Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร

Published by koranis9, 2020-09-25 04:22:29

Description: หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร

Search

Read the Text Version

เทวะปุตโต ภะคะวันตัง อะนุสสะระมำโน, ตำยัง เวลำยัง อิมัง คำถัง อะภำสิ นะโม เต พทุ ธะวรี ัตถุ วปิ ปะมุตโตสิ สพั พะธิ สมั พำธะปะฏปิ ันโนส๎มิ ตัสสะ เม สะระณัง ภะวำต.ิ อะถะโข ภะคะวำ จันทมิ งั เทวะปตุ ตงั อำรัพภะ รำหงุ อะสุรินทงั คำถำยะ อชั ฌะภำสิ ตะถำคะตัง อะระหนั ตัง จันทิมำ สะระณัง คะโต รำหุ จันทัง ปะมญุ จสั สุ พทุ ธำ โลกำนุกมั ปะกำต.ิ อะถะโข รำหุ อะสุรินโท จันทิมัง เทวะปุตตัง มุญจิต๎วำ, ตะระ- มำนะรูโป เยนะ เวปะจิตติ อะสุรินโท เตนุปะสังกะมิ อุปสังกะมิต๎วำ, สงั วิคโค โลมะหัฏฐะชำโต เอกะมันตัง อัฏฐำสิ. เอกะมันตัง ฐิตัง รำหุง อะสุรินทัง เวปะจิตติ อะสุรินโท คำถำ อชั ฌะภำสิ กนิ นุ สันตะระมำโน วะ รำหุ จันทัง ปะมุญจะสิ สงั วิคคะรูโป อำคมั มะ กนิ นุ ภีโต วะ ติฏฐะสตี ิ. สตั ตะธำ เม ผะเล มทุ ธำ ชีวันโต นะ สขุ งั ละเภ พุทธะคำถำภคิ ีโตม๎หิ โน จะ มญุ เจยยะ จนั ทมิ นั ติ. คำแปล อนั ขา้ พเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดบั มาแล้วอยา่ งนี้ สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่ พระเชตวันวิหารอาราม ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ก็โดยสมัยน้ันแล จันทิมเทวบุตรถกู อสุรินทราหูจับตัวไว้ คร้ังนั้นแล จนั ทิม- เทวบตุ รระลึกถึงพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดก้ ล่าวคาถาน้ใี นเวลานัน้ วา่ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๑

“ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในกิเลสธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์เผชิญฐานะอันคับขัน ขอพระองคจ์ งเป็นทพ่ี ึ่งแห่งข้าพระองค์ดว้ ยเถิด” ในลาดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภจันทิมเทวบุตร ได้ตรัสกะ อสุรินทราหูด้วยพระคาถาวา่ “จนั ทิมเทวบุตร ถงึ ตถาคตผ้เู ปน็ พระอรหันตว์ ่าเป็นท่ีพ่ึง ดูก่อนราหู ท่านจง ปลอ่ ยจันทิมเทวบตุ รเสยี เถดิ พระพุทธเจ้าท้งั หลายเป็นผอู้ นุเคราะหส์ ตั วโ์ ลก” ลาดบั นน้ั แล อสุรนิ ทราหูปลอ่ ยจนั ทมิ าเทวบตุ รแลว้ กก็ ระหดื กระหอบ เข้า ไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ คร้ันเข้าไปหาแล้ว ก็เศร้าสลดใจ เกิดขนพองสยอง เกลา้ ได้ยืนอยู่ ณ ทอี่ ันสมควรสว่ นข้างหนง่ึ อสุรินทเวปจิตติได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้าง หนง่ึ ดว้ ยคาถาวา่ “ดูก่อนราหู ทาไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระจันทร์เสียเล่า ทาไมหนอ ทา่ นจึงเศร้าสลดมายนื กลวั อยทู่ าไมเล่า” อสุรินทราหูกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หาก ข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้า พึงแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง มีชีวิต อยูก่ จ็ ะไม่ไดร้ ับความสขุ เลย ฯ ๒๐๒ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

สรุ ิยปรติ ตปำฐะ พระปริตรบทนี้ มีปรากฏในสุริยสูตร แห่งพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เป็นการประกาศขอให้พระพุทธองค์ทรงเป็นท่ีพึ่ง เพ่ือให้รอดพ้นจาก ภยันตรายท้ังปวงและผู้ปองร้ายจะพ่ายแพ้ไป ดุจสุริยเทวบุตรผู้ประกาศว่า พระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรงเป็นท่ีพึ่ง จงึ ไดพ้ ้นภัยจากอสุรินทราหู บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวำ, สำวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนำถะปิณฑิกัสสะ อำรำเม. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สุริโย เทวะปุตโต รำหุนำ อะสุรินเทนะ คะหิโต โหติ. อะถะโข สุริโย เทวะปตุ โต ภะคะวันตัง อะนุสสะระมำโน, ตำยัง เวลำยัง อิมัง คำถัง อะภำสิ นะโม เต พุทธะวีรตั ถุ วิปปะมุตโตสิ สพั พะธิ สัมพำธะปะฏิปันโนส๎มิ ตัสสะ เม สะระณัง ภะวำติ. อะถะโข ภะคะวำ สุริยัง เทวะปุตตัง อำรัพภะ รำหุง อะสุรินทัง คำถำยะ อัชฌะภำสิ ตะถำคะตงั อะระหนั ตงั สรุ โิ ย สะระณงั คะโต รำหุ สรุ ิยงั ปะมุญจัสสุ พุทธำ โลกำนุกมั ปะกำ. โย อนั ธะกำเร ตะมะสี ปะภงั กะโร เวโรจะโน มณั ฑะลิ อุคคะเตโช มำ รำหุ คิลี จะระมันตะลกิ เข ปะชัง มะมะ รำหุ ปะมญุ จะ สรุ ยิ ันติ. วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๐๓

อะถะโข รำหุ อะสุรินโท สุริยัง เทวะปุตตัง มุญจิต๎วำ, ตะระ- มำนะรูโป เยนะ เวปะจิตติ อะสุรินโท เตนุปะสังกะมิ อุปสังกมิต๎วำ, สงั วคิ โค โลมะหัฏฐะชำโต เอกะมันตัง อัฏฐำสิ. เอกะมันตงั ฐติ ัง โข รำหุง อะสุรินทัง เวปะจติ ติ อะสรุ นิ โท คำถำยะ อชั ฌะภำสิ กินนุ สันตะระมำโน วะ รำหุ สรุ ยิ งั ปะมุญจะสิ สังวคิ คะรูโป อำคมั มะ กินนุ ภโี ต วะ ติฏฐะสตี ิ. สัตตะธำ เม ผะเล มทุ ธำ ชีวนั โต นะ สุขัง ละเภ พทุ ธะคำถำภิคโี ตม๎หิ โน เจ มญุ เจยยะ สรุ ิยันติ. คำแปล อนั ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ไดส้ ดบั มาแล้วอยา่ งนี้ สมัยหน่ึง พระผู้มพี ระภาคเจ้า เสด็จประทบั อยู่ที่ พระเชตะวันวิหารอาราม ของอนาถปณิ ฑกิ เศรษฐี ใกล้เมอื งสาวตั ถี กโ็ ดยสมัยน้ันแล สุริยเทวบุตรถูกอสุรินทราหูจับตัวไว้ ครั้งน้ันแล สุริยเทว- บุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ไดก้ ล่าวคาถานใี้ นเวลานั้นวา่ “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในกิเลสธรรมท้ังปวง ข้าพระองค์เผชิญฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเปน็ ที่พึง่ แหง่ ข้าพระองคด์ ้วยเถิด” ในลาดับน้ันแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภสุริยเทวบุตร ได้ตรัสกับ อสุรินทราหดู ว้ ยพระคาถาวา่ “สุริยเทวบุตรถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พ่ึง ดูก่อนราหู ท่านจง ปล่อยสุริยเทวบุตรเสยี เถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเปน็ ผู้อนเุ คราะห์สัตวโ์ ลก สรุ ิยะใด เป็นผ้สู ่องแสง กระทาความสว่างในที่มดื มิด มีความไพโรจน์โชติชว่ ง มสี ัณฐานเป็น วงกลม มีเดชสูง ดูก่อนราหู ท่านอย่ากลืนกินสุริยะน้ัน ผู้โคจรไปในอากาศ ดูก่อน ราหู ท่านจงปลอ่ ยสุรยิ ะผเู้ ป็นบุตรของเราเสยี เถิด ๒๐๔ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

ลาดบั นัน้ แล อสุรนิ ทราหูปลอ่ ยสรุ ิยเทวบตุ รแล้ว กระหืดกระหอบ เข้าไปหา อสุรินทเวปจิตติ ถงึ ที่อยู่ คร้นั เข้าไปหาแลว้ กเ็ ศรา้ สลดใจ เกดิ ขนพองสยองเกล้า ได้ ยืนอยู่ ณ ที่อนั สมควรส่วนข้างหนึ่ง อสุรินทเวปจิตติ ไดก้ ล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืน อยู่ ณ ทีอ่ นั สมควรสว่ นขา้ งหน่ึง ด้วยคาถาวา่ “ดกู ่อนราหู ทาไมหนอ ท่านจงึ กระหืดกระหอบ ปล่อยพระอาทิตย์เสียเปล่า ทาไมหนอ ทา่ นจึงเศรา้ สลด มายนื กลวั อยูท่ าไมเล่า อสุรินทราหูกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หาก ขา้ พเจ้าไม่พงึ ปล่อยพระสุรยิ ะ ศรี ษะของขา้ พเจ้าพึงแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง มีชวี ิตอยูก่ จ็ ะ ไม่ได้รบั ความสขุ เลย ฯ โมกขุปำยคำถำ โมกขปุ ำยคำถำ เป็นคาถาบาลีพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว มีเน้ือหาแสดงอุบายปฏิบัติเพ่ือความพ้นทุกข์ คือ จตุรารักษ์ กรรมฐาน เป็นการทรงแนะนาถึงพระกรรมฐานท่ีควรเจริญเป็นปรกติ ๔ ประการ ได้แก่ พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระพุทธเจา้ หรือพระพทุ ธคณุ ) เมตตา (การเจริญ เมตตา หรือพรหมวิหารธรรม) กายคตาสติ (การระลึกถึงกายเป็นของปฏิกูลน่า เกลียด) และมรณัสสติ (การระลึกถึงความตายอันเป็นธรรมท่ีสรรพสัตว์จะต้อง ประสบ) การสวดสาธยายพระคาถาบทนี้ เป็นการเจริญธรรมานุสสติและวิปัสสนา กรรมฐาน บทสวด สพั พะวัตถตุ ตะมัง นตั ๎วำ พทุ ธะธัมมะคะณตั ตะยงั เชคจุ ฉะกำยะมัจจำนัง โมกขุปำยัง วะทำมหิ ัง. วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๕

ปำฏิโมกขัง ปเู รตพั พัง อะโถ อนิ ท๎ริยะสังวะโร, อำชีวสั สะ อะโถ สุทธิ อะโถ ปัจจะยะนสิ สิตัง จำตุปำริสุทธสิ ีลัง กำตพั พัง วะ สนุ ิมมะลัง. กำระณำกะระเณเหวะ ภิกขนุ ำ โมกขะเมสินำ, พุทธำนสุ สะติ เมตตำ จะ อะสภุ ัง มะระณัสสะติ อจิ จมิ ำ จะตุรำรกั ขำ กำตพั พำ จะ วิปสั สะนำ วิสุทธะธัมมะสันตำโน อะนตุ ตะรำยะ โพธิยำ, โยคะโต จะ ปะโพธำ จะ พุทโธ พทุ โธติ ญำยะเต. นะรำนะระติรจั ฉำนะ เภทำ สัตตำ สเุ ขสิโน. สพั เพปิ สขุ โิ น โหนตุ สุขิตตั ตำ จะ เขมิโน เกสะโลมำทิฉะวำนัง อะยะเมวะ สะมุสสะโย, กำโย สัพโพปิ เชคจุ โฉ วัณณำทโิ ต ปะฏกิ กุโล. ชีวิตินท๎รยิ ุปัจเฉทะ สังขำตะมะระณงั สยิ ำ, สพั เพสังปธี ะ ปำณนี งั ตญั หิ ธวุ ัง นะ ชวี ติ งั . อะวิชชำทีหิ สัมภูตำ รปู ญั จะ เวทะนำ ตะถำ, อะโถ สัญญำ จะ สังขำรำ วิญญำณัญจำติ ปัญจเิ ม. อปุ ปัชชันติ นิรชุ ฌันติ เอวัง หตุ ๎วำ อะภำวะโต, เอเต ธมั มำ อะนิจจำถะ ตำวะกำลิกะตำทิโต, ปุนปั ปนุ งั ปีฬิตตั ตำ อุปปำเทนะ วะเยนะ จะ, เต ทุกขำ วะ อะนิจจำ เย อะถะ สนั ตตั ตะตำทโิ ต. วะเส อะวตั ตะนำเยวะ อัตตะวิปกั ขะภำวะโต สญุ ญตั ตสั สำมิกตั ตำ จะ เต อะนตั ตำติ ญำยะเร ๒๐๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

เอวัง สนั เต จะ เต ธัมมำ นิพพนิ ทติ ัพพะภำวะโต, ทัฑฒะเคหะสะมำเยวะ อะลัง โมกขงั คะเวสิตุง. ปญั จกั ขันธะมมิ งั ทุกขัง ตณั หำ สะมทุ ะโย ภะเว, ตสั สำ นิโรโธ นพิ พำนงั มคั โค อฏั ฐงั คิกำรโิ ย เอตะกำนงั ปิ ปำฐำนงั อัตถัง ญัต๎วำ ยะถำระหัง, ปะฏิปชั เชถะ เมธำวี ปตั ตงุ สังขำระนพิ พุตินติ. คำแปล ข้าพเจ้าขอนมัสการ ๓ รัตนะ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็น วตั ถุอดุ มกว่าวตั ถทุ งั้ ปวงแลว้ จะบอกอุบายเปน็ เคร่ืองพน้ แก่เหลา่ ชนผู้มรี ่างกายอัน น่าเบ่อื หน่าย ปาฏิโมกขสังวรศีลควรให้สมบรู ณ์ อินทรยี สงั วรศีลดว้ ย อาชวี ปารสิ ทุ ธิ ศลี ด้วย ปัจจัยสันนิสสิตศีลด้วย ปาริสุทธิศีลท้ัง ๔ นี้ อันภิกษุผู้แสวงหาโมกขธรรม ควรกระทาให้บริสุทธ์ิ โดยการกระทาและไม่กระทา (คือ ทาตามพระพุทธานุญาติ ไมท่ าตามท่ีทรงหา้ ม) จตุรารักษ์เหล่านี้ คือ พุทธานุสสติ เมตตา อสุภะ มรณัสสติ และวิปัสสนา ควรกระทา พระพุทธเจ้า พระองค์มีพระสันดานบริบูรณด์ ้วยพระธรรม อันบริสุทธ์ิ อันสัตว์โลกมารู้สึกว่า พุทธะ ๆ ดังน้ี เพราะพระปัญญาตรัสรู้อย่างย่ิง เพราะ ประกอบสัตว์ไวใ้ นธรรม และเพราะทรงปลกุ สตั ว์ที่หลับอยู่ให้ต่นื (ดังน้ี ช่ือว่า พทุ ธา นสุ สต)ิ สัตว์ทั้งหลายต่างด้วยมนุษย์ อมนษุ ย์ และดิรจั ฉาน เปน็ ผ้แู สวงหาความสุข ขอเหล่าสัตว์แม้ทั้งปวง จงเป็นผู้ถึงความสุข และเป็นผู้เกษมสาราญ เพราะถึง ความสุข (ดังนชี้ อื่ วา่ เมตตาภาวนา) กายน้ีแล เป็นที่ประชุมแห่งซากศพมีผมขนเป็นต้น แม้ทั้งหมดเป็นน่าเบ่ือ หน่าย ปฏิกูลโดยส่วนมีสีเป็นต้น (ดังน้ีช่ือว่าอสุภกัมมัฏฐาน) ความตาย กล่าวคือ ความแตกขาดแห่งชีวิตินทรีย์ พึงมีแก่สัตว์ท้ังหลายหมดด้วยกันในโลกน้ี เพราะว่า ความตายเปน็ ของเท่ยี ง ชีวติ ความเป็นอยู่เปน็ ของไมเ่ ที่ยง (ดงั นชี้ ่ือว่า มรณัสสติ) วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๐๗

เบญจขันธ์เหล่านี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีมาแต่ปัจจัย ต่าง ๆ มีอวิชชาเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นและดับไป ธรรมเหล่าน้ันช่ือว่าไม่เท่ียง เพราะ เป็นอย่างน้ันแล้ว หาเป็นอย่างนั้นอีกไม่ เพราะเป็นเหมือนของยืมเขามาเป็นต้น ธรรมเหล่าใดไม่เท่ียง ธรรมเหล่านั้นแล ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นสภาพถูกความ เกิดข้ึน และความเส่ือมไปเบียดเบียนอยู่รา่ ไป และเพราะความเปน็ ของเรา่ ร้อนเป็น ต้น ธรรมที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เหล่าน้ัน อันผู้ปฏิบัติย่อมทราบว่าเป็นอนัตตา เพราะไม่เป็นไปในอานาจเสียเลยที่เดียวด้วย เพราะเป็นข้าศึกแก่ตนด้วย เพราะ ความเป็นของว่างเปล่าด้วย เพราะความเป็นของไมม่ ีเจ้าของด้วย ก็เม่ือเปน็ เช่นนี้ ธรรมเหล่านี้เสมอด้วยเรือนถูกไฟไหม้แท้ เพราะความเป็นของน่าเบื่อหน่าย ควร แล้วเพอ่ื จะแสวงหาอุบายเป็นเคร่ืองพน้ ขันธ์ ๕ นเี้ ป็นทุกข์ ตณั หาเปน็ สมทุ ยั ความ ดับตัณหาน้ันเสีย เปน็ อนั ดับทุกข์ หนทางอันประเสรฐิ ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ ปราชญ์ผู้มีปัญญา มาทราบเน้ือความแห่งปาฐะ แม้มีประมาณเท่านี้แล้วพึงปฏิบัติ ตามสมควร เพ่อื บรรลพุ ระนิพพานอนั เปน็ ท่ีดับสงั ขาร ด้วยประการนแ้ี ล ฯ รตนตั ตยัปปภำวำภิยำจนคำถำ เป็นพระคาถาที่กล่าวขออานุภาพพระรัตนตรัยอันบริสุทธิ์ประเสริฐ ได้ กาจัดอุปสรรคอันตราย บันดาลความสมบูรณ์ ความสุขสวัสดีให้เกิดมีแก่สยาม ประเทศ และขอเทวานภุ าพให้ค้มุ ครองรักษาอีกดว้ ย บทสวด อะระหัง สมั มำสัมพุทโธ อุตตะมัง ธัมมะมัชฌะคำ, มะหำสงั ฆงั ปะโพเธสิ อิจเจตงั ระตะนัตตะยัง. พุทโธ ธัมโม สงั โฆ จำติ นำนำโหนตัมปิ วัตถุโต, ๒๐๘ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

อัญญะมญั ญำวโิ ยคำ วะ เอกภี ูตมั ปะนัตถะโต. พุทโธ ธมั มสั สะ โพเธตำ ธมั โม สังเฆนะ ธำริโต, สังโฆ จะ สำวะโก พทุ ธัสสะ อจิ เจกำพัทธะเมวิทัง. วสิ ุทธัง อุตตะมัง เสฏฐัง โลกสั ม๎ ิง ระตะนตั ตะยงั , สงั วตั ตะติ ปะสนั นำนงั อัตตะโน สุทธกิ ำมินัง, สมั มำ ปะฏปิ ัชชนั ตำนัง ปะระมำยะ วิสทุ ธยิ ำ. วิสทุ ธิ สัพพะเก๎ลเสหิ โหติ ทุกเขหิ นิพพุติ, นพิ พำนงั ปะระมัง สญุ ญัง นิพพำนัง ปะระมัง สขุ ัง, เอเตนะ สัจจะวชั เชนะ สวุ ตั ถิ โหตุ สัพพะทำ. ระตะนัตตะยำนุภำเวนะ ระตะนตั ตะยะเตชะสำ, อุปทั ทะวนั ตะรำยำ จะ อปุ ะสัคคำ จะ สัพพะโส. มำ กะทำจิ สมั ผุสงิ สุ รฏั ฐงั ส๎ยำมำนะเมวทิ งั , อำโรคิยะสขุ ญั เจวะ ตะโต ทฆี ำยุตำปิ จะ. ตัพพตั ถนู ัญจะ สมั ปัต๎โย สุขัง สัพพตั ถะ โสตถิ จะ, ภะวนั ตุ สมั ปะวัตตันตุ สย๎ ำมำนัง รัฏฐะปำลนิ ัง. เต จะ รฏั ฐัญจะ รักขนั ตุ สย๎ ำมะรัฏฐกิ ะเทวะตำ, สย๎ ำมำนัง รัฏฐะปำลีหิ ธมั มำมเิ สหิ ปูชิตำ. สทิ ธะมตั ถุ สทิ ธะมัตถุ สทิ ธะมตั ถุ อทิ ัง ผะลงั , เอตัสม๎ งิ ระตะนตั ตะยสั ม๎ ิง สัมปะสำทะนะเจตะโส. คำแปล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ได้บรรลุธรรมอันอุดม ทรงยังสงฆ์หมู่ ใหญ่ให้ตรัสรู้แล้ว หมวดสามแห่งรัตนะนี้อย่างนี้ แม้เป็นต่างกันโดยวัตถุว่า พุทโธ วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๐๙

ธมั โม สงั โฆ ดังน้ี แต่เปน็ อย่างเดียวกันโดยเนือ้ ความ เพราะไม่พรากจากกนั และกัน ได้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมอันพระสงฆ์ทรงจาไว้ พระสงฆ์ก็ เป็นสาวกของพระพุทธเจา้ พระรัตนตรัยเนอ่ื งเปน็ อนั เดยี วกนั อย่างนนี้ ่ันเทยี ว พระรัตนตรัยน้ี เป็นของหมดจดอุดมประเสริฐในโลก ย่อมเป็นไปพร้อมเพ่ือ ความหมดจดอย่างย่ิง แก่สตั วท์ ้ังหลายผูเ้ ล่อื มใสแลว้ ผู้ใคร่ซ่งึ ความหมดจดแก่ตน ผู้ ปฏิบัติอยู่โดยชอบ ความหมดจดจากสรรพกิเลสท้ังหลาย ย่อมเป็นความดับจาก ทุกข์ท้ังหลาย ความดับเป็นธรรมสูญอย่างย่ิง ความดับเป็นสุขอย่างยิ่ง ด้วยการ กลา่ วคาสัตยน์ ้ี ขอความสวสั ดจี งมใี นกาลทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย ด้วยเดชแห่งพระรัตนตรัย อุปัทวะและ อนั ตรายท้งั หลายด้วย ความขัดข้องท้งั หลายด้วย อย่าไดพ้ ้องพานสยามรฐั น้ี ในกาล ไหนๆ เลย สขุ เกดิ แต่ความเปน็ คนไม่มโี รคด้วยน่นั เทียว แต่น้ัน แมค้ วามเป็นผมู้ อี ายุ ยืนด้วย ความสมบูรณ์แห่งวัตถุทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ความสขุ สวัสดีในเหตทุ ั้งหลาย ท้ังปวงด้วย จงมี จงเป็นไปพร้อมแก่พวกรัฐบาลสยามทั้งหลาย ขอเหล่าเทพา ผู้ ดารงอยู่ในสยามรัฐ อันพวกรัฐบาลสยามบูชาแล้วด้วยธรรมพลี และอามิสพลี ทัง้ หลาย จงรักษาซ่ึงพวกรัฐบาลสยามน้ันดว้ ย ซึ่งแว่นแคว้นด้วย ขอผลแหง่ จิต อัน เลื่อมใสในพระรัตนตรัยน่ีน้ี จงเป็นผลสาเร็จ จงเป็นผลสาเร็จ จงเป็นผลสาเร็จ เทอญ ฯ ๒๑๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

สขุ ำภิยำจนคำถำ เป็นคาถาท่ีกล่าวอ้างอานุภาพพระปริตรที่ได้สวดสาธยายแล้วน้ัน เพื่อให้ เกิดความสุขสิริสวัสดิ์ในราชตระกูล ขอให้เพทยาท้ังมวลคุ้มครองรักษา ให้ฝนตก ตอ้ งตามฤดูกาล เกิดความผาสกุ รม่ เย็นแกอ่ าณาประชาราษฎร์ทั้งมวล คาถาบทนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม แต่งถวาย พระพรพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงพระกรุณาโปรดให้ พระสงฆส์ วดทา้ ยพธิ ีเจรญิ พระพทุ ธมนต์ในพระราชวังสืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั บทสวด ยงั ยัง เทวะมะนุสสำนัง มงั คะลัตถำยะ ภำสิตงั , ตัสสะ ตัสสำนภุ ำเวนะ โหตุ รำชะกุเล สุขัง. เย เย อำรักขะกำ เทวำ ตตั ถะ ตตั ถำธิวำสิโน, อิมินำ ธมั มะทำเนนะ สัพเพ อัม๎เหหิ ปูชิตำ. สะทำ ภัทร๎ ำนิ ปัสสนั ตุ สุขติ ำ โหนตุ นิพภะยำ, อัปปะมัตตำ จะ อัม๎เหสุ สพั เพ รักขนั ตุ โน สะทำ. ยัญจะ โน ภำสะมำเนหิ กุสะลัง ปะสุตัง พะหงุ , ตันโน เทวำนโุ มทนั ตุ จิรงั ตฏิ ฐนั ตุ สำตะตงั . เย วำ ชะลำพุชณั ฑะชำ สงั เสทะโชปะปำตกิ ำ, อะเวรำ โหนตุ สพั เพ เต อะนีฆำ นริ ุปัททะวำ. ปสั สนั ตุ อะนะวชั ชำนิ มำ จะ สำวัชชะมำคะมำ, จริ งั ติฏฐะตุ โลกัส๎มงิ สัมมำสัมพทุ ธะสำสะนงั . ทัสเสนตงั โสตะวันตูนัง มคั คัง สตั ตะวิสทุ ธิยำ, ยำวะ พุทโธติ นำมัมปิ โลกะเชฏฐสั สะ สตั ถุโน. วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๑๑

สมั มำเทสิตะธัมมัสสะ ปะวตั ตะติ มะเหสโิ น, ปะสันนำ โหนตุ สพั เพปิ ปำณิโน พุทธะสำสะเน. สัมมำ ธำรัง ปะเวจฉันโต กำเล เทโว ปะวสั สะตุ, วฑุ ฒภิ ำวำยะ สัตตำนัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนงิ . มำตำ ปติ ำ จะ อัตร๎ ะชงั นจิ จงั รกั ขันติ ปุตตะกงั , เอวงั ธมั เมนะ รำชำโน ปะชัง รกั ขันตุ สัพพะทำ. คำแปล พระปริตรใด ๆ อันเราสวดแล้ว เพื่อประโยชน์แก่มงคล แห่งเทพดาและ มนุษยท์ ้ังหลาย ด้วยอานุภาพแหง่ พระปรติ รน้นั ๆ ขอความสขุ จงมใี นราชสกลุ เทพ เจ้าท้ังหลายใด ๆ ผู้รักษาเอ้ือเฟ้ือ ผู้สิงสถิตอยู่ในสถานนั้นๆ ท้ังหมด อันเราบูชา แล้วด้วยธรรมทานนี้ เทพเจ้าท้ังหลายนั้น ๆ จงเห็นสิ่งอันเจริญทั้งหลายทุกเม่ือ จง เป็นผู้ถึงซึ่งความสขุ ปราศจากภยั ทุกเมื่อ อน่ึง เหล่าเทพเจ้าทง้ั สนิ้ จงอย่าประมาท แล้วในเรา รักษาเราทกุ ขเ์ มอ่ื อน่ึงกศุ ลอันใดมากอันเราภาษติ อยู่ ขวนขวายแลว้ เทพ เจ้าทง้ั หลายจงอนโุ มทนากศุ ลอันนั้นของเรา จงดารงอยูต่ ดิ ต่อกนั สิน้ กาลนาน อนึ่ง สัตวท์ ้ังหลายใด ท่ีเป็นชลาพุชะกาเนิดในครรภ์มารดา และท่ีเป็นอุปปา ติกะกาเนิดลอยข้ึน ขอสรรพสัตว์ท้ังหลายนั้น จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ ไม่มี อุปัทวะ เห็นกรรมทั้งหลาย อันหาโทษมิได้ อน่ึงกรรมอันมีโทษ อย่ามาพ้องพาน สัตว์เหล่านี้ ขอคาส่ังสอนของพระสมั มาสัมพุทธเจ้า อันแสดงมรรคาแกส่ ัตว์ผมู้ ีโสต วญิ ญาณธาตุ เพ่ือความหมดจดแก่สัตว์ จงดารงอยู่ในโลกสิ้นกาลนาน แม้พระนาม ว่า พุทโธ ดังนี้ ของพระศาสดาผู้ประเสริฐในโลก ผู้มีธรรมอันแสดงแล้วโดยชอบ ผู้ แสวงหาซึ่งคุณอันใหญ่ ยงั เป็นไปอยเู่ พียงใด แม้สรรพสัตว์ท้ังหลายจงเป็นผ้เู ล่ือมใส แล้วในพระพุทธศาสนา ฝนจงเพ่ิมให้อุทกธารตกต้องในกาลโดยชอบ จงนาไปซ่ึง เมทนีดลให้สาเร็จประโยชน์ เพื่ออันบังเกิดความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย มารดาและ ๒๑๒ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

บิดา ย่อมถนอมบตุ รน้อย อันบงั เกิดในตนเป็นนิตยฉ์ ันใด พระราชาทั้งหลายจงทรง รกั ษาประชาราษฎรโ์ ดยชอบ ในกาลทงั้ ปวงฉนั นัน้ ฯ วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๓

บทสวดพระพุทธมนต์ ปัพพโตปมคำถำ ปัพพโตปมคำถำ เป็นคาถาที่มีเน้ือหาแสดงชราและมรณธรรมเปรียบ ประดุจภเู ขาหนิ กลิ้งบดทับสัตวท์ ั้งหลาย มปี รากฏในพระสุตตนั ตปฎิ ก สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ปัพพโตปมสูตร เปน็ การเจรญิ อัปปมาทธรรมและวปิ สั สนากรรมฐาน บทสวด ยะถำปิ เสลำ วปิ ลุ ำ นะภงั อำหจั จะ ปพั พะตำ สะมนั ตำ อะนุปะรเิ ยยยงุ นิปโปเถนตำ จะตุททสิ ำ เอวัง ชะรำ จะ มจั จุ จะ อะธิวตั ตนั ติ ปำณโิ น ขตั ติเย พ๎รำห๎มะเณ เวสเส สุทเท จณั ฑำละปุกกุเส นะ กิญจิ ปะรวิ ัชเชติ สัพพะเมวำภมิ ทั ทะติ นะ ตัตถะ หัตถีนัง ภมู ิ นะ ระถำนัง นะ ปตั ติยำ นะ จำปิ มันตะยทุ เธนะ สกั กำ เชตุง ธะเนนะ วำ ตัสม๎ ำ หิ ปัณฑโิ ต โปโส สัมปัสสงั อัตถะมัตตะโน พทุ เธ ธัมเม จะ สงั เฆ จะ ธโี ร สทั ธัง นิเวสะเย โย ธัมมะจำรี กำเยนะ วำจำยะ อทุ ะ เจตะสำ อิเธวะ นงั ปะสังสนั ติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะติ. คำแปล ภูเขาท้ังหลาย เป็นหินล้วน ๆ สูงจรดฟ้า กล้ิงบดทับสัตว์มาโดยรอบท้ัง ๔ ทิศ แม้ฉันใด ความแก่และความตาย ย่อมครอบงาสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น ไม่ว่าจะ เปน็ กษัตรยิ ก์ ็ตาม พราหมณก์ ็ตาม เปน็ พลเมอื งก็ตาม เป็นไพร่ก็ตาม เปน็ คนยากจน ๒๑๔ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

เทหยากเยื่อก็ตาม ย่อมถูกความแก่และความตายครอบงาโดยไม่เว้นเลย ช้างศึก ทง้ั หลายไม่มีภูมติ ้านทานในความแก่และความตายนั้น รถศึกทัง้ หลาย และพลเดิน เท้าทัง้ หลาย ก็ไม่มภี ูมติ า้ นทานในความแก่และความตายน้นั อนึ่งไมว่ ่าจะเป็นการสู้รบ ไม่วา่ จะเป็นเวทมนต์ หรือทรัพย์ก็ตาม ไมอ่ าจทา ใหใ้ คร ๆ เอาชนะความแก่และความตายน้ันได้เลย เพราะเหตุน้ันแล บุรษุ ผูเ้ ปน็ บณั ฑิต เม่ือเหน็ ประโยชน์ตน ผู้ที่มปี ัญญา ควร จะปลูกฝังความเช่ือให้มีในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บัณฑิตย่อม สรรเสรญิ ผู้ประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา และใจ ในโลกน้ีนัน่ เทียว และผ้ปู ระพฤติ ธรรมน้นั เม่อื ตายจากโลกนไี้ ปแลว้ ย่อมมคี วามบันเทิงในสวรรค์แล ฯ อรยิ ธนคำถำ อริยธนคำถำ เป็นคาถาที่มีเนื้อหาแสดงถงึ สิ่งอันเป็นอรยิ ทรัพย์ หรือทรัพย์ อันประเสริฐแท้จริง ได้แก่ ความศรัทธาในพระรัตนตรัย ความประพฤติชอบ และ ความเห็นอนั ตรง มีในบุคคลใด บุคคลนน้ั จัดเป็นผู้ไมข่ ัดสนด้วยอริยทรพั ย์ มปี รากฏ ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค บทสวด ยสั สะ สัทธำ ตะถำคะเต อะจะลำ สุปะตฏิ ฐติ ำ สลี ัญจะ ยัสสะ กัล๎ยำณัง อะริยะกนั ตงั ปะสังสิตัง สังเฆ ปะสำโท ยัสสัตถิ อุชุภูตัญจะ ทัสสะนัง อะทะลทิ โทติ ตัง อำหุ อะโมฆนั ตสั สะ ชวี ติ ัง ตสั ๎มำ สัทธัญจะ สีลัญจะ ปะสำทัง ธัมมะทสั สะนงั อะนุยุญเชถะ เมธำวี สะรงั พุทธำนะ สำสะนันติ. วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๕

คำแปล ความเช่อื ของบคุ คลผู้ใด ต้งั มนั่ คงไมห่ ว่ันไหวในพระตถาคตเจ้า อนึ่ง ศีลของบุคคลผู้ใดดีงาม เป็นที่ยินดีแห่งพระอริยเจ้า ซ่ึงพระอริยเจ้า สรรเสริญแล้ว ความเล่ือมใสในพระอริยสงฆ์ มีอยู่แล้วในบุคคลใด และเม่ือ ความเห็นของบุคคลใด เป็นความเห็นคงที่เห็นตรง บัณฑิตท้ังหลายมีพระพุทธเจ้า เปน็ ต้น กล่าววา่ ผู้นน้ั เป็นผไู้ มย่ ากจน ชวี ติ ความเป็นอย่ขู องผู้นั้นไมเ่ ปล่าประโยชน์ เพราะฉะน้ัน ผู้มีปัญญา เมื่อมาระลึกถึงคาสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้ว ก็ควรประกอบตนให้มีความเชื่อ ประกอบในศีล และให้มีความเล่ือมใส และ ประกอบใจให้มีความเห็นในธรรมไวเ้ นือง ๆ ดงั น้ีแล ฯ ธมั มนิยำมสูตร ธัมมนิยำมสูตร เป็นพระสูตรแสดงความแน่นอนแห่งสภาวธรรมทั่วไป คือ ความเปน็ อนิจจาแห่งสังขารท้ังหลาย มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (นัยแหง่ อปุ ปาทสตู ร) พระสูตรน้ีมีเนื้อหาพรรณนาความแห่งวิปัสสนากรรมฐาน นิยมสวดในงาน ทาบุญอทุ ิศ เป็นการเจรญิ อัปปมาทธรรมเชน่ กนั บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวำ, สำวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนำถะปิณฑิกัสสะ, อำรำเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวำ ภิกขู อำมันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวำ เอตะทะโวจะ. อุปปำทำ วำ ภิกขะเว ตะถำคะตำนัง อะนุปปำทำ วำ ตะถำคะตำนัง, ฐิตำ วะ สำ ธำตุธัมมัฏฐิตะตำ ธัมมะนิยำมะตำ, สัพเพ ๒๑๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

สังขำรำ อะนิจจำติ. ตัง ตะถำคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ , อะภิสัมพุชฌิต๎วำ อะภิสะเมตว๎ ำ อำจิกขะติ เทเสติ, ปญั ญะเปติ ปัฏฐะเปติ, ววิ ะระติ วภิ ะชะติ อุตตำนกี ะโรติ, สพั เพ สังขำรำ อะนิจจำต.ิ อุปปำทำ วำ ภิกขะเว ตะถำคะตำนัง อะนุปปำทำ วำ ตะถำคะตำนงั , ฐติ ำ วะ สำ ธำตุ ธัมมฏั ฐิตะตำ ธัมมะนิยำมะตำ, สพั เพ สังขำรำ ทุกขำติ. ตัง ตะถำคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, อะภิสัมพุชฌิต๎วำ อะภิสะเมต๎วำ อำจิกขะติ เทเสติ, ปัญญะเปติ ปฏั ฐะเปติ, วิวะระติ วภิ ะชะติ อตุ ตำนีกะโรติ, สัพเพ สังขำรำ ทุกขำติ. อุปปำทำ วำ ภิกขะเว ตะถำคะตำนัง อะนุปปำทำ วำ ตะถำคะตำนัง, ฐิตำ วะ สำ ธำตุ ธมั มฏั ฐิตะตำ ธัมมะนยิ ำมะตำ, สัพเพ ธัมมำ อะนัตตำติ. ตัง ตะถำคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ , อะภิสัมพุชฌิต๎วำ อะภิสะเมต๎วำ อำจิกขะติ เทเสติ, ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, วิวะระติ วภิ ะชะติ อตุ ตำนีกะโรติ, สพั เพ ธมั มำ อะนตั ตำต.ิ อิทะมะโว จะ ภะคะวำ. อัตตะมะนำ เต ภิกขู ภะคะวะโต ภำสติ งั , อะภนิ ันทุนติ. คำแปล อนั ข้าพเจา้ (พระอานนทเถระ) ได้ฟังมาจากพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ดังนีว้ ่า ในสมัยหนึ่งพระผ้มู พี ระภาคเจ้าเสด็จประทับอยูใ่ นพระเชตวันมหาวหิ ารของ ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี ในกาลครั้งนนั้ แล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ตรัสเตือนสติภิกษุท้ังหลาย ให้ตั้งใจฟังและพิจารณาตามพระดารัสของพระองค์ คร้ันเมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลด้วยความเคารพพร้อมที่จะรับฟังแล้ว พระผู้มีพระ ภาคเจา้ จงึ ไดต้ รัสอย่างนี้วา่ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๑๗

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าท้งั หลายหรือว่าความ ไม่เกิดข้ึนแห่งพระตถาคตเจ้าท้ังหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุที่ตั้งอยู่ กาหนดอยู่แล้ว ตามธรรมดา ว่าเป็นสังขารคือรูปนามที่มีเหตุมาจากธาตุท้ังหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งข้ึน ลว้ นแต่ไมเ่ ที่ยง มคี วามแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เราตถาคตรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ถึงเฉพาะอยู่ ส่วนธาตนุ ้ัน ครน้ั รู้พร้อมเฉพาะแลว้ บอก กล่าวแสดงบัญญัติแต่งตั้งแล้ว เปิดเผยจาแนกทาความให้ต้ืนขน้ึ เป็นที่เข้าใจง่ายว่า สังขารคือรูปนามท่ีมีเหตุทั้งหลายมาจากธาตุท้ังหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึน้ ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีความเกิดข้ึน ตั้งอยู่ แปรปรวนไป แล้ว ก็ดบั ไปเปน็ ธรรมดา ดังนี้ ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรอื ว่าความ ไม่เกิดขึ้นแห่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุท่ีตั้งอยู่ มีอยู่ กาหนดอยู่ แล้วตามธรรมดา ว่าเป็นสังขารคือรูปนามท่ีมีเหตุมาจากธาตุท้ังหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งข้ึน ล้วนแต่เป็นทุกข์เหลือทน ทนต่อการถูก กระทบกระทั่งเบียดเบียนไม่ได้ เราตถาคตรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ถึงพร้อมเฉพาะอยู่, สว่ นธาตุน้ัน ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว บอกกล่าวบญั ญัติแต่งต้ัง แล้ว เปิดเผยจาแนกทาความให้ตื้นเป็นที่เข้าใจง่ายว่า สังขารคือรูปนามที่มีเหตุมา จากธาตุท้ังหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งข้ึน ล้วนแต่เป็น ทุกข์เหลือทน ทนตอ่ การถกู กระทบกระท่ังเบยี ดเบยี นไมไ่ ด้ ดงั น้ี ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าทงั้ หลายหรือว่าความ ไม่เกิดข้ึนแห่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุที่ตั้งอยู่ มีอยู่ กาหนดอยู่ แล้วตามธรรมดา วา่ เป็นธรรม ๒ อย่าง คือเป็นรูปธรรมท่ีมีเหตมุ าจากธาตุทัง้ หลาย ประชุมกนั โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งข้ึน นี้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง คอื ธรรมที่ไม่ใชร่ ูปนาม ไมม่ ี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขนึ้ ทงั้ หมดลว้ นแต่เป็น อนัตตา มิใช่ตัวตน มิใช่ของเรา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของเรา ต้องสลายไป เรา ตถาคตรู้พรอ้ มเฉพาะอยู่ ถึงพร้อมเฉพาะอยู่ ส่วนธาตุนน้ั คร้นั รู้พรอ้ มเฉพาะแล้ว ถึง ๒๑๘ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

พรอ้ มเฉพาะแลว้ บอกกลา่ วแสดงบัญญตั ิแตง่ ต้ังแล้ว เปดิ เผยจาแนกทาความให้ตื้น เป็นท่ีเข้าใจง่ายว่า ธรรมท้ังหลายคือรูปนามทม่ี ีเหตุมาจากธาตุท้ังหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งข้ึน น้ีอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหน่งึ เป็นธรรมที่ มใิ ชร่ ูปนาม ไมม่ ี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรงุ แตง่ ข้ึน ท้ังหมดล้วนแต่เปน็ อนัตตา มใิ ช่ ตัวตน มใิ ชข่ องเรา ไม่มีอะไรเปน็ แก่นสารของเรา ตอ้ งสลายไป ดังน้ี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว ภิกษุท้ังหลาย เหล่านั้นก็มีใจยินดี เพลิดเพลินในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วย ประการฉะนแ้ี ล ฯ วปิ สั สนำภมู ปิ ำฐะ วิปัสสนาภูมิ คือ ธรรมท้ังหลายอันแยกประเภทเป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อนิ ทรีย์ สัจจะ และปฏิจจสมุปบาท กลา่ วโดยรวมหมายถึงธรรมอนั เป็นอารมณ์ของ วิปัสสนา เปน็ การเจริญบาทแห่งปญั ญาในวิปสั สนากรรมฐาน บทสวด ปัญจกั ขนั ธำ, รปู กั ขนั โธ, เวทะนำกขนั โธ, สญั ญำกขนั โธ, สงั ขำรกั - ขนั โธ, วิญญำณักขันโธ. ทว๎ ำทะสำยะตะนำนิ. จักข๎วำยะตะนัง รปู ำยะตะนัง, โสตำยะตะนัง สัททำยะตะนัง, ฆำนำยะตะนัง คันธำยะตะนัง, ชิวหำยะตะนัง ระสำยะตะนัง, กำยำยะตะนัง โผฏฐัพพำยะตะนัง, มะนำยะตะนัง ธัมมำยะตะนงั . อัฏฐำระสะ ธำตุโย. จักขุธำตุ รูปะธำตุ จักขุวิญญำณะธำตุ, โสตะธำตุ สัททะธำตุ โสตะวิญญำณะธำตุ, ฆำนะธำตุ คันธะธำตุ ฆำนะวิญญำณะธำตุ, ชิวหำธำตุ ระสะธำตุ ชิวหำวิญญำณะธำตุ, วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๙

กำยะธำตุ โผฏฐัพพะธำตุ กำยะวิญญำณะธำตุ, มะโนธำตุ ธัมมะธำตุ มะโนวิญญำณะธำตุ. พำวีสะตินท๎ริยำนิ. จักขุนท๎ริยัง โสตินท๎ริยัง ฆำนินท๎ริยัง ชิวหินท๎ริยัง กำยินท๎ริยัง มะนินท๎ริยัง, อิตถินท๎ริยัง ปุริสินท๎ริยัง ชวี ติ ินท๎ริยัง, สุขนิ ทร๎ ิยงั ทกุ ขนิ ท๎ริยัง โสมะนัสสินท๎ริยัง โทมะนสั สินท๎รยิ ัง อเุ ปกขินท๎ริยัง, สัทธนิ ท๎ริยัง วิริยินท๎ริยงั สะตนิ ท๎รยิ ัง สะมำธินท๎ริยัง ปัญญินท๎ริยัง, อะนัญญะตัญญัสสำมีตินท๎ริยัง อัญญินท๎ริยัง อัญญำ- ตำวินทร๎ ิยงั . จตั ตำริ อะรยิ ะสัจจำน.ิ ทุกขงั อะรยิ ะสัจจัง, ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะริยะสัจจัง, ทุกขะนโิ รโธ อะริยะสัจจัง, ทุกขะนิโรธะคำมินี ปะฏิปะทำ อะริยะสัจจงั . อะวิชชำปัจจะยำ สังขำรำ, สังขำระปัจจะยำ วิญญำณัง, วิญญำณะปัจจะยำ นำมะรูปัง, นำมะรูปะปัจจะยำ สะฬำยะตะนัง, สะฬำยะตะนะปัจจะยำ ผัสโส, ผัสสะปัจจะยำ เวทะนำ, เวทะนำ- ปัจจะยำ ตัณหำ, ตณั หำปจั จะยำ อปุ ำทำนัง, อุปำทำนะปัจจะยำ ภะโว, ภะวะปัจจะยำ ชำติ, ชำตปิ จั จะยำ ชะรำมะระณัง โสกะปะรเิ ทวะทุกขะ- โทมะนัสสุปำยำสำ สมั ภะวันติ. เอวะเมตสั สะ เกวะลสั สะ ทกุ ขักขันธสั สะ, สะมทุ ะโย โหต.ิ อะวิชชำยะเต๎ววะ อะเสสะวิรำคะนิโรธำ สังขำระนิโรโธ, สังขำระนิโรธำ วิญญำณะนิโรโธ, วิญญำณะนิโรธำ นำมะรูปะนิโรโธ, นำมะรูปะนิโรธำ สะฬำยะตะนะนิโรโธ, สะฬำยะตะนะนิโรธำ ผัสสะ- นิโรโธ, ผัสสะนิโรธำ เวทะนำนิโรโธ, เวทะนำนิโรธำ ตัณหำนิโรโธ, ๒๒๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

ตัณหำนิโรธำ อุปำทำนะนิโรโธ, อุปำทำนะนิโรธำ ภะวะนิโรโธ, ภะวะ- นิโรธำ ชำตินิโรโธ, ชำตินิโรธำ ชะรำมะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะ- โทมะนสั สุปำยำสำ นิรชุ ฌนั ต.ิ เอวะเมตสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขนั ธสั สะ, นิโรโธ โหต.ิ คำแปล ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อายตนะ ๑๒ คือ อายตนะ คือ ตา รูป หู เสียง จมูก กลิ่น ลิ้นกับรส กายสิ่งท่ี ถกู ตอ้ งได้ ใจกบั อารมณ์ของใจ ธาตุ ๑๘ คอื ธาตุ คือ ตา รูป วิญญาณทางตา หู เสียง วญิ ญาณทางหู จมูก กลิ่น วิญญาณทางจมูก ล้ิน รส วิญญาณทางล้ิน กาย สิ่งท่ีถูกต้องได้ วิญญาณทาง กาย ใจ อารมณ์ของใจ วญิ ญาณทางใจ อนิ ทรยี ์ ๒๒ คือ อินทรยี ์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเป็นหญิง ความ เป็นชาย ชีวิต สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อินทรีย์คืออัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผล อินทรีย์ คือการตรัสรู้ สัจธรรมด้วยมรรค อินทรียข์ องพระอรหันตผ์ ู้ตรัสรูส้ จั ธรรมแล้ว อรยิ สัจ ๔ คือ ทุกข์ ทกุ ขสมุทยั ทุกขนโิ รธ ทกุ ขนโิ รธคามินีปฏปิ ทา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีอายตนะ ๖ เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะ เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงอุปาทาน เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โศกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส อปุ ายาส ความเกดิ ข้ึนแห่งกองทกุ ข์ทงั้ ปวงนั้น มอี ยา่ งน้ี วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๒๑

เพราะอวิชชาดับ โดยคลายความกาหนัดยินดีโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดบั วิญญาณจงึ ดับ เพราะวิญญาณดบั นามรูปจึงดับ เพราะนามรปู ดับ อายตนะ ๖ จึงดบั เพราะอายตนะ ๖ ดับ ผัสสะจึงดบั เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อปุ ายาสจึงดับ ความดับกองทกุ ขท์ ัง้ ปวงนนั้ มีอยา่ งน้ี ฯ ตลิ กั ขณำทคิ ำถำ ติลักขณำทิคำถำ เป็นคาถาแสดงการเห็นอาการแห่งไตรลักษณ์ คือความ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นมรรคาดาเนินสู่ความบริสุทธ์ิหลุดพ้น มีปรากฏใน พระสตุ ตันตปิฎก อรรถกถา ขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท บทสวด สัพเพ สงั ขำรำ อะนิจจำติ ยะทำ ปญั ญำยะ ปสั สะติ อะถะ นพิ พินทะติ ทกุ เข เอสะ มคั โค วสิ ุทธิยำ สพั เพ สงั ขำรำ ทุกขำติ ยะทำ ปญั ญำยะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยำ สัพเพ ธมั มำ อะนัตตำติ ยะทำ ปญั ญำยะ ปัสสะติ อะถะ นพิ พินทะติ ทุกเข เอสะ มคั โค วสิ ุทธิยำ อัปปะกำ เต มะนุสเสสุ เย ชะนำ ปำระคำมิโน อะถำยัง อิตะรำ ปะชำ ตีระเมวำนธุ ำวะติ เย จะ โข สัมมะทกั ขำเต ธัมเม ธัมมำนุวัตติโน เต ชะนำ ปำระเมสสันติ มจั จุเธยยงั สุทตุ ตะรัง ๒๒๒ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

กัณหงั ธมั มัง วปิ ปะหำยะ สกุ กัง ภำเวถะ ปณั ฑิโต โอกำ อะโนกะมำคมั มะ วิเวเก ยตั ถะ ทูระมงั ตตั ๎รำภริ ะติมจิ เฉยยะ หิตว๎ ำ กำเม อะกิญจะโน ปะรโิ ยทะเปยยะ อตั ตำนัง จติ ตะเกลเ๎ สหิ ปัณฑโิ ต เยสงั สัมโพธยิ งั เคสุ สัมมำ จติ ตงั สภุ ำวิตงั อำทำนะปะฏินสิ สัคเค อะนปุ ำทำยะ เย ระตำ ขณี ำสะวำ ชุติมนั โต เต โลเก ปะรินิพพุตำติ. คำแปล เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารท้ังหลายไม่เท่ียง เม่ือน้ันย่อมเบื่อ หน่ายในทุกข์ ข้อน้ีเป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารท้ังหลายเป็นทุกข์ เม่ือนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อน้ีเป็นทางแห่งความ หมดจด เมือ่ ใด บุคคลเห็นดว้ ยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เม่ือน้ันย่อมเบื่อ หน่ายในทุกข์ ขอ้ นเ้ี ป็นทางแห่งความหมดจด บรรดามนุษยท์ ั้งหลาย ชนเหลา่ ใด ทไ่ี ปถงึ ฝ่งั (คือพระนิพพาน) ชนเหลา่ น้ัน มีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์ (คือชน) นอกจากนี้ ๆ ย่อมเลาะชายฝ่ั ง (คือสักกายะทิฏฐิ) น้ันแหละ ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดแล เป็นผู้มีปกติประพฤติตาม ธรรมในธรรมท่ีพระตถาคตกล่าวแล้วโดยชอบ ชนท้ังหลายเหล่านั้น จักถึงฝั่ง (คือ พระนิพพาน) ล่วงวัฏฏะเป็นท่ีตั้งแห่งมัจจุ (คือกิเลสมาร) อันบุคคลข้ามได้ยากนัก บัณฑิตควรละธรรมดาเสียยังธรรมขาวให้เจริญ อาศัยพระนิพพาน ไม่มีอาลัยจาก อาลัย (คือออกจากอาลัย อาศัยพระนิพพาน) ความยินดีได้ยากในพระนิพพานอัน สงัดใด พึงละกามท้ังหลายเสีย เป็นผู้ไม่มีเครื่องกงั วลแล้ว ปรารถนาความยินดี ใน พระนิพพานนนั้ บณั ฑติ ควรยังตนใหผ้ ่องแผ้ว จากเครอื่ งเศรา้ หมองแหง่ จิตทง้ั หลาย จติ อันบณั ฑติ ทงั้ หลายเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยถูกตอ้ ง ในองค์เปน็ เหตตุ รัสรูท้ ั้งหลาย วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๒๓

บัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในอันสละความยึดถือ บัณฑิตทั้งหลาย เหลา่ นนั้ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มม่ ีอาสวะ มีความโพลง ดับสนิทในโลก ดงั นี้แล ฯ พุทธอุทำนคำถำ คาถาบทน้ี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ติอุทานคาถา เป็นพระอุทานธรรมของ พระพุทธเจ้าเมื่อคราวตรัสรู้ ปรารภอริยสัจ ๔ และอวิชชา ปรากฏในพระ สุตตนั ตปฎิ ก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน บทสวด ยะทำ หะเว ปำตุภะวนั ติ ธมั มำ อำตำปิโน ฌำยะโต พ๎รำห๎มะณัสสะ อะถัสสะ กังขำ วะปะยันติ สพั พำ ยะโต ปะชำนำติ สะเหตธุ ัมมัง. ยะทำ หะเว ปำตภุ ะวันติ ธมั มำ อำตำปโิ น ฌำยะโต พ๎รำห๎มะณัสสะ อะถสั สะ กงั ขำ วะปะยนั ติ สัพพำ ยะโต ขะยัง ปัจจะยำนงั อะเวทิ. ยะทำ หะเว ปำตุภะวันติ ธัมมำ อำตำปิโน ฌำยะโต พ๎รำห๎มะณสั สะ วธิ ปู ะยงั ตฏิ ฐะติ มำระเสนงั สูโรวะ โอภำสะยะมนั ตะลิกขนั ติ. คำแปล เมื่อใดธรรมท้ังหลาย คือ อริยสจั ทั้ง ๔ ปรากฏชัดแกพ่ ราหมณ์ผู้มคี วามเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา เม่ือนั้น ความสงสัยท้ังปวงของพราหมณ์น้ัน ย่อม ๒๒๔ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

อันตรธานหายไป เพราะพราหมณน์ ้ันมารู้แจ้งซ่ึงธรรมว่า อวิชชาเปน็ ต้นเหตุใหเ้ กิด มสี ังขารอนั เป็นตน้ เหตุให้เกดิ กองทุกขท์ ัง้ ปวง เมื่อใดธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจทั้ง ๔ ปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา เม่ือน้ัน ความสงสัยท้ังปวงของพราหมณ์น้ัน ย่อม อันตรธานหายไป เพราะพราหมณ์นั้นได้รู้แจ้งแล้วว่า เหตุท่ีทาให้กองทุกข์ท้ังปวง เกิดข้นึ นั้น ไดส้ ิ้นไปแลว้ เม่ือใดธรรมท้ังหลาย คือ อริยสัจท้ัง ๔ ปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา พราหมณ์น้ันย่อมกาจัดเสนามารให้พินาศไปเสียได้ ย่อมดารงจิตอยู่ด้วยความรู้แจ้งสว่างโพลง ประดุจดังพระอาทิตย์ทาให้อากาศใน ทอ้ งฟา้ สว่างอยู่ด้วยรัศมี ฉะนน้ั แล ฯ ภัทเทกรตั ตคำถำ ภัทเทกรัตตคำถำ เป็นคาถาแสดงปฏิปทาผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ คือ การ บาเพ็ญอัปปมาทธรรมด้วยความเพียร มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อปุ ริปัณณาสก์ บทสวด อะตตี ัง นำนว๎ ำคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนำคะตงั ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปัตตญั จะ อะนำคะตัง ปจั จุปปนั นัญจะ โย ธมั มัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ อะสงั หิรัง อะสงั กุปปัง ตัง วิทธำ มะนุพ๎รูหะเย อชั เชวะ กจิ จะมำตปั ปัง โก ชญั ญำ มะระณัง สุเว นะ หิ โน สังคะรนั เตนะ มะหำเสเนนะ มัจจุนำ เอวัง วหิ ำริมำตำปงิ อะโหรัตตะมะตนั ทิตงั วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๒๕

ตงั เว ภัทเทกะรตั โตติ สันโต อำจกิ ขะเต มนุ ตี .ิ คำแปล ผมู้ ีปัญญา ไมค่ วรคานึงถงึ สิ่งทีล่ ่วงไปแล้ว ไม่ควรตั้งความหวังกับสิ่งทย่ี ังมา ไม่ถึง สิ่งที่ล่วงไปน้ัน ก็ได้ล่วงไปแล้ว สิ่งท่ียังไม่มมี าน้ัน ก็ยังไม่มาถึง ก็ผู้ใดเห็นแจ้ง ชดั ในสิง่ ที่เกดิ ขึ้นในปจั จบุ ัน ณ ที่นน้ั ๆ แล้ว ใจไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน และผู้ที่ ทราบชัดถึงสิ่งที่ล่วงไปแลว้ สง่ิ ทย่ี ังไม่มาถึง และไม่มคี วามงอ่ นแง่น คลอนแคลนใน เหตุปจั จุบนั นนั้ แลว้ พงึ พอกพนู ความรู้น้ันให้มากยง่ิ ข้นึ ความเพียรเพ่ือเผากิเลส ควรทาในวันนี้เท่านั้น ก็ใครเล่าจะสามารถรู้ได้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งน้ีก็ได้ ไม่มีใครที่จะสามารถต่อสู้กับพญามัจจุราชผู้มีเสนา ใหญไ่ ด้ ผเู้ ป็นบัณฑิตย่อมกล่าวสรรเสริญผู้มีธรรมเครื่องเผากิเลสเป็นเคร่ืองอยู่ ผู้มี ความเพียรแผดเผากิเลสทั้งกลางวันกลางคืนนั้นแล ว่าเป็นมุนีผู้สงบ เป็นผู้มีราตรี เดียวอนั เจริญ ดังนีแ้ ล ฯ ๒๒๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

พระอภิธรรม ๗ คมั ภีร์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อประทับจาพรรษาในดาวดึงส์ในคราวแสดงยมก ปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว ได้ประทับบนศิลาอาสน์ช่ือ บัณฑุกัมพล ณ โคนต้นปาริชาต ท่ามกลางหมู่เทพยดาจากหมื่นจักรวาล ทรงให้สันดุสิตเทพบุตรผู้เคยเป็นพุทธ มารดาเป็นประธานแห่งทวยเทพ แล้วทรงแสดงอภิธรรมติดต่อกันไปทั้งพรรษา คร้ันทรงแสดงอภธิ รรมในดาวดึงสแ์ ลว้ ก็ไดท้ รงแสดงซ้าอีกโดยยอ่ แก่พระสารบี ุตรท่ี สระอโนดาต ในป่าหมิ พานต์ พระสารบี ตุ รไดส้ ดับแล้วก็มาแสดงตอ่ ให้ภกิ ษทุ ั้งหลาย ได้ฟงั และไดจ้ ดจาสืบมา มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค้างคาว ๕๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในถ้าแห่งหนึ่ง ได้ฟังเสียงสวดสาธยายพระอภิธรรมของภิกษุผู้ ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปท่ีอาศัยอยู่ในถ้าน้ัน เมื่อฟังอยู่ก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรม เท่านั้น มิได้ร้คู วามหมายใดๆ แต่กพ็ ากันตงั้ ใจฟงั เม่อื สิ้นจากชาติที่เป็นค้างคาวแล้ว ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกด้วยกันท้ังหมด จนกระท่ังศาสนาของพระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุใน ศาสนานต้ี ลอดจนไดเ้ รียนพระอภิธรรมจากพระสารบี ตุ ร พระสงั คณี กุสะลำ ธัมมำ อะกุสะลำ ธัมมำ อัพ๎ยำกะตำ ธัมมำ. กะตะเม ธัมมำ กุสะลำ. ยัส๎มิง สะมะเย กำมำวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ, โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญำณะสัมปะยุตตัง, รูปำรัมมะนัง วำ สทั ทำรมั มะนัง วำ, คนั ธำรัมมะนงั วำ ระสำรัมมะนัง วำ, โผฏฐัพพำรัม- มะนัง วำ ธัมมำรัมมะนัง วำ, ยัง ยัง วำ ปะนำรัพภะ, ตัส๎มิง สะมะเย วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๒๗

ผสั โส โหติ อะวิกเขโป โหติ, เย วำ ปะนะ ตัสม๎ ิง สะมะเย อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมปุ ปนั นำ, อะรูปิโน ธัมมำ, อิเม ธัมมำ กสุ ะลำ. คำแปล พระธรรมทเ่ี ป็นกุศลให้ผลเปน็ สุข มีกามาวจรกุศลเป็นตน้ ธรรมท่เี ป็นอกุศล ให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น ธรรมท่ีเป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่ มผี ัสสเจตนาเป็นต้น ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสขุ ยอ่ มบังเกดิ ข้ึนอย่างไร บ้าง จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนาสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพท้ังเจ็ด คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ยอ่ มบังเกดิ มีแกป่ ถุ ุชนผูเ้ ป็นสามญั ชน เป็นไปพร้อมกับจิตท่ีเปน็ โสมนัส ความสุขใจ ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา มีจิตยินดีในรูป มีรูป พระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระ สัทธรรมเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในกล่ินหอมแล้วคิดถึงการกุศล มีการ บชู าพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นอารมณ์บา้ ง มจี ิตยินดใี นรสเคร่ืองบรโิ ภคแล้วยินดีใคร่ บรจิ าคทานเป็นต้นเปน็ อารมณบ์ ้าง มีจติ ยินดีในของอันถูกตอ้ งแล้วกค็ ิดให้ทานเป็น ตน้ เป็นอารมณบ์ ้าง มีจติ ยนิ ดีในการเจริญพระสทั ธรรมกรรมฐาน มีพุทธานสุ สตเิ ป็น ตน้ เป็นอารมณ์บ้าง อีกอย่างหน่ึง ความปรารภแห่งจิตเกิดข้ึนในอารมณ์ใดๆ ความ กระทบผัสสะแห่งจิต จิตท่ีเป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดข้ึนในสมัยน้ัน อันว่าเอกัคคตา เจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น อีกอย่างหน่ึง ธรรมท้ังหลายเหล่าใด ยอ่ มบังเกดิ ข้นึ ในกาลสมัยน้ัน ธรรมทัง้ หลายอาศัยซงึ่ จิตทั้งหลายอ่ืนมีอยู่ แล้วอาศัย กันและกัน ก็บังเกิดมีข้ึนพร้อม เป็นแต่นามธรรมท้ังหลายไม่มีรูปธรรมทั้งหลาย เหล่านี้ชอ่ื ว่าเป็นกุศลใหผ้ ลเป็นสขุ แก่สตั ว์ทงั้ หลายแล ฯ ๒๒๘ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

พระวภิ ังค์ ปญั จกั ขันธำ, รูปักขันโธ, เวทะนำกขันโธ, สัญญำกขันโธ, สังขำ- รักขันโธ, วิญญำณักขันโธ, ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ, ยังกิญจิ รูปัง อะตีตำนำคะตะปัจจุปปันนัง, อชั ฌัตตัง วำ พะหิทธำ วำ, โอฬำริกัง วำ สุขุมัง วำ, หีนัง วำ ปะณีตัง วำ, ยัง ทูเร วำ สันติเก วำ, ตะเทกัชฌัง อะภสิ ัญญูหิต๎วำ อะภสิ งั ขปิ ิต๎วำ, อะยัง วจุ จะติ รปู กั ขนั โธ. คำแปล กองแห่งธรรมชาติทั้งหลาย มี ๕ ประการ รูป ๒๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขและเป็นทุกข์ เป็นโสมนัสและโทมนัส และอุเบกขา เป็นกองอันหน่ึง ความจาได้หมายรู้ในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อันบังเกิดข้ึนในจิต เป็นกองอันหน่ึง เจตสิกธรรม ๕๐ ดวง เป็น เคร่ืองปรุงแต่งจิตให้คิดอ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้นที่ให้สัตว์บังเกิด เป็นกอง อันหนึ่ง วญิ ญาณจิต ๘๙ ดวง โดยรอบสังเขป เป็นเครื่องรู้แจง้ วเิ ศษ มีจกั ขุวิญญาณ เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง กองแห่งรูปในปัญจขันธ์ทง้ั หลายนั้น เป็นอย่างไรบ้าง รูป อันใดอันหน่ึง รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปแล้ว และรูปท่ีเป็นอนาคตอันยังไม่มาถึง และรูปทเี่ ป็นปัจจุบันอยู่ เป็นรูปภายในหรอื เป็นรูปภายนอก เป็นรูปอันหยาบหรือ เป็นรูปอันละเอียดสุขุม เป็นรูปอนั เลวทรามหรือเป็นรูปอันประณตี บรรจง เป็นรูป ในที่ไกลหรือเป็นรูปในท่ีใกล้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลเข้าย่ิงแล้วซ่ึงรูปนั้น เป็นหมวดเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว กองแห่งรูปธรรมอันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรสั ว่าเปน็ รูปขนั ธ์แล ฯ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๒๙

พระธำตกุ ถำ สังคะโห อะสังคะโห. สงั คะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง, สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, สัมปะโยโค วิปปะโยโค. สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง, วิปปะยุตเตนะ สมั ปะยุตตัง, อะสังคะหติ ัง. คำแปล พระพุทธองค์สงเคราะห์จติ เจตสิกรูปเขา้ ในขันธเ์ ป็นหมวด ๑ พระพุทธองค์ ไม่สงเคราะห์รปู ธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด ๑ พระพทุ ธองค์ไม่สงเคราะห์ จิตเจตสกิ รูปด้วยธรรมอันสงเคราะหแ์ ล้ว พระพุทธองคส์ งเคราะห์จิตเจตสิกรูปด้วย ธรรมอันมิได้สงเคราะห์ พระพุทธองค์สงเคราะห์จิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอัน สงเคราะหแ์ ลว้ พระพทุ ธองค์ไม่สงเคราะห์จิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์ เจตสิกธรรมท้ังหลายอันประกอบพร้อมด้วยจิต ๕๕ เจตสิกธรรมท้ังหลายอัน ประกอบแตกต่างกันกบั จติ ประกอบเจตสิกอันตา่ งกันด้วยเจตสกิ อนั ประกอบพรอ้ ม กันเปน็ หมวดเดียวกัน ประกอบเจตสิกอนั บังเกดิ พรอ้ มกันดว้ ยเจตสกิ อนั ต่างกันเป็น หมวดเดียวกนั พระพุทธองคไ์ มส่ งเคราะห์ธรรมอนั ไมค่ วรสงเคราะหใ์ หร้ ะคนกัน ฯ พระปคุ คลปญั ญัตติ ฉะ ปัญญัตติโย, ขันธะปัญญัตติ, อำยะตะนะปัญญัตติ, ธำตุปัญ- ญัตติ, สัจจะปัญญัตติ, อินท๎ริยะปัญญัตติ,ปุคคะละปัญญัตติ, กิตตำวะตำ ปุคคะลำนัง ปุคคะละปัญญัตติ. สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต, กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม, ปะริหำนะธัมโม อะปะริหำนะธัมโม, เจตะนำภัพโพ อะนุรักขะนำภัพโพ, ปุถุชชะโน โคต๎ระภู, ภะยูปะระโต ๒๓๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

อะภะยูปะระโต, ภัพพำคะมะโน อะภัพพำคะมะโน, นิยะโต อะนิยะโต, ปะฏิปันนะโก ผะเล ฐิโต อะระหำ อะระหัตตำยะ ปะฏปิ นั โน. คำแปล ธรรมชาติท้ัง ๖ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ กองแห่งรูปและนามเป็น ธรรมชาติอนั บัณฑิตพึงแต่งตง้ั บญั ญัติไว้ บ่อแห่งตัณหา คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ไฟ ลม เป็นธรรมชาติอัน บณั ฑิตพึงแต่งต้งั บัญญัติไว้ ของจริงอนั ประเสริฐ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ อินทรีย์ ๒๒ เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึง แต่งต้ังบัญญัติไว้ บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้แก่บุคคล ทงั้ หลายนม่ี กี ่ีจาพวกเชียวหนอ บุคคลท่ีเป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพงึ แตง่ ตงั้ บัญญตั ไิ ว้ พระอรยิ บคุ คลผูม้ ีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบนั เปน็ ต้น พระอรยิ บคุ คลผู้มี จิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย มีพระอรหันต์เป็นต้น ฌานท่ีเป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้ แล้ว ย่อมกาเริบสูญไป ฌานที่เป็นเคร่ืองฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่ กาเรบิ ฌานท่ีเป็นเคร่ืองฆ่ากเิ ลสอันบคุ คลได้สูงข้นึ ไปแล้ว ย่อมเสื่อมถอยลง ฌานท่ี เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไมเ่ ส่ือมถอย ฌานที่เป็นเครื่องฆ่า กเิ ลสอันบุคคลไดแ้ ลว้ ไม่สามารถที่รักษาไว้ในสนั ดาน ฌานทเ่ี ป็นเคร่ืองฆ่ากิเลสอัน บคุ คลได้แล้วตามรักษาไว้ในสันดาน บุคคลท่ีมีอาสวะเครื่องย้อมใจอันหนาแน่นใน สันดาน บุคคลผู้เจริญในพระกรรมฐานตลอดข้ึนไปถึงโคตรภู บุคคลผู้เป็นปุถุชน ยอ่ มมคี วามกลัวเป็นเบื้องหน้า พระขีณาสพบุคคลผู้มีความกลัวอันส้ินแล้ว บุคคลผู้ มีวาสนาอันแรงกล้าสามารถจะได้มรรคและผลในชาติน้ัน บุคคลผู้มีวาสนาน้อยไม่ สามารถจะได้มรรคผลในชาตนิ ั้น บุคคลผู้กระทาซ่งึ อนันตริยกรรม ๕ มปี ิตุฆาตเป็น ต้น ตายแล้วไปตกนรกเป็นแน่ บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เที่ยง ย่อมเป็นไปตาม ยถากรรม บคุ คลผูป้ ฏบิ ตั ิมั่นเหมาะในพระกรรมฐานเพ่ือจะได้พระอริยมรรค บคุ คล ผู้ต้ังอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้นตามลาดับ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๓๑

อรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส บุคคลผู้ปฏิบตั ิเพ่ือจะให้ถึงพระ อรหตั ตผล เปน็ ผูส้ มควรแล้ว เปน็ ผูไ้ กลแลว้ จากกิเลส ฯ พระกถำวัตถุ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนำติ. อำมันตำ. โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะ- ปะระมัตเถนำติ. นะ เหวงั วัตตัพเพ. อำชำนำหิ นคิ คะหัง หญั จิ, ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ, เตนะ วะตะ เร วัตตัพเพ, โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะ- ปะระมตั เถนำติ มิจฉำ. คำแปล มีคาถามว่า สัตว์ บุคคล หญิง ชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สนั ดานของท่าน โดยปรมตั ถ์คอื อรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิไดแ้ ปรผันดงั น้ี มีอยู่หรอื มคี าแกต้ อบว่าจริง สัตว์ บุคคล หญิง ชาย มีอยู่ มคี าถามว่า ปรมัตถธรรม มปี ระการ ๕๗ มีขนั ธ์ ๕ เปน็ ต้นเหล่าใด เปน็ ปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอัน จริงแท้มิได้แปรผัน โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่านั้นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมตั ถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแทม้ ิไดแ้ ปรผันดงั นี้ มีอยู่หรือ มีคาแก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์ ขันธ์ ๕ เป็นต้น เราไม่มี พึงกล่าว เชียวหนอ ผถู้ ามกลา่ วตอบวา่ ท่านจงรับเสยี เถดิ ซ่ึงถ้อยคาอนั ท่านกล่าวผดิ ผแิ ลว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมัตถค์ ืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจรงิ แท้มไิ ด้แปรผนั โดย ประการอันเรากล่าวแล้วน้ัน ดังเรากาหนด ดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ ปรมัตถ ๒๓๒ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

ธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นอันเราพึงกล่าว เป็นอรรถอันกระทาให้สว่าง แจง้ ชดั เปน็ อรรถอนั อดุ ม โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มขี นั ธ์ ๕ เป็นตน้ เหลา่ น้นั ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถจริงแท้มิได้แปรผันดังน้ี ทา่ นกลา่ วในปัญหาเบื้องตน้ กบั ปญั หาเบื้องปลายผดิ กันไมต่ รงกัน ฯ พระยมก เย เกจิ กุสะลำ ธัมมำ, สัพเพ เต กุสะละมูลำ. เย วำ ปะนะ กุสะละมูลำ, สัพเพ เต ธัมมำ กุสะลำ. เย เกจิ กุสะลำ ธัมมำ, สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลำ. เย วำ ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลำ, สัพเพ เต ธมั มำ กสุ ะลำ. คำแปล จติ และเจตสิกบางพวกเหล่าใด ธรรมท่เี ปน็ กสุ ลใหผ้ ลเป็นสุข อนั บัณฑติ ควร สะสมไว้ จิตและเจตสิกทั้งปวงเหล่านั้น เป็นรากเหง้าเป็นที่ตั้งแห่งกุศล ให้ผลเป็น สุข อันบัณฑติ ควรสะสมไว้ อกี อย่างหน่ึง จิตและเจตสิกเหล่าน้ัน เป็นรากเหง้าเป็น ท่ีต้ังแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งปวง เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ จิตและเจตสิกบาง พวกเหล่าใด เป็นธรรมเปน็ กศุ ล ให้ผลเปน็ สุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ จิตและเจตสิก ท้ังปวงเหล่านั้น เป็นมูลอันหนึ่งด้วย เป็นรากเหง้าเป็นท่ีตั้งแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ อีกอย่างหน่ึง จิตและเจตสิกเหล่าน้ัน เป็นมูลอันหนึ่งด้วย เป็นรากเหง้าเป็นที่ต้ังแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ ธรรมคือจิต และเจตสกิ ท้งั ปวง ชื่อวา่ เป็นกศุ ล ให้ผลเปน็ สุข อนั บัณฑติ ควรสะสมไว้ ฯ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๓๓

พระมหำปฏั ฐำน เหตุปัจจะโย, อำรัมมะณะปัจจะโย, อะธปิ ะติปัจจะโย, อะนนั ตะระ- ปัจจะโย, สะมะนันตะระปัจจะโย, สะหะชำตะปัจจะโย, อัญญะ- มัญญะปัจจะโย, นิสสะยะปัจจะโย, อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ปุเรชำตะ- ปัจจะโย, ปัจฉำชำตะปัจจะโย, อำเสวะนะปัจจะโย, กัมมะปัจจะโย, วิปำกะปัจจะโย, อำหำระปัจจะโย, อินท๎ริยะปัจจะโย, ฌำนะปัจจะโย, มัคคะปัจจะโย, สัมปะยุตตะปัจจะโย, วิปปะยุตตะปัจจะโย, อัตถิปัจจะโย, นตั ถิปจั จะโย, วคิ ะตะปจั จะโย, อะวคิ ะตะปัจจะโย. คำแปล ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นต้น เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่สุข อารมณ์ความยินดีในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ เป็นเคร่ืองอาศัย เป็น ปจั จยั ใหบ้ ังเกิด ธรรมทชี่ ื่อว่าอธบิ ดี ๔ ประการ คือ ฉนั ทะ วริ ิยะ จติ ตะ วมิ ังสา เป็น เครื่องอาศยั เป็นปจั จยั ให้บงั เกดิ จิตอันกาหนดในวัตถุและรแู้ จ้งวเิ ศษในทวารทั้ง ๖ เน่ืองกันไม่มีระหว่าง เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตอันกาหนดในวัตถุ และรู้วิเศษในทวารท้ัง ๖ พร้อมกันไม่มีระหว่าง เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้ บงั เกิด จิตและเจตสิกอันบงั เกิดกับดับพร้อม เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกค้าชูซึ่งกันและกัน เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและ เจตสิกอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปจั จัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกอัน เข้าไปใกล้อาศัยซงึ่ กันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปจั จยั ใหบ้ ังเกิด อารมณ์ ๕ มรี ูป เป็นต้นมากระทบซ่ึงจักษุ เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกท่ี บังเกิดภายหลังรปู เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ชวนจิตท่ีแล่นไปส้องเสพ ซ่ึงอารมณ์ติดต่อกนั เป็นเครอื่ งอาศัย เป็นปจั จัยใหบ้ งั เกิด บุญบาปอันบุคคลกระทา แล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในท่ีดีหรือท่ีช่ัว และวิเศษแห่งกรรมอัน บุคคลกระทาแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในท่ีดีท่ีช่ัว อาหาร ๔ มี ๒๓๔ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

ผัสสาหารเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เป็นเครอื่ งอาศัย เป็นปจั จัยให้บังเกิด ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในโลกอุดร จิตและเจตสิกอันบังเกิด สัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกัน เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด รูปธรรม นามธรรมท่ีแยกต่างกัน มิได้ระคนกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยซ่ึงกันและกัน เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัย ให้บังเกิด จิตและเจตสิกที่ดับแล้ว เป็นเคร่ืองอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและ เจตสิกในปจั จุบนั จติ และเจตสกิ ท่ีแยกต่างกัน เปน็ เครื่องอาศยั เป็นปจั จัยใหบ้ ังเกิด จิตและเจตสิกในปจั จบุ ัน จิตและเจตสิกทีด่ ับและมไิ ดต้ ่างกัน เป็นเคร่ืองอาศยั เป็น ปัจจยั ใหบ้ ังเกิดจติ และเจตสกิ ในปจั จุบัน ฯ วัดปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๓๕

บทสวดมำติกำ - บงั สกุ ลุ ธัมมสงั คณมี ำติกำปำฐะ ปาฐะน้ี อธิบายถึงธรรมอันเป็นกุศล เป็นอกุศล และเป็นกลาง ๆ (อัพยากฤต) เป็นส่วนแห่งพระอภิธรรม คือธรรมช้ันสูงที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนา โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงใช้สาธยายเพื่อสนองคุณของผู้ ลว่ งลบั เปน็ การแสดงความกตญั ญกู ตเวที มีตานานว่า ผู้ได้ฟังพระอภิธรรมแม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังไม่เข้าใจ ความหมาย เช่น ค้างคาวได้ฟงั ก็ยังได้รับอานิสงส์มาก แม้สิ้นชีพไปก็บังเกดิ ในสคุ ติ โลกสวรรค์ บทสวด กุสะลำ ธัมมำ อะกสุ ะลำ ธมั มำ อพั ๎ยำกะตำ ธัมมำ. สุขำยะ เวทะนำยะ สัมปะยุตตำ ธัมมำ ทุกขำยะ เวทะนำยะ สมั ปะยุตตำ ธมั มำ อะทุกขะมะสุขำยะ เวทะนำยะ สมั ปะยตุ ตำ ธัมมำ. วิปำกำ ธัมมำ วิปำกะธัมมะธมั มำ เนวะวปิ ำกะนะวปิ ำกะธัมมะ- ธมั มำ. อุปำทินนุปำทำนิยำ ธัมมำ อะนุปำทินนุปำทำนิยำ ธัมมำ อะนุปำทนิ นำนุปำทำนยิ ำ ธัมมำ. สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกำ ธัมมำ อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกำ ธัมมำ อะสงั กลิ ฏิ ฐำสังกเิ ลสิกำ ธมั มำ. สะวิตักกะสะวจิ ำรำ ธมั มำ อะวติ กั กะวิจำระมัตตำ ธมั มำ อะวิตกั - กำวจิ ำรำ ธมั มำ. ๒๓๖ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

ปตี สิ ะหะคะตำ ธัมมำ สขุ ะสะหะคะตำ ธมั มำ อุเปกขำสะหะคะตำ ธมั มำ. ทัสสะเนนะ ปะหำตัพพำ ธัมมำ ภำวะนำยะ ปะหำตัพพำ ธัมมำ เนวะทัสสะเนนะ นะภำวะนำยะ ปะหำตัพพำ ธัมมำ. ทัสสะเนนะ ปะหำตพั พะเหตกุ ำ ธมั มำ ภำวะนำยะ ปะหำตพั พะ- เหตุกำ ธัมมำ เนวะทัสสะเนนะ นะภำวะนำยะ ปะหำตัพพะเหตุกำ ธัมมำ. อำจะยะคำมิโน ธัมมำ อะปะจะยะคำมโิ น ธมั มำ เนวำจะยะคำมโิ น นำปะจะยะคำมิโน ธมั มำ. เสกขำ ธมั มำ อะเสกขำ ธัมมำ เนวะเสกขำนำเสกขำ ธัมมำ. ปะริตตำ ธมั มำ มะหัคคะตำ ธมั มำ อัปปะมำณำ ธมั มำ. ปะริตตำรัมมะณำ ธัมมำ มะหัคคะตำรัมมะณำ ธัมมำ อปั ปะมำณำรมั มะณำ ธัมมำ. หนี ำ ธัมมำ มัชฌิมำ ธมั มำ ปะณีตำ ธมั มำ. มิจฉตั ตะนิยะตำ ธัมมำ สมั มตั ตะนิยะตำ ธัมมำ อะนยิ ะตำ ธัมมำ. มัคคำรัมมะณำ ธมั มำ มคั คะเหตกุ ำ ธมั มำ มัคคำธปิ ะตโิ น ธมั มำ. อปุ ปนั นำ ธมั มำ อะนุปปันนำ ธัมมำ อปุ ปำทิโน ธมั มำ. อะตตี ำ ธมั มำ อะนำคะตำ ธัมมำ ปจั จุปปันนำ ธัมมำ. อะตตี ำรมั มะณำ ธัมมำ อะนำคะตำรมั มะณำ ธัมมำ ปัจจปุ - ปนั นำรมั มะณำ ธมั มำ. อัชฌัตตำ ธัมมำ พะหทิ ธำ ธัมมำ อชั ฌัตตะพะหิทธำ ธัมมำ. อัชฌตั ตำรัมมะณำ ธัมมำ พะหิทธำรัมมะณำ ธัมมำ อชั ฌัตตะ- วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๓๗

พะหทิ ธำรมั มะณำ ธมั มำ. สะนทิ ัสสะนะสปั ปะฏิฆำ ธมั มำ อะนทิ ัสสะนะสปั ปะฏิฆำ ธมั มำ อะนิทัสสะนำปปะฏฆิ ำ ธัมมำ. คำแปล ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมท่ีมิได้ช้ีชัดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ธรรมที่ประกอบด้วยสุขเวทนา ธรรมที่ประกอบด้วยทุกขเวท นา ธรรมที่ ประกอบด้วยเวทนาท่ีมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมที่เป็นผล ธรรมท่ีมีผลเป็นธรรมดา ธรรมท่ีมีผลก็ไม่ใช่ ไม่มีผลก็ไม่ใช่ เป็นธรรมดา ธรรมที่ถูกยึดถือและเป็นท่ีตั้งแห่ง ความยึดถือ ธรรมที่ไม่ถูกยึดถือแต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ธรรมที่ไม่ถูกยึดถือ และไม่เป็นท่ีต้ังแห่งความยึดถือ ธรรมท่ีเศร้าหมอง และเป็นท่ีตั้งแห่งความเศร้า หมอง ธรรมทม่ี ที ั้งวิตกและวจิ าร ธรรมทไ่ี มม่ วี ิตกมีแตเ่ พียงวจิ าร ธรรมท่ีไม่มีทง้ั วิตก และวิจาร ธรรมที่ประกอบด้วยปีติ ธรรมที่ประกอบด้วยสุข ธรรมท่ีประกอบด้วย อุเบกขา ธรรมท่ีละได้ด้วยทัสสนะ (มรรคองค์ท่ี ๑) ธรรมที่พึงละได้ด้วยภาวนา (มรรคองค์ท่ี ๒, ๓, และ ๔) ธรรมทีล่ ะไม่ไดท้ ้ังดว้ ยทสั สนะและภาวนา ธรรมท่ีมีเหตุอันพึงละได้ด้วยทัสสนะ ธรรมที่มีเหตุอันพึงละได้ด้วยภาวนา ธรรมที่มีเหตุอนั ไม่พึงละไดท้ ั้งด้วยทัสสนะและภาวนา ธรรมที่ไปส่คู วามสะสมกิเลส ธรรมท่ีไม่ไปสู่ความสะสมกิเลส ธรรมท่ีไม่เป็นทั้ง ๒ อย่างน้ัน ธรรมของพระ อริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษา ธรรมของพระอริยบคุ คลผู้ไม่ตอ้ งศึกษา ธรรมทไี่ ม่เป็นไป ทั้ง ๒ อย่างนั้น ธรรมท่ีเป็นของเล็กน้อย ธรรมท่ีเป็นของใหญ่ ธรรมท่ีหาประมาณ มไิ ด้ ธรรมที่มีธรรมเล็กน้อยเป็นอารมณ์ ธรรมท่ีมีธรรมใหญ่เป็นอารมณ์ ธรรมที่มี ธรรมหาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ธรรมที่เลว ธรรมท่ีปานกลาง ธรรมท่ีประณีต ธรรมที่เป็นฝ่ายผิดและแน่นอน ธรรมท่ีเป็นฝ่ายถูกและแน่นอน ธรรมท่ีไม่แน่นอน ธรรมท่ีมีมรรคเป็นอารมณ์ ธรรมที่มมี รรคเป็นเหตุ ธรรมทม่ี ีมรรคเปน็ ใหญ่ ธรรมที่ เกิดข้นึ แลว้ ธรรมท่ียงั ไม่เกิดขน้ึ ๒๓๘ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

ธรรมที่เป็นปจั จบุ ัน ธรรมท่มี ีอดตี เป็นอารมณ์ ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีปัจจุบันเป็นอารมณ์ ธรรมที่เป็นภายใน ธรรมท่ีเป็นภายนอก ธรรมท่ีเป็น ทง้ั ภายในและภายนอก ธรรมที่มีอารมณ์ภายใน ธรรมท่ีมีอารมณ์ภายนอก ธรรมที่ มีอารมณ์ภายในและภายนอก ธรรมที่เห็นได้และถูกต้องได้ ธรรมท่ีเห็นไม่ได้แต่ ถกู ตอ้ งได้ ธรรมทท่ี ง้ั เหน็ ไมไ่ ด้และถูกตอ้ งไม่ได้ ฯ ปัฏฐำนมำตกิ ำปำฐะ ปัฏฐานมาติกา คือหัวข้อธรรมอันเป็นส่วนแห่งพระอภิธรรมที่พระผู้มีพระ ภาคทรงแสดงเรื่องราวความเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลแกก่ ัน โดยนัย มากมายทั้งพิสดารและละเอียดสุขุมลึกซึ้งย่ิงนัก ธรรมในมหาปัฏฐานน้ี ถ้าจะนับ รวมกันท้งั หมดก็มีจานวนถงึ หลายโกฏิ ด้วยเหตุน้ีท่านอรรถกถาจารยจ์ ึงเรียกคัมภีร์ นี้ว่า “มหาปัฏฐาน” ตามหลักฐานกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาพระ อภิธรรม ๗ คัมภีร์อยู่นั้น เม่ือทรงพิจารณาคมั ภรี ท์ ่ี ๑ คือ ธัมมสังคณี จนถึงคัมภีร์ท่ี ๖ คือ ยมก มาตามลาดบั มิได้มีเหตุการณพ์ ิเศษเกดิ ข้ึน ต่อเม่อื ทรงพิจารณาคัมภีรท์ ี่ ๗ คือ ปัฏฐาน จงึ ได้เกดิ รศั มีแผซ่ า่ นออกจากพระวรกายถึง ๖ สี บทสวด เหตุปัจจะโย, อำรัมมะณะปัจจะโย, อะธิปะติปัจจะโย, อะนันตะระ- ปัจจะโย, สะมะนันตะระปัจจะโย, สะหะชำตะปัจจะโย, อัญญะมัญญะ- ปัจจะโย, นิสสะยะปัจจะโย, อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ปุเรชำตะปัจจะโย, ปัจฉำชำตะปจั จะโย, อำเสวะนะปจั จะโย, กมั มะปจั จะโย, วปิ ำกะปจั จะโย, อำหำระปัจจะโย, อินท๎ริยะปัจจะโย, ฌำนะปัจจะโย, มัคคะปัจจะโย, สมั ปะยุตตะปัจจะโย, วปิ ปะยตุ ตะปัจจะโย, อัตถิปจั จะโย, นัตถิปัจจะโย, วิคะตะปจั จะโย, อะวิคะตะปจั จะโย. วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๓๙

คำแปล เหตุเป็นปัจจัย อารมณ์เป็นปัจจัย อธิบดีธรรมเป็นปัจจัย ธรรมท่ีเกิดเป็น ลาดับไม่มีระหว่างค่ันเป็นปัจจัย ธรรมที่เกิดเป็นลาดับสืบต่อกันเร่ือยไป ไม่มีธรรม อนื่ คั่นระหว่างเลยทีเดียวเป็นปัจจัย ธรรมที่เกิดร่วมกันเป็นปัจจัย ธรรมแต่ละอย่าง ต่างต้องอาศัยกนั และกนั เปน็ ปจั จัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นท่ีอาศัย ธรรมเป็นปัจจัยโดยเป็นอุปนิสัยท่ีอาศัย อย่างแรงกล้า ธรรมทเ่ี กิดก่อนเป็นปัจจัย ธรรมทีเ่ กดิ ภายหลังเป็นปัจจัย ธรรมท่ีทา หน้าที่เสพอารมณ์บอ่ ย ๆ เป็นปัจจัย กรรมคือ เจตนาความจงใจเปน็ ปัจจัยปรงุ แต่ง จัดแจงจิต วิบากคือธรรมเป็นผลของกุศล และอกุศลเป็นปัจจัย อาหารเป็นปัจจัย อินทรีย์เป็นปัจจัย ฌานเป็นปัจจัย มรรคเป็นปัจจัย ธรรมที่สัมปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมที่วิปยุตกันเป็นปัจจัย ธรรมท่ีมีอยู่เป็นปัจจัย ธรรมท่ีไม่มีเป็นปัจจัย ธรรมท่ี ปราศจากไปเป็นปจั จัย ธรรมที่ไมป่ ราศจากไปเปน็ ปัจจัย ฯ บทบังสุกลุ เป็นภาษิตแสดงความเป็นจริงแห่งสังขารคือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช้สวดเพื่อพจิ ารณาไตรลักษณอ์ ันเป็นบาทแหง่ การเจริญวิปสั สนากมั มฏั ฐาน บังสกุ ลุ เป็น อะจิรงั วะตะยงั กำโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉฑุ โฑ อะเปตะวิญญำโณ นิรตั ถังวะ กะลงิ คะรงั . คำแปล รา่ งกายน้ีไมเ่ ทย่ี งหนอ อีกไม่ช้าไมน่ านนกั จักนอนทับซงึ่ แผ่นดิน คร้นั ปราศจาก วิญญาณอนั เขาทง้ิ เสียแล้ว ยอ่ มเป็นดุจทอ่ นไมแ้ ละทอ่ นฟนื หาประโยชน์มไิ ด้ ฯ ๒๔๐ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

บงั สกุ ลุ ตำย อะนจิ จำ วะตะ สงั ขำรำ อปุ ปำทะวะยะธมั มิโน อุปปชั ชติ ๎วำ นริ ุชฌนั ติ เตสัง วูปะสะโม สโุ ข. สัพเพ สัตตำ มะรันติ จะ มะรงิ สุ จะ มะริสสะเร ตะเถวำหัง มะริสสำมิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย. คำแปล สงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ทีย่ งหนอ มีเกดิ ขึน้ และเส่ือมไปเป็นธรรมดา คร้นั เกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมดับไป การเข้าไปสงบระงับสังขารเหล่าน้ันเสียได้ เป็นความสุข เราเองก็จัก ตายเหมือนสัตว์ทั้งปวงท่ีกาลังจะตาย ตายไปแล้ว และจะพึงตายต่อไป เราไม่มี ความสงสัยในความตายนี้ ฯ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๔๑

บทถวำยพรพระ พทุ ธชยั มงคลคำถำ เป็นคาถากล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า ๘ คร้ัง แล้วอ้างสัจวาจาน้ันมา พิทักษ์คุ้มครองให้มีความสวัสดี มีชัยเหนือหมู่มารท้ังปวง ดุจดังพระพุทธเจ้ามีชัย เหนอื มารทั้งทีเ่ ป็นมนุษย์และอมนษุ ย์ โดยเปน็ ชยั ชนะแบบธรรมวิชยั ที่ไมก่ ่อเวรภยั นัยว่า พระพุทธสิริมหาเถระ ประพันธ์ข้ึนในสมัยสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ หรือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว รจนาถวายพระพรสมเด็จพระนเรศวร มหาราช บทสวด พำหงุ สะหสั สะมะภินมิ มิตะสำวธุ ันตัง ค๎รเี มขะลัง อทุ ิตะโฆระสะเสนะมำรัง ทำนำทธิ ัมมะวธิ ินำ ชติ ะวำ มนุ นิ โท ตันเตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำน.ิ มำรำตเิ รกะมะภิยุชฌติ ะสัพพะรตั ติง โฆรมั ปะนำฬะวะกะมักขะมะถทั ธะยักขัง ขนั ตีสทุ นั ตะวธิ นิ ำ ชิตะวำ มนุ นิ โท ตนั เตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำนิ. นำฬำคิรงิ คะชะวะรงั อะตมิ ัตตะภตู ัง ทำวัคคจิ กั กะมะสะนีวะ สทุ ำรุณันตัง เมตตัมพุเสกะวธิ นิ ำ ชติ ะวำ มุนนิ โท ตันเตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำนิ. ๒๔๒ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

อกุ ขติ ตะขคั คะมะตหิ ัตถะสุทำรุณันตงั ธำวันตโิ ยชะนะปะถงั คุลิมำละวันตงั อทิ ธภี สิ งั ขะตะมะโน ชติ ะวำ มนุ ินโท ตนั เตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลำนิ. กัตว๎ ำนะ กฏั ฐะมทุ ะรัง อิวะ คัพภนิ ียำ จญิ จำยะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกำยะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธนิ ำ ชิตะวำ มุนินโท ตนั เตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำนิ. สจั จงั วิหำยะ มะตสิ ัจจะกะวำทะเกตงุ วำทำภโิ รปติ ะมะนงั อะตอิ นั ธะภูตัง ปญั ญำปะทีปะชะลโิ ต ชิตะวำ มนุ นิ โท ตันเตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำน.ิ นันโทปะนนั ทะภชุ ะคัง วิพุธงั มะหทิ ธงิ ปตุ เตนะ เถระภชุ ะเคนะ ทะมำปะยนั โต อทิ ธูปะเทสะวิธินำ ชิตะวำ มุนินโท ตนั เตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำน.ิ ทุคคำหะทฏิ ฐิภุชะเคนะ สุทฏั ฐะหตั ถงั พ๎รหั ม๎ ัง วสิ ทุ ธิชตุ ิมทิ ธิพะกำภิธำนงั ญำณำคะเทนะ วิธนิ ำ ชติ ะวำ มุนินโท ตันเตชะสำ ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลำนิ. เอตำปิ พทุ ธะชะยะมังคะละอฏั ฐะคำถำ โย วำจะโน ทนิ ะทเิ น สะระเต มะตันที วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๔๓

หิต๎วำนะเนกะวิวิธำนิ จปุ ทั ทะวำนิ โมกขัง สขุ ัง อะธคิ ะเมยยะ นะโร สะปญั โญ. คำแปล พระจอมมุนี ไดเ้ อาชนะพระยามารผู้เนรมติ แขนมากต้ังพัน ถอื อาวุธครบมือ ข่ชี ้างครีเมขละ มาพรอ้ มกับเหลา่ เสนามารซ่งึ โห่ร้องกกึ ก้อง ดว้ ยวิธีอธิษฐานถงึ ทาน บารมี เปน็ ต้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลน้ัน เถดิ อนึ่ง พระจอมมุนี ได้เอาชนะยักษ์ชื่อ อาฬวกะ ผู้มีจิตหยาบกระด้าง ผู้ไม่มี ความอดทน มีความพิลึกน่ากลัวกว่าพระยามาร ซึ่งได้เข้ามาต่อสู้อย่างยิ่งยวดจน ตลอดคืนยนั รงุ่ ด้วยวธิ ีทรมานอันดี คือ ขนั ติ ความอดทน ขอชยั มงคลท้ังหลายจงมี แด่ท่าน ดว้ ยเดชแหง่ พระพทุ ธชยั มงคลนน้ั เถิด พระจอมมุนี ได้เอาชนะช้างตัวประเสริฐ ชื่อ นาฬาคิรี ทเี่ มาย่งิ นกั และแสน จะดุร้าย ประดุจไฟป่าและจักราวุธและสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้า คือ ความมี พระทยั เมตตา ขอชัยมงคลท้ังหลายจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลน้ัน เถดิ พระจอมมุนี ทรงคิดจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ จึงได้เอาชนะโจรช่ือ องคุลิมาล ผ้แู สนจะดุร้าย มฝี ีมอื ถอื ดาบวิ่งไล่พระองค์ไปส้ินระยะทาง ๓ โยชน์ ขอ ชัยมงคลทง้ั หลายจงมีแด่ทา่ น ด้วยเดชแห่งพระพุทธชยั มงคลนน้ั เถดิ พระจอมมุนี ไดเ้ อาชนะคากลา่ วใส่ร้ายของ นางจิญจมาณวิกา ซ่งึ ทาอาการ เหมือนด่ังตั้งครรภ์ เพราะเอาท่อนไม้กลมผูกไว้ท่หี น้าท้อง ด้วยวิธีทรงสมาธิอันงาม คือ ความกระทาพระทัยให้ต้งั มน่ั น่ิงเฉย ในท่ามกลางหมชู่ น ขอชัยมงคลท้งั หลายจง มีแดท่ ่าน ดว้ ยเดชแห่งพระพทุ ธชัยมงคลนัน้ เถดิ พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา ได้เอาชนะ สจั จกะนิครนถ์ ผู้มีความคิดมุ่งหมายในอันจะละทิ้งความสัตย์ มีใจคิดจะยกถ้อยคาของตนให้สูง ๒๔๔ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา

ประดุจยกธง และมีใจมืดมนย่ิงนัก ด้วยการแสดงเทศนาให้ถูกใจ ขอชัยมงคล ทัง้ หลายจงมแี ด่ท่าน ดว้ ยเดชแหง่ พระพุทธชัยมงคลนนั้ เถดิ พระจอมมุนี ได้เอาชนะพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความรู้ผิด มี ฤทธ์ิมาก ด้วยวิธีบอกอุบายให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส แสดงฤทธ์ิเนรมิต กายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาค ชื่อ นันโทปนันทะ นั้น ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมแี ดท่ า่ น ด้วยเดชแหง่ พระพทุ ธชยั มงคลนนั้ เถิด พระจอมมนุ ี ได้เอาชนะพระพรหมผู้มนี ามวา่ ท้าวผกาพรหม ผู้มฤี ทธิ์ คิดว่า ตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธ์ิ ผู้ถูกพญานาครัดมือไว้แน่น เพราะมีจิตคิด ถือเอาความเห็นผิด ด้วยวิธีวางยา คือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ ขอชัยมงคล ทั้งหลายจงมแี ดท่ า่ น ดว้ ยเดชแห่งพระพทุ ธชยั มงคลน้ันเถิด บุคคลใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดและระลึกถึงพระพุทธชัยมงคล ๘ คาถาเหล่าน้ีทุก ๆ วัน บุคคลน้ันจะพึงละความจัญไรอันตรายท้ังหลายทุกอย่างเสีย ได้ และเข้าถึงความหลุดพ้น คอื พระนิพพานอันบรมสุข นน้ั แล ฯ ชยปรติ ร ชยปริตร เป็นคาถาที่สวดเพื่อให้เกิดมีชัยมงคลในการทาพิธีมงคลต่าง ๆ โดยกล่าวถึงพระคุณของพระพุทธจ้าท่ีมีพระกรุณาเป็นที่พ่ึงของสรรพสัตว์ เปน็ สจั วาจาใหเ้ กดิ ชยั มงคลในมงคลพิธี เป็นคาถาท่ีพระโบราณาจารย์ ประพันธ์ข้ึนตามนัยแห่งสุปุพพัณหสูตร อังคุตตรนกิ าย ติกนบิ าตร บทสวด มะหำกำรุณิโก นำโถ หติ ำยะ สพั พะปำณินงั ปูเรตว๎ ำ ปำระมี สพั พำ ปัตโต สัมโพธิมตุ ตะมงั วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๔๕

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมงั คะลงั . ชะยันโต โพธยิ ำ มูเล สกั ๎ยำนงั นันทิวัฑฒะโน เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยสั สุ ชะยะมังคะเล อะปะรำชติ ะปัลลังเก สเี ส ปะฐะวโิ ปกขะเร อะภเิ สเก สัพพะพุทธำนงั อัคคปั ปัตโต ปะโมทะติ. สนุ กั ขัตตงั สมุ งั คะลัง สปุ ะภำตัง สุหฏุ ฐิตงั สขุ ะโณ สุมุหตุ โต จะ สุยฏิ ฐงั พร๎ หั ๎มะจำรสิ ุ ปะทักขิณงั กำยะกมั มงั วำจำกัมมัง ปะทกั ขณิ งั ปะทกั ขิณงั มะโนกมั มัง ปะณธิ ี เต ปะทกั ขิณำ ปะทกั ขณิ ำนิ กตั ว๎ ำนะ ละภันตัตเถ ปะทักขเิ ณ. คำแปล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ ทรง ประกอบดว้ ยพระมหากรณุ า ทรงบาเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพอื่ ประโยชนเ์ ก้ือกลู แก่ สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจวาจานี้ ขอชัย มงคลทง้ั หลายจงมแี ก่ขา้ พเจ้า ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้ เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศ ยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อัน เป็นที่อภเิ ษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนน้ั เถดิ เวลาทกี่ าหนดไว้ดี งานมงคล ดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหน่ึงดี ช่ัวครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้ บริสุทธ์ิ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความ ปรารถนาดีอนั เป็นกุศล ผไู้ ด้ประพฤตกิ รรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ ฯ ๒๔๖ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

สัพพมงคลคำถำ เป็นบทท่ีอ้างอานุภาพพระรัตนตรัยให้เกิดสรรพมงคล เทพยดารักษาให้ บงั เกิดความสขุ สวัสดี คาถาบทนี้ พระโบราณาจารย์ ประพันธ์ข้ึน มีปรากฏในสัททนีติปกรณ์ สตุ ตมาลา สูตร ๕๐๘ บทสวด ภะวะตุ สพั พะมังคะลงั รกั ขันตุ สพั พะเทวะตำ สัพพะพุทธำนภุ ำเวนะ สะทำ โสตถี ภะวนั ตุ เต. ภะวะตุ สพั พะมังคะลงั รักขนั ตุ สพั พะเทวะตำ สัพพะธมั มำนุภำเวนะ สะทำ โสตถี ภะวันตุ เต. ภะวะตุ สพั พะมงั คะลัง รกั ขนั ตุ สัพพะเทวะตำ สัพพะสงั ฆำนภุ ำเวนะ สะทำ โสตถี ภะวนั ตุ เต. คำแปล ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาท่าน ด้วย อานภุ าพแห่งพระพทุ ธเจ้า ขอความสขุ สวัสดที ั้งหลาย จงมแี กท่ ่านทุกเมอ่ื ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาท่าน ด้วย อานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทง้ั หลาย จงมีแก่ท่านทกุ เมอื่ ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน ขอเหล่าเทพยดาท้ังปวงจงรักษาท่าน ด้วย อานภุ าพแห่งพระสงฆ์ ขอความสขุ สวสั ดที ้ังหลาย จงมแี ก่ท่านทกุ เมอ่ื ฯ วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๔๗

มงคลจกั รวำลใหญ่ พทุ ธมนตบ์ ทนที้ ช่ี อ่ื มงคลจักรวาลใหญ่ หมายถึงจกั รวาลทเ่ี ราอย่อู าศยั นี้ ซึ่ง เป็นจักรวาลทพ่ี ระพทุ ธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสตั ว์ และเสด็จ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน จงึ ถอื เปน็ มงคลจกั รวาล กวา่ จักรวาลท้งั หมด เนื้อหาของพุทธมนต์บทนี้ เป็นการอัญเชิญพระคุณสมบัติของพระพุทธจ้า ทง้ั หมด ซ่งึ เปน็ มงคลวิเศษ และอานภุ าพแห่งพระธรรมท้ังมวล ให้ช่วยอภิบาลรักษา บันดาลให้เกิดสิริมงคล กาจัดทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตรายให้พินาศไป และใน ตอนทา้ ยก็ขออานุภาพของเทพยดาให้ตามรกั ษาอีกดว้ ย บทสวด สิริธิติมะติเตโชชะยะสิทธิมะหิทธิมะหำคุณำปะริมิตะปุญญำ- ธิกำรัสสะ สัพพันตะรำยะนิวำระณะสะมตั ถัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสัมพทุ ธัสสะ ทว๎ ัตตงิ สะมะหำปุริสะลักขะณำนุภำเวนะ, อะสีต๎ยำ- นุพ๎ยญั ชะนำนุภำเวนะ, อฏั ฐตุ ตะระสะตะมงั คะลำนุภำเวนะ, ฉัพพัณณะ- รงั สยิ ำนภุ ำเวนะ, เกตมุ ำลำนภุ ำเวนะ, ทะสะปำระมติ ำนภุ ำเวนะ, ทะสะ- อุประปำระมิตำนุภำเวนะ, ทะสะปะระมัตถะปำระมิตำนุภำะเวนะ, สลี ะ- สะมำธปิ ญั ญำนุภำเวนะ, พุทธำนภุ ำเวนะ, ธัมมำนุภำเวนะ, สงั ฆำนุภำเวนะ, เตชำนุภำเวนะ, อิทธำนุภำเวนะ, พะลำนุภำเวนะ, เญยยะธัมมำนภุ ำเวนะ, จะตุรำสีติสะหสั สะธมั มักขันธำนุภำเวนะ, นะวะโลกตุ ตะระธัมมำนุภำเวนะ, อฏั ฐังคิกะมคั คำนุภำเวนะ, อัฏฐะสะมำปัตติยำนุภำเวนะ, ฉะฬะภิญญำ- นุภำเวนะ, จะตุสัจจะญำณำนุภำเวนะ, ทะสะพะละญำณำนุภำเวนะ, สัพพัญญุตะญำณำนุภำเวนะ, เมตตำกะรุณำมุทิตำอุเปกขำนุภำเวนะ, สัพพะปะริตตำนุภำเวนะ, ระตะนัตตะยะสะระณำนุภำเวนะ, ตุย๎หัง สัพพะโรคะโสกุปัททะวะทุกขะโทมะนัสสุปำยำสำ วินัสสันตุ, สัพพะ- ๒๔๘ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา

อันตะรำยำปิ วินัสสันตุ, สัพพะสังกัปปำ ตุย๎หัง สะมิชฌันตุ, ทีฆำยุตำ ตุย๎หัง โหตุ, สะตะวัสสะชีเวนะ สะมังคิโก โหตุ สัพพะทำ. อำกำสะ- ปัพพะตะวะนะภูมิคังคำมะหำสะมุททำ อำรักขะกำ, เทวะตำ สะทำ ตมุ ๎เห, อะนรุ ักขันตุ. คำแปล ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แห่งพระผู้มีพระภาค เจ้าผู้อรหันต์ ผตู้ รัสรู้แล้วเองโดยชอบ ผู้มีพระสริ ิ พระขนั ติ พระญาณ พระเดช พระชยั สิทธิ์ (ความสาเร็จแห่งชยั ชนะ) พระมหาหทิ ธิ (พระฤทธอ์ิ ันย่งิ ใหญ่) พระคุณ อันยิ่งใหญ่ และพระบุญญาธิการอันไม่สิ้นสุด ผู้สามารถในอันห้ามเสียซึ่งสรรพ อันตรายด้วยอานุภาพแห่งพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ด้วยอานุภาพแห่งมงคล ๑๐๘ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระรัศมีมีพรรณ ๖ ประการ ด้วยอานุภาพพระเกตุ- มาลา ด้วยอานุภาพแห่งพระบารมี ๑๐ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระอุป- ปารมี ๑๐ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งพระปรมัตถบารมี ๑๐ ประการ ด้วย อานุภาพแห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธรัตนะ ด้วยอานุภาพ แห่งพระธรรมรัตนะ ดว้ ยอานุภาพแห่งพระสังฆรัตนะ ดว้ ยอานภุ าพแห่งพระเดช ด้วยอานุภาพแห่งพระฤทธ์ิ ดว้ ยอานภุ าพแห่งพระ กาลัง ด้วยอานุภาพแห่งพระเญยยธรรม (ธรรมที่ควรรู้) ด้วยอานุภาพแห่งพระ ธรรมขันธ์ (หมวดแห่งพระธรรม) ๘ หม่ืน ๔ พนั ดว้ ยอานุภาพแห่งพระโลกตุ รธรรม ๙ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ด้วยอานุภาพแห่ง อภิญญา ๖ ประการ ด้วยอานุภาพแห่งสัจจญาณ (พระญาณที่รู้แจ้งสัจจะ) ๔ ด้วย อานภุ าพแหง่ พระญาณมีกาลัง ๑๐ ประการ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระสัพพัญญตุ ญาณ ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตา พระกรุณา พระมุทิตา พระอุเบกขา ด้วย อานุภาพแห่งพระปริตรท้ังปวง ด้วยอานุภาพแห่งการระลกึ ถึงพระรัตนตรัย ขอให้ เหล่าโรค โสกะ อุปัทวะ ทุกข์ (ความไม่สะบายกาย) โทมนัส (ความไม่สบายใจ) วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๔๙

อุปายาส (ความคับแค้นใจ) ท้ังปวงของท่าน จงสลายไป ขอให้เหล่าอันตรายทั้ง ปวง จงมลายไป สรรพความดารทิ ้งั หลายของท่าน จงสาเรจ็ ดว้ ยดี ความเปน็ ผ้มู อี ายุ ยืน จงมีแด่ท่าน ท่านจงเป็นผู้มีความพร้อมเพียงด้วยความเป็นอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ทุก เม่ือ ขอให้อารักขเทวดาท้ังหลาย ผู้สถิตอยู่ในอากาศและภูเขาลาเนาไพร ภูมิ สถาน แมน่ ้าคงคามหาสมุทร จงตามรักษาท่านทงั้ หลาย ทุกเม่อื เทอญ ฯ มงคลจักรวำลน้อย เป็นบทอวยพรท่ีย่อความจากมงคลจักรวาลใหญ่ โดยอ้างเอาอานาจ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ให้ช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัย อันตราย ความ จัญไร ฝันร้าย ส่ิงไม่เป็นมงคลท้ังหลายให้พินาศเสื่อมสูญไปและประสาทพรให้ ประสบความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสาเร็จในหน้าที่การงาน มีชีวิตยืนยาว เป็น บทที่พระสงฆใ์ ชส้ วดให้พรในพธิ ที ่ัวไป บทสวด สพั พะพุทธำนภุ ำเวนะ สัพพะธมั มำนุภำเวนะ สัพพะสังฆำนภุ ำเวนะ พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง ติณณัง ระตะนำนัง อำนุภำเวนะ จะตุรำสีติสะหัสสะธัมมักขันธำนุภำเวนะ ปิฏะกัตตะยำนุ- ภำเวนะ ชินะสำวะกำนุภำเวนะ สพั เพ เต โรคำ สัพเพ เต ภะยำ สัพเพ เต อันตะรำยำ สัพเพ เต อุปัททะวำ สัพเพ เต ทุนนิมิตตำ สัพเพ เต อะวะมังคะลำ วินัสสันตุ อำยุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทำ. ทกุ ขะโรคะภะยำ เวรำ โสกำ สตั ตจุ ปุ ัททะวำ ๒๕๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา