Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

Published by ศกร.ตำบลทุ่งใหญ่, 2021-10-03 03:51:18

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

Search

Read the Text Version

ขนั้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนร๎ู ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาความตอ๎ งการ 1. ครแู ละผูเ๎ รียนรวํ มกันสนทนาและแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นเก่ยี วกับ ประวัติ ความเป็นมา และวิวฒั นาการของการแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภทตาํ ง ๆ รปู แบบ/องค์ประกอบและวิธีการแสดงนาฏศลิ ป์ ไทยในแตลํ ะภาค การแสดงความคดิ เห็นและความรสู๎ ึกตํอการแสดงนาฏศิลป์ไทย ประโยชน์และวิธีเลือก ชมการแสดงนาฏศิลป์ไทย ทาํ ราและการสื่อความหมายในนาฏศลิ ปไ์ ทย การใชท๎ าํ ทางสื่อความหมาย รวมทง้ั โอกาสท่ีใช๎แสดง ประโยชน์และคุณคาํ ของนาฏศลิ ป์ไทยและภาษาทําทีเ่ กีย่ วขอ๎ งกับการอนุรักษ์ มรดกทางวัฒนธรรม ประวตั ิ ความเป็นมา วัฒนาการ ความหมายของเนอ้ื เพลงที่ใช๎และการแตํงกาย ประกอบการแสดงราวงมาตรฐาน การนาทําราวงมาตรฐานไปประยุกต์ใช๎ประกอบกบั เพลงอน่ื ๆ เพ่ือ นาไปใช๎ในชวี ติ ประจาวันโดยให๎สอดคล๎องกับวฒั นธรรม การอนรุ ักษ์ การละเลํน ตามวฒั นธรรมประเพณี ของภูมิปัญญาทางนาฏศลิ ป์ไทยของภาคตาํ งๆ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข๎อมูลและการจัดการเรยี นร๎ู 1. ใหผ๎ ๎เู รียนศึกษาใบความรเ๎ู ร่ืองนาฏศลิ ป์ไทย 2. ให๎ผเ๎ู รียนศึกษาจากสอื่ วดี ีทัศนเ์ ร่อื ง นาฏศิลป์ไทยเพิม่ เติม 3. ผ๎เู รยี นซกั ถาม/แสดงความคิดเห็น ขัน้ ที่ 3 การปฏิบตั ิและนาไปประยกุ ต์ใช๎ 1. ครใู ห๎ผเู๎ รยี นไปศึกษาเพิ่มเติมเกยี่ วกบั เรื่องนาฏศิลป์ไทย เพ่ือท่จี ะนาไปใชใ๎ นงานศิลป์ วัฒนธรรมตาํ งๆให๎เกดิ ความชานาญ ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนร๎ู 1. ทดสอบยอํ ย 2. ใบความรู๎ สื่อการเรยี นรู๎ 1. ใบความรู๎ เร่อื งประวตั ิความเป็นมาของนาฏศลิ ปไ์ ทย 2. หนงั สอื เรียนทักษะการดาเนนิ ชีวติ รายวิชา ศิลปศึกษา ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ หลักสูตรการศึกษา นอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. ใบความรู๎ เรือ่ งประเภทของนาฏศลิ ปไ์ ทย 3. ใบงานเรอ่ื ง ความเปน็ มาและประเภทของนาฏศลิ ปไ์ ทย 4. ใบงานเร่ือง ประโยชนข์ องนาฏศลิ ปไ์ ทย

การวดั และประเมนิ ผล 1. การสังเกต 2. การอภิปรายหน๎าชนั้ เรยี น 3. ใบงาน ลงช่อื .........................................................ผส๎ู อน ( ........................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผู๎บริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รักษาการในตาแหนํง ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์

ใบความรู้ ความเปน็ มาของนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ คือ ศิลปะการร๎องราทาเพลง ทมี่ นุษย์เป็นผูส๎ รา๎ งสรรค์ โดยประดิษฐ์ขึ้นอยาํ งประณีต และมีแบบแผน ใหค๎ วามร๎ู ความบันเทงิ ซึ่งเปน็ พืน้ ฐานสาคัญท่ีแสดงใหเ๎ ห็นถึงวัฒนธรรมความรุํงเรอื ง ของชาติได๎ เป็นอยํางดี ความเปน็ มาของนาฏศิลป์ นาฏศลิ ป์ หรือศิลปะแหงํ การแสดงละครฟูอนราน้ัน มีความเปน็ มาท่ีสาคัญ 4 ประการคือ 1. เกดิ จากการที่มนุษยต์ ๎องการแสดงอารมณท์ ่เี กดิ ข้ึนตามธรรมชาติ ให๎ปรากฏออกมาโดยมีจุดประสงคเ์ พ่ือการส่ือ ความหมายเปน็ สาคัญเริ่มต้งั แตํ 1.1 มนุษยแ์ สดงอารมณต์ ามธรรมชาตอิ อกมาตรง ๆ เชนํ การเสียใจก็ร๎องไห๎ ดีใจกป็ รบมือหรือสงํ เสียง หัวเราะ 1.2 มนษุ ย์ใชก๎ รยิ าอาการเป็นการส่อื ความหมายให๎ชดั เจนขึ้น กลายเป็นภาษาทาํ เชนํ กวักมือเข๎ามาหา ตวั เอง 1.3 มีการประดิษฐค์ ิดทําทางใหม๎ ลี ีลาท่วี ิจติ รบรรจงขนึ้ จนกลายเปน็ ทํวงทีลลี าการฟอู นราท่ีงดงามมี ลกั ษณะทีเ่ รียกวํา “นาฏยภาษา”หรือ “ภาษานาฏศลิ ป์” ท่สี ามารถสื่อความหมายดว๎ ยศิลปะแหงํ การแสดงทาํ ทาง ที่งดงาม 2. เกดิ จากการท่มี นุษยต์ ๎องการเอาชนะธรรมชาตดิ ๎วยวธิ ีตําง ๆ ท่นี าไปสกูํ ารปฏิบัติเพ่ือบูชาสงิ่ ท่ีตนเคารพตามลัทธิ ศาสนาของตน ตอํ มาจึงเกิดเป็นความเชอ่ื ในเรื่องเทพเจ๎า ซึ่งถอื วาํ เปน็ สิ่งศกั ดิ์สิทธ์ทิ ่เี คารพบูชา โดยจะเร่ิมจาก วงิ วอนอธิษฐาน จนมีการประดษิ ฐ์เคร่อื งดนตรี ดดี สี ตี เปุา ตาํ ง ๆ การเลนํ ดนตรี การรอ๎ งและการรา จงึ เกิดขึน้ เพือ่ ใหเ๎ ทพเจา๎ เกดิ ความพอใจมากยิ่งขน้ึ 3. เกิดจากการเลํนเลยี นแบบของมนุษย์ ซงึ่ เปน็ การเรยี นรใู๎ นขน้ั ตน๎ ของมนุษย์ ไปสกูํ ารสรา๎ งสรรคศ์ ิลปะแบบตาํ ง ๆ นาฏศิลป์กเ็ ชนํ กนั จะเห็นวาํ มนษุ ย์นยิ มเลยี นแบบสงิ่ ตาํ ง ๆ ทัง้ จากมนุษย์เองสังเกตจาก เดก็ ๆ ชอบแสดงบทบาท สมมุตเิ ป็นพํอเปน็ แมํในเวลาเลนํ กัน เชํน การเลํนต๏กุ ตา การเลํนหม๎อข๎าวหม๎อแกง หรอื เลยี นแบบจากธรรมชาติ และสง่ิ แวดล๎อมตําง ๆ ทาใหเ๎ กดิ การเลํน เชนํ การเลนํ งูกินหาง การแสดงระบาม๎า ระบากาสร ระบานกยูง ( ทรง ศกั ดิ์ ปรางคว์ ฒั นากลุ : ม.ป.ป. ) 4. เกิดจากการทม่ี นุษยค์ ิดประดิษฐห์ าเคร่ืองบันเทงิ ใจ หลงั จากการหยดุ พกั จากภารกิจประจาวัน เร่มิ แรกอาจเปน็ การเลํานทิ าน นยิ าย มีการนาเอาดนตรแี ละการแสดงทําทางตําง ๆ ประกอบเป็นการรํายราจนถงึ การแสดงเปน็ เร่อื งราว

ใบความรู้ ประวัตนิ าฏศลิ ปไ์ ทย นาฏศิลป์ไทย คือ ศิลปะแหํงการรํายราที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย จากการสืบค๎นประวัติความเป็นมาของ นาฏศลิ ป์ไทย เป็นเรือ่ งที่เกี่ยวขอ๎ งและสมั พันธก์ บั ประวัตศิ าสตร์ไทย และวัฒนธรรมไทย จากหลักฐานท่ียืนยันวํานาฏศิลป์ มีมาช๎านาน เชํนการสืบค๎นในหลักศิลาจารึกหลักท่ี 4 สมัยกรุงสุโขทัย พบข๎อความวํา “ระบาราเต๎นเลํนทุกวัน” แสดงให๎ เหน็ วาํ อยาํ งน๎อยที่สดุ นาฏศลิ ปไ์ ทย มอี ายไุ มนํ ๎อยกวํายคุ สุโขทยั ข้ึนไป สรุปทม่ี าของนาฏศลิ ปไ์ ทยได๎ดงั นี้ 1. จากการละเลํนของชาวบ๎านในท๎องถิ่น ซึ่งเป็นกิจกรรมเพ่ือความบันเทิงและความรื่นเริงของชาวบ๎าน ภายหลัง จากฤดกู าลเกบ็ เกีย่ วข๎าวแล๎ว ซึ่งไมเํ พยี งเฉพาะนาฏศลิ ป์ไทยเทําน้นั ทีม่ ปี ระวตั ิเชํนนี้ แตนํ าฏศิลปท์ ัว่ โลกก็มกี าเนิดจากการ เลนํ พ้นื เมืองหรือการละเลํนในทอ๎ งถิ่น เมือ่ เกิดการละเลนํ ในท๎องถิน่ การขับร๎องโต๎ตอบกันระหวํางฝุายหญิงและฝุายชาย ก็ เกดิ พํอเพลงและแมเํ พลงข้ึน จึงเกิดแมํแบบหรือวธิ ีการทพี่ ัฒนาสบื เนอื่ งตอํ ๆ กันไป 2. จากการพัฒนาการร๎องราในท๎องถิ่นสูํนาฏศิลป์ในวังหลวง เมื่อเข๎าสํูวังหลวงก็มีการพัฒนารูปแบบให๎งดงาม ยิ่งข้นึ มหี ลกั การ และระเบียบแบบแผน ประกอบกบั พระมหากษตั รยิ ์ไทย ยคุ สุโขทยั อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นกวี และนักประพันธ์ ดังนั้นนาฏศิลป์รวมท้ังการดนตรีไทย จึงมีลักษณะงดงามและประณีต เพราะผ๎ูแสดงกาลังแสดงตํอหน๎า พระทนี่ ัง่ และตํอหนา๎ พระมหากษตั ริยผ์ ทู๎ มี่ คี วามสามรถในเชิงกวี ดนตรี และนาฏศิลป์เชํนกัน อาจกลําวได๎วํากษัตริย์แทบ ทุกพระองค์ทรงเป่ียมล๎นด๎วยความสามารถด๎านกวี ศิลปะอยํางแท๎จริง บางองค์มีความสามารถด๎านดนตรีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยุครัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยได๎แสดงให๎โลกได๎ประจักษ์ถึงความสามารถด๎านน้ี กวีและศิลปะ เชํน รัชกาลท่ี 2, รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระปรีชาสามารถด๎านดนตรีจนเป็นที่ ยอมรับของวงการดนตรีท่ัวโลก เอกลักษณ์ของนาฏศลิ ป์ไทย 1. มีทาํ ราออํ นชอ๎ ย งดงาม และแสดงอารมณ์ ตามลกั ษณะที่แทจ๎ ริงของคนไทย ตลอดจนใชล๎ ีลาการ เคลื่อนไหวที่ดูสอดคลอ๎ งกนั 2. เครื่องแตงํ กายจะแตกตาํ งกับชาติอื่น ๆ มีแบบอยํางของตนโดยเฉพาะ ขนาดยดื หยุํนได๎ตามสมควร เครื่องแตํงกายบางประเภท เชนํ เคร่ืองแตงํ กายยืนเครอ่ื ง การสวมใสจํ ะใชต๎ รึงด๎วยด๎ายแทนทจี่ ะเย็บสาเรจ็ รปู เปน็ ตน๎ 3. มีเคร่อื งประกอบจงั หวะหรือดนตรปี ระกอบการแสดง ซ่งึ อาจมีแตํทานองหรือมีบทรอ๎ งผสมอยูํ 4. ถ๎ามคี าร๎องหรือบทรอ๎ งจะเป็นคาประพันธ์ สวํ นมากแลว๎ มีลักษณะเปน็ กลอนแปด สามารถนาไปร๎อง เพลงช้ันเดียว หรือสองชั้นได๎ทกุ เพลง คาร๎องนีท้ าให๎ผ๎ูสอนหรอื ผ๎รู ากาหนดทําราไปตามบทรอ๎ ง

ใบความรู้ ประเภทของนาฏศลิ ปไ์ ทย นาฏศลิ ปไ์ ทย เป็นศิลปะท่ีรวมศลิ ปะทกุ แขนงเข๎าดว๎ ยกนั แบงํ ออกเป็น 5 ประเภท คอื โขน ละครรา ระบา การละเลนํ พ้นื เมือง 1. โขน เป็นศลิ ปะของการรา การเต๎น แสดงเป็นเร่ืองราว โดยมีศิลปะหลายรปู แบบผสมผสานกัน ลักษณะการแสดงโขนมี หลายชนิด ไดแ๎ กํ โขนกลางแปลง โขนนง่ั ราว โขนโรงใน โขนหนา๎ จอ และโขนฉาก ซ่ึงโขนแตํละชนดิ มลี ักษณะที่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งสาคญั ท่ีประกอบการแสดงโขน คือ บทที่ใช๎ประกอบการแสดงจากเร่ืองรามเกยี รติ์ การ แตงํ กายมหี ัวโขน สาหรบั สวมใสํเวลาแสดงเพอื่ บอกลักษณะสาคัญ ตวั ละครมีการพากย์ เจรจา ขับรอ๎ ง และดนตรี บรรเลงดว๎ ยวงปพ่ี าทย์ ยดึ ระเบยี บแบบแผนในการแสดงอยํางเครงํ ครัด ประเภทของโขน โขน เป็นศิลปะการแสดงที่มีการพฒั นาและเปลีย่ นแปลงไปตามสภาพทางสังคมขนบธรรมเนียม ประเพณี ทาใหเ๎ กดิ รปู แบบของโขน หลายรูปแบบ ซ่ึงสามารถแบํงประเภทตามลักษณะองค์ประกอบของการแสดง ดงั นี้ 1. โขนกลางแปลง เปน็ โขนท่ีแสดงกลางสนาม ใชธ๎ รรมชาติ เปน็ ฉากประกอบ นยิ มแสดงตอนทม่ี ีการทา ศกึ สงคราม เพราะจะตอ๎ งใชต๎ วั แสดงเปน็ จานวนมาก และต๎องการแสดงถึงการเต๎นของโขน การเคล่อื นทัพของท้งั สองฝาุ ย การตํอสู๎ ระหวาํ งฝุายพระราม พระลักษณ์ พลวานร กบั ฝุายยักษ์ ไดแ๎ กํ ทศกัณฑ์ 2. โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว เปน็ โขนที่มีววิ ัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง หากเปลี่ยนสถานที่แสดง บนโรง มีราวไมไ๎ ผขํ นาดใหญํอยูํดา๎ นหลัง สาหรับตวั โขน นั่งแสดง รปู แบบของการแสดงดาเนินเร่อื งดว๎ ยการพากย์ และเจรจา 3. โขนโรงใน เป็นการนาเอารูปแบบการแสดงโขนโรงนอก มาผสมผสานกบั การแสดงละครใน ทม่ี ีการขับ รอ๎ ง และการราํ ยราของผูแ๎ สดง ดาเนินเรอ่ื งด๎วยการพากย์ เจรจา มกี ารขบั ร๎อง ประกอบทาํ รา เพลงระบา ผสมผสานอยูดํ ว๎ ย 4. โขนหนา๎ จอ ได๎แกํ โขนทใี่ ช๎จอหนงั ใหญํเป็นฉากประกอบการแสดง กลําวคอื มจี อหนังใหญเํ ปน็ ฉาก ที่ ด๎านซา๎ ยขวาเขียนรปู ปราสาท และพลบั พลาไวท๎ ั้งสองขา๎ ง ตัวแสดงจะออกแสดงด๎านหน๎าของจอหนงั ดาเนินด๎วย การพากย์ เจรจา ขบั รอ๎ ง รวมท้งั มกี ารจดั ระบา ฟอู นประกอบด๎วย 5. โขนฉาก เปน็ รูปแบบโขนที่พัฒนาเป็นลาดับสดุ ทา๎ ย กลาํ วคอื เป็นการแสดงในโรง มีการจัดทาฉาก เปลี่ยนไปตามเรื่องราวท่ีกาลงั แสดง ดาเนนิ เร่อื งดว๎ ยการพากย์ เจรจา และขับร๎อง รํายราประกอบคาร๎องมรี ะบา ฟอู นประกอบ

2. ละคร คอื การแสดงทเี่ ลํนเป็นเร่ืองราว มุงํ หมายกํอให๎เกิดความบันเทิงใจ สนกุ สนาน เพลิดเพลิน หรอื เร๎า อารมณ์ ความรสู๎ ึกของผูด๎ ู ตามเร่ืองราวน้ัน ๆ ขณะเดยี วกันผดู๎ ูก็จะได๎แนวคดิ คตธิ รรมและปรัชญา จากการละคร นน้ั ประเภทของละครไทย ละครไทยเปน็ ละครทมี่ ีพฒั นาการมาเป็นลาดับ ตั้งแตํสมยั กรุงศรอี ยธุ ยาจนถึงปจั จุบัน ดังนั้นละครไทยจึงมรี ปู แบบ ตาํ ง ๆ ซึง่ แบํงออกเปน็ ประเภทใหญํ ได๎ ประเภทดงั ตํอไปนี้ 1.ละครรา 2. ละครรอ๎ ง 3. ละครพูด 3. การละเลํนพ้นื เมอื ง การละเลํนพื้นเมืองเป็นการละเลํนในท๎องถิ่นที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน แบํงออกเป็น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต๎ ภาคอีสาน แตํละภาคจะมีลักษณะเฉพาะในการแสดง ทั้งน้ีข้ึนอยํูกับปัจจัยหลายประการได๎แกํ สภาพภูมิศาสตร์ ประเพณี ศาสนา ความเชื่อและคํานิยม ทาให๎เกิดรูปแบบการละเลํนพื้นเมืองข้ึนหลายรูปแบบ ได๎แกํ รูปแบบการแสดงท่ีเป็นเรื่องราวของการร๎องเพลง เชํน เพลงเก่ียวข๎าว เพลงบอก เพลงซอ หรือรูปแบบการ แสดง เชํน ฟูอนเทียน เซ้ิงกระหยัง ระบาตารีกีปัส ซึ่งแตํละรูปแบบน้ีจะมีท้ังแบบอนุรักษ์ปรับปรุงและพัฒนา เพือ่ ให๎ดารงอยํูสืบไป

ใบความรู้ นาฏยศัพท์ นาฏยศัพท์ หมายถึง ศพั ท์เฉพาะในทางนาฏศลิ ป์ ซึ่งเปน็ ภาษาทีใ่ ชเ๎ ป็นสญั ลักษณ์และสื่อความหมายกนั ใน วงการนาฏศิลปไ์ ทย นาฏยศัพท์ แบํงออกเปน็ 3 หมวด คือ 1. หมวดนามศพั ท์ หมายถึง ทาํ ราสือ่ ตาํ งๆ ทบ่ี อกอาการของทํานนั้ ๆ 1.1 วง เชํน วงบน วงกลาง 1.2 จบี เชํน จบี หงาย จีบควา่ จบี หลงั 1.3 ทาํ เทา๎ เชํน ยกเทา๎ ประเท๎า กระดก 2. หมวดกิริศัพท์ คือ ศพั ทท์ ี่ใช๎ในการปฏบิ ตั อิ าการกิริยา แบํงออกเป็นศัพทเ์ สริมและศัพทเ์ สื่อม 2.1 ศพั ท์เสริม หมายถงึ ศัพท์ท่ีใชเ๎ สริมทํวงทีใหถ๎ ูกต๎องงดงาม เชํน ทรงตัว สงํ มือ เจยี ง ลักคอ กดไหลํ ถบี เขํา เป็นต๎น 2.2 ศพั ทเ์ ส่ือม หมายถงึ ศพั ท์ทใ่ี ช๎เรียกทําราที่ไมถํ ูกระดบั มาตรฐาน เพื่อใหผ๎ ๎รู ารตู๎ ัวและตอ๎ งแก๎ไข ทํวงทขี องตนใหเ๎ ขา๎ สํรู ะดบั เชนํ วงล๎า วงตัก วงล๎น ราเลื้อย ราลน เป็นตน๎ 3. หมวดนาฏยศัพทเ์ บ็ดเตลด็ คอื ศพั ทท์ ่นี อกเหนือจากนามศัพท์ กริ ยิ าศัพท์ ซ่งึ จดั ไวเ๎ ป็นหมวดเบด็ เตล็ด มีดังนี้ เหลีย่ ม หมายถึง ระยะเขาํ ทง้ั สองขา๎ งแบะออก กว๎าง แคบ มากน๎อยสดุ แตจํ ะเปน็ ทําของพระ หรือนาง ยกั ษ์ ลงิ เหลยี่ มทีก่ ว๎างทีส่ ดุ คอื เหลี่ยมยักษ์ เดนิ มือ หมายถงึ อาการเคลือ่ นไหวของแขนและมือ เพ่อื เชือ่ มทาํ แมทํ าํ หมายถึง ทาํ ราตามแบบมาตรฐาน เชนํ แมบํ ท ขนึ้ ทาํ หมายถงึ ทําทปี่ ระดิษฐ์ให๎สวยงาม แบํงออกเปน็ ก. ข้นึ ทําใหญํ มีอยูํ 4 ทาํ คือ 1) ทาํ พระส่หี นา๎ แสดงความหมายเจรญิ รํุงเรือง เป็นใหญํ 2) ทาํ นภาพร แสดงความหมายเชํนเดยี วกับพรหมสหี่ นา๎ 3) ทาํ เฉดิ ฉิน แสดงความหมายเกี่ยวกับความงาม 4) ทาํ พิสมยั เรียงหมอน มีความหมายเป็นเกียรติยศ ข. ข้นึ ทํานอ๎ ย มีอยํูหลายทาํ ตํางกัน คือ 1) ทาํ มือหนึง่ ต้งั วงบวั บาน อกี มือหนึง่ จบี หลัง 2) ทาํ ยอดต๎องตอ๎ งลม 3) ทําผาลาเพียงไหลํ 4) ทาํ มือหน่งึ ตง้ั วงบน อกี มือหนง่ึ ตั้งวงกลาง เหมือนทําบังสรุ ยิ า 5) ทําเมขลาแปลง คือมือข๎างท่ีหงายไมํต๎องทานวิ้ ลอํ แก๎ว พระใหญํ – พระน๎อย หมายถึง ตัวแสดงที่มบี ทสาคัญพอๆ กัน พระใหญํ หมายถึงพระเอก เชํน อิเหนา พระราม สวํ นพระนอ๎ ย มบี ทบาทเปน็ รอง เชํน สังคามาระตา พระลักษณ์ นายโรง หมายถงึ พระเอก เปน็ ศัพท์เฉพาะละครรา ยนื เครื่อง หมายถงึ แตํงเครอ่ื งละครราครบเคร่ือง นางกษตั ริย์ บุคลิกทวํ งทีเรียบร๎อย สงํามีทที ําเป็นผูด๎ ี

นางตลาด ทวํ งทีวอํ งไว สะบัดสะบิ้งไมเํ รียบรอ๎ ย เชนํ นางยักษ์ นางแมว เป็นต๎น ภาษาทาํ หมายถงึ การแสดงกริ ิยาทาํ ทางเพื่อสื่อความหมายแทนคาพดู สวํ นมากใช๎ในการแสดงนาฏศลิ ปแ์ ละการ แสดงละครตํางๆ ภาษาทําแบํงเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้ 1. ทําทางท่ใี ชแ๎ ทนคาพูด เชํน ไป มา เรยี ก ปฏเิ สธ 2. ทําทางทีใ่ ช๎แทนอารมณ์ภายใน เชนํ รกั โกรธ ดีใจ เสียใจ 3. ทาํ แสดงกริ ิยาอาการหรืออิริยาบถ เชํน ยืน เดิน น่ัง การราํ ยราทําตํางๆ นามาประกอบบทร๎องเพลงดนตรี โดยมงุํ ถงึ ความสงาํ งามของลลี าทํารา และเปน็ ตอ๎ ง อาศัยความงามทางศลิ ปะเข๎าชํวย วธิ ีการใช๎ทําทางประกอบบทเรียน บทพากย์ และเพลงดนตรพี นั ทางนาฏศิลป์ เรยี กวาํ การตบี ท หรอื การราบท

ใบความรู้ เร่ือง ราวงมาตรฐาน ประวตั ริ าวงมาตรฐาน ราวงมาตรฐาน เป็นการแสดงมาจากราโทน เป็นการละเลํนพื้นบ๎านอยํางหนึ่งของชาวไทยท่ีบํงบอกถึง ความสนุกสนาน แตํเดิมราโทนก็เลํนกันเป็นวงการเปลี่ยนจากราโทนเป็นราวงก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมไว๎สํวนท่ี พฒั นาคือทํารา จดั ให๎เป็นทาํ ราไทยพืน้ ฐานอยํางงํายๆ สํโู ลกสากล เรียนร๎ูงําย เป็นเร็ว สนุก และเป็นแบบฉบับของ ไทยโดยแท๎ ทางด๎านเนอ้ื รอ๎ งได๎พัฒนาในทานองสรา๎ งสรรค์ ราวงท่ีพฒั นาแล๎วน้เี รยี กวํา ราวงมาตรฐาน เนื้อเพลงใน ราวงมาตรฐานมีท้งั หมด 10 เพลง แตลํ ะเพลงจะบอกทาํ รา (จากแมํบท) ไวใ๎ หพ๎ รอ๎ มปฏิบตั ิ ชอื่ เพลงราวงมาตรฐานและทําราที่ใช๎ ทาํ รา ช่ือเพลง 1. สอดสรอ๎ ยมาลา 1. งามแสงเดือน 2. ชกั แปงู ผัดหนา๎ 2. ชาวไทย 3. ราสาํ ย 3. รามาซิมารา 4. สอดสรอ๎ ยมาลาแปลง 4. คืนเดอื นหงาย 5. แขกเต๎าเข๎ารงั 5. ดวงจนั ทรว์ ันเพ็ญ 6. รายั่ว 6. ดอกไม๎ของชาติ 7. พรหมสหี่ น๎า, ยูงฟูอนหาง 7. หญงิ ไทยใจงาม 8. ชา๎ งประสานงา, จนั ทร์ทรงกลดแปลง 8. ดวงจันทรข์ วญั ฟูา 9. (หญงิ ) ชะนรี ํายไม๎ (ชาย) จํอเพลิงกาฬ 9. ยอดชายใจหาญ 10. เทีย่ วแรก (หญิง) ขดั จางนาง 10. บูชานกั รบ (ชาย) จนั ทรท์ รงกลด เที่ยวสอง (หญิง) ลํอแก๎ว (ชาย) ขอแกว๎

ลกั ษณะทาํ ราแบบตํางของราวงมาตรฐาน ราสาํ ย สอดสร๎อยมาลา ชักแปงู ผัดหน๎า แขกเตา๎ เข๎ารงั ช๎างประสานงา, รายัว่ ขดั จางนาง สอดสร๎อยมาลาแปลง จนั ทร์ทรงกลดแปลง จันทรท์ รงกลด ชะนรี าํ ยไม๎ จอํ เพลงิ กาฬ พรหมส่หี นา๎

ใบความรู้ เร่ือง การอนรุ ักษ์นาฏศลิ ป์ไทย นาฏศลิ ป์ไทย เปน็ ผลผลิตทางวฒั นธรรมทเี่ ป็นรปู ธรรม ซึง่ นับเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมทบี่ รรพบุรุษของเรา ได๎สร๎างและสั่งสมภูมิปัญญามาแตํโบราณ เป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งแสดงให๎เห็นถึงความเป็น อารยประเทศของชาติไทยที่มีความเป็นเอกราชมาช๎านาน นานาประเทศในโลกตํางชื่นชนนาฏศิลป์ไทยในความ งดงามวจิ ติ รบรรจง เปน็ ศลิ ปะท่มี คี ุณคําควรแกกํ ารอนรุ กั ษ์และสบื ทอด แนวทางในการอนรุ กั ษน์ าฏศิลปไ์ ทย 1. การอนุรักษ์รูปแบบ หมายถึง การรักษาให๎คงรูปดังเดิม เชํน เพลงพ้ืนบ๎านก็ต๎องรักษาข้ันตอนการร๎อง ทานอง การแตงํ กาย ทํารา ฯลฯ หรอื หากจะผลติ ขนึ้ ใหมกํ ใ็ ห๎รกั ษารูปแบบเดิมไว๎ 2. การอนุรักษ์เนื้อหา หมายถึง การรักษาในด๎านเนื้อหาประโยชน์คุณคําด๎วยวิธีการผลิต การรวบรวม ขอ๎ มลู เพ่อื การศกึ ษา เชนํ เอกสาร และส่อื สารสนเทศตาํ งๆ การอนุรักษ์ท้ัง 2 แบบนี้ หากไมํมีการสืบทอดและสํงเสริม ก็คงไว๎ประโยชน์ในที่น้ีจะขอนาเสนอแนวทาง ในการสงํ เสรมิ เพ่ืออนรุ ักษ์นาฏศลิ ป์ไทย ดงั นี้ 1. จัดการศกึ ษาเฉพาะทาง สํงเสริมให๎มีสถาบันการศึกษาด๎านนาฏศิลป์จัดการเรียนการสอน เพ่ือสืบทอด งานศิลปะดา๎ นนาฏศิลป์ เชนํ วิทยาลยั นาฏศลิ ป์ สถาบันเอกชน องคก์ รของรฐั บางแหํง ฯลฯ 2. จดั การเรยี นการสอนในข้นั พน้ื ฐาน โดยนาวชิ านาฏศิลป์จัดเข๎าในหลักสูตรและเข๎าสูํระบบการเรียนการ สอนทุกระดับ ตามระบบท่ีควรจะให๎เยาวชนได๎รับร๎ูเป็นข้ันตอนต้ังแตํอนุบาล – ประถม มัธยมศึกษา และ อุดมศึกษา ตลอดจนสถาบันการศึกษาทุกระดับ จัดรวบรวมข๎อมูลตํางๆ เพื่อประโยชน์ตํอการศึกษาค๎นคว๎า และ บรกิ ารแกชํ ุมชนได๎ดว๎ ย 3. มีการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อโฆษณาตํางๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ โดยนาศิลป์ วัฒนธรรมด๎านนาฏศลิ ปเ์ ข๎ามาเก่ยี วขอ๎ งเพ่อื เปน็ การสร๎างบทบาทของความเปน็ ไทยให๎เปน็ ทร่ี ูจ๎ ัก 4. จัดเผยแพรํ ศิลป์วัฒนธรรม ในรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์แกํหนํวยงานรัฐและเอกชน โดยท่ัวไปทั้ง ภายในประเทศและตาํ งประเทศ 5. สํงเสริมและปลูกฝังมรดกทางศิลป์วัฒนธรรมภายในครอบครัว ให๎ร๎ูซ้ึงถึงความเป็นไทยและอนุรักษ์ รักษาเอกลักษณไ์ ทย

ใบความรู้ การอนุรักษน์ าฏศิลปไ์ ทย นาฏศลิ ปไ์ ทย เปน็ ผลผลติ ทางวฒั นธรรมท่ีเปน็ รปู ธรรม ซึง่ นบั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทบี่ รรพบุรษุ ของเรา ได๎สรา๎ งและสง่ั สมภมู ปิ ญั ญามาแตํโบราณ เป็นส่งิ ทแ่ี สดงถึงเอกลักษณ์ของชาติ ซ่ึงแสดงให๎เห็นถึงความเปน็ อารยประเทศของชาติไทยท่ีมีความเป็นเอกราชมาช๎านาน นานาประเทศในโลกตาํ งชน่ื ชนนาฏศิลป์ไทยในความ งดงามวจิ ิตรบรรจง เปน็ ศลิ ปะท่มี ีคณุ คําควรแกํการอนุรักษแ์ ละสบื ทอด แนวทางในการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย 1. การอนุรกั ษ์รูปแบบ หมายถึง การรักษาให๎คงรปู ดังเดิม เชํน เพลงพน้ื บา๎ นก็ตอ๎ งรักษาขั้นตอนการร๎อง ทานอง การแตงํ กาย ทาํ รา ฯลฯ หรอื หากจะผลติ ข้ึนใหมกํ ็ให๎รักษารปู แบบเดิมไว๎ 2. การอนรุ ักษ์เนือ้ หา หมายถึง การรกั ษาในด๎านเน้ือหาประโยชนค์ ุณคาํ ดว๎ ยวธิ กี ารผลิต การรวบรวม ขอ๎ มูลเพื่อการศึกษา เชนํ เอกสาร และสื่อสารสนเทศตํางๆ การอนรุ ักษท์ ้ัง 2 แบบน้ี หากไมมํ ีการสบื ทอดและสํงเสริม กค็ งไว๎ประโยชน์ในทน่ี ้จี ะขอนาเสนอแนวทาง ในการสํงเสริมเพอ่ื อนรุ กั ษ์นาฏศลิ ปไ์ ทย ดังนี้ 1. จดั การศึกษาเฉพาะทาง สํงเสริมให๎มีสถาบันการศึกษาด๎านนาฏศิลป์จัดการเรียนการสอน เพื่อสบื ทอด งานศลิ ปะด๎านนาฏศลิ ป์ เชนํ วิทยาลยั นาฏศิลป์ สถาบนั เอกชน องค์กรของรัฐบางแหงํ ฯลฯ 2. จัดการเรยี นการสอนในข้ันพื้นฐาน โดยนาวชิ านาฏศิลป์จดั เข๎าในหลกั สูตรและเขา๎ สูรํ ะบบการเรยี นการ สอนทกุ ระดับ ตามระบบท่ีควรจะใหเ๎ ยาวชนไดร๎ ับรเู๎ ปน็ ข้ันตอนตัง้ แตํอนบุ าล – ประถม มัธยมศกึ ษา และ อุดมศึกษา ตลอดจนสถาบันการศกึ ษาทุกระดบั จัดรวบรวมขอ๎ มลู ตํางๆ เพอ่ื ประโยชน์ตอํ การศกึ ษาคน๎ คว๎า และ บรกิ ารแกชํ ุมชนได๎ด๎วย 3. มีการประชาสมั พนั ธ์ในรปู แบบสือ่ โฆษณาตาํ งๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ โดยนาศิลป์ วฒั นธรรมดา๎ นนาฏศลิ ป์เขา๎ มาเก่ยี วข๎องเพื่อเปน็ การสรา๎ งบทบาทของความเป็นไทยให๎เป็นทร่ี ู๎จัก 4. จัดเผยแพรํ ศิลป์วฒั นธรรม ในรปู แบบการแสดงนาฏศลิ ปแ์ กํหนวํ ยงานรัฐและเอกชน โดยทวั่ ไปท้งั ภายในประเทศและตํางประเทศ 5. สงํ เสรมิ และปลูกฝังมรดกทางศิลป์วฒั นธรรมภายในครอบครัว ใหร๎ ูซ๎ งึ้ ถงึ ความเป็นไทยและอนรุ ักษ์ รกั ษาเอกลักษณ์ไทย

ใบงาน นาฏศลิ ปไ์ ทย คาช้แี จง ใหผ๎ ูเ๎ รยี นตอบคาถามตํอไปน้ี 1. นาฏศิลปไ์ ทยมีกี่ประเภท อะไรบ๎าง จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ให๎ผเู๎ รยี นเขียนช่อื การแสดงราและระบาของนาฏศิลป์ไทยท่เี คยชมใหม๎ ากที่สดุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. ผู๎เรยี นมีแนวทางการอนุรกั ษน์ าฏศิลปไ์ ทยอยํางไรบา๎ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

คาช้แี จง ใหผ๎ ๎เู รยี นเขยี นบอกวําภาพที่เห็นคือภาพทาํ ราทําใด และใชก๎ บั ช่อื เพลงใด ชื่อทํารา………………………………….…………… เพลงที่ใช๎……………………………...........………………… ชอ่ื ทํารา………………………………….…………… เพลงทใ่ี ช๎……………………………...........………………… ชื่อทํารา………………………………….…………… เพลงทใ่ี ช๎……………………………...........………………… ชอ่ื ทํารา………………………………….…………… เพลงทใี่ ช๎……………………………...........…………………

แผนการเรียนรู๎รายสัปดาห์ กลํมุ สาระการเรียนร๎ู....ความรพ๎ู ้ืนฐาน............รายวิชา...........วสั ดศุ าสตร์.........รหสั วิชา........พว22003................ เร่ือง.............วัสดุศาสตร์รอบตัว.............................................................................................................................. ระดบั ชัน้ ...............มธั ยมศกึ ษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชัว่ โมง วนั ท่จี ดั การเรียนการสอน..................................................................การพบกลุํมครั้งท.่ี ........17............................. ตัวชวี้ ัด อธิบายธรรมชาติและความสาคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เน้ือหา 1. วสั ดุศาสตรร์ อบตัว 1.1 ความหมายของวสั ดศุ าสตร์ 1.2 ประเภทของวสั ดุ 1.3 สมบัติของวสั ดุ ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 การกาหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครูเตรียมวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรเู๎ ร่อื งความหมายวสั ดศุ าสตร์ เร่อื ง วัสดศุ าสตร์ รอบตวั 2. ชีแ้ จงการเรียนการสอน กระบวนการวัดประและประเมินผลของรายวิชาวสั ดสุ าสตร์ ขั้นที่ 2 การแสวงหาข้อมูลและจดั การเรยี นรู้ 1. ศึกษาปฏิบัตกิ ารเรยี นรู๎ อภิปรายความรูท๎ ่วั ไปเก่ยี วกบั วัสดศุ าสตร์ 2. ครูอธิบายเรือ่ งความหมายของวัสดุศาสตร์ 3. ครูอธิบายเรอื่ งประเภทของวัสดุศาสตร์ 4. ครูอธิบายเรือ่ งสมบตั ขิ องวัสดุสาสตร์ 5. แจกใบความร/ู๎ ส่ือแบบเรยี นครใู ห๎ผ๎เู รยี นทาแบบฝึกหัดวสั ดุศาสตร์ 6 นักศึกษาไปศึกษาค๎นควา๎ ความหมาย ขน้ั ที่ 3 ปฏิบัติและนาไปประยุกตใ์ ช้ 1.นักศกึ ษาวางการรวํ มกระบวนการพบกลมุํ เร่อื ง ความหมายวัสดุศาสตร์ เรอื่ ง วัสดศุ าสตร์ รอบตวั 2. นกั ศกึ ษาศกึ ษาใบความรแ๎ู ละแบบเรยี น ทาแบบฝึกหดั วัสดศุ าสตร์ 3. รํวมครูและเพ่ือนนักศึกษาสรปุ เรอื่ งวสั ดุศาสตร์ 4. รับใบงานทไ่ี ดร๎ ับมอบหมายกลบั ไปศึกษาค๎นคว๎าและนามาสํงตามวันและเวลาท่กี าหนดรวํ มกนั 5. ให๎นักศึกษานาเสนอ

ขนั้ ท่ี 4 การประเมินผล 1. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั วสั ดศุ าสตร์รอบตวั การใช๎ประโยชน์และผลกระทบจากการใช๎ วสั ดกุ ารจัดการวสั ดุอนั ตราย 2. ทดลองและเปรยี บเทยี บสมบตั ิของวสั ดชุ นดิ ตําง ๆ ได๎ 3. ตระหนักถงึ ผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช๎วัสดใุ นชีวิตประจ าวัน สือ่ การเรยี นรู้ 1. ใบความรู๎ 2. แบบเรียน การวัดและประเมนิ ผล 1. แบบทดสอบ 2. ใบงาน ลงช่ือ.........................................................ผ๎สู อน ( ............................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รักษาการในตาแหนํง ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์

ใบงานท่ี 17 วชิ า วสั ดศุ าสตร์ พว 22003 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต๎น กจิ กรรมที่ ให๎ผ๎ูเรียนศกึ ษาค๎นคว๎าเพม่ิ เติมจากวดี ทิ ัศน์ เรอ่ื ง วัสดุและสมบตั ขิ องวัสดุ บนเว็บไซตโ์ ดยสบื ค๎นได๎ท่ี https://www.youtube.com/watch?v=TeWcjmks6sQ แลว๎ สรุปความหมายของสมบัตขิ องวัสดุ ............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................. ............... ................................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................................ .................................................................................................................................................... ......................... ......................................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ................................................ .......................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................... .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................ ............................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ .......................................................................................................................................................................... ... ............................................................................................................................. ................................................ ............................................................................................................................. ................................................ ................................................................................................................................................................ ............. ..................................................................................................................... ........................................................

แผนการเรยี นร๎ูรายสัปดาห์ กลํมุ สาระการเรียนรู.๎ ...ความรพ๎ู ้นื ฐาน.............รายวิชา...........วสั ดศุ าสตร์..........รหัสวชิ า........พว22003............ เรื่อง.............การจัดการเศษซากวัสดุ................................................................................................................... ระดบั ชนั้ ...............มัธยมศกึ ษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ชั่วโมง วนั ท่จี ดั การเรียนการสอน..................................................................การพบกลํุมคร้ังที่.........18............................. ตวั ชีว้ ัด 1. อธิบายหลกั สาคญั ในการจดั การเศษซากวัสดุ 2. บอกอัตราเรว็ ในการยํอยสลายเศษซากวัสดุ 3. อธบิ ายหลกั 3R ในการจัดการเศษซากวัสดุ 4. ระบปุ ระเภทของภาชนะรองรับเศษซากวัสดุ 5. อธบิ ายเทคโนโลยกี ารกาจัดเศษซากวัสดุ เนื้อหา 1 . การจัดการเศษซากวสั ดุ 2. การจัดการเศษซากวัสดุ 3. อตั รายอํ ยสลายของเศษซากวัสดุ 4. หลกั 3R ในการจัดการเศษซากวสั ดุ 5. ภาชนะรองรบั เศษซากวัสดุ 6. เทคโนโลยีการกาจดั เศษซากวัสดุ ขนั้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ขนั้ ที่ 1 การกาหนดสภาพปัญหา ความตอ๎ งการในการเรียนรู๎ (O : Orientation) 1. ครเู ตรียมวางแผนการจดั กระบวนการเรยี นร๎เู ร่อื ง การจัดการเศษซากวสั ดุ 2. ชีแ้ จงการเรยี นการสอน กระบวนการวัด ประและประเมินผลของรายวสั ดุศาสตร์ ขัน้ ที่ 2 การแสวงหาข๎อมลู และจดั การเรียนร๎ู 1. ศกึ ษาปฏิบัตกิ ารเรียนร๎ู อภิปรายความรทู๎ ั่วไปเกยี่ วกบั การจัดการเศษซากวัสดุศาสตร์ 2. ครูอธิบายเรอื่ งอัตรายํอยสลายของเศษซากวสั ดุ อัตรายํอยสลายของเศษซากวสั ดหุ ลัก 3R ในการจดั การเศษซากวัสดุ ภาชนะรองรับเศษซากวสั ดุ เทคโนโลยกี ารกาจัดเศษซากวสั ดุ 3. แจกใบความรู๎/ส่ือแบบเรยี นครูให๎ผูเ๎ รียนทาแบบฝกึ หดั วัสดุศาสตร์ 4. ครมู อบหมายใบงานให๎นักศึกษาไปศึกษาคน๎ ควา๎ และแบบเสนอเร่ืองวัสดศุ าสตร์ให๎กลบั มาสงํ ตามวนั เวลาทก่ี าหนดรํวมกัน

ขน้ั ที่ 3 ปฏิบัตแิ ละนาไปประยกุ ตใ์ ช๎ 1.นกั ศกึ ษาวางการรวํ มกระบวนการพบกลุํมเรื่องธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การจัดการ เศษซากวัสดุ 2. นกั ศึกษาศกึ ษาใบความรู๎และแบบเรยี น ทาแบบฝกึ หัดวัสดศุ าสตร์ 3. รํวมครแู ละเพื่อนนกั ศกึ ษาสรุปเรื่องการจดั การเศษซากวัสดุ 4. รับใบงานที่ไดร๎ ับมอบหมายกลับไปศึกษาค๎นควา๎ และนามาสงํ ตามวันและเวลาที่กาหนดรวํ มกัน 5. ให๎นกั ศึกษานาเสนอ ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู๎ 1. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับวสั ดศุ าสตรร์ อบตวั การใชป๎ ระโยชนแ์ ละผลกระทบจากการ จดั การวสั ดทุ ่ใี ชแ๎ ลว๎ 2. ทดลองและเปรยี บเทียบสมบัติของวัสดชุ นิดตาํ ง ๆ ได๎ 3. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบทีเ่ กดิ จากการใช๎วสั ดใุ นชวี ิตประจ าวนั ส่ือประกอบการเรียนรู๎ 1. ใบความรู๎ 2. แบบเรียน การวัดผลและประเมินผล 1. แบบทดสอบ 2. ใบงาน ลงชอ่ื .........................................................ผู๎สอน ( ....................................................... ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์

ใบงานท่ี 18 วิชา วสั ดุศาสตร์ พว 22003 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต๎น คาชี้แจง : ใหผ๎ เู๎ รยี นศึกษาจากเอกสารชดุ วชิ า และคน๎ คว๎าเพมิ่ เตมิ จากสอื่ และแหลงํ เรียนรู๎ ตาํ งๆ แล๎วทากิจกรรม ตอํ ไปน้ี กจิ กรรมที่ 1 เขยี นรายงานห๎อขอ๎ เรอ่ื ง “หลกั 3 R ในการจัดการวสั ดุทใ่ี ช๎แลว๎ ในชีวติ ประจาวัน” .................................................................................................................................................... ................................ ................................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ........................................................................................................................................................................ ............ ....................................................................................................................... ............................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................ ........................................ ........................................................................................... ......................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ................................................................................................................................................................ .................... ............................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................... ................................................ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. .......................................................

ให๎ผู๎เรียนนาตวั อกั ษรทอ่ี ยดํู ๎านหนา๎ คาตอบดา๎ นขวามือมาเตมิ ลงในชอํ งวาํ ง ดา๎ นซา๎ ยมือให๎ถกู ต๎อง ………………1. เปลือกสม๎ ก. 5 วัน – 1 เดือน ..................2. กน๎ กรองบหุ ร่ี ข. 3 เดือน ..................3. ถุงพลาสติก ค. 2 - 5 เดอื น ..................4. เศษพชื ผกั ง. 6 เดอื น ..................5. โฟม จ. 5 ปี ..................6. ผ๎าอ๎อมเด็กชนดิ สาเรจ็ รูป ฉ. 12 – 15 ปี ..................7. รองเท๎าหนัง ช. 25 – 40 ปี ..................8. ขวดพลาสติก ซ. 80 – 100 ปี ..................9. เศษกระดาษ ฌ. 450 ปี .................10. กระป๋องอลมู ิเนียม ญ. 450 ปี .................11. ใบไม๎ ฐ. 500 ปี .................12. กลอํ งนมเคลือบพลาสติก ณ. ไมยํ ํอยสลาย กจิ กรรมที่ 4 อธบิ ายวธิ ีการมีสวํ นรวํ มในการลดปริมาณขยะทเี่ กิดขึ้นในครอบครวั และชมุ ชน ด๎วยหลัก 3R …………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................. ................................... ……………................................................................................ .................................................................. .... ........................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................. ...................................

แผนการเรียนรร๎ู ายสัปดาห์ กลมํุ สาระการเรียนร๎ู....ความรพ๎ู ้ืนฐาน.............รายวิชา...........วสั ดุศาสตร์..........รหสั วชิ า........พว22003........... เรอื่ ง............. การคัดแยกและการรีไซเคิลวสั ดุ....................................................................................................... ระดบั ช้นั ...............มัธยมศึกษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชวั่ โมง วันทจี่ ัดการเรียนการสอน..................................................................การพบกลํุมคร้ังท.่ี ........19............................. ตัวชี้วัด 1. อธิบายวิธกี ารคัดแยกวสั ดุแตํละประเภทได๎ 2. อธิบายการรีไซเคลิ วสั ดุแตํละประเภทได๎ 3. อธิบายความหมายสัญลกั ษณ์รไี ซเคลิ วสั ดแุ ตลํ ะประเภทได๎ เน้ือหา 4. การคัดแยกและการรีไซเคิลวัสดุ 4.1 การคัดแยกวัสดุ 4.2 การรีไซเคลิ วัสดุ ขัน้ จัดกระบวนการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ 1 การกาหนดสภาพปัญหา ความต๎องการในการเรยี นรู๎ (O : Orientation) 1. ครูเตรียมวางแผนการจดั กระบวนการเรียนรูเ๎ รือ่ ง การคัดแยกและการรีไซเคลิ วสั ดุ 2. ชแ้ี จงการเรยี นการสอน กระบวนการวัด ประและประเมินผลของรายวชิ าวสั ดุศาสตร์ ขัน้ ที่ 2 การแสวงหาข๎อมลู และจัดการเรียนร๎ู 1. ศกึ ษาปฏิบตั ิการเรยี นร๎ู อภิปรายความรทู๎ ่ัวไปเกี่ยวกับการคดั แยกและการรีไซเคิลวัสดุ 2. ครูอธิบายเรอื่ งการคดั แยกและการรีไซเคิลวสั ดุ การคัดแยกวัสดุ การรีไซเคลิ วสั ดุ 3. แจกใบความร๎ู/ส่ือแบบเรียนครูให๎ผเู๎ รียนทาแบบฝึกหดั วัสดุศาสตร์ 4 นักศึกษาไปศึกษาคน๎ ควา๎ และแบบเสนอเร่ืองวสั ดศุ าสตร์ใหก๎ ลับมาสํงตามวนั เวลาที่กาหนด รวํ มกนั ครูมอบหมายใบงานให๎ ขนั้ ท่ี 3 ปฏิบัติและนาไปประยุกต์ใช๎ 1.นักศกึ ษาวางการรํวมกระบวนการพบกลมุํ เร่อื งการคดั แยกและการรไี ซเคิลวัสดุ 2. นกั ศึกษาศกึ ษาใบความร๎ูและแบบเรียน ทาแบบฝึกหดั วัสดุศาสตร์ 3. รํวมครแู ละเพ่ือนนกั ศึกษาสรปุ เร่ืองการคดั แยกและการรีไซเคิลวัสดุ 4. รับใบงานทไ่ี ดร๎ บั มอบหมายกลับไปศึกษาคน๎ ควา๎ และนามาสงํ ตามวันและเวลาที่กาหนดรวํ มกนั 5. ใหน๎ กั ศึกษานาเสนอ ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู๎ 1. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกับการคดั แยกและการรีไซเคลิ วัสดุและการจดั การวสั ดุท่ีใชแ๎ ล๎ว 2. ทดลองและเปรียบเทยี บสมบตั ขิ องวัสดชุ นดิ ตําง ๆ ได๎ 3. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบท่ีเกิดจากการใชว๎ สั ดุในชีวติ ประจาวัน

สื่อประกอบการเรียนรู๎ 1. ใบความรู๎ 2. แบบเรียน การวัดผลและประเมินผล 1. แบบทดสอบ 2. ใบงาน ลงชอื่ .........................................................ผ๎ูสอน ( ........................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์

ใบงานท่ี 19 วชิ า วสั ดศุ าสตร์ พว 22003 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน๎ จงกาเคร่ืองหมาย หนาขอความทีเ่ หน็ วาถูกตอง และกาเคร่ืองหมาย หนาขอความท่เี ห็นวาผิด เกีย่ วกบั การคดั แยกและรวบรวมวัสดุ ………….. 1. การคดั แยกวสั ดุ เพ่ือใหสามารถนากลบั มาใชประโยชนได ………….. 2. การคัดแยกวัสดเุ ปนหนาทีข่ ององคการปกครองสวนทองถนิ่ ………….. 3. ควรแยกวัสดุทีค่ ัดแยกในถงั รองรับวัสดแุ ยกประเภท ท่หี นวยงานราชการกาหนด ………….. 4. จดั เกบ็ วัสดุทที่ าการคัดแยก ไวโรงครวั เพ่อื ความสะดวก ………….. 5. การจดั เกบ็ วัสดุอันตราย เปนสดั สวนแยกตางหากจากวสั ดุอน่ื ๆ ………….. 6. ภาชนะหรือถงั ทเ่ี กบ็ วัสดอุ ันตราย ตองปดฝามิดชดิ ไมรว่ั ไหล ………….. 7. พลาสติกควรแยกขวดใสและขวดสี งายตอการนาไปรไี ซเคลิ หรอื ประดิษฐเปน ดอกไม แจกนั และขาย ………….. 8. กอนทิง้ แกวนา้ กาแฟลงในถงั ขยะ ควรเทน้าออกจากแกวใหหมด กอนท้งิ แกวกาแฟ เพื่อปองกนั การ เนาของเครอ่ื งดม่ื ………….. 9. การคดั แยกขวดแกวควรแยกสีของแกว จะขายไดราคาดี ………….. 10. ไมควรทิ้งเศษวสั ดุลงในขวดแกว กอนทงิ้ ลงในถังขยะ ………….. 11. ควรเหยียบกระปองใหแบน เพื่อประหยัดพ้นื ท่ใี นการจดั เก็บ ………….. 12. การคดั แยกกระดาษ ตองนาลวดเสยี บ เทปกาวออกใหหมด

แบบทดสอบหลังเรียน คาช้แี จง เลอื กคาตอบท่ถี กู ท่ีสดุ เพียงขอเดยี ว 1. ขอใดอธบิ ายความหมายของคาวา วสั ดศุ าสตร ไดถกู ตองทสี่ ดุ ก. เปนการศึกษาเกี่ยวกับสงิ่ ของหรือวตั ถุทนี่ ามาใชประกอบกนั เปนช้นิ งาน ข. เปนการศกึ ษาองคความรูท่ีเกย่ี วของกบั วัสดทุ ่ีนามาประกอบกนั เปนชิน้ งาน ค. เปนการศกึ ษาการใชงานวัสดุดานตางๆในชวี ิตประจาวัน ง. ถกู ทกุ ขอ 2. ความแขง็ ของวัสดขุ ้ึนอยูกับขอใด ก. ความทนทานตอการขีดขวน ข. ความหนาแนนของวสั ดุ ค. ความยดื หยุนของวัสดุ ง. รปู รางของวัสดุ 3. วสั ดชุ นิดใด จดั อยูในประเภทอโลหะ ก. เหล็ก อะลมู เิ นยี ม ข. ทอง ทองแดง ค. ตะกั่ว พลาสติก ง. ไม เสนใย 4. วัสดุชนดิ ใด จดั อยูในประเภทโลหะ ก. เหลก็ ทองแดง ข. หนิ ออน ทราย ค. ทองแดง ไม ง. เหล็ก ยาง 41 5. ถานาวสั ดุ ก มาขูดกบั วัสดุ ข แลวเกดิ รอยบนวสั ดุ ข ขอใดถูกตอง ก. วัสดุ ก แขง็ กวาวสั ดุ ข ข. วัสดุ ก เหนียวกวาวัสดุ ข ค. วัสดุ ก ยืดหยุนกวาวัสดุ ข ง. วัสดุ ก นาความรอนไดดีกวาวสั ดุ ข 6. วสั ดุชนดิ ใดทีม่ คี วามแข็ง และนาไฟฟาไดดีทส่ี ุด ก. ยางรัดของ ข. เสนใย ค. เหลก็ ง. ไม 7. วสั ดชุ นดิ ใดทมี่ ีความยดื หยุน ก. กระดาษ ข. ยางรดั ของ ค. ปากกา ง. แกวนา้

8. วสั ดุในขอใดที่นาไฟฟาได ก. เหลก็ เพชร แกรไฟต ข. เพชร เหลก็ ทองแดง ค. เหล็ก ทองแดง แกรไฟต ง. เพชร คารบอน แกรไฟต 9. ขอใด ไมใช เหตุผลในการเลือกใชเสนเอน็ สาหรับขึงไมแบดมนิ ตนั ก. มคี วามเหนยี ว ข. มีความยดื หยุน ค. ทนความรอน ง. เมอ่ื เปล่ียนรปู แลวสามารถคนื ตัวกลบั สูสภาพเดิมได 42 10. การใชหนังสตกิ๊ เปนการแสดงถึงสมบัตใิ นดานใดของวัสดุ ก. ความแขง็ ข. ความยดื หยุน ค. ความหนาแนน ง. ความเหนยี ว

แผนการเรยี นรรู้ ายสปั ดาห์ กลํุมสาระการเรียนรู๎.....................................รายวิชา……..………………………..…....รหสั วชิ า…………………………….… เรอื่ ง.............ปัจฉมิ นเิ ทศนักศึกษา………………………………………………………………………………………………………… ระดบั ช้ัน...............มัธยมศกึ ษาตอนตน๎ ........................................................จานวน......................................ชั่วโมง วันทจี่ ัดการเรียนการสอน.................................................................การพบกลํุมครัง้ ท่.ี .............20.......................... 1. ตัวช้ีวัด 1.1 เตรยี มความพร๎อมในการก๎าวเขา๎ สูํวิชาชีพ/การศึกษาตํอใหก๎ บั นักศึกษาทีก่ าลงั จะสาเรจ็ การศึกษาท่ี สูงขนึ้ 1.2 เพื่อแนะนาทางเลอื กในการก๎าวเข๎าสํวู ิชาชีพ/การศึกษาตํอในระดับ 2. เนอื้ หา 2.1 เตรียมพร๎อมกายวาจาใจกํอนไปปฏิบตั ิการประกอบอาชพี 2.2 การพฒั นาตนกับการศึกษาตอํ ในระดบั ท่ีสูงขน้ึ ขัน้ จดั กระบวนการเรยี นรู้ - ครชู ี้แจง๎ กาหนดการปฐมนเิ ทศ และพูดคยุ ซักถามเกีย่ วกับการเตรียมความพร๎อมในการประกอบอาชีพ และศึกษาตํอในระดับทสี่ ูงขึน้ 1. รบั ฟงั การบรรยายในหวั ขอ๎ “เตรยี มพร้อมกายวาจาใจกอ่ นไปปฏิบัติวิชาชีพ” โดยมวี ัตถุประสงค์ เพอ่ื ให๎นกั ศึกษาไดเ๎ ตรยี มความพร๎อมทงั้ กาย วาจา และใจ รวมถึงปลกู ฝงั คุณธรรมและจรยิ ธรรม กอํ นกา๎ วไปการ ทางานและการศึกษาตอํ ในระดบั ท่ีสงู ขึ้น 2. รับฟงั การบรรยายในหัวข๎อ “การพัฒนาตนกบั การศกึ ษาต่อ ในระดบั ทส่ี งู ขึ้น”โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ใหน๎ ักศึกษาเกิดความรูแ๎ ละเขา๎ ใจสามารถเลือกประกอบอาชีพและการศึกษาตํอไดเ๎ หมาะสมกับตนเอง 3. นักศึกษาพูดคยุ แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ กบั นกั ศกึ ษารนุํ พ่ีประสบการณ์ในการทางานและการดาเนนิ ชีวติ ทีป่ ระสบความสาเรจ็ โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่ือใหน๎ ักศกึ ษาเกดิ ความม่นั ใจในการตัดสินใจ - ครูและผเ๎ู รียนรํวมกันสรุปสาระสาคญั และแนะนาการเตรียมเอกสารสาหรบั การสมคั รเข๎าศกึ ษาตอํ และ การสมัครเรียน 1. สรปุ สาระสาคัญเพิ่มเติมรวบรวมข๎อมูลจดบนั ทกึ ลงในคูํมือ 2. ประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ู 3. สอ่ื อปุ กรณแ์ ละแหลง่ เรียนรู้ 3.1 แผํนพับ 3.2 โปรเจกเตอร์

4. การวดั ผลและประเมินผล 4.1 การสังเกต 4.2 แบบติดตามการจบหลักสตู ร ลงชื่อ.........................................................ผ๎ูสอน ( ................................................... ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …...…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………...……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนงํ ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook