มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ขาศึกตอความจริงของใจน้ันไมมีรูปไมมีราง แตวามันมาในรูปแบบ เรียกวาการปรุงการแตงนี้แหละ ผูท่ีมีสวนเขาใจ การปรุงการแตงก็ พลอยมคี วามรูส ึกเส่อื มสภาพ เรยี กวามคี วามสงบ ถามีความสงบ ทานก็เรียกวาเปนผูอยูในรูปแบบมีวิหาร ธรรม ธรรมของการเปนอยูของผูมีความสงบใจ เปนภาษาภาค บัญญัติ ปริยัติ เรียกวา อสังขตธรรม ธรรมที่ไมมีการปรุงแตง แต มันก็ใชไดเหมือนกับวาเราอยูในสังคม เราเปนสวนหนึ่งของการอยู รวมเปนสงั คม แตเ ราก็อยใู นรูปแบบเห็นเปนเพียง การเปนอยูในรูป แบบอยางน้ี ไมไดยินดี ไมไดยินราย เห็นเปนแตสวนหนึ่งของการ เปนอยูเทานัน้ ถา ดูกันในรปู แบบอยางน้ีมันก็มีความรูสึก อยางนอย ก็เกิดความรูสึกในรูปแบบเรียกวา ผูถูกปลดปลอย ปลดปลอยจาก เครอื่ งผูกพนั ภาษาเรียกวา ไมอยูในรูปแบบถูกกักขงั ฉะนน้ั อารมณ ที่ใหเกิดความสงบใจ มันก็มี มันก็พรอมอยูแลว ทุกคนก็พรอมอยู แลว ทุกคนก็มีกันอยแู ลว ก็ใหเขา ใจกนั อยางนี้ เรามีกาย เราก็กําหนดกาย กําหนดดูวาเราจะไมดูเลยมนั ก็ ไมได มันตองดูวา กาลเวลาผานไป ผานไป สภาพที่มันมีสวน เกีย่ วของกับกาลเวลามันจะชแ้ี นะ มนั จะใหขอ มูล เมือ่ มันช้ีแนะ มัน ใหขอมูล เราก็จะมีความเขาใจ ปรับความเขาใจ ใหรูสึกท่ีเรียกวา รู แจงเห็นจริง ในสิ่งท่ีถือวาเปนสวนหนึ่งของ สามัญญะ ภาษาก็ เรยี กวา วิปสสนา วปิ ส สนา ทาํ ใหมนั แจง เหมือนกับเราอยูใ นพื้นท่ี น้ี มีแสงสวางของพระอาทิตย มีแสงสวางจากกระแสไฟ เราก็มอง ในแงวา มนั มคี วามสะดวก เพราะเราไมไ ดมองไปอีก เพราะปกตแิ ลว อายตนะ ถือวาเปนสวนหน่ึงของประสาทสัมผัส ตา ถือวาเปนสวน ๔๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ หนึ่งของอวัยวะประสาทสัมผัส เราอาศัยแสงสวาง เราก็บอกวาตา เราดี ทาํ นองนีแ้ หละ ไมพ ิการ แตถามองในแงวา ถาไมมีแสงพระอาทิตยหรือไมมี กระแสไฟ เรากบ็ อกวา ตานี้มันมีจุดดอย มันมีจุดทเ่ี รียกวา ไมใ หเ กิด ความสะดวก ฉะน้ัน ผูปฏิบัติทานจึงมีสวน ถามีสวนของการมา สํารวมสังวร ก็มาสํารวมสังวรท่ีอายตนะของเรา คือทางผาน ทางที่ มันมีสวนของการผาน ผานเขาผานออก ตาไดเห็นเกิดอะไรบาง หู ไดฟงแลว ก็มีอะไรบาง เราคอยสังเกตเพราะสภาวะอนั เปน สว นหน่ึง ของเครื่องบดบังนั้นมันมีสวนเก่ียวของ ภาษาพระทานเรียกวา ธรรมเปนเคร่ืองครอบงํา เรียกวา โลกธรรมมันครอบงํา ตาไดเห็น มนั ก็มสี ว นของความยนิ ดี ความยนิ ราย เรียกวาความสุขหรือความทุกข เราก็พอที่จะไดเห็นกันวา สภาพอันน้ี สภาวะอันน้ี เรากําหนดในรูปแบบเรียกวา กําหนดรู ก็ เห็นความยินดี สักวา สักวาแตความรูสึก เห็นความพอใจก็สักวาแต ความรูสึก มันเปนสวนหนึ่งของการอยูรวมในสังคม อารมณท่ีอยู รอบขาง เรากําหนดรู คลาย คลายความยินดีออกเสีย คลายความ พอใจออกเสยี เปนการเปน อยูแบบนงึ ของผเู หน็ โทษ เห็นภยั ในวฏั ฏ- สงสาร เรียกวา อุเปกขาธรรม ก็ได เปนธรรมชาติอันบริสุทธิ์บง บอกถึงความรูสึกในทางใหเกิด ใหเกิดความรอบรู ก็อาศัยความมี การกําหนดรู นี่เอง การปฏิบัตธิ รรมเปนการเก่ยี วของกบั การดําเนิน ชีวิตจะอยูในอิริยาบถไหน เพราะรางกายมีสวนเก่ียวของกับ อิริยาบถ จะยืน จะเดิน จะน่ัง จะนอน ก็มีสวนอยางน้ี น่ีเราก็ เหมอื นกนั เราอยใู นรูปแบบ เรยี กวา มีสวนเกยี่ วของกบั สังคมในสวน ๔๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ที่ ตาเห็นรูป หูฟงเสียง ทานใหอยูอยางมีความรูสึกเรียกวา รูตัว ทาํ นองน้ี ถาเราอยกู นั อยา งมีความรตู วั จะเกิดความรูสึกเหมือนกับวา สรางภูมิคุมกัน คนมีภูมิคุมกันมันก็ปลอดภัย เหมือนกับรางกายที่ เรามีการสงเสริมดวยอาหารใหภูมิคุมกัน ระบบของการ เปล่ยี นแปลงของบรรยากาศโลก ชว งนก้ี เ็ ปน ชว งฤดู ฤดหู นาว แตว า อากาศ บรรยากาศกย็ งั ไมมีอาการ เพราะรา งกายของเรายงั เขมแข็ง รางกายของเรายังมีภูมิคุมกัน อยูท่ีอุบลฯ นูน กลางคืนมาก็ลดลง บางอยูที่ ๒๔ – ๒๓ องศา ก็ไมหนาว แตกลางวันก็จะรอนหนอย ก็ ถือวามันเปนสวนสมั ผัสทางดานรางกาย รางกายมีภูมิคุมกันมันกไ็ ม มีความรูสึกรุนแรง หนาวก็ไมหนาว รอนก็ไมถือวารอน ถือวามัน เปนสวนหนึ่งของบรรยากาศ ของสภาพสิ่งแวดลอม อันนี้ก็ คลายๆกัน เราอยูในสังคมสรรเสริญ นินทา มันก็ไมมีอะไร ถามอง ในแงเ ราอยูใ นสงั คม ผูมีสติ ผูมีความรูสึกรูตัว เรามีสวนไดรับในการทักทาย เรยี กวา ในสว นมคี วามเกี่ยวของกับสงั คม เขาพดู ในรปู แบบใหขอ มูล วา ไมดี ทํานองน้ี เราก็ไมควรที่จะเรียกวา ยินดี ยินราย มองไป บอกวามันไมดีจริง ๆ มันไมมีอะไรคงทน มันบงบอกถึงความ เปล่ียนแปลง และบงบอกถึงสภาพท่ีเราเรียกวา ไมนาปรารถนา พระทานมักจะเอามาใชเปนอารมณ ในการเปล่ียนจริตนิสัย เพราะ เรามนั มสี วนถูก เรียกวา เสี้ยมสอนมา ตัง้ แตอ อ นแตออก แตเมื่อมา ไดมสี วนรับเอาหลักของการแนะนาํ ก็มักจะเกิดความรสู ึก ทานบอกวา อารมณที่ทําใหเกิดความสงบใจ ทานก็ไมได เอาออกจากพ้ืนท่ีใด แตทานก็เอาในพ้ืนท่ีท่ีเรามีอยูน้ี คนที่เคยผาน ๔๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เคยผานเขาพิธีกรรมในการเปล่ียนนสิ ัย เรียกวา การบวช ทํานองนี้ การบวชมันก็ตองเปลี่ยนนิสัย เหมือนกับเราบวดฟกทอง เราบวด ฟกทอง ปกติฟกทองมันไมมีหวาน แตเราก็เอาน้ําตาลเพิ่ม มันไมมี มัน เราก็เอามะพราวเพิ่ม ฟกทองก็เลยมีหวาน มีมัน อันน้ีก็ คลายๆกัน เราเปลี่ยนนิสัย ทานบอกวา ไมดี เราก็กําหนดดู วามัน ไมด เี พราะอะไร ทานก็บอกวามันเปนสวนประกอบของส่ิงหมักหมม รางกายมันเปนสวนประกอบของส่ิงหมักหมม มันก็ไมสะอาด สิ่ง หมักหมม ถา มองในแงด ี มนั กด็ ีนะ ปกติ โลกของเรามนั มกี ลุมผูผ ลิต ที่เราถือวาเปนสวนหน่ึง กลุมผูผลิตมันมีสวนของสิ่งหมักหมม เรยี กวา กลมุ จลุ ินทรยี ทํานองนี้ มนั มสี ว นทาํ ใหเกดิ การเปลย่ี นแปร ในรปู แบบเรยี กวา ผผู ลิต แตเราในฐานะผูมีสวนเก่ียวของ เราก็มักจะมีสวนอาศัย ผูผลิต ไดมามีสวนบริโภค เรียกวากลุมอาศัย มันก็มีอยางน้ี อันน้ีก็ คลาย ๆ กัน ถาเรามองในแงใหเกิดความรูสึกเขาใจถูก มันเปนไป เพ่ือความรูสึก คลายความกําหนัด ยอมใจ มันก็ไดความสงัด มัน สงัด เพราะมันมีความรูสึกยอมรับ เชน กายวิเวก เราพูดกันอยาง น้ัน สงัดกายก็เรียกวากายวิเวก ไมไดอยูในท่ีอื่น แตอยูในสังคมนี้ แหละ เราก็อยูในพ้ืนที่น้ี แตเราก็เห็นวา มันเปนสวนหนึ่งของ ธรรมชาติ และก็มองในแงใหเกิดความรูสึกไมยินดี ยินราย อันเห็น เปนส่ิงท่ีมันเปนสวนหน่ึงที่มันเปนของธรรมชาติ อยูในรูปแบบ เรียกวา เปน สว นประกอบของสิ่งปฏกิ ูล อยางอุปชฌายอาจารยทานก็ใหขอมูลอยางนั้น ทานให ขอมูลในรูปแบบอาการท่ีมีอยูในรูปแบบรางกายเราน่ี จะเปน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ก็ลวนแลวแตเปนสวนที่มีอยูในรางกาย ๕๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ท้ังนั้น เรากําหนดดูอยางน้ี เกิดความรูสึกคลายความกําหนัด มี ความสงบใจ มกี ายสกั วากาย ไมไ ดถือวา เปนเรา ไมไ ดถ อื วาเปนของ เรา แตถือวามันเปนส่ิงท่ีมีสวนใหขอมูลในการใหเกิดการกําหนด เห็นตามความเปนจริง ถามองกันอยางนี้ มันก็ไดความสงัด มีกายก็ สงัดกาย เรียกวากายวิเวก และก็อยูกับโลก ก็อยูอยางผูมีอิสระดว ย ไมไดเกิด ความรสู กึ วิตก วิจารณ ในรปู แบบเปนทาสของความหลง ผดิ ความหลงผิดน้ี มันก็พลอยใหเกิดความรูสึก ไมรูจักจบจัก ส้ิน งั้นพระพุทธเจาทานจึงสอน ทานจึงแนะนําใหกําหนด ให กําหนด ดูโลก ดูความรูสึกตาง ๆ เม่ือเรากําหนดดู อยูในรูปแบบ เรียกวาไมถูกครอบงํา บดบังดวยเคร่ืองกางกั้น มันเปนของสะอาด เหมือนกับทรัพยากรน้ําท่ีเรามีสวนเกี่ยวของ ในชีวิตประจําวันท่ีเรา ไดนํ้า ไดรับความรูสึก ไดรับความสะดวก ก็อาศัยการกล่ันกรอง น้ํา ปราศจากฝุนละออง นํ้าไมมีสารเจือปน อันนี้ก็คลายๆกัน จิตใจ สะอาด อารมณสบาย อยูอยางความเปนผูมีวิหารธรรม ของการ เปนอยูแบบผูเห็น เห็นถูก ภาษาทานเรียกวา สัมมาทิฏฐิ ความเห็น ถูก มักใหขอมูลในรูปแบบเครื่องเปรียบเทียบเหมือนกับแสงสวาง นัตถิ ปญญาสมา อาภา แสงสวางเสมอดวยปญญาไมมี น่ี ความรูสึกอยางน้ีก็ควรท่ีจะใหการสนับสนุนกัน เพราะความรูสึก อยางนี้ เปนความรูสึกท่ีมันเปนสวนหน่ึงของคุณอันเปนสวนหนึ่ง ของความเปนมนุษย เรียกวา จิตใจ จิตใจสูง จิตใจสูงคือจิตใจท่ีมี สวนของคุณความดี ก็เห็น ๆ กันอยูวา คุณความดีก็เหมือนคุณของ โลก ๕๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ โลกท่ีเราอาศัย เปนผืน ๆ แผนดินที่เราอาศัย เราก็บอกวา มันเปน สว นหน่ึงของบญุ คณุ เราจะยนื จะเดนิ จะน่ัง จะนอน ก็มผี ืน แผน ดนิ เปน เครอื่ งรองรับ เราอยูใน การเปน อยูในสังคมก็คลายๆกัน เรากม็ ีการเปน อยู นํา้ ใจ .. นาํ้ ใจอันเปน สวนหนง่ึ ของคุณความดี อนั เปนธรรมท่ีเปนธรรมค้ําจุนโลก พระพุทธเจาก็ดี บุพพาจารยก็ดี ตลอดถึงบุพการี ที่ถือวา ผทู าํ หนาท่ีใหกําเนิดก็อาศัยคุณอนั นี้เอง ถา มีคุณอันน้ี มันก็ทําใหเกิดความสงบสุข ใหเกิดความอบอุน และก็ให เกิดความรสู ึกไมมีอันตราย กอ็ าศัยคุณความดีเหลาน้ี พระอริยเจาท่ี เราใหความเคารพน้ัน ทานก็อยูในรูปแบบของความเปนผูมีคุณ อัน เปนสวนหนึ่งของคุณความดี เรียกวา มีเมตตา เสียสละ ไมไดเห็น แกความทุกขยากลําบาก ในรูปแบบของการเก่ียวของกับการทํา เรียกวา การทําประโยชน อันนี้ก็คลาย ๆ กัน เราก็มาหากันบาง เพราะอาตมาถือวาทุกคนมีความดีอยู มีส่ิงที่เปนประโยชนก็มีอยู เพียงแตวาเรามาปรับ ปรับทิศทางใหม ปรับความรูสึกใหม คือปรับ ใหมันเขาครรลอง อันเปนสวนหนึ่งของความถูกตอง ความถูกตอง ตามความเปนจริง มันก็มีความรูสึก เหมือนอารมณที่เปนสวนหนึ่ง ของคุณความดที ี่ใหเ กดิ ความสงบใจ เราฝกกัน เราปฏิบัตกิ นั อาตมามีสวนไปในพื้นท่ีตาง ๆ ท่ี ๆ เขาไมรูจักเรา เพราะ เราไมไดเคยไปเก่ียวของ และก็ใชภาษาสมมติท่ีแตกตางกันไปบาง แต เรากอ็ าศยั ภาษาท่ีมันเปนท่ยี อมรบั กนั ในสังคม อาศยั ภาษาใบ ก็ เก่ียวของกันได ไปรูจักกันได ในท่ีสุดความคุนเคยนี้แหละ เมื่อใดมี โอกาสพบปะ สรางความคุนเคย และก็มีความรูสึกเขาใจกันไดก็มี การหยิบย่ืนดวยการใหความรูสึก เรียกวาการแสดงออกถึง ความรูสึกเจตนาดี หวังดี อยากใหมีความรูสึกเห็นเปนประโยชนต อ ๕๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ การเปนอยขู องความเปนมนุษย กเ็ ห็นวา มนั เปนประโยชนแลว ไป ก็ เกิดความผูกพัน เกิดความรูสึกมีความพอใจ และมีสวนของการไป มาหาสู ในที่สุดก็มกี ารใหข อ มลู กนั ในท่ีสุดก็ยอมรับวา ทุกอยางนั้นมันขึ้นอยูกับความรูสึกที่ เรียกวา ความรูเห็นตามความเปนจริง ถาอยางนี้มันก็เปนประโยชน ในฐานะวา เราเปนสวนหนึ่งที่ไดมีสวนรับถายทอดมาจากบรรพ บรุ ษุ บพุ พาจารย บุพการี อันเปนสวนหน่งึ ของสมบัติของความเปน มนุษย เราก็มีสวนมาส่ังสอนกัน มาแนะนํากัน เมื่อเรามีโอกาสสั่ง สอน แนะนํากัน มันก็ปรับปรุงพัฒนา ในที่สุดก็เปนประโยชน รวมกัน สังเกตดูอยางนนั้ วัดทีเ่ รารจู กั กัน เปนวดั หนองปา พง เปน ท่ี รวมของคน จะเปนคนอยูในพื้นที่ไหน ชาติใด ภาษาใดก็มีสวน มา ศึกษาเรียนรูกันได หลวงปูชาท่ีเรารูจักกันในรูปแบบ เรียกวา ไดรับ ถา ยทอด ทา นกไ็ มไ ดมีความรเู รือ่ งสมมติ ภาษาอะไร ทา นกเ็ พียงแต วาใหขอมูลท่ีมันเปน สัจธรรมของชีวิต มันก็ไดมีสวนยอมรับกัน ถึงกับวาเปนท่ีรูจักกันทั่ว ๆ ไป ก็อาศัยความเปนผูที่หวังดี เจตนาดี มีเมตตาธรรม แลวก็ที่สุด ทานก็ไดทําหนาท่ีในรูปแบบของความ สมบูรณของความเปนมนุษยใหเปนที่ยอมรับกันท่ัว ๆ ไป ทานก็มี สวนประกอบอยา งน้ี นพ่ี วกเรากเ็ หมือนกัน อาตมาถึงวาทุกคนมันมีความดี ไมใชวา คนไมมีความดี ความดีนั้นมีอยู แตวาเราเอาความดีมาใช สิ่งที่มันไมดีน้ัน เราก็เลิก ละกันไปเสีย ในที่สุดมันก็เปนประโยชน ปกติคนเราสวนมากมักจะ ขาดความสํานึกในการรับผิดชอบ เกิดอารมณไมดีก็มักจะหยิบยื่น เกิดความไมพอใจ มักจะมีสวนใหเกิดความรูสึกมีความทุกขกับ สภาพที่บุคคลที่มีสวนเก่ียวของ ถาเรามีความเมตตาวาความไม ๕๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ สบายใจ เราก็ทนเต็มท่ีแลว เราก็เกิดความรูสึกไมเปนอิสระเต็มท่ี แลว เราก็เก็บไว ไฟมันเปนของรอน ถาเราไมเติมเช้ือไฟ มันก็ดับ อันน้ีก็คลาย ๆ กัน ความรูสึกของความรอนภายในอันมีสวนของ ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ เราไมสงเสริม เราไมเติมเชื้อ สภาพอันนัน้ มนั กห็ มด มันหมดไปเองโดยปรยิ าย เพราะมนั ไมม ีเช้ือ เพราะเราไม เห็นวามันมีคุณคา ฉะน้ัน พระพุทธองคทานจึงมีความประสงคก ับผู ทีเ่ รยี กวาดาํ เนินชีวิตในสังคม โดยบอกวา ภัยภายในนัน้ ควรเก็บไวใน พื้นที่อันมิดชิด อยานําออก แตถาภัยภายนอก เราก็อยาเอามามี สวนสะสม เราจะอยูในรูปแบบเรียกวา กลั่นกรอง ไตรตรอง วาให มนั อยใู นสภาพเรยี กวามีคุณมปี ระโยชน ความเปนประโยชนของเรา กจ็ ะมคี วามรสู กึ วามันเปน ประโยชนของการอยรู ว มกันในสงั คม สังคมของเราก็จะเกิดความรูสึกมีความสงบรมเย็น ก็อาศัย รูจัก รูจักละส่ิงท่ีควรละ รูจักเลิกสิ่งท่ีควรเลิก รูจักสงเสริมสิ่งที่ควร จะสงเสริม ลองสังเกตดู ไปรวมในงาน รวมในงานท่ีเขามีการ บําเพ็ญคุณงามความดี งานจารีตประเพณีอันเปนสวนหน่ึงของ มรดกบรรพบุรุษปฏิบตั ิกันมา เทศกาลกาละทาน เรียกวา งานทอด งานกฐินที่วัดหนองปาพง อู! คนหลากหลาย มาจากหลายชาติดวย ก็รูสึกวามันมีความสัมพันธเกิดความเขาใจซึ่งกันและกัน เพราะ นํ้าใจอันมีสวนกับการหวังดี เจตนาดี มีเมตตาธรรม คนก็มารวม และก็มีระเบียบดวย ทุกวันนี้รูสึกวามีระเบียบ เกิดความเรียบรอย คนมาก ๆ มนั มีความสงบ ตา งคนตา งรูจ กั กาลเทศะ การบาํ เพ็ญคุณ งามความดีก็เปนประโยชนมาก เพราะวาที่น่ันเปนที่รวมของลูก ศิษยลูกหาที่มีสวนรับถายทอดจากหลวงปูมา เม่ือมีเทศกาลอยาง น้ันทานก็มา มามีสวนพบปะนี้เอง ก็จัด จัดใหทานมีโอกาส พบปะ ๕๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ โอ! คนมารวมภายในศาลาก็เต็ม ภายในถนนท่ีเราเทคอนกรีต มอง แลวมันเปนภาพใหเกิดความสงบใจ มันสลับกับธรรมชาติของพ้ืนที่ ปาดว ย คนมาก มคี วามสงดั และมีความยาํ เกรงจะทําอะไร ไมไ ดทํา ตามแบบอารมณ มันเปนสวนหนึ่งของความเปนสมณะ เห็นก็เกิด ความรูสึกเปนมงคล เราเคยไดยินไดฟงในมงคลสูตร ในมงคลสูตรที่ ทานสาธยาย เราเรียกวาการเจริญพระพุทธมนตก็ สมณานัญจะ ทัสสะนัง ในมงคลสูตรพูดอยางน้ัน การไดเห็นความสงบ ของคน ท่มี ามสี วนใหความเคารพ มันเกดิ ความรูสกึ ทางดา นจิตใจ จิตใจก็พลอยเกิดความรูสึกมีความเอิบอ่ิม และก็อยูกัน อยางไมวิตก วิจารณ ไมวิตกกังวล กลางคืนเงียบสงัด แทนที่วามัน จะตอ งมคี วามรูสึกปลีกตวั ไปพักผอน แตมนั มคี วามรูสึกทีเ่ รยี กวา มี ความเคารพ มันเปนมงคล มันอาศัยซึ่งกันและกัน เรียกวาเปนสวน หนึ่งของ ดอกบัว ดอกบัว ๔ ประเภท กอนที่พระองคจะทรงแสดง หรือมีการเสียสละในการทําหนาท่ี ของการแจกจายแสดงธรรม ทานไดมีความรูสึกอันน้ีเกิดขึ้น เรียกวาเปนมโนธรรมก็ได เรียกวา อุคฆฏิตัญู วิปจิตัญู เนยยะ ปทปรมะ วาเห็นอุปนิสัยของ คนเรานัน้ มลี ักษณะอยู ๔ ประเภท ประเภท ๑ นนั้ ถอื วาอินทรยี ซ่ึงถือวาเปน สว นหนงึ่ ของการ สะสม น้ันพรอมแลว พรอมแลวที่จะสลัด สละคืนทิ้งของหนัก ประเภท ๒ ก็พอท่ีจะมีสวนอีกเหมือนกัน พอมีสวนท่ีจะอบรม และ ก็มีสวนเสรมิ ดวย มันก็พรอม ประเภท ๓ ก็อาศัยมามีสวนอบรมบม เพาะบอยๆขึ้น ก็รูสึกวามันพอใจ สังเกตดูไมไดเช้ือเชิญ เมื่อมี กิจกรรม ที่ทางเราไดมีสวนกําหนดขึ้น ก็มีสวนมาโดยไมตองบอก ๕๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ กลา ว และก็มาในสว นใหค วามรสู ึกดวย ใหความรสู กึ ทมี่ ารวม ก็เปน การอบรมบมเพาะ ในที่สุด เขาก็มีความเขาใจ เขาใจ รูจักละส่ิงท่ี ควรละ รจู กั บาํ เพ็ญสิ่งท่คี วรบําเพ็ญ มันก็เปนความรูสึกใหมีอินทรีย ท่ีแกกลา ในท่ีสุดก็เปนความรูสึกที่มีความภาคภูมิ มีความสุข ก็ อาศยั อยา งนี้ อันน้ีพวกเราก็เหมือนกัน อยาถือวามันเปนยุคนูน สมัยนูน มันเหมือนๆกัน จะยุคไหนสมัยไหน ถาเรามีสวนปฏิบัติ มีสวน ๆ สงเสริม มันก็พรอม มันก็พรอมท่ีจะเปนประโยชน อันนี้ก็คลาย ๆ กนั ฉะน้นั ในโอกาส กาลเวลา เรามพี น้ื ทที่ เี่ หมาะสมอยแู ลว อารมณ ใหเกิดความสงบใจ เรามีกายกําหนดลง กําหนดลง กําหนดปลง กําหนดรู เห็นเปนแตสวนหนึ่งของ เรียกวา มันเปนสวนของพื้นที่ท่ี มันเอ้ืออํานวย เราจะไดเกิดความรูสึกเห็นประโยชน ก็อาศัยการมี มุมมอง ถามีมุมมองอยางน้ี มันมีความรูสึก มีความสุข และ ความสุขไมไดเปนความสุขแบบอามิสดวย แตเปนความสุขแบบ นิรามิส – สุขแบบไมอิงอามิส แตอิงเรียกวา การออก การออกจาก ออกจากบวง ออกจากเคร่ืองรึงรัด ออกจากเครื่องกางก้ัน ถาเรา ออกจากพื้นท่นี น้ั ได เราก็ถูกปลดปลอย พระพุทธเจา ทานก็เปนสัตว สังคมเหมือนกัน เหลาสาวกของพระพุทธองคก็เปนสัตวสังคม ทาน จึงเรียกในรูปแบบวาสังคมนั้น เปนช่ือของการรวมตัว สังคมแบบ พระสงฆเรียกวา ผูมีความเปนอยูในรูปแบบเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏ สงสาร แตสังคมเราก็รูจัก สังคมมูลฐาน สังคมชุมชน สังคมเมือง สงั คมโลก ก็พอทจ่ี ะเห็นกันได ถาเราเขา ใจอยางนี้ เราก็อยูกับ การ เปนอยูแบบผู เรียกวา มีสติ มสี มั ปชญั ญะ ๕๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เพราะ สติ ถือวาเปนสวนหน่ึงของธรรมท่ีมีอุปการะมาก เราก็สงเสริมกัน เพราะความมีสตินั้นถือวาเปนสวนหน่ึงของคุณ ความดี เราฝกฝนกันได ไมใชวามันเหลือวิสัยเพราะเราก็ไดรับ เรียกวามรดกอันนั้น เปนสวนหนึ่งของคุณความดีที่เราปฏิบัติกัน ก็ เห็นวามันมีสวนเปนประโยชน ง้ันอารมณของกรรมฐานก็พรอมอยู แลว เราจะอยูในพื้นท่ีไหน อยูในสถานที่ใด กอนที่จะมีสวน เกี่ยวของก็ควรที่จะสํานึกเร่ืองอยางน้ีใหมาก ๆ เพราะฐานเปนที่ต้ัง ใหเกิดความสงบใจ จะเปนสมถะ ภาษาภาคปริยัติเรียกวาเปน “สมถกรรมฐาน” อุบายใหเกิดความสงบใจ จะเปน ระบบอนุสติ ก็ เปน อาการ อาการใหเ กิดความรูสกึ เรยี กวา มคี วามสงบใจ อสุภกรรมฐาน นี้ก็เปนสวนหน่ึงใหเกิดความรูสึก เราก็เอา มาใชกันบาง เพราะมันเปนอาหาร ใหภูมิคุมกันเรียกวา ทางดาน จิตใจนั้นเอง ถาจิตใจมีภูมิคุมกัน จิตใจมันสูง น้ําทวมไมถึง ถาน้ํา ทวมไมถึง เราก็บอกวา เราไมถูกเปรอะเปอน น้ําทวมไมถึง มันก็ เปนท่ีดอนนั้นแหละ ที่มันสูง อันนี้ก็เหมือนกัน อารมณท่ีมันทําให เกิดความรูสึกไมสงบใจ มันก็ครอบงําไมได เราก็พลอยมีฐาน มี ภูมิคุมกัน เราก็เอามาใช มันก็เปนสวนทําใหเกิดความรูเห็น ในสวน ท่ีโลกเขาเห็นวาเปนอันตราย เราก็บอกวา เขาชี้ความจริง เขาชี้ ขุมทรพั ย ทํานองนี้ เขาดาเรา ทํานองนี้ คําวา เขาดา คือ เขาทดลอง ทดลองวา เราจะมีปฏกิ รยิ าในรปู แบบใหเขามคี วามรสู ึก ถาเขาดา เรากบ็ อกวา สาธุ มนั ถูกตอ ง เพราะไมมีอะไร มนั เปนแตเ อาสมมตใิ หก เ็ ทา น้ันเอง ถามองยอนเขาไปอีก เขาดา เขาก็ไมสบายใจ เพราะเขามีความมัว หมองทางดา นจติ ใจ เราจะมองเขาในแงใ หเ กิดความรูสึกสงสาร เกดิ ๕๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ความสงสาร วาเขาถูกครอบงําดวยสิ่งปกปด เรียกวาเปนสภาวะท่ี มันไมเปนอิสระ เราก็เกิดความรูสึกสงสาร มันก็เปนอารมณดี เพราะความสงสาร หรอื ความเมตตาน้นั พยุงใหเขามีสว นเหน็ ตัวเห็น ตนของเขาดวย คนที่เขาดาแลว เราไมดาตอบ เขาจะคิดยังไง เขาก็หยุดได เขาก็อาจจะเกิดความรสู ึกขอบคุณ ทาํ นองนแี้ หละ มนั ก็เปน การให ขอมูลและก็มีสวนเรียกวา พยุง ใหเขา มีสวนเห็นตัวเห็นตนของเขา ดวย ถาเขาเห็นตัวเห็นตนของเขาวาไมถูกตอง เขาก็ปรับปรุงแกไข มันก็เปนการหยิบย่ืน เหมือนอาหาร อาหารที่มีโทษ มีอันตราย ถา เราเอาไปใหคนอ่ืนเขาทาน เขากนิ เขากม็ ีความเดือดรอน แตถ า เขา ไมรับ อาหารก็ยอนกลับมาหาเราอีก เขาก็มองเราในแงวา คน คน ไมสมบูรณ คนวิปริต คนไมปกติ ก็เรียกวาอยางน้ัน ในที่สุดมันก็มี การสังวรสํารวมไปในตัว เราเกิดความสังวรสํารวมไปในตัว มันก็ กลายเปนธรรม เรียกวา การเปนธรรมของผูปฏิบัติธรรม เพราะ การสงั วรสํารวมกอใหเ กดิ ความรูเหน็ กอ็ าศัยการมีสวนอยา งนี้ อนั น้ี เปนขอคิดในฐานะวาเราเปนสวนหน่ึงของทรัพยากรท่ีเรียกวามี ความสมบูรณ ของความเปนมนุษย ก็เอาไปใช เอาไปประพฤติ ปฏิบัติ โลกของเราก็จะ กลายเปนโลกท่ีเรียกวา มีสวนหนึ่งของคุณ ความดี อาตมาเองก็ไมมีอะไรดีหรอก รูปขันธรางกายสังขาร มันก็ อยูในสภาพของความเสื่อม ทุกอยางมันบงบอกถึงวาสัญญาณ สัญญาณของการมีสวนกับการปฏิบัติ เรียกวาไมใชพื้นท่ีท่ีเราจะอยู อีกตอไป มันก็บงบอก ปน้ีถือวาทรุดโทรมไปเยอะ แตก็ถือวาเปน เรื่องธรรมดา เร่ืองธรรมดา ธรรมชาติ แตวาเราในฐานะวาที่มีสวน ๕๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลมที่ ๒ สนใจใฝตอการเรียนรู อาตมาก็พยายามเสียสละเทานั้นแหละ และ ก็มาทําหนา ทใี่ นรูปแบบของการพบปะ ก็ไมมีอะไรหรอก การพบปะ ก็การใหขอมูลรูปแบบของการไดยินไดฟง เราสนใจจริง ๆ เราทําดู ก็เหมือนกบั การทเี่ ราทานอาหาร อสี านกม็ ักวา กินอาหาร ถาเรากิน เรากร็ ูจักคุณคาของมัน และรวู าถา กินมากมนั ก็มีโทษเหมอื นกัน อนั น้กี ็เหมอื นกัน ทาํ ความดเี หมือนกนั เรากพ็ ลอยทจี่ ะรูจัก กันได วันน้ีถือวามีโอกาสมาพบปะ ใหอารมณของกรรมฐาน กายาคตาสติ เวทนานุปสสนาสติ จิตตานุปสสนาสติ และธรรมา- นุปสสนาสติ เปนสวนหน่ึงของการเปนอยูแ บบผู เรียกวา เดิน ตาม รอยของผทู ่ีเห็นโทษเหน็ ภัยในวฏั ฏสงสาร มนั จะคลายความรูสึกใน รูปแบบความเปนอิสระ มีก็เหมือนกับวาวางเปลา ไมมีอะไรผูกพัน และก็ทําใหเกิดสันติสุข วิมุตติธรรม นํามาใหเปนผูมีอิสระ เปน ภาระอนั เปนสวนหน่ึงของหนา ที่ เรากท็ าํ หนาท่ีของเราอยา งน้ี ก็ถือ วา มนั เปน ประโยชน วนั น้ีก็ ใหขอคิดในการบอกเลาเรยี กวาเปนสวน หนงึ่ ของส่ือ หยิบย่ืนใหก ันดว ยการไดย นิ ไดฟง ดว ยการแสดงออกซึ่ง ความหวังดี เจตนาดี ตอกัน ขอบุญ คุณงามความดี บารมีธรรม ที่ เราไดมีสวนสะสมอบรมบมเพาะ จงมามีสวนรวมเปนตบะ เดชะ คุมครอง ปกปองใหเราท้ังหลายไดมีการเจริญ เจริญในธรรม และก็ มีความสงบสุข ปราศจากความทุกขทางใจ ไดมาซ่ึงความเปนผูมี ท่ี เรียกวา ความเปนผูมีนํ้าจิตนํ้าใจโอบออมอารีเปนที่สรรเสริญวา อริยะธรรม ธรรมของพระอริยเจา วันน้ีใหขอคิดมาสมควรแก กาลเวลาก็ขออนุโมทนา และกข็ อยุติไวแตเพียงเทาน้ี ๕๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลมท่ี ๒ เอถะ ปส สะถิมงั โลกัง จิตตัง ราชะระถูปะมัง ยตั ถะ พาลา วิสที ันติ นัตถิ สังโค วชิ านะตงั ฯ ทานทง้ั หลาย จงมาดูโลกน้ี อันตระการตา ดุจราชรถ ท่ีพวกคนเขลาหมกอยู แตพ วกผรู ู หาขอ งอยูไม แกน ธรรมพระราชภาวนาวกิ รม (เลี่ยม ฐติ ธัมโม) กิจโฉ มะนุสสะปะฏิลาโภ การไดเกิดข้ึนมาเปนมนุษยนั้นถือ วามีสวนประเสริฐ สุขภาพทางดานรางกายเปนองคประกอบของวัตถุ ที่มา รวมกัน มีการเสื่อมสลายกลับไปสูสภาพเดิม มองในแงใหเกิด ความคลาย ไมใ ชม องในแงใ หเ กดิ ความผูกพนั รา งกายเปนวตั ถุ ธาตุท่ีมีสวนประกอบกับส่ิงปฏิกูลโสโครก ไมมีอะไรที่นา ปรารถนา เปนสวนหนึ่งของความจริงของสามัญแหงไตร ลกั ษณ มองกนั ในแงใ หเ กดิ ความรูส ึกคลายกันบา ง ถาเขาใจถูก มันก็อยูอยางเปนอิสระ ลดความรอน ถอนความ เมา และมีความสงบใจ ฉะน้ัน ความมีสติ ศึกษาดู ก็จะเกิด ความรูสึกวา พื้นที่นี้ สถานท่ีนี้ เราไมไดอยูกันอยางถาวร เรา อยูกันแบบช่ัวคร้ังช่ัวคราว มันก็จะคลาย แตสวนมาก จะถือ ๖๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เปนของเราท้ังหมด เราสุข เราทุกข เรายินดี เรายินราย เรา ชอบ เราไมชอบ มนั เปนเคร่ืองบดบัง อยใู นสภาพทเี่ รียกวา ไม เกดิ ความรูส กึ ทะลุปรุโปรง เหมือนกับละครที่เขาทําหนาที่ เลนใหคนเรารูสึกเพลิดเพลิน แตถาเรามองเห็นวามันเปนสิ่งหลอกลวง เราไมสนใจ และไม อยากจะดูดวย ละครมันก็หมดกําลัง เมื่อมันไมมีกําลังมันก็ดับ สงั ขารดานการปรงุ แตงกเ็ หมอื นกนั ทุกขมีเพราะอยาก ทุกขมากเพราะพลอย ทกุ ขน อ ยเพราะหยุด ทกุ ขหลุดเพราะปลอย ทานจึงใหขอคิดวา เรามีความแกเปนธรรมดา มีความเจ็บเปน ธรรมดา มีความพลัดพรากเปนธรรมดา มองกันในลักษณะ คลาย สละ ปลง ภาษาทานเรียกวาจาคะ - สละสิ่งท่ีมันเปน ขา ศึกแกค วามจริงของใจ ในรปู แบบทเ่ี รียกวาการปรงุ การแตง ถา มคี วามสงบ เรยี กวาเปนผอู ยูใ นรปู แบบมวี ิหารธรรม - ธรรม ของการเปนอยูของผูมีความสงบใจ เปน อสงั ขตธรรม ธรรมที่ ไมม ีการปรุงแตง อยใู นรปู แบบ เห็นเปน เพยี ง ไมไดย ินดี ไมไ ด ยินราย ปลดปลอ ยจากเครอ่ื งผกู พนั เรามีกาย เรากก็ ําหนดกาย ปรบั ความเขาใจ ใหรูสึก รูแ จงเห็น จริง ใน สามัญญะ ภาษาก็เรียกวา วิปสสนา - ทําใหมันแจง ฉะนั้น ผูปฏิบัติจึงควรสํารวมสังวร ท่ีอายตนะ - ทางท่ีมันมี สวนของการผาน ผานเขาผานออก ตาไดเห็นเกิดอะไรบาง หู ไดฟงแลวก็มีอะไรบาง เราคอยสังเกตเพราะสภาวะอันเปน สวนหน่ึงของเคร่ืองบดบังน้ัน มันมีสวนเกี่ยวของ โลกธรรม ๖๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ที่มาครอบงํา เชน ตาไดเห็นมันก็มีสวนของความยินดี ความ ยินรา ย ผเู ห็นโทษ เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เรยี กวา อเุ ปกขาธรรม - เปน ธรรมชาติอันบริสุทธ์ิบงบอกถึงความรูสึกในทางใหเกิดความ รอบรู กอ็ าศยั ความมีการกําหนดรู นีเ่ อง การปฏิบัติธรรมเปนการเกี่ยวของกับการดําเนินชีวิตจะอยูใน อิริยาบถไหน จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ทานใหอยูอยางมี ความรูสึกเรียกวา รูตัว ทํานองน้ี อารมณที่ทําใหเกิดความสงบใจ ทานก็เอาในพื้นที่ท่ีเรามีอยูน้ี แหละ คนที่เคยผานเขาพิธีกรรมในการเปล่ียนนิสัย เรียกวา การบวช - มนั กต็ องเปลย่ี นนสิ ัย ทานใหขอมูลในรูปแบบอาการท่ีมีอยูในรางกายเรานี่ จะเปน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ก็ลวนแลวแตเปนสวนท่ีมีอยู ในรางกายทั้งน้ัน เรากําหนดดูอยางนี้ เกิดความรูสึกคลาย ความกําหนัด มีความสงบใจ มีกายก็สงัดกาย เรียกวา กาย วิเวก จิตใจสะอาด อารมณสบาย อยูอยางความเปนผูมีวิหารธรรม ของการเปน อยูแ บบผู เหน็ ถูก - สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก มักใหขอมูลในรูปแบบเคร่ืองเปรียบเทียบ เหมือนกับแสงสวาง นัตถิ ปญญาสมา อาภา แสงสวางเสมอ ดว ยปญญาไมมี จิตใจสูง คือ จิตใจที่มีสวนของคุณความดี คุณความดีก็เหมือน คุณของโลก ๖๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ พระอริยเจาที่เราใหความเคารพน้ัน ทานก็อยูในรูปแบบของ ความเปนผูมีคุณความดี เรียกวา มีเมตตา เสียสละ ไมไดเห็น แกความทุกขยากลาํ บากในการทําประโยชน อาตมาถือวาทุกคนมีความดีอยู มีสิ่งท่ีเปนประโยชนอยู เพียงแตวาเรามา ปรับทิศทางใหม ปรับความรูสึกใหม คือ ปรับใหมันเขาครรลองของ ความถูกตองตามความเปนจริง เปน คณุ ความดีท่ีใหเ กดิ ความสงบใจ เราฝก กัน เราปฏิบตั กิ นั ความรูสึกของความรอนภายในอันมีสวนของ ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ เราไมสงเสริม เราไมเติมเช้ือ สภาพอันนั้น มันก็หมด ไปเองโดยปริยาย เพราะมันไมมีเชื้อ เพราะเราไมเห็นวามันมี คณุ คา ฉะน้ัน พระพุทธองคทานจึงบอกวาภัยภายในน้ันควรเก็บไวใน พืน้ ที่อนั มดิ ชิด อยานาํ ออก แตถ าภยั ภายนอก เราก็อยาเอามา มีสวนสะสม เราจะอยูในรูปแบบเรียกวา กลั่นกรอง ไตรตรอง ใหมันอยูในสภาพเรียกวา มีคุณมีประโยชน ความเปน ประโยชนของการอยรู ว มกันในสังคม สังคมของเราก็จะเกิดความรูสึกมีความสงบรมเย็น ก็อาศัย รูจัก รูจัก ละส่ิงที่ควรละ รูจักเลิกส่ิงที่ควรเลิก รูจักสงเสริม สง่ิ ทคี่ วรจะสงเสริม มโนธรรม ที่เรยี กวา อุคฆฏติ ัญู วปิ จิตญั ู เนยยะ ปทปรมะ วาเห็นอุปนิสัยของคนเรานั้น มีลักษณะอยู ๔ ประเภท ประเภท ๑ น้ัน ถือวา อินทรยี ซ งึ่ เปน สว นหนงึ่ ของการสะสมนั้น พรอมแลว ที่จะสลัด สละคืนท้ิงของหนัก ประเภท ๒ ก็พอมี สวนที่จะอบรม และก็มีสวนเสริมดวย มันก็พรอม ประเภท ๓ ๖๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ก็อาศัยมามีสวนอบรมบมเพาะบอยๆขึ้น ก็รูสึกวามันพอใจ สังเกตดูไมไดเช้ือเชิญ เม่ือมีกิจกรรม ที่ทางเราไดกําหนดข้ึน ก็ มีสวนมาโดยไมตองบอกกลาว และก็มาในสวนใหความรูสึก ดวย ในที่สุด เขาก็มีความเขาใจ รูจักละสิ่งที่ควรละ รูจัก บําเพ็ญส่ิงท่ีควรบําเพ็ญ มันก็เปนความรูสึกใหมีอินทรียท่ีแก กลา ในท่ีสุดก็เปนความรูสึกที่มีความภาคภูมิ มีความสุข ก็ อาศัยอยางน้ี สังคมแบบพระสงฆ เรียกวา ผูมีความเปนอยูในรูปแบบเห็น โทษเห็นภัยในวัฏฏสงสาร การเปนอยูแบบผู เรียกวา มีสติ มี สัมปชัญญะ เพราะสติ ถือวาเปนสวนหน่ึงของธรรมที่มี อุปการะมาก เราก็สงเสริมกัน เพราะความมีสตินั้นถือวาเปน สว นหน่งึ ของคณุ ความดี เราฝกฝนกนั ได อารมณของกรรมฐานก็พรอมอยแู ลว เราจะอยูในพนื้ ท่ีไหน อยู ในสถานท่ใี ด ก็ควรทจ่ี ะสํานกึ เรอ่ื งอยา งน้ใี หม าก ๆ เพราะฐาน เปนท่ีตั้งใหเกิดความสงบใจ จะเปนสมถกรรมฐาน อุบายให เกิดความสงบใจ จะเปนระบบอนุสติ ก็เปนอาการใหเกิด ความรูสึกสงบใจ ถาจิตใจมีภูมิคุมกัน จิตใจมันสูง นํ้าทวมไมถึง เราไมถูกเปรอะ เปอน น้ําทวมไมถึง ท่ีมันสูง อันน้ีก็เหมือนกัน อารมณที่มันทํา ใหเ กิดความรสู กึ ไมสงบใจ มนั ก็ครอบงาํ ไมได เรากพ็ ลอยมีฐาน มภี ูมคิ ุมกัน เรากเ็ อามาใช เขาดาเรา คือ เขาทดลอง ทดลองวาเราจะมีปฏิกริยาใน รูปแบบใหเขามีความรูสึก ถาเขาดา เราก็บอกวา สาธุ มัน ถูกตอง เพราะไมมีอะไร มันเปนแตเอาสมมติใหก็เทาน้ันเอง ๖๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลมท่ี ๒ ถามองยอนเขาไปอีก เขาดา เขาก็ไมสบายใจ เพราะเขามี ความมัวหมองทางดานจิตใจ เราจะมองเขาในแงใหเกิด ความรูสึก วาเขาถูกครอบงําดวยส่ิงปกปด เรียกวาเปนสภาวะ ท่ีมนั ไมเ ปน อสิ ระ เรากเ็ กดิ ความรสู กึ สงสาร มนั ก็เปน อารมณดี เพราะความสงสาร หรือความเมตตาน้ัน พยุงใหเขามีสวนเห็น ตวั เหน็ ตนของเขาดว ย ถาเราเอาไปใหคนอื่นเขาทาน เขากิน เขาก็มีความเดือดรอน แตถาเขาไมรับ อาหารก็ยอนกลับมาหาเราอีก เราเกิดความ สังวรสํารวมไปในตัว มันก็กลายเปนธรรม เรียกวา การเปน ธรรมของผูปฏบิ ัติธรรม กนิ อาหาร ถาเรากินเราก็รจู กั คุณคา ของมัน และรวู าถากินมาก มันกม็ ีโทษเหมอื นกนั ใหอารมณข องกรรมฐานกายาคตาสติ เวทนานุปส สนาสติ จติ ตานุปสสนาสติ และก็ธรรมานุปสสนาสติ เปนสวนหนึ่งของ การเปนอยแู บบผูท ่ีเดินตามรอยของผูที่เหน็ โทษเหน็ ภัยในวัฏฏ สงสาร มันจะคลายความรูสึกในรูปแบบความเปนอิสระ มีก็ เหมือนกบั วาวา งเปลา ไมม อี ะไรผกู พนั และกท็ ําใหเกิดสันติสุข วิมตุ ตธิ รรม นํามาใหเปน ผมู ีอสิ ระ ๖๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลมท่ี ๒ พระอาจารยฟ ลลปิ าณะธัมโม วดั ปา รตั นวัน ต.วังหมี อ.วังเขียว จ.นครราชสีมา แสดงเม่ือวันอาทติ ยท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ ศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนาราม ราชวรหาร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะฯ พุทธัง ธมั มัง สังฆัง นมสั สามิฯ ขอโอกาสหมูคณะ พระเณรทุกทานทุกรูป ขอเจริญ พร ศรทั ธาญาติโยมทั้งหลาย พทุ ธบรษิ ทั พวกเราที่ต้ังใจมาประพฤติ ๖๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ปฏิบัติที่วัดปทุมวนารามในวันนี้ เพื่อเปนบุญเปนกุศลเพ่ืออุทิศเปน ราชกุศลตอองคสมเด็จพระเจาอยูหัวรัชกาลที่ ๙ น้ัน และรัชกาล ท่ี ๑๐ ดวย เราก็ถือวาบําเพ็ญบุญบําเพ็ญกุศลดวยการประพฤติ ปฏิบัติในศีล สมาธิ และปญญาถูกตองตามคําส่ังสอนขององค สมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา อันนี้เปนส่ิงที่นาสาธุ นาอนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุก ทานทุกคนท่ีน่ังอยู ณ ท่ีน้ี และนาอนุโมทนาท่ีคณะสงฆท่ีวัดปทุม- วนารามไดจัดการประพฤติปฏบิ ัติอยา งน้ีข้ึนมา เออ เปนสิ่งท่ีสําคญั มาก เม่ือเราไดเขามา ณ ในสถานท่ีนี้ ก็ไดเห็นตนไม ไดทําสวน ธรรมชาติขึ้นมา เราก็รูสึกชื่นใจเพราะวาเปนจุดท่ีเย็นตาในกลาง เมือง เม่ือเราไดเห็นตนไมที่รมเย็นเปนสุขก็ทําใหเกิดความรสู กึ วเิ วก จากโลกภายนอกวัด และย่ิงเห็นศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย มาหลาย หลายรอยคน เสียสละเวลาของสวนตัวใหมาเอาเวลานนั้ มาบูชาคุณ พระพทุ ธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ เราก็อดความสาธุ ดีใจ ต่ืนเตน ภูมิใจแทนญาติโยม ไมได เพราะวาแสดงถึงวาเราเปนผูท่ีแสวงหาปญญา แสวงหา ความรูในชวี ิตพฒั นาตนเอง เราก็เขามาเพื่อพฒั นาตนเองน้ันท้ังกาย และท้ังจิต พัฒนาตนเองเพื่อเจริญทางโลกและเจริญทางธรรม ก็ เปนส่ิงท่ีเรียกวาหาไดยากในสามแดนโลกธาตุน้ี ทีน้ี อาตมาเองก็ได เลาใหทานเจาคุณฟงวา สมัยกอนเคยมาวัดปทุมฯ เปนวัดท่ี ๒ ที่ เคยเขามาในประเทศไทย ใน ๔๐ ปที่แลว ตอนยังเปนผาขาวอยู เดินทางจากประเทศออสเตรเลียต้ังใจมาบวชในพระพุทธศาสนาก็ มาลงท่ีดอนเมือง แลว กน็ งั่ แท็กซี่มาลงทวี่ ัดบวรฯ วดั บวรนิเวศวิหาร กไ็ ดพ ักอาศัยทีว่ ัดบวรฯ ถือศีล ๘ ที่นั่น เตรียมท่ีจะบวชอปุ สมบทใน ๖๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ พระพุทธศาสนา บวชเปนสามเณรและภิกษุในพุทธศาสนา ก็ได โอกาสตามพระมาท่ีวัดปทุมวนารามนี้ มาเย่ียมพอแมครูบาอาจารย ท่ีรูจักอยู ทานพักอาศัยที่น่ี ก็เลยมา ๔๐ ปท่ีแลว นั่งรถเมลมาจาก หนาวัดบวรฯ ก็เลยรูสึกวาสถานที่น้ี เปนสถานท่ีท่ีเราคุนเคย สถานที่น้ีเปนสถานท่ีท่ีเราถือวาเปนสถานที่โบราณ ท่ีศักดิ์สิทธิ์ท่ี มหากษัตริยเคยสรางขึ้นมาเพ่ือถวายแกพระศาสนา และพอแมครู บาอาจารยหลวงปูมั่น หลวงปูอุบาลีฯ เจาคุณอุบาลีฯ ก็เคยมาพัก อาศัย และกเ็ คยมาปฏบิ ัติ ณ ทีน่ ้ี ก็เลยถอื วาเปน ดินแดนศักด์สิ ทิ ธิ์ และเม่ือเราเขาในแดนศักดิ์สิทธ์ิแลว พวกเราทั้งหลายก็ จะตองมีการเคารพสถานที่นั้น ดวยความนอมจิตระลึกถึงวา เม่ือเรา เขาท่ีนี่แลว เราจะทํากายใหศักดิ์สิทธิ์ วาจาใหศักดิ์สิทธ์ิ จิตใจให ศักด์ิสิทธ์ิดวยการประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เลยในวันน้ีเราจะแสดง ธรรม เร่ือง “การภาวนา” เพราะเราดูแลว ญาติโยมทั้งหลายก็เปน ผูสนใจ คําวา “ภาวนา” ทางพระพุทธศาสนา เปนคําที่กวางขวาง มาก มีความหมายไมเฉพาะนั่งสมาธิ เดินจงกรม พระพุทธเจาใชคํา วา “ภาวนา” ในแนวที่ “ปรารถนาตนเองใหเ จรญิ ” การปรารถนาตนเองใหเจริญเพ่ือเปาหมายอันดี อันงาม อันสุขสบาย เปาหมายที่จะไดพาจากการพนทุกข การทําใหเจริญ เจรญิ ทางโลก เจริญทางธรรม ก็ตองอาศัยการฝกการหัด การอบรม ตนเอง การปฏิบัติพัฒนาตนเอง เราก็แบงแยกออกเปน ๔ ประการ พระพุทธเจาบอกวาประการที่ ๑ ก็ตองกายภาวนา – ทําใหกาย เจรญิ ทําใหกายเจริญ เมอื่ เราเกิดข้ึนมาในโลกนี้ พอแมเปน ผทู ี่เล้ียง กายเรา ดูแลกายของลูกใหเติบโต เอาอาหารท่ีจะไดเปนเครื่อง บรโิ ภค ทปี่ ลอดภยั ท่ีไมมโี ทษ ที่จะทาํ ใหล ูกใหเจริญ ใหกายสมบูรณ ๖๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ ในเม่อื เราทําใหกายสมบูรณน น้ั กพ็ อ แมค รอู าจารย ผหู วงั ดี ก็จะอบรมสั่งสอนเรา จูงเราใหเจริญดวยกริยามารยาท ใหเปนคนที่ รจู ักสงู รูจกั ตาํ่ รูจ ักควร รจู ักไมค วร ละ งดเวนสิง่ ท่ีไมค วร ทําใหเ รา รูจักมารยาท รูจักสังคม พัฒนาใหเปนสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ เพ่ือ ทําใหกายเจรญิ เพ่อื เขาสงั คมได เพื่อรูจ กั สูง รจู กั ตาํ่ รูจกั ดี รจู ักงาม นี่ละ การพัฒนากายนี้ เราก็ถือวาเปนการสอนใหเราอยูในระบบ สังคมได อยูในครอบครัวได และเราก็ตองทําใหกายเจริญ เจริญ ในทางทเี่ ลี้ยงชวี ิตของเรา ใหถกู ตองดงี าม การเลี้ยงใหกายเจริญนัน้ พระพุทธเจาทานใหเรา ใหมีกาย ใหเปน “สมั มาอาชีโว” เปนการเลย้ี งกายใหถูกตอง เพ่ือไมมโี ทษแก ตนเอง เพื่อไมสรางกรรมสรางเวรแกตน และไมมีโทษแกผูอื่น ไม เบียดเบียนผูอ่ืน ในการเล้ียงชีวิตของเรา นี่จะทําใหกายเจริญทาง โลก คือ หาอาชีพท่ีไมเบียดเบียน หาอาชีพท่ีเรียกวา สัมมาอาชีโว เวนจากส่ิงที่เบียดเบียนผูอ่ืน สัตวอ่ืนทั้งหลาย เมื่อเราทําอาชีพท่ี เปนสัมมาอาชีโวน้ัน เรียกวา เราก็พัฒนาตนเองโดยไมสรางกรรม สรางเวร นี่ก็ทําใหกายเจริญทางโลกได ก็ตองอาศัยความอดทน อาศยั ความเพียรพยายาม ตองอาศยั ความขยัน ตองอาศยั ความไหว พรบิ รวดเรว็ เพื่อแกปญ หาทีจ่ ะเกดิ ขน้ึ ในชวี ิตของเราได กายเจริญน้ัน มันก็ตองอาศัยบารมี ๑๐ ประการที่จะทําให อยใู นโลกดวยความเจริญ เราก็รูกนั อยวู า โลกน้ีมนั จะชมความรูทาง โลก คนจบสูง ๆ เรียนสูง ๆ อยูก็ถือวาเปนคนเกง เดี๋ยวน้ีพวกญาติ โยมทง้ั หลายอยากจะใหลกู เรียนเปนดอกเตอร เพอ่ื วา อยากใหเรียน สงู ๆ แตถ าหากวาเรียนเปน ดอกเตอร แตไมมีคณุ ธรรม ไอคิวสงู แต อีคิวไมมี ไอคิวสูงหมายถึงวาเปนคนฉลาด แตอีคิวไมมีแปลวา ไมมี ๖๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ คุณธรรม ที่จะประกอบความฉลาดนั้น ก็จะทําใหเกิดโทษแกกาย เกดิ โทษแกจ ิตใจ เกิดโทษแกช ีวติ แตถาหากวา คนมีความเจริญในคุณธรรม เชน เจริญใน บารมี ๑๐ ประการ เปนคนท่ีมีความเอ้ือเฟอ สุนทรทาน เปนคนมี ศลี มธี รรม เปนคนขยันหมน่ั เพียร เปน คนท่มี ีความอดทน เปน คน ที่ขยัน มีอธิษฐานบารมี มีความตั้งใจม่ันในการทําอะไรใหสําเร็จ มีเนกขมั มะบารมี มีความสละ เสยี สละแกผอู ื่น และสงั คม ตัวงาน ตวั การ ตวั หนาท่ีน้นั มีความขันติ มีความพยายาม มีศีลดี ศีลงาม มี ความซื่อสัตยสุจริต เปนคนมีสัจจะบารมี มีคุณธรรมอยางนี้ก็ทําให เจริญได อาจจะไมไ ดจบเรียนสงู ก็ได แตวามีคุณธรรมเปน พื้นฐาน แตถาหากวาเราจบเปนดอกเตอร หรือลูกหลานจบเปน ดอกเตอรแ ตเ ปน คนขี้เกียจข้ีครา นกไ็ มเ จริญ เปน คนที่ไมมศี ีลธรรมก็ มีโทษ เปนคนไมซ่ือสัตยสุจริตมีโทษ อา! ใหคิดดี ๆ เราอยากได คนงานในบริษทั เรา คนงานทท่ี าํ งานรวมกนั กบั เราท่เี ปนคนท่ีขี้โกรธ ขโ้ี มโห ไมม ศี ีลไมมธี รรม ไมม คี วามซ่ือสตั ยสุจรติ เปนคนข้ีเกียจไหม ... เปลา ไมอยากได เราก็ตองการคนท่ีมีศีลมีธรรม มีความดีงาม ความถกู ตอง มคี ุณธรรมอยู เม่อื เราตองการอยางนน้ั เราก็เหน็ อยวู า ส่ิงที่ท่ีจะทําใหเจริญในโลกน้ี ไมใชความรู ความฉลาดทางโลกอยาง เดียว ก็ตองมีศีลธรรม มีจริยธรรม มีคุณงามความดีดวย นี่จะทําให กายเจริญ กายเจริญจะทําใหเลี้ยงชีวิตถูกตองดีงาม และตอไป พระพทุ ธเจาบอกวา “สีลภาวนา” ก็ตองทําใหเจริญทางศีลธรรม การเจรญิ ทางศลี ธรรม เรยี กวา ภาวนาเหมือนกัน โยมวันน้ี ก็ไดตั้งใจสมาทานศีล ๕ น้ัน ก็ทําใหเราไดทําใหกายและวาจาของ เราเจริญ จากผูประมาทใหเปนผูไมประมาท เปนผูไมระมัดระวัง ๗๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ เร่ืองวาจาเปนผูระมัดระวังสิ่งท่ีเราพูดดวยปากของเรา ดวยสิ่งที่เรา เขียนอยูหรือรวมทั้งสิ่งท่ีเราลงในไลน เออ วันนี้มีญาติโยมมาถาม อาจารยอยูวา การเขียนอะไรทางไลนน้ัน ทางมือถือผิดศีลไดไหม – ได เพราะวาเปนการสงความรู ความเขาใจตอกัน ระวัง เรากับ บุคคลอื่น ถาเราใชไลนน้ันดวยความเสียดสี สอเสียด หรือเพอเจอ นั้น ก็ถือวาผิดศีลได ก็เลยใหเราระมัดระวังในการใชเทคโนโลยี ทั้งหลาย น่กี ็ทําใหเ ราผิดศลี ไดเ หมอื นกัน เราก็อยูในศีลในธรรมน้ัน เราก็จะพัฒนากาย เราจะพัฒนา วาจาใหเปนผูมีหิริ มีโอตตัปปะ เปนพื้นฐาน มีหิริ มีโอตตัปปะเปน พ้ืนฐานของการมีศีลมีธรรม คือเรามีความเกรงกลัวตอบาป ท้ังหลาย มีความระมัดระวังตออกุศลทั้งหลาย ไมกลาพูดในส่ิงที่ ที่ไมถูก ในส่ิงท่ีไมจริง ไมกลาทําในสิ่งที่มีโทษแกตนเอง สราง กรรม สรางเวรกับใคร ไมกลาเบียดเบียนใคร ไมกลาสรางเวรกับ ใคร น่ีเรียกวาเรามี “หิริ” มีความระวังตัวตออกุศลทั้งหลายท้ังปวง นั้น เมื่อเรามีความระวังตัวนั้น มันก็จะไดมีสติสัมปชัญญะคุมการ กระทาํ ของตน นน่ั เหมอื นเราอยูตอ หนา พระพุทธเจาตลอดเวลา พระพทุ ธเจา ไดโ ปรดแสดงธรรมไวว า เรารูตนวา ทาํ อะไรอยู และพูดอะไรอยู เทวดาก็รูเราเชนเดียวกัน เราไมไดอยูคนเดียวใน โลกน้ี ไมวาเราอยูในหอ ง อยูคนเดียวในหองนั้น อยูบานตัวเอง ไมมี ใครอ่ืนอยูดวย แตเทวดาทานสามารถท่ีจะรูเราได รูการกระทําของ เราได ทานสามารถที่จะรูเราได ก็เลยเราไมไดที่จะอยูคนเดียว เทวดาเปนพยานการกระทําของพวกเรา เทวดาเปนผูรูการกระทํา ของพวกเรา เม่ือเราสํานกึ ระลกึ อยา งนั้น เรากจ็ ะมีความเกรงกลวั มี หิริ มีโอตตัปปะ ระวังมากข้ึน ก็น่ีแหละ เราก็ถือวามันก็เปนสิ่งท่ีดี ๗๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ เหมอื นมีเทพเทวดาคุมเรา มคี รูอาจารยคุมเรา ตรวจเรา การกระทํา ของเรา เราก็เลยมีความเกรงกลัวตออกุศลทั้งหลาย ไมกลาทําบาป ทําอกศุ ลได ดวยกายและวาจา การทําใหศีลธรรมมันเจริญ มันก็เปนสิ่งท่ีเราคอยๆ ปรารถนาอยู ตอนแรกเราอาจจะรักษาศีล ๕ อยู แตวาทีหลัง วัน สําคัญ เชน วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันออกพรรษา เขาพรรษาอยางน้ี เราก็มีความต้ังใจถือศีล ๘ ถือศีล ๘ เพ่ือเปน เคร่ืองบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ – เปนการปฏิบัติบูชา พระพุทธเจาไดตรัสพระสูตรอยู ไววาถามีมหากษัตริย มหากษัตรยิ ทานอยากทําบุญใหญ อยากไดบุญ อยากไดกุศล อยากไดอานิสงส มากจากการทําบุญ ถามหากษัตริยองคน้ันเอาทองท่ีเปนแทงๆ เทากับ ๑ โกฏิ แลวไปบริจาคประชาชน ทานไดบุญมาก หา ประมาณไมได ถาเอาเงินมา ๑ โกฏิ มาแจกประชาชน ก็ไดบุญ ถา เอาทองแดงแจกบรจิ าคไปไดบุญมหาศาลหาประมาณไมได ทา นเอา ชา ง ๑,๐๐๐ ตัว เอาววั ๑,๐๐๐ ตวั เอาสัตวมาพัน ๆ ตวั เอามาแจก ชาวบาน ทานไดอานิสงสบุญ ไดสรางประโยชน ไดสรางบุญกุศล มาก ดวยการใหทาน แตบุญท่ีจะเกิดขน้ึ แกมหากษตั ริยน้นั มนั ยังไม เทา กบั มหากษัตรยิ ถ อื ศลี ๕ ไมได ถามหากษตั ริยน นั้ ถือศีล ๕ นั้น บุญยังมากกวา อานสิ งสยัง มากกวาการทําบุญใหญนั้น และทานแสดงตอไปวาถามหากษัตริย น้ันไดเจริญเมตตาภาวนา แมแตขณะพริบตา แปบเดียว ขณะ พริบตาน้ัน ถาไดเจริญเมตตาโดยสรรพสัตวทั้งหลายทั้งปวง แผไป ๔ ทิศ ๘ ทิศ มหากษัตริยน้ันจะไดบุญมากกวาการทําบุญใหญน้ัน และถาวามหากษัตริยน้ันองคนั้นไดพิจารณา อนิจจสัญญา – ๗๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ พจิ ารณาวาสงั ขารทั้งหลายท้ังปวงไมเ ท่ียงหนอ มีความเสอื่ มเปน ของธรรมดา แมแตขณะพริบตาอยู คิดแคส้ัน ๆ นิดเดียว อานิสงส ยังมากกวาการทําบุญใหญน้ัน เพราะอะไร ทําไมพระพุทธเจาโปรด อยา งนน้ั แมวาการทําบุญทาํ ทานน้ัน พระพทุ ธเจาสรรเสริญอยางยิ่ง การใหทานมันสําคัญ แตวาไมไดพาใหพนจากนรกนะ บางคนใจ ใหญ ใจสปอรต ใหทานอยู แตยังไมละบาปก็มี ยังทําบาปดวยกาย และวาจา ยังทําอกุศลดวยกายและวาจาอยู ก็เลยยังไมพนจากนรก ได แตถาหากวาเรารักษาศีล ๕ นั้น มันก็เปนทางที่จะทําใหมี อานิสงสเกดิ ขนึ้ ขอที่ ๑ ตายแลวกจ็ ะตอ งเกดิ ในตระกูลท่ีดี เกิดเปน มนุษย และในตระกูลที่ดี ขอที่ ๒ ถาไมไดเกิดในตระกูลท่ีดี ก็เกิด เปนเทวดา อา! ประสูติเปนเทวดาอยู เสวยสุขในสวรรคโลกน้ัน แต ถาไมไดเกิดในตระกูลที่ดีหรือเกิดเปนเทวดานั้น ตองนิพพาน มีแค ๓ อยางนี้ เปนอานิสงสจากการมีศีล ๕ นั้นละ จะปดประตูนรก เพราะเราละบาปทั้งหลายทั้งปวง การละบาปน้ันมันก็เรื่องสําคัญมาก ๆ เราจะละบาปดวย การสํารวมกาย วาจาของเรา ไมลวงละเมิดในศีล ๕ นั้น อันนั้นเปน เหตุใหครูบาอาจารยท้ังหลายพูดแลวพูดอีก พูดเร่ืองศีล ๕ เพราะ อยากใหพวกศรัทธาญาติโยมทั้งหลายใหเปนผูท่ีวา มีความสุขความ เจริญทั้งชาตินี้และชาติตอไป และจะทําใหถึงกระแสของพระ นิพพานได ทําใหโภคทรัพยเกิดขึ้น ทําใหเขากระแสของนิพพานได เราก็จะไดเกิดเปนมนุษยท่ีสมบูรณในชาติน้แี ละก็ตอไปดวย ท่ีจะได บําเพ็ญคุณงามความดีดวยกายและจิตใจของเราใหอยูในคุณงาม ความดตี อไป การทําใหศลี ทาํ ใหเจริญ มนั กท็ ําใหเราพัฒนาตนเอง ๗๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ถาหากวาบุคคลใดเจริญเมตตาภาวนา เจริญเมตตา ภาวนานนั้ ถา เจริญจนถึงจิตใจมเี มตตาสม่าํ เสมอมันก็ทําใหจิตใจ เบิกบาน จิตใจสวางไสว จิตใจมีปติสุข จิตใจเปนอันเดียวกันกับ สัตวโลกทั้งหลาย เปนเอกัคคตารมณ ไมไดแยกแยะผูอ่ืนกับตัว เรา เปนอันเดียวกัน มีความเมตตา ความหวังดี ตอสรรพสัตว ทงั้ หลายทงั้ ปวงในสามแดนโลกธาตนุ ี้ เมอ่ื เรามีเมตตานัน้ มันทําให ไปพรหมโลกได น่ีเปนเหตุท่ีมีอานิสงสมากมีผลมาก แตถาเราเจริญ จิตตภาวนานั่นนะ คือ อนิจจสัญญา คือ พิจารณาวาทุกสิ่งทุกอยาง มนั มีความไมเ ทย่ี งหนอ ทกุ สง่ิ ทกุ อยางมีความเสื่อมเปนของธรรมดา จะทําใหเปนผูไมประมาท จะทําใหเกิดสติปญญาขึ้นมา วิปสสนา ข้ึนมา เห็นชัดเจนในสภาวธรรม รูตามความเปนจริงได บรรลุเปน พระอรหันตได ก็เลยน่ันเปนเหตุที่มีอานิสงสมาก มีผลมาก ก็เลย พวกเราทานทั้งหลาย ที่เราจะทําใหศีลเจริญ ก็เร่ืองสําคัญ เราก็ทํา ใหจิตตภาวนา คือจติ ใจเจรญิ ดว ย กายภาวนา สีลภาวนา ขอท่ีสาม คือ จิตตภาวนา ทําใหจิตใจของเราเจริญ เรา จะทําใหจิตใจเจริญอยางไร ขอที่ ๑ เราก็ตองรูสภาวะจิตของเรา มันเปนยงั ไง ถาเรามานัน้ นะ เรากต็ อ งพยายามมาฝกจิต อยางนอย ใหเกิดความสงบ ทําไมเราจะตองมาฝกจิตใหเกิดความสงบ เพราะวาเมื่อเราฝกจิตใหเกิดความสงบ ขอท่ี ๑ ท่ีเราจะเห็นอยูวา จิตใจของเรามันไมสงบ เหมือนหลวงพอไมมีโอกาสเหมือนโยมนะ โยมไดเปรียบเยอะเพราะอยูในประเทศไทย อยูใกลวัด อยูใกล ศาสนา อาตมาอยูตางประเทศ ไปเกิดประเทศออสเตรเลีย ไมรูจัก พุทธศาสนาเลย แตวามีบุญอยูไดอานหนังสือตอนอายุ ๒๐ เรื่อง ๗๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ พุทธศาสนา อานเลมแรกแลว อานตลอดคืน อานถึงอริยสัจ ๔ ก็ เกดิ ศรทั ธา รวู า เมือ่ จบเลม นัน้ อา นตลอดคนื รวู าเปน ชาวพทุ ธแลว ศรัทธาในพุทธศาสนา ก็เลยก็อยากจะรูเร่ืองพุทธศาสนา สมัยนั้น ท่ีประเทศออสเตรเลียหาธรรมะยาก พระก็ไมมี ไมรูจะหา ชาวพุทธที่ไหนก็เลย ก็ไดดูในสมุดโทรศัพทอยู ก็เห็นวามีสมาคม พุทธอยูในบานเกิดอาตมาอยูที่แอดิเลด (Adelaide) ก็เลยไปท่ี สมาคมพุทธนั้น ก็ไปเขาไป วันแรกท่ีเขาไปในสมาคมพุทธก็เห็นเขา เขียนศีล ๕ ในหองประชุม ขอที่ ๑ ปาณาติปาตา อทินนาทานา แลวมีคําแปลเปนภาษาอังกฤษ กาเม มุสา สุรา อาว เราก็อานคํา แปล เปนครั้งแรกที่เราเคยเห็นศีล ๕ ทางพุทธศาสนา แตอาตมามี บุญที่วาพอแมเคยปลูกใหเคารพศีลอยูแลว แตวันแรกที่เห็นศีล ๕ ในพระพทุ ธศาสนา แลว อานแตละขอ เมอื่ อานทัง้ ๕ ขอแลว ไดถาม ตนเองวาถาบุคคลใดในโลกนี้ ถือศีล ๕ น้ี เราจะเคารพวาเปนคนดี ไหม เราก็เลยตอบในใจวา เออ ตองเคารพเปนคนดี ถาคนไหน นั้นนะถือศีล ๕ ก็ตองเปนคนดี ในสังคม ในโลก และสังคมจะ ยอมรบั เปนคนดี ไมต อ งวาประเทศไหน เขาตองถือวาเปนคนดี กไ็ ด ถามตนเองวาเราอยากเปนคนดีไหม เราก็เลยตอบอยากเปน คนดี ก็ เลยส่งั ตนเองวา ถาอยากเปน คนดี เราตองถือศลี ทั้ง ๕ ขอ นี้ตลอดไป จากวันน้ีตลอดไป ก็เลยอธิษฐานศีล ๕ น้ันวันน้ัน แลวก็ พยายามรกั ษาตลอด บางคร้ังกเ็ ผลอ กม็ ี แตวา เรามีความต้ังใจ เม่ือ เผลอแลวอธิษฐานอีก แตไมเคยรับศีล ๕ จากพระไมเคย มะยัง ภนั เต ซะที ยังไมเคยเหน็ หนาพระเลย แตเ ม่อื เราเหน็ ดว ยปญญาวา สิ่งอันน้ันดี สิ่งอันน้ันมีคุณ ส่ิงอันนั้นเปนประโยชนตอตนและผูอ่ืน เราก็มีแสงสวางเกิดขึ้นแกเราวา นี่แหละควรทํา นี่เรียกวาเรานอม ๗๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ เขามา ธรรมะท่ีเราเห็นอยู ธรรมะ ๔-๕ ขอน้ีของพระพุทธเจา เรา นอมเขามา โอปนยิโก นอมเขามาหาตนเอง เม่ือเราเห็นวาดีงาม ใจของตนเองเราอธิษฐานเอา เราประพฤติปฏิบัตเิ อา ไมตองมคี นมา ชี้นํา ไมตองมีคนบอก ไมตองมีคนสั่งใหทํา เราก็เห็นวาอันนี้แหละ เปนทางท่ีจะทําใหเจริญ แสงสวางเกิดขึ้นในชีวิตได จะไปในทางดี น่นั นะ มนั กเ็ ลยอธิษฐานอยู นี่ พวกญาติโยมท้งั หลายยงิ่ บญุ มากกวา เกิดเปนชาวพุทธ เกิดในพุทธศาสนา พอแมจูงเขาวัด จูงมาใสบาตร อยตู ้ังแตเล็กตั้งแตน อย ยังไดฟ งเทศนฟงธรรมจากครบู าอาจารย โอ มีโอกาสมากมาย ก็ถือวาเรามีบุญมาก มีอานิสงสมาก เราก็เลยตอง รักษาเอาไว ไมประมาทเร่ืองบุญ ไมประมาทเร่ืองอานิสงสบุญเกา ไมประมาทเร่ืองอานิสงสบญุ เกา ทไี่ ดน าํ มาถึงจุดอันนี้ ทีนี้ เม่ือเราจะทําใหจิตเจริญ อาตมาก็ไดเขาไปที่สมาคม พุทธแลว อยากจะฝกการนั่งสมาธิ เพราะอะไร เพราะเราก็เห็นวา เราก็อยากใหโลกน้ีสงบสุข อยากใหคนเมตตากัน ไมเบียดเบียนกัน แตต นเองก็ยงั มีกิเลสตัณหา ยังมโี ทสะบาง ยงั มคี วามไมพ อใจบาง มี ความพอใจบาง มีความหลงบาง มีความเผลอบาง เอ ถาเราไมสงบ เรายังไมมีเมตตาเสมอภาค เราจะใหคนอ่ืนถูกใจเราไดยังไง เรายัง ไมถูกใจตัวเอง ก็เลยขอใหเขาสอนวิธีน่ังสมาธิอยู ตอนแรกก็น่ังไม เปน แตเราพยายามนั่งดูลมหายใจเขา ลมหายใจออก ทีน้ี อาจารย ที่สอนเปนฆราวาส บอกวาใหนับลม อาตมาก็น่ัง เอ เราตอนแรกก็ คิดวาเราเปนนักวิทยาศาสตรนะ เออ เราก็เปนผูที่สามารถท่ีจะคุม จิตของเราได แตเวลาพยายามนั่งนับลม ๑-๑๐ โดยไมลืม โอย ใจ มันเผลอ ใจมันไปนี่ ไปนั่น ก็เลยตกใจ ขอที่ ๑ การนั่งสมาธิ ทําให เราตกใจ ตกใจทําไม เพราะเราเห็นวาเราไมสามารถที่จะปกครอง ๗๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ จิตใจตัวเองได ทําไมจิตใจไมสงบ ทําไมจิตมันอยากคิดเร่ืองน้ี คิด เรือ่ งนั้น แคด ลู มหายใจเขา ลมหายใจออก และนับลมแค ๑-๑๐ ยงั ไมได ๑-๑๐๐ ก็ไมได มันขาดไป มันหายไป มันเผลอไป ก็เลย ส่ิง แรกท่ีเราจะรูจากการฝกจิต เราจะเห็นวาจิตนี้จะเปนส่ิงท่ีนํา ความสุขหรือทุกขแ กเรา ถาเราฝกจิต เราจะตองอยูกับจิตน้ีตลอดกาล ทั้งชาตินี้ และชาติตอไป ถาเราไมฝกปฏิบัติจิต พัฒนาจิตใจน้ีใหมีสติ ใหมี สัมปชญั ญะ ใหม สี มาธิ จิตนจ้ี ะพาไปทางไหน ไมร ู จะพาไปดีไมด ี ไม รู จะพาไปสุขหรือทุกขก็ไมรู เราตองใหเปนผูปฏิบัติเพ่ือความรู ตอไป ก็เลยเกิดความตื่นตัว ต่ืนตัวนั้นละ ทําใหเกิดการพัฒนาจติ ใจ พวกญาติโยมท้งั หลายตองต่ืนตวั ตอ งตนื่ ตวั วา จิตน้เี ปนของอัศจรรย ของประเสริฐ พระพุทธเจาตรัสไววาจิตนี้สามารถบรรลุธรรมได จิต นี้สามารถที่จะเกิดพลังจิต - คือจิตบริสุทธิ์ จิตสะอาดได เกิดแสง สวาง เกิดสตปิ ญญา รสู ่งิ ที่อศั จรรยได รเู ทวดา รสู ัตวใ นภพอื่นได นี่แหละ เราจะพัฒนาจิต ก็เปนเรื่องสําคัญ ก็เลยกาย ภาวนา สลี ภาวนา แลวก็มจี ติ ตภาวนา พฒั นาจิตใจใหเ จริญ ขอท่ี ๑ เราก็ตองพยายามฝกใหมันสงบเพื่อทจ่ี ะไดล ะความวุนวาย ละความ เดอื ดรอ น ละความรอ นใจ ละความโลภ ความโกรธ ความหลงในจิต ในใจ ใหมันเย็นลง ใหมันสบาย ใหมันสงบ แตวาตองคอยๆเปน คอย ๆ ไป มันอาศยั การฝกหดั ไมใชวา จะไดเ ร็ว ๆ จะไดงา ย ๆ ตอ ง อาศัยการฝกหัด อาตมาฝกหัดยิ่งลําบากกวาโยม ไมมีอาจารย ตอง ทําเอาเอง ตอนเปนฆราวาสอยู ตอนนั้นเปนครูสอนชีววิทยาอยู กอนจะไปโรงเรียน นั่งสมาธิตอนตี ๔ คร่ึง ลุกทุกเชา นั่งสมาธิ สรง น้ํา อาบนํา้ ไป ก็นัง่ สมาธิ ตอนแรกนงั่ ๑๕ นาที มันเจบ็ มันปวด โอย ๗๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ไมไหว อา แตก็พยายามทุกวัน และตอนเย็นก็นั่งอีก ๑๕ นาทีกลับ จากทท่ี าํ งาน เพอ่ื คลายอารมณ คลายความรูส กึ ออกไป ตอนเชา เรา ก็พยายามน่ังสมาธิดูลมหายใจ นับลมหายใจเขา ลมหายใจออก สบาย เพ่ือทําใหจิตเย็น จิตสบายเพ่ือรับอารมณท่ีจะเกิดขึ้นในวัน น้ัน และในชีวิตประจําวัน ใหมีสติสัมปชัญญะในชีวิตประจําวัน ตอเนื่อง สมํ่าเสมอ มันก็ขาดบาง ลอยบาง ธรรมดา แตใหมีความ พยายาม เมื่อเราฝกอยางนี้ มันก็คอย ๆ เปนกําลัง เราเห็นอยูวา กอนเราน่ังและหลังจากเราน่ัง จิตเปนยังไง กอนเราน่ัง เราก็มี ความรูสึก เอ! จิตมันไมคอยสงบ มันเครียดหรือมันวุนวาย หลังจาก เรานงั่ เอ มนั ดีขึ้น เราเหน็ วา มนั ดีขน้ึ เล็ก ๆ นอ ย แตเ ห็นอานิสงส น่ี การดีข้ึนเล็ก ๆ นอย ๆ ก็เปนบุญแลว เปนอานิสงสแลว เปนการ พฒั นาจติ ใจใหเจรญิ ก็เลยญาตโิ ยมทง้ั หลายนล่ี ะ เราจะทาํ ยงั ไงที่จะ พัฒนาจิตใจเราใหเจริญ ขอท่ี ๑ ขอสําคัญ กวาจะมาเทศน ณ ท่ีนี้ จะพูดแลวพูดอีก หลังพูดเรื่องศีล ก็คือสติ สติใหระลึกได สติใหรูต ัว พรอม และก็สติตอ งบวกกบั สมั ปชัญญะ สติคืออะไร เรารูอยู สติคือความระลึกได ความระลึกได .. ระลึกในอะไร พระพุทธเจาจะใหเราระลึกเรื่องกาย ระลึกเร่ือง เวทนา ระลึกเรื่องจิต จิตของเรามันมีความรูสึกอะไรยังไง เราระลึก ถึงธรรมารมณ เรื่องธรรมะที่มันปรากฏอยู วาธรรมะอยูระดับไหน มันเปน นวิ รณ ๕ ขอ นําจิตใจใหจติ สงบ เมอื่ จติ มีปญญา มีแสงสวาง หรือไม เม่ือเราเจริญท้ัง ๔ อยางนี้ใหเปนที่ระลึกของเรา เราจะ พัฒนาใชในชีวิตประจําวัน อาจารยก็ไปอยูกับหลวงพอชา พระ โพธญิ าณเถร ทว่ี ดั หนองปาพง ท่อี บุ ลราชธานี หลวงพอชาทานก็จะ ๗๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เนน เหมือนครูบาอาจารยกรรมฐานทั้งหมดละ เนน เรอื่ งสติมาก ทาํ อะไรอยู ตองมีสติอยู ทุกสิ่งทุกอยางตองมีสติ พระก็จะลุกจะตอง มีสติ พระจะเดินก็ตองมีสติ พระจะถอดรองเทาก็ตองมีสติ พระ จะเดินจะไมใหทําเสียงดังก็ตองมีสติ จะเปดไฟก็ตองมีสติ จะปด ไฟ เปดกอกน้ําก็ตองมีสติ ปดกอกน้ํา ทุกวันน้ีก็ไฟสวิตช สมัยกอน ไมม ีไฟหรอก จดุ เทียน น้ําไหลก็ไมมี ตองตกั นาํ้ เอา แตว าเรากต็ องมี สติการใชทุกส่ิงทุกอยาง คือเราตองรับผิดชอบ การมีสติในการใช ดวยการกระทําอะไรก็เรือ่ งสาํ คัญ ญาติโยมท้ังหลาย เราจะฝกสติอยางไร เราก็ตองเริ่มตน จากนาฬิกาปลุก ตอนเชานาฬิกาปลุกแลวจะตองลุกไปทํางาน ตอง มีสติต้ังข้ึนมาวานาฬิกาปลกุ แลว เพราะบางครั้งกิเลสมันเขามาแลว ขอนอนตอ เออ เอาอีกนิดนึง นาน กิเลสมา ความมักงาย ข้ีเกียจก็ เขามา นิวรณก็เขามา ความงวงเหงาหาวนอนก็เขามา น่ี ตองมีสติรู วา น่ีเปนเวลาท่ีจะตองลุก เออ อยากนอนตอ เออ นี่เปนกิเลส สมั ปชญั ญะ ตวั อบรมจติ ใจ รวู า นค่ี อื กเิ ลสนะ อยา ไปตามมันนะ มนั จะเกิดความมักงาย ขี้เกียจข้ึนมา เราตองเปนคนขยันหมั่นเพียร อาว เราลกุ เราลกุ ออกจากเตยี ง เอาขาขวาลงกบั พ้นื หรือขาซา ยลง กับพื้น รู และเดินเขาหองน้ํากี่กาว ไดนับไหม เคยนับไหม เวลาหวี ผมกี่ครั้ง ใหรู แปรงฟนกี่คร้ัง ใหรู อา ใหสติรูกับการแตงกาย การ บริโภคอาหาร การขับรถ การรับโทรศัพท การทําอะไร ใหเรารูตัว พรอม ใหใจจดจอรับรูในส่ิงอันนั้น ใหใสใจ ๑๐๐ เปอรเซ็นตในการ กระทําส่ิงใดส่ิงหน่ึง ไมใชวาใจลอยหรือใจใสใน ๓-๔ อยาง นะ บางครั้งรับโทรศัพท แลวก็ทํางาน แลวฟงเพลงไปดวย อันน้ี ก็ขาด สตอิ ยู ขาดสมั ปชญั ญะอยู ไมม คี วามต้งั ใจมน่ั ๗๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เราก็ตองฝกใชชีวิตประจําวันมาฝกอยู ถาหากวาเราฝกสติ อยูใชในชีวิตประจําวัน เวลาเรามานั่งสมาธิ ณ ที่ศาลาอันน้ี ตอน เย็นเราก็ฝกสติอันน้ีตลอดเวลา เวลาเรามาน่ังสมาธิตอนเย็น สติที่ เราฝกแลวก็จะเกิดข้ึน เพราะเปนเหตุเปนปจจัยสรางไวแลว เราได สรางบุญสรางกุศลพัฒนาจติ ใจใหเ จริญ ใหภาวนาจิตใหเจริญตลอด วัน เออ แตถา หากเราปลอยจิตไปตามกระแสอารมณตลอดวัน แลว อยากไดรับความสงบท่ีวัดปทุมวนารามน้ัน เราเขามาเพ่ือสงบ โอย มันก็คิดเร่ืองงาน คิดเรื่องการ คิดเรื่องสิ่งท่ียังไมไดทําเสร็จ มันคิด ทั่ว เพราะอะไร เพราะเราปลอยจิตไปตามอารมณตลอดกาล ก็เลย น้ันนะ การปฏิบัติที่เราเรียกวาการพัฒนาจิตใจใหเจริญ พัฒนาชีวติ ใหเจริญตองอาศัยความรูตัวพรอมระลึกไดในเวลาทุกเวลา ที่จริงผู ปฏิบัติธรรมไมมีวันหยุดนะ ไมมีวันพัก ไมมีฮอลิเดยนะ เราก็ตอง ปฏิบัติเสมอ เพราะวากิเลสตัณหาก็ไมมีวันพักเหมือนกัน ไมมี วันหยุดหรอก ไมมีฮอลิเดย เขามาเม่ือไรก็ได เราก็ไมรูมันจะเขามา แบบไหน ระดับไหนดวย เราก็เลยตองฝกสติใหระลึกไดวากําลังทํา อะไรอยู เรากําลงั นัง่ สมาธิก็ตอ งใหม ีสตอิ ยกู ับกายวากายกําลังน่ังอยู อา สมมติวาเรากําหนดรูลมหายใจเขา ลมหายใจออก จะใชคํา บริกรรมพุทโธก็ได หรอื จะรู “อานาปานสติกรรมฐาน” ใหเ รามีสติ จอรูลมที่ลมกําลังเกิดข้ึน ตั้งอยู และก็ออกไป รูวาลมหายใจออก รู วาลมหายใจเร่ิมออก กลางลมหายใจออก ปลายลมหายใจออก รูลม หายใจกําลังเขา กลางลมหายใจเขา ปลายลมหายใจเขา รู รูลม หายใจออกตอเนือ่ งดว ยความสนใจ พระพุทธเจาตรัสวา จิตท่ีสนใจ จิตนั้นสามารถที่จะอยูกับ อารมณอันนั้นได ถาจิตไมสนใจ ก็จะลอย จิตก็จะเผลอ จิตมันก็จะ ๘๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ งวงนอน มันจะดับ เพราะมันไมใสใจ ไมสนใจ ตองสนใจในสิ่งท่ีเรา ทาํ สังเกตดไู หม อา ว เด็กลกู หลานเราเลน เกมทง้ั วัน เพราะมันสนใจ มันจดจอ แมจะเรียกก็ไมไดยิน เรียกกินขาวก็ไมไดยิน เรียกอาบน้ํา ก็ไมไดยิน เพราะมันจดจอ มันสนใจ เราก็ทําใหจิตใจของเรามัน สนใจในขอกรรมฐาน เราตองเห็นวา ลมหายใจที่จะเขามาน้เี ปนสิ่งท่ี งามท่ีสุด สะอาดท่ีสุด บริสุทธิ์ท่ีสุด มันใหชีวิตแกเรา มันตอชีวิตเรา เปนสิ่งที่มีคุณคามากที่สุด เม่ือเรามีความสนใจในลมหายใจเขาและ ลมหายใจออก โดยความพอใจในการรูลมหายใจเขา ลมหายใจออก จติ ก็จะจดจอ ลมหายใจโดยอตั โนมัติ โดยความงาย โดยไมตอ งบังคับ มัน เพราะมันมีความสนใจ เม่ือเรามีความสนใจน้ัน มันจะอยูงาย ภาษาอังกฤษ อาจารยเปนพระฝรั่งก็ตองพูดภาษาอังกฤษบาง ขอ อภัยถาไมเขาใจ ภาษาอังกฤษเรียกวา ตอง enjoy the process เขาใจไหม enjoy the process แปลวาตองมีความพอใจในการ กระทาํ ในการกระทาํ กายนีก้ าํ ลังหายใจเขา กายนีก้ าํ ลังหายใจออก รู เรามีความ พอใจ มีความเอิบอิ่ม มีความจดจอ มีความสนใจ มีความใสใจรูลม หายใจเขา ลมหายใจออก ถาเราไม enjoy the process คือบังคับ ใหรู จิตมันบังคับไดชั่วคราวแตมันไมอยูนานดอกนะ ไมอยูนาน แต ถาหากวาจิต เราทําใหมันสนใจและใสใจในการรูลมหายใจเขา ลม หายใจออก สมาธิก็จะเกิดงายเพราะมันมีความซาบซ้ึง ปลื้มใจ ความภูมิใจอยูในการรูลมหายใจเขา ลมหายใจออก น่ันละ มันก็จะ จดจออยูกับลมหายใจไดนาน เมื่อเรารูกับลมหายใจไดนานนั่นละ กายก็จะเบา กายก็จะเบา มันจะมีความรูสึกวาเหมือนกายไมไดน่ัง ทีน้ี มันก็เบาน่ันละ แลวก็จะเกิดปติสุขเกิดขึ้น ปติสุขเพราะเราก็จะ ๘๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ จดจออารมณอันเดียว รูลมหายใจเขาลมหายใจออกตอเน่ืองน้ัน ความปรุงแตง ความสนใจในสิ่งอื่นมันไมสนใจแลว ไมสนใจจะคิด อะไรอยางอ่ืน ไมสนใจท่ีจะรูอะไรอยางอ่ืน มันอยากจะรูลมหายใจ เขาลมหายใจออกนี้ สติน้ีแนบกับลมหายใจ เม่ือแนบกับลมหายใจ แลว ปติสุขจะเกิดข้ึน ปติสุขมันมี ๕ ประการนะ อธิบายใหฟง เพราะวาบางคนอาจจะเคยสัมผสั อยแู ลว บางคนอาจจะยังไมส มั ผัส แตกําลังจะสมั ผัสอยู ถา ทําตามท่คี รูบาอาจารยสอนอยู ปติสุขขอที่ ๑ วามันแบบปติสุขหยาบ ๆ ทําใหเหมือน ไฟช็อต กระโดดเหมือนคนเอาไฟมาจี้หลังเรา มันจะทําใหกระโดด ขน้ึ บางคนจะตกใจอนั นี้คืออะไรนั่นนะ เอ! ใครมาจี้เรา ไมใ ช น้ีเปน ปติสุขอยางหยาบคือเสนประสาทของเรากําลังคลาย แลวก็ทําให ไฟฟาในรางกายมันกําลังวิ่งสะดวก มันก็เลยกลามเน้ือมันจะคลาย แบบรวดเร็ว แลวมันก็เหมือนมีไฟช็อตในรางกายนี้ นี้แบบหยาบ อยางนอยก็บอกอยูวาที่เรากําลังกําหนดรูลมหายใจ ถูกแลว อยาไป สนใจในปต สิ ขุ นเ้ี ปน ผล ปตสิ ุขที่ ๒ คือ เกิดความขนลุกซู โอ! นี่ เหมือนพดู แบบเรา ดีใจ โอ! ขนลุก นั่น เราก็พูดอยู อันนี้ก็เกิดจากความยินดี เมื่อจิต ยนิ ดีในกุศลธรรมก็เกิดขนลุกฟู ปติสุขท่ี ๓ คือ เกิดความเย็นเหมือนฝนตก มันเย็นกายนี่ แหละ เหมือนฝนตกคอย ๆ โดนแบบพรอย ๆ ลงมา มันก็เย็นตัว น้ี ความจิตใจยินดี มีความพอใจซาบซึ้ง อันน้ีแหละ อันน้ีดีแลว จิตใจ เปนบุญกุศลใหจดจอนะ อยาไปดูที่ปติสุข อยาไปดูที่ผลมัน ใหดู ตนเหตุ ลมหายใจเขา ลมหายใจออกเปนตนเหตุ เราก็เจริญ ตนเหตนุ น้ั ๘๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ปติสุขท่ี ๔ คือ มันจะมีความรูสึกวารางกายเร่ิมหายไป บางครั้งไมรูจักสวนขางลางเลย รูจักเฉพาะสวนขางบน บางคนจะ ตกใจอันน้ีคืออะไร หายจริงหรือเปลาบางครั้งก็ลืมตาข้ึน เพื่อดูวา กายมันหายมันเบา อันนี้อยาตกใจ อันน้ีละ ถูกแลว แตปติสุข สุดทาย อันนี้คือ จะลอยเหมือนสําลี คือเบามาก และรางกายน้ีจะ ไมมีขอบเขต เพราะจิตใจจดจอกับอารมณเดียว เหมือนหลวงพอ ถาอาตมาจดจอปลายไมคอันน้ีนะ .. จดจอปลายไมคอันน้ี ไมเห็น โยมนะ จดจอ ปลายไมคอ นั น้ี ก็เหมอื นเราหายไป กเ็ หมอื นเราจดจอ ลมหายใจเขาลมหายใจออก การรับรูของกายตัวเองมันจะหายไป ไมตองรับรู เราไมสนใจมัน เราจะจดจอในลมหายใจเขาลมหายใจ ออก และมันจะมีความรูสึก กายนี้ไมมีขอบเขต ตัวรูก็จะรูเทากับ ศาลาวิหารหลังนี้ได เหมือนเราเต็มศาลาหลังนี้ได อันนี้เรียกวา อัศจรรย อันนี้เรียกวาเราอยูท่ีประตูของอัปปนาสมาธิ จิตก็จะเขา ประตทู ีจ่ ติ รวมเปน หนง่ึ ใกลจะเขา ฌานไดแลว แตวาสว นมากคนจะ เกิดอาการ ๒ อยาง เวลาเกิดปติสุข ขอท่ี ๑ คือ ตกใจ อื้อ อันน้ีคืออะไร อื้อ เปนผีหรือเปลา นั่น กายหาย ตายหรือเปลา น่ัน มันตกใจ เปนทุกคน แตใหรูวาเรา ถูกแลว การปฏิบัติของเราถูกแลว และขอที่ ๒ ท่ีจะเกิดขึ้น ไมรูวา อันนี้คือปติสุข จะเกดิ ความตื่นเตน อา ว เกดิ ปต ิสุขตัวเบาลอยละละ อูย! ดีใจแลว ใกลจะถึงสมาธิแลว ตื่นเตน ลืมขอกรรมฐานของเรา เหตุท่ีเกิดปติสุข เพราะเราจดจอตรงจุดน้ี ลมหายใจเขาลมหายใจ ออก นะ ปติสุขเปนสวนประกอบของการจดจอลมหายใจเขาลม หายใจออก ใหสักแตวา “รู” เหมือนญาติโยมน่ังที่นี่ ฟงหลวงพอ พูด พัดลมก็เปดก็ทําใหรมเย็นอยูสุขสบายใชไหม แตถาหากวาเรา ๘๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ เอาจิตใจไวท ่ลี ม ที่ไมใชร างกายนี้ เราก็ไมไ ดฟ ง ไมรคู วามทหี่ ลวงพอ อธิบายน้ี จิตใจลอยไปตามพัดลมน้ัน ต่ืนเตนความรมเย็นเปนสุข มันก็จะไมไดเขาใจความท่ีหลวงพอพูดน้ัน เราก็เลยรูอยูวาใหจดจอ อยูกับการฟงธรรมะน้ัน อันนั้นเปนสวนประกอบท่ีเกิดขึ้นในการนั่ง อยูวิหารหลังนี้ สักแตวารู แตอยาไปต่ืนเตนกับมัน อยาไปใสใจมัน ใหจดจอกับลมหายใจตอ เมื่อเราจดจอกับลมหายใจตอแลวนะ จิตใจก็จะเกิดแสงสวา งขน้ึ มา นะ นิวรณ ๕ ถูกการระงบั ไป นิวรณ ๕ ถูกการระงับไป แสงสวางปภัสรจิตก็จะเกิดข้ึน สวางไสวมาก แลวจิตก็จะเขาอัปปนาสมาธิได นี่จิตต้ังมั่น เมื่อ เขาถึงอัปปนาสมาธิแลว ทุกขเวทนาไมมี อกุศลไมสามารถท่ีจะ เกิดขึ้น และไมรูจักกายน้ี ไมสัมผัสกับกายแลว จิตจดจอเปนอัน เดียวกันโดยอัตโนมัติของลมหายใจเขาลมหายใจออก มันแนบกับ ลมหายใจโดยอัตโนมัติอยู ไมตองบังคับแลว ไมตองประคองจิต มัน จะอยูของมัน แนบมัน วิตก วิจารณ ปติ สุข เอกัคคตาก็เกิดข้ึน เราก็ปฏิบัติตอ ยิ่งทําใหจิตละเอียด ทําใหจิตสงบ ยิ่งทําใหจิตเปน สมาธิขึ้นมา ก็อธิบายแคนี้ เดี๋ยวเร่ืองรายละเอียด เด๋ียวอธิบาย เฉพาะรายบุคคล แตในวันน้ีพูดถึงการใหจิตเขาถึงประตูอัปปนา สมาธิอยู และจะตองเขาไปลึกน้ันอีกตอไป แตวามันก็ใชวิธีการให จิตจดจอรับรูอารมณกรรมฐานท่ีเปนกุศล พระพุทธเจาอนุญาตให เรามีความสขุ ในกุศลจิต แตไมอนญุ าตใหมีความสุขในกามสุข ทานก็ตรัสวา ในพระสูตรวา ดูกอน ภิกษุท้ังหลาย กามสุข กามสุขท้ัง ๕ อยาง กามสุขของกาย คือ ตา หู ลิ้น จมูก กายนี้เปน สิ่งที่มีโทษมาก มีแตทุกขเกิดข้ึน ทานไมอนุญาตพระสงฆแสวงหา กามสุข แตทานอนุญาตใหพระสงฆแสวงหากุศลสุข สุขท่ีเกิดจาก ๘๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ กุศล สุขท่ีเกิดจากกุศล ใหจําดี ๆ นะ เปนกุญแจการภาวนา ถา ญาติโยมอยากจะรูวาจะทําใหจิตตภาวนาเจริญยังไง ตองจํากุญแจ อยูที่ไหน เหมือนโยมอยากจะเขาบาน ถาลืมกุญแจ เขาไมได โยม อยากจะกลับบา นนน้ั ละ ลืมกุญแจรถ ไปไมไ ด เราตองมีกุญแจ กุญแจการภาวนาที่จะเขาถึงสัมมาสมาธิ คือ ใหจิตจดจอ และมีกุศลธรรมใหเกิดข้ึนและมีความยินดีในกุศลธรรมนั้น บางคน อาจจะคัดคานอยูวา เอ! ครูบาอาจารยทานสอนใหไมยึดในความ ยนิ ดหี รอื ยนิ ราย อันนัน้ ก็จริงอยู แตอ ันน้ันนะ เมอ่ื มสี มาธิแลว ถา ยงั ไมมีสมาธิตองใหยินดีในกุศลธรรม เหมือนคนท่ียังไมเจริญศีล ๕ ก็ ตองเจริญศีล ๕ กอน ถึงจะทําใหจิตใจเปนกุศล นี่เราก็จะตองมี ความพอใจในกุศลธรรม เปนกุญแจที่จะเขาถึงสมาธิได ใหญาติโยม จดจํา ความยินดีในกุศลธรรม หมายถึงวา เราพอใจและสาธุการใน กุศลกรรมที่เปนกุศล เชน ญาติโยมมานั่งสมาธิ เห็นหมูเพ่ือน กัลยาณมิตรมาน่ังกันหลายคน เออ เราก็เกิดปติสุข โอ! สาธุ สาธุ นะ ชาวพุทธเรา อยางมาปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา อยางมาสนใจ มาปฏิบัติธรรม เออ อนุโมทนาดวย สาธุ สาธุนั่น คือความยินดีใน กุศลธรรมท่ีผอู ื่นทาํ และตนเองทํา สง่ิ อนั นนั้ ละ เปน กศุ ลธรรม เมื่อเรามีความยินดีนั้นจะทําใหจิตเปนสมาธิได เม่ือเรามี ความยินดีในการแชรและการให คือการทําบุญ เห็นตนเองทําบุญ หรือคนอ่ืนทําบุญก็สาธุดวย ยินดีดวย เกิดปติสุขดวย จิตเปนสมาธิ อันนต้ี ง้ั ม่นั ในบุญกศุ ล นี่แหละ ความยนิ ดีในกศุ ลธรรม ทําใหจ ติ สงบ ความยินดีในการมีศีล ๕ น่ี สีลานุสติกรรมฐาน เราก็สาธุอนุโมทนา ในบุญกุศลที่คนมีศีลก็ทําใหเกิดปติสุข การยินดีในอานาปานัสสติ ๘๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ คือ ยินดีในลมหายใจเขา ลมหายใจออก และจิตจดจอปุปมันก็อยู กบั อารมณนั้น ทาํ ใหสมาธขิ ้นึ มา และสมาธมิ ีประโยชนอะไร สมาธิมีประโยชนมาก มีอานิสงสมาก มีผลมาก พระพุทธเจาสรรเสริญอยา งย่งิ วาสมาธิกรรมฐานเปนสิ่งที่มีอานสิ งส มากเพราะอะไร ขอท่ี ๑ เราไดระงับนิวรณ ๕ ประการ ระงับโทสะ ระงับความโลเลสงสัย ระงับความงวงเหงาหาวนอน เราระงับวิตก วิจารณ ความไมพอใจ ความหงุดหงิด ความรําคาญ เม่ือเราระงับ นิวรณอยูนะ มันก็ระงับกามฉันทะดวย กามราคะอยู เมื่อเราระงับ ส่ิงอันนั้น จิตใจเกิดอิสระเสรี ปราศจากส่ิงน้ัน จิตบริสุทธิ์ จิตจะ สะอาด สามารถจะรูตามความเปนจริงได และกายกับจิตมันแยกกนั เราจะเห็นวากายน้ีละ มันสักแตวาเปนเฟอรนิเจอรน่ันละ เปนสวนประกอบแตมันไมสําคัญ อยาไปหวงเร่ืองเฟอรนิเจอรมาก ไป เราตองรักษาจิตใจ ตัวนั้นละ สําคัญท่ีสุด เจริญจิตใจใหงาม เจรญิ จติ ใจใหเจรญิ เจรญิ จติ ใจใหมีสตสิ ัมปชัญญะอยู มีปญ ญาอยู นี่ ละ มนั ก็ทําใหเ ราจะเห็นการแยกกายกับจิต เรากจ็ ะเหน็ ชัดเจนดวย วา เมื่อเราปราศจากผัสสะทั้งหลาย เมื่อออกจากสมาธิแลว ผัสสะ เกิดขึ้น น้ีเปนทุกข เม่ือเราวางความนึกคิด เปนสุข แตเวลาตองนึก คิดข้ึนมาใหม ก็ทุกข ทุกขอยู เราก็จะเห็นการระงับสังขารทั้งหลาย ทั้งปวง เปนทางพนทุกข คือ จะเห็นมรรค มันก็ทําใหวิปสสนา เกิดขึ้น มันก็ทําใหเราพิจารณา นอมออกมา แลวก็พิจารณาถึงขันธ ๕ น้ัน คือ กายกับจิตนี้ เรื่องกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นนั้ เราก็จะเห็นสภาวธรรมเปนกองทุกขจริง ๆ ก็จะเกิดพลังที่จะละ ได ถาไมเคยระงับไดช ่วั คราว ก็จะไมม ีกําลังที่จะระงับมันไดเ ลย เรา ตอ งระงับมันชัว่ คราวดวยการเขาสมาธิ บางอยา งก็ระงับไป เราก็จะ ๘๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ เห็นวาถา เราระงับท้ังหมด ก็จะเปน ทางที่จะพนจากทุกขไ ด เราก็จะ เห็นมรรคได น่ีละ มันก็จะทําใหจิตตภาวนา – การทําใหจิตเจริญเปน เร่ืองสําคัญมาก ไมใชหนาที่ของพระ เปนหนาที่ของทุกคน ที่จะทํา ใหชีวิตของเราสุขสบาย เจริญดวยเมตตาธรรม เจริญดวยสมาธิ ภาวนา เจริญดวยสติความรูตัวพรอม และสุดทาย พระพุทธเจา สอนใหเราปญญาภาวนา ทําใหเจริญทางปญญา ปญญาภาวนา ตามหลักพระพุทธศาสนาแปลวาอะไร ก็แปลวา ใหจับหลักอริยสัจ ๔ ใหยึดหลักอริยสัจ ๔ มีหลายคนมาถามอาจารยอยู ถามพระ ตางประเทศวาทําไมเราอยูกับพระเดชพระคุณหลวงปูชาพระ โพธิญาณเถร ทําไมทานมีลูกศิษยชาวตางชาติเยอะ ทานพูด ภาษาอังกฤษไมไ ดนะ ไดแ ค ๒ คาํ Good Morning .. ไดไหม เขาใจ ไหม คือ สวัสดีตอนเชา และ Do you want a cup of tea? .. Do you want a cup of tea? .. แปลวา คุณตองการนํ้าชาไหม อา ตองการฉันนํา้ ชาไหม เพราะทา นเคยไปประเทศอังกฤษและตอนไป อยูประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษชอบถวายนํ้าชา จะถามเราเร่ือยวา .. Do you want a cup of tea? .. หลวงพอบอกวามันจํางาย เพราะวาเหมือนพระใหพร ปะ กัป ปะ ติ นั่นนะ ยถา วาริวหา อุปกปฺปติ ปะ กัป ปะ ที น้ันนะ ก็เลยทานจําได ทานได ๒ คํา แต สามารถประกาศศาสนาในตางประเทศได มันก็อัศจรรยอยู เหมือนกัน หลายคนก็สงสัยเรื่องน้ี ทานใชวิชาอะไร คือ หลวงพอก็ ยอมรับวาทานมีบารมีหลายประการ จะใหอธิบายท้ังหมดก็ยาก ที่ ทานสามารถประกาศพระศาสนาแตวา ขอที่สําคัญอยูวา ทานจะเนน เร่ือง “ปญ ญา” ๘๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ถาไปหาหลวงพอชา แลวโยมเปนทุกขนะ หลวงพอชา หลวงพอไมเคยจะพรมน้ํามนตดอก ไมเคยจะแจกเหรียญดอก ไม เคยเคาะหัวดอกนะ แตถามาหาหลวงพอชา แลวบอกหลวงพอวา “เปนทุกข” ทานจะจี้เลย เปนทุกขเพราะอะไร อยากได หรือ ไม อยากไดอะไร อาว ทําไมทานจี้อยางน้ี เพราะอะไร ทานจ้ีถึง “อริยสัจ” ทานอยากใหเรา เห็นปญญา ใหเกิดปญญาเอง ถาทาน เคาะหัวแลว ตอไป โยมก็เกิดทุกขอีก ว่ิงมาหาหลวงพอ เคาะอีกนะ ขอเหรียญอีก ขอนาํ้ มนตอีก หลวงพอก็เหน่ือย ลูกศิษยก็โง ลกู ศิษย โงทานไมเอา ทา นอยากไดลูกศษิ ยฉลาด อยากไดลกู ศษิ ยเ กดิ ปญญา ทานสอนวิชาแกเรา ทานสอนวิชาเรื่องรูแกเรา ใหเราฉลาดเพ่ือแก ทุกขตอไปได เม่อื เรามาถามหลวงพอวา วันน้ีมันทุกขจ ังเลย ไมส บาย ใจ ทานวา ทานจะถามเลยวา ยึดอะไร เพราะอะไร เพราะทุกขเกิด จากการยึด การยึดม่ันถือม่ัน ทุกขสมุทัย ตองมีเหตุ ทานจะถามวา เอา เหตุอะไรที่ทําใหเปนทุกข เหตุก็อยูท่ีเรา ไมไดอยูท่ีผูอื่นนะ อา เราตองโทษตัวเอง เหมือนญาติโยมมาหาหลวงพอนั้นนะ บางคร้ัง นะ ภรรยาก็มาบนเรื่องสามีใหฟง อยากใหหลวงพอเทศนใหสามีฟง ใหสามีมีธรรม สามีมาบนเร่ืองภรรยา ข้ีบน อยากใหหลวงพอเทศน ใหภรรยาฟง อาตมาถามวา แลวใครเลือกคนนั้น เราก็เลือกเขาอยู แลว ใหหลวงพอมาแกน ะ เราแกท ่ีเรา ใหแกท ีเ่ รากอน ใหเ ราเปนคน ท่ีจิตใจสงบ จิตใจสบาย จิตใจเปนสุข จิตใจเบิกบาน น้ีละ เราแกที่ เรานะ เราจะไปโทษเขายังไง เราจะไปโทษคนอ่ืนไดไหม น่ัน เรา เปนผูเลือกเขา เราก็ตองโทษตัวเอง เราเปนทุกขเพราะเราเกิดมา ไมใชท กุ ขเ พราะเขา ไมใ ชท กุ ขเพราะคนอื่น ไมใชทุกขเ พราะลูกนอง ไมใชท กุ ขเพราะผูใหญ ไมใ ชท กุ ขเ พราะคนนี้คนนน้ั ๘๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ เราทุกขเพราะเราเกิดมาในโลกนี้ นี่ก็เลยตองแกท่ีเรา ตอง นอมกลับมาที่เรา ตนเหตุก็อยูที่น้ี ถาเราไมอยากเกิดมาในท่ีนี้ ก็ละ “ตัณหาอุปาทาน” จบเลย สบาย ไมตองแบกไปอีก น่ีก็เลยหลวง- พอชา ทานจะจี้ตนเหตุของทุกขวา เราอยากไดอะไร เพราะความ ทุกขเ กดิ เพราะความอยาก อยาก .. เราอยากได หรอื ไมอยากได ถา เราละความอยากได หรือไมอยากได ทุกขก็ดับ น่ัน นิโรธเกิดข้ึน แลวและวิธีการแกทกุ ขน ้ัน ดวยวธิ ีไหน ไมยึดมน่ั ถือม่ัน ใหป ลอยวาง การเห็นโทษจากการยึดมั่นถือม่ันน้ัน เมื่อเราปลอยวางแลว ทุกขก็ ดับ เราปลอยวางนั่นละ ความอยากได ไมอยากได หลวงพอชาทา น จะสอนงาย ๆ เชน คร้ังหน่ึง เดินในปากับหลวงพอ เดินตามถนนใน วัด วัดหนองปาพง มีก่ิงไมใหญ มันก็หักจากตนไมลงมา อยูกลาง ถนน หลวงพอก็ ทานก็พูดองั กฤษไมได เรากพ็ ดู ไทยไดน ิดหน่ึง ทาน ก็ช้นี ่นั นะก่ิงไม ใหเราจับขา งใดขางหนึ่ง ทา นก็ไปจับขา งหนึง่ ยกขน้ึ จะโยนในปา ทานทําทาใหโยนไปทางนูน อา เราก็ยกขึ้นมา ทาน ถามวาหนักไหม เอ ทานถามวาหนักไหม มันก็พอเขาใจความหมาย ได เพราะมันหนกั ภาษาไทย นี่กแ็ สดงวาอันน้ีหนกั .. เราก็ได ๒ คํา แลว หนักไหม พอดีทานก็นับ ๑ ๒ ๓ ก็ได อีกสามคํา ๑ ๒ ๓ และ โยนไปในปาแลวทานก็ถามวาเด๋ียวน้ีหนักไหม เออ มันไมหนัก เบา ทา นกเ็ ลยสอนวา เมอ่ื เราละทิ้งทุกข มนั เบา ถา เราละนอย มนั กเ็ บา นอย ถาเราละมาก มันก็เบามาก ถามันละเลย มันเบา มันสบายไป เลย นี่คือที่ทานสอนสัจธรรมแบบงาย ๆ แตวาบางองคทานก็ สอนตรง ๆ อาจจะโยมนั่งนาน แตก็จะเลาใหฟงวาวิธีการสอนของ หลวงพอชา ไมเหมือนองคอ่ืน คือ ทานสอนตรง คร้ังหน่ึงตอน ๘๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ อาตมาไปอยูใหม ๆ เพิ่งบวชเปนพระ ไมก่ีเดือน ไมก่ีวัน อยางวา คนมาจากตางประเทศ เต็มดวยกิเลสตัณหา มาหาหลวงพอชา มา บวชกับหลวงชา ขอใหทานสอนเมตตาโปรดเรา ใหแกทุกข แกปญหา แกกิเลสของเรา พอดีวันนั้นไปบิณฑบาต ไปบิณฑบาต แลวก็ขากลับ มีพระรูปหน่ึง ทานเปนพระข้ีบน เราก็ เออ เราก็เพิ่ง บวชใหม ทา นกบ็ น เรื่องพระองคน้ี ไมถูกใจพระองคน ัน้ ไมถ ูกใจ เอ เราก็ไมอยากฟง เอ เราก็บวชในพุทธศาสนา เอ พระเราไมนาจะผดิ กันหนอ เราก็เลยไมอยากคุยกับทาน เดินหนี เราขึ้นนะ แตก็ พยายามไมแสดงอาการ พอดีเดินกลับมาถึงวัด กมหนา เราก็บนใน ใจ เอ! พระองคน ัน้ ทาํ ไมจับแตผดิ ผูอน่ื น้นั นะ ไมเห็นความดขี องหมู คณะ เขาก็พยายามดที ี่สุดอยแู ลว ทาํ ไมไมชวยเขา เอ เรากก็ ลบั เปน พระข้ีบนเหมือนกัน แตมันไมออกทางปาก แตมันอยูในใจ เออ เหมือนโรคติดตอน้ันนะ โรคติดตอ พอดี เดินผานโบสถ และกุฏิ หลวงพอ พอดีหลวงพอทานไปบิณฑบาตบานอีกหลังหนึ่งขางหลัง ปกตทิ า นกลบั มากอ น วันนั้นไมเห็นทา นนัง่ ท่ีกุฏิ เรากก็ ม หนา ยังคดิ เร่ืองพระองคน้ัน พอไดยินเสียงหลวงพอพูดขึ้นมา Good Morning เราก็มองขึ้นมา หลวงพออยูหางไกลแคเมตรเดียว ไมรูมาจากไหน แลวอยูองคเดียวดวย ปกติตองมีพระอุปฏฐากติดตาม ทานก็ยิ้มใส เบิกบาน เราก็ยกมือไหวทาน ไมเคยไดยินทานพูดภาษาอังกฤษมา กอน น่ีครั้งแรก เออ หลวงพอทักเราเปนภาษาอังกฤษ Good Morning หลวงพอ ท่ีนี้ โอ! เบิกบานท้ังวันเลย เออ หลวงพอทักเรา หลวงพอ เมตตาเรา เรอ่ื งพระองคน้ันลืม ไมส น ไดอารมณใ หมแลว ความดีใจ หลวงพอทักเรา พอดีกับเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู ตอนเย็นประมาณ ๙๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ๖ โมงเย็น ก็ไปท่ีกุฏิหลวงปู แลวกเ็ คยฝก ถวายการนวดอยู นวดเทา เปน ตอนยังเปนฆราวาสเราเคยฝกกับหมอนวดอยูบางก็เลย หลวง พอจะเปดโอกาสใหเรานวดเทาทาน วันนั้น ทานนั่งเกาอ้ีหวายอยู เราก็นั่งกับพื้นตอหนาทาน เราก็ขอโอกาสนวดเทาทาน ท่ีนี้ มัน ๖ โมงเย็น เขาตีระฆัง ตอง ๆ ๆ เราก็ทําทาจะลุก หลวงพอก็บอก อา อยูน่ีแหละ ทีนี้ พระครูบาอาจารยหลายองค อะ! ขึ้นโบสถนะ ทํา วตั รเย็นกัน น้ี หลวงพอ ชอบนงั่ ในความมดื เลย ไมจดุ เทยี น เราก็เออ เปนคร้ังแรกท่ีอยู ๒ ตอ ๒ กับหลวงพอองคเดียว ปกติจะมีพระใน หนองปาพง ๗๐ องค มีเยอะ ชีก็ ๕๐ ญาติโยมเปนพัน ๆ ท่ีไหลเขา มา เปนครั้งแรก อยู ๒ ตอ ๒ กบั ทา น เรากาํ ลังจะนวดเทา ทาน ทีน้ี พระเร่ิมสวดมนตท่ีโบสถ โย โส ภควา โอโห! มันแบบมันเพราะ มาก และพระ ๗๐ รูป เสียงดัง เสียงลึก แหม อากาศก็กําลังเย็น และพระจันทรก็กําลังจะข้ึนเต็มดวง แหม เรามีความรูสึกวาเรา กําลังจะอยูกับพระอรหันตอยู กําลังถวายนวดแกพระอรหันต โอโห บญุ มาก อานิสงสมาก ฟง พระสวดถึงพุทธคุณ ธรรมคณุ สงั ฆคณุ โอ สุขหนอ สุขหนอ พอไดคิดสุขหนอ สุขหนอ นั้นนะ หลวงพอเอาเทา มาถีบหนาอกเลย หงายหลังเลย หัวฟาดกับพ้ืนน้ันนะ สะดุงเลยนนั้ นะ หลวงพอชี้หนาเลย ดูสิ ตอนเชา พระองคหนึ่งพูดอะไรไมถูกใจ จิตเปนอกุศล อีกองคหนึ่งพูดแค Good Morning ดีใจทั้งวัน อยาดี ใจอยา เสยี ใจกับคาํ พดู ของผอู ืน่ โอ! เรายกมอื ไหว นํ้าตาไหลออกมา มนั ถูกของทาน ทานรู ใจเราดีกวาเรารูใจตัวเอง เราก็ยังไมรูวาเราดีใจเสียใจกับคําพูดของ ผูอื่น เราหลงคําพูดของผูอ่ืน ทานยังโปรดเราดวย ต้ังใจโปรด พระ ตั้ง ๗๐ รูป เห็นวาพระฝร่ังหัวดื้ออยางนี้นะ เห็นกําลังตกนรกก็เลย ๙๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ พูด Good Morning ใหข้ึนสวรรค .. ข้ึนสวรรคแลว สอนเทวดา ไมไดหรอก ตองถีบลงมาถึงแผนดินถึงสอนได และทานก็รูนิสัย อาตมา ถาไมท ําอยา งนน้ั ก็คงจะลืม ถา หลวงพอพูด เออ ลกู เอย มนั อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยาไปหลงคําพูดของผูอ่ืน ลืมไปแลว ครูบา อาจารยเทศนกี่ครัง้ กี่คร้ัง ทีนี้นะ ลืมไปแลว ใชไ หม แตถาหลวงพอฝร่ังถีบเราละ จําได ไมลืม น่ี หลวงพอฝร่ัง ไมไดถีบเรา แตเ อาเร่อื งการถีบของหลวงพอ ฝรง่ั ใหฟ งวา หลวงพอชา เคยถีบเรา ใหจดจําไว อยาไปหลงความดีใจเสียใจกับคําพูดของ ผูอื่น เพราะเราหลงกันท้ังนั้นใชไหม - ใช ยอมรับ นี่แหละเปนการ หลงอารมณ นี่แหละ ครบู าอาจารยทานจะใชอุบายทีเ่ ปน ทางสาย ตรงท่ีจะสอนเราใหมาต้ังสติ ใหร ตู วั พรอ ม รเู ทา ทนั จติ ตลอดเวลา เพื่อดับทุกข เพื่อปลอยทุกข บางคร้ังทานจะมาเยี่ยมในหมูคณะที่ น่ังในศาลาโรงฉัน ศาลาโรงฉัน เวลาทานฉันดวย ทานเขามา ทาน จะเดินตามลําดับ ถามวา อา วันน้ีสบายดีไหม พระบางองคก็บอก วา ภาวนาดีหลวงพอ หลวงพอ ก็บอก ฮ้ึย! มันไมแ น ไปถงึ องคท ส่ี อง เปนยังไง การภาวนา ใจดี สบายดีไหม .. ไมเคยสบายหลวงพอ เฮอ จิตใจมันม่ัว .. ฮึ้ย! มันไมแน ถามองคที่สามวันนี้เปน ไง จิตใจเปนไง .. มันเฉย ๆ .. ฮึ้ย! มันไมแน ... ไมแนอีก เอ หลวงพอไปตามลาํ ดับ ๗๐ องค มนั ไมแนทงั้ นนั้ ละ เออ น่ีทานสอนความเปนจรงิ ดคู วาม ไมแนเปนหลักสัจธรรม ความทุกขเกิดข้ึนเพราะความไมแนนอน เราพ่ึงอาศัยอะไรไมได มันตองมีความเสื่อมเปนของธรรมดา ความดีใจ ความเสียใจ มันไมแน อยาไปหลงความดีใจ ความ เสยี ใจ อันนกี้ ็ไมแ น มีความเปลี่ยนแปลงนะ มีความเปลีย่ นแปลง ๙๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ ก็เลยนั้นละ เหมือนโยม เวลาแตงงานกัน เวลาแตงงาน อาตมาอยากจะใหมีประเพณีใหม เวลาแลกแหวนกันนะ ใหควรจะ แลกแหวนกัน ใหเขาไปจารึกไวในแหวนวา “สิ่งอันนี้จะ เปล่ียนแปลง” เวลาเราทุกขใจเรื่องสามี ใหเปดออกดู สิ่งอันน้ีจะ เปลี่ยนแปลง สามีทุกขใจเรื่องภรรยา ก็สิ่งอันน้ีจะเปลี่ยนแปลง ให น้ันนะ เปนตัวสอนนะ “อนิจจัง” ความไมแน ตัวนี้แหละ เปนตัว หลักปญญาที่เราจะตองฝก ทีนี้ มันจะไมเกิดดวยการลอยมา ไมได เกิดจากอินทรพรหมเทพเทวดา อนั น้ีแหละเกิดจากการระลึกบอยๆ การอบรมจิตใจบอย ๆ ไมใหหลงวา มันแนนอน ไมไดหลงวา โลกน้ี จะตามใจเรา เราก็ตองดทู กุ สง่ิ ทุกอยางมันไมแน ใหเ รามีความพอใจ กบั สิง่ ทม่ี ีอยูในปจจบุ ัน มโี ยมคนหนง่ึ ถามหลวงปู หลวงปูชา บอกวา หลวงพอ เฮอ มันเบอ่ื มันเบอื่ โลกมากเลย งานกน็ า เบื่อ ลูกนอ งก็ไม ทําตามเราบาง ทําผิดบาง คุมยากเหลือเกิน ไปบาน เขาบาน ก็เบ่ือ เหมือนกนั ลกู ก็ไมฟง ไมฟ ง พอ ภรรยากน็ าเบ่ือ ขีบ้ น อยูอยางน้ันละ โอ นาเบื่อ เพื่อนฝูงก็คุยแตเรื่องเกา เบื่อ เบ่ือโลกหมดเลยหลวงพอ .. หลวงพอก็เลยบอก เออ เด๋ียวจะสอนเรื่องจิตตภาวนา วิธีการนั่ง สมาธิใหสบาย ก็ตอบวา เคยน่ังสมาธิแลว พุทโธเหมือนกัน มันเบื่อ เบือ่ ภาวนานน้ั แหละ .. เปลา หลวงพอ จะสอนการภาวนาใหม อาว สอนยังไงหลวงพอ .. ใหภาวนา เวลากลับบาน เห็น ภรรยา ใหภาวนา พอแลว พอใจแลววว พอแลว พอใจแลววว สามคร้งั พอแลว พอใจแลว วว นะ ใหภาวนาเรื่อย ๆ เวลาเห็นลูก พอแลว พอใจแลววว เห็นบานเห็นชอง พอแลว พอใจแลววว อา นะ ไปท่ีทํางาน พอแลว พอใจแลววว ใหลองดู เขาก็ไป เขา กลับมาอีกเดือนหนึ่ง อาตมาก็เจอ เขามากราบหลวงพอ หนาเบิก ๙๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๑ เลม ที่ ๒ บานเลย เหมือนคนละคน เขาบอก โอ หลวงพอนั้นนะ การภาวนา น้ี พอแลว พอใจแลว วว เออ มันทําใหด ี แตก อนเรากม็ ีแตความไม พอใจ มันกไ็ มใ ชนิพพทิ าของพระพุทธเจา เปน โทสะอยูทไี่ มพอใจกับ ส่ิงท่ีมีอยู เพราะหลวงพอ ก็สอนอยูวา นี่ มันไมใช นิพพิทาของ พระพุทธเจานะ อันนั้น เปนกิเลสตัณหา มันไมพอใจ ถาไดภรรยา ใหม อาจจะ แหม แหม พอแลว เออ ถาไดเงิน ถูกลอตเตอรี่ที่ ๑ อาจจะพอใจอยู มันไมใช พระพุทธเจาจะใหเทาไร ใหอะไร ไมเอา แลว มันอิ่มแลว ก็เลย ความไมพอใจของเราเปนกิเลสตัณหา ไม นิพพิทาตามพระพุทธศาสนา เปนโทสะอยู ใหเราภาวนาพอแลว พอใจแลว เพื่อเกิดความเอิบอ่ิม ความพอใจกับสิ่งท่ีมีอยู ถาเราย่ิง สรางบุญสรางกุศลตอไป จิตก็ยิ่งสงบ นี่ ทานก็เลย เขาก็เลยไป ภาวนา กลับมา ยิ้มแยมแจมใสเบิกบาน นะ เพราะมันก็ระงับโทสะ อยู ระงับความไมพอใจกบั สิ่งที่มีอยู เรามองอะไรในทางที่มคี ุณ ไมม ี โทษ สิ่งอันนี้มันจะทําใหจิตสงบ จิตสงบ ทีน้ีการจะทําให จิตต- ภาวนา เออ พูดถึงไหน จะไป ๑๖.๓๐ แลว โอ อาจารยเทศนนาน ตองขออภัยทานเจาคุณนะ แหม กําลังเพลินอยู เห็นโยมมาน่ังเยอะ เลย มันก็เลยอดไมได อาว ก็เลย สรุป อา พระพุทธเจาจะใหเรา เจริญ เจริญท้ังชีวิตของเรา เจริญภาวนา ๔ ประการ กายภาวนา สีลภาวนา จิตตภาวนาและปญญาภาวนา – ปญญาภาวนาน้ี เพื่อ แกตัณหา แกอุปาทาน แกปญหาทั้งหลายท้ังปวงในทุกข เพ่ือดับ ทุกขท้ังหลายทั้งปวง เพ่ือพนจากวัฏจักร วัฏสงสาร เพื่อแกตัณหา ท้ังหมดใหมาถึงนิพพานได น่ีเราก็ตองใชปญญาแกปญหาในชีวิต พูดตอนิดหน่ึงวา เราบางคนก็เอาทุกขมาเลาใหฟงวามีอุปสรรค ๙๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ มากมายในชีวิตอยู อาตมาก็โยม อาว ไปสวดพาหุง รูจักสวดพาหุง ไหม บทพาหงุ นะ คําวา พาหงุ น้ัน พูดถงึ อุปสรรคท่สี ัมมาสัมพุทธเจา เจอในชีวิตของทาน ขนาดทานตรัสรูถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ไมใชวา ทานไมมีปญหาเรื่องโลก เทวทัตพยายามฆาหลายคร้ัง คนใสราย หลายคร้ัง เราก็มคี นมาพยายามฆาเรากี่ครงั้ ยงั .. แตทานแกปญหาโดยอรรถโดยธรรม โดยความดีงาม ความถูกตอง ความซื่อสัตยสุจริตอยู นี่แหละก็เลยเม่ือเรา เห็น พระพุทธเจาระงับปญหาท้ังหลายดวยอรรถดวยธรรม ดวยความดี งามความซ่ือสัตยสุจริตความถูกตอง พวกเราก็ใชเปนหลักเกณฑใน การแกปญหาในชีวิต เราก็จะไดระงับ ชีวิตน้ี เรื่องปญหาทั้งน้ัน รา งกายมคี วามเสื่อมไปเปนของธรรมดา กเ็ ลยมปี ญหาเพราะสังขาร มีความเสื่อม แตวาปลอยวางในสังขารท้ังหลายทั้งปวง นี่แหละ ความดบั ทุกขก เ็ กิดข้ึน ถาเราดบั มาก เรากจ็ ะไดส ขุ สบายมาก ถาเรา ดับไดท้ังหมด เราก็จะสุขสบายไดท้ังหมด ก็เลยขอใหพวกเรา ทั้งหลายใหเจริญในกรรมฐาน ในการภาวนาทั้ง ๔ ประเภท กาย ภาวนา สีลภาวนา จิตตภาวนาและปญญาภาวนา เพ่ือจะไดพน จากทุกขท้ังหลายท้ังปวง ก็ขอใหพวกเราตั้งอกตั้งใจทุกคนใหเจริญ บญุ บารมี และบญุ บารมที พ่ี วกเราท้ังหลายไดสรา งในวันน้ี ก็ขออุทิศ บุญกุศลน้ัน และก็บุญกุศลจากการแสดงธรรมในคร้ังนี้ แกเพื่อองค สมเด็จพระเจาอยูหัวรัชกาลที่ ๙ และ รัชกาลท่ี ๑๐ ใหทานไดรับ อานิสงส เปนเหตุปจจัย ใหไดอยูสุขอยูสบาย อยูในภพใดภูมิใด อยู ณ ที่ไหน ก็ขอใหเปนที่พึ่งที่อาศัยแกพวกเราท้ังหลาย และพวกเรา ทั้งหลายจะตั้งอกต้ังใจประพฤติปฏิบัติเปนเคร่ืองพุทธบูชา ธรรม ๙๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๑ เลม ท่ี ๒ บูชา สังฆบูชาตอไป ก็ไดแสดงธรรม ในโอกาสน้ีพอสมควรแกเวลา ขอยตุ ลิ งแตเพียงเทาน้ี ผฏุ ฐัสสะ โลกะธมั เมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกงั วิระชงั เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง จติ ของผใู ดถูกโลกธรรมกระทบแลว จิตไมห ว่ันไหว ไมเศราโศก มีจิตปราศจากกเิ ลสเพยี งดังธุลี มีจิตอันเกษมสาํ ราญ น้ีเปนอดุ มมงคล แกน ธรรมหลวงพอฟล ลิป ญาณธมั โม พระพุทธเจาใชคําวา “ภาวนา” ในแนวท่ี “ปรารถนาตนเอง ใหเจริญ” เพื่อเปาหมายอันดี อันงาม อันสุขสบาย ท่ีจะไดพน ทุกข การทําใหเ จริญ ทัง้ ทางโลก ทางธรรม กต็ องอาศยั การฝก การหัด การอบรมตนเอง การปฏิบัติพัฒนาตนเอง แยก ออกเปน ๔ ประการ – กายภาวนา สีลภาวนา จิตตภาวนา และปญ ญาภาวนา ขอที่ ๑ กายภาวนา ทําใหกายเจริญ เจริญดวยกริยามารยาท รูจักสูง รูจักตํ่า รูจักควร รูจักไมควร รูจักมารยาท รูจักสังคม พัฒนาใหเปนสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ เพ่ือทําใหกายเจริญ เพื่อ เขา สงั คมได เจรญิ ในทางทเ่ี ลี้ยงชวี ติ ของเรา ใหถกู ตองดงี าม พระพุทธเจาทานใหเรามีกายใหเปน “สัมมาอาชีโว” เล้ียง กายใหถกู ตอง ไมมโี ทษแกตนเอง ไมสรา งกรรมสรา งเวรแกตน และไมมีโทษแกผูอ่ืน ไมเบียดเบียนผูอื่น ก็ตองอาศัยความ ๙๖
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164