Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาเอกดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย

Published by ศุภณัฐ ธิบูรณ์บุญ, 2022-03-08 19:58:17

Description: วิชาเอกดนตรีไทย

Search

Read the Text Version

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอ่ื งจงั หวะ และหนา้ ทับเพลงไทย 101 ทบั ปรบไก่และหนา้ ทับสองไม้ของตะโพน ดงั น้ัน บรมครูทาง ด้านเครือ่ งหนัง จงึ คิดประดษิ ฐ์หนา้ ทับปรบ ไก่ และหน้าทับสองไม้ จากโครงสร้างของหน้าทับตะโพนและกลองสองหน้า ให้มาเป็นหน้าทับปรบไก่ และหนา้ ทับสองไมข้ องกลองแขก ตลอดจนหน้าทบั พเิ ศษและหน้าทับเฉพาะ หนา้ ทบั พืน้ ฐาน หนา้ ทบั พืน้ ฐาน แบ่งหนา้ ทบั ออกเปน็ 2 ประเภท คือ ประเภทที่1 \"ประเภทบังคับอัตราจังหวะหน้าทับ\" ท่ีเรียกว่า \"หน้าทับปรบไก่\" มีหลักการใช้หน้าทับ คือ ก) เป็นหนา้ ทับที่ ทบ่ี งั คบั อตั ราจังหวะหนา้ ทับ ใชใ้ นการตรวจสอบเพลงไมใ่ ห้ขาดหรือเกิน ข) เปน็ หนา้ ทับทใี่ ชก้ บั เพลงทมี่ ีทานอง \"ลูกเทา่ \" ค) หน้าทับปรบไก่นีเ้ วลาปฏบิ ัตคิ ร่งึ แรกของหนา้ ทับจะอยู่ตรงกบั ทานองลกู เทา่ ประเภทท2ี่ \"ประเภทไมบ่ ังคับอตั ราจงั หวะหน้าทับ\" ที่เรยี กวา่ \"หนา้ ทบั สองไม\"้ ก) เป็นหน้าทับที่ไม่บังคับอัตราจังหวะหน้าทับในการตรวจสอบเพลงจะขาดหรือเกินได้ถือว่าไม่ ผิดเชน่ เกินหรือขาดหน่งึ ถึงสองหน้าทบั หรอื มากกวา่ ก็ได้แต่ต้องเข้าหนา้ ทบั ใหถ้ ูกต้อง ข) เปน็ หน้าทับที่ใชก้ ับเพลงทีม่ ีทานอง \"ลกู โยน\" ค) หน้าทับสองไม้เป็นหน้าทับที่มีอัตราหน้าทับปรบไก่ครึ่งหน้าทับ และหน้าทับจะมีอัตราที่สั้น และกระชับเหมาะสมกับเพลงที่ไม่บังคับความยาวของทานองเพลงและสามารถใช้ลูกโยนกับเพลงได้ซ่ึง ทานองลกู โยนจะส้นั หรือยาวได้ เพอื่ เปน็ การพักหรือนาเพลงอ่นื มาบรรเลงตอ่ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรือ่ งจังหวะ และหน้าทับเพลงไทย 102 หน้าทับพิเศษ จากหนา้ ทับพื้นฐาน จงึ เป็นบรรทดั ฐานของการนาไปสรา้ ง หน้าทับอื่นๆ ซ่ึงหนา้ ทับพิเศษ หมายถึง หน้า ทับท่ีคิดประดิษฐ์ดัดแปลง มาจากหน้าทับปรบไก่ (แบบบังคับอตั ราจังหวะหน้าทับ) และหน้าทับสองไม้ (แบบไม่บังคับอัตราจังหวะหน้าทับ) และหน้าทับพิเศษนี้สามารถใช้กับเพลงอ่ืนๆได้ไม่เฉพาะกับเพลงใด เพลงหนึ่งซ่ึงถือได้ว่าหน้าทับปรบไก่ และหน้าทับสองไม้เป็น \"หน้าทับพื้นฐาน\" ของหน้าทับอื่นๆ ตัวอยา่ งเชน่ ๑. หนา้ ทับพเิ ศษที่มีพื้นฐานมาจากหนา้ ทับปรบไก่ ๑. หน้าทับพิเศษ/หนา้ ทับสดายงค์ (แขก) ที่ใช้กบั เพลงสาเนียงแขกตา่ งๆ เช่น เพลงแขกหนัง หรอื เพลงสดายงค์ ฯลฯ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรือ่ งจังหวะ และหนา้ ทับเพลงไทย 103 ๒.หน้าทับพิเศษ/หน้าทับเขมร ท่ีใช้กับเพลงสาเนียงเขมรต่างๆ เช่น เพลงเขมรปากท่อ หรือเพลงเขมร ปากท่อ หรอื เพลงเขมรพระปทุม ฯลฯ ๓.หนา้ ทับพเิ ศษ/หนา้ ทับสมงิ ท่ใี ชก้ บั เพลงสมงิ ทอง และเพลงอื่นๆ ๔.หนา้ ทบั พเิ ศษ/หนา้ ทบั พระทอง ที่ใช้กบั เพลงพระทอง เพลงคาหวาน และเพลงอ่นื ๆ ๕.หน้าทบั พิเศษ/หนา้ ทับเบา้ หลุด ทีใ่ ชก้ ับเพลงเบา้ หลดุ เพลงนางไห้ และเพลงอ่นื ๆ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอ่ื งจงั หวะ และหน้าทับเพลงไทย 104 ๖.หนา้ ทบั พิเศษ/หน้าทับสระบหุ ร่ง ท่ใี ชก้ ับเพลงสระบหุ ร่งและเพลงอ่นื ๆ ๗.หน้าทับพิเศษ/หน้าทับบะหล่ิม/หน้าทับข้ึนม้า ที่ใช้กับเพลงบะหลิ่ม โลม ชมโฉม ชมดง และเพลง อน่ื ๆ ๘.หน้าทับพเิ ศษ/หน้าทับลงสรง ทใ่ี ช้กับเพลงลงสรง และเพลงอนื่ ๆ ๒.หนา้ ทบั พิเศษท่มี พี น้ื ฐานมาจากหนา้ ทบั สองไม้ ๑.หน้าทับพเิ ศษ/หนา้ ทับเจา้ เซ็น ทใี่ ช้กับเพลงสาเนยี งแขกต่างๆ เช่น เพลงแขกเชญิ เจ้า ฯลฯ ๒.หน้าทบั พิเศษ/หน้าทับลาว ท่ใี ช้กับเพลงสาเนียงลาวต่างๆ ๓.หน้าทับพเิ ศษ/หน้าทับฝร่งั ที่ใช้กับเพลงสาเนียงฝรง่ั ตา่ งๆ ๔.หน้าทับพิเศษ/หน้าทับพมา่ ท่ีใชก้ ับเพลงสาเนยี งพม่าตา่ งๆ ๕.หนา้ ทบั พเิ ศษ/หน้าทับมอญ ทใ่ี ช้กบั เพลงสาเนยี งมอญ ๖.หนา้ ทบั พเิ ศษ/หน้าทับจีน ท่ใี ช้กบั เพลงสาเนียงจนี ต่างๆ ๗.หน้าทบั พเิ ศษ/หน้าทับญวน ที่ใช้กบั เพลงสาเนียงญวณต่างๆ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งการบรรเลงดนตรีไทยในงานตา่ งๆ 105 การบรรเลง ดนตรีไทยในงานตา่ งๆ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 106 ดนตรีไทยกบั การใชช้ วี ติ ประจาวัน 1. วงป่ีพาทย์ชาตรี เป็นวงดนตรีท่ใี ช้บรรเลงประกอบการแสดงหนังตะลุง และมโนราหข์ อง ทางภาคใต้ 2. ป่ีพาทย์ไม้แข็ง เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงต่างๆ เช่น โขน ลิเก ละคร ฯลฯ นอกจากนี้ ยงั นิยมบรรเลงในงานมงคล เชน่ งานทาบุญเลยี้ งพระ หรอื ในศาสนพิธี และในโอกาสท่ี บรรเลงสาคัญอกี อยา่ งหนง่ึ กค็ อื วงปพี่ าทย์ไมแ้ ข็งใชบ้ รรเลงในงานไหวค้ รดู นตรไี ทย 3. วงป่ีพาทยไ์ มน้ วม มีลักษณะการประสมวงคลา้ ยกับวงปพ่ี าทย์ไม้แขง็ แต่มีเสยี งท่ีนมุ่ นวล กว่า และใช้ไมน้ วมตีระนาดเอก จึงได้ชื่อว่า ปี่พาทย์ไม้นวม มีการตัดเครือ่ งดนตรีที่มีเสียงดังมากออกไป และนาเครือ่ งดนตรีช้นิ อ่ืนเข้ามาแทน นยิ มบรรเลงประกอบการแสดงละคร บรรเลงในงานมงคลทวั่ ไป 4. วงป่ีพาทย์ดึกดาบรรพ์ เป็นวงดนตรีไทยที่ปรบั ปรุงข้ึนเพื่อใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละครดึกดาบรรพ์ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงค์ ลักษณะของ เสียงดนตรีท่ีบรรเลงโดยวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ จะมีเสียงค่อนข้างทุ้ม-ต่า เพราะใช้เคร่ืองดนตรีท่ีมีเสียง ต่าเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันหาดู หาฟัง ได้ยาก เน่ืองจากไม่ค่อยนิยมบรรเลง นอกจากจะเป็นโอกาสพิเศษ จรงิ ๆ เทา่ นั้น 5. วงป่ีพาทยม์ อญ มีลกั ษณะการประสมวงคล้ายวงปพ่ี าทย์ไม้แข็ง แต่เคร่อื งดนตรีส่วนใหญ่ ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของมอญ ซึ่งไทยได้รับเอาแบบอย่างมา และปัจจุบันนิยมบรรเลงเฉพาะใน งานศพเทา่ น้นั 6. วงปี่พาทย์นางหงส์ มลี ักษณะการประสมวงคล้ายวงปี่พาทย์ไมแ้ ข็ง แตม่ เี คร่อื งดนตรีบาง ช้ินแตกต่างออกไป ในสมัยก่อนนิยมบรรเลงในงานศพ แต่ปัจจุบันไม่คอ่ ยมบี รรเลงแลว้ เพราะนิยมใช้วง ปีพ่ าทย์มอญบรรเลงมากกว่าวงปีพ่ าทย์นางหงส์ 7. โอกาสการบรรเลงวงมโหรี วงมโหรีเป็นวงดนตรีท่ีใช้สาหรบั ขับกล่อมนิยมใช้บรรเลงใน งานมงคล โดยเฉพาะงานมงคลสมรส แต่โบราณใช้บรรเลงกล่อมพระบรรทมสาหรับพระมหากษัตริย์ เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในวงนี้ประกอบด้วยเคร่ืองดนตรีในวงปี่พาทย์และวงเคร่ืองสาย หากแต่เครื่อง ดนตรีในวงปพ่ี าทย์ทีน่ าเขา้ มาผสมในมโหรนี ี้ได้ลดขนาดใหเ้ ลก็ ลง เพ่ือใหม้ ีเสียงพอเหมาะกบั เครอื่ งดนตรี ในวงเครอ่ื งสาย และใช้ซอสามสายเขา้ มารว่ มบรรเลงดว้ ย 8. โอกาสการบรรเลงวงเคร่ืองสายไทย วงเคร่ืองสายไทย เป็นวงดนตรีที่เหมาะสาหรับ การบรรเลงในอาคาร ในลักษณะของการขับกล่อมท่ีเป็นพิธีมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยง สังสรรค์ เป็นต้น วงเครื่องสายไทยนี้มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “วงเคร่ืองสาย” มีอยู่ ๒ ขนาด คือ วง เคร่อื งสายวงเลก็ และวงเครื่องสายเคร่ืองคู่ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 107 เพลงบรรเลงประกอบการเทศมหาชาติ ดนตรีสัมพันธ์กับศาสนาน้ัน เราจะสังเกตได้จากเวลาพระข้ึนเทศน์หรือลงจากธรรมาสน์ ปี่ พาทย์จะต้องทาเพลงสาธุการทุกครั้ง และท่ีจะเห็นได้อย่างชัดเจนก็ตอนที่มีเทศน์มหาชาติ ป่ีพาทย์จะ บรรเลงเปล่ียนไปตามกณั ฑ์ท่เี ทศน์ ดงั น้ี จบกัณฑ์ทศพร บรรเลงสาธุการ ประกอบกิริยานอบน้อมนมัสการรับพรทั้งสิบประการของ พระนางผสุ ดี จบกัณฑ์หิมพานต์ บรรเลงเพลงตวงพระธาตุ เพลงนี้ในอัตราช้ันเดียวรวมอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่ง ซึ่งเป็นหน้าพาทย์ประกอบกิริยาอวยทาน แต่ที่นามาบรรเลงประกอบเทศน์มหาชาตินี้ ใช้อัตรา ๒ ช้ัน และเลือกมาเฉพาะเพลงนีก้ ็เพ่ือใหช้ ื่อเป็นเครื่องน้อมนาไปถงึ เหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนโทนพราหมณ์ ตวงพระบรมสารีริกธาตุดว้ ยอกี ประการหนึ่ง แต่สว่ นด้านหนา้ พาทย์มุ่งแต่ประกอบกิรยิ าท่ีพระเวสสันดร ทรงบรจิ าคทานตามท้องเร่ืองทแ่ี ลว้ มาเทา่ น้นั จบกัณฑ์ทานกัณฑ์ บรรเลงเพลงพญาโศกประกอบกิริยาโศกสลดรันทดใจของพระเจ้า กรุงสัญชยั พระนางผุสดี พระนางมัทรี และบรรดาวงศานวุ งศ์ ทีพ่ ระเวสสนั ดรถกู เนรเทศออกจากเมือง จบกัณฑ์วนปเวสน บรรเลงเพลงพญาเดิน ประกอบกิริยาเดินป่าของพระเวสสันดร พระนางมัท รี เจ้าชายชาลีและเจา้ หญิงกัณหา จบกัณฑ์ชูชก บรรเลงเพลงเซ่นเหล้า ประกอบกริ ิยากินอันตะกละตะกลามของพราหมณ์ชูชก บางวงใชเ้ พลงค้างคาวกนิ กลว้ ย(หรือวรเชษฐ)์ ซึ่งเป็นเพลงของชชู กดีเหมอื นกัน จบกัณฑ์จุลพน บรรเลงเพลงรัวสามลา อันเป็นเพลงหน้าพาทย์ ประกอบกิริยาการสาแดง อิทธิฤทธ์ิหรือขู่ขวัญ ซ่ึงพรานเจตบุตรได้แสดงแก่ชูชกตามท้องเร่ืองแต่ถ้าป่ีพาทย์วงใดต้องการให้การ บรรเลงมีรสสูงขึ้น จะใช้เพลงคุกพาทย์ซ่ึงเป็นเพลงหน้าพาทย์ประกอบกิริยาชนิดเดียวกันแต่ระดับสูง กวา่ บรรเลงแทนก็ได้ จบกัณฑ์มหาพน บรรเลงเพลงเชิดกลอง ประกอบกิริยาเดินไปอย่างรีบเร่งของชูชกซ่ึงได้รับ การบอกเล่าหนทางจากจุตฤษีแล้ว จบกัณฑ์กุมาร บรรเลงเพลงเชิดฉ่ิงโอด คือบรรเลงเพลงโอดสลับกับเพลงเชิดฉ่ิง ประกอบ กิรยิ าท่ีชชู กพาชาลีและกัณหาเดินทางไป ถูกเฆี่ยนตรี ้องใหเ้ สยี ทีหนึง่ แลว้ ก็เดนิ ตามไปใหม่สลับกนั ไปดงั น้ี ตลอดทาง จบกัณฑ์มัทรี บรรเลงเพลงทยอยโอด คือการบรรเลงเพลงโอดกับเพลงทยอยสลับกัน ประกอบกิรยิ าคร่าครวญของนางมนั ทรเี ม่ือได้ทราบวา่ พระเวสสนั ดรได้บรจิ าค ๒ กุมาร ใหช้ ชู กไป จบกัณฑ์สักกบรรพ บรรเลงเพลงเหาะอันเป็นเพลงหน้าพาทย์ ประกอบกิริยาเหาะลงของ พระอนิ ทร์ตามทอ้ งเรอื่ งน้ี ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 108 จบกณั ฑ์มหาราช บรรเลงเพลงกราวนอกแสดงถึงการยกพล ซ่ึงพระเจ้ากรุงสญั ชัยยกออกไป เพ่อื รับพระเวสสนั ดร จบกัณฑ์กษัตริย์ บรรเลงเพลงตระนอน ซ่ึงเป็นหน้าพาทย์ประกอบกิริยานอน อันเป็นการ แสดงเนือ้ เร่อื งในกณั ฑ์น้วี ่า ทั้ง ๖ กษตั ริย์ คือ พระเจ้าสัญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันดร พระนางมทั รี เจา้ ชายชาลี และเจ้าหญงิ กณั หา ได้พบปะและบรรทมแรมคนื อยู่ ณ บรเิ วณอาศรมในป่าน้นั จบกัณฑ์นครกัณฑ์ บรรเลงเพลงกลองโยนแล้วเชิด เพลงกลองโยนหมายถึงการยกขบวน เสด็จพยุหยาตราอย่างมีศักด์ิ ส่วนเพลงเชิดน้ันเป็นเพลงหน้าพาทย์แสดงการไปโดยทางไกล ประกอบ เนื้อเรือ่ งที่เชิญเสด็จพระเวสสันดรกลับพระนครดว้ ยขบวนอันเพียบพร้อมไปด้วยอิสรยิ ศักดแ์ิ ละความร่ืน เริงบนั เทงิ ใจ ปี่พาทยป์ ระกอบการเทศน์มหาชาตกิ จ็ บลงด้วยในกัณฑ์ท่ี ๑๓ นี้ ดนตรีในพระราชพิธี พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีฐานันดรสูง ทรงด้วยพระมหาบารมี มีพระราชทรัพย์และพระราช อานาจมากย่อมมีเครื่องประกอบพระราชพธิ ีอันวิจิตรพิสดาร พิธีกรรมก็ยิง่ ใหญ่แสดงถึงพระบรมเดชานุ ภาพอันเกรยี งไกรหาผู้เสมอเหมือนมิได้ พระราชพิธตี ามพระราชประเพณีต่างๆ ที่ปฏิบตั ิสบื ทอดกันมา เป็นวัฒนธรรม มีขนบธรรมเนียมท่ีใช้สืบต่อกันมา บางคร้ังอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกาลสมัย ดังนั้นการประโคมดุริยางคดนตรีจากเคร่ืองดนตรี วงดนตรีหรือบทเพลงท่ีจัดทาข้ึนเพ่ือใช้บรรเลงขับ ร้องประกอบในพระราชพธิ ีโดยปฏบิ ัตใิ หส้ อดคลอ้ งกบั กิจกรรมในพระราชพิธีนั้นๆ ดนตรใี นพระราชพธิ ถี วายผ้าพระกฐนิ พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินนี้เป็นพระราชพิธีที่เก่ียวกับพระพุทธศาสนา อันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทรงเคร่งครัดและทานุบารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญยิ่งขึ้น ถอื เป็นพระราชกรณยี กจิ อันสาคัญที่สืบทอดกันมาจนถึงปจั จุบัน ซ่ึงมีท้งั ทพ่ี ระมหากษัตริย์เสดจ็ พระราช ดาเนินถวายผา้ พระกฐนิ ด้วยพระองค์เองและพระราชทานให้ผู้ใดผูห้ น่ึงนาไปทอดแทนพระองค์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินทั้งท่ีเสด็จพระราชดาเนินด้วย พระองค์เองหรือเป็นกฐินพระราชทานก็ตาม ดนตรีที่ใช้ในพระราชพิธีจะประกอบด้วยวงดนตรีดังน้ี คือ วงป่ีพาทยไ์ ม้แข็ง วงแตรสังข์ วงป่ีกลองแขกในขบวนพยุหยาตรา ซ่ึงพอลาดับการนาวงดนตรีมาบรรเลง ในพระราชพิธนี ้ี ดังน้ี วงป่ีพาทย์ไม้แข็งและวงแตรสังข์ จะต้ังบรรเลงอยู่ ณ บริเวณใกล้พระอุโบสถ การบรรเลงปี่ พาทย์จะเริ่มบรรเลงเมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จถึงบริเวณพระอุโบสถหรือถ้าเป็นกฐินพระราชทานจะ บรรเลงเม่ือประธานของงานผู้ไดร้ ับพระราชทานผ้าพระกฐนิ นั้นมาถึงพระอุโบสถ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการบรรเลงดนตรีไทยในงานตา่ งๆ 109 ในกรณีที่เสด็จพระราชดาเนินโดยขบวนพยุหยาตรา จะมีวงป่ีชวากลองชนะบรรเลง ประกอบอยู่ในขบวน ซงึ่ จะเป่าป่ีชวาดาเนินทานองเพลงแล้วใช้เปิงมางตที ้า มีเสียงขบวนกลองชนะตีรับ อยู่เป็นระยะๆ ไปตลอดทาง และมีวงแตรสังข์คอยเป่าให้เสียงเมื่อถึงหนทางท่ีเลี้ยวหรือแยกสาคัญๆ จนกระท่ังถึงวัด ถา้ เสด็จพระราชดาเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ก็จะมีการจดั เรือเปน็ ริ้วขบวนพยุ หยาตรา โดยในขบวนเรือจะมเี รืออยู่ ๒ ลา ลาหนง่ึ เรยี กว่า “เรอื กลองใน” อกี ลาหนงึ่ เรยี กว่า “เรือกลอง นอก” ซึง่ หมายถงึ เรอื ที่มวี งป่ชี วากลองแขกบรรเลงเป็นทานองเพลงอยู่ในเรือลานั้นๆ เมื่อขบวนเสด็จพยุหยาตราเคล่ือนท่ีมาในลาน้า วงปี่ชวากลองแขกจากเรือกลองในและเรือกลองนอกก็ จะบรรเลงเพลง “สะระหม่า” มาพร้อมกันตลอดทางจนเมื่อเรือพระท่ีนั่งเข้าเทียบท่า จากนั้นวงปี่ชวา กลองแขกก็จะเปล่ียนบรรเลงเป็นเพลง “แปลง” จนเรือเข้าเทียบท่าสนิทจึงหยุดบรรเลง และเม่ือเสด็จ พระราชดาเนนิ ขนึ้ วัดแล้วกเ็ ป็นหนา้ ทข่ี องวงดนตรที ี่บรรเลงอยู่ในบริเวณพระอโุ บสถต่อไป ในการบรรเลงดนตรีในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินน้ัน จะมีวงแตรสังข์ของแผนกพระราช พิธีของราชสานักบรรเลงอยู่คู่กันกับวงป่ีพาทย์ไม้แข็ง เม่ือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช ดาเนินใกล้จะเข้าบริเวณพระอุโบสถ วงแตรสังข์จะเร่ิมเป่าขึ้นแล้วปี่พาทย์ก็จะเร่ิมบรรเลง เพลง “ช้า” จนกว่าจะทรงกราบพระพทุ ธรปู และประทับพระทนี่ ัง่ เรยี บรอ้ ยจงหยุดดว้ ยเสียงการตีระฆงั ของสงั ฆการี การจะบรรเลงหรือหยุดของวงดนตรีในงานพระราชทานผ้าพระกฐินมีกรณีพิเศษอย่างหนึ่ง คือ จะมีเจ้าหน้าที่สังฆการีตีระฆังเป็นสัญญาณ เมื่อเสด็จพระราชดาเนินถึงและประทับพระที่น่ัง เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่สงั ฆการีจะตีระฆังอีกคร้ังหน่ึง ปี่พาทย์หรือดนตรีอื่นก็จะต้องหยุดบรรเลงอย่าง เด็ดขาดโดยไมต่ ้องระวังส่งิ อนั ใดทั้งสิน้ คอื ใหห้ ยดุ พร้อมกันเม่ือส้นิ เสยี งระฆงั ตอ่ มาเม่ือทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรตั นตรัย ก่อนท่ีจะทรงรับส่ังถวายผา้ พระกฐิน เจา้ หน้าที่ สังฆการีก็จะตีระฆังเป็นสัญญาณครั้งหนึ่ง ป่ีพาทย์จะบรรเลงเพลง “สาธุการ” ไปจนกว่าเจ้าหน้าท่ีสังฆ การีตรี ะฆงั อีกครั้ง ป่ีพาทยก์ ็จะหยุดบรรเลงอยา่ งเด็ดขาดพรอ้ มกบั เสยี งระฆัง เม่ือถวายผ้าพระกฐินและอัฐบริขารแก่พระภิกษุสงฆ์เรียบร้อยแล้ว พระสงฆ์ได้ถวายอดิเรก และถวายพระพรลาแล้ว เม่ือจะเสด็จกลับเจ้าหน้าท่ีสังฆการีจึงจะตีระฆังอีกคร้ัง ปี่พาทย์ก็จะบรรเลง เพลง “กราวรา” เมื่อเสด็จพระราชดาเนินออกพ้นจากบริเวณพระอุโบสถไปถึงระยะพอสมควรแล้ววงปี่ พาทย์จึงจะหยุดบรรเลง ในการหยุดคร้ังหลังน้ีสังฆการีไม่ต้องตีระฆัง วงป่ีพาทย์จะต้องพิจารณาเองว่า จะหยดุ เล่นเม่ือเสด็จไปเพยี งใดแคไ่ หน เป็นอันเสร็จพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดหลวงที่มีกาหนดไว้ตามระเบียบของราช สานักแล้ว ดนตรีที่ใช้ในพระราชพิธีดังกล่าวก็ถือปฏิบัติกันมาตามประเพณีโดยกาหนดไว้อย่างมีแบบ แผนท่ีแนน่ อนชัดเจนถือเป็นมรดกอนั ลา้ ค่าของสงั คมไทยเรา ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 110 พระราชพธิ จี รดพระนังคัลแรกนาขวัญ นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยของกรมศิลปากรได้อธิบายไว้ว่า ในพระราชพิธี จรดพระนังคัลนั้น แต่เดิมจะมวี งป่ีพาทย์บรรเลงเพลงกลม ในขบวนแห่พระยาแรกนา แต่ระหว่างท่ีพระ ยาแรกนาประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตลอดเวลาไถ เวลาหว่าน ฯลฯ ดนตรีป่ีพาทย์มิได้บรรเลงเพลงแต่ อย่างใด พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชได้ทรงปรารภกับพระมหาราชครูวามเทพมุนี ว่า พระราชพิธีเงียบเหงาเกินไปให้พระมหาราชครูวามเทพมุนีแจ้งแก่นายมนตรี ตราโมท ให้พิจารณา หาทางบรรเลงดนตรีไทยเวลาทีพ่ ระยาแรกนาปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตา่ งๆ นายมนตรจี งึ ไดบ้ รรจเุ พลงไว้ ดังน้ี พระยาแรกนาอธิษฐานเลือกผา้ นุ่ง ปีพ่ าทยบ์ รรเลงเพลง สาธกุ าร พระยาแรกนาเรมิ่ ประกอบพิธไี ถ ในการไถรี ๓ รอบแรก ปพี่ าทย์บรรเลงเพลง เชิดฉาน พระยาแรกนาไถดะโดยขวาง ๓ รอบ ปพี่ าทยบ์ รรเลงเพลง โคมเวียน พระยาแรกนาไถกลบโดยหวา่ นธัญพืชไปด้วย ปีพ่ าทย์บรรเลงเพลง ปลูกตน้ ไม้ จบด้วยท้ายรัว กระบวนพระยาแรกนาออกจากโรงพิธีพราหมณ์ มายังพลับพลาพระที่นั่ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายบงั คมแล้วกลบั วงปช่ี วากลองชนะประโคมเพลงพญาเดนิ งานพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร กรมศิลปากรนาวงปี่พาทย์ นางหงส์เคร่ืองใหญ่ เข้าประโคมย่ายามร่วมกับวงประโคมของสานกั พระราชวัง จนครบ 100 วัน วันละ 6 ครั้ง มลี าดบั การประโคมดงั นี้ เร่ิมด้วยวงสังข์แตร กับวงปี่ไฉนกลองชนะ ประโคมสลับต่อเนื่องกัน เป็นวงประโคม ลาดับท่ี 1 วงปพ่ี าทยน์ างหงสเ์ คร่อื งใหญ่ ประโคมลาดบั ท่ี 2 วงประโคมลาดับที่ 1 เริ่มด้วยประโคมมโหระทึก ตีประโคมตลอดเวลาจนจบการประโคม ลาดับท่ี 1 วงสงั ขแ์ ตรประโคมเพลงสาหรบั บท จบแล้ววงป่ไี ฉนกลองชนะประโคมเพลงพญาโศกลอยลม เมื่อจบกระบวนเพลงแล้ว วงสงั ข์แตรประโคมเพลงสาหรบั บทอีกคร้ัง ตอ่ ด้วยวงปี่ไฉนกลองชนะ ประโคมเพลงพญาโศกลอยลมอีกคร้ัง จบกระบวนเพลง วงสังข์แตรประโคมเพลงสาหรับบทครง้ั สุดท้าย เป็นการจบการประโคมลาดับท่ี 1 วงประโคมลาดับที่ 2 ปี่พาทยน์ างหงส์เครื่องใหญ่ ประโคมเพลงเรื่องนางหงส์ ประกอบด้วย เพลงพราหมณ์เก็บหัวแหวน เพลงสาวสอดแหวน เพลงกระบอกทอง เพลงคู่แมลงวันทอง และแมลงวัน ทองเปน็ เพลงสุดทา้ ย เมือ่ ประโคมจบ เปน็ การเสร็จการประโคมยา่ ยาม 1 คร้ัง ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 111 การบาเพญ็ พระราชกุศล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดาริให้วงป่ีพาทย์พิธีบรรเลง เร่อื ง ‘ฉ่งิ พระฉัน’ ขณะพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าของทุกวัน จนครบ 100 วัน เพลงฉ่ิงพระฉัน (เชา้ ) ประกอบด้วย 1.เพลงตน้ เพลงฉ่ิง 2.เพลงสรอ้ ยเพลงฉิ่ง 3.เพลงสามเส้า 6.เพลงท้ายถอยหลังเข้า 4.เพลงจระเข้ขวางคลอง 5.เพลงถอยหลังเขา้ คลอง 8.เพลงฉ่งิ นอก คลอง 11.เพลงฉิ่งเลก็ 14.รวั เพลงฉิ่ง 7.เพลงฉง่ิ พระฉัน 4 ทอ่ น 9.เพลงฉง่ิ กลาง 10.เพลงฉิง่ ใหญ่ 12.เพลงฉ่งิ สนาน 13.เพลงฉ่งิ ช้ันเดยี ว เพลงเรื่องฉิง่ พระฉนั เพล ประกอบดว้ ย 1.เพลงกระบอก 2.เพลงแมลงวันทอง 3.เพลงกระบอกทอง 6.เพลงฟองนา้ 4.เพลงตะทา่ ล่า 5.เพลงทา่ น้า 9.เพลงคลน่ื กระทบฝง่ั 12.เพลงพระยาพายเรือ 7.เพลงฝ่ังน้า 8.เพลงมลี ม 15.จบดว้ ยรัวเพลงฉงิ่ 10.เพลงทะเลบ้า 11.เพลงลอยถาด 13.เพลงมดั ตีนหมู 14.เพลงแขกนกกงิ้ โครง การบรรเลงงานอวมงคล 1. วงบัวลอย เป็นชื่อของการบรรเลงดนตรีอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งมีเครื่องดนตรีปะกอบด้วย ปี่ ชวา กลองแขก และฆ้องเหม่ง (ลักษณะเหมือนฆ้องโหม่ง แต่มีลักษณะเล็กกว่า ใช้ไม้ตีที่แข็งกว่า และ นิยมใชม้ ือหิว้ ตีในขณะบรรเลง) วงบัวลอยนม้ี กั ใช้บรรเลงในงานอวมงคล เช่นงานศพ เป็นต้น แตเ่ ดิมวง บัวลอยน้ีประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่เรียกกันว่า “กลองสี่ป่ีหนึ่ง” หมายความถึง มีกลองแขก ๔ ลูก และปีช่ วา ๑ เลา แตใ่ นภายหลังได้ลดจานวนกลองเพยี ง ๒ ลกู อนึ่ง กลองทเี่ รยี กกนั ทั่วไปวา่ กลองแขก นน้ั มีอยู่ ๒ ชนิด คือ ชนิดที่มีสายโยงทาด้วยหวาย เรียกว่า กลองแขก ซ่ึงใช้ในงานมงคลต่างๆ อีกชนิด หน่ึงได้แก่ ชนิดที่มีสายโยงทาด้วยหนัง เรียกว่า กลองมาลายู ใช้แต่เฉพาะในงานอวมงคลต่างๆ ในสมัย โบราณเจ้าภาพงานมงคลจะไม่ยอมให้วงปี่พาทย์ใช้กลองมาลายูเด็ดขาด แต่ในปัจจุบันความคิดน้ีได้จืด จางลงมาแล้ว และกลองแขกสมัยนี้ก็ใช้สายโยงทาด้วยหนัง ซ่ึงบางแห่งก็ได้ก้าวไปใช้เชอื กไนลอ่ นแทนก็ มี ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งการบรรเลงดนตรีไทยในงานตา่ งๆ 112 วงบัวลอยน้ีโดยปกติในการบรรเลงจะขึ้นด้วยเพลงที่มีช่ือว่า “บัวลอย” สาหรับเพลงนี้ท่านครู บาอาจารย์ทางด้านดนตรีแต่สมัยโบราณได้แต่งขยายโดยยึดทานองเพลงที่มีบทขับร้องกันว่า “แต่ช้าแต่ เขาแหย่ ายมา พอถึงศาลา เขากว็ างยายลง” โดยได้แต่งทานองเพลงข้ึนสาหรับทางปี่ชวาโยเฉพาะ พร้อมกับได้แทรกกลเม็ดเพื่อให้เกิดความ ประณีต และไพเราะยิ่งข้นึ ซึ่งนบั วา่ เป็นเพลงชั้นสูงเพลงหน่ึงที่หาคนเล่นไดย้ าก นอกจากทางปี่แล้ว ทาง กลอง (แขก) ท่านได้แต่งทาง (หน้าทับ) ไว้โดยเฉพาะ สาหรับใช้เป็นหน้าทับเฉพาะบรรเลงเป็นเพลง ตามลาดับ ซ่ึงมลี ักษณะแตกต่างกว่าหน้าทับโดยทั่วไป ในการศึกษาต้องศึกษาเปน็ คู่ เพราะบรรเลงในวง บัวลอยน้ีเป็นเรื่องของการใช้เทคนิคและปฏิภาณไหวพริบโดยเฉพาะ คนตีกลอง ๒ คนจะต้องซ้อมจน เกิดความชานาญ เหมือนเป็นคนๆเดียว หากเกดิ การผิดพลาดข้ึนเพียงเล็กน้อย จะเกิดความเสียหายแก่ ผลของการบรรเลงเป็นอยา่ งยงิ่ สาหรับโอกาสในการบรรเลงดว้ ยวงบวั ลอยมี ๒ อยา่ งดว้ ยกันคอื ๑. การประโคมยาม เป็นการท่ีใช้วงบัวลอยประโคมในขณะท่ีมีการตั้งศพเพ่ือสวดพระ อภธิ รรม โดยจะบรรเลงหลงั จากพระสวดอภธิ รรมจบแล้ว และยงั ได้บรรเลงเปน็ ระยะๆอกี เช่น ยามหน่ึง (๒๑.oo น.) ยามสอง (๒๔.oo น.) ยามสาม (๓.oo น.) และย่ารุ่ง (๖.oo น.) ซึ่งเรียกว่าประโคมยาม โดยปรกตเิ จ้าภาพงานศพแต่โบราณมักจะมีดนตรีประโคมตลอดงาน ซ่งึ บางงานก็ใช้เวลาหลายหลายวัน ดังนั้นเมื่อถึงยามหนึ่งๆ ก็มีดนตรีประโคม สาหรับการประโคมแต่ละครั้งจะเริ่มจากเพลงบัวลอยก่อน แล้วจึงจะบรรเลงเพลงประเภท (หน้าทับ) สองไม้ในอัตราสองช้ัน เช่นเพลงครวญหา ช้างประสานงา พญาสเี่ สา แขกไทร เปน็ ต้น ๒. การประชุมเพลิง วงบัวลอยจะเร่ิมการบรรเลงในขณะที่ประธานในพิธีใส่ไฟเพื่อ ประชุมเพลิง โดยจะเร่ิมจากรัวสามลา (รัว ๓ ครั้ง) ก่อน แล้วจึงบรรเลงเพลงดังต่อไปน้ี คือเพลงบัว ลอย นางหน่าย รั่วคน่ั ไฟชุม เพลงเรว็ รวั ค่ัน และออกเพลงนางหงส์ทางหลวง อนึง่ เพลงนางหงส์ได้แต่ มาจากเพลงพราหมณ์เก็บหัวแหวน บางทีเรียกกันว่าเพลงนางหงส์วัดสะเกศ หรือนางหงส์ทางหลวง ซึ่ง ใช้ประโคมกนั อยู่ท่วั ไปในปจั จบุ ัน 2. วงปี่พาทย์มอญ วงป่ีพาทย์มอญ คือการนาเคร่ืองดนตรีมอญ 5 ชนิด ได้แก่ ฆ้องมอญ ป่ี มอญ ตะโพนมอญ เปงิ มางคอก และฆ้องราว มาประสมกับเคร่ืองดนตรีไทยชนิดตา่ งๆ ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฉ่ิง ฉาบ เป็นต้น เกิดเป็นวงดนตรีไทยชนิดใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ท้ังในลักษณะเคร่ือง ดนตรี บทเพลง วิธกี ารบรรเลง ตลอดจนการนาวงดนตรีไปใชใ้ นโอกาสต่างๆ วงปี่พาทย์มอญแท้จริงแล้วใช้บรรเลงได้ในงานมงคล แต่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้บรรเลงในงาน ศพ สืบเนื่องมาจากมีการนาวงป่ีพาทย์มอญไปบรรเลงในงานพระบรมศพสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระราชินีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการบรรเลงดนตรไี ทยในงานตา่ งๆ 113 พระดาริว่า พระราชมารดาของพระองค์นั้นทรงมีเชอ้ื สายมอญโดยตรง จึงโปรดให้นาวงปี่พาทย์มอญมา บรรเลง ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เป็นความเชื่อและยึดถือมาโดยตลอดว่า วงปี่พาทย์มอญเล่นเฉพาะงานศพ เท่านั้น อีกประการหน่ึงก็คือเสียงดนตรีของวงปี่พาทย์มอญโดยเฉพาะปี่มอญ เพราะเสียงของป่ีมอญมี เสียงโหยหวนชวนให้เกิดความเศร้าใจ ต่อมาโบราณจารย์ทางด้านดนตรีไทย ได้เรียบเรียงเพลงไทย สาเนียงมอญขึ้นมาใหม่และกาหนดระเบียบการใช้เพลงเพ่อื บรรเลงในข้นั ตอนต่างๆ ของงานศพ เช่น - เพลงประจาบ้าน ใช้บรรเลงเป็นเพลงแรกหากตั้งศพไว้ท่ีบ้าน และใช้บรรเลงในขณะท่ีทา พิธีวางดอกไมจ้ นั ทเ์ คารพศพ - เพลงประจาวัด ใช้บรรเลงเปน็ เพลงแรกหากตง้ั ศพไว้ทว่ี ดั - เพลงเชิญผี ใช้บรรเลงต่อจากเพลงประจาบ้านหรือเพลงประจาวัด เพื่อเป็นการเคารพส่ิง ศักดิ์สทิ ธติ์ ่างๆ - เพลงยกศพ ใชบ้ รรเลงในขณะท่มี ีการยกศพ เพอื่ การเคลื่อนยา้ ย หรอื ยกศพขึ้นสู่เมรุ - เพลงสาธุการมอญ ใชบ้ รรเลงเม่ือประธานในพิธีจดุ ธปู เทยี นบูชาพระ - เพลงเรว็ มอญ ใช้บรรเลงเม่อื พระสวดเสรจ็ เพลงมอญร้องไห้ ใช้บรรเลงในขณะที่ทาพิธีวางดอกไม้จันท์เคารพศพ ในงานที่มีการพระราชทานเพลิง ศพ แลว้ บรรเลงต่อทา้ ยด้วยเพลงประจาบ้านนอกจากนีย้ ังมีเพลงสาเนียงมอญอ่ืน ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ้ืนบ้าน และเพลงพื้นบา้ นไทย 114 วงดนตรพี ้นื บ้าน และเพลงพนื้ บา้ นไทย ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี น้ื บ้าน และเพลงพนื้ บา้ นไทย 115 หน่วยท่ี 1 วงดนตรีไทยในภาคตา่ งๆ เคร่ืองดนตรีภาคกลาง ประกอบดว้ ยเครอ่ื งดนตรปี ระเภท ดดี สี ตี เปา่ โดยเครอ่ื งดดี ไดแ้ ก่ จะเข้และจอ้ งหนอ่ ง เครอื่ ง สี ได้แก่ ซอดว้ งและซออู้ เคร่ืองตไี ดแ้ ก่ ระนาดเอก ระนาดท้มุ ระนาดทอง ระนาดท้มุ เลก็ ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบและกรับ เครอ่ื งเป่า ได้แก่ ขล่ยุ และป่ี ลักษณะเด่นของเคร่ืองดนตรีภาคกลาง คือ วงป่ีพาทย์ของภาคกลางจะมีการพัฒนาในลักษณะ ผสมผสานกับดนตรีหลวง โดยมีการพัฒนาจากดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวง พร้อมท้งั เพิ่มเครื่องดนตรี มากข้ึนจนเป็นวงดนตรีที่มีขนาดใหญ่ รวมท้ังยังมีการขับรอ้ งท่ีคล้ายคลึงกับป่ี พาทยข์ องหลวง ซง่ึ เปน็ ผลมาจากการถ่ายโยงทางวัฒนธรรมระหว่างวฒั นธรรมราษฎร์และหลวง เครื่องดนตรภี าคเหนือ ในยุคแรกจะเป็นเครอื่ งดนตรีประเภทตี ไดแ้ ก่ ท่อนไม้กลวง ท่ีใช้ประกอบพธิ ีกรรม ในเรอ่ื งภูตผี ปีศาจและเจ้าป่า เจ้าเขา จากนั้น ได้มีการพัฒนาโดยนาหนังสัตว์มาขึงท่ีปากท่อนไม้กลวงไว้กลายเป็น เคร่ืองดนตรที เี่ รยี กวา่ กลอง ตอ่ มามกี ารพฒั นารปู แบบของกลองให้แตกต่างออกไป เช่น - กลองทีข่ ึงปิดดว้ ยหนังสตั วเ์ พียงหนา้ เดียว ได้แก่ กลองรามะนา กลองยาว กลองแอว - กลองท่ีขึงดว้ ยหนังสัตวท์ ้ังสองหน้า ไดแ้ ก่ กลองมองเซิง กลองสองหน้า และตะโพนมอญ - เคร่อื งตีทท่ี าด้วยโลหะ เช่น ฆอ้ ง ฉ่งิ ฉาบ - เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเป่า ไดแ้ ก่ ขลุย่ ยะ่ เอ้ ป่แี น ปม่ี อญ ปสี รไน - เครื่องสี ได้แก่ สะล้อลูก 5 สะลอ้ ลูก 4 และ สะล้อ 3 สาย และเครื่องดีด ได้แก่ พิณเพียะ ปนิ นา่ น (พณิ น่าน) และซงึ 3 ขนาด คือ ซึงนอ้ ย ซึงกลาง และซงึ ใหญ่ สาหรับลักษณะเด่นของเคร่ืองดนตรีภาคเหนือ คือ มีการนาเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เป่า มาผสมวงกันให้มีความสมบูรณ์และไพเราะ โดยเฉพาะในด้านสาเนียงและทานองท่ีพล้ิวไหวตาม บรรยากาศ ความนุ่มนวลออ่ นละมนุ ของธรรมชาติ นอกจากนีย้ งั มกี ารผสมทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ และยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในราชสานักทาให้เกิดการถ่ายโยง และการบรรเลงดนตรีได้ทั้งในแบบ ราชสานักของคุม้ และวงั และแบบพน้ื บา้ นมีเอกลกั ษณเ์ ฉพาะถ่ิน เครื่องดนตรภี าคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มวี ิวัฒนาการมายาวนานนับพนั ปี เริ่มจากในระยะต้น มีการใช้วัสดุท้องถิน่ มาทาเลียนเสียงจาก ธรรมชาติ ป่าเขา เสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงน้าตก เสียงฝนตก ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสั้นไม่ก้อง ใน ระยะต่อมาได้ใช้วัสดุพื้นเมืองจากธรรมชาติมาเป่า เช่น ใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญ้าปล้องไม้ไผ่ ทาให้เสียงมี ความพล้ิวยาวขน้ึ จนในระยะที่ 3 ไดน้ าหนงั สตั ว์และเครื่องหนังมาใชเ้ ป็นวัสดุสรา้ งเคร่ืองดนตรที ี่มีความ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ื้นบา้ น และเพลงพน้ื บ้านไทย 116 ไพเราะและรปู รา่ งสวยงามข้ึน เช่น กรับ เกราะ ระนาด ฆ้อง กลอง โปง โหวด ป่ี พณิ โปงลาง แคน เป็น ต้น โดยนามาผสมผสานเปน็ วงดนตรพี ื้นบ้านภาคอสี านท่ีมลี ักษณะเฉพาะตามพนื้ ท่ี 3 กลมุ่ คอื - กลุ่มอีสานเหนือ และอีสานกลาง จะนิยมดนตรีหมอลาที่มีการเป่าแคนและดีดพิณ ประสานเสยี งรว่ มกบั การขบั รอ้ ง - กลุ่มอีสานใต้ จะนิยมดนตรีกันตรึมซึ่งเป็นดนตรบี รรเลงที่ไพเราะของชาวอีสานใต้ท่ีมีเชื้อ สายเขมร นอกจากน้ียังมีวงพิณพาทย์ และวงมโหรีด้วยชาวบ้านแต่ละกลุ่มก็จะบรรเลงดนตรีเหล่านี้กัน เพ่ือ ความสนุกสนานครื้นเครง ใช้ประกอบการละเล่น การแสดง และพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ลาผีฟ้า ที่ใช้ แคนเป่าในการรักษาโรค และงานศพแบบอีสานท่ีใช้วงตุ้มโมงบรรเลง นับเป็นลักษณะเด่นของดนตรี พ้ืนบา้ นอีสานทแ่ี ตกต่างจากภาคอนื่ ๆ เครือ่ งดนตรภี าคใต้ มีลักษณะเรียบง่าย มีการประดิษฐ์เคร่ืองดนตรีจากวัสดุใกล้ตัวซึ่งสันนิษฐานว่าดนตรีพ้ืนบ้าน ด้ังเดิมของภาคใต้น่าจะมาจากพวกเงาะซาไก ท่ีใช้ไม้ไผ่ลาขนาด ต่าง ๆ กันตัดออกมาเป็นท่อนสั้นบ้าง ยาวบ้าง แลัวตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกับหุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืช ใช้ตี ประกอบการขับรอ้ งและเตน้ รา จากนน้ั กไ็ ดม้ กี ารพฒั นาเปน็ เครอื่ งดนตรีแตร กรบั กลองชนิดต่าง ๆ เชน่ - รามะนา ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กท่ีใช้บรรเลง ประกอบการแสดงมโนรา ซงึ่ ได้รบั อิทธิพลมาจากอนิ เดยี - ตลอดจนเครื่องเป่าเช่น ป่ีนอกและเครื่องสี เช่น ซอด้วง ซออู้ รวมท้ังความเจริญทาง ศิลปะการแสดงและดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ช่ือว่าละคร ในสมัยกรุงธนบุรีน้ันล้วนได้รับ อทิ ธิพลมาจากภาคกลาง นอกจากนย้ี งั มกี ารบรรเลงดนตรพี ้นื บ้านภาคใต้ ประกอบการละเล่นแสดงต่างๆ เชน่ - ดนตรีโนรา ดนตรีหนังตะลุง ที่มีเคร่ืองดนตรีหลักคือ กลอง โหม่ง ฉ่ิง และเครื่องดนตรี ประกอบผสมอื่น ๆ - ดนตรีลเิ กป่า ทีใ่ ชเ้ ครอ่ื งดนตรีรามะนา โหม่ง ฉ่งิ กรบั ปี่ - ดนตรีรองเง็ง ที่ได้รับแบบอย่างมาจากการเตน้ ราของชาวสเปนหรือโปรตเุ กสมาต้งั แต่สมัย อยุธยา โดยมีการบรรเลงดนตรีท่ีประกอบด้วย ไวโอลิน รามะนา ฆ้อง หรือบางคณะก็เพ่ิมกีต้าร์เข้าไป ด้วย ซงึ่ ดนตรรี องเง็งนเ้ี ป็นทีน่ ยิ มในหมชู่ าวไทยมุสลิมตามจังหวดั ชายแดน ไทย- มาเลเซีย ดงั น้ันลกั ษณะ เด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้จะได้รับอิทธิพลมาจากดินแดนใกล้เคียงหลายเชื้อชาติ จนเกิดการ ผสมผสานเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากภาคอนื่ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเน้นจังหวะและลลี าท่ีเร่ง เร้า หนกั แนน่ และคกึ คกั เปน็ ต้นฯ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ้ืนบา้ น และเพลงพื้นบ้านไทย 117 - กาหลอ เป็นวงดนตรีพธิ ีกรรมของภาคใต้ซึง่ ในอดีตใช้ท้ังงานมงคลและอวมงคล ปจั จุบัน ใช้เฉพาะงานอวมงคล เคร่ืองดนตรปี ระกอบดว้ ย - ป่ีกาหลอ 1 เลา - ทน 1 คู่ - ฆ้องกาหลอ 2 ใบ การบรรเลงกาหลอ มีโรงแสดงโดยเฉพาะและสร้างตามแบบแผนท่ีเช่ือต่อๆ กันมา เรียกวา่ โรง ฆ้อง มีเสาจานวน ๖ ตน้ ไมใ่ ชข้ ่ือ หลังคามุงด้วยจากหรอื ทางมะพร้าว หรือวัสดุอืน่ ที่กนั ฝนได้ สว่ นพืน้ ไม่ ยกสูง ปดู ว้ ยไม้กระดาน ตั้งโรงตามแสงตะวนั เรียกวา่ “ลอยหวัน” และมีการตัง้ ห้ิงครูหมอและผา้ เพดาน ไว้ในโรงแสดง ในวงดนตรีกาหลอคนเป่าป่ีเรียกว่า “หมอปี่” เป็นผู้นาทานอง นายทนตีทนตามจังหวะ เพลงป่ี และนายฆอ้ ง ตฆี อ้ งตามจงั หวะเพลงทน เพลงท่ีคณะกาหลอใช้บรรเลงน้ันมีหลายเพลง เช่น เพลงสร้อยทอง เพลงจุดไต้ เพลงสุริยัน เพลงคุมพล เพลงทองศรี เพลงแสงทอง เพลงนกเปล้า เพลงทอมท่อม เพลงตั้งซาก (ศพ) เพลงยายแก่ เพลงโก้ลม และเพลงซัดผ้า ฯลฯ ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงท้ังหมด โดยไม่มีการขับร้องหรือการแสดงอื่นๆ ประกอบ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ้ืนบ้าน และเพลงพ้นื บ้านไทย 118 หนว่ ยท่ี 2 เพลงพ้ืนบา้ น 4 ภาค 1. เพลงพื้นบา้ นภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นเพลงโตต้ อบหรือเพลงปฏิพากย์ เป็นเพลงท่ีหนุ่มสาวใชร้ ้องโต้ตอบเก้ียวพาราสีกัน มักร้องกันเป็นกลุม่ หรือเป็นวง ประกอบด้วย ผู้ร้องนาเพลงฝา่ ยชายและฝ่ายหญิงที่เรียกว่า พ่อเพลง แม่ เพลง ส่วนคนอื่นๆ เป็นลูกคู่ร้องรับ ให้จังหวะด้วยการปรบมือ หรือใช้เคร่ืองดนตรีประกอบจังหวะ เช่น กรับ ฉิ่ง เพลงโต้ตอบนี้ ชาวบ้านภาคกลางนามาร้องเล่นในโอกาสต่างๆ ตามเทศกาล หรือในเวลาที่มา รวมกลุ่มกัน เพื่อทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางเพลงก็ใช้ร้องเล่นไม่จากัดเทศกาล แบ่งได้ 5 กลุม่ คอื เพลงท่ีนิยมร้องเล่นในฤดนู า้ หลาก เทศกาลกฐินและผา้ ปา่ ในช่วงเทศกาลออกพรรษา ไดแ้ ก่ - เพลงเรือ (ร้องกันท่ัวไปในลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา โดยเฉพาะพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สงิ หบ์ ุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี) - เพลงครึ่งท่อน เพลงไก่ป่า (ปรากฏชื่อในหนังสือเก่าก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ว่าร้องอยู่แถบ พระนครศรอี ยธุ ยา) - เพลงหน้าใย เพลงยมิ้ ใย เพลงโซ้ (นครนายก) - เพลงราพาข้าวสาร (ปทุมธานี) - เพลงรอ่ ยภาษา (กาญจนบุรี) เพลงท่ีนิยมเล่นในเทศกาลเก็บเกี่ยว เป็นเพลงที่ร้องเล่นในเวลาลงแขกเก่ียวข้าว และนวดข้าว ไดแ้ ก่ - เพลงเกี่ยวข้าว เพลงกม้ (อ่างทอง สุพรรณบรุ )ี - เพลงเต้นกา (อา่ งทอง พระนครศรอี ยุธยา) - เพลงเต้นการาเคยี ว (นครสวรรค์) - เพลงจาก (อ. พนมทวน กาญจนบุร)ี - เพลงสงฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบรุ ี อา่ งทอง สงิ ห์บุรี) - เพลงพานฟาง (สุพรรณบุรี กาญจนบุรี) - เพลงสงคอลาพวน (กาญจนบรุ ี นครปฐม ราชบรุ )ี - เพลงชกั กระดาน (กาญจนบรุ ี ราชบรุ ี นครปฐม สิงหบ์ รุ ี อ่างทอง) - เพลงโอก (ราชบุรี ใชร้ ้องเล่นเวลาหยดุ พกั ระหวา่ งนวดขา้ ว) ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองวงดนตรีพื้นบา้ น และเพลงพน้ื บา้ นไทย 119 เพลงที่นิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ เป็นเพลงท่ีร้องเพื่อความสนุกสนาน รื่นเริง และบาง เพลงเป็นเพลงทีใ่ ช้ประกอบการละเลน่ ของหนุ่มสาว ไดแ้ ก่ - เพลงพิษฐาน (พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ สุโขทัย กาแพงเพชร ตาก) - เพลงพวงมาลยั (นครปฐม เพชรบุรี กาญจนบุรี อ่างทอง นครสวรรค์) - เพลงระบา เพลงระบาบา้ นไร่ (พระนครศรอี ยุธยา ลพบุรี อา่ งทอง สพุ รรณบรุ ี) - เพลงฮินเลเล (พระนครศรอี ยธุ ยา นครสวรรค์ สโุ ขทยั พษิ ณุโลก) - เพลงคลอ้ งช้าง (สพุ รรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม) - เพลงช้าเจา้ หงส์ (พระนครศรอี ยุธยา) - เพลงชา้ เจ้าโลม (นครสวรรค์ อทุ ยั ธาน)ี - เพลงเหยอ่ ย (กาญจนบุรี) - เพลงกร่นุ (อุทยั ธานี พษิ ณโุ ลก) - เพลงชักเยอ่ (อุทัยธาน)ี - เพลงเขา้ ผี (เกอื บทุกจังหวดั ของภาคกลาง) - เพลงสังกรานต์ (เป็นเพลงใช้ร้องย่ัวประกอบท่ารา ไม่มีช่ือเรียกโดยตรง ในที่น้ี เรียกตาม คาของยายทองหลอ่ ทาเลทอง แมเ่ พลงอาวโุ สชาวอยธุ ยา) เพลงท่ใี ช้ร้องเวลามารวมกนั ทา้ กิจกรรมอย่างหนง่ึ ได้แก่ - เพลงโขลกแป้ง (ร้องโต้ตอบกันเวลาลงแขกโขลกแป้งทาขนมจีน ในงานทาบุญ ของชาว อ่างทอง ชาวนครสวรรค์) - เพลงแห่นาคหรอื สงั่ นาค (ร้องกันทั่วไปในภาคกลาง ในงานบวชนาคขณะแห่นาคไปวัดหรือ รบั ไปทาขวญั นาค) เพลงที่ร้องเล่นไม่จา้ กดั เทศกาล เปน็ เพลงท่ีร้องเพ่ือความสนุกสนานร่ืนเริงในงานบุญประเพณี ต่างๆ ร้องราพันแสดงอารมณ์ความรู้สึก ร้องประกอบการละเล่น หรือร้องโดยที่มีวัตถุประสงค์อย่างใด อย่างหน่ึง ได้แก่เพลงเทพทอง (เป็นเพลงพื้นบ้านท่ีเก่าที่สุด ตามหลักฐานในวรรณคดีและหนังสือเก่า บนั ทกึ ไว้ว่า นิยมเล่นตัง้ แตส่ มยั อยุธยา สมยั ธนบรุ ี สมยั รตั นโกสินทร์ จนถงึ รัชกาลที่ ๖) - เพลงลาตัด - เพลงโนเนโนนาด - เพลงแอว่ เคล้าซอ - เพลงแหเ่ จา้ บ่าว - เพลงพาดควาย - เพลงปรบไก่ - เพลงขอทาน - เพลงฉอ่ ย - เพลงทรงเครอื่ ง - เพลงระบาบา้ นนา - เพลงอีแซว - เพลงราโทน - เพลงสาหรับเด็ก ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองวงดนตรีพื้นบ้าน และเพลงพน้ื บ้านไทย 120 เพลงพื้นบา้ นภาคอสี าน ภาคอีสานเปน็ แหลง่ รวมกลุ่มชนทม่ี ีวัฒนธรรมแตกตา่ งกันถึง 3 กลมุ่ จึงมีเพลงพ้ืนบา้ นแบง่ เป็น - ประเภท ดังน้ี 1. เพลงพน้ื บ้านกลุ่มวฒั นธรรมไทย-ลาว 2. เพลงพน้ื บ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย (กูย) 3. เพลงพ้ืนบา้ นกลมุ่ วฒั นธรรมไทยโคราช เพลงพื้นบ้านกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว กลมุ่ ชนกลมุ่ นี้ ไดแ้ ก่ ประชาชนในจังหวดั หนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร นครพนม กาฬสินธ์ุ มหาสารคาม รอ้ ยเอด็ ขอนแกน่ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร อบุ ลราชธานี บรุ รี มั ย์ และบางส่วนของจงั หวัด ศรีสะเกษ กลุ่มชนนี้ใช้ภาษาถ่ิน คือ ภาษาอีสาน เพลงพื้นบ้านของกลุ่มวัฒนธรรมไทย- ลาว มี 2 ประเภท คือ หมอลา และเซิง้ ก. หมอลา้ หมอลาเป็นเพลงพื้นบ้านที่นิยมมากในภาคอีสาน ไดพ้ ฒั นาการแสดงเป็นคณะ มี การฝึกหัดเป็นอาชีพ รับจ้างไปแสดงในงานต่างๆ มีทานองลา เรียกตามภาษาถิ่นว่า \"ลาย\" ที่นิยมมี ดว้ ยกนั 4 ลาย คอื 1. ลายทางเส้น 2. ลายทางยาว 3. ลายลาเพลนิ 4. ลายลาเตย้ ข. เซง้ิ หรือลาเซง้ิ คาว่า \"เซิ้ง\" หมายถึง การฟ้อนรา เชน่ เซ้งิ กระติบ หรือทานองเพลงชนิด หน่ึง เรียก ลาเซ้ิง เซ้ิงท่ัวไปมี ๓ แบบ คือ เซ้ิงบั้งไฟ เซ้ิงเต้านางแมว และเซ้ิงเต้านางด้ง การเซ้ิงน้ีมักจะ เป็นกลุ่มย่อยๆ ต้งั กระบวนแหไ่ ปขอปจั จยั เพื่อร่วมทาบญุ งานวัด เพลงพ้ืนบ้านกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย (กูย) เป็นกลุ่มประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์ มีภาษาของ ตนเอง คือ ภาษาเขมร และภาษาส่วย(กูย) ซ่ึงต่างไปจากภาษาถิ่นอ่ืนๆ นอกจากนี้ ยังมีวัฒนธรรม เฉพาะถิ่น โดยเฉพาะเพลงพ้นื บ้านทีเ่ รียกว่า \"เจรยี ง\" ซ่ึงแปลว่า รอ้ ง หรอื ขบั ลา การเลน่ เจรียงนัน้ มีทั้งท่จี ดั เปน็ คณะ และเล่นกันเองตามเทศกาล เปน็ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. เจรียงในวงกันตรึมวง ซ่ึงเป็นวงดนตรีประกอบด้วย ป่ีออ ปี่ชลัย กลอง กันตรึม ฉ่ิง ฉาบ กรับ ปัจจุบันมีซออู้ และซอด้วงด้วย เม่ือเจ้าภาพจัดหาวงกันตรึมมาเล่น ก็จะมีการร้องเพลง คือ เจรียง ประกอบวงกันตรมึ เน้อื ร้องจะเลอื กใหเ้ ขา้ กับงานบญุ กุศลนั้นๆ หรอื ตามที่ผฟู้ ังขอมา ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ืน้ บ้าน และเพลงพนื้ บา้ นไทย 121 2. เจรียงเป็นตัวหลัก ในวันเทศกาล ชาวบ้านท่ีมีอารมณ์ศิลปินจะจับกลุ่มร้องเจรียงที่จาสืบ ทอดกันมา ผลัดกนั รอ้ ง และราฟอ้ นด้วย เชน่ เจรียงตรษุ เจรียงนอรแกว (เพลงร้องโต้ตอบระหวา่ งชาย- หญิง) เพลงพน้ื บ้านกลมุ่ วฒั นธรรมไทยโคราช กลุ่มชนวัฒนธรรมไทยโคราช ได้แก่ ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และบางส่วนของจังหวัด บุรีรัมย์ เพลงพื้นบ้านของชนกลุ่มน้ี คือ เพลงโคราช ปัจจุบันพัฒนาจากเพลงพื้นบ้านมาเป็นคณะหรือ เป็นวง มีการฝึกหัดเป็นอาชีพ รับจ้างแสดงในงานบุญ งานมงคล งานแก้บนท้าวสุรนารี เนื้อร้องโต้ตอบ ระหว่างชาย-หญิง กลอนเพลงมีหลายแบบ เชน่ เพลงคู่สอง เพลงคู่สี่ ใช้ปรบมือตอนจะลงเพลงแล้วร้อง \"ไช ยะ\" เพลงพน้ื บา้ นภาคเหนอื ชีวิตของผู้คนในภาคเหนือ หรือชาวล้านนา ผูกพันอยู่กับเสียงเพลงตลอดเวลาตั้งแต่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว จนถึงวัยชรา เพลงพ้ืนบ้านภาคเหนือเป็นบทร้องมุขปาฐะ คิดคาร้องขึ้นด้วยปฏิภาณไหว พริบ ขับร้อง ได้ฟัง และจดจาสืบทอดกันมาหลายช่ัวอายุ เพลงพ้ืนบ้านภาคเหนือท่ียังเป็นที่รู้จัก และมี การร้องเล่นกันอยบู่ างแห่งจนถงึ ปจั จุบัน ซง่ึ จะกลา่ วถึงในท่ีน้ีมี ๓ ประเภท คอื เพลงส้าหรับเด็ก ได้แก่ เพลงกล่อมเด็ก และเพลงร้องเล่น พบว่า มีการร้องกันในจังหวัด เชยี งใหม่ เชียงราย ลาพูน ลาปาง แพร่ น่าน พะเยา และแมฮ่ อ่ งสอน - เพลงกล่อมเด็ก ผู้ใหญ่ใช้ร้องขับกล่อมให้เด็กหลับ มักเรียกว่า เพลงอื่อ ชา ชา (ออก เสยี งวา่ อื่อ จา จา) ตามเสียงท่ีเออื้ นออกมาตอนขึ้นตน้ เพลง เพ่อื ให้เกิดความน่มุ นวล ชวนให้เด็กหลบั ไป ได้ง่าย เนื้อเพลงมีลักษณะคาประพันธ์ที่ไม่ตายตัว จานวนคาและสัมผัสไม่เคร่งครัดเช่นเดียวกับเพลง พื้นบ้านอื่นๆ ส่วนทานองเป็นทานองร่า (ฮ่า) โดยเอื้อนเสียงทอดยาวที่พยางค์สุดท้ายของวรรค และ เปล่งเสยี งขึ้นลง ตามระดับสงู ตา่ ของเสียงวรรณยุกต์ - เพลงร้องเล่น ได้แก่ เพลงสกิ ก้องกอ เป็นเพลงทใี่ ช้ร้องเล่นกับเดก็ โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ เมื่อวางไว้บนหลังเท้าพ่อ และยกขาข้ึนลงตามจังหวะเพลง เพลงสิกจุ่งจา เป็นเพลงที่รอ้ งเมอ่ื ไกวชงิ ช้าให้ เดก็ เล่น นอกจากน้ี มีเพลงที่เด็กร้องเลน่ อน่ื ๆ เชน่ เพลงฝนตกสุยสยุ เพลงเก่ียวหญ้าไซหญ้าปล้อง เพลง หมาหางกดิ และเพลงสาหรบั เลน่ จ้าจ้ี จ๊อย จ๊อย เป็นเพลงพื้นบา้ นท่เี กดิ จากประเพณีการพบปะพดู คุยเกี้ยวพาราสีในตอนกลางคืน เรยี กว่า \"แอ่วสาว\" ระหว่างที่หนุ่มๆ เดินไปเย่ียมบ้านสาวที่ตนหมายปองเอาไว้ ก็เอ้ือนเสียงร้องจ๊อยเท่ากับเป็น การส่งสัญญาณให้สาวจาเสียงได้ด้วย การร้องเป็นการจาบทร้อง และทานองสืบต่อกันมาโดยไม่ต้อง ฝกึ หดั อาจมีดนตรปี ระกอบหรือไมม่ กี ็ได้ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองวงดนตรพี ้นื บา้ น และเพลงพนื้ บา้ นไทย 122 ซอ เป็นเพลงพ้ืนบา้ นภาคเหนือที่ชายหญงิ ขับร้องโต้ตอบกนั ผู้ร้องเพลงซอ หรือขับซอ เรียกว่า ช่างซอ เร่ิมจากร้องโต้ตอบกันเพียงสองคน ต่อมา พัฒนาเป็นวงหรือคณะ และรับจ้างเล่นในงานบุญ มี ดนตรปี ระกอบ ได้แก่ ปี่ ซึง และสะล้อ มเี น้ือรอ้ งเข้ากบั ลกั ษณะของงานบุญนั้นๆ เช่น ซอเรียกขวัญ เป็น การทาขวัญนาค ซอถ้อง เป็นซอโต้ตอบเกี้ยวพาราสีกัน ซอเก็บนก เป็นบทชมธรรมชาติ ชมนกชมไม้ ซอว้อง เป็นซอบทสั้นๆ ใช้ร้องเล่น ซอเบ็ดเตล็ดเรื่องต่างๆ เช่น ซอแอ่วสาวป่ันฝ้าย ซอเง้ียวเกี้ยวสาว และซอที่เล่นเป็นเรอ่ื งนิทาน เชน่ น้อยไจยา เจ้าสุวัตร-นางบวั คา และดาววีไกห่ น้อย สว่ นทานองท่ีใช้ขับ ซอมีหลายทานองตามความนิยมในแต่ละท้องถ่ิน เช่น ทานองข้ึนเชียงใหม่ จะปุ ซอเมืองน่าน ละม้าย เชยี งแสน ซอพมา่ และทานองเงี้ยว เพลงพื้นบ้านภาคใต้ เพลงพื้นบ้านภาคใต้มีค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ แต่ยังรักษารูปแบบ พนื้ เมืองได้มาก นิยมเลน่ กันเองตามเทศกาลต่างๆ โดยไมม่ ีการรับจ้างแสดง และไม่ถือเป็นอาชีพ เพลง พื้นบ้านภาคใต้ท่ีสาคัญๆ ได้แก่ เพลงเรือ เพลงบอก เพลงนา เพลงกลอ่ มนาคหรือแห่นาค และเพลงร้อง เรือหรอื เพลงชานอ้ งซง่ึ เปน็ เพลงกล่อมเดก็ เพลงเรือ เป็นเพลงพื้นบ้านประเภทหน่ึง ใช้เล่นในเรือ นิยมเล่นในเดือนสิบเอ็ด หรือเดือนสิบ สองหลังออกพรรษาแล้ว ภาคใต้จะมีงานประเพณีชักพระหรือแห่พระ ผู้เล่นเพลงเรือเป็นชาวบ้านท่ีอยู่ ใกล้แม่น้า ลาคลอง หรือทะเลสาบ เช่น อาเภอไชยา อาเภอเกาะสมุย อาเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ ธานี อาเภอหาดใหญ่ อาเภอเมืองฯ อาเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา และจังหวัดชุมพร การเล่นเพลงเรือ มี เรือเพลงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเริ่มต้นร้องกลอนไหว้ครูก่อน จากนน้ั ก็ว่ากลอน ชักชวนเรือเพลงอีก ฝ่ายให้มาร้องเล่นกัน แล้วร้องโต้ตอบกันด้วยปฏิภาณไหวพริบ ท้ังในเชิงเกี้ยวพาราสี โต้คารมอย่างเผ็ด ร้อน และกระเซ้าเย้าแหย่กัน มกั นาเอาเหตุการณ์บา้ นเมือง หรือสภาพแวดล้อมมาสอดแทรกในเน้ือร้อง เพ่ือให้เกิดอารมณ์ขัน หรือเสียดสีประชดประชันกัน ในระหว่างท่ีร้องเพลงเรือนั้น ผู้พายต้องพายให้เข้า กบั จังหวะของเพลงด้วย เพลงบอก เป็นเพลงพ้ืนบา้ นที่นิยมเล่นในวันสงกรานต์ (ก่อนหรือหลังก็ได้) เพ่ือบอกความหรือ ประกาศวันสงกรานต์ว่า ปีนี้นาคให้น้าก่ีตัว วันใดเป็นวันธงชัย วันอธิบดี ฯลฯ เพลงบอกอาจเล่นในงาน บญุ ต่างๆ หรืองานประจาปีกไ็ ด้ เพลงนา เพลงพื้นบ้านของชาวชุมพร ใช้ร้องเล่นเมื่อจับกลุ่มเดินไปนา และร้องระหว่างเกี่ยว ขา้ ว ลกั ษณะคาประพันธ์เป็นกลอนสุภาพ แต่วรรคหนึ่งอาจมี ๙ - ๑๑ คาแล้วแต่เนื้อความท่ีร้อง และใช้ สมั ผัสทา้ ยวรรคเป็นเสียงเดียวกันทีเ่ รียกว่า กลอนอา กลอนอี การรอ้ งเพลงนาต้องมีคู่ขบั รอ้ งดว้ ยคนหน่ึง ผรู้ ้องนาต้นบทเรียกว่า แม่เพลง ค่ขู ับร้องเรียกว่า ท้ายไฟ และเมื่อร้องจบบทหน่ึงอาจเปลี่ยนกันเป็นแม่ เพลง หรือท้ายไฟก็ได้ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องวงดนตรพี ื้นบ้าน และเพลงพ้ืนบ้านไทย 123 เพลงกล่อมนาค หรือเพลงแห่นาค เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยพุทธแถบแหลมสทิงพระ จังหวัดสงขลา ใช้ร้องกล่อมนาคตอนแห่นาคออกจากบ้านไปวัด และตอนแห่เวียนรอบพระอุโบสถ นอกจากร้องเพ่ือความสนุกสนานคร้ืนเครง เน้ือหาของบทเพลงยังเป็นการอบรมส่ังสอนนาคก่อนเข้า บรรพชาอุปสมบท ขอความเป็นสริ ิมงคลจากเทวดา และบางตอนก็ร้องล้อเลยี นนาคเก่ียวกับหญงิ คนรัก ดว้ ย คณะเลน่ เพลงกล่อมนาคมแี ม่เพลง ๑ - ๒ คน และลูกคู่ ๕ - ๑๐ คน เดนิ ลอ้ มตวั นาค และร้องเพลง กลอ่ มไปตลอดทางจนถึงพระอโุ บสถ มแี บบแผนการร้องนาและร้องรบั ดังตวั อยา่ ง เพลงร้องเรือ หรือเพลงชาน้อง เป็นเพลงกล่อมเด็กของภาคใต้ ใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอนหลับ ลกั ษณะคาประพันธ์เปน็ กลอนชาวบ้าน โดยทวั่ ไป ๑ บท มี ๘ วรรค ในแต่ละวรรค มี ๔- ๑๐ คา แล้วแต่ เน้ือความ และบางเพลงอาจมีความยาวถึง ๓๐ วรรค เพลงร้องเรือ หรือเพลงชานอ้ ง ส่วนมากร้องเกริ่น นาด้วยคาว่า \"ฮาเอ้อ\" และจบท้ายวรรคแรกด้วยคาว่า \"เหอ\" เน้ือหาสาระเป็นการขับกล่อมให้เด็กนอน หลับเร็ว และหลับสนิท ด้วยความอบอุ่น ท้ังกายและใจ หลายบทได้สอดแทรกคาสอนในการประพฤติ ปฏิบัติตน ปลกู ฝงั คณุ ธรรม และสะท้อนเรอ่ื งราวท่เี กิดขึ้นในสงั คมด้วย ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 124 ทฤษฎี การเรยี นการสอนดนตรี ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรยี นการสอนดนตรี 125 ประวตั ิการสอนดนตรีไทย 1. ยุคเรมิ่ ต้น (สมยั กรุงสุโขทยั พ.ศ. 1800 - 1981) ผสู้ อน - ขา้ ราชบริพาร - ชาวบ้าน - ชาวบา้ น - พราหมณ์ (ในวงั ) - ขา้ ราชบริพาร หลักสตู ร ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกหลักสูตรดนตรีไทยแต่สนั นิษฐานได้จากศิลาจารึกว่ามกี ารสอนขับร้อง และบรรเลดนตรีไทยมดี นตรีเพอื่ ขับกล่อม ดนตรีเพื่อเฉลิมพระเกยี รติ เช่น ดนตรใี นการแห่ การประโคม ใหพ้ ระมหากษตั ริยแ์ ละเจ้านายชั้นสูง และดนตรีสาหรบั การแสดงนาฏศลิ ป์ วิธีการสอน - สอนแบบมุขปาฐะโดยครูเป็นผู้สาธิตแก่ผู้เรียน จากนนั้ ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามท้ังการขับร้อง และบรรเลง โดยใช้สถานท่ี คือ ในบา้ น ในวดั และในวงั 2. ยคุ พัฒนา (สมยั กรงุ ศรีอยุธยา และกรุงธนบรุ ี พ.ศ. 1983 - 2325) ผู้สอน - ขนุ นางท่มี ีบรรดาศักด์ทิ างดนตรี - ขา้ ราชบรพิ าร - พราหมณ์สอนดนตรใี นพระราชพิธีของกษัตรยิ ์ - ชาวบา้ นทส่ี อนดนตรีไทยโดยท่วั ไป - ขา้ ราชบรพิ าร - ชาวบา้ น - ผสู้ อนเป็นผู้กาหนดหลักสูตร หลักสูตร - มีหลักสูตรท่ีเป็นเพลงไทย ดังปรากฏหลักฐานช่ือเพลงเป็นจานวนท้ังสิ้นราว 249เพลง ได้แก่ เพลงนางนาค พัดชา ลีลากระทุ่ม องั คารสบ่ี าทและเขนง เป็นต้น - มีหลักสูตรการประสมวงเป็นวงมโหรีและวงปี่พาทย์มีการกาหนดพิธีไหว้ครู และกาหนดการ เรียนเพลงไหว้ครู ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 126 วธิ ีการสอน - สอนแบบมุขปาฐะเชน่ เดิม โดยครูเป็นผูจ้ ะสาธิตแก่ผ้เู รียน จากนน้ั ให้ผเู้ รียนปฏิบัติตามทง้ั การ ขับรอ้ งและบรรเลงโดยใชส้ ถานท่ีคอื ในบ้านในวัดและในวงั - มกี ารเรียนแบบอยู่ประจาคือ กนิ นอนประจาอยูบ่ า้ นครู 3. ยุคฟื้นฟู (รชั กาลที่ 1 - 3สมัยกรุงรัตนโกสินทรพ์ .ศ. 2325 - 2394) ผูส้ อน - นักดนตรีไทยในวังซ่ึงเป็นข้าราชบริพารท่ีมีความสามารถทางดนตรีไทยสูง เช่นพระประดิษฐ ไพเราะ(มีดุรยิ างกรู ) และพระประดิษฐ์ไพเราะ (ตาด) - ครูดนตรไี ทยท่ีเป็นชาวบ้านทีม่ ีชอื่ เสยี งเป็นที่ยอมรบั เช่น ครทู ่ัง ครูทดั ครูเพ็ง เป็นต้น - พระมหากษัตรยิ ์คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย 3 พระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ เจ้าอย่หู วั - ขา้ ราชบริพาร - เจา้ นาย ขุนนาง - บรวิ ารของขุนนาง - ชาวบา้ น หลกั สตู ร - เน้นการปฏิบัติบรรเลงเป็นส่วนใหญ่ และมีเพลงพระราชนิพนธ์ คือเพลงบุหลันลอยเลื่อน มี การประพันธ์เพลงเกร็ดเพ่ิมเติมโดยพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) เป็นเพลงประเภทลูกล้อลูกขัด เพลงลูกโยน เช่น แขกลพบุรีต่อยรูป ทยอยใน อีกท้ังมีการประพันธ์เพลงสาหรับเดี่ยวเคร่ืองดนตรีไทย คอื เพลงทยอยเดี่ยว ซงึ่ เปน็ เพลงขั้นสูงเปน็ ทีย่ กย่องมาจนถงึ ปัจจุบนั - มีการกาหนดหลักสูตรโดยผู้สอนวงป่ีพาทย์ วงมโหรีท้ังในและนอกราชสานัก รวมทั้งมีการ สรา้ งวงปี่พาทยเ์ สภา เพื่อบรรเลงรับการขับเสภา ซ่ึงเปน็ ววิ ัฒนาการทส่ี าคญั ทางวฒั นธรรมไทย วิธกี ารสอน - สอนแบบมุขปาฐะโดยครูเป็นผู้สาธิตแก่ผู้เรียนจากน้ันให้ผู้เรียนปฏิบัติตามท้ังการขับร้องและ บรรเลงโดยใช้สถานท่ี คือในบ้าน วัด และวัง โดยหากผู้เรียนเรียนในบ้านดนตรีไทย จะเรียนแบบอยู่ ประจา คอื กินนอนประจาอย่บู า้ นครู ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 127 4. ยุคร่งุ เรอื ง(รัชกาลท่ี 4 - 6 สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ พ.ศ. 2394 - 2468) ผ้สู อน - พระมหากษัตรยิ ์ - พระบรมวงศานวุ งศ์ - สามัญชนทีม่ คี วามรูเ้ ป็นครดู นตรโี ดยไดร้ ับการสถาปนายศ ศักดนิ า เชน่ พระยา เสนาะดรุ ิยางค์ (แชม่ สุนทรวาทนิ ) เปน็ ต้น - พระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว - พระบรมวงศานวุ งศ์ราชวงศ์ - ขุนนาง - เจ้านายชนั้ สงู - ข้าราชบริพาร - ชาวบ้าน - นักเรยี น นกั ศกึ ษา หลกั สตู ร ผู้สอนเป็นผู้กาหนดหลักสูตรโดยมีการใช้เพลงเถาโดยนาเพลงเกร็ดมาขยายมีหลักสูตรการ ประสมวงดนตรี ป่ีพาทย์ มโหรี เคร่ืองสาย เคร่ืองสายประสม มีการสร้างแบบแผนการร้องส่ง การ ประพันธ์เพลงกรอ หรือเพลงบังคับทางใช้สอน และเรียนมีการอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์มาสอนและ เรียนเพ่ือจริยธรรม มีระเบียบวิธีการประพันธ์เพลง และการสร้างตับเพลง ตับเร่ือง เพลงสาหรับการ บรรเลงเดยี่ ว บทเพลงไหวค้ รูเพลงสาหรับการแสดงโขน ละครนอก ละครใน ละครเสภา เป็นต้น และยัง เกิดเพลงเพ่ือใชใ้ นหลกั สตู รหลายรอ้ ยเพลง วิธกี ารสอน สอนแบบมุขปาฐะเช่นเดียวกับในอดีตโดยใช้สถานท่ี คือ ในบ้าน ในวัง ในวัด โดยมีการสอน แบบอยู่ประจาในบ้านครูดนตรีเรียนดนตรีไทยตามเวลาที่ผู้สอนสะดวก ระยะปลายยุครุ่งเรืองเริ่มมี โรงเรียนเกิดมากขนึ้ ทาใหเ้ รมิ่ มกี ารสอนดนตรีไทยในโรงเรยี นบางแห่งด้วย ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรยี นการสอนดนตรี 128 5. ยคุ ผสมผสาน (รชั กาลท่ี 7 - 10สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. 2468 - 2559) ผสู้ อน - พระมหากษัตรยิ ์ - พระบรมวงศานุวงศ์ - สามัญชนที่มีความรู้เป็นครูดนตรี โดยได้รับการสถาปนายศศักดินา เช่น หลวงประดิษฐ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)เปน็ ตน้ - สามัญชนทั่วไป - พระมหากษตั รยิ ์ คอื พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว - พระบรมราชินคี อื สมเดจ็ พระนางเจา้ ราไพพรรณีพระบรมราชนิ ี - พระบรมวงศานวุ งศ์ เชน่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าสยามบรมราชกมุ ารี - ข้าราชบรพิ าร - ประชาชนทั่วไป หลักสูตร - ในช่วงต้นยุคเป็นหลักสูตรท่ีกาหนดเองโดยผู้สอน ร่วมกับมีหลักสูตรสอนดนตรีไทยใน โรงเรียนบางแห่ง ต่อมามีการกาหนดหลกั สูตรดนตรีไทยโดยบรรจุหลักสูตรของดนตรีไทยไว้ในการศึกษา ภาคบังคับของระดับประถมศึกษา มธั ยมศึกษาและอุดมศึกษา ในภายหลังนี้ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2538 เปน็ ต้น มาได้มีการใช้หลักสูตรเกณฑ์มาตรฐานดนตรีไทยของสานักมาตรฐานอุดมศึกษา ในสานักงานปลัด ทบวงมหาวิทยาลัยได้กาหนดขึ้นเพื่อเป็นเกณฑ์หลักสูตรระดับต่างๆ นอกจากน้ียังมีการใช้หลักสูตร ดนตรีไทยในแบบอนื่ ๆทก่ี าหนดข้ึนใหม่ เชน่ โรงเรียนสาธติ บางแห่งโรงเรียนรฐั บาลและเอกชนท่ีสง่ เสริม ให้มกี ารเรยี นดนตรเี ปน็ พเิ ศษ ไดแ้ ก่ โรงเรียนมัธยมสงั คตี วทิ ยากรุงเทพมหานคร เปน็ ตน้ วธิ ีการสอน - ในบ้านยังมีการสอนแบบอยู่ประจาในบางแห่ง และเกือบทุกสถาบันที่สอนดนตรีไทยยังคงใช้ การสอนโดยมขุ ปาฐะเชน่ เดิม - มกี ารเรยี นในโรงเรยี นเปน็ ส่วนใหญ่ซ่ึงเป็นการเรียนแบบไป – กลับตามคาบเวลาเรยี น - กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดให้มีการเรียนวิชาดนตรีไทยเป็นวิชาบังคับ วิชาเลือก วิชา กิจกรรม ทาให้มีการสอนดนตรีไทยในโรงเรียนมากขึ้นตลอดจนมีการศึกษาวิชาดนตรีไทยใน ระดับอดุ มศึกษา คือ อนุปรญิ ญา ปรญิ ญาตรีปรญิ ญาโท และปริญญาเอก - มกี ารสอนโดยตารา สือ่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เชน่ วดี ทิ ัศน์ โทรทศั น์ วทิ ยุอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 129 หลกั ทฤษฎกี ารสอนดนตรตี ามหลักสากล 1. การสอนดนตรีของโคดาย (Kodaly Approach) โซลตาน โคดาย (Zoltan Kodaly , 1882-1967) นักการศึกษาดนตรีและผู้ประพันธ์เพลงคน สาคัญของฮังการี ซึ่งมีหลักการสอนดนตรีโดยการจัดลาดับเน้ือหาและกิจกรรมดนตรีให้สอดคล้องกับ พัฒนาการของเด็ก โดยมีขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เน้นการสอนร้องเพลงเป็นหลัก การร้องเพลงเป็น การใชเ้ สียงทม่ี ีอยู่แล้วตามธรรมชาติซ่งึ เด็กคนุ้ เคยอยู่แลว้ ฝึกควบคู่กบั การอา่ นโน้ต จนสามารถอา่ นและ เขียนโน้ตดนตรีได้ โคดายมคี วามคิดว่า ดนตรสี าหรบั เด็กมีความสาคัญและต้องพัฒนาเช่นเดยี วกับภาษา เด็กควรฟังดนตรีก่อนแสดงออกทางการร้องหรือการเล่น และเม่ือเขามีประสบการณ์เพียงพอก็สามารถ ฝึกการอ่านและเขียนภาษาดนตรีได้ โคดายมีวิธีการใช้สัญลักษณ์มือในกิจกรรมการสอน และใช้การ อ่านโนต้ ดว้ ยระบบซอล –ฟา ซึ่งมีข้นั ตอนจากง่ายไปหายาก ซึ่งสามารถฝึกโสตประสาททางดนตรผี ู้เรยี น ไดท้ งั้ เรื่องจังหวะ ระดับเสยี ง ทานอง และการประสานเสยี ง โดยการร้องเพลงตามแบบฝึกหัดของโคดาย ซ่งึ มีการแบง่ เปน็ ระดบั ขน้ั ตา่ งๆ ให้เหมาะสมกบั ผเู้ รียน การสอนดนตรีของดาลโครซ (Dalcroze Approach ) เอมิล ชาคส์ ดาลโครซ (Emile Jaques Dalcroze , 1865 – 1950) ผปู้ ระพนั ธ์เพลงและนักดนตรีศึกษาชาวสวิส ดาลโครซมีหลักการสอนดนตรี โดยใช้การเคลื่อนไหวจังหวะเพ่ือตอบสนองต่อเสียงดนตรี ใช้ช่ือว่า “ยูริธึมมิก” (Eurhythmics) ซึ่ง เก่ียวข้องกับการต้ังใจฟังเสียงอย่างมีสมาธิและตอบสนองต่อองค์ประกอบของดนตรีง่ายๆ ในเรื่อง จังหวะ ระดับเสียง ความดังเบา ความยาวส้ัน นอกจากนั้นดาลโครซยังใช้หลักการสอนโซลเฟจ (Solfege) ซึ่งเป็นการฝึกการอ่านและการฟังเพื่อจดจาระดับเสียงต่าง ๆ บนบรรทัดห้าเส้น รวมถึง กิจกรรมอิมโพร -ไวเซชั่น (Improvisation) ซ่ึงเป็นการปฏิบัติกิจกรรมทางดนตรีในทันทีทันใด โดยใช้ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนเอง ซ่ึงช่วยส่งเสริมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามพัฒนาการของเด็ก วิธี สอนตามแนวทางของดาลโครซนี้ได้ช้ีเด่นชัดว่ามีการให้ความสาคั ญของการฝึกโสตประสาททางด้าน ต่างๆ เช่น จังหวะ ระดับเสียง ความแตกต่างของเสียง โดยใช้กิจกรรมการสอนยูริธึมมิก การสอนโซล เฟจ และการอิมโพร -ไวเซชน่ั เปน็ สอ่ื และมลี าดับขน้ั ตอนจากงา่ ยมาหายากตามพฒั นาการของเด็ก 2. การสอนดนตรีของออร์ฟ (Orff Schuwerk ) คาร์ล ออร์ฟ (Carl Orff, 1895 – 1982) นักประพันธ์เพลงและนักดนตรีศึกษาชาวเยอรมัน ผู้ คิดค้นวิธีการสอนดนตรผี ่านสื่อการสอนท่เี ป็นเคร่อื งดนตรีระนาด แต่หลักการสาคัญไม่ได้อยู่ทีก่ ารที่เด็ก เล่นดนตรีระนาดเป็นอย่างเดียว แต่เป็นการจัดกิจกรรมและเน้ือหาท่ีสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก ออร์ฟมคี วามเชื่อวา่ ดนตรีเบ้ืองต้นสาหรับเด็กนั้นควรเป็นดนตรีท่ีสามารถแสดงออกได้โดยง่าย การสอน ของเขารวมเอาดนตรี การเคลื่อนไหว และการพูดเข้าด้วยกัน ในการปฏิบัติเขาได้เน้นเร่ืองจังหวะใน ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 130 การฝึกเบื้องต้น และกิจกรรมสร้างสรรค์อิสระโดยเป็นการร้องเพลง การเคล่ือนไหว การเล่นเคร่ือง ดนตรีระนาดที่มีระดับเสียงต่างๆ ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้จังหวะ ระดบั เสียง การอา่ นโน้ต การประสานเสียง รปู แบบบทเพลง สีสนั เสียง ความรู้ความเขา้ ใจเกยี่ วกับสัญลกั ษณด์ นตรีไปพรอ้ มๆ กัน ซงึ่ เป็นการฝึกโสต ประสาททางดนตรีด้านตา่ งๆ ด้วยการฟงั การรอ้ ง และการบรรเลงเครอื่ งดนตรีโดยตรง 3. การสอนดนตรขี องซูซกู ิ (Suzuki Method) ชินอิชิ ซซู กู ิ (Shinichi Suzuki, 1898 – 1998) นกั การศึกษาและครไู วโอลินชาวญี่ป่นุ เปน็ เวลา กวา่ 50 ปมี าแล้วทีซ่ ูซกู พิ บความจริงเกี่ยวกับการเรียนภาษาแมข่ องเด็กทั่วโลกและได้นามาพัฒนาให้เข้า กับการเรียนดนตรี ซูซูกิได้สังเกตว่าเด็กสามารถพูดภาษาของตนเองได้ก่อนที่จะเรียนการอ่านและการ เขียน เป็นเพราะการฟังและการเลียนแบบนั่นเอง ดงั น้นั การฟังดนตรตี ้นฉบับ การเลียนแบบครแู ละการ ทาซ้าบ่อยๆ เด็กย่อมสามารถให้บรรเลงเครื่องดนตรีได้อย่างดี ซูซูกิได้คัดเลือกบทเพลงในระดับต่างๆ ตามความยากง่าย ในวิธีการเรียนของซูซูกิ เด็กเรียนรู้สาระดนตรีต่างๆ และการปฏิบัติดนตรีมากกว่า เทคนิคต่างๆ การคัดเลือกบทเพลงในแบบฝึกหัดของซูซูกิได้นาเสนออย่างเป็นข้ันตอนและมี กระบวนการพัฒนา ต้องปฏิบัติด้วยความสม่าเสมอ มาตรฐานของบทเพลงฝึกมกี ารเตรียมความพร้อม ในการเรียนดนตรีขั้นสูงข้ึน แม้ซูซูกิจะไม่ได้เน้นการฝึกโสตประสาทในด้านต่างๆ เช่นเดียวกับวิธีของโค ดาย ออร์ฟ และดาลโครซ แต่เม่ือพิจารณาถึงวิธีการของเขาแล้วจะพบว่ามีการเน้นขั้นตอนของการฟัง เป็นพ้นื ฐานแรก จากนัน้ จึงเป็นข้ันตอนของการปฏบิ ัติเคร่ืองดนตรี ซึ่งนบั ว่าเป็นการฝึกโสตประสาทและ นามาปฏิบัติบนเครือ่ งดนตรโี ดยตรง และสามารถประเมินผลไดจ้ ากการเลน่ เครอื่ งดนตรนี นั่ เอง 4. การสอนดนตรแี บบมอนเตสซอรี (Montessori) แพทย์หญิงมาเรีย มอนเตสซอรี ผู้วางแนวทางการสอนดนตรีแบบมอนเตสซอรี ได้ศึกษาและ อาศัยหลักการนายแพทย์เอ็ดเวิร์ด เซอแกง (Edward Seguin) ผู้ซง่ึ เป็นลูกศิษย์ของนายแพทย์อิทาร์ด ( Itard ) ผู้ซ่ึงวางรากฐานวิชาแพทย์ศาสตร์เก่ียวกบั การบาบัดโรคในหโู ดยตรง (Otology) โดยนายแพทย์ อิทาร์ดได้ฝึกเด็กหูหนวกและเป็นใบ้ให้สามารถฟังเสียงและพูดได้ โดยใช้ประสาทสัมผัสทุกประการเข้า ชว่ ย แพทย์หญิงมาเรีย มอนเตสซอรี ได้ทาการสอนเด็กปัญญาอ่อนให้สามารถสอบผ่านประโยค ประถมศึกษาได้ทุกคน และไดป้ ระยุกต์วิธีการสอนน้ีมาใช้ในเด็กเลก็ ธรรมดา และได้อุทิศเวลาตลอดชีวิต ในการสาธิตการสอนแบบ “มอนเตสซอรี” และเธอได้กลา่ ววา่ งานของเธอเปน็ A Scientific System of Education โดยแท้ ซ่ึงทฤษฎีของเธอสอดคล้องกับผลงานวิจัยที่เก่ียวกับพัฒนาการของเด็ก เช่น งาน ของ พีอาเจต์, กีเซลล์, บรูเนอร์, เบาเออร์ ฯลฯ ยอ่ มเปน็ การอธิบายได้อยา่ งดวี ่า “มอนเตสซอรี” ไดผ้ ลดี ในการส่งเสรมิ พัฒนาการของเดก็ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองทฤษฎีการเรียนการสอนดนตรี 131 ในชั้นเรียนแบบ “มอนเตสซอรี” มีการให้ความสาคญั ของการแนะนาดนตรีต่อเด็ก ทีโ่ รงเรียน ตัวอย่าง (The Model Montessory School) แห่งกรุงเวียนนา ครูได้คัดเลือกเพลงพ้ืนเมืองและเพลง คลาสลิคจากประเทศทว่ั โลกเอาไว้ใช้ประกอบการเรียนของเดก็ และใหโ้ อกาสในการฝกึ ดังต่อไปนี้ 1. การฝึกเพื่อให้เข้าใจ “จงั หวะ” ของดนตรี โดย การฝึกทรงตัว การวิ่งเขา้ จงั หวะ เดินตาม จงั หวะ เคลอ่ื นไปตามกฎทก่ี าหนดไว้ 2. การฝกึ เพอื่ “เมตรกิ ” ของดนตรี โดยใหเ้ ดก็ มีความประทบั ใจในเสยี งดนตรี ( Musical Impressions) ครูจะเลือกเพลงมาเป็นท่อนใดท่อนหน่ึงแล้วเล่นซ้าๆ ให้เด็กเคลื่อนไหวไป ตามจงั หวะดว้ ยทุกส่วนของร่างกายไมเ่ ฉพาะแตม่ ือและเทา้ เท่านั้น เพื่อใหเ้ ด็กไดค้ ้นุ เคยกับดนตรี 3. การศึกษาความคล้องจองและทานองดนตรี อาจใช้เคร่ืองดนตรีง่ายๆ เช่น เครื่องเคาะ ต่างๆ เข้าไปประกอบโดยให้เด็กเล่นกันโดยเสรี ความสนใจในเด็กเกิดมาจากการได้ฟังเพลงซึ่งตนชื่น ชอบ แลว้ ลองมา “เลน่ ด้วยหู” จนพอไปได้ ส่วนความเขา้ ใจและความสามารถในการเล่นดนตรนี ้นั ได้รับ การส่งเสริมจากการมีโอกาสได้จับเคร่ืองดนตรีขึ้นมาลองสร้างเสียงสูงต่า ซ่ึงประทับอย่ใู นใจเด็กได้อย่าง น่าพิศวง 4. การเขียนและอ่านดนตรี โดยให้เด็กได้ฝกึ โสตประสาทสงั เกตความสงู ต่าของเสยี ง และขั้น ตอ่ มาก็แทนตวั โนต้ ด้วยสัญลกั ษณต์ ่างๆ ข้นั สดุ ทา้ ยจงึ แนะนาให้เดก็ รูค้ วามหมายของโน้ต การแนะนาดนตรีในเด็กของ “มอนเตสซอรี” จะเริ่มจากจังหวะความสอดคล้อง ต้องมาก่อน การเรยี นอา่ นและเขยี นตวั โน้ต กระบวนการของการเรียนรู้ของมอนเตสซอรีท่ีนามาใช้ในการเรียนการสอนดนตรีแก่เด็ก มี 3 ขั้นตอน คอื 1. Imitation การเลยี นแบบ โดยมีครูเปน็ ต้นแบบของเด็ก 2. Recognization การจดจา และการแยกแยะความแตกตา่ งของเสยี งที่ได้ฟงั 3. Intonation การเปล่งเสียงร้อง อย่างถูกต้องเป็นการทดสอบข้ันสุดท้ายว่าเด็กมีความเข้าใจ และสามารถปฏบิ ตั ิได้ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคีต 132 ศัพทย์สังคตี ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย เร่ืองศัพทย์สังคตี 133 หมวด ก กวาด คือ วิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งของเคร่ืองดนตรีประเภทตี (เช่น ระนาด ฆ้องวง) โดยใช้ไม้ตีลากไปบน เคร่ืองดนตรี (ลูกระนาดหรือลูกฆ้อง) ซ่ึงมีกิริยาอย่างเดียวกับใช้ไม้กวาดกวาดผง การกวาดนี้จะกวาด จากเสียงสูงมาหาเสยี งตา่ หรือจากเสียงตา่ ไปหาเสียงสูงกไ็ ด้ ______________________________ กรอด เป็นค่าเรียกการตีเคร่ืองดนตรีวธิ ีหนึ่ง ท่ีเมื่อขณะตีลงไปท่าให้ไม้ตีส่ันสะเทือนไปทั้งตัว และกด ใหเ้ สยี งขาดไป อธิบาย : การตีที่เรียกว่ากรอดนี้ ก็คือท่าเสียงเคร่ืองดนตรีน้ันให้ดังคล้ายค่าพูดที่ว่า “กรอด” ซ่ึงเป็น วิธีใช้ของฆอ้ งวงใหญ่และฆ้องวงเล็กโดยมาก เครื่องดนตรีชนิดอนื่ กม็ ีใช้บา้ งเพยี งเล็กนอ้ ย ______________________________ กรอ ๑. เป็นวิธีบรรเลงเคร่ืองดนตรีประเภทตี (เช่น ระนาด ฆ้องวง) อย่างหน่ึง ซ่ึงใช้วิธีตี ๒ มือ สลับกันถ่ี ๆ เหมือนรัวเสียงเดียว หากแต่วิธีตีที่เรียกว่า “กรอ” น้ี มือท้ังสองมิได้ตีอยู่ที่ลูกเดียวกัน โดยปรกตมิ กั จะตเี ปน็ คู่ ๒ คู่ ๓ คู่ ๔-๕-๖ และ ๘ ฯลฯ ๒. เป็นค่าเรียกทางของการด่าเนินท่านองเพลงอย่างหนึ่ง ที่ด่าเนินไปโดยใช้เสียงยาว ๆ ช้า ๆ เพลงที่ด่าเนินท่านองอย่างน้ีเรียกว่า “ทางกรอ” ท่ีเรียกว่าอย่างนี้ ก็ด้วยเหตุเพลงที่มีเสียงยาว ๆ นั้น เครื่องดนตรีประเภทตีไม่สามารถจะท่าเสียงให้ยาวได้ จึงต้องกรอให้ได้ความยาวเท่ากับความประสงค์ ของทา่ นองเพลง หมวด ข ขยาย การน่าท่านองเพลงเดิมมาขยายขึ้น 1 เท่าตัวโดยยึดลูกตกเดิมเป็นหลัก เช่น อัตรา 2 ช้ัน ยืด ออกเป็นอตั รา 3 ช้นั ______________________________ ขยี้ เปน็ การบรรเลงท่เี พิ่มเตมิ เสียงแทรกแซงใหม้ ีพยางคถ์ ข่ี ้ึน ไปจาก “เกบ็ ” อีก ๑ เท่า ถ้า จะเขียนเป็น โน้ตสากลในจังหวะ ๒/๔ ก็จะเป็นจังหวะละ ๘ ตัว ห้องละ ๑๖ ตัว (เขบ็ต ๓ ชั้นท้ัง ๑๖ ตัว) อธิบาย : การ บรรเลงทีเ่ รียกว่าขยีน้ ้ี จะบรรเลงตลอดทั้งประโยคของเพลง หรือ จะบรรเลงส้ันยาวเพียงใดแล้วแต่ ผูบ้ รรเลงจะเหน็ สมควร วธิ ีบรรเลงอยา่ งน้ีบางทา่ นก็ เรยี กว่า “เกบ็ ๖ ชั้น” ซงึ่ ถ้าจะพิจารณาถึงหลักการ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรอื่ งศพั ทย์สังคีต 134 ก่าหนดอตั รา (๒ ชั้น ๓ ชน้ั ) แลว้ คา่ ว่า ๖ ชัน้ ดจู ะไม่ถกู ตอ้ ง ตวั อยา่ งโนต้ “ขย”ี้ รวมบันทกึ เปรยี บเทียบ ไวก้ บั “สะบดั ” (ดคู า่ ว่า สะบัด) ______________________________ ขอเสียง การที่ผู้ขับร้องขอให้นักดนตรีให้เสียงหลักของเพลงเพื่อจะขับร้องได้ตรงกับ ระดับเสียงการ บรรเลง หรือนักดนตรีประเภทเคร่ืองสายขอเสียงจากประเภทเคร่ืองเป่าซึ่งมีตายตวั เพื่อเทียบเสยี งใหไ้ ด้ ระดบั เดยี วกนั ______________________________ ข้อร้อน การฝึกซ้อมบรรเลงเพลงก่อนท่ีจะบรรเลงจริงหรือบรรเลงเด่ียว เพ่ือให้กล้ามเนื้อแขนและ เส้นเอ็นข้อมือมีความคล่องตัวขึ้น มักใช้กับผู้บรรเลงระนาดเอก โดยนิยมพูดว่า “ตีระนาดให้ข้อร้อน เสยี ก่อน” ______________________________ ขดั มคี วามหมายเปน็ ๒ กรณดี ว้ ยกนั คือ ๑) หมายถึง “ลูกขัด” ที่อยู่ใน “โยน” ของเพลงประเภทสงไม้หรือเพลงประเภท “ลูกล้อลูก ขัด” (โปรดดูค่าว่า “ลกู ขดั ”) ๒) หมายถึงการคร่อมจังหวะหรือผิดจังหวะเช่นตี “ฉิ่งฉับ” เป็น “ฉับฉิ่ง” หรือตีโทนร่ามะนา คร่อมจังหวะไปเร่ือยๆอย่างนี้เป็นต้น คนอ่ืนๆ ท่ีอยู่ในวงอาจร้องขึ้นมาว่า “เฮ้ อย่าตีขัดจังหวะซี ประเดี๋ยวก็ไดล้ ม้ ลงไปทงั้ วงดอก ______________________________ ขัดต่อ การบรรเลงบางประโยคของเพลงโดยเครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองน่า เช่น ระนาดเอก ซอด้วง บรรเลงนา่ ท่านองไปคร่ึงประโยค แลว้ เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตาม เช่น ระนาดทุ้ม ฆ้องวง จะบรรเลง ตอ่ ในครง่ึ ประโยคหลังใหค้ รบประโยค ______________________________ ขับ คา่ นมี้ ักพูดรวมกับค่าว่า “ร้อง” เป็น “ขบั ร้อง” ซ่ึงความจริงมีความหมายต่างกันมาก คา่ ว่า “ขบั ” นั้น หมายถึงการเปล่งเสียงออกมาเป็นท่านองเช่นเดียวกับร้องเหมือนกัน แต่ท่านองที่ว่าน้ันมักมีความ ยาวไม่แน่นอน จะยักเยื้องให้ช้าบ้างเร็วไปบ้าง เพ่ือให้เกิดความไพเราะก็ย่อมได้ ท้ังนี้เพราะการขับ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สังคตี 135 ถือเอา “ถ้อยค่า” ที่ใช้นั้นเป็นส่าคญั ส่วนท่านองน้ันใช้เป็นเพียงแนวไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางไปเท่านั้น (โปรดดูคา่ วา่ “ร้อง” ประกอบดว้ ย) ______________________________ ขับไม้ 1 วงดนตรีไทยประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ขับล่าน่า 1 คน สีซอสามสาย 1 คน และไกว บัณเฑาะว์ 1 คน วงขับไม้เป็นวงดนตรีโบราณของไทยที่ถือว่าเป็นของสูงศักด์ิอย่างหน่ึง จะมีได้ก็แต่วง ของหลวงเท่าน้ัน และงานหรอื พธิ ีของหลวงท่ีจะการบรรเลงด้วยวงขับไม้ก็ตอ้ งเปน็ งานสมโภชชัน้ สูง เช่น สมโภชพระมหาเศวตฉตั ร สมโภชเจ้าฟ้า สมโภชชา้ งเผอื ก ______________________________ ขับไม้ 2 ลักษณะการสีซอสามสายแบบหน่ึง ใช้ในพระราชพิธีหลวงต่าง ๆ เช่น กล่อมพระเศวตฉัตร กล่อมพระคชาธาร ข้ึนพระอู่ กล่อมพระบรรทม การสีเชน่ นี้ไม่มีหน้าทับบังคับ ประกอบด้วยลักษณะ 3 ประการ คือ 1. สเี คล้าไปกับเสยี งของผู้ขับ 2. สเี สรมิ เสยี งเม่ือผขู้ บั รอ้ งหยดุ ถอนใจ 3. สนี า่ เสียงทา่ นองทจี่ ะรอ้ งในวรรคตอ่ ไป ______________________________ ขับเสภา การขับล่าน่าประเภทหน่ึง มีมาแต่โบราณแต่เดิมนั้นว่า มาจากการเล่านิทาน ต่อมาได้มีการ ปรับปรุงท่านองและจังหวะมาเป็นล่าดับ รวมท้ังมีการใช้กรับซึ่งท่าด้วยไม้เน้ือแข็งมาขยับให้เกิดเสียง ประกอบการขับ ผู้ขับจะถือกรับไว้ท้ัง 2 มือ มือละคู่ ขยับกรับให้สอดคล้องเข้ากับการขับ การขยับกรับ ตอ้ งพอเหมาะพอดีกบั บทท่ีใช้ขับตามลักษณะท่านองท่ีเรียกเปน็ ไม้ ตา่ งๆ เช่น ไม้กรอ ไม้หนึง่ ไม้สอง ไม้ รบหรือไม้สี่ โดยไม้กรอใช้ในการเล่าเรื่องท่ัวไป สอดแทรกกับการขับเป็นวรรคๆ ไม้หนึ่งและไม้สองใช้ ประกอบบทเสภาไหว้ครู ส่วนไม้รบหรือไม้สี่ใช้ประกอบบทร้องที่รุกเร้า แต่เดิมน้ัน การขับเสภายังไม่มี ดนตรีประกอบ ______________________________ เข่น หมายถึงคนระนาดและคนฆ้องทุกชนิด ท่ีไม่ได้ตีเครื่องมือของตนด้วยอาการประคบมือให้เกิดเสียง อันไพเราะ แต่ใช้วิธีฟาดไม้ตีลงไปบนผืนระนาดหรือบนลูกฆ้อง ท่าให้เกิดเสียงแตกพร่า จึงเรียกว่า “เขน่ ” กค็ อื เขน่ ไม้ตีลงไปนง่ั เอง อาการเข่นมักจะเกดิ แกค่ นหดั ใหม่หน่งึ คนเมาหนง่ึ และคนทีต่ ไี หวเกินก่าลงั หนงึ่ คนตไี หวนี้ ถ้าไม่ “เขน่ ” กม็ ักจะ “เข่ยี ” อย่างใดอย่างหน่ึงอยู่เสมอ ______________________________ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอื่ งศัพทย์สงั คีต 136 เข้ารกเข้าพง คือคนระนาดเอกหรือคนซอด้วงซ่ึงมหี น้าท่ีเป็นผู้น่าวงไม่แม่นเพลง เลยน่าวงทัง้ วงวุ่นไป หมด บางทีก็คดิ หาลูกอ่ืนๆซึ่งไม่อยู่ในเพลงน้ีเข้ามาใส่และตีปะทังไปก่อนพอไม่ให้ลม้ ในใจก็คิดหาทางที่ ถูกว่ามันเป็นอย่างไร แน่ละ ในระหว่างนี้คนท้ังวงก็จะวุ่นไปหมด เพราะจะต้องคอยจับหางเสียงผู้น่าว่า จะเอาอยา่ งไรกนั แน่ อาการเชน่ ทว่ี า่ น้ีท่านเรียกวา่ ผ้นู า่ พาคนอ่นื ๆ “เขา้ รกเขา้ พง” ไปน้นั แล ______________________________ เข่ีย หมายถึงคนระนาดหรือคนท่ีตีเคร่ืองดนตรีประเภทตี (percussion instruments) ต่างๆ (แต่ โดยมากกห็ มายถงึ คนระนาด) คนระนาดนเี้ มื่อตี “ไหว” (คอื ตเี ร็ว) ข้นึ เร่ือยๆจนเกินกา่ ลังของตนแล้ว ก็ มักจะหาทางออกด้วยการ “เขยี่ ” ______________________________ แข็ง หมายถึง ค่าชมเชยนักดนตรีวา่ ฝีมือดี มีความทนทานไหว เท่าใดก็ไม่ตายง่ายๆ เช่น ชมคนระนาด ว่า “คนระนาดวงนเี้ ขาแข็งจริง” หรืชมคนกลองวา่ “คนกลองของเขาก็แขง็ พอใช้” ดังนี้เป็นตน้ ______________________________ โขก คือ อาการที่คนระนาดหรอื คนฆ้องเอาหัวไม้ตี “กดโป้ง” ลงไปบนลูกระนาดหรอื ลูกฆ้อง แทนที่จะ ตีประคบมือให้เกิดความไพเราะ อาการ “โขก” มักจะเกิดแก่คน ๓ จ่าพวก เช่นเดียวกับอาการ “เข่น” น่นั แล ผดิ กันที่ว่าอาการ “เข่น” น้ัน หมายถึงเข่นลงไปทง้ั แขน แต่อาการ “โขก” น้นั หมายถงึ โขกไม้ตลี ง ไปเท่าน้ัน ______________________________ ไขว้ อาการที่เรียกว่า “ตีไขว้” หรือ “ไขว้” นี้ มักใช้กับการตีฆ้องเล็กหรือฆ้องใหญ่เป็นส่าคัญ ระนาด เอกกม็ ใี ช้บ้างแต่ไมม่ ากนกั ตามปกติในการตีฆ้องน้ัน มือซ้ายย่อมอยู่ทางเสียงต่าและมือขวาอยู่ทางเสียงสูง ทีนี้ถ้าจะ ต้องการให้มือขวาตีทางเสียงซ่ึงต่ากว่าที่มือซ้ายก่าลังตีอยู่ ก็จะต้องยกมือขวาข้ามมือซ้ายมาตี หรือถ้า ต้องการจะใช้มือซ้ายตีทางเสียงซ่ึงสูงกว่าท่ีมือขวาก่าลังตี ก็จะต้องยกมือซ้ายข้ามมือขวามาตี เช่นเดียวกัน ทั้งสองกรณีจึงเกิดอาการ “ไขว้” ขึ้น คือ ถ้าไม่เอาขวาไปไขว้กับซ้าย ก็ต้องเอาซ้ายมาไขว้ กบั ขวาอยา่ งใดอย่างหน่ึงนัน่ เอง ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องศพั ทย์สังคตี 137 หมวด ค คงแก่เรียน หมายถึงนักดนตรีท่ีมีท้ังความรู้ ความช่านาญ และประสบการณ์มาอย่างมากมาย ใคร ขอให้ท่าอย่างใดก็ท่าได้ท้ังนั้น และใครจะขอต่อเพลงประเภทใดก็มีให้ต่อเสมอ พูดง่ายๆก็คือ ไม่จน ความรนู้ ั่นแล ______________________________ ครวญ เป็น วิธีร้องอย่างหนึ่งซ่ึงสอดแทรกเสียงเอื้อนยาว ๆ ให้มีส่าเนียงครวญคร่าร่าพัน และ เสียง เอ้ือนท่ีสอดแทรกนี้มักจะขยายให้ท่านองเพลงยาวออกไปจากปรกติ อธิบาย: เพลงที่จะแทรกท่านอง ครวญเขา้ มาน้ี ใชเ้ ฉพาะแตเ่ พลงทแี่ สดงอารมณ์ โศกเศร้า เช่น เพลงโอป้ ี่ และเพลงร่าย (ในบทโศก) เป็น ตน้ และบทร้องท่านองครวญ ก็จะต้องเป็นค่ากลอนสุดท้ายของบทนั้น ซ่ึงเม่ือร้องจบค่านี้แล้วป่ีพาทย์ก็ จะบรรเลง เพลงโอดประกอบกริ ิยารอ้ งไห้ตดิ ต่อกันไป ______________________________ ครอบ มีความหมายเป็นการประสิทธิ์ประสาทให้ ถา้ จะเทียบกับทางการศึกษาท่ัวไปก็คือ การประสาท ปรญิ ญานนั่ เอง ในทางดุรยิ างคไ์ ทยนั้น การครอบมี ๓ คร้ัง คอื ครั้งท่ี ๑ เป็นการครอบเพื่อให้เรียนเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงต่อไป อันน้ีเท่ากับเป็นการ ประสาท “ปริญญาตรี” คือ เป็นการยอมรับว่า ศิษย์ผู้น้ันมีความสามารถท่ีจะเป็นศิลปินได้เต็มตัวแล้ว บัดนี้ต้องการศกึ ษาวิชาขั้นสูงขึ้น (ปริญญาโท) จึงได้ครอบให้ ครั้งที่ ๒ เปน็ การครอบเพ่ืออนุมัตใิ ห้ผูน้ ้ันไปส่ังสอนสานุศิษยอ์ ื่นๆได้ต่อไป การครอบคร้ังน้ี เรียกกันทั่วๆไปว่า “มอบไม้” คือครูจะประสิทธิ์ประสาทพร้องท้ังมอบไม้ตีเคร่ืองดนตรีต่างๆให้ เป็น เคร่ืองหมายว่า บัดน้ีศิษย์จะเป็นครูท่ีสมบูรณ์ และสามารถจะส่ังสอนสานุศิษย์ด้วยเคร่ืองดนตรีตามท่ี มอบให้นน้ั ได้ แต่จะเอาเครื่องดนตรอี ่ืนทยี่ งั ไม่ไดม้ อบไปสอนไม่ได้ เช่น มอบไม้ตรี ะนาดและฆ้องท้ังหมด ให้ ศิษย์ก็จะสอนได้เฉพาะแต่ระนาดกับฆ้องเท่าน้ัน จะไปสอนตะโพนหรือเคร่ืองดนตรีอ่ืนๆท่ียังมิได้รับ มอบไมไ่ ด้ การครอบครั้งน้ีเทียบได้กับการประสาท “ปริญญาโท” คือครูเห็นว่าศิษย์มีความดี และมี ความพากเพียรจนสามารถเรียนเพลงชั้นสูงได้เกือบครบถ้วนกระบวนความ จึงได้มอบ “ความเป็นครู” ให้แก่ศิษย์ผ้นู น้ั ครั้งที่ ๓ เป็นการครอบเพื่อให้ศิษย์ผู้นั้นสามารถอ่านโองการประกอบพิธีไหว้ครูแทนตัวครู ตอ่ ไปได้ ถ้าจะเทียบก็เทา่ กบั เปน็ การประสาท “ปริญญาเอก” ในทางดนตรีใหแ้ ก่ศิษยน์ ัน่ เอง การครอบคร้ังสุดท้ายนี้ครูจะต้องระวังมาก คือ จะต้องเลือกเฟ้นครอบให้เฉพาะแก่ศิษย์ท่ี สมควรจริงๆหลกั ส่าคัญทค่ี รูจะพิจารณาก็คือ ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคตี 138 ก) วัยวุฒิ การที่จะไดร้ ับมอบโองการน้ัน ศษิ ยค์ วรต้องมวี ัยวุฒิพอสมควร มฉิ ะน้ันก็จะยัง ไม่เปน็ ท่ีนบั ถือของคนท่ัวไป ศิษยบ์ างคนถึงจะมวี ิชาเก่งกล้าสามารถแต่มอี ายแุ ค่ ๒๐ ปี อย่างนกี้ ็คงไปไม่ ไหว ฉะน้นั ท่านจงึ ต้ังเป็นหลกั ไว้เลยว่า ผ้ทู จ่ี ะได้รบั มอบโองการต้องมีอายุตงั้ แต่ ๓๕ ปีขึ้นไป ข) คุณวุฒิ ผู้ที่ได้รับมอบจะต้องมีวิชาความรู้ในทางดนตรีอยู่ในชั้นสูงเยี่ยม คือ รู้เพลง เร่ือง เพลงหน้าพาทย์ และอื่นๆ แทบจะไม่มีขาดตกบกพร่อง ทั้งน้ีเพราะถ้าผู้ที่อ่านโองการเล่นหน้า พาทย์ไม่ได้ จะไปเรียกให้ปี่พาทย์ท่าแพลงหน้าพาทย์น้ันประกอบพิธีไหว้ครูไม่ได้เป็นอันขาด ด้วยเหตุน้ี ทางท่ีดที ส่ี ดุ ต้องร้หู นา้ พาทยเ์ สียให้มนั ครบถว้ นกระบวนความ ค) เจริญวุฒิ ถึงแม้จะมีความรู้ดีเยี่ยม และมีวัยอันสมควรแก่การที่จะอ่านโองการการ ประกอบพิธีไหว้ครูได้แล้วก็ตาม แต่ถ้าศษิ ย์ผู้นั้นยังมีความประพฤติไม่สมควร ครูก็จะยังไม่ “ครอบ” ให้ เพราะการที่เอาโองการอันศักดิ์สิทธ์ิไปครอบให้แก่คนเลวนั้น ย่อมเป็นการไม่สมควรอย่างบิ่ง ในกรณี เช่นน้ีครูจะหม่ันอบรมส่งสอนให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบแห่งธรรม เม่ือครูแน่ใจว่ามีความประพฤติดี จริงๆแล้ว จงึ จะทา่ พิธี “ครอบ” และมอบโองการให้ ______________________________ คร่อม คือ การบรรเลงท่านองหรือบรรเลงเครื่องประกอบจังหวะ หรือร้องด่าเนินไปโดยไม่ ตรงกับ จังหวะที่ถูกต้อง เสียงท่ีควรจะตกลงตรงจังหวะกลายเป็นตกลงในระหว่าง จังหวะซึ่งกระท่าไปโดยไม่มี เจตนา และถือวา่ เป็นการกระท่าทผี่ ิด เรยี กอยา่ งเต็มวา่ “ครอ่ มจังหวะ” ______________________________ ครั่น เป็นวิธีที่ท่าให้เสียงสะดุดสะเทือน เพื่อความไพเราะเหมาะสมกับท่านองเพลงบางตอน อธิบาย : การ ทา่ เสียงให้สะดดุ และสะเทือนทีเ่ รียกวา่ ครนั่ น้ี ใชเ้ ฉพาะกบั การขบั รอ้ ง หรอื เคร่ืองดนตรปี ระเภทเป่า เช่น ป่ี ขลุ่ย และเครื่องดนตรีประเภทสี เช่น ซอต่าง ๆ เท่านั้น การขับร้องคั่นด้วยคอ เคร่ืองดนตรี ประเภทเปา่ ครน่ั ด้วยลมจากลา่ คอและเครื่อง ดนตรีประเภทสคี รั่นด้วยคันสี (หรอื คันชกั ) ______________________________ คร่ึงช้ัน เปน็ เพลงในอัตราท่ีตัดลงมาจากชั้นเดียวอีกเท่าตัว ตามปกติเพลงจะมีอัตรา ๓ ชั้น ๒ ช้ัน และ ช้ันเดียว โดย ๒ ชั้นตัดคร่ึงลงมาจากอัตรา ๓ ช้ันและชั้นเดียวตัดครึ่งลงมาจากอัตรา ๒ ช้ัน ต่อมามีผู้ นยิ มตัดครึ่งจากอตั ราช้ันเดยี วลงมาอกี ทหี น่ึง เพลงในอตั ราใหม่น้จี งึ เรยี กว่าเพลง “ครึ่งช้ัน” ในท่านองเดียวกัน ถ้าเราจะพูดว่าเพลงช้ันเดียวยืดขยายเป็นทวีคูณข้ึนมาจากอัตราคร่ึงชั้น และเพลง ๒ ช้ัน กับ ๓ ชั้น ยดื ขยายเป็นทวีคูณขน้ึ มาจากเพลงในอัตราชั้นเดียว และ ๒ ชนั้ ตามล่าดับก็ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สงั คตี 139 ย่อมได้ ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีผู้คิดอ่านยืดขยายเพลงในอัตรา ๓ ช้ัน ขึ้นไปอีกเท่าตัว จึงเกิดเป็น อตั ราใหม่ข้นึ อีกอตั ราหน่งึ ได้แก่เพลงในอตั รา “๔ ชัน้ ” (โปรดดคู า่ วา่ “สี่ชั้น” ประกอบไปดว้ ย) ______________________________ ครู ในทางดนตรีค่าว่า “ครู” มิได้หมายถึงมนุษย์ธรรมดาท่ีส่ังสอนวิชาดนตรีให้แก่ศิษย์เท่าน้ัน หากยัง หมายรวมถึงครูที่เป็นเทพ พรหม ฤษี และอสูรอีดว้ ย เชน่ พระนารายณ์ พระอศิ วร พระคเณศ พระปญั จ สิงขร พระประคนธรรพ พระวิษณุกรรม พระครูพิราพ และพระฤษีทั้ง ๗ พระองค์ เป็นต้น เหล่านี้ นับเปน็ “คร”ู ทางดนตรีท้งั น้นั ______________________________ ครูพักลักจา หมายถงึ ครูที่เราแอบไปจ่าเอาของของท่านมา ไม่ว่าจะจา่ ทางหรือจ่าวิธีปฏิบัติเป็นพิเศษ หรือจ่าลูกเด็ดๆอะไรของท่านมากต็ าม ถือวา่ ท่านเป็นครูพักลักจ่าทั้งส้ิน ในการไหว้ครูเราก็ต้องนึกถึงครู เหล่านด้ี ้วยเชน่ เดยี วกนั ______________________________ คลอ เป็น การบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง โดยด่าเนินท่านองเป็นอย่างเดียวกัน คือ บรรเลงไปตามทางร้อง เช่น ซอสามสายสีคลอไปกับเสียงร้อง เป็นต้น เปรียบเทียบ ก็เหมือนคน ๒ คน เดินคลอกันไป เคล้า เป็นการบรรเลงดนตรีไปพรอ้ ม ๆ กับการร้องเพลง (เช่นเดียวกับคลอ ดูค่าว่า คลอ) โดย เพลงเดียวกัน แต่ต่างก็ด่าเนินท่านองไปตามทางของตน คือร้องก็ด่าเนินไปตามทางร้อง ดนตรีกด็ ่าเนินไปตามทางดนตรี ยึดถือแต่เน้ือเพลง จงั หวะ และเสียงทต่ี กจังหวะ (หนา้ ทบั ) เทา่ นั้น เช่น การร้องเพลงทะแย ๒ ช้ัน ในตับพรหมาสตร์ท่ีมีบทว่า “ช้างเอย ช้างนิมิต เหมือนไม่ผิดช้างมัฆวาน ฯลฯ” ซึง่ คนรอ้ งด่าเนินทา่ นองไปอยา่ งหนึ่ง ดนตรี ก็ด่าเนินท่านองไปอีกอย่างหนงึ่ แตก่ เ็ ปน็ เพลงทะแย ที่ รอ้ งและบรรเลงไปพรอ้ ม ๆ กัน เทียบได้กับการคลุกเคล้าปรุงรสอาหารให้รสเปร้ียวเค็มเข้าผสมผสาน กนั ให้โอชา รส วิธกี ารเช่นนีบ้ างทา่ นเรียกว่า “คลอ” ______________________________ ควง ค่าน้ีถ้าเป็นนามก็หมายถึง “เสียงควง” ถ้าเป็นการก็หมายถึงการ “ควงนิ้ว” เพ่ือให้เกิดเสียงควง ดงั กลา่ ว เฉพาะเครื่องดนตรีท่ีใช้น้ิว เช่น ป่ี ซอ และขลุ่ยต่างๆ เท่าน้ัน ที่จะท่า “เสียงควง” ได้ เครื่องดนตรีอื่นๆท่าไม่ได้ หรือท่าได้ก็ยากเต็มที ที่เรียกว่า “เสียงควง” นี้ก็คือ เสียงเลียนกัน นั่นเอง เสียงดังกล่าวน้ีความจริงเป็นเสียงเดียวกัน แต่เกิดจากการใช้น้ิวท่ีไม่เหมือนกัน เช่น สีซอด้วงสายเอก เปล่าตามปกติเป็นเสยี ง “เร” หรือจะสีสายทุ้งโดยปดิ หมด ๔ นิ้วกเ็ ปน็ เสียง “เร” เหมือนกัน แต่สา่ เนียง ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย เร่อื งศัพทย์สังคีต 140 ต่างกันไปทีเดียว ดังน้ีเป็นต้น หรือการที่ปี่เป่าเป็นเสียง “ตือ–ฮือ” “แต-แฮ” พวกนี้ก็ถือเป็น “เสียง ควง” เหมือนกนั ทั้งสนิ้ เสียงควงจะเกิดข้ึนได้ต่อเม่ือ ปิดเปิดนิ้วตามปกติคร้ังหนึ่งและปิดเปิดน้ิวอย่างอ่ืนให้ผิดไป จากปกติ แต่ได้เสียงเดียวกันอีกคร้ังหน่ึง ควบคู่กันไปอย่างน้อย ๑ คู่ (เช่น ตือ–ฮือ) หรือจะมากกว่า ๑ คู่ (เช่น ตอื -ห่ือ ตอื -ฮอื ตื้อ-ฮื้อ) กไ็ ด้ อาการท่ปี ดิ เปิดน้วิ ให้เป็นเสยี ง “ควง” นี้ท่านเรยี กวา่ “ควงน้ิว” ______________________________ คันชกั เกดิ หมายถงึ การสีซอโดยดงึ คันชักออกมา สมัยนี้มักเรียกกันว่า “คนั ชักออก” ______________________________ คันชักดับ หมายถึงการสีซอโดยส่งคันชักเข้าไป สมัยน้ีมักเรียกว่า “คันชักเข้า” เพลงไทยทั้งหลายน้ัน เมื่อเร่ิมต้นจะต้องสี “คันชักออก” เสมอ ฉะน้ันคันชักนี้จึงเป็น “คันชักเกิด” และเมื่อจบวรรคหนึ่งหรือ จบเพลงลงแล้ว จะต้องสี “คันชักเข้า” เสมอ ฉะน้ันคันชักน้ีจึงเป็น “คันชักดับ” ซ่ึงแสดงว่าหมดคันชัก แลว้ หากจะเริ่มต่อต้องไปสี “คนั ชักเกดิ ” ______________________________ คาบลูกคาบดอก เป็นวิธีบรรเลงเพลงอย่างหนึ่ง ซ่ึงประกอบไปด้วยการ “เก็บ” และ “รัว” สลับกัน ไป ซึ่งโดยมากก็เป็นทางเด่ียวเฉพาะของระนาดเอกเท่านั้น เคร่ืองดนตรีอื่นๆ ถึงจะท่า “คาบลูกคาบ ดอก” ได้ก็ไม่น่าฟังเท่าใดนัก ที่เรียกว่า “คาบลูกคาบดอก” นี้ คงหมายถึงว่า “เก็บ” นั้นเป็นลูก ส่วน “รัว” เป็นดอก เม่อื เอาท้งั เก็บและรวั มาบรรเลงสลบั กนั ไป จงึ เรยี กว่าทาง “คาบลกู คาบดอก” ______________________________ คุ่ม ในการดีดจะเข้นั้น ท่านใช้เฉพาะน้ิวช้ี น้ิวกลางและนิ้วนาง กดสะบัดกันลงไปบนสาย (เว้นแต่สาย ลวดจึงจะใช้นิ้วหัวแม่มือเข้าช่วย) การกดน้ีถ้าวางนิ้วราบลงไปก็ดูไม่สวย จ่าเป็นต้องวางนิ้วในลักษณะ โค้งให้ปลายนิ้วลงไปกดบนสายจึงจะดสู ง่าและสวยงาม อาการเช่นน้ีที่ทา่ นเรียกว่า “คุ่ม” เรียกเป็นนาม ว่า “น้วิ คมุ่ ” ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคีต 141 คู่ หมายความถึง เสียงที่เป็นคู่หรือ ๒ เสียง โดยทั่วไปหมายถึงคู่ที่เป็นมือฆ้องซึ่งอาจจะเป็นคู่ ๒ คู่ ๓ เร่ือยขน้ึ ไปถึงคู่ ๖ และคู่ ๘ คงเวน้ แต่เฉพาะคู่ ๗ เท่าน้นั ท่ไี ม่มีใครใช้ แปลวา่ ภายในคู่ ๘ นน้ั เราจะจัดให้ มคี เู่ สียงประสานกันอยา่ งไรก็ได้ ยกเว้นคู่ ๗ แลว้ เป็นใช้ได้ทง้ั นน้ั ขอแตใ่ ชใ้ หเ้ หมาะสมเปน็ ใชไ้ ด้ คู่เสียงนี้จะบรรเลงให้ดังพร้อมกัน หรือดังคนละทีก็ได้ แต่ส่วนมากก็มักจะบรรเลงให้ดัง พร้อมกันเป็นคู่ระสานอน่ึงท่ีเรียกว่าคู่เสียงเท่าน้ันเท่าน้ี หมายถึงว่าเรานับจากมือซ้ายท่ีก่าลังตีอยู่ไปถึง มือขวาทีก่ ่าลังตเี ช่นกนั เช่น มอื ซ้ายอยหู่ ่างจากมอื ขวา ๕ เสียงกเ็ รียกวา่ “คู่ ๕” ดงั นี้เป็นต้น โดยปกติระนาดจะบรรเลงเก็บเป็นคู่ -๘ แต่ในเพลงสมัยใหม่นี้ ท่านท่าหนทางให้ระนาด เอกบรรเลงเป็นคู่ตา่ งๆไดห้ ลายคู่ เชน่ เดียวกับฆ้องวงเหมอื นกัน ______________________________ เคล้า คือการบรรเลงดนตรีท้ังวงหรือเฉพาะอย่างใดอย่างหน่ึง ควบคู่ไปกับการร้องเช่นเดียวกับการ “คลอ” ผิดกันแต่ว่าการ “เคล้า” นี้ นักร้องและนักดนตรีต่างด่าเนินทางของตนเป็นอิสระ คือ นักร้องก็ ร้องของตนไป นกั ดนตรีก็บรรเลงไป โดยไมต่ ้องกลัวว่าลกู ตกจะลงกนั หรอื ไม่ ฉะน้ันอาจจะบรรเลงไปคน ละเพลงกับท่ีคนร้องก่าลังร้องก็ได้ ขออย่างเดียวให้ระดับเสียงของทางร้องกับทางดนตรีตรงกัน และให้ ทา่ นองของท้งั สองฝ่ายฟังกลมกลนื กันเปน็ ใช้ได้ ตัวอย่างของการ “ร้องเคล้า” ก็เช่นเพลง “เห่เชิดฉิ่ง” ในเพลงตับเร่ืองรามเกียรติ์ ตอน อินทรชิตแผลงศรนาคบาศ เป็นต้น เพลงนี้คนร้องเป็นท่านองเห่ แต่นักดนตรีกลับบรรเลงเป็นเพลงเชิด ฉงิ่ คูก่ ันไป ซึ่งความจริงเปน็ คนละเพลงทีเดยี ว แตโ่ ดยท่รี ะดบั เสียงมนั ตรงกันและท่านองของท้ังสองเพลง มันกลมกลืนกันได้สนิทดี การผสมผสานระหว่างทางร้องกับทางดนตรีจึงท่าให้เกิดความไพเราะเพ่ิมขึ้น อีกเป็นอนั มาก หมวด ง งม หมายถึงการท่ีนักดนตรีคนใดคนหนึ่งไมไ่ ด้เพลงที่ทั้งวงก่าลังบรรเลงอยู่ แต่จ่าเป็นต้องเลน่ งุบงิบตาม ไปเพ่ือไม่ให้ขายหน้า พูดง่ายๆ ก็ว่า เล่นไปควานหาเน้ือเพลงไปนั่นแหละ อาการอย่างนี้ท่านเรียกว่า “งม” บางท่านเรียกวา่ “ด่านา้่ ” เมื่องบุ งบิ ตามไปสกั พักหนงึ่ พอแนใ่ จว่าลูกตกเปน็ อย่างน้แี น่ก็ข้นึ มาเสย ทีหนึ่ง แต่ถ้าโผล่ขึ้นมาแล้ว เจ้าลูกตกมันไม่เป็นอย่างท่ีคิดก็ต้องงุบงิบหรือด่าต่อไปอีก อาการอย่างง้ี เรยี กว่า “งมไม่เงย”หรอื ”ดา่ ไม่โผล่” ______________________________ งอก เป็นระนาดเอกหรือคนชอบซอด้วงที่ท่าหน้าท่ีเป็นผู้น่าวงไม่แม่นเพลง เลยพาคนอ่ืนๆ “เข้ารกเข้า พง” ไป (โปรดดูค่าว่า”เข้ารกเข้าพง” ) กว่าจะพากลับมาสู่ทางท่ีถูกต้องต่อไป เพลงก็เลยยาวไปไม่ใช่ น้อย อย่างนี้ท่านกล่าวเป็นเชิงเย้ยกันว่า”เพลงมันงอก” ตรงข้ามกัน”เพลงมันหด”ซ่ึงเกิดจากการ บรรเลงในสว่ นใดส่วนหนง่ึ ขาดไปนน่ั เอง ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งศัพทย์สังคตี 142 หมวด จ จ๋ง เป็นเสียงโทนมโหรี หรือเสียงหน้าลุ่ยของกลองแขกตัวเมีย ท่ีผู้ตีใช้น้ิวตีลงไปบนหนังที่ชิดกับขอบ บางคนฟังเปน็ เสยี ง “น้ง” ก็มี ______________________________ จน หมายถึงการท่ีนักดนตรีบรรเลงเพลงอันถูกต้องท่ีเขาประสงค์ไม่ได้ อธิบาย : เพลง ที่นักดนตรีจ่า จะต้องบรรเลงให้ถกู ต้องตามความประสงคน์ นั้ หลายอย่าง เป็นต้นว่านกั รอ้ งเขาส่งเพลงอะไรนกั ดนตรีก็ ตอ้ งบรรเลงรับดว้ ย เพลงนั้น หรือเมื่อคนพากย์เจรจา หรือคนบอกบทเขาบอกให้บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ อะไร นักดนตรีก็ต้องบรรเลงเพลงน้ัน ถ้าหากนักดนตรีบรรเลงเพลงให้ตรงกับที่นักร้อง เขาร้องไม่ได้ หรือบรรเลงเพลงหนา้ พาทย์ตามที่คนพากย์เจรจา หรือคนบอกบทเขาบอกไม่ได้ จะเป็นน่ิงเงียบอยู่หรือ บรรเลงไปโดยกล้อมแกล้มหรือบรรเลงไปเป็นเพลง อื่นก็ตาม ถอื วา่ “จน” ทั้งสิ้น ______________________________ จอด หมายความว่าการบรรเลงน้ันไปไม่รอด ต้องล้มเลิกกลางคัน บางทีแถมเติมเป็นว่า “จอดไม่ต้อง แจว” ______________________________ จ๊ะ เป็นเสียงร่ามะนามโหรี ที่ผู้ตีใช้นิ้วตีกดลงบนบริเวณกึ่งกลางหน้าหนัง หรือเป็นเสียงหน้าต่านของ กลองแขก ผทู้ ่ีตลี งบนหน้ากลองใกล้กับขอบกลอง โดยตแี ลว้ ยกมือขึน้ ทนั ที เพือ่ ให้เสียงดงั กงั วาน ______________________________ จงั หวะ คอื การด่าเนินท่านอเพลงดว้ ยเวลาอนั สมา่ เสมอ ท่านองเพลงน้ันอาจแบง่ เป็นส่วนย่อยๆ โดยแต่ ละส่วนด่าเนินไปดว้ ยเวลาอนั สมา่ เสมอ เครื่องบงั คับจงั หวะสว่ นย่อยทส่ี ดุ ก็คือ “ฉิง่ ” ยาวขึ้นมาหน่อยคือ กรับ กับ โหมง่ และยาว ท่ีสุดคือหน้าทับกลองประเภทต่างๆ การด่าเนินท่านองเพลงทุกชนิดจะต้องอยู่ภายในเวลาท่ีเคร่ือง ประกอบจงั หวะเหลา่ นกี้ า่ หนด ถา้ พลาดไปก็เรียกว่า “คร่อม” หรือ “คร่อมจงั หวะ” โดยทัว่ ไป จงั หวะท่ใี ชอ้ ยใู่ นวงการดนตรไี ทยมี ๔ อยา่ ง คอื ๑) จังหวะฉงิ่ ใชป้ ระกอบจังหวะในระยะสั้น โดยแบ่งจังหวะดว้ ยเสียง “ฉงิ่ ” และ “ฉับ” “ฉ่ิง” นัน้ เป็นเสียงทล่ี งจงั หวะเบา ส่วน “ฉับ” น้ันลงจังหวะหนกั โดยปกติจะตีฉ่ิงเป็นเสียง “ฉ่ิง” และ “ฉับ” สลับกันไปเสมอ เร็วบ้างช้าบ้างแล้วแต่อัตรา ของเพลง เช่น เพลงในอตั รา ๓ ช้ันกด็ ีช้ากว่าอัตรา ๒ ชัน้ เท่าตัว ดังน้ีเป็นต้น แต่มหี ลายกรณีท่ีจะต้องตี ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย เร่ืองศพั ทย์สงั คีต 143 ฉิ่งให้แปลกออกไป เช่น เพลงสา่ เนียงจีนหรอื ญวน จะตอ้ งตีเป็นเสียง “ฉ่ิง ฉ่งิ ฉับ” เพลงะเชิดหรอื เพลง กราวตีแต่เสียง “ฉิ่ง” อย่างเดียว ถ้าเชิดจีนก็ดีแต่ “ฉับ” อย่างเดียว เว้นแต่ตอนออกเชิดตอนท้ายจึงมี แต่ “ฉิ่ง” อยา่ งเดยี ว ยังมีจังหวะฉิ่งที่ใช้เป็นพิเศษอีก เช่น มีการรวบหรือตีฉ่ิงให้กระช้ันในตอนท้ายของแต่ละ วรรค ซ่ึงส่าหรับคนหัดใหม่แลว้ ตียากไมใ่ ช่เล่น เพลงทจ่ี ะต้องตีฉง่ิ ในลักษณะน้ี เช่น ขมตลาด โอ้โลม โอ้ ชาตรี เปน็ ตน้ ท่ีต้องตีฉิ่งรวบหรือกระช้ันในตอนท้ายวรรค ก็เพราะเพลงเหล่านี้มีวรรคละ ๓ จังหวะคร่ึง มไิ ดม้ ีครบ ๔ จังหวะ เหมือนเพลงธรรมดาทว่ั ไป ๒) จังหวะกรบั และโหม่ง จังหวะพวกนใ้ี ช้วัดระยะในขนาดปานกลาง เช่น พอฉิ่งลงเสียง ฉับก็ตีกรับลงไปเสียทีหน่ึง เป็นเชิงบอกว่า “เออ เจ้าฉ่ิงเอ๋ย เอ็งตีแม่นดีแล้ว” พอฉิ่งตีได้สองฉับก็ลง เสยี งโหมง่ ก่ากบั ลงไปอีกทีหนงึ่ ๓) จังหวะหน้าทับ อันนี้เป็นการวัดจังหวะในระยะยาว เพ่ือเป็นการตรวจสอบคร้ัง สุดท้ายว่าเจ้าพวก ฉิ่ง กรับ และโหม่งน้ัน ได้วัดระยะสั้นและระยะกลางมาอย่างถูกจริงๆ เมื่อตีหน้าทับ จบไปเที่ยวหนึง่ กถ็ อื ว่าเพลงไดด้ า่ เนินไป ๑ จงั หวะแล้ว ถ้าเพลงนม้ี ี ๔ จังหวะปรบไก่ ก็หมายความว่าตี หน้าทับปรบไก่กลับไปกลับมาได้ ๔ เทย่ี วก็จบเพลงพอดี เรื่องของหน้าทับมีมาก ควรดูค่าว่า “หน้าทับ” ประกอบ ในท่ีน้ีให้เข้าใจว่า ฉิ่งใช้วัดจังหวะใน ระยะสั้น กรับและโหม่งวัดปานกลาง ส่วนหน้าทับวัดในระยะยาว คือวัดทีหน่ึงก็หมดวรรคไปเลย เป็น การทดสอบให้แน่ใจว่า ฉิ่ง กรับ โหม่ง ได้ก่ากับเวลามาอย่างสม่าเสมอถูกต้องจริงๆ เช่น เพลงจังหวะ ปรบไก่สองช้ัน วรรคหน่ึงมี ๔ หอ้ ง ฉง่ิ ตอ้ งตีก่ากบั จงั หวะทกุ ห้อ กรับและโหม่ง ๒ ห้องตีทหี นึง่ ส่วนหน้า ทบั นีต้ ีทีเดยี ววัดได้ ๔ หอ้ งเย ๔) จังหวะเพลงท่ัวไป เพลงแต่ละเพลงนั้นมีจังหวะประจ่าว่า ควรต้องช้าหรือเร็วขนาด นั้นๆ จึงจะบรรเลงได้ไพเราะ ข้อนี้ไม่มีใครบอก แต่ผู้บรรเลงก็ควรสังเกตและรู้เอาเองว่าแค่ไหนจึงจะ เหมาะสมทีส่ ุด ถา้ เราไปเลน่ เพลงซึง่ ควรจะช้าให้เร็วไปมันกไ็ ม่เพราะ ______________________________ จับ เป็นค่าที่ใช้เฉพาะเพลงเชิดนอก หมายความถึงท่อนหรือตัวนั่นเอง ตามปกติแล้วเพลงจะแบ่ง ออกเป็นท่อน และทอ่ นแบง่ ออกเป็นวรรคอีกทีหน่ึง เว้นแต่เพลงประเภทเชิด เชน่ เชดิ จีน เชิดฉาน เชิด ฉง่ิ เชิดใน เหลา่ น้ี จึงจะแบ่งเปน็ “ตวั ” เพลงเชิดพิเศษที่ไม่ได้แบ่งเป็นตัว แต่แบ่งเป็นจับก็คอื เพลงเชิดนอกท่ีกล่าวถงึ นี้ เหตุทีเ่ พลง เชิดนอกแบ่งเป็นจับก็เพราะในการเบิกโรงหนังใหญ่ด้วยการแสดงชุด “จับสิงหัวค่า” นั้น ปี่จะต้องเป่า เพลงเชิดนอกประกอบการรบกับระหว่างลิงขาวกับลิงด่า และในที่สุดลิงขาวก็จับลิงด่าได้ และน่าไป ถวายพระฤษี ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรือ่ งศัพทย์สงั คตี 144 การสู้รบระหว่างลิงขาวกับลิงด่านี้ คนเชิดจะน่าหนังภาพการต่อสู้กันด้วยท่าต่างๆ ท่ี เรียกว่า “หนังจับ” ออกมา ๓ ครั้ง เม่ือเชิดออกมาแต่ละครั้งนั้น ปี่จะต้องเป่าเป็นเสียง “จับให้ติดตีให้ ตาย” หรือ “ฉวยตัวให้ติตีให้แทบตาย” หรือ “ตีให้ตาย ตีให้แทบตาย” ท่านองน้ี ซ่ึงเรียกกันว่า “เป่า จบั ” โดยท่ีมีการเชิดหนังจับออกมา ๓ หน และป่ีก็ต้องเป่าจับ ๓ คร้ังเช่นเดียวกัน จึงถือเป็น ประเพณีสบื ต่อกันมาว่า เพลงเชดิ นอกท่ีครบบริบรู ณ์จะตอ้ งมี ๓ จบั และคา่ ว่า “จับ” ก็เลยน่ามาใช้เป็น การแบง่ ทอ่ นแทนค่าวา่ “ตวั ” ของเพลงเชดิ นอกไปเลย ______________________________ จา หมายความว่านักดนตรีน้ันแสดงตนเป็นคนส่าคัญของวง จึงพูดกันว่า “เขาจ่าอยู่ในวงของนาย ก” เปน็ ต้น ______________________________ จืด หมายความว่า การบรรเลงหรือการร้องคร้ังนั้น ด่าเนินไปอย่างเรื่อยเฉื่อยไม่เป็นรสอย่างหนึ่ง กับ หมายความว่าเพลงท่ีบรรเลงน้ัน คนอ่ืนเขาก็บรรเลงอยู่บ่อยๆ จนคนฟังพากันเบ่ือไปแล้วอีกอย่างหนึ่ง ทัง้ สองกรณีนีเ้ รียกวา่ “จืด” ทงั้ ส้นิ ______________________________ เจ๊ียว คือการบรรเลงที่ไม่ค่อยผสมผสานกลมกลืนกันเท่าใดนัก ย่ิงมีเครื่องมากแทนท่ีจะเกิดความ ไพเราะ กลบั เกดิ เป็นเสยี งแซดฟังไมเ่ ป็นศัพท์ อยา่ งน้ีท่านเรียกวา่ “เจย๊ี ว” หรือ “เจยี๊ วจ๊าว” ______________________________ แจว หมายถงึ การบรรเลงท่คี ่อนขา้ งเร็ว เชน่ วงดนตรีวงนพ้ี อขึน้ เพลงได้กแ็ จวอ้าวไปเลย ดังนี้เป็นตน้ หมวด ฉ ฉะฉาน หมายถึง อาการทีน่ ักดนตรบี รรเลงอยา่ งเต็มเสยี งดว้ ยความมัน่ ใจ ถงึ คราวหนกั ก็หนกั ถึงคราว เบากเ็ บา ถึงคราวเน้นกเ็ น้น ฯลฯ ไม่มีการอ้อมแอม้ ให้เกดิ ความลา่ คาญ จงึ มีคา่ ชมว่า“คนระนาดคนนีต้ ี ฉะฉานตีจรงิ ๆ” ดังน้ีเปน็ ตน้ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สงั คตี 145 หมวด ช ช้ัน เป็นช่ือแสดงอัตราของเพลงซ่ึงลดหลั่นกันลงมาเป็นล่าดับ หรือทวีคูณขึ้นไปเป็นล่าดับ อัตราที่ ลดหล่ันหรือทวีคูณข้ึน เป็นล่าดับนี้ เรียกว่า “ช้ัน” แต่เดิมอัตราสูงสุดของเพลงมีแค่ ๓ ชั้น แล้วตัดคร่ึง ลงมาเหลือ ๒ ชั้น และตัดอีกครึ่งลงมาเหลือช้ันเดียว หรือถ้าจะพูดทางกลับกันก็ว่าเพลง ๒ ชั้น เป็นสอง เท่าของเพลงชั้นเดยี ว และเพลง ๓ ชนั้ ก็เปน็ สองเทา่ ของเพลง ๒ ชั้น ในปัจจุบันนบ้ี างเลพงมีต้ังแต่ ๔ ช้ัน ลงมาหาครงึ่ ชั้นกม็ ี แต่โดยมาก็มแี ค่ ๓ ช้ัน ถึงชั้นเดียว ถ้า สมมติว่าเพลงน้ันมีท่อนเดียว และมีความยาว ๑ หน้าท้บปรบไก่ เพลงในอัตราแต่ละช้ันจะมีความยาว ลดหล่นั กันดงั น้ี อัตรา ความยาวเทยี บกบั โนต้ สากล ๒/๔ ๔ ชน้ั ๑๖ หอ้ ง ๓ ชั้น ๘ ห้อง ๒ ช้ัน ๔ ห้อง ชัน้ เดยี ว ๒ หอ้ ง ครงึ่ ชั้น ๑ ห้อง เสย้ี วชนั้ ๑/๒ หอ้ ง เพลงร่นุ แรกๆ ของไทยนั้นเป็นเพลงในอัตราชั้นเดียวแทบท้ังสิน้ ต่อมาภายหลงั จึงไดร้ ับการ ยืดขยายข้นึ เปน็ ๒ ชนั้ และ ๓ ช้ัน ตามลา่ ดับ บางเพลงกไ็ ดร้ บั การยืดขยายขึ้นเป็น ๔ ชนั้ ทเี ดียว ______________________________ ช้ันเชิง เรียกสั้นๆว่า “เชิง” เช่น “คนระนาดคนนี้ไม่มีเชิงเสียเลย” หรือ “คนระนาดคนน้ีชั้นเชิงของ เขาพอดู” ดังนี้เป็นต้น ค่าว่า “ชั้นเชิง” หรือ “เชิง” นี้ หมายความถึงวิธีเล่นเคร่ืองดนตรีของแต่ละคนว่าดีหรือไม่ดี เพียงใด ถา้ เล่นดีมีลูกพลกิ แพลงตา่ งๆเหมาะสมแก่เครื่องดนตรนี ั้นๆแล้ว ก็เรียกว่า “มีช้ันเชงิ ” หรอื ” มี เชิง” ถา้ เลน่ ไม่ดีหรือเล่นลูกพลิกแพลงเหมือนกันแต่ฟังแล้วไม่เข้าท่า ไม่เหมาะแกเครื่องดนตรีชนิดนนั้น ก็เรยี กว่า “ไม่มชี นั้ เชิง” หรือ “ไมม่ เี ชงิ ” ______________________________ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรีไทย เร่อื งศัพทย์สงั คีต 146 เชด็ คอื อาการท่ีผู้ตีฆ้องวงตีลกู ฆ้องไม่เต็มเสียง โดยมากเกดิ ขนึ้ ตอนท่ีเพลงกา่ ลังไหว (เร็ว) จัด คนตีฆอ้ ง วงตีไม่ทันก็เลยเอาไม่ตีเขี่ยๆข้ามลูกไป อาการเช่นน้ีส่าหรับระนาดเรียกว่า “เขี่ย” แต่ส่าหรับฆ้องวง เรยี กว่า “เช็ด” คลา้ ยๆกับว่า ไม่ได้ตีหรอก แต่เอาไมต้ ี “เชด็ ” ปุม่ ฆ้องแตล่ ะลูกไปเทา่ นน้ั หมวด ซ ซอ นอกจากหมายถงึ เคร่อื งดนตรปี ระเภทใชส้ ายแลว้ ยงั หมายถึงการขับร้องทางภาคเหนืออีกด้วย เช่น ว่า “ขบั ซอยอโฉมพระเพอื่ นพระแพง” หรือ “ขบั ซอยอราชเฑยี ร ทกุ เมือง” เป็นต้น แปลความหมายว่า “ขบั รอ้ งยอโฉม…” นนั่ เอง ______________________________ ซดั แปลตรงๆว่า “สลดั แขน” ซ่งึ นา่ มาใช้กับท่าร่าท่เี รยี กว่า “ร่าซัดชาตรี” หรอื “ร่าซดั ” เครอื่ งดนตรี ท่ีประกอบการ “ร่าซดั ” ดงั กล่าวนคี้ ือ ปี่ ทับ ๒ ใบ กลองชาตรี ๑ คู่ ฆ้อง ๑ คู่ และฉง่ิ ผรู้ ่าจะแสดงทา่ ต่างๆ ตามจังหวะใหด้ สู วยงาม แล้วจะซดั ด้วยการสลัดแขนต้ังวงเปน็ ระยะๆ ไป เอาต้ังแตห่ า่ งจนกระทัง่ ค่อยถลี่ งไปเป็นลา่ ดับ ตอนทผ่ี ูร้ ่าทา่ ทา่ “ซดั ” น้ี ทับ (หรอื โทนก็ได้) ก็จะต้อง ตซี ดั เปน็ เสยี ง “โทน่ โทน่ ปะ๊ ปะ๊ ” เช่นเดยี วกนั หมวด ด ดอก คือ เพลงท่อนหน่ึงที่มักมีประจ่าอยู่กับเพลงจ่าพวกรักใคร่อาลัยลา โดยเฉพาะ “เพลงลา” ซ่ึงแต่ ก่อนมักบรรเลงเม่ือจะเลิกตอนสองยามแล้ว จะมีดอกแทบทุกเพลง เนื้อร้องขึ้นต้นของ “ดอก” ก็ได้แก่ ดอกไม้ซ่ึงเลือกเอามาจากดอกชนิดต่างๆ สรรเอามาดอกหนึ่งให้สามารถประกอบกับค่าร้องอื่นๆเข้าไป ให้ฟังไพเราะซาบซง้ึ กินใจเป็นใช้ได้ เช่นว่า “ดอกเอ๋ย เจ้าดอกจิก หัวใจจะพลิกเสียแล้วนี่เอย” ดงั น้ีเป็น ตน้ ______________________________ ดานา้ โปรดดูค่าวา่ “งม” ______________________________ ดึกดาบรรพ์ เปน็ ชอื่ โรงละครของเจา้ พระยาเทเวศวงศว์ ิวฒั น์ ต้ังอยู่ริมถนนอัษฎางค์ ในระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๔๒ ถึง๒๔๕๒ โรงนี้ใช้แสดงละครแบบ “คอนเสิร์ตเร่ือง” อย่างใหม่ แต่คนไม่รู้จะเรียกละครนี้ว่า อย่างไร ก็เลยเรียกเป็น “ละครดึงด่าบรรพ์” ตามช่ือโรงละครไปเลย หนักเข้าปี่พาทย์จัดพิเศษส่าหรับ บรรเลงประกอบกบั ละครชนิดนกี้ ็เลยได้ชื่อว่า “ปี่พาทย์ดกึ ด่าบรรพ์” ตามไปด้วย ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอื่ งศัพทย์สงั คีต 147 “ปี่พาทย์ดึกด่าบรรพ์” นี้ ท่านคัดเอาเครื่องดนตรีที่มีเสียงแหลม หรือเสียงอึกทึกครึกโครม ออกเสีย คงใช้แต่เครอื่ งบรรเลงท่ีมเี สยี งเยน็ นุ่มหู ฟังไพเราะเท่านั้น ด้วยเหตุน้ี “วงป่ีพาทย์ดึกด่าบรรพ์” จึงประกอบไปด้วยระนาดเอก (ตีดว้ ยไม้นวม) ระนาดทมุ้ ไม้ และทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ซออู้ ขลุ่ย ตะโพน และกลองตะโพน (กลองทัดขนาดเล็ก เอาตะโพนสองใบมาตีแทน) กับเครื่องประกอบจังหวะท่ีจ่าเป็น เทา่ นัน้ ______________________________ ดดู หมายถึงเสยี งระนาดท้มุ ที่ตลี งไปพอให้มีเสียงกงั วานหน่อยก็ห้ามไว้ ฟังเป็นเสียง “ตู๊ดๆๆๆ” บางทีผู้ บรรเลงตลี กู ระนาดด้วยมอื ขวา แลว้ ใชไ้ ม้ตใี นมอื ซา้ ยหา้ มเสียงไว้ก็ฟังเป็นเสยี ง “ดดู ” ไดเ้ หมอื นกนั ______________________________ เด็ดเด่ียว หมายถึงคนตีระนาดเอกหรือคนซอด้วงท่ีมีการตัดสินใจแน่นอน ไม่พะวักพะวน จะออก เพลงอะไรก็น่าไปให้เห็นชัด ไม่มีกล้อมแกล้มหรือรวนเรแต่อย่างใด คนระนาดหรือคนซอด้วงเช่นน้ี เรียกวา่ เป็นคน “เด็ดเดี่ยว” จัดว่าเปน็ ผู้นา่ วงทดี่ ี ______________________________ เดี่ยว เป็น วิธีบรรเลงอย่างหนึ่งท่ีใช้เคร่ืองดนตรีจ่าพวกด่าเนินท่านองเช่น ระนาด ฆ้องวง จะเข้ ซอ บรรเลงแต่อย่างเดียว การบรรเลงเครื่องด่าเนินท่านองเพียงคนเดียวที่ เรียกว่า “เด่ียว” นี้ อาจมีเคร่ือง ประกอบจังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ โหม่ง โทน ร่ามะนา สองหน้า หรือกลองแขก บรรเลงไปด้วยก็ได้ การ บรรเลงเด่ียวอาจบรรเลงตลอดท้ังเพลงหรือแทรกอยู่ในเพลงใดเพลงหน่ึงเป็นบาง ตอนก็ได้ การ บรรเลงเดยี่ วมีความประสงค์อยู่ ๓ ประการ คอื ๑. เพือ่ อวดทาง คือ วิธดี ่าเนนิ ทา่ นองของเครื่องดนตรีชนิดนัน้ ๒. เพ่ืออวดความแม่นยา่ ๓. เพื่ออวดฝีมือ เพราะ ฉะนั้น การบรรเลงท่ีจะเรียกได้ว่าเดี่ยว จึงมิใช่จะหมายความแคบ ๆ เพียงบรรเลง คนเดียวเท่าน้ัน ที่จะเรียกว่าเดี่ยวได้โดยแท้จริงนั้นทาง (การด่าเนินท่านอง) ก็ ควรจะให้เหมาะสมกับที่ จะบรรเลงเด่ียว เช่น มีโอดพันหรือวิธีการโลดโผนพลกิ แพลง ต่าง ๆ ตามสมควรแกเ่ ครื่องดนตรีชนดิ น้ัน ดว้ ย เพ่ือให้เปน็ ไปตามความประสงคท์ ัง้ ๓ ประการท่กี ลา่ วมา ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศัพทย์สงั คตี 148 หมวด ต ตบ คืออาการที่คนระนาดไหวไม่ทันกับอัตราของเพลงที่กา่ ลังว่ิงจี๋อยนู่ ้ัน จะตีให้เต็มเสยี งก็ไปไม่ไหว จะ หยดุ เสียก็อายจงึ ตอ้ งใช้วิธตี อ้ นซ้ายต้อนขวาเป็นวรรคๆ ไปจนหมดเพลง วิธกี ารอย่างนี้เรียกว่า “ตบ” ซ่ึง มี “ตบซ้าย” และ “ตยขวา” “ตบขวา” ก็คือ เอาไม้ตีระนาดตีให้เต็มเสียงลงไปในตอนแรกแล้วค่อยๆ ต้อนเสียงเบาลงไปทางขวาจนหมดวรรค ถา้ เป็น “ตบซา้ ย” กเ็ ป็นตรงกนั ข้าม ______________________________ ตอด เปน็ อาการทีป่ ี่เป่าเป็นเสยี งสน้ั ๆเบาๆเหมอื นปลาเอาปากงับอะไรเบาๆเชน่ นนั้ ______________________________ ตอย คือสา่ เนยี งของเสียง “ลา” ของปใี่ น ______________________________ ตับ หมายถงึ เพลงหลาย ๆ เพลง น่ามาร้องและบรรเลงตดิ ต่อกันไป ซึ่งแยกออกไดเ้ ปน็ ๒ ชนดิ คือ ๑. ตับเร่ือง เพลงท่ีน่ามารวมร้องและบรรเลงติดต่อกันนั้น มีบทร้องเป็นเรื่อง เดียวกัน และ ด่าเนินไปโดยล่าดับ ฟังได้ติดต่อกันเป็นเรื่องราว ส่วนท่านองเพลงจะเป็น คนละอัตรา คนละประเภท หรือลักล่ันกนั อย่างไร ไม่ถอื เป็นสา่ คญั เชน่ ตับนางลอย ตับนาคบาศ เป็นตน้ ๒. ตับเพลง เพลงที่น่ามารวมร้องและบรรเลงติดต่อกันน้ัน เป็นท่านองเพลง ที่อยู่ในอัตรา เดียวกัน (๒ ชั้น หรือ ๓ ชั้น) มี ส่านวนท่านองสอดคล้องติดต่อกัน สนิทสนม ส่วนบทร้องจะมีเน้ือเรื่อง อย่างไร เรื่องเดยี วกันหรือไม่ถอื เป็นสา่ คัญ เช่น ตับลมพดั ชายเขา ตับเพลงยาว เปน็ ต้น ตับเพลงน้ีบางที ก็เรยี กว่า”เร่ือง” เฉพาะจา่ พวก เรื่องมโหรี (ดคู า่ วา่ เรือ่ ง) ______________________________ ตวั เป็นค่าท่ีใช้เรยี กแทนคา่ ว่าทอ่ นของเพลงบางประเภท (ดูคา่ ว่า ท่อน) เพลงท่ีเรยี ก “ตวั ” แทนคา่ ว่า “ท่อน” กไ็ ดแ้ กเ่ พลงจ่าพวกตระและเชดิ ตา่ ง ๆ นอกจากเชิดนอก ______________________________ ตาย หมายถึงนักดนตรี (ซึ่งส่วนมากก็คือคนซอด้วงหรอื คนระนาดเอก) ท่ีบรรเลง “ไหว” เกินตวั จนใน ท่สี ุดตนเองก็บรรเลงไม่ค่อยออก คือ มือไม้มันขึงพืดไปหมด อาการอย่างนี้เรียกว่า “ตาย” เช่นกล่าวว่า “นั่น ดูนั่นคนระนาดเอกก่าลังจะตายแล้ว” ไม่ได้หมายความว่าก่าลังจะตายไปจริงๆ แต่หมายความว่า มอื ไมม้ ้นขึงพืด (ตาย) เรง่ อย่างไรกไ็ มอ่ อกนนั่ เอง ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรีไทย เรอื่ งศพั ทย์สงั คตี 149 ติง เป็นเสียงตะโพนไทยซ่ึงผู้บรรเลงตี “หนา้ มัด” (หนา้ เล็ก) ด้วยอาการเปิดมอื ______________________________ ตึง หมายถึงการบรรเลงที่ไหว (เร็ว) ถึงขนาดท่ีนักดนตรี (ส่วนมากหมายถึงคนระนาดเอก) เร่ิมรู้สึก เกร็งมือ พูดง่ายๆกว็ ่าเริ่มจะเร็วเกินขีดความสามารถของเขาท่ีจะตามได้ทันนั่นเอง อาการท่ีว่านี้เรียกว่า “ตงึ ” หรอื “ตึงมอื ” แต่ยงั ไม่ถึงกบั “ตาย” ถา้ เร็วขึ้นไปอีกหน่อยก็คงถึง “ตาย” แน่ ______________________________ ตืด เป็นเสียงตะโพนไทยซ่ึงผู้บรรเลตี “หน้ามัด” (หน้าเล็ก) ให้พอมีกังวานหน่อยแล้วห้ามไว้ ฟังเป็น เสยี งติง-งดี้ (ฟงั เรว็ ๆติดกันเปน็ “ตดื ”) ______________________________ ตอื เปน็ สา่ เนียง “ซอล” ของปีใ่ น ______________________________ ต๊บุ เป็นเสียงตะโฟนไทยซ่ึงผู้บรรเลงตี “หน้ามดั ” (หน้าเล็ก) ดว้ ยอาการปิดมือ คอื ตีแลว้ ประกบมือหา้ ม เสยี งทันที ______________________________ แต เปน็ ส่าเนยี งเสยี ง “ที” ของป่ีใน หมวด ถ ถ่ง เป็นสา่ เนยี งของฆ้องใหญ่เม่ือตีด้วย “คู่ ๔” ______________________________ ถอด เพลงเถาบางชนดิ อัตรา ๒ ชนั้ และช้ันเดยี วเป็นอย่างเก่า ส่วนอัตรา ๓ ชัน้ ได้รับการยืดขยายให้มี ลูกล้อลูกขัดอย่างพิสดาร เช่น เพลง “ทยอยใน (เถา)” เป็นต้น อัตรา ๓ ชั้นยาวเหยียด เพราะ ประกอบด้วยลูกล้อลูกขัดต่างๆ แต่อัตรา ๒ ชั้นกับช้ันเดียวสั้นมาก เพราะเป็นทางเก่าท่ียังมิได้ใส่ลูกล้อ ลูกขัดตามอัตรา ๓ ชั้นข้ึนไปน่ันเอง เพ่ือไม่ให้ฟังลักล่ันกัน ครูบาอาจารย์ท่านจงึ คิดท่าอัตรา ๒ ชนั้ และ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องศพั ทย์สงั คตี 150 ชั้นเดียวข้ึนใหม่ คือ ตัดครึ่งจากทาง ๓ ชั้น และ ๒ ชั้นลงมาโดยตรงตามล่าดับ ทางดังกล่าวน้ีก็เท่ากับ “ถอด” ออกมาจาก ๓ ช้ัน และ ๒ ชั้นโดยตรงน่ันเอง นักดนตรีจงึ นิยมเรียกกันว่าเป็น “ทางถอด” ด้วย ประการฉะน้ี ______________________________ ถอน การ “ถอน” เกิดขึน้ เม่อื ตอ้ งการจะลดจังหะเทา่ ตวั จาก ๓ ชั้นลงมาเป็น ๒ ช้ัน หรอื จาก ๒ ชน้ั ลง มาเปน็ ชั้นเดยี ว (ซ่ึงโดยท่วั ไปก็มกั จะใช้ลดจาก ๒ ชัน้ ลงมาเปน็ ชน้ั เดียวแทบทง้ั ส้ิน) วธิ กี ารคือเร่งจังหวะเพลงในช้ันท่ีก่าลังบรรเลงให้เร็วข้นึ จนกระทั่งฉ่ิงตีเรว็ ใกลเ้ ข้าไปกบั ช้ันท่ี ต้องากรลดจึงหักจังหวะลงเท่าตัวแล้วบรรเลงในชั้นที่ลดต่อไปด้วยจังหวะฉ่ิงอันเดิม เช่น ถ้าก่าลัง บรรเลง “เพลงเชิด ๒ ช้ัน” อยู่และต้องการจะ “ถอน” ลงช้ันเดียว ผู้บรรเลงก็จะเร่งจงั หวะ ๒ ชน้ั โดย เก็บให้ถี่ยิบขึ้น จนกระท่ังฉิ่งท่ีตี ๒ ช้ันอยู่นั้น เร่งจังหวะเร็วใกล้เข้าไปเกือบถึงช้ันเดียวจึงหักจังหวะลง เท่าตัว แล้วบรรเลงเพลง “เชิดชั้นเดียว” ต่อไปด้วยจังหวะฉ่ิงท่ีก่าลังเดินอยู่น้ัน ซึ่งเม่ือฟังติดต่อกันแล้ว จะออกรสดพี ิลกึ ______________________________ เถา เป็นช่ือเพลงชนิดหนึ่งซงึ่ ประกอบข้ึนดว้ ยเพลงเพลงเดียวกนั ทมี่ ีอัตราลดหลน่ั ลงไปเป็นล่าดับ น่ามา ร้องหรือบรรเลงติดต่อกันเป็นพืดไปอย่างน้อย ๓ อัตรา ซึ่งโดยปกติก็ร้องหรือบรรเลงตั้งแต่อัตรา ๓ ช้ัน ลงมาจนถงึ ช้นั เดียว ทบี่ รรเลงตงั้ แต่ ๔ ช้ันลงมาถงึ ครง่ึ ชน้ั ก็มี แตม่ นี ้อย เพลงเถานี้จะมีแต่ร้องเฉยๆหรือบรรเลงเฉยๆ หรือจะมีท้ังร้องและรับก็ได้ แต่ตามปกติเมื่อเวลาเล่น เพลงเถาแล้วกม้ กั จะมีทงั้ ร้องและรับเสมอ ______________________________ แถม หมายถงึ การยืมหน้าทับของเพลงหน่งึ แตค่ วามยาวของหนา้ ทับไมพ่ อกบั เพลงหลงั น้ี ฉะน้นั จึงตอ้ ง เพ่ิมตอนทา้ ยข้ึนอีก เพื่อให้พอดกี ับเพลงดังกล่าว อาการทีเ่ พม่ ขน้ึ นเี้ รยี กว่า “แถม” เชน่ เพลงสระบหุ รุ่ง ใชห้ น้าทับ “ลงทรง(แถม)” เปน็ ตน้ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook