Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๖

หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๖

Published by koranis9, 2020-11-11 10:56:05

Description: หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๖

Search

Read the Text Version

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ คำนำธรรม “คนต่ำงจังหวัด มคี วำมทกุ ข์กำย แต่มคี วำมสุขใจ ในขณะที่คน กรงุ เทพฯ มีควำมสขุ กำย แต่กลับมีควำมทุกขใ์ จกนั มำก ดงั นั้น จึงควรสร้ำงที่พักทำงใจขึ้นในกลำงกรุง” พระราชดารัสส่วนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอัน ประเสรฐิ เมอื่ คร้ังเสดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยสมเดจ็ พระนางเจ้า สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐิน พระราชทานแด่พระสงฆ์วดั ปทมุ วนาราม ปีพุทธศกั ราช ๒๕๓๕ ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ คณะสงฆ์วัดปทุมวนารามได้ทา สัญญาเช่าพ้ืนท่ีศาลาพระราชศรัทธาและสวนป่าจากสานักงาน ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และได้ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างบางส่วน พร้อมทั้งพ้ืนที่โดยรอบเพ่ือให้สอดคล้องและรองรับกับกิจกรรม ต่างๆ ตามนโยบายของคณะสงฆ์วัดปทุมวนาราม โดยยึดหลักการ และแนวทางกิจกรรมทุกอย่าง เพ่ือสืบสานพระราชปณิธานธรรม อันมีค่าแห่งหิตานุหิตประโยชน์ แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และ เพื่อราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านผู้ เสดจ็ สูส่ วรรคาลัย ดังน้ัน คณะสงฆ์พร้อมด้วยอุบาสก และอุบาสิกาวัดปทุม วนาราม จึงได้จัดกิจกรรมสานต่อปฏิปทาพระกรรมฐาน สืบสาน พระราชศรัทธา พระราชปณิธานธรรมเพื่อน้อมถวายเป็นพระราช กุศล ด้วยการกราบนิมนต์พระเถราจารย์ฝ่ายอรัญวาสี มาบรรยาย ธรรมทุกเดือน ที่ศาลาพระราชศรัทธา เพ่ือเป็นการฟื้นฟูและดารง ๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ รักษาไว้ซึ่งปฏิปทาจริยาวัตรอันดีงาม ที่บูรพาจารย์วัดปทุมวนาราม ได้นาพาประพฤติปฏิบัตมิ า ในแต่ละเดือนก็ได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระ ผู้ ปฏบิ ัติตามปฏิปทาพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มน่ั ภรู ทิ ัตตมหาเถระ, หลวงปู่ชา สุภัททมหาเถระ ฯลฯ ดังมีรายนามและคาสอนท่ีปรากฏ ในหนังสือเล่มน้ี ท้ังองค์ความรู้ แนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งข้อวัตร ในการดาเนนิ ชวี ติ ของความเปน็ พระที่ไดร้ ับการพรา่ สอนมาจากพระ อุปัชฌาย์และพระอาจารย์ พร้อมกับประสบการณ์ตรงที่ได้ลงมือ ปฏิบัติตามหลักคาสอนของพระพุทธชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ถ่ายทอดเป็นคาพดู และบนั ทกึ รวบรวมไวใ้ นหนังสอื มรดกธรรมเลม่ นี้ ผู้อ่านสามารถปลูกศรัทธา ทาความเข้าใจ สร้างกาลังใจ และน้อมนาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันได้ก็จักสาเร็จประโยชน์แห่ง ตนตามสมควรแก่ธรรมท่ีตนได้ประพฤติปฏิบัติ ขออนุโมทนาใน ความวิริยะอุตสาหะของท่านผู้มีจิตศรัทธาในการรวบรวมและ จัดพิมพ์หนังสือมรดกธรรม ศาลาพระราชศรัทธาในครั้งนี้ และขอ ความสขุ ความเจริญจงมแี ก่ทกุ ทา่ นเทอญฯ พระธรรมธชั มนุ ี ประธานบรหิ ารศาลาพระราชศรัทธา เจ้าอาวาสวัดปทมุ วนาราม ๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ สำรบญั หน้า คานาธรรม ๑-๒ ๑. พระครสู ุทธธิ รรมสงั วร (เชาวรตั น์ กัมมสทุ โธ) ๔ – ๒๖ ๒. พระอธิการชชู าติ ชยธม̣ โม ๒๗ – ๔๖ ๓. พระเทพสีลาภรณ์ (สมัย สุขสมทิ โ̣ ธ) ๔๗ – ๗๗ ๔. พระอดุลธรรมเมธี (โสฬส วรี ญาโณ) ๗๘ – ๙๗ ๕. พระครูเมตตากิตตคิ ุณ (สมหมาย อัตตะมะโน) ๙๘ – ๑๒๔ ๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ พระครูสุทธิธรรมสังวร (พระอำจำรย์เชำวรัตน์ กมั มสุทโธ) วัดท่ำวังหิน ต.เชิงชุม อ.พรรณำนิคม จ.สกลนคร แสดงเม่อื วันอำทิตย์ ท่ี ๖ ตุลำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วัดปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพทุ ธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สมั มาสัมพทุ ธัสสะ ขอนอบนอ้ มแด่องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ผู้ตรสั รชู้ อบโดยพระองคเ์ องพระองคน์ ้นั ณ โอกาสตอ่ นี้ไป อาตมาภาพจะได้แสดงธรรมะ คาส่งั สอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ท่านทั้งหลายที่มาอยู่ในศาลา พระราชศรัทธาแหง่ น้ี ไดส้ ดับตรบั ฟัง ขอใหเ้ ราท่านทง้ั หลายจงตั้งใจ ๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ ฟังเพื่อให้เกิดเป็นธัมมัสวนมัยกุศล คือกุศลเกิดจากการฟังธรรม แล้วจะได้น้อมนาเอาไปประพฤติขัดเกลา กาย วาจา จิต ของตนสบื ต่อไป วันน้ีเป็นวันพระ วร (อ่านว่า วะระ) แปลว่าเลิศ แปลว่า ประเสริฐ ท่ีเราท่านท้ังหลายมาพิจารณาดูกาย ดูวาจา ดูจิตน่ี วัน พระเป็นวันสาคัญในทางพุทธศาสนา แต่ก่อนที่จะมีพุทธศาสนา เกิดข้ึนน้ัน ในประเทศอินเดียเขาถือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู พวกศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูน้ัน เมื่อถึงวันสาคัญของเขา วันศิ วาราตรี เป็นวันล้างบาป เขาก็จะมารวมกัน ไม่ว่าลูกศิษย์ลูกหา ไม่ ว่าท่านอาจารย์ต่าง ๆ มารวมกัน แล้วก็จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ภาษา บ้านเราเรียกว่าเทศนาสั่งสอนให้สาวกต่าง ๆ ได้รับฟังปัญหานั้น ๆ แต่พทุ ธศาสนาของเรา องคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์มา เกิดทีหลัง พอมาเกิดทีหลัง ก็ยังไม่มีวันพระ ก็ยังไม่กาหนดวันพระ วันพระวันศีลนี่ พระเจ้าพิมพิสารก็ทูลขอว่าให้ศาสนาของเรามีวัน พระ วันสาคัญในทางพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้มีวัน พระ ขนึ้ ๘ ค่า ๑๕ คา่ แรม ๘ คา่ ๑๕ ค่าขน้ึ มา ในทางพุทธศาสนา เบ้ืองต้นนั้น เม่ือถึงวันพระ ญาติโยมก็ มาเหมือนลักษณะแบบน้ี ไม่มีการแสดงพระธรรมเทศนา โยมก็นั่ง พระก็น่ัง ต่างคนต่างน่ัง มองดูกัน พระเจ้าพิมพิสารก็ทูลขอองค์ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงวันพระวันสาคัญทางพุทธศาสนาให้ พระเทศนาสงั่ สอนใหธ้ รรมะแก่ญาติแกโ่ ยมจะได้เป็นประโยชน์ ทาง ภาคอีสานบอกว่า เลี้ยงพระ ไก่ก็บ่ขัน คาว่าเลี้ยงไก่ไม่ขันนห่ี มายถึง วา่ นาอาหารหวานคาวไปถวายพระทุกวนั พระไม่เคยเทศนาสงั่ สอน เทศน์ธรรมะให้ฟังเลย เรียกว่า เลี้ยงไก่ไม่ขัน อันน้ีก็เหมือนกัน เมื่อ ๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ ถึงวันสาคัญพวกเราไดน้ ากาย วาจา จติ เข้ามาประพฤติปฏบิ ัติ เป็น วันสาคัญ ทาไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกาหนดบัญญัติให้มี วันพระวันศีลข้ึนมา เพราะว่าเมื่อถึงวันสาคัญวันพระ ดวงอาทิตย์ หมุนเวียนมาตรงศีรษะพวกเรา อาการต่าง ๆ มักจะเปลี่ยนแปลง ไป ทางภาคอีสาน ถ้าคนไหนก่อนจะถึงวันพระ มีอาการผิดปกติ แสดงออกมาทางกาย วาจา ใจ เขามักจะพดู กันว่า มนั บแ่ ม่นใกล้วัน พระแล้วบ่ ดูง่าย ๆ ถ้าคนไหนผิดปกติ มันใกล้วันพระ เมื่อถึงวัน พระแล้ว ท่านจึงให้รักษากายวาจาใจตนเอง จึงกาหนดให้มีวันพระ ในทางพุทธศาสนา อารมณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นเราจะได้รักษา เหมือนอย่างพวกเราทา่ นทั้งหลายมารักษากาย รกั ษาวาจา รักษาใจ เรยี กว่า เอาศีลเข้ามาสกู่ าย ศีลแปลว่าปกติ คนเราเม่ือมีความปกติเกิดขึ้นแล้ว มันก็สิ่ง ดี ถ้าใครกายก็ผิดปกติ วาจาก็ผิดปกติ ใจก็ผิดปกติ ก็เป็นคนท่ีไม่มี ศีล ศลี แปลวา่ ปกติ คนเราเมื่อมีความปกตเิ กิดขึน้ ไปไหนกม็ ีความสุข ถ้าเปรียบเทียบให้พวกเราได้เห็นก็เปรียบเหมือนสนามหญ้า สนาม หญ้าท่ีอยู่ในวัด หรือในที่ต่าง ๆ ท่ีเราเห็นว่าหญ้าที่ปลูกดี ๆ ใน สนามหญ้าน่ีพอปลูกไปนานเข้า ๆ หญ้าอ่ืนก็เข้ามาปะปน ถ้าเรา ปล่อยให้รกรุงรังข้ึนมา มันก็ไม่สวยงาม ต้องใช้เคร่ืองตัด ตัดด้วย กรรไกรหรือเคร่ืองตัดหญ้า เมื่อตัดให้เสมอกันก็มีความสวยงาม ก็ เหมือนอยา่ งญาตโิ ยมนแี่ หละ มาปฏบิ ัตธิ รรม เบื้องต้นพวกเราก็ต้อง รักษาศีล มีศีล ศีลแปลว่ำควำมเสมอภำคซึ่งกันและกัน เมื่อมีศีล เสมอกัน เพราะคนเรำน้ันมำจำกต่ำงบ้ำนต่ำงเมืองต่ำงพ่อต่ำงแม่ ควำมรู้ควำมสำมำรถไม่เหมือนกัน แต่เม่ือมีศีลเสมอกัน ก็อยู่ด้วย ควำมเป็นสุข เป็นพี่เป็นน้องต่อกัน ศีลก็เป็นสิ่งสำคญั เพรำะเปน็ ๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ เบื้องต้นของกำรทำควำมดี กำรทำทำน เม่อื มศี ีลก็ทำให้มัน่ คงข้ึน ไปอีก ถ้าเราไม่มีศีลมานั่งปฏิบัติภาวนาไม่ได้หรอก ถ้าเปรียบเทียบ ให้พวกเราได้เห็นก็เปรียบเหมือนโจรน่ีแหละ โจรไปปล้นเขามา จะ มาน่ังหลับตา พทุ โธ ๆ นไ่ี ม่ได้หรอก จิตกจ็ ะกังวลแตว่ ่าตารวจจะมา มันไมม่ คี วามสงบ พวกเรำน่ีมีศีล ศลี เกดิ ขนึ้ ทกี่ ำย วำจำ จิต จึงอยู่ ดว้ ยควำมองอำจ มคี วำมเสมอภำคกนั ศลี จงึ เป็นสิ่งสำคัญมำก เมื่อมีศีล สมาธิมันก็เกิดขึ้น จิตมันก็เกิดขึ้น สมำธิแปลว่ำ เครื่องข่ม ข่มอะไร ข่มกิเลสที่จะมำเกิดข้ึนทำงกำย ทำงวำจำ ทำงใจของพวกเรำ เปรียบเทียบเหมือนสนามหญ้า เราไม่อยากตัด เราก็เอาหินหรือเอากระดานไปทับตรงหญ้า หญ้าน้ันก็ไม่สามารถ งอกเงยข้ึนได้ เพราะโดนหินโดนกระดานทับไว้ แต่เมื่อเราเอาหิน เอากระดานออกไป หญ้ามันก็โผล่ข้ึนมาเหมือนกัน ใจของพวกเรา ทุกผู้ทุกคนก็เหมือนกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความ อิจฉาพยาบาท ความขึงเคียดต่าง ๆ เกิดข้ึนด้วยกันทุกผู้ทุกคน เม่ือ มันเกิดขึ้นแล้ว เราจะทาอย่างไร ก็ต้องหาเคร่ืองแก้ เครื่องแก้ก็คือ ตัวสมาธิ หาสมาธิมาแก้ เมื่อมีความหงุดหงิดใจ ความขุ่นข้องหมอง ใจเกิดข้ึนก็หาอะไรเป็นเครื่องแก้ มาทับมันไว้ มาข่มมันไว้ไม่ให้ เกดิ ข้นึ เป็นสิง่ สาคญั อย่างมากเลย คือสมาธิ เมื่อมีสมำธิมำกเข้ำมำกเข้ำ ๆ ปัญญำมันก็เกิดข้ึน เกดิ ขนึ้ ในจิตในใจของเรำ นีเ่ ป็นสิ่งสาคญั มาก วนั พระ “วร แปลวา่ เลศิ ประเสริฐ” ทพ่ี วกเราทา่ นทัง้ หลายได้มีโอกาสเขา้ มา แม้จะเวลา ไม่มาก ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็ตาม ถ้าเราทาจริง ๆ ก็ได้ผล จริง ๆ ทาเล่น ๆ ก็ได้ผลเล่น ๆ อย่างท่ีกล่าวมา เราท่านทั้งหลายผู้ เขา้ มาปฏิบัตธิ รรมน้ัน เราต้องต้งั ใจจริง ๆ เพราะชีวิตเรามนั เปน็ ของ ๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ น้อย มีไม่มาก หลวงปู่สิมท่านบอกว่า คนเราถ้าอายุ ๕๐ ปีแล้วก็ เหมือนเราข้ึนไปยอดเขา ไม่มีโอกาสท่ีจะขึ้นไปอีก มีแต่จะลงอย่าง เดียว ลงดีก็ดี ลงไม่ดีก็ตกเหว ช่วงเวลาที่เราจะทาคุณงามความดีมี ไม่กี่ปี ช่วงจาก ๒๐ ปีข้ึนมาจนถึง ๕๐ ปีน่ีเป็นช่วงที่เราทาคุณงาม ความดีได้ แต่ถ้าหลังจากนั้นแล้ว มันสุดยอดแล้ว เราจะปีนป่ายข้ึน ไปอีกกไ็ ม่ได้ นแ่ี หละ เป็นส่ิงสาคัญมาก ฝนตกลงมา ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมำสัมพุทธเจ้ำก็ เปรียบเหมือนน้ำฝน ถ้ำใครต้องกำรอยำกจะได้น้ำฝนไว้ใช้ก็ เตรียมถัง กะละมังไว้ รองรับน้ำฝนเพื่อนำไปใช้ แต่ถ้ำเรำปิด จะ ตกแรงตกค่อยอย่ำงไร ก็ไม่สำมำรถได้ประโยชน์จำกน้ำฝน วันนี้ วันพระ แปลว่าวันเลิศ วันประเสริฐ ก็มานึกถึง เป็นข้อคิดสะกิดใจ เราท่านท้ังหลาย ฝนก็ตกด้วย ข้อคิดสะกิดใจอย่างไร อนาถบิณฑิก เศรษฐี ผู้มีความเลอื่ มใสในองค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า เป็นคน สร้างวัดเชตวันมหาวิหารที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ประทบั นานท่สี ุดถงึ ๑๙ พรรษา อนาถบณิ ฑิกเศรษฐีเป็นผู้ที่มีความ เคารพในพระพุทธองค์ได้ฟังธรรมจนได้เป็นโสดาบัน ภรรยา บุตร ธิดา ก็ได้โสดาบัน คนใช้ก็ถือศีลอุโบสถในวันพระ อนาถบิณฑิก เศรษฐีน้ันบ้านอยู่ใกล้กับวัดเชตวันมหาวิหาร ถ้าไปประเทศอินเดีย ถ้าจาไม่ผิด ห่างกันประมาณ ๒ กิโลเมตร อนาถบิณฑิกเศรษฐีมีลกู ชายสุดท้องช่ือว่าเจ้ากาล พ่อจะให้ทาอะไรก็ไม่เอา ให้ไปวัดก็ไม่ไป ให้ทาอะไรเกี่ยวกับวัดวาศาสนานี่ไม่เอา แต่อนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น เป็นคนฉลาด ไมล่ ะความพยายาม วันหน่ึงเรียกเจ้ากาลลูกชายคนสุดท้องเข้ามาหา บอกว่า “เจ้ากาล อยากได้เงินไหม พ่อจะให้เงินเดือนเจ้าเดือนละ ๓,๐๐๐ ๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ บาท เอาไหม” เจ้ากาลอยากได้เงินก็บอกว่า “เอาครับ ให้ทาอะไร พ่อ” อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า “ให้เจ้านาอาหารหวานคาวไป ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ที่ วัดเชตวนั ใหไ้ ปทุกวนั เขาทาอะไรให้ทาตาม แล้วพอ่ จะใหเ้ งินเดือน เจ้าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท” เจ้ากาลอยากได้เงินก็รับเอา ทาอย่าง นั้นจนถึง ๓ เดือน อนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นว่าลูกชายตนเองนั้นนา อาหารไปถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วย พระสงฆ์ทุกวัน จนเกิดเป็นอุปนิสัย วันหนึ่งก็เลยบอกกับลูกชายว่า “เจ้ากาลเจ้าไปวัดทุกวันอยู่แล้ว เอาอย่างน้ีมั้ย พอถึงวันพระวันศีล ให้ลูกถือศีล ๘ พ่อจะให้ ๖,๐๐๐ บาท เอาไหม” เจ้ากาลก็บอกว่า “เอาครับ” เพราะเจ้ากาลไปวัดทุกวันอยู่แล้ว ไม่คิดอะไรมาก ตื่น เช้าพ่อแม่ก็แต่งอาหารหวานคาวให้เจ้ากาลไปวัด อย่างท่ีอีสาน เรียกว่าไปจังหัน พอถึงวันพระก็รับศีล ๘ พ่อก็บอกว่า “ถ้าชาวบา้ น เขาทาอย่างไรก็ให้ทาตามเขา เขานั่งอย่างไร นุ่งขาวห่มขาวก็ให้ทา ตามเขา” เจ้ากาลก็ทาตามอย่างน้ันจนถึง ๓ เดือน อนาถบิณฑิก เศรษฐีก็เห็นว่า พอท่ีจะเป็นไปได้แล้ว ก็เรียกเจ้ากาลมาบอกว่า “เจ้ากาล นาอาหารหวานคาวไปที่วัดเจ้าก็ไปอยู่ทุกวัด พอถึงวัน พระ เจ้าก็ถือศีล ๘ เอาอย่างน้ีนะ พอถึงวันพระ เจ้าถือศีล ๘ แล้ว พ่ออยากจะให้เจ้าน่ังภาวนา ฟังพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเจ้าทาได้พ่อจะให้ ๑๐,๐๐๐ บาท” เจ้า กาลอยากได้เงิน ก็รับ “เอาครับ” พอถึงตอนเช้านาอาหาร บิณฑบาตมาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วย พระสงฆ์ พอถึงวันพระ ก็ถือศีล ๘ พอพระพุทธองค์แสดงพระธรรม ๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ เทศนา เจ้ากาลก็ฟังอยู่ แต่เวลาฟัง เจ้ากาลก็ไปพิงฝาพิงเสา ไม่ได้ น่ังตัวตรงเหมือนพวกเรา พอกลับไปถึงบ้าน พ่อก็ถามว่า “เจ้ากาล พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาอะไรบ้าง” เจ้ากาลซ่ึงเวลา พระองค์แสดงธรรมกห็ ลับไปตน่ื หนงึ่ กต็ อบวา่ “ไม่รู้ครบั ” อนาถบิณ ฑกิ เศรษฐีรทู้ นั ทีว่าเจา้ กาลไม่ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนา นั่งหลบั อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็มีอุบายอีก ก็บอกว่า “เอาอย่างน้ี ถ้า เจ้าฟังธรรมเทศนาแล้วจาได้ พ่อจะให้คาละ ๑๐๐ บาท” (ถ้าคิด เป็นเงินไทย) เจ้ากาลก็ตกลง วันธรรมดาก็ไปถวายภตั ตาหาร พอถึง วันพระถือศีล ๘ ก็มาน่ังฟังพระธรรมเทศนา น่ังตัวตรง พระพุทธ องคท์ รงแสดงธรรมข้อไหนกน็ ับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ คร้งั แรกด้วยจิต คิดอกุศล คืออยากจะได้เงิน แต่ในขณะนั้น เจ้ากาลก็ลืมนึกไปว่า เจ้ากาลน้ันมีบุญสะสมมาต้ังแต่การให้ทาน การสมาทานศีล การทา ใจใหส้ งบ ทาไมจึงวา่ อย่างนัน้ เพราะธรรมะของพระองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ีอาตมาหยิบยกขึ้นมาว่าเปรียบเหมือนน้าฝนที่ หล่นในขณะนี้ แต่ก่อนน้าฝนจะหล่นแรงค่อยขนาดไหนเจ้ากาลไม่ สนใจ แต่ขณะนี้เปิดใจตนเองรับธรรมเทศนาของพระองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับด้วยความจาใจหรือเลห่ ์นยั อะไรก็ตาม แต่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ไหลเข้าสู่ใจของเจ้ากาล ส่ิงตา่ ง ๆ ท่ตี อนแรกคดิ อกศุ ลอยู่ อยากได้เงนิ นับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ แตธ่ รรมะของพระองคส์ มเดจ็ พระสัมมำสัมพทุ ธเจ้ำเปรียบเหมือน น้ำฝน จะตกแรงค่อยอย่ำงไร เจ้ำกำลเปิดทุกถังกะละมังข้ึนมำ ไม่ได้ปดิ คว่ำเหมอื นแต่กอ่ น นำ้ ก็เตม็ ไหลเขำ้ ใจของเจ้ำกำล เจ้ากาลพิจารณาตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม- พุทธเจ้าที่ทรงแสดง จิตก็เกิดความสว่างวาบ ด้วยอานิสงส์การให้ ๑๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ ทาน รักษาศีล และการทาใจของตนให้สงบ ทาสู่จิตสู่ใจเข้ามา เกิด ความสว่างวาบข้ึนในใจได้สาเร็จเป็นโสดาบัน พอกลับไปถึงบ้าน ก็ ไปบอกพ่อว่า “พ่อ พรุ่งน้ีผมได้กราบทูลเชิญองค์สมเด็จพระ- สัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จานวน ๕๐๐ มาฉันภัตตาหาร ที่บ้านเรา” แล้วก็เตรียมจัดนู่นจัดนี่ อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็นาเงิน ๑๐,๐๐๐ ไปให้เจ้ากาล บอกกับเจ้ากาลว่า”เจ้ากาล นี่เงิน” “เงิน อะไร พ่อ” “เงินรางวัลที่เจ้าไปฟังพระธรรมเทศนาไง” เจ้ากาลก็ บอกว่า “ผมไม่เอาแล้วครับพ่อ ผมรู้แล้วล่ะว่าพ่อให้ผมได้อะไร” คนเราก็เหมือนกัน เรำต้องบำเพ็ญบำรมีขึ้นมำตั้งแต่กำรให้ทำน รักษำศีล เจริญภำวนำ นำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมำ สัมพุทธเจ้ำไหลเข้ำสู่จิตสู่ใจของเรำทุกผู้ทุกคน เปรียบเสมือน น้ำฝนท่ีหล่นจำกฟำกฟ้ำ ทำให้ใจของเรำเกิดควำมชุ่มฉ่ำ เบิก บำนในจิตในใจข้นึ มำ การปฏิบัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือองค์หลวงปู่มั่น ท่านนาข้อวัตรปฏิบัติมาสู่พวกเราให้ได้ประพฤติปฏบิ ัติ ศาสนาพวก เราไม่เส่ือมถ้าพวกเราทั้งหลายไม่ว่าทางฝ่ายพระ ฝ่ายคฤหัสถ์ ยัง ประพฤติปฏิบัติตามหลักคาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าในข้อวัตรปฏิบัติที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้ให้พวกเรา ศาสนาก็จะไม่เส่ือมไปไหน ยังคงอยู่ เราไม่ต้องกลัวว่าศัตรูคนไหน หรือศาสนาไหน จะมาทาลายพุทธศาสนาได้ ถ้าเรายังยึดม่ันในหลกั คาสอน ในขอ้ วัตรปฏิบตั ิที่พอ่ แม่ครบู าอาจารย์พาประพฤติปฏบิ ตั ิ อาตมายังมานึกถึงข้อเขียนของพันเอกป่ิน มุทุกันต์ สมัย อาตมาเป็นสามเณร ท่านเป็นอธิบดีกรมการศาสนา ท่านเขียนไว้นา่ คิดมาก ท่านเรียกว่า อาณาจักรกอไผ่ คาว่า อาณาจักรกอไผ่น้ัน ใน ๑๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ ท่นี กี้ ็เปรียบเหมือนไผป่ ่า ตน้ ไม้อื่น ๆ น้ันถา้ เรามองไปในป่าก็จะเห็น ว่ามันเป็นหย่อม ๆ ไม่เหมือนไม้ไผ่ ซ่ึงจะเป็นกอ รวมกันเป็นกลุ่ม เปน็ ก้อนขนึ้ มา วันหนึ่ง ไมไ้ ผก่ ็ประชุมกันเข้า เหมอื นกับประชุมสภา ผ้แู ทนราษฎร ในทปี่ ระชมุ ไดเ้ สนอขึน้ มาวา่ เราเร่ิมวติ กกังวลกนั แล้ว เพราะไม้ไผ่ของเราเร่ิมจะลดน้อยถอยลงไป พอยังไม่โตเท่าไร แค่ ออกหน่อข้ึนมายังไม่พ้นจากพื้น ทางอีสานเรียกวา่ มะหวั ตอนเดือน เมษามันจะหวาน พอพ้นข้ึนมาเขาก็มาสับเอาหน่อ พอเป็นลาอ่อน ย่ิงช่วงนี้เปน็ ช่วงหนา้ นา ถึงเดือนสิบสองเขาจะเก่ียวข้าว เขาก็นาไม้ ไผ่ที่มันอ่อนน่ีไปทาเป็นตอกไปมัดข้าว ถ้าลาที่มันแข็งเขาก็ตัดไปทา รั้ว เราจะมีวิธิป้องกันอย่างไร ในท่ีประชุมก็บอกว่า ช้าง ม้า วัว ควาย มนุษย์นไี่ ม่สามารถที่จะทาลายพวกเราได้เพราะพวกเรากอไผ่ มีความสมัครสมานสามัคคี พอเกิดเป็นกอไผ่ขึ้นมาแล้วต่างคนต่าง แตกแขนงข้ึนมา คลมุ ปกดินขน้ึ มา มีหนาม คน สัตว์ ชา้ ง เสือ จะมา เข้ามาหากอ พอมาเจอหนามเราก็ร้อง วู้ ขึ้นมา เป็นอย่างนั้น แล้ว ไมไ้ ผเ่ ราก็มคี วามออ่ นโยน ล่ตู ามลม คาวา่ ล่ตู ามลมคอื แบบไหน ถา้ ลมแรงมาพดั กอไผ่ก็ลไู่ ปตาม ลม ไมห่ ัก ไมเ่ หมอื นไม้ยืนต้นท่ีมันแข็งกระดา้ ง ลมพดั มาก็ตา้ นลม ก็ หักโค่นไป พอถึงหน้าแล้งข้ึนมาพวกเราก็มีความเสียสละพร้อมกัน สลัดใบปกคลุมพื้น ตรงกอไผ่ ตรงเหง้าน่ันแหละ ไม่มีคนใดเกี่ยง สลัดปกคลุมดินไว้ให้เกิดความชุ่มชื่น มีความสมัครสมานสามัคคี พวกเรากลัวอะไรล่ะ กลัวอยู่อย่างเดียวคือไผ่แวน ไผ่แวนคืออะไร ไผแ่ วนก็คือไม้ไผ่ท่ีกาลังพอดีทเี่ ขาจะนาไปทาเปน็ ด้ามจอบด้ามเสียม ด้ามมีดมาตัดพวกเรากันเอง กลัวไผแ่ วนอยา่ งเดียวน่แี หละ ๑๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ รวมความว่า ศำสนำอ่ืนไม่สำมำรถทำลำยพุทธศำสนำ ของพวกเรำได้ นอกจำกพวกเรำ ภิกษุ ภิกษุณี อุบำสก อุบำสิกำ นี่แหละที่จะมำทำลำย ถ้ำตรำบใดพวกเรำยังยึดมั่นในหลักคำ สอนขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ ในข้อวัตรปฏิบัติที่พ่อ แม่ครูบำอำจำรย์ หลวงปู่มั่น บูรพำจำรย์ของพวกเรำได้นำให้ พวกเรำท่ำนทั้งหลำยได้มำประพฤติปฏิบัติ ถ้ำเรำยึดม่ันตรงน้ี ศำสนำเรำจะไม่ไปไหน ไม่มีส่ิงอ่ืนมำกระทบศำสนำเรำได้ ก็ขอ ฝากพวกเราไว้ เป็นข้อสาคัญยิ่ง เราแก้ไขปรับปรุงข้ึนมา ถึงวันพระ วันเสำร์ วันอำทิตย์ เรำก็ควรจะเข้ำมำสู่วัดวำศำสนำ มำหยุดดู กำย วำจำ ใจ ของพวกเรำ เพราะในแต่ละวัน อารมณ์ของจิตของ พวกเราแต่ละคนน้ัน อยู่ที่บุตร ธิดา สามี-ภรรยา หน้าที่การงาน โอกาสท่จี ะมาหยุดดูกาย วาจา ใจ ตนเองน้นั ยาก เหมือนเรามาจาก บ้าน หรือมาจากที่ต่าง ๆ ถ้าเราขับรถมาก็ตาม นั่งรถมาก็ดี ถ้าเขา ขับมาด้วยความเร็ว มันจะมองสองข้างทางไม่ชัด แต่เม่ือมาหยุดที่ วัดสระปทุมแล้วก็จะเห็นชัด อันน้ันโบสถ์ เจดีย์ กุฏิ วิหารต่าง ๆ เหน็ ชัด เหน็ ชดั เพราะอะไร เพราะเราหยดุ ใจของเราทุกผู้ทุกคนก็เหมือนกัน อารมณ์ของจิตแต่ละคน นั้น ในแต่ละวันอยู่ท่ีสามี-ภรรยา บุตร ธิดา หน้าท่ีการงาน เพื่อน บ้าน ฯลฯ วันน้ีเรำมำหยุดดูกำย ดูวำจำ ดูใจของเรำ มันจะเห็น ควำมบกพร่องที่เกิดในจิตในใจของพวกเรำทุกผู้ทุกคน คนอน่ื ไม่ สำมำรถท่ีจะเห็นควำมบกพร่องของพวกเรำ ตัวเรำแต่ละคนเปน็ ผู้ดู กำยเป็นอย่ำงไร วำจำเป็นอย่ำงไร ใจเป็นอย่ำงไร เรำต้องมำ ดู ถ้าจะดูกายจะต้องดูว่าตั้งแต่ตื่นเช้าข้ึนมาจนถึงขณะนี้ เรานากาย ของพวกเราไปทาอะไร ไปลักขโมย ทาร้ายบุคคลอื่น หรือไม่ หรือ ๑๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ นากายของเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาว มาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เม่ือเราหยุดดูก็จะเห็นความชัดเจนข้ึนในจิต ในใจของเรา วา่ กายเราทาถกู ต้อง สิง่ ไหนทีเ่ ราทาไมถ่ กู ต้องเราก็เลิก ละออกไป เรียกว่า มาวัดกาย ส่วนวาจาก็เหมือนกัน ต้ังแต่ตื่นเช้า ข้ึนมาจนถึงขณะน้ี เราพูดมาก พูดน้อย พูดโกหก หลอกลวง เพ้อ เจ้อ เหลวไหล คาหยาบ หรือพูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยก แตก สามัคคี หรือพูดให้วจีไพเราะเสนาะโสตเหมือนอย่างพวกเราท่าน ทั้งหลาย มากล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสงฆ์ ในส่วนท่ีเรำพูดไม่ดี เมื่อเรำหยุดดู ก็เห็นชัดเจน ก็เลิกละออกไป คาพูดเป็นสง่ิ สาคญั มาก โบราณท่านจงึ บอกว่า ลมพัดยอดไม้ยงั ไหว วำจำที่พดู ออกไปยอ่ มมีคนฟัง อยำ่ พดู สุ่มสสี่ มุ่ หำ้ พูดก็ใหม้ ีสติ ทีนี้ข้อสุดท้าย ส่วนใจ ก็เหมือนกัน เราวัดกันแบบไหน ต้ังแต่เช้าตื่นข้ึนมาจนถึงขณะนี้ เราคิดดี คิดชั่ว คิดอิจฉาพยาบาท ปองร้ายคนนู้นคนน้ี อยากให้เขาวิบัติขัดสน หรือเราคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ภายในครอบครัว ในชุมชนของพวกเรา รวมไปถึงประเทศชาติ เมอื่ เราหยุดดูแล้ว ควำมคิดเรำคดิ ไปในทำง สร้ำงสรรค์ ใหเ้ ป็นประโยชน์ เรำกท็ ำใหม้ ำกขึ้น แต่สว่ นไหนท่ีเรำ คิดอิจฉำพยำบำทปองร้ำยคนโน้นคนน้ี เรำก็เลิกละออกไป นี่ เรียกว่า พวกเรำมำวัดกำย วัดวำจำ วัดใจ มาหยุดดูกาย วาจา ใจ ของเรา เมื่อเราหยุดเราก็เห็นความบกพร่องเกิดขึ้นในจิตใจของเรา น่ีเป็นส่งิ ที่ดี คาพดู ก็เปน็ ส่ิงสาคญั ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ มานึกถึงคาเขียนของอาจารย์วศิน อินทสระ ได้อ่านผ่าน ๆ ไป ก็อยากมาเล่าให้พวกเราทั้งหลายได้ฟังว่า ระหว่างการลักขโมย การเล่นการพนัน การพูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคี ๑๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ ส่ิงไหนมีโทษร้ายแรงกว่ากัน ท่านบอกว่า มีหญิงสาวอยู่ ๓ คน เป็น คนสวย เป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งชื่อว่านางสาวอทินนา มีความถนัด ตามชื่อ ชอบลักขโมย คนท่ีสองช่ือว่านางสาวพนันตา มีความถนัด ตามช่ือ ชอบเล่นการพนัน คนท่ีสามชื่อว่านางสาวปิสุณา มีความ ถนัดตามช่ือ ชอบพูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคี ท่ี ไหนมีความสงบ ของไม่หาย การพนันไม่มี ความแตกแยกแตก สามัคคีไม่มี พอสามสาวน้ีเข้าไป ของก็หาย การพนันก็มี ความ แตกแยกแตกสามัคคีก็เกิดขึ้น บ้านเมืองก็ไม่สงบสุข ไม่เคยเป็น อย่างน้ี แต่สามสาวนี้ก็เอาตัวรอด คนเขาก็มองว่าทั้งสาวทั้งสวยคง ไม่ลักขโมย คงไม่เล่นการพนัน คงไม่ส่อเสียดให้เกิดความแตกแยก แตกสามคั คี ทางการทางพระราชาก็ส่งคนมาสืบดูว่าเปน็ เพราะอะไร สืบไปสบื มาก็รูว้ ่าเกดิ จากสามสาวนแ้ี หละ พอรู้ต้นเหตุเขาก็จับสามสาวใส่เรือสาเภาไปไว้ท่ีเกาะร้าง สมัยอาตมาเป็นเด็กมีภาพยนตร์ไทยเรื่อง เกาะตะรุเตา ถ้าใครอายุ ๖๐ ปีคงจะได้เห็น เอานักโทษต่าง ๆ ไปไว้ที่เกาะ จะออกมา ภายนอกไม่ได้ ไม่มีเรือออกมา อันน้ีก็เหมือนกัน เขาเอาสามสาวใส่ เรือสาเภาไปปลอ่ ยไว้ท่เี กาะรา้ ง ห่างไกลจากผู้คนมาก ก็ใหเ้ ครื่องยัง ชพี ไปใหเ้ ต็ม แล้วก็เอาเรือสาเภากลบั ออกมา สามสาวก็ไปอยทู่ ่เี กาะ ร้างแห่งน้ัน สามสาวก็เกิดปัญญา ปรึกษากันว่า ถ้าเรางอมืองอเท้า อยกู่ ต็ ายเปลา่ อย่างเดียว จะทาอยา่ งไร ก็คิดได้วา่ มีดพรา้ เรากม็ ี ไป ตัดเอาไม้ไผ่มาแล้วริดก่ิงมันออกเป็นไม้ส้าวท่ีจะปักเสาธง เอาเสื้อ ขาวผูกตรงปลายไม้ไผ่ โบกสะบัด คงจะมีเรือสาเภาผ่านเข้ามา ให้ เราช่วยกัน คนไหนเหนื่อยก็ผลัดเปล่ียนกัน ตกลงกันอย่างน้ัน เอา เสื้อขาวผูกตรงปลายไม้ไผ่ โบกสะบัดไปมา เจ็ดวันผ่านไป ก็มีเรือ ๑๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ สาเภาผ่านเข้ามาพอดี นายสาเภาก็เอากล้องส่องทางไกลส่องไปท่ี เกาะรา้ งก็เห็น เอะ๊ ทาไมมมี นุษย์ ก็เลี้ยวเรอื เขา้ มาจอดท่เี กาะรา้ ง ก็ เห็นสามสาวท่ีเกาะร้าง นายสาเภาก็ถามว่า พวกเธอทั้งสาวทั้งสวย ทาไมมาอยู่ท่ีเกาะร้าง สามสาวก็ตอบไปตามความจริงว่า “ฉันชื่อ นางสาวอทินนา ชอบลักขโมย ช่วยด้วย” คนที่สองก็รายงานตัวว่า “ฉันชื่อนางสาวพนันตา ชอบเล่นการพนัน ช่วยด้วย” คนที่สามก็ บอกว่า “ฉันชื่อนางสาวปิสุณา ชอบพูดส่อเสียดให้เกิดความ แตกแยกแตกสามัคคี ช่วยด้วย” นายสาเภาพิจารณาดูว่าระหว่าง สามสาวจะเลือกใครดี นายสาเภาก็วิเคราะห์ออกมา เลือกนางสาว อทินนามาเปน็ ภรรยา โดยวิเคราะหว์ ่า เหตทุ ค่ี นชอบลักขโมยเพราะ ไม่มีแก้วแหวนเงินทอง ถ้าเรามีแก้วแหวนเงินทองให้เขาคงไม่ลักไม่ ขโมย ก็เลือกนางสาวอทนิ นาเปน็ ภรรยา ก็ปล่อยนางสาวพนันตากับ นางสาวปสิ ณุ าไว้ในเกาะร้าง สองสาวก็ไม่ละความพยายาม โบกสะบัดธงต่อไป เจ็ดวัน ผ่านไป ก็มีเรือสาเภาผ่านมาอีก นายสาเภาก็เห็นก็แวะเข้ามา ก็มา เห็นสองสาวที่เกาะร้าง ก็ถามว่าเธอมาอยู่อะไรที่เกาะร้าง คนแรกก็ ตอบว่า ฉนั ชอ่ื “นางสาวพนันตา ชอบเล่นการพนัน ช่วยด้วย” คนท่ี สองก็บอกว่า “ฉันชื่อนางสาวปิสุณา ชอบพูดส่อเสียดให้เกิดความ แตกแยกแตกสามัคคี ช่วยด้วย” นายสาเภาก็พิจารณาดูวา่ ระหว่าง สองสาวจะเลือกใครดี นายสาเภาก็วิเคราะห์ออกมา เลือกนางสาว พนันตาไปเป็นภรรยา โดยวิเคราะห์ว่า เหตุที่คนชอบเล่นการพนัน เพราะมเี วลาว่างมากเกินไป ถา้ เราหางานการให้ทา ไม่ใหม้ ีเวลาว่าง คงไม่เล่นการพนัน ก็เลือกนางสาวพนันตาไปเป็นภรรยา ปล่อย นางสาวปสิ ณุ าไว้ ๑๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ นางสาวปิสุณาก็ไม่ละความพยายาม โบกสะบัดธงต่อไป เจ็ดวันผ่านไป ก็มีเรือสาเภาผ่านเข้ามาอีก นายสาเภาส่องกล้อง ทางไกลก็เห็นหญิงสาวอยู่คนเดียวก็แวะเข้ามาถามว่าเธอทั้งสาวทั้ง สวย ทาไมมาอยู่เกาะร้างคนเดียว นางปิสุณาก็ตอบตรง ๆ ว่า “ฉัน ช่ือนางสาวปิสุณา ชอบพูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยกแตก สามัคคี ช่วยด้วย” นายสาเภาวิเคราะห์ออกมาว่า พี่น้องเราก็มี หลายคน ถา้ เราเอานางปสิ ณุ าไปเป็นภรรยาเดย๋ี วก็พูดยุแหยส่ ่งเสริม ให้พ่ีน้องเราแตกแยก เด๋ียวก็ไปด่าแม่เรา ไม่เอาดีกว่า ก็เลยหันเรือ สาเภาหนีจากเกาะร้าง นางปิสุณาก็หมดกาลังใจไม่รู้จะไปไหน ร้อง ห่มร้องไห้ เผอิญท่ีเกาะมีนกอินทรีสองตัวผัวเมียพูดภาษามนุษย์ ได้มาหากินท่ีเกาะร้าง เห็นนางปิสุณาร้องไห้ ก็ถามว่า “เธอเป็น อะไร ทาไมมาร้องห่มร้องไห้” นางปิสณุ าก็บอกว่า “ฉนั โดนปล่อยที่ เกาะรา้ ง ฉันชอบพูดส่อเสยี ดใหเ้ กิดความแตกแยกแตกสามัคคี ชว่ ย ด้วย” นกสองผัวเมียก็บอกว่า “ช่วยไม่ได้หรอก ไม่รู้จะช่วย อยา่ งไร” นางปสิ ุณากอ็ ้อนวอนนกสองผวั เมียใหช้ ่วย จนนกทงั้ สองใจ อ่อนก็จะช่วย นางปิสุณาก็บอกว่า ถ้าพวกเธอจะช่วยก็ทาได้ โดยให้ เธอสองผัวเมียเอาปีกประกบกัน ฉันจะข้ึนไปนั่งตรงปีกเธอท้ังสอง แล้วเธอก็บินออกไป นกก็เห็นดีด้วยก็ให้นางปิสุณาข้ึนนั่งตรงปีก แลว้ กบ็ ินทะยานขึน้ ไป จนอยูก่ ลางทะเลลึก โดยนิสยั ของนางปิสุณา ชอบพูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยกแตกสามัคคี นางก็มองนกตัว เมีย มองนกตัวผู้ สลับไปมา แล้วก็บอกนกตัวผู้ว่า “น่ี แฟนของเธอ ไม่ขยับปีกช่วยบินเลย” แล้วนางก็มองนกตัวเมีย มองนกตัวผู้ สลับ ไปมาอีก แล้วก็บอกนกตวั เมียวา่ “น่ี สามขี องเธอทาตาส้มตาหวาน ๑๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ ใส่ฉันนะ” ปรากฏว่า นกสองผัวเมียก็ผิดใจกัน ก็เลยบินแยกออก จากกัน นางปิสุณาก็ตกลงไปไหนทะเล ตายลูกเดียว เน้ือหนังมังสา ต่าง ๆ ก็ถูกปูปลากินหมด กระดูกก็ตกลงสู่ก้นทะเล เหลือแต่ กะโหลกศีรษะ กะโหลกศีรษะนี่มันกลม มันลอยตุ๊บป่อง ๆ โดย ธรรมชาติของทะเลเขาไม่ชอบส่ิงสกปรก เขาก็ซัดไป ๆ จนเข้ามา เกยต้ืนท่ีชายหาด เผอิญว่าวันน้ันมีพระธุดงค์องค์หน่ึงเดินเลียบชายฝ่ังทะเล มา ก็มาเจอกะโหลกศีรษะอันนี้ ไม่รู้หรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่มีความชอบใจว่า ถ้าเรานากะโหลกศีรษะอันน้ีไปพิจารณาเป็น อสุภกรรมฐานท่าจะดี ก็จับยัดใส่ย่าม แล้วก็ไปพักท่ีวัดหนึ่ง วัดน้ัน เดมิ อยู่ด้วยความเป็นสขุ พระเณรเถรชีไม่ผิดกนั แตพ่ อกะโหลกอันน้ี เข้าไป พระก็ผิด เถรเณรชีผิดกันหมด ชาวบ้านก็ผิด พระท่ีนาไปก็ เกิดความสงสยั ว่าเป็นเพราะอะไรหนอ หรือจะเปน็ เพราะกะโหลกที่ เรานามาหรือเปล่าหนอ สมัยก่อนที่โบราณเราเรียกว่าน้าบ่อ ทาง อีสานเรียก น้าส่าง น่ีแหละคนก็จะมาตักเอาไปเป็นน้าด่ืมน้าใช้ คน มาตักด้วยความสงบ พระท่านก็ลองทดสอบดูว่า ถ้าเราเอากะโหลก ศีรษะไปฝังไว้ใกล้ ๆ จะเป็นอย่างไร พอเอาไปฝังเสร็จท่านก็เอาไป แอบดูไกล ๆ ญาติโยมในหมู่บ้านท่ีเคยมาตักน้าด้วยความสงบ แต่ พอเอากะโหลกมาไว้ กบ็ ่นว่ากนั เจา้ ตักค่อย ตักแรงทานา้ ข่นุ เอาไม้ ฟาดหัวร้างข้างแตกกันไป ท่านก็พิจารณาว่า คงจะเป็นเพราะ กะโหลกอันน้ีละมั้ง ก็ยังไม่หายสงสัย ในวัดน้ันก็มีสระ ในสระก็มี ปลาเยอะแยะ ท่านก็นาเชือกมาผูกกะโหลกแล้วท้ิงลงไปในสระ ปลาท่ีเคยอยู่ด้วยความสงบสุข พอกะโหลกน้ีลงไปก็กัดกันตายเป็น ๑๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ เบือ ท่านก็ดึงกะโหลกน้ีข้ึนมา รีบนาเข้าไปในป่าลึก ทุบให้ละเอียด ฝงั ไวท้ ี่ป่าลึก เรื่องต่าง ๆ นกี้ ห็ ายไป ก็เป็นเคร่ืองชี้ให้เห็นว่า คนเรำดีก็ถึงกระดูก ไม่ดีก็ถึง กระดูก เหมือนกระดูกของพ่อครูบาอาจารย์เรา เช่นกระดูกหลวงปู่ มั่น ใสเป็นแก้วเป็นพระธาตุ เหมือนพระอัฐิขององค์สมเด็จพระ- สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระธาตุ ใครก็อยากได้ ใครก็ต้องการ ในท่ีใด กต็ าม ไมว่ า่ วัดก็ดี ส่วนราชการไหนก็ตาม ในชมุ ชนหน่วยงานใด ถ้า มีเรื่องมีราวมีการทะเลาะเบาะแว้งกันข้ึนมา ท่านบอกว่าอาจจะมี กะโหลกของนางปสิ ุณาไปลงท่ีตรงนั้นก็ได้ ต้องช่วยกันหา นาไปท้ิง ที่ป่าลึก เป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจว่าการลักขโมย การเล่นการพนัน ยังไม่มโี ทษร้ายแรงเท่ากับการพดู ส่อเสียดให้เกิดความแตกแยกแตก สามัคคี นี่แหละพวกเราท้ังหลาย ให้นาไปพินิจพิจารณาว่า มันเป็น อย่างน้หี รอื เปล่า การพดู ส่อเสยี ดมันเป็นโทษรา้ ยแรงอยา่ งมากเลย พระพทุ ธองค์จึงใหเ้ รำท่ำนทง้ั หลำยได้สงบกำยสงบวำจำ สงบใจ มำวัดวำจำ ไม่พูดสุ่มส่ีสุ่มห้ำ พูดแต่ในส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ เปน็ สิง่ ทด่ี ี ที่เป็นมงคล บางคนไปหาอาตมาท่วี ดั เราพดู คาหนึ่ง เขา พูดสิบคา สู้ไม่ได้ ก็เลยบอกว่า “โยมมาวัดครั้งต่อไปเอาลูกอมมา หลาย ๆ ห่อนะ” “เอามาทาไม อาจารย์” “เออ อาจารย์จะปลุก เสกให้ แล้วก็นากลับไป เอาใสก่ ระเป๋าไว้ เวลาจะพดู กบั ใคร กน็ าลูก อมนนั้ มาอมไว้ จะไดม้ ีสติว่าอาจารย์ไม่ให้พูดมาก” เขากป็ ฏบิ ัติตาม สองเดือนกลับมาบอกว่า “ได้ผล อาจารย์ เวลาจะพูดกับใครก็เอา ลูกอมมาอม ไดส้ ติ” เนี่ย กเ็ ป็นขอ้ คดิ อีกเหมอื นกัน พวกเราท่านท้ังหลายท่ีได้มาปฏิบัติในวันนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ ดี วันพระ วร แปลว่า เลิศ แปลว่า ประเสริฐ ทาคุณงามความดีเข้า ๑๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ ใส่ตนเอง เพราะว่าเราไม่สามารถท่ีจะให้บุคคลอ่ืนทาความดีแทน เราได้ เราต้องทาเอง เรามีบุญกุศลเกิดข้ึนในจิตในใจของเราแล้ว เราถึงจะสามารถอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้คนอ่ืน แต่ถ้าเราท่าน ท้ังหลายไม่มีบุญกุศลเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว ก็ไม่สามารถจะ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้คนอื่นได้ บางคนบอกว่า เอ๊ะ เราจะ อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้พ่อแม่ญาติพ่ีน้องเราท่ีล้มหายตายจากไปได้ ไหม -- ได้ ทาอย่างไร – มันอยู่ที่เราน่ีแหละ แม้แต่คนเป็นก็ได้ คน ตายก็ได้ คนเปน็ กไ็ ด้ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ประเทศลาวแตก มีคนอยทู่ ่บี า้ นอาตมา เป็นทหารไปรบที่ทุ่งไหหิน ประเทศลาว พอไปรบแล้ว ทางราชการ บอกว่า ร้อยเอกกมล สอนวงศา ตายแล้ว ก็นากระดูกและเงิน ชดเชยที่ราชการให้หลายแสน อยู่บ้านนอกก็นาเงินหลายแสนนี่ ทาบุญอุทิศไปให้ ทางอีสานเรียกว่า แจกข้าว แจกข้าวหาคนตาย อีสานถือคติว่า ถ้าคนยังไม่ตายถ้าเราแจกข้าวหาไม่ถึงเดือนเขาจะ กลับมาบ้าน แต่ญาติพี่น้องพ่อแม่ไม่รู้หรอกว่า ร้อยเอกกมล ตาย หรือไม่ตาย แต่ก็ได้กระดูกเหมือนกัน ก็มาทาบุญอุทิศไปให้ ในสมัย น้ัน มีถังน้าสังกะสีส่ีเหล่ียม ถ้าคนไม่มีเงิน ไม่สามารถซ้ือทาบุญ ถวายพระได้ พ่อแมข่ องร้อยเอกกมล กซ็ อ้ื ถังนา้ ฝนสังกะสถี วายพระ แล้วก็เขยี นว่า อุทิศสว่ นบุญส่วนกุศลไปให้รอ้ ยเอกกมล สอนวงศา ผู้ ล่วงลับไปแล้ว ทุกวันนี้ยังอยู่เลย แต่มันผุแล้ว อยู่ที่บ้านอาตมา พอ ทาบุญอุทิศไปให้ แต่ท่ีจริงแล้ว ร้อยเอกกมล ยังไม่ตาย โดนจับไป เป็นเชลยอยู่ที่เวียดนามเหนือ ทุกวันเวลาจะออกไปทางาน เขาจะ ให้ข้าวต้มถ้วยนึง ถ้วยไม่ใหญ่เท่าไร แล้วก็ให้ออกไปทางาน ถ้าท่าน ใดไปประเทศเวียดนามก็จะเห็นหลุมระเบิดที่ทหารอเมริกาไปทิ้งไว้ ๒๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ ให้ไปทางานตรงนัน้ โชคดีก็แล้วไป โชคไม่ดีกโ็ ดนระเบิดขึ้นมาก็ตาย ไป แต่วันน้ัน ยังไม่ได้กินข้าวเลย ทุกทีกินข้าวต้มแล้วก็ยังหิวอยู่ท้ัง วัน แต่วันน้ีร้อยเอกกมลต่ืนข้ึนมาก็ไม่หิว อิ่มเลย ทางานก็ไม่เหน่ือย เปน็ เพราะอะไรหนอ ประมาณเดือนหนึ่ง ทางราชการไทยกับเวียดนามก็แลก เชลยศึกกัน ร้อยเอกกมล ก็อยใู่ นเชลยกลุ่มนน้ั ก็กลับมาบา้ น ถึงไดร้ ู้ วา่ วนั ท่ีตนเองไม่หวิ ไม่เหนอื่ ยเวลาทางาน อม่ิ อยู่ตลอดเวลา เพราะ พ่อแม่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ นี่แหละ ไม่ใช่ว่าแต่คนตาย คน เป็นก็เหมือนกัน พวกเรำก็เหมือนกัน ถ้ำใครไม่ชอบ ไม่ถูกกับเรำ เรำไปทำบุญท่ีไหน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขำ กรวดน้ำไป ให้เลย นาย ก. นาย ข. ยาย ค. อย่าเปน็ เวรเป็นกรรมต่อกัน ใหเ้ ป็น มิตรต่อกัน กรวดน้าไปทุกวัน ๆ จากศัตรูท่ีหน้าบ้ึงก็หันมายิ้ม โยม ลองทาดูนะ แผ่เมตตาไปให้ ลูกศิษย์เคยเจอ อยู่ใกล้กันก็ทะเลาะ เบาะแว้งกัน มาหาทาอย่างไรดี ท่านอาจารย์ ไม่ยากหรอก อุทิศ ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เลย นายนี้ นามสกุลน้ี ให้ได้รับส่วนบุญกุศล ที่เราได้กระทา ทำอยู่บ่อย ๆ สักหน่อยเขำก็หันมำยิ้ม สู้ควำมดี ไม่ได้ นแ่ี หละพวกเราทา่ นทงั้ หลาย บุญกศุ ลน้นั ไมว่ ่าจะเปน็ คนเป็น หรือคนตายเมอ่ื เรามีบญุ กุศลเกิดขึ้นในจติ ในใจของเราแลว้ สามารถ อุทิศไปให้ได้ ครั้งหน่ึง อยู่ที่วัด ออกบิณฑบาต พอเรามีอายุข้ึนไม่ สามารถออกบิณฑบาตได้ มันปวดไหล่ เพราะไปกลับประมาณ ๘ กิโลเมตร คนใส่บาตรเยอะ ไหล่ทรุดกไ็ ม่ไดไ้ ป ให้ลูกศิษย์ไป ลูกศิษย์ ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรท่านอาจารย์อยู่วัด คอยดูนู่นดูนี่ ทานู่นทาน่ี พวกผมจะไปบณิ ฑบาตมาเล้ยี งอาจารยเ์ อง” เราก็อยู่วัด ไม่ได้ไป ทา ๒๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ นู่นทาน่ีไป พอเป็นเดือนข้ึนมาก็เดือดร้อนถึงผี วิญญาณต่าง ๆ เขา เดือดร้อน มาบอกว่า “ท่านอาจารย์ ลูกศิษย์ท่านไม่ไปบิณฑบาต ตามที่ท่านไป อาจารย์ไปบิณฑบาตรอบบ้าน แต่ว่าพระข้ีเกียจข้ี ครา้ น ไปบณิ ฑบาตที่ตลาด แล้วกก็ ลบั มาที่วัด” เรากไ็ ม่ร้ไู มเ่ หน็ พอ พระท่านมาก็เลยถามท่านว่า “ทุกวันท่านไม่ได้ไปบิณฑบาตตามท่ี ผมพาไปหรือ ทาไมท่านไปลัดอย่างน้ัน” เขากบ็ อกวา่ “ใช่ อาจารย์ รู้ได้อย่างไร” เราก็บอกว่า “นี่แหละ พวกวิญญาณต่าง ๆ เขาได้รับ บุญ ได้รับกุศลทุกวันอยู่ แต่พวกเธอไม่ไป เขาก็เลยไม่ได้รับ ขาด หายไป” เป็นข้อคิด เพราะโดยปกติทางภาคอีสานน้ัน เวลา บิณฑบาตผา่ นไป โยมก็ใส่ข้าวเหนยี ว พอใส่บาตรพระเสร็จ กม็ ีหลัก รั้ว โยมก็นาข้าวเหนียวไปใส่ข้างรั้ว พวกนี้แหละเขาได้รับบุญได้รับ กุศล เขาได้มากินตรงนี้ เหมือนเราทาข้าวประดับดิน วางไปตาม พ้ืนท่ี พวกเปรตพวกสัมภเวสีเขาก็มีโอกาสได้กิน ไม่มีพ่ีมีน้องมาให้ เขากไ็ ดร้ บั บุญกุศลตรงนแ้ี หละ เขาไดร้ ับทุกวัน ๆ แต่เมื่อขาดไป เขา กไ็ มไ่ ด้รับ เขาก็เดอื ดร้อน กเ็ ปน็ ขอ้ คิดเหมือนกัน อาตมาก็ได้ข้อคิด ว่า พวกน้ีก็เดือดร้อนเหมือนกันเพราะพระไม่ไปบิณฑบาตตามที่ไป เพราะกลัวว่าตรงนั้นโยมใส่บาตรเยอะ ไม่อยากไป เพราะทางภาค อีสานจะใส่ข้าวเหนยี วเยอะ นีแ่ หละ พวกเราทุกคนกเ็ หมือนกัน เรา มาเพ่ิมบุญกุศลให้เกิดขึ้นด้วยการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา เป็น อย่างนั้น อกี อยา่ งหนึ่ง เมอ่ื อาตมาไปอยูท่ ี่วัดแรก ๆ ในท่ีตรงน้ัน ทาง อีสานเรียกว่า เข็ด มันดุ ถ้าใครแก้ไม่ถูกเขาก็เอาตาย พอถึงวันพระ ก็จะมีเสียงคุยกันสน่ันหวั่นไหว กลางวันไม่มีใครกล้าเข้าไปในสมัย นั้น มันก็มีเสียงต่าง ๆ เกิดข้ึนมา ก็มาพิจารณา มันอยู่ในป่า ตก ๒๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ กลางคืนจาพรรษาอยู่ด้วยกัน ๕ รูป พระ ๓ เณร ๒ อยู่ในกระท่อม หา่ งจากบา้ นประมาณ ๓ กิโลเมตร ไปมาไม่สะดวก ไฟก็ไม่มี อะไรก็ ไม่มี วันนั้นไม่รู้ไปฉันอะไรเข้าตอนเช้า พอตกกลางคืน ประมาณ ๓ ทุ่ม มันเจ็บท้องข้ึนมา เจ็บแบบรุนแรงมาก เหมือนผีบิดไส้ ถ้าเราไม่ รู้ก็นึกว่าผีมาบิดไส้ บิดเข้าไป ๆ เหมือนใจจะขาด เป็นคนท่ีมีความ อดทนก็ไม่สามารถอดทนได้ ร้องโอยขึ้นมา เพ่ือนพระด้วยกันก็ไม่ สามารถที่จะชว่ ยได้ รอ้ งอูย ๆ ๆ ข้ึนมา เหมอื นผีบดิ ไส้ มันกบ็ ิดท้อง เราเหมือนใจจะขาด ในชว่ งน้ันจิตมนั ก็คิดว่า เรามีพ่มี นี อ้ ง มีพ่อมีแม่ ทาไมเราต้องมาตายกลางดงกลางป่าอย่างน้ีหนอ มันไม่อยากตาย ด้วยความกลัวตาย น้าตาก็ไหลพรากออกมาจากตา ๒ ข้าง ไม่มีใคร ช่วยเราได้ เหมือนอย่างที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรสั ไวว้ ่า จิตเต สงั กลิ ฏิ เฐ ทคุ ติ ปำฏิกังขำ ในขณะทว่ี ิญญาณเราจะออกจาก ร่างนั้น ถ้าเราคิดไม่ดีก็ไปตกนรก จิตเต อะสังกิลิฏเฐ สุคติ ปำฏิกังขำ ในขณะที่วิญญาณเราจะออกจากร่างนั้น ถ้าเราคิดดีก็ ไปส่สู วรรค์ มนั เป็นอยา่ งน้ัน กลวั ตายก็รอ้ ง น้าตาไหลพราก ในขณะนัน้ มันเปน็ ภาพเหมือนภาพสไลดผ์ ุดขน้ึ มาทลี ะภาพ ให้เราเหน็ ตั้งแตเ่ ราเกดิ จาความได้ ท่ีลับทแี่ จ้งท่ีมืด เราทาอะไรด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ มันก็จะผุดข้ึนมาเป็นภาพสไลด์ทีละภาพให้ เราเห็น ถึงแมเ้ ราจะลืมไปแลว้ ก็ตาม แต่นีม่ นั ไมล่ ืม ใครเป็นผู้บันทึก ไว้ล่ะ ถ้าเปรียบเหมือนต้นไม้ ก็คือต้นมะม่วง ตัวท่ีบันทึก ต้น ราก ดอก ใบ รสหอม เปรี้ยว หวาน เค็ม อย่างไรก็ตัวเมล็ดน่ะแหละเป็น ตัวท่ีบันทึกไว้ เมื่อต้นเก่าตายไป เราไปปลูกต้นใหม่มันก็เหมือนเดิม ใจของพวกเรากเ็ หมือนกนั ตัวตนคนเราไม่ว่าหญิงไมว่ ่าชาย ใครเป็น ผู้บันทึกด้านการกระทาของเรา ด้านกาย วาจา ใจ ก็ตัวใจเป็นผู้ ๒๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ บันทึกตั้งแต่เราเกิดขึ้นมา เราทาอะไร ดีช่ัวต่าง ๆ ใจก็บันทึก ใจนี่ มันไม่ลืมหรอกว่าเราทาอะไร ถ้าเปรียบเทียบให้ทันสมัยหน่อยก็ เปรียบเหมือนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ตัวที่บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ก็คือ ฮาร์ดดิสก์ เราต้องการอยากจะดูข้อมูล คลิกเข้าไป ข้อมูลต่าง ๆ ที่ เราบันทึกไว้มันก็จะผุดข้ึนมา ๆ อันน้ีก็เหมือนกัน เราทาอะไรทั้ง อดีต ปจั จุบัน ใจเรามนั บันทึกไวห้ มด ถา้ เราตายไป ยมบาลรโู้ ดยทันทีว่าเราทาอะไรไว้ ทาไมเขารู้ เขาก็เอาเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา คลิกออกมาเขาก็รู้ว่า นาย ก. นาย ข. ยาย ค. พระองค์น้ันองค์นี้ ทาอะไรบ้าง ท้ังท่ีลับท่ีแจ้ง เห็นหมดเลย ไม่มีอะไรปิดบัง เหมือนพวกเราท่านทั้งหลายมีเคร่ือง บันทึกวิดีโอไว้ บันทึกไว้ขณะน้ี หรือบันทึกไว้ขณะท่ีเราเป็นเด็ก พอ เรามาเปิดดูก็รู้เลยว่า สถานท่ีที่ตรงน้ันตรงนี้ สถานท่ีมันก็มีอยู่ไม่ได้ หายไปไหน ทาไมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านจึงเห็น ทาไมองค์สมเด็จ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าท่านจงึ รู้วา่ อดีต อนาคต ปจั จบุ นั เป็นอยา่ งไร เม่ือทาจิตทาใจของเราให้รู้ให้แจ้งมันก็จะเห็นหมด พ่อแม่ครูบา อาจารย์ท่านไปอยู่ที่ถ้า ไปนั่งภาวนา ใครมาอยู่ใครพูดอะไรใครทา อะไรเห็นหมด เพราะส่ิงน้ีไม่ได้หายไปไหน เหมือนอย่างเราบันทึก วดิ โี ออยู่ในขณะนี้ กีร่ อ้ ยกพี่ นั ปีมันกไ็ ม่ได้หายไปไหน น่ีแหละ่ ท่านจึง ให้ระวังการกระทาของพวกเราด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ เราอย่า ประมาท เพราะใจของพวกเรานี่มันบันทึกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ พ่อแม่ครูบำอำจำรย์ถึงให้พวก เรำท่ำนทั้งหลำยให้รู้ รู้ตัวรู้ตน รู้กำย รู้วำจำ รู้ใจตนเอง อย่ำไป ทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งำมให้เกิดข้ึนในจิตในใจของพวกเรำ มันเป็น อยา่ งน้นั ๒๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ อาตมาก็เป็นเหมือนกัน โอ๊ย มันเจ็บมันปวดมันร้องห่ม รอ้ งไห้ คนเรามนั กลวั ตาย ถา้ ยอมตายไม่มีอะไร กลัวตายน่โี อย๊ เปน็ ทุกข์เป็นร้อน เจ็บต้ังแต่สามทุ่มจนถึงตีสาม พอถึงตีสามมันก็ปวด แบบหนักเลยทีน้ี เราอยู่ในกระท่อม ปวดหนักท่ีสุด แต่ช่วงตีสามน่ี เหลือบไปเห็นธรรมะ แต่ก่อนมีเทปของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร มี ตลับเทปเฉย ๆ แต่ไม่มีม้วนเทป ท่านเขียนไว้ว่า “มะระณัง เม ภะวิสสะติฯ ระลึกถึงควำมตำยทุกลมหำยใจเข้ำออก” คนเราถ้า เรายอมตาย ระลกึ ถงึ ลมหายใจเข้าออกมีสติตรงนเ้ี อง ทร่ี อ้ งโอยร้อง อายน่ี เจบ็ ปวดขนึ้ มา ก็ลุกขึน้ มานั่งสมาธเิ พชรอย่างน้ีแหละ ขาซ้าย ขึ้นมาขาขวาทับ มือซ้ายข้ึนมาเอามือขวาทับ ยอมตาย ยอมตาย ยังไง เอ้าตายก็ตาย อยากจะดูว่าลมหายใจมันจะขาดแบบไหน คนเรามันกลัวตาย เอ้าตายก็ตาย ดูลมหายใจ ลมหายใจขาดมันจะ ตายแบบไหน ก็กาหนดดูลม ดจู ากสะดอื ขึ้นมา สดู ขึ้นมา ลมกห็ ายที ละเล็กละน้อย ข้ึนมา จนถึงคอ ต่อมาก็ถึงปลายจมูก หายไปหมด เอ้า ตายก็ตาย ปรากฏว่าพอเรายอมตายแค่น้ัน มันก็ ๓๐ นาทีมันก็ ปวดข้ึนมาอีก เราก็กาหนดดู มันก็ปวดอีก พออีกทีหน่ึง สักช่ัวโมง หนึ่งมันก็ค่อย ๆ ข้ึนมาอีก เราก็กาหนดดู จนถึง ๖ โมงเช้าสว่าง พอดี ความเจ็บปวดน้นั ก็หายไป ก็ได้ข้อคิดว่าท่ีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าเรารักษาด้วยธรรมะ โอสถ เอำธรรมนี่แหละเป็นเคร่ืองรักษำ รักษำกำย รักษำวำจำ รักษาความเป็นโรคต่าง ๆ ที่มันเกิดข้ึน ถ้าเรายอมตาย ยอมมัน ดู มันซิ ผลสุดท้ายโรคภัยไข้เจ็บมันหายไป ใจเรำล้วน ๆ น่ีแหละเปน็ เคร่ืองรักษำ รักษำกำย รักษำวำจำ รักษำใจเรำ นะ ก็ฝากญาติ โยมไว้กแ็ ล้วกนั ว่า ถ้าเกิดความเจบ็ ความปวดขึ้นมาเรามาเพ่งดู ยอม ๒๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ ตายแล้วก็เพ่ง ยิ่งเราปวดตรงไหน เอาคาถาท่านพ่อลีไปก็ได้ เอาไฟ น่ีแหละ ในส่วนธาตุ วัดอโศการาม “เตโช จะ พุทธะคุนัง อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวำ นะมำมิหัง” เอาธาตุไฟเข้าเผา เราเพ่งไฟ แล้วก็เอาไฟเข้าเผาตรงที่เราปวด เผาโรคต่าง ๆ มันก็หายไป เรียกว่าเป็นธรรมะโอสถท่เี กิดข้ึนและได้ประพฤตปิ ฏิบตั มิ า มันได้ผล ก็ขอให้พวกเราทา่ นท้ังหลายที่ได้น้อมกาย วาจา จติ เข้ามา สู่วัดปทุมวนารามแห่งนด้ี ้วยการใหท้ าน ด้วยการสมาทานศีล มาทา ใจของตนเองให้สงบในวันพระ วร เลิศในวันน้ี ก็ขอให้เราท่าน ทั้งหลายจงรวมเป็นพลังจิต บุญกุศลใดที่พวกเราทาทั้งอดีตและ ปจั จบุ ัน ขออทุ ศิ ส่วนบญุ สว่ นกุศลไปให้แก่เปตาชน มีมารดา บดิ า ปู่ ยาตายาย ญาตสิ นทิ มิตรสหาย เจา้ กรรมนายเวร สรรพสัตวท์ งั้ หลาย เม่ือท่านเหล่าน้ันตกทุกข์ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านใดมีความสุขแล้ว ก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ข้ึนไป ท่านเหล่านั้นก็จะอนุโมทนาเป็นผล สะทอ้ นย้อนกลับมาสพู่ วกเราทา่ นท้ังหลายให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ธนสารสมบัติ อาตมาได้แสดงธรรมมาเห็นว่าพอสมควร แก่เวลา เอว กม็ ดี ้วยประการฉะนี้ ๒๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ พระอธกิ ำรชชู ำติ ชยธฺมโม สวนธรรมคำตัน ต.จุมพล อ.โพนพสิ ยั จ.หนองคำย แสดงเมอ่ื วนั อำทิตย์ ท่ี ๑๗ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วดั ปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ พทุ ธัง สะระณงั คัจฉามิ ธัมมัง สะระณงั คัจฉามิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ขอนอบนอ้ มแด่พระผูม้ ีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ๒๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ ต่อไป หลวงพ่อก็จะนาธรรมะคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มาสาธยายให้พวกเรา ซ่งึ เปน็ พุทธบรษิ ทั ได้รับฟงั และนาไปประพฤติ ปฏิบตั ิ เพอื่ ความเจรญิ รงุ่ เรืองเปน็ สิริมงคลแก่พวกเรา วนั นี้เรามบี ุญ มากที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีอาการครบ ๓๒ ประการ ถือว่า บุญเลี้ยงเรามาบุญส่งเรามา โดยเฉพาะอย่างย่ิงแล้ว เราเกิดมาพบ พุทธศาสนา ซึ่งเป็นของที่หายากมาก ถ้าเรามองดูทั่วโลก ศาสนา ของเรามีกระจุกนิดเดียว แต่เรากม็ บี ุญมโี ชคมวี าสนาที่ได้มาเกิดตรง จุดน้ี วันน้ีหลวงพ่อก็มีความยินดีมากที่ได้มาบรรยายธรรมะให้ ศรัทธาญาตโิ ยมได้ฟัง เจตนาวันนีข้ องญาตโิ ยมก็คือ มาฟงั ธรรมแล้ว ก็มาปฏิบตั ธิ รรม หลวงพอ่ ก็จะเปน็ ผ้นู าพานงั่ นัง่ ภาวนาแลว้ กป็ ฏบิ ตั ิ ธรรม นั่งภาวนาไปเลย นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือข้าง ขวาทับมือข้างซ้าย ต้ังตัวให้ตรง ถ้าเราน่ังพับเพียบเราจะน่ังได้ไม่ นาน ดูจากเรานั่งฟังธรรมะ ไม่เข้าใจ ฟังไม่ค่อยรู้เร่ือง เพราะเรามัว แต่ห่วงการน่ังของเราว่า เอ น่ังจะดีไหม จะเอียงซ้ายเอียงขวาไหม เราพะวง แต่ถ้าเราน่ังตัวตรง ๆ มีความมั่นใจ ทาอะไรก็ตามถ้าเรา ทาดว้ ยความมน่ั ใจ การกระทาของเรานัน้ กจ็ ะประสบความสาเร็จ วันน้ี เรามาปฏิบัติธรรมในศาลาพระราชศรัทธา ดูสิ เป็น บุญเป็นกุศลเราแค่ไหนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงสร้างศาลาให้ ประชาชนของพระองค์ได้มาภาวนา ได้มาปฏิบัติธรรม เพื่อราษฎร เพ่ือปวงประชาของพระองค์จะได้อยู่เย็นเป็นสุข สุขท่ีแท้จริงไม่ได้ อยทู่ ที่ รัพยส์ นิ ทรัพย์สมบตั ิ อยู่ทจี่ ติ ใจทีม่ คี วามพอ ตรงกบั ทใ่ี นหลวง ท่านให้ประชาชนของพระองค์ประพฤติปฏิบัติ มีอาชีพ ทาในสิ่งที่ เพียงพอ ไม่ทาเกนิ ตวั เกินไป แลว้ เราก็จะไม่ทุกขย์ ากเมอ่ื เราทาในส่ิง ท่ีพอ คาว่าพอ วันน้ี เรามาปฏิบัติธรรมในศาลาพระราชศรัทธา เรา ๒๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ มาภาวนา แล้วก็มีศรัทธา วันนี้เรามาด้วยศรัทธา มาปฏิบัติในศาลา พระราชศรทั ธา ดูสิ เรามีบญุ มกี ศุ ลมากแค่ไหน ถา้ ไม่มบี ญุ แลว้ จะไม่ ได้มาในท่ีนี้ ในเมื่อเรามีศรัทธาเต็มเป่ียมแล้ว เราก็จะเริ่มปฏิบัติ ภาวนา สาหรับผู้ที่ปฏิบัติภาวนาใหม่ก็มี หรือผู้ที่เคยปฏิบัติภาวนา มาแล้วก็มี เรม่ิ จากผ้ทู ี่ปฏิบัตใิ หมก่ อ่ นก็แล้วกัน เม่ือน่ังเรียบร้อยแล้ว เราก็นกึ ย้อนจิตเข้ามา มาหาตวั เรา คอื ใจเรา มาหาผรู้ ู้ คาว่าผู้รู้ก็คือ ความรู้สึกท่ีขณะน้ีเรารู้สึกว่าเรานั่งอยู่ น่ีคือผู้รู้ คือใจของเรา เราที่ แทจ้ ริง นคี่ ือผู้รู้ รู้ว่าเรานง่ั อยู่ นัง่ สมาธิอยู่ ฟงั อยู่ นีค่ ือผ้รู ู้ ปกติผรู้ ู้จะ ไม่อยู่กับเรานานนัก เพราะมีกิเลสก็คืออารมณ์ที่มากระทบเรา จะ ดึงเอาผู้รู้ไป ไปคิดถึงทางบ้านบ้าง การงานบ้าง ลูกเต้าครอบครัว บา้ ง กิเลสจะดึงไป ถ้าผูร้ ูเ้ รายังไมแ่ ข็งแรงม่นั คง วนั นเี้ ราจะฝึกผู้รเู้ รา ให้มีความม่ันคงโดยการใช้ส่ิงที่เรามีอยู่ในตัวของเรา คือลมหายใจ ใช้ลมหายใจทเ่ี รามอี ย่นู ่ีให้เป็นประโยชน์ เราหายใจเข้าหายใจออกทุกเวลา แม้กระท่ังนอนหลับ เรา ก็ยังหายใจเข้าหายใจออกอยู่ แต่ว่าเราไม่ทราบ ถ้าเราไม่มีผู้รู้ ไม่มี สติรอบคอบแล้ว ก็ไม่รู้เลยว่า เราหายใจ ตอนน้ีเราจะเอาผู้รู้มาไว้ที่ ลมหายใจ ปกติ เราหายใจผา่ นจมูก เอาผูร้ ไู้ ว้ปลายจมกู หายใจเข้ารู้ ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก ตอนน้ีเรามีหน้าท่ีทาแค่นี้ หายใจเข้า-รู้ว่าหายใจเข้า ลมผ่านปลายจมูก หายใจออก-รู้ว่าลม ผ่านปลายจมูก หายใจเข้า-รู้ หายใจออก-รู้ น่ีคือการมีสติอยู่กับลม หายใจ เมื่อเราฝึกบ่อย ๆ ทาบ่อย ๆ แล้ว ผู้รู้ก็จะอยู่ท่ีปลายจมูก นาน หรือเราจะกากับไปอีกชั้นหนึง่ ก็ได้ ด้วยการบริกรรม “พุทโธ” ด้วย ท้ังหายใจเข้าด้วย บริกรรมคาว่า “พุท” ด้วย หายใจออก ๒๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ บริกรรมคาว่า “โธ” ด้วยภายในใจ หายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ บริกรรมเบา ๆ ภายในใจ เพือ่ ทจี่ ะให้ผูร้ ู้นตี้ ดิ อยกู่ บั ลมหายใจ ติดอยู่ กบั พทุ โธ ปกติจิตใจของเรานี้ ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบให้เราเห็น ภาพชัดเจนว่าเหมือนลิง ทุกคนเคยเห็นลิง มันอยู่ไม่นิ่ง เด๋ียวก็วิ่งไป ที่โน่น วิ่งไปที่นี่ โดดไปหากิ่งไม้ก่ิงโน้นกิ่งน้ีตลอดเวลา นี่เขาเรียกว่า ลิง ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาควบคุมแล้ว จิตใจเราจะเป็นเหมือนกับลิง เรำจะทำอย่ำงไรท่ีจะทำให้จิตใจเรำ น้ีน่ิง ไม่ว่ิงไปตำมอำรมณ์ ที่ว่ิงไปตำมอำรมณ์เพรำะอะไร เพรำะ ใจต้องกำรอำหำร เมื่อไม่มีอำหำรอย่ำงอ่ืน มันมีอำรมณ์ กิเลส อำรมณ์ก็ว่ิงไปตำมกิเลส แต่เวลำน้ีเรำจะเอำ “พุทโธ” นี้ไว้ให้ เป็นอำหำรของใจ ใจจะอยู่กับ “พุทโธ” เม่ือบริกรรม พุทโธ ไป เรื่อย ๆ สักพักหน่ึง มันก็จะคิดถึงเร่ืองอ่ืน พุทโธ ก็หายไป น่ีเป็น เรื่องปรกติของผู้ที่จิตใจยังอ่อนไหวอยู่ ผู้ที่ยังไม่นิ่งพอหรือยังไม่ ชานาญในการภาวนาจะเปน็ อย่างน้ันทุกคน หลวงพ่อภาวนาใหม่ ๆ ก็เหมือนกนั เปน็ เรอ่ื งธรรมดา ไม่ตอ้ งคดิ มาก สำคัญท่ีสุดคือให้เรำทำบ่อย ๆ ภำวนำบ่อย ๆ ปฏิบัติ บ่อย ๆ เรำทำเรอ่ื ย ๆ แล้วพุทโธก็จะอยู่กับเรำนำน ๆ จิตผู้รู้ก็จะ อยู่กับเรำนำน ๆ อยู่ท่ีกำรกระทำ เหมือนกับครูบาอาจารย์ท่าน คอยแนะนาสงั่ สอนวา่ การปฏิบัติธรรม การภาวนา ใหเ้ ราทาบ่อย ๆ ทาเนือง ๆ ไม่ต้องคิดว่าเราทามาก่ีนาที กี่ชั่วโมงแล้ว ไม่ต้องคิด ไม่ ต้องนึก การทาความเพียร เพียรทา เพียรพยายาม เพียรแล้วเพียร อีก ทาแล้วทาอีก ท่านเปรียบเสมือนเด็กตัวเล็ก ๆ เวลาหัดลุกหัด เดิน ไม่ใช่ว่าลุกข้ึนมาแล้วจะเดินได้เลยทีเดียว ไม่ได้ เดี๋ยวลุกแล้วก็ ๓๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ ล้ม ล้มแล้วก็ลุกอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ลุกข้ึนได้ เดินได้ และสุดท้าย แมแ้ ตว่ ง่ิ เดก็ คนน้ันกย็ ังทาได้ เพราะทาบอ่ ย ๆ สู้ไม่ถอย นี่คือผู้ท่ีทาความเพียรจะต้องทาอย่างนั้น ถึงจะได้เห็นความสาเร็จ ในการกระทาของเรา วันนี้ เราได้มาภาวนามาปฏิบัติเพื่อท่ีจะดูใจของเรา ไม่ใช่ดู ท่ีอื่น การปฏิบัติการภาวนาก็คือการมาดูใจของเรา รู้เร่ืองราวของ เรา ธรรมะก็อยู่ที่ใจของเรา แม้แต่พุทธะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ใครเห็นธรรมก็เหมือนกับเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อยู่ในตัว เรา คาวา่ พทุ ธะ พทุ โธ ไมอ่ ยู่ทอี่ นื่ ทีไ่ หนหรอก ใครจติ สงบ น่งั สมาธิ ภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิ คนน้ันเร่ิมมีพุทธะเข้ามาอยู่ในตัวของเรา แล้ว ทเ่ี ราภาวนาพทุ โธ เพราะเราแสวงหา พทุ ธะ พุทโธ ไมใ่ ช่อย่าง อื่น เพียงแตว่ ่าจิตเรายงั ไมส่ งบ เราเลยยงั ไมเ่ ห็นวา่ พทุ โธนัน้ มีคุณค่า มีประโยชน์อย่างไร ตอนน้ีเรากาลังน่ังภาวนาพุทโธอยู่ ฟังไปด้วย ภาวนาพุทโธ ๆ มีความรู้สึกกับลมหายใจเข้าออก แล้วก็ภาวนาพุท โธไปด้วย ตอนน้ีเรามีหน้าที่อย่างนี้ หลวงพ่อพูดไป เสียงธรรม เสียงพูดนี้ ถ้าจิตเราสงบมันจะวิ่งเข้าไปหาเราเอง ธรรมะกับความ สงบเข้ากันได้ จะว่ิงเข้าไปหาใจเราเอง ไปสู่ความสงบ เราไม่ต้องฟัง ตามตลอดวา่ ทา่ นพูดอะไร ไม่ตอ้ ง เราฟงั เพ่ือความเขา้ ใจ ทุกอย่างท่ี ท่านพูด ท่านเทศน์มานี้เพื่อให้เราเข้าใจในส่ิงท่ีถูกต้อง ในสิ่งท่ีเรา นาไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิแล้วเปน็ ประโยชน์ ตอนน้ีเรากาลังฝึกให้จิตอยู่กับพุทโธ อยู่กับความสงบ เม่ือ พุทโธ ๆ ไปนาน ๆ ไปเร่ือย ๆ แล้ว คาภาวนาของเราก็จะค่อย ละเอียดลง ๆ สาหรับผู้ที่ภาวนาเป็น นั่นหมายความว่า จิตของเรา เรม่ิ เขา้ สู่สมาธิ ไมย่ ึดมัน่ ไม่ยดึ ในพุทโธ ถ้าจะพูดจริง ๆ แลว้ พุทโธ ๓๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ เป็นเพียงทางผ่านให้จิตสงบ ถ้าจิตสงบจริง ๆ แล้ว แม้แต่ พุทโธ ก็ ทิ้ง ตอนนี้จิตเรายังไม่สงบ เรายังต้องอาศัยพุทโธเป็นเครื่องมืออยู่ บริกรรมพุทโธ ๆ พร้อมกับลมหายใจเข้าออก นี่คือหน้าท่ีของเรา ขณะน้ี เมื่อพุทโธไปนำน ๆ จิตละเอียด เรำจะทรำบได้ชัดเจนว่ำ เมอ่ื ก่อนท่ีจติ เรำวุ่นวำยน้นั ก็เพรำะอำรมณท์ มี่ ำกระทบเรำแล้วจิต เรำก็ว่ิงไปตำมอำรมณ์ ท่ำนเรียกว่ำ ส่งจิตออกนอก เมื่อส่งจิต ออกนอก จิตใจเรำก็วุ่นวำย ไม่สงบ แต่ถ้าเราย้อนจิตเข้ามาอยู่กับ พุทโธแลว้ ท่านเรียกว่ายอ้ นจติ เข้ามาภายในมาสู่ความสงบ เหน็ ไหม มนั จะตา่ งกนั จิตท่ีวุ่นวำย ส่งออกนอก จิตที่สงบ ย้อนเข้ำมำภำยในใจ ของเรำ มาดูจิตของเรา เห็นความรู้สึกนึกคิดของเราว่าขณะน้ี เรา คิดอะไร เร่ืองอะไร เป็นประโยชน์ไหม หรือเป็นโทษ เราจะเกิดสติ เกิดปัญญา ถ้าจิตสงบเราคิดได้ เราก็จะเลือกเฟ้นเอาแต่ในส่ิงท่ีดีที่ ถูก ก็คือ พยายามดึงจิตหรือผู้รู้น้ันกลับมาสู่ใจของเรา มาสู่ความ สงบ ถึงแม้ว่า จิตเราจะคิดฟุ้งไปข้างนอกก่ีคร้ังก่ีหนก็ตาม เราดึง กลับมาสู่ใจ ทุกคร้ังที่จิตออก เราก็ดึงกลับมา มันชักกะเย่อกันอยู่ อย่างนั้น ระหว่างกิเลสกับธรรม อยู่ที่ว่าใครจะมีอุบายอย่างไหน ดีกว่ากัน ถ้ากิเลสมีอุบายมากกว่า หนักแน่นกว่า มีเหตุผลมากกว่า ใจของเราก็จะว่ิงตามกิเลสออกไปข้างนอก ตรงกันข้าม ถ้าธรรม ภายในใจของเรามีความเข้มแข็ง รู้เท่าทันกเิ ลส กน็ าจิตผรู้ นู้ นั้ เข้ามา อยู่ภายในใจ มาสู่ความสงบ เม่ือเราอยู่กับ พุทโธนาน ๆ ลมหายใจ ของเราก็จะละเอียดเข้า เหมือนกับว่าลมหายใจเราแทบจะไม่มี ตอ่ ไป พุทโธกจ็ ะเบาลง ๆ ไปเรอื่ ย ๆ นค่ี อื ลักษณะของจิตทล่ี ะเอียด ๓๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ เข้าไป จะเปน็ อย่างนี้ จนกระท่งั ลมหายใจหายไป เหมือนหน่ึงว่าเรา ไมไ่ ดห้ ายใจ ลมไมม่ ี บางคนท่ีภาวนาแล้วจิตไม่เคยสงบ อาจจะคิดว่าลมหายใจ หายแลว้ กลวั ตายกม็ ี กเ็ ลยออกจากความสงบ แทนทีจ่ ิตจะสงบเป็น สมาธิ จิตก็เลยไม่สงบ แต่สาหรับผู้ที่เคยภาวนาหรือประคองผู้รู้ไว้ อยู่กับเรา ลมหายใจจะหายไปก็ช่าง ก็ให้เหลือผู้รู้อยู่ พุทโธจะ หายไป บริกรรมพุทโธไม่ได้ ก็ให้เหลือผู้รู้อยู่ เราอยู่กับผู้รู้ เขา เรียกว่าจิตใจเป็นสมาธิ จิตสงบเป็นสมาธิจากการบริกรรมภาวนา พุทโธ จากการพิจารณาลมหายใจของเราเอง ผลสุดท้าย ใจของเรา ก็สงบเป็นสมาธิ สมาธิอยู่ตรงไหน สงบอยู่ตรงไหน ตรงท่ีใจ ใจอยู่ ท่ามกลางอก สงบอยูท่ ่ามกลางอก เราจะมีผู้รู้ รู้อยวู่ า่ จิตสงบเย็นอยู่ ภายในอกของเรา ใจคือฐานท่ีม่ันของจิต อยู่กลางอก จะเย็นอยู่ตรง น้ี อยู่ตรงใจของเรา เย็นซ่านอยู่ภายในใจของเรา นี่แหละลักษณะ ของจิตสงบเป็นสมาธิ เป็นอย่างนี้ เราภาวนาจิตสงบใหม่ ๆ ความ สงบอาจจะอยู่ไม่นาน เดี๋ยวก็ถอนออกไปสู่สภาพปกติ แต่ถ้าเรา ประคองผู้รูไ้ ว้ ประคองความสงบไว้ ความสงบนัน้ กจ็ ะอย่กู ับเรานาน จะเย็นภายใน เรียกว่าสุขเกิดจากความสงบ สุขเกิดจากการปฏิบัติ ธรรมการภาวนา ผู้ท่ียังไม่เคยจิตสงบ จะไม่ทราบว่าสุขแบบนี้มัน เปน็ อยา่ งไร ตรงกันข้าม ผู้ท่ีจิตสงบจะรู้ว่าน่ีคือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่าน บอกว่าจิตสงบเป็นของอัศจรรย์ จิตสงบก็คือธรรมะ ธรรมะเป็น ของอัศจรรย์ เกิดจำกจิตใจของเรำปล่อยวำงจำกอำรมณ์ ไม่ยึด ไม่เกำะกับอำรมณ์ที่มำกระทบ ไม่ว่ำจะกระทบจำกข้ำงนอก คือ เรำได้ยินได้ฟังได้เห็น นี่เรียกว่ำมำจำกข้ำงนอก มำกระทบใจเรำ ๓๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ แต่เรำไม่สนใจ เรำปล่อยวำงอำรมณ์น้ัน หรือเกิดจำกภำยใน ควำมรู้สึกนึกคิด ปรุงแต่งภำยในใจของเรำ เมื่อจิตใจสงบแล้วจะ ไม่นึกไม่คิดไม่ปรุงแต่งภำยใน จะเหลือแต่ผู้รู้ รู้ สว่ำงไสวอยู่ ภำยใน สงบร่มเย็น เรำภำวนำเรำปฏิบัติก็เพ่ือต้องกำรสิ่งน้ี นี่คือ ธรรม เราภาวนามา ปฏิบัติมาท้งั ชวี ติ กเ็ พื่อต้องการสงิ่ นี้ แม้พระเจ้า พระสงฆ์ก็เหมือนกัน ต้องการความสงบ ต้องการให้จิตใจสลัด อารมณ์ข้างนอกออกไป ปล่อยวางอารมณ์ข้างนอกออกไป ให้เหลือ แต่ผู้รู้ ด้วยการบริกรรมพุทโธ ด้วยการภาวนา รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่เร่ืองยากอะไรเลย ถ้าเราตั้งใจทา แต่สาคัญที่สุดคือเราต้อง เพียรพยายาม การภาวนาใช้ความเพียร ไม่ใช่ทาครั้งหนึ่งสองครั้งแล้วจะ ประสบความสาเร็จ ทาแล้วทาอีก บางคนทาทั้งชีวิตจิตใจยังไม่สงบ เลยก็มี นเี่ ขาเรียกว่าบุญน้อย ทาน้อยกบั บุญน้อยกเ็ หมือนกนั แตค่ น ที่ทามาก ๆ ทาบ่อย ทาให้ต่อเนื่อง ก็จะประสบความสาเร็จ การ ภาวนาปฏิบัติธรรมน้ันต้องทาต่อเน่ือง เขาเรียกว่า ให้มีอารมณ์ ต่อเนื่อง ทาอะไรก็ตาม ให้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เหมือนเราทางาน ทางานที่ทา ๆ หยุด ๆ ทาแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็ทา มันไม่ต่อเน่ือง มันจะประสบความสาเร็จไหม เราทางานทาการของเรา ทุกอย่างที่ เราทา ภาวนาก็เหมือนกัน มันต้องให้อารมณ์ต่อเน่ือง อารมณ์ของ การภาวนาต่อเน่ือง แม้แต่การบริกรรมพุทโธ ก็ต้องต่อเนื่องไปเร่อื ย ๆ พุทโธ ๆ ต่อเน่ืองไม่ให้ขาด แต่ด้วยท่ีสติปัญญาเรายังอ่อน มันก็ ต้องขาดจนได้ แต่เม่ือไรท่ีเรารู้ว่าสติเราขาด พุทโธไม่ต่อเนื่อง เราก็ ดงึ ขน้ึ มา ดึงเข้ามาใหม่ ดึงพุทโธเขา้ มาส่ลู มหายใจใหม่ ๓๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ เขาเรียกว่าภาวนา ทาความเพียร เพื่อท่ีจะสร้างจิตใจของ เราน้ีให้มีพื้นฐานในการที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาที่มันอยู่ในใจของ เรานี้ เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่าขณะนี้ เวลาน้ีเรามีกิเลสตัณหาอยู่ใน ใจ เราจะรู้ได้อย่างไร ตราบใดท่ีเรายังไม่เข้าสู่พระนิพพาน ทุกคน ต้องมีกิเลส กิเลสยังมีอยู่ ผู้ท่ีไม่มีกิเลสคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต สาวก นนั่ คอื ผู้ท่ีไมม่ กี เิ ลส ท่านไมต่ ้องภาวนา พวกเราน้ยี ังมีกเิ ลสอยู่ กิเลสมันก็ดึงเรา ฉุดเรา ไม่ให้เราหนีจากกิเลส เราเคยอยู่กับกิเลส มันมานาน ไม่รู้กี่ภพก่ีชาติ นับชาตินับปีไม่ได้ เป็นอสงไขย ไม่รู้ก่ี อสงไขย เราเกิดมานานมาก กิเลสก็อยู่กับเรานานเท่าที่เราอยู่มา ฉะน้ัน การทเ่ี ราจะสลัดกิเลสใหอ้ อกจากเราน้ันเปน็ เรอื่ งยาก กิเลสคืออะไร ก็คือเรา เราน่ังอยู่ตรงน้ี ถ้าเราจะทาอะไร เราจะฆ่ากิเลสเหมือนกับว่าโดนเรา เราก็ไม่ทา กำรภำวนำแต่ละ คร้ังเรำต้องเอำชีวิตเป็นเดิมพัน เอำชีวิตเข้ำสู้ เอำชีวิตเข้ำแลก ให้ได้ธรรม ถ้ำเรำยังห่วงอยู่ในขณะจิตไหนก็ตำมท่ีเรำยังห่วงอยู่ หว่ งเจ็บนูน่ เจบ็ นี่ กลวั ตำย น่นั แหละคือกเิ ลสทำงำน เรารู้ไหม เรา ก็ไม่ทราบ ถ้าเราไม่ได้มาปฏิบัติธรรม ไม่ร้เู รอื่ งราวของคาวา่ กเิ ลสคือ อะไร ธรรมคอื อะไร เราก็ไมท่ ราบ ทุกอย่างเปน็ เราทั้งนั้น เปน็ เรา ๆ ทุกอย่าง ตั้งแต่สมบัติพัสถาน บ้านช่องห้องหอ ลูกเต้าเป็นของเรา ทั้งนั้น แม้แต่ตัวเราก็ยังเป็นของเรา แต่ธรรมท่านบอกให้สละ ให้ รู้เท่าทันความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างท่ีเรามีน้ี ไม่ใช่ของของเรา มันเป็นทรัพย์สมบัติของโลก ทรัพย์สมบัติอะไรช้ินไหนก็ตาม มัน เป็นของ ๆ โลก มันอยู่ในโลกนี้มานานแสนนาน แต่เม่ือเราเป็น เจ้าของตามสมมติ เราก็ว่าเป็นของเรา บ้านทะเบียนบ้านว่าเราเปน็ เจ้าของบา้ น เราเป็นเจ้าบ้านแลว้ เราร่างกายน้ีชื่อน้ี นาย ก. เราก็ว่า ๓๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ เป็นของเรา ร่างนาย ก. ช่ือนาย ก. ก็ยึดว่าเป็นของเรา ทุกส่ิงทุก อยา่ งท่ีเรามีเรายดึ ไปหมด ยดึ จนกระทัง่ เราไมร่ ูว้ ่าอะไรเปน็ อะไร ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติภาวนา ไม่ได้เจริญปัญญาแล้วเราก็จะ เป็นอยา่ งนี้ กภ่ี พก่ีชาติทเี่ ราเกิดมา เหมือนปัจจุบันนี้ เราก็ไม่รเู้ รื่องรู้ ราว เกิดแก่เจ็บตายอยู่อย่างนี้ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่ อย่างน้ี ชาติแล้วชาติเล่า ภพแล้วภพเล่า ไม่มีท่ีส้ินสุด ถ้าไม่มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นาธรรมะมาส่ังสอนพวกเรา มาสาธยายให้ พวกเราเข้าใจ เราก็เป็นผู้ที่มืดบอดอยู่ตลอดเวลา ธรรมะของ พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนแสงสว่าง ส่องมาที่มืด ผู้ที่อยู่ในความมืด ไดม้ องเหน็ ส่งิ นน้ั สิ่งนี้ กค็ อื เมอ่ื เรารับฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว นามาพิจารณา เราก็จะเกิดสติปัญญาว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควร ไม่ควร เกิดปัญญา นั่นแหละคือแสงสว่าง ปัญญำคือแสงสว่ำงทำง ใจ ใหเ้ รำรูจ้ กั ผิดถกู รวู้ ำ่ ส่งิ ไหนควรไมค่ วร อะไรควรทำ อะไรควร ท้ิง อะไรควรละ อะไรควรเอำ มันต้องเป็นอย่างน้ันก่อน เมื่อจิตใจ เราสูงข้ึน เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาชัดเจนว่า ส่ิงที่ทาให้ เราตดิ อยูใ่ นวัฏฏะน้ี ติดอยใู่ นโลกน้ี ไม่ไดพ้ ้นไปสักทีกค็ อื กิเลสตัณหา อปุ าทานนี่เอง ไม่ใช่อยา่ งอืน่ ธรรมเทา่ นนั้ ที่จะถึงเราฉุดเราออกจาก วฏั สงสาร เราจึงสวดมนต์ ก่อนท่ีจะสวดมนตเ์ รากร็ ะลึกถงึ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่มีคุณอันประเสริฐแก่พวก เรา ถา้ ไม่มที ่านแลว้ ไม่วา่ บุคคลนนั้ จะเป็นใครก็ตามจะไม่สามารถท่ี จะร้ือถอนการเกิดแก่เจ็บตายของเรานี้ออกจากวัฏฏะน้ีได้เลย เมื่อ ได้ฟังคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะรู้วิธีท่ีจะออกจาก วฏั สงสารได้ด้วยวธิ ีใด พระพุทธเจ้าจึงมีพระคุณอันประเสรฐิ สาหรับ ๓๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ พวกเรา ที่สาคัญท่ีสุดก็คือ เมื่อเราได้ยินได้ฟังธรรมะของ พระพุทธเจ้าแล้ว เรานาไปประพฤติปฏิบัติไหม ให้สมกับท่ีกว่าที่ พระพุทธองค์มาตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจา้ นาคาสงั่ สอนนัน้ มาสอนพวก เรานี้ ยากแสนยากแค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านบาเพ็ญมา ๔ อสงไขย กับแสนมหากัป ดูสิ ยืนยาวแค่ไหนกว่าจะได้บรรลุธรรมเป็น พระพุทธเจ้า ธรรมอันท่ีหายากแสนยาก ตอนน้ีเราได้ยินได้ฟัง เพ่ือท่ีจะฝึกพิจารณาให้เกิดสติปัญญาไตร่ตรองในสิ่งที่เป็นพิษเป็น โทษเป็นภัย ว่าเป็นภัยจริง เป็นโทษจริง ๆ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็น คุณกเ็ ป็นคณุ จริง ๆ มคี ณุ ค่ามหาศาล หาทไ่ี หนไม่ได้ ศาสนาอ่นื ไม่ได้ สอนให้พ้นทุกข์ มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวเท่าน้ันที่สอนให้พ้นทุกข์ ให้ถึงพระนิพพาน เรามีบุญวาสนา มีบารมีมากพอท่ีจะบรรลุธรรม จึงทาได้ อยู่ท่ีว่าเราจะเดนิ ไปมย้ั หรือวา่ เราจะหยดุ อยกู่ ับท่ี กำรภำวนำไม่ได้เลือกเพศ ว่ำเป็นเพศหญิง เพศชำย ไม่ได้เลือกว่ำเป็นคฤหัสถ์หรือพระเจ้ำพระสงฆ์ ไม่ได้เลือก อยู่ที่ กำรกระทำของเรำท้ังน้ัน กิเลสก็เหมือนกัน มันไม่ได้เลือกว่ำ จะต้องอยูก่ ับญำติโยมเท่ำน้นั พระเจ้ำพระสงฆ์ไม่มี ไม่ใช่ ย่งิ พระ- เจ้ำพระสงฆ์ย่ิงดี กิเลสเกำะไปปุ๊บ บำงองค์มีทิฏฐิมำนะมำกเลย ทิฏฐิมำนะคืออะไร ก็คือกิเลสน่ันแหละ ถ้ำเรำไม่รู้เท่ำทัน โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง ลำภ ยศ สรรเสริญ ฆ่ำผู้ที่ติดผู้ท่ีหลงสิ่งน้ี ไป ไหนไม่ได้ สุดท้ำยตำยอยู่กับลำภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้อะไรเลยก็มี เราก็เหมือนกัน ขณะน้ีเราเกิดมาก่ีปีแล้ว เราก็มองย้อนดูชีวิตของ เราสิ บางคน ๒๐, ๓๐, ๔๐, ๕๐, ๖๐, ๗๐ ดูสิ ชีวิตท่ีผ่านไป ๆ น้ัน ย่ิงเกิดนาน ชีวิตก็ย่ิงเหลือน้อยเข้าทุกวัน ๆ เราเคยคิดไหมว่าเราจะ อยู่ไปอีกสักกี่วัน ชีวิตนี้จะมีชีวิตยืนยาวไปอีกก่ีวัน ก่ีเดือน กี่ปี เรา ๓๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ เคยคิดไหม ถ้าตายตามธรรมชาติมันก็ตายตอนแก่ แต่ถ้าเกิด อุบัติเหตุ มันก็ไม่ตายตอนแก่ คิดว่าอายุยังน้อยอยู่ ยังไม่ตาย จะ ปฏิบัตติ อนแก่ ๆ อายุมาก ๆ ก่อน ค่อยมาภาวนามาปฏิบัติ เกดิ ชีวิต เราไม่ยืดยาวถึงตอนน้ัน เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบครูบา อาจารย์ท่ีท่านคอยแนะนาสั่งสอนเรา แต่เราไม่ทาตาม มันจะเกิด ประโยชน์ไหม เสยี ชาติเกิดไหม เกดิ มาเปน็ โมฆะบรุ ุษไหม โมฆะสตรี ไหม เรานึกย้อนมาท่ีตวั เรา ทกุ คนภาวนาปฏบิ ัติได้ รู้ธรรมเหน็ ธรรม ไดท้ ้ังน้ัน ถา้ เราตอ้ งการ วันนี้ ลองมาพจิ ารณาตวั เรา สง่ิ ท่ีมอี ยเู่ หลืออยูน่ ้ี ทาอยา่ งไร ถึงจะเกิดประโยชน์ ทาอย่างไรถึงจะมีคุณค่าสมกับเราเกิดมาเป็น ชาวพุทธ สมกับท่ีเรานับถือพุทธศาสนาท่ีเกิดขึ้นได้ยากหาได้ยาก แต่เราได้รู้ได้เห็นแล้ว เราจะทาอย่างไร เราลองย้อนมองดูตัวเรา โดยเฉพาะผู้ที่อายุมาก ๗๐, ๘๐ เวลาชีวิตก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปทุกที แสงชีวิตก็ริบหรี่ ไม่รู้ว่าจะลับโลกนี้ไปเมื่อไร ยิ่งเวลาเราเหลือน้อย เราก็ย่ิงรีบทา ถ้าเราทา จะมากจะน้อยแค่ไหนก็ตาม ขอให้เราทา ขอให้เราปฏิบัติ ขอให้เราภาวนา เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ท้ังนั้น สาหรับเรา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเพ่ือเรา ไม่ใช่เพื่อใคร หลวงพ่อ เทศน์ให้ฟังพูดให้ฟังเพื่อญาติโยม สาหรับหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อก็ ต้องภาวนาเอง ปฏิบัติเอง ถึงจะได้ธรรมะมาประดับใจ ญาติโยมก็ เหมือนกัน ต้องทาเอง ปฏิบัติเอง ตามกาลัง ตามสติปัญญาของเรา โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เรำต้องปลกุ ตวั เอง ปลุกใจตัวเอง ฝึกเรำ อยำ่ ง วัน ๆ หนึ่งเรำทำอะไรบ้ำง ต่ืนเช้ำข้ึนมำไหว้พระสวดมนต์ ถ้ำทำ ได้ ไหว้พระสวดมนต์ น่ังสมำธิ แล้วค่อยออกจำกที่นอนกไ็ ด้ หรือ ใครที่มีห้องพระ เรำก็ไปห้องพระ ไหว้พระสวดมนต์ เพ่ือที่จะทำ ๓๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ จติ ให้สงบ ไหว้พระสวดมนต์ กเ็ ป็นกำรปฏบิ ตั ิประเภทหน่ึง ทำให้ จติ ใจเรำสงบได้ ย่ิงเรำได้นง่ั สมำธิ จะไดม้ ำกน้อยแคไ่ หนก็ตำม ให้ เรำทำ ก่อนท่ีจะไปทำงำน จติ ใจเรำก็จะเบกิ บำน อยูใ่ นควำมสงบ คนจิตใจสงบ ผู้ที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ดูซิว่าเป็นบุคคลประเภท ไหน ใคร ๆ เห็นก็ โอ้ คนน้ี จิตใจสงบร่มเย็น มองแล้วก็เย็นตาเย็น ใจ ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีจิตใจที่รุ่มร้อน มองดูปุ๊บก็รู้เลย พูดจา ฉนุ เฉยี ว อารมณห์ งดุ หงิดง่าย ใช่ไหม ต่างกันลบิ ลับเลยระหวา่ งผ้ทู มี่ ี จิตใจร่มเย็นกับจิตใจฟุ้งซ่าน เรามาภาวนามาปฏิบัติก็เพื่อท่ีต้องการ ให้จิตใจเราได้รับความสงบ ใจเราได้รับความสงบ ก็คือเราได้รับ ความสงบ ใจคือเรา เราจริง ๆ ก็คือใจเรา ไม่ใช่ร่างกายน้ี หลวงพ่อ ไปพูดท่ีไหนก็ตาม ส่วนมากจะคิดว่าร่างกายน้ีเป็นเราตามสมมติ ตามกิเลสมันบอกเรา แต่แท้ท่ีจรงิ แลว้ รา่ งกายนี้เปน็ เพยี งสิ่งที่จิตใจ มาอาศัยอยู่ชั่วคร้ังชั่วคราว เราจะเห็นได้ว่า เวลาแก่มาก ๆ ร่างกาย เป็นอย่างไร สุดท้ายก็ตาย แต่จิตใจไม่ตาย ใจเป็นส่ิงที่ไม่ตาย รา่ งกายจะแตกดับอยา่ งไร ใจกไ็ ปหาท่อี ยู่ใหม่ กค็ ือไปเกดิ ใหม่ อยา่ ง ท่ีเราเคยเห็น เด็กเกิดใหม่ คนเกิดใหม่ หรือสัตว์เดรัจฉานที่มันเกิด ใหม่มาจากไหน ก็มาจากจิตดวงหน่ึงเหมือนกัน ที่ไปเกิดเป็นสัตว์ เดรัจฉานมาจากไหน ก็มาจากใจดวงหนึ่งท่ีไปทาสิ่งที่ไม่ดีที่เปน็ บาป เป็นกรรม พอร่างกายนี้แตกดับก็ไปเกิดในอบายภูมิ ไปเกิดในที่ ทุคคติ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย ก็มาจากการกระทาของแต่ละคน ๆ จติ แต่ละดวงก็จะรับผลท่เี ราทา ตรงกันข้าม ถ้าเราทาดี ทาบุญ ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา อย่างน้อยท่ีสุดเรารักษาศีล ๕ เราก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เป็น อย่างน้อย เป็นเทพบุตรเทวดา หรอื มากกวา่ น้นั ภาวนาปฏบิ ตั ธิ รรม ๓๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ จิตได้รับความร่มเย็นเป็นสมาธิ ก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้ายังไม่ถึงพระ นิพพาน พอหมดบุญทางนนู้ แลว้ ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้รับ ทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ มากกว่าบุคคลที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้ ภาวนา ถ้าจิตใจเราสูงแล้ว เราก็เกดิ มาสูง บางคนรวย อย่ใู นทอ้ งพ่อ ท้องแม่เลย น่ีคนมีบุญมาเกิด มีสมบัติร้อยล้านพันล้านตั้งแต่อยู่ใน ท้องพ่อท้องแม่ คนมีบุญมาเกิด ก็เกิดอยู่ในสถานที่ดี ในตระกูลท่ีดี มีธรรมะ ตรงข้ามกับคนบาปเป็นอย่างไร เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เกิดกับ คนยาก ๆ จน ๆ หาเช้ากินคา่ ค้ยุ เข่ียถังขยะกินพอประทังชีวติ รอด ตายไปวัน ๆ คนบาปมาเกิด หนักกว่านั้น เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างแมวในวัดมันมีลูก ลูกกี่ครอก ๆ ก็พวกบาปมาเกิด เกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน เกิดในท้องสัตว์ ลองพิจารณาตัวเราว่า ถ้าเรายังไม่ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน เราอยากไปเกิดท่ีไหน อยากเกิดในท้องสัตว์ หรือท้องมนษุ ย์ เกดิ ในทอ้ งเศรษฐี มหาเศรษฐี ลองพิจารณาดตู ัวเรา ซิ เราอยากจะไปท่ีไหน อยากไปดกี ็ตอ้ งทาความดี อย่างวันน้ี เรามาภาวนา มาปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง วัดปทุมฯ ของเราพาทาวัตรสวดมนต์ทุกวัน เพื่อท่ีจะให้พวกเรา ประกอบคุณงามความดีใส่ตัวเรา ใส่ใจเราให้มากท่ีสุด ถ้าเรามีเวลา วา่ ง มีโอกาส เราก็มาทาวตั รสวดมนต์ มเี วลามากกว่าน้ัน นง่ั ภาวนา มาปฏิบัติธรรม มาพิจารณาร่างกายสังขารน้ี สิ่งที่เรำพิจำรณำอยูน่ ้ี รำ่ งกำยเรำน้ี เปน็ ของกู ๆ น้ี วำ่ มันไมใ่ ชข่ องเรำ เป็นธำตุ ๔ ขันธ์ ๕ สักวันหนึ่งมันก็ต้องแตกดับ เพรำะร่ำงกำยน้ีอยู่ในกฎของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ มันไม่เท่ียง อะไรก็ตำมที่มันไม่เที่ยง มัน ต้องแตกต้องดบั สกั วันหนง่ึ จะชำ้ หรอื เร็วแค่น้นั เอง เมอ่ื เรำเข้ำใจ อย่ำงน้ีแล้ว เรำก็จะไม่ตดิ ในรูปร่ำงน้ี เห็นรูปร่ำงน้ี ร่ำงกำยน้ีตำม ๔๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ ควำมเป็นจริง แต่เรำก็ให้ข้ำวปลำอำหำรตำมสมควร ให้ท่ีพักท่ี อำศยั ร่ำงกำยนีพ้ อประมำณ เพรำะเรำได้อำศยั เขำอยู่ ใจไดอ้ ำศัย ร่ำงกำยอยู่ ก็จุนเจือกันไป รักษำกันไป เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ต้อง กลัวว่าจะตาย กลัวตาย กลัวจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ คนเราไม่ถึง เวลาตายกไ็ มต่ ายหรอก ถ้าบุญยังมีอยู่ รับรองอย่างไรก็ไม่ตาย แค่เจ็บ ๆ ออด ๆ แอด ๆ ตามกรรมที่เราเคยทามาเท่าน้ัน แต่ถ้าถึงเวลาตาย จะอยู่ที่ ไหนก็ตาย บางคนอยู่ในท้องแม่ ยังไม่ได้คลอดออกมาเลย ตายใน ท้องก็มี เห็นไหม เขาเรียกว่าคนบุญน้อย ตายอยู่ในท้อง ยังไม่ได้ คลอดออกมาเลย ตายแล้ว ออกมาตายก็มี นี่ พวกบญุ น้อย หรือเป็น เดก็ เป็นเลก็ ตาย เป็นหนุม่ เปน็ สาวตายก็มี นพี่ วกบญุ นอ้ ย แต่คนที่มี บุญมากแล้วก็เป็นไปตามธรรมชาติของโลก คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายสมวยั ตายตามวยั ตามที่ควรจะเปน็ น่ี คนมีบุญจะเปน็ อย่างนั้น สาหรับผู้ที่สร้างบาปสร้างกรรมใส่ตัวเองแล้ว อยู่ท่ีไหนก็ไม่มี ความสุขหรอก เหมือนหมาหัวเน่า เคยเห็นหมาหัวเน่าไหม ไปอยู่ที่ ไหนก็คิดว่าสถานที่ตัวเองอยู่น่ีไม่ดี ไปอยู่ร่มไม้ก็ไม่ดี ไปอยู่ใต้ถุน ชายคาก็ไม่ดี มันคนั หัวมันเนา่ หนอนชอนไชหัว ไมไ่ ดด้ วู า่ แทท้ ี่จริง สาเหตุมันอยู่ที่หัวเป็นแผล หนอนมันชอนไชอยู่ตรงน้ัน ไม่ใช่อยู่ท่ี สถานท่ี เราก็เหมือนกัน สุขที่แท้จริงอยู่ท่ีใจของเรำ ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ท่ีไหน บางคนถึงแม้ว่าบ้านช่องจะเล็ก ไม่ได้ร่ารวยอะไร มากมายนัก แต่ถ้ำใจเป็นบุญเป็นกุศล ใจมีคุณธรรม บุคคล เหล่ำนน้ั ก็ย่อมมคี วำมสขุ ได้ สุขท่ีแท้จริงอยู่ท่ีภำยในใจ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ หรือบางคน สถานที่ดีด้วย ใจดีด้วย แสดงว่าคนนั้นมีบุญมาก มีความสุข มี ๔๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ ความสุขท้ังใจท้ังกาย ใจก็มีความสุข กายก็สบาย ได้รับความ สะดวกสบายจากส่ิงของที่เรามี เดินทางไปไหนก็มีพาหนะในการ เดินทางไปนู่นไปนี่ ถ้าต้องการความเร็วก็นั่งเคร่ือง มีความสุขจาก การเดนิ ทาง น่ันหมายความวา่ มบี ุญมาก มีความสุขทงั้ กายทง้ั ใจ ทกุ คนปรารถนาความสุขด้วยกันท้ังนั้น รักสุขเกลียดทุกข์ แต่การ แสวงหามันก็ต้องมี ถ้าเราอยากได้อย่างเดียว ไม่แสวงหามันก็ไม่ได้ เหมือนคนมีเงินมีทอง อยู่เฉย ๆ จะให้มีเงินมีทองมันก็ไม่ได้ ต้องทา มาหากิน ประกอบอาชีพ ทาธุรกิจตามสติปัญญาของเรา ว่าธุรกิจ ประเภทไหนจะทาให้เรามีกาไรมีทรัพย์สมบัติมากขึ้น อยู่ที่ สติปญั ญา สติปญั ญากค็ อื ใจ ไมไ่ ด้มาจากทีอ่ ืน่ ที่เรำบำรงุ ใจของเรำ ก็บำรุงสติ บำรุงปัญญำ ฝึกสติฝึกปัญญำไปพร้อม ๆ กัน ท่ีเรำมำ ภำวนำวันนี้ก็คือกำรมำฝึกสติฝึกปัญญำให้รอบรู้เท่ำทันควำมคิด ของเรำ รอบรู้เท่ำทันสังขำรกำรปรงุ แตง่ เรือ่ งน้นั เรอ่ื งนี้วำ่ มนั จริง ไหม ใหม้ นั รเู้ ทำ่ ทัน ไมใ่ ห้หลง ทุกวันนี้เรารู้ไหมว่าเราหลง หลงความคิดของตัวเอง หลง การกระทาของเราวา่ สิง่ ทเ่ี ราทาไปนีม้ ันจะเกดิ ความสขุ จะเกดิ ความ สบาย จะนามาให้เรามีความสุขสูง ๆ ย่ิงขึ้น ทุกคนปรารถนาอย่าง น้ัน แต่ความปรารถนาจะประสบความสาเร็จไหมก็เป็นอีกเรื่องหน่งึ ก็อยู่ท่ีสติปัญญาของเรา เรามาภาวนา มาปฏิบัติธรรมวันนี้ เราจะ จิตสงบไหม หรือนั่งภาวนาเพียงสักแต่ว่า ก็อยู่ที่การกระทาของเรา เขาเรียกว่า อยู่ที่การบริหารใจ ขณะนี้เราบริหำรใจของเราอยู่ บรหิ ำรสติ บรหิ ำรปัญญำวา่ เราจะทาอย่างไรใจเราจึงจะปล่อยวาง จากโลกท่มี ากระทบ ทาอย่างไรจิตถึงจะสงบจากอารมณ์ท่มี ากระทุ้ง กระแทกใจของเราน้ี ที่มาฉุดมาลากใจของเราไม่ให้เข้าสู่ความสงบ ๔๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ เราจะบรหิ ารอย่างไร เหมอื นเราทาการคา้ เราจะบรหิ ารกิจการของ เราอย่างไรไม่ให้ขาดทุน ถึงจะมีกาไร เหมือนกัน อันนี้เราบริหารใจ แต่บริหารกิจการของเราภายนอกน้ันเรายังมองเห็น ซ้ือถูกขายแพง เรายงั มองเห็นชัดเจน เพราะมันเป็นวัตถุ แต่บริหารใจเรา เรามองไม่ เห็น แต่เรามผี ู้รู้ รวู้ า่ อะไรผดิ อะไรถกู ภายในใจ ถ้าเราอยากจะรู้ให้มากข้ึน รู้ละเอียดขึ้น มันก็ต้องฝึก ฝึก สติ ฝึกปัญญาให้มีให้เกิดข้ึน ท่านเรียกว่า ภาวนา ปฏิบัติทาความ เพียร อำหำรของใจก็คือบุญกุศลท่ีเรำทำ มำกน้อยแค่ไหนก็เป็น ของของเรำ เป็นสมบัติของเรำ ตำมสติตำมปัญญำของเรำที่เรำ พึงหำได้ในขณะน้ี เรำไม่ต้องโทษใคร บุญกรรมที่เรำทำมำได้ เท่ำนี้ มีเท่ำนี้ เรำก็พอใจ ควำมพอใจก็จะเกิดสุข ควำมปิติ เกิดขึ้นภำยในใจของเรำ แต่ละคน ๆ ถ้ามองย้อนดูภายในใจของ เราแล้ว เราก็จะเห็นว่าขณะนี้จิตใจเราเป็นอย่างไร มันฟุ้งซ่านไหม หรือว่ามันสงบอยู่ภายใน หรือน่ังเพียงสักแต่ว่าน่ังภาวนาเฉย ๆ ใจ เหม่อไปที่ไหนก็ไม่ทราบ เราต้องรู้เรา ทุกอย่างเราต้องรู้เราท้ังนั้น รู้ ความรู้สึกนึกคิดของเรา รู้กระแสจิตของเราว่ามันส่งไปไหน ส่งไป เพ่ืออะไร หาเหตุหาผลให้ได้ แล้วก็ดึงจิตเราย้อนกลับมาสู่ผู้รู้ สู่ใจ ของเรา ถา้ เราทาเรื่อย ๆ ทาบอ่ ย ๆ ไม่วันใดวันหนึง่ เรากจ็ ะประสบ ความสาเร็จในการปฏิบัติการภาวนา ไม่นอกเหนือจาก ความสามารถของเราหรอก พระพุทธเจ้าท่านทาเป็นตัวอย่างแล้ว ทาความเพียร ท่าน สลบ ๓ หน ถ้าสลบแล้วไม่ฟื้นก็คือตาย ท่านสลบ ๓ ครั้ง ตายแล้ว ฟื้น ๓ คร้ัง เราทามากแค่ไหน แค่เจ็บขาหน่อยนึงเราก็แย่แล้ว แล้ว เราบอกอยากจะไดธ้ รรม อยากจะร้ธู รรม มนั สมเหตสุ มผลไหม นกึ ดู ๔๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ อย่างหลวงปู่ม่ันของเรา ท่านก็สลบ ๓ หนเหมือนกัน ถ้าใครได้อ่าน ประวัติของท่าน ตรงท่ีท่ำนทำควำมเพียร ไม่ธรรมดำ กว่ำที่ท่ำน จะรู้ธรรมเห็นธรรม นำธรรมะมำสั่งสอนพวกเรำได้นั้น ท่ำนเอำ ชีวิตเป็นเดิมพัน แทบล้มแทบตำย ท่ำนไม่เสียดำยชีวิต ขอให้ได้ ฝึก ขอให้ได้ปฏิบัติ ขอให้ได้ภำวนำ ตำยช่ำงมัน ชีวิตน้ีถ้าตายคา ภาวนาจะไม่ดีกว่าตายกับอย่างอื่นหรือ ท่านมีเหตุมีผล มีทางออก ให้ใจในการที่จะภาวนาให้กาลังใจกับตัวเองเพื่อท่ีจะสร้างสติ สร้าง ปัญญา เพื่อทีจ่ ะดดี ตัวเองออกจากวฏั สงสาร มันไม่ใช่เร่อื งเล็ก ตราบใดที่เรายังห่วงเราอยู่ หวงเราอยู่ คิดว่าทกุ สง่ิ ทุกอย่าง ที่เรามีนี้เป็นตัวตนเป็นเราอยู่ เราก็จะไม่พ้นออกจากวัฏสงสาร ไม่ พ้นออกจากห่วง การเกิดแก่เจ็บตายน้ีไปได้ ถ้าเราสละทุกอย่าง สละไปเลย ทุกสิ่งท่ีเราภาวนา เรารู้ ให้เห็นทุกอย่างเพียงแค่สักแต่ ว่าแค่นั้นเอง ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีมีอยู่ในโลกน้ี มันเป็นอย่างน้ันจริง ๆ มันเป็นเพียงสักแต่ว่า ๆ แต่เราก็ไม่คิดอย่างน้ัน เราคิดว่าส่ิงท่ีเรามี เราเห็นนั้นมันเป็นจริง ๆ มันลวงตา เรารู้ไหมว่าโลกนี้มันเป็นภาพ ลวงตา ลวงตาเรา แล้วเราก็หลง เหมือนอย่างครั้งพุทธกาลท่ีมี พระองค์หนึ่งภาวนาติดขัด แล้วก็จะไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า เร่ืองการภาวนา พอเดินไปใกล้จะถึงกุฏิพระพุทธเจ้าฝนก็ตก ก็เข้า ไปหลบใต้ชายคาตรงนั้นพอดี น้าฝนตกลงมาหยดสู่พื้นเกิดฟองน้า แล้วฟองน้าก็แตก ท่านพิจารณาฟองน้าที่เกิดข้ึนมาแล้วก็แตก ๆ แล้วท่านก็บรรลุธรรม เลยไม่ได้ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าสิ่งท่ี จะไปถามนั้น มนั คืออะไร น่ีเกิดจากภาวนาพิจารณา เราทาอะไรก็ตามถ้าเราภาวนา แล้วพิจารณาให้รู้ถึงซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราก็จะไม่สงสัยในสิ่งที่ ๔๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๖ เกิดขน้ึ ตอนนี้เราทาอะไรเราก็ไม่ได้พจิ ารณา เราทาตามอารมณ์ ทา ตามความคิด ไม่ได้พิจารณาให้ยอกย้อน แยกแยะรายละเอียดให้ ลึกซ้ึง เราไม่ได้ทา ปัญหาที่เรามีจึงแก้ไม่ได้ ปัญหาท่ีสาคัญท่ีสุดคือ ปัญหาชีวิตของเรา ปัญหาการเกิด แก่ เจ็บ ตายที่เราแก้ไม่ตก เกิด แล้วเกิดอีก ตายแล้วตายเล่า เราก็ยินดีในการเกิดการแก่ การเจ็บ การตาย เพราะเราไม่ได้พิจารณาถึงโทษที่เกิด พระพุทธเจ้ำท่ำน บอกวำ่ เกดิ เป็นทกุ ข์ แก่เปน็ ทกุ ข์ เจ็บเป็นทกุ ข์ ตำยเป็นทุกข์ เรำ ก็ฟังเฉย ๆ ฟังแบบผิวเผิน ฟังแล้วก็ผ่ำนไป ไม่ได้นำมำพิจำรณำ ให้รู้ถึงควำมหมำยของแต่ละคำ ๆ น้ัน ให้ชัดเจน ให้จริงจัง เรำ เลยรู้ไม่จริง เรำเพียงแค่ท่องแคส่ วด สักแต่ว่ำพูด สักแต่ว่ำเฉย ๆ ไม่ได้รู้ถึงควำมเป็นจริง เรำจึงเกิด แก่ เจ็บ ตำย มำจนกระทั่งถึง ทกุ วันน้ี พระพุทธเจา้ ท่านตรสั รมู้ าไมร่ กู้ พ่ี ระองค์ หลวงตาบ้านตาดท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในโลก มนุษย์เป็นล้าน ๆ พระองค์แล้ว ดูสิ มากแค่ไหน แต่ละองค์กว่าจะ มาตรัสรู้ ไม่รู้กี่กัปก่ีกัลป์ กว่าจะมาตรัสรู้แต่ละครั้ง พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้เป็นล้าน ๆ พระองค์ แล้วพวกเราไปอยู่ไหน ถึงไม่ไปนิพพาน ตามพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หลวงพ่อก็เหมือนกัน แล้วเราไป อยู่ไหน ก็เหมือนอย่างทุกวันน้ี เราไม่สนใจ จะสนใจก็นิดหน่อย ไม่ได้ทาจริงจัง เลยอยู่ในวัฏฏะ วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างน้ี ไม่มี ที่สิ้นสุด วันน้ี หลวงพ่อก็จะมาพูดถึงการท่ีเราติดอยู่ในโลกน้ี ไม่ไปสู่ มรรคผลนิพพาน ก็เพราะว่าเราไม่ได้ทาอะไรอย่างจริงจัง ไม่ได้พูด จรงิ ทาจริง ไม่ไดม้ สี ัจจะ เราก็เลยไม่เห็นสจั ธรรมท่ีพระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สัจธรรม ความเป็นจริง เราทาเหยาะ แหยะ ไม่ได้จริงสักอย่าง ทาหน่อยเดียวก็ว่าตัวเองทาแล้ว ทาเพียง ๔๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๖ แค่สักแต่ว่า แต่ว่าอยากได้ธรรม มันก็เลยได้ธรรมปลอม ๆ อย่างท่ี เราได้ แต่ถ้าเราทาจริง ๆ เราก็จะได้เห็นสัจธรรมที่เป็นของจริง คือ มาจากใจ รู้ด้วยใจ เห็นดว้ ยใจของเราเอง เมื่อเรารู้แล้วไม่ต้องไปถามใคร รู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง เป็นของแต่ละบุคคลย่อมรู้ได้เม่ือผู้นั้นปฏิบัติภาวนา ธรรมะของ พระพุทธเจ้าเกิดจากการปฏิบัติภาวนา แม้แต่การเรียนก็มาทีหลัง พระพุทธเจ้าออก บวช ภาวนาก่อน ภาวนาอยู่ในป่าในเขาก่อน รู้ ธรรมเหน็ ธรรมก่อน จดจารกึ ทีหลัง เรียกวา่ ปรยิ ัติมาทหี ลัง ศาสนา ของเราเป็นศาสนาปฏิบัติภาวนา ถ้าเราทาตามที่พระพุทธเจ้าท่าน แนะนาสั่งสอน ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนาสั่งสอนเราแล้ว สัก วันหนึง่ เรากจ็ ะประสบความสาเร็จไมช่ ้าก็เรว็ หลวงพ่อก็ขอให้พวก เราได้มีดวงตาเห็นธรรมในการประพฤติ การปฏิบัติ การภาวนา ใน คร้ังน้ี ก็ขอให้ผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมได้รับความสุขความเจริญ ได้รับความสงบร่มเย็นจากจิตใจท่ีสงบ และท้ายที่สุด ขอให้พวกเรา ทุกคนมีดวงตาเห็นธรรมทกุ ๆ คน ทกุ ๆ รูป ทุก ๆ นาม เทอญ ๔๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๖ พระเทพสลี ำภรณ์ (พระอำจำรย์สมยั สุขสมิทโฺ ธ) วัดป่ำพุทธรังษี ลูเมยี ร์ ประเทศออสเตรเลยี แสดงเมื่อวันอำทติ ย์ ท่ี ๒๔ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วดั ปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร สพั พะปาปสั สะ อะกะระณัง กสุ ะลสั สูปะสมั ปะทา สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตงั พุทธานะ สาสะนงั ติ ขออนุโมทนากับญาติโยมทุกท่านที่อุตส่าห์มาปฏิบัติธรรม บางคนกม็ าแตเ่ ช้า มาใสบ่ าตร และถือโอกาสฟังคาสอนย่อ ๆ แล้วก็ รับศีลรับพรจากพระ วันเสาร์วันอาทิตย์ก็มีโอกาสได้ฟังธรรม บรรยายคาสอน พวกเราท่านท้ังหลาย ในฐานะที่เปน็ ชาวพทุ ธ เปน็ พุทธศาสนิกชน ให้ถือให้ซึ้งในใจว่า เราเป็นลูกเป็นหลานขององค์ ๔๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องให้มีความภูมิใจอยู่ลึก ๆ แล้วจะ ไม่ทาผิด การที่เราเป็นลูกเป็นหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า เรียกตามบาลีว่า ศากยะบุตร ศากยะธิดา เป็นลูกชายลูก สาว ซ่ึงเกิดแต่หัวอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เกิด ในท้อง แต่เกิดจากหัวอก จากจิตใจที่บริสุทธ์ิสะอาดขององค์สมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า เกดิ เพราะความมีเมตตา พระกรุณาธคิ ุณของ องคส์ มเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า พระวสิ ุทธิคุณขององค์สมเด็จพระ สมั มาสมั พุทธเจา้ และพระปัญญาธคิ ุณขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัม พุทธเจ้า เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหนไปที่ไหนอย่างไร อย่าลืม ให้เป็นคน ท่ีมนี ้าใจมคี วามเมตตาเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่อยู่กนั เสมอ ๆ พวกเราท่านท้ังหลายคงจะเคยได้เห็น สมัยโบราณ แม้กระท่ังทุกวันน้ี ญาติโยมโดยเฉพาะฝ่ายผู้หญิง จะเป็นคุณป้าคุณ อาคุณย่าคุณยาย หรือบางทีก็เป็นคุณปู่คุณลุง จะต่ืนแต่เช้าเตรียม ตัวใส่บาตร มีข้าวปลาอาหาร หุงข้าวหรือนึ่งข้าว เตรียมสาหรับ พระสงฆ์ออกมารับบาตร ทุกอย่างที่มีอยู่จะเอาของดีที่สุดใส่บาตร ข้าวก็เป็นข้าวอย่างดี ถ้าเป็นมะม่วงเป็นกล้วยก็เลือกอย่างดีที่สุด เท่าท่ีจะหาได้ นอกจากจะหาไม่ได้ มีอะไรก็ใส่ไปตามศรัทธา บางครั้ง กระท่ังว่าจะต้องซ่อนเอาไว้ไม่ให้ลูกหลานเห็น ต้องได้ใส่ บาตรก่อน ที่เหลือค่อยทาน เมื่อทาอยู่อย่างนี้ อุปนิสัยตัวเองก็จะมี ความเล่ือมใสในพุทธศาสนา ย่ิงทาก็ยิ่งได้บุญได้กุศล มีความดีใจ ภูมิใจ เด็กผู้หญิงที่เป็นลูกเป็นหลานเห็นคุณย่าคุณยายคุณแม่ ทาอาหารเตรียมข้าวก็ช่วย แล้วคุณย่าคุณยายก็จะจูงไปใส่บาตร ดว้ ยกนั การท่ีจะเห็นพระ ได้กราบไหวพ้ ระ ไดท้ าบญุ กุศลตั้งแตเ่ ล็ก แต่น้อย ส่ิงที่ดีงามอยู่ในจิตใจก็จะออกมา บุญกุศลท่ีเด็กเคยทามา ๔๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๖ ในอดีตชาติก็จะมา แล้วก็เกิดศรัทธาความเลอื่ มใสในพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ มีความสุขความสบายใจในการให้และการทาบุญ ทาทาน บางทีอยู่บ้านนอกไม่มีอะไร มีแต่กล่องข้าวกระติ๊บข้าว ภาษาบ้านเรา มีแต่แจ่ว มีแต่ป่น ก็เอาไป ถ้วยเดียวก็ไป ไปถวาย พระเจ้าพระสงฆ์ตามศรัทธา มักมาหาได้ หลวงพ่อเปลี่ยนท่านพูด อย่างนั้น ทาอยู่เป็นประจาอยู่อย่างน้ัน สม่าเสมอ บุญกุศลก็เพิ่มข้ึน เร่ือย ๆ เด็กผู้หญิงคนนน้ั โตขึ้นจะเป็นคนที่มีกิริยามารยาท เป็นคน ดีมีตระกูล ได้รับการศึกษาอบรม มีครอบครัวจะเป็นครอบครัวที่มี หลักมีฐาน ไปทางานที่ไหนก็จะมีอะไรช่วย เทวดาเมตตาสงเคราะห์ ไปท่ีไหนก็ทาบุญทากุศลอยู่เสมอ เพราะเคยทาตั้งแต่เป็นเด็ก ญาติ โยมฝ่ายผู้หญิงทุกคน ถ้าเคยทาบุญใส่บาตรตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทา เป็นประจาสม่าเสมอ จะเป็นแม่ที่ดี เป็นญาติท่ีดี เป็นยายที่ดี แล้วก็ ส่งั สอนลูกหลานใหเ้ ปน็ คนดี ทนี ้ี ฝ่ายผู้ชายก็ตามแม่ช่วยใสบ่ าตร มีโอกาสกไ็ ปรับใช้พระ เจ้าพระสงฆ์ในวัด ท่านก็สงสารเมตตา ในสมัยโบราณท่านเป็นผู้ส่ัง สอน นะโม ตัสสะ หรือไหว้พระ พระเป็นผู้ส่ังผู้สอน แม้แต่จะอ่าน หนงั สือ พระกเ็ ป็นผู้สัง่ สอน เดก็ ทไ่ี ด้รับการอบรมจากครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ก็เป็นเด็กท่ีดี เพราะท่านห้าม มีศีลธรรมเป็น กฎเกณฑ์แน่นอน จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้ จะลักของเขาก็ไม่ได้ ศีล ต่อไป โตขนึ้ จะประพฤตผิ ิดในกามก็ไม่ได้ ตอนเลก็ กห็ ้ามพดู ปดพูด เท็จเป็นอันขาด แลว้ ต่อมาอายุมากข้ึนก็ห้ามด่มื สุราเมรัย ศีลธรรมก็ เริ่มจับมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เวลาโตข้ึนมา เรียนหนังสือก็ดี มี ครอบครัวท่ดี ี หรือรบั ราชการทด่ี ี นเ่ี ปน็ การปลกู ฝัง แต่บางท่านบาง คนท่ีมีบุญวาสนาก็เลยออกบวช บางคนก็บวชอุทิศชีวิตให้แก่พระ ๔๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook