ผใู้ ห้ขอ้ มลู ชื่อ – สกลุ : นายสวสั เฉ่อื ยชา ชื่อแลน่ : ป๊ืด วนั /เดือน/ปี เกิด : วนั ท่ี 22 เดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2506 อายุ : 59 ปี ท่ีอยู่ : บา้ นเลขท่ี 6/2 หมทู่ ่ี 7 บา้ นดอนกลาง ตาบลจอมประทดั อาเภอวดั เพลง จงั ราชบุรี รหสั ไปรษณีย์ 70000 เบอรโ์ ทรศพั ท์ : 092 – 6653793 ประกอบอาชีพ : เกษตรกร ประวตั ิความเป็นมา เรม่ิ ต้นจากการสนใจในกีฬาววั ลาน ได้มกี ารติดตามญาติผู้ใหญ่ท่ีเป็นเล่น แข่งขนั ววั ลานท่สี นามต่างๆ โดยไปดูวธิ กี ารแข่งการละเล่นของแต่ละพน้ื ทแ่ี ละกย็ งั มกี ารขอไปเล้ยี งววั กบั ญาติเพ่อื ศึกษาวธิ ีการเล้ยี งววั การดูแลววั โดยได้รบั การถ่ายทอดความรู้จากบุคคลท่เี ล้ียงววั มาหลายคน ต่อมาได้มกี ารไปซ้ือววั ลานมาเล้ียงเป็นของตนเองตัง้ แต่อายุ 22 ปี โดยมีการเล้ียงตามวธิ ีท่ีได้รบั การ ถ่ายทอดมามกี ารดูแลววั ก่อนแข่งโดยให้กนิ อาหารเพ่อื ชูกาลงั และมกี ารนาววั ไปแข่งกบั กลุ่มเพ่อื นท่อี ยู่ใน หลายพน้ื ทท่ี ร่ี จู้ กั กนั มาหลายสนาม ววั แพบ้ า้ งชนะบา้ ง แต่กเ็ ลย้ี งและดแู ลเอาใจใสอ่ ย่างดี แตป่ ัจจุบนั ไม่ไดน้ า ววั ไปซ้อมหรอื ไปแข่งมาประมาณ 1-2 ปีแล้ว เน่ืองจากสถานการณ์โควดิ 19 จงึ ทาให้ไม่สามารถจดั การ แขง่ ขนั ได้ ปัจจุบนั เลย้ี งววั ลานทงั้ หมด 5 ตวั มวี วั ตวั เมยี 1 ตวั ววั ตวั ผู้ 4 ตวั
สวนเตยี น จังหวัดราชบุรีตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางด้านตะวันตกของประเทศไทย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมือง ราชบุรีมีท้ังที่ราบสูง ที่ราบสลับเขาลูกโดด และท่ีราบลุ่ม มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตสินค้า เกษตรที่สำคัญของประเทศ มีพื้นที่ทางการเกษตร 1,247,957 ไร่ โดยพื้นที่การเกษตรอยู่ในเขตชลประทาน 806,603 ไร่ (นิตยา, 2550) ราชบุรีประกอบด้วย 10 อำเภอ ได้แก่ จอมบึง ดำเนินสะดวก บางแพ บ้านคา บ้าน โป่ง ปากท่อ โพธาราม เมืองราชบุรี วัดเพลง และสวนผึ้ง (สำนักงานจังหวัดราชบุรี, 2557) ซึ่งอำเภอวดั เพลงเป็น หนึ่งในอำเภอของจังหวัดราชบุรีมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำเกษตร เหมาะแก่การเพาะปลูก มะพร้าว พชื ลม้ ลกุ มะม่วง ลน้ิ จ่ี เป็นตน้ อำเภอวดั เพลงประกอบด้วย 3 ตำบล ไดแ้ ก่ วัดเพลง เกาะศาลพระ และจอมประทัด ตำบลจอมประทดั เป็นตำบลหนึง่ ในอำเภอวัดเพลง เปน็ พืน้ ที่ราบลุ่ม มีแมน่ ้ำลำคลองไหลผ่าน ได้แก่ คลอง ประดู่ คลองจอมประทัดหรือคลองเล็ก และคลองชลประทาน นอกจากจะใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภคแล้ว ยังใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมอีกดว้ ย ในอดีตชาวบ้านในตำบลมีอาชีพทำนา ต่อมาราคาข้าวตกต่ำและน้ำท่ใี ช้ ในการทำนาไม่เพียงพอจึงมีการปรับพื้นที่เป็นสวนยกร่องปลูกมะพร้าว ในขณะที่รอการเจริญเติบโตของมะพร้าว ชาวบ้านจงึ ได้คิดรเิ ริ่ม การทำสวนเตียนขึ้นมา เพื่อให้มีรายไดท้ ี่ต่อเน่ืองและใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสวน เตียนเป็นการปลูกพืชล้มลุก รวมทั้งพืชผักที่มีอายุเก็บเกี่ยว 1-5 เดือน ลักษณะสวนเตียนในตำบลจอมประทัดจะ ปลูกพชื และผักหลายชนดิ เช่น ปลูกพริก มะละกอ กวางต้งุ ถ่ัวฝักยาว ฟักแฟง และแตงรา้ นเปน็ หลัก การปลูกพืช เหลา่ นเี้ ป็นลกั ษณะการทำสวนยกรอ่ ง ดว้ ยสภาพพ้ืนที่ของตำบลจอมประทัดเป็นพ้ืนท่ที ่ีมีความอุดมสมบรู ณ์ ทำให้ดินเหมาะแก่การทำสวนทำให้ เกิดภูมปิ ัญญาท้องถิ่นขนึ้ โดยเฉพาะการทำสวนแบบยกร่อง ดังน้ันในภูมิปัญญาจึงได้รวบรวมการทำสวนเตียนเพื่อ แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวสวนในตำบลจอมประทดั ลักษณะของสวนเตยี น สวนเตียนแต่ละสวนในตำบลจอมประทัดจะมีการยกร่อง ระหว่างรอ่ งจะมรี อ่ งน้ำกนั้ กลางเป็นทางน้ำเล็กๆ เรียกว่า ท้องร่อง รอบร่องสวนหลายๆ ร่องจะมีคันดิน หรือ เรียกว่า คันสวน ล้อมรอบโดยจะยกสูงกว่าระดับร่อง สวนท่ีอยภู่ ายในเพ่อื ปอ้ งกนั น้ำทว่ ม
คนั สวน ภาพท่ี 1 คันสวนของสวนเตียน ทอ้ งรอ่ ง รอ่ งสวน ภาพท่ี 2 รอ่ งสวนและทอ้ งร่องของสวนเตียน ในตำบลจอมประทัดมีการวางร่องสวนตามความเหมาะสมของสภาพพ้นื ทใี่ นแตล่ ะสวนของเกษตรกร การ วางร่องสวนมี 2 แบบ แบบแรก เป็นการวางร่องสวนขวางตะวัน (วางแนวเหนือ-ใต้) แบบที่สองเป็นการวางร่อง สวนตามตะวัน (วางแนวทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก) ท้องร่องของสวนจะมีการเลี้ยงปลาเพื่อกินวัชพืชที่อยู่ในน้ำ ไดแ้ ก่ ปลาตะเพียนขาว ปลานวลจันทร์ และปลานลิ
รอ่ งสวน ทอ้ งรอ่ ง ภาพที่ 3 การวางร่องสวนขวางตะวัน รอ่ งสวน ทอ้ งรอ่ ง ภาพท่ี 4 การวางร่องสวนตามตะวัน
การเตรยี มดิน ในอดีตใช้แรงงานคนในการพรวนดินและขุดเป็นร่อง ปัจจุบันใช้รถแม็คโครในการขุดเป็นร่องสวน พรวน ดินโดยใช้รถไถดะขนาดเล็ก จากนั้นตากดินไว้ 1 สัปดาห์ เพื่อกลับหน้าดินและกำจัดวชั พืช ปล่อยน้ำให้ท่วมแปลง 2 วัน เพื่อไล่มด แมลง และสารเคมีที่ตกค้างอยู่ในดิน ทำการสูบน้ำออกจากแปลงให้เห็นร่องที่ปลูกโดยไม่ต้องสูบ นำ้ ออกหมด และใชร้ ถไถเดินตามคลาดดนิ เพอ่ื หยอดเมล็ดตามแนวร่องท่ีคลาดและใช้ฟางกลบเมลด็ ภาพท่ี 5 รถไถเดนิ ตาม (รอการสำรวจขอ้ มูล) ภาพท่ี 6 รถไถดะขนาดเล็ก การเพาะปลูกของพืชในสวนเตียน ตารางที่ 1 การเพาะปลูกของพืชในสวนเตยี น พชื ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. พรกิ ถั่วฝักยาว ฟกั แฟง มะละกอ กวางต้งุ แตงรา้ น
พชื ทนี่ ยิ มปลูกในสวนเตยี น 1. ถ่วั ฝกั ยาว ลักษณะท่ัวไป มีลักษณะลำต้นเดี่ยว เป็นเถาเลื้อย ลำต้นมีลักษณะกลมๆ เถาแข็งและเหนียวมีสีเขียว ใบจะมีลักษณะ รปู สามเหลย่ี มยาว มสี ีเขยี ว ดอกจะมสี ขี าว หรอื นำ้ เงินออ่ น มีฝกั กลมยาวมีสีเขยี ว ภาพที่ 7 ลกั ษณะของถว่ั ฝักยาว ภาพที่ 8 ใบของถวั่ ฝกั ยาว
วิธปี ลูก เกษตรกรนำเมล็ดถั่วฝักยาวพันธุ์ลำน้ำชี เพราะกรอบ สามารถนำไปกินเป็นเครื่องเคียงได้ หยอดตาม แนวรอ่ งที่คลาดดนิ ไว้ 3 เมลด็ มรี ะยะปลกู 15X15 เซนติเมตร คลุมเมลด็ ด้วยฟาง การทำคา้ งของถั่วฝักยาว จะปกั ไมต้ ามความยาวแปลงและใชเ้ ชือกฟางผูกกับไม้ท่ีปัก นำตาขา่ ยสอดเข้า กบั เชอื กฟางทเี่ ตรยี มไวต้ ามแนวยาวของแปลง เพอ่ื ให้ถ่ัวฝักยาวพนั หรือเล้อื ยข้ึนไปตามตาข่ายที่ ขงึ ไว้ ภาพที่ 9 ค้างถว่ั ฝกั ยาว ภาพที่ 10 สวนถ่วั ฝกั ยาว
การเก็บผลผลติ หลังจากปลูกถั่วฝักยาวประมาณ 45 วัน ในตอนเย็น เวลา 1 ทุ่ม เกษตรกรจะออกเก็บถั่วฝักยาว เพื่อ ไมใ่ หถ้ ่ัวฝกั ยาวเหี่ยวตอนบรรจใุ ส่ถุงเตรียมไว้ให้พ่อคา้ คนกลางมารับในตอนเช้า จะเลือกเก็บผลท่ีไมล่ ีบ มีขนาดเท่า มวนบุหร่ี เม่ือเกบ็ เสร็จนำถ่วั ฝกั ยาวไปล้างและบรรจใุ สถ่ ุง ถุงละ 10 กโิ ลกรัม 2. พริกกะเหรี่ยง พริกกะเหรี่ยงเป็นพริกขี้หนูพันธุ์พื้นเมืองชนิดหนึ่งที่มีการปลูกกันมาตามแนวชายแดนไทย – พม่า โดยเฉพาะในเขตทุ่งใหญ่นเรศวรจะปลูกไว้ในไร่ข้าวสำหรับนำมารบั ประทานในครัวเรือน และเมื่อชาวไทยเชื้อสาย กะเหรี่ยงบางกลุ่มได้นำพริกขี้หนูพันธุ์พื้นเมืองดังกล่าวออกมาจำหน่ายในเมือง ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อน ประชาชน ทั่วไปจงึ เรยี กกันว่า \"พริกกะเหรีย่ ง\" ภาพที่ 11 พริกกะเหรี่ยง
ลกั ษณะท่วั ไป ดอก เปน็ สขี าว ดอกเดย่ี ว หรือ 3-5 ดอก ออกตามซอกใบและปลายก่ิง ภาพที่ 12 ดอกของพริกกะเหรี่ยง ผล ชตู ง้ั ขึน้ ผลเปน็ รูปกลมรแี ละยาวโคนผลใหญ่ ปลายผลเรยี วแหลม ภาพที่ 13 ผลของพริกกะเหร่ียง วิธกี ารปลกู เกษตรกรจะเริ่มการปลูกในฤดฝู น ประมาณเดือนสิงหาคม นำเมล็ดพริกที่เกบ็ จากต้น โดยเกษตรกรจะ เลือกเก็บพริกที่มีลักษณะเป็นสีแดงสดไม่มีโรคและแมลงมาตากแดด 2-3 วัน นำพริกที่แห้ง ดีแล้วไปตำในครก
หรือใช้มือขยี้พริกให้เมล็ดแตกออก จากนั้นนำเมล็ดมาหยอดลงตามแนวที่คลาดดินไว้ ประมาณ 3-5 เมล็ด ระยะ ปลกู 15X15 เซนตเิ มตร และคลมุ เมล็ดด้วยฟาง ภาพท่ี 14 ผลพริกทตี่ ากแห้ง ภาพท่ี 15 เมลด็ ท่ีพร้อมนำไปปลกู
ภาพท่ี 16 สวนพริก การเกบ็ ผลผลติ หลังจากปลกู พริกประมาณ 120 วนั ในทุกเช้า เวลา 8 โมง เกษตรกรจะออกเก็บพริก เลือกเก็บผลที่มี สีส้ม เหลือง และแดงที่ติดกับขั้วของพริก เมื่อเก็บเสร็จจะเทพริกที่เก็บได้ใส่ถุงกระสอบไว้โดยไม่ต้องคัดเลือกพรกิ ช่วงเยน็ จะมีพ่อคา้ คนกลางมารับและคัดเลือกพริกไปขายทตี่ ลาดศรีเมือง ภาพที่ 17 ผลพริกทส่ี ามารถเกบ็ ไปขายได้
ภาพที่ 18 อุปกรณ์ทีใ่ ช้ในการเกบ็ ภาพที่ 19 เกษตรกรเกบ็ พรกิ เกษตรกรเก็บพริกได้วันละ 70-80 กิโลกรัม รับจ้างเก็บในราคา คิดเป็น 1 กิโลกรัม = 15 บาท จะใชแ้ รงงานในการเก็บพริก 3 คนต่อ 1 รอ่ ง 3. ฟักแฟง ลักษณะทวั่ ไป
เป็นพืชอายุสั้น มีลำต้นสีเขียวมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทัว่ ลำต้น แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ใบมีลักษณะเป็น หยักคล้ายฝ่ามือ ปลายแฉกแหลมใบหยาบเรียงสลับกันตามข้อต้น ใบกว้าง มีขนปกคลุม ก้านใบยาว มีดอกเดี่ยว (Solitary Flower) สเี หลือง ผลมีลกั ษณะเปน็ รูปกลมยาวและกวา้ ง เปลือกแขง็ สเี ขยี วเนือ้ ในมีสีขาว ภาพที่ 20 ผลของฟักแฟง ภาพท่ี 21 ใบของฟักแฟง
ภาพที่ 22 ดอกของฟกั แฟง วิธกี ารปลูก เกษตรกรทำการเพาะกล้า นำพีทมอสผสมกับดิน จากนั้นนำดินที่ผสมใส่ในถาดเพาะขนาด 104 หลุม นำเมล็ดฟักแฟงพันธุ์ ปิ่นทอง F1 หยอดลงในถาดเพาะ หลุมละ 1 เมล็ด ทำการรดน้ำทุกวัน หลังจากเพาะกล้าได้ 10 วัน ทำการย้ายต้นกล้าปลูกลงแปลง วางต้นกล้าตามแนวคลาดดินเป็นร่อง ระยะปลูก 1.5X1.5 เมตร การทำค้างของแฟงจะผกู เป็นนั่งร้านคร่อมร่องสวนที่มีนำ้ สูงประมาณ 1.5-2 เมตร เพื่อใหแ้ ฟงเลอ้ื ยเกาะขน้ึ ไป ภาพท่ี 23 น่งั รา้ นคร่อมร่องสวน
การเก็บเก่ยี ว หลังจากปลูกแฟงประมาณ 90 วัน ในตอนเช้า เวลา 8 โมง เกษตรกรจะออกเก็บฟักแฟง เลือกเก็บผล ขั้วที่ยาวและขั้วที่มีสีนวล เกษตรกรจะยืนบนเรือเก็บทีละผล เมื่อเก็บเสร็จนำแฟงมาล้างและใส่เข่งไว้เพื่อรอให้ พ่อคา้ คนกลางมารับ 4. มะละกอ ลักษณะทว่ั ไป ลักษณะทรงพมุ่ เตี้ย ก้านใบสีเขียวอ่อนมีลักษณะส้ัน กา้ นใบตัง้ ตรง มีการออกดอกติดผลเร็ว ผลมีขนาด ปานกลาง ส่วนหัวและปลายผลมีขนาดเท่ากัน ผลในขณะที่ยังดิบเปลือกมีสีเขียวเข้ม เปลือกหนา ผลสุกมีสีส้มอม แดง เนอื้ สีแดงเขม้ ภาพที่ 24 ผลของมะละกอ ภาพท่ี 25 ดอกของมะละกอ
ภาพที่ 26 ใบของมะละกอ วิธีการปลกู เกษตรกรจะเริ่มการปลูกในฤดูฝน ประมาณเดือนสิงหาคม นำมะละกอที่เก็บจากต้น โดยเกษตรกรจะ เลือกเก็บมะละกอที่มีสีเหลืองไม่มีโรคและแมลง มาผ่าผลออก และวางทิ้งไว้ 3 คืน เพื่อให้เยื่อที่หุ้มเมล็ดสลายไป จากนั้นนำเมลด็ มาลา้ งนำ้ ใหด้ ูเมลด็ วา่ จมหรอื ลอย เลอื กเอาเมล็ดทจ่ี มไปปลูก นำเมล็ดมาหยอดลงตามแนวท่ีคลาด ดนิ ไว้ ประมาณ 1-3 เมลด็ ระยะปลกู 2X2 เมตร และคลมุ เมล็ดด้วยฟาง ภาพท่ี 27 สวนมะละกอ
การเกบ็ ผลผลติ หลงั จากปลกู มะละกอประมาณ 150 วนั ในตอนเชา้ เวลา 8 โมง เกษตรกรจะออกเกบ็ มะละกอ โดยจะ ตัดผลจากต้นโยนลงร่องสวนท่ีมีน้ำเพื่อล้างยางออก เมื่อตัดเสร็จนำเรอื ล่องมาเก็บผลใสเ่ ข่งไว้รอให้พ่อค้าคนกลาง มารับ 5. กวางต้งุ ลักษณะท่ัวไป เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก อยู่ในตระกูลกะหล่ำและผักกาด มีก้านใบยาว ออกเรียงสลับโดยรอบๆ ปก คลมุ ที่ฐานลำต้น มีกา้ นใบหนาและยาวอวบน้ำ มสี เี ขยี วออ่ น หรือสขี าวตามสายพนั ธ์ุ ใบเป็นใบเดย่ี ว ออกเรียงสลับ มีลกั ษณะทรงกลมรี ใบกวา้ งใหญ่ ผิวใบบางเรยี บ ใบมีสเี ขียว ภาพท่ี 28 กวางตุ้ง วิธกี ารปลูก เกษตรกรโรยเมลด็ กวางตงุ้ พนั ธ์ุปทุมรตั น์เปน็ แถว ระยะห่างระหว่างแถว ๑๐ เซนติเมตร และคลุมเมล็ด ด้วยฟาง
ภาพท่ี 29 สวนกวางตุ้ง การเกบ็ ผลผลิต หลงั จากปลกู กวางตงุ้ ประมาณ 30-35 วัน ในตอนเชา้ เวลา 8 โมง เกษตรกรจะออกเก็บกวางต้งุ ใช้ มดี ตดั บรเิ วณโคนต้นให้ชิดดนิ ขณะเก็บจะตัดใบท่ีแก่และเน่าเสียออกจากแปลง เมื่อเก็บเสร็จนำกวางตงุ้ ไปล้างและ บรรจใุ ส่ถุง ถงุ ละ 5 กโิ ลกรัม ภาพท่ี 30 เกษตรกรเกบ็ กวางตุ้ง
เกษตรกรรับจ้างเก็บในราคา คดิ เป็น 1 ชว่ั โมง = 45 บาท จะใชแ้ รงงานในการเก็บกวางตุ้ง 4-5 คน ต่อ 1 รอ่ ง 6. แตงรา้ น ลักษณะทั่วไป เป็นไม้เลื้อย มีอายุสั้น มีลำต้นเดี่ยว ลำต้นมีลักษณะกลมๆ ลำต้นเป็นเถาเลื้อย เถาแข็งและเหนียว มีสี เขยี ว ใบมีลกั ษณะรปู สามเหลี่ยมยาว สเี ขียว ดอกมสี ีเหลือง ผลมีลกั ษณะทรงกลม ทรงกระบอก เรียวยาว ผลอ่อน มหี นามส้นั ๆ ผลมสี เี ขยี วเขม้ ภาพที่ 31 ดอกของแตงร้าน ภาพที่ 32 ใบของแตงรา้ น
ภาพที่ 33 ผลของแตงร้าน วธิ ีปลกู เกษตรกรนำเมล็ดแตงร้าน หยอดตามแนวคลาดดินเป็นร่อง 3 เมล็ด มีระยะปลูก 15X15 เซนติเมตร คลมุ เมล็ดดว้ ยฟาง จะมกี ารทำค้าง โดยปกั ไมต้ ามความยาวแปลงและใชเ้ ชือกฟางผูกกับไม้ที่ปัก นำตาข่ายสอดเข้า กบั เชือกฟางท่เี ตรียมไว้ตามแนวยาวของแปลง เพือ่ แตงร้านพันหรอื เล้ือยข้นึ ไปตามตาขา่ ยที่ขึงไว้ การเกบ็ ผลผลติ หลังจากปลกู แตงร้านประมาณ 45 วัน ในตอนเช้า เวลา 8 โมง เกษตรกรจะออกเกบ็ แตงรา้ น เลือกเก็บ ผลท่ีมขี นาด 1 คบื เมอื่ เกบ็ เสร็จนำแตงร้านไปลา้ งแลว้ ผึ่งให้แหง้ และบรรจุใสถ่ ุง ถงุ ละ 10 กโิ ลกรัม
ภาพที่ 34 เกษตรกรเกบ็ แตงรา้ น เกษตรกรเก็บพริกได้วันละ 500-1,000 กิโลกรัม รับจ้างเก็บในราคา คิดเป็น 1 ชั่วโมง = 45 บาท จะใชแ้ รงงานในการเก็บแตงรา้ น 2 คนตอ่ 1 ร่อง ภาพที่ 35 ลกั ษณะผลที่สามารถเกบ็ ได้
ลักษณะการแต่งกายของคนเกบ็ ผลผลติ พืช เกษตรกรจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าบูท หมวก ผ้าคลุมหน้า และมีถุงกระสอบ คาดเอวไวใ้ นการออกเก็บผลผลิตพชื ทกุ ครัง้ ภาพที่ 36 ลกั ษณะการแต่งกายของคนเก็บผลผลติ พชื โรคและศตั รูพชื เกดิ ในพชื ท่ปี ลกู ในสวนเตยี น โรคที่เกิดจากไวรัส สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ คือ ศัตรูพืช ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว ทำให้พืชมีลักษณะอาการใบหงิก ใบด่าง ใบเหลือง ผลมีขนาดเล็กกว่าปกติ ระบาดในช่วงแห้งแล้ง ป้องกันโดยฉีด พ่นสารกำจัดศัตรูพืชตามชนิดของศัตรพู ืชนั้น (ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดเลย (เกษตรที่สูง), ๒๕๖๒) การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นสารเคมีอะมิทราส ป้องกันกำจัดไรแดง และอิมิดาคลอพริด ป้องกันกำจัดเพล้ีย ออ่ น
ภาพที่ 37 ใบเหลอื งและใบด่างของพชื ท่ีเป็นโรคเกิดจากไวรัส การจัดการและการดแู ลพืช การให้นำ้ ในอดตี เกษตรกรจะใชห้ นาดในการใหน้ ้ำ โดยใน 1 ร่องจะมคี น 2 คนยืนบนรอ่ งซา้ ยและขวาใช้หนาดวิด น้ำให้กับต้นพืช ปัจจุบันเกษตรกรจะใช้เรือ ลงไปนั่งในเรือเครื่องแล้วบังคับเรือในการให้น้ำ หลังจากหยอดเมล็ด เกษตรกรจะให้น้ำวันละ 2 ครัง้ สปั ดาห์ที่ 2-4 เกษตรกรให้น้ำ วันละ 1 ครง้ั และสปั ดาหท์ ี่ 5 ขนึ้ ไป เกษตรกรให้น้ำ สัปดาห์ละ 3 ครงั้ การใหน้ ้ำขน้ึ อยูก่ ับสภาพความชน้ื ของดิน ภาพที่ 38 เรือที่ใชใ้ นการให้น้ำ
ภาพที่ 39 การให้นำ้ ของเกษตรกร ภาพท่ี 40 หนาด (รอการสำรวจ) การใสป่ ุ๋ย เกษตรกรจะใสป่ ุ๋ยตามอายุการเกบ็ เกยี่ วของพชื ใส่ปยุ๋ ครั้งแรกหลังจากหยอดเมล็ด 10 วนั เกษตรกรจะ เน้นใส่ปุ๋ยกวางตุ้ง ได้แก่ ปุ๋ย 21-0-0 ครั้งที่สอง 20 วัน จะเน้นใส่ปุ๋ยถั่วฝักยาวหรือแตงร้าน ได้แก่ ปุ๋ย 16-16-16 ผสมกบั ปุ๋ย 21-0-0 และ 30 วันขนึ้ ไปจะเน้นใสป่ ุ๋ยฟักแฟง พริก และมะละกอ ได้แก่ ปุย๋ 15-15-15 กบั ปยุ๋ 13-13- 21 การฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชและสารกำจัดโรคและแมลง ทำการฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยในสัปดาห์ ท่ี 10 ข้นึ ไป มักจะมีโรคท่เี กิดจากไวรัส จะมีการแกไ้ ขคอื ฉดี พ่นสารเคมีกำจดั ศตั รูพืชที่ทำให้เกิด โรคน้ี การจดั การแปลงหลังการเกบ็ เก่ยี ว เกษตรกรจะจดั การแปลงโดยถอนต้นพชื ที่เกบ็ เกี่ยวเสร็จวางไว้บนแปลงเพอื่ ตากพืชไว้ให้แหง้ ประมาณ 1-2 วนั แลว้ จึงนำออกจากแปลง
พชื สมนุ ไพร ความหมายของสมนุ ไพร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของสมุนไพรไว้ว่า สมุนไพร หมายถึง ผลิตผลทางธรรมชาติได้จากพืชสัตว์และแร่ธาตุที่ใช้เป็นยาหรือผสมกับสารอื่น ตามตํารับยาเพื่อบําบัดโรคบํารุง รา่ งกายหรอื ใชเ้ ปน็ ยาพษิ สมุนไพรตามพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3 พ.ศ.2522 หมายถึง ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือ แร่ ซึ่งยัง มไิ ดม้ กี ารผสมปรุงหรือแปรสภาพ (ยกเว้นการทำให้แหง้ ) เช่น พืชสมนุ ไพร กย็ งั คงเปน็ ส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ยงั ไม่ไดผ้ ่านขนั้ ตอนการแปรรปู ใด ๆ เชน่ ถกู นัน่ ให้เป็นชน้ิ เล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรอื อดั เปน็ แทง่ สภุ าภรณ์ ปิติพร (2551) ให้ความหมาย ยาสมนุ ไพร ไว้ว่า ยาที่ไดจ้ ากส่วนของ พชื สัตว์ และแร่ ซ่ึงยังมิได้ ผสมปรงุ หรอื แปรสภาพ ส่วนการนำมาใช้อาจมกี ารดัดแปลง รูป ลกั ษณะ ของสมนุ ไพรเพื่อให้ใช้ได้สะดวกข้ึน และ ส่วนของพืชสมุนไพรหมายถงึ พืชทีใ่ ชท้ ำเปน็ เครอ่ื งยา สามารถใชบ้ ํารุงร่างกายและรักษาโรคได้ ยุทธนา ทองบญุ เก้ือ (2551) ให้ความหมายคําว่า สมนุ ไพร ครอบคลุมท้ังพชื และ สัตว์ ที่สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ในด้านเป็นยาบำบัดรักษาโรคและบํารุงร่างกายให้แข็งแรง ส่วน พืชสมุนไพร คือ ส่วนต่าง ๆ ของพืช ทั้ง สดและแหง้ ทมี่ ปี ระโยชนใ์ นการรักษาโรคและบํารงุ ร่างกายให้แข็งแรง แนวคิดเกี่ยวกับทางการแพทย์ โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ (2550 : 14) ได้กล่าวถึงวัฒนธรรมสุขภาพของคนไทยเกี่ยวกับเรื่อง เจ็บไข้ว่า แนวคิดเร่ืองสุขภาพและความเจ็บป่วยเกิดจากโลกทัศนท์ ี่มรี ากฐานจากวฒั นธรรม ทีผ่ สมผสานระหว่างผี พราหมณ์ พุทธและยังคงเป็นตัวกำหนดสำคัญที่ทำให้ชาวไทยมีพฤติกรรม สุขภาพต่างๆ ไปตามความคิดความเชื่อที่ตนมี แม้ว่าการแพทย์แผนใหม่จะได้เข้ามามีบทบาทตอ่ สุขภาพและความเจ็บป่วยของชาวไทยมากกว่า 100 ปีมาแล้วก็ ตาม แต่กว่าท่ีการแพทย์แผนใหม่ จะเป็นทย่ี อมรบั และถูกกระจายออกไปเป็นทรี่ ้จู ักของชาวบา้ นไทยในชนบทก็ช่วง 2-3 ทศวรรษนี้ เท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับแนวคิดตามวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของไทยได้ทำหน้าที่ขัดเกลาและมี บทบาทในการทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหาสุขภาพอยู่ในภูมิภาคนี้นับเป็นพันปีแล้ว การแพทย์ สมัยใหม่ยังคง เป็นสิ่งที่แปลกแยกและยังไม่สามารถสวมเข้ากับรากฐานความคิดของชุมชนได้ อย่างแนบสนิท แม้ประสิทธิภาพ ของการแพทย์สมัยใหม่จะปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นที่ ยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ก็ยังมิได้มีฐานะเป็น องค์ความรู้ที่เป็นกระแสหลักในการชี้นํา กำหนด พฤติกรรมทางสุขภาพของชาวบ้าน ความรู้สึกนึกคิด ท่าที และ พฤตกิ รรมเกย่ี วกับสุขภาพของชาวบ้านยงั คงถูกกำหนดจากแนวคิดและเปน็ วัฒนธรรมพ้นื บา้ นเป็นสำคัญ
แนวคดิ ของการแพทยแ์ ผนไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (2532 : 16-18) ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยไว้ว่า การแพทย์แผน ไทยตามพระราชบัญญัติส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 หมายถึง กระบวนการทางการแพทย์ เก่ียวกบั การตรวจวินิจฉัย บําบดั รักษาหรือป้องกัน โรคหรอื การสง่ เสริม ฟืน้ ฟสู ุขภาพของมนุษยห์ รือสัตว์ การผดุง ครรภ์ การนวดไทยและให้หมายความรวมถึงการเตรียมการ ผลิตยาแผนไทย และการประดิษฐ์อุ ปกรณ์และ เครื่องมือทางการแพทย์ ท้ังนี้ โดยอาศัยความรู้หรอื ตาํ ราทไ่ี ดถ้ ่ายทอดและพัฒนาสืบต่อกนั มา 2 ตามหลักและทฤษฎีการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า คนเราเกิดมาร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ซึ่งแต่ละคนมีธาตุเด่น เป็นธาตุประจําตัว เรียกว่า“ธาตุเจ้าเรือน” ธาตุเจ้าเรือน หมายถึง องค์ประกอบธาตุทั้ง 4 ที่รวมกันอย่างปกติแต่จะมีธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเด่น หรือมากกว่าธาตุอื่น ๆ ซึ่งจะเป็น บุคลิกลักษณะและอุปนิสัยติดตัวมาแต่เกิด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ธาตุกำเนิด” ภายหลังอาจเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากพฤตกิ รรมการเลีย้ งดู สิ่งแวดล้อม ซึ่งทฤษฎี การแพทย์แผนไทย ให้ความหมายของชีวิตวา่ ชีวิต คือ ขันธ์ 5 อันไดแ้ ก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ร่างกายประกอบดว้ ยธาตทุ ง้ั 4 ไดแ้ ก่ ธาตุดนิ 20 ประการ ธาตุ นำ้ 12 ประการ ธาตุลม 6 ประการ ธาตุไฟ 4 ประการ สุขหทัย โพธ์ิสวรรค์ (2546 : 24) ได้กล่าวถึงการแพทย์แผนโบราณไว้ว่า ในปัจจุบัน เริ่มเป็นที่ยอมรับว่า วิธีการแพทย์แผนปัจจบุ ันอย่างเดยี วไม่สามารถแกป้ ัญหาด้านสขุ ภาพได้ท้ังหมด เนอ่ื งจากค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเพราะต้อง นาํ เวชภัณฑแ์ ละอุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศ อกี ทัง้ มี ขอ้ จํากัดในการกระจายสู่ท้องถ่ิน และไม่สามารถ ให้บริการประชาชนในชนบทได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ เพราะการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่และวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทดแทนภูมปิ ัญญาและวฒั นธรรม ท้องถิน่ โดยอาศัยกระบวนการที่เรียกวา่ “การพัฒนา” นน้ั ย่งิ พัฒนาก็มแี นวโน้มที่ จะลดความสามารถ ในการพึ่งพาตนเองของประชาชนในท้องถิ่น การพัฒนาทำให้เกิดการล่มสลายของภูมิปัญญา ท้องถิ่น โดยเฉพาะการพัฒนาด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนอันเป็นการสวนทางกับเจตนาและนโยบาย ของ รัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถช่วยตนเองและพึ่งตนเองได้ ด้วยเหตุดังกล่าว การกลับไปแสวงหา และฟ้นื ฟภู ูมปิ ญั ญาท้องถิ่นในการดูแลสขุ ภาพ จึงเป็นเรอ่ื งท่ีน่าสนใจและให้ การส่งเสริม
ชนดิ ของสมุนไพร ภาพท่ี 1 ต้นสะเดา ต้นสะเดา ชือ่ สามญั Siamese neem tree, Nim , Margosa, Quinine ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Valeton สะเดาเป็นไม้ตน้ สงู 5-10 เมตร เปลอื กต้นแตกเปน็ ร่องลกึ ตามยาว ยอดออ่ นสีนำ้ ตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบ ขนนก ออกเรียงสลับรูปใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบ เรียบ สีเขียวเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวล กลีบเลี้ยงมี 5 แฉก โคนติดกัน กลบี ดอกโคนติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผล รูปทรงรี ขนาด 0.8 - 1 ซม. ผิวเรียบ ผลอ่อนสเี ขียว สกุ เปน็ สีเหลือง ส้ม เมล็ดเด่ียว รปู รี สรรพคุณทางยา สะเดาเป็นผกั สมุนไพรพ้ืนบ้านทีม่ ีรสขม อดุ มไปดว้ ยคุณค่าทางโภชนาการและมสี ารต้านอนุมูลอิสระอย่าง เต็มเปี่ยม ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกาย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง ภาวะอัลไซเมอร์ หรอื ระบบภมู ิคุ้มกนั ลดลง เปน็ ต้น ในตำรับยาแผนไทยสามารถนำสะเดามาใช้สรรพคุณทางยาได้ทุกส่วน ใบอ่อนหรือยอดอ่อนใช้เป็นยาขับ ปัสสาวะ รักษาไข้มาลาเรีย รักษาโรคผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสียพุพอง ส่วนใบแก่มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต ของแบคทเี รยี ช่วยบำรุงธาตุ ช่วยยอ่ ยอาหาร และใช้รักษาเหาโดยนำใบสด 2 – 3 กำมอื นำมาโขลกผสมน้ำแล้วทา ใหท้ ่ัวศีรษะ สว่ นก้านใบมีสรรพคุณช่วยแกไ้ ข้ทกุ ชนิด รวมถงึ ไข้ป่าอกี ด้วย บรรเทาอาการร้อนใน กระหายน้ำ
การนำไปใชป้ ระโยชน์ ก้าน แกไ้ ข้ บำรงุ น้ำดี แก้รอ้ นในกระหายนำ้ บำรงุ สขุ ภาพในช่องปาก ใบอ่อน แก้โรคผิวหนัง ปรับสมดุลน้ำเหลือง รักษาแผลพุพอง ,ช่วยเจริญอาหาร,ช่วยย่อยอาหาร,แก้ ไข,้ บำรงุ ธาตุ ใบแก่ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ,แกไ้ ข,้ ใช้พอกฝี ผล บำรุงหวั ใจเป็นยาระบาย แก้อาการหัวใจเตน้ ผิดปกติ ,แก้ลม ผลออ่ น ช่วยเจรญิ อาหาร ฆา่ พยาธิ แกร้ ิดสีดวง แก้ปสั สาวะขัด แก่น แก้คล่ืนไส้ อาเจยี น แกไ้ ข้จับสั่น บำรุงโลหิต บำรงุ ธาตไุ ฟ ราก แก้เสมหะในลำคอ แกเ้ สมหะที่เกาะแน่นในทรวงอก ,แก้ไข้ ยาง ใชด้ บั พิษรอ้ น ถอนพษิ ไข้ กระพ้สี ะเดา แกน้ ำ้ ดีพิการใหค้ ลั่งเพอ้ แก้เพอ้ คลง่ั บำรุงน้ำดี เปลอื กลำต้น เปลือกลำต้นมีรสขมฝาดเย็น ใชน้ ำมาตม้ ด่ืมเพื่อแก้บดิ มูกเลือด รักษาโรคท้องรว่ ง แก้ไข้ ใช้ เป็นยาขมเพื่อทำให้เจริญอาหาร และแก้กระษัย แก่นของต้นสะเดาจะช่วยแก้ไข้จับสั่น แก้ไข้ลดตัวร้อน บรรเทา อาการคลื่นไสอ้ าเจยี น ชว่ ยบำรงุ โลหิต ดอกสะเดา ดอกสะเดามีฤทธิ์เป็นยาแก้โรคริดสีดวง แก้พิษโลหิต พิษกำเดา บำรุงธาตุในร่างกาย ส่วนผล จะใชร้ บั ประทานเพ่ือบำรุงหวั ใจใหเ้ ต้นเป็นปกติ และรากต้นสะเดายังสามารถกัดเสมหะภายในลำคอหรือเกาะแน่น ในอก แตเ่ ปลอื กรากจะมรี สขมฝาดทช่ี ว่ ยรกั ษาโรคผวิ หนงั ลดไข้ ทำใหอ้ าเจียนเพอื่ ขับพษิ ในร่างกาย เมลด็ หากนำเมลด็ สะเดามาสกัดเป็นนำ้ มนั บริสทุ ธิ์ สามารถใช้ประโยชนใ์ นด้านความงามเพ่ือบำรุงเส้นผม และผวิ พรรณไดอ้ ีกดว้ ย หรอื นำเมลด็ แห้งมาบดและหมักเขม้ ขน้ เพอ่ื ใช้ไลแ่ มลง
ภาพท่ี 2 หญา้ แฝกหอม หญา้ แฝกหอม ชอื่ สามัญ Vetiver, vetiver grass , Sevendara grass ช่ือวิทยาศาสตร์ Vetiveria zizanioides (L.) Nash แฝกหอมเปน็ พันธ์ุพืชที่มีการสนั นิษฐานถึง ต้นกำเนดิ ดง้ั เดิมว่าอยู่ในประเทศอนิ เดีย เพราะเป็นหญ้าท่ีชาว พื้นบ้านของประเทศอินเดียรู้จักกันมานานหลายร้อยปีมาแล้ว โดยคำว่า Vetiver นั้น รากศัพท์เป็นคำที่แผลงมา จาก คำว่า Vetivern ซึ่งเป็นภาษาทมิล (ชาวทมิลเป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย) แปลว่ารากหอม ส่วนคำว่า zizanioides ในภาษาทมิลมีความหมายถึง ริมแม่น้ำ หรือริมตลิ่ง ซึ่งน่าจะหมายความ ว่าพืชนี้เดมิ พบมากบรเิ วณรมิ แมน่ ำ้ ในประเทศอนิ เดยี หลังจากนั้นแฝกหอมจึงมีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติออกไปอย่างกว้างขวาง ในปัจจุบันพบมากใน ภูมิภาคเอเชียกลาง และเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งที่ขึ้นตาม ธรรมชาติหรือที่มีการนำมาเพาะปลูก ทั้งนี้แฝกหอมจะขึ้นได้ดีในสภาพในดินต่างๆ จากความสูงที่ระดับน้ำทะเล จนถึงระดับประมาณ 800 เมตร สรรพคณุ ทางยา มีการนำแฝกหอมมาใช้ประโยชน์ดา้ นต่างๆอย่างมากมายโดยทเ่ี ราได้รูจ้ กั และคนุ้ เคยกันดีก็คงเป็นการปลูก ไว้เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน จากการถูกน้ำกัดเซาะ นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆ อีกเช่น ใบใช้เย็บเป็นตับเพื่อใชม้ ุงกันแดดหรือทำเป็นผ้าใบกันแดด ก้านช่อดอกสามารถใช้ทำไม้กวาดและใช้ทอเสื่อ ส่วน ขอรากที่มีความหอมยังสามารถนำมาใช้ทำบุหงา หรือนำไปแขวนในตู้เสื้อผ้าเพื่อให้กลิ่นหอม และไล่แมลงกินผ้า หรอื จะนำไปสกัดเป็นน้ำมันหอม และระเหยก็ได้ โดยในปัจจุบนั มีการนำน้ำมันหอมระเหยของรากแฝกหอมไปแต่ง กลน่ิ ของผลติ ภัณฑ์ เสรมิ ความงาม และเครอ่ื งสำอางตา่ งๆ อกี ด้วย สว่ นสรรพคุณทางยานน้ั ตามตำรายาไทยระบุไว้ ว่า ราก มีกลิ่นหอมมีสรรพคุณทำให้ชุ่มชืน่ หัวใจ ช่วยกล่อมประสาท ใช้ปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ บำรุงโลหิตบำรงุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204