วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อทดสอบหาผงแปง้ ในขา่ ผง 2. เพอ่ื ศกึ ษาการละลายของข่าผงในอุณหภูมทิ ี่ต่างกัน 3. เพือ่ ฝึกทกั ษะการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม 4. เพ่อื ฝึกการคิดอย่างเปน็ กระบวนการและเปน็ เหตเุ ปน็ ผล แนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี กยี่ วข้อง ข่า เปน็ พชื พื้นเมอื ง ทม่ี ถี ิ่นกาเนดิ ในแถบ เอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต้ เช่น ศรลี งั กา อินโดนีเซีย ฟิลปิ ปินส์ อนิ เดยี เปน็ ต้น ข่าเป็นพชื ที่ปลูกงา่ ย พบได้ท่ัวไปในทกุ ภาคของประเทศ ข่าเป็นไมล้ ้มลุกท่ีมอี ายยุ นื นานหลายปี ลาต้นลงหวั อยู่ใตด้ ิน ลกั ษณะภายนอกของลาตน้ มขี ้อ และปล้องเหน็ ได้ ชดั เจน อยูใ่ ต้ดิน สว่ นท่เี หนอื ดิน จะเป็นกา้ นและใบ สงู ประมาณ 1-2 เมตร พชื ชนดิ นจ้ี ะเป็นทีร่ ูจ้ กั กัน เปน็ อยา่ งดี เพราะได้มีการนามาใช้ประโยชน์ ในการปรงุ อาหารรับประทาน หากสนใจจะปลูกขา่ ก็ทางา่ ยนิดเดียว เพียงแต่นาเหง้าแกๆ่ ของข่า ทสี่ ามารถหาซ้ือไดจ้ ากทอ้ งตลาดท่วั ไป ลงปลูกในดนิ โปร่งรว่ นซยุ มคี วามอุดม สมบรู ณ์ ชุ่มชื้น และไม่มนี า้ ขงั การปลกู ควรให้มีระยะห่าง เพื่อให้แตกกองา่ ย ขา่ เปน็ พืชที่ปลกู ง่าย ไม่มีศตั รูพชื รบกวน ประโยชนท์ างยา เหงา้ แก่ รสเผด็ ปรา่ และรสรอ้ น สรรพคุณขับลมใหก้ ระจาย แก้ฟกบวม แก้พษิ ไข้ ซบั โลหิตร้ายใน มดลกู ขับลมในลาไส้ รักษาโรคกลากเกล้ือน ประโยชนท์ างอาหาร การปรงุ อาหาร คนไทยทวั่ ประเทศ รู้จกั ขา่ กันเปน็ อย่างดี โดยเฉพาะเหงา้ แก่ เหง้าอ่อน และดอกขา่ ถอื ไดว้ า่ เป็นผัก เหง้าแก่ใช้เป็นเคร่ืองปรุงรส แต่งกล่นิ และเป็นเคร่อื งปรุงสาคญั ของต้มยาทกุ ชนดิ และแกงบาง ชนดิ สว่ นเหง้าออ่ น ตน้ อ่อน และดอกอ่อน นามารับประทานสดๆ หรอื ลวกให้สุก ใช้เป็นเคร่ืองจิ้มกับนา้ พรกิ เหง้าอ่อนสด ยังสามารถนาไปปรุงเปน็ อาหารได้อีกดว้ ย เชน่ ต้มขา่ ไก่ ตาเมยี่ งข่าไก่ หรอื ตาเมย่ี งข่า เป็นต้น ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย เหงา้ อ่อนมรี สเผ็ด มสี รรพคุณเป็นยา ขบั ลมในลาไส้ แก้ปวดมวนไซท้ ้อง ดอกอ่อนกม็ ี รสเผด็ กฃ เชน่ เดยี วกัน เหงา้ ออ่ น 100 กรัม ให้พลงั งานต่อร่างกาย 20 กโิ ลแคลอรี่ มเี สน้ ใย 1.1 กรัม แคลเซียม 5 มลิ ลิกรมั ฟอสฟอรัส 27 มลิ ลกิ รัม เหล็ก 0.1 มิลลกิ รมั วิตามินบี 1 0.13 มลิ ลิกรัม วิตามินบี 2 0.15 กรมั และ วติ ามนิ ซี 23 มิลลกิ รมั ทีม่ า : http://www.organicthailand.com/product-th-845621-448070- %E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2+%E0%B8%9C%E0%B8%87+++1%E0%B8%81%E0%B8%81..html
การตรวจสอบหาคาร์โบไฮเดรต มี 2 วธิ ี คอื 1. การทดสอบแป้ง จะใช้สารละลายไอโอดีนหยดลงบนอาหารท่ีต้องการทดสอบ ถ้าอาหารที่ทดสอบมี แปง้ เปน็ ส่วนประกอบจะเปลยี่ นสีสารละลายไอโอดนี จากสีน้าตาลเปน็ สมี ่วงเข้มเกือบดา หรอื ม่วงแกมนา้ เงิน 2. การทดสอบนาตาล จะใช้สารละลายเบเนดิกต์ หยดลงไปในอาหาร แล้วนาไปต้มในน้าเดือด ถ้าเกิด ตะกอนสีสม้ สเี หลอื ง หรอื สอี ฐิ แสดงว่าอาหารนน้ั มีน้าตาลเป็นส่วนประกอบ ทม่ี า : http://www.mu.ac.th/e-QuizMarie/html/1098/science.htm การทดสอบแปง้ ทดสอบโดยใช้สารละลายไอโอดีน มีสีเหลือง น้าตาล ถ้าเป็นแป้ง และเปลี่ยนเป็นสีน้าเงิน เขม้ หรือ ม่วงดา หน้าทแ่ี ละประโยชนข์ องคารโ์ บไฮเดรต 1. ให้พลังงานและความรอ้ น ( 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 4 แคลอร่ี ) 2. ชว่ ยสงวนโปรตีนให้ร่างกายนาไปใช้ในทางทีเ่ ปน็ ประโยชน์มากท่ีสุด 3. คาร์โบไฮเดรตทีเ่ หลือใช้ เปล่ยี นเปน็ ไขมันสะสมในรา่ งกายได้ ประเภทของคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรต จาแนกได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามโครงสร้างของโมเลกุล คือ มอนอแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) ไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) และพอลิแซก็ คาไรด์ (polysaccharide) 1. มอนอแซก็ คาไรด์ มอนอแซ็กคาไรด์ เป็นคาร์โบไฮเดรตท่ีมีขนาดโมเลกุลเล็กมาก ประกอบด้วยคาร์บอน 3–8 อะตอม ไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซ์ให้เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เล็กลงไปอีก จึงสามารถจาแนกมอนอแซ็กคาไรด์ได้ ตามจานวนอะตอมคารบ์ อนทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบ ได้ดงั นี้ – ไตรโอส (triose) เปน็ คาร์โบไฮเดรตที่มีคารบ์ อน 3 อะตอม – เทโทรส (tetrose) เป็นคาร์โบไฮเดรตทีม่ คี าร์บอน 4 อะตอม เชน่ อรี ิโทรส (erythrose) – เพนโทส (pentose) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคาร์บอน 5 อะตอม เช่น ไรโบส (ribose) ดีออกซีไรโบส (deoxyribose) – เฮกโซส (hexose) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคาร์บอน 6 อะตอม ได้แก่ กลูโคส ฟรักโทส และกาแลก โทส เปน็ เฮกโซสท่ีพบมากที่สดุ – เฮปโทส (heptose) เป็นคาร์โบไฮเดรตท่ีมีคาร์บอน 7 อะตอม เช่น ซีโดเฮปทูโลส (sedoheptulose) – ออกโทส (octose) เปน็ คารโ์ บไฮเดรตทีม่ คี ารบ์ อน 8 อะตอม ท่มี า : http://www.biochem.arizona.edu/classes/bioc462/462a/NOTES/CARBO/carb_structure.htm
นาตาลเฮกโซส มี 3 ชนิดตามโครงสร้าง คือ – น้าตาลกลูโคส (glucose) ซ่ึงพบในเลือด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านมสามารถเปลี่ยนน้าตาลซูโครส (sucrose) แลกโทส (lactose) และมอลโทส (maltose) และแป้ง กลูโคสยังพบในผลไม้อีกหลายชนิด เช่น องนุ่ เงาะ เปน็ ตน้ โครงสรา้ งของนา้ ตาลกลโู คสแบบโซเ่ ปิดและโซ่ปิด มอนอแซ็กคาไรด์ สามารถจาแนกตามหมู่ฟังก์ชันท่ีแตกต่างกันในโมเลกุลได้เป็นแอลโดส (aldose) ซ่ึงมีหมู่ ฟังกช์ นั เปน็ แอลดีไฮด์ และคีโทส (ketose) ซงึ่ มีหม่ฟู ังก์ชนั เป็นคีโตน เช่น กลูโคสจัดเป็นน้าตามแอลโดส และ ฟรักโทสจัดเป็นน้าตาลคีโทส เป็นต้น ทมี่ า: http://bio1151.nicerweb.com/Locked/media/doc/Art/art.html อปุ กรณแ์ ละวิธีการทดลอง 8. ขวดโหล หรอื ขวดแกว้ 9. มีด อุปกรณ์ 10. ถุงพลาสตกิ 1. สารละลายไอโอดนี 11. กะละมัง 2. เหงา้ ขา่ 12. ขวดพลาสติกใส 3. เคร่ืองปนั่ 13. ซองพลาสตกิ 4. ผ้าขาวบาง 5. บีกเกอร์ 6. ถาด 7. น้าเปลา่ วธิ ีการทดลอง การสร้างเหตุ ( ตวั แปรตน้ หรอื เหตุเปน็ สิ่งสรา้ งได้ วดั ได้ ) 1. คดั เลือกข่าไมอ่ ่อนและไม่แก่จนเกินไปมาทาการทดลองโดยเลอื กศกึ ษาเฉพาะเหงา้ ขา่ 2. นามาล้างใหส้ ะอาดชั่งน้าหนกั ของหัวขา่ นามาห่นั เปน็ ชิน้ เลก็ ๆ 3. นาไปปั่นให้ละเอียดนาผ้าขาวกรองเอาเฉพาะน้าข่า หลังจากน้ันให้เนื้อข่าตกตะกอน แล้วจึงเอา เฉพาะเน้ือข่าทตี่ กตะกอนไปตากแดด 4. นาเนอ้ื ขา่ ผงทีไ่ ด้มาชงั่ นา้ หนกั ทดสอบสมบัตกิ ารละลายนา้ และทดสอบแปง้ การควบคุมเหตุ ( ตวั แปรควบคุมหรือเหตุที่คมุ ไว้ไมใ่ หส้ ง่ เหตุไปกอ่ ใหเ้ กดิ ผล ) ควบคุม ข้ันตอนการทดลอง หาปริมาณของข่าผง โดยการควบคุมน้าหนักของข่า ปริมาตรน้า ภาชนะท่ีใช้ ตาก ตากเนือ้ ขา่ จนแหง้ การวดั ผล (ตัวแปรตามเป็นสิง่ ทวี่ ดั ได้สังเกตได้ ) การตากเนื้อขา่ ท่ีตกตะตอน โดยหวั ขา่ 1800 g ตอ่ น้า 1000 ml ระยะเวลาในการตากแดด 14.05 – 14.42 น. ศึกษาดูว่า น้าหนักของผงข่าที่ได้ มีน้าหนักเท่าใด ผงข่าเป็นแป้งหรือไม่ เม่ือทดสอบการละลายน้า ของขา่ ผงระหว่างนา้ อุณหภูมหิ อ้ ง น้าร้อน และนา้ เย็น น้าชนดิ ไหนจะเป็นตวั ทาละลายไดด้ ีกวา่ กัน
ผลการวิจัย จากผลการทดลองพบวา่ ตารางที่ 1 ทดสอบผงขา่ ท่ไี ด้ โดยใช้หลอดทดลองขนาดเล็ก 3 หลอด ใสน่ ้ากลัน่ หลอดละ 5 ml และผงข่าหลอดละ ½ ช้อนชา แลว้ หยด สารละลายไอโอดีนเพ่ือทดสอบวา่ มแี ป้งหรือไม่ พบว่า หลอดที่ ใสส่ ารละลายนา้ กล่ัน ปรมิ าณผงขา่ ก่อนเติมสารละลายไอโอดนี หลงั เติมสารละลายไอโอดีน 1 5 ml ½ ชอ้ นชา สขี าวขนุ่ สนี ้าเงนิ อมมว่ ง 2 5 ml ½ ชอ้ นชา สีขาวขุ่น สนี า้ เงนิ อมมว่ ง 3 5 ml ½ ชอ้ นชา สขี าวขนุ่ สีน้าเงิน อมม่วง หมายเหตุ สารละลายไอโอดีน สีนา้ ตาล ตารางที่ 2 การหานาหนักผงขา่ เรมิ่ ทดลอง เวลา 14.00-14.42 น. การตากเน้ือข่าท่ีตกตะตอน โดยขา่ 1800 g ตอ่ นา้ 1000 ml ได้ขาผง 32 g ถาดสแตนเลส นา้ หนักขา่ ปรมิ าณนา้ ระยะเวลาการทดลอง น้าหนกั ผงข่า เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 60 cm (ตากแดด) 6.4 g 6.3 g ใบที่ 1 360 g 200 ml 5 นาที 6.4 g 6.4 g ใบท่ี 2 360 g 200 ml 15 นาที 6.5 g ใบที่ 3 360 g 200 ml 25 นาที ใบที่ 4 360 g 200 ml 32 นาที ใบที่ 5 360 g 200 ml 42 นาที ตารางท่ี 3 ชนดิ ของนา้ ที่ใชท้ ดสอบ ระยะเวลาในการละลายน้าของข่าผง 10 วินาที 20 วินาที 30วนิ าที 60วนิ าที นา้ อุณหภมู ิห้อง - * ** ** นา้ ร้อน - * ** *** นา้ เยน็ - * * ** หมายเหตุ - ไม่ละลาย * ละลายน้อย ** ละลายปานกลาง *** ละลายมาก
อภิปรายผล การหาผงแป้งในข่าผง โดยการนาหวั ข่า มาชัง่ น้าหนกั ให้ได้ 1800 g หน่ั เป็นช้ินเลก็ ๆ แล้วนามาป่นั ใหล้ ะเอียด โดยใช้นา้ 1000 ml เป็นสว่ นผสม กรองเอาเฉพาะน้าขา่ แล้วทิ้งไวใ้ ห้ตกตะกอน เทน้าใสอยูด่ ้านบน ทงิ้ เอาเฉพาะเนือ้ ขา่ ไปเทถาดสแตนเลส เส้นผ่านศูนย์กลาง 60 cm โดยเทใสใ่ นถาด 5 ใบ น้าหนกั ขา่ ถาดละ 360 g เทา่ กนั ใบท่ี 1 ระยะเวลาการทดลอง 5 นาที น้าหนกั ผงขา่ 6.4 g ใบท่ี 2 ระยะเวลาการทดลอง 15 นาที น้าหนักผงข่า 6.3 g ใบท่ี 3 ระยะเวลาการทดลอง 25 นาที น้าหนกั ผงข่า 6.4 g ใบที่ 4 ระยะเวลา การทดลอง 32 นาที นา้ หนักผงข่า 6.4 g และใบที่ 5 ระยะเวลาการทดลอง 42 นาที น้าหนักผงขา่ 6.5 g น้าหนักรวมขาผงท้ังหมดได้ 32 g การตากเน้ือข่าท่ตี กตะตอน โดยหัวขา่ 1800 g ตอ่ น้า 1000 ml ระยะเวลาในการตากแดด 14.00 – 14.42 น. ศกึ ษาดูวา่ น้าหนักของผงข่าทไ่ี ด้ มีน้าหนักเทา่ ใด ผงขา่ ที่ไดม้ ี สมบตั เิ ปน็ แป้งหรือไม่ โดยใช้หลอดทดลองขาดเล็ก ใส่สารละลายน้ากลน่ั 5 ml ใส่ผงข่า ½ ชอ้ นชา เขยา่ ให้ เขา้ กันพบวา่ เปน็ สีขาวขุน่ เมื่อทดสอบหยดสารละลายไอโอดีน(สีเหลือง) จานวน 2 หยด ลงไป พบวา่ เปลีย่ น จากสีเหลอื งเป็นสนี ้าเงินอมม่วงแสดงว่ามีแปง้ ในผงข่า อา้ งองิ การทดสอบแปง้ จาก http://www.mu.ac.th/e-QuizMarie/html/1098/science.htm และเมื่อทดสอบการละลายนา้ ระหว่าง นา้ อุณหภูมิห้อง น้าร้อน และน้าเย็น น้าชนดิ ไหนจะเปน็ ตัวทาละลายได้ดกี ว่ากนั พบวา่ นา้ ร้อนมคี ุณสมบัติ เปน็ ตัวทาละลายได้ดกี ว่านา้ เยน็ และน้าอุณหภมู ิห้อง สรุปผล การทดสอบขา่ ผงที่ได้พบวา่ มีแป้งจรงิ จาก การทดสอบกบั สารละลายไอโอดนี จะเปลยี่ นจากสีเหลือง เป็นสีนา้ เงนิ อมม่วง และเม่อื ทดสอบการละลายน้า ระหว่างนา้ อุณหภูมหิ ้อง น้าร้อน และน้าเย็น พบว่าน้าร้อน มีคุณสมบัติเป็นตัวทาละลายได้ดีกว่าน้าเย็นและน้าอุณหภูมิห้อง การทากิจกรรมได้ฝึกทักษะการทางาน ร่วมกัน สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อน และรู้จักการทางานเป็นทีม ได้ใช้กระบวนการคิดในการแก้ปัญหา ใช้ เหตุ ใช้ผล และได้องค์ความรูใ้ หม่
เอกสารอ้างองิ กระปุกดอทคอม. กาเนิดของข่า (ออนไลน์) 2555 (อา้ งเมื่อ 22 ธนั วาคม 2557). จาก : http://www.organicthailand.com/product-th-845621-448070- %E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2+%E0%B8%9C%E0%B8%87+++1%E0%B8%81%E0%B 8%81..html ครบู ้านนอก. การทดสอบแป้ง (ออนไลน์) 2557 (อา้ งเม่ือ 2 มนี าคม 2558). จาก : http://www.mu.ac.th/e-QuizMarie/html/1098/science.htm - www.//google.com - www.sti.chula.ar.th/research2 - http : // helth.kapook.com/viw65106.html ? view=full. - www.kondoodee.com - www.gotoknow.org
สญั ญาที่ RDG5740040211 รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ โครงงานยอ่ ยท่ี 3 เรอ่ื ง การปลูกข่า( Galangal Planting) อาจารย์ที่ปรกึ ษาโครงงาน นายเดชมณี เนาวโรจน์ นางสาคร ทองเทพ นายชานล นนทกุลพงษ์ คณะผู้วิจัย(นกั เรยี น) นางสาว ปยิ ะวรรณ วงษ์ศิริ นางสาว รจนา เนื่องโคกแปะ นาย ชยั วัฒน์ หมนื่ สขุ สนับสนนุ โดยสานกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย(สกว) และ บมจ.ธนาคารกสกิ รไทย ชุดโครงการ “เพาะพนั ธุ์ปัญญา (พฒั นายวุ วจิ ยั )”
กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานวิจัยเลม่ นจ้ี ะสาเรจ็ สมบูรณไ์ ด้ดว้ ยดโี ดยไดร้ บั การสนับสนุนและคาปรึกษาจากคุณครู ได้แก่ ครูเดชมณี เนาวโรจน์ นางสาคร ทองเทพและ นายชานล นนทกลู พงษ์ซ่ึงเป็นที่ปรกึ ษาโครงงานเลม่ นี้ ตลอดจนใหค้ วามชว่ ยเหลอื ทางดา้ นเครื่องมือพร้อมทัง้ ความรแู้ ละคาแนะนาต่างๆ ขอขอบคุณในการอนุเคราะห์และแรงสนับสนนุ จากบิดาและมารดาทส่ี ่งเสริมในการศึกษา คน้ คว้าตลอดจนให้กาลังใจและ ขอขอบคุณทางโรงเรียนผู้ให้การสนับสนนุ ความรแู้ ละเอ้ือเฟ้ือสถานท่ีในการจดั กิจกรรมหรือ ทาการทดลอง ท่ีสาคัญขอขอบใจเพื่อนทุกคนท่ีให้ความร่วมมอื รว่ มแรง ร่วมใจจากคณะการทางาน ทีม่ ีความ มงุ่ มน่ั ตง้ั ใจทางานและเสียเวลาและกาลังกายทั้งความคิดความรู้ จนไดผ้ ลงานเสรจ็ สมบูรณแ์ ละลลุ ว่ งได้ด้วยดี จึงทาใหโ้ ครงงานสาเร็จลลุ ว่ งไปดว้ ยดี คณะผจู้ ดั ทา
บทคัดยอ่ ช่ือโครงงาน การปลกู ขา่ ( Galangal Planting) ผูจ้ ดั ทา นางสาว ปิยะวรรณ วงษ์ศริ ิ นางสาว รจนา เน่ืองโคกแปะ ครทู ป่ี รกึ ษา นาย ชยั วัฒน์ หม่นื สขุ นายเดชมณี เนาวโรจน์ โรงเรยี น นางสาคร ทองเทพ ปีท่ีทา นายชานล นนทกลุ พงษ์ สมเด็จพระญาณสงั วร ในพระสงั ฆราชูปถมั ภ์ 2557 ข่าเป็นพืชพื้นบ้านที่มีประโยชน์อย่างมากมายเป็นทั้งอาหารและยาสมุนไพร การปลูกข่าให้ได้ปริมาณ มากและเพียงสามารถทาเป็นอาชีพเชิงพาณิชย์ได้ โรงเรียนได้กาหนดพื้นให้ในการปลูกข่าเพื่อความเป็น ระเบยี บและสวยงามเหมาะสมกบั สภาพพื้นท่ี คือ บรเิ วณรอบสระนา้ และบรเิ วณสวนแปลงเกษตรกรรม ถ้าจะมีการลงทุนให้คุ้มค่าควรจะปลูกบริเวณใด ดังน้ันการทดลองการปลูกข่าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา การเจริญเติบโตของข่า จากบริเวณหรือแหล่งปลูกใดที่มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของข่า ดีกว่ากัน โดยการศกึ ษาเปรยี บเทียบสภาพดิน ค่า pH ขนาดเม็ดดิน การซมึ ผ่านของน้าในดนิ สีของเมด็ ดนิ ผลจากการทดลองขนาดของเมด็ ดิน สามารถสรุปได้ว่าขนาดเม็ดดิน ก (ข้างห้องน้า หรือแปลงเกษตร) มี ขนาดเมด็ ดินใหญ่(0.05มิลลเิ มตร) กวา่ ขนาดเมด็ ดิน ข (0.03มิลลิเมตร) ผลจากการสังเกตสีของดนิ สรุปได้ว่าดนิ ก (ข้างห้องนา้ หรอื แปลงเกษตร) มสี เี ทาเข้มหรือออกสีดาส่วนดิน ข (ดนิ จากขอบสระนา้ ) มีสีขาวออกน้าตาลไม่เข้มหรือสีครีมๆ ผลจากการทดลองการซมึ ผา่ นของน้าสรุปผลการทดลองได้ว่าดิน ก (ข้างห้องน้า หรือแปลงเกษตร) มีการ ซมึ ผา่ นของนา้ ไดเ้ รว็ กว่า ดิน ข (ดนิ จากขอบสระน้า) ผลการทดลองตรวจค่า ph พบวา่ ดิน ก (ขา้ งห้องนา้ หรือแปลงเกษตร) มีค่าph 7 ซึง่ มีความเป็นกลาง ดนิ ข (ดนิ จากขอบสระน้า) มีคา่ ph เทา่ กับ 5 ซ่ึงมคี วามเปน็ กรด สรุปผลการทดลองปลูกข่า ทาให้ทราบว่า ดินบริเวณ ข (ดินจากขอบสระน้า) ส่งผลต่อการแตกหน่อ ดกี ว่า ดนิ จากบริเวณ ก (ขา้ งหอ้ งน้า หรอื แปลงเกษตร) ดินบริเวณ ก (ข้างห้องน้า หรือแปลงเกษตร) ความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต(ความสูงของข่า และการแตกยอดของ ดีกวา่ ดินจากบริเวณ ข ดนิ จากบรเิ วณ (ดนิ จากขอบสระน้า)
บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของโครงงาน ข่าเป็นไม้ล้มลุกชนิดหน่ึงที่คนไทยคุ้นเคยจนรู้สึกว่าข่าเป็นพืชธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษแต่น่าแปลกใจ ท่ีว่าคนรุ่นก่อนนาพืชสมุนไพรอย่างข่ามาใช้ประโยชน์อย่างมากมาย นอกจากนี้ข่าเป็นหัวข้อหลักในการทา โครงงานซึง่ ต้องใชข้ ่าเป็นจานวนมากในการทาโครงงานในครั้งน้ี กลุ่มของพวกเราจึงสนใจการศึกษาการทดลองการปลูกข่าเพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของข่าโดย เปรียบเทียบคุณภาพดินที่เหมาะสมต่อการปลูกข่า ซ่ึงทางโรงเรียนได้กาหนดบริเวณท่ีจะปลูกข่าให้จานวน 2 บริเวณ เพื่อความเป็นระเบียบและสวยงาม เหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ คือ (ก) บริเวณสวนแปลงเกษตรกรรม และ (ข)บริเวณรอบสระน้า ปรมิ าณใดจะมีความเหมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตและปลูกข่า ได้ดกี วา่ กัน วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ศึกษาวธิ ีการปลูกข่า 2. เพ่อื เปรียบเทียบดนิ ว่าดนิ ใดเหมาะสมแก่การปลกู พืช 3. เพอื่ ให้เกดิ รายได้
แนวคดิ ทฤษฎีที่เกยี่ วขอ้ ง ขา่ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Alpiniagalanga (L.) Willd. ชือ่ สามัญ : Galanga วงศ์ : Zingiberaceae ชือ่ อ่ืน : ขา่ หยวก ขา่ หลวง (ภาคเหนอื ) , กฏกุ กโรหินี (ภาคกลาง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ สูง 1.5-2 เมตร เหง้ามีข้อและปลอ้ งชัดเจน ใบ เดย่ี ว เรยี งสลบั รปู ใบ หอก รปู วงรหี รือเกือบขอบขนาน กวา้ ง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ชอ่ ออกทีย่ อด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลบี ดอกสขี าว โคนติดกนั เปน็ หลอดสั้นๆ ปลายแยกเปน็ 3 กลีบ กลบี ใหญท่ ่ีสดุ มีร้วิ สีแดง ใบประดับรปู ไข่ ผล เปน็ ผลแห้งแตกได้ รูปกลม สรรพคณุ : ขา่ เป็นพืชท่ีนามาใชป้ ระโยชนท์ างด้านอาหารมากมาย ใชใ้ สใ่ นตม้ ขา่ ตม้ ยา น้าพริกแกงทุกชนดิ ใส่ ข่าเป็นสว่ นประกอบ ยกเวน้ แกงเหลอื งและแกงกอและทางภาคใตท้ ี่ไมน่ ยิ มใส่ข่า มีบทบาทในการดบั กลิน่ คาว ของเน้ือและปลา นอกจากนนั้ ขา่ ยังมฤี ทธิ์ทางยา เหงา้ แกแ่ กป้ วดท้อง จุกเสยี ด แนน่ ดอกใชท้ าแกก้ ลาก เกล้ือน ผลช่วยย่อยอาหาร แกค้ ล่ืนเหียน อาเจียน ต้นแกน่ าไปเคี่ยวกับน้ามนั มะพร้าว ทาแกป้ วดเมื่อย เปน็ ตะครวิ ใบมีรสเผ็ดร้อน แก้พยาธิ สารสกดั จากข่ามีฤทธิ์ฆา่ เช้ือแบคทเี รีย น้ามันหอมระเหยจากขา่ มีฤทธิ์ทาให้ ไขแ่ มลงฝอ่ กาจดั เชือ้ ราบางชนดิ ได้ ใชผ้ สมกับสะเดาเพ่ือเพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการกาจัดแมลงข่า ลดการบีบตัว ของลาไส้ ขับน้าดี ขับลม ลดการอักเสบ ยบั ยัง้ แผลในกระเพาะอาหาร ฆ่าเช้ือแบคทเี รยี ฆ่าเช้อื ราใช้รกั ษา กลากเกลื้อน การทดสอบความเป็นพิษ สารสกดั ขา่ ด้วยเอทานอล รอ้ ยละ 50 ไม่พบความเป็นพษิ เม่ือใหท้ างปากหรือฉดี เข้าใตผ้ ิวหนัง หนู แต่มีความเป็นพษิ ปานกลางถึงมากเม่ือฉีดเข้าชอ่ งท้องหนู สารสกัดเหง้าข่าดว้ ยเอทานอลรอ้ ยละ 95 ไม่ พบความเปน็ พษิ เมอ่ื ให้หนูทางปากในขนาด 3 กรัม/กโิ ลกรัม นา้ มนั หอมระเหยจากเหงา้ ข่ามีความเป็นพิษ ปานกลางเม่ือฉีดเขา้ ช่องท้องหนูตะเภา สารสกัดแอลกอฮอล์จากเหงา้ ขา่ ขนาด 100 มลิ ลลิ ิตร/กโิ ลกรัม ไม่พบ ความเป็นพิษเมื่อฉดี เขา้ ช่องท้องหนเู มาส์ติดต่อกนั 7 วัน การทดสอบความเปน็ พิษกึ่งเรื้อรงั พบวา่ สารสกัดข่าดว้ ย เอทานอลร้อยละ 95 ให้หนูโดยผสม กับน้าดม่ื ในขนาด 100 มลิ ลิกรมั /กิโลกรมั ตดิ ต่อกนั 3 เดือน ทาให้หนตู ายถงึ ร้อยละ 15 ( http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_02_1.htm)
ข่า เปน็ พชื ทีม่ ลี าต้นอยู่ใต้ดินเรียกวา่ \"เหงา้ \" อย่ใู นวงศข์ งิ เปน็ ไมล้ ม้ ลกุ เปน็ พชื สมุนไพรทนี่ ามาใช้ในการ ประกอบอาหารในประเทศไทยและอนิ โดนีเซีย ขา่ มีช่อื สามัญอื่นอีกคือ กฎกุ กโรหนิ ี (กลาง) ข่าหยวก (เหนอื ) ข่าหลวง (ตะวันออกเฉยี งเหนือ,เหนอื ) สะเอเชย (กะเหรยี่ ง แม่ฮ่องสอน) และ เสะเออเคย (กะเหรย่ี ง แมฮ่ ่องสอน)[1] ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ขา่ เปน็ ไมล้ ม้ ลุก สูง 1.5-2 เมตรอยู่เหนอื พน้ื ดนิ เหง้ามขี ้อและปล้องชัดเจน เน้ือในสเี หลอื งและมีกลน่ิ หอม เฉพาะ ใบเดีย่ วเรยี งสลบั รปู ใบหอก รปู วงรหี รอื เกอื บขอบขนาน กวา้ ง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออก ท่ียอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสขี าว โคนติดกนั เป็นหลอดสนั้ ๆ ปลายแยกเป็น 3 กลบี กลบี ใหญ่ที่สุดมีริว้ สีแดง ใบประดบั รูปไข่ ผล เปน็ ผลแห้งแตกได้ รปู กลม ประโยชน์ของขา่ 1. ชว่ ยใหเ้ จริญอาหาร (ข่าหลวง) 2. ช่วยบารุงรา่ งกาย (เหง้า) 3. ชว่ ยบารุงธาตุไฟ (หนอ่ ) 4. ข่ามสี าร 1-acetoxychavicol acetate (ACA) ซ่งึ มฤี ทธยิ์ ับย้ังการเกิดโรคมะเร็งจากการเหนียวนา ของสารก่อมะเร็ง จงึ ช่วยปอ้ งกนั การเกิดโรคมะเร็งไปด้วยในตวั (เหงา้ ) 5. มฤี ทธช์ิ ว่ ยยบั ยั้งการเจรญิ เตบิ โตของเซลล์มะเรง็ (สารสกัดจากเหง้า) 6. สารสกัดจากเหง้ามฤี ทธิช์ ว่ ยช่วยลดระดบั นา้ ตาลในเลือด (สารสกดั จากเหงา้ ) 7. ช่วยรกั ษาโรคหลอดลมอักเสบ (เหง้าแก่,สารสกดั จากเหง้า) 8. ช่วยขบั เลือดลมใหเ้ ดินสะดวก ชว่ ยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายให้ดี ขึน้ (ราก) 9. นา้ มนั หอมระเหยจากขา่ มีประโยชน์อยา่ งมากต่อระบบทางเดินหายใจ จงึ มสี ่วนช่วยแก้อาการหวัด ไอ และเจ็บคอไดเ้ ป็นอย่างดี (สารสกัดจากเหง้า) 10. ช่วยแกล้ มแน่นหน้าอก (หนอ่ ) 11. ช่วยแกไ้ ขส้ นั นบิ าตหนา้ เพลงิ (เหง้าแก่) 12. ข่าสรรพคุณทางยาชว่ ยแกเ้ สมหะ (เหงา้ ,ราก) 13. ช่วยแกอ้ าการคล่นื ไส้อาเจยี น เมารถเมาเรือ ด้วยการใช้เหง้าขา่ แกส่ ด ยาวประมาณ 1 น้วิ ฟตุ นามาตา จนละเอยี ดแล้วเตมิ น้าปูนใส ใชน้ า้ ยาดม่ื คร้ังละครง่ึ แก้วหลงั อาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า) 14. ผงจากผลแหง้ สามารถนามาใชร้ กั ษาอาการปวดฟนั ได้ ด้วยการนาผลไปบดแลว้ นามาทาบรเิ วณท่ปี วด (ผลข่า) 15. ใชเ้ ปน็ ยาแกท้ ้องขน้ึ ทอ้ งอดื ท้องเฟ้อ จกุ เสียดแนน่ ท้อง ทอ้ งเดิน ด้วยการใชเ้ หง้าขา่ แก่สด ยาว ประมาณ 1 น้วิ ฟุตนามาตาจนละเอียดแลว้ เติมนา้ ปูนใส ใช้นา้ ยาด่มื ครง้ั ละครึง่ แก้วหลงั อาหารวันละ 3 เวลา (เหงา้ ) 16. ดอกข่ารับประทานช่วยแก้อาการท้องเสยี ได้ (ดอก) 17. ชว่ ยขับลมในลาไส้ ดว้ ยการใช้เหง้าขา่ แกส่ ด ยาวประมาณ 1 นิ้วฟุตนามาตาจนละเอียดแลว้ เติมนา้ ปูน ใส ใชน้ า้ ยาดืม่ ครง้ั ละครง่ึ แกว้ หลงั อาหารวันละ 3 เวลา (เหง้า)
18. ขา่ สรรพคุณช่วยแกบ้ ดิ ปวดมวนทอ้ ง ลมป่วง ด้วยการใชเ้ หง้าขา่ แก่สด ยาวประมาณ 1 นวิ้ ฟตุ นามา ตาจนละเอียดแลว้ เติมน้าปูนใส ใช้น้ายาดืม่ ครัง้ ละคร่ึงแกว้ หลังอาหารวันละ 3 เวลา (เหงา้ ) 19. ช่วยรกั ษาโรคท้องร่วง (ผลข่า) 20. ช่วยอาการแก้อาหารเป็นพษิ (เหงา้ ) 21. เหงา้ ขา่ แก่ช่วยย่อยอาหาร ชว่ ยแก้อาการอาหารไมย่ ่อย (เหง้าแก่,ผลขา่ ) 22. มฤี ทธิ์เปน็ ยาระบายอ่อนๆ (เหง้า) 23. ชว่ ยยับยัง้ แผลในกระเพาะอาหาร (เหง้า) 24. ชว่ ยทาลายสารพษิ ทต่ี กค้างในลาไส้ (สารสกดั จากเหง้า) 25. ชว่ ยลดการบีบตวั ของลาไส้ (สารสกัดจากเหง้า) 26. ช่วยขบั นา้ ดี (เหง้า) 27. ช่วยแกด้ ีพิการ (ข่าหลวง) 28. ช่วยขับเลอื ด ขับน้าคาวปลา ขับรก ดว้ ยการใช้เหงา้ นามาตากบั มะขามเปยี กและเกลือให้หญงิ รบั ประทานหลังคลอด (เหง้า) 29. ใชเ้ ปน็ ยารักษาแผลสด (สารสกดั จากเหงา้ ) 30. ชว่ ยลดอาการอักเสบ (เหงา้ ) 31. สารสกดั จากเหงา้ มีฤทธ์ชิ ่วยต้านอาการแพต้ ่าง (สารสกดั จากเหงา้ ) 32. ช่วยแกพ้ ิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (สารสกดั จากเหง้า) 33. สรรพคณุ ขา่ ใช้รกั ษาโรคผิวหนังต่างๆ (เหง้า) 34. ช่วยฆา่ เช้ือแบคทเี รยี และเชื้อรา (สารสกัดจากเหงา้ ) 35. ช่วยฆา่ พยาธิ (น้ามนั หอมระเหย,ใบ) 36. สรรพคณุ ของข่า ชว่ ยรกั ษากลากเกลือ้ น ดว้ ยการใชเ้ หงา้ แกเ่ ทา่ หัวแม่มือ นามาตาจนละเอียดผสมกับ เหลา้ โรง ใชท้ าบรเิ วณทเ่ี ป็นกลากเกลอื้ นบ่อยๆ จนกว่าจะหาย (เหง้า,ใบ) 37. ชว่ ยแก้ฝีดาษ (ดอกของข่าลงิ ) 38. ใชเ้ ปน็ ยาแกล้ มพษิ ด้วยการใช้เหงา้ ข่าแกๆ่ ท่ีสด 1 แงง่ นามาตาจนละเอยี ด แลว้ เติมเหล้าโรงพอแฉะ และใช้ทงั้ น้าและเน้ือนามาทาบริเวณทีเ่ ปน็ ลมพิษบ่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหงา้ ) 39. ชว่ ยแกโ้ รคน้ากัด ดว้ ยการใช้เหงา้ แกส่ ดขนาดเทา่ หัวแม่มือ นามาตาให้ละเอียดแล้วเติมเหล้าโรงพอ ทว่ มทิ้งไว้ 2 วนั แลว้ ใช้สาลีชบุ แล้วทาบรเิ วณท่ีเปน็ วนั ละ 3 รอบ (เหงา้ ) 40. ช่วยแกฟ้ กชา้ ข้อเทา้ แพลง เคลด็ ขัดยอก ดว้ ยการใช้เหง้าแก่ตาละเอียด นามาพอกบริเวณทีม่ อี าการ หรอื ตาให้ละเอยี ดแล้วนาไปแชก่ บั เหลา้ ขาวหรือน้าส้มสายชูทิง้ ไว้ 1 วนั กรองเอาแตน่ ้ามาใช้ทาบริเวณทเ่ี ปน็ (เหง้า) 41. ช่วยแก้ตะครวิ (เหงา้ ) 42. ชว่ ยแก้เหน็บชา (เหง้า) ช่วยแกอ้ าการปวดเมอื่ ยตามกลา้ มเนอ้ื อาการปวดบวมตามขอ้ ด้วยการใช้ตน้ ข่าแก่นามาตาผสมกับน้ามนั มะพรา้ วแล้วทาแก้อาการ (ต้นแก่,ใบ,สารสกดั จากเหงา้ ) 43. ดอกและลาต้นออ่ นสามารถใชร้ บั ประทานเปน็ ผกั สดได้ (ลาต้น,ดอก)
44. เหงา้ ของขา่ ลิง เอามาต้มน้าแลว้ นานา้ มาผสมกับสุรา จะช่วยเพ่ิมดีกรีของสรุ า ทาให้ดีกรีไม่ตก สรุ ามี กลน่ิ ฉุนแรงมากขึ้น (เหงา้ ของข่าลิง) 45. ช่วยแก้กามโรค (เหง้าของข่าลงิ ) 46. ชว่ ยบารงุ สมรรถภาพทางเพศ 47. สารสกัดจากเหง้าขา่ มฤี ทธ์ิช่วยฆ่าแมงลงวนั ได้ (สารสกดั จากเหง้า) 48. ประโยชนข์ า่ ช่วยไล่แมลง ด้วยการใช้เหงา้ นามาตาให้ละเอียดเพ่อื เอาน้ามันหอมระเหย แลว้ นาไปวาง ในบรเิ วณทม่ี แี มลง (เหง้า) 49. ขา่ มีเหง้าท่มี ีน้ามนั หอมระเหย มีกล่นิ หอม สามารถใช้ดับกลิ่นคาวของเน้ือสัตว์ กุง้ หอยปูปลาไดเ้ ป็น อย่างดี (สารสกดั จากเหงา้ ) 50. ในบางประเทศใชข้ ่าเพ่ือช่วยระงบั กล่ินปากปากและใช้ดบั กลนิ่ กาย 51. ขา่ ประโยชน์นามาใชป้ ระกอบอาหารได้หลายชนดิ ไมว่ ่าจะเป็น ต้มข่าไก่ ตม้ ยากุ้ง ตม้ ยาปลา แกง มสั ม่นั แกงเทโพ แกงไตปลา ผัดเผด็ ลาบ ฯลฯ 52. ประโยชนข์ องข่า มีการนาข่าไปผลติ หรอื แปรรูปเป็นเครื่องดื่ม หรอื ชา ทาลกู ประคบ สเปรย์ดบั กล่ิน ฯลฯ http://frynn.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2/ การปลูก การปลกู ข่าในปัจจุบันสว่ นใหญจ่ ะใชว้ ิธีการปลูกแบบพ้นื บ้าน หรือ ปล่อยให้เจรญิ เตบิ โตไปตามธรรมชาติกัน อยมู่ าก จึงทาใหเ้ กดิ ปัญหาเร่ืองรปู ทรงไมส่ วย งาม ขนาดเล็ก และไม่เปน็ ที่ต้องการของตลาด แตต่ ลาดยังมี ความตอ้ งการข่าอยู่ จานวนมาก เพ่ือให้เกิดความเพยี งพอต่อความต้องการของตลาด คุณ เสารค์ า จกั ร คา และ คุณ สขุ เสริม จักรคา เกษตรผู้ปลูกข่า ผ้มู ีประสบการณ์การปลกู ขา่ จงึ มีแนวคิดว่าถ้าสามารถทาให้พ้นื ท่ี เพาะปลูกข่าน้ันมีสภาพดนิ ทโี่ ปร่งและรว่ น ซุย สามารถอุม้ นา้ ไดต้ ามธรรมชาติอย่างเหมาะสม และมีความอดุ ม สมบูรณพ์ ยี งพอ ต่อการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ข่า ก็น่าจะทาให้ได้หัวข่าท่ใี หญ่ และเปน็ ทต่ี ้อง การของตลาดไดเ้ ป็น อย่างดี วิธกี ารผลติ ขา่ ให้มีขนาดใหญ่สมบรู ณ์ : คุณเสารค์ า จกั รคา และ คณุ สุขเสริม จกั รคา เกษตรผ้ปู ลูกข่า ได้แนะนาวา่ หากเกษตรท่านใดมงี บในการ ลงทนุ มากก็สามารถทาได้โดยใช้รถแบคโฮขุด พ้ืนท่ี ท่จี ะเพาะปลูกลง ลกึ ประมาณ 1 เมตร แล้วโปรยดนิ ให้ กระจายตวั ออกจากกนั ทาอย่างนจี้ นทั่วท้งั พื้นท่ี ทจ่ี ะเพาะปลูกเพ่ือทจี่ ะใหด้ ินนน้ั มีความโปรง่ และร่วนซุยมาก ขึน้ จากน้ันขุดหลมุ กว้าง 10 ซ.ม. ยาว 10 ซ.ม. ลกึ 10 ซ.ม. ระยะห่างระหวา่ งตน้ 1x1 เมตร และรองกน้ หลมุ ดว้ ย ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1-2 กามอื ต่อ 1 ต้น จะทาใหเ้ จริญเติบโตของหวั ข่าเรว็ เพราะวา่ หวั ขา่ สามารถ ขยายแตกกอได้อย่างอสิ ระ จะใหผ้ ลผลติ มาก นา้ หนกั ดี รูปทรงสวยงาม เปน็ ทต่ี ้องการของตลาด ต่างจากการ ปลูกขา่ แบบพ้ืนบา้ นที่สภาพพื้นดนิ มีความหนาแนน่ ขาดการบารงุ และดนิ แขง็ ทาใหข้ า่ เจริญเติบโตช้าแตกกอได้ ชา้
แต่ถ้าหากมีเงินทุนน้อยก็สามารถทาได้โดยการไถพรวนดินด้วยรถไถที่มีอยู่หน่ึง คร้ังแล้วไถซ้าพ้ืนท่ี เพาะปลูกอีกคร้ังก่อนปลูก เพ่ือให้ดินมีความโปร่งและร่วนซุยมากข้ึน จากน้ันรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ย หมัก 1-2 กามือต่อ 1 ต้น โดยขุดหลุม กว้าง 10 ซ.ม. ยาว 10 ซ.ม. ลึก 10 ซ.ม. ระยะห่างระหว่างต้น 1x1 เมตร แล้วนากล้าขา่ ลงปลูกก็ได้เช่นกนั http://www.infoforthai.com/forum/topic/4572 การปลกู ขา่ การเตรยี มดนิ - ควรไถเปดิ หน้าดินลึกอยา่ งน้อย 50 ซม. พร้อมกบั ใส่อินทรียวตั ถุ แกลบดิบ เศษหญา้ เศษฟาง เศษใบไม้ ฯลฯ แล้วทาการไถยอ่ ยใหด้ นิ และอินทรียวัตถเุ ขา้ กัน เพราะขา่ ชอบดนิ ร่วนปนทราย เม่ือเวลาทาการย่อยสลายจะ เปน็ ธาตุอาหารและอุ้มความช้ืนไดด้ ี - ต้องเปน็ พ้ืนท่ที ีน่ า้ ทว่ มไม่ถงึ หากทาเปน็ แปลง ใหย้ กแปลงเปน็ หลงั เตา่ ป้องกนั นา้ ขงั ขนาดกวา้ ง ยาวตาม ความเหมาะสม -ใช้ฟางหรอื เศษวัชพืชแห้งคลุมหน้าดิน แล้วรดด้วยนา้ จุลนิ ทรยี ์ เพ่อื เปน็ การบ่มดนิ การเตรยี มกลา้ พันธุ์ วธิ ที ่ี 1 - ใช้หวั หรอื แงง่ แกจ่ ัด จะใหผ้ ลดกี วา่ หัวหรอื แง่งอ่อน โดยตัดเป็นทอ่ นยาว 3-4 นว้ิ มี ขอ้ +ตา 4-5 ตา ตัดกา้ น ใบหรือต้นให้เหลือ 5-6 นิว้ หรือจะตัดออกหมดเลยก็ได้ แต่ถา้ มีหนอ่ ใหม่ตดิ มา ทีเ่ พ่ิงโผล่พน้ ดนิ ก็ใหเ้ กบ็ ไว้ สามารถนาไปปลกู ต่อได้ - ล้างหัวพนั ธใุ์ ห้สะอาดดว้ ยน้ายาฆา่ เชอื้ รา ระวังอยา่ ใหร้ ากช้า เพราะรากสามารถเจรญิ เติบโตได้ แผลทเ่ี ปน็ รอยตัด ให้เอาปนู แดงกินหมากทาทุกแผล จากนนั้ ใหน้ าไปผึงลมในรม่ ปลอ่ ยทิง้ ไว้ให้แหง้ จึงนาไปปลกู วิธที ่ี 2 -ใชห้ ัวหรอื แง่งแกจ่ ดั ทีซอื้ มาจากตลาดใน สภาพทีย่ ังสด มตี าตามข้อเหน็ ได้ชดั ไมจ่ าเปน็ ต้องมีราก ตัดแต่งรอย ช้า หรือเนา่ ท่หี วั ออกให้หมด แลว้ นาไปแชน่ า้ ยากันรา จากนั้นนาขึน้ มาผงึ ลมในร่มใหแ้ ห้งแล้วทาแผลดว้ ยปนู แดงกนิ กบั หมาก - นาหัวพันธ์ุท่ีได้มาห่มความชื้น โดยการห่อด้วยผ้าช้ืนน้าหนาๆ นาไปเก็บไว้ในร่ม...หรือ ห่มกระบะโดยมีฟาง รองพ้ืนหนาๆ วางท่อนพันธ์ุแล้วกลบด้วยฟางหนาๆอีกช้ัน รดน้าให้ชุ่มเก็บในท่ีร่ม...หรือ จะนาลงเพาะชาใน ขี้เถ้าแกลบก็ได้ โดยใช้เวลาการห่มความชื้น 10-20 วัน รอให้รากงอกและแทงยอดใหม่ออกมา จึงนาไปปลูก ต่อไป การปลกู -ขุด หลมุ กว้างประมาณ 30 ซม. ลกึ 10 ซม. นาดนิ ทขี่ ุดขึ้นมาคลกุ กบั เมลด็ สะเดา หรอื ใบสะเดาแหง้ สกั 1-2 กามือปุ๋ยหมักหรือป๋ยุ คอกที่หมักดแี ล้วสัก 1 กระป่องนม ผสมดนิ ปลูก พร้อมกบั ปรับหลมุ ใหเ้ รยี บ
- จากน้ันวางท่อนพันธุ์แบบนอนทางยาว โดยให้ส่วนตาชี้ขึ้นด้านบน จัดรากให้ช้ีกางออกรอบทิศทาง ใส่หลุมละ 1-2 หัว ห่างกัน 1-2 ฝ่ามือ แล้วกลบดินโดยทาเป็นโคกสูงขึ้นมาเล็กน้อยๆ ไม่ต้องกดดินให้แน่น แลว้ คลุมหนา้ ดนิ ด้วยฟางหรือเศษหญา้ แห้งใบไมแ้ ห้ง เพ่ือเก็บรกั ษาความชนื้ หนา้ ดิน -ระยะการปลูก ควรจดั ระยะระหว่างหลมุ .80-1.00 ม. ระหว่างแถว 1.00-1.20 ม. -หลังจากท่ีปลูกเสร็จแลว้ ให้รดนา้ ตามทนั ที การปฏิบตั ิและบารุง -หลงั จากปลกู ไปแล้วประมาณ 15-20 วัน รากจะเร่ิมเดนิ ในช่วงนี้ควรใหน้ ้า 2-3 วัน/คร้ัง และให้น้าผสมปุ๋ยน้า ทาเอง 7-10 วันครั้ง -ใหป้ ยุ๋ หมกั /ปุ๋ยคอก ทุก 1-2 เดอื น/ครั้ง แลว้ รดดว้ นน้าผสมปยุ๋ นา้ ทาเองตามทนั ที -ถ้ามีหน่อใหม่แทงข้ึนมา ซึ่งในช่วงแรกจะมีสีแดง บางรายอาจจะขุดขึ้นมารับประทานหรือนาไปขายเป็นข่า อ่อน แต่ถ้าต้องการเก็บไว้เพ่ือเอาหัวหรือแง่ง ก็ให้นาเศษฟางหรือหญ้าแห้งมาคลุม เพื่อป้องกันแสงแดด แลว้ ปลอ่ ยไวใ้ หก้ ลายเป็นสเี ขียวเพื่อพฒั นาเปน็ ต้นใหญต่ ่อไป -การที่เอา เศษวัชพืช เศษหญ้า เศษฟางมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนกอข่า เป็นการรักษาความชื้นหน้าดิน ซงึ่ ขา่ เปน็ พืชท่ีชอบความชนื้ หนา้ ดิน แตต่ ้องมกี ารระบายนา้ ทดี่ ดี ้วย การเจริญเตบิ โตจงึ จะสมบรู ณ์และงาม -การท่ีเราจะรู้ว่าข่ามีการเจริญเติบโตดีหรือไม่ ให้สังเกตดูว่า ข่าจะมีการแตกหน่อใหม่ออกมาอย่างสม่าเสมอ ก้านใบอวบอว้ นใหญ่ ใบหนาเขียวเข้ม[/color]การเก็บเกี่ยวผลผลิตข่าอ่อน ให้ขุดเมื่อเร่ิมออกดอกชุดแรก โดย การเปิดหนา้ ดนิ โคนตน้ บริเวณทจี่ ะเอาหน่อ แล้วตัดเอาเฉพาะส่วนที่ต้องการข่า แก่ ให้ขุดเม่ือข่าออกดอกชุดที่ 2 หรือมีหน่อเกิดใหม่ 5-6 หน่อ เม่ือข่าออกดอกชุดท่ี 2-3 ก็จะได้หน่อหรือแง่งท่ีแก่ขึ้นไปอีก ทั้งขนาดและ ปริมาณก็มากขนึ้ ไปดว้ ย -การขุดข้ึนมาแต่ละคร้ัง ไม่ควรขึ้นขึ้นมาหมดทั้งกอ ให้เหลือไว้ 3-4 แง่ง เพ่ือเป็นต้นพันธ์ุ ซึ่งทาให้การปลูกข่า เพยี งคร้งั เดยี ว ก็สามารถอยู่ได้เป็นสบิ ปี -หลังจากท่ีขุดเอาหัว แง่งไปแล้ว ควรมีการปรับปรุงบารุงดินทุกคร้ัง เพื่อความสมบูรณ์และเป็นการเพิ่มธาตุ อาหารในดนิ -หลัง จากขุดเอาหัวหรือแง่งข้ึนมาแล้ว ต้องทาความสะอาดล้างเอาเศษดินที่ติดมาออกให้หมด แล้วตัดแต่งให้ เรยี บร้อย จากน้ันให้นาไปแช่ลงในน้าสารส้ม ซึ่งจะช่วยให้หัวข่าขาวสะอาด และเป็นการรักษาให้ข่าแลดูสดได้ นานวนั นอกจากน้ี การปลูกข่าแซมในสวนไม้ผล กล่ินของใบข่าจะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้ ส่วนหัวหรือแง่ง ก็ยังป้องกันแมลงศัตรูพืชใต้ดินได้อีกด้วย นอกจากนั้น ข่ายังทาให้สภาพอากาศโดยรอบเย็นสบาย มีสภาพ รม่ เย็น http://myveget.com
อุปกรณ์ อปุ กรณ์และวธิ ีการทดลอง วัตถุดิบ จานวน 10 เหง้า 1. ข่า จานวน 10 กโิ ลกรัม 2. ป๋ยุ เคมแี ละปยุ๋ คอก 3. นา้ 4. ดนิ 2 แหลง่ หรือบรเิ วณ วัสดุอุปกรณ์ 1. จอบจานวน 1 ดา้ ม 2. เสียมจานวน 1 ดา้ ม 3. บอ่ ซีเมนต์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร จานวน 10 บ่อ วธิ ีการทดลอง การทดลองแบง่ ออกเปน็ 2 ชุด (ดนิ ขอบขา้ งห้องนา้ และดนิ ขอบสระ) 1. นาบอ่ ซเี มนต์ขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 60 เซนตเิ มตรจานวน 10 บ่อ 2. นาดนิ ก ที่ขดุ มาจากบริเวณข้างหอ้ งนา้ มาใส่ลงในบ่อสูง40 เซนตเิ มตร แล้วเขยี นหมายเลขแต่ละบ่อ ให้เปน็ หมายเลข 1, 2, 3, 4 และ 5 ตามลาดับ 3. นาดิน ข ทข่ี ุดมาจากบรเิ วณข้างสระนา้ มาใสล่ งในบอ่ สูง40 เซนตเิ มตร แลว้ เขยี นหมายเลขแตล่ ะบ่อให้ เปน็ หมายเลข 6, 7, 8, 9 และ 10 ตามลาดบั 4. นาหัวข่าทมี่ ีอายใุ กลเ้ คยี งกัน และน้าหนักเทา่ กนั และเลอื กหวั ข่าที่มีขนาดเท่ากนั 1 หวั ความยาวของ ต้นข่า 15 ซม. มาปลูกลงในบ่อซีเมนต์ ท่ีเราเตรียมไวจ้ ากหมายเลข 1-10 ปลกู ไว้ลกึ ประมาณ 10 เซนติเมตร 5. รดนา้ ข่าที่ปลกู ไว้ในปรมิ าณ 1,200 มิลลิลิตร ( 5วัน/สัปดาห์) วนั ละหนึ่งคร้งั ในเวลาตอนเชา้ (07.00-09.00) 6. บันทึกผลการเปลี่ยนแปลง
ผลการวิจยั ผลการเปลีย่ นแปลงของการแตกยอดของขา่ การเปลย่ี นแปลง ดนิ การแตกยอด ดินจากขา้ ง บ่อ 30 วัน 60 วนั 90 วนั ห้องน้า 5 cm. 7 cm. 7.5 cm. (ก) 1 2 cm. 3 cm. 4 cm. 2 3 ไม่มีการเปล่ียนแปลง ลาตน้ เหี่ยวไม่มี ลาตน้ เหยี่ วไม่มีการแตก การแตกยอด ยอด 4 4cm. 5cm. 6cm. 5 5.5 cm. 6 cm. 6.5 cm. ดนิ จากขอบ 6 2.5 cm. 3 cm. ลาต้นและใบเหย่ี วไมม่ ีการแตก สระ 7 ลาตน้ เหี่ยวไมม่ ีการแตกยอด ยอด (ข) ลาต้นเหี่ยวไม่มกี าร ลาต้นเหย่ี วไมม่ กี ารแตกยอด แตกยอด 8 ลาตน้ เหี่ยวไมม่ ีการแตกยอด ลาต้นเหย่ี วไมม่ กี าร ลาต้นเห่ยี วไมม่ ีการแตกยอด แตกยอด 9 ลาตน้ เหี่ยวไมม่ ีการแตกยอด ลาตน้ เหีย่ วไมม่ ีการ ลาตน้ เหี่ยวไม่มกี ารแตกยอด แตกยอด 10 ลาต้นเหีย่ วไมม่ ีการแตกยอด ลาต้นเหย่ี วไม่มีการ ลาตน้ เหย่ี วไม่มีการแตกยอด แตกยอด *ตน้ ตอขา่ เดิมยาว 15 ซม.
ผลการเปลยี่ นแปลงของความสงู การเปลยี่ นแปลง ดนิ ความสูง 60 วนั 90 วัน บ่อ 30 วัน 15+ 7 =22 cm. 1 15+ 5= 20 cm. 15+6= 21 cm. 2 15+2=17cm. 15+3=18cm. 15+4=19cm. 15cm. ดินจากข้าง 3 15cm. 15cm. 15+6=21cm. หอ้ งนา้ (ก) 15+6.5=21.5 cm. 15+4=19cm. 15+5=20cm. 4 15cm. 15+5.5=20.5 15+6=21cm. 15cm. 5 cm. 15cm. 6 15+2.5=17.5cm. 15+3=18cm. 15cm. 7 15cm. 8 15cm. 15cm. ดนิ จาก 9 15cm. 15cm. ขอบสระ 10 (ข) 15cm. 15cm. 15cm. 15cm. *ตน้ ตอขา่ เดิมยาว 15 ซม.
ผลการแตกหนอ่ ของข่า การเปลย่ี นแปลง ดิน ความสูง บอ่ 30 วนั 60 วนั 90 วนั ไม่มีการแตกหน่อ 1 ไมม่ ีการแตกหน่อ .ไม่มีการแตกหน่อ 2 ไมม่ ีการแตกหน่อ ไมม่ ีการแตกหนอ่ มกี ารแตกหนอ่ ดนิ จากข้าง ไมม่ ีการแตกหนอ่ ไมม่ ีการแตกหน่อ ไม่มีการแตกหน่อ ห้องนา(ก) 3 ไม่มีการแตกหน่อ ไม่มีการแตกหน่อ มีการแตกหน่อ ไมม่ ีการแตกหนอ่ ไมม่ ีการแตกหน่อ .ไม่มกี ารแตกหน่อ 4 5 ดินจาก 6 .มกี ารแตกหน่อ มีการแตกหน่อ มกี ารแตกหน่อ ขอบสระ 7 มกี ารแตกหน่อ มกี ารแตกหน่อ มีการแตกหน่อ (ข) 8 ไม่มีการแตกหน่อ ไม่มีการแตกหนอ่ ไมม่ ีการแตกหน่อ 9 มีการแตกหนอ่ มกี ารแตกหนอ่ มีการแตกหน่อ 10 มกี ารแตกหน่อ มกี ารแตกหนอ่ มกี ารแตกหนอ่
ผลการตรวจสอบสีของดิน ดินขอบสระ มีสีขาวออกน้าตาลไม่เขม้ หรือสีครมี ๆ ดนิ ขา้ งหอ้ งน้า มีสีเทาเข้มหรือออกเปน็ สดี า ผลการตรวจสอบขนาดของดิน ดินขอบสระ ขนาดเลก็ กวา่ ดินข้างห้องนา้ (0.03มิลลิเมตร) ดนิ ขา้ งหอ้ งน้า ขนาดใหญ่กว่าดินขอบสระ (0.05มลิ ลิเมตร) ดินขอบสระ ค่า pH = 5 ผลตรวจสอบค่า pH ของดิน มีความเปน็ กรด ดินข้างหอ้ งนา ค่า pH = 7 มคี วามเปน็ กลาง ผลตรวจสอบการดูดซมึ น้าของดนิ แหล่งที่มาของดิน เวลาในการซมึ ผา่ นของดนิ ครังที่ 2 ดินจากข้างห้องน้า 3.3 นาที ครังท่ี 1 1.43 นาที 5.43 นาที ดนิ จากขอบสระ 4.25 นาที ตารางเปรียบเทยี บการปลกู ข่า สังเกตการเจริญเตบิ โต ความสูง(cm) แตกยอด(cm) แตกหนอ่ (หนอ่ ) 30 60 90 ดนิ 30 60 90 30 60 90 วนั วนั วัน 002 วัน วนั วัน วัน วนั วนั 444 ก 16.5 20 22.5 16.5 21 24 ข 2.5 3 0 2.5 3 0
กราฟแสดงผลการทดลอง กราฟแสดงการเจริญเติบ (ความสงู : cm) ของขา่ ปลูกจากดนิ 2 บริเวณ 25 20 15 ก:ดินข้างห้องนา้ 10 ข:ดินขอบสระนา้ 5 0 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 กราฟแสดงการเจริญเติบ ( การแตกยอด : cm )ของขา่ ปลูกจากดิน 2 บริเวณ ก:ดินข้างห้องนา้ ข:ดินขบิ สระนา้ 30 25 20 15 10 5 0 30 วนั 60 วนั 90 วนั
กราฟแสดงการเจรญิ เติบ ( การแตกหนอ่ : นบั จานวนหน่อ ) ของข่าปลูกจากดนิ 2 บรเิ วณ 4.5 ก:ดินข้างห้องนา้ 4 ข:ดินขอบสระนา้ 3.5 3 2.5 2 1.5 1 0.5 0 30 วนั 60 วนั 90 วนั อภิปรายผล จากการทดลองวดั ขนาดของเม็ดดนิ พบว่า ดนิ ก มีขนาดเม็ดดนิ ใหญ่(0.05มิลลิเมตร) กว่าขนาดเม็ด ดนิ ข (0.03มิลลเิ มตร) มีสีเทาเข้มหรือออกสีดาสว่ นดนิ ข มีสีขาวออกนา้ ตาลไมเ่ ข้มหรือสีครีมๆ การทดลองการดดู ซมึ นา้ ดนิ ก มีการดดู ซมึ ได้ดี เร็วกวา่ ดนิ ข การทดลองตรวจคา่ pH พบวา่ ดนิ ก มีคา่ ph 7 ซง่ึ มีความเป็ นกลางดิน ข มีคา่ ph เทา่ กบั 5 ซง่ึ มีความเป็ นกรด และจากการสงั แกตการ ทดลองทาให้ทราบว่า ดนิ บริเวณ ก (ข้างห้องนา้ ) เป็ นดนิ ที่ทาพืชเจริญเตบิ โตได้ดี มีความสงู และการแตด ยอด ส่วนดินบริเวณ ข มาจากขอบสระนา้ เจริญเติบโตไม่ดี เพราะความสูง การแตกยอดมีน้อย แต่จะ พบวา่ ขา่ แตกหนอ่ ได้ดี เมื่อปลกู ดนิ ที่มาจากขอบสระ สรุปผลการทดลอง ดนิ บริเวณ ข (ดนิ จากขอบสระน้า) สง่ ผลตอ่ การแตกหนอ่ ดกี วา่ ดินจากบริเวณ ก (ข้างห้องน้า หรือ แปลงเกษตร) ดินบริเวณ ก (ข้างห้องน้า หรือแปลงเกษตร) ความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต(ความสูงของข่า และการแตกยอดของ ดกี วา่ ดนิ จากบริเวณ ข ดนิ จากบรเิ วณ (ดนิ จากขอบสระนา้ )
เอกสารอา้ งอิง - myget.com/การปลกู ขา่ .html - breakingnews.nationtv.tv/home/read.php?newsid=723600 - news.ch7.com/detail/.../เพ่อื นเกษตร_ปลกู ขา่ _1_ไร่_100000.html - www.agric-prod.mju.ac.th/web-veg/plantlist/khamil.htm - www.youtube.com/watch?v=k4suJ2S_Q78 - www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=732&s=tblp
สญั ญาที่ RDG5740040211 รายงานวจิ ยั ฉบับสมบูรณ์ โครงงานยอ่ ยที่ 4 เรอื่ ง น้าสมุนไพรขา่ รักษว์ ิถีชุมชน (น้าสมุนไพรข่า) (Galangal Herb Soap to make Money) อาจารย์ท่ีปรึกษาโครงงาน นางสาวกติ ติมา สาระรักษ์ คณะผูว้ ิจัย(นักเรียน) นางสาว อิศราภรณ์ บกนอ้ ย นางสาว วมิ ลวรรณ กองธรรม นาย มงคล ทองเจียว สนับสนุนโดยสานักงานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย(สกว) และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ชุดโครงการ “เพาะพันธุป์ ัญญา (พัฒนายุววิจยั )”
กิตติกรรมประกาศ ในการจัดทาโครงงาน เรื่อง น้าสมุนไพรข่ารักษ์วิถีชุมชน ในคร้ังนี้ สาเร็จลุล่วงได้ต้องขอกราบ ขอบพระคณุ นายชาตชิ าย สงิ หพ์ รหมสาร ผู้อานวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นายเชิดชัย สิงห์คิบตุ ร รองผู้อานวยการโรงเรยี นสมเดจ็ พระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ที่ให้คาช้ีแนะ และอานวยความสะดวกในการทาโครงงานครง้ั น้ี กราบขอบพระคณุ คณุ ครกู ิตติมา สาระรักษ์ ครูที่ปรึกษา ที่ให้คาปรึกษา ดูแล แนะนา และแก้ไข ข้อบกพร่องในการทาโครงงานทุกด้าน กราบขอบพระคุณ คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และเพื่อนๆ นกั เรียนทคี่ อยให้กาลงั ใจ กราบขอบพระคุณ บิดา-มารดา และสมาชิกในครอบครัว ที่คอยให้กาลังใจจนกระท่ัง โครงงาน เร่อื ง สบสู่ มุนไพรขา่ สร้างรายได้ สาเรจ็ ลุล่วง คณะผจู้ ัดทา
บทคดั ยอ่ ช่ือโครงงาน น้าสมนุ ไพรข่ารกั ษ์วถิ ชี ุมชน ผู้จดั ทา นางสาว อศิ ราภรณ์ บกน้อย นางสาว วิมลวรรณ กองธรรม ครทู ี่ปรึกษา นาย มงคล ทองเจยี ว โรงเรียน คณุ ครู กิตตมิ า สาระรกั ษ์ ปีทีท่ า สมเดจ็ พระญาณสังวร ในพระสงั ฆราชูปถมั ภ์ 2557 – 2558 การสารวจความตอ้ งการของการบริโภคน้าข่า ในชุมชนทีเ่ ราได้ไปนาแบบสอบถามออกเป็นสองชุด ชุดท่ีหน่ึงสรุปได้ว่าจากแบบสอบถามตอนที่ 1ข้อมูลทั่วไปพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น 53% มีช่วง อายุ 42-47 ปี คิดเป็น 26% อาชีพเกษตร คิดเป็น 60% มีรายได้เฉล่ียต่อเดือน 3,001-5,000 บาท คิดเป็น 50% และจากการสรุปแบบสอบถามส่วนท่ี2 เร่ืองความรู้เก่ียวกับข่าพบว่าส่วนใหญ่ มีความรู้เก่ียวกับน้า สมุนไพรขา่ โดยมีค่าเฉลยี่ ของผูม้ คี วามรเู้ ก่ียวกับนา้ สมดุ ไพรข่า 57.27 % แบบสอบถามชุดที่สองสรุปได้ว่าจากแบบสอบถามพบว่า ผู้บริโภคน้าข่าส่วนใหญ่ขอบรสชาติของน้า ข่า คิดเป็น 93.75%ผู้บริโภคต้องการบริโภคน้าข่าเป็นประจา คิดเป็น 90% ผู้บริโภคได้รับความรู้เรื่อง คุณประโยชน์ของข่ามากข้ึน คิดเป็น 90% และผู้บริโภคต้องการที่จะแนะนาให้ผู้อ่ืนบริโภคน้าข่า คิดเป็น 91.25%
บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญของโครงงาน ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตภมู ิอากาศแบบรอ้ นช้นื ทาใหส้ ภาพภมู ิอากาศมคี วามเหมาะสมใน การปลูกพืชขา่ เป็นพชื ผักสวนครวั ชนิดหนงึ่ ทีค่ นไทยนิยมปลูก ขา่ เปน็ พืชทม่ี ีลาตน้ อยู่ใต้ดนิ เรยี กว่า \"เหงา้ \" อยใู่ นวงศ์ขงิ เป็นไม้ลม้ ลกุ เป็นพืชสมุนไพรทนี่ ามาใช้ในการประกอบอาหาร ข่าเปน็ พชื ที่นามาใชป้ ระโยชน์ ทางดา้ นอาหารมากมาย ใชใ้ ส่ในต้มข่า ต้มยา นา้ พริกแกงทุกชนดิ ใส่ขา่ เปน็ สว่ นประกอบ ขา่ มบี ทบาทในการ ดับกล่นิ คาวของเนื้อและปลา นอกจากน้ัน ข่ายังมฤี ทธิท์ างยาสมุนไพร เหง้าแก่แก้ปวดท้อง จกุ เสียด แนน่ ดอกใชท้ าแก้กลากเกลอื้ น ผลชว่ ยย่อยอาหาร แก้คลน่ื เหยี น อาเจียน ตน้ แก่นาไปเคยี่ วกบั น้ามนั มะพร้าว ทาแก้ ปวดเมือ่ ย เป็นตะครวิ ใบมีรสเผ็ดรอ้ น แก้พยาธิ สารสกดั จากข่ามีฤทธฆ์ิ ่าเช้ือแบคทีเรยี น้ามนั หอมระเหย จากข่ามีฤทธิ์ทาให้ไข่แมลงฝ่อ กาจัดเชือ้ ราบางชนิดได้ ใชผ้ สมกับสะเดาเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการกาจัด แมลง ขา่ ลดการบีบตัวของลาไส้ ขับน้าดี ขับลม ลดการอักเสบ ยบั ยงั้ แผลในกระเพาะอาหาร ฆา่ เช้อื แบคทเี รีย ฆ่าเชอื้ รา (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2_(%E0%B8%9E%E 0%B8%B7%E0%B8%8A) จากงานสืบคน้ งานวิจัยพบว่า ข่ามฤี ทธิ์ตา้ นการอกั เสบ บรรเทาปวด และผลตอ่ ระบบ ประสาทจากเหง้าของข่าเล็ก สารสกดั 80% เอทานอลของเหง้าขา่ เลก็ (Alpinia officinarum ) เมอื่ นามา ทดสอบฤทธ์ติ า้ นการอกั เสบแบบเฉียบพลนั และแบบเรื้อรงั ในหนแู รท โดยในกลมุ่ ที่ทดสอบการอักเสบแบบ เฉยี บพลัน หนูแรทจะถูกเหน่ียวนาให้เกิดการอักเสบดว้ ยการฉดี สาร carrageenan เขา้ ใต้ผิวหนังบรเิ วณองุ้ เทา้ ด้านหลงั ในขณะทหี่ นูกลุ่มที่ทดสอบการอักเสบแบบเร้ือรัง หนูแรทจะถูกเหนย่ี วนาใหเ้ กิดการอักเสบดว้ ยการ ฉีด complete Freund's adjuvant (CFA) เขา้ ใตผ้ วิ หนังบริเวณอุ้งเทา้ ด้านหลงั จากนั้นจึงให้สารสกัดจาก เหงา้ ขา่ เลก็ โดยการป้อนเข้าทางปาก พบวา่ สารสกัด 80% เอทานอล มีฤทธ์ิตา้ นการอักเสบ โดยสามารถลด อาการบวมที่เกดิ จากสารcarrageenan และ CFA นอกจากน้ี สว่ นสกดั เอทิวอะซิเตทจากสารสกดั ดังกลา่ วยงั ยับย้งั การสรา้ ง nitric oxide (NO) ในเซลล์ RAW 264.7 ท่ถี กู เหน่ียวนาด้วย lipopolysaccharide (LPS) และมฤี ทธ์ิต้านความผิดปกติในระบบประสาทโดยมผี ลลด c-Fos protein ในสมองสว่ น hippocampus ของ หนูแรททถ่ี ูกกระตุน้ ดว้ ย CFA ซ่งึ แสดงใหเ้ ห็นวา่ เหงา้ ของข่าเลก็ มีฤทธติ์ ้านการอักเสบทั้งแบบเฉยี บพลนั และ แบบเรอื้ รงั J Ethnopharmacol 2009;126(2):258 – 64 (http://www.medplant.mahidol.ac.th/active/shownews.asp?id=583) วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประวัติและประโยชนข์ องขา่ ทม่ี ีตอ่ วถิ ีการดารงชวี ิตในชุมชน 2. เพ่ือรณรงคใ์ หช้ าวบา้ นในชุมชนหันมารบั ประทานนา้ ข่าเพื่อบารุงสุขภาพ 3. เพื่อให้ชุมชนร่วมกันอนรุ ักษภ์ ูมิปญั ญาท้องถิ่นท่ีเก่ยี วกับนา้ สมุนไพรขา่ ไว้สืบต่อไป
แนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ข่า เป็นพืชผักสวนครัวชนิดหน่ึงท่ีคนไทยนิยมปลูก ข่า เป็นพืชที่มีลาต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า \"เหง้า\" อยู่ ในวงศข์ ิง เปน็ ไมล้ ้มลกุ เป็นพืชสมุนไพรที่นามาใชใ้ นการประกอบอาหารขา่ เป็นพืชทนี่ ามาใช้ประโยชน์ทางด้าน อาหารมากมาย ใชใ้ สใ่ นต้มข่าต้มยา น้าพริกแกงทุกชนิดใส่ข่าเป็นส่วนประกอบ ยกเว้น แกงเหลืองและแกงกอ และทางภาคใต้ท่ีไม่นิยมใส่ข่า มีบทบาทในการดับกล่ินคาวของเนื้อและปลา นอกจากน้ัน ข่ายังมีฤทธ์ิทางยา เหง้าแก่แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่น ดอกใช้ทาแกก้ ลากเกลอ้ื น ผลชว่ ยย่อยอาหาร แก้คลื่นเหยี น อาเจียน ต้นแก่ นาไปเคย่ี วกบั นา้ มนั มะพรา้ ว ทาแก้ปวดเม่ือย เปน็ ตะคริว ใบมีรสเผ็ดร้อน แก้พยาธิ สารสกัดจากข่ามีฤทธิ์ฆ่า เชื้อแบคทีเรีย น้ามันหอมระเหยจากข่ามีฤทธิ์ทาให้ไข่แมลงฝ่อ กาจัดเช้ือราบางชนิดได้ ใช้ผสมกับสะเดาเพ่ือ เพิ่มประสิทธิภาพในการกาจัดแมลง ข่า ลดการบีบตัวของลาไส้ ขับน้าดี ขับลมลดการอักเสบ ยับย้ังแผลใน ก ร ะ เ พ า ะ อ า ห า ร ฆ่ า เ ช้ื อ แ บ ค ที เ รี ย ฆ่ า เ ช้ื อ ร า ใ ช้ รั ก ษ า ก ล า ก เ ก ล้ื อ น ( http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2_(%E0%B8%9E%E 0%B8%B7%E0%B8%8A) จากการสืบค้นพบว่า มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า สารสกัด 80% เอทานอลของเหง้าข่าเล็ก (Alpiniaofficinarum ) เม่ือนามาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันและแบบเร้ือรังในหนูแรท โดย ในกลุ่มที่ทดสอบการอักเสบแบบเฉียบพลัน หนูแรทจะถูกเหน่ียวนาให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีดสาร carrageenan เข้าใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าด้านหลัง ในขณะท่ีหนูกลุ่มที่ทดสอบการอักเสบแบบเรื้อรัง หนู แรทจะถูกเหน่ียวนาให้เกิดการอักเสบด้วยการฉีด complete Freund's adjuvant (CFA) เข้าใต้ผิวหนัง บริเวณองุ้ เทา้ ด้านหลงั จากน้นั จึงให้สารสกัดจากเหง้าข่าเล็กโดยการป้อนเข้าทางปาก พบว่าสารสกัด 80% เอ ทานอล มีฤทธ์ิต้านการอักเสบ โดยสามารถลดอาการบวมท่ีเกิดจากสารcarrageenan และ CFA นอกจากน้ี ส่วนสกัดเอทิวอะซิเตทจากสารสกัดดังกล่าวยังยับย้ังการสร้าง nitric oxide (NO) ในเซลล์ RAW 264.7 ท่ีถูก เหน่ียวนาด้วย lipopolysaccharide (LPS) และมีฤทธ์ิต้านความผิดปกติในระบบประสาทโดยมีผลลด c-Fos protein ในสมองส่วน hippocampus ของหนูแรทท่ีถูกกระตุ้นด้วย CFA ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าเหง้าของข่าเล็กมี ฤทธ์ติ ้านการอักเสบทั้งแบบเฉียบพลนั และแบบเร้ือรงั J Ethnopharmacol 2009;126(2):258 – 64 ( http://www.medplant.mahidol.ac.th/active/shownews.asp?id=583) จากการศึกษาดังกล่าวทาให้พบว่า ข่าเป็นพืชท่ีปลูกง่าย พบได้ท่ัวไปในครัวเรือน มีประโยชน์ทาง สมุนไพรมีสารที่ช่วยรักษาบารุงร่างกายและรักษาโรคต่างๆมากจนคนในชุมชนนาข่ามาแปรรูปเป็น น้าสมุนไพรข่าในการดูแลสุขภาพ จึงนับได้ว่าข่าเป็นพืชท่ีมีคุณประโยชน์ทางสมุนไพรชนิดหน่ึง แต่เป็นที่ น่าสังเกตว่า คนในชุมชนมีการนาน้าข่าท่ีเป็นภูมิปัญญาด้ังเดิมมาใช้ในการดูแลสุขภาพน้อยลง ดังน้ันหากมี การพัฒนาน้าสมุนไพรข่าให้น่าสนใจในการบริโภค และส่งเสริมให้มีการใช้ในดูแลสุขภาพมากข้ึน ก็จะเป็น การพง่ึ พาตนเอง ลดความเสี่ยงจากการบริโภคยาแผนปจั จบุ ันและช่วยลดค่าใชจ้ ่ายในครวั เรอื นได้เป็นอย่างดี
อปุ กรณ์และวธิ ีการทดลอง สตู รการทานาข่า 1. วัตถุดบิ - ข่า - ตะไคร้ - หญา้ หวาน - ใบเตย - เกลอื - สมุนไพรอื่นๆ 2. วัสดุ - แก๊ส - หมอ้ - ทพั พี - กรวยกรอกนา้ 3. วธิ ีทา 3.1 เทน้าลงในหมอ้ 20 ลติ ร 3.2 ตัง้ ไฟแลว้ ใส่วัตถดุ บิ ที่เตรยี มไวล้ งในหม้อแลว้ รอใหน้ า้ เดือด 3.3 พอนา้ เดือดให้ชิมให้ไดร้ สชาติทตี่ ้องการ ถา้ พอดีแล้วใหย้ กลงมาพักไวใ้ หเ้ ยน็ แล้วนานา้ ข่าท่ีเยน็ แล้วมากรอกใส่ขวดแล้วปิดฝาใหเ้ รยี บรอ้ ย
ผลการวจิ ยั การทาแบบสอบถามครงั ท่ี หนง่ึ คอื การสารวจพฤตกิ รรมความต้องการของการบริโภคน้าสมุนไพร ข่าทาเพ่ือต้องการทราบข้อมูลพ้ืนฐานทั่วไปของผู้บริโภค ข้อมูลพฤติกรรมการดื่มน้าสมุนไพรข่าและข้อมูล เกีย่ วกบั การพัฒนาน้าสมุนไพรข่าให้เป็นที่นิยมของชุมชนมากขึ้น โดยกลุ่มของพวกเราได้ทาแบบสอบถามการ สารวจพฤติกรรมความต้องการของการบริโภคน้าสมุนไพรข่า ทาทั้งสิ้น 160 ชุด จากนั้นได้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ สรปุ ผลไดด้ ังตารางดา้ นลา่ ง ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ขอ้ ที่ หวั ข้อ ตัวเลือก จานวน เปอรเ์ ซน็ ต์ 75 47 % 1 เพศ ชาย 85 53% หญิง 2 อายุ 18-23 ปี 8 5% 20 12% 24-29 ปี 26 16% 24 15% 30-35 ปี 41 26% 30 19% 36-41ปี 9 6% 2 1.2% 42-47 ปี 8 5% 96 60% 48-53 ปี 8 5% 43 26.9% 54-60 ปี 2 1.2% 3 1.9% มากกว่า 60 ปี 0 0% 0 0% 3 อาชพี นกั เรยี น 24 15% 80 50% เกษตร 19 12% นิสิต รบั จา้ ง ธรุ กิจส่วนตวั แม่บา้ น ข้าราชกาล อนื่ ๆ 4 รายไดเ้ ฉลีย่ น้อยกวา่ 3000 บาท 3001-5000 บาท 5001-7000 บาท
7001-9000 บาท 29 18% มากกว่า 9000 8 5% ตอนที่2 ข้อมูลเกี่ยวกบั ความรู้เกี่ยวกับขา่ 34 1 ทา่ นเคยบรโิ ภคน้าข่า เคย 126 21.25% 120 78.75% 2 ทา่ นชอบรสชาตขิ า่ ไม่เคย 40 75% 3 ในครัวเรือนของท่านปลกู ข่า ชอบ 140 25% ไมช่ อบ 20 87.5% ปลกู 150 12.5% 10 93.75% 4 ท่านนาขา่ มาใช้ในการประกอบอาหาร ไมป่ ลูก 70 6.25% ใช้ 90 43.75% 60 56.25% 5 ท่านนาข่ามาใชใ้ นการประกอบอาชพี ไมใ่ ช้ 100 37.5% ใช้ 60 62.5% 100 37.5% 6 ท่านนาขา่ มาใชเ้ ปน็ ยารกั ษาโรค ไมใ่ ช้ 125 62.5% ใช้ 78.13% 35 7 ท่านนาขา่ มาใช้ในการรักษาโรคแบคทีเรยี ไมใ่ ช้ 75 21.87% ใช้ 46.87% 85 ไมใ่ ช้ 105 53.13% 56.63% 8 ทา่ นทราบหรอื ไม่วา่ ข่าชว่ ยในการแก้ท้องอืด ทราบ 55 ทอ้ งเฟอ้ 70 34.37% 90 43.75% ไม่ทราบ 56.25% 9 ทา่ นทราบหรอื ไม่วา่ ขา่ มฤี ทธ์ิช่วยลดระดบั น้าตาล ทราบ ในเลือด ไม่ทราบ 10 ท่านทราบหรือไม่ว่าข่าชว่ ยขับลม เลือดลม ใหเ้ ดนิ ทราบ สะดวก ไมท่ ราบ 11 ทา่ นทราบหรือไม่วา่ ข่าชว่ ยแก้เสมหะ ทราบ ไมท่ ราบ
12 ทา่ นทราบหรอื ไม่วา่ ข่าช่วยไลแ่ มลงวัน ทราบ 25 15.63% 125 78.13% ไมท่ ราบ 60 37.5% 100 62.5% 13 ทา่ นทราบหรือไมว่ า่ ขา่ ใช้เปน็ ยาแกล้ มพษิ ทราบ 50 31.25% 110 68.75% ไมท่ ราบ 130 81.25% 30 18.75% 14 ท่านทราบหรือไมว่ า่ ขา่ ชว่ ยรกั ษาโรคทอ้ งร่วง ทราบ 78 48.75% ไมท่ ราบ 82 51.25% 65 40.63% 15 ท่านทราบหรอื ไม่ว่าข่ามฤี ทธิ์เปน็ ยาระบายอ่อนๆ ทราบ 95 59.37% ไมท่ ราบ 90 56.27% 16 ทา่ นทราบหรือไม่ว่าข่าช่วยแก้โรคผวิ หนงั กลาก ทราบ 70 73% เกล้ือน 75 46.88% ไม่ทราบ 85 53.12% 17 ท่านทราบหรือไม่ว่าขา่ ชว่ ยลดอาการปวดฟนั ทราบ 120 75% 40 25% ไม่ทราบ 125 78.12% 18 ท่านทราบหรือไม่ว่าขา่ ช่วยแก้อาการวิงเวยี นศีรษะ ทราบ 35 21.88% 145 90.63% 19 ทา่ นทราบหรอื ไม่ว่าข่าช่วยระงับกล่นิ ปาก ไม่ทราบ ทราบ 15 9.37% 50 31.25% ไมท่ ราบ 110 68.75% 20 ท่านร้จู ักสรรพคุณของกระเจี๊ยบ ทราบ 21 ทา่ นรูจ้ กั สรรพคุณของอญั ชนั ไมท่ ราบ 22 ทา่ นรู้จักสรรพคุณของใบเตย 23 ท่านรจู้ ักสรรพคุณของหญา้ หวาน ทราบ ไม่ทราบ ทราบ ไม่ทราบ ทราบ ไม่ทราบ
24 ท่านรู้จักสรรพคุณของมะตูม ทราบ 138 86.25% 25 ทา่ นรจู้ ักสรรพคุณของตะไคร้ ไม่ทราบ 22 13.75% คา่ เฉล่ยี ของผู้มคี วามร้เู ก่ยี วกับน้าสมดุ ไพรขา่ ทราบ 145 90.63% ไมท่ ราบ 15 10.6% 57.27 สรุปผลการทาแบบสอบถามครงั ที่ หน่ึง คือ การสารวจพฤติกรรมความตอ้ งการของการบริโภคนา สมนุ ไพรข่า จากการสรุปจากแบบสอบถามตอนท่ี 1ข้อมูลท่ัวไปพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น 53% มีช่วง อายุ 42-47 ปี คิดเป็น 26% อาชีพเกษตร คิดเป็น 60% มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 3,001-5,000 บาท คิดเป็น 50% และจากการสรุปแบบสอบถามส่วนที่2 เรื่องความรู้เกี่ยวกับข่าพบว่าส่วนใหญ่ มีความรู้เกี่ยวกับน้า สมุนไพรขา่ โดยมีค่าเฉล่ยี ของผมู้ ีความร้เู กย่ี วกบั น้าสมุดไพรขา่ 57.27 % การทาแบบสอบถามครังที่ สอง คือ การสารวจพฤติกรรมความต้องการของการบริโภคเม่ือได้ รับประทานนา้ ขา่ พร้อมไดร้ บั แผ่นพบั ความรู้เกยี่ วกับสมุนไพรข่า เพอื่ สารวจความร้คู วามต้องการของผู้บริโภค หลังจากการลองรับประทานน้าสมุนไพรข่า และนาข้อมูลท่ีได้หรือข้อมูลความต้องการเก่ียวกับการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ท่ีผบู้ ริโภค นากลบั มาพัฒนาและทาแผ่นพับให้ความรู้ท่ีด้อยในเร่ืองต่างๆ ให้ดีข้ึน โดยกลุ่มของพวก เราได้ทาการสารวจพฤติกรรมความต้องการของการบริโภคเม่ือได้ทดลองรับประทานน้าสมุนไพรข่า ท้ังส้ิน 80 ชุด จากนนั้ ได้คดิ เปน็ เปอรเ์ ซน็ ต์ สรปุ ผลได้ดังตารางด้านลา่ ง ขอ้ ท่ี ประเด็นคาถาม ความตอ้ งการ จานวน รอ้ ยละ 93.75% 1 ทา่ นชอบรสชาตขิ องนา้ ข่า ชอบ 75 6.25% 90% ไมช่ อบ 5 10% 90% 2 ท่านต้องการบรโิ ภคน้าข่าเป็นประจา ตอ้ งการ 72 10% 91.25% ไมต่ ้องการ 8 8.75% 3 ทา่ นได้รบั ความรูเ้ ร่อื งคุณประโยชนข์ องขา่ มากขน้ึ ใช่ 72 ไมใ่ ช่ 8 4 ท่านต้องการที่จะแนะนาใหผ้ ู้อนื่ บริโภคน้าข่า ตอ้ งการ 73 ไมต่ ้องการ 7
สรุปผล การทาแบบสอบถามครังที่ สอง คือ การสารวจพฤติกรรมความต้องการของการบริโภคเม่ือได้ ทดลองรบั ประทานนาสมุนไพรข่าและไดร้ บั ความรูเ้ กี่ยวกบั ประโยชน์ของขา่ จากแผ่นพับ จากการสรุปจากแบบสอบถามพบว่า ผบู้ ริโภคน้าขา่ สว่ นใหญ่ขอบรสชาติของนา้ ข่า คิดเป็น 93.75% ผูบ้ ริโภคต้องการบรโิ ภคน้าขา่ เป็นประจา คิดเป็น 90% ผู้บรโิ ภคไดร้ บั ความร้เู รื่องคณุ ประโยชนข์ องข่ามากขนึ้ คดิ เปน็ 90% และผบู้ รโิ ภคตอ้ งการทีจ่ ะแนะนาใหผ้ อู้ น่ื บริโภคนา้ ข่า คดิ เป็น 91.25% อภปิ รายผล ในการทาน้าสมุนไพรข่ารักษ์วิถีชุมชน มีการทาแบบสอบถามสองครั้ง โดยครั้งท่ีหนึ่ง ทาการสารวจ พฤติกรรมความต้องการของการบริโภคน้าสมุนไพรข่าทาเพื่อต้องการทราบข้อมูลพ้ืนฐานทั่วไปของผู้บริโภค ข้อมลู พฤติกรรมการด่ืมนา้ สมุนไพรข่าและข้อมลู เก่ียวกับการพฒั นาน้าสมุนไพรข่าให้เป็นท่ีนิยมของชุมชนมาก ข้นึ โดยพบวา่ ผูท้ าแบบสอบถาม เปน็ เพศหญงิ 53% เพศชาย 47% มีชว่ งอายุ 42-47 ปี ส่วนมากทาอาชีพ เกษตรกร มีรายได้เฉล่ียต่อเดือน 3,001-5,000 บาท 50% และจากการสรุปแบบสอบถามส่วนท่ี2 เร่ือง ความรู้เก่ยี วกบั ข่าพบว่าส่วนใหญ่ มีความรู้เกี่ยวกับน้าสมุนไพรข่าโดยมีค่าเฉล่ียของผู้มีความรู้เกี่ยวกับน้าสมุด ไพรข่า 57.27 % ดังน้ัน กลุ่มของพวกเราจึงได้จัดทาน้าสมุนไพรข่า ที่มีสรรพคุณช่วยบารุงรักษาร่างกายขึ้น เพือ่ ใหค้ นในชมุ ชนมรี า่ งกายแข็งแรงมากขึน้ และได้มีการทาแบบสารวจครั้งที่สอง เพ่ือสารวจความรู้ความต้องการของผู้บริโภคหลังจากการลอง รบั ประทานนา้ สมนุ ไพรขา่ และนาขอ้ มลู ทไ่ี ดห้ รอื ขอ้ มลู ความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภค นากลับมาพัฒนาและทาแผ่นพับให้ความรู้ที่ด้อยในเรื่องต่างๆ ให้ดีข้ึน เพ่ือรณรงค์ส่งเสริมให้คนในชุมชนหัน มาด่มื น้าสมุนไพรข่ามากขึน้ และจากการสรปุ จากแบบสอบถามพบวา่ ผบู้ ริโภคน้าข่าส่วนใหญ่ขอบรสชาติของ น้าข่า คิดเป็น 93.75% ผู้บริโภคต้องการบริโภคน้าข่าเป็นประจา คิดเป็น 90% ผู้บริโภคได้รับความรู้เร่ือง คุณประโยชน์ของข่ามากข้ึน คิดเป็น 90% และผู้บริโภคต้องการท่ีจะแนะนาให้ผู้อ่ืนบริโภคน้าข่า คิดเป็น 91.25% สรุปผล ในการทาโครงงานเร่ือง น้าสมนุ ไพรข่ารกั ษ์วถิ ีชุมชน เป็นโครงงานประเภทสังคมศาสตร์ ได้มีการทาน้า สมนุ ไพรจากขา่ เพอื่ ชว่ ยบารุงร่างกาย และสามารถทาเป็นอาชีพเสริมได้ จากนั้นพวกเราได้ออกแบบสอบถาม โดยยึดหลักการตลาด 7 Ps โดยออกแบบคร้ังท่ีหนึ่ง เกี่ยวกับการสารวจพฤติกรรมความต้องการของการ บริโภคน้าสมุนไพรข่า ทาให้ทราบว่า ส่วนมากเป็นเพศหญิงท่ีนิยมรับประทาน ซึ่งมีอายุ 42-47 ปีส่วนมากมี อาชีพเกษตร มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 3,001-5,000 บาท ซึ่งส่วนมากมีความรู้เก่ียวกับคุณประโยชน์ของข่าใน การนามาประกอบอาหาร ดังนั้น พวกเราจึงได้คิดทาน้าสมุนไพรข่าชนิด ขณะในการทาน้าสมุนไพรข่าก็มี อุปสรรคปัญหาก็คือ น้าสมุนไพรข่ามีการเก็บรักษาได้ไม่เกิน3-4วัน พวกเราได้ทาน้าสมุนไพรข่าเร่ือยๆแต่ก็ไม่ สามารถแก้ปัญหาได้ จากน้ันได้มีการออกแบบคร้ังที่สองการสารวจพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค เพื่อ ต้องการทราบข้อมูลท่ีผู้บริโภคแต่ล่ะกลุ่มพอใจหรือไม่อย่างไรในการด่ืมน้าสมุนไพรข่า โดยการแจก แบบสอบถามพร้อมการแจกผลิตภัณฑ์น้าสมุนไพรข่าเพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองด่ืม จากผลของแบบสอบถาม
การสารวจพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มท่ีชอบดื่มน้าสมุนไพรข่า100% จากการทดลองด่ืมน้า สมุนไพรข่าไม่มอี าการแพ้ใดๆ และช่วยบารงุ ร่างกาย เอกสารอ้างองิ agrimedia.agritech.doae.go.th/book/book-veg/VS%20035.pdf เข้าถงึ เมื่อวันที่ 5 พฤศจกิ ายน2557 http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/alpinia.htmlเข้าถึงเมอ่ื วนั ท่ี 5 พฤศจกิ ายน2557 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2_(%E0%B8%9E %E0%B8%B7%E0%B8%8Aเข้าถึงเม่ือวันท่ี 5 พฤศจกิ ายน2557 http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/alpinia.htmlเข้าถงึ เมื่อวันที่ 5 พฤศจกิ ายน2557 http://www.pendulumthai.com/smf/index.php?topic=442.0 เขา้ ถงึ เม่อื วันท่ี 5 พฤศจกิ ายน2557 http://health.kapook.com/view65106.html เข้าถึงเม่ือวันท่ี 5 พฤศจกิ ายน 2557 http://kasetpcc.wordpress.com เข้าถงึ เม่ือวันที่ 5 พฤศจกิ ายน 2557 http://richness.exteen.com/20091120/entry เข้าถงึ เม่ือวนั ที่ 5 พฤศจิกายน 2557 http://mba.sorrawut.com/wiki เข้าถึงเมือ่ วนั ท่ี 5 พฤศจกิ ายน 2557
สญั ญาท่ี RDG5740040211 รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ โครงงานยอ่ ยที่ 5 เรือ่ ง เรอ่ื ง ข่าไลแ่ มลงวัน (Galangal with Puching Flies) อาจารย์ทีป่ รกึ ษาโครงงาน นายเดชมณี เนาวโรจน์ นางสาวยาใจ เจริญพงษ์ นางสาวแสงเดือน บกน้อย คณะผู้วิจัย(นกั เรียน) นายสรุ เกียรติ กลนิ่ ดี นางสาวสริ ิธร วงเวยี น นางสาว อรอมุ า บญุ ไชย สนบั สนนุ โดยสานักงานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว) และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ชดุ โครงการ “เพาะพนั ธุ์ปัญญา (พัฒนายวุ วจิ ยั )”
กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานRBL เรื่อง ข่าไล่แมลงวัน(Galangal with Puching Flies) ในครั้งนี้สาเร็จลุล่วงได้ต้องขอกราบ ขอบพระคุณ นายชาติชาย สิงห์พรหมสาร ผู้อานวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ นายเชิดชัย สิงห์คิบุตร รองผู้อานวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ที่ให้คาชี้แนะ อานวยความสะดวกในการทาโครงงาน และขอบคุณศูนย์พี่เล้ียงมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ท่ีเปิดโอกาสให้ ข้าพเจา้ และคณะไดม้ ีโอกาสไดเ้ รยี นรกู้ ารทาโครงการ RBl ในครั้งนี้ กราบขอบพระคุณ คุณครู เดชมณี เนาวโรจน์ คุณครูยาใจ เจริญพงษ์ คุณครูแสงเดือน บกน้อย ท่ีให้ คาปรกึ ษา ดูแลแนะนา และแก้ไขข้อบกพร่องในการทาโครงงานทุกด้าน กราบขอบพระคุณ คณะครู บุคลากร ทางการศกึ ษา และเพอื่ นนกั เรียนทค่ี อยใหก้ าลงั ใจ จนกระทง่ั โครงงาน เรือ่ ง ขา่ ไล่แมลงวันสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี
บทคัดยอ่ ชอื่ โครงงาน ข่าไลแ่ มลงวนั ผู้จดั ทา นาย สรุ เกียรติ กลนิ่ ดี นางสาว สริ ิธร วงเวียน นางสาว อรอุมา บญุ ไชย ครูทป่ี รกึ ษา นายเดชมณี เนาวโรจน์ นางสาวยาใจ เจรญิ พงษ์ นางสาวแสงเดอื น บกน้อย ปีทท่ี า พ.ศ. 2557 โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ได้ปลูกข่าไว้เป็นจานวนมาก ทาให้มีการศึกษา ความเข้มข้นของสารสกัดจากข่ากับการไล่แมลงวัน โดยเราจะศึกษาความกล้าของแมลงวันที่จะกล้าบินเข้าไป ในกล่องทดลองหรือไม่ ถ้าแมลงวันกล้าบินเข้ากล่องทดลองท่ีมีอาหารล่อแมลงวัน แสดงว่าน้าสกัดจากข่าไม่ สามารถไล่แมลงวนั แตถ่ า้ แมลงวันไม่กล้าบินเข้าในกล่องทดลองท่ีมีอาหารล่อแมลงวัน แสดงว่าน้าสกัดจากข่า สามารถไลแ่ มลงวันได้ การออกแบบการทดลองโดยแยกตามความเขม้ ขน้ ของสารสกัดจากขา่ แบ่งเป็น 3 ชุด คือ ความเข้มข้น ร้อยละ 10 ความเข้มข้นร้อยละ 50 ความเข้มข้นร้อยละ 100 ตามลาดับ นามาฉีดใส่ในกล่องทดลองตามท่ี ออกแบบไว้ โดยมอี าหารลอ่ แมลงอยู่ภายในกล่อง ทาการทดลองซ้า 2 ครั้ง สังเกตในช่วงเวลา 30 นาที ผลการ ทดลอง พบว่า คือ กล่องที่ไม่ฉีดสารสกัดจากข่าในช่วง 30 นาที ผลท่ีได้ คือ ชุดการทดลองที่ไม่ฉีดสารสกัด จากข่ามแี มลงวนั เข้ากล่องทดลอง 14 – 22 ตัว ชุดการทดลองท่ี 2 ฉีดสารสกัดจากข่าความเข้มข้นร้อยละ 10 มีแมลงวนั บนิ เขา้ กล่องทดลอง 6 – 29 ชดุ การทดลองท่ี 3 ฉดี สารสกัดจากข่าความเข้มข้นร้อยละ 50 แมลงวัน บินเขา้ กลอ่ ง 5 – 18 ตัว ชดุ การทดลองที่ 4 ฉีดข่าความเขม้ ขน้ ร้อยละ 100 มแี มลงวนั บนิ เข้าเขา้ กล่อง 5 – 10 ตวั จากผลการทดลอง สรุปได้ว่า ความเข้มข้นของสารสกัดจากข่าสามารถสกดั ความกล้าของ แมลงวันได้ตา่ งกนั สารสกดั จากขา่ ที่มีความเขม้ ขนึ้ 100 % แมลงวันกล้าบินเขา้ กล่องน้อยที่สดุ
บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของโครงงาน ประเทศไทยมีแมลงวันหลายชนิด แต่ท่ีเป็นพาหะคือ แมลงวันบ้าน แมลงวันหัวเขียว แมลงวัน เปน็ พาหะนาโรคหลายชนิด เชอื้ สาคญั ท่สี ามารถเปน็ พาหะได้แก่ เช้อื อหิวาตกโรค เบาชนิดสามารถเข้าไปอยู่ใน ทางเดินอาหารของแมลงวันเม่ือแมลงวันไปตอมอาหารจะมีการขับถ่ายหรือสารอกเช้ือนั้นออกมา ตัวอ่อนของ แมลงวันเชน่ กนั มนั สามารถทาใหเ้ กิดโรคได้ จากการทต่ี วั อ่อนชอนไชตามอาหารของมนุษย์ ข่าเปน็ พืชสมนุ ไพรท่ีมีมากในโรงเรียนสมเด็จพระญาณสงั วร ในพระสงั ฆราชูปถัมภ์ แตย่ งั ไม่มีการ นาข่ามาใช้ประโยชนเ์ ท่าท่ีควร และจากการศึกษาคุณสมบัตขิ องขา่ พบวา่ สารสกดั จากเหงา้ ขา่ มีฤทธ์แิ ละกล่นิ ทีส่ ามารถไล่แมลงวันได้ ( http://frynn.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2/ ) แต่จากการ คน้ ควา้ ข้อมลู ไมป่ รากฏผลการทดลองท่ีแนช่ ัดว่าขา่ สามารถไล่แมลงวันได้จรงิ และไมม่ ีปรากฏว่ามีสารชนิดใดที่ อย่ใู นข่าท่สี ามารถไล่แมลงวันได้ ดงั นัน้ กลมุ่ ของข้าพเจ้าจึงมีความสนใจทจ่ี ะศึกษาเฉพาะกล่ินของขา่ ว่าขา่ จะมกี ลน่ิ ท่สี ามารถไล่ แมลงวันไดห้ รือไม่ วตั ถปุ ระสงค์ ศกึ ษาความเข้มข้นของสารสกัดจากข่าเพ่ือนามาไล่แมลงวนั สมมติฐาน ความเข้มข้นสารสกดั จากขา่ มีผลตอ่ การไล่แมลงวัน โครงงานมีตัวแปรต่อไปนี้ และแสดงแผนผงั เหตุ-ผล ในรูปท่ี 1 ตวั แปร ตวั แปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ ปรมิ าณความเข้มขน้ สารสกัดจากขา่ ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ จานวนแมลงวัน ตวั แปรควบคุม ได้แก่ ระยะเวลา, อาหารทีน่ ามาทดลองไลแ่ มลงวัน, กลอ่ งทีใ่ ช้ใน การทดลอง, อุณหภูมิ , สถานท,ี่ จานวนแมลงวนั สกัด เหง้าข่า สารสกัดจากข่า จานวนแมลงวัน รูปที่ 1 ผังเหตุ-ผล หรือตัวแปรต้น(เหต)ุ ตวั แปรตาม (ผล) ของโครงงานฐานวิจัยนี้
แนวคดิ และทฤษฎที ีเ่ ก่ยี วขอ้ ง แมลงวนั การจาแนกช้ันทางวิทยาศาสตร์ อาณาจักร: Animalia ไฟลัม: Arthropoda ชน้ั : Insecta ช้ันยอ่ ย: Pterygota Infraclass: Neoptera อนั ดับใหญ่: Endopterygota อันดับ: Diptera Linnaeus, 1758 Suborders Nematocera (includes Eudiptera) Brachycera แมลงวนั เป็น แมลง ใน อันดบั Diptera (di = สอง, และ ptera = ปกี ) มีบน อกปล้องทสี อง และ ตุ่ม ปกี หน่งึ คู่ ซ่ึงลดรูปจากปีกหลัง บนอกปล้องทีส่ าม แมลงวนั บางชนดิ ไม่มีปีก โดยเฉพาะใน superfamily Hippoboscoidea แมลงวัน เปน็ แมลงทีอ่ าศัยอยู่กับชุมชนมนุษย์ชนดิ หนง่ึ ส่วนมากคนจะรจู้ ักบางชนิด เชน่ แมลงวันบ้าน และแมลงวนั หัวเขียว มักจะกินอาหารท่เี ป็นเน้ือสัตวแ์ ละเศษอาหาร ตามกองขยะ และชอบหากินเวลากลางวัน ไม่ชอบแสงแดดจัด รศั มีการหากินอยู่ในวงประมาณ 3 กิโลเมตร ภาพขยายสว่ นหัวของแมลงวัน (Muscadomestica) ภาพพ้ืนผวิ ดวงตาของแมลงวัน โดยใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ท่ี กาลงั ขยาย 450 เทา่ แมลงวนั กนิ อาหารท่เี ปน็ ของเหลวไดเ้ ทา่ นัน้ สว่ น ปากของแมลงวันมีการเปลีย่ นรปู อยา่ งหลากหลายตามอาหารของพวก มัน เช่น ปากเจาะดูดของยุง และปากแบบซบั ดดู ของแมลงวนั บ้าน การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโต การผสมพนั ธแุ์ มลงวนั ออกลกู เป็นไข่ และฟกั เปน็ หนอนแมลงวัน และระยะดักแด้ จนกลายเปน็ ตัวเตม็ วัย วงจรชวี ติ ของแมลงวนั ต้งั แต่ไข่จนเปน็ ตัวเตม็ วยั กินเวลาประมาณ 8-10 วนั เม่อื แมลงวนั ผสมพนั ธุ์กัน ตวั ผู้จะเริม่ ขน้ึ ข่ีตวั เมยี หันหนา้ ไปทางเดยี วกนั แตจ่ ะหมนุ หันหนา้ ไปทางตรงกนั ขา้ มในเวลาต่อมา แมลงวนั มีความสามารถในการสบื พนั ธ์ุมากกว่าแมลงอืน่ ๆ และใช้เวลาส้ันกวา่ ดว้ ย จึงเปน็ สาเหตใุ หแ้ มลงวนั เพิ่มขน้ึ จานวนมาก ตวั เมียจะวางไข่ใกล้ๆแหลง่ อาหารเท่าท่ีเป็นไปได้ การเจริญเติบโตเกิดข้นึ อยา่ งรวดเร็ว ตวั หนอนจะกนิ อาหารมากท่ีสุดเท่าที่เปน็ ไปได้ในระยะเวลาส้นั ๆ ก่อนท่ีเจรญิ เติบโตไปเป็นตัวเตม็ วัย ในบางครัง้ ไข่จะฟกั ทนั ที หลงั จากถูกวางไข่ แมลงวนั บางชนดิ ตัวหนอนฟักภายในตวั แม่(ovoviviparous )
ตัวหนอนแมลงวัน หรือเรียกว่า maggot ไม่มีขาจริง ระหว่างอกและท้องมีการแบ่งส่วนพ้ืนท่ีเพียงเล็กน้อย หลายชนิดแม้แต่หัวก็ไม่สามารถแบ่งส่วนพื้นที่ได้ชัดจากส่วนอื่น บางชนิดมีขาเทียมเล็กๆที่ปล้องตัว ตาและ หนวดลดรูป หรือไม่มี และท้องไม่มีรยางค์ เช่น cerci. ลักษณะดังกล่าวเป็นการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่มี อาหารเป็นจานวนมาก เชน่ ในอนิ ทรียวัตถเุ นา่ หรือเป็นปรสิตภายในดักแด้มีหลายรูปแบบ บางคร้ังเข้าดักแด้ใน ปลอกไหม หลักจากออกจากดักแด้ ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 2-3 วัน หน้าที่หลักเพ่ือสืบพันธุ์และหาแหล่ง อาหารใหม่ ประโยชนแ์ มลงวันมีประโยชนต์ ่อมนษุ ย์ เช่น ในบางท้องท่ีพบวา่ แมลงวันสามารถช่วยผสมเกสรดอกไม้ แพทย์ บางแหง่ ใชห้ นอนแมลงวันช่วยในการรักษาแผลเน่าเป่ือยในคน โดยใหห้ นอนแมลงวันขนาดเลก็ กดั กนิ เนื้อเยื่อที่ ตายแล้ว ทาใหแ้ ผลหายเร็วข้ึน การพบตัวอ่อนของแมลงวันในศพสามารถช่วยในการชันสูตรศพ ซึง่ ช่วย ประมาณระยะเวลาตาย หรอื การหาสาเหตุของการตายในบางกรณีได้ ( http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A7 %E0%B8%B1%E0%B8%99 ) ชนดิ ของแมลงวนั ปจั จุบนั แมลงวันมมี ากถึง 3900 ชนิด แตบ่ างชนดิ ก็มีไมม่ าก เราจงึ นาเสนอเพยี งแค่ชนดิ ท่ี สาคญั ๆเทา่ นน้ั แมลงวนั บ้าน (House fly) ลกั ษณะโดยทว่ั ไป แมลงวันบา้ น (House fly) มชี ่ือสามญั “common house fly” และช่ือวทิ ยาศาสตรว์ า่ Muscadomesticaพบทวั่ โลก ในประเทศไทยพบแมลงวันบา้ นมีการกระจายตัวทุกพน้ื ที่ พบมากในฤดรู ้อน ตามกองขยะมลู ฝอย คอกสัตว์ ตามรา้ นคา้ และอจุ จาระสัตว์ เป็นตน้ ในคอกสัตว์สามารถพบแมลงวนั บ้าน ได้ เช่น ตามคอกไก่ คอกสุกร คอกวัว และคอกควาย เปน็ ต้น เพราะมเี ศษอาหารตกหลน่ บนพนื้ คอกและ มกี องอุจจาระสตั ว์บริเวณใกล้คอก แมลงวนั เหล่านี้รบกวนสัตวต์ ลอดเวลา ทาใหส้ ัตว์ไม่สามารถพักผ่อนได้ เตม็ ที่ สง่ ผลให้ได้ผลผลิตจากสัตว์ทนี่ อ้ ยลงไปดว้ ย รูปรา่ งลกั ษณะ แมลงวันบา้ นเพศเมยี มสี ว่ นท้องยาวกว่าแมลงวันบา้ นเพศผู้ โดยทั่วไปตวั เมียมคี วามยาวประมาณ 6.5-7.5 มลิ ลิเมตร ตัวผู้มีความยาวประมาณ 5.5-5.6 มลิ ลเิ มตร มหี นวดแบบ arista มขี นมากทงั้ ทางดา้ นบนและ ดา้ นล่างรวมถงึ สว่ นปลายของหนวด วงจรชีวติ แมลงวันบ้านมกี ารเจรญิ เติบโตแบบ complete metamorphosis โดยเริ่มจาก ระยะไข่ ตัว หนอน ตัวดักแด้ และตวั เต็มวัย ระยะเวลาของวงจรชีวิตแตกต่างกันออกไปขึน้ อยูก่ ับสภาพแวดลอ้ มและ อณุ หภมู ิ ในฤดรู ้อนระยะไข่ใชเ้ วลาประมาณ 10 ช่ัวโมง ระยะตวั อ่อนใช้เวลาประมาณ 5 วนั ระยะดกั แด้ ประมาณ 4-5 วนั จากไขเ่ ปน็ ตวั เต็มวยั ใช้ระยะเวลาท้งั หมด 10-15 วนั ในแตล่ ะปี จะมปี ระมาณ 12 รุน่ ถ้าสภาวะเหมาะสมต่อการเจริญเตบิ โตได้รวดเรว็ จานวนรุ่นเพม่ิ ขน้ึ ตัวเต็มวัยมีการเจริญทางเพศอย่าง สมบูรณใ์ ชเ้ วลาประมาณ 2 อาทติ ย์ ชว่ งระยะเวลาจากไข่จนถึงตัวเตม็ วยั นี้ขึ้นอยกู่ ับอุณหภูมิของ สภาพแวดล้อม ตวั เมียแตล่ ะตวั วางไข่ประมาณ 120-140 ฟองต่อคร้งั และอาจวางไข่ได้ถึง 5-6 คร้งั
ตลอดวงจรชวี ิต ดังน้ันแมลงพวกน้ีจึงเกิดข้ึนอยา่ งรวดเร็วมากในเวลาอันสัน้ ในเขตรอ้ นชน้ื แมลงวันแพร่พนั ธ์ุ ได้ตลอดทงั้ ปแี มลงวันบา้ นสามารถมชี ีวติ อยู่ได้ประมาณ 1 เดอื น แมลงวันหวั เขียว (Blow fly) ลกั ษณะโดยทวั่ ไป แมลงหัวเขยี ว มีช่ือสามัญว่า “Blow fly” หรอื “Blue bottle” หรือ “Green bottle” พบท่วั ไปใน ประเทศไทย มักมสี สี ะท้อนแสง สเี ขียวนา้ เงนิ หรอื สีทองแดง พบแมลงวนั หัวเขียวตามกองขยะมูลฝอย คอก สตั ว์ ตามร้านคา้ บ้านเรือนและอุจจาระสัตว์ เปน็ ตน้ โดยเฉพาะในฤดรู อ้ น รปู รา่ งลักษณะ แมลงวนั หัวเขยี วมลี าตวั ยาวประมาณ 9-15 มลิ ลเิ มตร สีเขยี วน้าเงินสะท้อนแสง ท่ีพบมากในประเทศไทย ไดแ้ ก่ Chrysomyiabezzianaมีหนวดเป็นเสน้ ขนเล็ก ๆ ส้ัน ย่ืนออกมาทัง้ ด้านบนและด้านล่าง เรยี กหนวด ชนดิ นี้ว่า arista เส้นปีกที่ 2 มกั โคง้ ลงไม่ชดิ หรือตดิ กับ apicalcell วงจรชวี ิต แมลงวันหัวเขียวเหมือนแมลงวนั บา้ น มีการเจรญิ เตบิ โตแบบครบวงจร(complete metamorphosis) โดย เร่ิมจาก ระยะไข่ ตวั หนอน ตัวดักแด้และตัวเต็มวยั ระยะเวลาของวงจรชีวิตแตกต่างกันออกไปข้นึ อยู่กับ สภาพแวดลอ้ มและอุณหภูมิ ไข่จะฟักออกเปน็ ตวั ภายใน 2-3 วัน ตวั หนอนที่เกิดข้ึนใหมจ่ ะกินเน้ือสัตวห์ รือ สง่ิ ทีเ่ นา่ เป่ือย อาทิ ซากศพ ซากเน่าเปื่อยอน่ื ๆ หลังจากโตเต็มทภ่ี ายใน 2 อาทติ ย์ จะฝังตวั เองในดินท่ี รว่ นหรอื ตามกองขยะเพือ่ เข้าดักแด้และออกเป็นตวั เตม็ วยั ตอ่ ไป ตวั เตม็ วยั มีอายปุ ระมาณ 1-2 เดอื น แมลงวันหลงั ลาย (Fresh fly) ลกั ษณะโดยทว่ั ไป แมลงวนั หลงั ลาย มีช่อื สามัญว่า “Fresh fly” เพราะท่สี ่วนอกด้านหลงั (dorsal) มแี ถบลายเห็นชัดเจน ท่ี บรเิ วณท้องจะมลี ายคลา้ ยตาหมากรกุ สีเทาแถมดา ซ่งึ จดุ สอี าจจะเป็นสีเทาหรอื สีดาข้ึนอยูก่ ับปริมาณแสง ปลายท้องมักจะมจี ดุ สแี ดง ตัวหนอนอาศัยตามมลู สตั ว์ ซากสัตว์ หรือพืชผักทีเ่ น่าเปื่อย แมลงวันหลงั ลายมกั ไมเ่ ข้ามารบกวนในบ้านเรือนเหมอื นแมลงวันบา้ นและแมลงวันหวั เขียว รปู ร่างลกั ษณะ แมลงวันหลังลายมรี ูปรา่ ง ขนาด ลักษณะและนิสัยคล้ายแมลงวนั หัวเขียวมาก ขนาดความยาวของลาตัว ประมาณ 13-16 มิลลเิ มตร ตวั ใหญ่กว่าแมลงวนั บ้าน ตัวเตม็ วัยมสี ีน้าตาลแก่ปนดา มีลายสีเทาดาหลาย ทางพาดบนอกตามแนวยาว ทบี่ ริเวณส่วนหวั จะมีขนเป็นจานวนมากและมตี าสแี ดงเขม้ วงจรชวี ิต แมลงวนั หลงั ลายมวี งจรชวี ติ เหมอื นแมลงวนั บ้านและแมลงวันหัวเขยี ว คือมีระยะไข่ ตวั หนอน ตวั ดักแด้ และตัวเตม็ วยั โดยปกตไิ ขข่ องแมลงวนั หลงั ลายจะฟกั ออกเปน็ ตวั หนอนและเจรญิ อยภู่ ายในแมลงวันตัวเมยี ระยะหนง่ึ แมลงวันหลังลายออกลูกคร้ังละประมาณ 40 ตวั แตอ่ าจมากถงึ 400 ตวั ตัวหนอนจะลอก คราบ 3 ครง้ั ตวั หนอนที่เจรญิ เต็มทมี่ ีขนาดประมาณ 20 มิลลเิ มตร ตัวหนอนกินซากสตั วท์ ี่ตายแลว้ เป็น อาหารเชน่ เดยี วกับแมลงวนั หวั เขียว แมลงวันหลงั ลายบางชนิดอาจเปน็ ตัวเบียนของแมลงหรอื สตั วไ์ มม่ ีกระดูก สันหลังชนดิ อืน่
แมลงวันคอกสัตว์ (Stomoxys) ลกั ษณะโดยท่ัวไป แมลงวันคอกสัตวช์ อบอย่ตู ามกองมลู สตั วห์ รือคอกสตั วม์ ากกวา่ ในบ้านเรือนบางครัง้ จงึ เรียกว่า “แมลงวันปาก ดา” พบไดท้ ่วั โลกโดยเฉพาะในเขตรอ้ น มปี ระมาณ 17 ชนดิ สาหรบั ประเทศไทยมีการสารวจพบแมลงวนั คอกสตั ว์ 5 ชนิด ได้แก่ Stomoxyscalcitrans , Stomoxyssitiens , Stomoxyspulla , Stomoxysindicusและ Stomoxysuremaชนดิ ทีพ่ บมากและกระจายกว้างขวาง ได้แก่ ได้แก่ Stomoxyscalcitransโดยพบในเขตทาปศุสตั ว์ เช่น โค กระบอื และม้า เป็นต้น เนื่องจากแมลงวนั ชนิดน้ี มปี กี แขง็ แรงสามารถบนิ ได้ไกล จึงมกี ารแพร่กระจายอย่างรวดเรว็ และกว้างขวาง จัดเป็นศัตรูของโคและ กระบือ ในประเทศไทยพบว่าแมลงวันปากดาเปน็ ศตั รูทีส่ าคัญของววั นมและส่งผลกระทบตอ่ การผลิตนมใน ประเทศไทย รปู ร่างลกั ษณะ แมลงวนั คอกสตั วม์ ขี นาดใกล้เคยี งกบั แมลงวันบา้ น มลี าตวั สีเทาอมน้าตาล มเี สน้ สีดาพาดตามยาวบนส่วนอก สว่ นทอ้ งมลี ายลักษณะเหมือนตาหมากรุก มจี ุดสเี ข้ม 3 จุด บนท้องปลอ้ งท่ี 2 และ 3 เพศผมู้ ตี ารวมหา่ ง น้อยกวา่ เพศเมยี ขน arista ตัง้ อย่บู นหนวดปลอ้ งที่ 3 มีลักษณะเหมือนหวี มซี ่หี วเี ปน็ แถวดา้ นเดียว ปาก แบบเจาะดดู (piercing sucking) ส่วน proboscis ยาวเรยี วและยาวเป็นสองเท่าของส่วนหวั ปกี มี 1 คู่ ติดอยู่ที่อกปล้องกลางและมปี ุ่ม (halteres) ตดิ อยู่ที่อกปล้องสดุ ท้าย ในจานวนแมลงวนั คอกสัตว์หลายชนดิ แมลงวัน Stomoxyscalcitransมคี วามสาคัญมากทส่ี ุด แมลงวันชนิด น้มี ีรูปร่างคล้ายคลงึ กบั แมลงวันบา้ นมาก บางคร้ังชาวบา้ นเรียกวา่ “Biting house fly” ส่วนทแี่ ตกตา่ งจาก แมลงวนั บา้ นคือ ส่วนปากเป็นปากแบบเจาะดูด และย่ืนตรงไปขา้ งหน้า รปู รา่ งยาวเรยี วเลก็ กว่าแมลงวนั บา้ นเล็กนอ้ ย วงจรชวี ิต แมลงวนั คอกสัตวเ์ พศเมยี วางไขใ่ นบรเิ วณท่ชี ื้นแฉะ มกี ารหมักหมม ของเศษพชื หรอื เศษฟางต่าง ๆ โดยวางไข่ ประมาณ 25-50 ใบตอ่ ครั้ง ตวั ออ่ นออกจากไข่ภายในเวลา 3 วนั และกนิ อาหารจากเศษฟางท่เี นา่ เป่ือย ในบรเิ วณใกล้เคยี ง หลงั จากน้นั เขา้ ระยะดกั แด้ในเศษฟางหรอื หญา้ แหง้ ภายใน 2-3 สัปดาห์ และออกจาก ดกั แดภ้ ายใน 7 วัน ตัวเตม็ วัยมีอายยุ าวประมาณ 2 เดือน หรอื มากกวา่ และมคี วามสามารถในการบนิ ที่ ไกล ( http://www.mcf-service.com/flies.html)
ขา่ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Alpiniagalanga (L.) Willd. ชอ่ื สามญั : Galanga วงศ์ : Zingiberaceae ช่ืออืน่ : ขา่ หยวก ขา่ หลวง (ภาคเหนอื ) , กฏุกกโรหินี (ภาคกลาง) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 1.5-2 เมตร เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน ใบ เด่ียว เรียงสลับ รูปใบ หอก รูปวงรีหรือเกือบขอบขนาน กว้าง 7-9 ซม. ยาว 20-40 ซม. ดอก ช่อ ออกที่ยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก กลบี ดอกสขี าว โคนตดิ กันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลีบใหญ่ท่ีสุดมีริ้วสีแดง ใบประดับรูปไข่ ผล เปน็ ผลแหง้ แตกได้ รูปกลม สรรพคุณ: ข่าเป็นพืชที่นามาใช้ประโยชน์ทางด้านอาหารมากมาย ใช้ใส่ในต้มข่า ต้มยา น้าพริกแกงทุกชนิดใส่ ขา่ เป็นสว่ นประกอบ ยกเวน้ แกงเหลอื งและแกงกอและทางภาคใต้ท่ีไม่นิยมใส่ข่า มีบทบาทในการดับกล่ินคาว ของเน้ือและปลา นอกจากนั้น ข่ายังมีฤทธ์ิทางยา เหง้าแก่แก้ปวดท้อง จุกเสียด แน่น ดอกใช้ทาแก้กลาก เกล้ือน ผลช่วยย่อยอาหาร แก้คล่ืนเหียน อาเจียน ต้นแก่นาไปเคี่ยวกับน้ามันมะพร้าว ทาแก้ปวดเมื่อย เป็น ตะคริว ใบมีรสเผ็ดร้อน แก้พยาธิ สารสกัดจากข่ามีฤทธ์ิฆ่าเช้ือแบคทีเรีย น้ามันหอมระเหยจากข่ามีฤทธ์ิทาให้ ไข่แมลงฝอ่ กาจัดเชอื้ ราบางชนิดได้ ใช้ผสมกับสะเดาเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการกาจัดแมลงข่า ลดการบีบตัว ของลาไส้ ขับน้าดี ขับลม ลดการอักเสบ ยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเช้ือราใช้รักษา กลากเกล้ือน การทดสอบความเปน็ พิษ สารสกัดข่าด้วยเอทานอล ร้อยละ 50 ไม่พบความเป็นพิษเมื่อให้ทางปากหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หนู แต่มีความเป็นพิษปานกลางถึงมากเมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนู สารสกัดเหง้าข่าด้วยเอทานอลร้อยละ 95 ไม่ พบความเป็นพิษเม่ือให้หนูทางปากในขนาด 3 กรัม/กิโลกรัม น้ามันหอมระเหยจากเหง้าข่ามีความเป็นพิษ ปานกลางเมือ่ ฉดี เข้าช่องทอ้ งหนตู ะเภา สารสกดั แอลกอฮอล์จากเหง้าข่าขนาด 100 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ไม่พบ ความเป็นพิษเม่อื ฉีดเข้าช่องท้องหนูเมาส์ติดต่อกัน 7 วัน การทดสอบความเป็นพิษกึ่งเร้ือรัง พบว่าสารสกัดข่าด้วย เอทานอลร้อยละ 95 ให้หนูโดยผสม กับน้าดมื่ ในขนาด 100 มลิ ลิกรัม/กโิ ลกรมั ติดตอ่ กัน 3 เดอื น ทาให้หนตู ายถงึ ร้อยละ 15 ( http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_02_1.htm)
การสกดั นามนั หอมระเหย นา้ มนั หอมระเหย ( Essential Oil) คือ นา้ มันทพ่ี ชื สร้างขึ้นและเกบ็ ไวใ้ นสว่ นต่างๆ ของพชื เชน่ ดอก ใบผล ลาตน้ ตลอดจนเมลด็ ซึ่งจะพบ แตกตา่ งกนั ไปในพืชแต่ละชนิด คณุ สมบัติท่เี ด่นชัด คอื มีกลน่ิ หอมและ ระเหยได้ง่ายที่อุณหภูมิปกติ นา้ มนั หอมระเหยเป็นกล่มุ สารอนิ ทรีย์ กล่ินดังกลา่ วไม่จาเป็นต้องหอมเสมอไป สะสมอยู่ในบริเวณผนงั เซลล์ จากพชื เปน็ ผลพลอยได้ท่เี กิดข้นึ จากการเจริญเตบิ โต ซ่ึงประกอบด้วย 2 ขบวนการ คือ การเผาผลาญ (catabolism) และการสร้าง (anabolism) ปรมิ าณและคุณภาพน้ามันหอมระเหยข้นึ อยูก่ บั ปัจจยั หลายประการ เช่น ดิน ภูมอิ ากาศ อณุ หภมู ิ ปรมิ าณนา้ ฝน ความสงู จากระดับนา้ ทะเล การเก็บเก่ียว ตลอดจนเทคนิค และวิธีการสกัดและการกลั่นใส ปัจจุบันน้ามันหอมระเหยกลายเป็นส่ิงจาเป็นต่อมนุษย์เพ่ิมข้ึน และมีบทบาทอย่างกว้างขวางใน วงการอุตสาหกรรม ท้ังทางด้านบริโภคและอุปโภค และที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวัน จะเห็นได้ว่าในแต่ละ วันต้ังแต่เช้าจรดค่า ต่ืนเช้าข้ึนมา ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้า หวีผม แต่งหน้า ล้วนแล้วแต่ใช้ในเครื่อง อปุ โภคช่วยปรุงแต่งด้วยน้ามันหอมระเหย และเครื่องหอมทั้งสิ้น นับต้ังแต่ สบู่ ยาสี ฟนั ยาสระผม นา้ มันใส่ผม โลชน่ั โคโลญจ์ เป็นต้น และปัจจุบันประเทศไทยต้องส่ัง น้ามันหอมระเหยและกลิ่นต่างๆ เข้ามา คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยเฉพาะ โรงงานอุตสาหกรรมท้ังเครื่องบริโภคและอุปโภค อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสาอาง ผงซักฟอก ยาสูบ เบียร์ สบู่ นมสด ไอศกรีม ฯลฯ ซ่ึงมีอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 200 โรงงาน โรงงานเหล่าน้ีมีความจาเป็นต้องใช้น้ามันหอมระเหยกลิ่นหอมต่างๆ การสกัดน้ามนั หอมระเหยมีอยู่ 5 วธิ ี คอื 1. การกลั่นน้ามนั หอมระเหย (distillation) การกลั่นเป็นวิธีหนึ่งท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการสกัดน้ามันหอมระเหย หลักการของการกล่ัน คือ ใช้น้าร้อนหรือไอน้าเข้าไปแยกน้ามันหอมระเหยออกมาจากพืช โดยการแทรกซึมเข้าไปในเน้ือเยื่อพืช ความรอ้ นจะทาให้สารละลายออกมากลายเป็นไอ ปนมากับน้าร้อนหรือไอน้า อย่างไรก็ดี การกล่ันเพื่อให้ได้ น้ามันหอมระเหยที่มีคุณภาพดีนั้น ต้องอาศัยเทคนิคและขบวนการทางเคมีและกายภาพหลายอย่างประกอบ กัน โดยท่วั ๆ ไป เทคนิคการกลน่ั นา้ มันหอมระเหยทใี่ ช้กันอยู่มี 3 วธิ ี ได้แก่
1.1 การกลนั่ ดว้ ยนา้ รอ้ น (Water distillation & Hydro – distillation) เป็นวิธที งี่ า่ ยทส่ี ุดของ การกลั่นน้ามันหอมระเหย การกลั่นโดยวิธีนี้ พ้ืนท่ีกล่ันต้องจุ่มในน้าเดือดท้ังหมด อาจพบพืชบางชนิดเบา หรือให้ทอ่ ไอน้าผ่านการกล่นั นา้ มนั หอมระเหยนใ้ี ช้กับของท่ีตดิ กันงา่ ยๆ เชน่ ใบไมบ้ างๆ กลีบดอกไม้ออ่ นๆ ข้อควรระวังในการกล่ันโดยวิธีน้ีคือ พืชจะได้รับความร้อนไม่สม่าเสมอ ตรงกลางมักจะได้ความร้อน มากกว่าด้านข้าง จะมีปัญหาในการไหม้ของตัวอย่าง กลิ่นไหม้จะปนมากับน้ามันหอมระเหยและมีสารไม่พึง ประสงค์ติดมาในน้ามันหอมระเหยได้ วิธีแก้ไข คือ ใช้ไอน้า หรืออาจใช้ closed steam coil จุ่มในหม้อ ต้ม แต่การใช้ steam coil นี้ไม่เหมาะกับดอกไม้บางชนิด เพราะเม่ือกลีบดอกไม้ถูก steam coil จะหด กลายเปน็ glutinous mass จึงตอ้ งใช้วิธใี สล่ งไปในนา้ กลบี ดอกไมจ้ ะสามารถหมนุ เวยี นไปอยา่ งอิสระใน การกล่ัน เปลือกไม้ก็เช่นกัน ถ้าใช้วิธีกลั่นด้วยน้า น้าจะซึมเข้าไปและนากลิ่นออกมา หรือกล่ินจะ แพร่กระจายออกจากเปลือกไม้ได้ง่ายข้ึน ดงั น้ัน การเลือกใช้วิธกี ารกลั่นจึงขึ้นกับชนดิ ของพืชที่นามากลน่ั ด้วย 1.2 การกล่ันด้วยน้าและไอน้า (water and steam distillation) การกล่ันโดยวิธีนี้ใช้ตะแกรงรอง ของที่จะกล่ันให้เหนือระดับน้าในหม้อกลั่น ต้มให้เดือด ไอน้าจะลอยตัวข้ึนไปผ่านพืชหรือตัวอย่างท่ีจะกล่ัน ส่วนน้าจะไม่ถูกกบั ตวั อย่างเลย ไอนา้ จากนา้ เดอื ดเปน็ ไอน้าท่ีอ่มิ ตัว หรอื เรยี กว่า ไอเปียก ไมร่ อ้ นจัด เปน็ การกล่ันที่สะดวกที่สุด คุณภาพของน้ามันออกมาดีกว่าวิธีแรก การกลั่นแบบน้ีใช้กันอย่างกว้างขวางในการ ผลติ นา้ มนั หอมระเหยทางการคา้ 1.3 การกลั่นด้วยไอน้า (direct steam distillation) วิธีน้ี วางของอยู่บนตะแกรงในหม้อกลั่น ซง่ึ ไมม่ ีน้าอย่เู ลย ไอน้าภายนอกท่ีอาจจะเป็นไอน้าเปียก หรือไอร้อนจัดแต่ความดันสูงกว่าบรรยากาศ ส่งไป ตามท่อใต้ตะแกรง ให้ไอผ่านขึ้นไปถูกกับของบนตะแกรง ไอน้าต้องมีปริมาณเพียงพอที่จะช่วยให้น้ามันแพร่ ระเหยออกมาจากตัวอย่าง ตัวอย่างบางชนิดอาจใช้ไอร้อนได้ แต่บางชนิดก็ใช้ไอเปียก น้ามันจึงจะถูกปล่อย ออกมา ข้อดขี องการกล่นั วิธีนี้ คอื สามารถกลัน่ ได้อย่างรวดเรว็ เมื่อเอาพชื ใส่หม้อกลั่นไม่ต้องเสียเวลารอให้ ร้อน ปล่อยไอรอ้ นเขา้ ไปไดเ้ ลย ปริมาณของสารท่ีนาเข้ากลัน่ ก็ไดม้ าก ปริมาณทาให้ไดน้ า้ มันหอมระเหยมาก การกล่นั ทง้ั 3 วธิ ี ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาด้วยว่า การแพร่กระจายของน้ามันหอมระเหยและน้าร้อย ผ่านเยื่อบางๆ ของพืช การไฮโดรไลซ์สาร องค์ประกอบต่างๆ เน่ืองจากสัมผัสกับน้าตลอดเวลา ตลอดจน การสลายตวั ของสารในน้ามันหอมระเหย อันเนื่องมาจากความร้อนถึงแม้ว่าก่อนนาพืชมากล่ันจะต้องหั่นหรือ ทาให้เซลล์แตกก่อน เพ่ือให้ได้น้ามันหอมระเหยออกมาจากเซลล์ได้ง่าย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีน้ามันหอม ระเหยบางส่วนทีอ่ ยทู่ ่ีผวิ และถกู ทาใหก้ ลายเปน็ ไออยา่ งรวดเรว็ ด้วยไอนา้ น้ามันส่วนท่ีเหลือภายในจะออกมาสู่ ผิวได้ โดยการซึมผ่านผนังบางๆ ของพืช และจะดาเนินไปได้ดีที่อุณหภูมิสูง สารประกอบพวกเอสเทอร์จะ ถูกไฮโดรไลซ์ให้เป็นกรด และแอลกอฮอล์ได้ง่าย ดังนั้น เพ่ือให้ได้น้ามันหอมระเหยที่มีคุณภาพดีท่ีสุด ควร กลั่นที่อุณหภูมิต่าสุดเท่าท่ีจะทาได้ หากได้น้ามันน้อย ควรใช้อุณหภูมิสูงข้ึน ใช้เวลาให้สั้นท่ีสุด การกลั่น จะต้องพิจารณาใหร้ อบคอบ วัดอุณหภมู ิและเวลาให้อยู่ในช่วงทีเ่ หมาะสมท่สี ดุ ในการกลน่ั นา้ มนั หอมระเหยทงั้ 3 วิธนี ้ี สามารถทาเองได้ อุปกรณท์ สี่ าคญั สาหรบั ใชก้ ล่ัน มี 3 อย่าง คือ หมอ้ กลั่น (still) เครอื่ งควบแนน่ (condenser) และภาชนะรองรับ (receiver) การกลั่น ด้วยไอนา้ จะตอ้ งมีหมอ้ ต้มน้า (boiler) สาหรับทาไอนา้ เพิม่ อกี อยา่ งหน่งึ
หม้อกลัน่ (still) น้าหรือไอน้า จะสัมผสั กับพืชในภาชนะ ซึ่งมีรูปร่างที่ง่ายท่ีสุดเป็นถังทรงกระบอก ทาด้วยเหล็กหรือทองแดง เส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหรือน้อยกว่าความสูงเล็กน้อย มีฝาเปิด – ปิดได้ ด้านบนมี ท่อต่อสายรัดให้ไอน้าพาน้ามันหอมระเหยไปสู่เครื่องควบแน่น ถ้าเป็นการกลั่นแบบใช้น้าผสมไอน้า ต้องมี ตะแกรงวางตัวอยา่ งทีจ่ ะกล่ันใหส้ ูงกว่ากน้ หมอ้ กล่ัน ส่วนการกล่ันด้วยไอน้า น้าจะถูกฉีดเข้าไปใต้ตะแกรงน้ัน ก้นหมอ้ กลัน่ จะต้องมที อ่ กอ๊ กระบายนา้ ที่กลน่ั ตัวลงหม้อกลั่น และฝาควรมฉี นวนห้มุ กันความร้อนสญู หาย เคร่ืองควบแน่น (condenser) ส่วนผสมของไอน้าและน้ามันหอม ระเหยทอี่ อกมาจากหม้อกล่ัน จะถูกส่งผ่านไปยังเครื่องควบแน่น ซึ่ง ทาหน้าทเ่ี ปล่ยี นไอน้าและน้ามนั หอมระเหยให้เป็นของเหลว ลักษณะ เป็น coil ม้วนอยใู่ ตถ้ ังทีม่ นี ้าเยน็ ผ่านจากด้านล่าง สวนทางกับไอน้า และน้ามันหอมระเหยท่ีนิยมอีกแบบหน่ึง คือ ให้ไอน้าและน้ามัน หอมระเหยผ่านในท่อ (tube) ให้น้าเย็นไหลเวียนรอบๆ tube เครื่องควบแน่นควรมีขนาดใหญ่พอให้ไอกลั่นตัวเร็ว เพ่ือจะได้น้ามัน หอมระเหยที่มีคุณภาพ ถ้านานไปจะทาให้เกิดไฮโดรไลซ์ของเอส เทอร์ วัสดุท่ีเป็น coil หรือ tube ควรใช้ทองแดงผสมดีบุกท่ี รองรับน้าหรือน้ามันหอมระเหย (receiver) น้ามีปริมาณมากกว่า น้ามันจึงต้องมีการไขน้าท้ิงตลอดเวลา ส่วนน้ีจึงทาหน้าที่แยกน้า และน้ามันหอมระเหย ถ้าน้ามันเบากว่าน้า น้ามันก็จะอยู่ท่ีส่วนบน ไขน้าด้านล่างออก ถ้าน้ามันหนักกว่าน้า น้ามันจะอยู่ด้านล่าง ก็ไข น้าด้านบนออก เคร่ืองมือในห้องปฏิบัติการมักเป็นแก้วมองเห็นได้ง่าย ปริมาณน้อยกว่า 10 ลิตร แต่ถ้า มากกว่า 10 ลติ ร ควรเปน็ ทองแดงผสมดีบุก ไมค่ วรใช้ตะกว่ั เพราะตะกวั่ จะทาปฏกิ ิริยากับกรดไขมัน เกิด เปน็ เกลอื ทีเ่ ปน็ พษิ การกล่ันน้ามนั หอมระเหยไม่ควรใช้สายยางต่อ เพราะสายยางจะละลายไปติดน้ามันหอม ทาให้กล่ินผิดไปจากความจริง หากน้ามันหอมระเหยไม่ค่อยแยกจากกัน ต้องใช้กรวยยาวๆ รองรับ distillate ปลายกรวยงอขนึ้ การไหลของ distillate จะไม่ไปรบกวนช้ันของน้ามัน และหยดน้ามันจะลอย ขน้ึ ชา้ ๆ ไปอย่ใู นชน้ั ของน้ามัน น้ามนั ควรแยกออกจากนา้ ใหเ้ ร็วทส่ี ดุ เก็บไว้ในภาชนะสุญญากาศที่อากาศเย็น การกลั่นดังกล่าวแม้จะเป็นวิธีที่ใช้กันมาก แต่มีข้อเสียหลายประการอันเนื่องมาจากความร้อนทาให้ ปฏิกิริยาสลายตัวต่างๆ เกิดขึ้น กล่ินที่ได้อาจผิดเพ้ียนไปจากธรรมชาติ สารประกอบบางตัวในน้ามันหอม ระเหยท่ีละลายได้ดี มีจุดเดือดสูง จะไม่ถูกพามาโดยไอน้า ดังนั้น น้ามันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นอาจ ไม่ใช่ที่เกิดในธรรมชาติเสมอไป โดยเฉพาะน้ามันหอมระเหยจากดอกไม้ท้ังหลายซ่ึงเสียได้ง่าย เช่น มะลิ ซอ่ นกล่ิน ไวโอเลต ดอกพดุ ไฮยาซิน เปน็ ต้น เม่ือเวลากล่ันจะไมไ่ ด้น้ามันหรือน้ามันท่ีได้มีปริมาณน้อยมาก และคุณภาพไม่ดี การใช้วิธีกล่ันจึงไม่เหมาะสม ต้องใช้วิธีอื่นท่ีทาให้ได้น้ามันหอมระเหยใกล้เคียงที่เกิดใน ธรรมชาตมิ ากที่สดุ ตวั อย่างสมุนไพรทใ่ี ชใ้ นการกลัน่ น้ามนั หอมระเหย - ไพล เหมาะสมกบั การกล่ันด้วยน้าและไอนา้ (Water and steam distillation) ใช้เหง้าในการกลัน่ ก่อนจะทาการกล่นั ควรมีการห่นั บางๆ เพ่อื ให้ไปนา้ ผา่ นได้ง่าย และไดน้ า้ มนั ที่มี คณุ ภาพและปรมิ าณมาก เม่ือกล่นั แล้วจะไดเ้ ป้นของเหลว
ไม่มสี ี หรอื มีสเี หลืองอ่อน ปราศจากตะกอน และสารแขวนลอย ไม่มีการแยกช้ันของนา้ มกี ลิ่นเฉพาะตัว ของไพล - ขม้นิ เหมาะสมกับการกล่นั ด้วยนา้ และไอน้า (water and steam distillation) ใชส้ ่วนเหง้าในการกล่ัน กอ่ นจะทาการกลนั่ ควรมีการห่ันบางๆ เพื่อใหไ้ อน้าผ่านได้งา่ ยและได้นา้ มนั ท่ีมคี ุณภาพและปรมิ าณมาก เม่ือ กลั่นแลว้ จะได้เป็นของเหลวใส มีสเี หลอื งออ่ นปราศจากตะกอนและสารแขวนลอย ไม่มีการแยกชนั้ ของน้า มี กลิน่ เฉพาะตวั ของขม้นิ - ตะไครห้ อม เหมาะสมกับการกลน่ั ด้วยนา้ และไอนา้ (water and steam distillation) ใช้ส่วนใบ ของตะไครห้ อมในการกล่ัน เม่อื กลน่ั แล้วจะได้ของเหลวใส สเี หลอื งออ่ น ปราศจากตะกอนและแยกช้ันของ น้า มกี ลิ่นเฉพาะตวั ของตะไคร้ 2. การสกดั ด้วยน้ามันสัตว์ (extraction by animal fat) ใช้กับน้ามันหอมระเหยท่ีระเหยได้ง่ายเม่ือใช้วิธีกลั่นด้วยไอน้า วิธีนี้จะใช้เวลานานเพราะต้องแช่พืชไว้ ในนา้ มันหลายวัน ซ่ึงน้ามันจะช่วยดูดเอากล่ินหอมของน้ามันหอมระเหยออกมา วิธีน้ีใช้ในการสกัดน้ามันหอม ระเหยจากดอกมะลิ ดอกกหุ ลาบ เป็นตน้ 3. การสกดั ดว้ ยสารเคมี (solvent extraction) วิธนี จ้ี ะไดน้ า้ มันหอมระเหยท่ีมคี วามเข้มข้นสูง แต่คณุ ภาพไม่ดีเทา่ การกลั่นเพราะหลงั จาก การสกัดจะไดส้ ารอ่ืนปนออกมาดว้ ย การสกัดแบบนี้จะได้น้ามันหอมระเหยที่เรียกว่า absolute oil วิธีน้ีใช้กับ พืชใช้กับพืชทนความร้อนสูงไม่ได้ เช่น มะลิ และที่สาคัญคือ หลังจากการสกัดต้องทาการระเหยสารเคมีท่ีใช้ เปน็ ตวั สกัดออกใหห้ มด สารเคมีทนี่ ิยมใชเ้ ปน็ ตวั สกัดคอื แอลกอฮอล์ 4. การคันหรือบีบ ทาใหน้ า้ มนั ท่ีอยู่ในเปลือกของผลไม้ เชน่ เปลือกพชื ตระกูลส้ม ออกมาแตน่ ้ามันหอมระเหยทไ่ี ด้จะมี ปรมิ าณน้อยและไม่ค่อยบรสิ ทุ ธ์ิ 5. การสกดั ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เหลว โดยปลอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซด์ท่ีถกู ทาให้เป็นของเหลวทคี่ วามดนั สูงเปน็ วิธีทปี่ จั จุบันนยิ มใช้มากเพราะ จะไดน้ ้ามันหอมระเหยที่มีกลิ่นดี มีความบรสิ ทุ ธส์ิ ูง แตว่ ิธีนี้จะมตี ้นทุนการผลติ ท่ีสูง ขอ้ ควรระวงั ควรเก็บนา้ มนั หอมระเหยไว้ในขวดแกว้ เท่านนั้ ไม่ควรเกบ็ ไวใ้ นขวดพลาสตกิ ความกล้า Mark Twain นักเขยี นชาวอเมริกันกล่าววา่ \"ความกล้า คือการต่อสคู้ วามกลัว เปน็ การเอาชนะ ความกลัว แต่ไมใ่ ช่ไมร่ ้สู กึ กลัว\" Courage is the resistance to fear, mastery of fear, not absence of fear. ความกลวั เป็นความรู้สกึ ทีม่ นุษย์ไม่พึงปรารถนา เป็นส่งิ ท่ที าให้ตกใจทาให้เกิดความกังวลวา่ ส่งิ ทไ่ี มด่ ี กาลงั จะเกดิ ข้ึนกับเรา เปน็ อนั ตรายคมุ คามต่อชีวติ ของเราอยากหลีกหนไี ปให้ไกล
พระธรรมเยเรมีย์ 6:25 \"….ศตั รมู ีอาวธุ ครบมือ รอบตัวของข้าพระองค์มีอันตราย ความกลัว ความ สยดสยองเกดิ ขนึ้ ในใจ \" http://web.wattana.ac.th/sermon/files/48-06-24.html ความกล้าหาญ courage; bravery; intripidity รวมท้ัง ความทรหดอดทน (fortitude) หรือ เจตจานง (will) คือความสามารถในการเผชิญหน้ากับความกลัว ความเจ็บปวด อันตราย การเส่ียงภัย ความไมแ่ นน่ อน การข่มขู่ \"ความกล้าหาญภายนอก\" คือความกล้าหาญหรือความอดทนเมื่อต้องพบกับความ เจ็บปวดทางกาย ความลาบาก ความตาย การคุกคามเอาชีวิต \"ความกล้าหาญภายใน\" คือความสามารถใน การทางานหรือกิจการตา่ งๆ อย่างถูกต้องเปน็ ธรรม ถงึ แม้วา่ จะต้องพบกับการคัดค้านอย่างกว้างขวาง ถึงแม้ว่า จ ะ ต้ อ ง พ บ กั บ ค ว า ม อั บ อ า ย เ รื่ อ ง อื้ อ ฉ า ว แ ล ะ ก า ร บ่ั น ท อ น ก า ลั ง ใ จ http://th.wikipedia.org/wiki/ความกล้าหาญ ฉะน้ัน ความกล้าในการทดลองคร้ังนี้ หมายถึง การศึกษาความกล้าของแมลงวันที่จะกล้าบินเข้าไปใน กล่องทดลองหรือไม่ ถ้าแมลงวันกล้าบินเข้ากล่องทดลองท่ีมีอาหารล่อแมลงวัน แสดงว่าน้าสกัดจากข่าไม่ สามารถไล่แมลงวัน แต่ถ้าแมลงวันไม่กล้าบินเข้าในกล่องทดลองที่มีอาหารล่อแมลงวัน แสดงว่าน้าสกัดจากข่า สามารถไลแ่ มลงวันได้ อปุ กรณ์และวิธีการทดลอง อปุ กรณ์ในการทาสารสกัดจากข่า 1. เคร่อื งช่ังสาร 1 เครอ่ื ง 2. บีกเกอร์ 2 อัน 3. เหงา้ ข่าสด 1 กิโลกรัม 4. น้า 1 ลิตร 5. เครื่องปน่ั 1 เคร่ือง 6. ตะแกรงถี่ 1 เครอื่ ง 7. ขวดสเปรย์ 4 ขวด อุปกรณใ์ นการสรา้ งกล่องทดลอง 1. โครงกลอ่ งอะลูมิเนยี ม 30×30 เซนติเมตร จานวน 4 โครง 4 ถุง 2. ถุงพลาสติกถงุ ใหญ่ 8 อนั 3. ตอกไม้ไผ่ท่ีสานเปน็ ตาข่าย วธิ กี ารคนั นาข่าสด 1. นาเหงา้ ขา่ ทีส่ ด จานวน 5 กิโลกรัม มาล้างน้าให้สะอาด 2. หนั่ เปน็ แวน่ บางๆ แลว้ นามาป่ันกบั เครื่องปน่ั 3. เมื่อป่ันเสรจ็ แล้ว นาตะแกรงมากรองใสบ่ กี เกอร์ 4. ตม้ เพ่ือกาจดั เช้ือโรคโดยใชต้ ะเกยี งแอลกอฮอลล์ 5. นามาตั้งไวเ้ พ่ือใหเ้ ย็นตัว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196