1. การกลน่ั น้ามันหอมระเหย (distillation) การกล่นั เป็นวธิ หี นง่ึ ที่นิยมใช้กนั อย่างแพร่หลายในการสกดั น้ามนั หอมระเหย หลกั การของการกล่นั คอื ใช้นา้ รอ้ นหรือไอนา้ เข้าไปแยกนา้ มนั หอมระเหยออกมาจากพืช โดยการแทรกซึมเข้าไปในเน้ือเยือ่ พชื ความรอ้ นจะทาให้สารละลายออกมากลายเป็นไอ ปนมากับน้าร้อนหรอื ไอน้า อย่างไรก็ดี การกลัน่ เพ่ือให้ได้ น้ามันหอมระเหยที่มคี ุณภาพดนี น้ั ตอ้ งอาศยั เทคนคิ และขบวนการทางเคมแี ละกายภาพหลายอย่างประกอบ กัน โดยทวั่ ๆ ไป เทคนิคการกลั่นนา้ มนั หอมระเหยที่ใช้กันอยมู่ ี 3 วิธี ไดแ้ ก่ 1.1 การ กลั่นด้วยนา้ รอ้ น (Water distillation & Hydro – distillation) เป็นวิธที ่งี ่ายที่สดุ ของ การกลั่นนา้ มันหอมระเหย การกลั่นโดยวิธนี ้ี พื้นท่ีกลั่นต้องจมุ่ ในน้าเดือดทั้งหมด อาจพบพชื บางชนดิ เบา หรือให้ท่อไอนา้ ผา่ นการกลน่ั นา้ มันหอมระเหยน้ีใชก้ บั ของที่ตดิ กนั ง่ายๆ เชน่ ใบไมบ้ างๆ กลบี ดอกไม้อ่อนๆ ข้อควรระวังในการกลน่ั โดยวธิ นี คี้ อื พืชจะได้รบั ความรอ้ นไม่สม่าเสมอ ตรงกลางมักจะได้ความร้อน มากกวา่ ด้านข้าง จะมีปญั หาในการไหม้ของตวั อยา่ ง กล่ินไหมจ้ ะปนมากบั น้ามันหอมระเหยและมีสารไม่พึง ประสงคต์ ดิ มาในน้ามันหอมระเหยได้ วิธแี กไ้ ข คือ ใช้ไอนา้ หรืออาจใช้ closed steam coil จมุ่ ในหม้อ ต้ม แตก่ ารใช้ steam coil นไ้ี ม่เหมาะกบั ดอกไมบ้ างชนิด เพราะเม่ือกลีบดอกไม้ถกู steam coil จะหด กลายเปน็ glutinous mass จงึ ต้องใช้วธิ ีใสล่ งไปในน้า กลบี ดอกไมจ้ ะสามารถหมุนเวียนไปอยา่ งอิสระใน การกลน่ั เปลือกไม้กเ็ ชน่ กัน ถา้ ใชว้ ิธกี ลั่นด้วยน้า นา้ จะซมึ เข้าไปและนากลิน่ ออกมา หรอื กลิน่ จะ แพร่กระจายออกจากเปลือกไมไ้ ด้ง่ายขน้ึ ดังนัน้ การเลือกใชว้ ธิ กี ารกลน่ั จึงข้ึนกับชนดิ ของพชื ท่นี ามากลน่ั ด้วย 1.2 การกลั่นด้วยนา้ และไอน้า (water and steam distillation) การกล่ันโดยวธิ ีนใ้ี ช้ตะแกรงรอง ของทจ่ี ะกลน่ั ใหเ้ หนอื ระดบั น้าในหมอ้ กลั่น ต้มใหเ้ ดือด ไอน้าจะลอยตวั ข้นึ ไปผา่ นพชื หรอื ตวั อยา่ งท่จี ะกล่ัน สว่ นนา้ จะไมถ่ ูกกับตัวอยา่ งเลย ไอน้าจากน้าเดอื ดเป็นไอน้าท่อี ่มิ ตวั หรือเรียกว่า ไอเปียก ไม่รอ้ นจัด เปน็ การกลน่ั ที่สะดวกท่สี ุด คุณภาพของนา้ มันออกมาดีกวา่ วิธีแรก การกลั่นแบบน้ีใชก้ ันอย่างกว้างขวางในการ ผลิตน้ามนั หอมระเหยทางการค้า 1.3 การกลนั่ ดว้ ยไอน้า (direct steam distillation) วธิ ีน้ี วางของอยบู่ นตะแกรงในหมอ้ กลั่น ซงึ่ ไม่มีนา้ อยเู่ ลย ไอนา้ ภายนอกท่ีอาจจะเปน็ ไอนา้ เปียก หรอื ไอรอ้ นจัดแต่ความดนั สงู กว่าบรรยากาศ ส่งไป ตามท่อใตต้ ะแกรง ให้ไอผา่ นขนึ้ ไปถูกกับของบนตะแกรง ไอนา้ ต้องมีปริมาณเพียงพอที่จะช่วยใหน้ า้ มันแพร่ ระเหยออกมาจากตัวอย่าง ตัวอย่างบางชนดิ อาจใชไ้ อร้อนได้ แตบ่ างชนดิ กใ็ ช้ไอเปยี ก น้ามนั จงึ จะถกู ปล่อย ออกมา
ข้อดีของการกลัน่ วธิ ีน้ี คอื สามารถกลั่นไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เม่อื เอาพชื ใส่หม้อกลน่ั ไมต่ ้องเสยี เวลารอให้ รอ้ น ปลอ่ ยไอร้อนเขา้ ไปได้เลย ปริมาณของสารท่นี าเข้ากลั่นก็ได้มาก ปริมาณทาให้ได้น้ามันหอมระเหยมาก การกลนั่ ทงั้ 3 วิธี ผปู้ ฏิบตั ิควรพจิ ารณาดว้ ยวา่ การแพร่กระจายของน้ามนั หอมระเหยและนา้ ร้อย ผ่านเย่ือบางๆ ของพืช การไฮโดรไลซ์สาร องค์ประกอบต่างๆ เนอ่ื งจากสัมผัสกับนา้ ตลอดเวลา ตลอดจน การสลายตวั ของสารในน้ามนั หอมระเหย อันเนื่องมาจากความรอ้ นถงึ แม้วา่ ก่อนนาพชื มากล่ันจะต้องหัน่ หรือ ทาใหเ้ ซลลแ์ ตกก่อน เพื่อให้ไดน้ ้ามนั หอมระเหยออกมาจากเซลลไ์ ดง้ ่าย แต่ถึงกระน้นั ก็ยังมีนา้ มนั หอม ระเหยบางสว่ นทอี่ ยู่ทีผ่ วิ และถกู ทาให้กลายเปน็ ไออย่างรวดเร็วด้วยไอนา้ น้ามนั ส่วนทเ่ี หลอื ภายในจะออกมาสู่ ผวิ ได้ โดยการซมึ ผ่านผนังบางๆ ของพชื และจะดาเนนิ ไปไดด้ ีที่อุณหภูมสิ ูง สารประกอบพวกเอสเทอรจ์ ะ ถกู ไฮโดรไลซใ์ ห้เปน็ กรด และแอลกอฮอลไ์ ด้งา่ ย ดงั น้นั เพอ่ื ให้ได้นา้ มันหอมระเหยที่มีคุณภาพดีทีส่ ดุ ควร กล่นั ทอี่ ุณหภูมิต่าสดุ เทา่ ทีจ่ ะทาได้ หากได้นา้ มนั น้อย ควรใช้อณุ หภูมสิ งู ขึ้น ใช้เวลาให้สั้นทีส่ ดุ การกล่นั จะตอ้ งพจิ ารณาใหร้ อบคอบ วัดอณุ หภมู ิและเวลาให้อยู่ในช่วงท่เี หมาะสมทส่ี ุด ในการกล่นั นา้ มันหอมระเหยทั้ง 3 วิธนี ี้ สามารถทาเองได้ อุปกรณ์ท่สี าคญั สาหรับใช้กลนั่ มี 3 อยา่ ง คือ หมอ้ กล่นั (still) เครอื่ งควบแน่น (condenser) และภาชนะรองรบั (receiver) การกลนั่ ดว้ ยไอน้าจะต้องมหี ม้อต้มน้า (boiler) สาหรับทาไอนา้ เพิ่มอกี อยา่ งหนึ่ง หมอ้ กลนั่ (still) น้าหรอื ไอน้า จะสัมผัสกับพชื ในภาชนะ ซ่งึ มีรปู ร่างท่ีง่ายท่ีสุดเปน็ ถังทรงกระบอก ทาด้วยเหล็กหรอื ทองแดง เส้นผา่ ศนู ยก์ ลางเท่าหรอื น้อยกว่าความสงู เล็กน้อย มฝี าเปิด – ปิดได้ ดา้ นบนมี ทอ่ ต่อสายรัดใหไ้ อน้าพานา้ มันหอมระเหยไปสู่เคร่ืองควบแน่น ถ้าเป็นการกลัน่ แบบใช้น้าผสมไอน้า ต้องมี ตะแกรงวางตัวอยา่ งท่จี ะกล่ันใหส้ งู กวา่ ก้นหม้อกล่นั ส่วนการกลน่ั ด้วยไอนา้ น้าจะถูกฉีดเขา้ ไปใตต้ ะแกรงน้ัน กน้ หม้อกลน่ั จะต้องมีทอ่ ก๊อกระบายนา้ ท่ีกล่ันตวั ลงหมอ้ กลนั่ และฝาควรมฉี นวนหุม้ กันความรอ้ นสญู หาย เคร่อื งควบแน่น (condenser) ส่วนผสมของไอน้าและน้ามนั หอมระเหย ทอ่ี อกมาจากหม้อกลัน่ จะถูกสง่ ผา่ นไปยงั เครอื่ งควบแน่น ซึ่งทาหนา้ ท่ี เปลยี่ นไอนา้ และน้ามันหอมระเหยใหเ้ ปน็ ของเหลว ลักษณะเป็น coil ม้วนอยู่ใต้ถังทม่ี ีนา้ เย็นผ่านจากดา้ นลา่ ง สวนทางกบั ไอน้า และน้ามนั หอมระเหยที่นยิ มอีกแบบหนง่ึ คือ ใหไ้ อนา้ และน้ามนั หอมระเหยผา่ นใน ทอ่ (tube) ใหน้ า้ เยน็ ไหลเวยี นรอบๆ tube เคร่ืองควบแนน่ ควรมีขนาด ใหญ่พอให้ไอกลนั่ ตวั เรว็ เพ่ือจะได้นา้ มนั หอมระเหยที่มีคุณภาพ ถ้านาน ไปจะทาใหเ้ กิดไฮโดรไลซข์ องเอสเทอร์ วัสดทุ ่เี ป็น coil หรอื tube ควรใช้ทองแดงผสมดบี ุกท่รี องรบั น้าหรือนา้ มันหอมระเหย (receiver) นา้ มีปรมิ าณมากกว่านา้ มนั จงึ ตอ้ งมีการไขนา้ ท้ิงตลอดเวลา ส่วนนจ้ี งึ ทา หน้าท่ีแยกน้า และน้ามันหอมระเหย ถ้านา้ มันเบากว่านา้ นา้ มนั กจ็ ะอยู่ ท่สี ว่ นบน ไขนา้ ดา้ นล่างออก ถา้ นา้ มันหนักกว่าน้า นา้ มันจะอยู่ดา้ นล่าง ก็ไขน้าด้านบนออก เครอ่ื งมือในหอ้ งปฏิบัติการมักเปน็ แก้วมองเหน็ ได้งา่ ย ปรมิ าณน้อยกวา่ 10 ลติ ร แต่ถา้ มากกวา่ 10 ลติ ร ควรเป็นทองแดงผสมดีบุก ไมค่ วรใช้ตะกัว่ เพราะตะก่วั จะทาปฏิกิรยิ ากบั กรดไขมัน เกดิ เป็นเกลอื ทีเ่ ป็นพิษ การกล่นั น้ามันหอมระเหยไม่ควรใช้สายยางต่อ เพราะสายยางจะละลายไปติดน้ามันหอม
ทาใหก้ ลนิ่ ผดิ ไปจากความจริง หากน้ามนั หอมระเหยไมค่ ่อยแยกจากกัน ตอ้ งใชก้ รวยยาวๆ รองรบั distillate ปลายกรวยงอขนึ้ การไหลของ distillate จะไมไ่ ปรบกวนชั้นของน้ามัน และหยดน้ามันจะลอย ขนึ้ ชา้ ๆ ไปอยใู่ นชัน้ ของน้ามัน นา้ มนั ควรแยกออกจากน้าใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ เก็บไวใ้ นภาชนะสุญญากาศทอ่ี ากาศเย็น การกลัน่ ดงั กล่าวแมจ้ ะเปน็ วธิ ีท่ใี ช้กันมาก แต่มขี ้อเสียหลายประการอนั เนอื่ งมาจากความร้อนทาให้ ปฏกิ ริ ยิ าสลายตวั ต่างๆ เกิดข้ึน กล่นิ ทไ่ี ดอ้ าจผิดเพย้ี นไปจากธรรมชาติ สารประกอบบางตวั ในน้ามนั หอม ระเหยทลี่ ะลายไดด้ ี มีจุดเดือดสูง จะไม่ถูกพามาโดยไอนา้ ดงั นนั้ นา้ มนั หอมระเหยทีไ่ ด้จากการกลั่นอาจ ไมใ่ ช่ทเ่ี กดิ ในธรรมชาติเสมอไป โดยเฉพาะนา้ มันหอมระเหยจากดอกไม้ท้งั หลายซ่งึ เสียได้งา่ ย เช่น มะลิ ซอ่ นกลนิ่ ไวโอเลต ดอกพุด ไฮยาซนิ เปน็ ต้น เม่ือเวลากล่นั จะไม่ไดน้ ้ามันหรือนา้ มนั ท่ีได้มปี ริมาณน้อยมาก และคณุ ภาพไมด่ ี การใชว้ ิธกี ลั่นจึงไม่เหมาะสม ต้องใช้วิธอี ่ืนท่ีทาให้ได้น้ามันหอมระเหยใกล้เคียงท่เี กิดใน ธรรมชาติมากทสี่ ดุ ตัวอย่างสมุนไพรที่ใช้ในการกลน่ั นา้ มันหอมระเหย - ไพล เหมาะสมกบั การกล่นั ดว้ ยน้าและไอน้า (Water and steam distillation) ใช้เหง้าในการกลัน่ ก่อนจะทาการกลนั่ ควรมกี ารห่ันบางๆ เพอื่ ใหไ้ ปนา้ ผ่านไดง้ ่าย และไดน้ ้ามันที่มี คุณภาพและปริมาณมาก เม่ือกล่นั แลว้ จะได้เปน้ ของเหลว ไม่มีสี หรือมสี เี หลืองอ่อน ปราศจากตะกอน และสาร แขวนลอย ไม่มีการแยกชั้นของนา้ มกี ลิ่นเฉพาะตวั ของไพล - ขม้ิน เหมาะสมกับการกลั่นดว้ ยน้าและไอน้า (water and steam distillation) ใช้ส่วนเหงา้ ในการกลนั่ กอ่ นจะทาการกล่ันควรมีการห่ันบางๆ เพ่อื ให้ไอนา้ ผ่านได้งา่ ยและได้น้ามนั ท่มี คี ุณภาพและปริมาณมาก เม่ือ กล่นั แลว้ จะได้เป็นของเหลวใส มีสีเหลืองออ่ นปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย ไม่มกี ารแยกช้ันของน้า มี กลน่ิ เฉพาะตัวของขม้นิ - ตะไคร้หอม เหมาะสมกับการกลนั่ ดว้ ยนา้ และไอนา้ (water and steam distillation) ใชส้ ่วนใบ ของตะไคร้หอมในการกลนั่ เมอื่ กลัน่ แลว้ จะได้ของเหลวใส สีเหลืองอ่อน ปราศจากตะกอนและแยกชนั้ ของ น้า มีกลน่ิ เฉพาะตัวของตะไคร้ 2. การสกดั ด้วยนา้ มันสตั ว์ (extraction by animal fat) ใชก้ ับนา้ มันหอมระเหยที่ระเหยไดง้ ่ายเมื่อใช้วิธีกลั่นด้วยไอน้า วธิ นี ้ีจะใช้เวลานานเพราะต้องแช่พืชไว้ ในนา้ มนั หลายวนั ซ่งึ นา้ มนั จะชว่ ยดดู เอากลน่ิ หอมของนา้ มันหอมระเหยออกมา วธิ นี ้ีใชใ้ นการสกดั น้ามันหอม ระเหยจากดอกมะลิ ดอกกหุ ลาบ เป็นต้น 3. การสกัดดว้ ยสารเคมี (solvent extraction) วธิ นี ีจ้ ะไดน้ า้ มันหอมระเหยท่ีมีความเข้มขน้ สูง แต่คุณภาพไมด่ ีเทา่ การกล่นั เพราะหลงั จาก การสกัดจะได้สารอน่ื ปนออกมาดว้ ย การสกดั แบบนจี้ ะไดน้ ้ามันหอมระเหยทเี่ รียกว่า absolute oil วธิ ีนใ้ี ช้กับ พืชใช้กบั พืชทนความร้อนสงู ไม่ได้ เช่น มะลิ และที่สาคัญคือ หลังจากการสกัดต้องทาการระเหยสารเคมีที่ใช้ เปน็ ตวั สกดั ออกให้หมด สารเคมที น่ี ยิ มใชเ้ ป็นตัวสกดั คือ แอลกอฮอล์ 4. การคนั หรอื บบี
ทาใหน้ า้ มนั ที่อยู่ในเปลอื กของผลไม้ เชน่ เปลือกพืชตระกลู ส้ม ออกมาแต่นา้ มันหอมระเหยทไ่ี ดจ้ ะมี ปรมิ าณน้อยและไม่ค่อยบริสุทธิ์ 5. การสกดั ดว้ ยคารบ์ อนไดออกไซดเ์ หลว โดยปล่อยคารบ์ อนไดออกไซด์ทีถ่ กู ทาให้เป็นของเหลวทีค่ วามดันสูงเปน็ วิธีทปี่ ัจจบุ ันนิยมใช้มากเพราะ จะไดน้ า้ มนั หอมระเหยท่ีมกี ลิ่นดี มคี วามบริสุทธส์ิ งู แต่วิธนี จ้ี ะมีต้นทุนการผลิตที่สูง อุปกรณ์และวิธีการทดลอง อุปกรณ์ 250 ml วสั ดุ วัตถดุ ิบ - ชุดเครือ่ งกลัน่ ขา่ แต่ละส่วน - ผา้ ขาวบาง -เหง้า - - นา้ แข็ง -ล้าตน้ - นา้ กลัน่ -ใบ วธิ ีการทดลอง - การสร้างเหตุ (ตัวแปรตน้ ) คดั เลอื กขา่ 3 สายพันธ์ุ(ขา่ ใหญ่ ,ข่าตาแดง,ข่าลงิ ) ทมี่ ีอายเุ ท่ากันมาทาการทดลองโดยเลือกศึกษาเฉพาะ หัวข่า(ลาต้นใตด้ ิน)โดยช่ังน้าหนกั ใหไ้ ดจ้ านวนเท่ากนั ทั้ง 3 ชนดิ คืออยา่ งละ่ 10 kg - การควบคุมเหตุ (ตัวแปรควบคมุ ) การกล่ันด้วยวธิ ีสกัดดว้ ยไอน้าจากข่า 3 ชนิด โดยใช้ขา่ จานวน 250 g ระยะเวลาในการกลนั่ 60 นาที - การวัดผล(ตัวแปรตาม) การกลนั่ ด้วยวิธสี กดั ดว้ ยไอน้าจากข่า 3 ส่วน ศกึ ษาดูว่าสว่ นใดของข่าใหน้ า้ มันหอมระเหยมากกว่า
วิธีการทดลอง 1. นาข่าทง้ั 3 สว่ นมาลา้ งให้สะอาด 2. นาข่าทงั้ 3 ส่วนมาห่ันเป็นแวว่ 3.นาข่าสว่ นท่ี1มาใสข่ วดลกู ชมพู่ปรมิ าณ 250 ml ใสน่ ้ากล่นั 350 ml ในขวดลกู ชมพู่แล้วเริม่ กล่นั ใช้เวลากลนั่ ประมาณ 1ชว่ั โมง 4. นาผา้ ขาวบางมาพันรอบหลอดแกว้ พอเรม่ิ เดอื ดแลว้ ให้เอานา้ กลน่ั หยอดใส่หลอดแกว้ เพือ่ ให้นา้ มัน จบั กลุม่ กนั 5. กล่นั เสรจ็ กเ็ ทนา้ มนั ท่ีไดใ้ ส่ในหลอดทใ่ี สน่ า้ มันแลว้ พักทิง้ ไว้ รอใหน้ ้ามนั กบั น้าแยกกบั เปน็ ช้นั แลว้ ค่อยดดู นา้ มันออกมาใส่ขวดสเปร์ 6.บนั ทึกผลข่าสว่ นที่ หนง่ึ 7. นาขา่ ส่วนที่ 2 และ สว่ นที่ 3 มากลัน่ เหมือนข่าสว่ นที่ 1 (ในข้อ3-5) 8. บนั ทึกผลข่าส่วนที่ 2 และส่วนท่ี 3 9. เปรียบเทียบน้ามันหอมระเหยจากขา่ ท้ัง 3 ส่วน ว่าสว่ นไหนไดน้ า้ มันมากกวา่ กัน ผลการทดลอง ส่วนของข่า น้าหนักพชื /ml เวลาในการกลั่น การกล่นั /ครงั้ ปรมิ าณน้ามันหอม 1 ระเหย 1.เหง้าข่า 250 ชม./น. 1 ชม. วดั ปรมิ าณไมไ่ ด้ *มากกว่าสว่ นอ่นื 2.ลาต้น 250 1 ชม. 1 ,, 3..ใบ 250 1 ชม. 1 ,, * นาเหง้าข่าสกัดดว้ ยไอน้า เหง้าขา่ 1 กิโลกรัม จานวน 5 ครั้ง ๆละ 250 g. สกดั ได้นา้ มนั หอมระเหยจากขา่ 10 ml.
อภิปรายผลการทดลอง จากการนาขา่ ชนิดเดียวกันมาสกดั นา้ มนั หอมระเหยด้วยวิธีการกลั่นด้วยไอน้า และเปรียบเทียบน้ามัน จากข่าทั้ง 3 ส่วน ข่าชนิดเดียวกันได้น้ามันแต่ละส่วนไม่เท่ากัน และ ส่วนไหนได้น้ามันมากกว่ากัน ปรากฏว่า ข่าใหญ่ท่ีใช้สกัดทั้งสามส่วน ได้แก่ ลาต้น เหง้า ใบ สามารถสกัดได้น้ามันหอมระเหยได้ไม่ เทา่ กนั เหง้าขา่ สกัดน้ามันหอมระเหยได้มากกว่ากว่าลาต้นและใบ และยังพบว่าสารสกัดน้ามันจากลาต้นและ ใบข่า ในการกลั่นแต่ละครั้ง ๆ ละ 250 g. ไม่สามารนามาวัดปริมาณน้ามันข่าได้ เพราะน้ามีปริมาณมากกว่า นา้ มนั จงึ แยกออกมาวัดไมไ่ ด้แตจ่ ากการทดลองนาเหงา้ ข่าสกดั ดว้ ยไอน้า เหง้าข่า 1,000 กรัม จานวน 5 ครั้ง ๆ ละ 250 g. สกัดได้น้ามันหอมระเหยจากข่า 10 ml. ซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้น หากต้องการน้ามันหอมระเหย จากข่าจานวนมาก ๆ ตอ้ งใช้เหงา้ ข่า จานวนมากขนึ้ ส่วนลาต้น และใบให้ปรมิ าณนา้ มนั ขา่ น้อยมาก ซ่ึงถ้าจะใช้ ในเชิงพาณชิ ย์ การทาลาตน้ และใบจากข่ามาสกัดนา้ มันหอมระเหยคงไม่สามารถทาไดเ้ พราะไม่คุ้มคา่ สรุปผล การสกัดน้ามันหอมระเหยจากข่าชนิดเดียวกัน 3 ส่วน ได้แก่ ลาต้น เหง้า ใบ ได้ปริมาณน้ามันไม่ เท่ากัน แต่ถ้าเปรียบเทยี บปริมาณน้ามันทั้ง 3 สว่ นของข่า พบว่า เหง้าขา่ มนี ้ามันมากกว่าส่วนอื่น เอกสารอา้ งองิ - จงกชพร พนิ ิจอักษร. สรุปการบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒนฯ์ (วันพธุ ) เร่ือง \"Natural Flavour จากพชื สมนุ ไพรไทย\" (ออนไลน์) 2548 (อ้างเม่ือ 8 พฤศจิกายน 2557 ). จาก http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=135:- Natural-flavour-&catid=71:2009-09-20-11-54-09&Itemid= 120 วัน - Frynn.com - http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_02_1.htm - http://health.kapook.com/view65106.html - http://www.pendulumthai.com/smf/index.php?topic=1412.0 - http://aromahub.com/ - www.kridac.sana.com - www.medplant.mahidol.ac.th - http://www.kaweeclub.com//b112/ginger-4521/
สัญญาที่ RDG5740040211 รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ โครงงานยอ่ ยที่ 9 เรือ่ ง การยบั ยงั เชือราด้วยสารสกัดจากข่า ( Inhibition fungus with Galangal Extraction) อาจารย์ท่ีปรกึ ษาโครงงาน นายเดชมณี เนาวโรจน์ นางสาวยาใจ เจริญพงษ์ นางสาวแสงเดอื น บกนอ้ ย คณะผวู้ ิจยั (นกั เรียน) นางสาว ปัฐทชิ า พลู ทวี นาย อดศิ กั ดิ์ กอแกว้ นาย กมลรัตน์ แกว้ วรรณา นางสาววิจติ รา วงเวียน สนับสนนุ โดยสานักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย(สกว) และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ชุดโครงการ “เพาะพนั ธ์ุปญั ญา (พฒั นายุววจิ ยั )”
กติ ติกรรมประกาศ การจดั ทาโครงงานเร่ือง การยบั ย้งั เช้ือราดว้ ยสารสกดั จากข่า ในคร้ังน้ีสาเร็จลุล่วงไดต้ อ้ งขอกราบ ขอบพระคุณ นายชาติชาย สิงห์พรมสาร ผอู้ านวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถมั ภ์ นายเชิดชยั สิงห์คิบุตร รองผอู้ านวยการโรงเรียนสมเดจ็ พระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถมั ภ์ ท่ีให้คาช้ีแนะ และอานวยความสะดวกในการทาโครงงานคร้ังน้ี กราบขอบพระคุณ คุณครูเดชมณี เนาวโรจน์ คุณครูยาใจ เจริญพงษ์ และคุณครูแสงเดือน บกนอ้ ย ที่ใหค้ าปรึกษา ดูและ แนะนาและแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง ในการทาโครงงานทุกดา้ น กราบขอบพระคุณ คณะครู และบุคคลากรทางการศึกษา และสมาชิกในครอบครัวท่ีคอยช่วยเหลือในการทาโครงงาน อีกท้งั เพ่ือน นกั เรียนท่ีคอยใหก้ าลงั ใจ จนกระทงั่ โครงงาน เรื่อง การยบั ย้งั เช้ือราดว้ ยสารสกดั จากข่าสาเร็จลุล่วง คณะผู้จัดทา
บทคดั ย่อ ชื่อโครงงาน การยบั ย้งั เช้ือราดว้ ยสารสกดั จากข่า ผู้จัดทา นางสาว ปัฐทิชา พลู ทวี นาย อดิศกั ด์ิ กอแกว้ ครูทปี่ รึกษา นาย กมลรัตน์ แกว้ วรรณา นางสาววจิ ิตรา วงเวยี น โรงเรียน นายเดชมณี เนาวโรจน์ ปี ท่ีทา นางสาวยาใจ เจริญพงษ์ นางสาวแสงเดือน บกนอ้ ย สมเดจ็ พระญาณสงั วร ในพระสังฆราชูปถมั ภ์ พ.ศ. 2557 เช้ือราเป็ นสาเหตุทาให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมายต่อมนุษย์ การใช้ธรรมชาติสกัดการเกิดเช้ือรา นอกจากจะไมเ่ กิดโรคแลว้ ยงั เกิดผลดีต่อผใู้ ชส้ ารดว้ ย ดงั น้นั การทดลองคร้ังน้ีก็เพื่อจะศึกษาวา่ สารสกดั จาก ขา่ สามารถยบั ย้งั การเกิดเช้ือราบนไมอ้ ดั ไดห้ รือไม่ การศึกษาความเขม้ ขน้ ของสารสกดั จากข่ากบั การยบั ย้งั เช้ือราบนไมอ้ ดั โดยการใชน้ ้าข่าท่ีมีความ เขม้ ขน้ ต่างกนั คือ ความเขม้ ขน้ 50% ความเขม้ ขน้ 100% และน้าเปล่าในปริมาณที่เท่ากนั คือ 100 cc ฉีดลง บนไมอ้ ดั ขนาด 30 × 15 cm ท่ีวางไวใ้ นกล่องควบคุมอุณหภูมิแลว้ สังเกตผล พบวา่ เช้ือราบนไมอ้ ดั เกิดใน ระยะเวลา 7 วนั เมื่อไมอ้ ดั เร่ิมไดร้ ับความช้ืน การทดลองความสัมพนั ธ์ระหวา่ งไมอ้ ดั และสารสกดั จากน้าข่าความเขม้ ขน้ แตกต่างกนั ไดผ้ ลการ ทดลอง คือ ชุดการทดลองแรกท่ีใชน้ ้าเปล่าฉีด ผลคือไม่มีเช้ือราเกิดข้ึน ชุดการทดลองท่ี 2 ฉีดสารสกดั จาก ข่าความเขม้ ขน้ ร้อยละ 50 มีราเกิดข้ึนเป็ นจุดเล็กๆ หลายจุด ชุดการทดลองท่ี 3 ฉีดสารสกดั จากข่าความ เขม้ ขน้ ร้อยละ 100 มีเช้ือราเกิดข้ึนเป็ นวงกวา้ ง และมีจุดราเล็กๆอีกหลายจุดและมีจานวนมากที่สุด จากการ ทดลอง จากการทดลอง สรุปไดว้ า่ สารสกดั จากขา่ โดยการค้นั ไม่สามารถยบั ย้งั การเกดิ เชื้อราบนไมอ้ ดั ได้
บทนา ความเป็ นมาและความสาคัญของโครงงาน เช้ือราเป็นสารท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติมีท้งั ที่เป็ นประโยชน์ และเป็ นโทษต่อมนุษย์ เช้ือราท่ีเป็ นโทษ เช่นเช้ือราบนไมอ้ ดั ถา้ สู่รางกายจะทาใหเ้ กิดโรคตอ่ ระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในช่วงหนา้ ฝน อากาศมี ความช้ืนการเกิดเช้ือรา เกิดไดด้ ี ฉะน้นั ผูท้ ่ีใชต้ ูเ้ ส้ือผา้ ท่ีทาดว้ ยไมอ้ ดั เม่ือตูไ้ ดร้ ับความช้ืนก็จะเกิดเช้ือราได้ ง่าย เมื่อผใู้ ชไ้ ปสมั พนั ธ์เช้ือราเหล่าน้นั กจ็ ะเกิดอนั ตรายได้ ข่าเป็ นพืชลม้ ลุกท่ีปลูกง่ายและมีมากในบริเวณโรงเรียน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไดท้ ุกฤดูกาล ข่าเป็ น พืชสมุนไพรทอ้ งถ่ินที่มีสรรพคุณมากมายทางการแพทยใ์ นปัจจุบนั และการแพทยแ์ ผนโบราณ ทางเภสัช วิทยา ไดร้ ะบุไวว้ า่ ข่ามีสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะการยบั ย้งั เช้ือราโดยในสารสกดั จากข่าจะมีสารท่ี สามารถยบั ย้งั เช้ือราได้ คือ acetoxychavicol acetate, acetoxyeugenol acetate ดงั น้นั กลุ่มของเรา จึงมีความสนใจที่จะศึกษา สารสกดั จากข่า ซ่ึงสกดั โดยการค้นั น้าข่า ที่มความเขม้ ขน้ แตกต่างกนั มาทดลองในการยบั ย้งั การเกิดเช้ือชาบนไมอ้ ดั สมมุตฐิ านโครงงาน : สารสกดั จากข่าสามารถยบั ย้งั เช้ือราได้ โครงงานน้ีมีตวั แปรดงั ต่อไปน้ี และแสดงในผงั เหตุ-ผล ในรูปที่ 1 ตวั แปรตน้ สารสกดั จากขา่ และ เช้ือราที่เกิดบนไมอ้ ดั ตวั แปรตาม ระยะเวลาของการเกิดเช้ือราหลงั จากฉีดสารทดสอบ (วดั จากระยะเวลาหลงั จากไดร้ ับ สารทดสอบ) ตวั แปรควบคุม ชนิดของไมอ้ ดั , ปริมาณสารสกดั , ความเขม้ ขน้ ของสารสกดั ,ระยะเวลาการทดลอง วตั ถุประสงค์ 5. เพื่อศึกษาคุณสมบตั ิของน้าข่าสดในการยบั ย้งั เช้ือรา 6. เพื่อฝึกทกั ษะการทางานร่วมกนั เป็นกลุ่ม 7. เพื่อฝึกการคิดอยา่ งเป็ นกระบวนการและเป็นเหตุเป็นผล
แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กย่ี วข้อง การศึกษาสารสกดั สมุนไพรบางชนิดในการยบั ย้งั เชื้อราสาเหตุสาคญั ของโรคพชื จากการศึกษาการใชส้ ารสกดั พชื สมุนไพร และเช้ือราสาเหตุโรคพืช ในพ้ืนท่ีสะลวง อ.แมร่ ิม จ. เชียงใหม่ พบวา่ เช้ือราสาเหตุโรคพชื ท่ีระบาด คือโรคแอนแทรกโนสในพริกท่ีเกิดจากเช้ือรา Colletotrichum sp. และสารสกดั จากขา่ ซ่ึงใชเ้ อทานอล 95% เป็นตวั ทาละลายใหเ้ ปอร์เซ็นตก์ ารยบั ย้งั การเจริญของเส้นใยรา ดีที่สุด (http://www.research.cmru.ac.th/2014/ris/resout/arc/NRCT-3-SCI-3-54.pdf ) การยบั ย้งั การเจริญเตบิ โตของเชื้อราจากข่าทผี่ สมในเค้ก การวจิ ยั พบวา่ ข่าสามารถยดื อายกุ ารเกบ็ รักษาเคก้ ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี จากการออกฤทธ์ิการยบั ย้งั เช้ือรา โดยท่ีเคก้ ที่มีส่วนผสมของผงขา่ ในปริมาณท่ีมากข้ึนจะมีอายกุ ารเกบ็ รักษานานข้ึนไปตามลาดบั และยงิ่ ไป กวา่ น้นั ยงั สามารถทาใหเ้ คก้ ไม่มีเช้ือราเจริญไดเ้ ลยเม่ือผสมผงข่าในอตั ราส่วน 8:52 (http://research.sc.chula.ac.th/%E0%B8%9B%E0%B8%B53%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A11/ %E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2.pdf ) ขา่ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Alpiniagalanga (L.) Willd. ช่ือสามญั : Galanga วงศ์ : Zingiberaceae ชื่ออื่น : ขา่ หยวก ขา่ หลวง (ภาคเหนือ) , กฏกุ กโรหนิ ี (ภาคกลาง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ม้ ลกุ สงู 1.5-2 เมตร เหงา้ มีข้อและปล้องชดั เจน ใบ เดยี่ ว เรยี งสลับ รูปใบ หอก รูปวงรีหรอื เกอื บขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออกทย่ี อด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลบี ดอกสขี าว โคนติดกันเปน็ หลอดสั้นๆ ปลายแยกเปน็ 3 กลบี กลบี ใหญท่ สี่ ุดมรี ้ิวสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล เป็นผลแห้งแตกได้ รูปกลม สรรพคณุ : ขา่ เป็นพืชท่ีนามาใช้ประโยชน์ทางด้านอาหารมากมาย ใชใ้ ส่ในตม้ ข่า ตม้ ยา น้าพริกแกงทุกชนดิ ใส่ ขา่ เป็นส่วนประกอบ ยกเวน้ แกงเหลืองและแกงกอและทางภาคใต้ที่ไมน่ ิยมใสข่ ่า มีบทบาทในการดบั กลน่ิ คาว ของเนื้อและปลา นอกจากนั้น ขา่ ยังมฤี ทธิท์ างยา เหงา้ แกแ่ กป้ วดท้อง จุกเสยี ด แน่น ดอกใช้ทาแก้กลาก เกล้อื น ผลช่วยยอ่ ยอาหาร แกค้ ล่นื เหียน อาเจยี น ต้นแกน่ าไปเคย่ี วกับน้ามนั มะพร้าว ทาแก้ปวดเมื่อย เป็น
ตะครวิ ใบมีรสเผด็ ร้อน แก้พยาธิ สารสกดั จากข่ามีฤทธ์ฆิ ่าเชือ้ แบคทีเรีย น้ามันหอมระเหยจากขา่ มีฤทธิ์ทาให้ ไข่แมลงฝ่อ กาจัดเช้ือราบางชนดิ ได้ ใช้ผสมกับสะเดาเพื่อเพ่ิมประสิทธภิ าพในการกาจัดแมลงข่า ลดการบบี ตวั ของลาไส้ ขับน้าดี ขับลม ลดการอักเสบ ยับยัง้ แผลในกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรยี ฆา่ เชอ้ื ราใช้รกั ษา กลากเกล้ือน การทดสอบความเปน็ พิษ สารสกัดข่าด้วยเอทานอล รอ้ ยละ 50 ไม่พบความเป็นพิษเมอื่ ใหท้ างปากหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หนู แต่มีความเปน็ พิษปานกลางถึงมากเม่ือฉีดเขา้ ช่องทอ้ งหนู สารสกัดเหงา้ ข่าด้วยเอทานอลรอ้ ยละ 95 ไม่ พบความเปน็ พษิ เมื่อให้หนูทางปากในขนาด 3 กรัม/กโิ ลกรัม นา้ มันหอมระเหยจากเหง้าขา่ มคี วามเป็นพิษ ปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องทอ้ งหนูตะเภา สารสกัดแอลกอฮอลจ์ ากเหง้าขา่ ขนาด 100 มิลลิลิตร/กโิ ลกรัม ไม่พบ ความเปน็ พิษเม่ือฉดี เข้าช่องท้องหนเู มาสต์ ิดต่อกัน 7 วัน การทดสอบความเป็นพิษกง่ึ เร้ือรงั พบวา่ สารสกัดข่าด้วย เอทานอลร้อยละ 95 ให้หนูโดยผสม กับนา้ ด่มื ในขนาด 100 มิลลิกรมั /กิโลกรมั ติดต่อกนั 3 เดือน ทาใหห้ นูตายถึงร้อยละ 15 ( http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_02_1.htm) การสกัดนามนั หอมระเหย น้ามนั หอมระเหย ( Essential Oil) คือ นา้ มันท่พี ืชสร้างขนึ้ และเก็บ ไวใ้ นสว่ นต่างๆ ของพืช เชน่ ดอก ใบผล ลาตน้ ตลอดจนเมลด็ ซ่งึ จะพบ แตกตา่ งกันไปในพืชแต่ละชนดิ คณุ สมบัติที่เดน่ ชดั คือ มีกลิน่ หอมและ ระเหยไดง้ ่ายทอ่ี ุณหภมู ิปกติ น้ามันหอมระเหยเปน็ กลมุ่ สารอินทรีย์ กล่ินดงั กลา่ วไม่จาเปน็ ต้องหอมเสมอไป สะสมอย่ใู นบริเวณผนังเซลล์ จากพืช เป็นผลพลอยได้ทเ่ี กิดขนึ้ จากการเจรญิ เตบิ โต ซึ่งประกอบดว้ ย 2 ขบวนการ คอื การเผาผลาญ (catabolism) และการสร้าง (anabolism) ปรมิ าณและคุณภาพน้ามันหอมระเหยข้นึ อยู่กบั ปจั จยั หลายประการ เชน่ ดนิ ภูมิอากาศ อุณหภูมิ ปริมาณนา้ ฝน ความสงู จากระดับน้าทะเล การเก็บเก่ียว ตลอดจนเทคนิค และวิธีการสกดั และการกลนั่ ใส ปจั จบุ นั น้ามันหอมระเหยกลายเปน็ ส่ิงจาเป็นตอ่ มนุษยเ์ พ่ิมขึ้น และมบี ทบาทอยา่ งกว้างขวางใน วงการอตุ สาหกรรม ทั้งทางด้านบริโภคและอุปโภค และท่ีเกย่ี วข้องกบั ชีวิตประจาวัน จะเหน็ ได้วา่ ในแตล่ ะ วนั ตั้งแต่เช้าจรดคา่ ตนื่ เช้าข้ึนมา ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้า หวีผม แตง่ หน้า ลว้ นแลว้ แตใ่ ช้ในเคร่ือง อุปโภคชว่ ยปรงุ แต่งดว้ ยน้ามันหอมระเหย และเครื่องหอมท้งั สิ้น นบั ตัง้ แต่ สบู่ ยาสี ฟนั ยาสระผม นา้ มันใสผ่ ม โลชั่น โคโลญจ์ เป็นต้น และปัจจุบนั ประเทศไทยต้องสงั่ นา้ มนั หอมระเหยและกล่นิ ต่างๆ เข้ามา คิดเป็นมลู คา่ หลายพนั ล้านบาท โดยเฉพาะโรงงานอตุ สาหกรรมท้งั เคร่ืองบรโิ ภคและอุปโภค อตุ สาหกรรม อาหาร เครอ่ื งสาอาง ผงซักฟอก ยาสูบ เบียร์ สบู่ นมสด ไอศกรีม ฯลฯ ซงึ่ มอี ยู่
ในประเทศไทยมากกว่า 200 โรงงาน โรงงานเหล่านม้ี คี วามจาเป็นตอ้ งใช้น้ามนั หอมระเหยกลิ่นหอมต่างๆ การสกัดนา้ มนั หอมระเหยมีอยู่ 5 วิธี คือ 1. การกลั่นน้ามนั หอมระเหย (distillation) การกลั่นเปน็ วิธหี นง่ึ ท่ีนิยมใช้กันอยา่ งแพร่หลายในการสกดั น้ามันหอมระเหย หลกั การของการกล่นั คอื ใชน้ า้ รอ้ นหรือไอน้าเข้าไปแยกน้ามันหอมระเหยออกมาจากพชื โดยการแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยอื่ พืช ความรอ้ นจะทาให้สารละลายออกมากลายเปน็ ไอ ปนมากับน้าร้อนหรอื ไอน้า อยา่ งไรก็ดี การกลั่นเพื่อให้ได้ นา้ มันหอมระเหยท่ีมีคุณภาพดนี ัน้ ตอ้ งอาศัยเทคนคิ และขบวนการทางเคมแี ละกายภาพหลายอยา่ งประกอบ กนั โดยท่ัวๆ ไป เทคนคิ การกล่นั นา้ มันหอมระเหยท่ีใชก้ ันอยู่มี 3 วิธี ได้แก่ 1.1 การกล่นั ด้วยนา้ รอ้ น (Water distillation & Hydro – distillation) เปน็ วิธที ง่ี ่ายท่สี ดุ ของ การกลน่ั นา้ มนั หอมระเหย การกล่ันโดยวิธีนี้ พนื้ ทกี่ ลน่ั ตอ้ งจุ่มในนา้ เดือดทงั้ หมด อาจพบพืชบางชนิดเบา หรือใหท้ ่อไอนา้ ผา่ นการกลั่น นา้ มันหอมระเหยนใ้ี ช้กับของทตี่ ิดกันงา่ ยๆ เชน่ ใบไมบ้ างๆ กลบี ดอกไม้อ่อนๆ ข้อควรระวังในการกลน่ั โดยวิธีน้ีคอื พืชจะได้รบั ความรอ้ นไมส่ มา่ เสมอ ตรงกลางมักจะได้ความรอ้ น มากกว่าด้านขา้ ง จะมีปญั หาในการไหมข้ องตวั อยา่ ง กลน่ิ ไหมจ้ ะปนมากับน้ามันหอมระเหยและมสี ารไมพ่ ึง ประสงคต์ ดิ มาในน้ามนั หอมระเหยได้ วิธแี ก้ไข คือ ใช้ไอน้า หรอื อาจใช้ closed steam coil จุ่มในหม้อ ตม้ แตก่ ารใช้ steam coil นีไ้ มเ่ หมาะกบั ดอกไม้บางชนดิ เพราะเมื่อกลบี ดอกไม้ถกู steam coil จะหด กลายเปน็ glutinous mass จึงตอ้ งใชว้ ิธใี ส่ลงไปในน้า กลีบดอกไมจ้ ะสามารถหมุนเวยี นไปอย่างอิสระใน การกล่นั เปลือกไม้ก็เชน่ กัน ถ้าใช้วิธกี ล่ันด้วยนา้ น้าจะซึมเข้าไปและนากล่นิ ออกมา หรือกลน่ิ จะ แพร่กระจายออกจากเปลือกไม้ได้ง่ายขึน้ ดังน้นั การเลอื กใช้วิธกี ารกลนั่ จึงข้นึ กับชนดิ ของพืชทน่ี ามากลัน่ ด้วย 1.2 การกลนั่ ด้วยน้าและไอน้า (water and steam distillation) การกล่ันโดยวิธีน้ีใช้ตะแกรงรอง ของทจ่ี ะกลนั่ ให้เหนือระดับน้าในหม้อกล่นั ต้มให้เดือด ไอนา้ จะลอยตัวขึน้ ไปผา่ นพืชหรือตัวอย่างทจี่ ะกลน่ั สว่ นนา้ จะไมถ่ ูกกบั ตวั อยา่ งเลย ไอน้าจากน้าเดอื ดเปน็ ไอน้าท่ีอ่ิมตัว หรอื เรียกว่า ไอเปียก ไมร่ อ้ นจัด เปน็ การกลั่นทส่ี ะดวกท่ีสุด คุณภาพของนา้ มนั ออกมาดกี วา่ วิธแี รก การกลน่ั แบบน้ใี ชก้ ันอย่างกวา้ งขวางในการ ผลิตน้ามันหอมระเหยทางการค้า
1.3 การกลั่นดว้ ยไอน้า (direct steam distillation) วิธนี ี้ วางของอยูบ่ นตะแกรงในหมอ้ กล่ัน ซ่ึงไม่มนี ้าอยู่เลย ไอน้าภายนอกท่ีอาจจะเปน็ ไอน้าเปียก หรอื ไอรอ้ นจดั แตค่ วามดนั สูงกว่าบรรยากาศ สง่ ไป ตามท่อใตต้ ะแกรง ใหไ้ อผ่านข้ึนไปถูกกบั ของบนตะแกรง ไอนา้ ต้องมปี รมิ าณเพียงพอที่จะช่วยให้น้ามันแพร่ ระเหยออกมาจากตัวอยา่ ง ตัวอยา่ งบางชนิดอาจใช้ไอรอ้ นได้ แต่บางชนิดกใ็ ชไ้ อเปียก นา้ มันจึงจะถกู ปล่อย ออกมา ข้อดีของการกล่ันวธิ นี ้ี คอื สามารถกล่นั ได้อยา่ งรวดเร็ว เมื่อเอาพชื ใส่หม้อกลั่นไม่ต้องเสยี เวลารอให้ ร้อน ปล่อยไอรอ้ นเขา้ ไปได้เลย ปริมาณของสารที่นาเข้ากล่ันกไ็ ด้มาก ปรมิ าณทาให้ไดน้ า้ มันหอมระเหยมาก การกลั่นทงั้ 3 วธิ ี ผ้ปู ฏบิ ัติควรพิจารณาดว้ ยว่า การแพร่กระจายของน้ามันหอมระเหยและนา้ รอ้ ย ผา่ นเยือ่ บางๆ ของพืช การไฮโดรไลซส์ าร องค์ประกอบต่างๆ เนื่องจากสัมผัสกบั นา้ ตลอดเวลา ตลอดจน การสลายตัวของสารในน้ามนั หอมระเหย อนั เน่อื งมาจากความร้อนถงึ แม้ว่าก่อนนาพืชมากล่ันจะต้องหน่ั หรอื ทาใหเ้ ซลล์แตกก่อน เพื่อให้ไดน้ ้ามันหอมระเหยออกมาจากเซลล์ได้งา่ ย แต่ถงึ กระนั้น ก็ยงั มีนา้ มันหอม ระเหยบางส่วนทีอ่ ยู่ท่ีผวิ และถูกทาใหก้ ลายเปน็ ไออย่างรวดเร็วดว้ ยไอนา้ น้ามนั สว่ นท่เี หลือภายในจะออกมาสู่ ผิวได้ โดยการซึมผา่ นผนังบางๆ ของพชื และจะดาเนนิ ไปไดด้ ที ่ีอุณหภูมสิ งู สารประกอบพวกเอสเทอรจ์ ะ ถูกไฮโดรไลซใ์ ห้เปน็ กรด และแอลกอฮอลไ์ ดง้ ่าย ดงั น้ัน เพอื่ ให้ได้นา้ มนั หอมระเหยท่ีมีคณุ ภาพดีทส่ี ดุ ควร กลน่ั ทีอ่ ุณหภูมติ ่าสดุ เทา่ ที่จะทาได้ หากได้นา้ มนั น้อย ควรใชอ้ ณุ หภูมสิ งู ขึ้น ใช้เวลาให้ส้นั ทส่ี ุด การกลั่น จะตอ้ งพิจารณาใหร้ อบคอบ วัดอณุ หภมู ิและเวลาใหอ้ ยู่ในช่วงที่เหมาะสมที่สดุ ในการกลน่ั น้ามันหอมระเหยท้ัง 3 วธิ ีน้ี สามารถทาเองได้ อุปกรณ์ท่ีสาคญั สาหรบั ใช้กลน่ั มี 3 อยา่ ง คือ หม้อกลนั่ (still) เครื่องควบแนน่ (condenser) และภาชนะรองรบั (receiver) การกลั่น ดว้ ยไอนา้ จะตอ้ งมีหม้อต้มนา้ (boiler) สาหรับทาไอน้าเพ่ิมอกี อยา่ งหนงึ่ หมอ้ กลั่น (still) นา้ หรอื ไอน้า จะสมั ผัสกบั พืชในภาชนะ ซึง่ มีรปู รา่ งท่ีง่ายท่สี ดุ เปน็ ถังทรงกระบอก ทาด้วยเหล็กหรอื ทองแดง เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางเท่าหรือน้อยกว่าความสูงเล็กน้อย มีฝาเปิด – ปิดได้ ด้านบนมี ทอ่ ต่อสายรดั ใหไ้ อน้าพานา้ มันหอมระเหยไปสู่เคร่ืองควบแน่น ถ้าเป็นการกลนั่ แบบใชน้ ้าผสมไอน้า ต้องมี ตะแกรงวางตวั อย่างท่จี ะกลัน่ ใหส้ งู กว่าก้นหม้อกลัน่ ส่วนการกลัน่ ด้วยไอนา้ น้าจะถูกฉีดเขา้ ไปใต้ตะแกรงน้ัน กน้ หมอ้ กล่ันจะต้องมีท่อก๊อกระบายนา้ ท่ีกลั่นตวั ลงหม้อกลั่น และฝาควรมีฉนวนหุ้มกันความรอ้ นสญู หาย เคร่ืองควบแนน่ (condenser) ส่วนผสมของไอนา้ และน้ามันหอมระเหย ท่ีออกมาจากหม้อกล่ัน จะถูกสง่ ผา่ นไปยังเครือ่ งควบแนน่ ซึง่ ทาหนา้ ท่ี เปล่ียนไอน้าและน้ามันหอมระเหยให้เป็นของเหลว ลกั ษณะเปน็ coil ม้วนอยใู่ ต้ถังท่ีมีนา้ เยน็ ผ่านจากด้านลา่ ง สวนทางกบั ไอน้า และนา้ มัน หอมระเหยท่ีนิยมอกี แบบหน่งึ คอื ใหไ้ อน้าและน้ามนั หอมระเหยผา่ นใน ท่อ (tube) ใหน้ ้าเย็นไหลเวยี นรอบๆ tube เครอื่ งควบแน่นควรมขี นาด ใหญ่พอใหไ้ อกลั่นตัวเร็ว เพื่อจะได้นา้ มันหอมระเหยท่ีมีคุณภาพ ถ้านาน ไปจะทาใหเ้ กิดไฮโดรไลซข์ องเอสเทอร์ วัสดทุ ่เี ปน็ coil หรือ tube ควรใช้ทองแดงผสมดบี กุ ท่รี องรบั นา้ หรอื น้ามนั หอมระเหย (receiver) นา้ มปี ริมาณมากกว่านา้ มันจึงต้องมีการไขน้าทงิ้ ตลอดเวลา ส่วนนีจ้ งึ ทา หนา้ ทแ่ี ยกนา้ และน้ามันหอมระเหย ถา้ น้ามันเบากว่าน้า น้ามนั ก็จะอยู่
ท่สี ว่ นบน ไขน้าด้านลา่ งออก ถา้ นา้ มนั หนกั กวา่ น้า น้ามันจะอยู่ดา้ นล่าง กไ็ ขน้าดา้ นบนออก เคร่ืองมือใน ห้องปฏบิ ตั ิการมักเป็นแก้วมองเหน็ ไดง้ า่ ย ปรมิ าณนอ้ ยกว่า 10 ลิตร แตถ่ า้ มากกวา่ 10 ลิตร ควรเปน็ ทองแดงผสมดบี ุก ไมค่ วรใช้ตะกว่ั เพราะตะกั่วจะทาปฏกิ ิรยิ ากับกรดไขมัน เกิดเปน็ เกลือท่เี ปน็ พิษ การ กลนั่ นา้ มนั หอมระเหยไม่ควรใชส้ ายยางต่อ เพราะสายยางจะละลายไปติดน้ามันหอม ทาให้กล่นิ ผดิ ไปจาก ความจริง หากนา้ มนั หอมระเหยไม่ค่อยแยกจากกนั ตอ้ งใช้กรวยยาวๆ รองรบั distillate ปลายกรวยงอ ข้ึน การไหลของ distillate จะไม่ไปรบกวนชั้นของน้ามนั และหยดน้ามันจะลอยขนึ้ ชา้ ๆ ไปอยูใ่ นชั้นของ นา้ มนั นา้ มนั ควรแยกออกจากน้าให้เร็วที่สดุ เก็บไว้ในภาชนะสุญญากาศที่อากาศเยน็ การกลัน่ ดงั กลา่ วแมจ้ ะเป็นวธิ ที ่ใี ชก้ ันมาก แตม่ ีข้อเสียหลายประการอันเน่อื งมาจากความรอ้ นทาให้ ปฏิกริ ิยาสลายตวั ต่างๆ เกดิ ข้ึน กลิน่ ทไี่ ดอ้ าจผดิ เพยี้ นไปจากธรรมชาติ สารประกอบบางตัวในนา้ มันหอม ระเหยที่ละลายได้ดี มจี ุดเดือดสงู จะไม่ถูกพามาโดยไอนา้ ดงั น้ัน นา้ มันหอมระเหยท่ีได้จากการกลั่นอาจ ไมใ่ ช่ท่ีเกดิ ในธรรมชาตเิ สมอไป โดยเฉพาะน้ามันหอมระเหยจากดอกไมท้ งั้ หลายซง่ึ เสียไดง้ ่าย เชน่ มะลิ ซอ่ นกลิ่น ไวโอเลต ดอกพดุ ไฮยาซิน เปน็ ตน้ เม่ือเวลากล่นั จะไม่ได้น้ามันหรือน้ามนั ท่ีได้มีปริมาณน้อยมาก และคณุ ภาพไมด่ ี การใช้วิธกี ล่นั จงึ ไม่เหมาะสม ต้องใช้วธิ ีอืน่ ทที่ าให้ไดน้ ้ามนั หอมระเหยใกลเ้ คียงทเ่ี กดิ ใน ธรรมชาติมากท่สี ดุ ตวั อย่างสมุนไพรที่ใช้ในการกลัน่ น้ามนั หอมระเหย - ไพล เหมาะสมกับการกล่ันดว้ ยนา้ และไอน้า (Water and steam distillation) ใช้เหงา้ ในการกล่นั ก่อนจะทาการกลน่ั ควรมีการหัน่ บางๆ เพื่อใหไ้ ปน้าผา่ นไดง้ า่ ย และไดน้ า้ มันท่ีมี คณุ ภาพและปรมิ าณมาก เม่ือกลนั่ แล้วจะไดเ้ ป้นของเหลว ไมม่ สี ี หรือมีสีเหลืองอ่อน ปราศจากตะกอน และสาร แขวนลอย ไม่มีการแยกชนั้ ของน้า มกี ล่ินเฉพาะตัวของไพล - ขมนิ้ เหมาะสมกับการกล่ันด้วยนา้ และไอน้า (water and steam distillation) ใชส้ ว่ นเหงา้ ในการกลนั่ ก่อนจะทาการ กล่นั ควรมกี ารหน่ั บางๆ เพื่อใหไ้ อน้าผ่านไดง้ า่ ยและได้น้ามันท่มี ีคุณภาพและปริมาณมาก เม่ือกลัน่ แลว้ จะได้ เป็นของเหลวใส มสี ีเหลอื งอ่อนปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย ไม่มีการแยกชั้นของนา้ มีกล่ินเฉพาะตวั ของขมิ้น - ตะไครห้ อม เหมาะสมกับการกล่ันดว้ ยน้าและไอน้า (water and steam distillation) ใช้สว่ นใบ ของตะไคร้หอมในการกลน่ั เมือ่ กล่ันแลว้ จะได้ของเหลวใส สเี หลืองออ่ น ปราศจากตะกอนและแยกชน้ั ของ นา้ มีกลิน่ เฉพาะตวั ของตะไคร้ 2. การสกัดด้วยน้ามนั สตั ว์ (extraction by animal fat) ใชก้ บั นา้ มันหอมระเหยท่รี ะเหยไดง้ า่ ยเมื่อใช้วธิ ีกลนั่ ด้วยไอน้า วิธนี จี้ ะใชเ้ วลานานเพราะต้องแช่พืชไว้ ในน้ามนั หลายวนั ซงึ่ นา้ มันจะช่วยดูดเอากลนิ่ หอมของน้ามันหอมระเหยออกมา วธิ ีน้ีใช้ในการสกดั นา้ มันหอม ระเหยจากดอกมะลิ ดอกกุหลาบ เป็นต้น
3. การสกดั ดว้ ยสารเคมี (solvent extraction) วธิ ีน้ีจะได้นา้ มันหอมระเหยท่ีมีความเข้มข้นสงู แต่คณุ ภาพไมด่ ีเท่าการกล่นั เพราะหลงั จาก การสกัดจะไดส้ ารอ่นื ปนออกมาดว้ ย การสกัดแบบนจี้ ะได้น้ามนั หอมระเหยทเ่ี รยี กวา่ absolute oil วิธีนีใ้ ช้กบั พืชใช้กับพืชทนความร้อนสงู ไมไ่ ด้ เชน่ มะลิ และท่ีสาคัญคือ หลงั จากการสกดั ต้องทาการระเหยสารเคมที ่ีใช้ เป็นตัวสกัดออกให้หมด สารเคมที ่นี ิยมใช้เป็นตวั สกัดคือ แอลกอฮอล์ 4. การคนั หรือบบี ทาให้น้ามนั ท่ีอยู่ในเปลอื กของผลไม้ เช่น เปลือกพืชตระกลู ส้ม ออกมาแต่นา้ มันหอมระเหยทไ่ี ดจ้ ะมี ปริมาณนอ้ ยและไมค่ ่อยบรสิ ทุ ธิ์ 5. การสกัดดว้ ยคารบ์ อนไดออกไซดเ์ หลว โดยปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกทาให้เป็นของเหลวท่คี วามดนั สูงเป็นวิธีที่ปจั จุบนั นยิ มใช้มากเพราะ จะไดน้ ้ามนั หอมระเหยที่มีกล่ินดี มีความบรสิ ทุ ธสิ์ งู แตว่ ิธีนจ้ี ะมีต้นทุนการผลติ ทส่ี ูง ข้อควรระวงั ควรเกบ็ นา้ มันหอมระเหยไวใ้ นขวดแกว้ เทา่ นน้ั ไม่ควรเกบ็ ไว้ในขวดพลาสตกิ อุปกรณ์และวธิ ีการทดลอง อุปกรณ์ 1. เหงา้ ขา่ 2. มีด 3. เครื่องน่ึงไอน้า 4. ผา้ ขาวบาง 5. บีกเกอร์ 6. กรวย 7. ขวดสเปรย์ 8. ไมอ้ ดั 9. เล่ือย 10. ไมบ้ รรทดั 11. ไมไ้ ผ่ 12. ถุงดาบรรจุขยะ 13. ลวดเหนียว 14. คีมหนีบลวด 15. เชือก
วธิ ีการค้นั นา้ ข่าสด 1. นาเหงา้ ขา่ ที่สด จานวน 5 กิโลกรัม มาลา้ งน้าใหส้ ะอาด 2. หน่ั เป็นแวน่ บางๆ แลว้ นามาปั่นกบั เคร่ืองป่ัน 3. เมื่อป่ันเสร็จแลว้ นาตะแกรงมากรองใส่บีกเกอร์ 4. ตม้ เพื่อกาจดั เช้ือโรคโดยใชต้ ะเกียงแอลกอฮอลล์ 5. นามาต้งั ไวเ้ พ่ือใหเ้ ยน็ ตวั 6. แบง่ น้าข่าออกมา 10 ml. 50ml. 100ml. ตามลาดบั โดยนาใส่บีกเกอร์ 7. ทาใหม้ ีความเขม้ ขน้ ตา่ งกนั คือ น้าข่า 100 % น้าข่า 50% 8. บรรจุลงในขวดสเปรย์ ท้งั สามขวด โดยเขียนกากบั ดว้ ยวา่ แตล่ ะขวดความเขม้ ขน้ เท่าใด เพอื่ ไมใ่ ห้ เกิดความสบั สน วธิ ีการทดลอง การสร้างเหตุ ( ตวั แปรตน้ หรือเหตุเป็นส่ิงสร้างได้ วดั ได้ ) วธิ ีการทากล่องควบคุมความชื้น 1. ใชไ้ มไ้ ผ่ ทาเป็นโครงกล่องสี่เหลี่ยมผนื ผา้ ใหไ้ ดข้ นาด 35 ×30 cm. ตอ่ กนั โดยใชล้ วด 2. ใส่โครงกล่องเขา้ ไปในถุงดาใส่ขยะแบบหนาสองถุง 3. จะไดก้ ล่องควบคุมความช้ืนอยา่ งง่าย ข้นั ตอนการทดลอง 1. เตรียมไมอ้ ดั ชนิดเดียวกนั ขนาด 30×15 เซนติเมตร จานวน 3 แผน่ 2. ใส่ไมอ้ ดั เขา้ ไปในกล่องควบคุมควมช้ืน โดยใหไ้ มอ้ ดั 1 แผน่ ต่อ 1 กล่อง 3. ฉีดน้าขา่ ท่ีเตรีมไวใ้ ส่แผน่ ไมอ้ ดั ดงั น้ี - แผน่ ท่ี 1 ฉีดนาเปล่า ปริมาณ 100 cc ลงบนไมอ้ ดั แผน่ ท่ี 1 แลว้ ทิง้ ไวเ้ พือ่ สงั เกตผล - แผน่ ท่ี 2 ฉีดสารสกดั จากขา่ 50% ปริมาณ 100 cc ลงบนแผน่ ไมอ้ ดั แผน่ ท่ี 2 แลว้ ทิ้งไวเ้ พื่อ สงั เกตผล - แผน่ ท่ี 3 ฉีดสารสกดั จากขา่ 100% ปริมาณ 100 cc ลงบนแผน่ ไมอ่ ดั แผน่ ที่ 3 แลว้ ทิ้งไวเ้ พือ่ สงั เกตผล 4. ใชเ้ ชือกมดั ปากถุงใหส้ นิท แลว้ รอสงั เกตผล
การควบคุมเหตุ ( ตวั แปรควบคุมหรือเหตุที่คุมไวไ้ ม่ใหส้ ่งเหตุไปก่อใหเ้ กิดผล ) ควบคุม ชนิดของไมอ้ ดั ความเขม้ ขน้ ของสารสกดั สถานที่ทาการทดลอง โดยไมอ้ ดั ตอ้ งเป็ นไมอ้ ดั ชนิด เดียวกนั ฉีดดว้ ยสารสกดั จากข่าที่มีความเขม้ ขน้ เท่ากัน และตอ้ งควบคุมสถานท่ีทาการทดลองตอ้ งเป็ น สถานที่เดียวกนั การวดั ผล (ตวั แปรตามเป็ นสิ่งท่ีวดั ไดส้ ังเกตได้ ) สังเกตได้จากระยะเวลาของการเกิดราบนไมอ้ ดั หลงั จากท่ีฉีดสารสกดั จากข่าลงบนไมอ้ ดั และ ปริมาณและขนาดของเช้ือราท่ีเกิดข้ึนบนแผน่ ไมอ้ ดั หมายเหตุ เน่ืองจากการทดลองเร่ิมทดลองในฤดู อากาศแหง้ จึงตอ้ งทากล่องควบคุมความช้ืน ผลการวจิ ัย จากผลการทดลองพบวา่ การทดสอบ หมายเหตุ คร้ังที่ 1 สารที่นามาทดสอบ เกิดเช้ือราเพียงเล็กนอ้ ย คร้ังที่ 2 เช้ือราเกิดมากท่ี หลงั จากวนั ท่ี 9 ไม่เกิดเช้ือรา โครงคล่องควบคุม น้าเปล่า (100 cc) เกิดเช้ือราเพียงเล็กนอ้ ย เกิดเช้ือราเพยี งเล็กนอ้ ยหลงั จาก สารสกดั จากข่า 50% หลงั จากวนั ที่ 8 วนั ท่ี 7-8 ( 100 cc ) สารสกดั จากข่า 100% เช้ือราเร่ิมเกิดหลงั จากวนั ที่ 8 เช้ือราเร่ิมเกิดหลงั จากวนั ที่ 7 ( 100 cc ) และเริ่มมีมาก และเริ่มมากในวนั ที่ 10
ระยะเวลาการเกดิ ( วนั ) หมายเหตุ สารทน่ี ามาทดสอบ 1 3 5 7 9 12 15 น้าเปล่า - - - - -- - สารสกดั จากข่า - - - / / // // 50% - ( 100 cc ) - - / // /// /// สารสกดั จากขา่ 100% ( 100 cc ) หมายเหตุ / หมายถึง วนั ทเี่ กดิ เชื้อราบนไม้อดั / , // , /// หมายถึง จานวนเชื้อราบนไม้อดั ตามลาดับ กราฟแสดงผลการทดลอง ผลการทดลองครัง้ ท่ี 1 4 วนั ที่ 3 วนั ที่ 5 วนั ที่ 7 วนั ที่ 9 วนั ท่ี 12 วนั ท่ี 15 3.5 นา้ เปลา่ นา้ ข่า 50% นา้ ข่า 100% 3 2.5 2 1.5 1 0.5 0 วนั ท่ี 1
สรุปผลการทดลองคร้ังท่ี 1 จากกราฟจะเห็นไดว้ า่ ความเขม้ ขน้ ของน้าขา่ มีผลต่อการเกิดของเช้ือรา โดยน้าข่าท่ีมีความเขม้ ขน้ 100% จะทาใหเ้ กิดไมอ้ ดั เช้ือรามากท่ีสุดเม่ือเปรียบเทียบกบั น้าเปล่า ผลการทดลองคร้ังท่ี 2 4.5 4 3.5 3 2.5 2 1.5 1 0.5 0 วนั ที่ 1 วนั ที่ 3 วนั ที่ 5 วนั ท่ี 7 วนั ที่ 9 วนั ท่ี 12 วนั ที่ 15 นา้ เปลา่ นา้ ข่า 50% นา้ ข่า100% สรุปผลการทดลองคร้ังท่ี 2 ความเขม้ ขน้ ของน้าข่ามีผลต่อการเกิดของเช้ือรา โดยน้าข่าที่มีความเขม้ ขน้ 100% จะทาให้เกิดไมอ้ ดั เช้ือรามากท่ีสุดเมื่อเปรียบเทียบกบั น้าเปล่า เช่นกนั กบั การทดลองท่ี 1 อภิปรายผล จากการทดลองสังเกตระยะเวลาการข้ึนของเช้ือราบนไมอ้ ดั เม้ือไมอ้ ดั ไดร้ ับความช้ืน ผลปรากฏว่า เช้ือราจะเกิดข้ึนบนไมอ้ ดั หลงั จาก 7- 8 วนั เช้ือราจะข้ึน การทดลอง สารสกดั จากข่าท่ีมีความเขม้ ขน้ ต่างกนั คือ 50% ,100% ตามลาดบั และน้าเปล่า ฉีดใส่ไม้ อดั ท้งั สามแผน่ ผลปรากฏวา่ ไมอ้ ดั ท่ีฉีดน้าเปล่าไม่มีเช้ือราเกิดข้ึน ไมอ้ ดั ท่ีฉีดน้าข่า 50% จะมีเช้ือราเกิดข้ึน เป็นจุดเล็กๆบริเวณขอบไมอ้ ดั จานวนมาก และไมอ้ ดั ที่ฉีดน้าข่า 100 % มีเช้ือราเกิดข้ึนมากที่สุด โดยมีเช้ือรา เกิดเป็นวงกวา้ ง และมีบริเวณขอบท่ีเกิดเป็นจุดเลก็ ๆหลายจุด
สรุปผล การทดลองนาสารสกดั จากข่าความเขม้ ขน้ ต่างกนั ไปทดสอบการยบั ย้งั เช้ือราบนไมอ้ ดั ท้งั 2 คร้ัง พบวา่ น้าข่าไม่สามารถการยบั ย้งั เช้ือราบนไมอ้ ดั ได้ เอกสารอ้างองิ - จากมหาวทิ ยาลยั มหิดล (อา้ งอิง จากhttp://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/alpinia.html ) - สารออกฤทธ์ิจากขา่ ,ภาคภมู ิ พาณิชยปู การนนั ท(์ ออนไลน)์ 2547 อา้ งอิงจาก http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=3785&gid=3 - Food Network Solution , Mold / รา,พมิ พเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ (ออนไลน)์ ,อา้ งอิงจาก http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0831/mold-%E0%B8%A3%E0%B8%B2 - pantip,ตขู้ ้ึนรา (ออนไลน์) อา้ งอิงจาก http://pantip.com/topic/30031570
สญั ญาที่ RDG5740040211 รายงานวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ โครงงานยอ่ ยที่ 10 เร่ือง เรอื่ ง ศกึ ษาปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ การแตกหน่อของข่า ( Factor Affecting the Sprouting of the Galangal) อาจารยท์ ป่ี รึกษาโครงงาน นายกติ ตพิ งษ์ บุญสาร คณะผู้วิจัย(นักเรียน) นางสาวศศิวมิ ล พงษเ์ ฉลยี ว นางสาวพยิ ดา บญุ แท้ นายธนกร สุขเกษม นายเสฎฐวฒุ ิ นตุ ะไว สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย(สกว) และ บมจ.ธนาคารกสกิ รไทย ชุดโครงการ “เพาะพันธ์ปุ ัญญา (พัฒนายุววิจยั )”
กติ ตกิ รรมประกาศ ในการจัดทาโครงงานRBL เรื่อง ศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อการแตกหน่อของข่า(Factor Affecting the sprouting of the Galangal) ในครั้งนี้สาเร็จลุล่วงได้ต้องขอกราบขอบพระคุณ นายชาติชาย สิงห์พรหมสาร ผู้อานวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นายเชิดชัย สิงห์คิบุตร รองผู้อานวยการ โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ คณะศูนย์พี่เล้ียงจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ให้คา ชแ้ี นะและอานวยความสะดวกในการทาโครงงานคร้ังนี้ กราบขอบพระคุณ คุณครูกิตติพงษ์ บุญสาร คุณครูแสงเดือน บกน้อย ท่ีให้คาปรึกษา ดูแลแนะนา และแก้ไขข้อบกพร่องในการทาโครงงานทุกด้าน กราบขอบพระคุณ คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และเพ่ือนนกั เรียนท่ีคอยใหก้ าลงั ใจ จนกระท่งั โครงงาน เรอ่ื ง ศกึ ษาปัจจัยท่มี ีผลต่อการแตกหน่อของข่า สาเร็จ ลุล่วงไปดว้ ยดี สิ่งใดอันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่โรงเรียนและส่วนรวมจากรายงานฉบับนี้ คณะผู้จัดทาขอมอบให้ บดิ ามารดา บูรพาจารย์และผ้มู พี ระคุณทกุ ทา่ น คณะผู้จดั ทา
บทคัดยอ่ ช่ือโครงงาน ศึกษาปัจจยั ที่มีผลตอ่ การแตกหน่อของขา่ นกั เรยี นผู้ทาโครงงาน นางสาวศศวิ มิ ล พงษเ์ ฉลียว นางสาวพยิ ดา บญุ แท้ นายธนกร สุขเกษม นายเสฎฐวฒุ ิ นุตะไว ------------------------------------------------------------------------------------------ ข่า เป็นประเด็นหลักของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสงั ฆราชูปถมั ภ์ เพ่อื เปน็ แนวทางในการศึกษาวจิ ัย และเป็นประโยชนใ์ นการนาไปใช้ในการปลูกข่าของ ผู้ท่ีสนใจ การวิจยั คร้ังนี้ต้ังสมมติฐาน คือ ความลึก รูปแบบการปลูก ระยะห่าง จานวนต้น ของข่าที่ปลูก มี ผลต่อการแตกหน่อของข่า ผลการวิจัย ข่าท่ีปลูกในระดับความลึกท่ี 10 มีการแตกหน่อได้ดีกว่าท่ีระดับความ ลึก 20 ซม. 30 ซม. และ 40 ซม. ซ่ึงข่าท่ปี ลูกในความลกึ ท่ี 40 ไมม่ กี ารแตกหนอ่ ข่าที่ปลกู แบบกลมุ่ มกี ารแตกหน่อ ดีกว่าข่าทป่ี ลกู แบบกระจาย โดยปลูกแบบกลุ่มจานวน 3 ต้นจะแตก หนอ่ ดีกวา่ ปลกู จานวน 5 ตน้ ดังน้ัน ความลึกของข่าที่ปลูก รปู แบบการปลูกของข่า มีผลต่อการแตกหน่อของ ข่าไม่เท่ากัน
บทนา ความเปน็ มาและความสาคญั ของโครงงาน ข่า เป็นพืชล้มลุกมีลาต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า “เหง้า” สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ข่าเจริญเติบโตได้ดี ในดินร่วนปนทรายท่ีความลึกประมาณ 15-30 ซม. มีประโยชน์หลายอย่างทั้งทางยาและการประกอบ อาหารส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากส่วนท่ีเป็นหน่ออ่อนของข่า เกษตรกรจึงนิยมปลูกเพ่ือการค้า โดยการขายหน่อ มีเกษตรกรตัวอย่างที่ อาเภอวารินชาราบ จังหวัดอุบลราชธานีได้มีการปลูกข่า เพ่ือขายหน่อข่า เป็นอาชีพรองจากการทานา กลุ่มของพวกเราจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง กบั การแตกหน่อของข่า ข่า จึงเป็นประเด็นหลักของโครงการเพาะพันธ์ุปัญญา โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆรา ชปู ถัมภ์ เพอื่ เปน็ แนวทางในการศึกษาวิจยั และเป็นประโยชนใ์ นการนาไปใช้ในการปลูกขา่ ของผู้ท่ีสนใจต่อไป วตั ถปุ ระสงค์ 1.เพ่อื ศกึ ษาเปรยี บเทยี บระดับความลึกของหลมุ ท่มี ผี ลตอ่ การแตกหนอ่ ของขา่ 2.เพอ่ื ศึกษารปู แบบการปลกู ทีม่ ีผลตอ่ การแตกหน่อของขา่ 3.เพือ่ หาระดับความลกึ ของการปลกู และรูปแบบที่ขา่ แตกหน่อไดด้ ีทีส่ ุด สมมตฐิ าน ความลึก รปู แบบการปลกู ระยะห่าง จานวนตน้ ของขา่ ท่ปี ลูก มผี ลต่อการแตกหน่อของข่า โครงงานนมี้ ีตวั แปรตอ่ ไปน้ี และแสดงผงั เหตุ-ผล ในรปู ท่ี 1 ตวั แปร ตวั แปรต้น ความลกึ รูปแบบการปลูก ระยะหา่ ง จานวนตน้ ของการปลูกขา่ ตัวแปรตาม จานวนหนอ่ ของขา่ ตัวแปรควบคมุ พันธุ์ของขา่ ชนดิ และปริมาณของป๋ยุ ชนดิ ของดิน(สถานทเ่ี ดยี วกนั ) ปริมาณการใหน้ า้ ขนาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลางของหลมุ จานวนเหงา้ ของการปลกู ระยะหา่ งของการปลูก ระยะห่างของหลุม รูปแบบการปลกู ความลึกจากระดบั ผวิ ดิน
ระยะ ความ หร่าะงยะห่าลงกึ เจริญเตบิ โต จานวนหน่อ ระยะ ความลึก ห่าจงานวนต้น เจรญิ เติบโต จานวนหนอ่ รูปที่ 1 ผงั เหตุผลหรือตวั แปรต้น(เหตุ) ตวั แปรตาม(ผล)ของโครงงานวจิ ัยนี้
แนวคิด และทฤษฎที ่เี ก่ียวขอ้ ง ขา่ ใหญ่ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Alpinia galanga Sw. อันดบั Zingiberales วงศ์ ZINGIBERACEAE ชื่อสามญั Galangal. ชอื่ อ่ืน ขา่ ใหญ่ ขา่ หลวง ข่าหยวก เสะเออเคย สะเชย (กะเหรยี่ ง-แม่ฮอ่ งสอน) สภาพแวดลอ้ มที่พบ ดินโปร่งร่วนซยุ ประเภทไม้ ไม้พุ่มลม้ ลกุ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ ไมล้ ม้ ลุกท่ีมอี ายุอยู่นานหลายปี ลักษณะลาตน้ มีข้อและปล้องขาวอวบอ้วน เห็นชดั เจนอยู่ใต้ดินส่วนที่อยู่ เหนือดนิ เป็นก้านและใบ สูงประมาณ 1-2 เมตร เป็นไม้ท่ีชอบขึ้นตามที่ลุ่ม ใบ ลกั ษณะรูปไข่ยาวหรือรปู รีขอบขนาน - คล้ายใบพาย สีเขียวเข้มเป็นมีนออกสลับกนั รอบ ๆ ลาต้น บนดิน ซ่งึ เป็นกาบของใบหุ้มลาต้น ใบกวา้ ง 5 - 11 ซม. ยาว 20-40 ซม. ปลายใบแหลม ดอก ดอก เปน็ ชอ่ สขี าวแตม้ ดว้ ยสีแดงเล็กน้อยออกตรงปลายยอด ดอกช่อจดั อยู่ดว้ ยกันอยู่อยา่ งหลวม ๆ ช่อทีอ่ ่อนมีกาบสีเขยี วอมเหลืองหุม้ มิด (spathe) สว่ นดอกสีขาวอมสีม่วงแดงนั้น จะบานจากข้างล่างขึน้ ข้างบน ผล ลกั ษณะกลมและมขี นาดเทา่ เมด็ บัว เมื่อแก่มีสดี าและมีเม็ดเลก็ ๆ อยู่ภายในมรี สขมเผด็ รอ้ นแหล่งที่พบพบ ไดท้ วั่ ไป ประโยชนแ์ ละความสาคญั ประโยชน์ทางยา เหง้าแก่ รสเผ็ดปร่า และรสร้อน สรรพคุณขับลมให้กระจาย แก้ฟกบวม แก้พิษไข้ ซับโลหิต รา้ ยในมดลูก ขับลมในลาไส้ รกั ษาโรคกลากเกล้อื น ประโยชน์ทางอาหาร การ ปรุงอาหารคนไทยท่ัวประเทศ รู้จักข่ากันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหง้าแก่ เหง้าอ่อน และดอกข่า ถอื ได้ว่าเปน็ ผกั เหง้าแกใ่ ชเ้ ป็นเคร่ืองปรุงรส แต่งกล่ิน และเป็นเครื่องปรุงสาคัญของต้มยาทุกชนิด และแกงบางชนดิ สว่ นเหงา้ ออ่ น ตน้ อ่อน และดอกอ่อน นามารบั ประทานสดๆ หรอื ลวกให้สกุ การปลูก การปลูกข่าในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้วิธีการปลูกแบบพื้นบ้าน หรือ ปล่อยให้เจริญ เติบโตไปตามธรรมชาติกัน อยู่มาก จึงทาให้เกิดปัญหาเร่ืองรูปทรงไม่สวย งาม ขนาดเล็ก และไม่เป็นท่ีต้องการของตลาด แต่ตลาดยังมี ความต้องการข่าอยู่ จานวนมาก เพื่อให้เกิดความเพียงพอต่อความต้องการของตลาด คุณ เสาร์คา จักร คา และ คุณ สุขเสริม จักรคา เกษตรผู้ปลูกข่า ผู้มีประสบการณ์การปลูกข่าจึง มีแนวคิดว่าถ้าสามารถทาให้พื้นท่ี เพาะปลูกข่านน้ั มีสภาพดินทโ่ี ปรง่ และร่วน ซุย สามารถอุ้มน้าได้ตามธรรมชาติอย่างเหมาะสม และมีความอุดม สมบูรณพ์ ียงพอ ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของตน้ ขา่ ก็น่าจะทาใหไ้ ด้หัวขา่ ทใ่ี หญ่ และเป็นทต่ี ้อง การของตลาดได้เป็น อยา่ งดี
วธิ ีการผลิตขา่ ให้มีขนาดใหญส่ มบรู ณ์ : คณุ เสาร์คา จกั รคา และ คณุ สุขเสรมิ จักรคา เกษตรผู้ปลูกข่า ได้แนะนาว่าหากเกษตรท่านใดมีงบใน การลงทนุ มากกส็ ามารถทาได้โดยใชร้ ถแบคโฮขดุ พนื้ ที่ ทจ่ี ะเพาะปลูกลง ลกึ ประมาณ 1 เมตร แล้วโปรยดินให้ กระจายตวั ออกจากกัน ทาอย่างน้ีจนทั่วทั้งพ้ืนที่ ที่จะเพาะปลูกเพ่ือที่จะให้ดินนั้นมีความโปร่งและร่วนซุยมาก ขึน้ จากนั้นขุดหลุม กวา้ ง 10 ซ.ม. ยาว 10 ซ.ม. ลกึ 10 ซ.ม. ระยะห่างระหวา่ งต้น 1x1 เมตร และรองก้นหลุม ด้วย ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1-2 กามือ ต่อ 1 ต้น จะทาให้เจริญเติบโตของหัวข่าเร็ว เพราะว่าหัวข่าสามารถ ขยายแตกกอได้อย่างอิสระ จะให้ผลผลิตมาก น้าหนักดี รูปทรงสวยงาม เป็นท่ีต้องการของตลาด ต่างจากการ ปลกู ขา่ แบบพน้ื บา้ นท่ีสภาพพ้ืนดนิ มคี วามหนาแน่นขาดการบารงุ และดินแข็งทาใหข้ ่าเจริญเติบโตช้าแตกกอได้ ช้ า แต่ถ้าหากมีเงินทุนน้อยก็สามารถทาได้โดยการไถพรวนดินด้วยรถไถที่มีอยู่หนึ่ง ครั้งแล้วไถซ้าพื้นท่ี เพาะปลูกอีกครั้งก่อนปลูก เพ่ือให้ดินมีความโปร่งและร่วนซุยมากขึ้น จากนั้นรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ย หมัก 1-2 กามือต่อ 1 ต้น โดยขุดหลุม กว้าง 10 ซ.ม. ยาว 10 ซ.ม. ลึก 10 ซ.ม. ระยะห่างระหว่างต้น 1x1 เมตร แล้วนากล้าขา่ ลงปลูกกไ็ ด้เช่นกนั http://www.infoforthai.com/forum/topic/4572 การปลกู ขา่ การเตรยี มดนิ - ควรไถเปดิ หน้าดนิ ลึกอย่างน้อย 50 ซม. พร้อมกับใส่อินทรยี วัตถุ แกลบดบิ เศษหญา้ เศษฟาง เศษใบไม้ ฯลฯ แล้วทาการไถย่อยให้ดินและอินทรียวัตถุเข้ากัน เพราะข่าชอบดินร่วนปนทราย เมื่อเวลาทาการย่อยสลายจะ เป็นธาตอุ าหารและอมุ้ ความชน้ื ได้ดี - ต้องเป็นพนื้ ทท่ี ี่นา้ ท่วมไม่ถึง หากทาเป็นแปลง ใหย้ กแปลงเปน็ หลงั เต่าป้องกันนา้ ขงั ขนาดกว้าง ยาวตาม ความเหมาะสม -ใชฟ้ างหรือเศษวัชพชื แหง้ คลุมหนา้ ดิน แลว้ รดดว้ ยนา้ จลุ ินทรยี ์ เพอ่ื เป็นการบม่ ดิน การเตรียมกล้าพันธุ์ วธิ ที ่ี 1 - ใชห้ วั หรือแงง่ แก่จดั จะให้ผลดกี วา่ หัวหรอื แงง่ ออ่ น โดยตัดเป็นทอ่ นยาว 3-4 นิ้ว มี ขอ้ +ตา 4-5 ตา ตดั ก้าน ใบหรอื ตน้ ให้เหลือ 5-6 น้วิ หรอื จะตดั ออกหมดเลยก็ได้ แต่ถ้ามีหนอ่ ใหมต่ ิดมา ที่เพงิ่ โผล่พน้ ดนิ ก็ให้เก็บไว้ สามารถนาไป ปลูกต่อได้ - ลา้ งหวั พันธ์ใุ ห้สะอาดด้วยน้ายาฆา่ เช้อื รา ระวงั อย่าใหร้ ากช้า เพราะรากสามารถเจรญิ เติบโตได้ แผลทเี่ ปน็ รอยตัด ให้เอาปูนแดงกนิ หมากทาทกุ แผล จากนนั้ ใหน้ าไปผงึ ลมในรม่ ปล่อยทง้ิ ไวใ้ ห้แหง้ จงึ นาไปปลกู วิธีที่ 2 -ใชห้ วั หรือแง่งแกจ่ ัดทซี ื้อมาจากตลาดใน สภาพทยี่ ังสด มีตาตามข้อเหน็ ไดช้ ดั ไมจ่ าเปน็ ต้องมรี าก ตดั แตง่ รอย ชา้
หรือเน่าทหี่ วั ออกให้หมด แลว้ นาไปแชน่ ้ายากนั รา จากนัน้ นาขึ้นมาผึงลมในร่มให้แห้งแลว้ ทาแผลดว้ ยปูนแดง กินกบั หมาก - นาหัวพนั ธุ์ทไี่ ดม้ าห่มความช้ืน โดยการห่อด้วยผ้าช้ืนนา้ หนาๆ นาไปเกบ็ ไวใ้ นรม่ ...หรอื หม่ กระบะโดยมีฟาง รองพืน้ หนาๆ วางท่อนพนั ธแ์ุ ลว้ กลบดว้ ยฟางหนาๆอีกชั้น รดน้าใหช้ ุ่มเก็บในท่ีร่ม...หรอื จะนาลงเพาะชาใน ขีเ้ ถา้ แกลบก็ได้ โดยใช้เวลาการหม่ ความช้นื 10-20 วนั รอให้รากงอกและแทงยอดใหมอ่ อกมา จงึ นาไปปลกู ต่อไป การปลกู -ขดุ หลุมกว้างประมาณ 30 ซม. ลึก 10 ซม. นาดนิ ที่ขดุ ขนึ้ มาคลุกกับเมลด็ สะเดา หรือใบสะเดาแหง้ สัก 1-2 กามือ ปยุ๋ หมกั หรอื ปุ๋ยคอกทหี่ มักดีแล้วสัก 1 กระป่องนม ผสมดินปลูก พร้อมกับปรับหลมุ ใหเ้ รียบ - จากน้นั วางท่อนพันธ์แุ บบนอนทางยาว โดยใหส้ ่วนตาชี้ข้ึนดา้ นบน จัดรากให้ช้กี างออกรอบทศิ ทาง ใสห่ ลมุ ละ 1-2 หวั ห่างกนั 1-2 ฝา่ มอื แล้วกลบดนิ โดยทาเปน็ โคกสงู ขน้ึ มาเล็กนอ้ ยๆ ไม่ต้องกดดินให้แน่น แลว้ คลมุ หน้าดนิ ดว้ ยฟางหรือเศษหญ้าแห้งใบไม้แห้ง เพอ่ื เก็บรักษาความชน้ื หน้าดิน -ระยะการปลกู ควรจัดระยะระหวา่ งหลมุ .80-1.00 ม. ระหวา่ งแถว 1.00-1.20 ม. -หลงั จากทป่ี ลูกเสรจ็ แลว้ ให้รดน้าตามทนั ที การปฏบิ ตั ิและบารุง -หลังจากปลกู ไปแล้วประมาณ 15-20 วนั รากจะเร่มิ เดิน ในชว่ งน้คี วรให้น้า 2-3 วนั /ครัง้ และให้น้าผสมปยุ๋ น้า ทาเอง 7-10 วนั คร้ัง -ให้ป๋ยุ หมัก/ปุย๋ คอก ทุก 1-2 เดอื น/ครัง้ แลว้ รดดว้ นน้าผสมปุ๋ยนา้ ทาเองตามทันที -ถา้ มีหนอ่ ใหมแ่ ทงขน้ึ มา ซึ่งในช่วงแรกจะมสี ีแดง บางรายอาจจะขุดขึ้นมารับประทานหรอื นาไปขายเป็นข่า อ่อน แต่ถ้าต้องการเก็บไว้เพ่ือเอาหวั หรือแง่ง กใ็ ห้นาเศษฟางหรือหญา้ แห้งมาคลมุ เพ่อื ป้องกนั แสงแดด แลว้ ปล่อยไวใ้ ห้กลายเปน็ สเี ขียวเพือ่ พฒั นาเปน็ ต้นใหญ่ต่อไป -การทเ่ี อา เศษวัชพืช เศษหญ้า เศษฟางมาคลุมหนา้ ดนิ บรเิ วณโคนกอขา่ เป็นการรักษาความชื้นหนา้ ดนิ ซึง่ ขา่ เปน็ พืชท่ชี อบความช้นื หน้าดิน แตต่ อ้ งมีการระบายนา้ ที่ดีด้วย การเจริญเติบโตจึงจะสมบรู ณแ์ ละงาม -การทเ่ี ราจะรวู้ ่าข่ามกี ารเจริญเตบิ โตดหี รือไม่ ใหส้ ังเกตดวู ่า ขา่ จะมีการแตกหน่อใหม่ออกมาอยา่ งสมา่ เสมอ กา้ นใบอวบอว้ นใหญ่ ใบหนาเขยี วเขม้ [/color]การเก็บเกี่ยวผลผลติ ขา่ อ่อน ให้ขดุ เม่ือเร่มิ ออกดอกชุดแรก โดย การเปดิ หน้าดินโคนต้นบริเวณที่จะเอาหน่อ แล้วตัดเอาเฉพาะสว่ นท่ีต้องการขา่ แก่ ให้ขดุ เม่ือข่าออกดอกชุดท่ี 2 หรอื มีหน่อเกดิ ใหม่ 5-6 หน่อ เมอื่ ข่าออกดอกชุดที่ 2-3 กจ็ ะได้หน่อหรอื แงง่ ที่แก่ข้ึนไปอกี ทั้งขนาดและ ปริมาณก็มากขนึ้ ไปดว้ ย -การขุดข้นึ มาแตล่ ะครงั้ ไมค่ วรขึ้นข้นึ มาหมดทั้งกอ ให้เหลือไว้ 3-4 แงง่ เพื่อเป็นต้นพันธุ์ ซ่ึงทาให้การปลูกข่า เพียงครั้งเดียว กส็ ามารถอยู่ได้เปน็ สิบปี -หลังจากทขี่ ดุ เอาหวั แงง่ ไปแล้ว ควรมกี ารปรบั ปรุงบารงุ ดินทกุ ครงั้ เพอ่ื ความสมบูรณ์และเปน็ การเพิม่ ธาตุ อาหารในดิน
-หลัง จากขุดเอาหัวหรือแง่งขึ้นมาแล้ว ต้องทาความสะอาดล้างเอาเศษดินท่ีติดมาออกให้หมด แล้วตัดแต่งให้ เรยี บรอ้ ย จากน้ันให้นาไปแช่ลงในน้าสารส้ม ซึ่งจะช่วยให้หัวข่าขาวสะอาด และเป็นการรักษาให้ข่าแลดูสดได้ นานวนั นอกจากน้ี การปลูกข่าแซมในสวนไม้ผล กล่ินของใบข่าจะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้ ส่วนหัวหรือแง่ง ก็ยังป้องกันแมลงศัตรูพืชใต้ดินได้อีกด้วย นอกจากน้ัน ข่ายังทาให้สภาพอากาศโดยรอบเย็นสบาย มีสภาพ รม่ เยน็ ประโยชน์ของ การปลูกขา่ เหง้าแก่ รสเผ็ดปร่า และรสร้อน สรรพคุณขับลมให้กระจาย แก้ฟกบวม แก้พิษไข้ ซับโลหิตร้ายใน มดลกู ขับลมในลาไส้ รักษาโรคกลากเกลอื้ น ประโยชน์ทางอาหารการ ปรุงอาหาร คนไทยท่วั ประเทศ รู้จักข่ากนั เปน็ อยา่ งดี โดยเฉพาะเหง้าแก่ เหงา้ อ่อน และดอกข่า ถือได้ว่าเปน็ ผัก เหงา้ แก่ใช้เป็นเคร่ืองปรุงรส แต่งกลิ่น และเป็นเคร่ืองปรงุ สาคัญของตม้ ยาทุกชนิด และแกงบางชนิด สว่ นเหง้าอ่อน ตน้ ออ่ น และดอกออ่ น นามารับประทานสดๆ หรือลวกให้สุก ใช้ เปน็ เครอื่ งจ้ิมกับน้าพรกิ เหง้าอ่อนสด ยังสามารถนาไปปรงุ เปน็ อาหารได้อีกด้วย เช่น ต้มขา่ ไก่ ตาเมยี่ งขา่ ไก่ หรอื ตาเม่ยี งข่า เปน็ ตน้ ประโยชน์ต่อสุขภาพรา่ งกายเหง้า อ่อนมีรสเผ็ด มสี รรพคุณเปน็ ยา ขบั ลมในลาไส้ แก้ ปวดมวนไซท้ ้อง ดอกอ่อนก็มี รสเผด็ เช่นเดยี วกัน เหงา้ อ่อน 100 กรมั ให้พลงั งานต่อร่างกาย 20 กโิ ลแคลอร่ี มี เส้นใย 1.1 กรมั แคลเซยี ม 5 มิลลิกรมั ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรมั เหล็ก 0.1 มลิ ลกิ รัม วติ ามินบี 1 0.13 มลิ ลกิ รมั วิตามินบี 2 0.15 กรัม และวิตามินซี 23 มิลลกิ รัม http://myveget.com อุปกรณ์ และวิธกี ารทดลอง อปุ กรณ์ จอบ เสียม สายยาง ถงั บวั รดนา้ ท่อซเี มนต์ มดี เขยี ง กรรไกร ตาชัง่ ปยุ๋ คอก รถเข็น ขา่ ฟาง
วธิ กี ารทดลอง แผนกจิ กรรม 84 วนั ที่ 1 ในไดอะแกรมหมายถงึ วนั ที่ 4 เดอื น ธนั วาคม พ.ศ .2557 และโครงงานน้ีจะสิ้นสดุ การทดลอง วันที่ 25 เดอื น กุมภาพนั ธ์ พ.ศ . 2558 การวิเคราะห์-สังเคราะห์ผลและเขียนรายงาน ใช้เวลา 15 วนั กาหนดแลว้ เสรจ็ สมบูรณว์ ันท่ี 10 เดอื น มีนาคม พ.ศ.2558 ขันท1ี่ เตรยี มพืนท่ีท่จี ะปลูก - เลือกพ้นื ท่ีท่เี หมาะสมและไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์อะไร - ใช้พน้ื ทป่ี ระมาณ50ตารางวา - ถางหญา้ ปรบั พืน้ ทบ่ี ริเวญปลูก ขันท2่ี เตรียมปลกู - ขดุ หลมุ ตามระยะท่วี างแผนโดยมีความกว้าง40ซม. ยาว40ซม. และความลึก 10 ,20,30และ40ซม. ตามลาดับ - ขุดขา่ จากบริเวณขอบสระของโรงเรียนเพ่ือนามาปลูก - ใช้ข่าทั้งหมด 192 ตน้ - ตดั เหง้ายาว 5 เซนตเิ มตร - ข่าท่ใี ช้ปลูกมคี วามยาว 60 ซม.วดั จากเหงา้ ถงึ ลาตน้ ขนั ท3ี่ ปลูกขา่ - ใสป่ ยุ๋ คอก 7 ขดี - นาขา่ ท่เี ตรยี มไว้มาปลกู ตามทก่ี าหนด โดยมีการปลูกท่ีแตกตา่ งกนั โดยมกี ารปลูกแบบกล่มุ กับแบบกระจาย เพ่ือบันทึกผลการทดลองและหาขอ้ สรุปต่างๆ - เมื่อปลกู เสรจ็ แล้วรดน้าหลุมละ 1 บวั รดนา้ ขันท4่ี การดูแลรักษา -รดน้าวันละ 1 ครงั้ หลงั จากเลิกเรียน จาก 15.30น.-16.00น.
รปู ภาพ การจาลองรูปแบบการปลกู ขา่
ผลการวิจยั ความลกึ ท่ี 10 ซม. วัน/เดือน/ปี แบบกลุ่ม แบบกระจาย 3 535 18/ธ.ค/57 19/ธ.ค/57 20/ธ.ค/57 ไม่มกี ารเปล่ยี นแปลง 21/ธ.ค/57 ไม่มกี ารเปล่ยี นแปลง ไมม่ ีการเปล่ยี นแปลง ไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลง 22/ธ.ค/57 23/ธ.ค/57 24/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 1 ซม. 25/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 1 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 1 ซม. ซม. 26/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 1 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 2 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 3 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 2 ซม. 28/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 4 ซม. ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 4 ซม. 29/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 2 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 5 ซม. 30/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 5 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 6 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 8 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 7 ซม. ซม. 31/ธ.ค/57 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 8 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 9 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 10 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 9 ซม. ซม. 1/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 11 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 13 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 11 ซม. 2/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 11 ซม. ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 14 ซม. 3/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 14 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 13 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 15 4/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 17 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 14 ซม. ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 16 ซม. 5/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 18 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 18 ซม. ซม. 6/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 19 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 17 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 21 ซม. 7/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 21 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 18 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 23 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 20 ซม. ซม. 8/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 19 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 25 9/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 23 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 21 ซม. ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 23 ซม. 10/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 24 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 26
11/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 26 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 23 ซม. ซม. 12/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 25 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 29 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 25 ซม. 13/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 28 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 26 ซม. ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 28 ซม. 14/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 30 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 32 15/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 28 ซม. ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 30 ซม. 16/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 32 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 35 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 33 ซม. 17/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 30 ซม. ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 34 ซม. ยอดตน้ ข่าเหี่ยวลง 33 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 37 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 35 ซม. 18/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 35 ซม. ยอดต้นขา่ เหี่ยวลง 33 ซม. ซม. ยอดตน้ ขา่ เหี่ยวลง 36 ซม. 19/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 39 ซม. ยอดต้นข่าเหี่ยวลง 34 ซม. ยอดต้นข่าเหี่ยวลง 38 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 36 ซม. 20/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 35 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 40 ซม. ยอดต้นข่าเห่ียวลง 38 ซม. 21/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 41 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 42 ซม. 22/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเห่ียวลง 42 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 37 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 44 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 41 ซม. 23/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหีย่ วลง 45 ซม. ยอดต้นข่าเห่ยี วลง 40 ซม. 24/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 42 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 43 ซม. 25/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหี่ยวลง 47 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหี่ยวลง 47 ซม. 26/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหี่ยวลง 49 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 45 ซม. 27/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหี่ยวลง 46 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหี่ยวลง 46 ซม. 28/ม.ค/58 ขา่ เหย่ี วแห้งทงั้ ต้น ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 49 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหี่ยวลง 48 ซม. ยอดต้นขา่ เหี่ยวลง 48 ซม. 29/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 49 ซม. 30/ม.ค/58 กาบข่าเริ่มหลุดล่วง ข่าเห่ยี วแหง้ ทงั้ ต้น 31/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 49 ซม. 1/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ข้ึน 1 ซม. กาบข่าเร่มิ หลุดล่วง 2/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 2 ซม. ข่าเหีย่ วแห้งท้ังต้น 3/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขน้ึ 3 ซม. ขา่ แตกหน่อขึน้ 1 ซม. 4/ก.พ/58 ข่าเหีย่ วแหง้ ทั้งต้น 5/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขน้ึ 4 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขน้ึ 2 ซม. 6/ก.พ/58 มขี า่ แตกหน่อเพม่ิ ข่าแตกหนอ่ ข้นึ 3 ซม. กาบขา่ เรม่ิ หลุดล่วง 7/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อขน้ึ 6 ซม. 8/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขน้ึ 7 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขึน้ 5 ซม. กาบขา่ เริ่มหลุดลว่ ง 9/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ข้นึ 8 ซม. 10/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อข้นึ 1 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 1 ซม. 11/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อขน้ึ 2 ซม. ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 2 ซม. 12/ก.พ/58 มีขา่ แตกหน่อเพมิ่ 13/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ขนึ้ 3 ซม. ขา่ แตกหน่อขึ้น 3 ซม. 14/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อขึ้น 4 ซม.
15/ก.พ/58 มขี า่ แตกหนอ่ เพ่มิ ขา่ แตกหนอ่ ขน้ึ 6 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 4 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 5 ซม. 16/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อขึ้น 9 ซม. ข่าแตกหน่อขนึ้ 7 ซม. มขี ่าแตกหนอ่ เพมิ่ 17/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อข้นึ 10 ซม. มีข่าแตกหนอ่ เพม่ิ ข่าแตกหน่อขึ้น 5 ซม. ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 7 ซม. 18/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อข้ึน 8 ซม. มขี ่าแตกหน่อเพ่ิม ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 8 ซม. 19/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อขึ้น 12 ซม. ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 9 ซม. ข่าแตกหน่อข้ึน 6 ซม. มีขา่ แตกหน่อเพมิ่ 20/ก.พ/58 มีขา่ แตกหนอ่ เพิ่ม ข่าแตกหน่อขน้ึ 10 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 7 ซม. ขา่ แตกหน่อขนึ้ 10 ซม. 21/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อขึ้น 13 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 11 ซม. ข่าแตกหน่อขึ้น 8 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ข้นึ 11 ซม. 22/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อขน้ึ 16 ซม. มีขา่ แตกหน่อเพ่ิม ขา่ แตกหน่อขน้ึ 12 ซม. 23/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 17 ซม. ข่าแตกหน่อขึ้น 13 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 10 ซม. ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 13 ซม. 24/ก.พ/58 มีข่าแตกหน่อเพิม่ ข่าแตกหน่อขน้ึ 15 ซม. 25/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขน้ึ 19 ซม. มีขา่ แตกหนอ่ เพม่ิ ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 12 ซม. ข่าแตกหน่อข้ึน 14 ซม. ความลึกที่ 20 วนั /เดือน/ปี แบบกลุ่ม แบบกระจาย 35 3 5 18/ธ.ค/57 ไม่มกี ารเปล่ียนแปลง ไม่มีการเปล่ียนแปลง ไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง ไมม่ ีการเปลีย่ นแปลง 19/ธ.ค/57 20/ธ.ค/57 21/ธ.ค/57 22/ธ.ค/57 23/ธ.ค/57 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 1 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 1 ซม. 24/ธ.ค/57 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 2 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 1 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 2 ซม. 25/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 1 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 3 ซม. 26/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 2 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 3 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 3 ซม. 28/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 3 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 4 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 4 ซม. 29/ธ.ค/57 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 5 ซม. 30/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 5 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 5 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 7 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 5 ซม. 31/ธ.ค/57 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 6 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 6 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 8 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 6 ซม. 1/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 8 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 7 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 9 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 7 ซม. 2/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 8 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 10 ซม. 3/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 10 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 9 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 12 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 8 ซม. 4/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 11 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 13 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 9 ซม. 5/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 14 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 10 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 14 ซม. 6/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 11 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 10 ซม. 7/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 16 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 12 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 15 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 11 ซม.
8/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 17 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 13 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 16 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 12 ซม. 9/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 14 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 17 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 13 ซม. 10/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 18 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 15 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 18 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 14 ซม. 11/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 19 ซม. 12/ม.ค/58 ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 20 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 16 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 19 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 15 ซม. 13/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 17 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 20 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 17 ซม. 14/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 21 ซม. 15/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 22 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 18 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 21 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 18 ซม. 16/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 23 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 19 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 20 ซม. 17/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 20 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 22 ซม. 18/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 24 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 21 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 23 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 21 ซม. 19/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 25 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 23 ซม. 20/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 26 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 23 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 24 ซม. 21/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 25 ซม. ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 25 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 25 ซม. 22/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 28 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 26 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 28 ซม. 23/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 30 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 26 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 29 ซม. 24/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหยี่ วลง 28 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 30 ซม. 25/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 32 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 32 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 33 ซม. 26/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 30 ซม. 27/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 33 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 31 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 35 ซม. ยอดต้นข่าเหยี่ วลง 34 ซม. 28/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 35 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 33 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 35 ซม. 29/ม.ค/58 ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 37 ซม. 30/ม.ค/58 ยอดตน้ ขา่ เหย่ี วลง 36 ซม. ยอดตน้ ขา่ เหยี่ วลง 34 ซม. ยอดตน้ ข่าเหย่ี วลง 36 ซม. 31/ม.ค/58 ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 37 ซม. ยอดตน้ ข่าเหยี่ วลง 35 ซม. ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 38 ซม. 1/ก.พ/58 ยอดต้นข่าเหย่ี วลง 36 ซม. ยอดต้นขา่ เหย่ี วลง 38 ซม. 2/ก.พ/58 ขา่ เหีย่ วแห้งทง้ั ต้น ขา่ เหย่ี วแหง้ ทั้งต้น 3/ก.พ/58 ขา่ เหีย่ วแห้งท้ังต้น ข่าเหีย่ วแหง้ ท้งั ตน้ 4/ก.พ/58 5/ก.พ/58 6/ก.พ/58 7/ก.พ/58 8/ก.พ/58 9/ก.พ/58 10/ก.พ/58
11/ก.พ/58 กาบขา่ เร่มิ หลุดล่วง กาบข่าเริ่มหลดุ ล่วง กาบขา่ เร่ิมหลดุ ลว่ ง กาบขา่ เรมิ่ หลดุ ลว่ ง 12/ก.พ/58 13/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อขนึ้ 1ซม. ข่าแตกหน่อข้นึ 1ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 1 ซม. ขา่ แตกหนอ่ ขน้ึ 1 ซม. 14/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ขน้ึ 2 ซม. ขา่ แตกหน่อขึ้น 2 ซม. ข่าแตกหน่อขึ้น 2 ซม. ข่าแตกหน่อขนึ้ 2 ซม. 15/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขึ้น 3 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 3 ซม. ขา่ แตกหน่อข้นึ 3 ซม. 16/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อขน้ึ 4 ซม. มขี ่าแตกหนอ่ เพิ่ม ขา่ แตกหนอ่ ขึ้น 4 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 3 ซม. 17/ก.พ/58 ข่าแตกหนอ่ ขนึ้ 5 ซม. ขา่ แตกหน่อขน้ึ 5 ซม. ข่าแตกหน่อขึน้ 5 ซม. 18/ก.พ/58 ข่าแตกหน่อข้นึ 5 ซม. ขา่ แตกหน่อข้ึน 6 ซม. ข่าแตกหน่อขึ้น 6 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 7 ซม. 19/ก.พ/58 มขี า่ แตกหน่อเพมิ่ มขี ่าแตกหนอ่ เพม่ิ มขี ่าแตกหน่อเพิ่ม 20/ก.พ/58 ขา่ แตกหน่อขนึ้ 7 ซม. ข่าแตกหนอ่ ขนึ้ 7 ซม. ขา่ แตกหน่อขึน้ 8 ซม. 21/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ขน้ึ 8 ซม. ข่าแตกหน่อขน้ึ 9 ซม. 22/ก.พ/58 ขา่ แตกหนอ่ ขนึ้ 10 ซม. 23/ก.พ/58 24/ก.พ/58 25/ก.พ/58
ความลกึ ท่ี 30 วัน/เดอื น/ปี แบบกลมุ่ แบบกระจาย 3 5 35 18/ธ.ค/57 ไม่มีการเปลย่ี นแปลง ไมม่ ีการเปลยี่ นแปลง ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง 19/ธ.ค/57 20/ธ.ค/57 21/ธ.ค/57 22/ธ.ค/57 23/ธ.ค/57 24/ธ.ค/57 25/ธ.ค/57 ยอดขา่ เหย่ี วลง1ซม. ยอดขา่ เห่ยี วลง1ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง1ซม. 26/ธ.ค/57 ยอดขา่ เหย่ี วลง2ซม. 28/ธ.ค/57 ยอดข่าเหย่ี วลง1ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง4ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง2ซม. 29/ธ.ค/57 ยอดข่าเหี่ยวลง4ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง4ซม. 30/ธ.ค/57 ยอดขา่ เหย่ี วลง5ซม. ยอดขา่ เหีย่ วลง3ซม. ยอดขา่ เหีย่ วลง6ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง5ซม. 31/ธ.ค/57 ยอดข่าเห่ยี วลง5ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง7ซม. 1/ม.ค/58 ยอดข่าเห่ียวลง8ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง7ซม. 2/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง8ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง9ซม. 3/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง12ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง10ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง11ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง11ซม. 4/ม.ค/58 ยอดข่าเห่ียวลง13ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง12ซม. ยอดขา่ เหยี่ วลง12ซม. 5/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง14ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง13ซม. 6/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง15ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง14ซม. 7/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง14ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง 15 ซม. 8/ม.ค/58 ยอดขา่ เหี่ยวลง16ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง15ซม. 9/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง17ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง17ซม ยอดขา่ เหี่ยวลง17ซม. 10/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง18ซม. 11/ม.ค/58 ยอดขา่ เหี่ยวลง18ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง18ซม. 12/ม.ค/58 ยอดขา่ เหี่ยวลง18ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง19ซม. 13/ม.ค/58 ยอดขา่ เหี่ยวลง 20 ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง20ซม ยอดข่าเหย่ี วลง19ซม. 14/ม.ค/58
15/ม.ค/58 ยอดขา่ เหยี่ วลง19ซม. ยอดข่าเหยี่ วลง21ซม. 16/ม.ค/58 ยอดขา่ เหย่ี วลง23ซม. 17/ม.ค/58 ยอดข่าเหีย่ วลง25ซม. ยอดขา่ เห่ยี วลง22ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง22ซม. ยอดขา่ เห่ียวลง22ซม. 18/ม.ค/58 ยอดขา่ เหย่ี วลง26ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง24ซม. 19/ม.ค/58 ยอดขา่ เห่ยี วลง28ซม. ยอดข่าเหีย่ วลง25ซม. ยอดขา่ เหีย่ วลง24ซม ยอดขา่ เหี่ยวลง25ซม. 20/ม.ค/58 ยอดขา่ เหย่ี วลง29ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง26ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง26ซม. 21/ม.ค/58 ยอดขา่ เห่ียวลง28ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง26ซม. 22/ม.ค/58 ข่าเห่ียวแหง้ ท้งั ตน้ ยอดข่าเหี่ยวลง29ซ. ยอดข่าเห่ียวลง26ซม. ยอดข่าเห่ียวลง27ซม. 23/ม.ค/58 กาบข่าเริ่มรว่ ง 24/ม.ค/58 ขา่ เห่ยี วแหง้ ทงั้ ตน้ ยอดขา่ เหี่ยวลง28ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง29ซม. 25/ม.ค/58 กาบข่าเริ่มรว่ ง 26/ม.ค/58 ยอดข่าเห่ยี วลง29ซม. 27/ม.ค/58 28/ม.ค/58 ข่าเหี่ยวแหง้ ทั้งตน้ ข่าเหีย่ วแห้งท้ังตน้ 29/ม.ค/58 กาบขา่ เร่ิมร่วง กาบขา่ เริ่มร่วง 30/ม.ค/58 31/ม.ค/58 1/ก.พ/58 2/ก.พ/58 3/ก.พ/58 4/ก.พ/58 5/ก.พ/58 6/ก.พ/58 7/ก.พ/58 8/ก.พ/58 9/ก.พ/58 10/ก.พ/58 11/ก.พ/58 12/ก.พ/58 13/ก.พ/58
14/ก.พ/58 ข่าเรม่ิ แตกหน่อ1ซม. ขา่ เริ่มแตกหน่อ1ซม. 15/ก.พ/58 16/ก.พ/58 ข่าเรม่ิ แตกหน่อ1ซม. ข่าเริ่มแตกหน่อ2 ขา่ เร่ิมแตกหนอ่ 1ซม. ขา่ เริ่มแตกหน่อ2ซม. 17/ก.พ/58 ขา่ เริ่มแตกหน่อ2ซม. ขา่ เรม่ิ แตกหน่อ4ซม. 18/ก.พ/58 ข่าเรมิ่ แตกหน่อ2ซม. ข่าเรมิ่ แตกหน่อ3ซม. ขา่ เริ่มแตกหนอ่ 5ซม. 19/ก.พ/58 ขา่ เรมิ่ แตกหนอ่ 3ซม. ข่าเริม่ แตกหน่อ4ซม. ขา่ เรมิ่ แตกหนอ่ 3ซม. 20/ก.พ/58 21/ก.พ/58 ขา่ เร่ิมแตกหนอ่ 4ซม. 22/ก.พ/58 23/ก.พ/58 24/ก.พ/58 25/ก.พ/58 วัน/เดือน/ปี ความลึกที่ 40 5 แบบกระจาย 5 แบบกลุม่ ไม่มีการเปลีย่ นแปลง 3 ไม่มีการเปล่ียนแปลง 18/ธ.ค/57 3 ไมม่ ีการเปลย่ี นแปลง 19/ธ.ค/57 ไมม่ ีการเปลยี่ นแปลง ยอดขา่ เหี่ยวลง1ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง1ซม. 20/ธ.ค/57 ยอดข่าเหย่ี วลง2ซม ยอดขา่ เหี่ยวลง1ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง2ซม. 21/ธ.ค/57 ยอดข่าเหย่ี วลง1ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง2ซม. ยอดขา่ เห่ียวลง3ซม. 22/ธ.ค/57 ยอดข่าเหี่ยวลง2ซม. 23/ธ.ค/57 ยอดขา่ เหยี่ วลง3ซม. 24/ธ.ค/57 25/ธ.ค/57 26/ธ.ค/57 28/ธ.ค/57 29/ธ.ค/57 30/ธ.ค/57 31/ธ.ค/57
1/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง3ซม. ยอดขา่ เหยี่ วลง4ซม. 2/ม.ค/58 3/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง5ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง4ซม. ยอดข่าเห่ียวลง5ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง5ซม. 4/ม.ค/58 ยอดขา่ เหย่ี วลง6ซม. ยอดข่าเหีย่ วลง5ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง6ซม. 5/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง6ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง7ซม. 6/ม.ค/58 ยอดขา่ เห่ยี วลง8ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง7ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง7ซม. 7/ม.ค/58 ยอดขา่ เหี่ยวลง9ซม ยอดข่าเห่ียวลง8ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง9ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง9ซม. 8/ม.ค/58 ยอดขา่ เหย่ี วลง10ซม. 9/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง10ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง 11 ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง11ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง10ซม. 10/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง12ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง12ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง13ซม. ยอดขา่ เหี่ยวลง11ซม. 11/ม.ค/58 12/ม.ค/58 ยอดข่าเหย่ี วลง13ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง14ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง14ซม. ยอดขา่ เห่ยี วลง12ซม. 13/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง14ซม. ยอดข่าเหยี่ วลง15ซม. ยอดข่าเหีย่ วลง15ซม. ยอดข่าเหย่ี วลง13ซม. 14/ม.ค/58 ยอดข่าเหยี่ วลง16ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง17ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง14ซม. 15/ม.ค/58 ยอดข่าเหี่ยวลง17ซม. 16/ม.ค/58 ยอดขา่ เหีย่ วลง18ซม ยอดขา่ เหย่ี วลง17ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง19ซม. ยอดข่าเห่ยี วลง16ซม. ยอดข่าเหี่ยวลง19ซม. ยอดขา่ เหย่ี วลง18ซม. 17/ม.ค/58 ข่าเหีย่ วแหง้ ท้ังตน้ ยอดขา่ เหี่ยวลง 18 ซม. ขา่ เหย่ี วแห้งทัง้ ต้น ยอดขา่ เห่ียวลง19ซม. ขา่ เห่ียวแหง้ ทงั้ ตน้ ขา่ เหี่ยวแหง้ ท้ังต้น 18/ม.ค/58 ยอดข่าเหยี่ วลง19ซม. 19/ม.ค/58 ข่าเหยี่ วแหง้ ท้ังต้น 20/ม.ค/58 21/ม.ค/58 ขา่ เหย่ี วแห้งท้งั ต้น 22/ม.ค/58 23/ม.ค/58 ขา่ เหยี่ วแห้งทัง้ ตน้ 24/ม.ค/58 25/ม.ค/58 ขา่ เห่ยี วแห้งทั้งต้น 26/ม.ค/58 27/ม.ค/58 28/ม.ค/58
29/ม.ค/58 กาบข่าเร่ิมหลดุ จากตน้ กาบข่าเร่ิมหลดุ จากต้น กาบข่าเร่ิมหลดุ จากตน้ กาบข่าเร่ิมหลุดจาก 30/ม.ค/58 ข่าไม่แตกหน่อ ข่าไม่แตกหน่อ ขา่ ไม่แตกหน่อ ตน้ 31/ม.ค/58 1/ก.พ/58 ขา่ ไม่แตกหน่อ 2/ก.พ/58 3/ก.พ/58 4/ก.พ/58 5/ก.พ/58 6/ก.พ/58 7/ก.พ/58 8/ก.พ/58 9/ก.พ/58 10/ก.พ/58 11/ก.พ/58 12/ก.พ/58 13/ก.พ/58 14/ก.พ/58 15/ก.พ/58 16/ก.พ/58 17/ก.พ/58 19/ก.พ/58 20/ก.พ/58 21/ก.พ/58 22/ก.พ/58 23/ก.พ/58 24/ก.พ/58 25/ก.พ/58
อภิปรายผล จากการปลกู ขา่ ทดลองเพื่อศึกษาปจั จยั ท่มี ผี ลต่อการแตกหน่อของข่าโดยใชค้ วามลกึ จานวนต้น ระยะหา่ งของตน้ ข่า พบวา่ ในระยะเวลา 6-9 วนั ข่ายงั มคี งสภาพเขียวเหมอื นวนั ทปี่ ลกู วนั แรกคือ วนั ท่ี 18 ธันวาคม 2557 หลงั จาก 6-9 วันต้นขา่ เริ่มเห่ียวลง เม่ือถึงวันที่ 6 กมุ ภาพันธุ์ 2558 ข่าท่ปี ลูกในระดบั ความลึกท่ี 10 ปลกู แบบกล่มุ จานวน 3 ต้น มีหนอ่ เกดิ ขึ้นมาก่อนทุกหลมุ หนอ่ สูง 19 ซม. มขี ่าแตกหน่อเพ่ิม 4 ตน้ วนั ท่ี 8 กุมภาพันธุ์ 2558 ขา่ ทีป่ ลูกในระดบั ความลึกที่ 10 ปลกู แบบกลุม่ จานวน 5 ตน้ มหี นอ่ เกิดข้นึ มาเปน็ หลุมทสี่ องหน่อสูง 15 ซม. มขี า่ แตกหน่อเพิ่ม 3 ตน้ วันท่ี 10 กุมภาพนั ธ์ุ 2558 ข่าท่ปี ลูกในระดบั ความลึกท่ี 10 ปลูกแบบกระจายจานวน 5 ต้น มหี นอ่ เกดิ ขึ้นมาเปน็ หลุมที่สามหนอ่ สูง 14 ซม. มขี า่ แตกหนอ่ เพม่ิ 2 ตน้ วนั ท่ี 11 กมุ ภาพันธุ์ 2558 ข่าท่ปี ลกู ในระดบั ความลึกท่ี 10 ปลกู แบบกระจายจานวน 3 ต้น มีหน่อเกดิ ขึ้นมาเป็นหลุมทส่ี ี่หนอ่ สูง 12 ซม. มขี า่ แตกหนอ่ เพิม่ 2 ตน้ วันที่ 16 กมุ ภาพันธ์ุ 2558 ข่าทป่ี ลกู ในระดับความลึกท่ี 20 ปลกู แบบกระจายจานวน 5 ต้น มหี นอ่ เกดิ ข้นึ มาเป็นหลุมท่ีห้าหนอ่ สูง 10 ซม. มขี า่ แตกหน่อเพม่ิ 1 ตน้ วันที่ 17 กุมภาพันธุ์ 2558 ขา่ ที่ปลูกในระดับความลึกท่ี 20 ปลกู แบบกลมุ่ จานวน 3 ตน้ มีหนอ่ เกดิ ขน้ึ มาเป็นหลุมทหี่ กหน่อสูง 8 ซม. มีขา่ แตกหน่อเพ่มิ 1 ตน้ วันท่ี 18 กมุ ภาพันธุ์ 2558 ขา่ ที่ปลกู ในระดับความลึกท่ี 20 ปลกู แบบกลมุ่ จานวน 5 ตน้ หน่อสูง 7 ซม. มีขา่ แตกหน่อเพ่ิม 2 ตน้ ข่าทปี่ ลกู ในระดบั ความลึกที่ 20 ปลกู แบบกระจาย จานวน 3 ตน้ หน่อสงู 6 ซม. มหี น่อเกดิ ขนึ้ มาเป็นหลุมท่ีเจ็ดพร้อมกนั วนั ที่ 19 กมุ ภาพนั ธุ์ 2558 ขา่ ท่ีปลูกในระดับความลึกที่ 30 ปลูกแบบกลมุ่ จานวน 5 ต้นหน่อสูง 4 ซม. ขา่ ทีป่ ลกู ในระดับความลกึ ท่ี 30 ปลกู แบบกระจาย จานวน 5 ตน้ หน่อสงู 5 ซม. มหี น่อเกิดขน้ึ มาเป็นหลุมทีแ่ ปดพรอ้ มกัน วันที่ 20 กุมภาพนั ธ์ุ 2558 ขา่ ที่ปลกู ในระดับความลึกท่ี 30 ปลูกแบบกลุ่มจานวน 3 ตน้ มีหนอ่ เกิดข้นึ มาเปน็ หลุมท่เี ก้าหน่อสงู 4 ซม. วนั ที่ 21 กมุ ภาพนั ธุ์ 2558 ข่าทป่ี ลกู ในระดับความลึกที่ 30 ปลูกแบบกระจายจานวน 3 ต้น มหี น่อเกิดข้ึนมาเปน็ หลุมท่หี ้าหน่อสงู 3 ซม. ส้ินสุดวนั ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ความลึกท่ี 40 ปลูกแบบกลมุ่ ปลูกแบบกระจาย จานวนต้น 5 ต้น 7 ตน้ ไม่มกี ารแตกหน่อ
ผลการทดลอง ตารางที่ 1 ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง การปลูกแบบกลมุ่ ชนดิ ปลกู จานวน(หนอ่ ) จานวนปลกู 10 cm 20 cm 30 cm 40 cm 2 - 3 41 1 - 5 32 4.5 จานวนปลกู 3 ต้น 4 จานวนปลกู 5 ต้น 3.5 20cm 30cm 40cm 3 2.5 2 1.5 1 0.5 0 10cm
ตารางท่ี 2 ตารางบันทึกผลการทดลอง การปลกู แบบกระจาย 40 cm ชนดิ ปลูก จานวน(หน่อ) - จานวนปลกู 10 cm 20 cm 30 cm - 3 211 5 211 2.5 2 1.5 จานวนปลกู 3 ต้น 1 จานวนปลกู 5 ต้น 0.5 0 20cm 30cm 40cm 10cm สรุปผล 1. ขา่ ท่ปี ลกู ในระดบั ความลึกที่ 10 มีการแตกหน่อได้ดีกว่าที่ระดับความลึก 20 ซม. 30 ซม. และ 40 ซม. ซ่ึงขา่ ท่ปี ลูกในความลึกที่ 40 ไมม่ ีการแตกหนอ่ 2. ข่าทปี่ ลูกแบบกลุม่ มีการแตกหนอ่ ดกี วา่ ขา่ ทีป่ ลกู แบบกระจาย โดยปลูกแบบกลมุ่ จานวน 3 ต้นจะแตก หน่อดีกว่าปลูก จานวน 5 ตน้ ดังนน้ั ความลกึ ของข่าทป่ี ลูก รูปแบบการปลกู ของข่า มีผลต่อการแตกหน่อของขา่ ไม่เทา่ กนั
เอกสารอา้ งอิง 1. http://www.infoforthai.com/forum/topic/4572 2.http://myveget.com 3.http://www.mof.or.th/web/uploads/knowledge/251_ka-how-to.pdf 4.http://www.infoforthai.com/forum/index.php?topic=4165.0;wap2 5. http://sci-center.uru.ac.th/2554-07-19-02.pdf 6.http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05016151250&srcday=2007/12/15&se arch=no 7.http://alangcity.blogspot.com//02/2013blog-post_.7538html 8.http://www.mygreengardens.com 9.http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=939&s=tblplant 10.http://howjob.blogspot.com/2011/01/500.html
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196