วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองศัพทย์สงั คีต 151 หมวด ท ทง้ เปน็ เสียงของลกู ฆ้องใหญ่เม่อื ตดี ว้ ย “ค๕ู่ ” ______________________________ ทน อาการทน่ี ักดนตรี (โดยเฉพาะคนระนาดเอก) บรรเลงอยูไ่ ด้เป็นเวลานานโดยข้อไม่ล้า ท้ังๆท่ีเพลง ก่าลังด่าเนินไปในอัตราท่ี “ไหว” มาก มักจะพูดกันเป็นศัพท์ว่า “ระนาดเอกคนนี้ทนแท้ๆ” หรือ “ระนาดรางเอกรางน้ีเขาทนแท้ๆ” ถ้าเป็นตรงกันข้ามก็บอกว่า “ระนาดรางเอกน้ีอะไรๆก็ดีดอก เสียแต่ ว่าไม่ใครท่ น” ______________________________ ทวน ค่าวา่ “ทวน” น้ี ในทางสงั คีตมคี วามหมายเปฯ็ ๔ กรณี คอื ๑) หมายถึงการร้องหรือบรรเลงท่ีให้ซ้่าอีกคร้ังหน่ึง จะเป็นว่าซ้่าเฉพาะวรรคใดวรรคหนึ่ง หรือซ้่า ท้ังท่อนท้ังเพลง อย่างไรก็ได้ เรียกว่า “ทวน” ท้ังนั้น ค่าว่า “ทวน” น้ีบางทีเรียกว่า “ย้อน” หรือ “กลับ” ก็มี สมมติว่า เพลงนั้นมี ๓ ท่อน เมื่อบรรเลงท่อน ๑,๒ และ ๓ มาจบแล้ว มีค่าส่ังให้ “ทวน” หรือ “ย้อน” หรือ “กลับ” อีกครั้ง ความหมายในทางสังคีตก็คือให้กลับไปท่าตั้งแต่ทอ่ น ๑,๒ และ ๓ มาใหม่ อีกเที่ยวหน่ึง แต่ความหมายธรรมดาคนอาจเจว่าให้ย้อนท่าตั้งแต่อน ๓ กลับไปหาท่อน ๑ ก็ได้ ฉะนั้น โปรดระวังในขอ้ นี้ใหด้ ี จ่าไวเ้ สมอว่า “ศัพทส์ ังคตี ” ย่อมมีความหมายเฉพาะส่าหรบั การสงั คตี เทา่ นัน้ ๒) หมายถึงส่วนหน่ึงของคนั ซอทเ่ี รยี กว่า “ทวนบน” และ “ทวนล่าง” เช่น ถ้าเป็นซออู้หรอื ซอสาม สายส่วนของคันซอตง้ั แต่ใต้ลกู บิดขนึ้ ไปจนถึงปลายคัน (หรือยอด) เรียกวา่ “ทวนบน” แต่ถ้าเป็นซอดว้ ง ส่วนนี้ไม่เรียก “ทวนบน” แต่กลับเรียกว่า “โขน” แทน ท้ังนี้เพราะส่วนนี้มันเป็นรูปสี่เหลี่ยมงอนๆ เหมือนอย่างโขนท้ายเรือน่ันเอง ส่าหรับคันตอนล่างตั้งแต่เหนือกะโหลกหรือกระบอกข้ึนมาจนถึง กลางคันนั้น เรียกว่า “ทวนล่าง” ท้ังสิ้น ไม่ว่าจะเป็นซอสามสาย ซออู้ หรือซอด้วงก็เรียกอย่างเดียวกัน ทั้งนัน้ ส่าหรับซอสามสายน้ัน ท่านมักจะมีกระบอกโลหะสวมต่อเข้าระหว่างทวนบนกับทวนล่าง ส่วนท่ี เป็นโลหะนี้ ประดับประดากันอย่างสวยงามมาก บางทีก็เอาทองค่าหุ้มเข้าไป บางทีก็ถมทองคา่ บางทีก็ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งศพั ทย์สงั คตี 152 เป็นนาก เป็นเงิน หรือประดับมุกให้แพรวพราวอยา่ งใดอย่างหน่ึง นับว่าเป็นส่วนองซอสามสายที่มีราคา คอ่ นขา้ งแพงทเี ดยี ว สว่ นนีท้ ่านเรยี กว่า “ทวนกลาง” หรอื “ทวน” เฉยๆ ซออู้และซอด้วงก็มี “ทวนกลาง” เหมือนกัน แต่ไม่มีใครนิยมเรียก อาจเป็นเพราะคันซอท้ังหมด เป็นไมห้ รือเป็นงายาวตดิ ตอ่ กนั ไปตัง้ แต่ทวนล่างถงึ ทวนบนกเ็ ป็นได้ ๓) หมายถึงส่วนท่เี สริมตอ่ตอนบนและตอนลา่ งของป่ีใน หรือปอ่ี ่ืนๆที่คล้ายคลึงกนั เช่น ป่ีกลาง ปี่ นอก ปี่นอกต่า เป็นต้น ส่วนที่เสริมต่อขึ้นไปตอนบนส่าหรับเสียบก่าพวดล้ินป่ีน้ัน ท่านเรียกว่า “ทวน บน” สว่ นนี้นิยมท่าดว้ ยงา หรอื ไม้เน้ือแข็งท่ีมีสีด่าเปน็ มันเพื่อใหด้ สู วยงาม ส่วนท่ีเสริมตอนล่างของเลาปี่ออกไปน้ัน ท่านเรียกว่า “ทวนล่าง” ทวนล่างนี้ไม่สวยงามและ แข็งแรงเหมือนทวนบน เพราะมีความประสงค์เพียงเพ่ือให้ปี่มีเสียงต่าลงเท่าน้ัน ส่วนมากนิยมเอาขี้ผ้ึง บา้ ง คร่ังบ้าง บางทกี ็เอาตะก่วั ถว่ งระนาดตดิ เสริมเขา้ ไปพอให้ปีม่ เี สียงต่าลงเป็นใช้ได้ ดงั น้ีเปน็ ต้น ๔) เป็นช่ือลูกฆ้องท่มีเสียงต่าท่ีสุด ซ่ึงเรียกกันว่า “ลูกทวน” ผิดกับลูกระนาดซ่ึงลูกที่มีเสียงต่าที่สุด นัน้ ทา่ นไม่เรยี ก “ลูกทวน” แตเ่ รยี กวา่ “ลูกทงั่ ” ______________________________ ทอด คา่ น้มี คี วามหมายเปน็ ๒ กรณี คอื ๑) หมายถงึ การผอ่ นจังหวะให้ช้าลง เพ่ือจะจลท่อนหรือจบเพลงไดอ้ ย่างไพเราะ หรือเพอื่ ใหส้ ะดวก แก่การท่ีคนร้องจะร้องทอ่ นต่อไป ซ่ึงในกรณหี ลงั นที้ ่านเรียกว่า “ทอดให้ร้อง” ส่วนในกรณีแรกน้นั ท่าน เรยี กวา่ “ทอดลง” ๒) หมายถึงการแทรกท่านองเอ้ือนตามท่ีก่าหนดเข้าไปกับเพลงร่าย เพื่อจะหยุดร้องให้ตัวละคร เจรจากนั การทอดให้เจรจานี้มีอยู่ ๒ อย่าง คือ “ทอดเต็ม” อย่างหน่ึง กับ “ทอดคร่ึง” อีกอย่างหน่ึง ที่ เรียกว่า “ทอดเต็ม” ก็คือร้องร่ายค่าสดุ ท้ายทจ่ี ะทอดไปจนเต็มค่ากลอน (๒วรรค) เสียก่อน แล้วจึงทอด ส่วน “ทอดครงึ่ ” น้ัน ร้องไปแค่วรรคแรกของค่ากลอนกท็ อดแล้ว ท่านองเอื้อนส่าหรับจะลงทอดท้ังสอง อย่างนต้ี ่างกัน และท้งั คู่ก็ฟงั แปลกหูดี ______________________________ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งศัพทย์สงั คีต 153 ทอน คือการแบ่งส่วนย่อยลงเร่ือยๆ เช่น “ลูกโยน” แต่ละโยนในเพลง “ลูกล้อลูกขัด” น้นั ท่านจะเริ่ม ดว้ ย “ลูกล้อ” ก่อน เสร็จแลว้ จึง “ทอน” โดยวิธีแบ่งคร่ึงลูกล้อน้ันมาเป็น “ลกู ต่อ” ต่อจากนน้ั “ทอน” อีกทหี นงึ่ เปน็ “ลกู ขดั ” แล้ว”ทอน” ต่อไปเร่ือยๆ จนหมดกระบวนการลูกโยน ______________________________ ทอ่ น คือ ก่าหนดส่วนใหญส่ ่วนหน่ึง ๆ ซงึ่ แบ่งออกจากเพลง อธิบาย : โดย ปรกตเิ มอ่ื บรรเลงเพลงใดก็ ตาม หากจบท่อนหนึ่ง ๆ แล้วมักจะ กลับต้นบรรเลงซ่้าท่อนนั้นอีกครั้งหน่ึง ที่กล่าวน้ีมิใช่ว่าเพลงทุก เพลงจะตอ้ งมหี ลาย ๆ ทอ่ นเสมอไป บางเพลงอาจมีท่อนเดียวจบ หรอื หลาย ๆ ทอ่ นจงึ จบกไ็ ด้ ______________________________ ทั่ง เสยี งโทนหรอื กลองแขกตวั เมยี หนา้ ร่นุ ตีเปิดมือ บางคนไดย้ นิ เสยี ง “ทม่ั ” ก็มี ______________________________ ทาง ค่านี้มีความหมายแยกได้เปน็ ๓ ประการ คอื ๑. หมาย ถึง วิธีดา่ เนนิ ท่านองโดยเฉพาะของเคร่อื งดนตรีแต่ละอยา่ ง เชน่ ทาง ระนาดเอก ทาง ระนาดทมุ้ และทางซอ ซงึ่ แต่ละอยา่ งต่างกม็ ีวธิ ีด่าเนินท่านองของตน แตกต่างกัน ๒. หมายถึง วิธีด่าเนินท่านองของเพลงท่ีประดิษฐ์ข้ึนโดยเฉพาะ เช่น ทางของ ครู ก. ครู ข. หรอื ทางเดี่ยว และทางหมู่ ซ่งึ แม้จะบรรเลงดว้ ยเครื่องดนตรีกด็ า่ เนนิ ทา่ นองไม่เหมือนกนั ๓. หมายถึง ระดับเสียงของเพลงท่ีบรรเลง (Key) ซ่ึงก่าหนดชื่อเรียกเป็นท่ี หมายรู้กันทุก ๆ เสียง ดังจะจ่าแนกเรียงล่าดับขึ้นไปทลี ะเสียงต่อไปนี้ – ทางเพยี งออล่างหรือทางในลด ระดับเสียงต่าสุด อนโุ ลมเท่ากับเสียง “ฟา” ของดนตรีสากล – ทางใน ระดับสูงข้ึนมา อนโุ ลมเทา่ กับเสียง “ซอล” ใช้ป่ีใน เป็นหลัก – ทางกลาง ระดับเสียงสูงขึ้นมาอีก อนุโลมเท่ากับเสียง “ลา” ใช้ปี่กลาง เป็นหลัก – ทาง เพยี งออบนหรอื ทางนอกต่า ระดับเสยี งสงู กว่าทางกลาง อนโุ ลมเท่ากับเสียง “ซี” ใช้ ป่ีนอกตา่ หรอื ขลุ่ย เพยี งออเป็นหลัก – ทางกรวด หรือทางนอก ระดับเสยี งสูง อนุโลมเท่ากับเสียง “โด” ใชป้ ่ีนอกหรอื ขลุ่ย กรวดเป็นหลัก – ทางกลางแหบ ระดบั เสียงอนุโลมเท่ากบั เสียง “เร” – ทางชวา ระดับเสียงเทา่ กับเสียง “มี” ใชป้ ี่ชวาเปน็ หลัก ______________________________ ทา มีความหมายในทางสังคีตว่า “บรรเลง” เช่นว่า “ไปท่าป่ีพาทย์” อย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าไป สร้างเครื่องปพ่ี าทยห์ รอื อะไรทา่ นองนัน้ แตห่ มายความว่าไปบรรเลงปพ่ี าทยน์ ่นั เอง ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอื่ งศพั ทย์สังคตี 154 ทานอง คือเสียงสูงๆต่าๆ ท่ีน่ามาเรียบเรียงกันเข้าให้เปน็ ระเบียบแบบแผน อาจมียาว สั้น เบา แรง ถ่ี ห่าง หยุด ปนกันไป อย่างไรก็ดี ขอแต่ให้มีระเบียบแบบแผน ถูกหลักเกณฑ์ ฟังไพเราะแล้วถือว่าเป็น ทา่ นองทัง้ น้นั ______________________________ ทงิ้ เสียงตะโพนมอญ “หน้าทง้ิ ” หรือ “หน้าใหญ่” ตเี ปิดมอื ______________________________ เท่ง เสียงตะโพนไทย”หนา้ เทง่ ” หรอื ตะโพนมอญ “หนา้ มัด” ตเี ปิดมอื บางคนได้ยนิ เป็นเสยี ง “เทง่ิ ” ก็ มี ______________________________ เท่า บางทีก็เรียกว่า “ลูกเท่า” เป็น ท่านองเพลงพิเศษตอนหนึ่ง ซ่ึงไม่มีความหมายในตัวอย่าง ใด หากแต่มีความประสงค์อยู่อย่างเดียวเพียงให้ท่านองน้ันยืนอยู่ ณ เสียงใดเสียงหนึ่งแต่ เพียงเสียงเดียว เท่า หรือ ลูกเท่า น้ีจะต้องอยู่ในก่าหนดบังคับของจังหวะหน้าทับ โดยมี ความยาวเพียงครึ่งจังหวะหน้า ทับเท่านั้น (นอกจากในเพลงเรื่องบางเพลง เท่าอาจยาว เป็นพิเศษถึงเต็มจังหวะก็ได้) และโดยปรกติมี แทรกอยู่ในเพลงประเภทหน้าทับปรบไก่ ประโยชน์ของ “เท่า” น้ี มีไว้เพื่อใช้แทรกในระหว่างประโยค วรรคตอนของ ทา่ นองเพลง เพ่ือเชื่อมให้ประโยคหรือวรรคตอนของเพลงตดิ ต่อกันสนิทสนมหรอื เพิม่ ให้ ครบถว้ นจงั หวะหนา้ ทับ เทียบไดก้ ับคา่ สนั ธานทใ่ี ช้ในทางอกั ษรศาสตร์ ______________________________ เทดิ เสยี งตะโพนไทย “หนา้ เทง่ ” ตเี ปิดมอื พอมีกังวานแลว้ หา้ มไว้ ______________________________ เทียว เป็นเสียงของลูกฆอ้ งใหญ่ เม่ือตดี ว้ ย “ค๒ู่ ” ______________________________ โท่น เสียงทับ (โทนชาตร)ี ตเี ปิดมือ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคีต 155 หมวด น นอก หมายถึงทางหรือระดับเสียงของดนตรีไทย ซึ่งเป็น “ทางนอก” หรือ “ทางกรวด” โดยใช้ “ปี่ นอก” เป่าเป็นหลัก (โปรดดูค่าว่า “ทาง” ประกอบ”) ______________________________ น้า เป็นช่ือเรียกท่านองเพลงประเภทลูกล้อลูกขัดตอนที่เป็น “ลูกโยน” ซึ่งไม่ก่าหนดจังหวะ เช่นว่า “เน้อื นิดเดียว น้่าเยอะ” อย่างนก้ี ็หมายความว่า “เน้ือเพลง” ของเพลงน้ันมีนิดเดียว แต่ออก “น้่า” คือ ลกู โยน ซ่ึงประกอบดว้ ยลูกลอ้ ลกู ขดั มากมายนนั่ เอง ______________________________ น่ิม หมายถึงการสีซอท่ีผู้บรรเลงสามารถประคบเสียงให้น่ิมนวล ไม่ดังแกร๊กกรากน่าร่าคาญหู (มักจะ พูดกนั วา่ “คนนี้สีซอนม่ิ ดีแทๆ้ ”) ______________________________ เนื้อ คา่ น้ีมคี วามหมายเป็น ๓ กรณี คอื ๑) หมายถึงบทกลอนหรือค่าโคลงหรือค่าประพันธ์ท่ีใช้ในการขับร้อง เรียกเป็นที่เข้าใจกับท่ัวไปว่า “เนือ้ ร้อง” ๒) หมายถงึ ท่านองทีเ่ ป็นเน้ือแท้ๆ ของเพลงท่ีเรียกกันทั่วๆไปว่า “เนือ้ เพลง” หรือ “ลูกฆ้อง” (คือ ท่านองเพลงท่ีฆ้องใหญ่บรรเลง ค่าว่า “ลูกฆ้อง” ก็หมายถึงลูกฆ้องใหญ่นี้)เครื่องมืออ่ืนๆในวงปี่พาทย์ นอกจากฆอ้ งใหญ่นี้แลว้ จะไม่บรรเลง “เน้ือเพลง” หรอื “ลูกฆอ้ ง” เลย แต่จะบรรเลงเป็นทางเต็ม (full melody) ซง่ึ แปลจาก “เน้ือเพลง” หรอื “ลกู ฆ้อง” นีอ้ กี ทีหนง่ึ ๓) หมายถึงลลี าของเคร่อื งหนงั สท่ีเป็น “เนื้อแท้ๆ” มิใชท่ ่านอง “ส่าย” ทพ่ี ลิกแพลงออกไป ______________________________ แนว ค่านี้มคี วามหมายเป็น ๓ กรณี คอื ๑) มีความหมายตรงกับค่าว่า “ทาง” คือ แทนท่ีจะเรียกว่า “ทางร้อง ทางปี่ ทางระนาด ทาง ลูกฆ้อง” ก็เรียกว่า “แนวร้อง แนวปี่ แนวระนาด แนวลูกฆ้อง” แต่ค่าว่า “แนว” น้ี มักใช้เฉพาะการ เขียนโน้ตฉบับรวมเคร่ืองหรือ score เท่านั้น เช่น เขียนแนวร้องเป็นอย่างน้ี แนวปี่เป็นอย่างนั้น แนว ระนาดเป็นอยา่ งโน้น ดงั นเ้ี ป็นต้น ถา้ เป็นการพูด โดยท่วั ไปแลว้ มกั ใช้ค่าว่า “ทาง” เป็นต้น ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรือ่ งศัพทย์สังคีต 156 ๒) หมายความถงึ “อัตราความเร็วของการด่าเนินจงั หวะ” โดยปกตเิ พลงแต่ละเพลงมีแนวของ มันอยู่ในตัว เช่น ถ้าเป็นเพลงประเภทลูกลูกลูกขัด แนวการบรรเลงก็ค่อนข้างเร็วหน่อย ถ้าเป็ นเพลง ประเภทกรอ แนวเพลงของมันก็ช้าลง ดังน้ีเป็นต้น ที่เรียกว่า “แนวดี” นั้นหมายถึงว่า “นักร้องและนัก ดนตรีสามารถรักษาอัตราความเร็วของการด่าเนินจังหวะไว้ได้อย่างสม่าเสมอและเหมาะสม” คือท่ีควร จะเร็วก็เร็ว ที่ควรจะช้าก็ช้า ดังนี้เป็นต้น ส่วนท่ีเรียกว่า “แนวเสีย” หรือ “แนวใช้ไม่ได้” นั้นก็เป็นการ ตรงกันขา้ ม ๓) หมายถึง “ก่าลังฝีมือโดยเฉพาะของคนระนาดเอกหรือคนซอด้วงซึ่งเป็นผู้น่าวง” ซึ่งคน เหล่านจ้ี ะมี “แนว” ของเขาอยู่ว่าเขาจะ “ไหว” ไดใ้ นอัตราเร็วที่สุดเท่าน้นั เท่านี้ จึงจะพอเหมาะกบั ฝมี ือ ของเขา ถ้าเล่นให้พอดีกับ “แนว” ดังกล่าวแล้ว เขาจะน่าวงไปได้สวยมาก ถ้าเล่นไม่ถึง “แนว” (คือช้า ไป) แล้ว แทนทค่ี นซอดว้ งหรอื คนระนาดเอกจะบรรเลงไดค้ ล่องแคล่วกจ็ ะกลับรสู้ ึกขัด เพราะมันช้าไปไม่ ถึงแนวของตนนั่นเอง และในทางตรงกันข้าม ถ้าการบรรเลงนั้นมันเร็วจน “เกินแนว” ของคนซอด้วง หรือคนระนาดเอกแลว้ การลม้ ลุกคลกุ คลานกจ็ ะตอ้ งเกิดขนึ้ ______________________________ ใน หมายถึงทางหรอื ระดบั เสียงของดนตรีไทยท่ีเป็น “ทางใน” ซึง่ ใช้ “ป่ีใน” เปา่ เป็นหลัก (โปรดดูท่ีค่า วา่ “ทาง” ประกอบ) หมวด บ บอด หมายความว่าผู้บรรเลงเลน่ ลูกไม่ชัดเจน โดยเฉพาะลูกสะบัด “เต็ง-ตะเร็ง” น้ัน ถ้าท่าไม่ชัดแล้ว มันจะดังเสยี งกลว้ั ไปหมดไมน่ ่าฟงั อาการทท่ี ่าไม่ชดั นเ้ี รียกวา่ “บอด” ______________________________ บาก ค่านี้ย่อมากจากศพั ท์ธรรมดาว่า “บากลง” คือ หมายถงึ คนซอด้วงหรอื คนระนาดเอกให้ท่าวา่ จะ ลง (คือจะทอดให้ร้องต่อไป หรือจะลงลูกหมด หรือลงจบอย่างใดอย่างหนึ่ง) การ “บากลง” น้ี ถ้าเป็น คนซอด้วงจะต้องเน้นคันชักหรือท่าอย่างไรอย่างหนึ่งให้คนท้ังวงรู้ว่า “จะทอดละนะ” หรือ “จะลงลูก หมดละนะ” ดังนี้เป็นต้น อาการทบ่ี างน้ีมักเป็นท่ีเข้าใจกนั ดี คือพอเหน็ ทา่ ว่าผู้น่าจะลงลูกหมดก็พากนั ลง พรอ้ มกันเรียบรอ้ ยดี หมวด ป ปรบไก่ เป็นช่ือของหน้าทับ (ลีลาของเคร่ืองหนัง) ชนิดหน่ึง ซึ่งใช้ตีประกอบจังหวะกับเพลงท่ีมี ประโยคและวรรคตอนจัดไวเ้ ป็นระเบียบ และวรรคตอนเหลา่ นน้แี ตล่ ะอันยาวพอเหมาะกับหนา้ ทับพอดี ______________________________ ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคตี 157 หน้าทับปรบไก่ มีตง้ั แต่ ๓ ชน้ั ๒ ชัน้ มาจนถึงชน้ั เดียว สมยั นีม้ ีผคู้ ดิ หน้าทับ ๔ ชน้ั และครึ่งชนั้ ข้นึ อีก ด้วย เพราะผู้แต่งได้ขยายและลดข้ันตอนของเพลงลงไปถึงอัตราดังกล่าว อย่างไรก็ดี หน้าทับปรบไก่ใน อัตรา ๒ ชัน้ ไดเ้ กิดขนึ้ กอ่ น ทงั้ นโ้ี ดยเอาตะโพนตีเลียนเปน็ เสยี งลกู คเู่ พลง “ปรบไก่” ดงั น้ี เสียงลูกคเู่ พลงปรบไก่ |ฉา่ -ฉ่า|ฉา่ -ชา้ |-ชดั ฉา่ |-ไฮ้-| ตะโพนเลียนเสยี งลูกคู่ |-พรงึ |ป๊ะ-ตบุ๊ |พรึง-พรึง|ตบุ -พรึง| (โนต้ แตล่ ะหอ้ งมีความยาวเท่ากับโน้ตสากลอตั รา ๒/๔) เม่อื ใช้ตะโพนเลยี นเสยี งลูกคเู่ พลง “ปรบไก”่ จนกระท่ังได้ดัดแปลงมาเปน็ “หนา้ ทับ” แล้ว หน้าทับนี้จึงมีช่ือว่า “หน้าทับปรบไก่” ตามช่ือเดิมไป ต่อมาคนตีเคร่ืองหนังอื่นๆ เช่น กลองคู่ โทน ร่ามะนา สองหน้า จึงได้คิด ดัดแปลงจากเสียงตะโพนมาเป็นหน้าทับให้เข้ากับเสียงกลองของตนอีกที หนง่ึ จึงไดม้ หี น้าทับปรบไก่ใช้กนั แพร่หลายมาจนทุกวนั น้ี ______________________________ ประ เปน็ วิธีปฏิบตั ิของเครื่องดนตรีประเภทซอ ซ่ึงในตอนที่ใชเ้ สยี งสายเปลา่ ยาวๆ แล้ว เขามกั ใช้กลาง น้ิวแตะสายเปลา่ ๆขนึ้ ลงๆ ใหม้ ีความถีพ่ อเหมาะ เสียงซอก็จะดังเป็นเสียงเดิมสลับกับเสยี งสูง (ท่กี ลางนิ้ว แตะลงไป) ถี่ๆท่าให้เกิดความไพเราะขึ้น อาการท่ีท่าอย่างนี้เรียกว่า “ประ” ถ้าท่าให้ละเอียดหรือถี่ขึ้น แล้ว บางท่านเรยี กวา่ “พรม” ______________________________ ประคบ หมายถึงการใช้มือท้ังสองบังคับเคร่ืองดนตรีให้เกิดเสียงตามท่ีต้องการ เช่น ฆ้องวงใหญ่ ถ้าตี ลงไปเฉยๆ จะเกดิ เป็นเสยี ง “น้งๆๆ” ฟังไม่ได้ศัพท์ ดว้ ยเหตุน้ที ่านจงึ บังคบั วา่ ท่านองเพลงตรงน้ันจะต้อง ตีให้เป็นเสียง “แหนะ” หรือ “หนับ” หรือ “หนอด” หรือ “หน่ง” หรือจะให้ตีปล่อยมือเฉยๆ (คือไม่ ประคบ) เป็นเสียง “น้ง” ซึ่งถ้าผู้แต่งท่านบังคับไว้อย่างไรแล้ว ผู้บรรเลงฆ้องใหญ่ก็ต้องใช้มือท้ัง ๒ ข้าง บังคับไมต้ ใี ห้เกดิ เสียงไปตามนัน้ อาการเช่นนเ้ี รยี กว่า “ประคบ” เครื่องตีทุกชนิดต้องได้รับการ “ประคบ” ท้ังนั้น แม้แต่เครื่องสายเช่นซอด้วง ก็ต้องใช้ กล้ามเนื้อแขนบังคับคันชักให้เกิดเป็นเสียงต่างๆ ให้เหมาะกับอารมณ์ของเพลงเป็นตอนๆไป เช่น สี บังคับให้เกิดเปน็ เสียงโต เสยี งลึก เสยี งแกว้ เสยี งแผ่วๆ เสยี งโปรย เหล่านี้เป็นต้น ______________________________ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สังคตี 158 ประชัน เป็นวิธีท่ีวงดนตรีประเภทเดียวกันต้ังแต่สองวงข้ึนไป เข้าแข่งขันเอาแพ้และชนะซึ่งกันและ กนั ท้ังนี้โดยมหี ลักเกณฑ์และกติกาตามที่ไดก้ ่าหนดไว้ ______________________________ ประสาน เป็นวิธีการร้องหรอื บรรเลงเพลงเดียวกันพร้อมๆกัน แต่เป็นคนละทาง (คนละเสียง) ซ่ึงครู บาอาจารย์ทางดนตรยี อมรับว่าเสยี งเหล่านน้ั มันเข้ากันได้อย่างไพเราะ ไม่วา่ จะเปน็ เสียงรอ้ งประสานกับ ร้อง เสยี งดนตรปี ระสานกับดนตรี หรือเสยี งร้องประสานกบั ดนตรี ก็ได้ท้งั นน้ั ______________________________ ปรับ เป็นค่าย่อมาจากค่าว่า “ปรับปรุง” ซึ่งมีความหมายท่ัวไปว่า แก้ไขให้เรียบร้อยยิ่งข้ึน แต่เมื่อ น่ามาใช้เป็นศัพท์สังคีตแล้ว ค่าว่า “ปรับ” มีความหมายโดยเฉพาะว่า จัดหาหรือสร้างทางของเพลงขึ้น ให้เหมาะสม และซักซ้อมไปตามน้ันเพื่อให้วงดนตรีบรรเลงได้โดยราบรื่นและเรียบร้อย เช่น ว่า “วงที่ ชนะประชันเม่ือคืนนี้ ใครเป็นคนปรับ?” เป็นต้น ______________________________ ปริบ คือวิธปี ฏิบตั ิในการบรรเลงท่ที า่ ให้เกิดเสยี งเตน้ ระริกขึ้นเล็กนอ้ ย โดยเสยี งระรกิ น้นั เกิดข้ึนในตวั จากเสียงเดมิ นั้นเอง คลา้ ยๆกับเราพูดกันว่า “ปริบ” น่นั แล ถา้ เปน็ เคร่ืองดนตรจี า่ พวกทีใ่ ช้นิ้วปดิ เปดิ เชน่ ขลุ่ย ป่ี และซอ ประเภทตา่ งๆ แลว้ จะทา่ เสียง “ปริบ” ได้ไมย่ าก ทั้งน้โี ดยในระหวา่ งท่ีก่าลงั เป่าหรือสีอยูน่ นั้ ใหก้ ระดกิ น้ิวข้นึ นิดหนงึ่ เพอ่ื จะให้ เกิดเสยี งระริกคล้ายๆกบั มันร่ัวปริบออกมาอย่างน้ัน ถ้าเปน็ เครื่องดนตรปี ระเภทตี เชน่ ระนาด ฆ้อง อยา่ งนี้ จะทา่ ใหเ้ กิดเสียงปริบได้ก็ต่อเมื่อ ได้ ตีลงไปแลว้ ท่าให้ไมต้ ีเกิดส่นั สะเทือนขึ้นมานิดหน่อย คล้ายๆกดดัง “ปริบ” ลงไปฉะนน้ั ______________________________ ปรูดปราด ท้ังค่าว่า “ปรูด” และ “ปราด” หมายถึงว่าไปโดยรวดเรว็ ท้งั นัน้ เมื่อท้ัง ๒ ค่านี้มารวมกัน เป็นศัพท์สังคีตว่า “ปรูดปราด” ก็หมายความถึงนักดนตรี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนระนาดเอกและคนซอ ดว้ ง) ซงึ่ สามารถบรรเลงได้คล่องแคลว่ ว่องไว ไมว่ า่ จะเป็นทางเก็บ ทางรวั หรอื ทางคาบลกู คาบดอก ทาง ล่อ ทางชนอย่างไร ก็บรรเลงได้คล่องไม่ติดขัดทั้งน้ัน และสามารถพาวงท้ังวงเข้าสู่ “แนวว่ิง” ได้โดยไม่ ต้องหกั จงั หวะใหเ้ สยี แนวเพลงแตป่ ระการใด ______________________________ ปะ๊ มีความหมายเปน็ ๒ กรณี คือ ๑) เป็นเสยี งโทนชาตรีเมอ่ื ตีเต็มหน้าด้วยมอื ขวา แล้วกดมอื ห้ามเสยี งไว้ทันทพี รอ้ มกบั ใช้มอื ซ้าย อุดด้านล่าโพงให้ลดอัดตวั แนน่ เข้าไว้ ๒) เป็นเสยี งตะโพนไทยเมอื่ ใช้ฝ่ามือขวาตปี ระกบลงไปบนหน้าเท่งโดยแรง ______________________________ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอื่ งศพั ทย์สังคตี 159 ปากกา เป็นวิธีจับไม้ระนาดและไม้ฆ้องอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้น้ิวชี้เหยียดตรงประกับด้ามไม้ฆ้องด้านบน กับ ใช้น้ิวหัวแม่มือเหยียดตรงประกับด้านข้าง เม่ือบีบสองน้ิวเข้าหากันพร้อมท้ังรัดนิ้วที่เหลือเข้าในอุ้งมือ แล้ว จะจับไม้ระนาดหรือไม้ฆ้องได้แน่น ถ้ามองดูนิ้วช้ีกับน้ิวหัวแม่มือท่ีเหยียดคู่กันออกไปแล้วจะมอง เหมอื นปากอีกา (เพราะนิว้ ชยี้ าวกว่าหนอ่ ยหน่งึ ) จงึ เรยี กวา่ จับแบบ “ปากกา” ______________________________ ปากไก่ เป็นวิธจี บั ไมต่ ีระนาดและไม้ฆ้องเช่นเดียวกับ “ปากกา” แต่แทนท่ีจะใชน้ ้ิวเหยยี ดตรงประกับ ด้านบนไม้ระนาดหรือฆ้องเหมือนปากกา ก็ให้ไพล่ลงข้างขวาเสีย นิ้วที่เหยียดตรงอยู่น้ันก็จะพุ่งลงไป ประมาณ ๔๕ องศา เม่ือมองประกอบกับนิว้ หัวแมม่ ือซงึ่ อยู่ในทา่ เดมิ แล้ว จึงดคู ลา้ ยปากของไก่ ______________________________ ปากนกแก้ว เป็นวิธีจับไม้ตีระนาดและไม้ตีฆ้องเช่นเดียวกับ “ปากไก่” แต่ให้งอนิ้วชี้ซึ่งทอดตางอยู่ ข้างขวาของไม้ตีน้ันเข้ามาจนถึงปลายนิ้วหัวแม่มือ ท้ังน้ีโดยกดกลางน้ิวช้ีให้แนบแน่นกับไม้ตีแล้วปล่อย ปลายนิ้วห้อยลงไปข้างลา่ ง ปลายน้ิวดงั กลา่ วจะงอเหมือนจะงอยปากนกแก้ว จึงเรียกกันว่าเปน็ วิธจี ับไม้ ตแี บบ “ปากนกแก้ว” ______________________________ เป็นหลักเป็นฐาน หมายความถึง การบรรเลงที่ผูบ้ รรเลงแมน่ เพลง แม่นจังหวะ รู้ท่หี นักที่เบา ฯลฯ จนสามารถบรรเลงไดอ้ ย่างมน่ั คงไม่มีวันซวดเซลงไปได้ ถา้ เราบอกว่า “ระนาดเอกรางน้ีเขาบรรเลงเป็นหลกั เป็นฐานดี ไมต่ ้องกลัว” ก็หมายความ ว่าคนระนาดเอกน้ันแม่นเพลง แมน่ จังหวะ แม่นทุกอย่าง แทบจะหลับตาตไี ด้เลย แต่ถ้าบอกว่า “ไม่เป็น หลกั เป็นฐาน” กห็ มายความว่าเหลว เพลงก็ไมแ่ มน่ อะไรกไ็ ม่แมน่ มที า่ ว่าจะพาวงทง้ั วงลม้ ไปง่ายๆ ______________________________ เปียก หมายความถึงการเล่นเครอ่ื งดนตรที ่ีถึงเวลาเร้าใจกไ็ ม่ท่าใหม้ ันเกิดเสียงเรา้ ใจ หรือถึงเวลาเน้นก็ ไม่ท่าให้เกิดเสียงดังกล่าว แต่คงตีเนือยๆ ไปเร่ือยๆ เม่ืเป้นเช่นนี้เสียงท่ีออกมามันก็ดังเนือยๆ ไม่เกิด อารมณ์อันใด จึงเรยี กวา่ “เปยี ก” ซ่ึงคงย่อมาจากค่าว่า “ปวกเปยี ก” แต่กไ็ ม่แน่ เพราะบางท่านเรียกว่า “แฉะ” กม็ ี ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สังคตี 160 โปรย เป็นวิธปี ฏิบัตใิ นการบรรเลงท่ที า่ ใหเ้ กดิ เปน็ เสยี งพ้ืนธรรมดา (ไมเ่ นน้ ไม่กรอด หรือไม่เกิดส่าเนียง ท่เี ป็น sound effects อื่นๆ) ไปชวั่ ระยะหน่งึ ถ้าเป็นพวกซอก็จะสีไปอย่าธรรมดาโดยไม่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อท่ีแขน หรือเน้นที่หน้าอก อะไรทง้ั สน้ิ คงสใี ช้นว้ิ โปรยไปเฉยๆ หมวด ผ ผรืด เป็นเสียงตะโพน เมอื่ ตีทั้งสองหนา้ พร้อมกันแล้วห้างกงั วานไวท้ นั ที หมวด พ พรม เป็นเทคนิคอย่างหน่ึงส่าหรับเคร่ืองดนตรีที่ใช้น้ิวบังคับเสียง เช่น ปี่ ขลุ่ย และซอประเภทต่างๆ เป็นต้น การ “พรม” หรอื เรียกเตม็ ๆวา่ “พรมน้วิ ” มีวธิ ดี งั ต่อไปน้ี ๑) พรมแบบเดยี วกับ “ประ” (ดูค่าว่า”ประ”) แตท่ า่ ใหล้ ะเอยี ดหรอื ถก่ี วา่ ปะ ๒) การพรมไมจ่ ่าเปน็ ตอ้ งสายเปลา่ อย่างเดียว จะเลน่ นว้ิ ไหนอยุ่ก็พรมไดท้ งั้ น้ัน ขอแต่ให้นิว้ หนึ่ง ทา่ เสียงยืนแล้วนิ้วที่ถัดไปแตะข้ึนลงเร็วๆแล้วก็ใช้ได้ จะบังเกิดเป็นเสียงสูง (เสียงพรม) สลับกับเสียงยืน พ้นื ถี่ๆ น่าฟงั มาก นอกจากนั้น เราจะไม่พรมด้วยนิ้วท่ีถัดอยู่ขึ้นไปก็ได้ อาจจะพรมข้ามเสียง เช่น เป่าขลุ่ยเสียง “เร” ยืนพื้นไว้ แล้วพรมด้วยนิ้วเสียง “ฟา” ก็ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความเหมาะสมของท่านองตรงน้ันเป็น สา่ คญั ______________________________ พล หมายถงึ เคร่ืองดนตรีหรืออปุ กรรณ์ทเี่ ป้นของสรา้ งขึน้ ใหพ้ อใช้ไดเ้ ท่าน้นั เครื่องดนตรีทวี่ า่ นนม้ี กั มี รปู รา่ งไม่ค่อยสวย คณุ ภาพไม่สดู้ ี แตท่ ว่ามีราคาถกู มักจะกล่าวกันว่า “ผืนระนาดอย่างพลๆ” หรือ “ซออยง่ พลๆ” ดังนเ้ี ปน็ ตน้ ______________________________ พรงิ คือเสยี งตะโพน เมื่อตีหน้าเท่งกบั หนา้ มัดโดยเปดิ มือพรอ้ มกัน แต่ให้หน้ามดั ดังกว่าจึงฟังเปน็ เสยี ง “พริง” ______________________________ พรงึ คือเสียงสองหน้า เม่ือตีสองหน้าเปิดมือพรอ้ มกนั ฟังเป็นเสียง “พรึง” ______________________________ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สังคตี 161 เพริ่ง คือเสียงตะโพน เม่อื ตีหนา้ เทง่ กบั หน้ามดั (หน้าติง) โดยเปิดมือพร้อมกัน แตใ่ หห้ น้าเทง่ ดังกวา่ จึง ฟังเปน็ เสยี ง “เพรงิ่ ” ______________________________ เพริด คือเสียงตะโพน เมื่อตรีหน้าเทง่ กับหนา้ มดั พร้อมกนั โดยเปดิ มอื ก่อน แต่พอจะมีกังวานก็หา้ ม เสียงเสยี ทง้ั สองหนา้ จงึ ไม่ฟังเปน็ “เพร่งิ ” แตฟ่ ังเปน็ “เพริด” แทน เพลง คอื ท่านองท่ไี ดป้ ระดิษฐ์ข้นึ โดยถูกต้องกับหลกั เกณฑข์ องดรุ ิยางค์ เช่น มีสัมผัส ถกู ต้อง มีวรรคตอนถูกตอ้ ง มีจงั หวะถูกต้อง เหล่านี้เปน็ ต้น ในสมยั โบราณค่าว่า “เพลง” น้ี ทา่ นเรยี กวา่ “ลา่ ” เช่น “เพลงพดั ชา” เรียกว่า “ลา่ พดั ชา” ดงั น้ีเป็นต้น หรือว่า “รอ้ งเล่นเปน็ ล่าๆ” อยา่ งนก้ี ็ หมายความว่ารอ้ งกนั เป็นเพลงๆไป (โปรดดูค่าว่า “ล่า” และ “ล่าน่า” ประกอบดว้ ย) ______________________________ พนั ค่านี้มคี วามหมายเป็น ๒ กรณี คือ ๑) หมายถึงการเกบ็ (โปรดดูค่าวา่ ”เกบ็ ) หรอื การแปละ “ลูกฆ้อง” ให้เป็นทางเต็ม (full melody) โดยเก็บเป็นลกู ถี่ๆ ตดิ กันเรือ่ ยไป การเก็บนีจ้ ะต้องผกู พันอยู่กับลกู ฆ้อง เพราะจะเกบ็ ให้ ออกไปนอกลูน่ อกทางนอกกรอบของลูกฆอ้ งไม่ได้ อาจเป็นดว้ ยการผูกพันกับลูกฆ้องหรือการพนั ไป รอบๆลูกฆ้องนี้กระมัง ทท่ี า่ นเกรยี กการเกบ็ วา่ เป็น “ทางพัน” อีกอย่างหนงึ่ ๒) หมายถงึ ชอื่ เพลงตอนหนง่ึ ของเพลงพน้าพาทย์ชุด “องค์พระพริ าพ” ______________________________ พับ หมายความถึง การบรรเลงที่ล้มลงไปทีเดียว เชน่ ถา้ บอกว่า “เล่นไหวๆอย่างนป้ี ระเดย๋ี วคน ระนาดก็พับดอก” หมายความวา่ ให้ระวงั คนระนาดจะลม้ (ตีไม่ทนั ) นนั่ เอง ______________________________ เพย้ี น คอื เสียงไมต่ รงกับระดบั เสียงท่ีถูกต้อง เสยี งน้นั ไม่วา่ จะเป็นเสยี งรอ้ งเดยี่ ว รอ้ งหมู่ หรอื เสยี ง เครอ่ื งดนตรีเลน่ เด่ียวเลน่ หมอู่ ย่างไรกต็ าม ลงวา่ ผูร้ ้องหรือผู้เล่นท่าให้เสยี งผิดไปจากระดับท่ถี กู ต้อง แม้ เพยี งสกั เลก็ น้อย ก็ตอ้ งเรยี กว่า “เพ้ียน” ท้ังนน้ั ในกรณีที่รอ้ งคนเดยี วนน้ั การเพีย้ น อาจเกิดข้ึนเพราะร้องไม่ถูกระดบั เสยี ง ร้องตา่ ไปบา้ ง สูงไปบา้ ง ในกรณีที่เล่นดนตรีคนเดียว และเคร่ืองดนตรีประเภท “สี” หรอื “เป่า” การเพ้ยี นอาจ เกิดขึน้ ได้ง่าย เชน่ กดน้วิ ซอผิดสว่ นสัดไป เปา่ ขล่ยุ แหบจนเสียงหลง เป่าป่ใี ชล้ มไมถ่ ูก ท่าให้เสยี งผิดระดบั ไป ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรือ่ งศพั ทย์สังคตี 162 ถ้าเป็นเคร่ืองดนตรปี ระเภท “ตี” และ “ดดี ” การเพ้ยี นอาจเกิดข้นึ ไดจ้ ากการเทยี บเสยี ง ไมไ่ ด้ท่ีหรอื ขนึ้ สายผดิ หมวด ม แมวข่วนฝา หมายถึง การสีซอ (โดยเฉพาะซอด้วง) ที่ผู้เริ่มหัดเล่นใหม่ และใช้คันชักเข้าออกแรงไป ไม่สัมพันธ์กับสายซอ เช่น คันชักเบียดสายซอมากก็ชัดเข้าไป และชักแรง ท่าให้เกิดเสียง กร๊ากๆ หรือ กรก๊ิ ๆ แสบเขา้ ไปในหู จงึ เรยี กวา่ สซี อยา่ งกบั แมวข่วนฝา ______________________________ ไม้ ค่านีม้ ีความหมายเปน็ หลายกรณี คือ ๑) หมายถึง ลีลาในการขยับกรบั เสภาแต่ละอย่าง เช่น ถา้ ขยับกรอก็เรียก ไม้กรอ นอกจากนัน้ ยังมี ไมอ้ ่นื ๆ อกี เชน่ ไม้หนึ่ง ไม้สอง ไม้รบ เป็นตน้ ๒) หมายถึง การตีส่าย (คือเล่นลุกหรือเล่นพลิกแพลง) ของกลองแขก กลองมะลายู โทนร่ามะนา และเครอ่ื งหนังที่ใช้หนา้ ทับต่างๆ ๓) หมายถงึ การตีหน้าทับสะระหม่า (ทต่ี ีด้วยกลองแขก) แตล่ ะท่อน เชน่ ทอ่ น ๑ ก็เรียก “ไม้หนง่ึ ” ทอ่ น ๒ ก็เรียก “ไม้สอง” ท่อนสร้อยกเ็ รยี ก “ไมส้ ร้อยสน” ๔) หมายถึง หน้าทับตะโพนกลองแต่ละวรรคที่เป็น “ไม้เดิน” ซึ่งเมื่อสิ้นสุดไม้เดินแต่ละวรรคนี้ กลองทัดจะตีลงจังหวะเป็นเสียง “ตูม” หรือ “ต้อม” อย่างใดอย่างหน่ึง เพ่ือเป็นเคร่ืองหมายว่าหมด วรรค กลองทัดตีลงไปทีหนึง่ ก็เรียกวา่ ไมห้ นึ่ง ฉะนัน้ เพลงเสมอธรรมดาซ่ึงมอี ยู่ ๕ วรรค กลองทัดจงึ ตอ้ ง ลงไม้ ๕ ครั้ง ซึง่ เรียกตามน้ั วา่ “ไม”้ นน่ั เอง ตวั ละครจะต้องเดินเพลงเสมอตาม “ไม้เดิน” นี้ กล่าวคือ เมอ่ื กลองทัดลงจังหวะแต่ละไม้ ตัวละคร กก็ ้าวไปก้าวหน่งึ เพลงเสมอธรรมดามี ๕ ไม้ ตวั ละครก็ก้าวได้ ๕ กา้ ว เปน็ ดังน้ี ๕) หมายถึง วิธกี ารข้ันสุดยอดท่ีน่าออกไม้ใช้ ท่านองเดียวกับที่บอกว่า “ปล่อยทีเด็ด” แต่ในทาง สังคีตท่านเรยี กว่า “ปลอ่ ยไม้เดด็ ” หรือ “ปล่อยไม้ตาย” ______________________________ ไม้กลอง คือ การตกี ลองทดั ไปตามจังหวะหนา้ ทับทีก่ ่าหนด ตามปกติกลองทัดจะตอ้ งตีคู่ไปกบั ตะโพน โดยตะโพนเป็นตัวเดินจังหวะในทุกระยะ แต่กลองทัดจะลงไม้ในจังหวะหา่ งๆเทา้ นัน้ เช่น เมือ่ สน้ิ สุดของ แต่ละวรรค กลองทัดก็จะตีลงไปไม้หนงึ่ ดังนี้เป็นต้น ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรือ่ งศัพทย์สงั คตี 163 หน้าทับเพลงเสมอธรรมดานั้นมี๕ ไม้ คนตีกลองทัดจะต้องรู้ว่าตะโพนเดินมาถึงตรงไหนจึงจะจบ วรรคซ่ึงตนจะต้องลงไม้กลองตรงน้ันให้มันถูกต้อง แบบแผนท่ีก่าหนดให้กลองทัดตีในแต่ละจังหวะหน้า ทบั น้ี ท่านเรียกวา่ “ไม้กลอง” แทนที่จะเรยี กวา่ “หนา้ ทบั กลองทดั ” ______________________________ ไม้แข็ง เป็นช่ือเรียกไม้ตีระนาด ที่หัวพันด้วยเชือกชุดครั่งข้ึนมาเป็นชั้นๆ ตแี ลว้ มีเสียงดังกังวานไปไกล เหมาะสา่ หรับบรรเลงกลางแจง้ หรือในอาคารที่มเี นือ้ ท่ีมากๆ ค่านถึ้ กู ยืมไปใชใ้ นความหมายทัว่ ไปเกี่ยวกบั เหตุการณ์ต่างๆ ท่ีต้องใช้วิธรี ุนแรงหรอื เอากันจริงๆจังๆ เชน่ “อ้ายหมอคนน้ี เราตอ้ งเล่นไมแ้ ข็งกบั มนั ” ______________________________ ไม้นวม เป็นชอ่ื เรียกไม้ตีระนาดที่หัวพันด้วยผ้าและเชอื กขนึ้ มาเป็นชั้นๆ เพ่อื ให้น่มุ เวลาตีจะได้มีเสยี ง นมุ่ นวล เหมาะสา่ หรับตีในอาคารหรือในสถานที่ซ่งึ ไมต่ ้องการเสียงดังเกินควร คา่ น้ีถูกยืมไปใช้ในความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั่วไป คือหมายความว่า เหตุการณ์ชนิดน้ีจะแก้ไข ด้วยวธิ กี ารรุนแรงไมไ่ ด้ ต้องค่อยเปน็ คอ่ ยไป เชน่ “อา้ ยเรอื่ งพรรค์นี้ มนั ตอ้ งใชไ้ มน้ วมจงึ จะสา่ เรจ็ ) ______________________________ ไม้เดิน เป็นวธิ ีตีกลองทัดท่ีลงจังหวะสม่าเสมอเรื่อยๆป โดยไม่มีการตีสอดแทรกให้ฟังกระชัดเข้าไปแต่ อย่างใด และการตีจังหวะ(ซ่ึงกลองทัดก่ากับ) จะยาวหรือสั้นแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับหน้าทับท่ีก่าหนดให้ เป็นสา่ คญั หมวด ย ย้อย การ “ยอ้ ย” หรือ “ย้อยจังหวะ” นี้ เป็นแบบหน่ึงของการ “ลักจังหวะ” ซ่ึงประกอบด้วย “ล่วง หน”้ และ “ย้อย” หรอื “ย้อยจังหวะ” การ “ย้อย” ก็คือ ลูกท่ีควรจะลงจังหวะแล้วแตย่ ังไม่ลง แกล้งย้อยใหไ้ ปลงหลังจังหวะเสยี อยา่ งนั้น แหละ การย้อยน้ีอาจเป็นได้ท้ังทางร้องและทางดนตรี และอาจเป็นลูกที่ผู้แต่งแกล้งประดิษฐ์ให้ย้อยมา ในตวั เลย หรือเป็นลูกทค่ี นร้องหรอื นักดนตรีแกลง้ พลิกแพลงให้ยอ้ ยไปก็ได้ แล้วแตส่ ่วนมากเป็นเรอื่ งของ การพลกิ แพลง ลกู ธรรมดาจะลงตรงจังหวะพอดี แต่ “ลูกย้อย” กลับยืดเอาเสียงส่าคัญไปตกหลงั จงั หวะ ฉะนั้นมัน จึงตรงข้ามกับการ “ล่วงหน้า” ซ่ึงเป็นการแกล้งท่าให้ลูกที่จะลงจุงหวะพอดีกลับส้ันลงและต้องลงก่อน จงั หวะ (โปรดดูคา่ วา่ “ล่วงหน้า”) ______________________________ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เร่อื งศพั ทย์สังคีต 164 โยน เรยี กเต็มๆว่า “ลูกโยน” หมายถึง ท่านองตอนหน่ึงของเพลงซึ่งตอ้ งการยืนอยู่ ณ เสียงใดเสยี งหนึ่ง เพียงเสียงเดียว “โยน” ก็คล้ายๆกับ “เท่า” หรือ “ลูกเท่า” (โปรดดูค่าว่า “ลูกเท่า”) เพียงแต่ลูกเท่ามี จังหวะบังคับว่าต้องยาวเท่านั้น ส่วนลูกโยนไม่มีกฎเกณฑ์บังคับในเรื่องจังหวะแต่อย่างใด ผู้แต่ง ผู้ร้อง หรือผู้บรรเลง จะยืดขยายข้ึนไปก่ีจังหวะก็ได้ และจะท่าลูกให้พลิกแพลงไปอย่างใดก็ได้ ข้อส่าคัญ ขอให้ มเี สยี งตกตรงเสยี งท่ียืนอยูน่ ั้นเปน้ ใช้ได้ หมวด ร รวน หมายถึงการร้องหรอื บรรเลงที่ไม่เรียบร้อยและมีท่าทางว่าอาจจะลม้ ลงไปง่าย ๆถ้าไม่รีบแก้ไขให้ ทันท่วงที เช่น ร้องคลอหรือล่าลองไปกับดนตรี แล้วฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเดินจังหวะไม่สม่าเสมอ ล่้าหน้าไป บ้าง หน่วงจังหวะบ้าง เท่านี้ก็รวนแล้ว ย่ิงถ้าเดินจังหวะไม่สม่าเสมอท้ัง ๒ ฝ่ายด้วยแล้ว การรวนที่ เกดิ ขน้ึ อาจรนุ แรงถงึ กับท่าให้วงดนตรีทั้งวงรวมทงั้ คนร้องล้มครนื ไปพรอ้ มกนั ได้ ______________________________ รวบ เป็นวฺธีร้องเพลงที่มักบรรจุเนื้อร้องมากกว่าธรรมดา ๑ เท่าตัว เรียกว่า “ร้องรวบ” เช่น ตาม ธรรมดาท่อนหน่ึงก็บรรจุเนื้อร้องเพียงหนึ่งค่ากลอน แต่ถ้าต้องการด่าเนินเร่ืองราวให้รวดเร็วขึ้น ก็ใช้วิธี “ร้องรวบ” คือบรรจุเนื้อเพลงร้องลงไปท่อนเดียว ๒ ค่ากลอน แล้วร้อง “รวบ” ๒ ค่ากลอนนั้นเข้ากับ ท่านองเพลงไปเลย ______________________________ ร้อง มีความหมายเป็น ๒ กรณี คือ ๑) หมายถึง การเปล่งเสียงออกเป็นท่านองต่างๆท่ีเรียกว่า “ร้องเพลง” ท่านองทีว่ ่าต้องมถี ้อยค่าท่ี เปน็ เน้ือร้องประกอบไปดว้ ย แต่ถงึ ไม่มกี ็ไม่เป็นไร ขอใหเ้ ปล่งเสียงออกมาเป็นทา่ นองก็เรียกวา่ ร้องเพลง แล้ว การร้องเพลงแยกได้เป็นร้องส่ง ร้องคลอ ร้องล่าลอง และร้องเคล้า (โปรดดูค่าว่า “ส่ง” “คลอ” “ลา่ ลอง” และ “เคลา้ ” ประกอบไปด้วย) ๒) หมายถึงลูกฆ้องที่มีเสียงกังวานแจ่มใส ลูกฆ้องชนิดนี้ท่านเรียกว่ามัน “ร้อง” ดี ถ้าไม่มีเสียง กงั วานแจ่มใสดังกล่าวกว็ ่า “มนั ไม่ใคร่ร้อง” ______________________________ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องศัพทย์สังคตี 165 ร้อยเชือก เป็นวิธีตีฆ้องวงอย่างหน่ึง ซ่ึงใช้มือขวากับมือซ้ายตีม้วนหมุนกันไปมาเป็นวง จะตีเป็นวง ข้ึนไปหาเสียงสูงหรือลงมาหาเสียงต่าก็ได้เช่นเดียวกัน อาการท่ีมือขวากับมือซ็ยม้วนหมุนกันข้ึนไปหรือ ลงมาเป็นวงนี้ ดคู ล้ายๆกบั การรอ้ ยเชือกใหเ้ ปน็ สายโซ๋ จึงเรยี กอาการตีฆ้องชนดิ นวี้ ่า “ตีร้อยเชือก” ______________________________ รั้ง หมายถึงง ท่าให้การบรรเลงชา้ ไว้ เพราะถา้ ปลอ่ ยปรูดปราดกจ็ ะเกิดเรยี่ ราดขน้ึ ฟังไม่เปน็ รส ______________________________ รัว มีความหมายเปน้ ๒ กรณี คอื ๑) หมายถึงวิธีบรรเลงเครื่องดนตรีที่ท่าให้เกิดเป็นเสียงส้ันๆถี่ๆที่สุดเท่าที่จะท่าได้ เคร่ืองดนตรีทุก ชนดิ สามารถรวั ไดท้ ง้ั น้ัน ๒) หมายถึงช่ือของเพลงหน้าพายท์จ่าพวกหนึ่ง ซึ่งบรรเลงด้วยวิธีตัวตามความหมายท่ี ๑ เป็น สว่ นมาก เพลงจ่าพวกน้ีก็เชน่ รัวลาเดยี ว (รวั ธรรมดา) รวั สามลา รัวคกุ พาทย์ รัวดึกดา่ บรรพ์ รัวประลอง เสภา รัวลูกไม้หลน่ รวั ฉ่ิง เหลา่ น้เี ป็นต้น รัวตามความหมายท่ี ๑ นั้น ระนาดเอกเป็นเคร่ืองมือที่จะบรรเลงได้สนิทสนมท่ีสุด ทั้งนี้เพราะอาจ รัวเปน็ ทา่ นองได้อย่างน่าฟงั โดยใช้วธิ ตี อ่ ไปนี้ คอื ๑) รัวลูกเดียว ได้แก่ การใช้ไม้ตี ๒ มือ ตีสลับกันไปบนลุกระนาดลูกเดียวให้เร็วและถี่ที่สุด แล้ว เล่ือนไหลไปยงั ลกู อื่นๆ ใหเ้ กดิ เป็นทา่ นองตามทีต่ ้องการได้ (ท้ังๆท่รี วั อยบู่ นลูกระนาดลกู เดียวนัน่ เอง) ๒) รวั แจกลูก ใช้วิธีรวั เชน่ เดยี วกบั ๑) แตต่ ีสลับกนั ลนลูกระนาดคนละลูก จงึ สามารถด่าเนินทา่ นอง โดยรวั ไมต้ แี จกลกู ให้เป็นคูต่ า่ งๆ เชน่ คู่ ๓ คู่ ๔ คู่ ๕ หรอื จะรัวสลับลกู กนั ให้เกิดเป็นท่านองตา่ งๆก็ได้ ______________________________ ราง มคี วามหมายเป็น ๓ กรณี คือ ๑) เป็นลักษนามสา่ หรับใช้กับเครือ่ งดนตรีประเภท “ระนาด” อาจหมายถึงระนาดท้ังชดุ หรือหมาย เฉพาะ “ราง” เช่น “ไปเอาระนาดเอกกับระนาดทุ้มมาอย่างละ ๑ ราง ” หรือ”ไปเอาผืนระนาดเอกมา รางหนึ่ง” เอามาเฉพาะราง ๒) หมายถงึ ส่วนของเครื่องดนตรีประเภทระนาด ใช้ส่าหรับแขวนผืนระนาดเพ่ือให้ตีได้สะดวก และ ในเวลาเดยี วกันท่าให้เสียงระนาดฟังก้องกังวานไพเราะดขี ึ้นอีกด้วย สว่ นทีก่ ลา่ วนี้เรยี กว่า “รางระนาด” หรอื เรยี กกนั โดยท่ัวไปสนั้ ๆว่า “ราง” “ราง” หรือ “รางระนาด” นีม้ ีอยู่ ๔ ชนิด คือ รางระนาดเอก รางระนาดทุ้ม รางระนาดเอกเหล็ก และรางระนาดทุ้มเหลก็ นอกจากนน้ั รางท้ัง ๔ ชนดิ น้ยี งั มขี นาดเลก็ ทเ่ี รยี กว่า “รางมโหรี” อกี ด้วย ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เร่ืองศัพทย์สังคีต 166 รางระนาดเอกนั้น แต่เดิมนิยมท่าด้วยไม้ขนุนท้ังท่อน เอามาขุดแต่งให้เป็นรูปคลายเรือบด ต่อมา รางขุดนี้ค่อยๆหายไป กลับมารางชนิดท่ีต่อด้วยไม้ประเภทแข็งและสวยงามแทน เช่น รางไม้มะริด ประกอบงา เป็นต้น ต่อมาไม้น้ีแพงและหายากขึ้น เลยหันมาใช้รางไม้สักและสลักลงรักปิดทองแทน ซึ่ง ทา่ ใหด้ ูสวยงาม และคุณภาพของเสยี งกย็ ังคงใช้ได้ ๓) ใชเ้ ป็นลักษนามแทนค่าวา่ “คน” เชน่ “ระนาดเอกรางน้เี ขาตีลอ่ นดีแท้” (ระนาดเอกคนนี้ตลี ่อน ดีแทๆ้ ) ______________________________ ร้าน เป็นช่ือเรียกส่วนที่ประกอบขึ้นด้วยหวายและไม้ไผ่ ใช้ส่าหรับผูกลูกฆ้องวง เรียกกันว่า “ร้าน” หรือ “ร้านฆ้อง” (บางท่านเรยี กว่า “เรอื นฆอ้ ง” ก็มี) ______________________________ ร่าย เป็นเพลงสา่ หรับรอ้ งประกอบการแสดงละคร เพ่ือให้ด่าเนินเรอ่ื งได้รวดเร็วขึน้ คนร้องสามารถร้อง ไดเ้ ร่ือยโดยไม่ต้องหยุดให้พ่ีพาทย์รบั ร้องก่ีค่ากไ็ ด้ เพลงร่ายมีหลายชนิด เช่น ร่ายนอก รา่ ยใน ร่ายชาตรี ร่ายชุด ร่ายศัพทไท เปน็ ตน้ ______________________________ รื้อ เป็นท่านองอันไพเราะส่าหรับใช้ร้องข้ึนต้นเพลง “ร่ายใน” ท่านองดังกล่าวเรียกว่า “ร้ือ” เม่ือ ประกอบเข้ากับตัวเพลงร่ายแล้ว เรียกรวมกันไปว่า “รื้อร่าย” (ใช้เฉพาะกับบทท่ีข้ึนข้อความส่าคัญ เทา่ นนั้ ) ท่านอง ร้อื นน้ั ฟังไพเราะโอ่อา่ และภาคภูมิ เพราะมีลลี าของการเออ้ื นและลงทอดเสียงทน่ี า่ ฟังไม่ซ้่า แบบใคร ______________________________ รูด เป็นค่าท่ีใช้กับเคร่ืองดนตรีประเภทซอ พูดเป็นกริยาเต็มๆ ว่า “รูดนิ้ว” หรือพูดเป็นนามว่า “น้ิวรู” หมายถึง การใช้นวิ้ ซอที่ รูป ขึ้นไปสูงกวา่ ปกติและเล่นติดตอ่ กนั ไปได้ในระดับสงู น้ิวรูด นี้ใช้กับสายเอกและสายทุ้มไปพร้อมกัน จะท่าให้สามารถสีซอในระดับเสียงสูง ดังกล่าวไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ มาก ______________________________ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องศพั ทย์สงั คีต 167 เร่ียราด หมายถึง การบรรเลงเครื่องดนตรี (โดยเฉพาะระนาดเอก) ที่ไม่เป็นแนวและไม่เต็มเสียง โดยมากเกดิ ขึ้นในกรณีท่วี งทัว้ งก่าลังบรรเลงอยา่ งไหวจัด แล้วคนระนาดบรรเลงไมท่ ันจึงตีเร่ียราดไป ______________________________ เรียด คือสายหนังส่าหรับโยงเร่งเสียงกลองบางชนิด เช่น ตะโพน กลองมลายู เป็นต้น เรียกเต็มๆว่า “หนังเรียด” ______________________________ เรือพ่วง หมายถึง นักดนตรีท่ีบรรเลงอยู่ในวงส่วนมากไม่แม่นเพลง อาศัยแต่ผู้น่า (เช่น ซอด้วง หรือ ระนาดเอก) บรรเลงน่าแล้วก็ตามกันไปเปน็ แถว คนเหล่านี้ทางสังคีตเรียกว่า “เรือพว่ ง” เพราะผ้นู ่าต้อง พว่ งหนัก เหมือนเรือกลไฟลากเรือโยงหลายๆลา่ ในคราวเดียวกันฉะน้ัน หมวด ล ลง หมายถึงระยะสุดท้ายของเพลงแต่ละท่อน ท่ีผู้บรรเลงต้องจบลงโดยวธิ ีทอดให้ร้องท่อนต่อไป หรือ ระยะสุดท้ายของเพลงซ่ึงผู้บรรเลงจะต้องจลโดยวิธีทอด หรือโดยวิธีออกลูกหมดติดต่อกันไป เพ่ือแสดง วา่ จบอย่างบริบูรณ์ก็ได้ ในทกุ กรณที ่ีท่านเรียกว่า “ลง”ทง้ั สิ้น และในกรณที ี่ลงโดยออกลกุ หมดติดต่อกัน ไปนน้นั ท่านเรียกวา่ “ลงลูกหมด” หรอื “ออกลูกหมด” ถ้าลงโดยวิธีทอดทา่ นเรียกวา่ “ทอดลง” ______________________________ ล่วงหน้า เป็นการลักจังหวะแบบหนึ่ง ซ่ึงตรงกันข้ามกับ “ย้อย” ท่ีเรียกว่า “ล่วงหน้า” คือ การร้อง หรือบรรเลงซึง่ ผู้ลว่ งหน้าแกลง้ พลิกแพลงตดั ท่านองของตนใหส้ น้ั ลง เพ่ือจะได้จบก่อนถงึ จังหวะตก เคร่ือมือท่ีจะบรรเลงแบบล่วงหน้าได้ดี เช่น ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก และซออู้ เป็นต้น เครื่อง ดนตรีอื่นๆ ก็ใช้ได้บ้างเป็นบางโอกาส ถ้าเลือกท่าในโอกาสท่ีเหมาะสมแล้ว จะท่าให้ฟังเก๋ขึ้นมาดังได้ กลา่ วไปแล้ว การ”ล่วงหน้า” กับ “การเหล่ือม” ไม่เหมือนกัน การเหลื่อมน้ันจะต้องแบ่งผู้บรรเลงออกเป็นพวก น่า กับพวกตาม หรือ พวกหน้ากับพวกหลัง ประโยคของเพลงที่จะเหลื่อมก็มีความยาวเท่ากัน แต่พวก นา่ ขนึ้ ประโยคมากอ่ น ฉะน้ันจงึ จบก่อนจังหวะตก ส่วนพวกตามขึ้นประโยคทหี ลงั จึงจบตรงจงั หวะพอดี เมื่อฟังแล้วจะเห็นได้ชดั ว่ามันเหล่ือมกันมาเป็นห้วงๆ น่าฟังมาก ส่วนการล่วงหน้าน้ัน ประโยคของเพลง เทา่ กันจรงิ และการข้ึนประโยคเพลงกข็ น้ึ พร้อมกัน แตผ่ ลู้ ว่ งหน้าคิดพลกิ เพลงตัดประโยคใหม้ นั สั้นลง จึง จบก่อนคนอน่ื หรอื จบกอ่ นจังหวะตก ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เร่ืองศัพทย์สงั คตี 168 ล้วง คือ การใช้เคร่ืองบรรเลงอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรเลงล่้าหน้าเข้ามาโดยเพ่ิมท่านองบรรเลงข้ึนให้ เหมาะสม ก่อนทีจะถึงเวลาบรรเลงตามปกติของตน วิธีการเช่นน้ีมักใช้กับการบรรเลงลูกล้อลูกขัดเป็น ส่วนใหญ่ เช่น เมื่อระนาดเอกบรรเลงน่าลุกล้อไปก่อน แล้วหยุดให้พวกระนาดทุ้มตามน้ัน ในระหว่างท่ี พวกระนาดทุ้มก่าลังตามอยู่ คนระนาดเอกก็จะหาท่านองอย่างใดอย่างหนึ่ง ตีแทรกลงไปตรงช่องว่าง ก่อนท่ีพวกระนาดทุ้มจะจล พอพวกนี้จบลงระนาดเอกก็บรรเลง น่าลุกล้อโดยเช่ือมเข้ากับท่านองท่ีล้วง เขา้ ไปได้อยา่ งสนิทสนม ______________________________ ล่อน หมายถึงการบรรเลงเคร่อื งดนตรีชนิดใดชนดิ หน่ึง ซง่ึ ผู้บรรเลงสามารถสะบัด ขย้ี รัว คาบลูกคาบ ดอก หรือกวาดได้ โดยมีเสียงแจ่มใสชัดเจนทุกลุก ไม่มีเสียงบอด หรือเสียงกล้อมแกล้ม หรือไปกระทบ เสยี งทไ่ี ม่ตอ้ งการแตอ่ ย่างใด อาการเชน่ น้ี ทา่ นเรียกวา่ “ล่อน” ______________________________ ลอย ค่านี้ หมายถึงเสียงเคร่ืองดนตรีชนิดใดชนิดหน่ึง ท่ีฟังจากวงดนตรีระยะใกล้แล้วไม่ใคร่ได้ยิน แต่ ถ้าฟังไกลๆหน่อยจะได้ยินชัด ทั้งน้ีเพราะเสียงเครื่องดนตรีชนิดน้ันลอยแหวงเสียงอื่นนั่นเอง จึงเรียกว่า “เสียงลอย” เช่น “ขลยุ่ เลานีเ้ สยี งมันลอยวิเวกดจี รงิ ” ดังน้ีเป็นต้น ______________________________ ละมาน เป็นหนงั เส้นกลมๆเล็กๆเรียกกนั ว่า “หนังละมาน” หนังน้ีใช้รอ้ ยเข้ากบั ขอบหนังหน้าตะโพน หรือสองหน้าหรือโทนโดยร้อยกับรูท่ีเจาะไว้รอบๆขอบหนัง เมื่อร้อยเสร็จแล้วเรียกว่า “ไส้ละมา” หนัง เรียดที่ใช้โยงเร่งเสียงน้ันจะไม่ร้อยเข้ากับรูขอบหนัง แต่จะร้อยเข้ากับ “ไส้ละมาน” น้ีอีกทีหนึ่ง โดยเรา สามารถดงึ หนงั เรียดเร่งเสยี งได้ โดยไมต่ อ้ งหว่ งว่ารูรอบๆขอบหนงั จะฉกี ขาดแต่ประการใด ______________________________ ละเอียด การปฏิบัตใิ นด้านการ “รัว” หรอื “กรอ” (โปรดดูค่าว่า “รวั ” และ “กรอ”) นน้ั ถอื กันวา่ ผู้ บรรเลง สามารถท่าใหพ้ ยางค์ของเสียงส้ันและถี่ได้ทส่ี ุดเทา่ ใดก็เป็นดีเท่านนั้ และอาการที่รวั หรือกรอได้ อย่างถท่ี ีส่ ุดน้ีท่านเรยี กวา่ “ละเอียด” เชน่ ว่า “คนระนาดน้กี รอละเอยี ดดีจริง” ______________________________ ลา ค่าน้มี ีความหมายเป็น ๓ กรณี คือ ๑) หมายถความวา่ คร้ัง หรือ หน เช่น ให้โห่ข้ัน ๓ ลา อย่างน้ี กแ็ ปลว่าใหโ้ หข่ ึน้ ๓ ครง้ั หรอื ๓ หน ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศัพทย์สังคตี 169 ๒) เป็นช่ือของเพลงเพลงหนง่ึ คือ “เพลงลา” เม่ือบรรเลงเพลงน้ีแล้ว กม็ ีความหมายว่าการบรรเลง ในตอนน้นั จบลง ถา้ เลน่ ละครก็หมายความว่าตัวละครเดินทางมาถึงทีห่ มายแล้ว เช่น เดนิ เพลงเรว็ เข้าไป ยงั ท้องพระโรงแลว้ ปี่พาทยก์ ็ “ลงลา” เป็นเครื่องหมายว่า ได้มาถึงทอ้ งพระโรงแล้ว ดงั นเี้ ป็นตน้ ๓) หมายถึง ลีลาของกลองทัด ซึ่งใช้ไม้กลองตีสอดแทรกจังหวะเข้าไปให้ฟังกระชับ เป็น เคร่อื งหมายว่าจะจบตอนแลว้ ไมก้ ลองดังกล่าวเรียกว่า “ไม้ลา” ไม้ลาที่ตีกระช้ันนี้ไม่ใช่เป็นการ “เล่นไม้” หรือเล่นพลิกแพลงอย่างหน่ึงอย่างใด แต่เป็นการตีตาม แบบฉบับทผ่ี แู้ ตง่ ก่าหนดมาใหเ้ ท่าน้นั เอง ______________________________ ลาก มคี วามหมายเป็น ๓ กรณี คอื ๑) หมายถงึ การที่นักดนตรีในวงนั้นมีฝมี ือไม่เท่าเทียมกัน คนเก่งก็เลย “ไหว” เสยี จนคนไม่เก่งตาม ไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้คนเก่งๆ ต้องช่วยกนั ดงึ พวกเหล่าน้นั ไป อาการอย่างน้ีท่านเรียกว่า “ลาก” วธิ ลี ากท่ี ดีก็คือ บรรเลงให้ล่อนให้ชดั เจน ด่าเนินแนวทางให้ได้มาตรฐาน ให้พวกนน้ั เข้าใจอย่างชัดแจ้ง จะได้ถูลู่ถู กังตามไปได้ ๒) หมายถงึ คนตีระนาด หรือคนตีฆ้องทถี่ นัดแตม่ ือขวา และไมพ่ ยายาม “ไล่” ให้มันถนัดเท่ากันท้ัง ๒ มือ ด้วยเหตุน้ีในเวลาบรรเลงมือขวาซ่ึงเป็นมือถนัด จึงด่าเนินท่านองไปได้คล่องแคล่ว เป็นเหตุให้มือ ซา้ ยซึ่งไมถ่ นัดนั้นจา่ ต้องลากตามมือขวาไปด้วย เมอื่ ฟงั แล้วน้่าหนักขอเสียงจึงอย่ทู ี่มอื ขวาข้างเด่ียว ส่วน มือซ้ายน้ันตีไม่เต็มเสียงเพราะมันถูกลากตามมือขวาไปเท่านั้น ด้วยเหตุน้ีจึงไม่เกิดเสียงที่ไพเราะแต่ ประการใด ๓) หมายถึงการบรรเลงเพลงท่ีอยู่ในแนวค่อนขา้ งช้า ค่าว่า “ลาก” น้ี บางทีก็หมายความว่า ช้าจน น่าร่าคาญ ______________________________ ลาว คือ คา่ ที่ใช้น่าหน้าชื่อเพลงที่แต่งเลียนส่าเนียงเพลงทางภาคเหนือและอีสาน เช่น “ลาวลอ่ งน่าน” “ลาวแพน” เป็นต้นของเพลง เพ่ือบ่งให้ชัดว่า เพลงนี้ได้แต่งข้ึนเลียนส่าเนียงเพลงของชาตินั้นๆ เช่น “ฝร่ังเดิน” ก็คือเพลงเดินที่แต่งขึ้นเลียนส่าเนียงเพลงฝร่ัง “มอญดูดาว” ก็คือเพลงดูดาวที่แต่งขึ้นเลียน ส่าเนยี งมอญ ดงั นีเ้ ปน็ ต้น ______________________________ ลา เป็นคา่ เรียกแทนคา่ วา่ เพลงในสมัยโบราณ เชน่ “เพลงลีลากระทมุ่ ” ก็เรียวา่ “ลา่ ลีลากระทุ่ม” ดังนี้ เปน็ ตน้ หรือ “ร้องเป็นลา่ ๆ” (ร้องเปน็ เพลงเพลง น่ันเอง) ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งศัพทย์สังคีต 170 คา่ ว่า “ลา่ ” บางทเี อาไปใช้เป็นลกั ษณนามกม็ ี เชน่ “วันน้ีซอ้ มกันไปไดก้ ล่ี ่าแล้ว” ทางภาคอีกสานก็ ใช้ “ล่า” แทนเพลงเหมือนกัน เช่น การเล่นอย่างหนึง่ ท่ีเรยี กว่า “ล่าแคน” หมายความว่า เป็นการเล่นท่ี มที ้ังการร้องเพลงและเป่าแคนประกอบกนั ไป คนท่ีเป่าแคนเรยี กว่า “หมอแคน” ส่วนคนที่ร้องเพลงน้ัน เรียกว่า “หมอลา่ ” ซงึ่ ก็หมายความถงึ “คนร้องเพลง” นั่นเอง ______________________________ ลานา คอื ลลี าของการด่าเนินทา่ นองทั้ทางร้องและดนตรี ซึง่ มเี สยี งสงู ต่า สั้น ยาว เบา แรง ประกอบ กนั ไป ท่าใหเ้ กดิ เป็นทา่ นองท่ไี พเราะ ______________________________ ล่าโพง เป็นชื่อเรียกท่อนปลายของป่ีชวา ปี่มอญ ปี่ไฉน และปี่อื่นๆบางชนิด ท่อนปลายดังกล่าวน้ี ท่า ด้วยโลหะหรือวัตถุอื่น เป็นรูปบานปลายออกเหมือนดอกล่าโพง จึงเรียกว่า “ล่าโพง” หรือ “ท่อน ล่าโพง” อนึ่งเคร่ืองดนตรีใดก็ตามที่ส่วนปลายบานออกเหมือนดอกล่าโพง ก็เรียกส่วนดังกล่าวว่า “ล่าโพง” ทัง้ ส้นิ ______________________________ ลาลอง คือ การร้องเพลงท่ีมดี นตรีบรรเลงพรอ้ มกนั ไปเชน่ เดียวกับการร้องคลอและร้องเคลา้ (โปรดดู ค่าว่า “คลอ” และ “เคล้า”) ผิดกันแต่ว่า “การร้องล่าลอง” น้ี คนร้องก็ร้องไปตามทางของตน ส่วน ดนตรีก็บรรเลงไปตามทางของตนเช่นเดียวกนั เมือ่ คนร้องร้องทางเออ้ื นและทางเก็บ มนั กม็ าจากทา่ นอง “ลกู ฆ้อง” อันเดยี วกันนัน่ เอง) ______________________________ ลิน้ หมายถงึ แผ่นใบตาลเล็กๆ หรือแผน่ ไม้บางๆ หรอื แผน่ โลหะเลก็ ๆท่ีใช้กบั เครือ่ งดนตรปี ระเภททม่ี ีล้ิน เช่น ปี่นอก ปี่ใน ปี่กลาง ปี่มอญ ปี่คลาริเนต แซกโซโฟนชนิดต่างๆ แค่น และออร์แกน เป็นต้น แผ่น ตา่ งๆดังกล่าวน้เี รียกว่า “ลิ้น” เม่ือเป่าลมผ่าน “ล้ิน” ดังกล่าวเข้าไปแล้ว จะทา่ ให้เกิดความส่ันสะเทอืน เป็นเสยี งไพเราะทเี ดยี ว ______________________________ ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งศพั ทย์สงั คตี 171 ลลี า คา่ นี้มคี วามหมายเป็น ๒ กรณี คือ ๑) หมายถึงเพลงของเครื่องหนังทีเรียกว่าหน้าทับตีงๆ เช่น หน้าทับปรบไก่ หน้าทับแขกสดายงค์ ฯลฯ แต่เราสงวนค่าว่า “เพลง” ไว้ใช้ส่าหรับท่านองดนตรีโดยเฉพาะ ฉะนั้นจึงไม่เรียกว่า “เพลง ” แต่ เรียกว่า “ลีลา” แทน ๒) หมายถึงลกัษณะความเคล่ือนไหวของการด่าเนินท่านองและล่าน่าต่างๆ เช่น ถ้า “มีลีลา เรียบๆ” มีความหมายว่า ผู้บรรเลงได้ด่าเนินท่านองไปอย่างเรียบๆไม่มีพลิกแพลงโลดโผนเท่าใดนัก ถ้า บอกว่า “มีลีลาโลดโผน” อย่างนี้เป็นตรงกันข้าม คือ ด่าเนินท่านองประกอบด้วยลูกพลิกแพลงโลดโผน ต่างๆ ท้ังหมดข้ึนอยู่กับความ “พอดี” ถ้าเรียบเกินไปก็ชวนหลับ ถ้าโลดโผนเกินไปก็หมดความไพเราะ ความ”พอดี” เท่าน้ันที่ทุกคนชอบ จึงเป็นหน้าที่ของนักร้องและนักดนตรีท่ีต้องหาให้ได้ว่า ความพอดี มันอยุ่ที่ตรงไหน ______________________________ ลกู มีความหมายเป็น ๔ กรณี คอื ๑) เป็นค่าเรียกช่วงสั้นๆ ของเพลง โดยปกติเพลงหนึ่งๆ จะแบ่งออกเป็น ท่อน (หรือบางกรณี เป็นต้วก็มี เป็นจับก็มี เป็นองค์ก็มี เป็นลาก็มี) จากท่อนก็แบ่งออกเป็น วรรค จากวรรคก็แบ่งออกเป็น “ลูก” เช่นว่า วรรคน้ีประกอบด้วย “ลูกล้อ” วรรคนี้ประกอบด้วย “ลูกขัด” วรรคน้ีเป็น “ลูกเก็บ ธรรมดา” เหลา่ นน้เี ปน็ ตน้ ๒) ใชเ้ ป็นค่าเรยี ก “วลี” ส้ันๆของเพลง เช่น “ลูกสะบัด” “ลกู ปรบิ ” ฯลฯ วลพี วกนมี้ ีเสียงสน้ั เพียง ช่ัวพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ถ้าน่าเอามาตอ่กันเข้าก็อาจจะเป็นวรรคยาวๆ ได้เหมือนกัน เช่น ท้ังวรรค ประกอบด้วยลกุ สะบดั ทัง้ นั้น เปน็ ตน้ ๓) ใชเ้ ปน็ ค่านามบ่งลักษณะของเพลงทั่วไปมไิ ด้มีความหมายพิเศษแตอ่ ย่างใด เชน่ วา่ “”เพลงน้ีลูก มนั ไมน่ ่าฟังเลย” หรือ “เพลงนล้ี กู มันพอใช้ได”้ ดงั นเ้ี ปน็ ต้น ๔) ใช้เรยี กซี่ไม้ทป่ี ระกอบกนั ขึ้นเป็นผืนระนาดว่า “ลูก” เช่น เรียว่า “ลูกระนาดเอก” “ลูกระนาด ทุ้ม” เป็นตน้ ลูกฆอ้ งทปี่ ระกอบกันเปน็ วงฆ้องก็เรียกว่า “ลูก” ค่าว่า “ลูก” น้ีใช้เป็นลักษณนามก็ได้เช่นว่า “ระนาดเอกผืนน้ีมีก่ีลูก” หรือ “ฆ้องวงนี้มีก่ีลูก” เป็น ต้น ค่าว่า”ลูก”นี้ หมายถึงลูกฆอ้ ง ลูกระนาดจรงิ ๆ แต่คา่ ค่าเดียวกนั น้อี าจมคี วามหมายเป็นอย่างอื่นอกี ก็ ได้ (โปรดดคู า่ ว่า “ลกู ฆอ้ ง”) ______________________________ ลกู ขัด เป็นวิธีบรรเลงท่ีแบ่งเครอ่ื งดนตรีออกเป็นสองพวก ได้แก่ พวกน่า กับ พวกตาม หรือ พวกหน้า กับ พวกหลัง สองพวกนีผ้ ลดั กนั ลรรเลงคนละที พวกหน้าบรรเลงก่อน เสรจ็ แล้วพวกหลังจึงบรรเลงตาม ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องศพั ทย์สังคตี 172 ถ้าพวกหน้าบรรเลงลูกอย่างไร พวกหลังก็บรรเลงซ่้าเป็นลูกอย่างน้ัน อย่างน้ีท่านเรียกว่า “ลูกล้อ” ทีนี้ ถ้าพวกหน้าบรรเลงลูกน่าไปครึ่งหนึ่ง และให้พวกหลังต่อให้ครบ อย่างนี้ท่านเรียกว่า”ลูกต่อ” (ซึ่งบาง ท่านกลับเรียกว่า “ลูกขัด”) เพราะเห็นว่าพวกหน้าบรรเลงไปอย่างหนึ่ง และพวกหลังบรรเลงไปเสีย อย่างอย่างหน่งึ ไม่เหมือนกนั จึงเท่ากบั เปน็ ลูกทข่ี ดั กันนั่นเอง ส่วน “ลูกขัด” ตามความหมายของเราน้ีก็คือลูกสั้นๆ ซึ่งจะมีลักษณะเป็น “ลูกล้อ” หรือ “ลูกต่อ” ก็ได้ไม่ส่าคัญ เพียงพวกหน้าน่าไปครึ่งห้องในอัตราโน้ต ๒/๔ แล้วพวกหลักต่อให้เต็มห้องโน้ตเป็นใช้ได้ จะตอ่ ด้วยลูกอยา่ งเดียวกันเช่นลกู ล้อ หรอื คนละอย่างเช่นลกู ตอ่ ก็ได้ ______________________________ ลกู ฆ้อง ค่านี้มีความหมายเป็น ๒ กรณี คือ ๑)ใช้เป็นค่านามเรียกฆ้องแต่ละใบที่ประกอบกันข้ึนเป็นวงว่า “ลูกฆ้อง” และใช้เรียกลักษณะนามของ ฆอ้ งวงวา่ “ลูก” เช่นวา่ “ฆ้องวงใหญ่ มี ๑๖ ลูก” ๒)ใช้เป็นค่านามใช้เรียกชื่อท่านองที่เป็น “แม่บท” หรือ “เนื้อเพลง” ว่า “ลูกฆ้อง” โดยท่ัวไปลูกฆ้องมี ลักษณะเป็นลูกห่างๆ และมีลูกถี่เข้าประกอบบ้างตามความเหมาะสมเท่าน้ัน ในการบรรเลงป่ีพาทย์น้ัน ฆ้องวงใหญ่ แต่ผู้เดียวจะเป็นผู้บรรเลงเนื้อเพลงนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเนื้อเพลงดังกล่าวว่า “ลูกฆ้อง” (basic หรอื principal melody) ตามชื่อลูกฆ้องใหญ่ไป เมื่อฆ้องวงใหญ่บรรเลง “ทางลูกฆ้อง” หรือบรรเลงเป็นเนื้อเพลงแท้ๆแล้ว คนอื่นๆ นอกจากนั้นก็จะแปลลูกฆ้องเป็นทางเต็ม (full melody) ให้เข้ากับเครื่องดนตรีของตนต่อไป จึงเกิดมี ศัพท์ว่า “ลูกระนาด” (ใช้ตีกับระนาดเอก) ลูกทุ้ม หรือ “ลูกระนาดทุ้ม” (ใช้ตีกับระนาดทุ้ม) “ลูกฆ้อง เลก็ ” (ใชต้ ีกบั ฆ้องวงเล็ก) และลูกอน่ื ๆซึ่งใช้ประจา่ เครื่องมือแต่ละอย่างไป ซ่ึงลูกตา่ งๆท่ีว่านี้จะเป็น full melody ทงั้ น้นั ______________________________ ลูกบท ใช้เปน็ นามเรียกช่ือเพลงเล็กๆท่ีบรรเลงตอ่ จากเพลงใหญซ่ ึง่ ถือกนั ว่าเปน็ เพลง “แม่บท” วิธเี ล่น ในสมัยกอ่ นน้ัน ท่านจะบรรเลงเพลง ๓ ชนั้ เป็น “แม่บท” เสียเพลงหนึง่ กอ่ น แล้วจึงออกลกู หมด (โปรด ดูค่าว่า”ลูกหมด”) แสดงวา่ จบตอนแม่บทแล้ว ต่อจากนัน้ จึงออกเพลงเล็กๆเป็น “ลกู บท” จะเป็นเพลง สองชน้ั หรือช้ันเดยี วอะไรกไ็ ด้ เดมิ ทีเดียวทา่ นออกกันแคเ่ พลงเดยี วเทา่ นั้น แล้วกล็ งลูกหมดอกี ทีหนง่ึ เป็น เคร่อื งหมายว่าคราวน้จี บจริงๆแลว้ แต่เดิม “ลูกบท” ท่านใช้เพลงเดียวและไม่มีร้อง มีแต่บรรเลง ต่อมาก็มีร้องเพิ่มข้ึน และ เพ่ิมเพลงข้ึนเป็นหลายเพลง เพื่อให้ร้องติดต่อฟังเป็นเร่ืองราวได้สนุกสนาน ตามปกติ “ลูกบท” จะออก ภาษาตามส่าเนียงของเพลง “แม่บท” เช่น ถ้าเพลง ๓ ชั้นเป็น “แม่บท” เป็นส่าเนียงแขก เพลง “ลูก ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องศพั ทย์สงั คีต 173 บท” ก็ต้องเป็นส่าเนียงแขกด้วย พวกท่ีจะออกมาร่าประกอบก็ต้องแต่งตัวเป็นแขก ท่าอากัปกิริยาให้ เหมอื นแขก พวกนี้ทา่ นเรยี กว่า “หางเครอื่ ง” หรือ “ท้ายเครื่อง” ยิ่งออเพลง “ลูกบท” โดยมี “หางเครื่อง” ประกอบเท่าใด ก็ย่ิงได้รับความนิยมจากคนฟัง เท่านั้น ในทสี่ ุดเลยคิดขยายขึ้นเป็นการแสดงส้ันๆ เรียกว่า “ลิเกลกู บท” และมคี นคิดอ่านผสม “ลิเกลูก บท” เข้ากบั “ลิเกบนั ตน” จงึ กลายเปน็ ลเิ กท่แี สดงเป็นเรอ่ื งเปน็ ราวอยู่ท่ัวไปทกุ วนั น้ี ______________________________ ลูกล้อ โปรดดูคา่ อธบิ ายในค่าว่า “ลกู ขดั ” ______________________________ ลูกล้อลูกขัด เป็นชื่อเพลงประเภทหน่ึงซ่ึงมี “ลูกโยน” (โปรดดูค่าว่า “ลูกโยน”) ประกอบไปกับ “เนื้อเพลง” ซึ่งเนื้อเพลงจริงๆไม่ยาวเท่าใด ท่ีบรรเลงยาวเหยียดคือ “ลูกโยน” เสียแทบทั้งน้ัน ความ สนุกสนานในการบรรเลงเพลงประเภทนี้ อยู่ที่ลูกโยนซ่ึงประกอบด้วยกระบวนการลูกล้อลูกขัดต่างๆ อย่างนา่ ท่งึ เพลงบางเพลงก็มีลูกโยนต้ังหลายชุด ประกอบด้วยลกู ล้อลูกขัดในลักษณะต่างๆ แต่มเี นือ้ อยู่ นดิ เดียวเท่านน้ั เชน่ เพลงกราวใน ทยอยใน เปน็ ต้น ส่วนที่เป็นลูกโยนประกอบด้วยลูกล้อลูกขัดต่างๆ ท่านเรียกว่า “น้่า” ส่วนเนื้อเพลงจริงๆ ท่านเรียกวา่ “เนอื้ ” ______________________________ ลกู เล่น หมายความถึงลูกทผ่ี ู้บรรเลงเลน่ ให้มันพลิกแพลงไปจากธรรมดา หรือลูกทผ่ี ู้แตง่ เพลงตงั้ ใจแต่ง ใหม้ นั พลิกแพลงไป จงึ มคี ่ากลา่ วว่า “ลกู เลน่ ของเพลงนไี้ ม่เลว” ดงั นี้เป็นต้น ______________________________ ลกู หมด เป็นชอ่ื เพลงชนิดหนึง่ ซ่ึงใชส้ ่าหรับบรรเลงต่อท้ายเพลงตา่ งๆ เพ่อื แสดงว่าจบ เพลงชนิดนีเ้ ป็น เพลงสน้ั ๆ ใชจ้ งั หวะชนั้ เดยี วและบรรเลงค่อนขา้ งเรว็ บางทวี ิ่งปราดเขา้ ไปหาจุดจบของเพลงทเี ดียว หลักส่าคัญของเพลงลูกหมดก็คือ ประการแรก จะต้องให้มันมีส่าเนียงตามเพลงท่ีจะ ออกลูกหมดน้ัน เช่น เพลงที่จะออกลูกหมดมีส่าเนียงลาว เพลงลูกหมดก็จะต้องมีส่าเนียงลาวด้วย ประการท่ีสอง จะต้องให้เพลงลูกหมดจบด้วยเสียง “เร” ให้ได้ ไม่ว่าเพลงที่เล่นมาก่อนนั้นจะใช้เสียง อะไรก็ตาม ทั้งน้ีเพ่ือเป็นเคร่ืองหมายให้คนร้องจับเสียงไปร้องเพลงอ่ืนต่อโดยไม่ต้องให้เสียงเป็นการ ยงุ่ ยากนนั่ เอง ______________________________ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สงั คีต 174 เล่นไม้ เป็นลูกเล่นหรือ “ส่าย” อย่างหนึ่งซ่ึงใช้กับกลองทัด แต่โดยที่กลองทัดใช้ไม้ตี ๒ อัน จึงไม่ เรียกว่า “ส่าย” เหมือนเครื่องหนังอย่างอื่น หากใช้คา่ ว่า “เล่นไม้” การ “เล่นไม้” ก็คือ การพลิกแพลง ใช้ไม้ตีสอดแทรกให้ลีลาแปลกออกไป แต่ตอ้ งยึดถือไม้กลองอันเป็นเน้ือแท้ของเป็นหลักเข้าไว้ คือเลน่ ไม้ ได้แต่ต้องเล่นภายในก่าหนดแหง่ ไม้กลองทีเ่ ปน็ เนื้อแท้เท่านั้น จะเล่นใหน้ อกเหนอื ไปจากนนั้ ไมไ่ ด้ การเล่นไม้ก็เพราะ ประการแรก เพื่อเร้าอารมณ์ผู้ฟังให้รู้สกึ ว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นจะได้ ไม่เบ่ือ กับเพื่อเร้าอารมณ์ตัวเองให้มีชีวิตชีวาข้ึน เพราะถ้าตีแต่เน้ือแท้ๆซ่้าแล้วซ่้าอีกคนตีก็หลับคาไม้ เท่าน้ัน ประการท่ีสอง เพื่อเปล่ียนไม้กลองให้เหมาะสมกับท่าร่าของตัวโขนละครท่ีวงดนตรีนั้นก่าลัง บรรเลงประกอบน่นั เอง ______________________________ เลา มีความหมายเป็น ๒ กรณี คอื ๑) ใช้เป็นลักษณะนามของเครื่องดนตรีที่ใช้ลมประเภทขลุ่ยและป่ี เช่นว่า “ไปเอาขลุ่ยกับป่ีมา อยา่ งละ ๑ เลา” อยา่ งนีเ้ ปน็ ต้น ๒) ใช้เป็นชื่อเรียกส่วนท่ีเป็นตัวป่ีแท้ๆ ซ่ึงแยกออกมาจากล่าโพง เช่น “ไปเอาเลาป่ีมอญมา ๒ เลา” อยา่ งนกี้ ห็ มายความหว่าให้เอามาเฉพาะตวั ป่ี (ซง่ึ เรยี กวา่ เลา) ส่วนล่าโพงไมต่ ้องเอามา ______________________________ ไล่ คา่ น้มี คี วามหมายว่าท่องและซักซอ้ มไปในตวั เชน่ “ไล่ระนาด” กห็ มายความวา่ ซ้อมระนาดโดยทอ่ ง เพลงและหัดใช้กล้ามเน้ือต่างๆให้ถูกส่วน พรอ้ มทั้งซ้อมความอดทนไปด้วยในตัว การ “ไล่ระนาด” ครั้ง หนึ่งๆมักจะใช้เวลาหลายชั่วโมงโดยไม่หยุดเลย สมัยก่อนท่านลุกข้ึนไล่ตั้งแต่ตี ๔ ไล่กันจน ๖ โมงเช้าจึง เลิก แรกๆทีเดียวทา่ นถือเอาจา่ นวนธูปเป็นเกณฑ์ว่าไลไ่ ด้แคธ่ ูปเท่านั้นๆดอก เชน่ วา่ ไล่ไดแ้ ค่ธูป ๑๐ ดอก อย่างน้ีกห็ มายความว่าจดุ ธปู ไปทลี ะดอกหมดแลว้ จดุ ใหม่ต่อกันถึง ๑๐ ดอกจึงเลกิ ไล่ ดงั นี้เป็นตน้ หมวด ส สง เป็นวิธีตีระนาดอย่างหนึ่งซึ่งผู้ตีใช้ไม้ระนาดตีลงไปบนลูกระนาดอย่างย้ังๆ โดยใช้กล้ามเนื้อแขนดึง ไว้ ไม่ฟาดโครมลงไป อาการอย่างน้เี รยี กว่า “สง” หรอื “ตีสง” ______________________________ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรือ่ งศัพทย์สงั คตี 175 ส่ง ค่านี้มีความหมายเปน็ ๒ กรณี คอื ๑) หมายถึงวิธกี ารรอ้ งอย่างหนึ่ง ซงึ่ ผรู้ อ้ งรอ้ งขึ้นมาก่อน เม่อื รอ้ งจบแลว้ ดนตรีจงึ บรรเลงรบั ไปตาม เนือ้ เพลงอนั เดียวกบั ทีร่ อ้ งน้นั วธิ ีอย่างนี้เรียกวา่ “ร้องส่ง” ซ่งึ มักจะใชส้ ่าหรับรอ้ งเพลง ๓ ชั้น หรือเพลง เถาเสียเป็นส่นใหญ่ นอกจา “ร้องส่ง” แล้ว ยังมี “ร้องคลอ” “ร้องล่าลอง” และ “ร้องเคล้า” อีกด้วย (โปรดดคู า่ วา่ คลอ ลา่ ลอง และเคลา้ ) ๒) หมายถึงวิธีการที่นักดนตรีบรรเลงเพลงท่อนแรกจบ และทอดให้ร้องแลว้ แต่เพอ่ื เป็นการน่าทาง ให้คนร้อง ร้องท่อนต่อไปได้สะดวก จึงน่าเอาตอนหัวของท่อนต่อไป มาบรรเลงชาๆ เป็นทางร้องน่าไป หนอ่ ยหน่งึ วิธกี ารเช่นนเ้ี รียกว่า “ส่งทางเสียง” การ “ส่งทางเสียง” นี้เท่ากับเป็นการแนะแนวทางให้คนร้องทราบว่า ท่อนต่อไปร้องข้ึนต้น ว่าอย่างไร ซึ่งก็มีอยู่บ่อยๆท่ีคนร้องจ่าท่านองท่อนต่อไปไม่ได้ แต่พอได้ยนิ หางเสียงท่ีนักดนตรีน่าทางมา เท่านนั้ กส็ ามารถฉวยหางเสยี งมาร้องตอ่ ไปได้อยา่ งสนทิ สนม ______________________________ สรอ้ ย มีความหมาย ๒ กรณี คือ ๑) เป็นท่านองร้องหรือดนตรีที่ประกอบเข้าไปกับเน้ือเพลงเพ่ือให้ฟังเร้าอารมณ์ขึ้น (ท่านอง เดียวกับ “ดอก”) เพลงพวกน้ีมักใช้ร้องหรือบรรเลง (แต่โดยมากก็มีทั้งร้องและบรรเลงประกอบกันไป) ในเวลาทีจ่ ะต้องลาจากกันเพ่ือแสดงถงึ ความห่วงใยอะไรท่านองน้ี ตัวอย่างเช่น เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง เป็นต้น เพลงนี้เนื้อเพลงมีนิดเดียว แต่ทางร้องน้ันท่านได้ต่อสร้อยเป็นภาษาไทยบ้าง มอญบ้าง เข้าไป ยาวเหยียด นอกจากสร้ายแล้ว ยงั มี “ดอก” ตอ่ ท้ายอีกดว้ ย (โปรดดูคา่ ว่า “ดอก”) ๒) เป็นท่านองตอนหนึ่งของเพลงซ่ึงใช้รอ้ งหรอื บรรเลงสลับกับเน้ือ สว่ นทดี่ ่าเนินเรื่องนน้ั คือ “เนอ้ื ” ของเพลง ส่วนท่ีเป็น “สร้อย” เพียงแตป่ ระกอบเข้าไปให้เร้าอารมณ์เท่าน้ัน ท้ังน้เี พราะสร้อยจะ มีเน้ือร้องอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คงเปลี่ยนแต่เน้ือเท่าน้ัน ถ้าเป็นเพลงด้นจะด้นเฉพาะตรงเน้ือพอจบ เน้ือแล้วลูกคู่จึงจะรับสร้อยพร้อมกัน เม่ือสร้อยจบก็ด้นเนื้อต่อไปอีก ท่านองเดียวกับลูกคู่ล่าตัด ซึ่งจะ ร้องอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง (นอกจากจะเปล่ียนขึ้นลูกคู่ใหม่) คงเปลี่ยนแต่เนื้อล่าตัดเท่านั้น ลูกคู่ เพียงแตค่ อยรับเวลาเขาดน้ หมดเนือ้ เพ่ือให้เกดิ เร้าอารมณ์ ______________________________ สวม เป็นวิธีการท่ีวงดนตรีหรือเฉพาะแต่เคร่ืองดนตรีอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรเลงล่้าเข้ามาในตอนท้าย ของท่านองร้องกอ่ นทจี่ ะร้องจบ การสวมร้อง นี้เป็นของจ่าเป็น เพราะเท่ากับเป็นสะพานเชือ่ มระหวา่ งทางร้องซ่ึงช้ากบั ทาง รบั ซ่ึงเรว็ ถา้ ไม่มี “สวมรอ้ ง” แล้ว ทางรับก็จะขึ้นได้ไมส่ นทิ สนมเพราะขาด “สะพาน” ดงั กลา่ ว ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรือ่ งศพั ทย์สังคตี 176 อนึ่งการสวมร้อง นี้เป็นเทคนิคส่าคัญ คนฟังมักคอยสังเกตว่าดนตรีวงน้ีสวมร้องได้สนิท สนมแคไ่ หน ลกู ที่นา่ มาใชส้ วมร้องน้ันเหมาะสมแคไ่ หน สวมร้องเข้าไปมากหรือน้อยเพียงไร หรอื ว่ากา่ ลัง พอดี เหล่าน้ีเป็นต้น โดยปกติการสวมร้องนั้น นักดนตรีก็เอาท่านองตอนปลายตรงท่ีจะร้องจบ สวมเข้า ไปในร้องโดยบรรเลงเป็นท่านองเดียวกัน แต่ให้พลิกแพลงน่าฟัง จนกระทั่งร้องจบแล้วจึงใช้การสวม ดังกลา่ วเปน็ สะพานเชอ่ื มกบั ทางรบั ไปเลย ______________________________ สองช้ัน คือเพลงในอัตราปานกลาง มีความยาวกว่าอัตราชั้นเดียวเท่าตัว และส้ันกว่าอัตรา ๓ ช้ัน เท่าตัวเชน่ กนั (โปรดดคู า่ วา่ “ชนั้ เดยี ว” และ “สามช้นั ” ประกอบไปดว้ ย) ถ้าเทยี บเปน็ โนต้ สากล จงั หวะ ๒/๔ แลว้ เพลง ๒ ชนั้ หน้าทบั ปรบไกจ่ ะมีความยาวในหนา้ ทับหนึ่งๆ เท่ากับ ๔ ห้องของโน้ตดังกล่าว และเพลงในหน้าทับสองไม้จะมีความยาวเพียงแค่ ๒ ห้อง (เพราะหน้าทับสองไมส้ น้ั กว่าหนา้ ทับปรบไกเ่ ทา่ ตวั ) ______________________________ สองไม้ เป็นชื่อของหนา้ ทับอย่างหนึง่ ซ่ึงมีความยาวน้อยกว่าหนา้ ทับปรบไก่ ๑ เท่าตัว โดยทเ่ี ป็นหน้า ทับค่อนข้างส้นั จึงเหมาะส่าหรับตีประกอบกับเพลงทม่ี ีประโยคสัน้ ๆ หรือเพลงประเภทดน้ หรอื เพลงท่ีมี ลกู พลกิ แพลง เช่น เพลงประเภทลกู ล้อลูกขัดตา่ งๆ ท่ีเรียกว่าหน้าทับ “สองไม้” นี้ ก็เห็นจะเป็นด้วยโบราณาจารย์ท่านคิดขึ้นส่าหรับตี ประกอบการร้องด้นแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ด้นสองไม้” นั่นเอง การ้องด้นนี้ผู้ร้องจะด้นให้ยาวเท่าใดก็ได้ และอาจร้องพลิกแพลงไปได้ต่างๆ โดยทั่วไปเนื้อส่าหรับจะด้นก็มีอยู่วรรคเดียว แต่อาศัยด้นกลับไป กลบั มาจงึ รอ้ งกันไดย้ าวๆ ในปัจจุบันนี้ พวกลิเกและละครนก ก็ยังน่ามาใช้ร้องประกอบการแสดงในตอน ท่ีต้องการด่าเนินเรื่องให้รวบรัด พวกเพลงพ้ืนเมืองต่างๆ เช่น เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัย พวกนี้ก็ด้น เช่นกัน หน้าทับ “สองไม้” น้ีท่านคิดขยายขึ้นมาจากหน้าทับเพลงเร็วซ่ึงเป็นอัตราชั้นเดียวนั่นเอง เมื่อหน้าทับสองไม้ ๒ ชั้นเกิดขึ้นแล้ว ต่อไปก็เกิดอัตรา ๓ ชั้นตามข้ึนมาอีกทีหน่ึง ฉะน้ันจึงสามารถตี ประกอบจงั หวะครบเปน็ เถาได้ ______________________________ สอด เปน็ วธิ ีการบรรเลงอยา่ งหนึง่ ซง่ึ ดนตรจี ะแทรกข้ึนมาในระหว่างร้องหรือในระหว่างท่ีเคร่ืองดนตรี อ่ืนๆหยุด วิธีการเช่นน้ีเรียกว่า “สอด” ซึ่งนักดนตรีอาจจะพลิกแพลงท่าขึ้นมาเอง หรือครูผู้แต่งเพลง ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรอื่ งศัพทย์สังคตี 177 อาจจะก่าหนดให้ท่าอย่างนั้นก็ได้ เช่น เพลงสาลิกาแก้ว เป็นต้น ผู้แต่งท่านก่าหนดให้นักดนตรีสอด ท่านองเข้าไปในระหว่างร้อง ท่าให้ฟังไพเราะขึ้นมาก หรือเพลงนกสีชมพู ซ่ึงผู้แต่งท่านบังคับให้ป่ีเป่า เปน็ เสียง “นกสีชมพเู อย” แทรกเขา้ ไปตอนที่เครอื่ งดนตรอี นื่ ๆหยุด ดังนเ้ี ปน็ ตน้ อย่างไรกต็ าม การ”สอด” น้ี มกั เป็นเร่ืองที่ผ้แู ตง่ เพลงก่าหนดมาเสยี เป็นส่วนใหญ่ ส่วนนัก ดนตรคี ิดทา่ ขน้ึ เองนั้นมีนอ้ ย ท้ังนี้เพราะการสอดเป็นของท่ายากอยู่ ถ้าท่าดีก็ดีไป ถ้าท่าไม่ดกี ็จะพาใหว้ ง ทั้งวงพลอยเสอื่ มไปด้วย ______________________________ สะบัด คือวิธีการที่แทรกเสียงอีก ๑ พยางค์เข้ามาในลูกเก็บธรรมดา ๒ พยางค์ รวมเป็น ๓ พยางค์ถี่ๆ แล้วใช้มือพิเศษ ท่าให้เกิดเสียงเสียงสะบัดข้ึนโดยเร็ว เช่น ถ้าเป็นจะเข้หรือกระจับปี่ก็ใช้ไม้ดีดดีด เข้า ออกเข้า ติดกนั โดยเรว็ ๓ ครัง้ ถ้าเป็นซอก็ใช้คันชัก เขา้ ออกเขา้ ติดกนั ๓ คร้ังเช่นเดยี วกัน ถา้ เป็นเครื่อง ตกี ็สะบดั ไม้ตลี งไป ๓ ครง้ั ตดิ ๆกันฟงั เปน็ เสียง ตะระเรง็ เช่นน้ีเป็นตน้ ______________________________ สามชั้น คือเพลงในอัตราท่ียืดขยายขึ้นมาจาก ๒ ชั้นอีกเท่าตัว หรือยืดขยายข้ึนมาจากชั้นเดียว ๔ เท่าตัวนั่นเอง ถ้าจะเทียบกับโน้ตสากลจังหวะ ๒/๔ แล้ว เพลงประเภทหน้าทับปรบไก่จะมีความยาว หนา้ ทบั หนงึ่ ๆ เท่ากับ ๘ หอ้ ง และถา้ เป็นหนา้ ทบั สองไมแ้ ล้วจะมีความยาวเท่ากบั ๔ หอ้ ง แต่เดิมเพลง ๓ ช้ัน เป็นเพลงท่มี ีอตั ราสูงที่สุด และมคี วามยาวมากี่สดุ ตรงกันข้ามกบั เพลง ชัน้ เดียวซงึ่ มีอัตราต่าสุด และมีความยาวน้อยท่สี ุด แต่ในปัจจุบันนคี้ รูบาอาจารย์บางท่านได้คิดยืดขยาย เพลงท่ีเหมาะสมบางเพลงข้ึนไปถึง ๔ ช้ัน และตัดลงเป็นคร่ึงชั้น ปะเหมาะเคราะห์ดีถึงเสี้ยวชั้น เช่น เพลงเขมรไทยโยค (มีต้งั แตอ่ ตั รา ๔ ช้ัน ลงมาจนถึงช้นเดยี ว) เพลงพราหมณ์ดีดน่้าเตา้ เถา (มตี ั้งแต่อตั รา ๔ ชั้นลงมาจนถึงคร่ึงช้ัน) ดังน้ีเป็นตน้ ด้วยเหตุนี้ เพลง ๓ ชั้น จึงมิใชเ่ พลงในอตั ราสงู สุดเสมอไป เพราะ อาจมี ๔ ชัน้ ข้นึ อกี กไ็ ด้ และเพลงช้นั เดยี วกม็ ใิ ชอ่ ัตราตา่ สุดอาจมคี ร่ึงชัน้ หรอื เสย้ี วชั้นกต่อลงไปอีกก็ได้ ______________________________ ส่าย เป็นวิธีพลิกแพลงของเครื่องหนังประเภทต่างๆ ที่ใช้หน้าทับ (หรือเลียบแบบมาจากทับ) ส่วน เครื่องหนังที่มิได้เลียนแบบมาจากทับ เช่น กลองทัดน้ัน ถึงจะใช้ไม้ตีพลิกแพลงไปอย่างไร ท่านก็ไม่ เรียกว่า “สา่ ย” แตเ่ รียกวา่ “เล่นไม”้ แทน ถ้าจะถามว่า ทา่ ไมถึงตอ้ งส่าย? นนั่ เพราะลลี าอนั เปน็ เน้ือแทๆ้ ของเครอื่ งหนงั แต่ละหน้าทับ น้ันมันสั้น คนกลองตีกลับไปกลับมาไม่กี่เที่ยวก็เบ่ือ เพื่อไม่ให้เบ่ือจึงต้องพลิกแพลงไป ท้ังนี้โดยยึดเน้ือ แท้ของเดิมไว้เป็นหลกั คอื พลิกแพลงไปภายในก่าหนดของเนือ้ มใิ ช่พลิกแพลงตามใจชอบ นอกจากนั้น ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งศัพทย์สงั คตี 178 คนกลองอาจจะพลิกแพลงหาวิธีตีให้มนั สอดคล้องกับท่านองเพลง เพอื่ จะได้ฟังกลมกลนื กันกไ็ ด้ ทัง้ หมด นีเ้ ราเรียกว่า “สา่ ย”ทั้งนน้ั ______________________________ ส่ีช้นั โปรดดคู ่าวา่ “สามช้นั ” หมวด ห หน่ง เป็นเสียงลูกฆ้องใหญ่ เมือ่ ผู้บรรเลงเอาไม้ตีลงไปตรงกลางปุ่มลกู ฆ้อง แล้วเปิดมือให้มเี สียงกงั วาน เต็มทฟี่ งั เปน็ เสียง “หนง่ ” หรือ “นงั ” ______________________________ หน่วง หมายความวา่ ให้ดึงจังหวะไว้ อย่าปลอ่ ยใหเ้ ร็วเกินไปนัก ______________________________ หนอด เป็นเสยี งลกู ฆ้องใหญ่ เมอ่ื ผู้บรรเลงเอาไม้ตตี ีลงไปตรงกลางปุ่มลกู ฆอ้ งใหเ้ สยี งมีกงั วานนิดหนอ่ ย แลว้ กดไม้ห้ามกังวานมนั เสยี จงฟงั เปน็ เสียง “หน่ง-งอ็ ด” ฟังเรว็ ๆเปน็ เสียง “หนอด” ______________________________ หนบั เป็นเสียงลูกฆ้องใหญ่ เมือ่ ผบู้ รรเลงเอาไมต้ ีตลี งไปตรงกลางป่มุ ลูกฆ้องแลว้ กดห้ามเสยี งไวท้ นั ที ______________________________ หน้าทับ คือลีลาของการตีเครื่องหนังจ่าพวกท่ีเลียนเสียงมาจาก “ทับ” เช่น ตะโพน กลองแขก สอง หน้า โทนร่ามะนา เป็นต้น ลีลาที่เคร่ืองหนังเหล่านี้ตีประกอบจังหวะเพลงต่างๆ เรียกว่า “หน้าทับ” เชน่ หน้าทบั ปรบไก่ หน้าทบั สองไม้ หน้าทบั สดายงค์ หน้าทับข้นึ ม้า หน้าทับลงสรง เปน็ ตน้ ต่อมาในสมัยหลังๆ ได้มีเคร่ืองหนังตีประกอบจังหวะเพิ่มมากขึ้น ซ่ึงเครื่องหนังเหล่าน้ี ส่วนมากกเ็ ลียนเสยี งมาจากทับแทบทงั้ ส้น ดว้ ยเหตุนี้ลีลาหรือเพลงของเครื่องหนังทเ่ี ลยี นเสียงมาจากทับ น้จี ึงเรียกกันว่า “หน้าทับ” ตามของเก่าไปด้วย ไม่เรียกว่า “หน้าตะโพน” หรือ “หนา้ กลองแขก” ฯลฯ ตามชนดิ ของเคร่ืองดนตรแี ต่ละอย่าง ______________________________ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องศพั ทย์สงั คตี 179 หน้าพาทย์ คือเพลงท่ีใช้ประกอบอากัปกิรยิ าของตัวโขนละคร และกิริยาสมมุติต่างๆ ท้ังในอดีตและ ปัจจุบัน เพลงที่ประกอบอาการของวัตถุหรือสภาพธรรมชาติต่างๆ ก็นับว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ เหมือนกัน เชน่ เพลง “รัวลกู ไมห้ ล่น” ใชป้ ระกอบอาการท่ลี ูกไม้หลน่ จากต้น เป็นต้น ______________________________ หลบ คอื วธิ ีการร้องหรือบรรเลงดนตรีที่ด่าเนินท่านองโดยลดจากเสียงสูงลงมาต่าหรือข้ึนจากเสียงต่า ไปยังเสยี งสูง เรียกเตม็ ๆวา่ “หลบเสยี ง” นักดนตรี เช่น ตีระนาดกลอนลงเสียงต่าเรื่อยๆ จนท่าท่าว่าจะหมดลูกทางต่า (คือไม่มีลูก จะตี) แล้วจๆู่ จะหลบกลับไปทางดา้ นเสียงสูงทันทนี ัน้ ไม่ได้ จะต้องคดิ หาทา่ นองให้สารถตีหวนกลบเข้าไป หาเสียงสูงโดยคนฟงั จับไมไ่ ด้ จึงจะเรยี กวา่ ใช้ได้ ______________________________ หลุม ฆ้องวงใหญ่นั้นระดับเสียงของลูกทางต่าเป็นสเกล ๕ เสียง แต่ลูกทางสูงเป็นสเกล ๗ เสียง เม่ือ เป็นเช่นน้ี จึงมีการข้ามเสียงในระหว่างลูกที่ ๓ กับ ๔ จุดหนึ่ง กับในระหว่างลูกท่ี ๕ กับ ๖ อีกจุดหน่ึง จุดท่ีมีการข้ามเสียงนี้ นักดนตรีเรียกว่า “หลุม” เพราะถ้าเอาปี่พาทย์มอญไปเล่นเพลงไทยท่ีมี ๗ เสียง แล้ว เมื่อบรรเลงเสียงในระดับต่าก็จะตกหลุมทันที เพราะเสียงในระดับต่ามีไม่ครบ ๗ เสียง ด้วยเหตุน้ี นกั ดนตรที มี่ คี วามสามารถจงึ ต้องพยายาม “หลบ” ขึ้นสูงเพือ่ ไม่ให้ “ตกหลุม” ดังกลา่ ว ______________________________ หวาน เป็นค่าที่ใช้คู่กับ “เก็บ” เช่นเดียวกับ “โอด” เป็นค่าคู่กับ “พัน” ฉะนั้นค่าว่า “หวาน” หรือ “ทางหวาน” นี้ จึงใช้กับท่วงท่านองที่แปลลูกฆ้องออกมาเป็นทางกรอให้ฟังหวานซาบซึ้ง (โดยมาใช้กับ ทางเดี่ยว) ซง่ึ เท่ียวแรกทา่ เป็นทางหวานสว่ นเทีย่ วหลังท่าเป็นทางเก็บ) ตรงกนั ข้ามกบั ทางเก็บซ่งึ บรรเลง เป็นลกู ถีๆ่ เร่อื ยไป (ดคู า่ ว่า “เกบ็ ”) ______________________________ หางเคร่ือง ค่าว่า “หางเคร่ือง” น้ีอันท่ีจริงหมายถึงพวกตัวร่าที่แต่งตัวสีฉูดฉาดออกมาร่าตามเพลง “ลูกบท” ทอ่ี อกต่อท้ายจากเพลงใหญ่หรือเพลง “แม่บท” (โปรดดูค่าว่า “ลูกบท”) แต่ในปจั จุบันนี้หาง เคร่ืองร่าพวกนั้นไม่มีแล้ว (ไปมีอยู่ที่วงลูกทุ่งแทน) ฉะนั้นนักดนตรีส่วนมากจึงใช้ค่าว่า “หางเครื่อง” น้ี แทนค่าวา่ “เพลงลกู บท” ไปเสียเลย ______________________________ เหลื่อม ดูค่าว่า “ล่วงหนา้ ” ______________________________ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรอื่ งศัพทย์สังคีต 180 แหนะ เป็นเสียงลูกฆ้องใหญ่ เม่ือผู้บรรเลงใช้ไม้ตีกดลงไปบนปุ่มลูกฆ้อง ให้เอียงประมาณ ๔๕ องศา ทางดา้ นหนา้ (ไม่ใช่ตกี ดลงไปตรงๆ ถา้ ท่าอยา่ งนั้นจะเกิดเป็นเสยี ง “หนับ” ไมใ่ ช่ “แหนะ”) ______________________________ แหวว หมายถงึ ลูกฆ้องท่ีมีเสยี งครางเปน็ คนละเสียงจริง จนจับไมไ่ ด้วา่ เสยี งท่ีจริงของมันคอื อะไรกันแน่ ลกู ฆ้องทม่ี ีเสียง “แหวว” นี้จะเทียบเสยี งได้ยากมาก เพราะไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเสียงจริง อันไหนเป็นเสยี ง คราง ผืนระนาดเอกบางผืนก็ “แหวว” เหมือนกันเพราะฟังใกล้ๆก็เพราะดี แต่พอไกลออกไปหน่อยมัน “แหวว” หมด ฟงั เสียง “แกก๊ ๆ” ไมเ่ ป็นรส ______________________________ โหน คือวิธีการท่ีปี่เป่าเป็นเสียงยาวติดต่อกันไปในช่วงหน่ึงเรียกเต็มๆว่า “เป่าโหน” การเป่าโหนนี้ถ้า ท่าให้เหมาะสมแล้จะท่าให้ดนตรีฟังไพเราะข้ึนมาก เพราะเท่ากับเป็นการสนับสนุนลูกเก็บให้ดีเด่นข้ึน นั่นเอง ______________________________ ไหว หมายถึง การบรรเลงให้เสียงดนตรีหลาย ๆ เสียงที่ติดต่อกันน้ัน มีระยะถ่ีและในจังหวะ เร็ว หาก ท่าได้ถีแ่ ละเร็วมาก ก็เรยี กวา่ ไหวมาก หมวด อ ออก การบรรเลงที่ผู้เล่นบรรเลงเปล่ียนจากเพลงหน่ึงไปยังอีกเพลงหน่ึง เช่น ถ้าเล่นเพลง 3 ช้ันจบลง จะเล่นเพลงหางเครื่องต่อก็เรยี กว่า “ออกหางเครื่อง” แตถ่ ้าไม่เล่นเพลง หางเครื่องต่อจะลงลูกหมดเลย ทเี ดียว ก็เรียกวา่ “ออกลูกหมด” หรอื ถ้าบรรเพลงช้าอยู่ เม่ือจะเปลี่ยนเปน็ เพลงเร็วก็เรียกวา่ ”ออกเพลง เร็ว” ______________________________ อับ หมายความถึงลูกฆ้องหรือลูกระนาดหรือแม้แต่ซอประเภทต่างๆ ที่มีเสียงไม่กังวานพอสมควร โดยมากมักจะเกิดจากการเก็บเอาไว้นานๆ โดยไมได้น่าออกมาบรรเลง เช่นว่า “เฮ้ – ระนาดผืนน้ีท่าไม เสียงมันอบั นักละ?” ______________________________ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องศัพทย์สงั คีต 181 อึด หมายถึงอาการที่ลูกระนาดหรือลูกฆ้องเสียงต่าๆ ซึ่งถ่วงตะกั่วเข้าไปเท่าใดมันก็ต่าลงไปอีกไม่ได้ เพราะถึงท่ีสุดของมันแล้ว อาการอย่างนี้เรียกว่า “อืด” เช่นว่า “อย่าไปถ่วงลูกฆ้องลูกน้ันอีกเลย มันอืด แลว้ ” ดงั นีเ้ ปน็ ต้น ______________________________ อืด หมายถึงการร้องหรือการบรรเลงท่ีค่อนข้างช้าไปสักหน่อย เช่น “แม่คนนี้ร้องเพลงอืดจัง” หรือ “พ่อคนนีต้ รี ะนาดอืดจงั เลย” ______________________________ เอื้อน ๑. ใช้ในการขับร้อง : หมาย ถึง การร้องเป็นท่านองโดยใช้เสียงเปล่า ไม่มีถ้อยค่าเสียงที่ ร้อง เอื้อนนี้อนุโลมคล้ายสระเออ ประโยชน์ของเอื้อน ส่าหรับบรรจุท่านองเพลงให้ถูกต้องครบถ้วนในเมื่อ บทร้อง (ถ้อยค่า) ไมพ่ อกบั ทา่ นองเพลง และเพ่อื ตบแต่งใหถ้ ้อยคา่ นั้นชัดเจนย่งิ ข้นึ ๒. ใช้ในการบรรเลงดนตรี : หมาย ถึง การท่าเสียงให้เลอื่ นไหลติดต่อกัน โดยสนิทสนม จะเป็นจากเสียง สูงมาหาเสียงตา่ หรอื เสยี งตา่ ไปหาเสยี งสูงหรือเป็นเสยี งสลบั กันอยา่ งไร กไ็ ด้ ______________________________ โองการ เปน็ ชื่อเรยี กบทส่าหรับเชญิ ครูท่ใี ช้ในพิธไี หว้ครู เรยี กเต็มๆว่า “โองการไหวค้ รู” และเรียกครผู ู้ที่ เปน็ พิธีกรในพิธีไหวค้ รูน้ันว่า “ครูผู้อ่านโองการ” ______________________________ โอด ก. เป็นชื่อเพลงดนตรีเพลงหน่ึง ส่าหรับใช้เป็นหน้าพาทย์บรรเลงประกอบกิริยาร้องไห้ หรือสลบ หรือตาย ค. เปน็ ชือ่ ของเสียงที่ใช้ในวงปี่พาทย์เสียงหน่ึง ซึ่งเทียบโดยอนุโลมกับเสียงของดนตรี ง. สากล ตรงกับเสยี ง ลา ถา้ ตีด้วยฆอ้ งวงใหญ่ก็จะได้แก่ลูกท่ี ๑๒ (นับจากลูกที่มีเสียงต่าสุด) และฆ้องลูกนี้ก็มีชื่อ ว่า “ลูกโอด” เพราะเสียงนี้เป็นหลักส่าคัญของเพลง โอด (ข้อ ก.) ค. หมายถึงทาง (ดูค่าว่า ทาง ข้อ ๒) ด่าเนินท่านองเพลงอย่างหนึ่ง ซึ่งด่าเนินไปโดย แช่มช้า โหยหวน อ่อนหวาน หรือโศกซ้ึง บางท่านก็ว่า เป็นการดา่ เนนิ ทา่ นองในระดบั เสยี งสงู ______________________________ ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรื่องศัพทย์สังคีต 182 โอดพัน เป็นค่าเรียกวิธีบรรเลงดนตรีอย่างหน่ึง ซึ่งมีท้ังทางโอด (ดูค่าว่า โอด ข้อ ค.) และทางพัน (ดู ค่าว่า พัน ข้อ ข.) คือ การบรรเลงน้ันมีทั้งโหยหวน อ่อนหวานและเก็บแทรกแซง เสียงให้ถ่ี ๆ อาจ สลับกันเป็นอย่างละตอนหรืออย่างละเท่ียวก็ได้ อีกนัยหนึ่ง เป็นการบรรเลงท่านองเดียวกัน แต่บรรเลง ในระดับเสยี งสูง เทีย่ วหนง่ึ ระดับเสยี งตา่ เทีย่ วหน่ึง ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182