสินใจ เลอื กพฒั นาอาชพี หนว่ ยที่ 1 กำรงำนอำชีพ การพัฒนาอาชีพ หมายถึง การทาให้อาชีพท่ีมีอยู่น้ันเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีข้ึน กว่าเดิม ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด การพัฒนาอาชีพเป็นส่ิงท่ีสาคัญในวิถีชีวิต และการ ดารงชีพในปัจจุบัน เพราะอาชีพเป็นการสร้างรายได้เพ่ือเล้ียงชีพตนเองและครอบครัว อาชีพก่อให้เกิด ผลผลิตและการบริการ ซ่ึงสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค และที่สาคัญคือ การพัฒนาอาชีพมี ความสาคัญต่อเศรษฐกิจ ของประเทศชาติ ความสาคัญจึงเป็นฟันเฟืองในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกจิ ชุมชน ส่งผลถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติการประกอบอาชีพในปัจจุบัน มีการแบ่ง ตามลกั ษณะของการประกอบอาชพี ออกเปน็ 5 กล่มุ ดงั นี้ 1. กล่มุ อาชีพด้านการเกษตร 2. กลมุ่ อาชีพด้านพาณิชยกรรม 3. กลุ่มอาชพี ดา้ นอุตสาหกรรม 4. กลุ่มอาชพี ด้านความคิดสร้างสรรค์ 5. กลุ่มอาชพี ดา้ นอานวยการและอาชีพเฉพาะทาง การประกอบอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศ และภูมิภาค 5 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย ทวีป ออสเตรเลยี ทวีปอเมริกาและอเมรกิ าใต้ ทวีปยโุ รป และทวปี แอฟรกิ า มกี ารประกอบอาชีพท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับตนเอง การประกอบอาชีพของประชากรในทวีปออสเตรเลียมีความคล้ายคลึงกับการ ประกอบอาชีพในประเทศไทย ได้แก่ อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อและโคนม การปลูกข้าวสาลี การปลูกอ้อย การปลกู กล้วย และการปลกู ยาสูบ เปน็ ต้น การประกอบอาชีพของประชากรในทวีปอเมริกาเหนือมีความ คล้ายคลึงกับการประกอบอาชีพของประชากรในประเทศไทย ได้แก่ อาชีพการเลี้ยงวัวเนื้อ การปลูก ข้าวโพด การประกอบอาชีพของประชากรในทวีปอเมริกาใต้มีความคล้ายคลึงกับการประกอบอาชีพใน ประเทศไทย ได้แก่ อาชพี การเลีย้ งโคเน้ือ การเล้ียงหมู การปลกู ยางพารา การปลูกข้าวโพด การปลูกมัน สาปะหลัง และกาแฟ การประกอบอาชีพของประชากรในทวีปยุโรปจะโดดเด่นในด้านพาณิชยกรรม เนอื่ งจากมกี ารตดิ ตอ่ ส่ือสารคมนาคมกบั ต่างประเทศเปน็ จานวนมาก สาหรับอาชพี ท่ีมีความคล้ายคลึงกับ การประกอบอาชีพของประเทศไทย คือ อาชีพการการปลูกองุ่น การปลูกมะนาว การเลี้ยงโคเนื้อและ
109 โคนม การประกอบอาชีพของประชากรในทวีปแอฟริกามีความคล้ายคลึงกับการประกอบอาชีพใน ประเทศไทย เชน่ อาชีพการปลกู ยางพารา อาชีพการปลกู ปาลม์ น้ามนั และอาชพี การเลยี้ งโคเน้ือ เป็นต้น การพัฒนากระบวนการจัดการงานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศ และภูมิภาค 5 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเซีย ทวีปออสเตรเลีย ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา มีกระบวนการจัดการงาน ดังน้ี 1) การจัดการการผลิต 2) การจัดการการตลาด 3) การขนส่ง 4) การขาย 5) การกาหนดราคา และ 6) การทาบญั ชีรายรบั – รายจ่าย คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพ มีประโยชน์ที่สามารถนาไปใช้ได้ คณุ ธรรม หมายถงึ สภาพคณุ งามความดี และจริยธรรม หมายถงึ ธรรมทเ่ี ป็นข้อประพฤติปฏิบัติ คือศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม หมายถึง การประพฤติปฏิบัติที่ดีท่ีชอบทั้งกาย วาจา และใจ เป็นการ ประพฤติปฏบิ ตั ิเปน็ ไปดว้ ยความจรงิ ใจ ไม่เสแสรง้ เปน็ ไปโดยธรรมชาติของแต่ละบุคคล ดังน้ัน คุณธรรม จริยธรรม ในการประกอบอาชีพ นับว่ามีผลต่อความม่ันคงของอาชีพ ผู้ขายกับผู้ซื้อจะต้องมีคุณธรรม จรยิ ธรรมตอ่ กัน จงึ จะคา้ ขายรว่ มกนั ไดเ้ ป็นเวลานาน การอนุรักษ์พลังงานและส่ิงแวดล้อมในชุมชน สังคม ประเทศ และภูมิภาค 5 ทวีป ในการ ทางานอาชพี ในชุมชนสามารถอนรุ กั ษพ์ ลังงาน โดยการใช้พลงั งานใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพสูงสุด มีการพัฒนา และนาพลังงานจากแหล่งใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อทดแทน และมีการป้องกันการสูญเสียพลังงาน โดยการใช้ สิ่งแวดล้อมอย่างชาญฉลาด ไม่ให้เกิดพิษภัยต่อสังคมส่วนรวม ดารงไว้ซ่ึงสภาพเดิมของสิ่งแวดล้อมทาง ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มท่ีมนุษย์สรา้ งข้นึ รวมทั้งหาทางกาจดั และป้องกนั มลพษิ ส่ิงแวดลอ้ ม หน่วยที่ 2 ช่องทำงกำรพัฒนำอำชีพ เรอื่ งที่ 1 ควำมจำเป็นในกำรมองเหน็ ชอ่ งทำงเพือ่ พฒั นำอำชีพ การประกอบอาชพี หรอื ประกอบธรุ กิจหรือดาเนนิ การสง่ิ ใด เช่น การเดินทางไปที่ใดสักแห่งหนึ่ง การจัดเล้ียงเหล่าน้ี เป็นต้น จะต้องมีการกาหนดแผนเสียก่อน ถึงแม้ว่าบางคนอาจทากิจการโดยไม่มี แผนงาน ซึ่งอาจประสบความสาเร็จในช่วงแรก ๆ เท่าน้ัน แต่ระยะเวลาอาจมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น สง่ ผลใหเ้ กิดอุปสรรคการประกอบอาชพี เช่น การเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง หรือแม้กระท่ังความสลับซับซ้อนของงานท่ีมากข้ึน เพราะส่ิงเหล่าน้ีไม่ได้ผ่านการคาดคะเน และการคิด อยา่ งรอบคอบกอ่ น การวางแผน เป็นการคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะทาอะไร มีจุดมุ่งหมายอะไร มีวิธีการอย่างไร เป็นกระบวนการทีม่ ีรูปแบบอยา่ งหนึ่ง มีการระบุเป้าหมาย และแผนรายละเอียดต่าง ๆ มกี ารประสานกิจกรรมตา่ ง ๆ ตั้งแตจ่ ุดเรมิ่ ต้นจนกระทง่ั ถงึ จดุ สิน้ สดุ การประกอบอาชพี มคี วาม ยุ่งยาก สลับซับซ้อน การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องมีความสอดคล้องกันกับทรัพยากร และ งบประมาณที่มีอยู่ เพอื่ ใหม้ ีความเปน็ ไปได้มากที่สุด ดังน้ัน การวางแผนจึงมีความสาคัญต่อการประกอบ อาชีพ ดังน้ี คือ
110 1. ช่วยทาใหก้ ารดาเนินงานบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามเป้าหมาย 2. ช่วยทาใหก้ ารใช้ทรัพยากรเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 3. ช่วยทาใหก้ ารดาเนินงานมีความเส่ียงน้อยลง และมีความเช่ือมนั่ ในการบรหิ ารงานมากขน้ึ 4. ชว่ ยป้องกันการขัดแยง้ ซ่งึ อาจจะเกดิ ขึ้นระหวา่ งการดาเนนิ งานได้ 5. ชว่ ยปรบั วิธกี ารดาเนนิ งาน หรือเปลย่ี นแปลงกจิ กรรมบางอยา่ งได้อย่างเหมาะสม เรอื่ งที่ 2 ควำมเปน็ ไปได้ในกำรพัฒนำอำชีพ 1. การลงทุน หมายถึง การออมเพอื่ ให้ไดร้ ับผลตอบแทนท่มี ากข้ึน ซง่ึ เราจะต้องยอมรับความ เส่ียงทเ่ี พิ่มขน้ึ เช่นกนั การตัดสินใจนาเงินออมมาลงทุน เราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหา ข้อมลู ที่เก่ียวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนท่ีคาดหวังไว้ และเพื่อลดความเส่ียงที่เกิดข้ึนจาก การลงทนุ 2. การตลาด เป็นกิจกรรมทางธุรกิจท่ีมีความจาเป็น และมีความสาคัญต่อการอยู่รอดของ องคก์ รธุรกจิ ในระบบเศรษฐกจิ แบบเสรนี ิยมนั้น ธรุ กจิ จาเปน็ จะต้องอาศัยกลยทุ ธ์ทางการตลาด ซึ่งสิ่งนั้น ก็คอื การขาย การเรยี นรเู้ พอ่ื ให้เข้าใจถงึ ความแตกต่างของการขาย และการตลาดอย่างชัดเจนจะช่วยให้ ธรุ กจิ พฒั นาต่อไป รวมถึงหน้าที่ของการขาย และการตลาดด้วย ดังน้ัน เป้าหมายของธุรกิจจะดาเนินไป ในทศิ ทางที่มุ่งหวังได้ จงึ จาเป็นทต่ี อ้ งศึกษาความสาคญั ของการตลาด และการขายอย่างละเอียด 3. กระบวนการผลิต หมายถงึ กระบวนการผลติ สินคา้ การใหบ้ ริการ ตามความตอ้ งการของ ผู้บริโภค ซ่ึงประกอบไปด้วยลูกค้า ตลาดแรงงาน สังคม ประเทศชาติ และประชาคมโลก โดยมีวิธีการ ในการควบคมุ ดูแลการผลิตอย่างมีคุณภาพท่ีได้มาตรฐาน และการสร้างคุณลักษณะท่ีโดดเด่น ของสินค้า หรือบริการ 4. การขนส่ง หมายถึง การเคล่ือนย้ายสินค้าจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึง ซ่ึงเป็นหน้าที่ของ ผผู้ ลติ ทจ่ี ะใหป้ ระโยชน์แก่ผู้บริโภค ในดา้ นเวลา และสถานท่ี ส่งผลใหส้ นิ ค้ามมี ูลค่าเพ่มิ ขึ้น เพราะหลักใน การจัดการขนส่งมีอยู่ว่า “มูลค่าสินค้าที่เพิ่มข้ึนหลังจากขนส่งไปแล้วจะต้องสูงกว่าค่าขนส่ง” ซึ่งมีสินค้า บางชนิด ท่ีคา่ ขนสง่ สงู กว่าราคาตัวสินค้าจริงมาก เช่น การขนหินทราย ยิปซัม ถ่านหิน แต่ก็มีสินค้าบาง ชนิดท่ีค่าขนส่ง ถูกกว่าราคาสินค้าจริง เช่น การขนทองคา เพชรพลอย และยา ซ่ึงการขนส่งทางธุรกิจมี 3 ทาง คอื 1) ทางบก 2) ทางเรือและ 3) ทางอากาศ 5. การบรรจุหบี ห่อ นอกจากใช้ป้องกันผลิตภัณฑ์แล้ว ยังใช้ในการส่งเสริมการขาย ซ่ึงถือว่า มีความสาคัญมากท้ังสาหรับผู้ขายและผู้บริโภค การบรรจุหีบห่อท่ีดีทาให้สามารถรักษาง่ายประหยัด เนือ้ ท่ี และทาใหผ้ บู้ ริโภคมองเหน็ ความแตกต่างของผลติ ภณั ฑ์ไดช้ ดั เจน 6. การแปรรูป หมายถึง การนาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีอยู่ในรูปวัตถุดิบมาผ่าน กระบวนการดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีมาใช้ในกรรมวิธีการผลติ การแปรสภาพเพ่ือสามารถบริโภค มีอายุยืนยาวข้ึนตลอดทัง้ ความสะดวกสบายในรูปผลิตภัณฑ์ก่ึงสาเร็จรูป 7. ผลกระทบ หมายถึง ผลท่ีได้รับหรือเกิดจากการกระทาที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลดีหรือ ผลเสีย ในระยะยาวอย่างไร โดยประโยชน์ท่ลี งสปู่ ระชาชนนน้ั ประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างจาก การดาเนนิ การของโครงการนท้ี ่สี ามารถแสดงผลประโยชน์ตอ่ สงั คม ระบบสงิ่ แวดลอ้ ม
111 เร่ืองที่ 3 กำรกำหนดวิธกี ำรพฒั นำอำชพี พร้อมเหตุผล 1. เทคนิควิธีการทางานของอาชีพท่ีเลือกประกอบการ เป็นเคล็ดวิชาในการประกอบอาชีพ แตล่ ะอาชีพใหป้ ระสบความสาเร็จ จึงเป็นปัจจัยสาคัญท่ีผู้ประกอบอาชีพจะต้องเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่อง แท้ 2. เทคนิควิธีการทางานช่วยลดขั้นตอนการทางานอาชีพบางอาชีพให้สาเร็จอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบอาชพี จะนาเวลาท่ีเหลือไปดาเนนิ การในงานย่อยอืน่ ๆ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป 3. เทคนิคการทางานชว่ ยให้การทางานประหยัดขน้ึ เช่น ใช้วัสดุบางอย่างท่ีมีราคาถูก หาง่าย ในท้องถ่ิน ทดแทนวัสดุที่มีราคาแพงหรือหายากมาใช้ในการผลิตแทน ผลผลิตท่ีผลิตได้ยังมีคุณภาพ เหมือนเดิม 4. เทคนคิ วธิ ีการทางานช่วยใหผ้ ลติ ไดม้ ากขน้ึ โดยการนาเคร่ืองมอื อุปกรณ์ทด่ี ัดแปลงมาใช้ใน การเพิ่มปริมาณการผลิต ผู้ผลิตเสาะแสวงหาเทคโนโลยีต่าง ๆ ท่ีมีในท้องถิ่นมาใช้หรือดัดแปลง พัฒนา เทคโนโลยีทมี่ ีอยู่แล้วใหช้ ว่ ยเพม่ิ ผลผลติ ให้มากขึน้ 5. เทคนิควิธีการทางานช่วยให้งานอาชีพมีคุณภาพ มีมาตรฐานเป็นสากล เป็นท่ียอมรับของ ตลาด หนว่ ยที่ 3 กำรตัดสินใจเลือกพัฒนำอำชีพ เรื่องท่ี 1 ขอ้ มลู กำรตดั สินใจเลือกพฒั นำอำชพี 1. ความพร้อม หมายถึง สภาพของบุคคลที่มีวุฒิภาวะ แรงจูงใจ และประสบการณ์ เดมิ สูงพอท่ีจะกอ่ ใหเ้ กดิ การตดั สนิ ใจเลือกพฒั นาอาชพี ไดโ้ ดยสะดวก 2. ความต้องการของตลาด 3. ความรู/้ ทักษะและเทคนิคตา่ ง ๆ ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ การจา และการระลึกถึงความคิดโดยใช้ข้อมูลข้อเท็จจริง ใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมายวตั ถุประสงคใ์ นการตดั สินใจเลอื กพัฒนาอาชพี ทักษะ คือ ความสามารถในการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ อย่างชานาญ ซ่ึงครอบคลุมการ ตัดสินใจ เลือกพฒั นาอาชพี เทคนิค คือ กลวิธีต่างๆ ท่ีใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทาใด ๆ เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทาในกิจกรรม/งานน้ัน ๆ มีคุณภาพและ ประสทิ ธิภาพมากขนึ้ 4. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การวางแผนการใช้ทรัพยากรระดับครัวเรือนมี ความจาเป็นอย่างยิ่งในการผลิตพืชผล การเกษตร ซ่ึงผู้จัดการหรือเจ้าของฟาร์มต้องพิจารณาใช้ ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ไม่ทาลายสิง่ แวดล้อม และอนรุ ักษท์ รพั ยากรอยา่ งยงั่ ยืน 5. การใช้ท่ีดิน การตัดสินใจเลือกพัฒนาอาชีพจาเป็นต้องอาศัยข้อมูลด้านการใช้ที่ดิน เพราะทีด่ นิ เปน็ ปจั จยั สาคัญในการผลิตทางดา้ นการเกษตร
112 6. การใช้ทุน ทนุ หมายถงึ เงนิ ทนุ เคร่ืองจักรกลการเกษตรต่าง ๆ โรงเรอื น สง่ิ ก่อสร้างที่ใช้ ในการผลติ และเกบ็ รกั ษาผลผลติ รวมท้งั ปจั จยั การผลติ ที่เปน็ พันธ์ุพชื พนั ธ์สุ ัตว์ ปยุ๋ สารเคมี เปน็ ตน้ 7. การใช้แรงงาน แบ่งได้ 3 ประเภท คือ แรงงานคน แรงงานสัตว์ แรงงานเคร่ืองจักรกล ในทางเศรษฐศาสตร์ เม่อื กล่าวถึง “กาลงั แรงงาน” จะหมายถึง “คน” ท่ีเป็นเจ้าของแรงงาน 8. การจัดการ หมายถึง การจัดสรรหรือการดาเนินการทรัพยากรในการผลิต (ที่ดิน ทุน และแรงงาน) เพื่อใหส้ ามารถผลติ ได้ตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของผู้จัดการฟาร์ม ซ่ึงแตกต่างกัน ในแตล่ ะพื้นท่ี เรอ่ื งที่ 2 กำรตัดสนิ ใจพฒั นำอำชีพดว้ ยกำรวิเครำะห์ศกั ยภำพ การพัฒนาสิ่งใดก็ตาม มีวิธีการหลากหลาย เช่น ทาการวิจัย ทดลองทาก่อนลงมือทาจริง การใช้กระบวนการคิดเป็น นอกจากนี้ยังมีวิธีการวิเคราะห์ศักยภาพต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องว่าจะสามารถ พฒั นาอาชพี ไดห้ รือไม่ โดยการวิเคราะห์ศักยภาพ 5 ด้าน ได้แก่ 1. ศกั ยภาพของทรัพยากรธรรมชาตใิ นแตล่ ะพื้นที่ 2. ศกั ยภาพของพื้นทตี่ ามลักษณะภมู ิอากาศ 3. ศักยภาพของภมู ิประเทศและทาเลท่ตี ้งั ของแตล่ ะพ้นื ท่ี 4. ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชวี ิตของแต่ละพ้นื ที่ 5. ศักยภาพของทรัพยากรมนุษยใ์ นแตล่ ะพ้นื ท่ี หมำยเหตุ : ให้นักศกึ ษา ไดศ้ ึกษาเพิม่ เตมิ จากหนังสอื แบบเรยี นรายวิชาชอ่ งทางการพฒั นา อาชีพ อช21001
113 แบบทดสอบรำยวชิ ำช่องทำงกำรพัฒนำอำชพี อช21001 จงเลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพยี งข้อเดยี ว 1. การทาใหอ้ าชีพท่ีมอี ยนู่ ั้นเกดิ การเปลย่ี นแปลงใน 5. การเตรียมแปลงทใี่ ช้ปลูกผัก ควรมีขนาด ทิศทางท่ดี ขี นึ้ กว่าเดมิ ให้เหมาะสมกบั ความ เท่าใด ต้องการของ ตลาด ตรงกับขอ้ ใด ก. กวา้ ง 1 เมตร ยาว 4 เมตร ก. การขยายอาชีพ ข. กวา้ ง 2 เมตร ยาว 5 เมตร ข. การพฒั นาอาชีพ ค. กว้าง 1 - 1.5 เมตร ยาว 4 เมตร ค. การประกอบอาชพี ง. กว้าง 2- 2.5 เมตร ยาว 5 เมตร ง. การต่อยอดภูมปิ ัญญา 6. ข้อใดตอ่ ไปน้ไี มใ่ ช่วธิ กี ารคัดเลอื กเมลด็ พันธท์ุ ดี่ ี 2. บคุ คลใดประกอบอาชีพทีจ่ ดั อยใู่ นกลมุ่ อาชพี ก. เลอื กเมล็ดท่ีสมบรู ณ์ ด้าน การเกษตร ข. เลอื กเมลด็ ที่แก่เต็มที่ ก. เอเปน็ พนกั งานซปุ เปอรม์ าเก็ตแผนกขาย ค. เลือกเมลด็ ที่เกบ็ มาใหม่ ๆ ผลไม้ ง. เลือกเมล็ดท่ีมีตน้ ออ่ นติดมาด้วย ข. ฉัตรเป็นเจ้าของแผงผักในตลาด 7. ข้อใดคอื อาชีพที่อยู่ในกลุ่มอาชพี ดา้ นความคิด ค. กายเลยี้ งโคนม สร้างสรรค์ ง. มายเป็นชา่ งไม้ ก. ชาวประมง 3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีคอื จุดประสงคท์ ่ีสาคญั ของการเล้ยี ง ข. ช่างประปา สตั ว์ ค. นกั ออกแบบจดั สวน ก. เพือ่ จาหนา่ ย ง. พนักงานรา้ นสะดวกซอื้ ข. เพ่ือใชแ้ รงงาน 8. ข้อใดคืออาชีพทอ่ี ยู่ในกลุ่มอาชพี ดา้ นบรกิ าร ค. เพอ่ื เปน็ อาหารของคน และอาชีพเฉพาะทาง ง. เพ่ือความเพลดิ เพลิน ก. พนักงานตอ้ นรบั บนเคร่ืองบนิ 4. โรคสัตว์ในข้อใดต่อไปนี้ไม่เกิดจากเช้ือโรค ข. พนักงานห้างสรรพสินค้า ก. วณั โรค ค. แม่คา้ ขายของออนไลน์ ข. หวดั ไก่ ง. เจ้าของธรุ กจิ ปัม้ น้ามนั ค. บาดแผล 9. ภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ นยิ มเลี้ยงสตั ว์ ง. ปากและเทา้ เปื่อย ประเภทใดควบค่กู ับการประกอบอาชีพ ก. โค กระบอื ข. แพะ อูฐ ค. หมี ลา ง. สุนัข แกะ
114 10. ขอ้ ใดกล่าวถึงอตุ สาหกรรมในครวั เรอื นไดอ้ ย่าง 14. ประเทศใดในภมู ภิ าคเอเชยี ทท่ี าการประมง ถูกต้อง นา้ เคม็ ได้ดีเป็นอนั ดบั ต้น ๆ ของโลก ก. ใช้แรงานคนและวัตถุดบิ ทีม่ อี ยใู่ นท้องถ่นิ ก. สงิ คโปร์ ผลผลิต ส่วนใหญ่ใช้บริโภคในครอบครัว ข. กัมพชู า หรอื สง่ ขายในทอ้ งถ่นิ ค. ญีป่ ุ่น ข. ใช้ท้งั แรงงานคนและเคร่ืองจกั รที่ทันสมยั ง. ลาว ผสมผสานภมู ปิ ญั ญาของคนในทอ้ งถ่นิ มุ่ง 15. ประเทศใดมีการเลีย้ งแก่ะมากทส่ี ดุ ในโลก ส่งออกสนิ คา้ ก. ญป่ี ุ่น ค. ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคนเป็นหลกั มกี ารนา ข. ออสเตรเลยี เครื่องจักรและเครื่องทุ่นแรงขนาดเล็กเข้า ค. ออสเตรีย มา ใช้ ง. ฟิลปิ ปนิ ส์ ง. แรงงานที่ใช้จะเปน็ ช่างฝมี อื ท่มี ีความ 16. นาฟตา (NAFTA) เปน็ การจัดตัง้ เป็นเขต เช่ยี วชาญ มี เครื่องจกั รกลอตั โนมตั ิมาใชใ้ น การค้าเสรขี องกลมุ่ ประเทศในภมู ภิ าคใด การผลิต ก. เอเชียใต้ 11. ข้อใดคือผลผลติ ของอุตสาหกรรมในครัวเรอื น ข. เอเชยี ตะวันออก ก. หนงั สือพิมพ์ ค. อเมริกาเหนอื ข. ผ้าทอพ้ืนเมือง ง. แอฟรกิ าใต้ ค. ปลากระป๋อง 17. กลุ่มอาชีพใหมด่ ้านความคิดสรา้ งสรรคต์ ง้ั อยู่ ง. อปุ กรณไ์ ฟฟ้า บนพ้ืนฐานในข้อใดต่อไปน้ี 12. ขอ้ ใดคือผลผลติ ดา้ นการเกษตรที่สาคญั ของ ก. การศึกษา (Education) ทวปี เอเชีย ข. การใช้องค์ความรู้ (Knowledge) ก. ขา้ ว ข้าวโพด มันสาปะหลัง ยางพารา ค. การสรา้ งสรรคง์ าน (Creativity) ข. ข้าวสาลี องนุ่ สม้ ฝา้ ย ยาสบู ง. ถูกทุกข้อ ค. กาแฟ อ้อย กาเกา 18. ข้อใดคอื ความหมายของธรุ กจิ ง. ขา้ วโพด ขา้ วสาลี ก. กิจการที่หวงั ผลกาไร 13. แหล่งแรเ่ ชือ้ เพลิงในทวีปเอเชยี พบมากในพนื้ ที่ ข. กิจการท่กี ่อใหเ้ กดิ สินค้าและบริการ ใด ค. กิจการทีม่ ีการซือ้ ขายแลกเปลี่ยนสนิ ค้า ข. รอบอา่ วเปอรเ์ ซยี ง. ถกู ทกุ ข้อ ก. ปา่ สนเขตหนาวในไซบเี รยี ค. เกาะบอรเ์ นียว ง. เกาะสุมาตรา
19. งานชนิดใดไมไ่ ด้มีการนาเทคโนโลยีมาใช้งาน 115 ธรุ กจิ ก. งานพมิ พ์เอกสาร 20. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชนข์ องการจัดทา ข. งานฐานขอ้ มูล งบประมาณ ค. งานตดิ ตอ่ สือ่ สาร ก. ทาให้เหน็ ผลกาไรไดช้ ัดเจน ง. ไม่มีข้อใดถกู ข. ทาให้การทางานสะดวกข้นึ ค. มีแผนการใช้จ่ายเงนิ อยา่ งเป็นระบบ ง. ถูกทงั้ ก และ ข
116 สรปุ เนือ้ หำรำยวชิ ำทกั ษะกำรพัฒนำอำชพี อช21002 จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ 1. มีความรู้และเข้าใจ ทักษะในการพัฒนาอาชีพการทาแผนธุรกิจเพ่ือการพัฒนาอาชีพการ กาหนดวสิ ยั ทศั น์ พันธกิจ เป้าหมาย และกลยุทธ์ในการวางแผนพัฒนาธุรกิจของชุมชนการจัดการความ เสยี่ งการจดั การการผลติ การบรกิ ารการจัดการการตลาด 2. มีความคิดด้าน ทักษะในการพัฒนาอาชีพการทาแผนธุรกิจเพ่ือการพัฒนาอาชีพการกาหนด วิสัยทัศน์พันธกิจเป้าหมายและกลยุทธ์ในการวางแผนพัฒนาธุรกิจของชุมชนการจัดการความเสี่ยงการ จัดการการผลติ การบริการการจดั การการตลาด ขอบเขตเนอ้ื หำ ศึกษาและฝึกทกั ษะเกย่ี วกับเร่ืองทักษะในการพฒั นาอาชพี การทาแผนธรุ กจิ เพ่ือการพฒั นาอาชีพ การกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายและกลยุทธ์ในการวางแผนพัฒนาธุรกิจของชุมชน การจัดการ ความเส่ยี ง การจัดการการผลิต การบรกิ าร การจดั การการตลาด ทกั ษะในกำรพฒั นำอำชีพ เร่ืองที่ 1 ควำมจำเป็นในกำรฝึกทกั ษะกระบวนกำรผลิต กระบวนกำรตลำด ที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี เพือ่ พฒั นำอำชพี 1. ควำมจำเปน็ ในกำรฝึกทักษะเพื่อพัฒนำอำชีพ การพัฒนาทักษะอาชีพด้านต่าง ๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด ได้แก่ ความรู้ ความสามารถในกระบวนการผลิต และกระบวนการการตลาด การพัฒนาอาชีพมีความสาคัญและจาเป็น ดังน้ี 1.1 ด้านเศรษฐกิจ จากการแข่งขันทางธุรกิจท่ีมีการแข่งขันทางการตลาดสูง จึงเกิดการ รวมกลุ่มการค้าต่าง ๆ เช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน เขตเศรษฐกิจยุโรป ดังน้ันการพัฒนาอาชีพ จึงมีการ พัฒนาสินค้าใหส้ ามารถเขา้ สู่ตลาดการแขง่ ขนั และเปน็ ทย่ี อมรับของตา่ งประเทศ 1.2 ดา้ นสงั คม ประเทศท่มี ีเศรษฐกจิ ดีจะส่งผลใหส้ ภาพของสงั คมดขี ้นึ เช่น ปราศจากโจร ผรู้ ้าย 1.3 ด้านการศึกษา ครอบครัวท่ีมีเศรษฐกิจดีจะสามารถส่งบุตรหลานเข้ารับการศึกษาได้ ตามความต้องการ และในอนาคตเยาวชนเหล่าน้ีก็จะเป็นประชากรที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการ ประกอบอาชพี สง่ ผลตอ่ เศรษฐกจิ สงั คมใหม้ ีความเจริญกา้ วหนา้ ตอ่ ไป 2. ควำมจำเป็นในกำรพัฒนำกระบวนกำรผลิต จากสภาพสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคมี ความแตกต่างกันทั้งทางด้านปริมาณ และด้านคุณภาพ ดังนั้น การพัฒนาอาชีพจึงมีความจาเป็นเพ่ือ รองรับการเปล่ียนแปลงน้ัน เทคนิคและวิธีการในการพัฒนากระบวนการผลิต และกระบวนการตลาด โดยการนาภูมปิ ญั ญานวตั กรรม/เทคโนโลยมี าประยกุ ต์ในการพัฒนาการประกอบอาชีพกระบวนการผลิต
117 เป็นการบริหารจัดการด้านทุน แรงงาน ที่ดินหรือสถานที่ให้เกิดผลผลิตหรือสินค้าท่ีมีการพัฒนาอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ ใหต้ รงกบั ความต้องการของตลาด 2.1 ทุน หมายถึง ปัจจยั ที่เปน็ เงนิ ทนุ วสั ดุ อปุ กรณ์ วัตถุดิบ เครือ่ งมอื เคร่อื งจักร ซงึ่ ต้อง ศกึ ษาวา่ มีทนุ ใดเข้ามาเกี่ยวขอ้ ง และถ้าจะปรับปรุงแก้ไขต้องพิจารณาว่าต้องใช้ทุนประเภทใดมากน้อย เพียงใด ลดจานวน ท่ีใช้ไปบ้างไดห้ รอื ไม่หรือใช้ส่ิงทดแทนท่ีมีราคาถูกแทนสิ่งท่ีมีราคาแพงได้หรือไม่หรือ เนน้ ใชท้ นุ ท่ีมีอยู่ในทอ้ งถิน่ เพราะถา้ ใชท้ นุ จากท่ีอื่นจะมีค่าใช้จา่ ยสูงข้ึน เช่น ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ถ้าเป็น เงินท่ีต้องใช้ในการลงทุนท่ีต้องไปกู้ยืม เสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงจะทาอย่างไรถึงจะลดดอกเบี้ยให้ต่าลง ซ่ึงจะมีผล ตอ่ การลดตน้ ทนุ 2.2 แรงงาน หมายถึง แรงงานคน สัตว เครื่องจักรต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต ผู้เรียนจะต้อง ศกึ ษาวเิ คราะห์ การใช้แรงงานว่าใช้แรงงานคมุ้ ค่ากบั เงินทุนและเวลาหรือไม่ ใช้แรงงานเหมาะสมกับงาน หรอื ขนาดของพ้นื ทห่ี รอื ไม่ เช่น พ้ืนท่ีน้อยก็ควรใช้แรงงานคน ไม่ควรใช้เคร่ืองจักรขนาดใหญ่ แรงงานที่ ใชม้ คี ณุ ภาพหรอื ไม่ มกี ารใหข้ วัญกาลังใจแก่แรงงานที่ใช้หรอื ไม่ 2.3 สถานท่ี หมายถงึ ทด่ี นิ ทากิน หรอื สถานท่ีตา่ ง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ซึ่งเป็น สถานที่ประกอบการ ถ้าเป็นที่ดินทากินอาชีพเกษตรก็อาจจะพิจารณาว่าได้ใช้ที่ดินคุ้มค่ากับการลงทุน หรือไมใ่ ช้ทง้ั หมด หรือใช้อย่างเหมาะสมกับการปลูกพืชหรือเล้ียงสัตว์หรือไม่ มีการทานุบารุงท่ีดินทากิน บ้างหรือไม่ เช่น บารุงดินโดยปลูกพืชตระกูลถ่ัว แล้วไถกลบเพ่ือบารุงดินสาหรับอาชีพบริการ เช่น ขาย อาหาร เปิดร้านเสริมสวย ซ่อมรองเท้า นวดแผนโบราณ ซ่ึงต้องอาศัยทาเลท่ีต้ัง เช่น อยู่ในย่านชุมชน การเดินทางสะดวกสบาย มที ี่จอดรถใหล้ กู คา้ ส่งิ ต่างๆ เหล่านี้ต้องนามาพจิ ารณาเพอ่ื พัฒนาใหด้ ขี ึน้ 2.4 การจัดการ เป็นการนาทุน แรงงาน และที่ดินหรือสถานที่ไปบริหารจัดการให้เกิด ผลผลิตอย่างคุ้มค่า และไดป้ ระโยชน์สงู สุด ดังนั้น การจัดการจึงเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นต่อการประกอบ ธรุ กิจถา้ มีกระบวนการจัดการท่ีผา่ นการคิด วเิ คราะห์ วางแผนอย่างเปน็ ขัน้ ตอน รอบคอบบนฐานข้อมูลท่ี เป็นจริงและตามสถานการณ์ในขณะน้ันก็นับว่าได้เปรียบกว่าบุคคลอ่ืน ๆ ท่ีไม่ได้ให้ความสาคัญ แต่ทา ด้วยความเคยชิน ทาให้ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงทาให้ธุรกิจมีแต่คงที่หรือถอยหลัง เพื่อให้อาชีพ ดาเนินต่อไปได้มีรายได้ ให้ครอบครัวมีกินมีใช้ในครัวเรือน ควรต้องคานึงถึงการออมเงินเพ่ือ เป็นหลักประกันของครอบครัวต่อการดารงชีวิตของลูกหลานและการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ
118 จาเป็นต้องมกี ารจดั การในการนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต เพ่ือให้ผลผลิตมีคุณภาพและ มปี รมิ าณเพียงพอต่อความต้องการของตลาด 3. ควำมจำเปน็ ในกำรพฒั นำกระบวนกำรตลำด เป็นการบริหารจัดการดา้ นการตลาด เริ่มต้ังแต่ การศึกษาความต้องการของลูกค้า การกาหนดเป้าหมาย การทาแผนการตลาด การส่งเสริมการขาย การกาหนดราคาขาย การขาย การส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า ผู้ผลิตก็ต้องศึกษาวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ของกระบวนการตลาดทุกขน้ั ตอนเพือ่ นาขอ้ มูลมาใช้พัฒนาอาชีพ การตลาดเป็นเร่ืองยากของผู้ประกอบ อาชีพใหม่รวมถึงผู้ท่ีประกอบอาชีพอยู่แล้ว การศึกษาข้อมูล และการทาความเข้าใจในวิธีการตลาดจะ สามารถนามาปรบั ใช้เพอ่ื การพัฒนากระบวนการตลาด สามารถแสดงกระบวนการไดต้ ามแผนภมู ิ ดังน้ี 3.1 ผลิตภัณฑ์ / สนิ ค้า หมายถึง ผลผลิต/ผลิตภัณฑ์/การบรกิ าร เชน่ ผลผลิตการเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ หรือเป็นสินค้าประเภทบริการ เช่น ขายอาหาร เสริมสวย นวดแผนโบราณ ซึ่งผู้ประกอบการต้องพิจารณาความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลาว่า ความต้องการนั้นลดลง หรือ เพิ่มข้ึน ถ้าลดลงจะต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ ลักษณะของผลผลิต/ผลิตภัณฑ์ เช่น รูปลักษณ์ ความสวยงาม ความต่นื ตาตน่ื ใจประโยชน์ของการใช้สอย โดยยึดความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป็นสาคัญ สาหรับอาชีพบริการ ต้องให้ความสาคัญกับการบริการด้วย เช่น มารยาทการบริการความรับผิดชอบ การมมี นุษย์สมั พนั ธ์ 3.2 ราคา หมายถึง การต้ังราคาขายสินค้า ซึ่งข้ึนอยู่กับต้นทุนการผลิต เช่น ค่าวัสดุ อุปกรณ์ ค่าดอกเบ้ีย ค่าเช่าสถานที่ ค่าแรงงาน ค่าประชาสัมพันธ์ ค่าขนส่ง ค่าน้ามัน ถ้าส่งไปขาย ต่างประเทศจะมีราคาแพงกว่าขาย ในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามผู้ขายควรเน้นการต้ังราคาให้ เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้าและควรให้ใกล้เคียงกับ คู่แข่งขัน ถ้าสินค้าใดคู่แข่งน้อย ผู้ขายก็ควรตั้ง ราคาใหย้ ุติธรรมกับผบู้ ริโภคไมค่ วรเอาเปรียบลูกค้าเกินไป ดังน้ัน ผู้ประกอบการควรศึกษา วิเคราะห์ ว่า ราคาของปัจจัย การผลิตผันแปรอย่างไร ลดลงหรือเพ่ิมขึ้น หรือจัดหาวัสดุที่มีราคาถูกทดแทนวัสดุที่ ราคาแพงได้ เพ่อื ให้ ต้นทุน ลดลงได้ หรือสามารถปรับลดอตั ราดอกเบย้ี ค่าเช่าสถานที่ ค่าขนส่ง หรือลด การประชาสัมพันธ์ ก็จะทาให้ ต้นทุน การผลิตลดลง ซ่ึงจะมีผลต่อการกาหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ ถ้ากาหนดราคาขายต่ากว่าคู่แข่ง แต่ปริมาณการขายมากจะดีกว่าขายราคาแพง ซ่ึงผลกาไรโดยรวมสูง กว่ากน็ า่ จะยึดหลกั การนี้
119 3.3 ช่องทางการจัดจาหนา่ ย เป็นการกระจายสินค้าให้ไปถึงผู้บริโภคอย่างปลอดภัย ซึ่งมี หลายวิธี เช่น การขายผ่านคนกลาง การขายปลกี ซึ่งผปู้ ระกอบการจะตอ้ งพจิ ารณาความรู้ ความสามารถ และศึกษาศักยภาพของตนเองในการเลือกช่องทางการจัดจาหน่ายสินค้า ซ่ึงไม่จาเป็นต้องมีช่องทาง จาหนา่ ยสนิ ค้าเพียงวิธีเดียว อาจใช้ หลาย ๆ วิธีเพือ่ ใหเ้ หมาะสม เช่น แต่เดิมขายผลไม้ผ่านคนกลางเพียง อย่างเดียว ต่อมาเพ่ิมวิธกี ารขายปลกี ทาใหม้ ีช่องทางการจัดจาหนา่ ยทงั้ ขายผา่ นคนกลางและขายปลกี 3.4 การสง่ เสรมิ การขาย เปน็ การใช้เทคนคิ หรือวิธีการให้ลูกค้ารู้จักและต้องการซ้ือสินค้า โดยวิธีต่าง ๆ เช่น การจัดให้มีการชิงรางวัล การมีส่วนลด ซ้ือ 1 แถม 1 การส่งเสริมการขายอาจจะ ประชาสัมพันธ์โดยวิธีต่าง ๆ เช่น แจกแผ่นปลิว ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ นอกจาก จะส่งเสริมการขายด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว การบริการหลังการขายก็เป็นเร่ืองสาคัญเพราะการท่ีลูกค้าส่ังซ้ือ สินค้าครั้งหนึ่งน้ัน ไม่ได้หมายความว่าผู้ขายจะขายได้ครั้งเดียว แต่หากมีการบริการหลังการขายที่ดี ลูกค้าก็สามารถกลับมาซ้ือใหม่ หรืออาจบอกต่อคนอื่น ๆ ให้มาใช้บริการก็ได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการ จะต้องศึกษา วิเคราะห์ การส่งเสริมการขายท่ีดาเนินการอยู่ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ควรมีการปรับปรุง วิธกี าร หรือไมอ่ ยา่ งไร เรอื่ งท่ี 2 ควำมหมำยควำมสำคัญของกำรจดั กำรอำชพี การจดั การอาชีพ หมายถึง กระบวนการจัดกิจกรรมงานอาชีพ นับต้ังแต่การวางแผนการจัดการ องค์การ การตัดสินใจ การส่ังการ การควบคุม การติดตามผล เพ่ือให้ได้ผลผลิตหรือบริการท่ีเป็นที่ ตอ้ งการของลูกคา้ และไดร้ ับการยอมรับจากสงั คม ความสาคัญของการจัดการอาชีพ จากคาจากัดความของการจัดการอาชีพ ทาให้ทราบถึง ความสาคัญของ การจัดการอาชีพ เพราะทาให้ผู้บริหารสามารถพัฒนากิจการให้มุ่งไปสู่ความมี ประสิทธิภาพและสามารถดาเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการได้ กล่าวคือ กิจการสามารถผลิต สนิ คา้ หรือบริการที่มคี ณุ ภาพทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า และกิจการได้รับผลตอบแทนคือกาไร สงู สุด สามารถขยายกจิ การได้หรอื เพม่ิ พูนในการดาเนินการไดจ้ ากการศึกษาวิจัยพบว่า การจัดการอาชีพ ใหป้ ระสบความสาเร็จประกอบด้วย 1. การจัดการอย่างมีคุณภาพ หมายถึง ผู้บริหารมีความรู้ประสบการณ์ สามารถทางานให้ บรรลผุ ลสาเรจ็ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2. ผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภาพ หมายถึง การผลิตสินค้าท่ีมีคุณภาพ อาจกระทาได้โดยการใช้เทคนิค ต่าง ๆ เริ่มตงั้ แตก่ ารใช้วัตถดุ บิ กระบวนการผลติ การตรวจคุณภาพสินค้ากอ่ นส่งมอบใหล้ กู ค้า 3. ผลิตภัณฑ์ท่ีทันสมัยด้วยนวตั กรรมใหม่ 4. การลงทนุ ระยะยาวอยา่ งมคี ุณค่า 5. สถานภาพการเงินมน่ั คง 6. มคี วามสามารถในการดงึ ดูดใจลูกคา้ ใหส้ นใจผลติ ภณั ฑ์ / สินคา้ 7. คานงึ ถึงความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม 8. การใช้ทรัพยสินอยา่ งคุ้มค่า
120 เรอื่ งท่ี 3 แหล่งเรียนรู้และสถำนที่ฝึกอำชพี ผทู้ ่มี ีความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็นจะต้องรู้จักเลือกใช้ ไดแ้ ก่ 1. แหล่งเรียนรูแ้ ละสถานท่ีฝึกอาชีพ แหล่งเรียนรู้และสถานท่ีฝึกอาชีพ หมายถึง แหล่งที่มีข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศ และเทคโนโลยี สาหรับผู้เรียนใช้ในการแสวงหาความรู้และ หรือฝึกทักษะ ในการประกอบอาชีพ ซงึ่ มอี ยู่ตามธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขน้ึ แหล่งเรียนรู้ในท่ีน้ีอาจจะ เปน็ เอกสาร สถานท่ี ตวั บคุ คล ผรู้ ู้ แหล่งเรยี นรูธ้ รรมชาติ เช่น ทะเล ป่า ภเู ขา แหล่งเรียนรู้ที่มนุษย์สร้าง ขน้ึ เชน่ หอ้ งสมดุ พิพธิ ภัณฑ์ อนิ เทอรเ์ น็ต เว็บไซต์ตา่ ง ๆ แหล่งเรียนรู้และสถานท่ีฝึกอาชีพมีความสาคัญ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน โดยเฉพาะผู้เรียนที่อยู่นอกระบบโรงเรียนที่ต้องศึกษาหา ความรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องอาศัย แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ใกล้ตัว เช่น ห้องสมุดอาเภอ ศูนย์การเรียนชุมชน ภูมิปัญญาแหล่งธรรมชาติต่าง ๆ ผู้เรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง แหลง่ เหล่าน้ีเปน็ ขุมทรัพยท์ างปัญญาท่ีสามารถค้นหาความรไู้ ดไ้ มร่ ู้จบ 2. แหล่งเงินทุน หมายถึง แหล่งที่สามารถให้กู้ยืมเงินเพื่อการประกอบอาชีพได้ ซึ่งมีท้ังแหล่ง เงินทุนของภาครัฐและเอกชน เช่น ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ สหกรณ์ กองทุนกู้ยืมต่าง ๆ การที่จะกู้ยืม ไดต้ อ้ งมีโครงการรองรับ เพื่อใหแ้ หล่งเงินทนุ พจิ ารณาความเป็นไปไดใ้ นการสง่ ใช้เงินคืน 3. แหล่งวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร หมายถึง แหล่งขายหรือแหล่งที่จะได้มาของวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักรที่เก่ียวข้องกับการประกอบอาชีพ เช่น ประกอบอาชีพการเกษตรจะต้องมีวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรท่ีเกี่ยวขอ้ ง เชน่ พนั ธพ์ุ ชื ปุ๋ย รถแทรกเตอร์ 4. แหลง่ แรงงาน หมายถึง แหล่งทจ่ี ะไดแ้ รงงานมาใช้ ไดแ้ ก่ แรงงานจากคน สัตว์ และเครื่องจักร ที่ใช้ - แรงงานคน หมายถึง แรงงานเจ้าของกบั แรงงานนอกท่ีจา้ งมาทางาน - แรงงานสตั ว์ หมายถงึ แรงงานสัตวท์ ี่ใช้ในการประกอบอาชีพ เชน่ แรงงานจากววั ควาย ชา้ ง มาทน่ี ามาใช้ในการประกอบอาชพี 5. ตลาด คือ แหล่งที่มีท้ังผู้ซ้ือ และผู้ขายสินค้าต่าง ๆ จากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ น้ัน ๆ ได้รับความพอใจ ร่วมถึงการพัฒนาอาชีพมีวัตถุประสงค์ในการขยายตลาดขายสินค้าให้มากข้ึน โดยพจิ ารณาตลาดเดมิ วา่ สามารถรับสนิ คา้ ทพ่ี ฒั นาขึ้นใหมไ่ ดห้ รอื ไม่ ถา้ ไมไ่ ดจ้ ะต้องหาตลาดใหมร่ องรับ เร่ืองที่ 4 กำรวำงแผนฝึกทักษะอำชีพ การวางแผน หมายถงึ วิธีการตัดสินใจล่วงหน้าเพ่ืออนาคตองค์การ ซึ่งเป็นหน้าที่ของการจัดการ ในทางเลอื กว่าควรจะใหใ้ ครทาอะไร ท่ีไหน อย่างไร เป็นข้นั ตอนดาเนนิ งาน การใช้ทรัพยากร การบริหาร เพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายท่ีต้องการ ทักษะ (Skill) หมายถงึ ความชดั เจน และความชานิชานาญในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งบุคคลสามารถ สรา้ งขน้ึ ได้จากการเรียนรจู้ ากสิ่งตา่ งๆ ท่ีอยู่รอบตวั การฝึกทักษะอาชีพ หมายถึง ฝึกทักษะอาชีพใดอาชีพหนึ่งจนเกิดความชัดเจนและชานาญ จนสามารถถ่ายทอดความรูแ้ ละประสบการณ์นัน้ ๆ ใหก้ ับผอู้ ่นื ได้
121 ประโยชน์ของกำรวำงแผนฝึกทักษะอำชีพ มดี ังนี้ 1. มีโอกาสวเิ คราะห์ทกั ษะทจี่ าเปน็ และต้องฝกึ อยา่ งถถี่ ว้ น 2. ทาใหค้ รอบคลมุ ทกั ษะที่ตอ้ งการฝึกและมองเหน็ ภาพรวม ของการพัฒนาอาชีพท้ังระบบ 3. สามารถวางแผนในการเลอื กสถานที่ฝึก และวธิ กี ารฝึกทกั ษะกับหนว่ ยงานทีร่ บั ผิดชอบโดยตรง หรือบางทกั ษะอาจฝึกดว้ ยตนเองได้ ข้นั ตอนกำรวำงแผนกำรฝกึ ทกั ษะอำชีพ มดี ังน้ี 1. สรุปทกั ษะท่ีตอ้ งการฝกึ เพม่ิ เตมิ 2. ศึกษาหาขอ้ มูลเก่ียวกบั แหลง่ ฝกึ ทกั ษะอาชีพ และประสานงานกบั แหล่งฝกึ วา่ ต้องการฝกึ เรื่องใดบา้ ง เมอ่ื ใด 3. กาหนดวนั เวลา สถานทใี่ นการฝึกทกั ษะทง้ั หมดลงในการฝึก 4. ผู้ต้องการฝึกควรศึกษาเรื่องที่ต้องการฝึกทักษะด้วยตนเองล่วงหน้าไปก่อน เพ่ือให้มีความ เข้าใจในระดบั หนง่ึ แลว้ จดเปน็ คาถามท่ยี ังไมเ่ ข้าใจเพ่อื นาไปซกั ถามในวนั เวลาทม่ี กี ารฝกึ จริง กำรทำแผนธุรกจิ เพอ่ื กำรพัฒนำอำชีพ เรือ่ งท่ี 1 ควำมหมำยและควำมสำคัญของกำรจดั กำรพัฒนำอำชพี การพัฒนาอาชีพ หมายถึง การดาเนินการ เพ่ือให้การประกอบอาชีพมีการพัฒนาก้าวหน้า ท้ังดา้ นปรมิ าณและคณุ ภาพให้ดีขึ้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างมีระบบ การพัฒนาอาชีพ มีความสาคัญ สรุปได้ ดังนี้ 1. เป็นการใช้ทรพั ยากรในชุมชนใหเ้ กดิ ประโยชน์กับทอ้ งถ่ิน โดยการนามาประกอบอาชพี ใหม้ ี รายไดม้ ากขึน้ 2. เปน็ การขยายตลาดใหก้ ว้างขวางออกไปไดม้ ากขน้ึ 3. ช่วยเปลย่ี นรูปแบบของผลิตภณั ฑ์หรือพัฒนาผลติ ภัณฑ์ออกสตู่ ลาดไดม้ ากยง่ิ ขึน้ 4. ผบู้ รโิ ภคสามารถเลอื กซอื้ ผลิตภณั ฑ์ตามท่ีตนเองตอ้ งการไดม้ ากยิ่งขน้ึ 5. การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ชว่ ยเพิม่ ปรมิ าณของผลิตภณั ฑ์ และทาให้การใช้แหล่งทนุ และการ ดาเนนิ การด้านการตลาดสามารถดาเนินการไดม้ ากขึ้นด้วย 6. ชว่ ยทาใหเ้ ศรษฐกจิ ของชุมชนดขี ึ้น 7. เป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพชวี ิตของคนในชมุ ชนใหด้ ขี นึ้ และทาให้คนในชมุ ชนสามารถ พ่ึงตนเองไดใ้ นทส่ี ุด
122 เร่อื งที่ 2 กำรวิเครำะหช์ ุมชนเพ่อื กำรพัฒนำอำชพี การดาเนินการวิเคราะห์ชุมชน โดยท่ัวไปนิยมใช้เทคนิค SWOT ในการประเมิน เพราะเป็น เทคนิคสาหรับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบว่า มีผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อสิ่งที่จะกระทา มรี ายละเอียด ดงั นี้ S (Strength) จุดแข็ง หมายถึง ความสามารถ หรือสถานการณ์ภายในชุมชนท่ีเป็นเชิงบวก ซึ่ง สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการทางาน เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ หรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ ทางาน ส่งผลใหง้ านทท่ี าเกิดความเขม้ แข็ง W (Weakness) จดุ ออ่ น หมายถึง สถานการณ์ภายในชุมชนท่ีเป็นเชิงลบ ซึ่งไม่สามารถนามาใช้ เป็นประโยชน์ในการทางาน เพ่ือให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่องาน อาจส่งผล ใหง้ านท่ีทาเกดิ ความลม้ เหลวได้ O (Oportunity) โอกาส หมายถงึ ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกชุมชน ที่เอ้ือประโยชน์ในการ ทางานใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ตอ่ การดาเนนิ งาน T (Treat) อุปสรรค หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกชุมชน ที่ขัดขวางหรือไม่สนับสนุน ตอ่ การทางานใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดลอ้ มภายนอกที่เปน็ ปญั หาต่อการดาเนนิ งาน เรอ่ื งที่ 3 กำรกำหนดวสิ ยั ทัศน์ พนั ธกจิ เปำ้ หมำยและกลยุทธ์ในกำรวำงแผนพฒั นำธุรกจิ ของชมุ ชน วิสัยทัศน์เป็นการกาหนดภาพในการประกอบอาชพี ในอนาคต มุ่งหวงั ใหเ้ กิดผลอย่างไร หรือกล่าว อกี นัยหนึ่งคอื การมองเป้าหมายของธุรกิจว่าตอ้ งการใหเ้ กดิ อะไรข้นึ ข้างหน้า โดยมีขอบเขตและระยะเวลา กาหนดท่ีแนน่ อน เช่น ร้านขนมปังแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีกาหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า “จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขนมปังให้มียอดการจาหน่ายสูงสุดของภาคตะวันออกภายใน 3 ปี” ในการกาหนดวิสัยทัศน์เป็นการ นาเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชนและข้อมูลอาชีพของผู้ประกอบการ มาประกอบการพิจารณาอย่าง รอบคอบเพื่อการตดั สินใจทด่ี ี มีความเป็นไปไดเ้ พือ่ นาไปสู่ ความสาเรจ็ ของธรุ กจิ ในทีส่ ดุ พนั ธกจิ คือ ภาระงานท่ีผปู้ ระกอบการจะต้องดาเนินการให้เกิดผลสาเร็จตามวิสัยทัศน์ที่กาหนดไว้ ใหไ้ ด้ ผปู้ ระกอบการจะต้องสร้างทีมงาน และกาหนดภารกจิ ของสถานประกอบการให้ชัดเจน ครอบคลุม ทง้ั ดา้ นการผลติ และการตลาด ผปู้ ระกอบการและทมี งานจะต้องรว่ มกนั วเิ คราะห์เพอื่ กาหนดพันธกิจหลัก ของสถานประกอบการ เป้าหมายหรือเป้าประสงค์เป้าหมายในการพัฒนาอาชีพ คือ การบอกให้ทราบว่าสถาน ประกอบการนนั้ สามารถทาอะไรได้ภายในระยะเวลาเท่าใด ซ่ึงอาจจะกาหนดไว้เป็นระยะสั้น หรือระยะ ยาว 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ได้ การกาหนดเป้าหมายของการพัฒนาอาชีพต้องมีความชัดเจนสามารถวัด และ ประเมินผลได้ การกาหนด เป้าหมายหากสามารถกาหนดเป็นจานวนตัวเลขได้ก็จะยิ่งดี เพราะทาให้มี ความชัดเจนจะช่วยใหก้ ารวางแผนมคี ุณภาพยง่ิ ข้ึน และจะส่งผลในทางปฏบิ ัติไดด้ ียิง่ ขน้ึ กลยุทธ์ในการวางแผนพัฒนาอาชีพ เป็นการวางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจนั้น ๆ ใหส้ าเร็จตามเปา้ หมายทวี่ างไวก้ ารวางแผนจะต้องกาหนดวสิ ยั ทศั น์ เปา้ หมาย ระยะเวลาให้ชัดเจน มีการ วิเคราะห์ สิ่งท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต และมีการทางาน วางระบบไว้ค่อนข้างสูงเพ่ือให้มีความคล่องตัว
123 ในการปรับเปล่ยี นไดต้ ามสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ท้ังนี้ เพ่ือให้ผู้ประกอบการและทีมงาน สามารถพฒั นาอาชพี ใหม้ ีประสิทธิภาพและมคี วามกา้ วหนา้ ไดใ้ นอนาคต ควำมสำคัญของกำรวำงแผน การวางแผนพัฒนาธรุ กจิ ของชมุ ชน มคี วามสาคญั ดงั นี้ 1. ชว่ ยลดความเส่ียงที่จะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนในการทางานได้ เพราะได้มีการเตรียมการ หรอื เตรยี มความพร้อมไวใ้ นแผนลว่ งหนา้ แลว้ 2. ทาให้การดาเนินการของสถานประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ต้ังแต่เริ่มต้นจนถึง การดาเนินการสิ้นสดุ 3. เป็นการยอมรับความคิด วิธีการใหม่ ๆ ในการดาเนินการเน่ืองจากมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา 4. ช่วยประหยัดเวลาในการดาเนินการ เน่ืองจากการวางแผนทาให้มองเห็นภาพรวมของ การทางานไดต้ ลอดทง้ั กระบวนการ 5. ทาใหส้ มาชกิ ของสถานประกอบการมีความเข้าใจ สามารถมองเห็นภาพการทางานร่วมกันได้ โดยมีแผนงานเปน็ เคร่อื งมอื การดาเนินงานทีช่ ัดเจนขึ้น 6. ทาให้เกิดการประสานงานที่ดีในสถานประกอบการ เน่ืองจากสมาชิกทุกคน รู้แนวทาง การทางานล่วงหน้า 7. เป็นแรงจงู ใจท่ีดีในการทางานของสมาชิกในสถานประกอบการ ขนั้ ตอนกระบวนกำรวำงแผน ขน้ั ตอนของกระบวนการวางแผนในการพัฒนาธุรกิจของชุมชน มดี ังนี้ 1. ขั้นการกาหนดวัตถปุ ระสงค์ต้องใหช้ ดั เจน เพ่อื เปน็ แนวทางการปฏิบัติหรือการดาเนินกิจกรรม ต่าง ๆ 2. ข้ันการกาหนดวัตถุประสงค์ การกาหนดวัตถปุ ระสงค์ต้องมีความชัดเจนว่าจะทาเพ่ืออะไรและ วตั ถุประสงค์นน้ั จะต้องมีความเปน็ ไปไดห้ รอื ไม่ และสามารถวัดผลได้ 3. ขน้ั การต้ังเปา้ หมาย เป็นการระบุเป้าหมายท่ีจะทาว่าต้ังเป้าหมายในการดาเนินการไว้จานวน เทา่ ใด และสามารถวดั ไดใ้ นชว่ งเวลาส้นั ๆ 4. ขั้นการกาหนดขั้นตอนการทางาน เป็นการคิดไว้ก่อนว่าจะทากิจกรรมอะไรก่อน หรือหลัง ซึ่งการกาหนดแผนกจิ กรรมนี้จะทาใหก้ ารดาเนินงานบรรลตุ ามวตั ถุประสงค์ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 5. ขน้ั ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามแผน ซึ่งจะตอ้ งดาเนนิ การอย่างต่อเน่อื งจึงจะไดผ้ ล 6. ขั้นการปรบั แผนการปฏิบตั งิ าน ในบางครั้งแผนท่ีวางไว้เม่ือได้ดาเนินการไประยะหนึ่ง อาจจะ ทาใหส้ ถานการณ์เปล่ียนไป ผู้ประกอบการจึงควรมีการปรับแผนบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง มากข้ึน และการดาเนินงานตามแผนจะมีประสิทธิภาพข้ึนแบบ ฟอร์มการเขียนแผนปฏิบัติการ มหี ลายแบบผดู้ าเนินการสามารถเลอื กใชแ้ บบใดก็ไดข้ น้ึ อยู่กบั วตั ถุประสงค์ของการใช้และความเหมาะสม กับลักษณะงาน
124 เร่อื งที่ 4 ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาท่ีช้ีถึงแนวทางการดารงอยู่และการปฏิบัติตนของ ประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหาร ประเทศใหด้ าเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกจิ เพ่อื ใหก้ ้าวทันตอ่ โลกยุคโลกาภิวตั น์ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนามาปรับใช้ได้อย่างหลากหลาย เช่น การดาเนินชีวิต อยู่ในครอบครัว ชมุ ชน สังคม การประกอบอาชพี ถา้ ไดม้ กี ารนามาใช้จะทาใหเ้ กิดความเสี่ยงน้อย สาหรับ การประกอบอาชีพจาเป็นตอ้ งมีการศกึ ษา วิเคราะห์ ใหเ้ ปน็ ไปตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ดงั น้ี 1. ความพอประมาณ โดยพิจารณาความรู้ ความสามารถ เงินทุนท่ีมีแรงงานที่ใช้ความสามารถ ในการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือว่า มีความพอประมาณหรือไม่ เช่น ทานา 30 ไร่ เพียงคนเดียว โดยไม่จ้างแรงงานนอก ซ่ึงไม่มีความพอประมาณ ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพจาเป็นต้องวิเคราะห์ว่า ส่ิงท่ี ต้องการพฒั นานั้นมีความพอประมาณมากน้อยเพยี งใด 2. ความมเี หตผุ ล การท่จี ะพัฒนาอาชพี ต้องมเี หตผุ ล โดยผา่ นการคิดอย่างรอบคอบบนฐานข้อมูล ท่ีน่าเช่ือถือได้ เช่น จะขยายพื้นท่ีปลูกข้าวนาปรังต้องได้รับการยืนยันจากหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องว่า จะเพยี งพอ หรือวิเคราะห์บัญชีรายรับ รายจา่ ย ซง่ึ บางรายการวิเคราะห์แล้วไมม่ ีเหตผุ ลท่ีจะต้องจา่ ย 3. ความมีภูมิคุ้มกัน การมีภูมิคุ้มกันจะช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เช่น มีการ รบั ประกันราคาพชื ผล มตี ลาดรองรบั มกี ารเตรียมหาแรงงานไว้ล่วงหน้า 4. เงอื่ นไขความรู้ ผปู้ ระกอบการตอ้ งวิเคราะห์ตนเองวา่ มีทักษะในเรือ่ งที่ตอ้ งการพฒั นามากน้อย เพียงใด เช่น ปัจจุบันทาการเกษตรแบบเดิมอยู่ แต่ต้องการจะเปลี่ยนมาเป็นเกษตรธรรมชาติ เนื่องจาก ปลอดภยั ต่อสุขภาพของตนเอง ผบู้ รโิ ภคและสง่ิ แวดล้อม และยังขายไดร้ าคาดีด้วยดังนั้น จึงต้องศึกษาหา ความรู้ในการปลกู พืชเกษตรอนิ ทรีย์ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมแี ตจ่ ะเรยี นรเู้ รือ่ งการทาและการใช้ปุ๋ย อินทรีย์ ชนิด
125 ต่าง ๆ เช่น ป๋ยุ หมัก ปุย๋ นา้ ชีวภาพ ป๋ยุ พชื สด เป็นต้น ตลอดจนศึกษาเก่ียวกับปุ๋ยชีวภาพชนิดต่าง ๆ เพ่ือ นามาใชท้ ดแทนปุ๋ยเคมี 5. เงื่อนไขคุณธรรม เป็นเงื่อนไขท่ีมีความสาคัญ โดยเฉพาะการประกอบอาชีพให้ยั่งยืน ผู้ประกอบการต้องมีความซ่ือสัตย์ ขยัน อดทน เช่น การไม่ใส่สิ่งปลอมปนไปในสินค้าท่ีต้องการขาย การโกงตาชั่ง ความขยัน อดทนต่อการทางาน สิ่งเหล่านี้จะทาให้ลูกค้ามีความเชื่อถือ ทาให้ขายสินค้าได้ เพ่มิ ขนึ้ และตอ่ เนือ่ ง เรือ่ งที่ 5 กำรวำงแผนปฏบิ ตั ิกำร การวางแผนปฏิบัติการเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทาแผนธุรกิจเพื่อการพัฒนาอาชีพท่ีมี รายละเอียดมาจากแผนกลยทุ ธ์ มากาหนดเป็นโครงการ/กิจกรรมท่ีจะต้องดาเนินการ โดยจะต้องกาหนด วัตถปุ ระสงค์เปา้ หมาย ระยะเวลา และผรู้ บั ผิดชอบ โดยผเู้ รยี น และผู้นาชมุ ชน ตอ้ งชว่ ยกันกาหนด วตั ถุประสงค์ของกำรวำงแผนปฏบิ ัติกำร 1. เพอ่ื กาหนดวัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ในการพัฒนาของแต่ละชุมชนที่มีพ้ืนที่ท่ีต้องการพัฒนา ทักษะ การพฒั นาอาชีพใหก้ ับประชาชน 2. เพอื่ กาหนดลาดับความสาคัญของการพัฒนาแผนงาน/โครงการ และมาตรการท่ีสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ของแต่ละชุมชนท่ีมีพ้ืนที่ต้องการพัฒนาทักษะ การพัฒนาอาชีพให้กับ ประชาชน 3. เพื่อกาหนดแผนงาน/โครงการ และมาตรการที่สนบั สนนุ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ ทัง้ นเี้ พอื่ เช่อื มโยงไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ หรอื การดาเนนิ งานพัฒนาทกั ษะอาชพี ใหก้ ับประชาชน กำรจดั กำรควำมเสีย่ ง เรอ่ื งที่ 1 ควำมหมำยของควำมเส่ียงและกำรจัดกำรควำมเสี่ยง ความเสี่ยง หมายถึง เหตุการณห์ รือการกระทาใด ๆ ทีอ่ าจเกิดขน้ึ ภายในสถานการณ์ท่ีไม่แน่นอน และส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายหรือความล้มเหลว หรือการลดโอกาสท่ีจะบรรลุเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ เช่น การลงทุนใดที่มีความไม่แน่นอนในอัตราผลตอบแทนสูงความเสี่ยงก็จะสูงตาม ดังน้ัน จึงอาจกล่าวไดว้ ่า ความเสยี่ ง คอื อัตราของความไมแ่ น่นอน การจัดการความเสี่ยง หมายถึง กระบวนการในการวิเคราะห์ ประเมิน ดูแล ตรวจสอบและ ควบคุมความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับกิจกรรมหน้าที่และกระบวนการทางาน เพื่อให้งานลดความเสียหายจาก ความเสี่ยงมากที่สดุ อันเนือ่ งมาจากภัยท่ีต้องเผชญิ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือเรียกว่า อุบัติภัยท่ียากจะ หย่งั รูว้ ่าจะเกดิ ขึน้ เมือ่ ใด
126 ควำมสำคญั ของควำมเส่ยี ง ในการบริหารจัดการท่ัวไป จะต้องดาเนินงานตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายโดยเฉพาะที่จะ เก่ยี วขอ้ งกบั การควบคุมเพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลสมั ฤทธต์ิ ามเปา้ หมายนั้น สิ่งที่ต้องเน้นคือ การตรวจสอบภายในการ ควบคมุ ภายใน การบริหารจดั การความเสี่ยง ผลกระทบจำกควำมเส่ยี ง ผลของควำมเส่ียงอำจสง่ ผลกระทบถึงองค์กำรได้ ดงั นี้ 1. ความเสี่ยงต่อการดาเนินการท่ีขาดทุน ผลการดาเนินงานท่ีขาดทุนขององค์การแสวงหากาไร ที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้บริหาร หรือเกิดจากภัยธรรมชาติที่ไม่คาดฝัน อาจนาไปสู่ความ ลม่ สลายขององคก์ ารได้ สว่ นองค์การทางการศึกษาถึงแมไ้ ม่ไดเ้ ปน็ องคก์ ารแสวงหาผลกาไร หากผู้บริหาร ตดั สนิ ใจผิดพลาดย่อมส่งผลถึงความชะงักงนั หรือลม้ เหลวไดเ้ ชน่ กัน 2. ความเสี่ยงต่อความล้มเหลวของนโยบายหรือโครงการ หากผิดพลาดในนโยบาย ย่อมส่งผลต่อ ทิศทางการพัฒนา หากเป็นระดับโครงการก็จะส่งผลถึงความสูญเปล่าของโครงการ จากการไม่ได้ศึกษา ความเป็นไปได้ ไม่ได้คานึงจุดคุ้มทุน หรือมีการทุจริตคอรัปช่ัน โดยเฉพาะโครงการของภาครัฐ ท่ีประสบความล้มเหลว 3. ความเสี่ยงต่อความเชื่อถือไว้วางใจ ความสาเร็จหรือความล้มเหลวของผู้บริหาร จะส่ังสมถึง กระแสนยิ มและความไวว้ างใจของสาธารณชน เรอ่ื งท่ี 2 กำรวิเครำะหศ์ กั ยภำพและกำรจัดกำรควำมเสี่ยงกบั ผลกำรดำเนินงำน ในการวิเคราะห์ศักยภาพและการจัดการความเสี่ยงกับผลการดาเนินงาน ประกอบด้วยปัจจัย สาคัญ ดังตอ่ ไปน้ี 1. สนิ คา้ หมายถึง สงิ่ ที่มตี ัวตน เช่น เส้ือ รองเท้า หรือไม่มีตัวตน เช่น แก๊ส ซ้ือขายได้ และสร้าง ความพึงพอใจใหก้ บั ผบู้ รโิ ภคได้ 2. ประเภทสนิ คา้ แบง่ ตามลักษณะการซ้อื หรือการบริโภค แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1) สนิ คา้ อุปโภค บรโิ ภค หมายถงึ สินคา้ หรือบริการท่ีผู้ซ้ือซื้อไปเพ่ือใช้เอง หรือเพื่อใช้ใน ครอบครวั สินคา้ อปุ โภค บริโภค แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื (1) สินค้าสะดวกซื้อ เป็นสินค้าท่ีผู้ซ้ือหาซื้อได้ง่ายซื้อบ่อยครั้งใช้เวลาในการซื้อ นอ้ ย ราคาสนิ คา้ จะถูก การซอื้ มกั จะมีการระบุย่ีห้อ เพราะผู้ซื้อคุ้นเคยกับสินค้านั้น เช่น ยาสีฟัน ยาสระ ผม สบู่ ผงซักฟอก เปน็ ตน้ (2) สินคา้ จบั จ่ายหรอื สินค้าเลือกซื้อ เป็นสินค้าท่ีผู้ซ้ือเปรียบเทียบคุณภาพ ราคา รูปแบบ สีก่อนการตดั สนิ ใจจะเดินดูหลาย ๆ ร้านก่อน เชน่ เสอ้ื ผ้า รองเท้า เครื่องประดบั เปน็ ตน้ (3) สนิ คา้ พิเศษ เป็นสินค้าท่ีมีคุณสมบัติพิเศษ ราคาแพง เช่น รถยนต์ บ้าน ผู้ซ้ือ จะคัดเลือกอยา่ งละเอียด เปรยี บเทยี บราคาสินคา้ และคุณภาพของสินคา้ 3. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หมายถึง ต้นทุนส่วนที่หักออกจากรายได้ในรอบระยะเวลาที่ดาเนินการงาน หนงึ่ ๆ ค่าใช้จา่ ย สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี
127 1) ตน้ ทนุ ขาย หมายถึง ตน้ ทนุ ของสินคา้ ที่ขายหรือบรกิ ารที่ให้ กล่าวคือในกิจการซื้อเพ่ือ ขาย ต้นทนุ ของสนิ ค้าทีข่ ายจะรวมราคาซอ้ื และค่าใช้จ่ายอ่ืนๆ ท่ีจาเป็น เพ่ือให้สินค้าอยู่ในสภาพพร้อมท่ี จะขาย ส่วนในกิจการผลิตเพื่อขาย ต้นทุนของสินค้าท่ีขายคือ ต้นทุนการผลิตของสินค้านั้น ซึ่ง ประกอบดว้ ยค่าวตั ถุดบิ ค่าแรงงานและโสหุ้ยการผลติ 2) ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอันเน่ืองมาจากการขายสินค้า หรือบรกิ าร และคา่ ใช้จ่ายทเ่ี กิดข้ึนเนือ่ งจากการบรหิ ารกิจการอนั เปน็ สว่ นรวมของการดาเนินงาน 3) คา่ ใช้จ่ายอน่ื ๆ หมายถึง คา่ ใช้จ่ายนอกเหนือจากท่ีจัดเข้าเป็นต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย ในการดาเนินงาน เชน่ ดอกเบย้ี จา่ ยภาษีเงินได้ ค่าใช้จ่ายสาหรับธุรกิจขายสินค้า จะประกอบด้วยต้นทุน ขาย คา่ ใชจ้ ่ายในการดาเนนิ งาน และคา่ ใช้จ่ายอนื่ ๆ สาหรับธรุ กจิ ขายบรกิ ารคา่ ใช้จ่ายจะประกอบไปด้วย คา่ ใช้จา่ ยในการดาเนินงานและค่าใช้จ่ายอนื่ เท่านั้น 4. ผลกาไรคือผลตอบแทนท่ีกิจการได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ จากการประกอบธุรกิจ หรือเกดิ จากการดาเนนิ งาน รวมท้งั กจิ กรรมอ่ืน ซ่ึงเกย่ี วเน่ืองกบั การประกอบธรุ กิจหรอื การดาเนินงาน 5. คแู่ ข่งขัน การมคี แู่ ขง่ ขนั ทางธุรกจิ เปรยี บเสมอื นมียาชกู าลังทีจ่ ะทาใหก้ จิ การและพนักงานขาย ต่างๆ มีความเข้มแข็งและอดทนที่จะดาเนินการต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความกระตือรือร้น สร้างสรรค์และพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพอย่างต่อเน่ือง ถึงจะแข่งขันกับคู่แข่งขันในตลาดธุรกิจได้ อย่างแท้จริง เรอ่ื งที่ 3 วงจรควำมเส่ียง วงจรความเสี่ยง หมายถึง การตัดสินใจของผู้บริการทุกระดับจะต้องเผชิญกับความเส่ียง การที่ จะต้องเผชญิ และต้องเอาชนะความเสี่ยงได้นั้น ผู้บริหารจาเป็นต้องรู้และเข้าใจวงจรความเส่ียงเพ่ือจะได้ นามาใชใ้ นการบรหิ ารจดั การความเสีย่ งตามวตั ถปุ ระสงค์ขององค์กร
128 สำรวจควำม เส่ยี ง กำรตรวจสอบ ทำควำมเข้ำใจ คน้ หำและระบุ ควำมเสย่ี ง วัตถุประสงค์ของ ควำมเส่ยี ง องคก์ รนัน้ ๆ กำรบรหิ ำร กำรวิเครำะห์ ควำมเส่ยี ง ควำมเสีย่ ง กำรประเมินและ จัดลำดบั ควำม เสีย่ ง สำรวจควำม เสี่ยง ภำพ แสดงต้นแบบวงจรควำมเส่ยี ง 1. ทาความเข้าใจวัตถุประสงค์ขององค์การ เพื่อให้บุคลากรทุกคนได้เข้าใจทิศทาง และ จุดมุ่งหมาย การที่จะทาให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การ ต้องอาศัยการสนับสนุนจาก องคป์ ระกอบของวตั ถปุ ระสงค์ 2. การสารวจความเสีย่ ง ผบู้ ริหารควรมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบข้ึน โดยเฉพาะทาหน้าท่ีสารวจ ความเสีย่ งอาจเปน็ ฝ่ายตรวจสอบ หรือผตู้ รวจสอบภายใน แต่งต้งั ผรู้ บั ผิดชอบ เป็นฝา่ ยบรหิ ารความเสี่ยง โดยมอบหมายให้คณะทางานจากผู้เช่ียวชาญของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นคณะทางานเฉพาะกิจจนกว่า กิจกรรมการสารวจความเส่ยี งแตล่ ะคร้ังจะแล้วเสร็จ 3. การคน้ หาและระบคุ วามเส่ยี ง เปน็ การคน้ หาความเสยี่ งที่ต้องการจากขอ้ มลู ตา่ ง ๆ 4. การวิเคราะห์ความเส่ียง การวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับลักษณะความเสี่ยง และชนิดของเคร่ืองมือ ท่จี ะพจิ ารณามาใช้ในการวิเคราะห์ท่ีนยิ มกันคอื การวิเคราะหเ์ ชิงเปรยี บเทยี บ 5. การประเมินและจัดลาดับความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง ความเส่ียงมีทั้ง รูปธรรม และนามธรรมแต่หลักการประเมินจะต้องทาให้เห็นถึงความชัดเจน แปลผลออกมาเป็นเชิงรูปธรรมที่ สัมผัสได้ วัดได้ กล่าวคือ วัดเป็นจานวนได้ และวัดเป็นเวลาได้ การจัดลาดับความเสี่ยงอาจจัดเป็น ความเสี่ยงสูง ความเส่ียงปานกลาง ความเส่ียงต่า เมื่อสรุปผลออกมาได้แล้ว จึงนาไปบริหารความเสี่ยง ต่อไป
129 6. การบรหิ ารความเส่ียง การบรหิ ารความเสีย่ ง ถอื เปน็ หวั ใจของความสาเรจ็ ขององค์การโดยตรง ทั้งนี้ เพราะความเสี่ยงเป็นอุปสรรคสาคัญต่อความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ ดังนั้น จึงเป็น หน้าท่ีของฝ่ายจัดการที่ตอ้ งรบั ผดิ ชอบบริหารความเสี่ยงใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ต่อองคก์ าร 7. การตรวจสอบความเสี่ยง เป็นกระบวนการท่ีเกี่ยวกับการ ควบคุม กากับ และติดตามผลว่า กลไกการบริหารความเส่ยี งมีการปฏิบตั ิตามหรอื ไมเ่ พียงใด โดยการสอบทานความเสี่ยง และการควบคุม ภายใน การประเมินระบบควบคุมภายใน การวางมาตรการปรับปรุงแก้ไขและการสร้างสัญญาณ เตือนภยั เรอ่ื งที่ 4 กำรแก้ปัญหำควำมเส่ยี ง การแก้ไขปัญหาความเสี่ยง หมายถึง การทาให้เกิดสภาพการณ์ท่ีเราคาดหวัง การที่คนจานวน มากไม่สามารถแก้ไขปัญหาตนเอง หรือผู้บริหารไม่สามารถจะแก้ปัญหาหน่วยงานของตนได้ ถึงแม้จะรู้ สภาพหรือเป้าหมายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถไปสู่เป้าหมายได้ ท้ังนี้ เพราะปัญหาอาจมีมาก รุนแรง มคี วามสลบั ซับซอ้ น คลุมเครือ และแฝงไวด้ ว้ ยปญั หาอนื่ ๆ เป็นต้น กำรแกป้ ญั หำควำมเส่ยี งมี 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. ข้นั ระบุปัญหา เป็นขัน้ แรกท่มี ีความสาคัญ เพราะถ้าเราไม่ทราบปัญหาเราก็ไม่มีทางแก้ปัญหา ได้ จาเป็นตอ้ งหาสาเหตุแห่งปญั หาแล้วจะนาสาเหตนุ ้นั มาเรยี งลาดับความสาคัญอะไรเปน็ เหตเุ ป็นผล 2. ข้ันสาเหตุของปัญหาการหาสาเหตุของปัญหาไมถูกต้องจะทาให้การแก้ปัญหาผิดไป ซึ่ง ตามปกติคนเรามักจะยึดติดกับแนวคิด หรือความรู้เดิม ๆ ทาให้มองเห็นปัญหาแต่เพียงด้านท่ีสัมพันธ์ สอดคล้องกับแนวคิดน้ัน ๆ อีกประการ ผู้ท่ีรู้ถึงสาเหตุท่ีแท้จริงแล้วรีบด่วนสรุปโดยไม่พยายามค้นหา สาเหตุอืน่ ๆ
130 3. ขนั้ การกาหนดจดุ มุ่งหมายในการแกป้ ัญหา การคัดเลือกสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาแล้วนาไปหา แนวทางแก้ไขจะทาใหป้ ญั หานัน้ ไดร้ บั การแกไ้ ข เช่น ปัญหาอัตราการเพิ่มของประชากรสูงมาจากสาเหตุ อะไร คนเกิดมาก คนตายนอ้ ย หรือคนอพยพเขา้ มามาก เปน็ ตน้ 4. ขั้นกาหนดแนวทางแก้ไขปัญหา การกาหนดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจจะเป็น ทางเลือกท่ีสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาได้จริง ไม่ใช้เป็นเพียงอุดมการณ์หรืออุดมคติ หรือทางเลือกน้ัน สามารถนามาเปรียบเทยี บกนั ได้ ทง้ั ทว่ี ดั เป็นตัวเงนิ ได้ และไมส่ ามารถวดั เป็นตัวเงนิ ได้ กำรจัดกำรกำรผลติ หรอื กำรบรกิ ำร เรอื่ งที่ 1 กำรจัดกำรเกี่ยวกบั กำรควบคุมคณุ ภำพกำรผลิตหรอื กำรบริกำร 1. ควำมหมำยกำรจัดกำรเกีย่ วกับกำรควบคุมคุณภำพกำรผลิตหรอื กำรบริกำร การประกอบการอาชีพให้มีความเจริญก้าวหน้านั้น จาเป็นที่ผู้ประกอบการอาชีพ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการจัดการ การผลิตและการบริการเป็นอย่างดี การจัดการการผลิตหรือการบริการ มคี วามหมายสรุปไดด้ งั น้ี การจัดการ หมายถึง กระบวนการท่ีดาเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและมีการ ประสานงานกัน เพอ่ื ใหบ้ รรลุเป้าหมายขององค์กรหรอื กจิ การ การผลติ หมายถึง การจัดทา การประกอบ หรือสร้างสินค้าหรือผลิตภัณฑ์โดยผ่านกระบวนการ แปรสภาพจากวัตถุดิบ การบรกิ าร หมายถงึ การบรกิ ารทด่ี ีแก่ลูกค้า หรือการทาให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ มีความสุข และไดร้ บั ผลประโยชน์อยา่ งเต็มท่ี การควบคุมคุณภาพ หมายถึง การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการ และสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าบนแนวคิดพ้ืนฐานว่า เม่ือกระบวนการดี ผลลัพธ์ท่ีออกมา ก็จะดตี าม 2. วตั ถปุ ระสงค์กำรจดั กำรเกยี่ วกับกำรควบคุมคุณภำพกำรผลติ หรือกำรบรกิ ำร การควบคุมคุณภาพนั้น มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือการบริการบรรลุ จดุ มุ่งหมายดังต่อไปน้ี 1) สินคา้ ท่ีส่งั ซื้อหรอื สงั่ ผลิตมคี ณุ ภาพตรงตามขอ้ ตกลงหรอื เง่ือนไขในสญั ญา 2) กระบวนการผลติ ดาเนนิ ไปอย่างถกู ตอ้ งเหมาะสม 3) การวางแผนการผลิตเปน็ ไปตามทกี่ าหนดไว้ 4) การบรรจหุ บี ห่อดแี ละเหมาะสม หมายถงึ สามารถนาส่งวัสดุยังจุดหมายปลายทางในสภาพ ดนี อกจากน้กี ารควบคมุ คุณภาพยังกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อการผลิต คือ (1) เพื่อให้เสียค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนต่าท่ีสุด โดยการใช้ปัจจัยการผลิตและวิธีการผลิตท่ี เหมาะสม (2) เพื่อให้ได้ปริมาณสินค้าตรงตามความต้องการของตลาดไม่มาก และไม่น้อยเกินไป จนไมส่ ามารถตอบสนองความตอ้ งการของตลาดได้ (3) เพ่อื ใหไ้ ด้สนิ คา้ ตรงตามเวลาท่ีลกู ค้าตอ้ งการ (4) เพอื่ ใหไ้ ด้คณุ ภาพสนิ ค้าตรงตามท่ีลกู คา้ ต้องการ ไมม่ ีจดุ บกพร่องหรือเนา่ เสีย
131 3. ขั้นตอนกำรควบคมุ คุณภำพกำรผลติ แบ่งออกเปน็ 4 ขั้นตอน คอื 1) ข้ันการกาหนดนโยบายในขั้นน้ีจะเป็นการกาหนดวัตถุประสงค์กว้าง ๆ เช่น ระดับสินค้า ขนาดของตลาด วิธีการจาหน่าย ตลอดถึงการรับประกัน ข้อกาหนดเหล่านี้จะเป็นเครื่องชี้นาว่ากิจการ จะต้องทาอะไรบา้ งเพ่อื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ท่ีไดว้ างเอาไว้ 2) ข้นั การออกแบบผลิตภัณฑก์ ารออกแบบผลิตภัณฑใ์ นท่นี ี้ หมายถึง การกาหนดคุณลักษณะ ของผลิตภัณฑ์ เช่น วิทยุที่จะทาการผลิตข้ึนน้ีมีขนาดก่ีวัตต์ สามารถรับได้กี่ช่วงความถ่ี และมีระบบตัด คลืน่ รบกวนหรือไม่ เป็นตน้ ขอ้ ควรคานึงถงึ สาหรับการออกแบบผลติ ภัณฑ์น้ีคอื จะต้องรูว้ า่ ฝ่ายผลิต มีขีด ความสามารถมากนอ้ ยเพยี งใด การออกแบบผลิตภัณฑ์ จงึ ตอ้ งมีความสมั พนั ธก์ บั ระบบการผลติ 3) ขั้นตอนการควบคุมคุณภาพของการผลิต การควบคุมคุณภาพการผลิต แบ่งออกเป็น 3 ข้ันตอนย่อย คือ การตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วน การควบคุมกระบวนการผลิต และการตรวจสอบ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยในการตรวจสอบทั้ง 3 ขั้นนี้ ส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง เพราะ ผลิตภณั ฑท์ ผ่ี ลิตไดน้ ้ันมีจานวนมากไมอ่ าจจะทาการตรวจสอบไดอ้ ย่างท่วั ถึงภายในเวลาจากัด 4) ข้ันการจาหน่าย การควบคุมคุณภาพ จะมีลักษณะเป็นการให้บริการหลังการขาย ซ่ึงใน ระบบการตลาดสมัยใหมถ่ อื วา่ เป็นเร่อื งสาคัญมาก เพราะสินค้าบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภท เครื่องมือ เคร่ืองจักรหรืออุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีวิธีการใช้และการดูแลรักษาท่ีค่อนข้างยุงยาก ผผู้ ลิตหรอื ผู้ขายจะต้องคอยดแู ลเพอ่ื ใหบ้ ริการหลังการขายแก่ผู้ซื้ออยู่เสมอ เพือ่ สร้างความพงึ พอใจ ซ่ึงจะ มผี ลต่อความเชอ่ื มนั่ และความกา้ วหน้าทางธุรกจิ ในอนาคต เรือ่ งที่ 2 กำรใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยีในกำรผลติ 1. ควำมหมำยของกำรใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยใี นกำรผลิต การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิต เป็นการพัฒนาความสามารถในการผลิต ผลิตภัณฑ์ของมนุษย์ช่วยในการแก้ปัญหาและสนองความต้องการของมนุษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยนา ความรู้มาใช้กบั กระบวนการเทคโนโลยเี พ่ือสร้างและใช้สิง่ ของ เครือ่ งใช้ วธิ กี ารให้การดารงชีวิตมีคุณภาพ ดยี งิ่ ข้นึ นวตั กรรมและเทคโนโลยี 2. ประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยี จากการนาเทคโนโลยีไปใช้ในชีวิตประจาวันของมนุษย์ท้ังนี้จากการนาเทคโนโลยี มาใช้อยา่ งแพรห่ ลาย ทาใหเ้ กดิ ทง้ั ประโยชน์และผลกระทบต่อการดารงชีวติ สรุปไดด้ ังน้ี 1) ประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อการศึกษา นักศึกษาสามารถเรียนได้จาก ที่บ้านโดยไม่ต้องเดินทางไป เช่น การเรียนการสอนทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งภายในและภายนอก ประเทศ รวมทั้งการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตท่ีมีไม่จากัด และการศึกษาเรียนรู้จากส่ือ ประเภทต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ วีดิโอและคอมพิวเตอร์ เป็นต้น จากการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการ เรยี น การสอน ทาใหเ้ กดิ ปญั หา ขาดปฏสิ มั พันธท์ ด่ี ตี อ่ กันระหวา่ งผเู้ รียนกับครู เพราะการเรียนรู้ โดยผ่าน ส่ือเทคโนโลยี ทาใหค้ รู ซ่งึ เป็นผู้ถา่ ยทอดความรู้ มบี ทบาทลดนอ้ ยลง 2) ประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ในการปรับปรุงคุณภาพของดิน น้าและอากาศ รวมทั้งมีการนาของเหลือใช้ที่ผ่านกระบวนการทาง
132 เทคโนโลยีแล้วกลับมาใช้ใหม่โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรหลัก เทคโนโลยีจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมนุษย์นาเทคโนโลยีมาใช้อย่างผิดวิธี เพ่ือมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน จนหลงลืมผลกระทบที่อาจจะ เกดิ ข้นึ จากการใช้เทคโนโลยขี องตน 3) ประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคม เทคโนโลยีกับสังคมเป็นของคู่กัน เมอ่ื เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเปรียบเสมือนยอ่ โลกใหเ้ ล็กลง เน่ืองจากความสะดวกในการติดต่อข่าวสาร ขอ้ มูล ทาให้ธรุ กจิ ติดต่อไดอ้ ย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มผี ลใหเ้ ศรษฐกจิ เจริญก้าวหนา้ อยา่ งรวดเรว็ 4) ประโยชน์และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสุขภาพ เน่ืองด้วยเทคโนโลยีมุ่งสร้าง ส่ิงอานวยความสะดวกต่อมนุษย์โดยเฉพาะด้านสุขภาพ มีเครื่องออกกาลังกายภายในบ้าน มีวิทยุ โทรทัศน์และแหล่งบันเทิง เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ ท้ังทางร่างกายและทางจิตใจ ทั้งนี้ในวงการแพทย์มี ความกา้ วหน้าในการรักษามากข้ึน และมีข้อมูลทางการแพทย์เผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตทาให้แพทย์ ท่วั โลกสามารถรว่ มมือในการปฏบิ ัติงานร่วมกนั ได้ 3. กระบวนกำรเทคโนโลยใี นกำรผลติ กระบวนการเทคโนโลยีเปน็ กระบวนการทเี่ กีย่ วข้องกับการแก้ปัญหา โดยการใช้ความคิด ริเร่มิ อยา่ งสร้างสรรค์และรอบคอบ เพื่อสรา้ งผลติ ภณั ฑ์ท่ีก่อใหเ้ กิดประโยชน์ตามความต้องการของมนุษย์ อยา่ งมีประสิทธิภาพ 4. กำรใชก้ ลยทุ ธใ์ นกำรเพม่ิ และพฒั นำคุณภำพผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการดารงชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการ ผลิตในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรมหรือการบริการ ล้วนแต่นาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสิ้น เพราะการนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น เช่น สามารถทางานได้เร็วขึ้น ได้ปริมาณมากข้ึน งานมีคุณภาพมากขึ้น ลดเวลาในการทางาน ลดค่าใช้จ่าย ในการใช้แรงงานคน และท่ีสาคัญถ้าเป็นภาคอุตสาหกรรมหรือภาคเกษตรกรรมซึ่งต้องมีการแข่งขัน ในทางธุรกจิ ใครนาเทคโนโลยมี าใช้ก่อนคนอื่นถือว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งท่ีจะทาให้ประสบความสาเร็จ ก่อนคู่แข่ง ซึ่งคาว่า กลยุทธ์ หมายถึง วิธีปฏิบัติ หรือแนวทางในการปฏิบัติงานท่ีจะทาให้แผนงาน ประสบผลสาเร็จ ขณะจัดทากลยุทธ์จะต้องมีการตรวจสอบดูว่ามีจุดอ่อนในกิจกรรมใดหรือมีจุดแข็ง
133 ในกจิ กรรมใดหรอื ค่แู ขง่ มีจุดอ่อนในกจิ กรรมใด จุดแข็ง ในกิจกรรมใด แล้วนามาเปรียบเทียบกับของเรา เพื่อทาการปรับกลยทุ ธต์ ่อไป เม่ือรู้ว่ามีจุดอ่อนท่ีจุดใด ก็สามารถนาเอาเทคโนโลยีมาใช้ในส่วนที่เป็นจุดอ่อนน้ัน เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ดังตัวอย่างการใช้และปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มและ พัฒนาคณุ ภาพ 5.กำรเลือกใชเ้ ทคโนโลยีอย่ำงสรำ้ งสรรค์ การเลือกใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม ส่ิงแวดล้อมและงานอาชีพ มหี ลกั การดังต่อไปนี้ 1) การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์หรือวิธีการท่ีได้จากเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งทางด้าน คุณภาพ รูปแบบ วัสดุ ความสะดวกในการใช้ ความคุ้มค่า โดยก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเทคโนโลยี ใดมาใชน้ น้ั ผ้ปู ระกอบการหรือเจา้ ของกิจการ ควรนาคุณลกั ษณะท่วั ไป คุณลักษณะเฉพาะของเทคโนโลยี มาศึกษาเปรียบเทียบกอ่ นการตดั สนิ ใจเลอื ก 2) เมือ่ มีการเลอื กใช้เทคโนโลยีสาหรับการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพ่ือสนองต่อความ ต้องการของมนุษย์แล้ว ย่อมต้องมีผลกระทบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อมตามมาด้วยดังนั้นผู้ประกอบการ หรือเจ้าของกิจการต้องศึกษาทบทวนว่าเทคโนโลยีที่กาหนดเลือกใช้น้ันมี ข้อดี ข้อเสียและผลต่อสังคม และ สง่ิ แวดลอ้ มทจ่ี ะไดร้ ับนั้นเป็นอยา่ งไร 3) ตัดสินใจเลือก และใช้เทคโนโลยีมีผลต่อชีวิตที่มีผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในทาง สรา้ งสรรค์มากท่ีสดุ เร่อื งท่ี 3 กำรลดต้นทนุ กำรผลิตหรือกำรบรกิ ำร 1.แนวคดิ ในกำรลดและควบคุมต้นทนุ กำรผลติ การดาเนินงานธุรกิจทุกประเภท ให้สามารถดารงอยู่ได้อย่างมั่นคง จาเป็นท่ีผู้ประกอบการ หรอื เจา้ ของธุรกจิ ต้องหาวธิ ีการลดตน้ ทนุ การผลติ และการบรกิ ารโดยแนวคดิ ในการลดและควบคุมต้นทุน การผลติ นนั้ มหี ลกั การ ดงั น้ี 1. ศึกษาวิเคราะห์และสารวจสถานภาพปัจจุบันของการผลิต คือ แรงงาน วัตถุดิบ ต้นทุน การผลิต เมอ่ื รูป้ จั จยั การผลติ แลว้ ทาใหส้ ามารถหาขอ้ บกพรอ่ งและหาวธิ ลี ดต้นทนุ ได้ 2. วิเคราะห์หาสาเหตุของต้นทุนสูญเปล่าท่ีเกิดขึ้นจากการผลิตสินค้า และการบริการหมายถึง การเสียค่าใช้จา่ ยแตไ่ มไ่ ดก้ อ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อธุรกจิ 3. ปฏิบัติการลดและควบคุมต้นทุนการผลิตในส่วนของค่าใช้จ่ายท่ีไร้ประสิทธิภาพ มีความ สญู เปล่า โดยดาเนินการต่อเนอื่ งใหบ้ รรลุผลสาเร็จ
134 2. ปจั จยั ในกำรลด ควบคุมตน้ ทุนกำรผลิต ในการผลิตสินคา้ ต้นทุนการผลติ จะสงู หรือตา่ นนั้ ขน้ึ อยู่กบั ปัจจยั ต่าง ๆ หลายประการดงั น้ี 1) ผบู้ ริหารตอ้ งมีนโยบายและโครงการเพ่ือลดต้นทุนการผลิตอย่างจริงจังและชัดเจน ไม่ว่าจะ เปน็ นโยบายดา้ นคุณภาพมาตรฐานระดับสากล เชน่ มาตรฐานไอเอสโอ (ISO) การสนับสนนุ ศกั ยภาพของ บุคลากร ฯลฯ หรอื ระบบและวธิ กี ารลดตน้ ทนุ ซึง่ ต้องดาเนินการอยา่ งจริงจงั และต่อเนอื่ ง ซึ่งมาตรฐานไอเอสโอ (ISO) สาหรับดา้ นการบริหาร มีทัง้ หมด 7 ประเภท ไดแ้ ก่ ISO 9000 คอื การจดั ระบบการบรหิ ารเพอื่ ประกนั คุณภาพ ทีส่ ามารถตรวจสอบได้ โดยผ่านระบบ เอกสาร ISO 9001 เป็นมาตรฐานระบบคุณภาพ ซ่ึงกากับดูแลท้ังการออกแบบ และพัฒนาการผลิต การ ตดิ ต้งั และการบริการ ISO 9002 มาตรฐานระบบคณุ ภาพ ซ่งึ กากับดแู ลเฉพาะการผลิต การติดต้งั และการบรกิ าร ISO 9003 เป็นมาตรฐานระบบคณุ ภาพ ซึ่งกากับดแู ลเรือ่ งการตรวจ และการทดสอบขั้นสุดท้าย ISO 9004 เป็นแนวทางในการบริหารงานคุณภาพ เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเป็น ขอ้ แนะนา ในการจัดการในระบบคุณภาพ ซ่งึ จะมกี ารกาหนดย่อย ในแตล่ ะประเภทธรุ กจิ ISO 14000 เป็นระบบมาตรฐานระบบการจัดการส่ิงแวดล้อม มุ่งเน้นให้องค์กรมีการพัฒนา ปรบั ปรงุ ส่ิงแวดล้อม อย่างตอ่ เนอื่ ง ISO 18000 มาตรฐานระบบการจดั การ อาชวี อนามัยและความปลอดภัย 2) สร้างจิตสานึกพนักงาน ให้มีจิตสานึกที่ดีต่อโครงการลดต้นทุนการผลิต จึงจะได้รับความ ร่วมมือและประสบความสาเร็จได้ 3) มมี าตรการเพ่มิ ประสิทธภิ าพและคุณภาพของการบรหิ ารจัดการธรุ กจิ อย่างจริงจงั 3. กำรควบคมุ กำรจดั กำรกำรผลติ หรือกำรบรกิ ำร การดาเนินงานธุรกิจให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้ธุรกิจมีความมั่นคงน้ันผู้ประกอบการ หรอื เจา้ ของธรุ กิจต้องมรี ะบบควบคมุ การจัดการการผลิตและการบริการ ระบบการควบคุมท่ีนิยมใช้มาก ไดแ้ ก่วงจรควบคมุ PDCA (Deming Cycle) มรี ายละเอียด ดังนี้ 1) P (Planing) การวางแผน หมายถึง การวางแผนว่ามีโครงการกิจกรรมหรือวิธีการอะไรในการ บรหิ ารจัดการการผลติ หรอื การบริการ 2) D (Do) การปฏิบตั ิ หมายถึง การดาเนนิ งานตามแผนท่ีกาหนดไว้ 3) C (Check) การตรวจสอบ หมายถงึ การตรวจสอบผลที่เกิดจากการปฏิบัติว่า มีผลเป็นไปตาม เป้าหมายหรอื วตั ถุประสงค์ทก่ี าหนดไว้ ในการวางแผนหรือไมอ่ ย่างไร 4) A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและตั้งมาตรฐานในการทางาน หมายถึง การกาหนดแนวทาง วิธีการใหมเ่ พอ่ื แก้ไขปัญหาขอ้ บกพรอ่ งที่พบจากการตรวจสอบ
135 กำรจดั กำรกำรตลำด เรอื่ งที่ 1กำรจัดกำรกำรตลำด ควำมหมำยของตลำดและกำรจัดกำรกำรตลำด ตลาด หมายถึง สถานที่ซ่ึงผู้ซ้ือ และผู้ขายมาพบเพื่อโอนเปล่ียนมือกันในกรรมสิทธ์ิของสินค้า และบริการ โดยมีราคาเป็นส่ือกลาง เป็นความหมายที่เป็นท่ีรู้จักและพบเห็นกันท่ัวไป เช่น ตลาดนัด สวนจตจุ กั ร ท่าข้าวกานนั ทรง อาเภอพยุหะคีรี ตลาดสดบางกะปิ ศูนย์การคา้ เซ็นทรลั พลาซา่ การจัดการการตลาด หมายถึง การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ด้านธุรกิจ ซ่ึงจะต้องมีการวางแผน การผลิต การโฆษณา การประชาสมั พนั ธ์ การวิจัยการตลาด การส่งเสริมการขาย การทาข้อมูลฐานลูกค้า การกระจายสินค้า การกาหนดราคา การจัดจาหน่าย ตลอดจนการดาเนินกิจการทุกอย่างเพื่อสนอง ความต้องการ และบรกิ ารใหแ้ ก่ผู้ซ้ือหรอื ผบู้ ริโภคพอใจ ทงั้ ในเรือ่ งราคาและบริการ การตลาดเป็นกิจกรรมทางการตลาดท่ีนักการตลาดดาเนินการเริ่มตั้งแต่การวางแผนจนกระท่ัง นาแผนเหลา่ นั้นไปปฏิบตั กิ ารวางแผนทางการตลาด นักการตลาดต้องคานึงถึงตัวแปรต่าง ๆ ที่มีอิทธิพล ต่อความสาเร็จของแผนการตลาด เพ่ือให้แผนการตลาดน้ันมีลักษณะที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ ความต้องการของลูกค้า สามารถจาแนกตัวแปรทางการตลาด ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ราคา และ การจัดจาหน่าย ซึง่ จะตอ้ งเขา้ ใจความหมายของคาตอ่ ไปน้ี ใหช้ ัดเจนดงั น้ี 1. ผลิตภณั ฑ์ หมายถึง สนิ ค้าหรอื การบริการท่ีสามารถตอบสนองความต้องการของผบู้ รโิ ภคได้ โดยผบู้ ริโภคเกดิ ความพึงพอใจในด้านผลิตภัณฑ์ 2. ราคา หมายถึง จานวนเงนิ ที่ผู้ซ้อื ยินดจี ่ายเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซ่งึ สนิ คา้ หรือบรกิ าร 3. การจัดจาหน่าย หมายถึง การเลือกช่องทางการจัดจาหน่ายเพ่ือให้ผลิตภัณฑ์ผ่านออกจาก ผผู้ ลิตไปสผู่ ู้บริโภค และการกระจายตวั สนิ คา้ ซ่ึงเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการใช้เคร่ืองมือ อุปกรณ์เพ่ือให้สินค้าและวัสดุเคลื่อนย้ายจากแหล่งผลิตไปยังสถานที่ที่ต้องการจะใช้ในสภาพโดยทั่วไป เราจะเห็นสัดส่วนประสมของการตลาด ซึ่งประกอบด้วยการโฆษณาการประชาสัมพันธ์ การวิจัย การตลาด การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการขาย การทาฐานข้อมูลลูกค้า และการกระจายสินค้า ดังแสดงในภาพส่วนประสมการตลาด ดังน้ี
136 1. การโฆษณา หมายถึง การนาเสนอหรือส่งเสริมความคิด ในการขายสินค้าหรือบริการผ่านสื่อ ต่าง ๆ มผี ู้อุปถมั ภ์เปน็ ผเู้ สียคา่ ใช้จ่ายในการโฆษณา โดยมีวัตถปุ ระสงค์ของการโฆษณา เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั สนิ คา้ และงานบริการเป็นการให้ข่าวสารและชักจูงให้ซื้อสินค้าและซื้อบริการสื่อท่ีใช้ ในการโฆษณามหี ลายประเภท เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา การโฆษณา ทาง ไปรษณีย์ เป็นต้น สื่อโฆษณาแต่ละประเภทจะมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกสื่อ โฆษณาควรคานึงถึงวัตถปุ ระสงค์ ดงั นี้ 1) สามารถเขา้ ถงึ กล่มุ เป้าหมายให้มากทส่ี ดุ เท่าท่จี ะมากได้ 2) ส่ือนน้ั มีประสิทธิภาพและไดผ้ ลสงู สุด 3) เสียคา่ ใช้จา่ ยต่าที่สดุ 2. การประชาสัมพันธ์ หมายถึง การติดต่อสื่อสารเพื่อส่งเสริมความเข้าใจท่ีถูกต้องร่วมกัน ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างลูกค้า หน่วยงาน รัฐบาล ประชาชน เพื่อให้เกิดความ เชือ่ ถือ ศรทั ธา ความคิดเห็น ทัศนคติที่ดีต่อองค์การ การประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ข่าวแจกสาหรับเผยแพร่ การแถลงข่าว ลูกค้าสัมพันธ์ พนักงานสัมพันธ์ ชุมชนสัมพันธ์ ส่ือมวลชนสัมพันธ์ การบริการสังคมและ สาธารณประโยชน์ 3. การวิจัยตลาด หมายถึง การศึกษาปัจจัยภายนอกและภายในเก่ียวกับการตลาด ทาให้ ผู้ประกอบการมีข้อมูลในการวางแผนการตลาดได้อย่างม่ันใจ และสามารถบอกรายละเอียดในการ ดาเนนิ งานไดอ้ ย่างชัดเจน 4. การส่งเสริมการขาย หมายถึง การทากิจกรรม การโฆษณา การขายโดยบุคคล การส่งเสริม การขาย และการประชาสัมพันธ์ กิจกรรมน้ี ดาเนินการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ซื้อตัดสินใจ เลอื กซื้อสินคา้ หรือรบั บริการ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค หมายถึง การค้นหาเพ่ือให้ทราบถึงสาเหตุหรืออิทธิพลท่ีมีต่อ การตัดสินใจซ้ือสนิ ค้าหรอื บรกิ ารของผบู้ รโิ ภค ประโยชน์ที่ได้จากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ทาให้ ทราบถึงลักษณะที่แท้จริงของตลาดและผู้บริโภค ช่วยให้ผู้บริหารการตลาดสามารถวางแผนและปรับ กลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้ากับสภาพความจริงท่ีสุด นักการตลาดควรนาหลักการวิเคราะห์พฤติกรรม ผบู้ ริโภคมาปรับใช้โดยคานงึ ถึงรายละเอยี ด ดงั น้ี 1. ผู้บริโภคคือใคร ใช้หลักการแบ่งส่วนตลาดเข้ามาประกอบการพิจารณา คือ หลักภูมิศาสตร์ หลักประชากรศาสตร์ หลกั จติ วิทยา หลักพฤตกิ รรมศาสตร์ 2. ความต้องการของตลาด ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาว่าผู้บริโภคต้องการอะไรจากผลิตภัณฑ์ ที่ซ้ือ เช่น บางคนใช้รถยนต์ราคาแพง เพราะต้องการความภาคภูมิใจ บางคนเลือกรับประทานอาหาร ในรา้ นหรูหรา 3. การตัดสนิ ใจซอ้ื ผู้ประกอบการตอ้ งศกึ ษาถงึ กระบวนการตดั สนิ ใจในการซ้ือของผบู้ รโิ ภค ซ่งึ จะต้องผา่ นกระบวนการ 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1) ขัน้ เกดิ ความต้องการ ผบู้ รโิ ภคมคี วามต้องการสินค้าและบริการนั้น ๆ ความต้องการนี้ อาจเกิดข้ึนจากตัวกระตุ้น เช่น ความหิว ความอยากได้ ความอยู่รอด ความมีหน้ามีตา การเลียนแบบ ฯลฯ
137 2) ขั้นแสวงหาข้อมูล เม่ือเกิดความต้องการในสินค้าหรือบริการน้ัน ๆ ผู้บริโภคจะ พยายามเสาะแสวงหาความรู้เก่ียวกับสินค้า และบริการน้ันจากผู้ใกล้ชิด เพ่ือน ครอบครัว เพ่ือนบ้าน การโฆษณาทางสอ่ื ต่าง ๆ ส่อื สารมวลชน ผู้เคยใชส้ นิ ค้านัน้ มาแล้ว 3) ข้ันการประเมินทางเลือก เมื่อผู้บริโภคได้รับข่าวสารข้อมูลที่จะใช้ประกอบการ ตัดสินใจซือ้ แล้ว เขาจะประเมนิ คา่ ทางเลือกแต่ละทางเพอ่ื การตดั สินใจซอื้ การประเมินทางเลือกผู้บริโภค มักจะใช้ ประสบการณ์ของเขาในอดีต ทัศนคติท่ีมีต่อร้านค้าแต่ละย่ีห้อหรือฟังความคิดเห็นจากเพื่อน ๆ เพอื่ ชว่ ยในการเลอื ก 4) ข้ันการตัดสินใจซื้อ หลักจากผ่านขั้นการประเมินทางเลือกแล้วผู้บริโภคก็จะเลือก ตราย่ีห้อท่ตี นชอบมากทสี่ ุด ดังนัน้ นักการตลาดจึงต้องเพม่ิ ความพยายามในการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคและ ช่วยเหลือแนะนาผบู้ ริโภคในการตดั สินใจซื้อ 5) ข้ันความรู้สึกหลังการซ้ือ เม่ือผู้บริโภคซ้ือสินค้าตราย่ีห้อน้ัน ๆ ไปใช้แล้ว หากได้ผล ตามท่ีตนคาดคะเนไว้ ย่อมทาให้ผู้บริโภคมีทัศนคติท่ีดีต่อตรายี่ห้อน้ันมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าใช้แล้วไม่ได้ผล ตามท่คี าดไว้ เขาย่อมมีทศั นคติไม่ดตี ่อตราย่ีหอ้ นน้ั ประโยชน์ขอ้ มูลในดำ้ นกำรตลำด มีดงั นี้ 1. เกิดความเข้าใจในปญั หา 2. คาดคะเนความต้องการได้ 3. ใช้งบประมาณอย่างมเี หตผุ ลยง่ิ ขึน้ 4. บรหิ ารงานชดั เจนมีเป้าหมาย 5. ชว่ ยค้นหาปัญหาทางธุรกิจ 6. ชว่ ยเพิม่ ผลผลติ 7. การพยากรณ์สภาวะธรุ กจิ 8. ข้อมูลเกี่ยวกับตลาด ลูกค้า และอุตสาหกรรมท่ีเป็นอยู่สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้ม เปน็ อย่างไร 9. ผลิตภัณฑ์คแู่ ข่ง วิธีการส่งเสรมิ การจาหน่ายและผลการขยายของค่แู ขง่ ขนั เปน็ อยา่ งไร 10. ไดร้ ับทราบขอ้ มูลผลความสาเรจ็ และปญั หาท่ีจะเกดิ จากการขายหรอื รายงานการขาย
138 11. มีโอกาสเปดิ ตลาดใหม่ 12. รูก้ ารเปลีย่ นแปลงของคูแ่ ขง่ ขนั 13. รูท้ นั ทัศนคติและความต้องการของลูกค้าและประสิทธภิ าพของกลยุทธ์ในปัจจบุ ัน เร่อื งท่ี 2 กำรจดั ทำแผนปฏบิ ัติกำร การจัดทาแผนปฏิบัติการ เป็นกระบวนการจัดการท่ีเป็นระบบในการประเมินโอกาสและ ทรัพยากรทางการตลาด ท่ีสร้างและรักษาความเหมาะสมระหว่างวัตถุประสงค์ขององค์กรกับทรัพยากร ที่มี รวมทงั้ โอกาสทางการตลาดทเ่ี ปลย่ี นแปลงในระยะยาว เป้าหมายของการวางแผนปฏิบัติการทากาไร และการเตบิ โตในระยะยาว การตัดสนิ ใจทาแผนปฏิบตั กิ ารจงึ ใช้ทรพั ยากรในระยะยาว การจดั ทาแผนปฏบิ ตั ิการ ควรนากลยทุ ธ์มาใช้เพอื่ มงุ่ ตอบคาถาม 2 ขอ้ คือ (1) จะทาอะไรเป็นกิจกรรมหลกั ในขณะน้ี (2) กจิ การจะบรรลุเปา้ หมายไดอ้ ย่างไร แผนการตลาดจะระบุวตั ถปุ ระสงค์ และกิจกรรมที่ตอ้ งทาเพือ่ ให้บรรลุวัตถุประสงค์น้ัน การตลาด ถือเป็นกจิ กรรมทีย่ ากทสี่ ุด ทีพ่ นักงานและผบู้ ริหารเข้าใจร่วมกนั และทาเพื่อนาไปสเู่ ปา้ หมายร่วมกันดงั นี้ 1. การเขียนแผนการตลาดท่ีชัดเจนเป็นงานท่ีต้องใช้เวลา แต่เป็นพื้นฐานในการสื่อสารภายใน องคก์ ร 2. แผนการตลาดจะทาให้พนักงานทุกคนทราบว่า ตนมีความรับผิดชอบอะไร ต้องทาอะไร มีกรอบเวลาในการปฏิบัติงานอยา่ งไร 3. แผนการตลาดบ่งบอกวตั ถปุ ระสงค์และแนวทางการจัดสรรทรัพยากรเพอื่ ใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ 4. แผนการตลาดเป็นกรอบความคิดและให้ทิศทาง ส่วนการนาไปปฏิบัติเป็นการทางาน ในลกั ษณะทีจ่ ดั การกับปญั หา โอกาส และสถานการณ์ 5. แผนการตลาดแสดงข้นั ตอนงานท่ีเรยี งเป็นลาดบั กอ่ นหลังกจ็ ริง แตข่ ัน้ ตอนเหล่าน้ันอาจเกิดขึ้น พร้อมกันหรือประสานกันได้ การเขียนแผนมีหลายรูปแบบ ข้ึนอยู่กับเป้าหมายองค์กร พันธกิจ วัตถุประสงค์ กลมุ่ เปา้ หมาย และสว่ นประสมทางการตลาดขององค์กรนน้ั
139 การกาหนดพันธกิจขององค์กร เป็นสิ่งที่ทาให้เราได้ทราบว่าองค์กรนั้นทาธุรกิจอะไร และสิ่งใด ทาให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่ง องค์กรมีวัตถุประสงค์ ปรัชญาและภาพลักษณ์เป็นอย่างไร การกาหนด พันธกิจควรเน้นประโยชน์ท่ีลูกค้าจะได้รับ ลักษณะของพันธกิจที่ดี ต้องสะท้อนวิสัยทัศน์ขององค์กร การระบุวตั ถปุ ระสงค์ทางการตลาด เป็นข้อความที่ระบุเป้าหมายที่องค์กรต้องการบรรลุ โดยใช้กิจกรรม ทางการตลาด วตั ถุประสงค์ทีด่ ี ควรมีลกั ษณะทเี่ รียกวา่ “SMART” คอื 1. เจาะจง (Specifie) คอื มคี วามเฉพาะเจาะจง ชัดเจน ต้องการผลออกมาในรูปใด 2. วดั ได้ (Measurable) คือ วตั ถุประสงค์ตอ้ งวัดได้ ทงั้ ในดา้ นปรมิ าณและคุณภาพ 3. บรรลุได้ (Achievable) คือ มลี ักษณะจงู ใจ อยู่บนพื้นฐานของความจริง มคี วามสมา่ เสมอ 4. สมั พนั ธก์ ัน (Relevant) คือ ตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งกบั นโยบายของบริษทั 5. ระบุเวลา (Time-bound) คอื องค์กรต้องบอกว่ากจิ กรรมนน้ั จะเร่มิ และส้นิ สดุ เวลาใด วัตถุประสงค์ที่ไม่มีกรอบเวลาท่ีเร่ิมต้น และเวลาส้ินสุดส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีโอกาสบรรลุได้ การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นกิจกรรมท่ีผู้ทาการตลาด ต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมปัจจุบันและอนาคต สาหรับผลติ ภัณฑ์ การวเิ คราะห์สถานการณ์ หรืออาจเรียกว่า การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค โดยใช้เทคนิค SWOT (SWOT Analysis) การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด เป็นการเลือกตลาด เป้าหมายและสร้างส่วนประสมทางการตลาด เพื่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ตลาดเป้าหมายขององค์กร ซึ่งประกอบด้วย 3 ประการ คือ การบรรลุเป้าหมาย การสร้างส่วนประสมทางการตลาด และการวาง ตาแหน่งของผลิตภัณฑ์ การนาแผนไปปฏิบัติและการควบคุม เป็นกระบวนการที่ผู้ทาการตลาด ต้องดาเนินงานตามแผนการตลาดที่วางไว้ ด้วยความม่ันใจว่าจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ซ่งึ รายละเอยี ดในแผนจะระบกุ ิจกรรม เวลา งบประมาณ ซง่ึ ต้องมีการสื่อสารท่ีดีเม่ือนาแผนการตลาดไป ปฏิบัติแล้ว จะต้องมีการประเมิน เพื่อให้ทราบว่า ได้ดาเนินการบรรลุตามวัตถุประสงค์เพียงใด มีอะไร ท่ีควรแก้ไข การวางแผนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการควบคุม เน่ืองจากแผนได้ระบุถึงสิ่งที่องค์กร ตอ้ งการบรรลุ กำรขบั เคลอื่ นเพ่อื พัฒนำธรุ กจิ เรอ่ื งที่ 1 กำรวิเครำะหค์ วำมเปน็ ไปได้ของแผนพฒั นำอำชีพ 1. องคป์ ระกอบการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนพัฒนาอาชีพ การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ของแผนพฒั นาอาชีพ เปน็ การสรา้ งความเช่ือม่ันและความมั่นใจว่าแผนพัฒนาอาชีพมีทิศทางการพัฒนา ถูกต้อง สัมพันธ์กับศักยภาพของชุมชน มีความเป็นไปได้สูงในการพัฒนาอาชีพ โดยการวิเคราะห์ ความเปน็ ไปไดข้ องแผนพัฒนาอาชีพ มีองคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1. ทุนทมี่ ีอยู่ของชุมชน 1) ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดนิ เหนียว ทราย แหลง่ น้า ธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม เปน็ ตน้ 2) ทุนทางศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม ได้แก่ - ทนุ ทางศาสนา เชน่ สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา พระพุทธรูปสาคัญ และประวัติ ความ เป็นมา พระนกั ปฏิบัติ พระนักเทศน์ เปน็ ต้น
140 - ทุนทางศิลปะ เช่น สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา ศิลปะ ผ้าและเครื่องแต่งกาย ช้ินงาน ศลิ ปหตั ถกรรม การละเล่นพน้ื บา้ น เปน็ ตน้ - ทนุ ทางวัฒนธรรมประเพณี เช่น การทาบุญตักบาตรตามประเพณีท้องถิ่น เทศน์มหาชาติ แหเ่ ทยี นเข้าพรรษา เปน็ ต้น 3) ทุนทางปญั ญาของชุมชน เปน็ องค์ความรทู้ ี่มีอยู่ในชุมชน เช่น สูตรการแปรรูปส้มโอ อาเภอ โพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร สูตรการทาน้าพริกเห็ดกรอบ อาเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร รวมถึง ผู้รู้ หรอื ผทู้ รงภมู ิปัญญาเช่น นางจานงค์ พุ่มมาลา อาเภอโพธ์ิประทับช้าง จังหวัดพิจิตร เป็นผู้ทรงภูมิปัญญา ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร นายพิทักษ เมฆาวรนันท์ อาเภอสากเหล็ก นางสาวเกษกนก หละวัน อาเภอตะพานหนิ จังหวัดพจิ ติ ร เปน็ ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาดา้ นเกษตรกรรมธรรมชาติ 2. ความสามารถหลักของชุมชน การพัฒนาอาชีพของชุมชน สิ่งสาคัญที่ต้องวิเคราะห์ คือ ความสามารถของชุมชนให้ถ่องแท้ จึงจะทาการกาหนดกลยุทธ์ การสร้างคุณค่า และการเจริญเติบโต รวมถึงการสรา้ งความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนต่อไปได้ถูกต้องและเหมาะสม เช่น บ้านทับพริก อาเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เป็นชุมชนที่มีความสามารถในการปลูกหน่อไมฝรั่ง มะละกอ ถ่ัวพู และพริก ทาให้เห็นว่าบ้านทับพริกเป็นแหล่งรวบรวมความสามารถหลักทางการเกษตร เก่ียวกับความรู้ วิธีการผสมผสานความชานาญและเทคโนโลยีการผลิตผลผลิตที่หลากหลายเข้าด้วยกัน การวิเคราะห์ ความสามารถหลกั ของชุมชน สามารถพิจารณา ไดด้ ังนี้ 1) ความสามารถหลักเป็นการเพิ่มศักยภาพ ทาให้ชุมชนนาผลิตภัณฑ์เจาะตลาดได้อย่าง หลากหลาย 2) ความสามารถหลักจะเป็นประโยชน์ต่อลกู คา้ อย่างมากในการซอื้ สินคา้ ของชุมชน 3) ความสามารถหลักเป็นส่ิงท่ีค่แู ข่งเลยี นแบบไดย้ าก 3. ความต้องการพัฒนาเกิดจากการมองเห็นอย่างลึกซึ้งของคนในชุมชน บนฐานข้อมูลภายใน ตนเอง ครอบครัวและชุมชน สามารถระบุออกมาได้ทันที และตรงกับความเป็นจริง ความสาคัญ การ วิเคราะห์ความต้องการพัฒนา ถึงแม้จะมีการสารวจ สอบถาม จากคนภายในชุมชนแต่จากสภาพ การ เปลยี่ นแปลงของสงั คมเศรษฐกจิ อาจจะมีผลให้ การสารวจท่ัวไปท่ีพยายามจะดึงข้อมูล สภาพเศรษฐกิจ สังคมครัวเรือน ออกมาประมวลผล วิเคราะห์แล้วแปลความหมาย นามาใช้ทาแผนเพื่อการพัฒนาจึงมี โอกาสเกดิ ความคลาดเคล่ือน ต่อการพัฒนา ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเท่ียงตรง สอดคล้องกับสภาพความ เปน็ จริงมากที่สดุ การวิเคราะห์ ความต้องการพัฒนา สามารถดาเนนิ การไดด้ ังนี้ 1) เปิดเวทีประชาคม ทาความเข้าใจ ระบุความต้องการความจาเป็น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ จัดทาแผนพัฒนาอาชพี ซ่ึงขอ้ มูลประกอบไปด้วย (1) ด้านเศรษฐกิจ เป้าหมายทางเศรษฐกิจของครอบครัว การสรา้ งความพออยู่พอกิน การสร้างรายไดส้ ะสมทนุ การขยายพฒั นาอาชพี (2) รายไดค้ าดหวงั และพอเพยี งตามสภาพท่ีทาไดจ้ รงิ ด้วยตนเอง
141 (3) ทนุ ทม่ี ีอยู่ มีที่ดิน จานวนเทา่ ไร มแี รงงานทีท่ าไดจ้ รงิ จานวนกี่คน มีเงินทุนเพียงใด เรื่องที่ 2 กำรพัฒนำแผนพัฒนำอำชีพ การพัฒนาแผนพัฒนาอาชีพ เป็นการนาข้อมูลจากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนพัฒนา อาชีพ มาจัดระบบและรายละเอียดให้มีความเหมาะสมที่จะดาเนินการได้ตามศักยภาพของตนเอง ตามแผนภมู ิ ตอ่ ไปน้ี เรอื่ งท่ี 3 ข้นั ตอนกำรขับเคลื่อนแผนพัฒนำอำชพี ข้ันตอนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาอาชีพ สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอธั ยาศยั จังหวัดพจิ ติ ร ผู้นาชุมชน ภาคพี ัฒนาคณะทางานและประชาชน ต้องร่วมกันดาเนินการใน 3 ประเด็น คือ ประเดน็ ท่ี 1 การวเิ คราะห์ความเปน็ ไปไดข้ องแผนปฏิบัตกิ าร ประเด็นท่ี 2 การพฒั นาแผนปฏิบตั ิการ ประเด็นที่ 3 จัดการความรกู้ ารขับเคล่ือนแผนปฏิบัติการสู่ความสาเรจ็ โดยการดาเนนิ งานในแตล่ ะประเด็นมีรายละเอยี ด ดังน้ี
142 1. การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนปฏิบัติการเป็นการพิจารณาร่วมกันของผู้เรียน ผู้นา ชมุ ชน คณะทางาน ประชาชน และภาคีเครือขา่ ย ความเหมาะสมของแผนปฏิบัติการกับสภาพความเป็น จริงของชุมชนโดยพิจารณาจากการรับได้ของประชาชนในชุมชน การเห็นด้วยของประชาชนในชุมชน ความพรอ้ มของทรพั ยากรทมี่ ีอยู่ในชุมชน ความจาเป็นทจ่ี ะต้องนาเข้าทรัพยากรจากภายนอกชุมชน 2. การพัฒนาแผนปฏิบัติการ เป็นการนาข้อมูลจากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนปฏิบัติ การ มาปรับปรุงหรือพัฒนาเพ่ือให้แผนปฏิบัติการมีความเหมาะสมที่จะดาเนินการได้ตามศักยภาพของ ชมุ ชน 3. จัดการความรูก้ ารขบั เคล่อื นแผน การจดั การความรขู้ ับเคลอ่ื นแผนปฏบิ ตั ิการสู่ความสาเร็จ ครู การศึกษานอกโรงเรียน ผู้เรียน ผู้นาชุมชน ประชาชน และภาคีพัฒนา จะต้องร่วมกันดาเนินการโดยมี กระบวนการขั้นตอน ดงั น้ี
143 เรอ่ื งที่ 4 ปัญหำอุปสรรคและแนวทำงแก้ไขทเี่ กิดจำกกำรขบั เคล่อื นแผนธุรกจิ ในการดาเนินการขับเคล่ือนแผนธุรกิจ เป็นขั้นตอนการดาเนินงานต่อเนื่อง ซ่ึงในระหว่าง การดาเนินงานอาจมีปัญหา และอุปสรรคได้ ดังน้ัน เพื่อเป็นการควบคุมปัญหา อุปสรรค และหาแนว ทางแก้ไขไดท้ ันตอ่ เวลา ไมป่ ล่อยใหเ้ กิดความเสยี หาย จงึ ควรดาเนนิ การ ดังนี้ 1. ตรวจสอบปญั หำอปุ สรรคจำกสภำพภำยในของกจิ กรรม 1) ทาความเข้าใจ ในโครงการ/กิจกรรม ของตนเองว่าจะต้องตรวจสอบปัญหาอุปสรรค ภายในของตนเอง เพอ่ื นาขอ้ บกพร่องมาพัฒนาการดาเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กาหนดโดยมีข้ันตอน การดาเนินการ ดังนี้ (1) ทาความเขา้ ใจข้นั ตอนของการทางาน (2) ตรวจสอบเปรียบเทียบการทางานว่าเป็นไปตามขั้นตอนหรือไม่ มีปัญหา อปุ สรรคและขอ้ บกพรอ่ งอยา่ งไร (3) ปฏบิ ตั กิ ารแกไ้ ขขอ้ บกพร่องและพฒั นา 2. ดำเนินกำรตรวจสอบข้ันตอนดำเนินงำน ว่าเป็นไปตามเกณฑ์เปรียบเทียบกับสภาพ ทีเ่ ปน็ อยู่แลว้ สรปุ ขอ้ บกพร่อง 1) ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา โดยนาข้อบกพร่องมากาหนดแนวทางแก้ไข และพิจารณา วา่ จะมีการจัดการหรอื ใช้เทคโนโลยีมาพฒั นาใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ อยา่ งไร 2) สรุปผลการตรวจสอบเป็นองค์ความรู้ บันทึกผลการตรวจสอบ ผลการแก้ไข ขอ้ บกพรอ่ ง ผลการพัฒนาสรุปเป็นองคค์ วามรู้ เพ่ือพัฒนาเป็นทนุ ทางปญั ญา 3. กำรตรวจสอบ ตดิ ตำม แกไ้ ขข้อบกพรอ่ งกำรดำเนนิ งำนตำมแผน 1) การดาเนินงาน ตรวจสอบ ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องให้สามารถดาเนินงาน ตามแผน เพอื่ สรา้ งประสทิ ธิผลการทางาน ใหเ้ กดิ ผลต่อการลงทนุ ของตนเองด้วยการ (1) วางแผนการตรวจ (2) ปฏบิ ัตกิ ารตรวจและแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง (3) ปฏบิ ัติตามผลการแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง 2) ปฏบิ ตั ิการจดั ทาแผนการตรวจกิจกรรมวา่ อยู่ในข้ันตอนใด 3) ปฏบิ ตั ิการตรวจและแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง คณะผู้นาชุมชนดาเนนิ การตรวจ ดงั นี้ (1) แจงให้ผู้รับผิดชอบทราบล่วงหน้าว่าจะตรวจการดาเนินงาน เร่ืองอะไรบ้าง เพ่อื ใหค้ ณะทางานไดม้ สี ่วนร่วมในการตรวจสอบตนเองกับผนู้ าชุมชน (2) ดาเนินการตรวจติดตาม โดยปฏิบัติการร่วมกับคณะทางานพร้อมสรุป ขอ้ บกพรอ่ ง (3) นาผลสรุปข้อบกพร่องมาร่วมกันกาหนดแนวทางแก้ไข และจดบันทึกให้ คณะทางาน ผรู้ บั ผิดชอบ ใช้ดาเนนิ การแกไ้ ข (4) กาหนดระยะเวลากลับมาติดตามผลการแก้ไขข้อบกพร่องให้คณะทางาน ผรู้ ับผดิ ชอบ รบั ทราบ
144 4) ปฏิบตั ิการตดิ ตามผลและแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง โดยคณะทางาน ดาเนินการติดตามผลการ แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง ดงั นี้ (1) ใหค้ ณะทางานแสดงผลการแก้ไขขอ้ บกพรอ่ ง (2) คณะทางานวินิจฉัยผลการแก้ไขข้อบกพร่องว่าประสบผลสาเร็จเพียงใด และ จะพฒั นาต่อเนื่องได้อยา่ งไร (3) สรปุ ผลการแกไ้ ขขอ้ บกพร่องเป็นองค์ความรู้ โครงกำรพฒั นำอำชีพ เรื่องที่ 1 ควำมสำคญั ของโครงกำรพัฒนำอำชพี 1. ความหมายของโครงการพัฒนาอาชีพจากแผนปฏิบัติการ เพ่ือการพัฒนาอาชีพที่กาหนดไว้ แล้วนั้น การนาแผนสู่การปฏิบัติเพ่ือให้มีทิศทางและขอบเขตการดาเนินงานที่ชัดเจนจะต้องมีการจัดทา โครงการปฏบิ ตั ิการควบคุมการดาเนินงานไว้ โครงการ หมายถึง งานที่กาหนดจะทาในระยะหนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการ ที่เกิดขึ้นโดยระบุว่าจะทาอะไร เม่ือไร ใช้ปัจจัยอะไร เท่าไร และมีวิธีการดาเนินงานอย่างไร เมื่อสิ้นสุด ระยะเวลา ปญั หาหรอื ความต้องการน้ัน ได้รับการตอบสนองจะถือว่าโครงการนั้นส้ินสุด การดาเนินงาน ในรูปโครงการเป็นวิธีการบริหารจัดการท่ีดี เพราะทาให้เกิดความชัดเจน มีเหตุผล เกิดความเข้าใจ ท่ีถูกต้องตรงกัน และสามารถขยายผลการดาเนินงานได้เพ่ือพัฒนากิจกรรมหรืองานน้ันให้มีความเจริญ ก้าวหนา้ ต่อไป 2. ลกั ษณะของโครงการที่ดี โครงการท่ีดีจะต้องกาหนดรายละเอียดในโครงการให้ชัดเจนและมีความสัมพันธ์กันว่า ใครทา อะไร ท่ไี หน อย่างไร เมือ่ ไร เทา่ ไร ทาไม และหวังผลอะไร โดยลกั ษณะของโครงการท่ดี ีสรุปได้ ดังนี้ 1) ต้องกาหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายโดยเน้นการกาหนดส่ิงที่ต้องการให้ เกิดเมอ่ื โครงการส้ินสุดลง เช่น สามารถจัดทาบัญชีครัวเรือนได้ถูกต้องและสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่าง น้อย ร้อยละ 10 ของรายไดท้ ัง้ หมด 2) สามารถนาไปปฏิบัติงานไดจ้ รงิ ไมเ่ ป็นโครงการท่เี ล่อื นลอย เพอ้ ฝนั สวยหรู 3) สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง ตอบสนองต่อความต้องการและความสาคัญของกลุ่มเป้าหมาย และไม่เกินความรู้ความสามารถของผู้ ปฏิบตั ิ 4) มีรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของโครงการ เช่น วิธีการปฏิบัติ ระยะเวลาที่แน่นอนตั้งแตเ่ วลาเรม่ิ ตน้ และส้ินสุดโครงการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการกาหนดค่าใช้จ่ายและ ทรัพยากร 5) ระบทุ รัพยากรและแหล่งทรัพยากร ท่ีจาเป็นต้องใช้อย่างชัดเจนตลอดจนงบประมาณ และแหล่งเงินทนุ ที่ตอ้ งใช้ในการดาเนินงาน 6) ผลที่คาดว่าจะได้รับต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการที่ กาหนดไว้
145 เร่อื งท่ี 2 ขนั้ ตอนกำรเขยี นโครงกำรพฒั นำอำชีพ ขอ้ มูลท่ีตอ้ งใช้ในการเขยี นโครงการพฒั นาอาชพี 1. ขอ้ มูลท่นี ามาใช้กาหนดโครงการพัฒนาอาชีพ จะคล้ายกับการจัดทาแผนแต่จะมีรายละเอียด ของแตล่ ะกิจกรรมมากกว่าขอ้ มลู ทจ่ี าเป็นเหลา่ น้ี ได้แก่ 1) ความต้องการของตลาด ก่อนที่จะเลือกการประกอบอาชีพใด ๆ จะต้องมีการสารวจ สภาพและความต้องการของชมุ ชนทจ่ี ะใช้เป็นแหลง่ ประกอบอาชีพ เชน่ จานวนประชากรในชุมชน มีเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง คนสูงอายุประกอบอาชีพอะไร มีฐานะอย่างไร มีรายได้โดยเฉล่ีย สภาพความเป็นอยู่ ความนิยมสินค้าหรือบริการในลักษณะใด ซ่ึงสินค้าหรือบริการที่ตัดสินใจจะผลิตน้ันมีผู้ดาเนินการอยู่ หรือไม่ หรือมีอยู่แล้วไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ ส่วนของเรานั้นจะพัฒนาให้แตกต่างจากสินค้าของ ผอู้ น่ื อย่างไร การสารวจความ ต้องการนอ้ี าจมวี ธิ กี ารสอบถาม การสังเกต สถิติจากหน่วยงานของภาครัฐ และเอกชน เพือ่ ทราบปริมาณความต้องการของตลาดว่าผลิตสนิ คา้ ไปแล้วคุ้มทนุ หรือไม่ 2) ความพร้อมในการประกอบอาชีพ เมื่อตัดสินใจเลือกอาชีพแล้ว จะต้องพิจารณา ความพรอ้ มด้านตา่ ง ๆ ของอาชีพนั้น ๆ วา่ มมี ากน้อยพยี งใด ได้แก่ (1) ความรู้ความสามารถเก่ียวกับอาชีพ โดยพิจารณาว่าจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถด้านใดบ้าง ผู้ประกอบการมีพ้ืนความรู้มากน้อยเพียงใด ความรู้ท่ียังขาดอยู่จะสามารถ ศกึ ษาความรู้เพม่ิ เตมิ ด้วยวิธใี ด (2) สถานที่ท่ีจะใช้ประกอบการก็มีความสาคัญท่ีจะต้องพิจารณา การประกอบ อาชีพบางอย่างข้ึนอยู่กับการใช้สถานที่ด้วยเช่น ใช้เน้ือท่ีมากสาหรับการประกอบอาชีพเกษตร สถานที่ ตอ้ งอยู่ในแหลง่ ชุมชนสาหรบั อาชีพคา้ ขาย เป็นตน้ (3) เงินทนุ ตอ้ งใช้เงนิ ทนุ เท่าใดสาหรับอาชพี ทปี่ ระกอบการ มีเงินทุนหรือยัง หาก ยังไมม่ จี ะจัดหาอยา่ งไร ทใี่ ด (4) วัสดุอุปกรณ์จะต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้างและมีหรือยัง หากยังไม่มีวิธีการ ทีจ่ ดั หาไดอ้ ยา่ งไร แหลง่ ซ้ืออยู่ท่ใี ด (5) ผู้ร่วมงาน ต้องพิจารณาผู้ร่วมงานว่ามีความจาเป็นต้องมีก่ีคน ใครบ้าง แต่ละ คนมคี วามรู้ความสามารถด้านใดบา้ ง หรอื ควรมอบหมายงานดา้ นใดใหร้ บั ผดิ ชอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225