ยสฺส โข ปน (ปรมินฺทธมฺมิกมหาราชาธิราชวรสฺส)* สนฺตเกน ก ินทุสฺเสน, อมฺเหหิ ก ินํ อตฺถตํ. โส อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโต ว โหตุ อโรโค นิรุปทฺทโว. ธมฺมิกาย อาสาย ธมฺมกิ าย ปตถฺ นาย สมิทฺธึ ปาปุณาตุ. ตสฺส อโตปิ อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตตฺ ึ อาทิสาม, ตสฺสาปิ วฑุ ฺฒเิ ยว โหตุ มา ปรหิ าน.ิ ยสฺส โข ปน ปรเมนฺทมหามกุฏมหาราชาธิราชวรสฺส สํวิธาเนน, อมฺเหหิ ก นิ ตฺถาโร เอวํ อนุกริยติ. ตสฺสปิ มูลภูตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส, อิโต อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม. ชานมาโน โส มหาราชาธิราชวโร สยํ อนุโมทตุ. อชานมานสฺส ปน ตสฺส มหาราชาธริ าชวรสฺส อตฺถกามา เทวา นเิ วเทนฺตุ. นิเวทิโต โส มหาราชาธิราชวโร อนุโมทตุ. เตน สํวิธานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺ เ น, ตสฺสปิ มหาราชาธิราชวรสฺส วุฑฺฒิ เยว โหตุ. มา ปรหิ านีต.ิ * ระหว่างนี้ เปล่ียนตามพระนามของสมเดจ็ พระเจา้ แผ่นดนิ ปจั จบุ นั . ๑๕๐
คำสวดถวายพระราชกุศลสำหรบั กฐินหลวง ยสสฺ โข ปน, (ปรมินทฺ มหาภูมพิ ลอตุลเตชราชาธิราชวรสฺส), สนฺตเกน ก ินทุสฺเสน, อมฺเหหิ ก นิ ํ อตฺถตํ. โส อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺม- ปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโต ว โหตุ อโรโค นิรุปทฺทโว. ธมฺมิกาย อาสาย, ธมฺมิกาย ปตฺถนาย, สมิทฺธึ ปาปุณาตุ. ตสฺส อโิ ตปิ อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม, ตสฺสปิ วุฑฺฒิเยว โหตุ มา ปรหิ านตี .ิ คำสวดแผ่สว่ นกศุ ลสำหรบั กฐินราษฎร เยสํ โข ปน, ทายกานํ สนฺตเกน ก ินทสุ ฺเสน, อมฺเหหิ ก ินํ อตฺถตํ, เต อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโน ว โหนฺตุ อโรคา นิรุปทฺททา, ธมฺมิกาย อาสาย, ธมฺมิกาย ปตฺถนาย, สมิทฺธึ ปาปุณนฺตุ, เตสมิโตปิ อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม, เตสมฺปิ วุฑฒฺ เิ ยว โหตุ มา ปริหานีต.ิ ระหวา่ งน้ี เปลยี่ นตามพระนามสมเด็จพระเจา้ แผ่นดินปจั จบุ ัน. ๑๕๑
คำสวดถวายพระราชกุศลในรชั กาลที่ ๔ ยสฺส โข ปน, ปรเมนฺทมหามกุฏมหาราชาธิราชวรสฺส สํวิธาเนน, อมฺเหหิ ก ินตฺถาโร เอวํ อนุกริยติ. ตสฺสปิ มูลภูตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส, อิโต อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม. ชานมาโน โส มหาราชาธิราชวโร สยํ อนุโมทตุ. อชานมานสฺส ปน ตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส อตฺถกามา เทวา นิเวเทนฺตุ. นิเวทิโต โส มหาราชาธิราชวโร อนุโมทตุ. เตน สํวิธานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺ เ น, ตสฺสปิ มหาราชาธิราชวรสฺส วุฑฺฒิ เยว โหตุ. มา ปรหิ านตี .ิ จบคำมคธท่ีใช้สวดในท้ายแห่ง อนุญฺ าสิ โข เทา่ นี้. ๑๕๒
ปกิณณกะ คำพนิ ทุผ้า ภิกษุได้ผ้ามีจีวรเป็นต้นใหม่มา ก่อนจะใช้ต้องทำพินทุกัปปะก่อน ถ้า ไม่ทำท่านปรบั อาบัติปาจิตตีย์ การทำพินทุ คือการใชด้ ินสอ หรือสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดำคล้ำ อย่างใดอยา่ งหนึ่ง ทำจุดหรือวงกลมทีส่ ่วนใด สว่ นหนง่ึ ของผ้า เพื่อทำใหเ้ สียสีหรอื ให้จำได้ ในขณะท่ีทำจะเปล่งวาจาหรือ นึกในใจกไ็ ด้ คำพินทวุ ่าดังนี้ “อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ” คำอธิษฐาน บริขารท่ีใช้ประจำมีบาตรเป็นต้น ต้องอธิษฐาน คือการต้ังใจไว้ว่าจะ ใชเ้ ฉพาะบริขารส่งิ น้ีเท่าน้นั ไม่ใชบ้ รขิ ารอ่ืนนอกจากท่ีอธิษฐานไว้ วิธีปฏิบัติ มี ๒ อย่าง คอื ๑. อธิษฐานด้วยกาย เอามือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐาน แล้วทำ ความผกู ใจตามคำอธิษฐาน ๒. อธษิ ฐานดว้ ยวาจา กลา่ วคำอธิษฐาน ไม่ถกู ต้องบรขิ ารด้วยกาย คำ อธษิ ฐานว่าดังน้ี บาตร “อมิ ํ ปตตฺ ํ อธิฏฺ าม.ิ ” สงั ฆาฏิ “อมิ ํ สงฺฆาฏึ อธฏิ ฺ ามิ.” ๑๕๓
จวี ร “อมิ ํ จวี รํ อธฏิ ฺ ามิ.” สบง “อิมํ อนตฺ รวาสกํ อธิฏฺ ามิ.” ผ้าอาบนำ้ ฝน “อมิ ํ วสฺสิกสาฏกิ ํ อธิฏฺ าม.ิ ” ผ้าปนู ัง่ “อมิ ํ นิสที นํ อธิฏฺ าม.ิ ” ผ้าปนู อน “อมิ ํ ปจฺจตถฺ รณํ อธิฏฺ าม.ิ ” ถา้ บรขิ ารอยนู่ อกหตั ถบาส ใหเ้ ปลี่ยนบทว่า “อิมํ” เป็น “เอต”ํ เมื่อต้องการเปลี่ยนบริขารใหม่ ต้องถอนอธิษฐานหรือยกเลิกบริขาร เดิมก่อน การถอนอธิษฐานเรียกว่า ปัจจุทธรณ์ ยกเลิกบริขารใด ก็ระบุชื่อ บรขิ ารน้ัน เช่นยกเลิกบาตรว่าดงั นี้ “อิมํ ปตตฺ ํ ปจฺจุทธฺ รามิ.” คำวกิ ัป บรขิ ารมบี าตรและจวี รเปน็ ตน้ นอกจากที่ไดอ้ ธิษฐานไวเ้ รียกว่าอตเิ รก บาตร อติเรกจีวร เก็บเป็นสิทธ์ิไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน ถ้าเกินปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ และให้สละของนั้นเสีย หากต้องการจะเอาไว้ใช้ให้ทำ วิกัป การทำวิกัปคือการทำให้เป็นของ ๒ เจ้าของ ระหว่างตนกับภิกษุอ่ืน คำวกิ ัปว่าดงั น้ี บาตรใบเดยี ว “อิมํ ปตตฺ ํ ตุยหฺ ํ วกิ ปฺเปม.ิ ” บาตรหลายใบ “อเิ ม ปตเฺ ต ตุยหฺ ํ วกิ ปเฺ ปม.ิ ” จวี รผนื เดยี ว “อิมํ จีวรํ ตุยหฺ ํ วิกปเฺ ปม.ิ ” จวี รหลายผนื “อมิ านิ จีวรานิ ตยุ ฺหํ วกิ ปฺเปมิ.” ๑๕๔
บรขิ ารท่ีวกิ ปั ไวเ้ มื่อจะใช้สอย ตอ้ งขอใหผ้ ู้รับถอนวิกัปก่อน คำถอนว่า ดังน้ี จีวรผืนเดยี ว “อิมํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจจฺ ยํ วา กโรหิ.” จวี รหลายผนื “อิมานิ จีวรานิ มยฺหํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วสิ ชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรห.ิ ” คำเสียสละไตรจีวรล่วงราตรี ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้เพียงคืนเดียวก็ไม่ได้ ปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติให้เสียสละ ไตรจีวรนั้น คำเสียสละว่า ดงั นี้ ผนื เดยี วว่า “อิมํ เม ภนฺเต จีวรํ รตฺติวิปฺปวุตฺถํ อญฺ ตฺร ภิกฺขุสมฺมติยา นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ อายสฺมโต นสิ ฺสชชฺ าม.ิ ” สองผืนวา่ “ทวฺ จิ วี ร”ํ สามผนื วา่ “ตจิ วี รํ” คำคืนให้วา่ ดงั นี้ ผืนเดยี วว่า “อิมํ จีวรํ อายสมฺ โต ทมมฺ .ิ ” สองผนื ว่า “อิมานิ จวี รานิ อายสฺมโต ทมมฺ .ิ ” ถ้าผู้เสยี สละแกพ่ รรษากว่าผู้รบั ใหว้ า่ “อาวุโส” แทน “ภนเฺ ต” ๑๕๕
คำเสียสละอตเิ รกจีวรล่วง ๑๐ วัน ผนื เดยี ววา่ “อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคฺคิยํ, อมิ าหํ อายสฺมโต นิสสฺ ชชฺ าม.ิ ” หลายผืนว่า “อิมานิ เม ภนฺเต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสสฺ คฺคิยาน,ิ อมิ านาหํ อายสฺมโต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ” คำคืนใหว้ ่า ดงั น้ี ผืนเดียววา่ “อิมํ จวี รํ อายสฺมโต ทมมฺ ิ.” หลายผนื ว่า “อิมานิ จีวรานิ อายสฺมโต ทมฺม.ิ ” คำเสยี สละอตเิ รกบาตรล่วง ๑๐ วนั “อยํ เม ภนฺเต ปตฺโต ทสาหาติกฺกนฺโต นิสฺสคฺคิโย, อิมาหํ อายสฺมโต นสิ ฺสชฺชาม.ิ ” คำคืนให้ ว่าดังนี้ “อมิ ํ ปตตฺ ํ อายสฺมโต ทมฺมิ.” คำแสดงอาบตั ิ ผแู้ สดงพรรษาอ่อนกวา่ :- “อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา (---) อาปตตฺ ิโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ.” ผรู้ ับ “ปสสฺ สิ อาวโุ ส.” ผูแ้ สดง “อาม ภนฺเต ปสฺสาม.ิ ” ๑๕๖
ผ้รู บั “อายตึ อาวุโส สวํ เรยฺยาส.ิ ” ผู้แสดง “สาธุ สฏุ ฐฺ ุ ภนเฺ ต สํวรสิ สฺ ามิ.” (๓ หน) ผูแ้ สดงพรรษาแกก่ ว่า :- “อหํ อาวุโส สมฺพหุลา (---) อาปตฺติโย อาปนโฺ น ตา ปฏิเทเสมิ.” ผู้รับ “ปสฺสถ ภนฺเต.” ผู้แสดง “อาม อาวุโส ปสฺสามิ.” ผูร้ ับ “อายตึ ภนฺเต สวํ เรยฺยาถ.” ผแู้ สดง “สาธุ สุฏฐฺ ุ อาวโุ ส สวํ ริสสฺ ามิ.” (๓ หน) ในวงเลบ็ ใหใ้ ส่ชอื่ อาบัตติ ามลำดบั ดังน้ี - นานาวตฺถุกาโย ถุลลฺ จจฺ ยาโย - นานาวตฺถกุ าโย ปาจติ ฺติยาโย - นานาวตถฺ กุ าโย ทกุ กฺ ฏาโย - ทพุ ภฺ าสิตาโย คำขอนิสัย ภิกษุมีพรรษาต่ำกว่า ๕ จัดเป็นนวกะผู้ใหม่ ต้องถือนิสัย การถือนิสัย คือการขออยู่อาศัยพึ่งพิงท่าน ยอมอยู่ในปกครอง ยอมรับโอวาท ยอมให้ ทา่ นว่ากล่าวตักเตอื น ๑๕๗
ตามปกติผู้บวชใหม่ถือนิสัยจากพระอุปัชฌาย์ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสำนัก ของพระอุปัชฌาย์ ก็ให้ถือนิสัยในภิกษุรูปใดรูปหน่ึง ผู้ถึงพร้อมด้วย คณุ สมบัติ มีทรงธรรม ทรงวินัย เป็นตน้ อน่ึง ภิกษุเดินทางไปแรมคืนท่ีอ่ืน ถือว่านิสัยขาด กลับมาต้องขอนิสัย ใหม่ คำขอนสิ ยั จากพระอุปชั ฌาย์ “อุปชฌฺ าโย เม ภนเฺ ต โหหิ.” คำขอนิสยั จากอาจารย์ “อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสสฺ าย วจฺฉาม.ิ ” เมอ่ื พระอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ยอมรบั ด้วยคำวา่ “โอปายิกํ” “ปฏริ ูปํ” “ปาสาทิเกน สมฺปาเทหิ” ผู้ขอพึงรับว่า “สาธุ ภนเฺ ต”ๆ แล้วกลา่ วรบั เปน็ ธรุ ะให้ท่านสืบไปว่า “อชฺชตคฺเคทานิ เถโร มยฺหํ ภาโร, อหมฺปิ เถรสฺส ภาโร” คำอปโลกน์แจกภตั ร ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนตฺ .ิ (๓ หน) หรือ ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค เถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อวเสสานํ ภิกฺขุสามเณรานํ ปาปุณนฺตุ, ยถาสุขํ ปริภญุ ฺชนตฺ ุ. (๓ หน) หรอื ๑๕๘
ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค เถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนฺตุ, ภิกฺขู จ สามเณรา จ ยถาสุขํ ปรภิ ุญชฺ นตฺ ุ. (๓ หน) การทำกัปปิยะ มีพระบัญญัติห้ามฉันผลไม้ที่มีพืช คือสามารถที่จะงอกได้ หากจะฉัน ให้เอาพืชหรือเมล็ดออกเสียก่อน มีพระพุทธานุญาตไว้ว่า เราตถาคต อนุญาตใหบ้ ริโภคผลไม้ ด้วยสมณกปั ปกรรมทค่ี วรแกส่ มณะ ๕ คือ ๑. ผลจดดว้ ยไฟ ๒. ผลจดด้วยศัสตรา ๓. ผลจดดว้ ยเลบ็ ๔. ผลไม้ไม่มีพชื ๕. ผลมีพชื จะพึงปลอ้ นเสยี ได้ พืชมีรากไม้เป็นต้น ท่ีเกิดอยู่กับที่ ช่ือว่า ภูตคาม เป็นวัตถุแห่ง ปาจิตตยี ์ เมื่อพรากใหพ้ ้นจากทีแ่ ล้ว ชอื่ ว่า พชี คาม เป็นวัตถแุ หง่ ทุกกฏ พีชคามน้ัน เม่ือจะบริโภคให้สั่งบังคับอนุปสัมบันว่า “กปฺปิยํ กโรหิ” (ท่านจงทำกัปปิยะ) ดังน้ี แล้วจึงบริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้ ช่ือว่าให้พ้นจาก พีชคาม การใช้ไฟ หรือศัสตรา หรือเล็บ จดแทง หรือตัดผลไม้ หรือพีชคาม นี้เรยี กวา่ “ทำกปั ปิ” หรือ “ทำกัปปยิ ะ” ๑๕๙
ในทางปฏิบัติ เม่ือภิกษุพูดว่า “กปฺปิยํ กโรหิ” อบุ าสก หรืออุบาสิกา มกั ใชเ้ ลบ็ จิกหรอื เดด็ พชื ให้ขาด พร้อมกล่าวคำว่า “กปปฺ ยิ ํ ภนฺเต” กาลกิ กาลิก คือของท่ีภิกษุจะฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกออกเป็น ๔ อย่างคอื ๑. ยาวกาลิก ของที่อนุญาตให้ฉันได้ตั้งแต่เช้าถึงเท่ียงมี ๕ ชนิด คือ ข้าว ขนมสด ขนมแหง้ ปลา เน้ือ รวมถึงจำพวกผลไม้ด้วย ๒. ยามกาลิก ของท่ีอนุญาตให้ฉันได้ช่ัวระยะเวลาวันหนึ่งกับคืนหน่ึง คือก่อนอรุณของวันใหม่ ได้แก่ของจำพวกน้ำผลไม้ ที่เรียกว่า น้ำปานะ ทำ ด้วยผลไม้ ๘ ชนิด คอื (๑) นำ้ มะมว่ ง (๒) น้ำชมพู่หรือน้ำหวา้ (๓) น้ำกลว้ ยมีเมล็ด (๔) น้ำกลว้ ยไมม่ ีเมล็ด (๕) นำ้ มะซาง (๖) น้ำลกู จนั ทรห์ รือองุ่น (๗) น้ำเหงา้ อุบล (๘) น้ำมะปรางหรือล้นิ จี่ ปานะนี้ ให้ใช้ของสดทำ ห้ามมิให้ต้มด้วยไฟ เป็นของที่อนุปสัมบันทำ จงึ ควรในวิกาล ถา้ ภกิ ษทุ ำมคี ติอย่างยาวกาลิก เพราะรบั ประเคนทงั้ ผล ๓. สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคน เก็บไว้ฉันได้ไม่เกิน ๗ วัน ได้แก่ ของที่เปน็ เภสัชทั้ง ๕ คอื เนยใส เนยขน้ นำ้ มัน นำ้ ผง้ึ และน้ำอ้อย ๑๖๐
๔. ยาวชีวิก ของท่ีอนุญาตให้ใช้ได้ตลอดชีวิต เพ่ือประกอบยา รบั ประทาน มรี ากไม้ นำ้ ฝาด ใบไม้ ผลไม้ (ที่เป็นยา) ยางไม้ และเกลือ เป็น ตน้ กาลิก ทั้ง ๔ อย่างนี้ ถ้าระคนกัน ให้ถือเอาตามกาลิกที่มีอายุส้ันท่ีสุด เปน็ เกณฑ์ คำอธษิ ฐานจำพรรษา วา่ พร้อมกัน “อมิ สฺมึ อาวาเส, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปม.” วา่ ทลี ะรูป “อมิ สฺมึ อาวาเส, อมิ ํ เตมาส,ํ วสฺสํ อุเปมิ.” ถ้ากำหนดเฉพาะกุฏิกับบริเวณเป็นเขตจำพรรษา พึงอธิษฐาน ดังนี้ “อิมสฺมึ วหิ าเร, อมิ ํ เตมาส,ํ วสสฺ ํ อุเปมิ.” คำปวารณา สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ, ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนตฺ ุ มํ อายสมฺ นฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนโฺ ต ปฏกิ ฺกรสิ ฺสามิ. ทุติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ, ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกกฺ รสิ สฺ ามิ. ๑๖๑
ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ , ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏกิ ฺกรสิ สฺ าม.ิ คำขอขมา ผขู้ อหลายรูปพงึ ว่า ดังน้ี ผขู้ อวา่ “เถเร ปมาเทน, ทฺวารตฺตเยน กตํ, สพฺพํ อปราธํ ขมตุ โน ภนเฺ ต.” ผู้รบั วา่ “อหํ ขมามิ ตุมเฺ หหิปิ เม ขมิตพฺพ.ํ ” ผู้ขอวา่ “ขมาม ภนฺเต.” รปู เดียวพงึ ว่า ดงั น้ี ผขู้ อวา่ “เถเร ปมาเทน, ทฺวารตฺตเยน กตํ, สพฺพํ อปราธํ ขมตุ เม ภนฺเต.” ผู้รับว่า “อหํ ขมามิ ตยาปิ เม ขมติ พฺพ.ํ ” ผขู้ อว่า “ขมามิ ภนเฺ ต.” ถ้าผู้รับขมาเป็นพระมหาเถระผู้มีอาวุโสมากให้ใช้ว่า “มหาเถเร” ถ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ ใช้คำว่า “อุปชฺฌ าเย” เป็นอาจารย์ให้ใช้คำว่า “อาจรเิ ย” นอกน้ันใช้คำวา่ “อายสฺมนฺเต” ตามความเหมาะสม ๑๖๒
คำใหพ้ รเมอ่ื มผี ู้ขอขมา เอวํ โหตุ, เอวํ โหตุ, เอวํ โหต.ุ โย จ ปุพฺเพ ปมชชฺ ิตฺวา ปจฺฉา โส นปปฺ มชฺชติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโต ว จนฺทิมา. ยสสฺ ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปหยี ติ, โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มุตโฺ ต ว จนฺทิมา. อภิวาทนสลี สิ ฺส นจิ ฺจํ วฑุ ฒฺ าปจายิโน, จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนตฺ ิ อายุ วณฺโณ สุขํ พล.ํ คำขอโอกาส เป็นธรรมเนียมท่ีดีของภิกษุ ก่อนแสดงธรรมหรือสวดปาฏิโมกข์ ต้อง ขอโอกาสจากพระเถระในท่ปี ระชุมน้ันก่อน คำขอโอกาสว่าดังนี้ ขอโอกาสแสดงปาฏิโมกข์ “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ปาฏิโมกฺขํ อทุ เฺ ทสิตุ.ํ ” หรือ “โอกาสํ เม ภนเฺ ต เถโร เทตุ, วนิ ยกถํ กเถต.ํุ ” ขอโอกาสแสดงธรรม “โอกาสํ เม ภนเฺ ต เถโร เทตุ, ธมมฺ ํ เทสติ ุํ.” ขอโอกาสอ่านธรรมานุศาสน์ “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ธมฺมกถํ กเถต.ํุ ” ขอโอกาสอ่านวินยั “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, วินยกถํ กเถตุํ.” ขอโอกาสอ่านธรรมานุศาสน์และวินัย “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ธมฺมวินยกถํ กเถตุ.ํ ” ๑๖๓
คำกล่าวหลังจบการอ่านธรรมวินัย “อยํ ธมฺมวินยกถา มยา เทสิตา, สาธายสมฺ นเฺ ตหิ สลลฺ กฺเขตพพฺ า.” ๑๖๔
แบบบอกศักราช แบบที่ ๑ ใช้ตัง้ แต่วันวสิ าขบูชา จนถึงวันท่ี ๓๑ ธนั วาคม ตัวอย่าง วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ (ซ่ึงเป็นวัน วิสาขบชู า) อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ปรินิพฺพานโต ปฏฺ าย, เอกวีสติสํวจฺฉรุตฺตรปญฺจสตาธิกานิ, เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ, ปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน, เวสาขมาสสฺส เอกวีสติมํ ทินํ, วารวเสน ปน รวิวาโร โหติ, เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา, สาสนายกุ าลคณนา สลลฺ กฺเขตพพฺ า. ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ล่วงแล้ว ๒๕๒๑ พรรษา ปัจจุบันสมัย พ ฤษ ภ าคมมาส สุรทินท่ี ๒๑ อาทิตยวาร พระพทุ ธศาสนายุกาล นับจำเดิมแต่ปรนิ ิพพาน แหง่ พระองค์สมเดจ็ พระผูม้ ี พระภาคเจา้ นัน้ มนี ยั อนั จะพึงกำหนดนับ ดว้ ยประการฉะน้.ี อโิ ต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพ. เบื้องหน้าแต่นี้ พึงต้ังสมันนาหารจิต สดับธรรมภาษิต ดังจะได้แสดง ตอ่ ไป โดยเคารพ เทอญ. ขัดย่อจากหนังสอื สวดมนตฉ์ บับหลวง ของสมเด็จพระสังฆราช (ปสุ สฺ เทวมหาเถร) . ๑๖๕
แบบที่ ๒ ใชต้ งั้ แตว่ ันที่ ๑ มกราคม จนถงึ วันขึน้ ๑๔ ค่ำ เดือนที่ทำวสิ าขบูชา ตวั อย่าง วนั จนั ทร์ ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ปรินิพพานโต ปฏฺ าย, ทฺวาวีสติสํวจฺฉรุตฺตรปญฺจสตาธิกานิ, เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ ปวตฺตมานานิ, ปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน ปุสฺสมาสสฺส ป มํ ทินํ, วารวเสน ปน จนฺทวาโร โหติ. เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา สาสนายกุ าลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา. ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดน้ีเป็นไปอยู่ ๒๕๒๒ พรรษา ปัจจุบันสมัยมกราคมมาส สุรทินที่ ๑ จันทรวาร พระพทุ ธศาสนายุกาล นับจำเดิมแต่ปรินิพพาน แหง่ พระองค์สมเดจ็ พระผู้มี พระภาคเจ้านนั้ มีนัยอนั จะพึงกำหนดนบั ด้วยประการฉะน.้ี อโิ ต ปรํ สกกฺ จจฺ ํ ธมฺโม โสตพฺโพ. เบื้องหน้าแต่น้ี พึงต้ังสมันนาหารจิต สดับธรรมภาษิต ดังจะได้แสดง ต่อไป โดยเคารพ เทอญ. เฉพาะพิธีวิสาขบูชาและพิธีมาฆบูชา เทศน์กัณฑ์แรกสำหรับวัดบวร นิเวศวิหาร เรียกว่า กัณฑ์ศักราช ใช้บอกศักราชว่า อิทานิ ตสฺส ภควโต ฯเปฯ สาสนายุกาลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา. แปลตอนน้ีจบแล้ว (ไม่ต้ัง นโม) เร่ิมเทศน์ปรารภพระพุทธคุณ เป็นต้น และความสำคัญเก่ียวกับวัน น้ัน จบแล้วจึงว่า อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพ. แปลตอนน้ีจบแล้ว จึง ๑๖๖
ลงจากธรรมาสน์. พระรูปอื่นก็ข้ึนธรรมาสน์ ต้ัง นโม ฯเปฯ สมฺพุทฺธสฺส. และต้งั บาลนี ิเขปบทแล้วเทศน์ตอ่ ไป. การเปลยี่ น พ.ศ. ตัวอยา่ ง พ.ศ. ๒๕๒๓ วา่ เตวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๔ ว่า จตุวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๕ วา่ ปญฺจวสี ติ พ.ศ. ๒๕๒๖ ว่า ฉพพฺ สี ติ พ.ศ. ๒๕๒๗ ว่า สตฺตวสี ติ พ.ศ. ๒๕๒๘ วา่ อฏฺ วีสติ พ.ศ. ๒๕๒๙ วา่ เอกูนตึส พ.ศ. ๒๕๓๐ วา่ ตสึ พ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า เอกตตฺ ึส พ.ศ. ๒๕๓๒ ว่า ทฺวตฺตสึ พ.ศ. ๒๕๓๓ ว่า เตตตฺ ึส การเปล่ียนเดือน ตามประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ ให้เปล่ียนตามทาง สุริยคติ ดงั ตอ่ ไปนี้ เดอื นมกราคม ใชศ้ พั ท์มคธวา่ ปสุ ฺสมาส. เดือนกุมภาพันธ์ ใช้ศพั ท์มคธวา่ มาฆมาส. เดอื นมนี าคม ใช้ศัพทม์ คธวา่ ผคคฺ ณุ มาส. เดอื นเมษายน ใช้ศัพท์มคธว่า จติ ฺตมาส. เดอื นพฤษภาคม ใช้ศพั ทม์ คธวา่ เวสาขมาส. ๑๖๗
เดอื นมิถุนายน ใช้ศพั ท์มคธว่า เชฏฺ มาส. เดอื นกรกฎาคม ใช้ศัพทม์ คธวา่ อาสาฬหฺ มาส. เดอื นสงิ หาคม ใช้ศพั ทม์ คธวา่ สาวณมาส. เดอื นกนั ยายน ใช้ศพั ทม์ คธวา่ โปฏฺ ปทมาส. เดอื นตลุ าคม ใช้ศพั ทม์ คธวา่ อสฺสยชุ มาส. เดอื นพฤศจกิ ายน ใชศ้ พั ทม์ คธว่า กตฺติกมาส. เดือนธนั วาคม ใชศ้ ัพทม์ คธวา่ มิคสิรมาส. การเปลี่ยนวันท่ี วนั ท่ี ๑ ว่า ป มํ วนั ที่ ๒ วา่ ทตุ ิยํ วันที่ ๓ ว่า ตติยํ วนั ที่ ๔ วา่ จตุตฺถํ วนั ที่ ๕ ว่า ปญจฺ มํ วันท่ี ๖ ว่า ฉฏฺ ํ วันที่ ๗ ว่า สตตฺ มํ วันที่ ๘ ว่า อฏฺ มํ วันท่ี ๙ วา่ นวมํ วันที่ ๑๐ วา่ ทสมํ วนั ท่ี ๑๑ ว่า เอกาทสมํ วันท่ี ๑๒ ว่า ทวฺ าทสมํ วนั ท่ี ๑๓ วา่ เตรสมํ วันท่ี ๑๔ ว่า จตทุ ฺทสมํ วันท่ี ๑๕ ว่า ปณณฺ รสมํ วันท่ี ๑๖ ว่า โสฬสมํ วันที่ ๑๗ ว่า สตฺตรสมํ วนั ที่ ๑๘ วา่ อฏฺ ารสมํ วันท่ี ๑๙ วา่ เอกนู วีสตมิ ํ วันที่ ๒๐ วา่ วีสติมํ วันท่ี ๒๑ วา่ เอกวีสตมิ ํ วนั ท่ี ๒๒ วา่ ทฺวาวสี ตมิ ํ วันท่ี ๒๓ ว่า เตวสี ตมิ ํ วนั ที่ ๒๔ วา่ จตุพฺพีสตมิ ํ ๑๖๘
วนั ท่ี ๒๕ ว่า ปญฺจวสี ตมิ ํ วันท่ี ๒๖ วา่ ฉพพฺ ีสติมํ วนั ที่ ๒๗ วา่ สตตฺ วีสติมํ วนั ท่ี ๒๘ วา่ อฏฺ วีสตมิ ํ วันที่ ๒๙ ว่า เอกนู วสี ติมํ วันท่ี ๓๐ วา่ ตึสตมิ ํ วันท่ี ๓๑ ว่า เอกตฺตึสมํ การเปลีย่ นวัน วันอาทติ ย์ ว่า รวิวาโร วนั จนั ทร์ ว่า จนทฺ วาโร วนั องั คาร ว่า ภุมฺมวาโร วนั พุธ วา่ วุธวาโร วนั พฤหสั บดี ว่า ครวุ าโร หรือ ว่า วหปฺปติวาโร วันศุกร์ วา่ สกุ ฺรวาโร วันเสาร์ วา่ โสรวาโร ๑๖๙
กฐนิ คำอปโลกนก์ ฐิน รปู ท่ี ๑ อิทานิ โข อาวุโส, (หรือ อิทานิ โข ภนฺเต) อิทํ สปริวารํ ก ินทุสฺสํ สงฺฆสฺส ก ินตฺถารารหกาเลเยว อุปฺปนฺนํ, อีทิเส จ กาเล เอวํ อุปฺปนฺเนน ทุสฺเสน ก ินตฺถาโร วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ ภควตา อนุญฺ าโต, เยน อากงฺขมานสฺส สงฺฆสฺส ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺติ. อนามนฺตจาโร อสมาทานจาโร คณโภชนํ ยาวทตฺถจีวรํ, โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท โส เนสํ ภวิสฺสติ. จตูสุปิ เหมนฺติเกสุ มาเสสุ จีวรกาโล มหนฺตีกโต ภวิสฺสติ. อิทานิ ปน สงฺโฆ อากงฺขติ นุ โข ก นิ ตฺถารํ, อุทาหุ นากงขฺ ต.ิ สงฆ์ท้ังปวงรบั ว่า “อากงฺขาม ภนเฺ ต” รูปที่ ๒ โส โข ปน ภนฺเต ก นิ ตฺถาโร, ภควตา ปุคฺคลสฺส อตฺถาร- วเสเนว อนุญฺ าโต, นาญฺ ตฺร ปุคฺคลสฺส อตฺถารา อตฺถตํ โหติ ก ินนฺติ หิ วุตฺตํ ภควตา. น สงฺโฆ วา คโณ วา ก นิ ํ อตฺถรติ. สงฺฆสฺส จ คณสฺส จ สามคฺคิยา ปุคฺคลสฺเสว อตฺถารา, สงฺฆสฺสปิ คณสฺสปิ ตสฺเสว ปุคฺคลสฺสปิ อตฺถตํ โหติ ก ินํ. อิทานิ กสฺสิมํ ก นิ ทุสฺสํ ทสฺสาม ก นิ ํ อตฺถริตุ,ํ โย ชิณฺณจีวโร วา ทุพฺพลจีวโร ๑๗๐
วา, โย วา ปน อุสฺสหิสฺสติ อชฺเชว จีวรกมฺมํ นิฏฺ าเปตฺวา, สพฺพ- วธิ านํ อปริหาเปตฺวา ก นิ ํ อตถฺ ริตุํ, สมตฺโถ ภวสิ สฺ ติ. สงฆ์ทั้งปวงพึงนิ่งอยู่ รูปที่ ๓ อิธ อมฺเหสุ อายสฺมา (อิตฺถนฺนาโม), สพฺพมหลฺลโก พหุสฺสุโต ธมฺมธโร วินยธโร, สพฺรหฺมจารีนํ สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุตฺเตชโก สมฺปหํสโก, พหุนฺนํ อาจริโย วา (อุปชฺฌาโย* วา) หุตฺวา โอวาทโก อนุสาสโก, สมตฺโถ จ ตํ ตํ วินยกมฺมํ อวิโกเปตฺวา ก นิ ํ อตฺถริตุํ. มญฺ ามหเมวํ สพฺโพยํ สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ ก นิ ทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทาตุกาโม. ตสฺมึ ก นิ ํ อตฺถรนฺเต, สพฺโพยํ สงฺโฆ สมฺมเทว อนุโมทิสฺสติ. อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) อิมํ สปริวารํ ก ินทุสสฺ ํ ทาตุ,ํ รจุ จฺ ติ วา โน วา สพฺพสฺสิมสฺส สงฆฺ สฺส. สงฆ์ทั้งปวงพึงรับว่า “รจุ จฺ ติ ภนเฺ ต.” รูปที่ ๔ ยทิ อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส), อิมํ สปริวารํ ก นิ ทุสฺสํ ทาตุํ, สพฺพสฺสิมสฺส สงฺฆสฺส รุจฺจติ, สาธุ ภนฺเต สงฺโฆ, อิมํ ก นิ ทุสฺส- ปริวารภูตํ ติจีวรํ วสฺสาวาสิกฏฺ ิติกาย อคาเหตฺวา, อายสฺมโต * ถา้ เป็นอาจารย์อย่างเดยี วให้ตดั คำวา่ อปุ ชฺฌาโย วา ออกเสีย. ๑๗๑
(อิตฺถนฺนามสฺส) อิมินา อปโลกเนน ททาตุ. ก นิ ทุสฺสํ ปน อปโลกเนน ทิยฺยมานํปิ น รูหติ. ตสฺมา ตํ อิทานิ ตฺติทุติเยน กมฺเมน อกุปฺเปน านารเหน, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) เทมาติ, กมมฺ สนนฺ ิฏฺ านํ กโรตุ. สงฆท์ ้งั ปวงพงึ รบั วา่ “สาธุ ภนฺเต.” ตฺตทิ ตุ ยิ กมฺมวาจา (นโม ๕ ชนั้ ) นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทธฺ สสฺ นโม ตสฺส, ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทธฺ สสฺ , นโม ตสฺส ภควโต, อรหโต สมมฺ า-, สมพฺ ทุ ฺธสฺส. สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ. อิทํ สงฆฺ สฺส ก ินทุสฺสํ อุปปฺ นฺนํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สงฺโฆ อิมํ ก นิ ทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทเทยฺย, ก ินํ อตฺถรติ ุํ เอสา ตฺต.ิ สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ. อิทํ สงฺฆสฺส ก ินทุสฺสํ อุปฺปนฺนํ, สงโฺ ฆ อิมํ ก ินทสุ สฺ ํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) เทติ, ก นิ ํ อตถฺ รติ ํ.ุ ยสฺสายสฺมโต ขมติ, อิมสฺส ก นิ ทุสฺสสฺส, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทานํ ก นิ ํ อตฺถริตุํ, โส ตุณฺหสฺส. ยสฺส น ขมติ, โส ภาเสยฺย. ๑๗๒
ทินฺนํ อิทํ สงฺเฆน ก ินทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ก นิ ํ อตฺถริตุํ. ขมติ สงฆฺ สสฺ , ตสมฺ า ตณุ หฺ ี, เอวเมตํ ธารยามิ. คำกรานกฐิน ถา้ กรานดว้ ยผ้าสงั ฆาฏิ ว่า “อมิ าย สงฺฆาฏยิ า ก ินํ อตฺถรามิ.” ถา้ กรานดว้ ยผา้ จีวร วา่ “อิมินา อตุ ตฺ ราสงฺเคน ก ินํ อตฺถราม.ิ ” ถา้ กรานดว้ ยผ้าสบง วา่ “อมิ ินา อนตฺ รวาสเกน ก ินํ อตฺถรามิ.” คำเสนออนโุ มทนากฐนิ อตถฺ ตํ อาวุโส สงฺฆสสฺ ก นิ ,ํ ธมฺมโิ ก ก นิ ตฺถาโร อนุโมทถ. ถา้ วา่ พร้อมกันว่า คำอนุโมทนากฐิน ถา้ ว่าทลี ะรูปวา่ “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส ก นิ ํ, ธมฺมิโก ก ินตถฺ าโร อนุโมทาม.” “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส ก นิ ํ, ธมฺมิโก ก ินตถฺ าโร อนโุ มทามิ.” ๑๗๓
“สกิ ขฺ ํ ปจฺจกขฺ าม.ิ ” คำลาสกิ ขา “คิหีติ มํ ธาเรถ.” ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ขอท่านทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ข้าพเจ้าเป็น คฤหสั ถ์ (๓ ครัง้ ) คำแสดงตนเป็นอุบาสก เอสาหํ ภนฺเต, สุจิรปรินิพฺพุตมฺปิ, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ, อุปาสกํ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ, อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํ. การลาสิกขา (๑) กราบลาและขอขมาพระอุปชั ฌาย์และอาจารย์ (หน้า ๑๖๒) (๒) แสดงอาบัติ (หนา้ ๑๕๖) (๓) ว่าบท “อตีตปจฺจเวกขณปาโ ” (หน้า ๑๗) (๔) กล่าวคำลาสกิ ขา (หนา้ ๑๗๔) (๕) กล่าวคำแสดงตนเปน็ อบุ าสก (หนา้ ๑๗๔) (๖) สมาทานนจิ ศีล (หน้า ๑๘๐) (๗) กรวดนำ้ -รับพร (หน้า ๑๑๑) (๘) รบั นำ้ พระพทุ ธมนต์ ๑๗๔
คำอาราธนาและคำถวายทานต่าง ๆ คำอาราธนาศีล ๕ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญจฺ สลี านิ ยาจาม. ทุตยิ มปฺ ิ มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห ปญฺจ สลี านิ ยาจาม. ตตยิ มฺปิ มยํ ภนเฺ ต ติสรเณน สห ปญจฺ สีลานิ ยาจาม. คำอาราธนาศลี ๕ อกี แบบหน่ึง มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. ทตุ ิยมฺปิ มยํ ภนฺเต วสิ ุํ วิสุํ รกฺขณตถฺ าย ติสรเณน สห ปญฺจ สลี านิ ยาจาม. ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. คำประกาศองคอ์ ุโบสถ อชฺช โภนฺโต ปกฺขสฺส อฏฺ มีทิวโส (ปณฺณรสีทิวโส, จาตุทฺทสี- ทิวโส) เอวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส, พุทฺเธน ภควตา ปญฺ ตฺตสฺส ธมฺมสฺสวนสฺส เจว ตทตฺถาย อุปาสกอุปาสิกานํ อุโปสถสฺส จ กาโล ๑๗๕
โหติ, หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมา- นุธมฺมปฏิปตฺติยา ปูชนตฺถาย อิมญฺจ รตฺตึ อิมญฺจ ทิวสํ อฏฺ งฺค- สมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิสฺสามาติ กาลปริจฺเฉทํ กตฺวา ตํ ตํ เวรมณึ อารมฺมณํ กริตฺวา อาวิกฺขิตฺตจิตฺตา หุตฺวา สกฺกจฺจํ อุโปสถํ สมาทิเยยฺยาม อีทิสํ หิ อุโปสถํ สมฺปตฺตานํ อมฺหากํ ชีวิตํ มา นริ ตถฺ กํ โหต.ุ คำแปล ขอประกาศเรมิ่ เร่ืองความท่จี ะสมาทานรักษาอุโบสถ อันพร้อมไปด้วย องค์ ๘ ประการ ให้สาธุชนที่ได้ต้ังจิตสมาทานทราบท่ัวกันก่อนแต่สมาทาน ณ บัดน้ี ด้วยวนั นี้เป็นวันอัฏฐะมี ดิถที ่แี ปด (ถา้ เป็นวันพระ ๑๕ คำ่ ว่า “วัน ปณั ณะระดิถีท่ีสิบห้า”, วันพระ ๑๔ ค่ำ ว่า “วันจาตุททะดิถที ่ีสบิ สี่”) แห่ง ปกั ษ์มาถงึ แล้ว ก็แหละวันเช่นนี้ เป็นกาลท่ีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติ แต่งต้ังไว้ให้ประชุมกันฟังธรรม และเป็นกาลท่ีจะรักษาอุโบสถ ของอุบาสก อุบาสิกาท้ังหลาย เพื่อประโยชน์แก่การฟังธรรมนั้นด้วย เชิญเถิดเรา ทง้ั หลายท้งั ปวง ที่ไดม้ าประชุมพรอ้ มกนั ณ ทนี่ ี้ พึงกำหนดกาลว่า จะรักษา อุโบสถตลอดวันหน่ึง กับคืนหน่ึงน้ี แล้วพึงทำความเว้นจากโทษนั้น ๆ ให้ เปน็ อารมณ์ คือ - เว้นจากฆา่ สตั ว์ ๑ ๑๗๖
- เวน้ จากการถอื เอาสิ่งทขี่ องเจา้ ของเขาไม่ให้ ๑ - เว้นจากประพฤติกรรมทเ่ี ป็นข้าศกึ แก่พรหมจรรย์ ๑ - เว้นจากเจรจาคำเท็จลอ่ ลวงผู้อน่ื ๑ - เวน้ จากดืม่ สุราเมรยั อนั เป็นทีต่ ัง้ แหง่ ความประมาท ๑ - เว้นจากบริโภคอาหาร ต้ังแต่เวลาพระอาทิตย์เท่ียงแล้ว ไปจนถึง เวลาอรณุ ขนึ้ มาใหม่ ๑ - เว้นจากฟ้อนรำขับร้องและประโคมเคร่ืองดนตรีต่าง ๆ แต่บรรดาท่ี เป็นข้าศึกแก่บุญกุศลท้ังส้ิน และทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เคร่ืองประดับเคร่ืองทาเครื่องย้อม ผัดผิวทำกายให้วิจิตรงดงาม ต่าง ๆ อนั เป็นเหตทุ ี่ตัง้ แหง่ ความกำหนัดยนิ ดี ๑ - เว้นจากน่ังนอนเหนือเตียง ตั่ง ม้า ที่มีเท้าสูงเกนิ ประมาณ และท่ีนั่ง ที่นอนใหญ่ ภายในมีนุ่นและสำลี และเคร่ืองปูลาดที่วิจิตรด้วยเงินและทอง ต่าง ๆ ๑ อย่าให้มีจิตฟุ้งซ่านส่งไปในที่อ่ืน พึงสมาทานเอาองค์อุโบสถท้ัง ๘ ประการโดยเคารพ เพื่อจะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้านั้น ดว้ ยธรรมมานุธรรมปฏิบัติ อนึ่ง ชีวิตของเราท้งั หลายท่ไี ดเ้ ป็นอยู่รอดมาถึง วนั อโุ บสถเช่นนี้ จงอยา่ ได้ล่วงไปเสียเปลา่ ปราศจากประโยชนเ์ ลย. ๑๗๗
คำอาราธนาอุโบสถศลี มยํ ภนฺเต ตสิ รเณน สห อฏฺ งฺคสมนนฺ าคตํ อโุ ปสถํ ยาจาม. ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม. ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม. คำอาราธนาธรรม พรฺ หฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ, กตฺอญฺชลี อนธฺ ิวรํ อยาจถ, สนตฺ ีธ สตฺตาปปฺ รชกขฺ ชาตกิ า, เทเสตุ ธมฺมํ อนกุ มปฺ ิมํ ปชํ. คำสาธกุ ารเวลาจบพระธรรมเทศนา อหํ พทุ ฺธญฺจ ธมมฺ ญจฺ สงฆฺ ญจฺ สรณํ คโต, อปุ าสกตตฺ ํ เทเสสิ ภกิ ขฺ สุ งฆฺ สสฺ สมมฺ ุขา. เอตํ เม สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตตฺ มํ, เอตํ สรณมาคมฺมา สพฺพทกุ ขฺ า ปมจุ จฺ เย. ยถาพลํ จเรยฺยาหํ สมมฺ าสมฺพุทฺธสาสน,ํ ทกุ ฺขนิสสฺ รณสฺเสว ภาคี อสสฺ ํ อนาคเต. ๑๗๘
กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, พทุ ฺเธ กุกมฺมํ ปกตํ มยา ยํ, พทุ โฺ ธ ปฏิคฺคณฺหตุ อจจฺ ยนตฺ ํ, กาลนตฺ เร สวํ รติ ุํ ว พุทฺเธ. กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, ธมฺเม กุกมมฺ ํ ปกตํ มยา ย,ํ ธมโฺ ม ปฏิคคฺ ณหฺ ตุ อจจฺ ยนตฺ ํ, กาลนฺตเร สวํ ริตุํ ว ธมฺเม. กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, สงเฺ ฆ กกุ มมฺ ํ ปกตํ มยา ยํ, สงโฺ ฆ ปฏิคฺคณฺหตุ อจจฺ ยนฺตํ, กาลนฺตเร สวํ รติ ุํ ว สงฺเฆ. คำอาราธนาพระปริตร วิปตตฺ ปิ ฏิพาหาย สพฺพสมฺปตตฺ ิสทิ ธฺ ิยา, สพฺพทกุ ฺขวนิ าสาย ปรติ ฺตํ พฺรูถ มงฺคล.ํ วิปตฺตปิ ฏพิ าหาย สพฺพสมฺปตฺตสิ ทิ ฺธยิ า, สพฺพภยวนิ าสาย ปรติ ตฺ ํ พรฺ ถู มงฺคล.ํ วิปตฺตปิ ฏิพาหาย สพฺพสมปฺ ตตฺ ิสิทธฺ ิยา, สพพฺ โรควนิ าสาย ปรติ ฺตํ พฺรถู มงฺคลํ. ๑๗๙
คำสมาทานศีล ๕ นมสั การ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ุทฺธสฺส. (๓ หน) สรณคมน์ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ. ทุตยิ มปฺ ิ พทุ ฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ, ทุติยมฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ทตุ ยิ มปฺ ิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ตติยมปฺ ิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ, ตตยิ มปฺ ิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ตตยิ มปฺ ิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉาม.ิ สกิ ขาบท ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ อทนิ นฺ าทานา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ กาเมสุ มิจฉฺ าจารา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ มสุ าวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ๑๘๐
สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ านา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ อิมานิ ป ญฺ จ สิกฺขาป ทานิ , สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สีเลน โภคสมปฺ ทา, สีเลน นิพฺพตุ ึ ยนฺติ, ตสฺมา สลี ํ วโิ สธเย. คำสมาทานอโุ บสถศลี นมัสการ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส. นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ . นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสสฺ . สรณคมน์ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ทตุ ิยมฺปิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ทตุ ยิ มฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุตยิ มปฺ ิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ. ตติยมปฺ ิ พุทธฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ตตยิ มฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ ๑๘๑
สกิ ขาบท ปาณาติปาตา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ อทนิ ฺนาทานา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ อพรฺ หมฺ จรยิ า เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ มุสาวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ านา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทิยามิ วิกาลโภชนา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺ- านา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สกิ ฺขาปทํ สมาทยิ ามิ อิมํ อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ, พุทฺธปญฺ ตฺตํ อุโปสถํ, อิมญฺจ รตฺตึ อมิ ญฺจ ทิวสํ, สมฺมเทว อภิรกขฺ ติ ุํ สมาทยิ ามิ. อิมานิ อฏฺ สิกฺขาปทานิ, อชฺเชกํ รตฺตินฺทิวํ อุโปสถสีลวเสน สาธุกํ รกขฺ ิตพฺพานิ, (ผู้สมาทานรบั ว่า อาม ภนเฺ ต) สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สเี ลน โภคสมปฺ ทา, สีเลน นิพฺพตุ ึ ยนฺติ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเย. คำถวายภตั ตาหาร (สังฆทาน) อิม านิ มยํ ภ นฺเต, ภ ตฺตานิ สป ริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆ สฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกขฺ สุ งฺโฆ, อิมานิ ภตฺตานิ, สปรวิ ารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมหฺ ากํ ทฆี รตฺตํ หิตาย สุขาย. ๑๘๒
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับ ทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ภัตตาหาร กับท้ังบริวารท้ังหลายเหล่าน้ี ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อ ประโยชนแ์ ละความสุข แก่ขา้ พเจ้าท้ังหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายมตกภัตตาหาร (สงั ฆทานอุทศิ ) อิมานิ มยํ ภนฺเต, มตกภตฺตานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ มตกภตฺตานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺ หาตุ, อมฺหากญฺ เจว มาตาปิตุอาทีนญฺ จ าตกานํ กาลกตานํ ทฆี รตฺตํ หติ าย สขุ าย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย มตก ภัตตาหาร กับทัง้ บริวารทั้งหลายเหล่านี้ แดพ่ ระภิกษุสงฆ์ ขอพระภกิ ษุสงฆ์ จงรับ มตกภัตตาหาร กับท้ังบริวารท้ังหลายเหล่าน้ี ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าท้ังหลายด้วย แก่ญาติท้ังหลายมี มารดาบดิ าเป็นตน้ ทีล่ ่วงลบั ไปแล้วด้วย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายผา้ กฐนิ อิมํ ภนฺเต, สปริวารํ ก ินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ ก นิ จีวรทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ, ๑๘๓
ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน ก ินํ อตฺถรตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สขุ าย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้ากฐินจีวร กับทง้ั บริวารน้ี แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผา้ กฐินจวี ร กบั ทั้ง บริวารนี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย คร้ันรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อ ประโยชน์และความสุข แกข่ า้ พเจา้ ทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายผา้ ป่า อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปํสุกูลจีวรานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ปํสุกูลจีวรานิ สปริวารานิ ปฏิคคฺ ณฺหาตุ, อมหฺ ากํ ทีฆรตตฺ ํ หติ าย สขุ าย. ข้าแต่พระสงฆ์ผูเ้ จริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย ผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารท้ังหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้า บังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารท้ังหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพ่ือ ประโยชน์และความสุข แก่ขา้ พเจา้ ท้ังหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำชักผา้ ป่าบงั สุกุล อิมํ ปํสกุ ูลจวี รํ อสสฺ ามิกํ มยหฺ ํ ปาปณุ าติ. ๑๘๔
คำถวายผ้าอาบนำ้ ฝน อิมานิ มยํ ภนฺเต, วสฺสิกสาฏิกานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ วสฺสิกสาฏิกานิ สปริวารานิ ปฏิคคฺ ณฺหาตุ, อมหฺ ากํ ทฆี รตฺตํ หติ าย สขุ าย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย ผ้าอาบน้ำฝน กับท้ังบริวารท้ังหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้า อาบน้ำฝน กับท้ังบริวารท้ังหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือ ประโยชน์และความสขุ แกข่ ้าพเจา้ ทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น อิมานิ มยํ ภนฺเต, ทีปธูปปุปฺผวรานิ สปริวารานิ รตนตฺตยสฺส ปูชนตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ทีปธูปปุปฺผวรานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สขุ าย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย เทียนธูปและ ดอกไม้ กับท้ังบริวารทั้งหลายเหล่าน้ี แด่พระภิกษุสงฆ์ เพ่ือประโยชน์แก่ การบูชาพระรัตนตรัย ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ เทียนธูปและดอกไม้ กับท้ัง บริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือประโยชน์และความสุข แก่ขา้ พเจา้ ทัง้ หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. ๑๘๕
คำถวายเทียนพรรษา อิมานิ มยํ ภนฺเต, วสฺสิกทีปานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ วสฺสิกทีปานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณหฺ าตุ, อมฺหากํ ทฆี รตฺตํ หติ าย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย เทียนพรรษา กับทั้งบริวารท้ังหลายเหล่าน้ี แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ เทียนพรรษา กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่าน้ี ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือ ประโยชนแ์ ละความสขุ แกข่ า้ พเจ้าท้งั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายเสนานสนะ กฏุ ิ วิหาร อิมานิ มยํ ภนฺเต, เสนาสนานิ อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ เสนาสนานิ ปฏิคคฺ ณหฺ าตุ, อมหฺ ากํ ทีฆรตตฺ ํ หติ าย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย เสนาเสนะ เหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้มีในทิศท้ัง ๔ ที่มาแล้วก็ดี ยังมิได้มาก็ดี ขอ พระภิกษุสงฆ์จงรับ เสนาเสนะเหล่านี้ ของข้าพเจ้าท้ังหลาย เพ่ือประโยชน์ และความสุข แก่ข้าพเจ้าทง้ั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. ๑๘๖
คำถวายพระพทุ ธรปู อิมํ ภนฺเต, พุทฺธรูปํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม, อายตึ สาสนสฺส อติโรจนาย จ ถาวราย จ, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิมํ พุทฺธรูปํ ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ, อมหฺ ากํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สขุ าย. ขา้ แต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย พระพุทธรูปน้ี แด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง และเพื่อความถาวรแห่งพระ ศาสนาต่อไป ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ พระพุทธรูปนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพอื่ ประโยชนแ์ ละความสขุ แก่ข้าพเจ้าท้งั หลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายขา้ วพระพทุ ธ อิมํ สปู พยฺ ญชฺ นสมปฺ นนฺ ํ สาลนี ํ โภชนํ อทุ กํ วรํ พุทธฺ สสฺ ปูเชมิ. คำลาข้าวพระพทุ ธ เสสํ มงคฺ ลา ยาจามิ. คำลาพระสงฆ์ หนทฺ ทานิ มยํ ภนเฺ ต อาปุจฉฺ าม พหุกจิ ฺจา มยํ พหุกรณยี า. คร้ันเมื่อพระสงฆผ์ ู้รับลา กลา่ ววา่ “ยสฺสทานิ ตมุ เฺ ห กาลํ มญฺ ถ.” ผู้ลาพงึ รับพรอ้ มกนั ว่า “สาธุ ภนเฺ ต.” แล้วกราบ ๓ ครัง้ . ๑๘๗
ระเบียบศาสนพิธี ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ของวดั ปทมุ วนาราม เวลา ๐๙.๐๐ น. ๑. พิธมี าฆบูชา เวลา ๑๓.๐๐ น. (ข้นึ ๑๕ คำ่ เดือน ๓) เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏโิ มกข์ - ทำวัตรเย็น - เจรญิ พระพุทธมนตต์ ามสตู รท่กี ำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กล่าวถึงประวัติ ความเป็น มาและความสำคัญ ของวัน มาฆบูชา, เสร็จแลว้ - กล่าวนำคำถวายเครอ่ื งสักการะ - ออกไปนมัสการ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์ ๑๘๘
เวลา ๒๑.๐๐ น. - แสดงพระธรรมเทศนาตลอดคืน เวลา ๐๕.๐๐ น. - ทำวัตรเชา้ - เปน็ เสรจ็ พิธี ๒. พธิ ีวิสาขบชู า (ขนึ้ ๑๔ คำ่ เดอื น ๖ หรือ วันโกน) เวลา ๑๗.๐๐ น. - ตง้ั นำ้ มนต์ - วงดา้ ยสายสิญจน์ - ทำวตั รเยน็ - กล่าวอัญเชญิ เทวดา - เจรญิ พระพทุ ธมนต์ (ทำนำ้ มนตป์ ระจำปี) (ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดือน ๖) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวตั รเช้า - มพี ระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ เวลา ๑๓.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏิโมกข์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเย็น - เจรญิ พระพทุ ธมนต์ตามสูตรท่ีกำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามกล่าวถึงประวัติ ความเป็นมา และความสำคัญ ของวัน วิสาขบชู า, เสรจ็ แลว้ ๑๘๙
เวลา ๒๑.๐๐ น. - กล่าวนำคำถวายเครือ่ งสกั การะ เวลา ๐๕.๐๐ น. - ออกไปนมัสการ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์ - แสดงพระธรรมเทศนาตลอดคืน - ทำวตั รเช้า - เป็นเสร็จพธิ ี ๓. พธิ ีวิสาขอัฏฐมบี ูชา (วันถวายพระเพลิง) (แรม ๘ ค่ำ เดอื น ๖) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเชา้ - มีพระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวตั รเยน็ - สวดพระพทุ ธมนต์ตามสตู รท่กี ำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม แสดงพระธรรม เทศนา ๑ กัณฑ,์ จบแลว้ - กลา่ วนำคำถวายเครอื่ งสักการะ - ออกไปนมัสการ ๑๙๐
- เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธ์ิ - เปน็ เสรจ็ พิธี เวลา ๐๙.๐๐ น. ๔. พธิ ีอาสาฬหบูชา (ขึน้ ๑๕ คำ่ เดือน ๘) เวลา ๑๓.๐๐ น. - ทำวัตรเชา้ เวลา ๑๙.๓๐ น. - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ - ถวายผา้ อาบนำ้ ฝน - พระสงฆ์อนโุ มทนา - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏโิ มกข์ - ทำวัตรเยน็ - เจริญพระพุทธมนต์(ธมั มจักกปั ปวัตตนสตู ร) - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กล่าวถึงประวัติ ความเป็นมา และความสำคัญ ของวัน อาสาฬหบูชา, เสร็จแลว้ - กลา่ วนำคำถวายเครอ่ื งสกั การะ - ออกไปนมัสการ ๑๙๑
- เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธ์ิ - เป็นเสรจ็ พธิ ี ๕. พธิ ีอธษิ ฐานจำพรรษา (แรม ๑ คำ่ เดอื น ๘) เวลา ๐๘.๓๐ น. - ทำวัตรเช้า เวลา ๑๘.๐๐ น. - ทำวตั รเย็น - เจริญพระพุทธมนต์ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม บอกเขตจำ พรรษา ข้อวัตรปฏิบัติ และกิจกรรมที่จะมี ขนึ้ ในระหว่างพรรษากาล - ก ล่ าวค ำอ ธิษ ฐาน จ ำพ รรษ าที ล ะ รูป ตามลำดบั พรรษา - ขอขมากนั และกนั ทลี ะรูป ตามลำดับพรรษา (จนถึงสามเณรรปู สุดทา้ ย) - เป็นเสรจ็ พิธี ๑๙๒
๖. พธิ ีปวารณาออกพรรษา (ขน้ึ ๑๕ ค่ำ เดอื น ๑๑) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวตั รเชา้ - มพี ระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๗.๐๐ น. - ทำวตั รเย็น - ตง้ั ญัตติปวารณา - ปวารณา - เจริญพระพุทธมนต์, จบ - พระเถระรูปหนึ่ง อ่าน มหามกุฏราชวรสฺส ปตฺติทานคาถา โดยสรภัญญวิธี (ทั้งบาลี และคำแปล) - เป็นเสรจ็ พธิ ี หมายเหตุ : ระเบยี บศาสนพิธีนเ้ี ปลย่ี นแปลงได้ตามความเหมาะสม. ๑๙๓
ธรรมานุศาสน์ ของ สมเดจ็ พระวันรตั (พุทธฺ สริ ิมหาเถร) วดั โสมนัสวหิ าร ๑. เราท้ังหลายได้ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นท่ีพ่ึงอันอุดมกว่าส่ิงอื่น ๆ ฉะนี้แล้ว ควรที่เราทั้งหลาย จะเคารพนับ ถอื พระธรรมและวนิ ัยให้ยง่ิ ข้นึ ไป จงึ จะชอบ เพราะว่า ธรรมและวินัยน้ัน เม่ือผู้ใดปฏิบัติตาม ย่อมยังผู้น้ันให้ได้ ความสขุ สบาย ไมล่ ุม่ หลงเดอื ดรอ้ นต่อกเิ ลสบาปธรรมทงั้ ปวง เม่ือเป็นเช่นน้ี พึงทราบเถิดด้วยตนเองว่า อันนี้เป็นบุญ คือความดี ความชอบในพระพทุ ธศาสนา เราไดป้ ระสบแล้ว กเ็ มอื่ เราทัง้ หลาย ละเพศฆราวาสมาบรรพชาอุปสมบท ปรารถนาบุญ กุศล ซึ่งเป็นท่ีต้ังแห่งความสุข ไม่รุมจิตให้เร่าร้อนด้วยเพลิงกิเลส เป็นเหตุ จะนำผลคือทุกข์มาให้ ฉะนี้แล้ว จำต้องศึกษาสำเหนียกไว้ในข้อธรรมและ วินยั ใหถ้ ่องแท้ และไม่แกล้งล่วงหวงดองอาบตั ินอ้ ยใหญ่ ไว้ให้เป็นอนาวีติก- กมันตราย เพราะฉะน้ัน บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงมนสิการทำไว้ในใจ แล้ว ปฏบิ ัติไปใหส้ ำเร็จประโยชน์ของตน ๆ เทอญ ฯ ๑๙๔
๒. เราทั้งหลายนับถือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าว่า เป็นที่พ่ึงอัน ประเสริฐ และรู้ชัดวา่ เพศสมณะนี้ เป็นเพศอันดี เป็นหนทางที่จะทำให้ออก จากทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ดังน้ี จึงได้ละฆราวาสคิหิพรรณออก บรรพชา นุง่ ห่มผ้ายอ้ มฝาดสีเดียว เปน็ อุบายที่จะระงบั กเิ ลส ข่มกเิ ลส ด้วยพระสุคตเจ้านั้น พระองค์เป็นผู้ดำเนินดีแล้ว ในสัมมาปฏิปทา หนทางข้อปฏิบัติชอบ กำจัดกิเลสดับขาดส้ินเชิง ด้วยพระปรีชาท่ีรู้แจ้ง ประจักษ์ชัด ในของท่ีเป็นจริงทั้งเหตุและผลท้ังสองประการ อาโลกชัชวาล ความสว่างแจ่มแจ้งเกิดขึ้นแก่พระทัยของพระองค์ ความมืดคือกิเลสนั้น ดบั หายไปจากพระสันดาน ดงั นี้ เปน็ คุณธรรมทท่ี รงทราบชดั เจนในของจริง แล้วพระองค์ทรงประกาศความดีและความชอบ คือธรรมและวินัย ซึ่งเป็นอุบายท่ีจะประสบของจริงให้ไว้ จนถึงเทวดาและมนุษย์ท้ังหลายได้ ประพฤติตาม ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ขาดจากสันดานได้ ส้ินทุกข์ด้วยประการท้ังปวงแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสของตัณหาต่อไป เป็นคุณ แหง่ ความปฏบิ ตั ิชอบ ในหนทางสน้ิ ทกุ ข์ ก็เราทั้งหลายมาชอบใจนับถือศาสนา คือคำสอนของผู้ส้ินกิเลส เป็น หนทางดับทกุ ข์ ฉะนี้แลว้ จงศกึ ษาธรรมวินยั จะได้เปน็ เครื่องขัดเกลา ชำระ ธลุ ี คือกเิ ลสอนั เป็นบาป เปน็ ของช่ัวหยาบ ลามก หมักหมมพอกสนั ดาน ให้ เกล้ียงสะอาดเบาบางไป จึงสมกับปฏิญาณว่า เป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่า เป็นท่ีพึ่งฉะนี้ เพราะเหตุนั้น บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงต้ังใจฟังแล้วปฏิบัติศึกษา ใหส้ ำเร็จประโยชน์ของตน ๆ เทอญ ฯ ๑๙๕
๓. ผู้ที่หวังศึกษา มาบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุและสามเณรในพระ ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นมรรคาทางดับทุกข์และเพลิงกิเลสให้เบาบาง จากสันดานของผู้ปฏิบัติได้จริง ประเสริฐกว่าศาสนาของครูอาจารย์ติตถิย ปรพิ าชก เหล่าท่ีมีศาสนาคำสอนอน่ื ท้งั ปวง เพราะฉะน้ัน จึงได้ละเพศออกบรรพชา มิได้ชอบอยู่ในเรือนกับด้วย บุตรภรรยาและญาติของตน และมิได้ชอบใจศาสนาคำสอนของอัญญ เดียรถีย์น้ัน ๆ ก็เม่ือมาชอบใจศาสนาคำสอนของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า อนั เป็นสันติวรบท หนทางพระนิพพานเป็นเคร่ืองระงับกิเลส ฉะน้ีแล้ว ควร จะต้องศึกษาในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศึกษาข้อปฏิบัติกาย วาจา จิต ให้ สมกับศาสนาทเี่ ปน็ ของจรงิ ไม่ใช่ของเลน่ ไม่ใชข่ องคนมกี เิ ลสบัญญัติ พึงนุ่งสบง ห่มจีวร เป็นต้น ให้เป็นปริมณฑลตามเสขิยวัตร ศึกษา มรรยาทเคร่ืองปฏิบัติกายวาจาให้เรียบร้อย นุ่งห่มพน้ จากคฤหัสถ์ มีนุ่งผ้าสี ต่าง ๆ แสดงตัวอย่างผู้บริโภคกาม พึงหัดวาจาที่จะพูด พูดแต่ในที่ควรแก่กาล เม่ือกาลควรจะ ประกอบการบุญกุศล ก็พรอ้ มเพรยี งกัน และกาลที่จะรับฟังธรรมคำสั่งสอน ควรฟังโดยเคารพ อย่าทำความฟุ้งซ่านให้เกิดข้ึนในจิต ดังคนเสียจริต ไม่ รจู้ ักกาลควรพูด และไม่ควรพูด ใหเ้ ปน็ อันตรันตรกถา พึงหัดจิตในกาลท่ีควรจะสงบระงับ และในกาลที่ควรจะเจริญสมถะ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยังจิตให้เกิดความเล่ือมใส ในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และในกาลควรประกอบบุญกุศลน้ัน ๆ ควรจะสงบจิต ๑๙๖
ไม่ควรแสดงความเพ่งต่อส่ิงที่จะยังจิตให้เพลิดเพลินหัวเราะเล่น ยังความ ประมาทให้เปน็ ไป แสดงความไม่เลอ่ื มใสดงั ของเลน่ เมื่อเป็นเช่นน้ี จิตของผ้นู ้ัน กจ็ ะเหินห่างจากบญุ กุศล เพราะบุญกุศล จะเกิดข้ึน เป็นไปในจติ ของบุคคล ก็ด้วยประพฤติในส่ิงที่ดี ท่ีชอบ ท่ีควรแก่ กาล ยงั สนั ดานใหผ้ ่องแผ้ว สงบระงับอดกลน้ั ไมฟ่ ้งุ ซา่ นต่อกิเลสและอารมณ์ ท่ีจะพาจิตให้ร่ืนเริงหัวเราะ เป็นนิสัยพาลชนนั้น ๆ จึงยังบุญกุศลให้เกิดข้ึน ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราท้ังหลายควรตั้งใจศึกษาฟังธรรมวินัยโดยเคารพ อย่ามาตรว่าทำเล่น ดังพรรณนามาแล้วนั้น ให้เป็นการศึกษา จะได้คุ้ม อาบัติโทษโดยกาลสมควรตามพระธรรมวินัย ให้สำเร็จประโยชน์ส่วนกุศล ของตนเทอญ ฯ ๔. ผู้ท่ีถึงพร้อมแล้วด้วยสิกขาและสาชีวะของภิกษุท้ังหลาย คือ อธิศีลและอาชีวสิกขาบท ท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้จึงเป็นภิกษุได้ เพราะเหตุน้ัน เราทั้งหลายปฏิญาณตนวา่ เป็นภิกษุแล้ว กจ็ ำต้องศึกษาให้รู้ ท่ัวไปในสิกขาบทน้อยใหญ่ท้ังปวง ถ้ายังไม่รู้ให้ไต่ถามซักถามความใน สิกขาบทนั้น ๆ ให้รู้ให้เข้าใจ อย่างนี้แหละเป็นกิจของภิกษุผู้ท่ียังไม่รู้จะพึง ทำ ถ้าภิกษุใดยังไม่รู้และทอดธุระเสีย ไม่ศึกษาหรือไปประกอบกิจอื่น ๆ เสีย ไม่ควรเลยแก่ผู้นั้น เป็นอาบัติโดยพุทธบัญญัติว่า ให้ภิกษุผู้ท่ีศึกษาอยู่ พึงรู้ทั่วไป ถ้ายังไม่รู้ให้ไต่ถาม ซักถาม ให้รู้ให้เข้าใจในสิกขาบทน้อยใหญ่ อันน้เี ป็นความชอบในเธอนัน้ ๑๙๗
เหตุดังนั้น เราทั้งหลายพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ต้ังใจศึกษาฟัง สิกขาบทโดยเคารพ ที่จะแสดงไปเดี๋ยวนี้ ให้สำเร็จประโยชน์จริง ๆ อย่า หลอกกัน อย่าลืมคำเดิมที่ปฏิญาณไว้ว่า จะออกจากทุกข์ทำให้แจ้งซึ่งพระ นิพพาน ศาสนานั้นหายาก ความเป็นมนุษย์ก็ได้ด้วยยาก อย่าปฏิบัติผิดให้ เป็นคนนอกศาสนาเสยี เลย ฯ ๕. เราทั้งหลายมาประพฤตพิ รหมจรรย์ บวชเปน็ ภิกษุและสามเณร ณ ศาสนาน้ี เพื่อจะหลอกให้คนในโลกเล่ือมใสนับถือก็หามิได้ เพ่ือท่ีจะได้ พดู จาปราศรัยกับชนมีศกั ด์ิ คือเจา้ นายเป็นต้น กห็ ามไิ ด้ เพอ่ื จะอวดให้เขารู้ ว่าตนเป็นคนสุกมิใช่คนดิบ คือได้บวชประพฤติพรหมจรรย์แล้ว สึกไปจะได้ หาเมยี งา่ ย ๆ กห็ ามิได้ เราท้ังหลายมาบวชเป็นภิกษุและสามเณร ประพฤติพรหมจรรย์ใน ศาสนานี้ หวังจะออกจากทุกข์ ทำให้แจ้งซ่ึงพระนิพพาน จึงได้ล่ันวาจาว่า “สพฺพทุกฺขนิสฺสรณนิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย” ดังนี้ ทุก ๆ คน การที่ ปฏิบัติเพ่ือออกจากทุกข์ ทำให้แจ้งซ่ึงพระนิพพานน้ัน ก็ต้องปิดกั้นบาป อกุศลเสีย อย่าให้เกิดข้ึนได้ ถ้าเกิดข้ึนแล้วก็ต้องเพียรละเสีย เว้นเสีย ด้วย ทำกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ อยู่ด้วยสติความระวัง ปิดก้ันบาปและอกุศลเสีย อย่างน้ีแหละ เป็นความชอบ สมควรแก่เราทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติจะออกจาก ทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน จะระวังปิดกั้นบาปอกุศลเสียได้ ก็ต้อง อาศยั ปฏิบตั ดิ ีในพระธรรมวินัยน้ี เหตุดังนั้น บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงพากันตั้งใจฟังโดยเคารพ ให้ สำเรจ็ การศกึ ษาวนิ ัยของตน ๆ นนั้ เทอญ ฯ ๑๙๘
๖. เราทั้งหลายมาบวชด้วยศรัทธาในศาสนาน้ี บริโภคจตุปัจจัยส่ี คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ที่ทายกหวังผล แล้วให้ด้วยศรัทธา เลื่อมใส แล้วแลไปทำกิจนอกพระศาสนาเสีย ก่อกิเลสให้กำเริบกล้าขึ้น หา ทำกิจในศาสนา คือ ปฏิบัติดับราคะ โทสะ โมหะไม่ อย่างน้ี ไม่ชอบเลยแก่ เราท้ังหลาย เพราะว่า พระพุทธเจ้าของเราท้ังหลายนั้น พระองค์สิ้นราคะ โทสะ โมหะแล้ว จงึ ทรงพระนามวา่ “อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ” พระองค์นั้น ตรัสเทศนาสั่งสอนสัตว์ เพ่ือให้ละราคะ โทสะ โมหะ อย่างเดียวเทา่ นั้น คำส่ังสอนของพระองคน์ ั้น จึงชือ่ วา่ “สวฺ ากขฺ าโต” ผู้ปฏิบัติตามพระองค์นั้นเล่าก็ละ ราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว จึงชื่อว่า “สุปฏิปนฺโน” เพราะเหตุนั้น ผู้ใดมาบวชในพระศาสนาน้ี พึงรู้ว่า เราจะต้องปฏิบัติ รบข้าศึก คือ ราคะ โทสะ โมหะ เท่านั้น พระอุปัชฌาย์จึงได้ให้ ตจปัญจก กัมมัฏฐาน คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ดังน้ี แต่เม่ือแรกอุ้มผ้ากาสาว พัสตร์เข้ามาขอบรรพชา เพื่อจะให้เป็นอาวุธสำหรับประหารข้าศึก คือ ราคะ โทสะ โมหะ อนึ่ง ศีลจะบริสุทธิ์ ไม่เป็นอาบัติเล่า ก็ต้องรู้จักสิกขาบท วินัย ที่ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ถ้าไม่รู้ไซร้ ยากอยู่ท่ีจะรักษาตนให้เป็นคนพ้น จากอาบัติ มีศีลบรสิ ุทธ์ิได้ เพราะเหตุนั้น เราท้ังหลายพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ต้ังใจศึกษาฟัง สกิ ขาบทโดยเคารพ ทจ่ี ะแสดงเดยี๋ วนี้ ให้สำเร็จประโยชน์ เทอญ ฯ ๑๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287