โดยเฉพำะ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ให้พืชได้รับสำรอำหำรอย่ำงอย่ำงเพียงพอ เพื่อทำให้พืช สำมำรถเจรญิ เตบิ โตงอกงำมดี และใหผ้ ลติ ผลสงู ข้ึน\" สำรอำหำรต่ำงๆ ที่พืชต้องกำรน้ัน จะต้องมีธำตุอำหำร 16 ชนิด ซ่ึงได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คำร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซยี ม แมกนเี ซียม เหลก็ สังกะสี แมงกำนสี ทองแดง โบรอน โมลบิ ดินมั และคลอรีนโดยที่ออกซเิ จน ไฮโดรเจน และคำร์บอนน้นั พชื จะไดร้ ับจำกน้ำ และอำกำศ ส่วนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พืชต้องกำรในปริมำณมำกเม่ือเทียบกับธำตุอื่นๆ (ซ่ึงถูกจัดเป็น ธำตุอำหำรหลักหรือธำตุปุ๋ย) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อกำรเพำะปลูก จึงมีควำมจำเป็นต้องเพ่ิมเติมธำตุ เหลำ่ นโ้ี ดยกำรใหป้ ยุ๋ ที่มำ : วกิ พิ เี ดยี สำรำนกุ รมเสรี : http://th.wikipedia.org/wiki/ปุ๋ย โดยปุย๋ จะแบ่งออกเปน็ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ปยุ๋ อนิ ทรีย์ และป๋ยุ อนินทรีย์ - ปุ๋ยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยท่ีได้มำจำกส่ิงท่ีมีชีวิต และสัตว์ท่ีเน่ำเปื่อยผุพังรวมถึงมูลสัตว์ต่ำงๆ ด้วย ซ่ึงปุ๋ยอินทรีย์จะ ไดแ้ ก่ ปุย๋ คอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพชื สด \\ ปุ๋ยหมัก คือ ปุ๋ยท่ีเกิดจำกเศษพืชต่ำงๆ เช่น หญ้ำและใบไม้ ต้นถั่ว ต้นข้ำวโพด ซังข้ำวโพด เปลือกถ่ัว ต่ำงๆ ใบจำมจรุ ี ฟำงข้ำว ผักตบชวำ เม่อื นำมำกองหมกั ไว้จนเน่ำเปอ่ื ยก็ใชเ้ ป็นหมกั ได้ ปุ๋ยคอก คอื ปุย๋ ท่ไี ด้จำกส่ิงทสี่ ัตว์ขับถ่ำยออกมำ เชน่ อุจำจำระ ปัสสำวะของสัตว์ต่ำงๆ ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยท่ี มีประโยชน์ในกำรปรับปรุงสภำพทำงกำยภำพของดิน ช่วยลดอัตรำกำรพังทลำยของดิน เพิ่มธำตุอำหำรให้แก่ ดนิ เปน็ ตน้ ปุย๋ พืชสด คอื ปุย๋ ที่ได้จำกกำรปลูกพืชบำรุงดิน เช่น พวกพืชตระกูลถ่ัว เมื่อพืชเจริญเติบโตถึงระยะหนึ่ง เรำก็ไถกลบในขณะที่พืชยังเขียวและสดอยู่ ซ่ึงมักจะไถกลบในช่วงท่ีพืชกำลังออกดอก เพรำะเป็นช่วงท่ี เหมำะสมแก่กำรใหธ้ ำตอุ ำหำรแก่พืชมำกที่สุด ปุ๋ยอนินทรีย์ คือ ปุ๋ยท่ีได้จำกสิ่งไม่มีชีวิต ส่วนมำกมีอยู่ตำมธรรมชำติแล้วผลิต หรือสังเครำะห์ทำง อุตสำหกรรมจำกแร่ธำตุต่ำง ๆ ท่ีได้ตำมธรรมชำติ หรือเป็นผลพลอยได้ของโรงงำนอุตสำหกรรมบำงชนิดขึ้น เพื่อนำมำใช้เป็นปุ๋ย เช่น หิน แร่ หรือท่ีเรียกกันว่ำ ปุ๋ยวิทยำศำสตร์ ซ่ึงโดยปกติจะเรียกกันว่ำ ปุ๋ยเคมี โดย สำมำรถแบ่งปุ๋ยเคมีตำมส่วนประกอบของธำตุอำหำรหลักที่มีอยู่ในปุ๋ยเป็น 2 ประเภท คือ ปุ๋ยเดี่ยว และ ปยุ๋ ผสม 2.1 ปุ๋ยเด่ียว หรือแม่ปุ๋ย คือ ปุ๋ยท่ีมีธำตุอำหำรหลักพืช คือ N P K เป็นส่วนประกอบของปริมำณธำตุ อำหำรจะคงท่ี 2.2 ปยุ๋ ผสม คือ ป๋ยุ ทไี่ ด้จำกกำรเอำแม่ปุ๋ยหลำยๆ ชนดิ มำรวมกันเพื่อใหไ้ ดป้ ริมำณธำตุอำหำรหลักของปุ๋ย ตำมตอ้ งกำรเพ่อื ใหเ้ หมำะตำมสภำพดินในแตล่ ะพ้ืนที่ โดยธำตุอำหำรที่มีอยู่ส่วนใหญ่ในปุ๋ยเคมีจะอยู่ในรูปสำรอำหำรท่ีพืชสำมำรถดูดกินได้ทันทีเม่ือละลำยน้ำ หรือ ใส่ลงดิน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ ฯลฯ เป็นต้น ปุ๋ยเคมี สำมำรถแบ่งไดเ้ ปน็ (1) ป๋ยุ ไนโตรเจน (N) : ในปุ๋ยเคมีจะอยใู่ นรปู แอมโมเนียม หรือไนเตรต หรอื ยเู รีย (2) ปุย๋ ฟอสฟอรสั (P) (3) ป๋ยุ โพแทสเซยี ม (K)
อุปกรณ์ ท่อซเี มนต์ จำนวน 9 ทอ่ ดนิ รว่ นปนดนิ เหนยี ว ปรมิ ำณ เซนตเิ มตร เสยี ม จำนวน 5 ดำ้ ม ปุ๋ยเคมี ปุย๋ อินทรยี ์ ปยุ๋ เคมีร่วมกบั ปยุ๋ อนิ ทรีย์ จำนวนอย่ำงละ 5 กโิ ลกรมั กะละมงั จำนวน 5 อัน จอบ จำนวน 5 ดำ้ ม น้ำ จำนวน 50 ลติ ร เหง้ำบวั หลวง ทอ่ ละ 30 เหงำ้ รถเขน็ จำนวน 1 คัน (ยมื ) สำยยำง จำนวน 1 เสน้ วธิ ีการทดลอง 1. หำสถำนทใ่ี นกำรปลุกบวั 2. จัดซ้อื ท่อ จำนวน 9 ทอ่ ขนำดเสน้ ผ่ำนศูนย์กลำง cm 3. วำงแผนกำรจัดวำงท่อในกำรปลกู วำงทอ่ ในตำแหน่งทกี่ ำหนดใว้ 4. นำดินรว่ นปนดนิ เหนยี วใส่ในทอ่ ท่อละ6-8 เซนตเิ มตร 5. นำเหงำ้ บัวหลวงทม่ี ขี นำดเท่ำกัน จำกแหล่งเดียวกันมำปลูก ท่อละ2เหง้ำ จำกนั้นนำบัวใส่ลงท่อควำม ลึก3-5เซนตเิ มตร 6. ใส่นำ้ ประปำลงไปในทอ่ พ้นเหนอื ดนิ ประมำณ6-7เซนติเมตร 7. สำรวจกำรปลกู บวั ทุกๆวนั 8. ใส่ปุ๋ยบวั ทุกๆวนั จันทร์แรกของสัปดำห์ 9. เติมนำ้ ทุกๆวันของสปั ดำห์ 10. สงั เกตและสรปุ ผลกำรทดลอง
รปู ภาพข้ันตอนกจิ กรรมการทางาน รูปที่ 1 ตอนขดุ ดนิ รปู ที่ 2 ตอนขนดินข้นึ รถ รูปที่ 3 วดั ระดบั ดนิ ท่จี ะใส่ รปู ท่ี 4 วดั ระดบั น้าท่ีจะใส่
รปู ท่ี 5 หาขนาดลาตน้ ของบัวท่ีมีขนาดเทา่ ๆกนั ภาพแห่งความสาเรจ็
ผลการวิจยั บ่อ ผลกำรสงั เกตกำรเจริญเตบิ โตของบัว ชนิดของป๋ยุ จำนำนก้ำน จำนวนดอก ผลกำรสงั เกตอน่ื ๆ ปยุ๋ เคมี สูตร 16-16-16 1 84 - 2 94 - ปยุ๋ อนิ ทรีย์ 3 83 - 1 41 - ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 2 3- มใี บเหยี่ ว ร่วมกับป๋ยุ อนิ ทรยี ์ 3 51 แมลงกดั ใบ 1 63 - 2 42 - 3 52 - ปญั หาทพี่ บ 1.แมลงกัดใบบวั 2.ท่อนำ้ ร่ัว 3.บัวปรับสภำพอำกำศไม่ทัน 4.ระดับพนื้ ทท่ี ดลองปลกู บัวมีขนำดไม่รำบ 5.บัวบำงบ่อมีใบแห้งเหยี่ ว อภปิ รายผล จำกกำรทดลองปลูกบวั หลวง เพ่ือหำปุ๋ยท่ีดีท่ีสุดสำหรับปลูกบัวและกำรเกิดดอกของบัว โดยจะปลูกใน ท่อท้ัง 9 ท่อ โดยจะแบ่งปุ๋ยชนิดละ 3 ท่อ แต่ละท่อจะปลูกท่อละ 2 ต้น จำกปุ๋ยทั้ง 3 ชนิดได้แก่ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ย อนิ ทรยี ์ และป๋ยุ เคมีร่วมกบั อินทรยี ์ จำกกำรทดลองเห็นได้วำ่ ป๋ยุ เคมี ส่งผลตอ่ กำรเจรญิ เติบโตของบัวได้ดี ท่ีสุด และบัวออกดอกได้มำก กวำ่ ปุ๋ยอนิ ทรีย์ แลว้ กป็ ยุ๋ เคมีร่วมกบั ป๋ยุ อินทรีย์ จำกกำรทดลองปลูกบัวเป็นระยะเวลำ 75 วัน พบว่ำ บ่อท่ี 1 ที่ให้ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 มีจำนวน ก้ำนบวั ทง้ั หมด 8 ก้ำน และออกดอกจำนวน 4 ดอก บ่อที่ 2 ให้ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 มีจำนวนต้น จำกระยะ ผลกำรทดลองกำรปลกู บัว 2 เดือนคร่งึ ปยุ๋ เคมี บ่อที่ 3 มีจำนวนก้ำน 8 ก้ำน จำนวนดอก 2 ดอก ปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 1 มีจำนวนก้ำน 4 ก้ำน มีจำนวนดอก 1 ดอก ปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 2 มีจำนวนก้ำน 3 ก้ำน ไม่ ออกดอก ปุ๋ยอินทรยี ์ บอ่ ท่ี 3 มจี ำนวนก้ำน 5 กำ้ น มจี ำนวนดอก 1 ดอก ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 1 มีจำนวนก้ำน 6 ก้ำน มีจำนวนดอก 3 ดอก ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ย อินทรีย์ บอ่ ท่ี 2 มจี ำนวนกำ้ น 4 ก้ำน มีจำนวนดอก 2 ดอกปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 3 มีจำนวนก้ำน 5 ก้ำน มจี ำนวนดอก 2 ดอก
สรปุ ผล ปยุ๋ ท่เี หมำะสมในกำรปลูกบัวท่ีดีทสี่ ดุ ตอ่ กำรเจริญเตบิ โตของบัวหลวง คือ ปยุ๋ เคมี เพรำะจำกกำรสังเกตผลเห็นได้ว่ำปุ๋ยเคมี มีผลต่อกำรออกดอกและกำรแตกใบบัวได้เป็นอย่ำงดีและมีกำร เจริญเตบิ โตของบัวหลวงได้อย่ำงรวดเรว็ กวำ่ ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ปุ๋ยเคมรี ่วมกับปยุ๋ อินทรีย์ จำกำรทดลองที่กลุ่มผู้ทำโครงงำนทดลองปลูกบัวในบ่อซีเมนต์จำนวน 9 บ่อโดยบัวท่ีนำมำปลูกมีอำยุ และขนำดตน้ ใกลเ้ คยี งกนั นำมำปลูกในสภำพแวดล้อมเดียวกัน บริเวณเดียวกัน ทุกบ่อใช้ดินชนิดเดียวกันให้น้ำ เวลำเดียวกัน ปริมำณเท่ำกัน แต่ปุ๋ยแตกต่ำงกัน คือ ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 จำนวน 3 บ่อ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 3 บ่อ และใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ จำกกำรทดลองปรำกฎว่ำปุ๋ยที่ทำให้บัว เจรญิ เติบโตไดด้ ที ี่สดุ และออกดอกได้มำกทีส่ ุด คือ เคมี โดยบอ่ ที่ 1 ได้ก้ำนจำนวน 8 ก้ำน ออกดอก จำนวน 4 ดอก บ่อท่ี 2 บ่อที่ 2 ใหป้ ยุ๋ เคมี สูตร 16-16-16 มีจำนวนต้น จำกระยะผลกำรทดลองกำรปลูกบัว 2 เดือนคร่ึง ปุ๋ยเคมี บ่อท่ี 3 มีจำนวนก้ำน 8 ก้ำน จำนวนดอก 2 ดอก ปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 1 มีจำนวนก้ำน 4 ก้ำน มี จำนวนดอก 1 ดอก ปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 2 มีจำนวนก้ำน 3 ก้ำน ไม่ออกดอก ปุ๋ยอินทรีย์ บ่อท่ี 3 มีจำนวน กำ้ น 5 กำ้ น มีจำนวนดอก 1 ดอก ปยุ๋ เคมีร่วมกับปุ๋ยอนิ ทรีย์ บอ่ ที่ 1 มจี ำนวนก้ำน 6 ก้ำน มีจำนวนดอก 3 ดอก ปยุ๋ เคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ บ่อที่ 2 มีจำนวนก้ำน 4 ก้ำน มีจำนวนดอก 2 ดอกปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ บอ่ ที่ 3 มจี ำนวนกำ้ น 5 กำ้ น มจี ำนวนดอก 2 ดอก เอกสารอ้างอิง [1] สุวฒั น์ อัศวไชยชำญ และชนนั สิริ มำกสมั พันธ์ \"บวั ไทย\" สำนักพิมพ์ปลำตะเพียน ; มกรำคม 2553 [2] เวบ็ เพอื่ พืชเกษตรไทย \"กำรปลกู บัวหลวง\" ; สบื ค้นเมือ่ 6 กันยำยน2558 ; สืบค้นจำก http://puechkaset.com [3] พพิ ิธภณั ฑ์บวั มหำวทิ ยำลัยเทคโนโลยรี ำชมงคลธัญบุรี \"บัวพนั ธุต์ ่ำงๆ” ; สืบคน้ เมอื่ 6 กนั ยำยน 2558 ; สืบค้นจำก https://moonkerd.wordpress.com [4] Thaiwaterlily \"ควำมรคู้ ่บู วั /Knowledge\" ; สืบคน้ เม่อื 6 กนั ยำยน 2558 ; สืบค้นจำก http://www.thaiwaterlily.com/ [5] รกั บ้ำนเกิด \"กำรปลูกบัวหลวงตัดดอกและเทคนิคกระตนุ้ ดอกบวั \" ; สืบคน้ เม่ือ 6 กันยำยน 2558 ; สบื คน้ จำก http://www.rakbankerd.com/
ภาคผนวก
สัญญำท่ี RDG5740040/58-09 รำยงำนวจิ ัยฉบับสมบูรณ์ โครงงำนยอ่ ยที่ 3 เรอ่ื ง กำรศกึ ษำวธิ เี พ่ิมควำมเหนียวให้กบั เปลือกบัวแดง อำจำรย์ท่ปี รึกษำโครงงำน นำงนุชนำฏ โชติสุวรรณ คณะผูว้ จิ ยั (นกั เรยี น) นำงสำวธัญญลกั ษณ์ ไทยสีลำ นำงสำวกชมน สังข์ทอง นำงสำวฐิติมำ จนั ทอก นำยณัฐพงษ์ แก้วจันทร์ นำยเจนณรงค์ สตุ ะคำน นำยวีระวุฒิ เมฆมล นำยปฎภิ ำณ เผอื กไธสงค์ สนับสนนุ โดยสำนกั งำนกองทุนสนับสนุนกำรวิจัย(สกว) และ บมจ.ธนำคำรกสิกรไทย ชดุ โครงกำร “เพำะพนั ธป์ุ ัญญำ (พัฒนำยุววิจัย)”
กติ ติกรรมประกำศ ในกำรจัดทำโครงงำนRBL เรอื่ ง กำรศึกษำวิธเี พ่ิมควำมเหนยี วให้กบั เปลือกบัวแดง ครงั้ นส้ี ำเรจ็ ลลุ ว่ ง ไดต้ อ้ งกรำบขอบพระคณุ นำยชำติชำย สงิ หพ์ รหมสำร ผอู้ ำนวยกำรโรงเรียนสมเดจ็ พระญำณสงั วร ในพระ สงั ฆรำชปู ถัมภ์ นำยเชดิ ชัย สงิ ห์คิบุตร รองผู้อำนวยกำรโรงเรยี นสมเดจ็ พระญำณสงั วร ในพระสังฆรำชปู ถัมภ์ ท่ีใหค้ ำช้ีแนะและอำนวยควำมสะดวกในกำรทำโครงงำนครงั้ น้กี รำบขอบพระคุณ คุณครูเดชมณี เนำวโรจน์ แกนนำเพำะพันธ์ุปัญญำ โรงเรยี นสมเด็จพระญำณสังวร ในพระสังฆรำชปู ถัมภ์ ทใ่ี หค้ ำปรกึ ษำ ตรวจสอบแก้ไขชน้ิ งำนตำ่ ง ๆกรำบขอบพระคุณ คณุ ครนู ุชนำฏ โชติสวุ รรณ ครทู ป่ี รกึ ษำ ท่ีใหค้ ำปรึกษำ ดูแล แนะนำ และแก้ไขข้อบกพร่องในกำรทำโครงงำนทุกดำ้ น กรำบขอบพระคุณคณะครบู ุคลำกรทำงกำรศึกษำ และเพ่ือนๆ นักเรียนทค่ี อยให้กำลังใจ กรำบขอบพระคณุ บดิ ำ-มำรดำ และสมำชิกในครอบครัว ท่ีคอยให้ กำลังใจจนกระท่ังโครงงำนเรื่องกำรศึกษำวิธเี พม่ิ ควำมเหนียวให้กับเปลอื กบัวแดง สำเรจ็ ลุลว่ ง
บทคัดยอ่ เรอื่ ง กำรศึกษำวธิ เี พิ่มควำมเหนยี วให้กับเปลอื กบัวแดง ชื่อผู้จัดทาโครงงาน นำงสำวธญั ญลักษณ์ ไทยสลี ำ นำงสำวกชมน สังขท์ อง นำงสำวฐิตมิ ำ จันทอก นำยณัฐพงษ์ แกว้ จนั ทร์ นำยวีระวุฒิ เมฆมล นำยเจนณรงค์ สตุ ะคำน นำยปฎภิ ำณ เผือกไธสงค์ ครทู ่ปี รึกษา นำงนชุ นำฎ โชตสิ วุ รรณ ในประเทศไทยมีบัวหลำยสำยพันธ์ุอำทิ บัวหลวง บัวสำย บัวผัน ฯลฯ ซ่ึงบัวแต่ละชนิดมีควำมสำคัญและมี คุณประโยชนแ์ ตกตำ่ งกัน เชน่ นำมำประกอบอำหำรและสกัดเปน็ ยำรักษำโรคได้ และบัวมีควำมเชื่อทำงศำสนำนำมำ ประกอบพิธีกรรมต่ำงๆ ท้ัง งำนมงคล เช่น งำนบวช และงำนอวมงคล เช่น งำนศพและรำกบัวสำมำรถเป็นยำแก้ ทอ้ งรว่ งได้ กล่มุ โครงงำน กำรศกึ ษำวธิ ีเพิ่มควำมเหนียวให้กับเปลือกบัวจึงเกิดแนวคิดที่จะนำส่วนประกอบอื่นของบัว ซ่งึ เป็นกำรนำ ดอก ใบ และฝกั มำใช้ประโยชน์ กลุ่มโครงงำนกำรศกึ ษำวธิ เี พิ่มควำมเหนยี วให้กับเปลือกบัวจึงมีแนวคิด ท่ีจะนำส่วนประกอบอื่น คือเปลือกบัว มำใช้ประโยชน์ จึงริเร่ิมทำโครงงำนเรื่องกำรศึกษำวิธีเพิ่มควำมเหนียวให้กับ เปลือกบัวแดง ซ่ึงมวี ัตถุประสงค์ คือเปลอื กบัว 1.หำเวลำที่ใช้อบเปลือกบวั แดงเพ่ือไลค่ วำมช้นื และคงควำมเหนียวของ เปลอื กบัวแดง 2.หำอัตรำส่วนของแป้งมันกบั น้ำทใ่ี ชช้ บุ กบั เปลอื กบวั แดงเพอ่ื เพ่ิมควำมเหนยี วใหก้ บั เปลอื กบวั แดง 3. ออกแบบผลิตภัณฑ์ และจัดทำผลิตภัณฑ์จำกเปลือกบัวแดง สำมำรถนำมำทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้และเพิ่มรำยได้และ สำมำรถนำมำเปน็ อำชีพเสริมได้ จำกท่ีท่ัวโลกไดร้ ณรงค์กำรใช้ทรพั ยำกรจำกธรรมชำตไิ ดเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุด เพ่ือกำร ดำรงชีวติ และมคี วำมเปน็ อยู่ที่ดี โดยคำนงึ ถงึ สภำพแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ และอำกำศในท่ัวโลกทุกวันน้ีเกิดมลพิษทำง อำกำศอย่ำงมำกทำให้สุขภำพของมนุษย์เส่ือมลงเร่ือยๆ และในประเทศไทยนั้นก็นำเอำทรัพยำกรธรรมชำติมำใช้ ประโยชน์แทนกำรใช้สำรเคมียู่มำก เช่น กำรทำปุ๋ยอินทรีย์ กำร ทำผลิตภัณฑ์จำกพืชธรรมชำติ เช่น กระเป๋ำจำก ผกั ตบชวำ กำรทอผือจำกตน้ ผอื กลุ่มโครงงำนกำรเพ่ิมควำมเหนียวของเปลอื กบวั แดงไดท้ ำกำรทดลองหำเวลำที่ใช้ใน กำรอบเปลือกบัวแดงเพื่อไล่ควำมชน้ื สองครง้ั ซ่ึงผลกำรทดลองพบวำ่ เวลำท่เี หมำะสมในกำรอบเปลือกบัวแดงคือ 30 นำที ซ่ึงสำมำรถทนแรงได้ 5 และ 4.5 นิวตันและพบว่ำ อุณหภูมิภำยนอกตู้อบมีผลกับกำรทนแรงดึงของเปลือกบัว แดง กล่ำวคือ ถ้ำอำกำศภำยนอกตู้อบมีอุณหภูมิสูง เปลือกบัวแดงที่ใช้อบเวลำ 30 นำที จะทนแรงดึงได้น้อยกว่ำ อำกำศภำยนอกตอู้ บ แลว้ กลมุ่ โครงงำน กำรเพิ่มควำมเหนียวของเปลือกบัวแดง ทดสอบหำอัตรำส่วนของแป้งมันกับ น้ำในกำรทำแป้งเปียกเพื่อเพ่ิมควำมเหนียวให้กับเปลือกบัวแดง โดยได้ทดลองนำแป้งมัน 20 กรัม ผสมกับน้ำ 100,200,300มิลลิลิตร ผลกำรทดลองปรำกฏว่ำ อัตรำส่วนท่ีเพ่ิมควำมเหนียวมำกที่สุดคือ แป้งมัน 20 กรัม กับน้ำ 300 มิลลิลิตร สำมำรถทนแรงได้ 12 นิวตัน แล้วกลุ่มโครงงำนกำรเพ่ิมควำมเหนียวของเปลือกบัวจึงคิดหำวิธีเพ่ิม รำยได้ให้กับเปลือกบวั ของเรำ แล้วกลุม่ โครงงำนกำรเพ่ิมควำมเหนยี วของเปลือกบัวจึงคิดว่ำจะนำมำทำผลิตภัณฑ์ คือ ตะกรำ้ เล็ก และทว่ี ำงปำกกำ
บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของโครงงาน ในประเทศไทยมีบวั หลำยสำยพันธุไ์ ม่ว่ำจะเปน็ บวั หลวง บัวสำย บวั ผัน ฯลฯ บวั แต่ละชนิดมีควำมสำคัญ มำกมำยบัวสำมำรถนำมำประกอบอำหำรและสกดั เปน็ ยำรักษำโรคได้ และบัวมีควำมเชอ่ื ทำงศำสนำนำมำ ประกอบพิธกี รรมตำ่ งๆ เช่น งำนมงคล และงำนอวมงคลและบวั ยังมโี ปรตีนมำกกวำ่ ขำ้ วถึง 3 เท่ำ ในประเทศ ไทยสำมำรถปลกู บวั ได้หลำยพื้นทใ่ี นภำคอสี ำน ซ่ึงบวั ทำกำไรใหก้ ับเกษตรกรที่ปลูกบวั และสว่ นต่ำงๆของบวั ยงั ทำประโยชน์ได้หลำยอยำ่ งเรำควรอนรุ ักษ์เอำไว้ จำกกำรนำบัวมำใช้ประโยชนใ์ นด้ำนตำ่ งๆ เชน่ กำรหกั เก็บดอกบัวมำไหวพ้ ระ กำรหกั เก็บดอกบัวมำ บริโภค หรอื กำรตดั สำยบวั มำประกอบอำหำร และลำตน้ ของบัว เรำสงั เกตเห็นเปลือกบัวซง่ึ เรำลอกเปลือกบวั ออกมำนั้นเปลือกบวั มีควำมเหนยี วและแขง็ แรงสำมำรถทนแรงได้หลำยนิวตัน กลมุ่ ของขำ้ พเจ้ำจึงมแี นวคดิ ที่ จะทดสอบควำมเหนียวของเปลือกบวั ว่ำมีควำมเหนียวมำกข้ึนหรือไม่ หลังจำกนน้ั จะนำผลกำรทดสอบควำม เหนยี วของเปลือกบวั มำต่อยอดสรำ้ งเปน็ ชน้ิ งำนเพ่ือสร้ำงรำยได้ให้แก่ครอบครวั และชมุ ชน และจำกกลุ่ม ข้ำพเจ้ำไดไ้ ปศึกษำจำกแหลง่ ข้อมลู ต่ำงๆ และจำกกำรศึกษำเปลอื กบัวน้ันยังไม่ไดถ้ ูกสนใจมำกนัก ดงั้ น้นั กลุ่มขำ้ พเจำ้ จงึ มีควำมคดิ วำ่ อยำกจะทดสอบควำมเหนียวของเปลือกบวั ในอนำคตจะตอ้ งมีผูท้ ี่สนใจ เปลือกบวั และนำเปลอื กบัวมำประดษิ ฐเ์ ป็นนวตั กรรมอื่นๆได้ วัตถปุ ระสงค์ 1.หำเวลำทีใ่ ช้อบเปลือกบวั แดงเพ่ือไล่ควำมชื้นและคงควำมเหนยี วของเปลือกบัวแดง 2.หำอัตรำส่วนของแปง้ มันกบั นำ้ ทใ่ี ชช้ ุบกับเปลือกบวั แดงเพ่ือเพ่ิมควำมเหนยี วให้กับเปลอื กบัวแดง 3.ออกแบบผลติ ภณั ฑ์ และจัดทำผลติ ภัณฑจ์ ำกเปลือกบวั แดง แนวคิด และทฤษฎที ี่เกีย่ วข้อง จำกที่ทั่วโลกไดร้ ณรงค์กำรใช้ทรพั ยำกรจำกธรรมชำติได้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ เพ่อื กำรดำรงชวี ติ และมี ควำมเปน็ อยู่ที่ดี โดยคำนงึ ถึงสภำพแวดลอ้ มเปน็ ส่วนใหญ่ และอำกำศในทั่วโลกทุกวันนเ้ี กิดมลพิษทำงอำกำศ อยำ่ งมำกทำให้สุขภำพของมนุษยเ์ ส่ือมลงเรื่อยๆ และในประเทศไทยนนั้ ก็นำเอำทรัพยำกรธรรมชำตมิ ำใช้ ประโยชน์แทนกำรใช้สำรเคมียู่มำก เช่น กำรทำปยุ๋ อินทรยี ์ กำร ทำผลติ ภณั ฑจ์ ำกพืชธรรมชำติ เชน่ กระเป๋ำ จำกผักตบชวำ กำรทอผอื จำกต้นผือ และในภำคอสี ำนก็เป็นภูมิภำคทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยธรรมชำตอิ ยำ่ งมำก และมี แนวคิดใหม่ๆในกำรประยกุ ต์พชื จำกธรรมชำติใหเ้ กิดรำยได้แก่ชมุ ชนและครอบครวั บัว เป็นพชื นำ้ มีลำตน้ ใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้ำลักษณะคลำ้ ยหัวเผอื กใบเดยี่ วแตกจำกเหง้ำ ก้ำนใบยำวอ่อน สง่ ใบข้นึ มำบนผิวน้ำ แผ่นใบคอ่ นขำ้ งกลม ผิวใบดำ้ นนอกเรียบเป็นมัน ดำ้ นลำ่ งมีขนละเอยี ด ดอกเปน็ ดอกเดียว ก้ำนดอกเหมือนกำ้ นใบ ภำยในมียำงใส แลละท่ออำกำรมำก ผลเรียกโตนดบัว รับประทำนได้มีแป้งมำก ก้ำน ดอกเรยี กสำยบัว รับประทำนได้ ประโยชนจ์ ำกบวั ส่วนต่ำงๆ ของบัวนั้น สำมำรถใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ุกส่วน เป็นท้งั ยำและอำหำรได้อย่ำ งดเชน่ ดอกบัว ถือเปน็ ดอกไม้ทีส่ วยงำม ประชำชนหำซ้ือไปบูชำพระมำกกวำ่ ดอกไม้ชนดิ อนื่ เพรำะบวั สำมำรถ คงควำมงำมไว้ได้นำนกวำ่ ดอกไมห้ ลำยชนิด เมด็ บัว สำมำรถนำมำรบั ประทำนไดท้ ง้ั สดและแห้ง เม็ดบัวมี ปรมิ ำณสำรอำหำร ทีส่ ำคัญคือมโี ปรตีน ปรมิ ำณ23% ซงึ่ สูงกว่ำขำ้ วถงึ 3 เท่ำและเปน็ แหล่งรวมธำตุอำหำร
หลำยชนิดดว้ ยกนั รำกบัว นยิ มนำมำเชื่อมแห้งกินเปน็ ของหวำนหรือนำไปต้มกับนำ้ ตำลกรวด แก้ร้อนใน ชำว อินเดียจะให้เดก็ ดื่มนำ้ รำกบวั เพอ่ื ระงบั อำกำรทอ้ งรว่ ง สำยบัวสำมำรถปรงุ อำหำรแทนผักไดห้ ลำยชนิด ทงั้ แกง สม้ สำยบัว แกงสำยบัวกบั ปลำทู ชำวอนิ เดยี กนิ เพ่อื แก้อำกำรท้องร่วง ไหลบัว หรอื ตน้ กล้ำบวั สำมำรถนำมำ ประกอบอำหำรได้ท้งั สด ทง้ั แหง้ โดยมำกจะนำมำแกงสม้ แกงเลียง ผดั เผ็ดตำ่ งๆ ใบบัว นิยมนำมำหอ่ ข้ำว ห่อ ของ เชน่ ขำ้ วหอ่ ใบบัว ส่วนใบออ่ นสำมำรถนำมำกนิ เปน็ ผักสดแกล้มนำ้ พรกิ หรือนำมำหน่ั ฝอยๆ ชงดืม่ แทน นำ้ ชำ ช่วยแก้รอ้ นในกระหำยนำ้ ไดเ้ ปน็ อยำ่ งดี เกสรบัว สว่ นของเกสรสเี หลือง สำมำรถใชเ้ ขำ้ เคร่ืองยำท้งั ไทย และจนี โดยเฉพะยำลม ยำหอม ยำบำรุงหวั ใจ และยำขับปัสสำวะ ดบี ัว เปน็ ส่วนของต้นอ่อนทอี่ ยภู่ ำยในเมด็ บวั มรี สขจัด สำมำรถนำมำเป็นส่วนประกอบของยำโบรำณ มีฤทธข์ิ ยำยหลอดเลอื ด ที่ไปเลยี้ งกล้ำมเนอ้ื หัวใจ และบัวแดงน้นั ยงั มีเปลือกลำต้นที่สำมำรถนำมำใชป้ ระโยชน์ได้ อำทิ กำรทำพวงกญุ แจจำกเปลอื กบวั แดง และเปลือกของบัวแดงยังมคี วำมเหนยี วไม่น้อย ท่สี มำรถนำไปทำเปน็ นวัตกรรมใหม่ได้ แต่ผูค้ นส่วนมำกยังไม่ ค่อยร้จู ักประโยชนจ์ ำกเปลอื กบัวมำกนกั จึงมองขำ้ มประโยชน์ของเปลอื กบวั แดงไป อปุ กรณแ์ ละวิธีการทดลอง วตั ถุดบิ ในการเพม่ิ ความเหนียวของเปลือกบัวแดง อัตรำสว่ นที่ 1 อตั รำสว่ นท่ี 2 อัตรำสว่ นที่ 3 แปง้ มนั 20 กรัม แปง้ มัน 20 กรมั แป้งมัน 20 กรัม น้ำ 100 มลิ ลิลิตร นำ้ 200 มลิ ลลิ ิตร น้ำ 300 มลิ ลลิ ติ ร เปลอื กบัวแดงทีม่ คี วำมกว้ำง 1 เซนตเิ มตร ยำว 25 เซนตเิ มตร จำนวน 9 เส้น อปุ กรณ์ในการเพ่มิ ความเหนยี ว เตำอบ 1 เคร่อื ง (องศำเซลเซยี ส) เทอร์โมมเิ ตอร์ 1 อนั (หน่วย=มลิ ลลิ ิตร) กระทะไฟฟำ้ 1 ใบ ถำด 2 ใบ หม้อขนำดเล็ก 1 ใบ บีกเกอร์ 1 อนั แผ่นอบพรรณไม้ เชอื กฟำง 2 เส้น แทง่ คนสำร 1 แทง่ อุปกรณ์ในการทดสอบความเหนยี ว ขำตั้ง 1 อัน เครอ่ื งชง่ั สปรงิ 1 อนั (หน่วย=นวิ ตนั ) ทค่ี บี 1 อัน ห่วงวงกลม 3 ห่วง ถงุ ร้อน 6ใบ
วธิ ีการทดลอง ตอนท่ี 1 หาเวลาที่ทาให้เปลอื กบัวมีความแห้งท่ีพอดี 1. นำบัวแดงมำตัดเปน็ ท่อน ให้มีควำมยำวท่อนล่ะ 25 เซนติเมตร จำนวน 9 ทอ่ น 2. ลอกเปลือกบัวแดงออกมำโดยแต่ละเสน้ ให้มีควำมกว้ำง 1 เซนติเมตร 3. นำเปลือกบัวที่ไดไ้ ปอบ ในระยะเวลำ 30 นำที 4. นำเปลอื กบัวแดงท่ผี ำ่ นกำรอบแลว้ มำทดสอบควำมเหนียว โดยวัตถุที่ทดสอบควำมเหนยี ว 5. บันทึกผลกำรทดลอง ( หมำยเหตุ: กำรทดลองหำเวลำในกำรทดลอง 2 วัน คอื วันทีอ่ ุณหภมู ิ 25 องศำเซลเซียส และ 29 องศำ เซลเซยี ส จงึ ให้ผลกำรทดลองท่แี ตกตำ่ งกนั ) ตอนท่ี 2 หาอตั ราส่วนแปง้ มันกับนา้ ท่ีเพิ่มความเหนียวใหก้ บั เปลือกบัวแดงมากทสี่ ุด 1.นำแปง้ มนั สำปะหลัง 20 กรัม ลงในบกี เกอรท์ ่ีมีน้ำ 100 ,200,300, มลิ ลลิ ิตร 2. หลงั จำกนั้นนำแปง้ มันสำปะหลงั และน้ำในอัตรำส่วนต่ำง ๆ ต้มโดยใช้เวลำ 2 นำที 3.นำเปลือกบวั ที่อบ และวดั ควำมเหนยี วเสรจ็ แล้ว มำชบุ แปง้ ในอตั รำสว่ นตำ่ งๆจำนวน 9 เสน้ 4.หลังจำกท่นี ำเปลือกบวั แดงชุบแป้งเสรจ็ นนั้ นำไปอบโดยใชเ้ วลำ 30 นำที 5. นำเปลือกบวั แดงทผ่ี ่ำนกำรอบแลว้ มำมำทดสอบควำมเหนยี ว กบั ชุดทดสอบควำมเหนียวชดุ เดมิ 6.บันทึกและสรุปผลกำรทดลอง ผลการวิจยั กำรทดสอบครัง้ ที่1 กลุม่ โครงงำน กำรเพิ่มควำมเหนยี วของเปลอื กบวั ได้พยำยำมหำเส้นใยท่ีอยใู่ นลำตน้ ของบัว แดง แตเ่ สน้ ใยของบัวแดงที่เรำสำมำรถศึกษำไดม้ ีแค่เสน้ ใยของบวั หลวงชนิดเดียวเท่ำน้ันและผลกำรทดลอง นน้ั ไม่ประสบผลสำเสร็จถ้ำเส้นใยของบัวนั้นเรำเอำใยบัวออกมำได้น้อย กลุ่มโครงงำน กำรเพิ่มควำมเหนยี ว ของเปลือกบัว จงึ เปลย่ี นจำกกำรเพิ่มควำมเหนยี วจำกใยบัวแดงเป็นกำรหำควำมเหนยี วจำกเปลอื กลำต้นบัว แดงแทนเพรำะเปลอื กบวั แดงกม็ ีควำมเหนยี วเช่นกันและมีควำมแข็งแรงมำกกวำ่ เส้นใยบัวแดงและสำมำรถ นำมำตอ่ ยอดได้ กลุม่ โครงงำน กำรเพมิ่ ควำมเหนยี วของเปลอื กบวั แดงน้นั ไดท้ ดสอบหำวธิ ีท่ีใชใ้ นกำรอบ เพรำะเปลือกบวั แดง มคี วำมชน้ื มำก ถ้ำไม่อบให้แห้งกอ่ นจะไม่สำมำรถทำเป็นนวัตกรรมอืน่ ไดเ้ พรำะควำมชนื้ จะทำให้เปลือกบวั แดง เกิดควำมช้ืนสะสมและทำใหเ้ ปลอื กบวั เปรำะขำดง่ำย กลุ่มโครงงำน RBL กำรเพิ่มควำมเหนยี วของเปลอื กบัว แดง จงึ ได้คิดหำเวลำท่อี บเปลือกบวั แดงที่เหมำะสมท่ีสุดเพื่อท่จี ะทำเปลือกบัวแดงยังมคี ุณภำพควำมเหนยี วเท่ำ เดิม (อณุ หภมู ิภำยนอก 25 องศำเซลเซยี ส )
ครงั้ ท่ี 1 ตารางการอบเปลอื กบวั แดงและแรงความเหนียวทเี่ ปลือกบวั แดงสามารถทนไดก้ อ่ นการเพมิ่ ความเหนียว เวลำในกำรอบ(นำที) ทนแรงได้(นวิ ตนั ) 30 5 45 4.5 60 2.5 75 1 สรุปผล จำกผลกำรทดลองกำรอบของเปลือกบัวแดงนนั้ เรำสำมำรถสรุปผลไดว้ ่ำเปลอื กบวั ใชเ้ วลำอบ 30 นำทโี ดย ควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่40องศำน้ัน ไดเ้ ปลอื กบัวทม่ี คี วำมแห้งและควำมเหนียวพอประมำณโดยรับน้ำหนกั ได้ 5 นิวตนั จะได้กราฟเสน้ ดังตอ่ ไปน้ี
คร้ังที่ 2 ถำ้ อุณหภมู ภิ ำยนอกสูง เวลำที่เวลำที่ใชอ้ บจะลดลงดว้ ย กลมุ่ โครงงำนกำรเพมิ่ ควำมเหนียวของเปลอื กบัวแดง จงึ ได้ทดลองเก่ยี วกับอุณหภูมิภำยนอกดว้ ย ในวันทีอ่ ุณหภมู ิ 29 องศำ เวลำท่ีใช้อบ(นำที) ทนแรงได้(นวิ ตัน) 30 4.5 45 3 60 2.5 75 0.5 สรปุ ผล ถำ้ อุณหภมู สิ งู ขน้ึ จะตอ้ งใชจ้ ะตอ้ งเวลำลดลง อณุ หภูมิ 29 องศำ เวลำในกำรอบ 30 นำที ทนแรงได้ 4.5 นวิ ตัน จะได้กราฟเส้นดังตอ่ ไปน้ี วธิ กี ารหาสูตรแปง้ เปยี กท่มี ีปริมาณทเี่ หมาะสมต่อการเพมิ่ ความเหนียวของเปลือกบัวแดงมากที่สุด หลังจำกที่เรำนำเปลือกบวั แดงไปอบแห้งเสร็จแล้วและได้อุณหภูมิและเวลำในกำรอบที่พอเหมำะที่สำมำรถทำ ใหเ้ ปลือกบัวแดงแห้งพอดหี ลังจำกน้ันกลุ่มของพวกเรำจึงไดค้ ิดหำสูตรแปง้ เปยี กท่เี หมำะสมกบั กำรทดลอง โดย ใช้ปรมิ ำณแป้งเปน็ 20 กรัม
นำ้ (มลิ ลิ ติ ร) แรงทที่ นได(้ นิวตัน) 100 7 200 9 300 12 สรปุ ผล สรุปผลไดว้ ่ำแปง้ ในปริมำณ20กรัมและน้ำเปล่ำในปรมิ ำณ 300 มลิ ิลิตร สำมำรถทำให้เปลือกบวั มีควำมเหนยี ว มำกขึน้ จำกเดมิ และสำมำรถทนแรงได้ 12 นิวตัน จะได้กราฟเสน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
อภิปรายผล ในกำรทดสอบควำมเหนยี วของเปลือกบัวนัน้ ไดป้ ระสบควำมสำเร็จบรรลตุ ำมเปำ้ หมำย เพรำะได้มี กำรทดสอบซ้ำหลำยๆครง้ั เพ่ือใหข้ ้อมูลนำ่ เช่ือถอื มำกท่ีสดุ และเพื่อให้ได้ผลกำรทดลองอย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพเพ่ือ จะสำมำรถนำเปลือกบัวทเี่ รำทดลองนนั้ ไปทำเปน็ นวัตกรรมใหมไ่ ด้ โดยตอนแรกเรำทดสอบควำมเหนยี วจำก ใยบวั แดง โดยนำใยที่อยู่กำ้ นบัวมำทดสอบแต่ผลปรำกฏว่ำผลกำรทดลองน้ันไมเ่ ปน็ ไปตำมเป้ำหมำยทเี่ รำวำงไว้ ซึง่ กเ็ พรำะเสน้ ใยบวั น้ันทดลองไดย้ ำก มปี ริมำณน้อยเกินที่จะทดลองได้ และมีควำมเปน็ ไปได้น้อยมำกถำ้ ใหร้ ับ น้ำหนกั เกนิ 5 นติ ัน กลุม่ โครงงำน กำรเพิ่มควำมเหนียวของเสน้ ใยบวั แดงเรำจงึ ได้ปรึกษำกันว่ำเรำควรทจี่ ะหำ ควำมเหนียวจำกสว่ นอืน่ ของบวั แดง และเรำก็ตกลงกันวำ่ จะนำเปลอื กของบัวแดงมำทำกำรทดสอบเพรำะ เปลือกลำต้นของบัวแดงนั้นมีควำมทนทำนมำกและมีควำมเหนยี วท่เี หมำะสมทจ่ี ะรบั นำ้ หนกั ได้หลำยนิวตัน และเปลือกของลำตน้ บวั แดงนน้ั ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์มำกนักและผู้คนสนใจน้อย กลมุ่ โครงงำน กำรเพิ่มควำม เหนยี วของเปลอื กบัวแดง เรำได้สนใจทจี่ ะศกึ ษำเก่ยี วกับควำมเหนยี วของเปลือกบัวแดงแทน และเปลี่ยนเปน็ โครงงำน กำรเพ่ิมควำมเหนียวของเปลือกบัวแดงแทน และกลุม่ โครงงำนกำรเพิ่มควำมเหนยี วใหก้ ลบั เปลอื กบัว แดง และได้ทำกำรทดสอบเป็นข้นั ตอน ขัน้ ที่ 1 ได้นำบัวแดงมำลอกเปลือกลำตน้ ออกให้มคี วำมกวำ้ ง 1 เซนติเมตร ยำว 25 เซนติเมตร และนำไปอบโยใชร้ ะยะเวลำ 30 นำที คร้งั ท่ี 1 อบที่อุณหภมู ิ 40 องศำ เซลเซียส ในวันท่มี ีอุณหภูมิภำยนอก 25 เซลเซยี ส สำมำรถรบั นำ้ หนักได้ 5 นวิ ตัน โดยท่ียงั ไม่เพม่ิ ควำม เหนียวของเปลอื กบวั แดง คร้ังที่ 2 อบที่อณุ หภมู ิ 40 องศำเซลเซียส ท่อี ณุ หภมู ิภำยนอก 29 องศำเซลเซียส สำมำรถรบั น้ำหนักได้ 4.5 นวิ ตัน และนำไปชุปแป้งในปริมำณแปง้ 20 กรมั น้ำเปลำ่ 300 มิลลิลิตร และ สำมำรถรับนำ้ หนักไดม้ ำกทีส่ ุด 12 นิวตนั ดังน้นั กลุ่มโครงงำน กำรเพ่ิมควำมเหนยี วของเปลอื กบัวแดง จงึ ได้ ขอ้ สรปุ วำ่ เปลือกบวั แดงมีควำมเหนียวเพม่ิ มำกขึ้นโดยใช้เวลำในกำรอบ 30 นำที จึงทำให้เปลือกบัวแดงมี ควำมแห้งเหมำะสมและปรมิ ำณ และอัตรำส่วนแปง้ เปยี กท่ีสำมำรถทำใหเ้ ปลือกบวั แดงมีควำมเหนยี วมำกขึ้น น้ัน คอื สตู รน้ำในปรมิ ำณ 300 มลิ ลลิ ติ ร แปง้ 20 กรัม สำมำรถทำใหเ้ ปลือกบวั แดงมคี วำมเหนียวมำกท่ีสุด สรปุ ผล กำรทดลองครัง้ ท่ี 1 กลมุ่ โครงงำน กำรศึกษำวธิ เี พม่ิ ควำมเหนยี วใหก้ ับเปลอื กบวั แดง เรำจึงมคี วำมคิดวำ่ จะใช้ เปลือกบัวแดง เพรำะมีมำกและไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์ กลมุ่ โครงงำน กำรศึกษำวธิ ีเพ่ิมควำมเหนยี วใหก้ บั เปลอื กบัว แดงได้เลง็ เห็นถึงควำมสำคญั นนั้ จงึ นำเปลอื กบัวมำทดลอง ผลปรำกฏว่ำ สำมำรถทดลองได้ เพรำะเปลอื กบัว สำมำรถรับน้ำหนกั ได้ 5 นิวตนั และกลุ่มโครงงำน กำรศึกษำวธิ เี พม่ิ ควำมเหนยี วให้กับเปลอื กบัวแดง ไดค้ ดิ วำ่ จะศึกษำเกยี่ วกับกำรทำใหเ้ ปลือกบวั ที่เคยมคี วำมเหนยี วอยใู่ ห้มีควำมเหนยี วมำกกว่ำเดิม กลุ่มโครงงำน กำรศกึ ษำวธิ ีเพม่ิ ควำมเหนียวให้กบั เปลอื กบัวแดง มีควำมสนใจอยำกใหเ้ ปลือกบัวมีควำมเหนย่ี วมำกกว่ำเดิมจึง คิดหำวธิ ีท่ีจะทำให้เปลอื กบัวมีควำมเหนียวโดยทชี่ ว่ ยเพ่ิมควำมเหนยี ว และใหเ้ ส้นใยเหนียวขนึ้ กว่ำเดิม กำรทดลองคร้ังที่ 2 กลุ่มโครงงำน วธิ ีเพมิ่ ควำมเหนยี วให้กับเปลอื กบวั แดง เลือกใช้แป้งมัน เพรำะแป้งมนั ช่วย เพ่มิ ประสทิ ธิภำพควำมเหนยี วของเปลอื กบวั และผลกำรทดลองปรำกฏวำ่ แป้งมนั สำมำรถเพ่ิมควำมเหนียว ให้กับเปลอื กบวั ไดจ้ ริงๆ เพรำะหลังจำกชุบแป้งแล้วเปลือกบวั รบั นำ้ หนักได้ 12 นวิ ตัน แต่เปลือกบวั ที่เรำไดม้ ัน แข็ง กลุม่ โครงงำน กำรศึกษำวธิ เี พ่มิ ควำมเหนียวให้กับเปลือกบัวแดง จึงมีควำมคิดวำ่ ถ้ำเพิม่ น้ำ เปลือกบวั จะ ไมแ่ ขง็ ทำใหแ้ ป้งเจอื จำง แต่ประสิทธภิ ำพในกำรรับน้ำหนักของเปลือกบัว ไม่เปลย่ี นแปลง
เอกสารอา้ งองิ -วิกิพเิ ดยี .( 2558 ) .วงศบ์ ัวสำย .21 มกรำคม ,2559 https://th.wikipedia.org -จิระพงศ์ เกตุคง .(ไม่ปรำกฏ).บัวมหศั จรรยพ์ รรณไมน้ ำ้ ,ไม่ปรำกฏ(ไม่ปรำกฏ),03 -มปป..(2558).บัวสำยสรรพคุณของบัวสำย.21 มกรำคม 2259, frynn.com. http://frynn.com/ https://pattize.wordpress.com https://thipsuda.wordpress.com http://www.tcdc.or.th/
ภำคผนวก รูปที่ 1 นำบัวแดงมำวัดควำมยำว รปู ที่ 2 บัวแดงท่ตี ัดให้มีขนำด 25 เซนตเิ มตร รูปที่ 3 ลอกเปลือกบวั แดงให้มคี วำมกวำ้ ง 1 เซนติเมตร รปู ท่ี 4 นำบวั แดงท่ีลอกเสร็จแลว้ ไปอบท่ี อณุ หภูมิ 30 องศำเซลเซยี ส รูปท่ี 5 วดั อุณหภมู กิ ำรอบได้ 40 องศำเซลเซยี ส รูปท่ี 6 ต้มแปง้ ในอณุ หภูมิ 40 องศำเซลเซยี ส ในเวลำ 2 นำที
รูปท่ี 7 นำเปลือกบัวแดงมำชุบกบั แปง้ เปียกที่ต้มเสรจ็ แลว้ รูปที่ 8 นำบัวแดงท่ีชบุ แปง้ เสร็จแลว้ มำใสถ่ ำดอบ รูปที่ 9 นำบวั แดงทชี่ บุ แป้งแลว้ ไปอบอกี คร้ัง รูปท่ี 10 นำเปลอื กบวั แดงท่ชี บุ แปง้ และอบเสร็จแลว้ มำวัด ภำพกจิ กรรมกำรทำงำน ควำมเหนียวได้ 12 นวิ ตนั
สัญญำท่ี RDG5740040/58-09 รำยงำนวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ โครงงำนยอ่ ยท่ี 4 เร่ือง ชำดอกบวั อำจำรย์ที่ปรกึ ษำโครงงำน นำงสำวแสงเดอื น บกนอ้ ย คณะผวู้ จิ ัย(นักเรียน) นำย อภริ กั ษ์ หลักคำ นำงสำว สุภำพนั ธ์ เพยี แกน่ แกว้ นำงสำว ฮสั วำนี หลักคำ นำงสำว เจนจิรำ นำหลู่ นำงสำว อรวรำ สรำญรมย์ สนับสนุนโดยสำนกั งำนกองทนุ สนบั สนนุ กำรวิจัย(สกว) และ บมจ.ธนำคำรกสิกรไทย ชดุ โครงกำร “เพำะพันธ์ปุ ัญญำ (พัฒนำยุววิจยั )”
กิตตกิ รรมประกาศ ในกำรจัดทำโครงงำนเรือ่ ง ชำดอกบัว ในครงั้ น้ี สำเร็จลลุ ว่ งได้ ตอ้ งขอกรำบขอบพระคณุ นำยชำตชิ ำย สิงหพ์ รหมสำร ผ้อู ำนวยกำรโรงเรียนสมเดจ็ พระญำณสังวร ในพระสังฆรำชปู ถมั ภ์ นำยเชิดชัย สิงห์คิบุตร รองผู้อำนวยกำรโรงเรยี นสมเดจ็ พระญำณสงั วร ในพระสงั ฆรำชปู ถมั ภ์ ในกำรสนบั สนุนและ ส่งเสริมให้นักเรยี นมีกำรพฒั นำทักษะกำรคิด ใหค้ ำช้แี นะและอำนวยควำมสะดวกในกำรทำโครงงำนครงั้ นี้ กรำบขอบพระคุณ คุณครเู ดชมณี เนำวโรจน์ คุณครูแสงเดือน บกน้อย ทีใ่ ห้คำปรึกษำดแู ล แนะนำ และแก้ไขข้อบกพรอ่ งในกำรโครงงำนในทุกๆดำ้ น กรำบขอบพระคณุ ผ้อู ำนวยกำรศูนยห์ ม่อนไหมเฉลมิ พระเกยี รติอบุ ลรำชธำนี ทใ่ี ห้คำแนะนำขน้ั ตอนกำร ทำใบชำจำกใบหม่อน เพ่ือเป็นพนื้ ฐำนมำปรับใชก้ ับกำรทำชำจำกดอกบัวของกลมุ่ ผ้ทู ำโครงงำนครัง้ นี้ กรำบขอบพระคุณคระครูและบคุ ลำกำรทำงกำรศึกษำและ สมำชกิ ในครอบครวั ทค่ี อยช่วยเหลอื ในกำร ทำโครงงำน อีกท้งั เพ่ือนนกั เรียน ทค่ี อยช่วยเหลอื และใหก้ ำลังใจจนกระทั่งโครงงำนสำเร็จ ขอขอบคุณทกุ ทำ่ น ทีม่ ีสว่ นเกย่ี วขอ้ งใหง้ ำนบรรลุตำมวัตถุประสงค์ คณะผ้จู ดั ทา
บทคัดยอ่ คาสาคญั ชำดอกบวั นักเรียนผทู้ าโครงงาน นำย อภริ ักษ์ หลกั คำ นำงสำว สุภำพันธ์ เพียแกน่ แกว้ นำงสำว ฮสั วำนี หลักคำ นำงสำว เจนจิรำ นำหลู่ นำงสำว อรวรำ สรำญรมย์ ครทู ป่ี รึกษา สอนกลมุ่ สำระ โทรศัพท์ อเี มล์ คนที่ ชื่อ-สกลุ 0872463509 [email protected] 1 นำงสำวแสงเดอื น บกน้อย วิทยำศำสตร์ โครงงำนเพำะพนั ธุ์ปัญญำไดท้ ำกำรศกึ ษำเร่อื ง ชำดอกบัว เพ่ือกำรศกึ ษำเปรียบเทียบว่ำดอกบัวชนิด ใดเม่ือนำมำทำชำแล้วได้รับควำมพึงพอใจจำกผู้บริโภคได้ดีกว่ำกัน ในกำรทำชำดอกบัว จะนำส่วนของกลีบ ดอกและเกสรของบัวแดง บัวหลวง บัวผัน ล้ำงให้สะอำด ตำกแดดอ่อนให้แห้ง แล้วนำไปอบในอุณหภูมิ 32 องศำเซลเซียส เป็นเวลำ8นำที จำกน้ันก็นำไปปั่นให้ละเอียดพอสมควรและนำชำดอกบัวที่เรำได้ไปทดลอง กลุ่มบุคคลทดลองรับประทำนโดยใช้แบบสอบถำมในกำรวัดผลว่ำบัวชนิดใดท่ีมีกลิ่นหอมและน่ำรับประทำน มำกท่สี ุดไดผ้ ลสรุปวำ่ บัวหลวงเพรำะมีกล่ินหอมและคนนิยมรบั ประทำนมำกท่ีสดุ
บทนา ดอกบัวเป็นทร่ี ้จู กั ของทุกคนอย่ำงมำก และคนในชุมชนของพวกเรำใชด้ อกบัวมำเป็นวัตถดุ บิ ประกอบ อำหำรและนำมำแปรรปู เปน็ ผลิตภัณฑใ์ นชมุ ชน พวกเรำจึงนำดอกบัว 3 ชนดิ น้ี นำมำศกึ ษำและทดลองกำรทำ ชำจำกดอกบวั จำกกำรสำรวจในชมุ ชนของพวกเรำพบว่ำในชมุ ชนของเรำมีบวั อยู่ 3 ชนิด คือ บัวแดง บัวผนั และบัว หลวง พวกเรำจึงนำดอกบัว 3 ชนิดนน้ี ำมำทดลองแปรรปู ชงเป็นชำพร้อมด่ืมและนำมำเปรียบเทียบว่ำชำจำก บัวชนดิ ใดเปน็ ทพี่ ึงพอใจของผู้บรโิ ภคทสี่ ุด และผบู้ รโิ ภคในชว่ งอำยทุ ่ีแตกต่ำงกันมีควำมพึงพอใจในชำดอกบัว ชนิดเดยี วกนั หรอื ไม่ โดยทำชำดอกบัวที่ทำเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ออกมำแล้ว นำไปทดลองกบั กลุ่มเปำ้ หมำยแล้วใช้ แบบสอบถำมควำมพงึ พอใจ นำขอ้ มูลมำรวบรวมสรปุ ผลวำ่ ชำจำกดอกบวั ชนิดใดได้รบั ควำมพึงพอใจมำกท่ีสดุ ในแตล่ ะช่วงวัย วัตถุประสงค์ บวั ในท้องถิน่ ของเรำมอี ยู่มำกและบวั ทีเ่ รำนำมำทำเป็นน้นั มีอยู่ 3 ชนดิ คือ บัวหลวง บวั แดง และ บวั ผัน ที่เรำทำชำดอกนีเ้ พรำะเรำอยำกทรำบและวจิ ยั ว่ำ คนในชมุ ชนและท้องถน่ิ นยิ มดืม่ ชำชนดิ ไหนมำกที่สดุ ใน 3 ชนดิ น้ี ตัวแปรและสมมตุ ิฐานของโครงงาน สมมตุ ิฐำน บัว เมอื่ นำมำแปรรปู เปน็ ชำแลว้ บัวมกี ลิน่ หอมรสชำตดิ ี ผบู้ ริโภคจะมีควำมพงึ พอใจมำกท่ีสุด ตัวแปรต้น ชำดอกบัว 3 ชนดิ (บัวหลวง บัวผัน บัวแดง) ตวั แปรตำม ควำมพงึ พอใจในกล่มุ ผบู้ ริโภค ตวั แปรควบคมุ ปริมำณดอกบัว อณุ หภูมคิ วำมร้อน ผู้บรโิ ภค วิธีกำรทำชำ บวั แดง เปรียบเทยี บความพงึ พอใจในกลมุ่ เป้ าหมาย บวั หลวง ตากให้แห้งหรืออบ การทาชา บวั ผนั ผังเหตุ-ผล หรือตัวแปรตน้ (เหต)ุ ตัวแปรตาม(ผล)ของโครงงานวจิ ัยน้ี
แนวคิดและทฤษฏีทเ่ี กย่ี วข้อง ชื่อวิทยาศาสตร:์ Nelumbo nucifera ชอ่ื วงศ:์ NYMPHACACEAE ชอื่ สามัญ: Lotus, Sacred lotus, Egyptian ชอื่ พน้ื เมือง: บุณฑริก ปณุ ฑริก ปทมุ ปัทมำ โกกระณต สัตตบษุ ย์ บัวฉตั รขำว สตั ตบงกช บัวฉตั ร ชมพู โช้ค บัวอุบล ลกั ษณะทั่วไป: ต้น ไมโ้ ผลเ่ หนอื นำ้ อำยุหลำยปี ลำตน้ มที ง้ั ทเี่ ปน็ เหง้ำใตด้ ิน และเปน็ ไหลเหนือดิน ใต้น้ำ ใบ ใบเดยี่ ว เรยี งสลบั ใบรูปไขค่ ่อนชำ้ งกลม ขนำด 15-40 เซนตเิ มตร ขอบใบเรียบและเปน็ คลืน่ เล็กน้อย แผ่นใบเรียบ สีเขยี วและมีนวลเคลือบ กำ้ นใบกลมเรยี วแข็งส่งใบใหเ้ จรญิ ทผี่ วิ น้ำหรือเหนือน้ำ มีหนำมเปน็ ตุ่ม เล็กๆ ภำยในกำ้ นใบมนี ้ำยำงใสเมือ่ ถูกอำกำศเปน็ สีคล้ำ ดอก สชี มพู ขำว มีกลิ่นหอม ออกเปน็ ดอกเด่ยี วขนำดใหญ่ กำ้ นดอกสเี ชียว อวบกลมสง่ ดอกชขู นึ้ เหนือ นำ้ กลีบเลย้ี ง 4-5 กลบี มีทั้งกลีบดอกชัน้ เดียวและกลบี ดอกซ้อนกนั มเี กสรตัวผู้จำนวนมำกตดิ อยูร่ อบ ฐำนรองดอกที่บวมขยำยใหญ่ หุ้มรังไข่ไวภ้ ำยในเรยี กว่ำ \"ฝักบัว\" ดอกบำนเต็มที่กว้ำง 20-25 เซนติเมตร บวั หลวงมีหลำยพันธมุ์ ีชอื่ เรยี กต่ำงกันไปตำมขนำดและลักษณะชองดอกคอื ดอกเล็กสขี ำว เรยี ก บัวปักก่ิงขำว บวั หลวงจนี ขำว บัวเขม็ ขำว ดอกเล็กสชี มพู เรียก บัวปักก่ิงชมพู บวั หลวงจนี ชมพู บวั เข็มชมพู ดอกสีขำว เรยี ก บณุ ฑริก ปุณฑริก ดอกสีชมพู เรียก ปทมุ ปทั มำ โกกระณต ดอกสน้ั ป้อมสขี ำวกลีบซ้อน เรียก บัวสตั ตบษุ ย์ บัวฉตั รขำว ดอกสนั้ ป้อมสีชมพกู ลบี ซ้อน เรียก บัวสตั ตบงกช บัวฉตั รสชี มพู ฝกั /ผล ผลแหง้ เเบบผลกล่มุ ประกอบด้วยผลยอ่ ยรปู กลมรจี ำนวนมำกอยู่ภำยในฝักบวั รูปกรวย ในผลยอ่ ย มีเมลด็ ขนำดประมำณ 1 เซนติเมตร เมลด็ ลอ่ น ฤดูกาลออกดอก: ตลอดปี การปลกู : ปลูกประดบั สระน้ำหรอื ปลูกในกระถำงทรงสูง การขยายพันธ์ุ: ไหล หรอื โดยกำรแยกกอ สว่ นที่มีกลน่ิ หอม: ดอก การใช้ประโยชน:์ - ไมป้ ระดบั - กำ้ นใบและก้ำนดอก ทำกระดำษ และเสน้ ใยใช้ทำไส้ตะเกียง - บชู ำพระ - เปลือกเมล็ดบวั แห้ง และฝกั แก่ทำปุ๋ย - เครอ่ื งสำอำง - สมนุ ไพร - บรโิ ภค
แหลง่ ท่ีพบ: พบทัว่ ไปทุกภำค สว่ นท่ใี ชบ้ ริโภค: เม็ดบัว รำกบวั ไหลบวั สำยบวั ใบออ่ น การปรงุ อาหาร : - เม็ดบัว สำมำรถนำมำกนิ ไดท้ ้ังสดและแห้ง เม็ดบัวมีปริมำณสำรอำหำรท่สี ำคัญ คือ โปรตนี ประมำณ 23 % ซ่งึ สูงกวำ่ ขำ้ วถึง 3 เทำ่ และเป็นแหลง่ รวมธำตุ อำหำรหลำยชนิดดว้ ยกัน เม็ดบัวนำมำประกอบอำหำร ได้ทง้ั คำวหวำน เช่น สงั ขยำ เม็ดบวั ขนมหม้อแกงเม็ดบัว เมด็ บัวเชอ่ื ม สำคูเม็ดบัว เปน็ ตน้ - รากบัว นิยมนำมำเชือ่ มแห้งกนิ เป็นของหวำน - ไหลบัว สำมำรถนำมำประกอบอำหำรได้ทงั้ สด ทัง้ แหง้ โดยมำกจะนำมำแกงส้ม แกงเลยี ง ผดั เผด็ ตำ่ งๆ - สายบัว สำมำรถปรงุ อำหำรแทนผักได้หลำยชนดิ ทั้งแกงส้มสำยบัว แกงสำยบวั กับปลำทู ฯลฯ - ใบอ่อน สำมำรถนำมำกินเปน็ ผักสดแกลม้ น้ำพริก สรรพคุณทางยา : - รากบวั นำไปต้มกบั น้ำตำลกรวด แกร้ ้อนใน ชำวอนิ เดยี จะให้เดก็ ดื่มนำ้ รำกบัว เพ่อื ระงบั อำกำร ทอ้ งรว่ ง - สายบัว กินเพ่ือแก้อำกำรทอ้ งร่วง - ใบบวั นำมำหน่ั ฝอย ๆ ชงดม่ื แทนน้ำชำ ช่วยแกร้ อ้ นในกระหำยนำ้ ไดเ้ ป็นอย่ำงดี - เกสรบัว สว่ นของเกสรสเี หลอื ง สำมำรถใชเ้ ขำ้ เคร่ืองยำท้งั ไทยและจนี โดยเฉพำะยำลม ยำหอม ยำ บำรงุ หัวใจ และยำขับปัสสำวะ - ดบี วั เป็นส่วนของตน้ ออ่ นทอี่ ยภู่ ำยในเมด็ บัว มรี สขมจดั สำมำรถนำมำเป็นส่วนผสมของยำโบรำณ มี ฤทธ์ิขยำยหลอดเลอื ดท่ีไปเลยี้ งกลำ้ มเนื้อหวั ใจได้ ความมงคล : บวั หลวง นับว่ำเป็นสญั ลักษณแ์ หง่ ควำมดงี ำมในทำงพระพุทธศำสนำ ซึง่ นบั ต้งั แต่อดีตจนถงึ ปัจจุบนั คนไทยก็ยัง นิยมนำดอกบวั หลวงมำใชบ้ ชู ำพระ ยำกทจี่ ะหำไมด้ อกชนดิ อนื่ มำทดแทนได้ ซึง่ บวั ทนี่ ยิ มนำมำไหว้พระกไ็ ด้แก่ บวั หลวง บัวหลวง นอกจำกดอกที่มีคุณค่ำแล้ว สว่ นอ่ืนๆของบวั หลวงก็มีคณุ คำ่ ไมแ่ พ้ดอก ซึ่งแต่ละสว่ นก็ลว้ น แล้วแตม่ ีประโยชนท์ ั้งส้นิ การปลกู พื้นทปี่ ลูกบวั หลวงควรเปน็ พ้นื ท่รี ำบลุม่ พ้นื ที่มคี วำมสูงต่ำสมำ่ เสมอ และใกล้แหลง่ นำ้ ลกั ษณะของดนิ ควรเปน็ ดินร่วนหรือดินเหนยี ว หนำ้ ดนิ เป็นโคลนตมไมห่ นำมำก สำหรบั ดินรว่ นปนทรำยจะให้ผลผลิตของดอกน้อย ใบ จะมำกกวำ่ การเตรียมแปลง – กำรเตรยี มแปลงปลูกบัวหลวงจะมลี ักษณะคล้ำยกับกำรทำนำ แตจ่ ะขุดแปลงลกึ กวำ่ ประมำณ 1-1.5 เมตร เพ่ือให้กักเกบ็ นำ้ สูง 0.5-1 เมตร – หำกเปน็ แปลงเก่ำหรือบ่อเกำ่ ให้สบู นำ้ ออกใหห้ มด พร้อมไถ และปรบั พ้นื ท่ีใหเ้ รยี บ และกำจัดวชั พชื – หวำ่ นปนู ขำว เพื่อฆำ่ เชือ้ และปรับสภำพดนิ พร้อมตำกแดดบอ่ ประมำณ 1-2 อำทิตย์ – ทำกำรหวำ่ นปยุ๋ สตู ร 12-12-24 อัตรำ 30 กก./ไร่ รว่ มกบั ปยุ๋ คอก 200 กก./ไร่ พร้อมทำกำรไถ และปรับ หนำ้ ดนิ อีกครั้ง
ข้ันตอนการปลูก กำรปลกู จะใช้วิธีกำรแยกเหง้ำบวั หรือรำกบัวออกปลูก โดยเหงำ้ ที่ใช้ จะยำวประมำณ 2-3 ขอ้ และมี ตำเหง้ำ 2-3 ตำ ซ่ึงหลังปลกู ตน้ บัวใหมจ่ ะงอกขึ้นตำมตำบรเิ วณขอ้ บวั แบ่งเป็น 2 วิธี คอื 1. กำรปลกู ในแปลงดินแห้ง มกั ใชส้ ำหรับแปลงใหม่หรือต้องกำรปลูกในลกั ษณะของดินแห้งหลงั จำกกำรเตรยี มบ่อ กำรปลูกในแปลง ลักษณะนจ้ี ะใช้วิธีกำรขุดหลุมด้วยเสยี มหรือจอบลึกประมำณ 15-20 ซม. พรอ้ มฝงั เหงำ้ บัว โดยใหเ้ หลอื สว่ นที่ เป็นตำบัวเหนอื ผวิ ดนิ ประมำณ 1-2 ข้อ หลงั จำกนนั้ จงึ ทำกำรปลอ่ ยนำ้ เข้ำแปลง 2. กำรปลูกในแปลงดนิ โคลน เปน็ วธิ ีกำรท่นี ยิ มปลูกเน่ืองจำกง่ำย และสะดวกกวำ่ วธิ แี รก ด้วยกำรปลอ่ ยน้ำเข้ำแปลงเพียงเลก็ นอ้ ย หรอื สูง กว่ำผิวดิน 3-5 ซม. เพ่ือใหด้ นิ เปน็ โคลนตม หลังจำกนั้นจะใหเ้ หงำ้ บัวเสียมลงแปลง โดยให้เหลอื สว่ นเหนอื ผวิ ดินประมำณ 1-2 ข้อ เม่ือปลูกเสรจ็ จึงทำกำรปล่อยนำ้ ให้ท่วมแปลง การดแู ล 1. กำรปลอ่ ยนำ้ จะปลอ่ ยน้ำหลังปลูกเสรจ็ ให้ทว่ มแปลงในระดับสูงกว่ำปลำยเหง้ำบัวเพียงเลก็ น้อย เม่อื ตน้ อ่อนบัวเรมิ งอก และตั้งตวั ไดแ้ ลว้ จึงทำกำรปล่อยนำ้ เข้ำแปลงอีกครง้ั 2. กำรใส่ปยุ๋ จะทำกำรใสป่ ุย๋ ครั้งแรกเม่ือเห็นต้นอ่อนของบวั งอกแล้วประมำณ 1-2 อำทติ ย์ โดยใชส้ ตู ร 16-16-8 และอีกครั้งในระยะก่อนบวั ออกดอกในสตู ร 12-12-24 ท้ังสองครง้ั ใสป่ ระมำณ 30 กก./ไร่ นอกจำกน้ี ในระยะแรกอำจใส่ปยุ๋ มลู สัตว์รว่ มดว้ ยในอตั รำ 100 กก./ไร่ ไม่ควรใสป่ ุ๋ยชนิดน้ีมำกเพรำะทำใหน้ ้ำเน่ำเสยี ได้ การเก็บผลผลติ ผลผลิตท่ีได้จำกกำรปลกู บวั หลวงแบ่งได้เปน็ หลำยสว่ น คือ 1. ดอก ถือเป็นผลผลติ หลักของกำรปลูกบัวหลวง เนอ่ื งจำกมีควำมต้องกำรทำงตลำดมำกทีส่ ุด กำรเก็บดอก สำมำรถเก็บได้ตลอดอำยุของบวั ด้วยกำรตัดกำ้ นดอกยำว 30-40 ซม. 2. ใบ เปน็ ผลพลอยไดจ้ ำกกำรปลกู บวั นิยมตัดใบอ่อนนำมำใช้ในกำรห่อข้ำวของ หรือพิธกี รรมต่ำงๆ เช่น งำนบวช 3. ฝกั บวั ถอื เป็นผลผลติ ท่ีมีกำรจำหนำ่ ยในทอ้ งตลำดชนิดหนึ่งที่นยิ มกนั มำก เน่ืองจำกสำมำรถรบั ประทำน สดได้ หรอื นำมำทำของหวำน ในรปู ของเมล็ดบวั เชอื่ ม กำรเก็บฝักบัวจะเกบ็ ในระยะฝักแก่ 4. เหงำ้ บวั หรือรำกบัว นยิ มนำมำทำรำกบัวเช่ือม หรือนำมำปรุงเปน็ อำหำร กำรเกบ็ รำกบวั จะเก็บ เม่อื ต้นบัวมีปริมำณถมี่ ำกเกนิ ไป
อุปกรณ์และวิธกี ารทดลอง อปุ กรณ์ 1. ดอกบัวหลวง ดอกบัวผนั ดอกบวั แดง ชนิดละ 1 กิโลกรัม 2. กระดง้ สำหรับใช้ตำก 3. เตำอบ 4. เครอื่ งปั่น 5. กรรไกร คัตเตอร์ 6. ซองบรรจชุ ำ 7. ถงุ พลำสติก 8. สติกเกอร์ 9. เขม็ และด้ำย 10. เครอ่ื งเย็บพลำสตกิ วธิ กี ารทา 1. นำดอกบัวหลวง ดอกบวั ผนั และดอกบวั แดง มำลำ้ งใหส้ ะอำด แกะกลบี ทีแ่ ก่เกินไปท้งิ 2. นำไปวำงในกระด้งแลว้ นำไปตำกแดดใหแ้ ห้งเป็นเวลำ 3 วัน (ตอ้ งไม่ตำกท่แี ดดจัดเกนิ ไปเพรำะจะทำให้ บัวไม่หอม) 3. นำดอกบวั ไปอบที่อณุ หภูมิ 32 องศำเซลเซยี ส เพ่อื กำจดั ควำมชื้นให้ดอกบัวแห้งท่ีสดุ ไมเ่ กดิ เชื้อรำ 4 .นำไปป่ัน 5. นำไปบรรจุถุงชำ โดยบรรจถุ ุงละ 1.50 กรัม เยบ็ ด้ำยเป็นสำยผกู เพ่ือจบั เวลำนำไปชงติดสตกิ เกอร์ท่ี ปลำยเชอื กเพอ่ื ควำมสะดวกในกำรจับ 6. บรรจุถุงชำในซองพลำสติกเล็กที่มเี ทปกำวปดิ เพื่อป้องกนั ควำมช้นื 7. บรรจถุ งุ ชำในซองพลำสติกใส ซองละ 3 ถงุ ใส่ฉลำกระบชุ นิดของผลติ ภัณฑ์ 8. เย็บพลำสติกดว้ ยเครื่องเยบ็ รอ้ น
ผลการวิจัย เมื่อไดผ้ ลิตภณั ฑ์ชำจำกดอกบัวทัง้ สำมชนิดแล้ว ได้นำไปใช้กับกล่มุ ทดลองในชว่ งอำยุ วัย อำชพี ที่ หลำกหลำย ท้ังในและนอกโรงเรยี น แล้วให้กลุ่มทดลองทำแบบประเมินควำมพึงพอใจ ใหข้ อ้ เสนอแนะมำ สรปุ ผลและพฒั นำปรบั ปรงุ ให้ดขี ้ึน โดยกลุม่ ของพวกเรำได้ทำกำรสำรวจพฤตกิ รรมและควำมพึงพอใจในกำร บริโภคชำจำกดอกบวั ท้ังสนิ้ 70 ชดุ จำกนนั้ ไดส้ รุปผลคดิ เปน็ เปอรเ์ ซ็นต์ สรปุ ผลไดด้ งั ตำรำง ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผูต้ อบแบบสอบถำม ขอ้ ท่ี หัวขอ้ ตวั เลือก จำนวน ร้อยละ 1 เพศ ชำย หญงิ 29 41.43 2 อำยุ ตำ่ กวำ่ 15 ปี 41 58.57 15 - 20 ปี 27 38.57 3 อำชพี 21 - 30 ปี 22 31.43 31 - 40 ปี 3 4.29 มำกกวำ่ 40 ปี 7 10.00 ครู 11 15.71 นกั เรียน 15 21.43 ผปู้ กครอง 50 71.43 พฤติกรรมในกำร เคย ดม่ื ชำ 5 7.14 ไมเ่ คย ถ้ำทำ่ นซ้ือจะซอ้ื รำคำซองละ 5 บำท 50 71.43 10 บำท 20 28.57 15 บำท 33 47.14 27 38.57 10 14.29
ตอนที่ 2 ความพึงพอใจในการบรโิ ภคชาดอกบัว ชนดิ ของบวั รำยกำรประเมิน ตวั เลือก จำนวน ร้อยละ บัวหลวง กลนิ่ หอมจำกชำ มำกทส่ี ดุ 24 34.29 จำกบวั หลวง มำก 23 32.85 ควำมหวำนของชำ จำกบัวหลวง ปำนกลำง 17 24.29 น้อย 6 8.57 ควำมเข้มขน้ ของชำ น้อยท่สี ดุ 00 จำกบวั หลวง มำกทสี่ ดุ 8 11.43 มำก 14 20 สีของชำจำกบัวหลวง ปำนกลำง 20 28.57 รำคำทีป่ ระสงคจ์ ะซื้อต่อ 1 ซอง น้อย 22 31.43 นอ้ ยทส่ี ุด 6 8.57 มำกทส่ี ุด 10 14.29 มำก 27 38.57 ปำนกลำง 26 37.14 นอ้ ย 6 8.57 นอ้ ยท่สี ดุ 1 1.43 มำกทสี่ ดุ 20 28.57 มำก 30 42.86 ปำนกลำง 18 25.71 น้อย 2 2.86 น้อยทส่ี ดุ 00 5 บำท 33 47.14 10 บำท 27 38.57 15 บำท 10 14.29
ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจในการบริโภคชาดอกบวั ชนดิ ของบัว รำยกำรประเมนิ ตวั เลือก จำนวน ร้อยละ บัวผัน กล่นิ หอมจำกชำ มำกทีส่ ุด 14 20.00 จำกบวั ผัน มำก 14 20.00 ควำมหวำนของชำ จำกบวั ผัน ปำนกลำง 21 30.00 นอ้ ย 16 22.86 ควำมเขม้ ขน้ ของชำ น้อยทีส่ ุด 5 7.14 จำกบวั ผัน มำกทสี่ ุด 6 8.57 มำก 17 24.29 สีของชำจำกบวั ผัน ปำนกลำง 24 34.28 รำคำท่ปี ระสงคจ์ ะซ้อื ต่อ 1 ซอง นอ้ ย 17 24.29 นอ้ ยทส่ี ุด 6 8.57 มำกทส่ี ดุ 9 12.86 มำก 20 28.57 ปำนกลำง 32 45.71 นอ้ ย 7 10.00 นอ้ ยทส่ี ุด 2 2.86 มำกที่สุด 12 17.14 มำก 27 38.57 ปำนกลำง 21 30.00 น้อย 9 12.86 น้อยท่สี ุด 1 1.43 5 บำท 33 47.14 10 บำท 27 38.57 15 บำท 10 14.29
ตอนที่ 2 ความพึงพอใจในการบรโิ ภคชาดอกบวั ชนดิ ของบัว รำยกำรประเมิน ตัวเลอื ก จำนวน รอ้ ยละ บวั แดง กล่ินหอมจำกชำ มำกที่สดุ 15 21.43 จำกบวั แดง มำก 20 28.57 ควำมหวำนของชำ จำกบัวแดง ปำนกลำง 22 31.43 นอ้ ย 12 17.14 ควำมเขม้ ขน้ ของชำ นอ้ ยท่ีสดุ 1 1.43 จำกบัวแดง มำกท่ีสดุ 4 5.71 มำก 19 27.14 สขี องชำจำกบวั แดง ปำนกลำง 21 30.00 รำคำที่ประสงคจ์ ะซ้อื ต่อ 1 ซอง นอ้ ย 17 24.29 นอ้ ยทีส่ ดุ 9 12.86 มำกที่สดุ 11 15.71 มำก 31 44.29 ปำนกลำง 17 24.29 นอ้ ย 8 11.43 นอ้ ยที่สุด 3 4.28 มำกที่สุด 14 20.00 มำก 34 48.57 ปำนกลำง 12 17.14 นอ้ ย 6 8.57 น้อยที่สุด 4 5.72 5 บำท 33 47.14 10 บำท 27 38.57 15 บำท 10 14.29
นาผลที่อยูใ่ นเกณฑ์มากทีส่ ุดของแต่ละหวั ขอ้ ประเมนิ มาเปรียบเทียบบัวท้ัง 3 ชนดิ ไดผ้ ลดงั ตาราง รายการประเมนิ ค่าร้อยละความพึงพอใจท่ีอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ กล่ินหอมของชำ บวั หลวง บวั ผนั บัวแดง ควำมหวำนของชำ ควำมเขม้ ขน้ ของชำ 34.29 20.00 21.43 สขี องชำ รวม 11.43 8.57 5.71 ร้อยละในภำพรวม 14.29 12.86 15.71 28.57 17.14 20.00 88.57 58.57 62.85 42.18 27.89 29.93 40 35 30 25 20 ชาดอกบวั หลวง 15 ชาดอกบวั ผนั 10 ชาดอกบวั แดง 5 0 แผนภมู ิเปรยี บเทยี บความพึงพอใจในการบริโภคชาจากดอกบัว 3 ชนดิ
แผนภมู คิ วามพึงพอใจในการบริโภคชาดอกบวั ร้ อยละ 45 40 35 30 25 20 ร้อยละ 15 10 5 0 ชาดอกบวั ผนั ชาดอกบวั แดง ชาดอกบวั หลวง อภปิ รายผล ในกำรทำชำจำกดอกบัวหลวง ดอกบัวผนั ดอกบัวแดง ไดน้ ำไปใช้กับกลุ่มทดลองจำนวน 70 คน เพื่อทำกำรประเมินระดบั ควำมพึงพอใจในกำรบรโิ ภคน้ำชำ ส่วนที่หนึง่ เป้ฯขอ้ มูลพื้นฐำนของผู้บรโิ ภคพบว่ำ เปน็ เพศชำยร้อยละ 41.43 เพศหญงิ รอ้ ยละ 58.57 อำยตุ ำ่ วำ่ 15 ปี ร้อยละ 38.57 อำยุ 15-20 ปี ร้อยละ 31.43 อำยุ 21- 30 ปรี ้อยละ 4.29 อำยุ 31-40 ปีร้อยละ 10 อำยุมำกกว่ำ 40 ปรี อ้ ยละ 11 อำชพี ครรู ้อยบะ 21.43 นกั เรยี น รอ้ ยละ 71.43 ผู้ปกครอง รอ้ ยละ 7.14 เป็นผเู้ คยบรโิ ภคชำรอ้ ยละ 71.43 และไมเ่ คยบริโภคชำร้อยละ 28.57 ส่วนทีส่ องเป็นกำรประเมินควำมพงึ พอใจในกำรบริโภคชำท้งั 3 ชนดิ นำเกณฑ์ประเมินในระดับมำกที่สดุ ของแตล่ ะรำยกำรประเมินมำวิเครำะห์ข้อมูลพบวำ่ กลน่ิ หอมของชำ บัวหลวงร้อยละ 34.29 บวั ผนั รอ้ ยละ 20 บวั แดงร้อยละ 21.43 ควำมหวำนของชำ บวั หลวงร้อยละ 11.43 บัวผันรอ้ ยละ 8.57 บัวแดงรอ้ ยละ 5.71 ควำมเข้มขน้ ของชำบัวหลวงร้อยละ 14.29 บัวผันรอ้ ยละ 12.86 บวั แดงรอ้ ยละ 15.71 สขี องชำบวั หลวงรอ้ ยละ 28.57 บวั ผันรอ้ ยละ 17.14 บัวแดงรอ้ ยละ 20 สรปุ ผล ในกำรทำโครงงำนวจิ ัยเรื่อง ชำดอกบวั พวกเรำไดท้ ำชำจำกบวั 3 ชนดิ ทีพ่ บในท้องถ่นิ คือ บวั หลวง บวั ผนั บวั แดง เมอ่ื ได้ผลิตภัณฑช์ ำดอกบัวทั้ง 3 ชนิดแล้ว ได้ทำไปให้กลุ่มทดลองจำนวน 70 คน ทงั้ เพศหญงิ และเพศชำย พบวำ่ ผตู้ อบแบบประเมินเป็นเพศหญิงมำกกวำ่ เพศชำย อำยุไมเ่ กิน 15 ปีมำก ทส่ี ดุ และเป็นนักเรียน ผู้บริโภคมำกกวำ่ 70% เปน็ ผ้เู คยดืม่ ชำ และจำกผลทำแบบประเมินควำมพึงพอใจ ในด้ำนตำ่ งๆ คือ กลิน่ หอมของชำ ควำมหวำนของชำ ควำมเข้มข้นของชำ และ สขี องชำ พบวำ่ ชำจำก ดอกบัวหลวงมรี ะดับควำมพงึ พอใจสงู สุดคอื ร้อยละ 42.18 รองลงมำคือชำจำกบัวแดงรอ้ ยละ 29.93 และ สุดทำ้ ยคือชำจำกดอกบัวผันรอ้ ยละ 27.89 เอกสารอา้ งอิง
กอ่ งกำนดำ ชยำมฤต และลีนำ ผ้พู ฒั นพงศ.์ สมุนไพรไทย ตอนที่ 7. กรุงเทพมหำนคร: สำนักพิมพ์ประชำชน, 2545. ไทยเกษตรศำสตร์. “บวั หลวง“. [ออนไลน]์ . สืบค้นเม่อื 20 พฤศจกิ ำยน 2558 จำกเวบ็ ไซต์ http://www.thaikasetsart.com. นันทวนั บุณยะประภศั ร และคณะ. สมนุ ไพรไมพ้ น้ื บ้าน (1). กรงุ เทพมหำนคร: สำนกั พิมพป์ ระชำชน, 2539. _________. สมนุ ไพรไมพ้ นื้ บ้าน (2). กรงุ เทพมหำนคร: สำนกั พิมพป์ ระชำชน, 2541. _________. สมุนไพรไมพ้ นื้ บา้ น (3). กรุงเทพมหำนคร: สำนกั พิมพป์ ระชำชน, 2542. นพมำศ สุนทรเจริญนนท์ และนงลักษณ์ เรอื งวิเศษ. 2551. วิเคราะหว์ ิจยั คณุ ภาพเคร่ืองยาไทย. กรุงเทพมหำนคร: คอนเซ็พท์ เมดิคัสจำกดั , 2551. ไพรวรรณ ขันธจร. สีย้อมกก. [ออนไลน]์ . สืบค้นวนั ที่ 13 มกรำคม 2559 จำกเวบ็ ไซต์ http://www.pks2000.com/Products/Pro-Kok.html ภัทรำพร ตัง้ สุขฤทยั . 2549. มหศั จรรย์แห่งบวั . วำรสำรหมออนำมัยปีที่ 15 ฉบับที่ 5 หน้ำ 66-70. : กรงุ เทพมหำนคร, 2542. ภูมใิ จไทย.(2553). บัวไทย.(1). สำนกั พิมพ์ปลำตะเพียน:กรุงเทพมหำนคร ลัดดำวัลย์ บุญรตั นกรกิจ. บวั หลวงสมุนไพรนา่ ใช้ เลม่ 1. พมิ พ์ดีกำรพิมพ์: กรุงเทพมหำนคร, 2541. วันดี กฤษณพันธ.์ สมนุ ไพรน่ารู้. กรุงเทพมหำนคร: สำนกั พิมพแ์ หง่ จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลัย, 2551. วิพธุ โยคะ รัตนรงั ษี, สวุ ัตร์ ต้งั เจริญ และปริญญำ อุทศิ ชลำนนท.์ เพชรน้าเอก: กรยุ อดตารับยา สมนุ ไพร. กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยำศำสน์, 2541. สำนักงำนโครงกำรอนุรกั ษ์พันธกุ รรมพืชอันเน่ืองมำจำกพระรำชดำริ สมเด็จพระเทพรตั นรำชสุดำฯ สยำมบรม รำชกมุ ำร.ี “บัวหลวง“. [ออนไลน์]. สบื คน้ เมอ่ื 20 พฤศจิกำยน 2558 จำกเวบ็ ไซต์ http://www.rspg.or.th. หจก. ภตู ะวัน ปริน๊ ติง้ .บัว มหัศจรรย์ พรรณไมน้ า้ . พมิ พ์ที่ หจก. เอ็น.พ.ี พ.ี คลำสสิคฟอร์ม :ปทมุ ธำนี
ภาคผนวก
สัญญำที่ RDG5740040/58-09 รำยงำนวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ โครงงำนยอ่ ยท่ี 5 เรอ่ื ง ใบบวั กับกำรไล่ยงุ อำจำรย์ทปี่ รกึ ษำโครงงำน นำยเดชมณี เนำวโรจน์ คณะผู้วจิ ัย(นักเรยี น) นำงสำวสุพรรณกิ ำ สมจิตร นำงสำวอนั ธยิ ำ ทองเจยี ว นำงสำวผกำวดี ก่องดวง นำยธรำธร กลมเกลยี ว สนบั สนุนโดยสำนกั งำนกองทนุ สนับสนนุ กำรวจิ ัย(สกว) และ บมจ.ธนำคำรกสกิ รไทย ชุดโครงกำร “เพำะพันธ์ปุ ัญญำ (พัฒนำยวุ วิจยั )”
กิตติกรรมประกาศ โครงงำนเร่ือง ใบบัวกับกำรไล่ยุ่ง สำเร็จลุล่วงได้ด้วยควำมกรุณรำของอำจำรย์ที่ปรึกษำโครงงำน ได้แก่อำจำรย์ สำคร ทองเทพ อำจำรย์ เดชมณี เนำวโรจน์ และอำจำรย์ในแผนกวิชำวิทยำศำสตร์ ที่ได้ให้ คำปรกึ ษำ แนะนำ ชแ้ี นะในกำรศกึ ษำค้นคว้ำ แนะนำขั้นตอนและวิธจี ดั ทำโครงงำนจนสำเรจ็ ลุล่วงด้วยดี คณะ ผ้จู ัดทำจึงขอกรำบขอบพระคณุ เปน็ อยำ่ งสงู ไว้ ณ โอกำสน้ี ขอกรำบขอบพระคุณ นำงสำวเกษร ก่องดวง ที่ให้ควำมอนุเครำะห์ด้ำน อุปกรณ์ตลอดจนได้ให้ คำปรกึ ษำแนะนำกำรจัดทำโครงงำนจนประสบผลสำเรจ็ ขอกรำบขอบพระคุณ บิดำ มำรดำ ที่ให้กำลังใจในกำรศึกษำเล่ำเรียนและสมำชิกในกลุ่ม ท่ีให้ควำม ร่วมมือเปน็ อยำ่ งดี ในกำรทำโครงงำนครง้ั นี้ จนกระท่ังประสบควำมสำเร็จด้วยดี
บทคัดย่อ เนื่องจำกในชุมชนของพวกเรำมีบัวหลวงมำก เรำจึงทำโครงงำนวิจัยเกี่ยวกับบัวหลวง ซ่ึงมีประโยชน์มำก เช่น ใบบัวหลวงท่ีมีคุณสมบัติในกำรไล่ยุงได้ ประกอบกับชุมชนของพวกเรำน้ันมียุงมำก และคนเป็นโรค ไข้เลือดออกเยอะมำก เรำจึงทำกำรวิจัยเร่ือง ใบบัวกับกำรไล่ยุง ซึ่งพวกเรำอยำกทรำบว่ำ บัวผันและบัวสำย นัน้ สำมำรถไล่ยุงไดเ้ หมอื นบัวหลวงหรอื ไม่ จำกกำรทดลองพวกเรำสังเกตกำรเปรียบเทียบประสิทธิภำพในกำรไล่ยุงของใบบัวหลวง ใบบัวผัน และใบ บัวสำย พบว่ำใบบัวหลวงสำมำรถไล่ยุงได้ดีที่สุด ใบบัวท้ัง 3 ชนิดสำมำรถไล่ยุงได้ แต่จะไล่ได้สูงสุดในช่วง 60 นำที
บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของโครงงำน ยุงลำยบ้ำนพบบ่อยเป็นประจำในเขตเมืองมีขนำดเล็กบินเร็วยุงชนิดน้ีอยู่ในภำชนะที่มีน้ำขัง ชอบ กินเลือดคนมำกกว่ำเลือดสัตว์ โดยเฉพำะบริเวณท่ีขำและแขนขณะท่ีกัดมักไม่ค่อยรู้สึกเจ็บและยุง Ae aegypti กัดทั้งในบ้ำนและนอกบ้ำนและเกำะพักตำมมุมมืด Ae aegypti grktry เพำะพันธุ์ในภำชนะที่มีน้ำ ขัง อุปนิสัยคล้ำยกับ Ae aegypti แต่มีควำมว่องไวน้อยกว่ำโรคที่พบจำกยุงลำย คือโรคไข้เลือดออกมี กระบวนกำรกำจดั ยงุ ลำยหลำยวธิ ี แต่วิธีกำจัดทีท่ ำให้มนุษยป์ ลอดภัยมำกท่สี ุดวธิ หี น่งึ คือ ใชพ้ ชื ในท้องถน่ิ บัว เป็นพืชท่ีคนไทยคุ้นเคยรู้จักดีในทำงควำมเชื่อศำสนำเพรำะใช้ในพิธีกรรมต่ำง ๆ นอกจำกน้ีบัว ยังมีประโยชน์มำกมำยหลำกหลำยอย่ำง แต่คนไทยยังไม่ได้นำมำใช้ประโยชน์อะไรมำกมำย คนจำนวนมำกจึง มองข้ำมหรือรู้สึกว่ำบัวเป็นพืชธรรมดำๆไม่มีอะไรพิเศษแต่ถ้ำลองทบทวนหวนคิดถึงภูมิปัญญำของบรรพบุรุษ เรำก็จะพบควำมแปลกใจท่ีคนรุ่นก่อนช่ำงสรรหำพืชชนิดน้ีมำเป็นสมุนไพรประจำครัวไทย นอกจำกนี้ในชุมชน รอบๆ ซ่ึงเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสมเด็จพระญำณสังวร ในพระสังฆรำชูปถัมภ์ มีบัวชนิดต่ำง ๆ เกิดข้ึนมำกมำย ตำมแหลง่ นำ้ ธรรมชำติ มีกำรเก็บฝกั บัวมำขำย แตย่ งั ไม่ได้ทำเปน็ อำชีพหลกั บัวหลวงเปน็ พืชชนดิ หน่ึงที่มีในท้องถิ่น ออกดอกเป็นดอกเด่ียว มีสีขำว สีชมพู ดอกมีกลิ่นหอมดอก มีกลีบเล้ียง 4-5 กลีบ กลีบเล้ียงมีขนำดเล็กและสีขำวอมเขียวหรือเป็นสีเทำอมชมพู ร่วงได้ง่ำย ส่วนกลีบดอก จะมีจำนวนมำกและเรียงซ้อนกันอยู่หลำยช้ันลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่ โดยจะออกดอกและผลในช่วง เดอื นสิงหำถึงเดือนธันวำคมจำกกำรสำรวจข้อมูลประโยชน์ของใบบัวหลวงแก่พบว่ำสำมำรถเป็นส่วนประกอบ ของยำจดุ กนั ยงุ สำมำรถไล่ยุงได้ (http://frynn.com) ดงั นัน้ กลมุ่ ของขำ้ พเจ้ำ จงึ มคี วำมสนใจทจี่ ะศกึ ษำวำ่ ใบบัวผันและบัวสำย ก็น่ำจะนำไปใช้ ประโยชน์สว่ นประกอบของยำจุดกันยงุ สำมำรถไลย่ ุงได้เหมือนกนั วัตถปุ ระสงค์ 1.เพ่ือศึกษำประสทิ ธิภำพของใบบวั 2.เพื่อประดิษฐย์ ำกันยงุ 3.เพ่ือฝึกกำรทำงำนแบบกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ 4.เพือ่ ฝกึ กำรทำงำนเปน็ หมู่คณะ
แนวคิดและทฤษฎที เี่ ก่ียวข้อง 4.แป้งมันสำปะหลงั 5.ยสี ต์ 6.ข่ีเลอ่ื ย 1.บวั หลวง 2.บวั สำย 3.บวั ผนั 1.บวั หลวง ชอื่ วิทยำศำสตร์: Nelumbo nucifera ชอ่ื วงศ:์ NYMPHACACEAE ชอ่ื สำมญั : Lotus, Sacred lotus, Egyptian ชอื่ พน้ื เมือง: บณุ ฑริก ปุณฑริก ปทมุ ปัทมำ โกกระณต สตั ตบุษย์ บัวฉัตรขำว สัตตบงกช บวั ฉัตร ชมพู โช้ค บัวอบุ ล ลกั ษณะทัว่ ไป: ตน้ ไมโ้ ผล่เหนือนำ้ อำยุหลำยปี ลำตน้ มีท้งั ที่เปน็ เหง้ำใตด้ นิ และเป็นไหลเหนอื ดิน ใตน้ ้ำ ใบ ใบเด่ียว เรยี งสลับ ใบรูปไข่ค่อนช้ำงกลม ขนำด 15-40 เซนตเิ มตร ขอบใบเรียบและเปน็ คลื่น เล็กนอ้ ย แผ่นใบเรยี บ สีเขียวและมนี วลเคลือบ ก้ำนใบกลมเรียวแข็งส่งใบให้เจรญิ ท่ีผิวนำ้ หรอื เหนอื น้ำ มีหนำม เปน็ ตุ่มเล็กๆ ภำยในก้ำนใบมีน้ำยำงใสเม่ือถูกอำกำศเป็นสีคล้ำ ดอก สชี มพู ขำว มีกลนิ่ หอม ออกเป็นดอกเดยี่ วขนำดใหญ่ ก้ำนดอกสีเชยี ว อวบกลมสง่ ดอกชขู ึ้นเหนือ น้ำ กลบี เลี้ยง 4-5 กลบี มีท้ังกลีบดอกช้ันเดียวและกลีบดอกซอ้ นกนั มเี กสรตัวผู้จำนวนมำกตดิ อยรู่ อบ ฐำนรองดอกที่บวมขยำยใหญ่ หมุ้ รังไข่ไวภ้ ำยในเรยี กว่ำ \"ฝกั บัว\" ดอกบำนเต็มที่กวำ้ ง 20-25 เซนตเิ มตร บัวหลวงมีหลำยพันธม์ุ ชี อ่ื เรยี กตำ่ งกันไปตำมขนำดและลกั ษณะชองดอกคือ ดอกเลก็ สขี ำว เรยี ก บวั ปักกิง่ ขำว บวั หลวงจีนขำว บวั เขม็ ขำว ดอกเล็กสชี มพู เรยี ก บวั ปักก่ิงชมพู บัวหลวงจีนชมพู บวั เขม็ ชมพู ดอกสีขำว เรยี ก บุณฑริก ปณุ ฑรกิ ดอกสีชมพู เรียก ปทมุ ปัทมำ โกกระณต ดอกสนั้ ป้อมสีขำวกลบี ซ้อน เรียก บวั สตั ตบษุ ย์ บวั ฉตั รขำว
ดอกสั้นป้อมสีชมพกู ลบี ซ้อน เรียก บัวสัตตบงกช บัวฉัตรสชี มพู ฝัก/ผล ผลแห้ง เเบบผลกลมุ่ ประกอบด้วยผลยอ่ ยรูปกลมรีจำนวนมำกอยูภ่ ำยในฝักบัวรปู กรวย ในผลยอ่ ยมี เมล็ดขนำดประมำณ 1 เซนติเมตร เมลด็ ลอ่ น ฤดูกำลออกดอก: ตลอดปี กำรปลกู : ปลูกประดบั สระน้ำหรือปลูกในกระถำงทรงสงู กำรขยำยพันธุ์: ไหล หรือโดยกำรแยกกอ ส่วนทมี่ กี ลน่ิ หอม: ดอก กำรใช้ประโยชน์: ไม้ประดบั ก้ำนใบและกำ้ นดอก ทำกระดำษ และเสน้ ใยใชท้ ำไส้ตะเกียง บชู ำพระ เปลอื กเมลด็ บัวแหง้ และฝกั แก่ทำปยุ๋ เครื่องสำอำง สมนุ ไพร บริโภค แหลง่ ที่พบ: พบท่วั ไปทกุ ภำค สว่ นทีใ่ ชบ้ รโิ ภค: เมด็ บัว รำกบวั ไหลบวั สำยบัว ใบอ่อน กำรปรุงอำหำร: เม็ดบวั สำมำรถนำมำกนิ ไดท้ ง้ั สดและแห้ง เม็ดบัวมปี ริมำณสำรอำหำรท่สี ำคญั คือ โปรตีน ประมำณ 23 % ซ่งึ สงู กว่ำขำ้ วถึง 3 เท่ำ และเป็นแหล่งรวมธำตุ อำหำรหลำยชนดิ ดว้ ยกนั เมด็ บวั นำมำประกอบอำหำรได้ทงั้ คำวหวำน เชน่ สังขยำ เม็ดบัว ขนมหมอ้ แกงเม็ดบัว เม็ดบัวเชอ่ื ม สำคูเมด็ บวั เปน็ ตน้ รำกบวั นยิ มนำมำเชอื่ มแห้งกนิ เปน็ ของหวำน ไหลบัว สำมำรถนำมำประกอบอำหำรได้ท้งั สด ท้งั แหง้ โดยมำกจะนำมำแกงสม้ แกงเลียง ผัดเผด็ ตำ่ ง ๆ สำยบัว สำมำรถปรงุ อำหำรแทนผักได้หลำยชนิด ท้ังแกงส้มสำยบวั แกงสำยบวั กบั ปลำทู ฯลฯ ใบอ่อน สำมำรถนำมำกินเปน็ ผักสดแกลม้ น้ำพริก สรรพคุณทำงยำ: รำกบัว นำไปตม้ กับน้ำตำลกรวด แก้ร้อนใน ชำวอินเดยี จะให้เด็กด่ืมนำ้ รำกบวั เพือ่ ระงบั อำกำรท้องร่วง สำยบัว กินเพื่อแก้อำกำรท้องรว่ ง ใบบัว นำมำหั่นฝอย ๆ ชงด่มื แทนน้ำชำ ชว่ ยแกร้ ้อนในกระหำยนำ้ ไดเ้ ปน็ อยำ่ งดี เกสรบวั สว่ นของเกสรสีเหลือง สำมำรถใชเ้ ขำ้ เคร่ืองยำท้งั ไทยและจีน โดยเฉพำะยำลม ยำหอม ยำบำรุง หัวใจ และยำขับปัสสำวะ ดบี วั เปน็ สว่ นของตน้ อ่อนที่อยภู่ ำยในเมด็ บวั มีรสขมจัด สำมำรถนำมำเปน็ สว่ นผสมของยำโบรำณ มฤี ทธ์ขิ ยำย หลอดเลอื ดที่ไปเลยี้ งกลำ้ มเนื้อหวั ใจได้
2.บัวสำย บัวสำย พชื น้ำมำกประโยชน์ บวั เปน็ พืชน้ำล้มลุก ลกั ษณะลำต้นมที งั้ ทเี่ ปน็ เหง้ำ ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดยี่ วเจริญข้ึนจำกลำตน้ โดยมีก้ำน ใบสง่ ข้นึ มำเจรญิ ที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรอื เหนอื นำ้ รูปรำ่ งของใบส่วนใหญ่กลมมหี ลำยแบบ บำงชนิดมกี ำ้ นใบบวั ช่ือสำมัญ : Water lily ชือ่ วทิ ยำศำสตร์ : Nymphaea lotusL. ชอื่ วงศ์ : NYMPHAEACEAE ชอ่ื อน่ื ๆ : บวั แดง สัตตบรรณ บัวสำยสชี มพู โกมทุ ลินจง เจตบตุ ร บัวสำย (อังกฤษ: water lily) ชื่อสกุล Nymphaea เป็นพืชนำ้ ชนิดหน่ึง มีลำตน้ ใตด้ ินเป็นหัว หรือเหงำ้ ใบ และดอกเกิดจำกตำหรือหนอ่ ที่เจริญข้นึ มำที่ผวิ น้ำดว้ ยกำ้ นส่งใบและยอด บำงชนดิ มใี บใตน้ ำ้ ใบเป็นใบเดีย่ ว มี ขอบใบทั้งแบบเรียบ และแบบคลื่น ผิวใบด้ำนบนเรียบเป็นมัน ด้ำนลำ่ งมีขนละเอียด หรอื อำจจะไม่มขน ดอก เปน็ ดอกเดี่ยว มีทงั้ ชนดิ ท่บี ำนกลำงคืน และบำนกลำงวัน บำงชนิดมีกลน่ิ หอม มสี ีสนั หลำกหลำยแตกต่ำงกันไป มชี ือ่ เรียกกันทั่วไปว่ำ “อุบลชำติ” แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื อุบลชำติลม้ ลกุ ได้แก่ บวั ผัน บวั เผ่อื น บัวสำย และจงกลนี ดอกจะชพู น้ น้ำ และขอบใบหยัก และอุบลชำติยนื ตน้ ไดแ้ ก่ บวั ฝรั่ง ดอกจะเปน็ รปู ถว้ ยลอยเหนือ ผวิ นำ้ มขี อบใบเรยี บ ลกั ษณะร่วมกนั ของบวั สำยแต่ละชนิดกค็ ือ มีกำ้ นใบและกำ้ นดอก เปน็ สำยอ่อนและไม่มีหนำม ลอกเปลือกได้ โดยเฉพำะก้ำนดอกมีคำเรยี กเฉพำะวำ่ สำยบวั เมอ่ื ปอกหรือลอกเอำเปลือกออกแล้วใช้เป็นผักได้ นับเปน็ ผัก พน้ื บ้ำนด้งั เดิมอยำ่ งหนงึ่ ของชำวไทย โดยเฉพำะในเขตที่รำบลมุ่ น้ำทว่ มถงึ เชน่ ลมุ่ นำ้ ในภำคกลำง เป็นตน้ สำยบวั ได้จำกบัวหลำยชนิด แตส่ ำยบัวทช่ี ำวไทยนยิ มนำมำบริโภค เป็นผกั มำกท่สี ุดมำจำกบวั ทมี่ ีชือ่ เรยี กทวั่ ไป วำ่ บวั สำย นัน่ เอง บัวสำยมีช่ือทำงพฤกษศำสตร์ว่ำ Nymphaea lotus Linn. Var. pubescens Hook. F. etTh. ใบ เป็นแผ่นกลม ขอบใบเป็นยัก ดอกมีสีแดง(ชมพูแก่) หรือขำว (พันธ์ุดอกขำวเรียกว่ำสัตตบรรณ) บัวสำยน้ีมีถ่ิน กำเนดิ ในเขตที่รำบลมุ่ ของทวปี เอเชยี ซง่ึ รวมถึงประเทศไทยด้วย จงึ เป็นพชื พื้นบ้ำนด้ังเดมิ อกี ชนิดหนึ่งท่ีคนไทย รจู้ กั คุ้นเคยมำเนิ่นนำน ซงึ่ นอกจำกใช้เปน็ ผักแล้ว ยังนำมำใช้เป็นสำนวนเปรียบเทียบในภำษำไทยอกี ด้วย ลักษณะ : พชื ลม้ ลกุ อำยุหลำยปี มเี หง้ำใต้ดนิ ใบ เป็นใบเดย่ี วแตกออกจำกเหง้ำ ก้ำนใบยำว แผ่นใบยำวรปู ทรง กลม ไมย่ กสงู ขึน้ เหนือนำ้ ขนำดผ่ำนศูนยก์ ลำงประมำ 30 ซม. ฐำนใบเว้ำลึก ขอบใบจักเป็นฟนั เลอ่ื ย ผวิ ดำ้ นบนเป็นมนั ดำ้ นลำ่ งมีขนนุม่ ดอก เป็นดอกเดีย่ ว บำนเตม็ ทก่ี ว้ำงได้ถึง 15 ซม. กำ้ นดอกคลำ้ ยก้ำนใบ กลบี เลี้ยง 4 กลีบ สีเขยี วคล้ำปนน้ำตำง รูปปลำยหอกแคบ กว้ำงประมำณ 2.5 ซม. ยำ 6-7.5 ซม. กลบี ดอกขนำด และลักษณะคล้ำยกลบี เลยี้ ง สีชมพูเขม้ สขี ำว หรือสมี ่วงแดง เกสรเพศผู้จำนวนมำก เป็นเสน้ แบน สั้นกว่ำกลบี
ดอก อับเรณูเป็นร่อง ตำมแนวขนำน เกสรเพศเมยี ติดบนรังไข่ ผล เปน็ ผลสด ภำยในมีเมล็ดกลม ขนำดเลก็ จำนวนมำก สายบัว : ผักพนื้ บ้านจากแหล่งนา้ ในอดตี เม่ือปลำยฤดูฝนประมำณเดือนตลุ ำคม น้ำกจ็ ะเอ่อล้นตล่ิงเข้ำทว่ มท้องท่งุ ในเขตที่ ลุ่มภำคกลำง หลังจำกน้นั พชื นำ้ ชนิดตำ่ งๆก็จะงอกงำมขึ้นมำเองมำกมำย และหลำยชนดิ ใชเ้ ปน็ ผกั ได้ดีเชน่ บวั สำย เปน็ ตน้ ชำวบำ้ นจะพำยเรือออกไปในทงุ่ แลว้ เลอื กเกบ็ สำยบัวจำกดอกบวั จำกดอกบวั ที่ยังตูมอยู่ ออกแรงดึงเบำ ๆ สำยบวั กห็ ลดุ จำกเหง้ำ หำกน้ำลึกก็จะได้สำยบัวยำวจนตอ้ งนำมำขดเปน็ วงกลม ๆ คล้ำยงู หำกยังไม่ใชก่ น็ ำไป ลอยนำ้ เกบ็ ไวไ้ ด้หลำยวัน โดยไมแ่ ห้งเห่ียวหรอื เนำ่ เสีย เม่อื นำสำยบวั มำใชเ้ ป็นผกั กต็ ้องลอกเอำเปลอื กหุ้มออก แล้วเดด็ ดอกทงิ้ ก้ำนดอกที่ได้จะถูกเด็ดเป็นชิ้นๆ ใช้กิน เ ป็ น ผั ก ส ด ผั ก ด อ ง แ ก ง ส้ ม ห รื อ แ ก ง ก ะ ทิ ฯ ล ฯ ก็ ไ ด้ น อ ก จ ำ ก นั้ น ยั ง ท ำ ข น ม ไ ด้ อี ก ด้ ว ย ตอนผู้เขียนเป็นเด็กชอบออกไปเก็บสำยบัวสำยชนิดหนึ่งท่ีชำวสุพรรณเรียกว่ำ ดอกบรรจง สำยบัวของดอก บรรจงมีขนำดเล็กกว่ำสำยบัวปกติ แต่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สำยบรรจงจะมีกลิ่นหอม เม่ือนำมำทำขนมจะมี กลิ่นหอมซึ่งขนมสำยบัวธรรมดำไม่มี แต่เนื่องจำกสำยบรรจงหำ ได้ยำกและมีขนำดเล็กกว่ำสำยธรรมดำ กว่ำ จะหำเก็บสำยบรรจงมำได้มำกพอทำขนม จึงเสียเวลำมำกกว่ำเก็บสำยบัวหลำยเท่ำ ผู้ใหญ่จึงไม่นิยมใช้สำย บ ร ร จ ง ม ำ ท ำ ข น ม ใ ห้ เ ด็ ก ๆ กิ น น อ ก จ ำ ก เ ด็ ก ๆ จ ะ เ ก็ บ ม ำ ใ ห้ เ อ ง นอจำกข้ึนเองตำมท้องทุ่งแล้ว สำยบัวยังข้ึนได้ในหนองบึงหรือคูน้ำข้ำงถนน แม้แต่บ่อน้ำในบ้ำนก็ข้ึนได้ดี ข้อจำกัดก็คือหำกระดับนำ้ ตนื้ ก็จะไดส้ ำยบัวสน้ั ก ำ ร น ำ ม ำ ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ สำมำรถนำเอำ บัวสำยมำปลูก เพื่อประดับ ตำมสระน้ำ ได้อีกด้วย และสำมำรถนำมำรับประทำน เป็นอำหำร ได้ด้วย “บัว” ถือเป็นรำชินีแห่งไม้น้ำ มีดอกสวยงำมที่เรำใช้บูชำพระ และนอกจำกน้ันส่วนต่ำงๆของบัวก็ยังสำมำรถ นำมำประกอบอำหำร เป็นของมปี ระโยชนบ์ ำรงุ รำ่ งกำยไดด้ อี กี ดว้ ย ส่วนประกอบของบัวท่ีหลำยๆคนมักจะจำสับสน หรือเข้ำใจผิดว่ำเป็นส่ิงเดียวกันเสมอก็คือ “สำยบัว” และ “ไหลบัว” โดยสำยบัวนั้น คือก้ำนของดอกบัวสำย เวลำนำมำกินต้องลอกเปลือกนอกออกก่อน โดยสีของ สำยบวั จะออกสีน้ำตำล นิยมนำมำแกงตม้ กะทิ กนิ สดๆหรือลวกจ้มิ นำ้ พริก ส่วนไหลบัวหรือหลดบัวนั้นเป็นหน่อของบัว หรือส่วนที่งอกขึ้นมำและจะเจริญเป็นลำต้นใหม่ต่อไป สีของไหล บัวจะเป็นสีขำว ไหลบัวท่ีเรำนิยมนำมำกินน้ันเป็นบัวหลวง หรือบัวบูชำพระ และจะมีควำมกรอบกว่ำสำยบัว นิยมนำมำทำแกงส้ม หรือผัดนำ้ มันกับเนอ้ื สัตว์ตำ่ งๆ สรรพคุณ • ดอก รสฝำดหอมเยน็ สรรพคณุ บำรุงหัวใจให้ชุ่มช่ืน บำรุงกำลัง แก้ไข้ตัวร้อน • เมล็ด(คั่ว) รสขมหอม สรรพคณุ บำรุงกำลัง เจริญอำหำร • หัว รสหอมมัน สรรพคุณ บำรุงร่ำงกำย ชกู ำลัง บำรงุ ครรภ์ ในสำยบวั 100 กรมั จะพบแคลเซยี ม 8.00 มลิ ลกิ รัม วติ ำมนิ ซี 15 มลิ ลิกรมั ท่ชี ว่ ยบำรุงกระดูกและฟนั ของเรำ ใหแ้ ข็งแรง และมสี ำรเบต้ำแคโรทนี ทต่ี ำ้ นโรคมะเร็งในลำไส้ สรรพคุณยำไทย บัวสำยมีรสจืด ชว่ ยบรรเทำ ควำมร้อนในรำ่ งกำย
คุณประโยชนข์ องสำยบัวและไหลบวั ก็แตกต่ำงกันไป สำยบัวจะชว่ ยลดอำกำรเกร็งของลำไสแ้ ละกระเพำะ ลด ควำมเครยี ดทำงสมอง บรรเทำอำกำรทอ้ งผกู ขับปสั สำวะ ดับพษิ ร้อนในกำย สว่ นไหลบัวเปน็ ยำรสเย็นจดื แก้ ออ่ นเพลียและบำรงุ หัวใจ มเี ส้นใยอำหำรมำก จงึ ช่วยแกโ้ รคทอ้ งผูกได้ 3.บัวผัน ชื่อไทย : บวั ผนั บัวเผ่ือน ชอื่ สำมญั b : Water lily ชือ่ วิทยำศำสตร์ : Nymphaea stellataWild .ช่อื วงศ์ : NYMPHAEACEAE ลักษณะท่วั ไป : เปน็ พชื น้ำอำยุขำ้ มฤดู ลำตน้ เปน็ หัวใต้ดินมขี นำดเล็ก ใบมรี ปู เกือบกลม ขอบใบหยกั เป็น คลน่ื ฐำนใบเว้ำลกึ เสน้ ใบไม่นูน ใบออกสลบั ถีล่ อยบนผวิ น้ำเรียงเป็นวง ดอกเป็นดอกเด่ียวขนำดเลก็ ชูเหนอื น้ำ มีก้ำนดอกยำว มีกลีบเล้ยี ง 4 กลบี กลีบดอกปลำยแหลมเรยี งซ้อนกนั หลำยชน้ั เกสรตวั ผมู้ จี ำนวนมำก ผล กลมมีเมล็ดขนำดเลก็ จำนวนมำก เปน็ บวั พืน้ เมืองของไทยมี 2 ชนดิ คือบวั เผ่อื นดอกสีขำวปลำยกลบี สีม่วง ครำมอ่อน ๆ และบัวผันดอกสมี ว่ งออ่ นแล้วเปลย่ี นเป็นสีชมพู บำงครง้ั อำจพบเป็นสขี ำวปลอด การปลกู เล้ยี ง บวั เผ่อื นพบขึน้ ตำมหนอง บงึ ริมแม่นำ้ ท่ีมีกระแสน้ำอ่อนและขอบพรุ มเี ขตกำรกระจำยพันธุ์อยู่ทวั่ ทกุ ภำคของ ประเทศไทย ขยำยพันธุโ์ ดยกำรใชห้ น่อหรอื เหง้ำ ประโยชนท์ างยา ดอก รสฝำดหอมเยน็ บำรุงหัวใจให้แชม่ ชืน่ บำรุงกำลัง แก้ไขตัวร้อน บำรุงครรภ์ เมลด็ เมอ่ื ฝกั แกด่ อกรว่ งหมดแล้วเรียกวำ่ ”โตนดบัว” มีเมล็ดเล็กๆ คล้ำยเมล็ดฝิน่ คว่ั รบั ประทำนเป็นอำหำรได้ รสหอมมนั บำรุงร่ำงกำย บำรุงกำลัง หัว ลกั ษณะเปน็ หวั ตะปุ่มตะป่ำ เหมือนโกฐหัวบวั รสหอมมัน เผด็ เลก็ น้อย บำรงุ รำ่ งกำย ชกู ำลัง บำรุงครรภ์ รักษำ บำรงุ หัวใจ บำรุงธำตุ ในตำรำยำไทย บัวเผอ่ื นอยใู่ นพิกัดบัวพิเศษ มี 6 อย่ำงคือ บัวหลวงแดง บัวหลวง ขำว บัวสตั ตบงกชแดง บวั สตั ตบงกชขำว บัวเผอื่ น และบัวขม ใชแ้ ก้ไข้ แกล้ ม เสมหะ และโลหติ บำรงุ กำลัง บำรุงหัวใจ ทำให้แช่มชืน่ แกร้ ้อนในกระหำยน้ำ แก้ไข้ตัวรอ้ น บำรุงครรภ์ นอกจำกน้ัน ในบัญชยี ำหลกั แหง่ ชำติ
ในตำรบั ยำหอมเทพจติ ร มีดอกบวั เผอ่ื นเปน็ สว่ นผสมรว่ มกับสมนุ ไพรอ่ืนๆอีกหลำยชนดิ ในตำรับ มีสรรพคุณแก้ ลมกองละเอียด ได้แก่ อำกำรหนำ้ มดื ตำลำย สวงิ สวำย ใจส่ัน และบำรุงดวงจติ ให้ชุม่ ช่นื [2] 4.แปง้ มันสำปะหลงั แป้งมันสำปะหลงั เปน็ แป้งทไ่ี ดจ้ ำกมนั สำปะหลงั ลักษณะของแป้งมีสขี ำว เนื้อเนียน ลนื่ เป็นมนั [1] เมอื่ ทำ ใหส้ ุกดว้ ยกำรกวนกับนำ้ ไฟอ่อนปำนกลำง แปง้ จะละลำยง่ำย สุกง่ำย แป้งเหนียวติดภำชนะ หนืดขน้ ขน้ึ เรื่อยๆ ไม่มีกำรรวมตวั เป็นก้อน เหนียวเป็นใย ติดกันหมด เน้ือแป้งใสเป็นเงำ พอเยน็ แล้วจะตดิ กันเป็นก้อนเหนยี ว ติด ภำชนะ [2] ใช้ทำลอดชอ่ งสงิ คโปร์ครองแครงแก้ว เป็นตน้ กำรโมม่ ัน หวั มันสำปะหลังทผี่ ำ่ นกำรลำ้ งและปอกเปลือกท่สี ะอำดจะจะถูกลำเลียงโดยสำนพำนเขำ้ ส่เู ครือ่ งโม่ (Rasper) จะมีมดี โดยใบมดี ขนำดใหญ่ในแนวตั้งฉำกกบั ผิวหน้ำ โดยมีอตั รำกำรหมนุ ประมำณ 1000 rpm และทำกำรตดิ ต้ังใบมดี ต้ังแต่ 100 ใบขน้ึ ไป ใบมีดแต่ละใบมีควำมยำว 30 เซนตเิ มตร ซึง่ ในข้นั ตอนน้จี ะได้ ของเหลวขน้ ท่ีมีส่วนผสมของแปง้ น้ำ กำกมนั และสิ่งเจือปนต่ำง ๆ ระหว่ำงกระบวนโมจ่ ะมีกำรจ่ำยนำ้ จำก กระบวนกำรเพ่ือชว่ ยในกำรทำงำนของเครื่องใหส้ ะดวกยิง่ ขึ้น หน่วยกำรสกดั หลังจำกนนั้ มันสำปะหลังท่บี ดจนเปน็ ชน้ิ ละอียดจำกเคร่อื งเคร่ืองขูดหรือบดซ่งึ จะมีส่วนประกอบของน้ำ แปง้ กำก และเสน้ ใยจะถูกเติมน้ำก่อนจะนำเข้ำสเู่ ครื่องสกัดแป้ง (Extractor) หน้ำทขี่ องหนว่ ยสกัดคือ กำร แยกแปง้ ออกจำกเซลลโู ลส เครือ่ งสกดั แป้งจะประกอบไปด้วยตะแกรงและผ้ำกรองเปน็ ส่วนประกอบ หลกั กำร ทำงำนของเคร่ืองจะใชห้ ลักกำรของแรงหมุนเหวีย่ ง (Centrifugal Force) โรงงำนส่วนใหญ่จะใช้ชุดสกดั 3 ชุด แตโ่ รงงำนขนำดใหญ่ อำจใช้ชุดสกัดถงึ 4 ชุดต่อเน่ืองกันเพอ่ื สกัดแป้งออกจำกเซลลูโลสใหไ้ ดม้ ำกทสี่ ุด เคร่ืองสกัดแปง้ แบ่งตำมหน้ำท่ีตำมกรองออกเป็น 2 ชดุ คือ ชุดสกดั หยำบ (CoarseExtractor) และชุดสกัด ละเอียด (Fine Extractor) น้ำแป้งจะผ่ำนเข้ำชุดสกัดหยำบกอ่ น เพอ่ื แยกกำกหยำบออกแล้วจงึ เขำ้ สูช่ ุดสกดั ละเอียดเพื่อแยกกำกอ่อน กำกหยำบและกำกอ่อนท่ีได้จะถูกเหว่ียงออกทำงด้ำนบนของตะกร้ำกรองแลว้ เข้ำสู่ เคร่อื งสกัดชดุ สกัดกำก (Pulp Extractor : เปน็ เคร่ืองสกัดหยำบ ทำหนำ้ ที่สกัดแปง้ ท่หี ลุดออกไปกบั กำก) และเคร่ืองอัดกำกตอ่ ไป โดยท่ีเครอื่ งสกัดหยำบมีตะกรำ้ กรองเปน็ สแเตนเลส (StainlessScreen) ขนำดรู กรอง 35-40 mesh มีกำรใช้นำ้ หมนุ เวียนหรือน้ำดเี พ่อื ช่วยในกำรสกัดแป้งออกจำกกำกหยำบ สว่ นเครอื่ งสกัด ละเอียดตะกรำ้ กรองเปน็ สแตนเลสมีรูกรองขนำดเสน้ ผำ่ นศูนยก์ ลำงประมำณ 0.5 ซม. และใชผ้ ้ำกรองไนลอน ทรงกรวยเหมือนตะกรำ้ กรองวำงด้ำนบนแล้วยึดดว้ ยสำยรัดโลหะ ผ้ำกรองทใี่ ช้มขี นำดรูกรองสองแบบคือ 100- 120 mesh และ 140-200 mesh มีกำรใช้นำ้ กำมะถันและนำ้ ดีช่วยในกำรสกัดแปง้ จำกกำกอ่อน น้ำกำมะถัน ชว่ ยกำจัดกำรเกดิ เมือกท่จี ะไปอดุ ตันแผ่นกรอง ป้องกนั ไม่ให้เกิดกำรสญู เสยี แป้งจำกจุลินทรยี ์และชว่ ยฟอกสี แปง้ ให้ขำว กำกมันสำปะหลังจะถกู แยกออกจำกน้ำแปง้ เพื่อนำเขำ้ สเู่ ครอ่ื งอัดกำกและนำไปตำกแดดเพื่อนำไป ผสมเป็นอำหำรสัตวห์ รือนำไปผสมกบั มนั เสน้ เพื่อทำมนั อัดเม็ด
5. ยสี ต์ ยีสต์ หรือ สำ่ เหล้ำ (อังกฤษ: yeast) คือ รำกล่มุ หน่งึ ที่ส่วนใหญเ่ ปน็ เซลล์เดย่ี ว มรี ูปร่ำงหลำยแบบ เช่น รปู ร่ำง กลม รี สำมเหลีย่ ม รูปร่ำงแบบมะนำว ฝร่งั เป็นตน้ ส่วนใหญ่มีกำรสบื พันธ์ุแบบไมอ่ ำศัยเพศ โดยวธิ ีกำรแตก หน่อ พบทัว่ ไปในธรรมชำติในดนิ ในนำ้ ในสว่ นตำ่ งๆ ของพืช ยสี ต์บำงชนิดพบอยูก่ ับแมลง และในกระเพำะ ของสัตว์บำงชนดิ แต่แหลง่ ท่ีพบยสี ตอ์ ยู่บ่อยๆ คือแหล่งที่มนี ำ้ ตำลควำมเข้มข้นสงู เชน่ น้ำผลไมท้ ม่ี รี สหวำน ยสี ต์ที่มีอยตู่ ำมธรรมชำติ มักจะปนลงไปในอำหำร เปน็ เหตุให้อำหำรเน่ำเสียได้ ยีสตเ์ ปน็ สงิ่ มชี ีวติ ทีม่ ขี นำดเล็ก มำก มเี ย่ือห้มุ นวิ เคลียส (eukaryoticmicro-organisms) จัดอยู่ในกลมุ่ จำพวกเห็ด รำ (Fungi) มีท้งั ท่ีเปน็ ประโยชน์และโทษต่ออำหำร มกี ำรนำยสี ต์มำใชป้ ระโยชน์นำนมำแลว้ โดยเฉพำะกำรผลติ อำหำรทมี่ ี แอลกอฮอล์ จำกคณุ สมบัติที่มขี นำดเลก็ มำก สำมำรถเพำะเลี้ยงใหเ้ กิดได้ในเวลำอนั รวดเรว็ และวธิ ีกำรไม่ ยงุ่ ยำก ทำให้ยีสตเ์ ร่ิมมบี ทบำททส่ี ำคัญในวงกำรเพำะเลย้ี งสตั วน์ ้ำ โดยสำมำรถนำมำใช้เปน็ อำหำรสำหรบั เลีย้ ง อำหำรธรรมชำตทิ ่ีสำคญั อีกทีหนงึ่ เช่น ไรแดง โรตเิ ฟอร์ และอำร์ทเี มยี ยีสตเ์ ปน็ จุลนิ ทรยี ท์ ร่ี ู้จกั กนั มำตั้งแต่สมัยโบรำณถึงกับมผี กู้ ล่ำวว่ำ ยสี ต์เปน็ จุลินทรยี ์ชนิดแรกท่มี นษุ ยน์ ำมำใช้ รำยงำนแรกเกีย่ วกับกำรใช้ยสี ต์ คือกำรผลิตเบียร์ชนดิ หนึ่งที่เรียกว่ำ Heineken เม่ือประมำณ 6,000 ปกี ่อน ครสิ ตศ์ กั รำช คนไทยรจู้ ักใชป้ ระโยชนจ์ ำกยสี ต์มำเปน็ เวลำนำน เช่นในกำรทำอำหำรหมักบำงชนดิ ได้แก่ ข้ำว หมำกปลำแจ่ว เครื่องดองของเมำหลำยชนดิ เชน่ อสุ ำโท และกระแช่ เปน็ ตน้ ปจั จบุ ันมีกำรนำยสี ต์มำใช้ ประโยชนใ์ นอุตสำหกรรมหลำยประเภท เป็นตน้ ว่ำกำรผลิตเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ ชนดิ ต่ำงๆเชน่ เบียร์ไวน์ และวสิ กี้ กำรผลิตเอทิลแอลกอฮอล์เพื่อใชเ้ ปน็ สำรเคมี และเชื้อเพลงิ กำรผลติ เซลลย์ ีสต์ เพื่อใชเ้ ป็นยีสต์ขนม ปังและเป็นโปรตีนเซลล์เดียว รำบำงประเภทสำมำรถนำมำใช้ในกำรผลติ สรุ ำไดแ้ ตร่ ำบำงชนดิ ท่ีเพำะมำเป็น พเิ ศษ ก็เปน็ รำทผี่ ลติ มำเพื่อกำรคำ้ และมลี ิขสิทธเิ์ ฉพำะ เช่นรำ คำลสเบริ ์กโนเจนซิส เปน็ รำลขิ สิทธ์ิท่ีใชใ้ นกำร ผลิตเบยี ร์ คำลสเบริ ์ก กำรผลิตยีสต์ทไ่ี ดค้ ุณภำพจะต้องผ่ำนกำรรบั รองจำกสถำบัน Leco ถงึ จะสำมำรถบรรจุ วำงขำยในซูเปอร์มำร์เกต็ ของยุโรปเช่น ร้ำน Hermes และ Struers ได้ ยสี ต์ มคี ณุ สมบัติในกำรเปล่ียนน้ำตำลให้เป็นคำรบ์ อนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ได้ โดยหลกั กำรทำงำนของ ยสี ต์ หรือ \"เบเกอร์ ยีสต\"์ (Baker yeast) ทใี่ สใ่ ห้ขนมปงั ฟู เนือ่ งมำจำกยีสต์ทีใ่ ส่ลงไปมีกำรใชน้ ้ำตำลในแปง้ ขนมปงั หรือทเ่ี รยี กกันวำ่ \"โด\"้ (dough) เป็นอำหำร และระหว่ำงท่ีมันกินอำหำรมันจะเกิดกำรหำยใจแบบไม่ ใช้ออกซเิ จน สลำยกลโู คสได้ adenosine triphosphate และคำยแกส็ คำร์บอนไดออกไซต์ออกมำ และเม่ือ เรำเอำแป้งไปอบ ก๊ำซท่ีมนั คำยออกมำก็ผุดขน้ึ มำระหวำ่ งเนื้อขนมปังทำใหเ้ กิดรูพรุนจนฟูขน้ึ มำ สว่ นพวก \"บรวิ เวอร์ ยีสต\"์ (Brewer yeast) ซึ่งเปน็ ยีสต์ทน่ี ำมำหมักทำเบยี ร์และไวน์ มีรสชำติค่อนข้ำงรุนแรง บรวิ เวอร์ยีสต์ ประกอบไปด้วยธำตอุ ำหำรมำกมกี รดอะมโิ น16ชนดิ เกลือแร่14ชนดิ วิตำมนิ 17ชนิด นอกจำกน้ี ยงั มีเกลอื แร่สูง คือ โครเมีย่ ม สงั กะสี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเซเลเนียม อกี ท้ังบรวิ เวอรย์ ีนยงั เปน็ แหลง่ สำคัญ ของโปรตนี ถึง 16 กรัมตอ่ ปริมำตรยสี ต์ 30 กรัม มมี ำกถงึ 50%-55% ทง้ั นี้ โดยยสี ต์ไม่ใช้ออกซเิ จนในกำร หำยใจ
6.ข่เี ล่ือย ขเ้ี ลื่อย(องั กฤษ: Sawdust or wood dust) เปน็ ผลพลอยได้จำกกำรเลอื่ ยไม้ มีลักษณะเปน็ ผงไม้ ละเอียด เปน็ ของเสียในโรงงำนทีเ่ ป็นพิษ โดยเฉพำะกำรทำใหเ้ กดิ อำกำรอกั เสบ แต่กส็ ำมำรถนำไปใชป้ ระโยชน์ ไดอ้ ีกหลำยประกำร ขเ้ี ล่อื ยมสี ำรอินทรียเ์ ป็นองคป์ ระกอบจำนวนมำก (เซลลโู ลสเฮมเิ ซลลโู ลส และลิกนนิ ) ท่ีมีหมู่โพลีฟี นอลซงึ่ สำมำรถจับกบั โลหะหนักไดด้ ว้ ยกลไกต่ำงกัน ตวั อย่ำงเชน่ ข้ีเลอ่ื ยจำกตน้ พอบลำรแ์ ละตน้ เฟอร์ท่ีทำ ปฏิกริ ิยำกับโซเดยี มไฮดรอกไซด์และโซเดยี มคำรบ์ อเนต ดูดซับทองแดงและสังกะสีได้ดี ขเ้ี ลื่อยจำกตน้ มะพร้ำว ท่ีทำปฏิกริ ยิ ำกับกรดซลั ฟรู กิ ดูดซบั นกิ เกลิ และปรอทได้ [1] อุปกรณแ์ ละวธิ ีการทดลอง อปุ กรณ์ 1. บวั หลวง จำนวน 20 กรมั 2. บัวสำย จำนวน 20 กรัม 3. บวั ผนั จำนวน 20 กรมั 4. แปง้ มัน จำนวน 10 กรมั 5. ขเ่ี ลอื่ ย จำนวน 10 กรมั 6. นำ้ จำนวน 500 มิลลิลิตร 7 .เตำอบ จำนวน 1 เคร่ือง 8. เคร่ืองป่ัน จำนวน 1 เครอ่ื ง 9. ถงุ ดำ จำนวน 12 ใบ 10. ถุงใส จำนวน 12 ใบ 11. ยีสต์ จำนวน 250 กรัม 12. น้ำตำล จำนวน 500 กรมั 13. กรง จำนวน 4 อัน 14. กระดำษฟรอยด์ จำนวน 5 ตำรำงฟตุ 15. กะละมงั จำนวน 3 ใบ 16. หม้อ จำนวน 3 ใบ
วธิ กี ารทดลอง การทายาจุดกนั ยงุ 1. นำใบบัวแกบ่ วั หลวงใบบวั แก่บวั สำยและใบบัวแกบ่ วั ผันไปอบในเตำอบท่ีอณุ หภูมิ 200 องศำเวลำ 30 นำที 2. นำใบบวั แก่บวั หลวงใบบวั แก่บวั สำยและใบบวั แกบ่ ัวผันท่อี บแลว้ นำไปบดในเคร่อื งบดใหล้ ะเอียด 3. นำใบบัวแกบ่ ัวหลวงใบบัวแกบ่ วั สำยและใบบวั แก่บวั ผันที่บดละเอียดไปชั่งอย่ำงละ 20 กรมั และ ขี้เล่ือยละเอยี ดท่ีปริมำณ 10 กรัมแล้วนำไปผสมกับใบบัวแกบ่ วั หลวงใบบัวแกบ่ ัวสำยและใบบัวแกบ่ วั ผันท่ชี ัง่ ไว้ แล้วนำไปใสใ่ นภำชนะ 4. นำน้ำใสใ่ นบีกเกอรข์ นำด 500 มลิ ลิลติ รแล้วนำนำ้ ไปผสมกบั แปง้ มนั แลว้ ตงั้ หมอกระทะเทน้ำลงไป เล็กนอ้ ยรอน้ำเดอื ดเทนำ้ ทีผ่ สมกับแป้งมนั ลงไปใชแ้ ทง่ แกว้ คนสำรคนใหเ้ ข้ำกนั พอไดท้ ีกจ็ ะได้กำวแปง้ เปยี ก นำไปพักในบีกเกอร์ 5. นำใบบัวแกบ่ ัวหลวงใบบวั แก่บัวสำยและใบบวั แกบ่ ัวผันที่ผสมกบั ขี้เลื่อยไปผสมกบั กำวแป้งเปียก เล็กน้อยแลว้ คนให้สว่ นผสมท้ังหมดเข้ำดว้ ยกนั แลว้ นำมำใส่ในกระดำษรปู ทรงกรวยทเ่ี ตรียมไว้ 6.นำยำจุดกดั ยุงใบบัวแก่บัวหลวงใบบวั แก่บวั สำยและใบบัวแก่บวั ผันไปอบท่อี ุณหภูมิ 200 องศำ เวลำ 1.30 ชัว่ โมง การทดลองไล่ยงุ การสร้างเหต(ุ ตัวแปรต้นหรือสง่ิ ท่สี ร้างได้ วดั ได้) -เตรยี มกล่องพลำสตกิ มืดและดำ จำนวน 4 กล่องขนำด 30 x 30 เซนติเมตร - ใสช่ ดุ ทดลองให้ยงุ เข้ำหำ(ขวดเพท นำ้ ตำลทรำยแดง ยิสต์: https://www.youtube.com/watch?v=2wZWWQbxrAA) -ใสย่ ำจดุ กนั ยงุ และจุดยำกันยุงแตล่ ะชนิดลงในกลอ่ งแต่ละกล่อง การควบคมุ เหต(ุ ตัวแปรควบคุม หรือเหตุทคี่ ุมไว้ไม่ให้สง่ ไปกอ่ ให้เกิดผล) -ระยะเวลำ 5 ช่ัวโมง ชว่ งเวลำ 15.00-20.00 น. -กล่องทใ่ี ช้มีขนำด 30 x 30 เซนติเมตร จำนวน 3 กลอ่ ง -ทดลองในสถำนทเ่ี ดยี วกนั ท่ีอุณหภมู ิหอ้ ง การวัดผล ( ตวั แปรตามเป็นส่งิ ที่สังเกตได้ วดั ได้ ) -สงั เกตกำรณ์ทดลองในระยะเวลำที่กำหนด คือ ในระยะเวลำ 5 ชวั่ โมง -บันทกึ ผลกำรทดลองในระยะเวลำทกี่ ำหนด สมมุติฐำนใบบัวแก่จำกบวั ผันและบวั เผื่อนเป็นส่วนประกอบของยำจุดกนั ยุงสำมำรถไล่ยงุ ได้ โครงงำนมตี วั แปรต่อไปน้ี และแสดงแผนผงั เหตุ-ผล ในรูปที่ 1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193