Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

Published by ศกร.ตำบลทุ่งใหญ่, 2021-10-03 03:51:18

Description: แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ ม.ต้น

Search

Read the Text Version

โอกาส (Opportumties) มลี ักษณะดังน้ี คอื 1. โอกาสท่ีกาลงั จะเกดิ ข้นึ ทจี่ ะทาให๎เราประสบความสาเร็จ 2. มเี ครอ่ื งมือใหมทํ ี่ไดร๎ บั การสนับสนุน 3. มสี ํวนแบํงของตลาดที่เรามองเห็น 4. บคุ ลากรมีศักยภาพทาให๎งานสาเร็จไดง๎ าํ ยขึน้ ศกึ ษาความเป็นไปได๎ ดังนี้ คอื 1. ความเป็นไปไดท๎ างการเงนิ 2. ความเปน็ ไปได๎ทางการตลาด 3. ความเป็นไปไดท๎ างการผลติ 4. ความเปน็ ไปได๎ทางเทคโนโลยี การกาหนดกลยุทธ์ 1. ลงทุนต่าท่ีสดุ ซึ่งมีความเป็นไปได๎ทางการเงิน 2. ทาในส่งิ ทีท่ าไดด๎ ี ซงึ่ มีความเปน็ ไปไดใ๎ นการผลิต 3. ทาจานวนน๎อย แล๎วคอํ ยๆ เพ่ิมไปสูํจานวนมาก 4. เป็นธรุ กิจท่สี ามารถทาได๎ในระยะยาว ซึง่ มคี วามเป็นไปไดท๎ างการตลาด ความสามารถในการแขงํ ขยั อาจพิจารณาในสิ่งตํางๆ ดังน้ี 1. อะไรทเ่ี ราทาไดด๎ ีทีส่ ุดเมอื่ เทียบกับผ๎ูอืน่ 1.1 ดีกวาํ 1.2 เร็วกวาํ 1.3 ถูกกวํา 1.4 แตกตาํ งกวํา เดํนกวาํ 2. มองจุดเดํนที่เรามี 2.1 สนิ คา๎ / บรกิ ารของเราดีอยาํ งไร 2.2 ใครคือลูกคา๎ ของเรา 2.3 ขนาดตลาดมีมลู คาํ เทําไร 2.4 เทคโนโลยีในการผลิตสดุ ยอดเพยี งใด 2.5 ถ๎าคแํู ขงํ ทาได๎จะใชเ๎ วลาอีกนานเทาํ ไร

กลยทุ ธก์ ารตลาดโดยใช๎ 4P กลยุทธก์ ารตลาดนนั้ มีอยํมู ากมาย แตเํ ป็นทีร่ จ๎ู ักและเปน็ พืน้ ฐาน คือการใช๎ 4P เป็นการวางแผนในแตํละสวํ น ใหเ๎ ขา๎ กันในบางครั้งอาจจะไมํสามารถปรับเปล่ียนท้ัง 4P ไดท๎ ง้ั หมดในระยะสัน้ กไ็ มํเป็นไร แตจํ ะคํอยๆ ปรบั จนสมดุล ครบทงั้ 4P ในท่สี ดุ 1. สินคา๎ หรอื บริการ (Product) กาหนดสินคา๎ ให๎ตรงกับความต๎องการของลูกค๎า เชํน ลูกคา๎ สูงอายุต๎องการน้า ผลไมท๎ ม่ี ีรสหวานเลก็ น๎อย 2. ราคาสินค๎า (Price) เปน็ การต้ังราคาทเ่ี หมาะสมกบั สินค๎าหรอื บรกิ าร และกาลังซื้อของลูกคา๎ พิจารณาจาก ราคาของคแํู ขงํ บางคร้งั อาจลดราคาตา่ กวําคํแู ขํงก็ได๎ โดยลดคณุ ภาพบางตัวที่ไมํจาเป็นก็จะทาใหส๎ ินค๎ามีราคาต่ากวํา คํแู ขงํ หรือกาหนดราคาสูงกวําคํูแขงํ กไ็ ด๎ถ๎าสนิ ค๎าของเราดกี วาํ คูแํ ขํงดา๎ นใดเพ่ือใหล๎ ูกคา๎ มโี อกาสเปรียบเทยี บ 3. สถานท่ีขายสนิ คา๎ (Place) ควรเลือกทาเลขายใหเ๎ มาะสมกับลกู คา๎ หรือคิดหาวิธกี ารสงํ ของสนิ คา๎ ให๎ถึงมือ ลกู คา๎ ได๎อยํางไร 4. การสํงเสริมการขาย (Promotion) เป็นการทากจิ กรรมตํางๆ เพ่ือใหล๎ ูกค๎ารจ๎ู ักสนิ คา๎ และอยากท่ีจะซ้ือมา ใช๎ เชนํ การแจกใหท๎ ดลองใช๎ การลดราคาในชวํ งแรก การแถมไปกับสินค๎าอืน่ ๆ

ใบความรู้ที่ 3 การกาหนดกิจกรรมและแผนการพัฒนาการตลาด การตลาดมคี วามสาคญั เพราะเป็นจดุ เรม่ิ ต๎นและมผี ลตอํ การบรรลุเปูาหมายสดุ ทา๎ ยของการดาเนินธรุ กจิ ธรุ กิจต๎องเริ่มด๎วยการศึกษาความตอ๎ งการท่ีแท๎จริงของลกู ค๎า จากนน้ั จงึ ทาการสร๎างสนิ ค๎าหรือบริการที่ทาให๎ลกู ค๎าเกดิ ความพอใจสูงสดุ (Customer Focus) การบริหารตลาด เป็นกระบวนการวางแผน ปฏบิ ตั งิ านและการควบคมุ กิจกรรมทางการตลาดทกี่ ํอให๎เกิดการ แลกเปลี่ยนระหวํางผ๎ูซื้อและผ๎ูขาย พร๎อมท้ังนาความพอใจมาสํูท้ัง 2 ฝาุ ย การกาหนดกจิ กรรมเพื่อพัฒนาการตลาด เมื่อเราทราบวาํ กลยุทธท์ กี่ าหนดไว๎มีด๎านใดบา๎ ง เชํน กลยทุ ธ์ 4P ก็ คอื ด๎านตัวสินค๎า ด๎านราคา ดา๎ นสถานทข่ี าย และการสํงเสริมการขาย กลยทุ ธท์ งั้ 4 ดา๎ น ใหน๎ ามากาหนดเป็นกจิ กรรม ท่ีต๎องดาเนินการ เชนํ 1. กิจกรรมดา๎ นพฒั นาตัวสนิ ค๎า พฒั นาใหต๎ รงกับความตอ๎ งการของลกู ค๎า 2. กิจกรรมดา๎ นราคา ผู๎ผลติ กต็ ๎องกาหนดราคาทีเ่ หมาะสมกับกาลงั ซ้อื ของผบ๎ู รโิ ภค และเหมาะสมกบั คุณภาพ ของสนิ ค๎า 3. กิจกรรมดา๎ นสถานที่ ต๎องคิดวําจะสงํ มอบสินคา๎ ให๎กบั ผู๎บริโภคไดอ๎ ยาํ งไร หรอื ต๎องมีการปรบั สถานท่ีขาย ทาเลทตี่ งั้ ขายสนิ คา๎ 4. กิจกรรมสงํ เสรมิ การขาย จะใชว๎ ิธกี ารใดทท่ี าใหล๎ ูกค๎ารจ๎ู ักสินค๎าของเรา การวางแผนพัฒนาการตลาด ผูผ๎ ลติ จะต๎องนากิจกรรมตํางๆ มาวางแผนเพื่อพฒั นาการตลาด ซึง่ สามารถนาไปสกูํ าร ปฏบิ ตั ิใหไ๎ ดด๎ ังตัวอยําง แผนการพฒั นาการตลาด ท่ี กิจกรรมท่ีต๎องดาเนิน แผนการพัฒนาการตลาดปี 2564 1 ศึกษาขอ๎ มูลเพื่อกาหนดทิศ ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทางการพัฒนาการตลาด 2 กาหนดเปาู หมายการตลาด 3 กาหนดกลยุทธ์สเํู หมาย 4 วิเคราะห์กลยทุ ธ์ 5 ดาเนนิ การ - การโฆษณา - การประชาสมั พันธ์ - การทางานข๎อมลู ลูกค๎า - การสํงเสรมิ การขาย - การกระจายสนิ ค๎า - การสงํ มอบสินค๎า - ฯลฯ

ใบงานท่ี 1 การกาหนดทศิ ทางและเปูาหมายการตลาด ( 1. กาหนดทิศทางการตลาดได๎ 2. การกาหนดเปูาหมายการตลาดได๎) ใหผ๎ เ๎ู รยี นรวมกลุํมกัน 5 คนกาหนดทศิ ทางและเปูาหมายการตลาดในการพฒั นาสินคา๎ ของตนเองหรอื สินคา๎ ท่สี นใจ 1. ศึกษาตลาดเพ่ือกาหนดทศิ ทาง 1.1 สินคา๎ คือ.......... 1.2 ลกู ค๎าซ้ือไปทาอะไร 1.3 กลํมุ เปาู หมายทซ่ี ือ้ สนิ ค๎าคือใคร มีกาลังซือ้ หรือไมํ 1.4 ลกู คา๎ จะซื้ออยํางไร 1.5 ลูกค๎าซื้อใชเ๎ ม่ือไร 1.6 ซ้ือสินค๎าได๎ที่ไหน 2. เมอื่ ศึกษาทิศทางการตลาดแล๎วใหก๎ าหนดเปาู หมายการตลาดในการผลิตสินคา๎ แบบบนั ทกึ สมาชิกในกลมํุ 1................................................. .......................................................................................... ………………….. 2............................................................................................................................ ...............………………….. 3.................................................................................................................................. .........………………….. 4............................................................................................................... ............................………………….. 5............................................................................................................................ ...............………………….. 1. ทศิ ทางการผลติ สนิ คา๎ ................................................................................................................................……….. ............................................................................................................................. ...................................................... ............................................................................................................................. ...................................................... ................................................................ ........................................................................................................ ........... 2. เปาู หมายการผลติ สนิ คา๎ ..............................................................................................................................………. ............................................................................................................................. ...........................................………. ................................................................... ..................................................................................................... ………. ............................................................................................................................. ......................................................

ใบงานท่ี 2 การกาหนดและวิเคราะห์กลยุทธท์ างการตลาด ( 3. กาหนดกลยุทธ์สํเู ปูาหมายได๎ 4. วเิ คราะหก์ ลยุทธ์ได๎ ) ใหผ๎ ูเ๎ รียนรวมกลํมุ กนั 5 คน รํวมกันกาหนดและวเิ คราะหก์ ลยุทธพ์ ฒั นาทางการตลาดแล๎วสรุปลงในแบบบันทึก แบบบันทึก สมาชกิ ในกลุํม 1............................................................................................................................ .......................................... 2........................................................................................................................................... …………………….. 3............................................................................................................................ ............... …………………….. 4........................................................................................................................................... …………………….. 5............................................................................................................................ ............... …………………….. กลยุทธ์ ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... การวิเคราะห์กลยทุ ธ์ โดยการวเิ คราะหจ์ ุดอํอน จุดแขง็ 1. จดุ แข็ง........................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................................... ... 2. จุดออํ น......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... 3. โอกาส.......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... 4. อปุ สรรค............................................................................................................................. .................. …… ...................................................................................................... .................................................................. สรุปผลการวิเคราะห์ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................... .................................................................................... ............................................................................................................................. ...........................................

ใบงานที่ 3 ตรวจสออบผลการวิเคราะห์กลยทุ ธ์ ใหผ๎ ู๎เรียนนาผลการวิเคราะห์กลยทุ ธจ์ ากใบงานที่นาไปใหผ๎ ู๎รู๎ชํวยตรวจสอบความเป็นไปได๎แล๎วสรปุ ลงในแบบบันทกึ แบบบนั ทกึ กลยุทธ์........................................................................................... ............................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................... ................ สรุปผลการวเิ คราะห์จากผ๎รู ู๎ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... แนวทางการแก๎ไขจากการแสดงความคิดเห็นของผร๎ู ๎ู .................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................................................. .... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ .....................................................................................................................................................................

แผนการเรยี นรู้รายสปั ดาห์ กลมุํ สาระการเรยี นรู๎....การประกอบอาชีพ..รายวชิ า.....พัฒนาอาชพี ให๎มคี วามเข๎มแขง็ ....รหัสวิชา....อช21003...... เร่อื ง.............การจดั ทาแผนพฒั นาการผลติ หรือการบริการ.................................................................................... ระดับชน้ั ...............มัธยมศกึ ษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ช่ัวโมง วันทีจ่ ัดการเรียนการสอน..................................................................การพบกลมํุ คร้ังท.่ี ........9............................. ตัวช้ีวดั 1.1 การกาหนดคุณภาพการผลิตหรอื การบริการ 1.2 การกาหนดเปาู หมายการผลติ หรือการบรกิ าร 1.3 การกาหนดแผนกิจกรรมการผลิต 1.4 การพัฒนาระบบการผลิตหรือการบรกิ าร เนื้อหา 2.1 ร๎วู ิธกี ารกาหนดคุณภาพการผลติ หรือการบริการ 2.2 สามารถการกาหนดเปูาหมายการผลิตหรอื การบริการ 2.3 สามารถเขยี นแผนการผลิตได๎ 2.4 บอกประโยชนก์ ารพัฒนาระบบการผลิตหรือการบรกิ าร ข้นั ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาความตอ๎ งการ - ครตู ิดตามงานท่ีมอบหมายในสัปดาหท์ ีผ่ ํานมา ใหผ๎ ู๎เรียนเลาํ วิธกี ารการค๎นควา๎ ข๎อมลู มา นาเสนอในวันพบกลํมุ ใช๎เวลาคนละ 10 นาที ใหผ๎ ูเ๎ รยี นศึกษาใบความรู๎เรื่อง การจัดทาแผนพัฒนาการ จัดทาแผนพัฒนาการผลติ หรอื การบริการ ใช๎เวลา 20 นาที เตรียมข๎อมูลรํวมแลกเปลี่ยนความร๎ูทคี่ ๎นมา ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข๎อมูลและการจัดการเรียนรู๎ - ครรู วํ มกับผ๎ูเรียนแลกเปลี่ยนความคดิ เห็น และเรยี นรูก๎ ารทาแผนพฒั นาการผลิต ใช๎เวลา 30 นาที แบงํ ผเ๎ู รยี นเป็นกลมํุ ๆ ละ 5 -7 คน ให๎แตํละกลมุํ ทาการคน๎ คว๎า เรอ่ื ง การจดั ทาแผนพฒั นา การจดั ทาแผนพฒั นาการผลติ หรอื การบรกิ าร จากหนงั สือเรียนและ ใบความรู๎ทีค่ รแู จก ใช๎เวลา 25 นาที ตวั แทนผเ๎ู รียนนาเสนอวธิ กี ารทาแผนพัฒนาการผลติ โดยครูรวํ มแสดงความคิดเห็นใช๎เวลากลมุํ ละ 15 นาท่ี ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละนาไปประยุกต์ใช๎ - ครสู รปุ ผลจากการนาเสนอความรท๎ู ค่ี น๎ ควา๎ มา โดยครสู งั เกตพฤติกรรมผู๎เรียนในการทาใบงาน และการนาเสนอ ใช๎เวลากลุํมละ 25 นาที และใหผ๎ ู๎เรียนบันทกึ กิจกรรมลงในสมุดบันทึกกิจกรมใน สปั ดาห์ที่ 3 ใชเ๎ วลา 30 นาทคี รูตรวจงานท่ผี ๎เู รยี นทาใชเ๎ วลา 10 นาที ครมู อบหมายงาน กรต.ให๎ ผเ๎ู รียนไปศึกษาเรือ่ งความจาเป็นและคุณคาํ ของธุรกจิ เชงิ รุก ความต๎องการของผูบ๎ ริโภค วิธกี ารสรา๎ ง รูปลักษณค์ ุณภาพสินค๎าใหมํและประโยชน์จากการพัฒนาอาชีพให๎มคี วามเข็มแขง็ พออยูํ พอกินมีรายได๎ มกี ารออม จากอินเตอรเ์ น็ตและหนังสอื เกย่ี วกบั วชิ าท่ีเรียนในห๎องสมุดเพ่มิ เติม เพื่อรายงานเปน็ กลุมํ ใน สปั ดาหต์ อํ ไปตามหวั ข๎อท่ีมอบหมาย ดงั น้ี

กลมํุ ท่ี 1 เรื่องความนยิ มและความต๎องการของผบู๎ รโิ ภค กลํุมที่ 2 เรอื่ ง วิธกี ารสร๎างรูปลักษณ์คุณภาพสินค๎าใหมํ กลมํุ ท่ี 3 เร่ืองประโยชนก์ ารพัฒนาอาชีพให๎มีความมั่นคงเข็มแข็ง พออยูํพอกนิ มีการออม กลุํมท่ี 4 เรอ่ื งความจาเปน็ และคุณคาํ ของธรุ กิจเชงิ รกุ ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนร๎ู -. ใบความรเู๎ ร่ืองการจดั ทาแผนพฒั นาการจดั ทาแผนพฒั นาการผลติ หรอื การบริการ - ใบงาน - รายงาน - สมดุ บนั ทึกกจิ กรรม ลงชอ่ื .........................................................ผู๎สอน ( ....................................................... ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผู๎บริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์

ใบความรู้ที่ 1 การกาหนดคุณภาพผลผลิตหรอื การบริการ การจดั การการผลติ หมายถงึ การสรา๎ งสรรค์หรือการแปรสภาพสิ่งหน่ึงสงิ่ ใด ให๎เปน็ สนิ ค๎า เป็น กระบวนการท่ีดาเนินงานผลติ สินคา๎ ตามขนั้ ตอนตํางๆ อยาํ งตํอเนอ่ื งและมีการประสานงานกัน เพื่อให๎บรรลุ เปาู หมายขององค์กรหรือกจิ การการผลติ การกาหนดคุณภาพผลผลิต เป็นการกาหนดคณุ สมบัตขิ องผลผลิตตามที่ ลกู คา๎ ต๎องการ เชํน ลกู ค๎าตอ๎ งการผักปลอดสารพษิ ดงั นัน้ ต๎องพัฒนากระบวนการปลกู ผกั โดยใชส๎ ารธรรมชาติแทน ป๋ยุ เคมี หรือพฒั นารสชาดของอาหารแปรรปู ให๎มรี สเปร้ียวยิง่ ข้นึ เพื่อให๎ตรงกับความต๎องการของลกู ค๎ากลํุมวยั รนํุ การบริการ หมายถึง กระบวนการทีเ่ นน๎ การให๎บรกิ ารแกลํ ูกคา๎ โดยตรง โดยการทาใหล๎ ูกค๎าได๎รับความพึง พอใจ มีความสุขและได๎รับผลประโยชน์อยาํ งเตม็ ที่ ลักษณะงานอาชีพในการผลิต งานอาชีพในการผลติ น้ัน สํวน ใหญมํ ีอยํูในภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม เชนํ ภาคเกษตรกรรม ผลผลิตได๎แกํ พืชไรํ พชื สวน ไม๎ดอกไม๎ประดบั นาขา๎ ว ปศุสตั ว์ ฟาร์ม เป็นต๎น ภาคอุตสาหกรรม อาชีพตดั เยบ็ เสื้อผา๎ อาชพี ผลติ รถยนต์ ผลผลติ คือ รถยนต์ เปน็ ต๎น การผลิตเพ่ือใหไ๎ ดผ๎ ลผลติ ทีด่ นี ั้น ตอ๎ งใหต๎ รงกบั ความต๎องการของผ๎ใู ชห๎ รอื ผซู๎ ื้อให๎มากทสี่ ดุ คุณภาพของผลผลิตทด่ี นี ั้น ตอ๎ งมาจากผ๎ูผลิตทม่ี ีคุณลักษณะที่ดี ซึง่ ประมวลได๎ดังนี้ 1. ซอ่ื สตั ยต์ ํอผบู๎ ริโภค 2. รักษาคณุ ภาพของผลผลติ ใหค๎ งที่และปรับปรุงให๎ดีข้นึ 3. ไมปํ ลอมปนผลผลติ 4. ไมเํ อารดั เอาเปรียบผูบ๎ ริโภค 5. ไมกํ กั ตนุ ผลผลิต 6. มีความรู๎ ความชานาญในงานอาชีพที่ดาเนินการเปน็ อยาํ งดี 7. มีความรกั และศรทั ธาในงานอาชพี ทดี่ าเนนิ การ 8. มีความเชือ่ มนั่ ในตวั เอง 9. มีความคิดรเิ รมิ่ และมีมนษุ ยสมั พันธ์ท่ดี ี

ลักษณะงานอาชีพการให๎บริการ การบริการ เปน็ กจิ กรรมหรือการกระทาทผ่ี ๎ูให๎บริการทาขนึ้ เพ่ือสงํ มอบการบริการให๎แกํผร๎ู ับบริการ ผู๎รบั บริการสํวนใหญจํ ะเนน๎ ให๎ความสาคัญกับ “กิจกรรม” หรอื “กระบวนการบรกิ าร” ของผใ๎ู ห๎บริการมากกวาํ สง่ิ อนื่ และจะเกิดความประทับใจ ในขณะทผ่ี รู๎ ับบรกิ ารสัมผัสไดก๎ บั การได๎รับบริการน้ัน ๆ คุณภาพของการบรกิ าร วัดได๎จากการบริการของผู๎ใหบ๎ รกิ าร 7 ประการ ดงั น้ี 1. การยิ้มแยม๎ เอาใจใสํ เห็นอกเหน็ ใจตํอความลาบากยงํุ ยากของลกู ค๎า 2. การตอบสนองตอํ ความประสงค์ของลูกค๎าอยํางรวดเรว็ ทันใจ 3. การแสดงออกถงึ ความนับถอื ให๎เกยี รตลิ กู ค๎า 4. การบริการเป็นแบบสมัครใจและเตม็ ใจทา 5. การแสดงออกถงึ การรกั ษาภาพลกั ษณ์ของการให๎บรกิ าร 6. การบรกิ ารเปน็ ไปด๎วยกิรยิ าทส่ี ภุ าพ และมีมารยาทดี อํอนนอ๎ มถํอมตน 7. การบรกิ ารมีความกระฉับกระเฉง กระตือรือรน๎ มบี างอาชีพท่ีเปน็ ไปได๎ทั้งการผลติ และการบริการ เชนํ ผป๎ู ระกอบการอาชีพรา๎ นอาหาร ต๎องมผี ลผลิต เชํน อาหารประเภทตาํ งๆ ควบคูํกบั การบริการ

ใบความรทู้ ่ี 2 การวิเคราะห์ทนุ ปัจจัยการผลิตหรือการบริการ การวิเคราะห์ทุน ซง่ึ เปน็ ปจั จัยการผลติ จึงมคี วามจาเป็นตํอการพัฒนาอาชีพ จะสงํ ผลตํอความเขม๎ แข็งของ อาชพี ถา๎ ร๎ูจักลดตน๎ ทนุ ใชท๎ นุ อยํางเหมาะสมและประหยัด จดั หาทนุ ทดแทน ทุน หมายถงึ ปัจจัยท่ใี ช๎ในการลงทนุ ในการดาเนนิ การประกอบอาชพี เพอ่ื หวังผลกาไรจากการดาเนินการ ทุนถือวาํ เปน็ ปจั จยั สาคัญในการประกอบอาชีพใหด๎ าเนนิ งานไปอยํางมปี ระสิทธิภาพ และมีความเจรญิ เติบโตอยาํ ง ตอํ เนื่อง ตน๎ ทนุ การผลิต หมายถึง ทนุ ในการดาเนนิ การประกอบอาชีพ แบงํ ได๎ 2 ประเภท คอื 1. ทนุ คงที่ คอื ปัจจยั ท่ีผูป๎ ระกอบการจัดหามา เพอ่ื ใช๎ในการจัดหาสินทรัพย์ถาวร เชนํ ดอกเบี้ยเงินก๎ู ทด่ี นิ อาคาร เคร่ืองจักร เปน็ ต๎น สาหรบั ใช๎ในการประกอบอาชีพทนุ คงที่ สามารถแบํงได๎ 2 ลักษณะ คือ 1) ทุนคงที่ทเ่ี ป็นเงินสด เปน็ จานวนเงนิ ที่ต๎องจํายเป็นคําดอกเบีย้ เงินก๎ู เพ่อื นามาใช๎ ในการดาเนนิ การประกอบอาชพี 2) ทนุ คงทที่ ี่ไมเํ ป็นเงนิ สด ได๎แกํ พื้นที่ อาคารสถานท่ี โรงเรือน รวมถึงคาํ เส่ือมราคาของเครือ่ งจักร 2. ทุนหมนุ เวยี น คือ ปจั จัยท่ผี ป๎ู ระกอบการจัดหามา เพอ่ื ใช๎ในการดาเนินการจดั หา สินทรัพยห์ มุนเวียนในการ ดาเนนิ กจิ กรรมอาชีพ เชํน วัตถุดิบในการผลิตสนิ ค๎าหรือการบรกิ าร วสั ดสุ ิ้นเปลอื ง คาํ แรงงาน คาํ ขนสงํ คําไฟฟูา คาํ โทรศัพท์ เปน็ ต๎น ทนุ หมุนเวยี นแบงํ ออกเป็นดังนี้ คือ 1. คําวัสดุอปุ กรณ์ในการประกอบอาชพี ดงั น้ี 1.1) วัสดอุ ปุ กรณ์อาชพี ในกลํุมผลติ ผลผลติ เชํน งานอาชีพเกษตรกรรม เชนํ คาํ ปยุ๋ พันธ์ุพืช พนั ธสุ์ ัตว์ คาํ นา้ มนั เป็นต๎น 1.2) วัสดุอุปกรณ์อาชพี ในกลุํมบริการ เชํน อาชพี รบั จ๎างซกั รีดเสื้อผ๎า เชนํ คําผงซักฟอก คาํ นา้ ยาซกั ผ๎า เป็นตน๎ 2. คาํ จ๎างแรงงาน เปน็ คาํ จา๎ งแรงงานในการผลติ หรอื บริการ เชํน คําแรงงานในการไถดิน คาํ จ๎างลกู จา๎ งใน รา๎ นอาหาร 3. คาํ เชาํ ทดี่ นิ /สถานที่ เปน็ คําเชาํ ท่ีดิน/สถานที่ในการประกอบธุรกจิ 4. คาํ ใช๎จํายอื่นๆ เปน็ คาํ ใชจ๎ ํายในกรณีอ่ืนทีน่ อกเหนือจากรายการ 5. คาํ ใชจ๎ าํ ยในครวั เรือน เปน็ แรงงานในครวั เรือนสํวนใหญํ ในการประกอบอาชีพอาจจะไมไํ ด๎นามาคิดเป็นต๎นทุน จึงไมทํ ราบข๎อมลู การลงทนุ ที่ชดั เจน ดังนัน้ การคิดคําแรงในครัวเรือน จึงจาเปน็ ต๎องคดิ ดว๎ ยโดยคดิ ในอตั ราคาํ แรง ขน้ั ตา่ ของท๎องถิ่นน้ันๆ 6. คําเสียโอกาสท่ีดนิ กรณเี จ๎าของธรุ กิจมที ่ดี นิ เป็นของตนเอง การคิดตน๎ ทุนให๎คิดตามอัตราคาํ เชําทด่ี นิ ในทอ๎ งถนิ่ หรอื บริเวณใกล๎เคยี ง ในการดาเนนิ งานประกอบอาชพี การบรหิ ารเงนิ ทุนหรือดา๎ นการเงินนั้น เปน็ สง่ิ ท่ี ผู๎ประกอบการต๎องให๎ความสาคัญเป็นอยาํ งมาก เพราะมีผลตอํ ความม่นั คงของอาชีพวาํ จะก๎าวหนา๎ หรอื ล๎มเหลวได๎

ใบความรทู้ ่ี 3 การกาหนดเปาู หมายการผลิตหรือการบรกิ าร เปูาหมายการผลิตหรอื การบริการ เป็นสิง่ ที่ผ๎ปู ระกอบอาชีพต๎องการมํงุ ไปให๎ถงึ เกดิ ผลตามท่ีต๎องการ ด๎วยวธิ ีการ ตาํ ง ๆ เปูาหมายจงึ เป็นตวั บงํ ชป้ี ริมาณทจ่ี ะต๎องผลติ หรือบริการใหไ๎ ด๎ตามระยะเวลาท่ีกาหนดดว๎ ยความพงึ พอใจ ของลกู คา๎ เต็มใจในการรับบริการ ปจั จยั ท่ีสงํ ผลให๎ประสบความสาเร็จน้นั ประกอบด๎วย 1. การกาหนดกลุํมลกู คา๎ เปูาหมายอยาํ งชดั เจน 2. การเสริมสรา๎ งสํวนประสมทางการตลาดได๎อยํางลงตวั 3. การคานงึ ถึงสภาวะแวดล๎อมทีค่ วบคุมไมํได๎ 4. สามารถตอบคาถามตอํ ไปนไ้ี ด๎ทุกขอ๎ ขอ๎ มูลปจั จยั ของลูกค๎า ทต่ี อ๎ งการสนิ ค๎าทีจ่ ะพฒั นาขึน้ ใหมํประกอบดว๎ ย ใครคือ กลุํมลูกคา๎ เปาู หมายสาหรบั ผลผลิตทผ่ี ลิตขึน้ หรอื การบริการ ลูกค๎าเปูาหมายดงั กลําวอยํู ณ ทใี่ ด ในปัจจุบนั ลกู คา๎ เหลําน้ซี ื้อผลผลิตหรือการบรกิ ารได๎จากท่ใี ด ลกู ค๎าซ้ือผลผลิตหรือการบริการบอํ ยแคํไหน อะไรคือสง่ิ จงู ใจท่ีทาใหล๎ กู คา๎ เหลาํ น้ันตดั สนิ ใจใช๎บรกิ าร เหตุผลทาไมลูกคา๎ ถึงใช๎ผลผลติ หรือบรกิ ารของเรา อะไรทลี่ กู ค๎าเหลําน้ันชอบและไมํชอบผลผลิตหรอื บรกิ ารอะไรทเ่ี รามีอยํูบ๎าง ขอ๎ มลู ปัจจยั ของผลผลิตหรอื การบริการ ประกอบด๎วย 1. ลกู คา๎ ตอ๎ งการผลผลิตหรอื บรกิ ารอะไร 2. ลูกคา๎ อยากจะให๎มีผลผลติ หรอื บรกิ ารในเวลาใด 3. งานด๎านการบรกิ าร ควรต้ังชอื่ วําอะไร เพอ่ื เปน็ สิ่งดงึ ดูดใจลูกคา๎ ได๎มากท่ีสุด นอกจากน้ขี ๎อมลู ด๎านการกาหนดเปาู หมายการผลติ หรือการบรกิ ารใหส๎ อดคลอ๎ งกับความเป็นจรงิ และความเป็นไป ไดแ๎ ลว๎ ขอ๎ มลู องคป์ ระกอบดา๎ นผู๎ประกอบการ ในการพัฒนาอาชีพจะต๎องพจิ ารณาตามประเดน็ สาคัญๆ ดงั นี้ 1. แรงงาน ตอ๎ งใชแ๎ รงงานมากน๎อยทเี่ พิ่มหรือลดลงเทําไร ปจั จบุ นั มแี รงงานเพียงพอตํอการดาเนนิ งาน หรือไมํ ถ๎าไมเํ พยี งพอจะทาอยาํ งไร จะนาเครอ่ื งจักรมาใช๎แทนแรงงานบา๎ งได๎หรือไมํ 2. เงนิ ทุน ต๎องใชเ๎ งินทุนมากนอ๎ ยเพียงไร ปจั จบุ ันมเี งินทนุ เพียงตํอการดาเนินงานหรือไมํ ถ๎าไมเํ พยี งพอจะ ทาอยาํ งไร 3. เครือ่ งมือ/อุปกรณ์ ต๎องใช๎เครือ่ งมือ/อุปกรณ์อะไร จานวนเทําไร เพยี งพอหรอื ไมํ ถ๎าไมํเพยี งพอจะทา อยํางไร 4. วัตถุดิบ เปน็ สิง่ สาคัญมากขาดไมไํ ด๎ ผผ๎ู ลติ จะตอ๎ งพิจารณาวําจะจดั หาจดั ซื้อวตั ถุดิบจากที่ใด ราคา เทําไร จะหาได๎จากแหลงํ ไหน และโดยวิธใี ด 5. สถานที่ หากเป็นการประกอบอาชีพด๎านการผลติ ต๎องกาหนดสถานที่ทีใ่ กล๎แหลงํ วัตถุดิบ ถา๎ เปน็ ธุรกจิ ดา๎ นการบรกิ าร ต๎องจัดสถานท่ีให๎มคี วามเหมาะสม สะอาด และเดินทางสะดวก เปน็ หลกั

ใบความรู้ที่ 4 การกาหนดแผนกิจกรรมการผลติ หรอื การบริการ แผนกิจกรรมการผลติ หรอื การบรกิ าร คือ แผนงานทางการประกอบอาชีพทแี่ สดงกิจกรรมตาํ งๆ ท่ีตอ๎ ง ปฏบิ ตั ใิ นการลงทุนประกอบการ โดยมีจดุ เริ่มต๎นจากจะผลิตสนิ คา๎ และบริการอะไร มีกระบวนการปฏิบัตอิ ยํางไร บา๎ ง และผลจากการปฏิบตั อิ อกมาได๎มากน๎อยแคไํ หน ใชง๎ บประมาณและกาลังคนเทําไร เพ่อื ให๎เกิดเป็นสินค๎าและ บริการแกํลูกค๎า และจะบรหิ ารธุรกิจอยํางไรธรุ กจิ จึงจะอยรํู อด การกาหนดแผนกจิ กรรมการผลติ หรอื การบริการ เป็นส่ิงทีส่ าคญั ยง่ิ ตํอการประกอบอาชีพ เพราะเปน็ การกาหนดเปาู หมายในส่งิ ท่ีต๎องการให๎เกดิ รายละเอยี ดทีต่ ๎อง ปฏิบัติ ผาํ นกระบวนการตดั สินใจอยาํ งมีระบบและข๎อมลู เพอื่ ให๎เกิดผลการปฏิบตั บิ รรลุผลตามเปูาหมายที่กาหนด ไว๎ โดยมีข้นั ตอนการกาหนดแผนกิจกรรมการผลติ หรือการบริการ ดังนี้ 1. สารวจตัวเองเพ่อื ให๎รู๎ถึงสถานภาพปจั จุบันของงานอาชพี ของตนเอง เปน็ การตรวจสอบขอ๎ มูลเก่ยี วกบั แรงงาน เงินทนุ เครอ่ื งมอื /อุปกรณ์ วัตถุดบิ และสถานท่วี ํา มีสภาพความพรอ๎ มหรือมีปัญหาอยํางไร รวมถึง ผลผลติ หรอื บริการของตนวํามอี ะไรบกพรํองหรอื ไมํ 2. สารวจสภาพแวดลอ๎ ม เปน็ การตรวจสอบข๎อมลู ภายนอกเกีย่ วกบั สภาพธรุ กิจประเภทเดยี วกนั ในชุมชน ความต๎องการของลูกคา๎ การดาเนินงานตามขนั้ ตอนที่ 1 และ 2 เป็นการศึกษาข๎อมูลเพ่ือระบุถงึ ปัญหาท่ีเกิดขน้ึ และควรแก๎ไข ซง่ึ ข๎อมลู ของท้ังสองข๎อน้ี อยใํู นเรือ่ ง ของสภาพปญั หา และหลักการและเหตผุ ล ในสวํ นแรกของ แผนงาน/โครงการผลิต หรือ บรกิ าร 3. การกาหนดทางเลอื กเพ่ือใหก๎ ารวางแผนมคี วามชดั เจน หลงั จากสามารถกาหนดสาเหตุของปัญหา( ข๎อ 1 และ ขอ๎ 2 ) ไดแ๎ ลว๎ ผป๎ู ระกอบการต๎องตัดสนิ ใจเพ่อื พิจารณาหาทางเลือก เพื่อให๎ได๎ทางเลอื กหลายทางสํกู าร ปฏิบัติ 4. การประเมินทางเลอื ก เมื่อสามารถกาหนดทางเลือกไดห๎ ลากหลายแลว๎ (จาก ข๎อ 3 ) เพอื่ ให๎ได๎ทางเลือก สูํการปฏบิ ตั ิทเี่ หมาะสมทส่ี ดุ ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด ผป๎ู ระกอบการต๎องพิจารณาประเมนิ ทางเลือกใน แตลํ ะวธิ ี เพอื่ ใหส๎ ามารถบรรลุเปูาหมายให๎ดีทส่ี ุด 5. การตัดสินใจ เม่ือไดท๎ างเลือกหลายทางเลือกในการตัดสนิ ใจสามารถใช๎หลกั 4 ประการในการพจิ ารณา ประกอบการตัดสนิ ใจคือ 1) ประสบการณ์ 2) การทดลอง 3) การวิจัยหรือการวเิ คราะห์ และ 4) การตัดสินใจเลือก 6. กาหนดวัตถุประสงค์ เปน็ การกาหนดเปูาหมายของการดาเนนิ งานวาํ ต๎องการให๎เกิดอะไร 7. พยากรณ์อนาคตถงึ ความเป็นไปได๎ เป็นการคดิ ผลบรรลุลวํ งหนา๎ วาํ หากดาเนนิ การตามแผนกิจกรรม การผลติ หรอื การบริการแล๎ว ธรุ กจิ ท่ีดาเนนิ งานจะเกิดอะไรข้ึน 8. กาหนดแนวทางการปฏบิ ัติ เป็นการกาหนดรายละเอยี ดขัน้ ตอนการปฏิบตั วิ ําจะทาอยํางไร เม่ือไร เพ่อื ให๎เกดิ ผลตามวตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนดไว 9. ประเมินแนวทางการปฏิบัติทว่ี างไว๎ เป็นการตรวจสอบความสมบูรณข์ องแผนกิจกรรมการผลิตหรอื การ บรกิ ารวํา มคี วามสอดคล๎องกันหรือไมํอยํางไร สามารถทจี่ ะปฏบิ ตั ิตามข้ันตอน วธิ ีการทก่ี าหนดไวไ๎ ด๎หรือไมํอยาํ งไร หากพบวําแผนกิจกรรมการผลติ หรอื การบรกิ ารท่ีจัดทาขนึ้ ยงั ไมํมีความสอดคล๎อง หรอื มีขนั้ ตอนวธิ กี ารใดที่ไมํม่ันใจ ให๎จัดการปรับปรงุ ใหมใํ หม๎ ีความสอดคล๎องและเหมาะสม

10. ทบทวนและปรบั แผน เมื่อสถานการณ์สง่ิ แวดลอ๎ มที่เปลี่ยนแปลงไป และผลลพั ธ์ไมํเป็นไปตามท่ี กาหนด เปน็ การพัฒนาแผนกิจกรรมการผลติ หรือการบริการในระหวาํ งการปฏบิ ัติตามแผน เมอื่ มสี ถานการณ์ เปล่ียนแปลงไป หรือมขี ๎อมูลใหมทํ ส่ี าคญั การควบคมุ คุณภาพการผลติ หรอื การบรกิ าร หมายถงึ การจดั กจิ กรรมตํางๆ เพอ่ื ให๎ผลผลติ หรือการบรกิ าร ได๎ตามท่กี าหนดคณุ ภาพไว๎ ทาให๎ตอบสนองความต๎องการและสามารถสร๎างความพึงพอใจใหก๎ บั ลูกค๎าบนแนวคิด พนื้ ฐานวาํ เมอื่ กระบวนการดี ผลลพั ธท์ อ่ี อกมาก็จะดีตาม การจัดการเกี่ยวกบั การควบคมุ คณุ ภาพการผลติ หรือการ บริการ การควบคุมคุณภาพน้ัน มวี ัตถุประสงค์เพ่ือให๎ผลิตภัณฑ์หรือการบริการบรรลจุ ดุ มํุงหมายดังตํอไปนี้ 1. สินค๎าทีส่ ง่ั ซอื้ หรือส่งั ผลิตมีคณุ ภาพตรงตามขอ๎ ตกลงหรอื เง่ือนไขในสญั ญา 2. กระบวนการผลิตดาเนินไปอยํางถูกต๎องเหมาะสม 3. การวางแผนการผลติ เปน็ ไปตามทก่ี าหนดไว๎ 4. การบรรจหุ บี หอํ ดแี ละเหมาะสม หมายถึงสามารถนาสงํ วสั ดยุ งั จดุ หมาย ปลายทางในสภาพดี ขั้นตอนการควบคุมคณุ ภาพการผลติ แบงํ ออกเปน็ 4 ขั้นตอน คอื 1. ขั้นการกาหนดนโยบาย เปน็ การกาหนดวัตถุประสงค์อยํางกว๎างๆ เชํน ระดบั สนิ คา๎ ขนาดของตลาด วิธกี ารจาหนําย ตลอดถงึ การรับประกัน ขอ๎ กาหนดเหลํานี้จะเปน็ เคร่ืองช้ีนาวาํ กิจการจะตอ๎ งทาอะไรบ๎าง เพ่ือให๎ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ที่ไดก๎ าหนดไว๎ 2. ขั้นการออกแบบผลติ ภัณฑ์ หมายถึง การกาหนดคุณลักษณะของผลติ ภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ซง่ึ จะต๎องมีความสัมพันธก์ ับระบบการผลิต 3. ขน้ั ตอนการควบคุมคณุ ภาพของการผลิต การควบคุมคุณภาพการผลิต แบงํ ออกเป็นข้นั ตอนยํอย 3 ข้ัน คอื การตรวจสอบคณุ ภาพของชนิ้ สวํ น การควบคุมกระบวนการการผลิตและการ ตรวจสอบคุณภาพของผลติ ภัณฑ์ โดยในการตรวจสอบทง้ั 3 ขน้ั นี้ สวํ นใหญํจะใชเ๎ ทคนคิ การสุํมตวั อยาํ ง เพราะผลติ ภณั ฑท์ ี่ผลิตไดน๎ ้นั มีจานวนมาก ไมอํ าจจะทาการตรวจสอบได๎อยํางทวั่ ถึงภายในเวลาจากดั 4. ขั้นการจดั จาหนาํ ย การควบคุมคุณภาพในการจาหนําย จะใหค๎ วามสาคัญกบั บริการหลังการขาย ซึง่ ใน ระบบการตลาดสมยั ใหมํ ถือวําเปน็ เรื่องสาคัญมาก เพราะสินคา๎ บางชนิดโดยเฉพาะอยํางยงิ่ สนิ คา๎ ประเภท เครอ่ื งมือ เครอ่ื งจักรหรืออปุ กรณท์ างไฟฟูา หรือ เครือ่ งอิเล็กทรอนิกสห์ รอื คอมพิวเตอร์ ซ่ึงมวี ิธกี ารใช๎และการดูแล รกั ษาที่คอํ นข๎างยุงํ ยาก ผู๎ผลติ หรือผ๎ขู ายจะต๎องคอยดู และเพ่อื ใหบ๎ ริการหลงั การขายแกผํ ู๎ซอ้ื อยูํเสมอ เพือ่ สรา๎ ง ความพงึ พอใจ ซึง่ จะมีผลตอํ การสร๎างความเชือ่ มน่ั และความกา๎ วหนา๎ ทางธุรกจิ ในอนาคต การควบคุมคณุ ภาพการ ผลติ หรอื การบริการมคี วามสาคญั ตํอการกาหนดกิจกรรมการผลิตหรอื การบริการเปน็ อยาํ งมาก เพราะการผลิต สนิ ค๎าหรอื การบริการท่ดี นี น้ั ตอ๎ งมีคุณภาพทคี่ งที่ ดีเสมอต๎นเสมอปลาย จึงจะคงความพึงพอใจตํอลูกค๎าให๎ซือ่ สัตย์ และเชือ่ ม่นั ในคุณภาพของสินคา๎ และการบริการตลอดไป

ใบความรู้ท่ี 5 การพฒั นาระบบการผลิตหรอื การบรกิ าร การประกอบอาชีพทั้งดา๎ นการผลติ และการบริการ ที่ดาเนินการอยูจํ ะสามารถดาเนินไปได๎ด๎วยดแี ล๎วกต็ าม แตํ เพื่อให๎การประกอบอาชีพนมี้ ีความกา๎ วหน๎าและม่ันคง ผูป๎ ระกอบการธุรกิจต๎องคานงึ ถึงการพฒั นาระบบการผลิต หรอื การบรกิ ารอยาํ งตอํ เน่ือง การพัฒนาระบบการผลติ หรือการบริการ สามารถดาเนินการไดด๎ งั น้ี 1. ลกั ษณะการผลิตและการให๎บริการ หมายถึง สภาพของแหลงํ ใหบ๎ ริการท่ดี ีที่ผใ๎ู ช๎บรกิ ารสามารถสมั ผัส จบั ต๎องได๎ ลักษณะของสินค๎าและผลติ ภณั ฑด์ ูดี นาํ ซือ้ นาํ ใช๎ 2. ความไว๎วางใจ หมายถึง ความสามารถในการนาเสนอผลิตภัณฑห์ รือการบริการตามคาม่ันสัญญาทใ่ี ห๎ไว๎ อยํางตรงไปตรงมาและถกู ต๎อง และมีการรับรองคุณภาพจากหนํวยงานที่เก่ียวข๎อง 3. ความกระตือรือรน๎ ดา๎ นการบรกิ าร หมายถึง การแสดงความเต็มใจทจี่ ะชํวยเหลือ และพร๎อมทจี่ ะ ให๎บรกิ ารผใู๎ ช๎บริการอยํางทนั ทํวงที 4. ความเชย่ี วชาญ หมายถงึ ความร๎ู ความสามารถ ในการปฏบิ ตั ิงานบรกิ ารท่ีรับผดิ ชอบอยํางมี ประสทิ ธิภาพ ความนาํ เชอ่ื ถือในตวั สินค๎า รบั รองดว๎ ยตราสินคา๎ ทม่ี ีเช่ยี วชาญเฉพาะด๎าน 5. อัธยาศัยทน่ี อบน๎อมดา๎ นการบรกิ าร หมายถงึ ความมมี ิตรไมตรี ความสภุ าพนอบน๎อมเป็นกันเอง 6. ใหเ๎ กียรติผ๎ูอื่น จรงิ ใจ มีน้าใจ และความเป็นมติ รของผ๎ปู ฏบิ ัตงิ านผลผลติ และบรกิ าร 7. ความนาํ เชื่อถือ หมายถงึ ความสามารถในด๎านการสร๎างความเชอื่ มัน่ ด๎วยความซื่อสตั ยข์ อง ผปู๎ ระกอบการธุรกจิ 8. ความปลอดภยั หมายถึง สภาพท่ีปราศจากอันตราย ความเส่ยี งภยั และปญั หาตาํ งๆ 9. การเขา๎ ถงึ บริการ หมายถงึ การติดตํอเพื่อการซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช๎บริการ ด๎วยความสะดวกไมํยงุํ ยาก 10. การตดิ ตํอสื่อสาร หมายถึง ความสามารถในการสรา๎ งความสัมพนั ธ์ และสอื่ ความหมายได๎ชดั เจน ใช๎ ภาษาทงี่ าํ ย และรบั ฟังความคิดเห็นของผ๎ูรบั บริการ 11. ความเขา๎ ใจลูกค๎า หมายถึง ความพยายามในการคน๎ หาและทาความเข๎าใจกับความต๎องการของ ผูใ๎ ช๎บริการ และใหค๎ วามสาคัญตอบสนองความต๎องการของผใ๎ู ชบ๎ รกิ ารโดยทนั ที คณุ ภาพของการผลติ หรอื การบรกิ ารเปน็ สง่ิ สาคัญทีผ่ ๎ูประกอบการธุรกจิ ต๎องรักษาระดบั คุณภาพ และพัฒนาระดับ คุณภาพการผลติ หรอื การบริการใหเ๎ หนือกวาํ คํแู ขงํ ขนั โดยเสนอคณุ ภาพการผลิตหรอื การใหบ๎ ริการตามลูกคา๎ คาดหวงั หรือเกินกวาํ ส่ิงที่ลูกคา๎ คาดหวงั ไว๎เสมอ

ใบงานที่ 1 การกาหนดคุณภาพผลผลติ หรือการบริการ ให๎ผูเ๎ รยี นกาหนดคุณภาพผลผลิตหรือการบริการ ในงานอาชีพทผี่ ูเ๎ รยี นดาเนินการเองหรืออาชีพ ที่สนใจ ใหเ๎ หตผุ ล ประกอบ ลักษณะงานอาชีพ………………………………………………………………………………………….. ……………………………………….. ประเภทของผลผลิตหรอื การบริการ…………………………………………………………………………………………………………….. ชอ่ื เจ๎าของธุรกจิ ……………………………………………………………………………………... ………………………………………………. ท่ตี ้ังของธุรกิจ……………………………………………………………………………….................................................................... คณุ ภาพของผลผลิตหรือการบรกิ ารที่ปรากฏ และอธบิ ายเหตผุ ลประกอบคณุ ภาพน้นั ๆ ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................. .................. ................................................................................................................. ................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ...................................................................................................................................... ..............................................

ใบงานที่ 2 การวิเคราะห์ทุนปจั จยั การผลิตหรอื การบริการ ใหผ๎ เู๎ รยี นกาหนดทนุ และวิเคราะหค์ วามจาเปน็ ในการพัฒนาอาชีพ เพ่ือจะทาใหอ๎ าชีพมคี วามเข๎มแข็ง รายการทนุ เหตผุ ลในการใชท๎ ุน รายการ จานวน

ใบงานท่ี 3 การกาหนดเปาู หมายการผลติ หรือการบรกิ าร ให๎ผเ๎ู รียนรวมกลมํุ กัน 3-5 คน กาหนดเปาู หมายการผลิตหรือการบริการ ในการพัฒนาอาชีพทผ่ี ๎เู รียนดาเนนิ การ เอง หรืออาชพี ที่สนใจแล๎วบนั ทกึ ดงั นี้ 1. ลกั ษณะงานอาชีพ…………………………………….………………………………………………. 2. ประเภทของผลผลิตหรือการบรกิ าร…………………………………………………………… 3. ชือ่ เจา๎ ของธรุ กจิ ……………………………………………………………………………………….. 4. ท่ตี ั้งของธรุ กิจ………………………………………………………………………………………….. 5. เปาู หมายการผลติ หรือการบรกิ าร……………………………………………………………… 6. เหตุผลในการกาหนดเปาู หมายการผลติ หรอื การบริการ เพราะ ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .......................................................................................................................................................................... .......... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................ ........................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. .......................................................

ใบงานท่ี 4 การกาหนดกจิ กรรมการผลิตหรือการบริการ ให๎ผู๎เรยี นกาหนดแผนกจิ กรรมการผลติ หรือการบริการในการพัฒนาอาชีพของผ๎ูเรยี น หรืออาชีพ ที่สนใจโดยบนั ทกึ ดังน้ี ลกั ษณะงานอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………….…………. ประเภทของผลผลติ หรือการบรกิ าร…………………………………………………………………………………………………………..… ชือ่ เจา๎ ของธรุ กจิ ……………………………………………………………………………………............................................................ ทต่ี งั้ ของธรุ กิจ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. แผนกจิ กรรมการผลิตหรือการบริการ คือ ............................................................................................................................................ ........................................ ........................................................................................... ......................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... แผนฯ น้ีได๎มกี ารจดั การควบคุมคณุ ภาพดา๎ น .................................................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ..................................................................................................................................... ............................................... เหตุผล เพราะ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .......................................................................................................................................................... .......................... ....................................................................................................................................................... ............................. ...................................................................................................... .............................................................................. ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. .......................................................

ใบงานท่ี 5 การพัฒนาระบบการผลติ หรือการบรกิ าร ให๎ผูเ๎ รยี นอธบิ ายการพัฒนาระบบการผลิตหรือการบรกิ ารในการพัฒนาอาชพี ทผ่ี ๎ูเรยี นดาเนนิ การ หรอื อาชพี ทสี่ นใจ ดังนี้ 1............................................................................................................................ ...................................................... ........................................................................................................................ ............................................................ 2.................................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................ ........................................................... 3............................................................................................................................ ...................................................... ........................................................................................................................ ............................................................ 4....................................................................................................... ........................................................................... ........................................................................................................................ ............................................................ 5............................................................................................................................ ...................................................... .................................................................................................................................................................................... 6............................................................................................................................ ...................................................... ........................................................................................................ ............................................................................

แผนการเรียนรร๎ู ายสัปดาห์ กลมํุ สาระการเรียนร๎.ู .......การพัฒนาสังคม…...รายวิชา.........สังคมศึกษา...........รหสั วชิ า....สค21001.................... เร่อื ง.............ภูมิศาสตร์ทางกายภาพทวีปเอเชยี ....………………………………………....................................................... ระดับชน้ั ...............มัธยมศกึ ษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ชว่ั โมง วนั ท่ีจดั การเรียนการสอน..................................................................การพบกลุํมครั้งท่.ี ........10............................. ตัวชวี้ ดั 1. มคี วามร๎ู ความเข๎าใจลกั ษณะภมู ิศาสตร์กายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชีย เนือ้ หา 1. ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชีย - ที่ตัง้ อาณาเขตของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชีย - ภูมปิ ระเทศของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชีย - ภูมอิ ากาศของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชีย ขัน้ ตอนการจัดกระบวนการเรยี นร๎ู ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นร๎ู 1. ครกู ลําวทกั ทายผ๎เู รยี นพรอ๎ มท้งั นาภาพของคนทเี่ ปน็ ประชากรในทวปี เอเชียใหผ๎ ๎ูเรียนดู เพื่อ เปรยี บเทียบถึงความเหมือนและความแตกตํางที่สามารถมองเหน็ ไดอ๎ ยํางชัดเจนรวํ มกันวเิ คราะห์วาํ เหตใุ ดคนในแตํ ละภาพถงึ มีความแตกตาํ งกนั 2. ครูตงั้ คาถาม ถามผ๎ูเรียนวํา ผ๎ูเรยี นชอบคนประเทศใดมากที่สุด เพราะเหตใุ ด แลว๎ ทาการสํมุ เรียกให๎ ผูเ๎ รยี นที่มีความชอบที่ตาํ งกันนาเสนอความชอบของตนเองพรอ๎ มยกเหตุผลมาอธิบายประกอบ 3. ครเู ปิดโอกาสให๎ผู๎เรยี นซักถามข๎อสงสัยกํอนเข๎าสูบํ ทเรียนในขน้ั ตํอไป ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ๎ มลู และจัดการเรยี นรู๎ 1. ครูแจกใบความรู๎ เร่ือง ทีต่ ้ัง อาณาเขต ภมู ิประเทศและภมู ิอากาศของแตํละประเทศในทวีปเอเชีย การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก์ ายภาพสงํ ผลกระทบตํอวิถชี วี ติ ความเป็นอยูขํ องประชากรไทย และ ประเทศตาํ งๆในทวีปเอเชยี 2. ครใู หผ๎ ๎เู รียนทาใบงาน เรื่อง สาเหตหุ รอื ปจั จยั หลกั ที่กอํ ให๎เกิดลกั ษณะความเหมือนและความตาํ งกัน ของประชากรแตํละประเทศในทวีปเอเชียแล๎วสํงตวั แทนนาเสนอผลงาน ขั้นท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช๎ 1. ผ๎ูเรยี นนาเสนอความรู๎ท่ีไดร๎ ับจากใบความร๎ู หนังสือเรียน อินเตอรเ์ นต็ เรอื่ ง ทีต่ ั้ง อาณาเขต ภูมิ ประเทศและภมู ิอากาศของแตลํ ะประเทศในทวปี เอเชีย และจดั ทาใบงาน เรือ่ ง สาเหตุหรือปัจจัยหลัก ทก่ี อํ ใหเ๎ กิดลักษณะความเหมือนและความตาํ งกนั ของประชากรแตํละประเทศในทวปี เอเชีย โดย ผเ๎ู รยี นสงํ ตัวแทนนาเสนอหนา๎ ชัน้ เรยี น 2. ครูและผเู๎ รยี นรวํ มกันสรปุ วาํ ลักษณะความแตกตํางของบคุ คลน้นั มีผลมาจากเชอ้ื ชาติ สภาพภูมิ ประเทศและภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลกั แลว๎ ให๎ผเ๎ู รียนบันทึกลงในสมดุ ของตนเอง ข้ันท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นร๎ู 1. สังเกตจากการมสี วํ นรํวมของผู๎เรยี น 2. ผลงาน/ การนาเสนอ 3. ใบงาน

สือ่ การเรยี นร๎ู 1. ใบความรู๎ เรอ่ื ง ท่ีตั้ง อาณาเขต ภูมปิ ระเทศและภูมิอากาศของแตํละประเทศในทวีปเอเชยี การ เปลย่ี นแปลงสภาพภูมศิ าสตร์กายภาพสงํ ผลกระทบตํอวถิ ีชีวติ ความเปน็ อยํูของประชากรไทย และ ประเทศตํางๆในทวปี เอเชยี 2. หนงั สือเรยี น 3. อนิ เตอร์เน็ต 4. ห๎องสมุดประชาชน การวดั และประเมินผล 1. การมีสํวนรํวมในการทากิจกรรมกลมุํ 2. ผลงาน/ การนาเสนอ 3. ใบงาน ลงช่ือ.........................................................ผส๎ู อน ( ........................................................... ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผ๎บู ริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รักษาการในตาแหนํง ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์ ใบความรูท้ ่ี 1 เรอ่ื ง ภมู ิศาสตร์ทางกายภาพทวีปเอเชยี ใบความร้ทู ่ี 1 เรอ่ื ง ภมู ศิ าสตรท์ างกายภาพทวีปเอเชีย

ใบความรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง ภูมิศาสตร์ทางกายภาพทวีปเอเชีย ทวีปเอเชีย เอเชีย (Asia) มาจากคาวํา อาซู (Asu) ในภาษาอัสซีเรียน แปลวํา ดินแดนแห่งดวงตะวัน ข้ึน (ตะวันออก) ใช๎เรียกดินแดนที่อยูํทางตะวันออกของอาณาจักรอัสซีเรียนมาต้ังแตํสมัยกรีกและโรมัน เอเชียได๎ ชอื่ วําเป็นทวปี แห่งความแตกต่างหรือทวีปแห่งความตรงข้าม (a continent of contrast) หรือ ทวีปแห่งความ เป็นที่สุด(acontinent of extremes)มียอดเขาเอเวอเรสต์ในเทือกเขาหิมาลัยสูงที่สุดใน โ ล ก สู ง 8,848 เ ม ต ร (2,928 ฟุ ต ) มี พ้ื น แ ผํ น ดิ น ที่ ต่ ำ ที่ สุ ด คื อ ท ะ เ ล เ ด ด ซี อ ยํู ต่ า ก วํ า ระดับน้าทะเล 400 เมตร (1,312 ฟตุ ) และเหวทะเลมาเรยี นาซงึ่ ลึกท่ีสดุ ในโลก มอี ากาศหนำวเย็นที่สุด ได๎แกํตอน เหนือของไซบีเรีย มีอากาศร้อนและแห้งแล้งที่สุดจนเป็นทะเลทรายท่ีเอเชียตะวันตกเฉียงใต๎ และมีฝนตกชุกท่ีสุด ในแคว๎นอสั สัมของอนิ เดยี นอกจากนี้ยังเป็นทวีปที่มีประชำกรมำกท่ีสุดในโลก และสํวนใหญํอาศัยอยํูในเขตชนบท และมีความหนาแนํนมากกวําทุกทวีป ขณะท่ีเขตทะเลทรายในเขตเอเชียแทบไมํมีผู๎คนอาศัยอยํูเลย ความเป็นอยํู ของประชากรก็มีความแตกตํางกันมากต้ังแตํฐานะดีจนถึงยากจนแร๎นแค๎น เอเชียจึงได๎ชื่อวําเป็นทวีปแหํงความ แตกตาํ ง

ท่ตี ัง้ และอาณาเขตของทวีปเอเชีย ทิศเหนือ ติดตํอกับมหาสมุทรอาร์กติก ในทะเลาคารา ทะเลลัฟเตฟ และทะเลไซีบีเรียตะวันออก จุด เหนือสุดคือแหลมชิลยูสกิน ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย ท่ีละติดจูด 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ มีเกาะขนาดใหญํ ทางตอนเหนอื ได๎แกํ เกาะเซเวอร์นายาเซมลีอา หมํเู กาะนิวไซบีเรีย และเกาะแรงเจล ทิศตะวันออก ติดตํอกับมหาสมุทรแปซิฟิค ในเขตทะเลเบริง ทะเลโอคอต ทะเลญ่ีปุน ทะเลเหลือง ทะเล จีนตะวันออก และทะเลจีนใต๎ โดยมีคาบสมุทรเบรอง คาบสมุทรคามชัตกา และคาบสมุทรเกาหลี เป็นสํวนของ แผํนดินด๎านน้ีจุดตะวันออกสุดอยูํท่ี อีสต์เคป ประเทศรัสเซีย ท่ีลองติจูด 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก เกาะ ใหญํได๎แกํ เกาะแซคาลิน เกาะฮอนชู เกาะฮอกไกโด และเกาะชิโกกุ เกาะคิวชู เกาะไต๎หวัน และเกาะลู ซอน ละตจิ ูดที่ 1 องศา 16 ลิปดาเหนอื - 37 องศา 41 ลิปดาเหนือ ทิศใต้ ติดตํอกับมหาสมุทรอินเดีย นํานน้าทางตอนใต๎ ได๎แกํ อําวเบงกอล ทะเลอาหรับ อําวเปอร์เซีย และอําวเอเดน จุดใต้สุดของภาคพื้นทวีปอยํูท่ี แหลมปิไอ ประเทศมาเลเซีย ที่ละติจูด 1 องศา 15 ลิปดา ซึ่งอยํู หํางเส๎นศูนย์สูตรประมาณ 150 ก.ม. เกาะใหญํทางทิศใต๎ของทวีปเอเชียได๎แกํ เกาะลังกา เกาะบอร์เนียว เกาะสุ มาตรา เกาะชวา ซง่ึ เป็นเกาะที่อยํใู ตส๎ ุด บริเวณละตจิ ูดท่ี 8 องศาใต๎ ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ตํอกบั ทะเลแดง คลองสเุ อช ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดา เทือกเขาคอเคซสั ทะเล แคสเปยี น และเทอื กเขาอรู าล จดุ ตะวนั ตกสุด อยํูท่ี แหลมบาบา ประเทศตรุ กี ทล่ี องติจูด26 องศา 40 ลปิ ดาตะวนั ออก เกาะใหญํไดแ๎ กํ เกาะไซปรัส

ขนาด รูปรา่ ง เอเชียเป็นทวีปที่ใหญํท่ีสุดมีเน้ือที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นแผํนดินผิวโลกทั้งหมด มีเนื้อท่ี ประมาณ 44,391,132ตร.ก.ม.(17,139,455 ตร.ไมล์) หรือ 30 %ของโลก มีขนาดใหญํกวําทวีปออสเตรเลียซ่ึงเป็น ทวีปท่ีเล็กท่ีสุดประมาณ 5เทํา แตํมีประชากรมากกวําถึง 120 เทํา มีความกว๎างจากตะวันออกไปตะวันตก ยาว 9,600 ก.ม. ระยะทางจากเหนือสุดถงึ ใตส๎ ุดของทวีปประมาณ 6,500 ก.ม. โครงสรา้ งทางธรณวี ทิ ยา 1) เขตหนิ เกาํ มี 3 บรเิ วณคือ 1.ท่รี าบสูงภาคเหนือในเขตสหภาพโซเวยี ต(เดิม) 2.บริเวณท่รี าบสงู อาหรบั ในซาอุดอิ าระเบยี 3.บรเิ วณทร่ี าบสงู เดคคานในอนิ เดีย 2.) เขตหนิ ใหมํ เรม่ิ จากแนวเทือกเขาในประเทศตุรกี ผาํ นเอเชยี ใต๎ เอเชยี ตะวันออก และเอเชยี ตะวนั ออก เฉยี งใต๎ ซงึ่ ประกอบด๎วยที่ราบสงู เทอื กเขา และหมเํู กาะตํางๆ เขตนี้พน้ื โลกมคี วามออํ นตัวมากจึงมี ภเู ขาไฟ และ แผนํ ดนิ ไหวเสมอ

ทวีปเอเชีย แบง่ ออกเปน็ 5 ภูมิภาค ได้แก่ 1. เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต๎ 2. เอเชยี ใต๎ 3. เอเชียตะวันออก 4. เอเชยี ตะวนั ตกเฉียงใต๎ 5. เอเชียกลาง ลักษณะภมู ิประเทศของทวปี เอเชยี

ลักษณะภูมิประเทศของทวีปเอเชยี ลกั ษณะภมู ิประเทศ แบง่ ออกเปน็ 6 เขต คอื 1. เขตทรี่ าบต่าทางเหนอื คอื บริเวณตอนบนของทวีปซ่ึงอยูํในเขตสหภาพโซเวยี ต(เดมิ )ในเขตไซบเี รีย สํวนใหญํเป็นเขตโครงสรา๎ งหินเกาํ ทเ่ี รียกวาํ แองการาชลี ดม์ ีลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน็ ทร่ี าบขนาดใหญํ มีแมนํ า้ อ็อบ แมนํ า้ เยนเิ ซ และแมนํ ้าลนี าไหลผําน บริเวณมีอาณาเขตกว๎างขวางมากไมํคํอยมีผ๎ูคนอาศัยอยํเู พราะอากาศหนาว เย็นมาก 2. เขตที่ราบลํุมแมนํ า้ ไดแ๎ กํดินแดนแถบลุํมแมํน้าตาํ งๆซ่ึงมลี ักษณะภูมปิ ระเทศเป็นที่ราบและมักมี ดินอุดมสมบูรณเ์ หมาะแกกํ ารเพาะปลูก ไดแ๎ กํ- ในเอเชยี ตะวันออกได๎แกทํ ่ีราบลํุมแมนํ า้ ฮวงโห ทีร่ าบลุมํ แมนํ า้ แยง ซเี กียงในประเทศจีน- ในเอเชียใต๎ ไดแ๎ กํ ทีร่ าบลมํุ แมํนา้ สนิ ธุในประเทศปากีสถาน ทรี่ าบลุํมแมํนา้ คงคาในประเทศ อินเดีย และที่ราบลุํมแมํน้าพรหมบุตร ในบังคลาเทศ- เอเชยี ตะวันตกเฉยี งใต๎ ได๎แกํท่รี าบลํมุ แมํน้าไทกรสี ทร่ี าบลํุม แมํนา้ ยูเฟรตีส ในประเทศอริ ัก- เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ ได๎แกํ ทีร่ าบลุํมแมํนา้ โขงตอนลําง ในประเทศกัมพชู าและ เวียดนามท่ีราบลุํมแมํน้าแดงในประเทศเวยี ตนาม ที่ราบลุํมแมนํ ้าเจ๎าพระยาในประเทศไทยท่ีราบลมํุ แมํน้าสาละวิ นตอนลาํ งที่ราบลุํมแมนํ า้ อิระวดี ในประเทศพมาํ 3. เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตหินใหมํ ตอนกลางประกอบดว๎ ยท่ีราบสงู และเทือกเขามากมายสวํ นใหญํ เป็นเทอื กเขาทแ่ี ยกตัวไปจากจดุ รวมเทือกเขาทเ่ี รยี กวาํ “ปามีรน์ อต(Pamir Knot)”หรอื ภาษาพ้นื เมืองเรยี กวํา “ปามรี ด์ นุ ยา(PamirDunya) แปลวํา หลังคาโลก” จุดรวมเทือกเขาปาร์มีนอต อาจแยกไดด๎ ังนี้ เทอื กเขาท่ีแยกไป ทางทิศตะวนั ออก ได๎แกํ เทือกเขาหมิ าลัยเทือกเขาอาระกันโยมา และเทือกเขาที่มีแนวตํอลงมาทางใต๎ มบี างสํวนที่ จมหายไปในทะเลและบางสวํ นโผลพํ ๎นขนึ้ มาเปน็ เกาะในมหาสมทุ ร อนิ เดีย และมหาสมุทรแปซฟิ ิคถัดจากเทือกเขา หิมาลยั ไปทางเหนอื มเี ทอื กเขาทแี่ ยกไปทางตะวันออก ไดแ๎ กเํ ทอื กเขาคนุ ลุน เทือกเขานานชาน และแนวท่แี ยกไป ทางตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ได๎แกํ เทือกเขาเทียนชานเทือกเขาคนิ แกน เทอื กเขายาโบลนอย เทอื กเขาสตาโนวอย และเทือกเขาโกลีมา เทือกเขาท่ีแยกไปทางทศิ ตะวันตก แยกเปน็ แนวเหนอื และแนวใต๎ ไดแ๎ กเํ ทือกเขาฮินดกู ูช เทือกเขาเอลบูรซ สํวนแนวทศิ ใต๎ ได๎แกํ เทือกเขาสุไลมานเทือกเขาซากรอส เมื่อเทือกเขา2แนวน้ีมาบรรจบกันท่ี อาร์เมเนยี นนอตแล๎ว ยังแยกออกเป็นอีก2แนว ในเขตประเทศตุรกี คือแนวเป็นเทอื กเขาปอนตกิ และแนวใตเ๎ ปน็ เทือกเขาเตารัส 4. เขตท่ีราบสงู ตอนกลางทวปี เป็นท่ีราบสูงในเขตหินใหมํ ไดแ๎ กํ ท่ีราบสงู ทเิ บตซง่ึ มีขนาดใหญํและ สงู ทส่ี ุดในโลกท่รี าบสูงยนู าน ทางใต๎ของจนี และท่รี าบสูงท่ีมีลกั ษณะเหมือนแองํ คือ ที่ราบสูงตากลามากนั (Takla Makan)ซ่งึ อยํูระหวาํ งเทือกเขาเทยี นชาน กับเทือกเขาคุนลุนแตอํ ยํสู ูงจากระดับนา้ ทะเลมาก และมอี ากาศแหง๎ แล๎ง เป็นเขตทะเลทราย 5. เขตทร่ี าบสูงทางตอนใตแ๎ ละตะวันตกเฉยี งใต๎ ได๎แกทํ ีร่ าบสูงขนาดใหญํทางตอนใต๎ของทวีปเอเชยี มี ความสูงน๎อยกวําท่รี าบสูงทางตอนกลางของทวปี ได๎แกํ ท่ีราบสงู เดคคานในอนิ เดยี ทีร่ าบสูงอิหราํ นในอหิ ราํ นและ อฟั กานสิ ถาน ทีร่ าบสงู อนาโตเลยี ในตรุ กที ี่ราบสงู อาหรบั ในซาอดุ ิอาระเบยี 6. เขตหมเูํ กาะภเู ขาไฟเปน็ เขตหนิ ใหมํ คอื บรเิ วณหมเํู กาะอนั เป็นทตี่ ้ังของภเู ขาไฟท้ังท่ดี ับแล๎วและท่ี ยังคุกรํนุ อยใํู นเอเชียตะวนั ออกและเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต๎

ปจั จยั ทีม่ ีอิทธิพลตอ่ ลกั ษณะภูมอิ ากาศ 1. ทีต่ ้งั ทวีปเอเชยี เป็นดนิ แดนท่ีตั้งอยํูในซีกโลกเหนือ คือ จากเขตศนู ย์สตู รถึงขั้วโลก ทาใหท๎ วปี เอเชยี มลี ักษณะภมู ิอากาศทุกชนดิ ต้ังแตเํ ขตร๎อนถึงเขตหนาวเย็นแบบขั้วโลก

2. ขนาด เอเชียเป็นทวีปท่ีมีขนาดกว๎างใหญํมาก โดยมีเส๎นศูนย์สูตรเส๎นทรอปิคออฟแคนเซอร์และเส๎น อาร์กติกเซอรเ์ คิลลากผํานลกั ษณะเชนํ นีแ้ สดงวาํ ทวปี เอเชยี มีทั้งอากาศร๎อน อบอนุํ หนาว 1. ความใกล้ -ไกลทะเล ทวปี เอเชียมดี ินแดนบางสํวนที่อยูตํ ิดทะเลทาให๎ไดร๎ ับความชุมช้นื จากทะเล บางสํวนทีห่ ํางไกลทะเล อิทธพิ ลพน้ื น้าไมํสามารถเข๎าถึงภายในทวปี ได๎อยาํ งท่วั ถึง ภายในทวีปจงึ มีอากาศรนุ แรง คือ อากาศร๎อนจัด และฤดูหนาว หนาวจดั ในขณะทีช่ ายทะเลมีอากาศในตอนกลางวันและกลางคืน และระหวาํ ง ฤดกู าลแตกตํางกนั ไมํมากนัก 2. ความสงู ต่าของพนื้ ท่ี เอเชยี มภี มู ปิ ระเทศสูงต่าตํางกันอยํางมาก ทาให๎ลักษณะอากาศตํางกัน ทัง้ ทีอ่ ยํูในละตจิ ดู เดยี วกัน เชนํ เขตทรี่ าบเมืองเดลี ต้ังอยูลํ ะติจดู ท่ี 28 องศาเหนือ ไมเํ คยมีหมิ ะเลย แตํที่ ยอดเขาดวั กากีรี ซึ่งสูง8,172 เมตร (26,810 ฟุต) และยอดเขาหมิ าลัยซงึ่ อยูใํ นละติจดู เดียวกันกลบั มหี ิมะและนา้ แขง็ ปกคลุมตลอดปี

5. ลมประจาท่ีพัดผ่าน รูปภาพจาก http://203.172.208.242/tatalad/.../atm_pressure.htm มลี มประจาทพี่ ดั ผํานเอเชียหลายชนดิ เชํน 5.1 ลมประจาฤดู เชนํ ลมมรสมุ ซง่ึ มีอิทธพิ ลตํอเอเชียมาก คือ ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื พดั ผาํ นทาง ตอนเหนือของทวีปซ่ึงมีอากาศ หนาวเย็นและแห๎งแลง๎ ในฤดหู นาว - ลมมรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต๎ พดั ผาํ นมหาสมุทรอนิ เดยี ทาใหพ๎ ัดพาความชุํมชืน้ มาสูํภาคพน้ื ทวปี ใน ชวํ งฤดฝู น 5.2 พายหุ มนุ เชํน ลมไตฝ๎ นุ ท่กี อํ ตวั ในมหาสมทุ รแปซฟิ ิค พายไุ ซโคลน ทีก่ ํอตัวในมหาสมทุ รอนิ เดยี 6. กระแสนา้ รูปภาพจาก http://www.pingbook.com/board/lofiversion/index.php/t34498-3100.html มีกระแสน้าเย็นโอยาชิโว ไหลผํานฝ่ังตะวันตกของญี่ปุน และชายฝั่งตะวันออกของประเทศ มีกระแสนา้ อนํุ กโุ รชโิ ว ไหลผําน ทาใหช๎ ายฝ่งั ตะวันออกของญปี่ ุนมีอากาศอบอุํนกวาํ ฝ่ังตะวนั ตก

เขตภมู อิ ากาศ 1. ภมู ิอากาศแบบปา่ ดบิ ชน้ื เขตภูมิอากาศแบบปาุ ดิบช้ืนอยรํู ะหวาํ งละตจิ ูดที่ 10 องศาเหนือ ถึง 10 องศาใต๎ ได๎แกํ ภาคใต๎ของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟลิ ปิ ปนิ ส์ มคี วามแตกตํางของ อุณหภมู ิระหวํางกลางวนั และกลางคืนไมํมากนกั มีปริมาณนา้ ฝนมากกวํา 2,000 มิลลเิ มตร (80 นวิ้ ) ตอํ ปี และมฝี นตกตลอดปี พืชพรรณธรรมชาติเป็นปุาดงดิบซง่ึ ไมมํ ีฤดูท่ผี ลัดใบและมีต๎นไมห๎ นาแนํนสํวนบริเวณปากแมํน้า และชายฝง่ั ทะเลมพี ชื พรรณธรรมชาติเปน็ ปาุ ชายเลน 2. ภมู ิอากาศแบบมรสมุ เขตรอ้ น หรือรอ้ นช้นื แถบมรสุม เป็นดนิ ร๎อนท่อี ยเํู หนือ ละตจิ ูด 10 องศาเหนือข้ึนไป มีฤดแู ลง๎ และฤดฝู นสลบั กันประมาณปลี ะ เดือน ไดแ๎ กํ บริเวณคาบสมุทร อนิ เดยี และคาบสมทุ รอินโดจีน เขตนเี้ ปน็ เขตท่ีได๎รับอทิ ธิพลของลมมรสมุ ปรมิ าณน้าฝนจะสูงในบรเิ วณ ดา๎ นต๎นลม (Winward side) และมีฝนตกน๎อยในด๎านปลายลม (Leeward side) หรอื เรียกวาํ เขตเงา ฝน(Rain shadow) พืชพรรณธรรมชาติเป็นปาุ มรสุม หรอื ปุาไม๎ผลดั ใบในเขตร๎อน พนั ธไ์ุ ม๎สวํ นใหญเํ ป็นไม๎ใบกว๎าง และเปน็ ไม๎เนอื้ แข็งท่ีมคี ําในทางเศรษฐกจิ หรือปาุ เบญจพรรณ เชนํ ไม๎สัก ไม๎จันทน์ ไม๎ประดูํ เป็นตน๎ ปาุ มรสุม มลี กั ษณะเป็นปุาโปรํงมากกวาํ ปาุ ไม๎ในเขตร๎อนชืน้ บางแหงํ มีไมข๎ นาดเล็กข้นึ ปกคลมุ บรเิ วณดิน ชน้ั ลําง และบางแหงํ เป็นปุาไผํ หรือ หญา๎ ปะปนอยูํ

3. ภูมิอากาศแบบทุ่งหญา้ เมืองร้อน มีลกั ษณะอากาศคล๎ายเขตมรสุม มฤี ดแู ลง๎ กบั ฤดฝู น แตํ ปริมาณน้าฝนน๎อยกวํา คือ ประมาณ 1,000-1,500 มิลลเิ มตร (40-60 นิว้ )ตํอปี อุณหภูมเิ ฉลี่ยตลอดปี ประมาณ21 องศาเซลเซยี ส(70 องศาสฟาเรนไฮต์) อุณหภูมิกลางคนื เยน็ กวาํ กลางวนั ไดแ๎ กํ บริเวณ ตอนกลางของอนิ เดีย พมาํ และคาบสมุทรอินโดจีน พืชพรรณธรรมชาติเป็นปาุ โปรํงแบบเบญจพรรณ ถดั เขา๎ ไปตอนใน จะเปน็ ทํุงหญ๎าสูงตง้ั แตํ 60- 360เซนติเมตร (2-12 ฟุต) ซง่ึ จะงอกงามดีในฤดูฝน แตํแหง๎ เฉาตายในฤดหู นาว เพราะชวํ งนีอ้ ากาศแห๎ง แล๎ง 4. ภมู ิอากาศแบบมรสมุ เขตอบอนุ่ อยํูในเขตอบอุํนแตไํ ดร๎ ับอิทธพิ ลของลมมรสุม มฝี นตกในฤดู ร๎อน ฤดูหนาวคํอนข๎างหนาว ได๎แกํ บริเวณภาคตะวนั ตกของจนี ภาคใตข๎ องญีป่ ุน คาบสมุทรเกาหลี ฮํองกง ตอนเหนือของอินเดีย ในลาว และตอนเหนือของเวยี ดนาม พชื พรรณธรรมชาติเปน็ ไม๎ผลัดใบหรือไม๎ผสม มีท้งั ไมใ๎ บใหญํทีผ่ ลัดใบ และไมส๎ นที่ไมํผลดั ใบ ใน เขตจนี เกาหลี ทางใตข๎ องเขตนีเ้ ปน็ ปาุ ไมผ๎ ลดั ใบ สํวนทางเหนอื มีอากาศหนาวกวําปุาไม๎ผสมและปาุ ไม๎ ผลดั ใบ เชํน ตน๎ โอ๏ก เมเปิล ถ๎าขึ้นไปทางเหนืออากาศหนาวเยน็ จะเปน็ ปุาสนท่มี ีใบเขยี วตลอดปี 5. ภูมอิ ากาศแบบอบอ่นุ ภาคพน้ื ทวีป ได๎แกํทางเหนอื และตะวันออกเฉยี งเหนือของประเทศ จีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนอื ของญีป่ นุ และตะวันออกเฉียงใต๎ของไซบเี รยี มีฤดูรอ๎ นทอี่ ากาศร๎อน กลางวัน ยาวกวํากลางคืน นาน 5-6 เดือน เปน็ เขตปลกู ขา๎ วโพดไดด๎ ี เพราะมีฝนตกในฤดูรอ๎ น ประมาณ 750- 1,000 มม.(30-40)นว้ิ ตํอปี ฤดหู นาวอุณหภมู ิเฉล่ียถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟาเรนไฮต์) เป็นเขตที่ ความแตกตํางระหวํางอณุ หภูมมิ ีมาก พืชพรรณธรรมชาติเป็นปาุ ผสมระหวํางไม๎ผลดั ใบและปุาสน ลึกเข๎าไปเปน็ ทํงุ หญ๎า สามารถ เพาะปลูกข๎าวโพด ขา๎ วสาลี และเลีย้ งสตั วพ์ วกโคนมได๎ สวํ นแถบชายทะเลมกี ารทาปุาไม๎บา๎ งเล็กนอ๎ ย 6. ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากงึ่ ทะเลทรายแถบอบอนุ่ มีอุณหภมู ิสงู มากในฤดูร๎อน และอุณหภมู ิ ต่ามากในฤดหู นาว มีฝนตกบ๎างในฤดูใบไม๎ผลิและฤดูร๎อน ไดแ๎ กํ ภาคตะวนั ตกของคาบสมุทรอาหรับ ตอนกลางของประเทศตรุ กี ตอนเหนอื ของภาคกลางของอิหราํ น ในมองโกเลีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของจีน พืชพรรณธรรมชาติเป็นทงํุ หญา๎ ส้นั (Steppe) ทํงุ หญา๎ ดังกลําวมกี ารชลประทานเข๎าถึงใช๎ เพาะปลูก ขา๎ วสาลี ข๎าวฟุาง ฝูาย และเล้ยี งสัตวไ์ ดด๎ ี 7. ภมู ิอากาศแบบทะเลทราย มคี วามแตกตาํ งระหวาํ งอุณหภมู กิ ลางวันกบั กลางคนื และฤดู ร๎อนกับฤดูหนาวมาก ไดแ๎ กํ ดินแดนทีอ่ ยภํู ายในทวปี ท่ีมีเทือกเขาปดิ ล๎อม ทาใหอ๎ ิทธิพลจากมหาสมุทรเขา๎ ไปไมํถงึ ปริมาณฝนตกน๎อยกวาํ ปลี ะ 250 มม.(10น้ิว) ไดแ๎ กบํ ริเวณ คาบสมุทรอาหรบั ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร์ และท่ีราบสูงทิเบต ทีร่ าบสงู อหิ รําน บริเวณที่มนี า้ และตน๎ ไม๎ข้นึ เรียกวํา โอเอซิส (Oasis) พชื พรรณธรรมชาติเปน็ อินทผลัม ตะบองเพชร และไม๎ประเภทมีหนาม ชายขอบทะเลทรายสวํ น ใหญเํ ปน็ ทงํุ หญ๎าสลบั ปุาโปรํง มกี ารเลย้ี งสตั ว์ประเภททเ่ี ลยี้ งไว๎ใชเ๎ นอื้ และทาการเพาะปลูกต๎องอาศยั การ ชลประทานชวํ ย

8. ภูมอิ ากาศแบบเมดเิ ตอร์เรเนียน มีอากาศในฤดูร๎อน รอ๎ นและแหง๎ แลง๎ ใน เลบานอน ซีเรียอสิ ราเอล และตอนเหนือของอิรกั พชื พรรณธรรมชาติเปน็ ไม๎ตน๎ เต้ีย ไม๎พุํมมหี นาม ต๎นไมเ๎ ปลือกหนาที่ทนตํอความแหง๎ แล๎งในฤดู ร๎อนได๎ดี พืชที่เพาะปลูก ไดแ๎ กํ ส๎ม องํุน และ มะกอก 9. ภูมอิ ากาศแบบไทกา (กึ่งขว้ั โลก) มฤี ดูหนาวยาวนานและหนาวจดั ฤดรู อ๎ นสั้น มีนา้ คา๎ ง แข็งได๎ทกุ เวลา และ ฝนตกในรูปของหิมะ ไดแ๎ กํ ดนิ แดนทางภาคเหนอื ของทวปี บรเิ วณไซบเี รีย พชื พรรณธรรมชาติเปน็ ปุาสน เป็นแนวยาวทางเหนือของทวปี ทเี่ รยี กวํา ไทกา (Taiga) หรือ ปาุ สนของไซบีเรีย 10. ภมู ิอากาศแบบทนุ ดรา (ขว้ั โลก) เขตน้มี ีฤดหู นาวยาวนานมาก อากาศหนาวจดั มีหิมะปก คลุมตลอดปี ไมมํ ีฤดูรอ๎ น พืชพรรณธรรมชาติเป็น พวกตะไครํน้า และ มอสส์ 11. ภูมิอากาศแบบที่สูง ในเขตทส่ี งู อุณหภมู ิจะลดลงตามระดับความสงู ในอตั ราความสูงเฉลย่ี ประมาณ 1 องศาเซลเซยี สตํอความสูง 10 เมตร จงึ ปรากฎวํายอดเขาสูงบางแหํงแม๎จะอยูํในเขตรอ๎ น กม็ ีหมิ ะปก คลุมทั้งปี หรือเกือบตลอดปี ไดแ๎ กํ ทีร่ าบสูงทิเบต เทือกเขาหมิ าลยั เทือกเขาคนุ ลนุ และเทือกเขาเทยี นชาน ซึ่งมี ความสูงประมาณ 5,000-8,000 เมตร จากระดับนา้ ทะเล มหี มิ ะปกคลมุ และมีอากาศหนาวเย็นแบบขวั้ โลก พชื พรรณธรรมชาติเป็น พวกตะไครนํ ้า และ มอส

ใบงานที่ 1 1) ให๎ผ๎เู รยี นอธบิ ายจุดเดํนของลกั ษณะภมู ิประเทศในทวีปเอเชยี ทัง้ 6 เขต ..................................................................................................................................... ............................................... .................................................................................... ................................................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................... ........................... ........................................................................................................ ............................................................................ ......................................................................................................................……….... ................................................. ................................................................................................................................... ................................................. .................................................................................. .................................................................................................. 2) ภมู อิ ากาศแบบใดที่มีหมิ ะปกคลุมตลอดปี และพืชพรรณทปี่ ลูกเปน็ ประเภทใด .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................................. ....................... ............................................................................................................ ........................................................................ .......................................................................................... .......................................................................................... ................................................................................................................................. ................................................... ................................................................................ ...................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................................................................................................

แผนการเรียนรร๎ู ายสัปดาห์ กลมุํ สาระการเรียนรู๎........การพฒั นาสงั คม…...รายวิชา.........สังคมศึกษา...........รหสั วิชา....สค21001.............. เร่ือง.............ภูมิศาสตร์ทางกายภาพทวปี เอเชีย....………………………………………................................................... ระดับชั้น...............มธั ยมศึกษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ช่ัวโมง วนั ทีจ่ ัดการเรยี นการสอน..................................................................การพบกลุมํ ครั้งท.่ี ........11............................ ตวั ชี้วดั 1. มที ักษะในการใชเ๎ ครอื่ งมือทางภูมศิ าสตร์ เชํน แผนท่ี ลกู โลก Website ดาวเทียม GIS GPRS ฯลฯ เนือ้ หา วธิ ีใช๎เครอื่ งมือทางภูมศิ าสตร์ แผนท่ี ลกู โลก Website ดาวเทยี ม GIS GPRS ฯลฯ ขน้ั ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู๎ 1. ครทู กั ทายผู๎เรียน พดู คุย ในเรือ่ งภมู ศิ าสตร์ของประเทศเพือ่ นบ๎าน และสอบถามผู๎เรยี นวําใครรจู๎ กั ประเทศเพ่ือนบ๎านที่มคี วามนําสนใจประเทศใดบา๎ ง และมีประเทศใดบา๎ งทเ่ี ป็นสมาชกิ อยูใํ นกลํุม ประชาคมอาเซียน รวํ มกันแสดงความคิดเห็นถงึ แนวทางการดาเนินงานของกลํุมประเทศอาเซียนรวม ไปถงึ การสอบถามถึงความพร๎อมของตวั ผู๎เรยี น เชนํ ภาษา อาชีพ ประเพณแี ละวัฒนธรรม 2. ครูและผ๎ูเรยี นรวํ มกันอภิปรายถึงเคร่ืองมือที่ใช๎ทางภมู ิศาสตร์ โดยสอบถามจากผู๎เรยี นวาํ มีอะไรบา๎ ง และมีการนามาใช๎อยํางไร ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ๎ มลู และจัดการเรยี นรู๎ 1. ครูนาสอื่ การเรียนประกอบด๎วย แผนที่ ลกู โลก Website ข๎อมูล GIS GPRS ให๎ผูเ๎ รยี นไดท๎ ดลองใช๎ เคร่อื งมือทางภมู ิศาสตร์ แลว๎ แบํงกลํมุ ตามประเภทของเครื่องมือ กลุํมละ 3 – 5 คน เพื่อนาเสนอ วธิ กี ารใช๎และการอาํ นสญั ลักษณข์ องเครื่องมอื แตลํ ะประเภท 2. ให๎ผเ๎ู รียนศกึ ษาคน๎ ควา๎ เพ่ิมเติมจาก ใบความร๎ู หนังสอื แบบเรยี น และเคร่ืองมือจริงตามที่ได๎รบั 3. ครมู อบหมายใหผ๎ เ๎ู รียนทาใบงาน เร่อื ง วธิ ีใชเ๎ ครือ่ งมือทางภมู ิศาสตร์ ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช๎ 1. ผ๎ูเรียนสงํ ตัวแทนของแตลํ ะกลุํมมาเลาํ วธิ กี ารใชแ๎ ละการอํานสัญลักษณ์ ทใ่ี ชแ๎ ทนสถานที่และสภาพภูมิ ประเทศของแตลํ ะประเทศ 2. ครแู ละผ๎เู รียนรํวมกนั สรุปใจความสาคัญแล๎วบนั ทกึ ข๎อมูลลงในสมุดของผ๎ูเรียนแตลํ ะคน

ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนร๎ู 1. ครูให๎ผู๎เรยี นมีสํวนรวํ มในการประเมินผลงานจากการนาเสนอของแตํละกลุํมโดยแบํงเป็น คะแนนด๎านการนาเสนอเน้อื หา และดา๎ นความคดิ สร๎างสรรค์ 2. ครูสังเกตจากการมีสํวนรวํ มกระบวนการกลํมุ สื่อการเรยี นร๎ู 1. หนงั สอื แบบเรยี น 2. แผนท่ี 3. ลูกโลก 4. ใบความร๎ู เรือ่ ง วิธกี ารใช๎เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ การวัดและประเมนิ ผล 1. ใบงาน 2. การนาเสนอ ลงชอ่ื .........................................................ผู๎สอน ( .......................................................... ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รักษาการในตาแหนงํ ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์

ใบงานที่ 2 เรอื่ ง เครื่องมอื และการใชเ้ คร่อื งมอื ในการศึกษาทางภูมิศาสตร์ แผนทแ่ี ละเครือ่ งมอื ทางภูมศิ าสตร์ ความหมายของแผนที่ พจนานุกรมศัพท์ภมู ศิ าสตร์ ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ให๎ความหมายของแผนท่ีไวว๎ ํา“แผนที่ คอื สิง่ ท่ีแสดง ลกั ษณะของพ้นื ผวิ โลกทงั้ ที่มีอยํตู ามธรรมชาตแิ ละทีป่ รุงแตงํ ข้นึ โดยแสดงลงในพ้ืนแบนราบ ด๎วยการยํอให๎เลก็ ลง ตามขนาดทตี่ อ๎ งการและอาศัยเครื่องหมายกับสัญลกั ษณ์ที่กาหนดขนึ้ ” แผนท่ี หมายถึง การนาเอารปู ภาพสงิ่ ตํางๆ บนพืน้ ผิวโลก (Earth’ surface) มายํอสํวนให๎เล็กลง แลว๎ นามาเขยี นลงกระดาษแผนํ ราบ ส่ิงตํางๆ บนพืน้ โลกประกอบไปดว๎ ยสิ่งทีเ่ กดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ (nature) และสิง่ ทีม่ นุษย์สร๎างขึ้น (manmade) สิง่ เหลาํ น้แี สดงบนแผนทโี่ ดยใช๎สี เสน๎ หรือรปู ราํ งตํางๆ ทีเ่ ป็นสญั ลกั ษณ์แทน การจาแนกชนดิ ของแผนที่ ปัจจบุ ันการจาแนกชนิดของแผนท่ี อาจจาแนกได๎หลายแบบแล๎วแตจํ ะยดึ ถือสิ่งใดเป็นหลกั ในการจาแนก เชํน 1. การจาแนกชนดิ ของแผนที่ตามลกั ษณะทีป่ รากฏบนแผนที่ แบงํ ไดเ๎ ป็น 3 ชนิด คอื 1.1 แผนทลี่ ายเส๎น (Line Map) เปน็ แผนทแี่ สดงรายละเอียดในพน้ื ทดี่ ๎วยเส๎นและองคป์ ระกอบของเสน๎ ซง่ึ อาจเปน็ เสน๎ ตรง เสน๎ โค๎ง ทํอนเส๎น หรอื เสน๎ ใดๆ ท่ีประกอบเป็นรปู แบบตํางๆ เชํน ถนนแสดงดว๎ ยเสน๎ คขํู นาน อาคารแสดงดว๎ ยเสน๎ ประกอบเปน็ รูปส่เี หลยี่ ม สญั ลักษณท์ ่ีแสดงรายละเอยี ดเป็นรปู ท่ีประกอบด๎วยลายเสน๎ แผนท่ี ลายเส๎นยังหมายรวมถงึ แผนที่แบบแบนราบและแผนที่ทรวดทรง ซง่ึ ถา๎ รายละเอยี ดทแ่ี สดงประกอบดว๎ ยลายเสน๎ แล๎วถือวําเปน็ แผนทล่ี ายเสน๎ ท้ังสิน้ ตวั อยา่ งแผนที่ลายเสน้ 1.2 แผนทภี่ าพถาํ ย (Photo Map) เป็นแผนที่ซึ่งมีรายละเอียดในแผนที่ท่ีไดจ๎ ากการถํายภาพดว๎ ยกล๎อง ถํายภาพ ซึ่งอาจถํายภาพจากเครื่องบนิ หรือดาวเทียม การผลิตแผนท่ีทาดว๎ ยวิธกี ารนาเอาภาพถํายมาทาการดดั แก๎ แล๎วนามาตอํ เป็นภาพแผนํ เดียวกันในบรเิ วณทีต่ ๎องการ แล๎วนามาใสเํ ส๎นโครงพกิ ัด ใสํรายละเอยี ดประจาขอบ ระวาง แผนท่ีภาพถํายสามารถทาไดร๎ วดเร็ว แตกํ ารอาํ นคํอนข๎างยากเพราะตอ๎ งอาศยั เครื่องมือและความชานาญ ตัวอยา่ งแผนที่ภาพถา่ ยดาวเทยี ม ภาพถ่ายทางอากาศ 1.3 แผนท่แี บบผสม (Annotated Map) เป็นแบบที่ผสมระหวํางแผนท่ีลายเส๎นกบั แผนทภ่ี าพถาํ ย โดย รายละเอยี ดที่เป็นพ้นื ฐานสํวนใหญจํ ะเป็นรายละเอยี ดทีไ่ ดจ๎ ากการถาํ ยภาพ สวํ นรายละเอียดทส่ี าคัญๆ เชํน แมนํ ้า ลาคลอง ถนนหรือเส๎นทาง รวมทั้งอาคารที่ต๎องการเน๎นใหเ๎ หน็ เดํนชัดก็แสดงดว๎ ยลายเส๎น พิมพ์แยกสีใหเ๎ หน็ เดํนชดั ปจั จบุ ันนยิ มใช๎มาก เพราะสะดวกและงํายแกํการอําน มีท้งั แบบแบนราบ และแบบพิมพ์นนู สํวนใหญํมสี ีมากกวํา สองสีขึ้นไป

ตวั อย่างแผนทแ่ี บบผสม ตวั อย่างแผนที่ 2. การจาแนกชนิดของแผนที่ตามขนาดของมาตราสวํ น ประเทศตาํ ง ๆ อาจแบํงชนิดของแผนทีต่ ามขนาด มาตราสํวนไมเํ หมือนกนั ทก่ี ลําวตอํ ไปนี้เป็นการแบํงแผนท่ีตามขนาดมาตราสวํ นแบบหน่ึงเทาํ น้นั 2.1 แบํงมาตราสวํ นสาหรบั นักภูมิศาสตร์ 2.1.1 แผนท่ีมาตราสวํ นเลก็ ได๎แกํ แผนท่ีมาตราสํวนเล็กวํา 1:1,000,000 2.1.2 แผนทม่ี าตราสวํ นกลาง ไดแ๎ กํ แผนทม่ี าตราสวํ นต้ังแตํ 1:250,000 ถงึ 1:1,000,000 2.1.3 แผนทมี่ าตราสํวนใหญํ ได๎แกํ แผนทม่ี าตราสํวนใหญํกวํา 1:250,000 2.2 แบํงมาตราสวํ นสาหรับนักการทหาร 2.2.1 แผนท่ีมาตราสํวนเล็ก ได๎แกํ แผนท่ีมาตราสวํ น 1:600,000 และเล็กกวาํ 2.2.2 แผนทีม่ าตราสวํ นกลาง ได๎แกํ แผนที่มาตราสํวนใหญกํ วํา 1:600,000 แตํเลก็ กวาํ 1:75,000 2.2.3 แผนทม่ี าตราสํวนใหญํ ไดแ๎ กํ แผนท่ีมาตราสวํ นต้งั แตํ 1:75,000 และใหญกํ วํา 3. การจาแนกชนิดแผนท่ตี ามลักษณะการใช๎งานและชนิดของรายละเอียดที่แสดงไว๎ในแผนท่ี 3.1 แผนทีท่ วั่ ไป (General Map) เปน็ แผนที่พื้นฐานทใ่ี ช๎อยูํทัว่ ไปหรือท่เี รียกวาํ Base map 3.1.1 แผนทีแ่ สดงแบนราบ (Planimetric Map) เป็นแผนท่แี สดงรายละเอยี ดท่ีปรากฏบนผวิ โลก เฉพาะสณั ฐานทางราบเทําน้นั

ตวั อย่างแผนทีแ่ บนราบ 3.1.2 แผนทภี่ ูมปิ ระเทศ (Topographic Map) เปน็ แผนทแ่ี สดงรายละเอยี ดทงั้ ทางแนวราบและแนวดิง่ หรืออาจแสดงให๎เหน็ เป็น 3 มติ ิ ตวั อย่างแผนท่ีภูมิประเทศ 3.2 แผนท่พี เิ ศษ (Special Map or Thematic Map) สรา๎ งขน้ึ บนแผนที่พ้ืนฐาน เพ่ือใช๎ในกจิ การเฉพาะ อยําง 4. การจาแนกตามมาตรฐานของสมาคมคารโ์ ตกร๏าฟฟีร่ ะหวํางประเทศ (ICA) สมาคมคาร์โตกร๏าฟฟีร่ ะหวาํ ง ประเทศ ได๎จาแนกชนิดแผนที่ออกเปน็ 3 ชนิด 4.1 แผนทภ่ี มู ปิ ระเทศ (Topographic map) รวมทงั้ ผงั เมืองและแผนทีภ่ มู ิศาสตร์ เปน็ แผนที่ที่ให๎ รายละเอียด โดยท่ัวๆ ไป ของภูมิประเทศ โดยสร๎างเป็นแผนทภ่ี มู ปิ ระเทศ มาตราสํวนขนาดเล็ก กลาง และขนาด ใหญํ และไดข๎ ๎อมลู มาจากภาพถํายทางอากาศ และภาพถาํ ยดาวเทยี ม แผนท่มี าตราสํวนเล็กบางทีเรยี กวาํ เปน็ แผน ที่ภูมศิ าสตร์ (Geographical map) แผนท่ีท่วั ไป (General map) และแผนทม่ี าตราสํวนเล็กมากๆ ก็อาจอยใูํ นรปู ของแผนท่เี ลมํ (Atlas map) 4.2 ชาร์ตและแผนที่เสน๎ ทาง (Charts and road map) เป็นแผนท่ีทส่ี รา๎ งข้ึนเป็นเครือ่ งมือประกอบการ เดินทาง โดยปกติจะเปน็ แผนท่ีมาตราสํวนกลาง หรอื มาตราสวํ นเล็ก และแสดงเฉพาะสง่ิ ที่เป็นทีน่ ําสนใจของผู๎ใช๎ เชํน ชารต์ เดินเรือ ชาร์ตด๎านอุทกศาสตร์ เปน็ ตน๎

ตัวอย่างแผนท่เี สน้ ทาง 4.3 แผนทีพ่ ิเศษ (Thematic and special map) ปจั จุบันมคี วามสาคญั มากขึ้น เพราะสามารถใช๎ ประกอบการทาวิจยั เชิงวทิ ยาศาสตร์ การวางแผนและใช๎ในงานดา๎ นวศิ วกรรม แผนท่ชี นิดนี้จะแสดงข๎อมลู เฉพาะ เร่อื งลงไป เชํน แผนทดี่ นิ แผนท่ปี ระชากร แผนที่พืชพรรณธรรมชาติ แผนท่ีธรณีวทิ ยา เปน็ ต๎น ตัวอย่างแผนที่พิเศษ องค์ประกอบของแผนที่ องคป์ ระกอบของแผนท่ที ีจ่ ะกลําวตอํ ไปน้ี หมายถงึ สง่ิ ตาํ ง ๆ ที่ปรากฏอยบูํ นแผํนแผนที่ ซ่ึงผูผ๎ ลติ แผนท่จี ดั แสดงไว๎ โดยมีความมุํงหมายท่ีจะใหผ๎ ูใ๎ ชแ๎ ผนที่ไดท๎ ราบขําวสารและรายละเอยี ดอยํางเพยี งพอสาหรับการใช๎แผนที่ น้นั แผนทีท่ ี่จดั ทาขึน้ กเ็ พือ่ แสดงพนื้ ท่ีใดพ้ืนท่ีหนึ่งซึง่ เรียกวาํ “ระวาง” (Sheet) และในแผนทแ่ี ตลํ ะระวางจะพิมพ์ ออกมาเป็นก่แี ผนํ (Copies) ก็ได๎ วัสดทุ ่ใี ช๎ พิมพ์แผนทคี่ วรมลี กั ษณะสาคัญ คอื ยดื หรือหดน๎อยทสี่ ดุ เมื่อสภาวะ อากาศเปลีย่ นแปลง องคป์ ระกอบแผนที่แตํละ ระวาง ประกอบด๎วย 3 สํวนใหญํ ๆ คือ 1. เสน๎ ขอบระวาง ตามปกตริ ูปแบบของแผนท่ีทั่วไปจะเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มจตรุ สั หรอื ส่ีเหลี่ยมผนื ผ๎า หํางจาก รมิ ทั้งส่ดี ๎านของแผนท่เี ข๎าไปจะมเี สน๎ กน้ั ขอบเขตเป็นรูปส่ีเหล่ียม ซึ่งเรียกวําเส๎นขอบระวางแผนที่ ( Border ) เส๎น ขอบระวางแผนที่บางแบบ ประกอบด๎วยขอบสองช้นั เพ่ือให๎เกิดความสวยงาม สาหรับแผนทภ่ี ูมปิ ระเทศโดยท่ัวไป เส๎นขอบระวางมเี พยี งด๎านละเสน๎ เดียว บางชนิดมีเสน๎ ขอบระวางเพยี งสองด๎านเทาํ นั้น ที่เส๎นขอบระวางแตํละด๎าน จะมีตัวเลขบอกคําพิกดั และคาํ พิกดั ภูมิศาสตร์ (คาํ ของละตจิ ดู และลองตจิ ดู ) หรอื อยาํ งใดอยาํ งหนึ่ง ดงั น้ันในแผน ที่แผนํ หน่งึ เส๎นขอบระวางแผนที่จะก้นั พ้นื ท่ี บนแผํนแผนที่ออกเปน็ สองสํวนด๎วยกนั คือพน้ื ที่ภายในขอบระวาง แผนที่ และพ้ืนทนี่ อกขอบระวางแผนท่ี 2. องคป์ ระกอบภายในขอบระวาง หมายถงึ ส่งิ ท้ังหลายท่แี สดงไว๎ภายในกรอบ ซึ่งล๎อมรอบด๎วยเสน๎ ขอบ ระวางแผนท่ี ตามปกติแลว๎ จะประกอบด๎วยสงิ่ ตาํ ง ๆ ตํอไปน้ี คือ - สญั ลักษณ์ ( Symbol) ไดแ๎ กํ เคร่ืองหมายหรือส่งิ ซ่งึ คิดขึ้นใชแ๎ ทนรายละเอยี ดท่ปี รากฏอยํูบนพืน้ ผิวภูมิประเทศ หรอื ให๎แทนขอ๎ มูลอ่ืนใดที่ต๎องการแสดงไวใ๎ นแผนท่นี ั้น

- สี ( Color) สที ีใ่ ชใ๎ นบริเวณขอบระวางแผนทจ่ี ะเปน็ สีของสญั ลักษณ์ที่ใช๎แทนรายละเอียดหรอื ข๎อมลู ตําง ๆ ของ แผนที่ - ชื่อภมู ิศาสตร์ ( Geographical Names) เป็นตัวอักษรกากบั รายละเอยี ดตาํ ง ๆ ที่แสดงไว๎ภายในขอบระวาง แผนท่ี เพ่อื บอกให๎ทราบวาํ สถานที่น้ันหรือสิ่งน้ันมีชื่อเรยี กอะไร - ระบบอ้างอิงในการกาหนดตาแหน่ง ( Position Reference Systems) ได๎แกํ เส๎นหรือตารางที่แสดงไวใ๎ น ขอบระวางแผนที่ เพ่อื ใชใ๎ นการกาหนดคําพิกัดของตาแหนงํ ตํางๆ ในแผนทน่ี นั้ ระบบอา๎ งองิ ในการกาหนดตาแหนํง มีหลายชนดิ ทีน่ ิยมใชใ๎ นแผนทีท่ ว่ั ไปมี 2 ชนิด คอื - พกิ ดั ภมู ศิ าสตร์ (Geographic Coordinates) ได๎แกํ เส๎นขนานและเสน๎ เมอริเดียนที่บอกคําละติจดู และลองติจดู อาจแสดงไวเ๎ ป็นเส๎นยาวจรดขอบระวางแผนที่ หรอื อาจแสดงเฉพาะสวํ นท่ีตัดกนั เปน็ กากบาท (graticul) อยาํ งเชนํ แผนที่มาตราสวํ น 1:50,000 หรืออาจแสดงเป็นเสน๎ สั้นๆ เฉพาะท่ีขอบ - พิกดั กริด (Rectangular Coordinates) ไดแ๎ กํ เส๎นขนานสองชดุ ทม่ี รี ะยะหาํ งเทําๆ กนั ตัดกนั เป็นรูป ส่ีเหลย่ี มมุมฉาก เส๎นตรงขนานท้ังสองชดุ ดังกลาํ วอาจแสดงไวเ๎ ป็นแนวเส๎นตรงยาวจรดขอบระวาง หรืออาจแสดง เฉพาะสวํ นทต่ี ดั กนั กไ็ ด๎แล๎วแตคํ วามเหมาะสม 3. องคป์ ระกอบภายนอกขอบระวาง หมายถงึ พนื้ ทต่ี ง้ั แตํเส๎นขอบระวางไปถึงรมิ แผํนแผนที่ท้งั สดี่ ๎าน บรเิ วณพน้ื ท่ีดังกลาํ วผ๎ูผลติ แผนท่ีจะแสดงรายละเอียดอันเป็นขาํ วสารหรอื ข๎อมลู ท่ีผใ๎ู ช๎แผนทีค่ วรทราบ และใช๎แผน ทน่ี น้ั ได๎อยาํ งถูกต๎องตรงตามความมํงุ หมายของผผู๎ ลติ แผนท่ี รายละเอียดนอกขอบระวางจะมีอะไรบา๎ งข้นึ อยกูํ ับ ชนดิ ของแผนที่ การหาระยะบนแผนที่ กอํ นอ่ืนตอ๎ งทาความเข๎าใจกํอนวํา ระยะบนแผนท่ี คือ ระยะราบ (Horizontal Distance) เพราะแผนที่ คอื การฉาย (Project) รายละเอียดภูมิประเทศจริงลงบนพ้ืนระนาบหรือพ้ืนราบ ฉะนัน้ แผนท่ีจะมีมาตราสํวน เดยี วกนั หมดท้งั ระวาง การหาระยะทางบนแผนท่ีจึงสามารถกระทาได๎ 2 วธิ ีคือ 1. การหาระยะโดยอาศัยมาตราสํวนของแผนที่ เชนํ เราวดั ระยะบนแผนท่ีมาตราสํวน 1: 50,000 ได๎ 3 เซนตเิ มตร เพราะฉะนนั้ ระยะราบในภมู ิประเทศจริงคือ 3 X 50000 = 150,000 ซ.ม. หรอื 1,500 เมตร หรอื 1.5 ก.ม. 2. การหาระยะโดยอาศยั มาตราสวํ นแบบบรรทดั 2.1 ใหก๎ ระทาโดยนาขอบบรรทดั หรอื ขอบกระดาษเรียบๆ วางทาบให๎ผํานจดุ สองจุดท่ีต๎องการหา ระยะทางบนแผนท่ีแลว๎ ทาเคร่ืองหมายไวท๎ ่ขี อบกระดาษแสดงตาแหนงํ ของจดุ ทั้งสอง 2.2 นาขอบกระดาษไปวางทาบท่ีมาตราสวํ นเส๎นบรรทดั อันมีหนวํ ยวดั ระยะตามต๎องการแล๎วอาํ นระยะบนมาตรา สํวนเส๎นบรรทัด ระยะที่ไดจ๎ ะเป็นระยะราบในภมู ปิ ระเทศจริง สตู รการหาระยะทาง Scale  MD GD MD = ระยะทางบนแผนท่ี (Map Distance) GD = ระยะทางในภูมปิ ระเทศจริง (Ground distance)

ตวั อยําง สมมุตวิ าํ แผนที่มาตราสํวน 1: 50,000 วัดระยะระหวํางจุด ก. ถึง จดุ ข. ได๎ 3.5 เซนตเิ มตร จงหา ระยะทางในภมู ปิ ระเทศจากสูตร 1  3.5 50000 GD GD  500003.5 175000Cm  175000  1.75Km 100000 ตอบ น่นั คือ ระยะในแผนที่ 3.5 เซนตเิ มตร แทนระยะทางในภมู ิประเทศจริง 1.75 กิโลเมตร การอา่ นและแปลความในแผนท่ี การอาํ นและแปลความหมายของแผนทใ่ี หเ๎ ข๎าใจ จาเป็นต๎องรขู๎ ๎อมูลเบ้ืองตน๎ ทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของแผนที่ และทาความเข๎าใจให๎ถูกต๎องเสยี กอํ น เพื่อท่ีจะแปลความหมายและใชป๎ ระโยชน์จากแผนท่ไี ด๎อยํางสมบูรณ์ โดยเฉพาะแผนทภี่ ูมปิ ระเทศแบบลายเสน๎ ซงึ่ เปน็ แผนท่ีพ้นื ฐานท่ีใช๎อยูํแพรหํ ลายในโลก ปัจจุบันนักวิชาการได๎คดิ หาระบบและสญั ลักษณ์ท่เี ป็นสากล ในการกาหนดตาแหนํง เชํน พิกัดภูมศิ าสตร์ (Geographic Coordinates) เปน็ ระบบอ๎างอิงบนผวิ พภิ พ ตาแหนงํ ของจดุ ใดๆ บนพ้นื ผิวพภิ พสามารถ กาหนด ด๎วยคําละตจิ ูด (Latitude) หรอื ทเ่ี รยี กวํา เส๎นขนาน และเสน๎ ลองจิจูด (Longitude) หรือท่ีเรยี กวาํ เส๎นเมอริเดียน แผนท่แี สดงลกั ษณะภูมปิ ระเทศ นอกจากแสดงให๎ทราบถึงตาแหนํงท่ตี ัง้ ระยะทาง และทศิ ทาง สิ่งสาคญั ของแผนทชี่ นดิ นีค้ ือ แสดงความสูงตา่ และทรวดทรงแบบตํางๆ ของภมู ปิ ระเทศ การแสดงลกั ษณะภมู ปิ ระเทศบน แผนที่ มหี ลายวิธี เชํน 1. แถบสี ใช๎แถบสีแสดงความสงู ต่าของภมู ิประเทศท่ีแตกตํางกัน เชนํ สเี ขยี วแสดงพ้ืนทร่ี าบ สีเหลอื งจนถึงสีส๎ม แสดงบริเวณทเ่ี ปน็ ทีส่ งู สนี ้าตาลเปน็ บรเิ วณที่เปน็ ภเู ขา 2. เงา การเขยี นเงาน้ันตามธรรมดานน้ั จะเขียนในลกั ษณะทีม่ แี สงสํองมาจากทางด๎านหน่ึง ถา๎ เป็นท่ีสูงชนั ลกั ษณะ เงาจะเข๎ม ถา๎ เป็นที่ลาดเงาจะบาง วิธีเขียนเงาจะทาใหจ๎ ินตนาการถึงความสูงต่าได๎งาํ ยขึ้น 3. เสน๎ ลาดเขา เป็นการเขยี นลายเสน๎ เพ่ือแสดงความสูงต่าของภูมิประเทศ ลักษณะเส๎นจะเป็น เส๎นสนั้ ๆ ลากขนาน กัน ความหนาและชํวงหาํ งของเส๎นมีความหมายตอํ การแสดงพืน้ ท่ี คือ ถา๎ เส๎นหนาเรียงคํอนขา๎ งชิด แสดงภูมิ ประเทศท่ีสูงชนั ถ๎าหํางกนั แสดงวาํ เป็นท่ีลาด 4. แผนทภี่ าพนูน แผนทีช่ นิดน้ถี า๎ ใชป๎ ระกอบกบั แถบสี จะทาใหเ๎ ห็นลกั ษณะภูมิประเทศไดช๎ ดั เจนยิง่ ขน้ึ 5. เสน๎ ชั้นความสงู คอื เส๎นสมมตุ ทิ ่ีลากไปตามพนื้ ผวิ โลกท่คี วามสงู จากระดบั น้าทะเลปานกลาง เทาํ กนั เส๎นชนั้ ความสงู แตํละเส๎นจึงแสดงลกั ษณะและรปู ตาํ งของพื้นที่ ณ ระดบั ความสูงหนึง่ เทําน้ัน ประโยชนข์ องแผนท่ี 1. ดา๎ นการเมืองการปกครอง เพอ่ื รักษาความม่ันคงของประเทศชาติ ให๎คงอยูํ จาเปน็ จะต๎องมีความร๎ูใน เร่ืองภูมศิ าสตร์การเมือง หรือท่ีเรยี กกนั วํา \"ภมู ริ ฐั ศาสตร\"์ และเคร่ืองมือทีส่ าคญั ของนักภูมิรฐั ศาสตร์ ก็คอื แผนที่ เพ่อื ใช๎ศกึ ษาสภาพทางภูมศิ าสตรแ์ ละนามาวางแผนดาเนนิ การเตรยี มรบั หรือแก๎ไขสถานการณท์ ีเ่ กดิ ข้นึ ได๎ อยาํ งเชํน แนวพรมแดนระหวํางประเทศ จาเป็นต๎องอาศัยแผนทใ่ี นการวางแผนดาเนนิ การ เตรยี มรบั หรอื แก๎ไข สถานการณ์ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ อยํางถูกต๎อง แผนทใ่ี นกิจกรรมทางการเมืองนอกจากแผนทีแ่ นวเขตแดนซง่ึ สาคัญแลว๎ ยัง ต๎องเก่ยี วข๎องกบั แผนท่ตี ําง ๆ มากมาย

2. ด๎านการทหาร ในการพจิ ารณาวางแผนทางยุทธศาสตร์ของทหาร จาเปน็ ต๎อง หาข๎อมูลหรอื ขําวสารที่ เก่ยี วกับสภาพภูมิศาสตร์ และตาแหนงํ ทางส่งิ แวดล๎อมท่ถี กู ต๎องแนํนอนเกี่ยวกับระยะทาง ความสูง เสน๎ ทาง ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทสี่ าคัญ 3. ด๎านเศรษฐกิจและสงั คม ด๎านเศรษฐกิจ เป็นเครื่องบํงช้คี วามเป็นอยูํ ของประชาชนภายในชาติ เพราะฉะนนั้ ทุกประเทศก็มํงุ ที่จะพัฒนาเศรษฐกจิ ของตนเพ่อื ความมง่ั ค่ัง และมัน่ คง การดาเนนิ งานเพื่อพัฒนา เศรษฐกจิ ของแตลํ ะภูมภิ าคท่ีผํานมา แผนที่ เปน็ สง่ิ แรกทต่ี ๎องผลิตขนึ้ มาเพ่ือการใชง๎ านในการวางแผนพฒั นา เศรษฐกจิ และสงั คมแหํงชาติ ก็ต๎องอาศัยแผนท่เี ปน็ ข๎อมลู พ้ืนฐานเพอื่ ให๎ทราบ ทาเลทีต่ ั้ง สภาพทางกายภาพแหลํง ทรพั ยากร และ แผนท่ยี ังชวํ ยใหเ๎ ข๎าใจเกีย่ วกบั ภาพรวมและความสมั พันธร์ ะหวาํ งพื้นที่ได๎มากขึ้น ทาให๎วางแผน และพัฒนาเป็นไปได๎อยํางสะดวกและมีประสทิ ธภิ าพ 4. ด๎านสงั คม สภาพแวดล๎อมทางสังคมมกี ารเปลีย่ นแปลงอยํเู สมอ ทเี่ ห็นชดั คือสภาพแวดลอ๎ มทาง ภมู ิศาสตร์ ซง่ึ ทาใหส๎ ภาพแวดล๎อมทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปการศึกษาสภาพการเปล่ยี นแปลงตอ๎ งอาศัยแผนที่เป็น สาคัญ และอาจชํวยให๎การดาเนินการวางแผนพฒั นาสังคมเปน็ ไปในแนวทางท่ถี ูกต๎อง 5. ดา๎ นการเรียนการสอน แผนที่เป็นตัวสํงเสริมกระตุ๎นความสนใจ และกํอใหเ๎ กิดความเข๎าใจในบทเรยี นดี ขน้ึ ใชเ๎ ป็นแหลํงข๎อมูลทั้งทางด๎านกายภาพ ภมู ิภาค วฒั นธรรม เศรษฐกจิ สถิติและการกระจายของส่ิงตําง ๆ รวมทั้งปรากฏการณท์ างธรรมชาติ และปรากฏการณต์ าํ ง ๆใชเ๎ ปน็ เครือ่ งชวํ ยแสดงภาพรวมของพืน้ ท่ีหรือของ ภมู ภิ าค อนั จะนาไปศึกษาสถานการณแ์ ละวเิ คราะหค์ วามแตกตาํ ง หรอื ความสมั พนั ธข์ องพนื้ ที่ 6. ด๎านสงํ เสริมการทํองเทยี่ ว แผนที่มคี วามจาเปน็ ตอํ นักทํองเทย่ี วในอนั ท่ีจะทาให๎ร๎ูจกั สถานที่ทํองเทยี่ วได๎ งําย สะดวกในการวางแผนการเดนิ ทาง หรือเลือกสถานทท่ี ํองเท่ียวตามความเหมาะสม ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ ความหมายของ Remote Sensing ในอดีตทผ่ี าํ นมาเทคโนโลยภี าพถาํ ยทางอากาศ (Aerial Photograph) และทางภาพถํายดาวเทยี ม (Satellite Imagery) เป็นคาทใ่ี ช๎แยกจากกนั ตํอมาไดม๎ ีการกาหนดศัพทใ์ ห๎รวมใช๎เรียกคาท้งั สองรวมกัน ตลอด จนถึงเทคโนโลยตี าํ งๆ ท่เี กยี่ วกบั ข๎อมูลซงึ่ ไดจ๎ ากตัวรับสัญญาณระยะไกลทเี่ รียกวาํ Remote Sensing คาวํา รโี มทเซนซิง่ (Remote Sensing) เปน็ ประโยคทปี่ ระกอบข้ึนมาจากการรวม 2 คา ซึ่งแยกออกได๎ ดงั น้ี คือ Remote = ระยะไกล และ Sensing = การรบั รู๎ จากการรวมคา 2 คาเข๎าดว๎ ยกัน คาวํา \"Remote Sensing\" จงึ หมายถึง \"การรับรูจ๎ ากระยะไกล\" โดยนิยามความหมายน้ีได๎กลําวไว๎วํา “เป็นการสารวจตรวจสอบ คณุ สมบตั ิส่งิ ใดๆ กต็ าม โดยท่ีมิไดส๎ มั ผสั กับส่ิงเหลําน้ันเลย” ดงั นน้ั คาวาํ \"Remote Sensing\" จึงมีความหมายทนี่ ิยมเรยี กอยาํ งหน่ึงวาํ การสารวจจากระยะไกล โดย ความหมายรวม รโี มทเซนซ่ิง จึงจดั เป็นวทิ ยาศาสตร์ และศิลปะการได๎มาซึ่งข๎อมูลเก่ียวกับวัตถุ พื้นที่ หรอื ปรากฏการณจ์ ากเคร่ืองมือบันทึกข๎อมูล โดยปราศจากการเขา๎ ไปสัมผัสวตั ถุเปูาหมาย ทัง้ นี้ อาศัยคุณสมบัติของ คลื่นแมเํ หลก็ ไฟฟาู เป็นสื่อในการได๎มาของข๎อมูลใน 3 ลักษณะ คือ - คลน่ื รังสี (Spectral) - รูปทรงสณั ฐานของวัตถบุ นพื้นผิวโลก (Spatial) - การเปลย่ี นแปลงตามชํวงเวลา (Temporal)

ปจั จบุ นั ข๎อมูลด๎านน้ีไดน๎ ามาใช๎ในการศึกษาและวจิ ยั อยาํ งแพรหํ ลาย เพราะให๎ผลประโยชน์หลายประการ อาทเิ ชํน ประหยัดเวลา คําใชจ๎ ํายในการสารวจ เกบ็ ข๎อมูล ความถูกตอ๎ ง และรวดเรว็ ทันตํอเหตกุ ารณ์ อยาํ งไรกต็ าม การรบั ร๎จู ากระยะไกลก็ไดร๎ บั การพฒั นาใหก๎ ๎าวหนา๎ โดยมกี ารประดิษฐ์ คดิ ค๎นเครื่องมอื รบั สัญญาณที่มีประสทิ ธิภาพสงู เทคนคิ ที่นามาใชใ๎ นการแปลตีความ ก็ได๎รับการพัฒนาควบคูํกนั ไปให๎มีความถกู ตอ๎ ง แมํนยา และรวดเร็วย่ิงขึ้น จงึ ปรากฏวาํ มกี ารนาขอ๎ มูลทง้ั ภาพถํายทางอากาศ และ ภาพถาํ ยดาวเทียม มาใช๎ ประโยชนเ์ พือ่ สารวจหาข๎อมูลและทาแผนท่เี กย่ี วกับทรัพยากรธรรมชาติกนั อยํางกวา๎ งขวางในปจั จุบนั องคป์ ระกอบของการสารวจระยะไกล องค์ประกอบของการสารวจระยะไกล ประกอบดว้ ย - แหลงํ กาเนดิ พลังงาน (Source of Energy) - วตั ถุและปรากฏการณ์ตาํ งๆ บนพน้ื ผิวโลก (Earth Surface Features) - เคร่ืองมือหรืออุปกรณใ์ นการบนั ทึกข๎อมลู (Sensor) หลักการสารวจข้อมูลระยะไกล การสารวจจากระยะไกล ( Remote sensing) เป็นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแขนงหนึ่ง ทีใ่ ช๎ในการ บงํ บอก จาแนก หรือ วเิ คราะห์คุณลกั ษณะของวัตถุตําง ๆ โดยปราศจากการสมั ผัสโดยตรง Remote sensing เปน็ ศัพทเ์ ทคนิค ที่ใช๎เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมรกิ า ในปี พ.ศ. 2503 ซง่ึ มี ความหมายรวมถึง การทาแผนท่ี การแปลภาพถาํ ย ธรณวี ทิ ยาเชงิ ภาพถําย ฯลฯ การใช๎คารีโมตเซนซงิ เรม่ิ แพรํหลายนบั ตง้ั แตํได๎มีการสงํ ดาวเทยี ม LANDSAT-1 ซงึ่ เป็นดาวเทยี มสารวจ ทรัพยากรธรรมชาตดิ วงแรกข้ึนในปี พ.ศ.2515 พลังงานแมํเหล็กไฟฟาู ที่สะท๎อน หรอื แผํออกจากวตั ถุ เป็นต๎น กาเนดิ ของข๎อมูลทสี่ ารวจจากระยะไกล นอกจากนีต้ ัวกลางอ่นื ๆ เชนํ ความโนม๎ ถํวง หรอื สนามแมํเหลก็ ก็อาจนามาใช๎ในการสารวจจากระยะไกลได๎เชนํ กัน เราสามารถหาคุณลกั ษณะของวัตถุได๎ จากลักษณะการสะท๎อนหรอื การแผพํ ลงั งานแมํเหล็กไฟฟาู จาก วตั ถนุ นั้ ๆนนั้ คือวตั ถุแตํละชนิดจะมีลกั ษณะการสะท๎อนแสงหรอื การแผํรังสีทเ่ี ฉพาะตวั และแตกตํางกันไป ถ๎าวัตถุ หรอื สภาพแวดลอ๎ มเป็นคนละประเภทกัน การสารวจจากระยะไกลจงึ เปน็ เทคโนโลยที ี่ใช๎ในการจาแนก และเข๎าใจ วตั ถุ หรอื สภาพแวดลอ๎ มตํางๆ จากลักษณะเฉพาะตวั ในการสะท๎อนแสงหรือแผํรงั สี เคร่ืองมอื ที่ใช๎วัดคําพลังงานแมเํ หลก็ ไฟฟาู ทีส่ ะท๎อนหรือแผํออกจากวัตถุ เรยี กวาํ เครอ่ื งวัดจากระยะไกล (Remote sensor) หรอื เครอ่ื งวดั (sensor) ตัวอยําง เชํน กล๎องถํายรูป หรือ เครื่องกวาดภาพ (scanner) สาหรับ ยานพาหนะที่ใชต๎ ิดตงั้ เครือ่ งวดั เรียกวาํ ยานสารวจ (platform) ได๎แกํ เคร่อื งบนิ หรือ ดาวเทียม

สาหรับข๎อมลู ท่สี ารวจจากระยะไกลน้นั จะผํานกระบวนการวเิ คราะห์แบบอตั โนมัติด๎วยเครื่องคอมพวิ เตอร์ และ/หรอื การแปลดว๎ ยสายตา แล๎วจึงนาไปประยุกต์ใชใ๎ นด๎านเกษตร การใชท๎ ่ดี นิ ปุาไม๎ ธรณีวิทยา อุทกวิทยา สมทุ รศาสตร์ อตุ ุนิยมวิทยา และสภาวะแวดล๎อม ฯลฯ การวิเคราะหภ์ าพถา่ ยดาวเทียม การวิเคราะห์ภาพจากดาวเทียมด้วยคอมพิวเตอร์ - การเตรยี มภาพ (Data Preparation) - การเตรยี มข๎อมลู กํอนการวเิ คราะห์ (Pre-Processing) - การปรบั ปรุงคุณภาพของข๎อมลู (Image Enhancement) - การกาหนดประเภทข๎อมลู (Nomenclature) - การจาแนกประเภทข๎อมลู (Classification) - การวเิ คราะหห์ ลงั การจาแนกประเภทข๎อมูล (Post-Classification) - การวเิ คราะหค์ วามถกู ต๎อง การวเิ คราะห์ข้อมูลดาวเทียม (Data Analysis) - การแปลภาพดว๎ ยสายตา - การวเิ คราะห์ภาพจากดาวเทียมด๎วยคอมพิวเตอร์

ดาวเทยี มสารวจทรัพยากร ดาวเทียม THEOS (Thailand Earth Observation Satellite) ดาวเทียมสารวจทรัพยากรดวงแรกของ ประเทศไทย - กาหนดข้ึนสวํู งโคจร ปี พ.ศ.2550 - รายละเอียดภาพ 1) 2 เมตร (แบบชวํ งคลน่ื เดียว) ความกว๎างแนวภาพ 22 กม. 2) 15 เมตร (แบบหลายชํวงคลนื่ ) ความกวา๎ งแนวภาพ 22 กม. ประโยชนข์ องรีโมตเซนชิ่ง 1.การพยากรณอ์ ากาศ กรมอุตุนยิ มวิทยาใชข๎ ๎อมูลจากดาวเทยี มเพื่อพยากรณ์ปริมาณ และการกระจายของฝน ในแตํละวัน โดยใชข๎ อ๎ มูลดาวเทียมทีโ่ คจรรอบโลกดว๎ ยความเร็วเทาํ กบั การหมนุ ของโลก ทาใหค๎ ล๎ายกับ เปน็ ดาวเทยี มคงที่(Geostationary) เชนํ ดาวเทยี ม GMS(Geostationary Meteorological Satellite) และ ดาวเทียมโนอา NOAAที่โคจรรอบโลกวนั ละ 2ครงั้ ทาให๎ทราบอัตราความเรว็ ทศิ ทาง และความ รนุ แรงของพายุทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ลํวงหน๎า หรือพยากรณ์อากาศความแห๎งแล๎งท่จี ะเกิดข้นึ ได๎ 2.สารวจการใชป๎ ระโยชนท์ ํดิน 3. สารวจดิน 4.สารวจดา๎ นธรณีวิทยาและธรณีสณั ฐานวทิ ยา 5. การเตือนภัยจากธรรมชาติ 6. ด๎านการจราจร 7. ด๎านการทหาร 8.ดา๎ นสง่ิ แวดลอ๎ ม 9. ด๎านสาธารณสขุ ระบบ GPS ความหมาย GPS เป็นระบบดาวเทยี มทอ่ี อกแบบและจดั สร๎างโดยกองทัพสหรฐั อเมริกา เพ่ือใช๎ในการนาทาง (Navigation) GPS คอื ระบบบอกพิกัดบนพ้ืนโลกโดยใช๎ดาวเทยี ม การรับสัญญาณจากดาวเทยี มทโี่ คจรอยํเู ต็มท๎องฟูา 24 ดวงรบั สญั ญาณอยาํ งน๎อยต๎อง 3 ดวง GPS เป็นเครือ่ งมือหาตาแหนํงพกิ ัดภมู ิศาสตรบ์ นพืน้ ผวิ โลกโดยอาศัยสญั ญาณอา๎ งองิ จากระบบดาวเทียม ทาหน๎าทสี่ ํงสญั ญาณจีพีเอส โดยเฉพาะ มชี ื่อเรยี กอยาํ งเปน็ ทางการวาํ “เครื่องมอื หาพกิ ัดด๎วยดาวเทยี ม”

องคป์ ระกอบหลกั ของระบบ GPS 1. ระบบดาวเทียมในวงโคจรรอบโลก (The Space segment) 2. สถานคี วบคุม (The Control segment) 3. ผ๎ูใช๎งานสญั ญาณจพี เี อส (The User segment) หลกั การทางานของระบบ GPS GPS บอกพิกดั บนพน้ื โลกโดยใชด๎ าวเทียม การรับสัญญาณจากดาวเทยี มทีโ่ คจรอยเูํ ต็มท๎องฟูา 24 ดวง รบั สญั ญาณอยาํ งน๎อยต๎อง 3 ดวง GPS เปน็ เครอ่ื งมือหาตาแหนํงพิกัดภูมิศาสตร์บนพน้ื ผวิ โลก โดยอาศัยสญั ญาณ อ๎างอิงจากระบบดาวเทยี ม ท่ีทาหน๎าทสี่ งํ สัญญาณจพี ีเอสโดยเฉพาะ มชี อ่ื เรยี กอยํางเปน็ ทางการวํา “เครอื่ งมอื หา พิกดั ด๎วยดาวเทยี ม” GPS ในปจั จบุ นั มีหลายรปู แบบ

ประเภทของเครือ่ งรับ GPS ประโยชนข์ องระบบ GPS 1.บอกตาแหนํงวําตอนน้เี ราอยํทู ี่ไหน 2.บนั ทกึ เส๎นทางวําเราไปไหนมาบา๎ ง 3.ระบบนารํองนาทางไปจุดหมายท่ีกาหนด (เคร่อื งบนิ ) 4.ระบบตดิ ตามยานพาหนะ 5.ใชใ๎ นการกาหนดจุดพิกัดผิวโลก เพ่ืองานด๎านระบบสารสนเทศภูมศาสตร์ หรือข๎อมลู คาวเทยี ม 6.ใชใ๎ นการสารวจรังวดั ทดี่ ิน การสารวจพื้นท่ี และการทาแผนท่ี 7.ใช๎ในกจิ กรรมทางทหาร 8.ใชใ๎ นการศึกษาดา๎ นภูมศิ าสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล๎อม 9.การสารวจพื้นท่ี และการทาแผนที่ 10. ใช๎ติดตามการเคลอ่ื นที่ของคน ส่งิ ของ 11. ใชใ๎ นการควบคมุ เครอื่ งจกั ร เชนํ เครือ่ งจกั รทางการเกษตร 12. ใช๎ในการขนสํงทางทะเล 13. ตรวจวดั การเคล่ือนตัวของเปลอื กโลกและสิ่งกํอสรา๎ ง 14. ใช๎อ๎างองิ ในการวัดเวลาทเี่ ทยี่ งตรงทส่ี ุดในโลก 15. ใชใ๎ นการออกแบบเครือขํายคานวณตาแหนงํ ทีต่ ง้ั เชํน โรงไฟฟูา ระบบน้ามัน 16. ใช๎ตดิ ตามความปลอดภยั ดา๎ นสิ่งแวดล๎อม 17. ใชใ๎ นการตดิ ตามอนุรกั ษ์และควบคุมสัตว์ 18. ประยกุ ต์ใชด๎ ๎านกีฬา 19. ใชใ๎ นการเดนิ ทางทํองเที่ยว 20. ใชใ๎ นดา๎ นความมน่ั คงทางทหาร 21. ใชส๎ ารวจรงั วดั ทาแผนท่ี

ระบบ GIS ความหมายและหลักการ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) หมายถึง เครื่องมอื ที่ใชร๎ ะบบ คอมพวิ เตอรเ์ พ่ือใช๎ในการนาเข๎า จดั เกบ็ จัดเตรียม ดดั แปลง แก๎ไข จดั การ และวิเคราะห์ พรอ๎ มทั้งแสดงผลข๎อมลู เชงิ พน้ื ที่ ตามวัตถุประสงคต์ ํางๆ ที่ได๎กาหนดไว๎ ดังนนั้ GIS จึงเปน็ เครอื่ งมือท่ีมปี ระโยชน์เพอ่ื ใช๎ในการจัดการ และบรหิ ารการใชท๎ รัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดลอ๎ ม และสามารถติดตามการเปลยี่ นแปลงขอ๎ มลู ดา๎ นพนื้ ท่ี ให๎เป็นไปอยาํ งมีประสิทธิภาพ เน่อื งจากเป็น ระบบท่ีเกี่ยวข๎องกบั ระบบการไหลเวียนของขอ๎ มลู และการผสานข๎อมูลจากแหลงํ ข๎อมลู ตํางๆ เชนํ ขอ๎ มลู ปฐมภมู ิ (primary data) หรอื ขอ๎ มลู ทุตยิ ภมู ิ (secondary data) เพื่อใหเ๎ ป็นขําวสารท่ีมีคุณคํา องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์

ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ มีองค์ประกอบท่ีสาคัญหลายอยําง แตํละอยาํ งลว๎ นเป็นองค์ประกอบทสี่ าคัญทง้ั ส้นิ แตํ ที่สาคัญประกอบดว๎ ย 4 สํวน คือ 1. ขอ๎ มูล (Data/Information) ขอ๎ มลู ที่จะนาเขา๎ สํูระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ ควรเปน็ ข๎อมลู เฉพาะเรอื่ ง (theme) และเป็นข๎อมลู ที่สามารถนามาใช๎ในการตอบคาถามตาํ งๆ ได๎ตรงตามวัตถุประสงค์ เปน็ ข๎อมูลท่มี ีความ ถกู ต๎องและเชือ่ ถือได๎ และเป็นปัจจบุ นั มากท่ีสดุ อนึ่ง ขอ๎ มูลหรอื สารสนเทศสามารถแบํงออกได๎เป็น 2 ประเภท คือ 1. ขอ๎ มูลทม่ี ลี ักษณะเชิงพ้ืนที่ (spatial data) ข๎อมูลเชงิ พนื้ ที่ เปน็ ข๎อมูลท่ีแสดงตาแหนํงทต่ี ั้งทางภูมิศาสตร์ (geo-referenced data) ของรูปลักษณ์ของพืน้ ที่ (graphic feature) ซ่ึงมี 2 แบบ คอื 1.1ขอ๎ มูลทแี่ สดงทิศทาง (vector data) ประกอบดว๎ ยลกั ษณะ 3 อยําง คือ - ขอ๎ มลู จดุ (Point) เชนํ ที่ตงั้ หมูบํ ๎าน โรงเรียน เปน็ ต๎น - ข๎อมูลเสน๎ (Arc or line) เชนํ ถนน แมํนา้ ทํอประปา เป็นต๎น - ข๎อมลู พื้นท่ี หรือเสน๎ รอบรูป (Polygon) เชนํ พื้นทป่ี าุ ไม๎ ตัวเมือง เปน็ ตน๎ ดงั ภาพที่ 2 - ขอ๎ มลู ท่แี สดงเปน็ ตารางกริด (raster data) จะเปน็ ลักษณะตารางสีเ่ หลยี่ มเลก็ ๆ (Grid cell or pixel) เทาํ กนั และตํอเน่ืองกนั ซ่งึ สามารถอ๎างอิงคาํ พกิ ัดทางภูมศิ าสตร์ได๎ ขนาดของตารางกรดิ หรือความละเอียด (resolution) ในการเก็บข๎อมูล จะใหญหํ รอื เล็ก ข้นึ อยํูกับการจัดแบํงจานวนแถว (row) และจานวนคอลัมน์ (column) ตัวอยํางข๎อมลู ท่ีจัดเก็บโดยใช๎ตารางกริด เชนํ ภาพถาํ ยดาวเทียม Landsat หรือขอ๎ มลู ระดบั คําความสงู (digital elevation model: DEM) เปน็ ต๎น ดังภาพท่ี 3


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook