Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มรดกธรรม เล่ม 4

มรดกธรรม เล่ม 4

Published by koranis9, 2020-11-05 03:27:26

Description: มรดกธรรม เล่ม 4

Search

Read the Text Version

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ คำนำธรรม “คนต่ำงจังหวัด มคี วำมทกุ ข์กำย แต่มคี วำมสุขใจ ในขณะที่คน กรงุ เทพฯ มีควำมสขุ กำย แตก่ ลับมคี วำมทุกข์ใจกนั มำก ดงั นั้น จึงควรสร้ำงที่พักทำงใจขึ้นในกลำงกรุง” พระราชดารัสส่วนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอัน ประเสรฐิ เมอื่ คร้ังเสดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยสมเดจ็ พระนางเจ้า สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐิน พระราชทานแด่พระสงฆ์วดั ปทมุ วนาราม ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๓๕ ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ คณะสงฆ์วัดปทุมวนารามได้ทา สัญญาเช่าพ้ืนท่ีศาลาพระราชศรัทธาและสวนป่าจากสานักงาน ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และได้ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างบางส่วน พร้อมทั้งพ้ืนที่โดยรอบเพ่ือให้สอดคล้องและรองรับกับกิจกรรม ต่างๆ ตามนโยบายของคณะสงฆ์วัดปทุมวนาราม โดยยึดหลักการ และแนวทางกิจกรรมทุกอย่าง เพ่ือสืบสานพระราชปณิธานธรรม อันมีค่าแห่งหิตานุหิตประโยชน์ แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และ เพื่อราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านผู้ เสดจ็ สูส่ วรรคาลัย ดังน้ัน คณะสงฆ์พร้อมด้วยอุบาสก และอุบาสิกาวัดปทุม วนาราม จึงได้จัดกิจกรรมสานต่อปฏิปทาพระกรรมฐาน สืบสาน พระราชศรัทธา พระราชปณิธานธรรมเพ่ือน้อมถวายเป็นพระราช กุศล ด้วยการกราบนิมนต์พระเถราจารย์ฝ่ายอรัญวาสี มาบรรยาย ธรรมทุกเดือน ที่ศาลาพระราชศรัทธา เพ่ือเป็นการฟื้นฟูและดารง ๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ รักษาไว้ซึ่งปฏิปทาจริยาวัตรอันดีงาม ที่บูรพาจารย์วัดปทุมวนาราม ได้นาพาประพฤตปิ ฏิบัตมิ า ในแต่ละเดือนก็ได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระ ผู้ ปฏบิ ัติตามปฏิปทาพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มน่ั ภรู ทิ ัตตมหาเถระ, หลวงปู่ชา สุภัททมหาเถระ ฯลฯ ดังมีรายนามและคาสอนท่ีปรากฏ ในหนังสือเล่มน้ี ท้ังองค์ความรู้ แนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งข้อวัตร ในการดาเนนิ ชวี ติ ของความเป็นพระที่ไดร้ ับการพรา่ สอนมาจากพระ อุปัชฌาย์และพระอาจารย์ พร้อมกับประสบการณ์ตรงที่ได้ลงมือ ปฏิบัติตามหลักคาสอนของพระพุทธชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ถ่ายทอดเป็นคาพูดและบันทึกรวบรวมไวใ้ นหนังสอื มรดกธรรมเลม่ นี้ ผู้อ่านสามารถปลูกศรัทธา ทาความเข้าใจ สร้างกาลังใจ และน้อมนาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันได้ก็จักสาเร็จประโยชน์แห่ง ตนตามสมควรแก่ธรรมที่ตนได้ประพฤติปฏิบัติ ขออนุโมทนาใน ความวิริยะอุตสาหะของท่านผู้มีจิตศรัทธาในการรวบรวมและ จัดพิมพ์หนังสือมรดกธรรม ศาลาพระราชศรัทธาในครั้งนี้ และขอ ความสขุ ความเจริญจงมีแกท่ กุ ทา่ นเทอญฯ พระธรรมธชั มนุ ี ประธานบรหิ ารศาลาพระราชศรัทธา เจ้าอาวาสวัดปทมุ วนาราม ๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ สารบัญ หนา้ คานาธรรม ๑-๒ ๑. พระอาจารยท์ ิวา อาภากโร ๔ – ๔๓ ๒. พระครูสทุ ธธิ รรมสงั วร (เชาวรตั น์ กมั มสทุ โธ) ๔๔ – ๗๕ ๓. พระราชสเุ มธาจารย์ (โรเบริ ์ต สุเมโธ) ๗๖ – ๘๓ ๔. พระครสู ทุ ธิญาณโสภณ (ธวัชชัย สตุ ธมโ̣ ม) ๘๔ – ๑๒๖ ๕. พระเทพปรยิ ตั ิมงคล (โอภาส โอภาโส) ๑๒๗ – ๑๔๓ ๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ พระอำจำรย์ทิวำ อำภำกโร ผู้ช่วยเจ้ำอำวำสวดั ปทุมวนำรำม รำชวรวิหำร กรงุ เทพฯ แสดงเมอื่ วนั อำทิตย์ ที่ ๓ มีนำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วัดปทมุ วนำรำม รำชวรวิหำร (ตอนท่ี ๑/๒) ขอโอกาสพระเถรานุเถระทุกท่านทุกองค์ ขออวยพรญาติ โยมทุกคนท่ีมาปฏิบัติธรรม ณ ที่น้ี อาตมาภาพก็บวชที่วัดนี้มา ๖๑ ปี ไม่เคยจาพรรษาเลย ไม่เคยสอนใครเลยท่ีวัดน้ี เวลานี้อาตมาก็ อายุมากแล้ว หมดแรงสอน ก็ถือว่าชีวิตอาตมาก็มีประสบการณ์ใน การสอนมามากพอสมควร การมาปฏิบัตใิ นคร้งั นี้ อาตมาตอ้ งการให้ โยมรู้จักเรื่องทฤษฎีของการเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ทางท่ี พระพุทธเจ้าสอนจริง ๆ เลย พอรู้ทฤษฎีชัดแจ้งก็ต้องเอาไปปฏิบัติ ได้ เป็นรูปธรรมจริง ๆ ด้วย ไม่ใช่รู้ทฤษฎีแล้วไม่รู้จะไปปฏิบัติ ๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ อย่างไร เป็นการเดินทางเข้าตามเส้นทางจริง ๆ ส่วนผลของการ ปฏิบตั ิกเ็ ปน็ ไปตามข้ันตอน ต้องอาศยั เวลา สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรัสไว้ว่ำ มรรคต้องทำให้ มำก เจริญให้มำก จึงจะละสังโยชน์ได้ ผลของการปฏิบัติก็คือ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ชัดได้โดยเฉพาะตัว ใครตัวมัน การสอนของอาตมาสอนตามหลักวิชาจริง ๆ ทีเดียว ทา ตามเหตุ ตามหลักวิชา ผลก็ต้องได้ตามหลักวชิ าเช่นเดียวกัน เพราะ คาสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม มีเส้นทางเดยี วเท่านนั้ หนึ่งไม่ มีสอง เมื่อเราทาเหตุถูกต้อง ผลก็ต้องเป็นไปตามที่พระองค์สอน เหมอื นกัน เพราะการเดินทางน้ี พระองค์ตรสั ไวว้ า่ พระอรหันต์ล้าน องค์มาสนทนาธรรมในการปฏิบัติ จะไม่มีการขัดแย้งกันเลย เพราะ ทุกองค์ต้องเดินเข้าเส้นทางเดียวกันหมด การสอนของอาตมาก็ พยายามจะสอนโดยเดินฐานเข้าไปเลย เพราะต้องการให้คนได้รับ ธรรมะจรงิ ๆ ทเี ดียว การปฏบิ ตั ิฝ่ายวปิ สั สนาทกุ ระบบของเมอื งไทย ในเวลาน้ีไม่สมบูรณ์แบบ ผลที่ได้จึงไม่ได้ขัดเกลากิเลส เป็นการทา จิตใหส้ งบชั่วคราวแบบสมถะเทา่ นั้น ถ้าผู้ใดปฏิบัติแบบวิปัสสนำยำนิ จิตท่ีพลั้งพลาดมานาน หลายปี อยากจะพ้นทกุ ข์จะรูส้ ึกไม่สบายใจเปน็ อย่างมากเลยทีเดียว บางคนมีอาการมาก ไม่รู้จะทาอย่างไร คล้าย ๆ ว่าขับรถหลงทาง ยิ่งขับไป ย่ิงหงุดหงิดมาก เพราะว่ายิ่งหลงไกลเข้าไปอีก เพราะฉะน้นั การปฏิบัตเิ รามองออกวา่ เสน้ ทางท่ีแท้จรงิ ไปทางไหน กันบ้าง แต่ถ้ามาเข้าเส้นทางเม่ือไร เราก็สบายใจ อาตมาก็มี ความรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้มา ๒๐ ปี หลงทางมา ๒๐ ปี จึงมาพบหลวง ปู่หลุย (จันทสาโร) ท่านชี้ทางแบบวิปัสสนาญานิกท่ีสมบูรณ์แบบ ๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ เลย ให้ได้ทาความเข้าใจ และอาการที่ไม่สบายใจก็หายไปเลย มี ความม่ันใจในการปฏิบัติ แล้วก็นามาพัฒนาการสอน ถ่ายทอดให้ โยมได้รับรู้กันจนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นโชคดีของอาตมาและของ ญาติโยมทุกคนที่ได้มาฟังคาสอนของอาจารย์ท่ีมีประสบการณ์ใน การปฏิบัติจริง ๆ อาตมาพยายามถ่ายทอดคาสอนของท่าน มา อธิบายให้ชัดเจน ให้ง่ายในการนาไปปฏิบัติจริง ๆ หวังวา่ ทุกคนท่ีมา ปฏิบัติธรรมในท่ีนี้ เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าถูกต้อง ตามหลักวิชาแล้ว ผลก็เป็นไปตามหลักวชิ าด้วย คือเดินเข้ามรรคผล นิพพานได้อย่างแน่นอน เพราะคาสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจ จธรรม ความจริงของธรรมชาติ หน่ึงไม่มสี อง เมื่อเดินเหตุถูกต้องผล กย็ ่อมต้องถูกตอ้ งด้วย ไมม่ ีปัญหา การปฏิบัติธรรมะน้ีมี ๒ ระบบ ระบบแรกเรียกว่า สมถะ ยำนิกซ่ึงวัดป่าสายอาจารย์ม่ันทั่ว ๆ ไป สอนแบบน้ี คือทาสมถะ เต็มที่ถึงอัปปนาสมาธิเสียก่อน จึงเดินปัญญา ครูบาอาจารย์บอกว่า ระบบนี้สาหรับผู้ที่ไม่มีบารมีทางด้านสมถะมาก่อนนั้นยากทีเดียว กว่าจะทาได้ เพราะสมถะถึงอัปปนานีย่ ากมาก อาจารย์ทุกองค์บอก เช่นน้ัน แต่ผู้ที่ปฏิบัติเป็นลูกศิษย์อาจารย์มั่นท่ีเป็นหลวงปู่ทั้งหลาย นั้นท่านมีบารมีทางด้านปฏิบัติมาก่อน เม่ือมาฟังคาสอนของ อาจารย์ม่ันก็ทาสมาธิได้ไม่ยาก แต่สาหรับเราที่ไม่มีบารมีมาก่อน ต้องเขา้ ป่าเอาจรงิ ๆ จงั ๆ เปน็ ฤาษี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ถงึ จะได้กว่าจะได้ ถึงอัปปนา อาตมาน่ีก็ทาสมาธิถึงระดับอัปปนาไม่ไหว ถ้าเราจะเดิน สมถะยำนิกนี่ เราคงจะไม่มีหวัง ก็เลยเดินแบบวิปัสสนำยำนิก คือ เดนิ ปัญญาเขา้ ไปเลย หาวิธิเป็น ๑๐ ปี ไมม่ ีผู้ใดสอน จนกระทง่ั อ่อน อกอ่อนใจ จนได้พบหลวงปู่หลุย อยู่กับท่านมา ๒ องค์ ท่ีปทุมธานี ๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ ท่านเทศน์ทุกวันตอนเช้าก่อนฉันอาหาร ฟังทุกวันต้ังแต่เข้าพรรษา จนออกพรรษาจึงรูว้ า่ ออ้ หลวงปทู่ ่านสอนวปิ สั สนำยำนกิ ทส่ี มบูรณ์ แบบท่ีสุด มีองค์เดียวท่ีสอน แล้วท่านก็ไม่ได้สอนใครเลย เพราะ ท่านไม่มีเวลาอยู่กับใครเป็นระยะยาว ท่านก็เลยสอนแบบอาจารย์ มั่นสอน เป็นแบบม้างกาย สอนแบบสมถะ ถ้าสอนแบบวิปัสสนานี่ ต้องสอนแบบเอาจริงเอาจัง ระยะยาว ถึงจะทาได้ ไม่งั้นก็ไม่รู้เรื่อง กัน ก็นับเป็นโชคดีของอาตมาท่ีได้พบครูบาอาจารย์ที่ได้มี ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิฝา่ ยวิปสั สนำยำนกิ จรงิ ๆ อาตมาเดินทางผิดไป ๒๐ ปี ไม่มีใครสอนวิปัสสนำยำนิก จนกระทั่งหมดอาลัยตายอยาก จนมาพบหลวงปู่หลุย ท่านสอน วิปัสสนายานิกที่สมบูรณ์แบบท่ีสุด ท่านก็ไม่สอนใครเพราะท่านอยู่ ที่ไหนไม่นาน และส่วนใหญ่ท่านก็สอนม้างกายเท่านั้นเอง อาตมา โชคดี ที่ได้ฟังคาสอนวิปัสสนายานิกจากท่าน แล้วก็นามาพัฒนาต่อ อีก ๑๐ ปี จึงได้สอนญาติโยมได้รับรู้กัน อาตมาสอนมาเป็นเวลา ๓๐ กว่าปี ก็มีความชัดเจนในการสอนเพื่อการเดินทางเข้ามรรค อาตมาต้ังเป็นหลักสูตรตายตัวเลย โดยใช้ลมหายใจเป็นกรรมฐาน หลัก อานาปานสติ ฝ่ายวิปัสสนายานิก เดินปัญญาเข้าไปก่อนเลย แล้วก็เดินเข้ามรรคเลย ซ่ึงก็มีหลวงปู่หลุยที่สอนแบบน้ีที่สมบูรณ์ แบบทสี่ ดุ ในชั่วโมงแรกน้ี อาตมาจะช้ีทางให้ดูตั้งแต่ต้นจนเข้าถึง มรรคสมังคีคร้ังแรกเลยว่าเป็นอย่างไร สอนย่อ ๆ ไปก่อน หลังจาก นั้น เราจะสอนรายละเอียดต่อไป แล้วก็ช่วงสุดท้ายเราจะเดินเข้า มรรคอีกครั้ง ให้ญาติโยมได้เห็นการเข้ามรรค แล้วจะได้รู้จักว่าการ เดินทางจรงิ ๆ มันเดินไดอ้ ยา่ งไร ละกิเลสไดอ้ ยา่ งไร ๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ กำรปฏิบัติคือกำรเดินทำง มรรคคือหนทำง มรรคก็คือ มรรค ๘ ย่อลงมำเหลือ ๓ ในฐานะชาวบ้าน ทาน ศีล ภาวนา ก็ เป็นมรรคเหมือนกัน ในฐานะชาวบ้านยังต้องหากินอยู่ก็ถือทานเปน็ ใหญ่ ไม่ตระหน่ี ใช้มักน้อย สันโดษ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลัก ไม่ โลภ รู้จักพอในด้านวัตถุ แล้วก็เอาเวลาไปรักษาศีล ภาวนา ก็เป็น ทาน ศีล ภาวนา เป็นหลักสาหรับชาวบ้าน ถ้าบวชเป็นพระเณรเถร ชี ก็ย่อมรรคเป็น ศีล สมำธิ ปัญญำ เราใช้ศีลเป็นหลัก เพรำะศีลนี่ ทำให้ผู้อยู่ร่วมกันมีควำมสุข ทำให้เป็นที่เคำรพของชำวบ้ำน และศีลยังเป็นส่ิงที่พัฒนำให้จิตของเรำสูงข้ึนไปจนถึงมรรค ผล นิพพำน ต่อไป เพราะฉะนั้นพวกท่ีบวชเข้ามาแล้วก็เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เวลามานั่ง ศีลก็ย่อได้อีกเป็น สติ สมาธิ ปัญญา ศีลเป็น สติได้อย่างไร ศีลคือสติ และหิริโอตัปปะ -- ความละอายและเกรง กลัวต่อบาป คือตัวสติ ควบคุมจิต แล้วเราก็ไม่ทาความชั่ว เวลาเรา น่ังนง่ิ ๆ กายและวาจาของเรากน็ งิ่ แลว้ ก็เหลอื แตจ่ ิตน่ะแหละที่ต้อง ควบคุม เปน็ สตปิ ฏั ฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ทนี ้ี เราเดนิ ทางต้ังแต่ ตน้ ก็เอากายกอ่ น เวทนา จติ ธรรม ยังไม่พดู ถึง ผลของการภาวนามี ๓ ระดับ ระดับ ๑ คือ ญำตปริญญำ อาตมาเรียกวา่ ปรญิ ญาตรีในพุทธศาสนา ใครได้จุดน้ีกไ็ ม่ตกนรก ปิด อบายได้ แต่ก็ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า เพราะยังไม่เคยเดินทางจริง ๆ ต้องเป็นปริญญาโท คือ ตีรณปริญญำ ได้แก่ โสดาบัน จัดเป็นพระ อริยเจ้า แล้วก็เดินทางต่อไปปริญญาเอก คือ ปหำนปริญญำ เป็น พระอรหันต์ หมดกิเลส ไปนิพพาน ทั้งหมดนี่ ๓ ขั้นตอน อาตมา สอนแคข่ ้นั ตอนแรกเทา่ นั้นเอง ๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ การสอนท่ัว ๆ ไป สายวัดป่าสอนทาอัปปนา เพราะการจะ เดินทางจากเริ่มต้นจนพ้นทุกข์ไปเลย จึงตอ้ งใชอ้ ปั ปนาสมาธิ แตม่ ัน ลาบากมาก จะเอาปริญญาเอกเลยน่ีมันไม่ไหว ถ้าเราไม่มีบารมีมา ก่อน มันจะสับสนในการเดินทางน้ี ดังน้ัน อาตมาจึงตัดข้ันตอน ปริญญาโท เอกนี่ เราจะไม่พูดถึง เราจะเอาเฉพาะที่ง่าย ๆ ไปก่อน ให้ได้ปริญญาตรี ปิดอบายได้ ไม่ตกนรกได้ก็พอแล้ว แล้วจิตจะ พัฒนาตอ่ ไปถึงมรรคผลนพิ พาน เพราะถา้ ไดข้ น้ึ โลกุตตระแล้ว โลกตุ ตระจะดึงดูดเราไปเองให้ได้ปริญญาโทและเอกไปเอง มันจะบังคับ เราเอง เกิดเป็นมนุษย์ เกิดบนสวรรค์ไม่ก่ีชาติ ก็ได้พ้นทุกข์ เหมอื นกัน แต่ถา้ เราทาแบบสมถะยำนกิ นี่ อะไรกไ็ ม่ได้เลย ตายแลว้ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอย่างเก่า เสียประโยชน์ อาตมาก็เลยตัด ขั้นตอนให้มันง่ายที่สุด ทาเอาแค่ปริญญาตรีเท่านั้น เพราะฉะน้ันก็ ไมย่ าก แต่ต้องทาเอาจริงจังถงึ จะเดินทางเข้าไปได้ เร่ิมต้นปฏิบัติเลย ประมาณ ๔๕ นาที เอาแบบย่อ ๆ ไม่ ต้องกลัวว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน อาตมาสอนมาทั้งคน ต่างประเทศ คนไทย บางคนเป็นคนแกไ่ ม่เคยปฏิบตั เิ ลย ฟังครง้ั แรก จิตเข้ารวมเป็นภายในได้เลย มรรคเกิดเลย เกิดความประทับใจ เพราะคนแก่ไม่คิดมาก แค่ฟังอาตมาพูดแล้วก็ฝึก คิดตามที่พูดไป เร่ือย ๆ จิตจะเดินเข้าเป็นภายในได้ ไม่ไปไหน เพราะที่อาตมาสอน นีเ่ ปน็ ไปตามธรรมชาตเิ ลย อาตมาสอนย่อ ๆ ก่อน การปฏิบัติคือการเดินทาง มรรค คือหนทาง มรรค ๘ ย่อแล้วเหลือ ๓ สติ สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐานก็ คอื กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน เอากายเป็นหลกั เวทนา จติ ธรรม ยงั ไม่ต้องพูดถึง เพราะน่ันต้องได้ปริญญาตรีไปแล้วเราถึงเดินทาง ๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ ต่อไปเราเริ่มภาวนาก่อน น่ัง เอาจิตมาเกาะท่ีปลายจมูก นึกถึงกาย ท่ีตั้งตั้งแต่หัวถึงเท้า กายตั้งในลักษณะใดให้ทราบชัดในลักษณะนั้น เรานั่งอยู่ ก็ให้รู้ว่านั่งอยู่ ทาจิตคลุมต้ังแต่หัวไปเท้าเลย ไม่ต้องเดิน จิตขึ้นลงได้ก็เป็นการดี ไม่ต้องเห็นภาพ น่ัง กาหนดศูนย์กลางอยู่ที่ ปลายจมูก คลุมที่กายต้ังแต่หัวถึงเท้า ไม่ต้องเพ่งเอาจริงเอาจัง ดู สบาย ๆ รู้ว่ากายตั้งอยู่ สติคือเชือก กายก็เป็นหลัก จิตก็เหมือนลูก ววั ววั เกิดในวันน้ัน ก็กนิ หญ้าเล่นเพลินของมันไป เราจะเอาวัวไปใช้ งานก็ต้องฝึกวินัยให้มันเสียก่อน การทาสติคือทาจิตให้มีวินัยน่ันเอง เม่ือจิตมีวินัยแล้ว เราสั่งให้ทาอะไรมันก็ทาตามที่เราบอก สติสาคัญ มากในการปฏิบัติ สติดี สมาธิก็ดี สมาธิดี ปัญญาก็ดีไปด้วย ดังน้ัน ครบู าอาจารยห์ รือผู้ปฏบิ ัตธิ รรมะจะเนน้ เร่ืองสติมาก แตเ่ รากใ็ หร้ ู้ว่า สติเป็นอยา่ งไรก่อน เอาจติ ไว้ที่ปลายจมกู แล้วก็คลุมหวั ถงึ เทา้ ไปเลย ไมต่ อ้ งเดิน จติ ขึน้ ลงไดก้ เ็ ป็นการดี ต่อไปเราจะทาสมาธิ สมาธคิ ือจติ ทฝ่ี ึกดีแล้ว ให้มันทางานได้ตามสมควร เวลาน้ีเราเอาจิตมาเกาะกับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นหลักเพื่อจะให้จิตทางานอยู่กับลมหายใจให้ลึก และนานพอสมควร ดังนน้ั เราตอ้ งทาสมาธิ ในการละกเิ ลสมสี มาธิ ๒ อย่าง เรียกว่ามูลกรรมฐาน มีลมหายใจ กับกายาคตา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อันหลังนี่ต้องเพ่งภาพ แต่ลมหายใจเราไม่ต้องเพ่งภาพ มันมีโดยธรรมชาติ กาหนดเมื่อไรก็มีเม่ือนั้น กาหนดลมหายใจเข้า ออก นึกไว้ที่ปลายจมูกที่เดียวกับสติน่ันแหละ เวลาหายใจเข้าไม่ ต้องนึกตามลมหายใจเข้า เวลาหายใจออกไม่ต้องนึกตามลมหายใจ ออก นึกไวท้ ปี่ ลายจมูกอยา่ งเดียว พยายามประคองจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน อยา่ ใหเ้ คล้มิ หลับ ใหอ้ ยู่กับลมหายใจเข้าออกปลายจมูก เขา้ รู้ ออกรู้ ๑๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ ดูตัวเอง ... เข้ารู้ ออกรู้ .... เข้ารู้ ออกรู้ นี่คือวิตก วิจาร ก็คือคิด อย่างไรพูดอย่างนั้นเลยไม่ต้องสมมติ เข้าก็พูดว่าเข้า รู้ก็รู้เลย ไม่ ต้องมีคาสมมติ พุทโธเป็นคาสมมติ เป็นคาบริกรรมเหมือนกันแต่ เป็นการสมมติด้วยพระนามพระพุทธเจ้า ทาให้เกิดปิติ ถ้าเราเดิน วิปัสสนา เดินปัญญา เราไม่ต้องสมมติใด ๆ ทั้งส้ิน รู้อะไรก็พูดไป ตามความเป็นจริงอย่างนั้น เข้ารู้ ออกรู้ รู้คือตัวจิต ตัวรู้คือตัวสมาธิ ตัวรู้จะเกดิ ขนึ้ ลอย ๆ ไม่ได้ รู้อยใู่ นลมหายใจ ลมหายใจชัดตวั รถู้ งึ จะ ชัด ทาไป พอทาสมาธิไปสักพัก จิตจะหนีไปพัก มันไปไม่ไหว เราต้อง ใช้สติซ้อนไปเพื่อบังคับจิตให้มันทางานระดับลึกไปอีก ไม่งั้นมันจะ เปน็ ภวงั ค์ คาว่า ภวังค์ นห้ี มายความว่า ถ้าเรากาหนดลมหายใจเข้า ออก รู้อยู่ในลมหายใจ แสดงว่าจิตยังทางานอยู่ ถ้ามันหนีไป หมายความว่า มันรู้ในความสบายแต่ไม่กาหนดท่ีลมหายใจแล้ว กาหนดความสบาย อันนี้คือมันหนีไปพักแล้ว เราต้องบังคับมัน เอา สติซ้อนเข้าไปอีก ไม่ง้ันมันก็หนีไปพัก ไม่ทางาน ให้เรากาหนดที่ ปลายจมูก นึกถึงกายคลุมหัวจรดเท้าเป็นสติ นึกถึงลมหายใจเข้า ออกท่ปี ลายจมูกจุดเดียวกันนนั่ คือสมาธิ ทาทั้งสองอย่าง -- ดตู วั เอง กายชัด-เข้า กายชัด-ออก -- กายชัดก็คือดูตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า เขา้ ก็คือลมหายใจเข้า กายชดั ใหน้ กึ ถึงกาย ออกคอื ลมหายใจออก ดู กาย-ลมเข้า กาย-ลมออก สลับไปสลับมา เหนื่อยหน่อย แต่เราจะ ควบคุมจิตในระดับลึกได้พอสมควร พูดกับตัวเอง กายชัด-เข้า กาย ชดั -ออก แล้วก็ดไู ป ทาไปสกั พกั จะเห็นวา่ ลมหายใจเข้า-ออกที่ปลาย จมูกจะชัด แล้วกม็ ีกายคลมุ ซ้อน ๑๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ ต่อไป เราจะเดินปัญญา คือการเห็นจริงตามความเป็นจริง เห็นกายกับใจ ปริญญาตรี ใจยกไว้ก่อน เอากายกับลมซ้อนกันก่อน มาดูเร่ืองกิเลสก่อน กิเลสบอกว่ากายกับลมน่ีเป็นคน เป็นตัวเรา เป็นของเรา กิเลสน้ีมันใส่อยู่ในฐานจิต จิตใต้สานึกเลย ปรุงแต่งเข้า มาจนถึงจิตนึก ปรุงแต่งว่าอย่างไรบ้าง ปรุงว่ากายที่ต้ังแต่หัวจรด เท้ามีลมหายใจเข้าออกซ้อน ว่าเป็นคน เป็นเรา เป็นของเรา อันนี้ เรียกว่า สักกำยทิฐิ แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปอีกว่าของคนอ่ืนก็เป็นเขา ของเขา ปรุงแต่งต่อเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย ปรุงแต่งต่อไปอีกว่าสูงต่า ดาขาว มองรายละเอยี ดตอ่ ไป ปรงุ แตง่ ต่อไปวา่ งาม ไม่งาม ปรงุ แต่ง ต่อไปอีก เกิดความรัก ความชัง คิดเลยเถิด รักกันก็แต่งงานกัน ชัง กันก็ทะเลาะกนั เปน็ สุข เป็นทุกข์ ตายแลว้ ก็ไปสวรรค์ ไปนรก เวยี น ว่ายตายเกิด วัฏฏสงสำรเกิดข้ึนแล้ว วัฏฏสงสำรเกิดจากอะไร ก็ เกดิ จากการที่เราคิดว่ากายเปน็ คนเป็นเรา ทท่ี า่ นเรยี กว่า สักกำยทิฐิ ดังน้ัน พระพุทธเจ้าท่านให้มาคิดใหม่ตามความเป็นจริง ตำมควำมเป็นจริงแล้วกำยประกอบด้วยสภำวะ ๔ สภำวะ รวมเข้ำอย่ำงเหมำะสม สภำวะแข็งเรียกว่ำธำตุดิน จับแล้วแข็ง เรียกว่ำธำตุดิน สภำวะเหลว อำบเอิบคือธำตุน้ำ สภำวะร้อน เรียกว่ำธำตุไฟ จับตัวแล้วอุ่นคือธำตุไฟ สภำวะเคลื่อนไหว เรียกว่ำธำตุลม ลมหำยใจเข้ำออกเคลื่อนไหว หัวใจเต้นตึก ๆ เคล่ือนไหว เลือดฉีดพล่ำนท่ัวตัวก็เคลื่อนไหว นี่เป็นธำตุลม กาย ประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน - แข็ง น้า - เหลว ไฟ - ร้อน ลม - เคล่ือนไหว ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นกอง ธาตุ ๔ ดิน น้า ไฟ ลม ปัญญำคือกำรเปลี่ยนควำมเห็นใหม่ ควำมเห็นของกิเลสบอกว่ำกำยเป็นคนเป็นเรำเป็นของเรำ ๑๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ พระพุทธเจ้ำบอกว่ำไม่ใช่ มันเป็นกองธำตุ ๔ เท่ำน้ันเอง ท่าน อาจารย์ฝ้ันบอกว่า คิดไป มีความเห็น กายนี้ไม่มี ไม่มีพระ ไม่มีเณร ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่มีตัวเราของเรา ชื่อเราไม่มี ช่ือนาย ก นาย ข ไม่มี มีแต่กองธาตุ ๔ ต้ังอยู่ ไม่คิดใด ๆ ขณะน้ี ปัญญาคือ เปล่ียนความเห็นจากกายคนว่าเป็นของของเรา เป็นสภาวะธรรม กองธาตุ ๔ ปัญญำเกิดจำกกำรฟัง เราฟังคาสอนของพระพุทธเจ้า ท่ีถ่ายทอดสืบต่อกันมา ฟังแล้วคิด ปัญญำเกิดจำกควำมคิด น่ีอยู่ ในกระบวนการคิด คิดว่ากายนี่ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา เป็นกองธาตุ ๔ ดิน น้า ไฟ ลม ดิน - แข็ง น้า - เหลว ไฟ - ร้อน ลม - เคลื่อนไหว ไมใ่ ชส่ ตั ว์ ไมใ่ ชบ่ คุ คล ไม่ใช่เรา ไม่มเี รา กองธาตุ ๔ คิดไปแคน่ น้ั กายทีท่ ่านดจู ากหวั ถงึ เทา้ เป็นกองธาตุ ๔ ลมหายใจคือกาย ในกาย หรือกายส่วนย่อย ก็เป็นธาตุ ๔ เหมือนกัน ลมหำยใจเป็น ธำตุ ๔ อย่ำงไร ลมหำยใจมีน้ำหนักสัมผัสได้ จึงเป็นธำตุดิน มี ควำมแข็งนิด ๆ น่ันแหละคือธำตุดิน มีควำมช้ืนจึงเป็นธำตุน้ำ มี ควำมอุ่นจึงเป็นธำตุไฟ เคล่ือนไหวได้จึงเป็นธำตุลม เป็นธาตุ ๔ จริง ๆ ทีเดียว ไม่ต้องสงสัย หายใจเข้าเอาธาตุ ๔ เข้า หายใจออก เอาธาตุ ๔ ออก ลกั ษณะของธำตนุ ัน้ แปรปรวนเส่ือมสลำยไม่เท่ียง หายใจเข้า -- ธาตุ ๔ เกิด หยุด และดับ หายใจออก -- ธาตุ ๔ เกิด หยุด และดับ เห็นลักษณะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ อนิจจังคือไม่ เท่ียง เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ทุกขังคืออยู่ไม่ได้ แตกกระจายหมด อนัตตำคือไม่มีตัวไม่มีตน เป็นสภาวะธรรม รวมตัวกันชั่วคราว แต่ ในฐานะปุถุชนท่ีจะเดินทางเราจะเอาอนิจจังให้ชัดเจนเสียก่อน ทุก ขัง อนตั ตาเอาไว้ก่อน หายใจเข้า -- ธาตุ ๔ เกิด ดับ หายใจออก -- ธาตุ ๔ เกิด ดับ นี่คอื ปัญญา ๑๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ ทีน้ีเรารู้แล้วนะว่าอะไรเป็นสติ สมาธิ ปัญญา จิตที่เกาะที่ ปลายจมูก คลุมหัวจรดเท้าเป็นสติ จิตที่เกาะท่ีปลายจมูกจุด เดียวกันนี่แหละ เห็นลมหายใจเข้าออก เป็นสมำธิ การเห็นกายที่ ซอ้ นกับลมหายใจว่าไม่ใช่คนไมใ่ ช่เรา เป็นธาตุ ๔ เกดิ ดบั หายใจเข้า ธาตุ ๔ เกิดดับ หายใจออกธาตุ ๔ เกิดดับ นี่คือปัญญำ กาหนดท่ี จดุ เดียวนีแ่ หละ เราได้สติ สมาธิ ปญั ญา ถา้ เรารวู้ า่ อะไรคอื สติ อะไร คือสมาธิ อะไรคือปัญญา น่ีเรียกว่ามรรคเบ้ืองต้น หรือสัจจญำณ อันน้ียังละกิเลสไม่ได้ ต้องให้ท้ัง ๓ คือสติ สมาธิ ปัญญา มาทางาน ร่วมกันเป็นทีมเวิร์ค จึงจะละกิเลสได้ เรียกว่ามรรคประสม หรือ กิจจญำณ ให้มันทากิจ การทามรรคประสมให้เกิดข้ึนให้ได้เรียกว่า ภำวนำมยปัญญำ อันนี้เราจะเดินทางเข้าละกิเลสจริง ๆ อันนี้ก็มี หลายสูตรท่ีพระพุทธเจ้าท่านใช้ แต่ท่ีท่านใช้ท่ีสาคัญท่ีสุดคือ อริยสัจจ์ ๔ เป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าใช้ ถ้าจะให้ใครได้มรรคได้ผล พระองค์จะเทศน์อริยสัจ ๔ แล้วจิตผู้น้ันจะเดินเข้าเส้นทางเลย อริยสัจ ๔ จึงเป็นสูตรท่ีสาคัญท่ีสุดที่จะเดินทางเข้ามรรคได้ เป็น มรรคทาน อริยสัจ ๔ ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรานักปฏิบัติไม่ ต้องไปอธิบายอะไรมาก ดูตามความเป็นจริงเลย ทุกข์ก็คือกายกับ ใจน่ีแหละเป็นทุกข์แท้ ระดับปริญญาตรี ใจยกไว้ก่อน เอากายกับ ลมที่ซ้อนน่ีแหละคือทุกขสัจ ต้องกาหนดให้รู้อยู่ตลอดเวลา สติท่ี เป็นไปในกายและลมหายใจคือทุกขทัศน์ ที่เราต้องกาหนดให้รู้อยู่ ตลอด กาหนดไว้ทป่ี ลายจมูกให้รกู้ าย ร้ลู มซ้อน เปน็ ทกุ ขสจั สมุทัยคือต้นเหตุแห่งทุกข์ คือตัณหา กายมันทุกข์ เราก็ อยากสุข อยากสบาย อยากเป็นน่ันเป็นนี่ ไม่อยากเป็นน่ันไม่อยาก ๑๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ เป็นน่ี น่ีคือสมุทัย คือตัวตัณหานี่เอง อันนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าต้อง ละ คือต้องละที่ต้นเหตุ จิตที่ฟุ้งซ่านไปภายนอก นึกถึงรูปรสกลิ่น เสียงโผสฐัพพะ หรือนึกมีนิมิตว่าอาจารย์องค์นู้นมาบอกให้ทาอย่าง น้ี องค์นม้ี าบอกให้ทาอยา่ งน้นั ถอื วา่ เป็นตณั หา ตอ้ งละไม่ให้เกิดขึ้น เลย จิตออกนอกเห็นภาพนู่นภาพนี่ หรือไปถึงอารมณ์รูปรสกลิ่น เสียงสัมผัส เป็นกำมตัณหำทั้งหมด ต้องละ การเพลินในกาม เพลิน ในกาย เป็นภวตัณหำ วิภำวตัณหำต้องละ การเพลินในจิต จิตไม่ ยอมทางาน หนีไปพัก เป็นภวังค์ก็ต้องละ ละแล้วจิตจะไปอยู่ไหน ก็ไปอยู่กับทุกข์ตลอดเวลำ ห้ำมไม่ให้จิตไปที่สมุทัยเด็ดขำด ไม่ให้ จติ ลมุ่ หลงออกไปภำยนอก ไม่ใหเ้ ป็นภวังค์ ใหจ้ ติ อยูก่ ับทกุ ข์ ทกุ ข์ ก็ต้องให้รู้ สมุทัยก็ต้องละ นิโรธ คือปัญญา กายท่ีต้ังไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา เป็นธาตุ ๔ เกิด ดับ อันนี้เป็นปัญญา ต้องทาให้แจ้ง จะทานิโรธให้แจ้งต้องทา มรรคให้มาก มรรคก็ย่อลงเหลือ สติ สมาธิ ปัญญา อันที่จริง พระพุทธเจ้าเอามรรคมาจากไหน มรรคก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ๓ ตัว ปรุงเข้าเป็นมรรค จิตที่เกำะปลำยจมูกนึกถึงกำยตั้งแต่หัวจรด เท้ำเป็นสติ จิตที่เกำะท่ีปลำยจมูกดูลมหำยใจเข้ำออกก็เป็นสมำธิ ตวั นโิ รธก็เปน็ ปัญญำ กำยกับลมหำยใจ ไม่ใช่คน ไมใ่ ช่เรำ ธำตุ ๔ เกิดแล้วดับ นี่ก็เป็นปัญญำ เรำก็เอำทั้งสติ สมำธิ ปัญญำ มำ ทำงำนร่วมกันให้ได้ เรียกว่ำ เดินเข้ำมรรค ที่สาคัญท่ีพระพุทธเจ้า สอน จติ จะเป็นมรรคได้ต้องตดั หมดเลย อะไรทเ่ี ราไดศ้ ึกษาได้เรียน มา ท่านเรียกว่า ธรรมอุทธัจจะ ฟุ้งซ่านในธรรม เอาเฉพาะเบ้ือง หน้าของเราเอง รู้จดุ เดียวท่ีปลายจมกู ของตวั เอง กำย ลมเขำ้ ไมใ่ ช่ เรำ ธำตุ ๔ เกิดดับ กำย ลมออก ไม่ใช่เรำ ธำตุ ๔ เกิดดับ เอาแค่ ๑๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ นี้ รู้จุดจุดเดียวที่ปลายจมูกแล้วก็พูดกับตัวเอง “กำย ลมเข้ำ ไม่ใช่ เรำ ธำตุ ๔ เกิดดบั กำย ลมออก ไมใ่ ชเ่ รำ ธำตุ ๔ เกิดดบั ” พูดไป ด้วย รู้ความจริงไปด้วย รู้ท่ีจุดเดียว ห้ามไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น ไม่ให้มี จนิ ตนาการใด ๆ เกยี่ วข้อง คาสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานบอกว่า สมัยใดท่ีพระภิกษุละ ธรรมอุทธัจจะได้ สมัยนั้นจิตย่อมตั้งม่ันสงบ อยู่เป็นภายใน เป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ตั้งม่ันอยู่ มรรคย่อมเกิด ภิกษุย่อมเสพให้มากเจริญให้มากซ่ึงมรรคนั้นย่อมละสังโยชน์ได้ ธรรมอุทธัจจะคือฟุ้งซ่านในธรรม เราศึกษาอะไรมา คิด – ไม่ได้ ต้องตัดออกให้หมด เอาเฉพาะหน้า กาย ลมเข้า ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ กาย ลมออก ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ คิดแค่นี้ จุดเดียวที่ ปลายจมูก จิตที่ทาอยู่ปลายจมูกจุดนี้ ทาไป ๆ มันจะเย็นและจะ เคลื่อนเข้ามาได้ เคล่ือนเข้ามาในช่องจมูก เข้าไปกลางอก เหนือ สะดือ แล้วเข้าไปถึงฐานจิต เจอที่ตั้งก็จะตึ้งเข้าไปเลย เรียกว่า “มัคคะสะมังคี” มัคคะสะมังคีคร้ังแรกเรียกว่า ยะถำภูตัง ญำณะทัสสะนงั ร้เู ห็นสภาพตามความเปน็ จริง จบปรญิ ญาตรี พทุ ธ ศาสนาเรียกว่า ญำตปริญญำ ไม่ตกนรกแล้ว จุดนี้ จิตจะพัฒนา ต่อไปจนถึงมรรคนิพพาน อาตมาก็สอนแค่น้ี ใครทาได้แค่นี้ก็โชคดี ที่สุด ไม่เสียชาติเกิด เราก็จะออกจากวัฏฏะได้ในเวลาไม่นาน เห็น ม้ัย ไม่ยาก แต่ต้องทาให้มาก เจริญให้มาก ทาตลอดชีวิตเลย ให้มัน เดินไปเอง จากจุดน้ีท่ีเรากาหนดที่ปลายจมูก มันจะเดินเข้าไปเอง มรรคก็เกดิ ถึงฐานจติ กเ็ กิดเปน็ มัคคะสะมังคี แต่ถึงแมย้ งั ไม่ถึงฐาน ก็ตาม ทัศนคติต้องเปล่ียน เปลี่ยนไปทางดี เป็นบวก มองโลกอีกแง่ ๑๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ เลย แต่ไม่ถาวร เราไม่ทานาน ๆ ก็หายไปได้ ต้องถึงฐานจิตเป็น มัคคะสะมังคีก่อนถึงจะถาวร เราก็นั่งทาไป จิตเกาะท่ีปลายจมูก เห็นกาย ลมเข้า ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ จิตท่ีปลายจมูก เห็นกาย ลมออก ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ ดูไปด้วย พูดไปด้วย ทาไปด้วย เหนอ่ื ยหนอ่ ย (นั่งปฏบิ ตั ปิ ระมาณ ๑๕ นาท)ี พอสมควรแก่เวลา มีใครจิตเข้าในม้ัย อาตมาสอนมาหลาย คน คนไม่เคยฟังเลยมีหลายคนจิตเข้า เป็นคนแก่ ไม่นานนี้ก็สอน หมอท่ีโรงพยาบาล อาตมาไปทา sleeping test ก่อนจะเข้าห้อง sleeping test ก็สอนหมอ สอนแบบนี้ มนี กั วิทยาศาสตร์การแพทย์ คนหน่ึงนั่งฟังด้วย มาเล่าให้ฟังตอนเช้าว่า จิตของเขาเข้าใน อาตมา ก็บอกว่า ถ้าจิตเข้าใน จิตต้องเปลี่ยน ทัศนคติต้องเปลี่ยน เขาบอก เปล่ียนจริง ๆ เขามีหัวหน้า ทะเลาะกันทุกวัน วันน้ัน หลังจิตเข้าใน แล้ว เจอหัวหน้า หัวหน้าก็ด่าเลย แกก็บอกว่า มันไม่เหมือนทุกวัน ปกติถูกด่าจะสวนเลย แต่วันนั้นแปลก เห็นหัวหน้าก็คล้าย ๆ เป็น เพ่ือนฝูง เป็นญาติ ก็ยกมือไหว้ บอกว่า “ขอบคุณค่ะที่ช่วยเตือน” อันนี้ทัศนคติเปลี่ยนจริง ๆ แต่ช่ัวคราว การเข้าในทาให้จิตเปล่ียน ทศั นคติก็เปลี่ยน กิเลสจะถกู ขัดเกลา มรรคทาให้กิเลสขดั เกลาไปได้ แต่ถ้าถงึ ฐานเมอ่ื ไรกเิ ลสจะหายไปอย่างถาวร ก่อนจะละกเิ ลส มรรค ทุกตัวต้องถูกทา เพราะฉะนั้น จะต้องเดินมรรคเสียก่อนถึงจะ เกิดผล ละกิเลสได้ การละกิเลสต้องเดินเข้ามรรคเท่าน้ัน อย่างอ่ืน ทาไม่ได้ อย่างพวกฤๅษีหรือพวกท่ีทาสมาธิอย่างเดียวละไม่ได้ ถ้าทา สมาธิข้ันสูง ๆ ก็จะเห็นกิเลส แต่ละไม่ได้สักคน เห็นกิเลสละเอียด นอนอยู่ แต่ถอนไม่ได้ จิตแรง แต่เวลานอน หรืออยู่ในสมาธิมีความ ๑๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ สบายเพราะเขาจะนอนสมาธิแบบภวังค์ เพราะฉะนั้น ใครท่ีทา สมาธิแบบสูง ๆ อยู่ในสังคมลาบาก ต้องทะเลาะกับสังคม ไม่ ทะเลาะก็จะเส่ือม เป็นธรรมชาติของจิต ฤๅษีนี่ก็อยู่ตนเดียว อยู่กับ หมู่ไมไ่ ด้ ทาไมมรรคจึงละกิเลสได้ จะเปรียบเทียบให้ฟัง จิตของเรา เหมือนกับคอมพิวเตอร์ โรงงานสร้างมาใส่โปรแกรมไว้ท่ีฐานเครื่อง ที่ CPU ไว้ใน My Computer แล้วก็สร้างกระบวนการขึ้นมาถึง หน้าจอ ก็สนุกสนานเพลิดเพลินที่หน้าจอ เหมือนใส่กิเลสที่ My Computer ที่ใต้จิตสานึกเลย แล้วก็โผล่มาสนุกสนานเพลิดเพลินที่ หน้าจอ ทีนี้ เราจะล้างโปรแกรม My Computer ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ให้สร้างโปรแกรมใหม่ที่หน้าจอเลย Not Me, Not Mine ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ทาโปรแกรมที่สร้างใหม่น่ีลงไป ถึงฐานเคร่ืองท่ี CPU ให้ได้ พอโปรแกรมท่ีเราสร้างใหม่ Not Me, Not Mine ลงไปที่ฐานก็ ตึ้ง ตัว My Computer ก็โดน delete (ลบ) ไปเลย การละกิเลสนี่พระพุทธเจ้าเท่าน้ันถึงจะมองเห็นอันน้ีได้ ฤๅษีมองไม่เห็น ได้แต่ข่มกิเลสหยาบ ส่วนกิเลสละเอียดก็ลงไปนอน เนื่อง ถอนออกมาก็เป็นกิเลสอย่างเก่า แต่พระพุทธเจ้าเห็นการละ กิเลสได้โดยการเดินเข้ามรรค พระองค์จึงสอนมรรคได้จริง ๆ กิเลส ตัวแรกก็ละสักกายทิฏฐิตัวเดียวก่อน จบปริญญาตรี ถ้าจะละ ปริญญาโท เป็นโสดาบัน เรียกว่าตีรณปริญญำ ก็ต้องเข้ามรรคถึง จะละได้ ได้ถึงโสดาปัตติมรรค ถึงเป็นผลออกมา ปริญญาตรีเราละ กิเลสได้เรื่องกายอย่างเดียว ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เร่ืองจิตยังไม่ ต้องรู้ ปริญญาโทถึงได้จิต คือทั้งกายท้ังใจ ว่าไม่ใช่เราของเรา เป็น ๑๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๔ รูป-นาม ต้องใช้อัปปนาถึงจะหมด ปริญญาตรีไม่ยากเท่าไร เราตัด เรื่องของจิตออกหมด เดินเฉพาะกายอย่างเดียวก็ไม่ยากเท่าไร แต่ ต้องทาให้ถึงฐานเท่านัน้ ลงไปให้ถึงจิตใต้สานกึ ให้ได้ถึงจะหมดกิเลส ละสักกายทฏิ ฐไิ ดจ้ รงิ ๆ เราจะทารายละเอียดต่อไป ทาสมาธินาน ๆ แล้วก็ทา ปัญญานาน ๆ ก่อนจะเลิกเราจะได้เดินมรรคอีกคร้ัง กายานุสปัส- สนาสติปัฏฐาน เอาอิริยาบถเป็นเครื่องเกาะของจิต ทาท้ัง ๓ อย่าง สมบูรณแ์ บบ เหมือนเลยี้ งตะกร้อ ๓ ใบด้วยมอื เดยี ว ทาทั้ง ๓ อย่าง ถึงจะละกิเลสได้ อย่างสมถะเขาเอาตัวรู้เพ่งเข้าไปเขาจะเห็นกิเลส ละไมไ่ ด้ ได้แตข่ ่ม พอถอนกิเลสก็กลบั มาอย่างเก่า เราจะทาสติ – น่ัง นอน ยืน เดิน ให้จิตเกาะกับกาย ตลอดเวลา การภาวนานี่ทั้ง ๔ อิริยาบถ ทาได้หมด เดี๋ยวจะสอน และสาธิตการเดินจงกรม ว่าเราต้องกาหนดอะไรบ้าง (มีผู้เดิน ประกอบการสาธิต) เร่ิมให้เราทาสติเสียก่อน เอาจิตมาเกาะที่กาย ไม่ใส่รองเท้า ให้เท้าสัมผัสพื้น จะชัดเจน จิตเกาะท่ีฝ่าเท้า เดิม อาตมาใช้พุทโธ เขาก็บอกว่าเอาพุทโธไปไว้ที่เท้าไม่ดี อาตมาก็ เปลี่ยนคาใหม่ ขวาย่าง-ซ้ายย่าง ขวาก้าว-ซ้ายก้าว ก็ได้ พูดอะไรก็ ได้ให้จิตอยู่กับฝ่าเท้า ตามองพื้นข้างหน้า ๒ เมตร ระยะทาง มาตรฐานของการเดินจงกรมประมาณ ๒๕ ก้าว ถ้าที่ไม่พอก็ ๒๐ หรือ ๑๕ ก้าวก็ได้ แต่ลดมาก ๆ จะมึนหัว งง การเดินจงกรมต้อง เดินกลับไปกลับมา เดินให้เป็นปกติ ไม่ต้องช้า ไม่ต้องเร็ว ของคน ไทยไม่เหมือนพม่า พม่าเขาเน้นการเดินอย่างเดียว เขาก็จะเดินช้า เขาไม่มีงานอย่างอ่ืนต้องทา เรามีงานหลายอย่าง การเดินจงกรมก็ ฝึกสติเท่านั้นเอง ถ้าเราเดินไปความรู้สึกก็จะชัดขึ้นมา ให้จิตเกาะท่ี ๑๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ หัวเขา่ กไ็ ด้ ดูความเคลอื่ นไหวของเขา่ ของขา หรือจะเอาคาบรกิ รรม ขวาย่าง-ซ้ายย่าง ก็ได้ เอาขวาออกก่อน พุทธศาสนาใช้ขวาออก ก่อน สุดทางหมุนขวา พอตัวชดั ขึน้ มา เราก็เอาจติ ประคองไป ไวท้ ่ี ช่องจมูกหรือท่ามกลางหน้าอก แล้วก็ ขวา-ซ้าย ๆ ต่อไปเร่ือย ๆ ดู การเคล่ือนไหวของกายท้ังตัว มันชัดข้ึนเร่ือย ๆ เดินไปเดินไปสติก็ ชัดข้ึน เราก็รู้เนื้อรู้ตัว เซ็นเตอร์ (วางจุดศูนย์กลาง) ไว้ท่ีปลายจมูก หรือว่ากลางหน้าอกก็ได้ แล้วก็นึกถึงกาย ไม่ต้องไปนึกขึ้นลง ก็รู้อยู่ ท่ีกายเคลื่อนไป ๆ กายโยก ๆ เราก็ดูคลุมไปเลย เหมือนกับตอนเรา น่งั เราจะเหน็ ชัดทงั้ ตวั อนั น้คี อื การทาสตจิ ากการเดิน ทาสมาธิก็คือ กาหนดลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นหลัก เข้ารู้ ออกรู้ แล้วกน็ ่ัง การ นั่งการเดินก็กาหนดได้หมด จนถึงทาปัญญา อะไรต่ออะไรก็กาหนด ได้ เดินไปด้วย เอาการเดินเป็นรอง เอาสติหรือสมาธิอะไรก็ตามที่ เราทา รู้ว่าเราเดินซ้อนนิดหน่อยแล้วก็นั่ง เอาการนั่งเป็นหลัก น่ัง อยา่ งไรก็เดนิ อย่างนัน้ อานิสงส์ของการเดินจงกรมคือ ๑) เดินทางไกลได้ทน สมยั ก่อนเดินทางไกลเขาเดนิ กันจริง ๆ การเดินจงกรมทาใหเ้ ราเดิน ทางไกลได้ทน สมัยนี้ก็ให้เราไปเท่ียว ช็อปป้ิง หรืออะไรต่าง ๆ ได้ ทน ๒) อาหารย่อยได้ง่าย เรากินอาหารใหม่ ๆ ยังงง ๆ งวย ๆ เรียกว่า เมาอาหาร ก็ไปเดินจงกรมซะ การเมาอาหารก็ลดลงไป เยอะ รา่ งกายกโ็ ปร่งสบาย อาหารย่อยได้ดี ๓) ไมป่ ่วยไขเ้ จบ็ เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นหวัดคัดจมูกอะไรต่าง ๆ ไม่ค่อยเป็น ภูมิต้านทาน ร่างกายดีข้ึน เดินเป็นการออกกาลังกาย ๔) การเดินจงกรมทาให้ นั่งสมาธิได้นาน ถ้าเราเดินและน่ังสลับกันไป เราจะน่ังได้นาน ไม่ เสียสุขภาพ ถ้านั่งอยา่ งเดียว อิริยาบถมันเสีย บางทที าให้รา่ งกายไม่ ๒๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ ปกติ ๕) สมาธิที่เกิดจากการเดินอยู่ได้นาน เพราะเวลาเราเดิน แล้วเกิดสมาธิ พอไปนงั่ สมาธิกย็ ังอยู่ ไม่เสอ่ื ม เพราะการนั่งสมาธิมัน ละเอียดกวา่ การเดิน การเดนิ ไดส้ มาธิหยาบทสี่ ดุ พอไปนัง่ สมาธิก็ยัง เกดิ อยู่ ถ้านัง่ แล้วไปยนื สมาธจิ ะหายไปหมด พักเบรก ๓๐ นาทีแล้วต่อใหม่ เหน่ือยนะ การภาวนาแบบ ปญั ญานเี่ หน่อื ย ไม่เหมอื นนัง่ สมาธิอย่างทั่วไป เขาได้พกั อยูใ่ นภวังค์ นี่เราต้องตัดภวังค์ออกหมด เอาแต่สมาธิท่ีเป็นสมาธิแท้ ๆ กายกับ ใจเลย ๒๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ (ตอนท่ี ๒/๒) ฟังธรรมะกันก่อน สมัยพระพุทธเจ้าออกบวช ก่อนท่ีจะมี พระพุทธศาสนา เจ้าชายสิทธัตถะก็นับถือศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงมี พระเจ้า ๓ ตน พระพรหมเปน็ ผู้สรา้ งโลกสรา้ งมนุษย์ พระนารายณ์ เป็นผู้ปกปักรักษามนุษย์ พระอิศวรเป็นผู้ทาลายมนุษย์ เจ้าชาย สิทธัตถะสมัยที่เป็นเจ้าชายหนุ่มก็ทรงเพลิดเพลินอยู่กับความสุข ของชีวิตชนิดที่เรียกว่าหน่ึงไม่มีสองท่ีพระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธ ทะนะเป็นผู้จัดสรรให้ แต่เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงเห็นวา่ ชวี ติ ของมนษุ ยต์ ้องมคี วามแก่ ความเจบ็ ความตาย ก็ทรง สลดพระทัย ว่าความสนุกสนานเพลิดเพลินต่าง ๆ เหล่าน้ี ไม่นานก็ หายไป ทุกส่ิงทุกอย่างต้องจากไป เพราะความตายพลัดพรากจาก ไป ทาอยา่ งไรจงึ จะไมต่ ายได้ แตก่ ็ไมเ่ ห็นว่าจะมีเทพเจา้ องคไ์ หนมา ช่วยได้ จึงตัดสินใจออกบวช หาความไม่ตาย ในสมัยน้ัน พวกฤๅษีก็ น่ังสมาธิช้ันสูงได้ เชื่อว่า ณ จุดน้ันเป็นชีวิตที่ไม่ตาย เป็นอมตะ พระองค์ก็ไปศึกษากับพวกฤๅษี ทาสมาธชิ ้ันสงู ได้ แต่กเ็ หน็ ว่า ณ จุด น้ันก็ต้องตายเหมือนกัน พระองค์จึงออกมาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง ใช้เวลา ๖ ปี ในท่ีสุดก็ทรงค้นพบความไม่ตาย เม่ือไม่ตายก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดก็ไม่ตาย สภาวะน้ันเรียกว่า “นิพพำน” นิพพำน เป็น สภาวะทีม่ คี วามสุขสดุ ยอดในจกั รวาลเลยทีเดยี ว เม่ือพระองค์ค้นพบความไม่ตาย พระองค์ก็สอนธรรมให้ ผู้อืน่ ได้รู้ตามเป็นจานวนมากมายมหาศาล เมือ่ พระองค์ตรัสรู้ก็ได้ชื่อ ว่าสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็สอนพวกประชาชนทุกชนชั้นของ สังคม ตั้งแต่พระราชา ปุโรหิต มหาเศรษฐี ข้าทาส กรรมกร ต่างก็ ๒๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ ปฏิบัติตามพระองค์ไปสู่นิพพานได้ แล้วก็มีการถ่ายทอดสืบต่อคา สอนของพระองคม์ าจนถงึ ทุกวันน้ี เพราะพระองค์เห็นความตาย จึงไม่ประมาทในชีวิต ออก ค้นคว้าหาความไม่ตาย แล้วพระองค์ก็ค้นพบความไม่ตาย ทรง ประกาศศาสนา โดยใช้เวลา ๔๕ ปี พุทธศาสนาเจริญอย่างรวดเร็ว คนค่อนประเทศอินเดียที่สมัยนั้นถือพระเจ้าก็มาเป็นชาวพุทธ นับ ถือตามพระองค์ และสืบต่อธรรมะมาจนถึงพวกเราทุกวันน้ีได้ พวก เราก็โชคดี ได้ฟังคาสอนของพระพุทธเจ้าท่ีถ่ายทอดสืบต่อกันมา และก็โชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา แล้วก็ได้มาปฏิบัติ ธรรม ถือว่าโชคดีที่สุด เพราะว่าต้องอยู่ในฐานะนี้เท่านั้นจึงจะพบ กับความไมต่ ายได้ ไม่เชน่ นัน้ ก็ไมม่ ที าง แม้กระท่ังเป็นเทวดาก็ใช้บุญหมดเหลือแต่บาปก็ตกนรก ใหม่ ไม่สามารถจะปฏบิ ัติได้ นอกจากพวกที่ปฏิบัติมาในโลกมนุษย์ จนคล่องปากขึ้นใจ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ไปทาต่อได้ เพราะเทวดาน่ี จิตเป็นสมาธิก็จริง แต่เป็นสมาธิที่เป็นภวังค์ ไม่มีสติ ขาดสติ แต่ถ้า ปฏิบัติมาในโลกมนุษย์จนคล่อง พอไปเป็นเทวดาก็นึกถึงมรรคท่ี ตนเองทาในโลกมนุษย์ข้ึนได้ก็สติเกิด มรรคเกิด ผลก็เกิด เพราะ เทวดาน่ีจิตละเอียดโดยธรรมชาติ เพราะฉะน้ัน ท่านบอกว่า ผู้ที่ ปฏิบตั ใิ นโลกมนุษย์ ถา้ ไม่ไดผ้ ลในปจั จุบันก็ได้ใกล้ตาย ถ้าไม่ได้ตอน ตายกเ็ ก็บไปบนสวรรค์ ทาตอ่ บนสวรรค์ ณ บนสวรรคน์ นั้ ทา่ นบอก ว่าจะบรรลุคณุ วิเศษโดยพลนั เลยทีเดยี ว ดงั นนั้ ขอให้เราทกุ คนต้ังใจ ทาเอาจรงิ เอาจัง มันต้องไดแ้ น่นอน การเดินทาง ถ้าเราไม่ทอดทิ้ง เดินทุกวัน ๆ ไม่ออกนอก เส้นทาง ต้องถึง ทางไกลอย่างไรก็ต้องถึง อาตมาก็พยายามจะสอน ๒๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ ให้ชัดเจนและง่ายท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ อาตมาสอนมาหลายสิบปี ผู้ท่ี เดินทางได้ จิตเข้ามรรคเข้าไปภายในได้ ทัศนคติต้องเปล่ียนจริง ๆ แต่ก็เปล่ียนช่ัวคราว เพราะไม่ถึงฐาน ถ้าถึงฐานก็เปลี่ยนถาวร เรียกว่าได้ปริญญาตรี แต่ถ้ายังไม่ได้ปริญญาตรี เปล่ียนช่ัวคราว เรา ก็ต้องทาต่อ ถ้าเราเผลอไม่ทาต่อ กิเลสก็แทรกเข้ามาได้อีก แต่ก็ทา ให้เกิดความประทับใจว่า มันเป็นไปได้ท่ีกิเลสโดนขัดเกลาได้จริง ๆ ทัศนคติเปลย่ี นได้จรงิ ๆ ตอ่ ไป เราจะภาวนาต่อ การปฏิบัติคือการเดินทาง มรรคคือ หนทาง ยอ่ มรรค ๘ เปน็ ศลี สมำธิ ปัญญำ ยอ่ ไปอกี เปน็ สติ สมำธิ ปญั ญำ เราก็ทาสติก่อน สตกิ ค็ อื เอาจิตมาเกาะท่ีปลายจมูก คลมุ แต่ หัวจรดเท้า นี่คือสติ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ใช้อิริยาบถเป็น เคร่อื งเกาะของจิต ไม่ต้องเล่ือนจิตขน้ึ ลงได้เป็นการดี จิตเกาะปลาย จมูก คลุมหัวไปเท้าเลย ได้เท่าไรเอาเท่านั้น ไม่ต้องบังคับ ต่อไป ทาสมาธิ กาหนดที่จุดเดียวกันนี่แหละ ท่ีปลายจมูก สมมติว่ามีลม เข้าออกผ่านปลายจมูก เวลาหายใจเข้าไม่ต้องนึกตามลมหายใจเข้า เวลาหายใจออกไม่ต้องนึกตามลมหายใจออก นึกอยู่ท่ีปลายจมูก อย่างเดียว ประคองจติ อยา่ ให้ฟงุ้ ซา่ น อยา่ ให้เคล้ิมหลบั ให้อยู่กบั ลม หายใจเข้าออกบนปลายจมูก เข้า-รู้ ออก-รู้ ดูตัวเอง ตัวรู้คือตัวจิต คือตัวสมาธิ ตัวรู้น่ีไม่ใช่เกิดข้ึนลอย ๆ รู้อยู่กับลมหายใจ ลมหายใจ ชัดตวั ร้กู ช็ ดั ทาไป ................................ ลมหายใจนี่ทาสักพักจิตเหนื่อยก็จะหนีไปพัก เป็นภวังค์ ดังน้ันเราต้องเอากาย คือตัวสติซ้อนเข้าไปอีก เพื่อบังคับให้จิตมัน ทางานลกึ ไปได้ ขอ้ น้สี าคัญเป็นจุดต่อท่ีเราจะเดินปัญญาก็ตาม หรอื ทาสมาธชิ ้ันสงู ดว้ ยลมหายใจก็ตาม ถา้ ไม่ผ่านจุดน้ีจะไปไมร่ อด ๒๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ เอาจิตมาเกาะที่ปลายจมูก นึกถึงกายหัวจรดเท้าเป็นสติ นึกถึงลมเข้าออกหายใจปลายจมูกที่ซ้อนเป็นสมาธิ ทาทั้ง ๒ อย่าง พูดไปด้วยก็ได้ กายชัด-เข้า กายชดั -ออก กายชดั คือกายชัดตง้ั แต่หัว ถงึ เทา้ เข้าคือลมหายใจเข้า ออกคอื ลมหายใจออก กายชัด-เข้า กาย ชัด-ออก นึกถึงกายลมเข้า นึกถึงกายลมออก ทา ๒ อย่าง เหนื่อย หน่อย (ปลอ่ ยใหป้ ฏบิ ตั ปิ ระมาณ ๑.๓๐ นาท)ี ต่อไป เราจะเดินปัญญา ปัญญาคือการเห็นจริงตามสภาพ ความเป็นจริง เห็นกายกับใจ ปริญญาตรีนี่เรายกเรอื่ งใจไวก้ ่อน เอา กายกับลมซ้อนกัน มาดูเร่ืองกิเลส กิเลสน่ีมันใส่ไปจากฐานของจิต อยู่ทีใ่ ต้สานึกเลยว่า กายกบั ลมเปน็ คนเปน็ เราเป็นของเรา ธรรมชาติ มันใส่กิเลสเข้ามาไว้ ทาให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด มันใส่เข้า มาแล้วมนุษย์ก็ปรุงแต่งถึงในจิตสานึก สนุกสนานเพลิดเพลิน ทาดี ทาชั่ว สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นกิเลสหมุนเวียนอยู่ไม่มีที่ส้ินสุด เรียกว่าวัฏฏสงสาร มันปรุงแต่งมาจากว่า กายเป็นคนเป็นเราเป็น ของเรา มองคนอื่นเป็นเขาของเขา ปรุงแต่งไปอีก เป็นผู้หญิงผู้ชาย ปรุงแต่งต่อไปอีกเป็นสูงต่าดาขาว มองรายละเอียดต่อไป ปรุงแต่ง ต่อไปว่า งามไม่งาม ปรุงแต่งต่อไป ความรักความชังเกิดข้ึน คนเรา น่ี เห็นกันไม่รักกันก็ชังกัน รักกันก็คิดเลยเถิดทาเลยเถิด รักกันก็ แต่งงานกัน ชังกันก็ทะเลาะกนั ทาบญุ ทาบาป เป็นสขุ เป็นทุกข์ ตาย ไปสวรรค์ไปนรก เวยี นวา่ ยตายเกดิ วฏั ฏสงสารก็เกิดขน้ึ วัฏฏสงสารเกิดข้ึนจากอะไร ก็เกิดข้ึนจากการท่ีคิดว่ากาย เปน็ คนเป็นเราเปน็ ของเราน่แี หละ เรียกว่า สักกำยะทิฏฐิ เป็นกเิ ลส ตัวแรกท่ีจะผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ พระพุทธเจ้าถึงให้เราคิดใหม่ตาม ความเป็นจริง ความเป็นจริงก็คือ กำยน่ีเป็นสภำวะ ๔ สภำวะท่ี ๒๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ รวมกันเข้ำอย่ำงเหมำะสม สภำวะแข็งคือธำตุดิน จับแล้วแข็งคอื ธำตุดิน สภำวะไหลเล่ือนเอิบอำบคือธำตุน้ำ สภำวะร้อนเรียกว่ำ ธำตุไฟ จับแล้วร้อนคือธำตุไฟ สภำวะเคล่ือนไหว ลมหำยใจเข้ำ ออกเคล่ือนไหวเรียกว่ำ ธำตุลม หัวใจเต้นตึ้ก ๆ เลือดฉีดพล่ำน ทั่วตวั คอื เคลื่อนไหวเป็นธำตลุ ม กำยเปน็ เพียงธำตุ ๔ ดนิ นำ้ ลม ไฟ ไม่ใช่สตั ว์บคุ คล ไมใ่ ช่เรำของเรำ คิดแคน่ ่ี ปัญญาก็คือเราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ท่ีคิดว่ากายเป็น เราของเราต้องคิดใหม่ว่ากายเป็นสภาวะธรรม ธาตุ ๔ ดิน น้า ไฟ ลม เท่านั้น ปัญญาเกิดจากการฟัง ก็ฟังคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ ถ่ายทอดสืบต่อกันมา ฟังแล้วคิด ปัญญาต้องเกิดจากการคิด ไม่คิด ไม่ได้ ถ้าไม่คิดมันไม่เป็นปัญญา สุดท้ายปัญญาเกิดจากการภาวนา ภาวนามยปัญญา เป็น process เป็นกระบวนการที่จะทาให้ละ กิเลสได้จริง ๆ คือการเดนิ เขา้ มรรค เราคือหนึ่ง กระจายออกเป็นกองธาตุ ๔ ความเป็นเราก็ หายไป เหลือแต่สภาวะธรรมที่เป็นกองธาตุ ๔ กระจายออกไปอีก เป็น ๔๒ ช้ินส่วน ธาตุดิน ๒๐ ธาตุน้า ๑๒ ธาตุไฟ ๔ ธาตุลม ๖ จะ ทาให้เราเห็นชัดเจนขึ้น สติ สมาธิ ปัญญา จะดีข้ึน หลังจากน้ันถึง เข้ามรรคทหี ลงั เอาล่ะ คิดตามนะ ธาตุดิน ๒๐ เกสำ คือผมทั้งหลาย ผม บนหวั เรานเี่ ปน็ ธาตดุ ิน โลมำ คอื ขนทัง้ หลาย ขนควิ้ ขนท่ัวตวั เปน็ ธาตุดนิ นะขำ คอื เลบ็ ทัง้ หลาย เลบ็ มือเล็บเท้า เป็นธาตดุ ิน ทนั ตำ คือฟันทั้งหลาย ฟันในปากเป็นธาตุดิน ตะโจ คือหนัง หนังหัวถึง หนังเท้าเป็นธาตุดิน มังสัง คือเนื้อ ถลกหนังออกเห็นเนื้อเป็นมัด ๆ นหำรู คือเอ็นท้ังหลาย ฉีกเนื้อออกเห็นเอ็นขึงทั่วตัว อัฏฐี คือ ๒๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ กระดูกทั้งหลาย เอาเอ็นออกเห็นกระดูกโผล่ กระดูกหัวกะโหลก กระดูกแขน กระดูกขา ซ่ีโครง กระดูกสันหลัง อัฏฐิมิญชัง คือเย่ือ ในกระดูก ทุบกระดูกออกเห็นเยื่อในกระดูก วักกัง ไต กระดูกท่ีบั้น เอวมไี ตอยู่คหู่ นึง่ หะทะยงั หัวใจ อยทู่ ี่ชอ่ งอกด้านซา้ ย ยะกะนัง ตบั อยทู่ ี่ชายโครงดา้ นขวา กิโลมะกงั พงั ผืด กระบังลมอยทู่ ชี่ ายโครง ปิ หะกัง ม้าม อยู่ชายโครงด้านซ้าย ปัปผำสัง ปอด อยู่ท่ีช่องอก ด้านหน้า อันตัง ไส้ใหญ่ อยู่ในช่องท้องขดอยู่รอบนอกขดเดียว อันตะคุณัง ไส้น้อย ขดอยู่กระจุกใหญ่กลางช่องท้อง อุทะริยัง อาหารใหม่ท่ีกินเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหาร กะรีสัง อาหารเก่า อยู่ในลาไสใ้ หญ่ มตั ถะเก มตั ถะลุงคัง เย่อื ในสมองศรี ษะ มันสมอง ทั้งหมดน้ีเป็นธาตุดนิ มีลักษณะแข็ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ของเรา เป็นธาตดุ นิ ต่อไปธาตนุ า้ ปิตตัง น้าดี อยใู่ นถุงนา้ ดี ติดอยู่กับตับ ขนาด ประมาณนิ้วชี้ มีสีเขียว เสมหัง น้าเสลด ปุพโพ น้าเหลือง มีทั่วตัว มีมากในต่อมน้าเหลือง รอบคอ รอบแขน รอบขา โลหิตัง น้าเลือด มีทั่วตัว มีมากในช่องท้อง เสโท น้าเหงื่อ เมโท น้ามันข้น มีท่ัวไป มากท่ีไขมันหน้าท้อง อัสสุ น้าตา วะสำ น้ามันเหลว มีทั่วไป มีมาก ตามฝ่ามือฝ่าเท้า เขโฬ น้าลาย สิงฆำณิกำ น้ามูก ละสิกำ น้าไขข้อ หล่อลื่นข้อทั่วไป มุตตัง น้ามูตร อยู่ในท่อปัสสาวะ ทั้งหมดเป็นธาตุ น้า มลี กั ษณะเหลว ไมใ่ ช่สตั ว์ ไม่ใชบ่ คุ คล เปน็ ธาตนุ ้า ต่อไป ธาตุไฟ ไฟท่ีให้ความอบอุ่น มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น ท่ีมีไฟอุ่นอยู่ตลอดเวลา ทาให้แก่ชราเพราะไฟมันเผาทุกวัน ๆ ก็แก่ ลงไป ไฟท่ีทาให้เราร้อนทุกวัน หิวกระหาย เพราะไฟต้องใช้ เช้ือเพลิง เชื้อเพลิงพร่องลงไปก็ทาให้เราร้อน กระวนกระวาย หิว ๒๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ กระหาย ไฟท่ีย่อยอาหาร ทั้งหมดเป็นธาตุไฟ มีลักษณะร้อน ไม่ใช่ สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใชเ่ รา เปน็ ธาตไุ ฟ ต่อไป ธาตุลม ลมที่พัดข้ึนสู่เบื้องบน จากเท้าถึงหัว ถ้า อ่อนไปก็ทาให้มึนงง ความจาเส่ือม เป็นอัลไซเมอร์ ลมที่พัดสู่เบ้ือง ลา่ ง จากหัวลงเทา้ ถ้าอ่อน ทาใหเ้ ปน็ เหนบ็ ชา เป็นอัมพฤกษอ์ ัมพาต ลมในช่องท้อง ลมในลาไส้ อาหารท่ีเรากินเข้าไป ตกสู่กระเพาะ อาหาร ลมในกระเพาะอาหารจะพัดเข้าสู่ลาไส้เล็ก ออกลาไส้ใหญ่ และทวาร ลมที่แผ่ซ่านไปตามอวัยวะต่าง ๆ รวมท้ังแขนและขา ลม หายใจเข้าออกท้ังหมดเป็นธาตุลม มีลักษณะเคล่ือนไหว ไม่ใช่สัตว์ ไมใ่ ชบ่ ุคคล ไมใ่ ช่เรา ไม่ใชข่ องเรา เป็นธาตุลม ที่นี้ เราเห็นชัดเจนแล้วว่ากายน่ีไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มัน เหมือนถุงขยะ หนังหุ้มหัวถึงเท้าเป็นถุง นอกถุงมีผม ขน เล็บ ในถุง มีเนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า เป็นตน้ มีธาตนุ า้ น้าดี น้าเหลือง นา้ เลือด นา้ ปัสสาวะ เป็นตน้ มีไฟ อุ่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีลมพัดเป่าช้ินส่วนของธาตุ ๔ ขยับไปขยับ มา น่าเกลียดน่าชัง น่าเบ่ือหน่าย ลองมองดูสิ .......... มันไม่ใช่เรา เหน็ ไหม เปน็ ถงุ ขยะท่ีน่าเกลยี ดทส่ี ดุ ความจริงธาตุทั้ง ๔ น้ัน มันเป็นสหชาติกัน ผมท่ีจริงเป็น ธาตุ ๔ แต่มีธาตุดินมาก ธาตุน้า ไฟ ลม น้อยหน่อย น้าดีก็เป็นธาตุ ๔ เหมือนกนั แตม่ ีธาตนุ ้ามาก ไฟทีใ่ ห้ความอบอุ่นก็เปน็ ธาตุ ๔ แต่มี ธาตุไฟมาก ลมหายใจก็เป็นธาตุ ๔ แต่มีธาตุลมมาก ธาตุดิน น้า ไฟ น้อยหนอ่ ย ลมหายใจเป็นธาตุ ๔ อยา่ งไร ลมหายใจมีนา้ หนักสัมผัส ได้ จึงเป็นธาตุดิน มีความแข็งอยู่นิดหนึ่งน่ันน่ะ เป็นธาตุดิน ลม หายใจชื้น น่ันคือธาตุน้า ลมหายใจอุ่น จึงเป็นธาตุไฟ ลมหายใจ ๒๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ เคลื่อนไหวจึงเป็นธาตุลม ลมหายใจเป็นธาตุ ๔ จริง ๆ ไม่ต้องสงสัย หายใจเขา้ ธาตุ ๔ เขา้ หายใจออก ธาตุ ๔ ออก กายนี่เป็นถงุ ขยะ ภายในมีชน้ิ สว่ นของธาตุ ๔ มธี าตุ ๔ เป่า เข้าเป่าออก ทาให้ชิ้นส่วนขยับไปขยับมา มีไฟอุ่นตลอดเวลา น่ีคือ กาย ไมใ่ ชค่ น ไมใ่ ช่เรา เห็นชัด ๆ วา่ มันเหมือนถุงขยะ กาหนดลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก หายใจเข้า ธาตุ ๔ เข้า หายใจออก ธาตุ ๔ ออก ลักษณะของธาตุนั้นแปรปรวนเสื่อม สลายไม่เท่ียง หายใจเข้า - ธาตุ ๔ เกิด ธาตุ ๔ ดับ หายใจออก - ธาตุ ๔ เกิด ธาตุ ๔ ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ อนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ทุกขังหยุดไม่ได้ หยุดเมื่อไรแตกกระจาย อนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเพียงสภาวะธรรมท่ีมารวมตัวกัน ช่ัวคราว ในฐานะทเี่ ปน็ ปถุ ุชนท่จี ะเดินทาง เอาอนิจจงั ให้ชดั เจนก่อน ทุกขัง อนัตตายังคลุมเครือเอาไว้ก่อน หายใจเข้า – ธาตุ ๔ เกิด หยดุ ดบั หายใจออก – ธาตุ ๔ เกิด หยุด ดบั เหน็ แล้วนี่ น่คี อื ตวั ปัญญา ทีน้ีเราจะใช้อริยสัจ ๔ เป็นการเดินทางเข้าสู่มรรค พระพุทธเจ้าทรงใช้อริยสัจ ๔ เป็นหลัก อริยสัจ ๔ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทกุ ขสัจก็คอื ทุกข์กายทุกข์ใจน่ีแหละ ปริญญาตรีใจยก ไว้กอ่ น เอากายไปกอ่ น เอากายกับลมหายใจซ้อนกนั เป็นทกุ ข์ สติท่ี เป็นไปในกายคือลมหายใจ กาหนดไว้ท่ีปลายจมกู ให้รตู้ ลอดเวลา ให้ รู้กายคือลมหายใจตลอด นี่คอื ทกุ ขสจั จ์ สมุทัยก็คือต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือตัวตัณหาน่ีเอง พอมันทุกข์ เราก็อยากจะสุข หาทางให้มันสุข สุขช่ัวคร้ังชั่วคราวก็กลับมาทุกข์ อกี คนเรากส็ ุขมง่ั ทุกข์มง่ั อย่ตู ลอดเวลา เพราะฉะน้นั เราจะพ้นทุกข์ ๒๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ เราต้องท้ิงทั้งหมดให้ถึงต้นเหตุ เหรียญมีหัวกับก้อย ท้ิงก้อยไว้เอา หัวไว้ไม่ได้ ท้ิงก็ต้องท้ิงท้ังเหรียญ ฉันใดก็ฉันน้ัน ต้องทิ้งต้นเหตุแห่ง ทุกข์ ทุกข์จึงจะหายไป ต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือ จิตท่ีมันฟุ้งซ่าน ภายนอก ให้นกึ ถึง รปู เสยี ง กล่ิน รส สมั ผัส เหน็ นิมติ อาจารย์คน นู้นมาบอกให้ทาอย่างนี้ อาจารย์คนนี้บอกให้ทาอย่างนู้น ใช่ไม่ได้ หมด เป็นภายนอกหมด ตอ้ งละใหห้ มด เป็นกามตัณหา จิตท่ีหนีไปพักเป็นภวังค์ เพลินทางจิต ต้องละเหมือนกัน ละแลว้ จติ ไปไหน จติ ก็อยู่ท่ีทกุ ข์อยา่ งเกา่ อยู่ท่กี ายกบั ลม หา้ มไม่ให้ ตัวสมุทัยมาเลย สมาธิทีเ่ ขาเลน่ กันในท้องตลาดเขาใชต้ วั สมุทัยเป็น หลกั เล่นในภวังค์ เห็นภาพนิมติ นูน่ น่ี พยากรณไ์ ปรักษาโรคได้ หาย มั่ง ไม่หายม่ัง เป็นสมาธิท่ีใช้ไม่ได้ในการเดินมรรค ต้องสมาธิจาก กาย (ลม) กับใจแท้ ๆ เลย จึงจะละกิเลสได้ เอาทุกขสัจเป็นหลัก สมุทัยต้องละท้ิงหมด นิโรธคือปัญญา ต้องทาให้แจ้ง ให้เห็นกายกับ ใจ วา่ กายไมใ่ ช่คน ไมใ่ ชเ่ รา เปน็ ธาตุ ๔ คนเรำน่ะไม่มีหรอก เป็นสมมติ ควำมจริง เป็นเพียง สภำวะธรรม ๔ สภำวะ ดิน-แข็ง น้ำ-เหลว ไฟ-ร้อน ลม- เคล่ือนไหว เท่ำนั้นเอง เป็นสภำวะธรรมเท่ำนั้น ควำมเที่ยงเป็น เช่นนั้น กิเลสก็มำสมมติว่ำเป็นคนเป็นเรำ นั่นน่ะเป็นกิเลสสมมติ กัน เกดิ ควำมสขุ ควำมทกุ ขต์ ่ำง ๆ ขนึ้ มำในจติ สำนึก นิโรธต้องทำ ใหแ้ จง้ กำยก็ไม่ใช่เรำ เป็นธำตุ ๔ เกิดดบั เทำ่ นน้ั เอง นิโรธจะแจ้ง ได้ตอ้ งทำมรรค ทำให้มำก เจรญิ ให้มำก มรรค ๘ ย่อมำก็เหลือ ๓ -- สติ สมำธิ ปัญญำ มรรค ๘ พระพุทธเจ้าเอามาจากไหน ก็เอามาจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ ทุกขสัจคือจิตที่เกาะที่ปลายจมูก คลุมทั้งกายนั่นน่ะ ๓๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ เป็นสติ จิตท่ีเกาะปลายจมูกอยู่จุดเดียวเห็นลมหายใจเข้าออกน่ัน เป็นสมาธิ ท่ีเห็นกายกับลมไม่ใช่คนไม่ใช่เราเป็นธาตุ ๔ เกิดดับ นนั่ น่ะเป็นปญั ญา กาหนดจดุ เดียวนั่นแหละที่เกาะปลายจมูก นกึ ถึง สติ สมาธิ ปัญญา ด้วยจุดเดียวนี่แหละ เอาจุดนี้ทาไป ๆ ห้ามคิด เร่อื งอนื่ สิ่งใดท่ีเราเคยศึกษาเรียนมาอะไรต่าง ๆ ได้ฟังได้ยินมาให้ เลิกคิดให้หมด คิดถึงแต่ความจริงอันนี้ ความจริงก็คือ กาย-ลมเข้า ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ กาย-ลมออก ไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ คิด แค่นี้ ต้องทาให้จิตมันมีกาลังมากข้ึน ๆ มันจะเดินเข้าภายในโดย ธรรมชาติจิตเอง เรากาหนดท่ีปลายจมูกแล้วมันจะเดินเข้าไปเอง เข้าไปที่ช่องจมูก กลางหน้าอก เหนือสะดือ ลึกลงไปถึงฐานของจิต เลย ตึ้ง เท่านั้น มัคคะสะมังคีเกิดขึ้นคร้ังแรก เรียกว่า ยะถำภูตัง ญำนะทัสสะนัง เห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง ปัญญาที่แท้จริง เกิดข้ึนแล้ว จบปริญญาตรีทางพุทธศาสนา เรียกว่า ญำตะปริญญำ ไม่ต้องลงนรก ปิดอบายได้ จิตจะพัฒนาต่อไปถึงมรรคผลนิพพาน เราก็เอาแค่น้กี อ่ น พยายามทาใหไ้ ด้ ปดิ อบายใหไ้ ด้เสยี ก่อน เราใช้อริยสัจ ๔ เป็นตัวบังคับไม่ให้จิตออกนอก ทุกข์ ต้อง อยูก่ ับกาย-ลม ตลอดเวลา ไมใ่ ห้ไปกามตัณหา วิภาวตัณหา (สมทุ ัย) ไม่ให้เพลินทางกาย ไม่ให้เพลินทางจิต ให้เพ่งอยู่กับทุกข์ตลอดเวลา นิโรธ ต้องทาให้แจ้ง กายกับลมไม่ใช่คนไม่ใช่เรา ธาตุ ๔ เกิดดับ พยายามทาให้แจง้ แคน่ ี้ ตอนแรกให้คดิ ไปก่อน คิดจนมนั เดินเข้าข้าง ใน ถึงฐานก็ดับของมันเอง เป็นธรรมชาติของมัน (ปล่อยให้ปฏิบัติ ประมาณ ๑๘ นาท)ี ๓๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ พอสมควรแก่เวลา จะพูดถึงการปฏิบัติธรรมกับพุทธ ศาสนาของไทยให้ฟังอย่างย่อ ๆ นับต้ังแต่กรุงศรีอยุธยาแตกคร้ังท่ี ๒ เป็นต้นมา ประเทศก็ตกอยู่ในสภาวะสงคราม บ้านเมือง ระส่าระสาย บ้านแตกสาแหรกขาด จนมาถึงสมัยธนบุรีและ รตั นโกสินทรต์ อนต้น ก็ยงั มีศึกกับพมา่ มาตลอด การปฏบิ ัตทิ างพุทธ ศาสนาเกย่ี วกับมรรคผลนิพพานคงจะขาดหายไป เนอ่ื งจากสงั คมไม่ ปกติ จากคาสอนของพระพุทธเจ้า คือสมัยที่ข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม เกิดปฏิวัติรัฐประหาร พระแตกกันหรือ โยมแตกกันก็ตาม การปฏิบัติธรรมฝ่ายวิปัสสนาคงจะหายไป หรือ เป็นไปได้โดยยาก สังคมก็พยายามใฝ่หาท่ีพ่ึงทางฝ่ายปฏิบัติ พระ ฝ่ายปฏิบัติก็พยายามทาตามความต้องการของสังคม คือปฏิบัติเพ่ือ ความขลัง ความศกั ดสิ์ ิทธิ์ เพื่อปกปอ้ งคมุ้ ครองจากอันตราย ปรากฏ วา่ ในสมัยรตั นโกสินทร์ พระฝ่ายปฏิบตั ิโดยมากเปน็ เกจิอาจารย์ขลัง ทางอิทธฤิ ทธท์ิ ง้ั นั้น แม้สมเด็จโต วัดระฆังก็เป็นประเภทขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ธรรม วินัยของพระต้นรัตนโกสินทร์ก็ย่อหย่อน เม่ือ ร.๔ มาบวชในสมัยท่ี ท่านยังไม่ได้ครองราชย์ก็มาต้ังวงศ์ธรรมยุติเพื่อปรับปรุงธรรมวินัย ของสงฆ์ให้ดีข้ึน แต่ก็ยังไม่มีพระสายปฏิบัติด้านวิปัสสนา คือด้าน ความพ้นทุกข์โดยตรง จนกระท่ังต่อมาในสมัยท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ทีแรกท่านปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้า แต่ เมื่อภาวนาไปก็เห็นทุกข์ของชีวิต เพราะว่าท่านปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า ภาวนาแล้วเห็นตัวเองเคยเกิดเป็นสุนัขก็สลดใจ ก็เลย ปรารถนาพ้นทุกข์เลย ไม่เอาแล้วความเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็หา ผู้สอนโดยตรงไม่ได้ ต้องมาค้นคว้าจากคาสอนในตาราบ้าง จากผู้รู้ ๓๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ บางท่านบ้าง ไปแสวงหาพระอาจารย์ถึงประเทศพม่าบ้าง แต่ก็ไม่ พบ ทา่ นเองมีบารมมี าก เพราะเคยบวชเองในชาตกิ ่อน ๆ แมก้ ระท่ัง ต้องใชเ้ วลาตราบจนถึงอายุ ๗๐ ปี จงึ ไดพ้ ้นทกุ ข์ แล้วก็เป็นผ้บู กุ เบิก ทางด้านวิปัสสนากรรมฐานของประเทศไทยเป็นองค์แรก ซ่ึงเป็น ฝ่ายธรรมยุติ ในประเทศไทยมีพระ ๒ นิกายคือ มหานิกาย กับธรรมยุติ เมื่อฝ่ายธรรมยุติมีสายวิปัสสนา แต่มหานิกายไม่มีก็น้อยหน้า ก็ไป นาเข้าจากพม่า เป็นฝ่ายวิปัสสนา ซึ่งพม่าเองก็เป็นประเทศที่บ้าน แตกสาแหรกขาดไม่แพ้เมืองไทย ดังน้ัน การปฏิบัติจึงไม่สมบูรณ์ แบบเช่นเดียวกัน แล้วก็เอาเข้ามาหลายระบบจนวุ่นวายไปหมด ดัง ปรากฏอยู่ในขณะนี้ เช่นระบบของสีสยาดอว์ก็เน้นสติ ระบบโก เอนก้าก็เน้นสมาธิ แต่เม่ือดูในภาพรวมของการพ้นทุกข์ตามหลัก วิชาแล้วก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ การสอนของท่านอาจารย์ม่ันเป็นฝ่าย สมถยานิก คือ เดินสมถะให้เต็มท่ีจนถึงอัปปนาสมาธิแล้วจึงเดิน ปัญญา การเดินจิตถึงอัปปนาสมาธินั้นยากมากถ้าไม่มีบารมีเก่า คือ เคยเป็นฤๅษีมาเม่ือชาติก่อน เคยเข้าป่าเป็นฤๅษีเอาจริงเอาจังอย่าง นั้นก็ได้อัปปนา หลวงปู่ต่าง ๆ ที่เป็นสายอาจารย์ม่ันแต่ก่อนท่าน เป็นพระขลังมาท้ังนั้น เมื่อมาฟังคาสอนของอาจารย์มั่นก็มา เปล่ียนเป็นสมาธิแบบใช้ปัญญาก็ไม่ยาก เช่นเดียวกับฤๅษีในครั้ง พุทธกาล ได้ฌานสมาบัติมีฤทธ์ิ พอได้ฟังคาสอนของพระพุทธเจ้าก็ ไดม้ รรคผลทันที อาตมาก็ต้องการปฏิบัติแบบวิปัสสนายานิก คือเดินมรรค เข้าไปเลย จนได้มัคคสมังคีครั้งแรกไม่ต้องถึงอัปปนาสมาธิ ได้ อุปจารสมาธิ ก็จบปริญญาตรี เรียกว่า ญาตะปริญญา ไม่ตกนรก ๓๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ แล้ว จิตจะพัฒนาต่อไปถึงมรรคผลนิพพาน อาตมาต้องการแค่น้ี เพราะว่าเราจะเดินถึงอัปปนา ถ้าไม่ได้ชาตินี้ก็หมดหวังเลย อาตมา หามา ๒๐ ปี ไม่มีใครสอนในฝ่ายวัดป่า จนมาพบหลวงปู่อยู่องค์ เดียวท่านสอนในระบบน้ี ไม่มีใครฟังรู้เร่ือง อาตมาฟังอยู่ตั้งแต่ เขา้ พรรษาจนออกพรรษา ท่านสอนทุกวนั ๆ ก่อนอาหาร จนกระทง่ั ออกพรรษาถึงรู้ว่า อ้อ ท่านสอนวิปัสสนายานิกสมบูรณ์แบบที่สุด อาตมาก็เลยพัฒนาการสอนมาเร่ือยอีก ๑๐ ปี จงึ ไดเ้ ร่ิมสอนให้ญาติ โยมบ้าง จนกระท่ังปัจจุบัน อาตมาก็สอนเฉพาะปริญญาตรีเท่า น้ันเอง เพราะไม่ยาก ถ้าปริญญาโทต้องถึงอัปปนาเหมือนกัน ปริญญาโทก็เป็นโสดาบัน เรียกว่า ตีรณปริญญา ปริญญาเอกก็เป็น พระอรหันต์ เรียกว่า ปหานปริญญา ปริญญาโทก็ต้องใช้ถึงอัปปนา จะเดินวิปัสสนายานิก หรือสมถยานิกก็เหมือนกัน อาจารย์มั่นท่าน เดินแบบสมถยานิก เดินทีแรกให้ถึงอัปปนาเสียก่อน แล้วมาเดิน ปญั ญาทหี ลงั ตอนแรกเราก็กะจะเดินเหมือนเขาคือเอาให้ถึงพระอรหนั ต์ เลย แต่เขามีบารมีในการทาสมาธิมาแล้ว เราไม่มี เราก็เดินตาม ข้ันตอนให้ได้ปริญญาตรี แล้วก็มาต้ังต้นใหม่ ทาสมาธิถึงอัปปนาให้ ได้ ก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ตกนรกแล้ว ปิด อบายได้ เราตอ้ งได้มรรคผลแน่นอน อีกหลายชาตกิ ็ไมเ่ ป็นไร ถ้าเรา ไม่ได้อะไรเลยก็เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ ๆ ยาก ๆ ต่อไปอีก ไม่มีที่ ส้ินสุดอีก เพราะฉะน้ัน เราต้องพยายามเอาให้ได้ไว้ก่อนเป็นการดี ผู้ท่ีจะมาปฏิบัติธรรมะได้ต้องเกิดเป็นมนุษย์ด้วย พบพุทธศาสนา และได้มาปฏิบัตธิ รรมอย่างถกู ต้องตามหลักวิชาจงึ จะได้ ไมเ่ ช่นน้ันก็ ไม่มีทางได้เหมือนกัน ใครก็ตามที่ได้เดินทางถูกต้องตามหลักวิชา ๓๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๔ นับว่าโชคดี ผลก็ต้องไปเป็นตามหลักวิชาเหมือนกันเพราะคาสอน ของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม เม่ือเดินทางถูกต้องผลก็ต้องถูกต้อง แน่นอน ไมม่ ีปัญหา โดยมากครบู าอาจารยท์ ี่ท่านพ้นทุกขแ์ ล้วท่านจะย้าถึงเร่ือง การเวียนว่ายตายเกิดว่ามันทุกข์เหลือเกินในชีวิตน้ี ไม่มีอะไรทุกข์ เท่า แม้พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เม่ือท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มองเห็นการเวยี นวา่ ยตายเกิดวา่ มันทุกข์เหลือเกิน เลยได้ทรง กล่าวเป็นปฐมวาจาตามคาถาที่ขึ้นต้นว่า อะเนกะชาติสังสารัง หมายความว่า เมื่อเรายังไม่พบญาณได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสาร อันเป็นเอนกชาติ แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลกู เรือนผสู้ ร้างภพ การ เกิดทกุ คราวเปน็ ทุกขร์ ่าไป น่แี น่ะนายชา่ งปลูกเรือน เรารูจ้ กั เจ้าเสีย แล้ว เจ้าจะทาเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งหมดของเจ้า เราหกั เสียแลว้ ยอดเรอื นเรากร็ อ้ื เสียแลว้ จิตของเราถงึ แล้วซง่ึ สภาพ ทอ่ี ะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มนั ไดถ้ งึ แล้วซึ่งความสน้ิ ไปแห่งตัณหา คือถึงนิพพาน นายช่างสร้างเรือน หรือ Creator (ผู้สร้าง) นี่ก็คือตัว อตั ตา ตวั เราของเราน่แี หละคอื นายชา่ งผ้สู ร้างเรอื น ตัวอปุ าทาน ตัว ยึดถือน่ีแหละ หลังคาเรือนคือ อวิชชา ตัวเรือนก็คือตัวตัณหา ทรง บอกว่าจับนายช่างตัวคือตัวอัตตา ตัวอุปาทานได้แล้วฆ่าตายเลย (หัวเราะ) พุทธศาสนาเราตรงข้ามกับพวกท่ีนับถือพระเจ้า พระเจ้า เป็น Creator เขาก็ต้องเคารพ Creator ของเรานี่จับ Creator ฆ่า เลย การทาปริญญาตรีไม่ยากใช่มั้ย เราตัดออกให้หมด สติปัฏ ฐาน ๔ เราเอากายอย่างเดียว เวทนา จิต ธรรม ไม่ต้องพูดถึง ปริญญาโทค่อยพดู ถึงเรื่องจิต ๓๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ พระพุทธเจ้าทรงใช้จินตนาการ มองนิพพานอยู่ที่สูง ใช้ปีก เป็นพาหนะช่วยบินไป พาหนะในครั้งพุทธกาลก็มีแต่ปีกนกเท่า นั้นเอง ทรงใช้คาว่า โพธิปักขิยะ ๓๗ เป็นธรรมะท่ีเป็นรัตนะในคา สอนของพระพทุ ธเจา้ เลยทีเดยี ว เปน็ การเดินทางจากปถุ ุชนธรรมดา ถึงข้ันเป็นพระอรหันต์ พระองค์ก็จินตนาการว่าต้องมีพาหนะเหาะ บนิ ขึ้นไป ใชค้ าว่าปกี นก ถ้าเป็นสมยั นเ้ี รากใ็ ช้จรวด สติปฏั ฐำน ๔ ก็ คือจรวด สัมมัปปธำน ๔ ก็เหมือนเป็นเช้ือเพลิงหรือตัวกาลังขับดนั ของจรวด ตอ้ งขบั ดนั อยตู่ ลอดเวลา ถอยหลงั ไมไ่ ด้ ถ้าถอยหลงั จรวด ก็ตก ต้องใช้ความเพียรอยู่ตลอดเวลา อิทธิบำท ๔ เหมือนเป็นคู่มือ ทตี่ ้องมีตลอดเวลาเพ่ือให้การเดินทางสาเร็จ อินทรีย์ ๕ กค็ อื อบรม เจ้าหน้าท่ี ๕ แผนกให้พร้อมในการเดินทาง หลังจากน้ันก็เดินทาง count down (นับถอยหลัง) เจ้าหน้าที่ ๕ แผนกต้องทางาน ต้อง เดินทาง ก็กลายเป็นพละ ๕ เพื่อเดินทางโคจรออกจากฐาน โคจร รอบโลก ทีนี้ก็หาเส้นทาง เปรียบเหมือนการเดินทางจากโลกมนุษย์ ไปดวงจนั ทร์ กท็ างแคบ ๆ เทา่ นนั้ เอง ถ้าพลาดก็ออกไปอวกาศเลย ฉันใดก็ฉันน้ัน ถ้าเดินทางผิดป๊ับก็ออกไปอวกาศไปอรูป ฌานเลย ต้องรู้ว่าอันไหนใช่ทาง อันไหนไม่ใช่ทาง ออกนอกเส้นทาง เขาเรียกว่าวิปสั สนู เข้าเสน้ ทางเรยี กวา่ วิปสั สนำ เขา้ เสน้ ทางก็ต้อง ใช้มรรค ๘ ใช้อริยสัจน่ันแหละ เข้าไปเรื่อย ๆๆๆ จนกระท่ังถึงจุด หนึ่งที่แรงดึงดูดของโลกกับดวงจันทร์เป็นศูนย์ เรียกว่า โคตรภู พุทธศาสนาก็บอกเหมือนกัน พ้นจำกโคตรภูก็เป็นแรงดึงดูดของ ดวงจนั ทร์กเ็ ปน็ โสดำบัน เขา้ โสดาบันกเ็ ขา้ กระแสการดึงดูดของโล- กุตตระ แล้วก็เดินไป จากโสดาบันก็เป็นสกทาคา อนาคา ถึงพระ อรหนั ต์ก็ touch down เลย landing จบการเดนิ ทาง พระพุทธเจ้า ๓๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ ทรงใช้จินตนาการเดินทางแบบบินข้ึนไป สมมตินิพพานอยู่ในที่สูง ของเราก็เหมอื นกันเลย ของเราน่ีแคป่ ริญญาตรี อยตู่ รงไหนรูม้ ัย้ อยู่ ตรงท่ีเจ้าหน้าที่พร้อมแต่ยังไม่ได้ count down ยังไม่ยิงจรวด ยัง ไม่ได้เดินทาง มันก็ง่าย แต่ก็แน่นอนว่าไม่ตกนรกแล้วจุดนี้ ถ้าได้ ปริญญาตรีแล้วการเดินทางก็ง่าย การเดินทางเป็นเรื่องของจิต ถ้า ผิดพลาดอะไรต่าง ๆ ออกนอกเส้นทางเป็นวิปัสสนู ถ้าเข้าเส้นทาง ถงึ เป็นวิปัสสนา ต้องรวู้ า่ ใช่ทาง ไม่ใชท่ าง ปรญิ ญาโท โสดาบัน ตอ้ ง เดินทางจริง ๆ จนเขา้ กระแสดึงดูดของดวงจันทร์ถึงจะเป็นโสดาบัน โสดาแปลวา่ เข้ากระแส กระแสดึงดดู ของโลกุตตระ คาสอนของพระพุทธเจ้ามีเหตุมีผลตลอด พิสูจน์ได้หมด เป็นขั้นตอน ใครจะคิดเองไม่ได้ คิดเองแล้วเพี้ยนหมด คณาจารย์ใด ๆ ก็ตามถ้าคิดเองก็เพ้ียนหมด ไปไม่ถึง แต่ก็ได้สมถะ มันยากที่เรา ต้องทาซ้า ๆ จากจิตสานึกลงใต้สานึกจึงจะได้ปริญญาตรี ต้องเดิน มรรค มรรคน่ีเป็นกระบวนการที่เดินทางจากจิตสานึกลงไปใต้ สานกึ เหมือนลงโปรแกรมใหม่ โปรแกรมท่ีต่อตา้ น My Computer เป็น Not Me, Not Mine ลงไปถึงฐานเครื่อง ตึ้ง ไปเลย My Computer ก็โดน delete ลบจบไปเลย นั่นน่ะ การละกิเลสของ พระพุทธเจ้าเป็นไปตามหลักวิชาเหมือนกัน ไม่ต้องไปละ ไม่ต้องคุม มรรคจะทาให้ด้วยตัวของมรรคเอง หน้าที่ของเราก็เดินมรรคเข้าไป เท่าน้ัน ห้ามไม่ให้ไปคิดอะไรมากมาย ไม่ให้จินตนาการใด ๆ เวลา เดินมรรค ห้ามโดยเด็ดขาด พระอานนท์เป็นกรณีศึกษาสาคัญเลยทีเดียว พระอานนท์ นี่เป็นโสดาบันแล้ว ไม่สงสัยแล้วในเรื่องมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าบอกวา่ เราตถาคตนิพพานแลว้ อีก ๓ เดือนพระอานนท์ ๓๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๔ จะได้เป็นพระอรหันต์ พระอานนท์น่ีมีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ เยอะแยะเพราะพระอานนท์เปน็ พหูสูต สามารถสอนธรรมะได้ดี แต่ พอพระพุทธเจ้านิพพาน พระอานนท์ก็รีบเร่งจะเอาให้ได้ ก็เนสชั ชกิ น่ัง ยืน เดิน ๓ อิริยาบถ ไม่นอนเลย ทาตั้ง ๓ เดือนก็ไม่ได้ เพราะ อะไร เพราะท่านมีจินตนาการมากไปเพราะเป็นพหูสูต พอพรุ่งนี้จะ ทาสังคายนาก็เลยถอดใจ ไม่ได้ก็ไม่เอาแล้ว ก็น่ังลงตั้งใจจะพัก พอ ถอดใจจิตก็ว่าง ไมค่ ิดถึงเรื่องอะไรท้ังหมด บารมีของพระอานนท์ซึ่ง เตม็ แลว้ จติ ก็รวมพรบ่ึ ไปเลย ถึงฐานเลย จบ เป็นพระอรหนั ต์เลย น่ี เป็นกรณีศึกษาท่ีสาคัญที่สุด มรรคจะเกิดข้ึนได้ต้องตัดธัมมะอุจธัจ- จะทั้งหมด ท่ีเราศึกษาเล่าเรียนมา เป็นจินตนาการนิดเดียวก็ไม่ได้ มันออกนอกมรรคเลย ต้องไม่คิดอะไรเลย คิดแค่ กาย-ลมเข้า ไม่ใช่ เรา ธาตุ ๔ เกดิ ดบั คดิ แค่นี้ ดแู ค่น้ี แล้วจติ ทเี่ รากาหนดไว้นกี้ ็จะเดิน เข้าไปเองของมนั เดินเข้าในปุ๊บก็เรยี กว่ามรรคเกิดเลย มรรคเกิดปั๊บมันจะขัดเกลากิเลสในตัวของมันเอง แต่ไม่ ถาวร จนกว่าจะถึงฐานจริง ๆ เพราะฉะนั้น เราต้องมีธรรมะอย่าง อ่ืน กำรเดินมรรคนี่ต้องมีบำรมีท่ีสำคัญที่สุดคือ เมตตำ อุเบกขำ น่ีต้องทาให้ได้ พรหมวิหารนี่ เพราะเมตตาทาให้จิตเราเดินจาก กามภพไปสรู่ ูปภพ จากรูปภพไปสูว่ ิปัสสนาจรงิ ๆ สว่ นอเุ บกขาเป็น บารมีสุดท้ายที่จะทาจากโลกียะไปสู่โลกุตตระ ด้วยอุเบกขาใน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ต้องเต็มท่ีเลย ถึงจะไปได้ อาตมาต้องสอนใน เร่ืองพรหมวิหารให้ได้ เพราะว่าเป็นบารมีที่สาคัญท่ีสุดท่ีเราจะ เดินทาง บารมีไม่เต็มไม่เป็นไร ไปหาเอาข้างหน้าได้ แต่ถ้าจะถึง มรรคผลจริงต้องเต็มทุกอย่าง เราต้องมีคุณภาพของจิตเต็มที่เราถึง ๓๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ จะได้ บารมีคือทาจิตให้คุ้นเคย ถึงจะมีคุณภาพตามนั้น เราถึงต้องดู เร่อื งบารมดี ้วย บารมี ๑๐ ทัศ -- ทาน ศีล ทำนก็เริ่มต้นไม่ต้องทาอะไร มาก ก็ทานวัตถุเท่านั้นเอง มักน้อย สันโดษ เอาเวลาไปทาความ เพียร ศีลก็ศีล ๕ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทางกาย วาจา เดิน ไปอีกกต็ ้องเข้มข้น ใช้เนกขัมมะ คือ ศีล ๕ ไมพ่ อ ตอ้ ง ศลี ๘ เนกขมั มะก็คือ ปัญญำ คือพิจารณาเรื่องราวขององค์ชีวิต ศึกษาเร่ืองของ อริยสัจ ๔ คือเป็นทุกข์ เราจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร เข้มข้นไปอีกก็ ต้องมขี นั ติ วริ ยิ ะ ขันติ คืออดทน เราจะเดนิ ทางต้องอดทน ไมใ่ ชท่ น อย่างเดยี วนะ ต้องพุ่งตัวไปขา้ งหน้า คือ วริ ิยะ ดว้ ย หนักไปอกี ต้อง เข้มข้นขึ้นไปอีก ต่อไปอีกคือ สัจจะ อธิษฐำน สัจจะ คือต้องต้ังใจ ไม่ถอยแล้ว อธิษฐาน ก็คือเราต้องไปสู่จุดมุ่งหมายให้ได้ เหมือน พระพุทธเจ้า ก่อนได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องใช้สัจจะ อธิษฐานแบบ สุดยอด ตอนลอยถาดทรงต้ังสัจจะว่าถ้าถาดลอยทวนน้าแสดงว่า บารมีเต็ม ก่อนมาน่ังที่โคนต้นโพธ์ิ ก่อนตรัสรู้ อธิษฐานอีกคร้ังว่าถ้า ไม่ได้จะยอมตาย ต้ังสัจจะ อธิษฐานเขม้ ข้นพ่งุ ใหเ้ ตม็ ท่ีเลย ถึงจะได้ ตอนหลังก็เมตตำ และอุเบกขำก็เป็นกระบวนการที่จะ เดินทางจริง ๆ เมตตาทาให้จิตเดินทางไปสู่วิปัสสนา แต่ยังเป็น โลกิยะ ต้องใช้อุเบกขา คอื สมั มาสมาธิเต็มท่ีถงึ จะได้ผลหลดุ จากโลกี ยะไปสโู่ ลกตุ ตระได้ บารมที ุกอยา่ งต้องสุดยอด กว่าจะไดถ้ ึงปริญญา ตรีเหมือนกัน แต่ต้องทา ๑๐ ทัศ แต่ไม่เข้มข้นเหมือนโสดาบัน โสดาบัน ปริญญาโท ต้องพิจารณาเร่ืองจิต เราปริญญาตรีไม่ต้อง เอากายเท่านั้นเอง สมาธิแค่คร่ึงเดียว อุปจารเต็มที่ ดูที่กาย แต่ต้อง ถึงอุเบกขา อาตมาจึงอยากให้โยมฟังแผ่เมตตา เป็นบารมี ทาให้ ๓๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๔ คุ้นเคย เมตตาท่ีอาตมาจะสอนน่ี จะต้องทาจิตให้เป็นเมตตาจริง ๆ ใหเ้ ปน็ สมาธทิ ี่เกิดจากเมตตาจริง ๆ เอาไปใช้ได้จรงิ ในชีวิตประจาวัน และเป็นบารมีที่เราจะต้องใช้เดินทาง จากกามภพไปรูปภพ จากรูป ภพไปสู่วิปัสสนา แต่ยังเป็นโลกียะ ต้องผ่านเมตตา ถ้าไม่มีเมตตาไป ไม่รอด เพราะฉะน้ันต้องทาเมตตาจนเป็นสมาธจิ ริง ๆ อาตมาจึงทา บันทึกเสียง ฟังแล้วจิตจะเป็นเมตตา ลงลึกเป็นสมาธิ เอาไว้ใช้งาน ไดจ้ ริง ๆ อาตมาสอนคนมาหลาย ๑๐ ปีแล้ว เมตตานี่เป็นสมาธิท่ี พัฒนาจติ จริง ๆ ต่อจากศลี ศลี น่ลี ะชวั่ ทั้งกายและวาจา แตจ่ ติ ยงั คิด ช่ัวได้ แต่เมตตานี่ต่อจากศีล คือไม่คิดช่ัวทางใจ มันสูงกว่า ดังน้ัน ต้องมีเมตตาก่อนจึงจะเดินวิปัสสนาได้ เมตตาก็จะทาให้กรุณา มุทิตาเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติ ไม่ตระหนี่ ไม่อิจฉาริษยา อันน้ีล่ะ สาคัญ ถ้ายังตระหน่ี อิจฉาริษยา จิตจะเป็นเมตตาไม่ได้ เดินทางไป สูงข้ึนไม่ได้ เราต้องขัดเกลาจิตของเราไปด้วยในการเดินทางจริง ๆ ฟังเลย ๑๐ นาทีเท่านั้นเอง ใครอยากกลับไปฟังก็ไปเปิดยูทูบ (YouTube) เอา ไมร่ ู้ใครเอาของอาตมาไปใส่ (เปิดเสียงแผ่เมตตา) ต่อไปน้ี ฝึกแผ่เมตตา ก่อนอื่น เรา ต้องแผ่เมตตาให้ตนเองเสียก่อน คิดในใจ ซึ้งในใจเลยทีเดียว “ขอ ขา้ พเจ้าจงอยา่ มีทกุ ข์กายทุกขใ์ จ ขอขา้ พเจ้าจงมคี วามสุข” เปน็ การ ปรารถนาความสุขให้แกต่ นเอง ทกุ คนสามารถจะทาได้ คนที่มีความ ทุกข์ที่สุดก็คงจะปรารถนาให้ตนเองมีความสุข ความปรารถนา ความสุขเช่นน้ันทาให้เกิดขึ้น ทาให้มีข้ึนในจิตในใจของเรา “ขอ ขา้ พเจ้าจงอย่ามที กุ ขก์ ายทุกขใ์ จ ขอขา้ พเจา้ จงมคี วามสุข” ๔๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๔ อันดับต่อไป แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ท้ังหลาย คิดในใจ ซ้ึงในใจเหมือนกัน “ขอสรรพสัตว์ท้ังหลายจงอย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข” เป็นการปรารถนาความสุข ให้แก่สรรพสัตว์ท้ังหลาย การแผ่เมตตาคือการปรารถนาความสุข ให้แก่ตนเองและผู้อ่ืนเท่าเทียมกัน เสมอกัน นี่เป็นหัวใจ เป็นหลัก สาคญั ของการแผเ่ มตตา อันดับต่อไป ทาความสม่าเสมอในบรรดาสรรพสัตว์ ทั้งหลาย รวมท้ังตัวเราเองด้วยการคิดถึงบุคคล ๔ คน ๑) ตัวเอง นึกถึงตัวเราท่ีน่ังอยู่ในปัจจุบนั ๒) คนที่เรารัก มีใครม่ังที่เรารักมาก ท่สี ดุ ๓) คนทไี่ มร่ กั ไม่ชัง คนทั่ว ๆ ไป ๔) คนที่เราไม่ชอบ คนทีเ่ รา เกลียด แผ่เมตตาคือปรารถนาความสุขให้บุคคลทั้ง ๔ คนน้ีโดยเท่า เทียมเสมอกัน คนนี้ทาได้ยากสักหน่อย แต่พยายามดู นึกถึงคนท่ี เกลียดที่สุด แผ่เมตตาคือปรารถนาความสุขให้เท่ากับตัวเราเอง ให้ เท่ากับคนท่ีเรารัก ให้เท่ากับคนท่ีไม่รักไม่ชัง คนท่ัว ๆ ไป พยายาม ทาดู ถ้าเราแผ่เมตตาเป็นประจาทุกวัน เราจะหาคนท่ีเกลียดไม่พบ ทุกคนจะเสมือนหนึ่งเป็นมิตรสหาย เป็นญาติ เป็นพี่น้อง หรือเป็น ลูกเปน็ หลาน มคี วามปรารถนาดเี ทา่ เทยี มกัน เสมอกนั อนั ดับตอ่ ไป แผ่เมตตาใหก้ บั สรรพสัตวท์ ้ังหลายทัว่ จักรวาล แผ่เมตตาคือปรารถนาความสุขไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายท่ัวจักรวาล นับตั้งแต่พรหม อยู่เหนือเทวดา “ขอพรหมทั้งหลายจงมีความสุข” ลงมาเทวดา “ขอเทวดาท้ังหลายจงมีความสุข” ลงมามนุษย์ “ขอ มนุษย์ทง้ั หลายจงมคี วามสุข” ลงมาพวกเปรต เปรตนมี่ ีความหวิ โหย อยู่เป็นประจา “ขอเปรตท้ังหลายจงมีความสุข” ลงมาพวกอสุรกาย อสุรกายนี่มีความทุกข์ทรมานทางกายอยู่เป็นประจา “ขออสุรกาย ๔๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ ทัง้ หลายจงมคี วามสขุ ” ลงมาพวกสตั วเ์ ดรจั ฉาน “ขอสัตวเ์ ดรัจฉาน ทั้งหลายจงมีความสุข” ลงมาพวกสัตว์นรก “ขอสัตว์นรกทั้งหลาย จงมีความสุข” แผ่เมตตาคือปรารถนาความสุขไปยังสรรพสัตว์ ทั้งหลายทั่วจักรวาล “ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายท่ัวจักรวาลจงมี ความสขุ ” อันดับต่อไป แผ่เมตตาไปทิศต่าง ๆ แผ่เมตตาคือปรารถนา ความสุขให้ทศิ หน้า ตรงหน้าเรา ทศิ หลงั แผค่ วามสขุ ไปขา้ งหลังเรา ทิศขวา แผ่ความสุขไปยังขวามือ ทิศซ้าย แผ่ความสุขไปยังซ้ายมือ เฉียงข้างหน้าทางขวา แผ่ความสุขไปเฉียงข้างหน้าทางขวา เฉียง ข้างหน้าทางซา้ ย แผค่ วามสขุ ไปเฉียงข้างหนา้ ทางซา้ ย เฉยี งข้างหลัง ทางขวา แผ่ความสุขไปเฉียงข้างหลงั ทางขวา เฉียงข้างหลังทางซา้ ย แผ่ความสุขไปเฉียงข้างหลังทางซ้าย ทิศบน แผ่ไปบนหัวเรา ทิศ ล่าง แผ่ความสุขดิ่งลงไปที่เราน่ัง สมมติว่าตัวเราคล้าย ๆ หลอด ไฟฟ้า แผ่รัศมี ไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นรัศมีแห่งความสุข หรือการ ปรารถนาความสขุ แผอ่ อกไปรอบตวั เรา สรุป “ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมี ความสุข” นึกแผ่ความสุขน้ีออกไปรอบตัวเรา ทุกทิศทุกทาง ไม่มี ขอบเขต ให้มีความสุข นึกแผ่ความสุขให้กับตนเอง นึกแผ่ความสุข ให้แก่สรรพสัตว์ท้ังหลาย นึกแผ่ความสุขนี้ออกไปนอกตัวเรา กว้าง ออกไป ๆ ไมม่ ขี อบเขต ใหม้ ีความสุข นึกถงึ ความสุขแผก่ ว้างออกไป เป็นอารมณ์ อารมณ์ของเมตตาพรหมวิหาร คือความสุขท่ีแผ่กว้าง ออกไป คือความสุขท่ีเกิดจากการปรารถนาความสุขให้แก่ตนเอง และสรรพสตั ว์ทัง้ หลาย หากถ้าเราทาไปสักพัก อารมณน์ ้อี าจจะจาง ไป หรือว่ามีอารมณ์อื่นมาแทรกทาให้สับสน เราก็เร่ิมต้นคิดใหม่ ๔๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ “ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอสรรพสัตว์ท้ังหลายจงมีความสุข” นึก แผ่ความสุขน้ีออกไปรอบตัวเรา ทุกทิศทุกทาง ไม่มีขอบเขตแห่ง ความสุข นึกแผ่ความสุขให้กับตนเอง นึกแผ่ความสุขให้แก่สรรพ สตั ว์ท้ังหลาย นึกแผ่ความสุขน้ีออกไปรอบตวั เรา กวา้ งออกไป ๆ ไม่ มขี อบเขตให้มีความสุข นึกถงึ ความสุขทแ่ี ผ่กว้างออกไปเป็นอารมณ์ ทาต่อไปสกั พกั (ปลอ่ ยให้ปฏิบัตปิ ระมาณ ๑.๓๐ นาท)ี ๔๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๔ พระครูสทุ ธธิ รรมสังวร (พระอำจำรย์เชำวรัตน์ กมั มสุทโธ) วดั ทำ่ วังหนิ ต.เชิงชุม อ.พรรณำนคิ ม จ.สกลนคร แสดงเม่ือวนั เสำร์ ท่ี ๒๓ มีนำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วัดปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธัสสะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะ ขอนอบนอ้ มแด่องคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ผตู้ รสั รู้ชอบด้วยพระองค์เองพระองคน์ ้ัน ๔๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ นั่งภาวนาไปเลยนะ โยมผู้ชายใหน้ งั่ ขดั สมาธิเพชร ส่วนมาก หลวงป่สู มิ และหลวงปู่แว่น ทา่ นกน็ ั่งขัดสมาธเิ พชร ถา้ ขดั ไดก้ ็ขดั ถ้า ขัดไม่ได้ก็ธรรมดา เอาแบบกรรมฐานเราเอาแบบหลวงปู่ม่ัน ตั้งใจ ฟังพระธรรมเทศนา ไม่ต้องพนมมือเดี๋ยวจะเหนื่อยถ้าเทศน์นาน ให้ พวกเรานั่งภาวนาไปในตัว ณ โอกาสต่อนี้ไป อาตมาจะได้แสดง ธรรมะคาสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ท่าน ท้ังหลายท่ีมาประชุมในศาลาพระราชศรัทธาแห่งน้ีสดับตรับฟัง ขอให้เรำท่ำนหลำยจงตั้งใจฟัง เพื่อให้เกิดเป็น “ธัมมัสวนมัย กุศล” คือ กุศลเกิดจำกกำรฟังธรรม และจะได้น้อมนำเอำไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ขัดเกลำกำย วำจำ จิต ของตนสืบตอ่ ไป การฟงั ธรรมนั้นอาตมาไปเทศน์ที่ไหนก็จะเน้น โดยลักษณะ ๒ ประการดว้ ยกนั ก็คอื ๑) ฟงั ดว้ ยกำย ๒) ฟงั ดว้ ยใจ คาว่า “ฟัง ด้วยกำย” นั้น คือ กำยของพวกเรำอยู่ในท่ำสงบ ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้ทาส่ิงโน้นส่ิงน้ี ไม่ได้เดินไปเดินมา ไม่ได้นอนฟัง กำยมีควำม เคำรพเรียกว่ำ “ฟังด้วยกำย” อย่างท่ีสองเรียกว่า “ฟังด้วยใจ” คาว่าฟังด้วยใจน้ัน แม้กายของพวกเราจะสงบอยู่ในศาลาแห่งน้ี แต่ ใจของพวกเราไม่อยู่กับตัว ใจนึกถึงบ้าน ถึงลูกถึงหลาน ทรัพย์สิน เงินทอง ข้าวของต่าง ๆ แม้กายจะสงบแต่ใจไม่สงบฟังธรรมะไม่รู้ เร่ือง กำรท่ีจะ “ฟังด้วยใจ” น้ัน ใจของพวกเรำจะต้องจดจ่ออยู่ ในกระแสธรรมะทอ่ี งคท์ ่ำนแสดง หรือไม่กเ็ หมือนอยำ่ งทีพ่ ่อแม่ครู บำอำจำรย์ท่ำนแนะนำสั่งสอน มีหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่ม่ันผเู้ ปน็ บูรพาจารย์ของพวกเรา ท่ำนให้เอำจิตเอำใจอยู่ในลมหำยใจเข้ำ ออก ลมหำยใจเข้ำ - พุท ลมหำยใจออก - โธ พุทโธ ๆ เรียกว่ำ ๔๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๔ เปน็ “กำรภำวนำ” เป็นกำรทจ่ี ะทำจิตใจของเรำใหเ้ กดิ ควำมสงบ เกิดข้ึน เข้ามาในสถานท่ีแห่งนี้ไม่ได้มานานเป็นเวลาเป็นสิบปีกว่า ก็เห็นความเปล่ยี นแปลงเกิดข้นึ รอบขา้ งเรามีสิง่ วุ่นวายมากมายก่าย กอง แต่เมื่อเข้ามาสู่ “วัดปทุมวนาราม” หรือท่ีเราเรียกติดปากว่า “วัดสระปทุม”แห่งนี้ก็ยังมีสถานท่ี “สงบกาย สงบวาจา สงบใจ” ของพวกเราเกิดขึ้น เรียกว่า “วัดป่ำกลำงกรุง” ก็ว่าได้ ท่ีนี่มีความ สงบแม้ว่าภายนอกจะมีความวุ่นวายก็ตาม พวกเราทุกผู้ทุกคนได้มี โอกาสเข้ามา “สงบกำย สงบวำจำ สงบใจ” เรียกว่ำมำ “วัดกำย วัดวำจำ วัดใจ” เพราะโดยปกติคนเราแต่ละคนน้ันอารมณ์ของจิต ในแตล่ ะวันกอ็ ยกู่ บั สามี ภรรยา บตุ ร ธดิ า หนา้ ที่การงาน เพ่ือนบ้าน โอกาสทีจ่ ะมา “สงบกาย สงบวาจา สงบใจ” น้ันยาก วันนี้นับว่าเป็นส่ิงท่ีดี โดยปกติแล้วถ้าเรามาจากบ้านขับรถ มาเองก็ดี หรือนั่งรถมาก็ตาม ถ้าเราขับมาด้วยความเร็วเราก็จะมอง สองข้างทางไม่เห็นไม่ชัดเจน เม่ือมาหยุดภายในบริเวณวัดเราก็จะ เห็นเจดีย์ เห็นโบสถ์ เห็นศาลา เห็นอะไร ๆ “เมื่อหยุดก็จะเห็น” ใจของพวกเรำก็เหมือนกัน เมื่อเรำหยุดมันก็จะเห็นควำมชัดเจน เกิดขึ้นในจิตในใจ ทีน้ีเรามาหยุด “ดูกาย ดูวาจา ดูใจ” เราจะทา อย่างไร “กำรหยุดดูกำย” จะต้องทาอย่างนี้ คือตั้งแต่ต่ืนเช้าข้ึนมา จนถึงขณะนเ้ี รานากายของพวกเราไปทาอะไร ไปลกั ไปขโมยหรือไป ทารา้ ยบคุ คลอืน่ หรอื นากายของพวกเรามาแต่งชดุ ไทยมาทาบุญตัก บาตร สืบสานประเพณเี ปน็ แบบอยา่ งที่ดีท่ีทางวดั จัดขน้ึ เพื่อใหพ้ วก เราได้รู้เห็นว่าประเพณีของบ้านเมืองเราเป็นอย่างไร มีความสงบ ๔๖


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook