วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องความรคู้ วามเขา้ ใจเรื่องของเพลงไทย 50 ในระหว่างนั้นเพลง \"สรรเสริญพระบารมี\" ถูกนามาเรียบเรียงใหม่อยู่หลายคร้ัง แต่ครั้งท่ีสาคัญ ที่สุดคือฉบับของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร หรือครูมีแขก) ครูดนตรีคนสาคัญ ท่ีดัดแปลงจาก ทานองของเพลง \"สรรเสรญิ พระนารายณ\"์ ของเกา่ โดยไดใ้ ห้ปโยตร์ ชูรอฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นัก ประพนั ธ์ชาวรัสเซียมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ให้เปน็ ดนตรีตะวันตก ขณะที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์คาร้องเพลง \"สรรเสริญพระบารมี\" ฉบับน้ัน ถูก บรรเลงครั้งแรกท่ีศาลายุทธนาธิการในปี พ.ศ. 2431 และเป็นฉบับเดียวกับท่ีใช้ในปัจจุบัน จะมีการ เปล่ียนเน้ือร้องบ้างเล็กน้อยเม่ือถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 ที่ทรง เปลี่ยนคาร้องในท่อนสุดท้ายจาก “ดุจถวายชัยฉะน้ี” ให้เป็น “ดุจถวายชัยชโย” ทรงประกาศใช้ต้ังแต่ วนั ท่ี 1 มีนาคม พ.ศ. 2456 และใชเ้ ร่อื ยมาจนถึงปจั จบุ ัน ทั้งนี้เพลง “สรรเสรญิ พระบารมี” ยงั ถูกใช้เป็น เพลงชาติดว้ ยเช่นกนั ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2431 กระท่งั ถงึ ช่วงเปล่ยี นแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ความหมายของเพลง “ขา้ วระพุทธเจ้า เอามะโนและศิระกราน” หมายความวา่ : ขา้ พระพทุ ธเจ้า ขอเอาดวงใจและศีรษะกราบถวายบังคม “นบพระภมู บิ าล บุญญะดิเรก เอกบรมะจกั รนิ ” หมายความวา่ : พระมหากษตั รยิ ผ์ ทู้ รงมีบญุ มากล้น ผทู้ รงเป็นพระมหากษตั ริยใ์ นราชวงศ์จักรีทย่ี ่ิงใหญ่ “พระสยามินทร์ พระยศะยงิ่ ยง” หมายความวา่ : ทรงเปน็ พระเจ้าแผน่ ดินแหง่ ประเทศสยาม ผู้ดารงพระยศที่ยิ่งใหญ่และยง่ั ยืน “เยน็ ศิระเพราะพระบริบาล ผลพระคณุ ธ รักษา” หมายความวา่ : ราษฎรทัง้ หลายอยูร่ ่มเย็นเปน็ สุขได้ เพราะพระองคผ์ ทู้ รงพระคณุ ทรงปกป้องค้มุ ครอง “ปวงประชาเปนศขุ ะสานต์ ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด” หมายความว่า: ข้าพระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลาย ขอถวายพระพรชยั มงคล ทรงมุง่ หวงั สิง่ ใด “จงสฤษดด์ิ ัง หวังวระหฤทัย ดุจะถวายไชย ชโย” หมายความว่า: ขอใหบ้ งั เกิดผลตามที่มีพระราชหฤทัยปรารถนา สมดังที่ขา้ พระพุทธเจ้าถวายพระพร ชยั มงคลน้นั เทอญ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรู้ความเข้าใจเรือ่ งของเพลงไทย 51 8. เพลงกบเตน้ เพลงกบเต้น ๒ ช้ัน เป็นเพลงทานองเก่าสมัยอยุธยา ประเภทหนาาทับสองไม้ มี ๒ ท่อน เป็น เพลงหนึ่งท่รี วมอยู่ในเพลงช้า เรื่องเต่าทอง ใช้บรรลงและขับรอ้ งประกอบการแสดงละครในบทโศก บท รัญจวน เช่น ในบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอนรจนาคร่าครวญ น้อยใจที่พระสังข์ไม่ยอมถอดรปู เงาะช่วยดี คดกี ู้เมือง ขอมกลอ่ มลูก 9. เพลงขอมกลอ่ มลูก ๒ ชนั้ เปน็ เพลงทานองเกา่ ประเภทหน้าทับปรบไก่ มีทอ่ นเดยี ว ๖ จังหวะ ใช้บรรเลงประกอบและขับ ร้องประกอบการแสดงละครและเพลงขับกล่อมมาแต่โบราณ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๘ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) จึงได้แต่งทานองใหม่เป็นทางเปลี่ยน ๒ สานวน สาหรับใช้บรรเลง รับ-ร้อง แทน ทานองเดมิ ในชุดเพลง \"ตับคนัง\" ทง้ั น้ีเพ่ือมิให้นักดนตรตี ้องบรรเลงรับร้องเพลงขอมกลอ่ มลูก ำซัทานอง เดิมหลายเท่ียว แขกตอ่ ยหม้อ 10. เพลงแขกตอ่ ยหมอ้ ๒ ชน้ั เป็นเพลงทานองเก่า ประเภทหน้าทับสองไม้ มี ๒ ท่อน ท่อนละ ๔ จังหวะ นิยมนาไปบรรเลง ขับร้องประกอบการแสดงโขนละครมาแต่โบราณ นอกจากน้ีเพลงแขกต่อยหม้อ ชั้นเดียว ซ่ึงเป็นเพลง ทานองเก่าเช่นกัน นักดนตรีในอดีตได้นาไปเรียบเรียงไว้เป็นเพลงเร็ว สาหรับออก ท้ายเพลงช้า เช่น เพลงชา้ เร่ือง มอญแปลง 11. เพลงครวญหา ๒ ช้ัน เปน็ เพลงทานองเก่าสมยั อยุธยา ประเภทหนา้ ทบั สองไม้ มี ๕ ทอ่ น ใช้ เป็นเพลงสองไม้บรรเลงต่อเพลงช้าเรื่องเขมรใหญ่ บรรเลงร่วมอยู่ในเพลงเร่ืองบัวลอย ซ่ึงเป็นเพลง ประเภทเดียวกับเพลงนางโหย นางไห้ และนางหน่าย เม่ือนาเพลงครวญหา ๒ ช้ัน มาเป็นเพลงเอกเทศ หรอื บรรเลงและขบั รอ้ งเป็นเพลงอวยพร นยิ มบรรเลงเฉพาะ ๓ ท่อนแรก พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ได้นาทานองเพลงครวญหา ๒ ชั้น มาแต่งขยายเป็น อตั รา ๓ ช้นั 12. เพลงจระเข้ขวางคลอง ๒ ชั้น เป็นเพลงทานองเก่า สมัยอยุธยา ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี ๒ ท่อน ท่อนท่ี ๑ มี ๔ จังหวะ ท่อนท่ี ๒ มี ๒ จังหวะ เพลงนี้อยู่ในเพลงเรื่องฉิ่งพระฉันเช้า (ยิกิน) และใชป้ ระกอบการแสดงละคร ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งความรคู้ วามเข้าใจเร่ืองของเพลงไทย 52 เมอ่ื ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๓ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นาเพลงจระเขข้ วาง คลอง ๒ ช้ันน้ีมาแต่งเป็นอัตรา ๓ ช้ัน และแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว เรียบเรียงเป็นเพลงเถา ให้ใช้ช่ือ เพลง \"ระหกระเหิน เถา \" โดยเพลงนี้มีความหมายถึงอารมณ์เศร้าของบุคคลที่ต้องเดินทางอย่าง ปราศจากจดุ หมายปลายทาง สามเส้า / จระเขห้ างยาว เพลงสามเส้า ๒ ช้ัน เป็นเพลงทานองเก่า ประเภทหน้าทับปรบไก่ มี๓ ท่อน ท่อนละ ๒ จังหวะ เพลงนี้มีนักดนตรีไม่ทราบนามนาไปแต่งขยายเป็นอัตรา ๓ ช้ัน เรียกช่ือใหม่ว่า เพลงจระเข้หาง ยาว เพลงจะเข้หางยาว ๓ ชั้นนี้ เป็นเพลงท่ีอยู่ในแบบแผนการบรรเลงเพลงเสภาหรือขับร้อง โดยจัดเป็นเพลงอันดับต่อจากเพลงพม่าห้าท่อน นอกจากนี้ยังรวมอยู่ในเพลงตับต้นเพลงฉ่ิงด้วย เพลง ตับน้ปี ระกอบดว้ ยเพลงต้นเพลงฉิ่ง เพลงจระเข้หางยาว เดลงตวงพระธาตุ และเพลงนกขมิน้ 13. เพลงนางครวญ ๓ ชั้น เปน็ เพลงสานวนเกา่ ไม่ทราบนามผู้แตง่ สนั นษิ ฐานว่าแต่งขยายจาก เพลง มอญราดาบ ๒ ช้ันหรือเพลงนางร่า ซึ่งเป็นทานองเพลงในเพลงตับเร่ืองนเรศวรชนช้าง เพลงนี้ จดั เปน็ เพลงประเภทหนา้ ทบั ปรบไก่ มี ๒ ท่อน ท่อนละ ๔ จงั หวะ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ บรพิ ัตรสขุ ุมพันธ์ุ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงนาทานอง ๓ ช้ันน้ีมาทรงพระนิพนธ์ให้เป็นเพลงสาเนียงฝร่ัง มีทานองจังหวะและลีลาแบบฉบับตะวันตกเพ่ือให้ แตรวงบรรเลง ทรงพระนิพนธ์ขณะดารงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง นครสวรรคว์ รพนิ ติ เสนาบดกี ระทรวงทหารเรอื เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ นายมนตรี ตราโมท ได้นาทานองเพลงนางครวญ ๓ ช้ัน มาแตง่ ตัดเป็นอัตรา ช้ัน และชั้นเดียว เรียบเรียงเป็นเพลงเถา ทั้งทางดนตรีและทางร้อง ทานองทางร้องผู้แต่งได้ต่อให้นาง เจรญิ ใจ สุนทรวาทนิ ขับร้องเป็นคนแรก และได้นาออกเผยแพรอ่ อกอากาศทางสถานวี ิทยุ วงั พญาไท เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๐ พันตรีชิน หงษร์ ตั น์ ได้นาเพลงนางครวญ ๓ ชั้น มาแต่งใหเ้ พลงมแี นวเปน็ สาเนียงมอญ เรียกชือ่ ว่า เพลงนางครวญทางมอญ ๓ ชัน้ 14. พมา่ เห่ ๒ ช้ัน เป็นเพลงทานองเก่า ประเภทหนา้ ทับปรบไก่ มีท่อนเดยี ว ๖ จังหวะ แต่เดิมใชร้ อ้ ง ประกอบละครในคณะละครของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิประพันธ์พงศม์ าก่อน โดยใช้ สาหรับบทเก้ียวพาราสี ในการร้องนิยมแทรกว่าดอกให้ปี่เป่าด้วย แต่ในกรณีอ่ืนไม่นิยมว่าดอก เพลงน้ีมี นักดนตรีนาไปแต่งขยายเป็นอัตรา ๓ ช้ัน และแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว เรียบเรียงเป็นเพลงเถา หลาย ทางดว้ ยกนั คือ สะสม ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองความรคู้ วามเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 53 เป็นเพลงทานองเก่าสมัยอยธุ ยา ประเภทสองไม้ มีท่อนเดยี ว ใช้ประกอบ การแสดงละคร และประกอบ ระบาต่างๆ เช่น ระบาสวสั ดิรักษา เป็นต้น ตามหลักฐานเก่าสุดซึ่งมอี ยู่ ในหอพระสมุดวชิรญาณสาหรับ พระนคร เป็นบทเกร็ดสาหรับร้องมโหรีโบราณ บทมโหรน้ีแต่งเม่ือคร้ัง กรุงศรีอยุธยาบ้าง แต่งท่ีเมือง นครศรีธรรมราชบ้างปะปนกัน ตน้ ฉบบั ได้มาในสมยั กรงุ ธนบุรีเปน็ ราชธานี บทมโหรขี องเพลงน้ขี ึ้นต้นว่า “เจา้ เอยปลกู รัก แรกปลูกไวใ้ นอ่างทอง.....\" เพลงสะสม ๒ ช้ันนี้ ยังนามาเรียบเรียงไว้ในเพลงกับเรื่องเกสรมาสาด้วย ดังปรากฏในตาราเพลง มโหรี ซึ่งต้นฉบับเป็นลายมือเขียนครั้งรัชกาลที่ ๓ สันนิษฐานว่า เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งเมื่อครั้งรัชกาล ท่ี ๑ ในคากลอนเพลงยาวมีว่า “เพลงแปดน้ัน และปรากฏในคากลอนเพลงยาวตารามโหรี ซ่ึง สุวรรณ มาลา มากา้ นต่อดอกสระสรม” ช่ือเพลงสะสม บางทใี ชว้ า่ เพลงสระสม หรอื สระสรม 15. ประวัตเิ พลงไทยประเภทเพลงลา เพลงเต่ากินผักบุ้ง เป็นเพลงอัตราจังหวะสองช้ันทานองเก่าเป็นเพลงสมัยอยุธยาตอนปลายใช้ เป็นเพลงลา โบราณาจารย์จัดเพลงนี้ในเพลงช้าเร่ือง \"เต่ากินผักบุ้ง\" มีอยู่หลายเพลงเช่น เต่ากินผักบุ้ง เต่าเงิน เต่าทอง เป็นต้น ภายหลังนามาร้องส่งสาหรับเป็นเพลงลา เต่ากินผักบุ้งทานองทางร้องมีผู้ แต่งเติมสร้อยท่ีเรียกว่า \"ดอก\" ไว้ในท่อนท่ี ๒ เพ่ือเปิดโอกาสให้เคร่ืองดนตรี เช่น ป่ี ซอ ได้เป่า-สีเลียน เสียงร้องเป็นการอวดความสามารถในการบรรเลงของตน เพลงนใี้ ชห้ นา้ ทบั ปรบไกม่ ี ๓ ทอ่ น ต่อมา นักดนตรีไม่ทราบนามแต่งขยายข้ึนเป็นอัตราจังหวะสามช้ัน โดยสอดแทรกการว่า ดอกเหมือนกับทานองในอตั ราสองชั้น เพลงน้ีเมอื่ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุ วดั ติวงศ์นามาให้แตรวงมหาดเล็กบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเปล่ียนชื่อ เปน็ เพลงปลาทอง เพลงพระอาทติ ย์ชิงดวง อนั เป็นอมตะข้ึนในวงการดนตรไี ทย สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรีสุริ ยวงศ์น้ันรักศิลปะการดนตรีไทยย่ิงผู้หนึ่ง ถึงกับมีวงป่ีพาทย์ประจาบ้าน และได้ครูพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ผู้เลิศด้วยสติปัญญาและฝีมือเป็นผู้ควบคุมวง อันดนตรีปี่พาทย์ของไทยนั้นเดิม เป็นแต่ สว่ นประกอบการละเล่นอ่ืนๆ เช่น โขน ละคร ต่อมาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย มีผู้ เอาป่ีพาทย์ไปบรรเลงประกอบการขับเสภา เรียกว่า “เสภาทรงเคร่ือง” มีการขับร้องเป็นทานองเพลง ต่างๆ สลับไปกับการขับดาเนินเรื่อง ต่อมาคนนิยมฟังการร้องส่งป่ีพาทย์มากกว่าจึงถือการขับเสภาเป็น สว่ นประกอบเท่านั้น ระยะน้ีป่ีพาทย์ได้พัฒนามีเพลงแปลกๆ ใหม่ๆ ไพเราะมากขึน้ ท่ีเรียกกันว่าปี่พาทย์ เสภา ซึ่งนับเป็นหลักสาคัญท่ีสุดของวงดนตรีไทย ตามธรรมเนียมการเล่นป่ีพาทย์เสภาก่อนจบจะต้อง ร้องเพลงส่งท้ายเพลงหน่ึง เดิมทีเดียวใช้เพลง “กราวราเสภา” เป็นพ้ืน ต่อมาเมื่อปี่พาทย์เสภารุ่งเรือง ขึ้น มีผู้คิดแต่งเพลงสาหรับร้องส่งท้ายเม่ือจะเลิกบรรเลงแตกต่างกันไปอีกหลายแพลง ดัดแปลงมาจาก บทเพลงของสักวาบา้ ง แต่งข้นึ ใหมบ่ ้าง แต่ถึงจะแต่งใหม่กม็ ักเอาเพลงลาของสักวาเป็นแบบแผน คือมัก แตง่ เป็นเพลงมีสร้อยมดี อก หรอื ไมก่ ร็ อ้ งสอดลอ้ กบั ป่ีพาทย์ เพลงพวกนน้ี ยิ มเรยี กกนั ว่า “เพลงลา” ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งความรู้ความเข้าใจเรื่องของเพลงไทย 54 เพลงลาทีไ่ ดร้ ับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการดนตรีไทย ได้แก่เพลง “อกทะเล” และเพลง “เต่ากินผักบุ้ง” เพลงอกทะเลเป็นเพลงอัตราสามช้ัน ทานองร้องคัดแปลงมาจากเพลง ทะเลบ้าสองชั้น ใช้เป็นเพลงลาในวงสักวามาก่อน เมื่อนามาใช้เป็นเพลงลาในการร้องส่งปี่พาทย์ ครูช้อย สุนทรวาทินจึง แตง่ ทานองดนตรีขึ้นสาหรบั บรรเลงรับ เพลงนม้ี ที ว่ งทานองเป็นเชงิ อาลัยลา รอ้ งสอดล้อกับปี่พาทยอ์ ย่าง ไพเราะนา่ ฟัง ส่วนเพลงเต่ากินผักบุ้งเป็นเพลงสองชั้น มีดอกแทรกตอนท้ายท่อนสอง เพื่อให้ปี่เป่าเลียนเสียงร้องเป็น การอวดฝีมือว่าจะสามารถเป่าเลยี นถอ้ ยคาตามบทร้องได้ชัดเจนเพียงไร ทาให้เพลงมีความคมคายน่าฟัง จงึ ไดร้ ับความนิยมไม่น้อยไปกว่าเพลงอกทะเล การเลน่ ป่พี าทยไ์ ม่ว่าวงใดมักจะลาด้วยเพลงเต่ากินผักบุ้ง หรอื อกทะเลทงั้ สน้ิ เพลงท่ีเล่นซ้าซากแม้จะไพเราะเพียงใดก็ตาม แต่เม่อื ฟังบ่อยๆ กย็ ่อมชินหู กลายเป็นน่าเบ่ือหนา่ ย เหตนุ ้ี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงมีพระประสาทสั่งให้พระประดิษฐไพเราะแต่งเพลงลาขึ้นใหม่ เพอ่ื ให้วงปพ่ี าทย์ของท่านบรรเลงใหแ้ ปลกไปจากเพลงลาของวงอนื่ พระประดิษฐไพเราะได้แต่งเพลงอัตราสองชั้นข้ึนเพลงหน่ึง เป็นเพลงท่อนสั้นๆ ฟัง กระฉับกระเฉงคมคายไม่น้อยไปกว่าการร้องสอดล้อกับปี่พาทย์ของเพลงอกทะเล มีการว่าดอกและทา ท่วงทานองเลียนแบบเพลงเต่ากินผักบุ้ง แต่มีความวิจิตรพิสดารมากด้วยเม็ดพรายยิ่งกว่า ทั้งได้ สอดแทรกสาเนียงมอญให้หวานเสนาะน่าฟังยิ่งข้ึน ตอนทา้ ยมีการร้องสร้อยแทรก เปิดโอกาสให้คนร้อง ได้ประดิษฐ์ทานอง และอวดช้ันเชิงการร้องของตนอย่างอิสระ นับเป็นเพลงท่ีท้ังผู้ร้องและผู้บรรเลง สามารถอวดฝีไม้ลายมอื ได้อยา่ งเตม็ ท่ี เพลง อกทะเล ( เถา ) ประวตั ทิ ีม่ า เพลงอกทะเล (เถา) ของเดิมจามเพลงทะเลบ้า ๒ ชน้ั ใช้ร้องเปน็ ลา (เพลง) ลาในการเล่น สักวา ซ่ึงได้ดัดแปลงจนห่างจากของเดิมไปมาก เมื่อนามาร้องส่งในวงดนตรี ครูช้อย สุนทรวาทิน ได้ แต่งทานองดนตรี สาหรับบรรเลงรับและใชเ้ ปน็ เพลงลาเช่นเดียวกับสกั วา ต่อมาเมอื่ พ.ศ. ๒๔๗๕ นาย มนตรี ตราโมท ได้แต่งขยายจาก ๒ ช้ันข้ึนเป็น ๓ ชั้น และตัดลงเป็นช้ันเดียวครบเป็นเพลงเถา โดย ดาเนินตามรปู เพลง ครชู ้อย เรียกว่าเพลงอกทะเล เถา แยกจากเพลง ทะเลบ้า เปน็ คนละเพลงกนั เพลงปลาทอง (เถา) ต้นตอของเพลงมาจากเพลงเต่ากินผักบุ้ง ๒ ช้ัน เพลงลาสาคัญท่ีมีการ “วา่ ดอก” เป็นสร้อย เพ่ือให้ผู้ร้องไดแ้ สดงความสามารถในการเน้นเสียงถ้อยคาให้ มีน้าหนกั ได้สนทิ และ ยังเป็นการอวดทางเคร่ือง (ดนตรี) ในการ “ว่าดอก” ว่าสามารถเลียนเสียงได้เหมือน (คล้ายของจริง) เพียงไร ต่อมามีผู้แต่งขยายข้ึนเป็น ๓ ช้ัน เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงนาไปปรับให้เข้า กับแตรวงของทหารมหาดเล็กบรรเลงถวายในรัชกาลท่ี ๕ และทรงต้ังช่ือ ใหม่ว่าเพลงปลาทอง ล่วงมา อกี หลายปี นายมนตรี ตราโมท ไดต้ ัดลงเปน็ ช้นั เดียว ครบเป็นเพลง เถา ทสี่ มบรู ณ์ใชบ้ รรเลงกนั ตอ่ มา ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรู้ความเข้าใจเรือ่ งของเพลงไทย 55 หนว่ ยท่ี 3 เพลงโหมโรงและเพลงประกอบการแสดง 1. ประวัติเพลงไทยประเภทโหมโรง เพลงโหมโรงไอยเรศ ผู้แต่งคือนายช้อย สุนทรวาทิน แต่งจากเพลงไอยเรศชูงา ๒ ท่อน และ ไอยเรศชูวง ๒ ท่อน รวมกันซ่ึงเป็นเพลงทานองเก่าสมัยอยุธยา อยู่ในตับเรื่องฉ่ิงโบราณมาขยายเป็น อัตราสามช้ัน ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เพ่ือให้เป็นเพลงโหมโรงประจาวงป่ีพาทย์ของพระยาจิรายุมนตรี (เนียม) เพลงนจี้ ัดวา่ เป็นยอดของเพลงโหมโรงเสภาซึ่งนักดนตรีนิยมนาไปบรรเลงอย่างกว้างขวางทั้งวงป่ี พาทย์ วงมโหรี และวงเคร่อื งสาย ใช้หน้าทับปรบไกส่ ามชนั้ เพลงโหมโรงอัฐมบาท ดัดแปลงมาจากเพลงแปดบทสามชั้นของ คุณครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ลูกเล่นในเพลงคิดค้นโดยวงกอไผ่ มีลูกล้อเลียนเพลงต้นแบบหลายเพลงท้ังแปดบท- เขมรปี่แก้วทางสักวาและอื่นๆ ช่ือเพลงแปลจากแปดบทเป็น “อัฐม” เลขแปด บวกกับ “บาท” ซ่ึงเป็น ส่วนย่อยของบท ใช้หน้าทับปรบไก่สามช้ัน กลองสองหน้า (เพลงนี้ไม่มีกลอง คมใส่จังหวะคนเดียวไม่ได้ ขออภัยท่เี พลงไม่สมบรู ณ์) เพลงโหมโรงปฐมดุสิต เพลงน้ีเดิมเป็นเพลงหน้าพาทย์ท่ีใช้บรรเลงในชุดโหมโรงเย็น และ สาหรับใช้บรรเลงประกอบกิริยาของตัวละครที่จะออกไปจัดพล มีผู้แต่งไว้ 2 ทาง ทางหนึ่งเป็นของครู หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นทางที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย มีสาเนียงและทานอง เยอื กเยน็ ไพเราะนา่ ฟัง และใชเ้ ป็นเพลงโหมโรงเสภาและมโหรี จนถงึ ปัจจบุ ัน ใชห้ น้าทับปรบไก่สามช้ัน เพลงโหมโรงมหาฤกษ์ ครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งเพลงนี้ข้ึนมาเม่ือปี พ.ศ.2476 โดยแต่งจาก เพลงมหาฤกษ์สองช้ันทานองเก่าที่อยู่ในเพลงเรื่องทาขวัญ ใช้เป็นเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู และประกอบการแสดงโขนละคร เพลงโหมโรงมหาราช ในปี พ.ศ.2530 อนั เปน็ มหามงคลสมัย ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ กรมศิลปากรกบั ธนาคารกรุงเทพ จากัด จึงมอบให้ครูมนตรี ตราโมท แต่งเพลงโหมโรงช่อื มหาราชข้ึนเพื่อทูลเกลา้ ฯถวาย เฉลมิ พระเกยี รติในมหาศุภมงคลสมัยนี้ โดยครมู นตรี ตราโมทไดร้ บั พระบรมราชานญุ าตใหน้ าเพลงพระราชนพิ นธ์ใกล้รุ่งกบั เพลงเราสมู้ าสมมติเป็นเพลง 2 ชั้น แล้วแต่งขยายตามแบบแผนการแต่งเพลงไทย แต่ต้ังใจท่ีจะรักษาเค้าเพลงพระราชนิพนธ์ให้ใกล้ท่ีสุด นอกจากบางประโยคท่ีจาเป็นจะต้องห่างไปบ้างส่วนทานองที่ดาเนิน ก็ต้องการให้มีหลายๆแบบ มัทั้ง ทางพ้ืนทเี่ กบ็ ได้เปน็ อิสระและเกบ็ โดยบังคับทานอง, ทางกรอ, ทางลูกล้อลูกขัดในแบบตา่ งๆ และทางลัก ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองความรคู้ วามเขา้ ใจเรอื่ งของเพลงไทย 56 จงั หวะประสมประสานกันไป นอกจากนั้น ในตอนท้ายยังได้อญั เชิญทานองเพลงสายฝนมาสอดใส่ไว้อีก 3 ประโยค เพื่อให้เพลงนมี้ ีทานองเพลงจงั หวะวอล์ทผสม แตกตา่ งจากเพลงไทยทั้งหลาย เพลงโหมโรงเทิด ส.ธ. ครูมนตรี ตราโมท แต่งถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุครบ ๓ รอบบรบิ ูรณ์ ณ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๓ ประวัติเพลงระบาและเพลงประกอบการแสดง ระบากฤดาภินิหาร ระบากฤดาภินิหาร เป็นระบาที่กรมศิลปากรสร้างสรรรค์ข้ึนใหม่ ในราว พ.ศ.๒๔๘๖ ใช้วง ดรุ ิยางค์สากลบรรเลง โดยมีพระเจนดุริยางคเ์ ป็นผู้เรียบเรยี งเสียงประสาน ด้วยต้องการให้มีรปู แบบการ แสดงท่ีแตกต่างไปจากระบามาตรฐานที่ได้เคยแสดงมาและต้องการให้ทัน สมัยเหมาสมกับสถานการณ์ ในยุคนั้น ดนตรี และเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง ใช้วงป่ีพาทย์ไม้นวม เพลงท่ีใช้บรรเลประกอบการ แสดง เพลงรวั ดึกดาบรรพ์ และครวญหา และเพลงจนี รัว ระบาดาวดึงส์ บทร้องเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พรรณนาถึงความงดงามโอฬารของสวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ สแ์ ละทพิ ยสมบตั ิของพระอนิ ทร์ ทานองเพลงประกอบลีลาทา่ รา คือ เพลงเหาะ เพลงตะเขงิ่ เพลงเจ้าเซ็น เพลงรวั ระบาเทพบนั เทงิ นายมนตรี ตราโมท แต่งบทร้องและบรรจุทานองเพลงประกอบการแสดงละครในเรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ กล่าวถงึ เทพบตุ รนางฟ้าฟ้อนราบาเรอองค์ปะตาระกาหลา ดนตรีท่ีใช้ประกอบการแสดงใช้วงป่ีพาทย์ไม้นวมเครื่องห้าหรือเครื่องคูหรือเครื่องใหญ่ ทานอง เพลงแขกเชญิ เจา้ เพลงยะวาเรว็ เขา้ ป่ีพาทย์ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรคู้ วามเข้าใจเรื่องของเพลงไทย 57 ระบาชดุ โบราณคดี (มนตรี ตราโมท) ระบาทวารวดี เครื่องดนตรีท่ใี ชป้ ระกอบการแสดงระบาชุดน้ี ประกอบด้วย พณิ ๕ สาย จะเข้ ขลุ่ย ระนาดตัด ตะโพนมอญ ฉิ่ง ฉาบ และกรับคู่ ระบาศรีวิชยั ทานองเพลงก็แต่งให้ใกลไ้ ปทางสาเนยี งชวา เคร่ืองดนตรีซ่ึงใช้บรรเลงเพลงชุดศรีวิชัย ประกอบด้วย กระจับป่ี ๓ ตัว ซอสามสาย ขลุ่ย เพียงออ ตะโพน กลองแขก ฉงิ่ ฉาบเลก็ และกรับ ระบาลพบุรี เครื่องดนตรีทใี่ ชป้ ระกอบการแสดงระบาลพบรุ ี ซอสามสาย พิณน้าเตา้ ป่ีใน กระจบั ป่ี โทน ระบาเชียงแสน ใช้วงพ้ืนเมืองภาคเหนือ เคร่ืองดนตรีประกอบด้วย ปี่จุ่ม แคน สะล้อ ซึง ตะโพน ฉ่ิง ฉาบใหญ่ และฆ้องหุ่ย ระบาสุโขทัย เครื่องดนตรปี ระกอบดว้ ย ป่ีใน กระจับป่ี ฆอ้ งวงใหญ่ ซอสามสาย ตะโพน ฉิ่งและกรบั ระบาศรีชัยสิงห์ ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงระบาศรีชัยสิงห์ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาด ทุม้ เหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆอ้ งวงเลก็ ป่นี อก โทน ฉ่งิ ฉาบเลก็ กรบั โหมง่ ระบาชุมนุมเผา่ ไทย (มนตรี ตราโมท) ดนตรแี ละเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง จะใชว้ งปี่พาทยไ์ มน้ วม เพลงท่ีใช้ประกอบการแสดงจะเริ่มด้วยทานองเชื่อมหรืออาจจะใช้ว่าเป็นทานองสร้อยก็ได้ ใช้ บรรเลงเชื่อมทานองแต่ละเช้ือชาติ เร่ิมด้วยไทยลานนา (เพลงแน) ไทยใหญ่ (เพลงไทยใหญ่หรือเพลง เง้ยี ว) ไทยลานชา้ ง (เพลงฝ่งั โขง) ไทยสบิ สองจไุ ทย (เพลงสิบสองจุไท). ไทยอาหม (เพลงอาหม) ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องบุคคลสาคัญในวงการดนตรไี ทย 58 บุคคลสำคญั ในวงกำรดนตรไี ทย ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งบุคคลสาคัญในวงการดนตรไี ทย 59 หนว่ ยที่ 1 ครูดนตรีท่ีเป็นสำมัญชน พระประดษิ ฐ์ไพเรำะ (ครมู แี ขก) พระประดิษฐ์ไพเราะ เป็นครูดนตรีไทยคนสาคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลท่ี 3-5 คน ทั่วไปมักเรียกท่านว่า ครูมีแขก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสืบประวัติไว้ว่า ครูปี่ พาทย์ชื่อครมู แี ขกนั้น คอื เปน็ เช้ือแขก ชื่อ \"มี\" เป็นคีตกวีคนแรกท่ีนาเพลง 2 ชัน้ มาทาเปน็ เพลงสามชั้น มีความสามารถในการแต่งเพลง และ ฝีมือในทางเป่าป่ี เป็นเย่ียม โดยเฉพาะเพลงเด่นที่สุดคือ \"ทยอยเด่ียว\" บ้างเรียกท่านว่า \"เจ้าแห่งเพลง ทยอย\" ซึ่งหมายถึงเพลงที่มเี ทคนคิ การบรรเลงและลีลาท่พี ิสดาร โดยเฉพาะลูกลอ้ ลูกขัดต่างๆ อีกเพลงหนึ่งคือเพลง \"เชิดจีน\" เป็นเพลงท่ีให้อารมณ์สนุกสนาน มีลูกล้อลูกขัด ที่แปลกและ พิสดาร ท่านแต่งบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซ่ึงได้รับการโปรดปรานมาก จึงได้รับ พระราชทานบรรดาศักดิ์เปน็ \"พระประดิษฐ์ไพะเราะ\" ตาแหนง่ ปลัดจางวางมหาดเล็ก ในสมัยรัชกาลท่ี 5 ได้เป็นครูมโหรีของกรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร นอกจากมี ความสามารถในการเป่าป่ีแล้ว ครูมีแขกยังชานาญในการสีซอสามสาย โดยได้แต่งเพลงเด่ียวเชิดนอก ทางซอสามสายไว้ด้วย บทเพลงจากการประพันธ์ของท่านคือ เพลงจีนแส อาเฮีย แป๊ะ ชมสวนสวรรค์ การะเวกเล็ก แขกบรเทศ แขกมอญ ขวญั เมอื ง เทพรญั จวน พระยาโศก จนี ขมิ เลก็ เชิดในสามชัน้ (เดี่ยว) ฯลฯ พระเพลงไพเรำะ (โสม สวุ ำทติ ) ครูโสม เกิดที่ฝั่งธนบุรี เริ่มเรียนระนาดลิเกจากน้าชาย จากน้ันได้เข้าร่วมเป็นนักดนตรีในกอง ดนตรีของสมเด็จพระบรมฯ (รัชกาลที่ ๖) เป็นคนตีระนาดหน้าฉากเวลาละครเปลี่ยนฉาก มีฝีมือในทาง ระนาดเป็นเยยี่ ม ถงึ ขนาดเคยตีเอาชนะนายชิน ชาวอพั วา ซง่ึ เปน็ ระนาดมือหน่ึงในสมยั นน้ั มาแล้ว นอกจากนั้นยังสามารถตีรับลิเกในเพลงท่ีไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ด้วย จนพระยาประสานดุริย ศัพทช์ มว่า \"โสมแกเก่งมาก ครเู องยงั จนเลย\" ครั้งหน่ึงเคยได้ตีระนาดเพลงกราวในถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เม่ือคร้ังทรงพระ ประชวรให้บรรทม ครั้นตื่นพระบรรทมก็ทรงชมว่า \"โสม เจ้ายังตีฝีมือไม่ตกเลย\" นับว่าการตีป่ีพาทย์ ประกอบโขนละครในสมยั นน้ั (รชั กาลท่ี ๕-๗) ไม่มใี ครสคู้ รโู สมได้ ทา่ นไดบ้ รรดาศกั ดิ์เป็นพระ เมือ่ พ.ศ.๒๔๖๐ และถงึ แกก่ รรมเพราะซอ้ มระนาดหนักจนพกั ผ่อน ไมเ่ พียงพอ และทานอาหารไม่เปน็ เวลาจนเป็นโรคกระเพาะ รวมอายไุ ด้ ๔๙ ปี ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องบุคคลสาคัญในวงการดนตรไี ทย 60 หลวงประดิษฐ์ไพเรำะ (ศร ศิลปบรรเลง) เป็นบตุ รครูสิน ศิลปบรรเลง ซ่ึงเป็นศิษย์ของพระประดิษฐ์ไพเราะ เป็นคนจังหวัด สมทุ รสงคราม มีฝีมือในการตีระนาดท่ีหาตัวจับยาก จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง คร้ันได้ตีระนาดถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา ภาณพุ ันธ์ ก็ได้รับรางวัลมากมาย และได้ประทานตาแหน่งเป็น \"จางวางมหาดเล็กในพระองค์\" คนทัว่ ไป จงึ เรียกวา่ \"จางวางศร\" นอกจากระนาดแล้ว ท่านยังสามารถบรรเลงปี่ได้ดี และสามารถคิดหาวิธีเป่าปี่ให้เสียงสูงข้ึน กวา่ เดมิ ไดอ้ กี 2 เสยี ง ในด้านการแต่งเพลง ท่านสามารถแต่งเพลงได้เร็ว และมีลูกเล่นแพรวพราว แม้ในการประกวด การประดิษฐ์ทางรับ คอื การนาเพลงที่ไมเ่ คยรจู้ กั มาร้องให้ ปพ่ี าทย์รบั ทา่ นก็สามารถนาวงรอดได้ทุกครา ผลงำนเดน่ ๆ ของทำ่ นมีมำกมำย ไดแ้ ก่ - ประดิษฐ์วิธีบรรเลงดนตรี \"ทางกรอ\" ขึ้นใหม่ในเพลง\"เขมรเรียบพระนครสามชั้น\" เป็นผลให้ ไดร้ ับพระราชทานเหรียญรจุ ทิ อง ร.5 และ ร.6 - ตน้ ตารับเพลงทางเปลี่ยน คอื เพลงเดยี วกนั แต่บรรเลงไม่ซา้ กนั ในแตล่ ะเทย่ี ว - พระอาจารย์สอนดนตรีแด่พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว จนทรงมีพระปรีชาสามารถ พระราชนิพนธ์ เพลงไดเ้ อง คือเพลง \"คลื่นกระทบฝงั่ โหมโรง\" \"เขมรละออองคเ์ ถา\" และ \"ราตรปี ระดับดาวเถา\" - คดิ โน๊ตตวั เลขสาหรบั เคร่ืองดนตรีไทยซ่ึงไดใ้ ช้มาจนทุกวนั น้ี - นาเคร่ืองดนตรีชวาคอื \"องั กะลุง\" เขา้ มาและไดแ้ ก้ไขจนเปน็ แบบไทย - สอนดนตรีไทยในพระราชสานักเมืองกัมพูชา และได้นาเพลงเขมรมาทาเป็น เพลงไทยหลาย เพลง - ตนั ตารบั การแต่งเพลงและบรรเลงเพลง 4 ชนั้ ท่านเป็นคตี กวีในสมัยรชั กาลที่ 6 ถงึ รัชกาลที่ 7 ซ่ึงนับว่าเป็นดวงประทีปทาง ดนตรีไทย ที่ใหญ่ ท่ีสดุ ในยคุ ท่ีดนตรไี ทยเฟือ่ งฟูท่ีสดุ ดว้ ย ครูชอ้ ย สนุ ทรวำทนิ ครูช้อยท่านอยูใ่ นสมยั ชว่ ง พ.ศ. 2370 - 2380 ชวี ิตในวัยเดก็ น้ันท่านปว่ ยเปน็ ไข้ทรพิษ แต่รอด ตายมาได้อย่างนา่ อศั จรรย์ เพราะหนงึ่ ในรอ้ ยในพันจริงๆจึงรอดตายจากโรคน้ีได้ แต่ด้วยพิษแห่งโรครา้ ย แม้รอดตายมาได้แต่กต็ อ้ งเสยี ดวงตาท้ังสองขา้ ง แต่แม้ดวงตาทั้งสองข้างของท่านจะบอดสนิทต้ังแต่วัยเยาว์ แต่ท่านกลับไม่เคยคิดพ่ายแพ้แก่ ชะตาชีวิตตนเอง และด้วยสายเลือดแห่งศิลปินที่มีอยู่ภายในชีวิตจิตวิญญาณของท่านทาให้ท่าน ฝึกหัด เครื่องเลน่ ดนตรไี ทยด้วยตนเองตั้งแตเ่ ด็ก ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรือ่ งบุคคลสาคัญในวงการดนตรีไทย 61 ในความจริงครูช้อย ท่านก็เกิดในตระกูลศิลปินอยู่แล้ว แต่ด้วยท่ีท่านตาบอดผู้เป็นบิดาจึงมิได้ หัดท่านในทางดนตรี ก็ด้วยความใส่ใจ ความรักในศิลปะดนตรีน่ีเองที่ทาให้ท่านฝึกฝน โดยเร่ิมจากการ นาเอากะลาใต้ถุนบ้านมาเรยี งกนั ๑๖ ใบแล้วตตี าม หกู ็แงฟ่ ังการสอนของบดิ าบนเรอื น ส่วนตัวเองอยใู่ ต้ ถุนบ้านหัดตามไป และยามใดท่ีบิดาท่านไม่อยู่ท่านก็จะข้ึนไปฝึกหัดกับเครื่องดนตรีจริงบนบ้าน จนเกิด ความชานาญในเครื่องดนตรีทุกชนดิ ท่ีมอี ยู่ เล่ากันว่าอยู่มาวันหน่ึง มีงานดนตรี แต่คนระนาดป่วย หาคนแทนไม่ได้ พวกลูกศิษย์รู้ฝีมือลูก ชายอาจารย์ว่าใช้ได้ ก็เสนอใหค้ รูช้อยไปเป็นคนระนาดแทน กระนัน้ บิดาก็ยังไม่แน่ใจ ขอทดสอบฝีมือลูก ชาย...เห็นฝีมอื แล้ว จงึ ยอมปลอ่ ยตวั ไปออกงาน หลังจากน้นั บิดา ก็เรม่ิ อบรมบม่ เพาะฝมี อื ดนตรีใหล้ กู ชายอยา่ งจริงจงั ปลายรัชกาลที่ 4 เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะเร่ืองป่ีกรูะท่ังบิดาเห็นแวว จึงส่งไปเรียนวิชาปี่กับครูมี แขก (พระประดิษฐไ์ พเราะ) จึงยิ่งมีความชานาญเพมิ่ ข้นึ ต่อมาเม่ือครูช้อยเป็นครูดนตรี สอนดนตรีท้ังที่บ้าน ในวัด ถึงในวัง มีลูกศิษย์สาคัญสองคน คน แรก ลูกชายครูช้อยเอง ชื่อ แช่ม ต่อมาเป็นพระยาเสนาะดุริยางค์ (คู่แข่งระนาดหลวงประดิษฐ์ไพเราะ) และศษิ ย์เอกช่ือแปลก ตอ่ มาเป็นพระยาประสานดรุ ยิ ศพั ท์ ความน่าอัศจรรย์อันเป็นความอัจฉริยะภาพอย่างหนึ่งของครูช้อยคือ หากศิษย์คนใดก็ตามเล่น เคร่ืองดนตรีเสียงเพี้ยน ไม่ถูกต้อง ครูช้อยจะใช้วิธี “ดีดเม็ดมะขาม” ใส่ผู้นั้นอย่างถูกต้องแม่นยา โดยรู้ ว่าใครเปน็ ใครนั่งตรงไหนอย่างถกู ตอ้ งราวกบั ตาเห็น พระยำเสนำะดรุ ยิ ำงค์ (แช่ม สุนทรวำทิน) เป็นบุตรคนโตของครูช้อย และนางไผ่ สุนทรวาทิน ได้ฝึกฝนวิชาดนตรี จากครูช้อย ผู้เป็นบิดา จนมีความแตกฉาน ต่อมาเจ้าพระยาเทเวศน์วงศ์ววิ ัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้ขอตัวมาเป็นนักดนตรี ในวงปพี่ าทยข์ องทา่ น ทา่ นเข้ารับราชการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๒ ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนเสนาะดุริยางค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ตาแหน่งเจ้ากรม พณิ พาทยห์ ลวง จึงโปรดใหเ้ ล่ือนเปน็ “หลวงเสนาะดุรยิ างค์”ในปพี .ศ.๒๔๕๓ จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เล่ือนเป็น “พระเสนาะดุริยางค์” รับราชการในกรมมหรสพหลวง และได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา ด้วยความ ซอื่ สตั ย์ และมคี วามจงรักภักดี ท่านจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็น “พระยาเสนาะดุรยิ างค์” ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านไดร้ ับมอบหมายให้ควบคุมวงพิณพาทย์ ของเจา้ พระยาธรรมาธกิ รณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง วงพิณพาทย์วงนี้ นบั ไดว้ ่า เป็นการรวบรวมผู้มีฝีมือ ซ่ึงต่อมาได้เป็นครูผู้ใหญ่ เป็นที่รู้จักนับถือโดยท่ัวไป เช่น ครูเทียม คงลายทอง ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรอ่ื งบุคคลสาคัญในวงการดนตรีไทย 62 ครพู รง้ิ ดนตรรี ส ครูสอน วงฆอ้ ง ครูมิ ทรัพย์เย็น ครูแสวง โสภา ครูผวิ ใบไม้ ครทู รพั ย์นุตสถติ ย์ ครูอรุณ กอนกุล ครูเช้อื นักรอ้ ง และครทู องสขุ คาศริ ิพระยาเสนาะดรุ ยิ างค์ หลวงไพเรำะเสียงซอ (อุ่น ดรู ยชีวิน) หลวงไพเราะเสียงซอเดิมชื่ออุ่น ดูรยชีวิน เกิดเม่ือวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 ณ ตาบล หน้าไม้ อาเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายพยอมและนางเทียบ เม่ืออายุ 11 ปี ท่านได้บวชเป็นสามเณรที่วัดหน้าต่างนอก ภายหลังบิดามารดาย้ายเข้ากรุงเทพมหานครท่านจึงย้ายไป เรียนทวี่ ดั ปรณิ ายก โดยเรมิ่ แรกท่านเรยี นซอดว้ งจากบดิ าของทา่ น เวลาต่อมาท่านถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยัง ทรงดารงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ท่านจึงมีโอกาสศึกษาดนตรีไทย กับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ต่อมามีการก่อต้ังกองเคร่ืองสายฝร่ังหลวงในกรม มหรสพ ทา่ นไดร้ ับเลอื กใหฝ้ กึ หัดไวโอลิน และท่านไดเ้ ข้ารบั ราชการในกองดนตรเี มื่อปี พ.ศ. 2448 เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯเสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยูห่ วั แลว้ ท่านจึงไดเ้ ล่ือนขั้นเป็นมหาดเลก็ ประจา ตอ่ มารัชกาลท่หี กมพี ระราชประสงคใ์ ห้มวี งดนตรี ตามเสด็จพระราชดาเนินเมื่อแปร พระราชฐานตามหัวเมือง เรียกกันว่า\"วงตามเสด็จ\"ประกอบด้วย ข้าราชการท่ีมีฝีมือทางด้านดนตรี ท่านเป็นผู้หน่ึงในวงตามเสด็จได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็น ขุน ดนตรีบรรเลง รองหุ้มแพรมหาดเล็ก ในท่ีสุดท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ท่ีหลวงไพเราะเสียงซอ เมื่อวันท่ี 13 ธันวาคม พ.ศ. 2460 คร้ันสมัยรัชกาลที่เจ็ด หลวงไพเราะเสียงซอได้มีโอกาสเป็นพระอาจารย์สอนเคร่ืองสายถวาย เจ้านาย ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อันมี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จ พระนางเจา้ ราไพพรรณี พระบรมราชนิ ี กรมหมืน่ อนุวัตรจาตรุ นต์ กรมหมื่นอนุพงศจ์ ักรพรรดิ์ หม่อมเจ้า ถาวรมงคล จักรพันธ์ุและหม่อมเจ้าแววจักร จักรพันธ์ุ นอกจากนี้ท่านได้สอนถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคลและข้าหลวงอีกด้วย ภายหลังกรมศิลปากรได้เชิญท่านสอนประจาที่ วทิ ยาลัยนาฏศิลป์ และทา่ นยังได้สอนและปรับปรุงวงดนตรีไทยของมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จนทาให้ วงดนตรขี องมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรเ์ ปน้ ทร่ี ู้จกั ในเวลาตอ่ มา หลวงไพเราะเสียงซอถึงแก่กรรมเม่ือวันท่ี 13 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริ อายุ 84 ปี ชวี ติ ครอบครัว หลวงไพเราะเสียงซอสมรสกับนางนวม มัธยมจนั ทร์ มีบตุ รธดิ า 8 เวลาต่อมาท่านได้สมรสครง้ั ที่ สองกบั หม่อมเจา้ กริณานฤมล สุรยิ ง มีบตุ รธดิ าอีก 5 คน ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เรื่องบุคคลสาคญั ในวงการดนตรีไทย 63 ผลงำน ผลงานของหลวงไพเราะเสียงซอนั้นมีปรากฏในราชการมากมาย อาทิวงขับไม้ใน พระราชพิธี สมโภชต่างๆในสมัยรัชกาลท่ีหก เช่นพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีขึ้นระวางพระคชาธารเป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่เจ็ด เพลงคล่ืนโหมโรงกระทบฝั่งซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ีเจ็ด ก็มีท่ีมา จากคากราบบงั คลทูลของหลวงไพเราะฯ เม่ือครั้งตามเสด็จประพาสสตั หีบเมื่อปี พ.ศ. 2474 ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เร่อื งบุคคลสาคัญในวงการดนตรีไทย 64 หน่วยท่ี 2 นักดนตรไี ทยที่เป็นเช้อื พระวงศ์ สมเด็จพระพทุ ธเลิศหลำ้ นภำลยั พระองค์ทรงโปรดดนตรีไทยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งซอสามสายเปน็ เคร่ืองดนตรที พ่ี ระองคโ์ ปรด ปรานมาก ถึงกับพระราชทาน \"ตราภูมิคุ้มห้าม\" แก่เจ้าของสวนที่มีกะลามะพร้าวชนิดท่ีใช้กระโหลกซอ สามสายได้ เพือ่ มติ ้องเสียภาษอี ากร ซอสามสายท่เี ปน็ คพู่ ระหัตถ์นั้นทรงพระราชทานนามวา่ \"ซอสายฟ้า ฟาด\" \"คืนหนึ่งหลังจากท่ีได้ทรงซอสามสายอยู่จนดึกแล้วเสด็จเข้าท่ีบรรทม ก็ทรงสุบินว่า พระองค์ เสด็จพระราชดาเนินไปในสถานท่ีแห่งหน่ึง ซึ่งเป็นสถานท่ีสวยงามมาก และได้ทอดพระเนตรเห็นดวง จันทรล์ อยเขา้ มาใกล้พระองค์ สาดแสงสว่างไสวไปทัว่ บริเวณ ทนั ใดน้ันก็พลันได้ทรงสดบั เสียงดนตรีทพิ ย์ อันไพเราะเสนาะกรรณเป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จประทับทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงดงาม และทรงสดับ เสียงดนตรีอันไพเราะอยู่ด้วยความเพลิดเพลินเจริญพระราชหฤทัย ครั้งแล้วดวงจันทร์ก็เริ่มถอยห่าง ออกไปในท้องฟา้ พร้อมกบั เสียงดนตรีทพิ ยค์ อ่ ย ๆ หา่ งจนเสียงหายไป ก็ทรงตืน่ พระบรรทม พระองค์ทรงตื่นจากพระบรรทมแล้ว เสียงดนตรีในทรงสุบินก็ยังกังวานอยู่ในพระโสต จึงโปรด ให้ตามพนักงานดนตรีเข้ามาต่อเพลงไว้ แล้วพระราชทานนามว่า .\"เพลงบุหลนั ลอยเล่ือน\" หรือ \"บุหลัน เล่ือนลอยฟา้ \" หรือบางทีเรียกวา่ \"เพลงสรรเสรญิ พระจนั ทร์\" มีนกั ดนตรีจาสืบมาจนบัดน้ี แต่เปน็ รู้จักกัน ดีในช่ือว่า \"เพลงทรงพระสุบิน\" และเคยใช้เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีในสมัยหน่ึง ต่อมามีผู้แต่งเพลง สรรเสริญพระบารมีเป็นทานองอยา่ งอ่ืนหรือเป็นทานองฝรั่งขน้ึ จึงเรียกเพลงทรงพระสบุ ินท่ีใช้เป็นเพลง สรรเสริญพระบารมีนัน้ วา่ \"เพลงสรรเสริญพระบารมไี ทย\" พระบำทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหำประชำธปิ กฯ พระปกเกล้ำเจ้ำอยู่หัว รัชกำลท่ี ๗ แหง่ รำชจกั รีวงศ์ ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยไว้ด้วยพระองค์เอง ท้ังนี้เพราะได้ทรงสนพระราชหฤทัยในวิชาดนตรีไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐ์ไพเราะ เข้าถวายการฝึกสอนจนสามารถ พระราชนิพนธ์ ทานองเพลงไทยได้ ถึง ๓ เพลง คือเพลง ราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรลออองค์เถา และเพลงโหมโรง คล่ืนกระทบฝ่งั สมเด็จพระเจ้ำบรมวงศเ์ ธอเจ้ำฟ้ำกรมพระยำนรศิ รำนวุ ัตวิ งศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่อง ประเพณี ภาษาทางตะวันออก และดนตรีเป็นอย่างยงิ่ โดยทรงศึกษากลองแขกจากป่พี าทยเ์ วร ทรงฝึก ตีระนาด เปา่ ขลยุ่ และสซี อด้วยพระองคเ์ อง ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรื่องบุคคลสาคญั ในวงการดนตรไี ทย 65 สาหรับผลงานทางดนตรีของพระองคท์ รงมีมากมาย เชน่ ทรงพระราชนิพนธ์ บทเพลงสรรเสริญ พระบารมี (ของเก่า) ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และเพลงมหาชัยแบบสากล นอกจากน้ียังทรงพระนิพนธ์บทร้องเพลงไทยเดิมในละครดึกดาบรรพ์ เรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี เรื่องอิเหนาตอนไหว้พระ บทร้องเพลงต้นในเร่ือง พระลอ นิทราชาคริต ซินเดอเรลลา สามก๊ก ราชาธิราช และเร่ืองรามเกียรติ์ เช่นเพลงฉุยฉาย และบทร้องเพลงเกร็ด เช่น เขมรไทรโยค เพลงทยอย เขมร เพลงอกทะเล ซ่ึงงบทเพลงของพระองค์ ส่วนใหญ่เปน็ ทร่ี จู้ ักขอคนไทยมาจนถึงปัจจบุ นั จอมพลเรือสมเด็จพระเจำ้ บรมวงศ์เธอ เจำ้ ฟำ้ บริพัตรสุขมุ พันธ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ิจ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระปรีชา สามารถท้ังในการบรรเลงเครื่องดนตรีและพระนิพนธ์เพลงท่ีมีชื่อเสียง เช่นโหมโรงประเสบัน เพลงสุด ถวิล เถา เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา เพลงแขกส่ีเกลอ เถา เพลงแขกเห่ เถา เพลงแขกมัสหรี เถา เพลงแขกสาย เถา เพลงจงิ้ จกเถา เป็นตน้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงนาเคร่ืองเนตรีสากล ประเภทแตร วง หรอื โยธวาทติ มาบรรเลงเพลงไทยประสานเสียงด้วย พระองคเ์ จำ้ เพญ็ พฒั นพงศ์ กรมหมน่ื พิไชยมหนิ ทโรดม กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ เป็นพระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดารมรกต ประสูติเม่ือวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๕ ตรงกับวันพุธ ข้ึน ๗ ค่า เดือน ๑๐ ปีมะเส็ง รัตนโกสินทร์ศก ๑๐๑ ทรงศึกษาใน ประเทศอังกฤษ เม่ือเสด็จกลับได้ทรงเข้ารับราชการในตาแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิ การ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ต้ัง พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจา้ เพ็ญพัฒนพงศ์ เป็น กรมหมนื่ พไิ ชยมหนิ ทโรดม ควำมสำมำรถและผลงำน กรมหม่ืนพิไชยมหินทโรดม ทรงสนพระทัยดนตรีไทยมากถึงกับมีวงปีพาทย์วงหนึ่งเรียกกันว่า “วงพระองค์เพ็ญ” ทรงเป็นนักแต่งเพลงที่มความสามารถพระองค์หนึ่ง โดยได้ทรงแต่งเพลง “ลาว ดวงเดือน” ซงึ่ เปน็ เพลงทน่ี ิยมกนั แพรห่ ลายในปัจจบุ ัน สาหรับเพลงลาวดวงเดือนนี้ พระองค์ท่านแต่งขึ้นต้องการให้มีสาเนียงลาว เน่ืองจากโปรด ทานองและลีลาเพลง “ลาวดาเนินทราย” เม่ือคราวที่เสด็จตรวจราชการ ภาคอีสาน ระหว่างที่ ประทับแรมอย่ตู ามทางจึงทรงแต่งเพลงลาวดวงเดือนข้ึน เพื่อให้คู่กับเพลงลาวดาเนินทราย ประทาน ชื่อว่า “เพลงลาวดาเนินเกวียน” ได้มีผู้กล่าวว่า แรงบันดาลใจที่พระองค์แต่งนั้นเน่ืองจากผิดหวังใน ความรัก คือ เม่ือพระองค์จบการศึกษาจากประเทศองั กฤษ เสด็จข้ึนไปเที่ยวเชียงใหม่ และได้พบกับ เจ้าหญิงชมชน่ื ธิดาเจ้าราชสัมพันธวงศ์ พระองคส์ นพระทัยมากจนถึงกับให้ผู้ใหญ่ในมณฑล พายัพเป็น ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องบุคคลสาคัญในวงการดนตรีไทย 66 เถ้าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับคาตอบจากเจ้าราชสัมพันธวงศ์ว่าขอให้เจ้าหญิงชมช่ืนอายุ ๑๘ ปีก่อน เพราะขณะนัน้ อายุเพยี ง ๑๖ ปี และขอใหไ้ ด้รบั พระบรมราชนญุ าตด้วย เม่ือกรมหมื่นพิไชยมหินทโร ดมกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ได้รับการทัดทานจากพระบรมวงศานุวงศ์มาก พระองค์ได้รับความผิดหวัง จึง ระบายความรักด้วยความอาลัยลงในพระนิพนธ์บทร้อง “เพลงลาวดวงเดือน” ซ่ึงเป็นเพลงท่ีมี ความหมายไพเราะอ่อนหวาน จับใจผู้ฟังมาจนทุกวนั นี้ พระองค์ส้ินพระชนม์ (ประชวนพระโรคปอด) เม่ือวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๒ มีพระชนมายุ เพยี ง ๒๘ พรรษา จำงวำงท่ัว พำทยโกศล เป็นผู้ที่มีฝีมือในการบรรเลงเครื่องดนตรไี ด้ทกุ ชนดิ ทั้งปีพ่ าทย์ เครื่องสาย และ ยงั ขบั รอ้ งไดด้ ีอีกดว้ ย ได้แต่งเพลงไว้จานวนมาก ประเภทเพลงตบั เชน่ เพลงชดุ แขกไทร ตับนกสชี มพู ประเภทเพลงเถำ เช่น เพลงเขมรปากท่อ เถา เพลงเขมรเอวบาง เถา เพลงเขมรเขียว เถา เพลงคุณลุงคุณป้า เถา เพลงธรณีร้องไห้ เถา เพลงพวงร้อย เถา เพลงพม่าเห่ เถา เพลงอาหนู เถา เพลง โอ้ลาว เถา เพลงสี่บท เถา เพลงกัลยาเยี่ยมห้อง เถา เพลงเขมรพวง เถา เพลงหกบท เถา เพลงล่องลม เถา เพลงเขมรใหญ่ เถา เพลงบังใบ เถา ประเภททำงเด่ียว เช่น เด่ียวรอบวงเพลงหกบท เถา เพลงทะแย เถา และเพลงอาเฮีย เด่ียว ระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่เพลงพญาโศก และเพลงลาวแพน เด่ียวจะเข้เพลงสุดสงวน และทาทาง บรรเลงสาหรับวงโยธวาทิตอกี มาก นอกจากนั้นยังได้นาวงป่ีพาทย์บรรเลงบันทึกแผน่ เสียงไว้เป็นจานวน มาก หลวงประดิษฐไพเรำะ (ศร ศิลปบรรเลง) (6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2497) เกิดเม่ือวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสิน เปน็ เจ้าของวงปพ่ี าทย์ และเป็นศษิ ยข์ องพระประดิษฐไพเราะ (มี ดรุ ิยางกรู ) ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านไดแ้ สดงฝมี ือเด่ยี วระนาดเอกถวายสมเดจ็ พระราช ปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเขา้ มาไวท้ ี่วงั บูรพาภริ มย์ ทาหน้าที่คนระนาดเอกประจาวงวงั บูรพาไปด้วย พร้อมกับสมเด็จ ท่านได้ เชิญครูมาสอนที่วัง คือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เนื่องจากจางวางศร ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นอย่างมาก ทรงจัดหาครูท่ีมีฝีมือ มาฝกึ สอน ทาให้จางวางศรมฝี มี อื กล้าแข็งขึน้ ในสมยั นน้ั ไม่มีใครมฝี ีมอื เทียบเทา่ ไดเ้ ลย จางวางศร ได้รับพระราชทานบรรดาศกั ดิ์ เป็นหลวงประดษิ ฐไพเราะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ วันท่ี 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 ทัง้ ๆ ที่ทา่ นไม่เคยรับราชการอยใู่ นกรมกองใดมาก่อน ทั้งนกี้ ็เพราะฝีมือ และความสามารถของทา่ น เป็นท่ตี ้องพระหฤทัยน่ันเอง ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งบุคคลสาคญั ในวงการดนตรีไทย 67 คร้ันถึงปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วน ถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธเ์ พลงสามเพลง คอื เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลง เขมรละออองคเ์ ถา และ เพลงโหมโรงคล่นื กระทบฝง่ั สามช้ัน หลวงประดษิ ฐไพเรำะ ได้แต่งเพลงไวม้ ำกกว่ำร้อยเพลง ดังน้ี: เพลงโหมโรง โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบดั กีบ และโหมโรงบเู ซ็นซ๊อค เป็นต้น เพลงเถำ กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขก ขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนล่ันถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาข แมร์เถา พราหมณ์ดดี น้าเต้าเถา มลุ ่งเถา แมลงภ่ทู องเถา ยวนเคลา้ เถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหนิ เถา ระส่าระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสีง่ เทียนเถา แสนคานึงเถา สาวเวียงเหนอื เถา สาริกาเขมรเถา โอ้ ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กาสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทติ ยช์ ิงดวงเถา กราวราเถา ฯลฯ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งบุคคลสาคญั ในวงการดนตรีไทย 68 รำยชื่อศิลปนิ แห่งชำติสำขำดนตรีไทย (ศลิ ปะกำรแสดง) มีดงั นี้ ลำดับท่ี รำยชื่อศิลปนิ แห่งชำติ สำขำ พ.ศ. 1 นายมนตรี ตราโมท สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2528 2 คุณหญิงไพฑรู ย์ กิตติวรรณ สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2529 3 นายเฉลิม บัวทง่ั สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2529 4 คณุ หญงิ ช้ิน ศลิ ปะบรรเลง สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรีไทย 2530 5 นายประสิทธิ์ ถาวร สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรีไทย 2531 6 นายบุญยงค์ เกตุคง สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2531 7 นายประเวศ กมุ ุท สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2532 8 นายเตือน พาทยกลุ สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2535 9 นายจาเนยี ร ศรไี ทยพันธุ์ สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2536 10 นายพินจิ ฉายสุวรรณ สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรีไทย 2540 11 นางเบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2541 12 นายเชอ้ื ดนตรรี ส สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2542 13 นายจริ ัส อาจณรงค์ สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2543 14 นายสาราญ เกิดผล สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2548 15 ร.ต.ต.กาหลง พง่ึ ทองคา สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2549 16 นายอุทยั แก้วละเอยี ด สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2552 17 พันโทเสนาะ หลวงสุนทร สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2555 18 พนั โทวิชติ โห้ไทย สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย โยธวาทิต 2555 19 นางทศั นีย์ ขนุ ทอง สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย คตี ศลิ ป์ 2555 20 นายเฉลมิ มว่ งแพรศรี สาขาศิลปะการแสดง-ดนตรีไทย 2556 21 นายสิรชิ ยั ชาญ ฟกั จารูญ สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรไี ทย 2557 22 นายธนสิ ร์ ศรีกล่นิ ดี สาขาศลิ ปะการแสดงดนตรีไทยสากล 2559 23 นายปี๊บ คงลายทอง สาขาศลิ ปะการแสดง-ดนตรีไทย 2563 ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องบุคคลสาคญั ในวงการดนตรไี ทย 69 หนว่ ยท่ี 3 เทพแห่งดนตรไี ทย เศยี รบรมครู ในความเป็นคนไทยได้ถูกอบรมให้เป็นผู้ที่มีความกตัญญู รู้จักทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ บรม ครูทางด้านดนตรีไทยก็ได้พร่าสอนในเร่ืองความกตัญญู บรมครูดนตรีไทยได้นาความกตัญญูท่ีกล่าวมา ขา้ งต้นบวกกับแนวความเชื่อในศาสนาพราหมณ์เข้าดว้ ยกัน จึงไดเ้ กิดความเชอื่ ว่าครูดนตรีไทยนอกจาก จะมีครูท่ีเป็นมนุษย์ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ศานุศิษย์แล้ว ยังมีครูเป็นเทวดาและฤๅษีอีกส่วนหน่ึงที่ เรียกว่า ดุริยเทพ เก่ียวข้องกับดนตรีไทยในเร่ืองของ ผู้สร้างเครื่องดนตรีและบทเพลง ดังน้ันในความ กตัญญูของคนไทย จึงนบั วา่ เทวดาท้งั หลายเหล่าน้ีเป็นครทู างเทพยดา ก่อนท่ีจะกล่าวถึง ดุริยเทพน้ัน ขอกล่าวถึง บรมเทพ 3 องค์ หรือ พระตรีมูรติ เพราะ ถือเป็น มหาเทพชั้นสูง ถือได้วา่ เป็นหัวหน้า ของดรุ ิยเทพ ซง่ึ ได้แก่ พระพรหม(ผู้สร้าง) พระนารายณ์( ผูป้ กป้อง รักษา) และ พระอศิ วร (ผทู้ าลาย) ดังนี้ พระพรหม (เทพผู้สรำ้ ง) ในอินเดียสมัยโบราณ พระพรหมเป็นเทพผู้สร้างโลก เป็นเทพเจ้าแห่งพรหมวิหาร มีสีขาว มี ๔ พักตร์ ๘ กร ทรงมงกุฎชัย ๒ ชน้ั หรือ มงกฎุ เทิดนา้ เต้ากลม มีหงส์ เป็นพาหนะ สถิต ณ พรหมพฤนทา มีพระมเหสีนามว่า พระสุรัสวดี เทพเจ้าแห่งการศึกษา สร้างโลกลักษณะเศียร สีขาว หน้า ๒ ชั้น มงกุฎ ชัยหรอื มงกุฎเทิดน้าเตา้ กลม ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งบุคคลสาคัญในวงการดนตรไี ทย 70 พระอิศวร(ศวิ ะ) เทพแห่งการทาลาย หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใด ๆ ก็ ให้พรนั้น พระศิวะจะประทานสิ่งวิเศษให้ในไม่ช้า แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทาผิด ไปจากความดีงามคนผู้น้ันจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพผู้จะกลายเป็นเทพผู้ทาลายทันที มี ๑ พักตร์ ๓ เนตร ๔ กร กายสีขาว มงกุฎน้าเต้าหรือมงกุฎทรงเทิดน้าเต้ากาบ เกศามุ่นเป็นชฎารุงรัง มีประคาหัว กะโหลกคนคล้องพระศอ มีสังวาลเป็นงู พระศอสีนิล นุ่งหนังเสือ หนังช้าง หรือหนังกวาง ใช้โคเป็น พาหนะ สถิตบนเขาไกรลาศ มีพระมเหสีทรงนามว่า พระอุมา มีเทวโอรส ๒ องค์ คือ พระขันทกุมาร และพระคเณศ ลักษณะเศียร สีขาว มงกุฎน้าเต้าหรือมงกุฎเทิดน้าเต้ากาบ เป็นผู้ร่ายราท่านาฏย ศาสตร์ ให้พระฤๅษีภรตมุณีเป็นผู้จดทา่ รา พระนำรำยณ์(วษิ ณ)ุ เทพแหง่ กำรรกั ษำ พระวิษณุ (นารายณ์) เทพผู้คุ้มครองโลก ความเช่ือของชาวฮินดูปัจจุบันพระองค์ คือเทพผู้ทา หน้าที่บริหารหรือผู้คุ้มครองโลกท่ีสาคัญ กายสีดอกตะแบก (ชมพูอมม่วง) มี ๑ พักตร์ ๔ กร ยอดมงกุฎ ชัย มคี รุฑเป็นพาหนะ สถติ ณ เกษียรสมุทร มีพระลกั ษมี เทพเจ้าแหง่ ลาภและความดเี ป็น ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื งบุคคลสาคัญในวงการดนตรไี ทย 71 ดุรยิ เทพ พระปัญจสิงขร เทพเจ้าองค์นี้เดิมเคยเป็นมนุษย์ เป็นเด็กเลี้ยงโคไว้ผม ๕ แหยม เป็นผู้ท่ีมีใจเล่ือมใสศรัทธา ในทางกุศล สร้างส่ิงท่ีเป็นสาธารณประโยชน์ เม่ือตายจึงเกิดเป็นเทพบุตรในช้ันจาตุมหาราชมีชื่อว่า \"ปัญจสิขคนธัพเทพบุตร\" มีมงกุฎ ๕ ยอด มีกายเป็นสีทอง มีกุณฑล มี ๑ พักตร์ ๔ กร ทรงอาภรณ์ไป ด้วยนิลรตั น์ ทรงภษู าสีแดง มีความสามารถในเชิงดดี พิณ และขบั ลานาเปน็ เลิศ จนเป็นท่โี ปรดปรานของ พระสมณโคดมพทุ ธเจา้ ถงึ กับทรงอนุญาตให้เฝ้าไดท้ ุกเวลา ลกั ษณะเศียร สขี าวมงกุฎนา้ เตา้ ๕ ยอด พระปรคนธรรพ์ นัยท่ี ๑ พระปรคนธรรพ นามท่ีแท้จริงว่า \"พระนารท (นา-รด) หรือ พระนารทมุนี\" ซึ่งเป็นคน ธรรพหรือพวกมีภูษณ (ผู้มีกาเนิด) จาพวกหนึ่ง ซ่ึงเข้าพวกเทวดาก็ได้ เข้าพวกมนุษย์ก็ได้ เพราะมีท้ังท่ี อยู่บนสวรรค์ และอยู่โลกมนุษย์ หรืออีกนัยหน่ึงว่ามีโลกต่างหากเรียกว่า\"คนธรรพโลก\" อยู่ระหว่าง สวรรค์กับโลกมนุษย์ มีหน้าที่รักษาโสม ชานาญในการปรุงโอสถ เป็นหมอดูผู้รอบรู้กิจการทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งยังเป็นผู้ชานาญในการขับร้อง และดุริยางคดนตรี เป็นพนักงานขับร้อง และ บรรเลงดนตรีขับกล่อมพระเป็นเจ้า และเทพยนิกร ถือเป็นครูผู้เฒ่าของการขับร้อง และดนตรี ซึ่งเป็นผู้ คิดทาพิณขึ้นเปน็ อันแรก จึงได้นามว่า \" ปรคนธรรพ\" แปลว่ายอดของคนธรรพ บางทีก็เรียกว่า มหาคน ธรรพ, เทพคนธรรพ, คนธรรพราช ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งบุคคลสาคญั ในวงการดนตรีไทย 72 นัยที่ ๒ พระนารทนี้เป็นพรหมฤาษี เป็นประชาบดี และเป็นตนหนึ่งในทศฤาษี (ประชาบดีท้ัง สิบ หรือมหาฤาษีท้ังสิบ) นัยหน่ึงว่าเกิดจากพระนลาฏของพระพรหมา แต่คัมภีร์วิษณุปุราณะกล่าวว่า เป็นโอรสพระกัศยปประชาบดี ด้วยเหตุนี้พระนารทจึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งดุริยางคดนตรีองค์หนึ่ง เรียกว่า \"พระปรคนธรรพเปน็ ยอดของเทพคนธรรพ์ รา่ งกายมขี นวนเป็นขด วนทกั ษิณาวัฏรอบตัว มงกุฎ ชฎายอดฤๅษี หรือยอดกะตาปาสีเขียวใบแค มี ๑ พักตร์ ๒ กร เป็นเทพเจ้าแห่งวิชาการดนตรี ขับร้อง ดดี สี ตี เปา่ โดยยกยอ่ งว่าเปน็ ผทู้ ีป่ ระดิษฐพ์ ณิ ข้ึนมา เทพท้ังสององค์น้ีเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับดนตรีโดยตรง เทพต่อจากน้ีเป็นเทพท่ีมีความ เกี่ยวข้องกับดนตรีน้อยลงแต่ก็ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะการแสดง เศียรเทพเหล่าน้ีก็จะอัญเชิญไว้ใน พธิ ไี หว้ครูเหมอื นกนั เทพที่กลา่ วมานี้ ได้แก่ พระวิสสุกรรม หรือเรียกได้อีกหลายชื่อว่า พระวิศณุกรรม พระวิศวกรรม พระเวสสุกรรม หรือ พระ เพชฉลูกรรม พระวิสสุกรรมเป็นเทวดานายช่างใหญ่ของพระอินทร์ เป็นเจ้าแห่งช่างทุกช่าง รับเท วโองการต่าง ๆจากพระอินทร์ จะ เพ่ือสร้าง อุปกรณ์ สิ่งของ อาคาร ต่าง ๆ มากมาย เป็น ป้ัน หล่อ ก่อสร้าง สาหรับด้านดนตรีเคยมีนิยายเล่าสืบมาว่า ในครั้งหน่ึงเมืองมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะร้อง จะ เล่นแสดงอะไรไมเ่ ป็นระเบยี บ มีถ้อยคา ทีห่ ยาบโลน้ ความถึงพระอินทร์ ต้องสงั่ การใหพ้ ระวษิ ณุใหแ้ ปลง กายเป็น ชายชราลงมาสั่งสอนเด็ก ๆ ชาวเมืองให้รู้จักร้อง รู้จักเล่นให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังดล บันดาลให้เครื่องดนตรีมี ลักษณะถูกต้อง และมีเสียงอันไพเราะ ลักษณะเศียร สีเขียว ทรงมงกุฎน้าเต้า บางตาราว่า หวั โล้น (หรือโผกผ้า) ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรือ่ งบุคคลสาคัญในวงการดนตรีไทย 73 พระฤำษี มีท้ังหมด ๑๐๘ ตน ซึ่งมีชื่อต่าง ๆ กัน ถ้าด้านนาฏศิลป์ไทย, ดนตรีไทย ฤาษีตนน้ันมีช่ือว่า \" พระภรตฤาษี \"(พระภรตมุณี) เป็นผู้ได้รับ เทวโองการจากพระ อิศวร (ศิวะ) ให้นาศิลปการรา่ ยรา ท่าศิว นาฏราช (ท่านาฏยศาสตร์๑๐๘ท่า) มาบงั เกิดในโลกมนษุ ย์ พระคเณศร์(พระพิฆเณศวร) เป็นเทพเจ้าแหง่ ความสาเร็จ ศิลปวิทยาการทั้งปวง มีกายสีแดงสัมฤทธ์ิ ร่างมนุษย์ อ้วนเตี้ย ท้ัง พลุ้ย หูยาน มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว มี ๔ กร มงกุฎทรงเทิดยอดน้าเต้า ทรงหนูเป็นพาหนะ เป็น โอรสของพระอิศวรและพระอุมา ลักษณะเศียร สีแดง มงกฎุ เทดิ น้าเตา้ (ยอ้ นกลับ) พระพริ ำพ (พระไภรวะ) เป็นอสูรเทพบุตร อยู่เชิงเขาอัศกรรณ พระอิศวรเอากาลังพระสมุทร และพระเพลิงแบ่ง ประทาน และทรงกาหนดเขตปา่ ใหอ้ ยู่ ถ้ามสี ัตว์พลัดหลงมาในป่าให้จบั กนิ ได้ มกี ายสมี ว่ งแก่ ๑พักตร์ ๑ กร มีหอกเป็นอาวุธ มูลเหตุที่ศิลปินเคารพบูชาเพราะว่า มีผู้ค้นคว้าไว้ว่า เร่ิมมาจากในประเทศอินเดีย ซ่ึงถือว่า พระพิราพ หรือพระไภรวะนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนาฏศิลป์ เพราะท่านเป็นผู้ให้กาเนิด ท่าราท่ีเรียกว่า \"วิจิตรตาณฑวะ\" ซ่ึงเป็นท่าราท่าหน่ึงใน 108 ท่าราของพระศิวะ(อิศวร) ดังนั้นจึงถือว่า ทา่ นเป็น \"นาฏราช\" ที่หมูน่ าฏศิลป์อินเดียใหค้ วามเคารพเกรงกลัว เพราะถือเป็นเทพที่บันดาลความเป็น ความตายได้ ลักษณะเศยี รโลน้ สมี ว่ งแก่ (พริ าพเดนิ ปา่ ) สวมกระบังหนา้ ปากแสยะ ตาจระเข้ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งบุคคลสาคญั ในวงการดนตรไี ทย 74 บรรดำศกั ดิน์ ักดนตรีไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างย่ิงต่อ วงการดนตรีไทย ในรชั สมัยของพระองคท์ า่ น นบั เป็นยคุ ทองของดนตรีไทย ได้ทรงทานบุ ารุงและสง่ เสริม การดนตรีไทย ตลอดระยะเวลาท่ีทรงครองราชย์นั้น นับได้ว่าดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เน่ืองจาก พระองคท์ รงเป็นนักประพันธ์เพลง นกั ประพนั ธ์บทละครพูด บทละครรา ทรงเป็นนักเสภา และทรงเป็น นักรอ้ งเพลงไทย นักดนตรีไทยท่ีมีช่ือเสียงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงเป็นที่นับถือ อย่างสูงสุดของนักดนตรีไทยในปัจจุบัน ได้แก่ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) พระยา เสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชวี ิน) จางวางทว่ั พาทยโกศล และพระยาภูมีเสวนิ (จติ ร จิตตเสวี) นอกจากนี้ ยังมีนักดนตรีและนักร้อง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์อกี เป็นจานวนประมาณ 60 ตาแหน่ง โดยแบ่งเป็นพระยา 3 ตาแหน่ง พระ 6 ตาแหน่ง หลวง 16 ตาแหน่ง ขุน 13 ตาแหน่ง และ หมนื่ อีกประมาณ 20 ตาแหน่ง มีราชทินนาม เรยี กคล้องจองกนั ตามลาดับบรรดาศกั ดิ์ ดังนี้ ประสานดุริยางศัพท์ ประดับดุริยกิจ ประดิษฐ์ไพเราะ เสนาะดุริยางค์ สาอางดนตรี ศรีวาทิต สิทธิวาทิน พณิ บรรเลงราช พาทยบ์ รรเลงรมย์ ประสมสังคตี ประณีตวรศัพท์ คนธรรมวาที ดนตรีบรรเลง เพลงไพเราะ เพราะสาเนียง เสียงเสนาะกรรณ สรรเพลงสรวง พวงสาเนียงร้อย สร้อยสาเนียงสนธ์ วิมล วังเวง บรรเลงเลิศเลอ บาเรอจิตรจรุง บารุงจิตรเจริญ เพลินเพลิงประเสริฐ เพลิดเพลงประชัน สนั่น บรรเลงกิจ สนิทบรรเลงการ สมานเสียงประจักษ์ สมัครเสียงประจิตร์ วาทิตสรศิลป์ วาทินสรเสียง สาเนียงชั้นเชิง สาเริงชวนชม ภิรมย์เร้าใจ พิไรรมยา วีณาประจินต์ วีณิณประจินต์ วีณินประณีต สังคีต ศัพท์เสนาะ สังเคราะห์ศัพท์สอาง ดุริยางค์เจนจังหวะ ดุริยะเจนใจ ประไพเพลงประสม ประคมเพลง ประสาน ชาญเชิงระนาด ฉลาดฆ้องวง บรรจงทุ้มเลิศ บรรเจิดป่ีเสนาะ ไพเราะเสียงซอ คลอขลุ่ยคล่อง วอ่ งจะเข้รับ ขบั คาหวาน ตนั ตรกิ ารเจนจติ ตันตริกจิ ปรีชา นารทประสานศัพท์ คนธรรมประสทิ ธิสาร นอกจากนี้ยังมีราชทินนามที่ข้ึนต้นด้วย เจน จัด ถนัด ถนอม และลงท้ายด้วยดุริยางค์ คือ เจน ดรุ ิยางค์ จัดดรุ ยิ างค์ ถนัดดรุ ิยางค์ ถนอมดรุ ิยางค์ สมญำนำมของครูดนตรีไทย ครูมนตรี ตรำโมท ไดร้ บั สมญานามว่าเจา้ แห่งเพลงระบา พระประดิษฐไ์ พเรำะ (มี ดุรยิ ำงคก์ รู ) ได้รับสมญานามวา่ เจา้ แหง่ เพลงทยอย หลวงประดิษฐไพเรำะ (ศร ศิลปบรรเลง) ประดิษฐ์วิธีบรรเลงดนตรี \"ทางกรอ\" ข้ึนใหม่ในเพลง\" เขมรเรยี บพระนครสามชัน้ \" เปน็ ผลให้ไดร้ บั พระราชทานเหรยี ญรจุ ิทอง ร.5 และ ร.6 ชอ้ ย สุนทรวำทนิ ครูดนตรผี ู้มีสายตามดื มิดมองไม่เห็น ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏบิ ัตเิ คร่ืองดนตรไี ทย 75 การปฏบิ ตั ิ เครอื่ งดนตรีไทย ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏิบตั เิ คร่อื งดนตรไี ทย 76 หนว่ ยท่ี 1 การปฏิบตั เิ ครอื่ งดนตรไี ทยวงเคร่อื งสาย 1. ขลยุ่ เพียงออ ขลุ่ยเพียงออ เป็นเครื่องดนตรีไทย ประเภทเครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้น ทาจากไม้รวกปล้องยาวๆ ดา้ นหน้าเจาะรูเรียงกัน สาหรับปิดเปิดเพ่ือเปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีล้ินแต่มีดาก ซ่ึงทาด้วยไม้อุดเหลา เป็นท่อนกลมๆยาวประมาณ ๒ น้ิว สอดลงไปอุดท่ีปากของขลุ่ย แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่อง สี่เหล่ียมเล็กๆ เราเรียกว่า ปากนกแก้ว เพ่ือให้ลมส่วนหน่งึ ผ่านเข้าออกทาให้เกิดเสยี งขลุย่ ลมอีกส่วนจะ ว่ิงเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับน้ิวท่ีปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็นเสียงสูงต่าตามต้องการได้ปากนกแก้วลง มาเจาะ ๑ รู เรียกว่า รูน้ิวค้า เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่มือค้าปิดเปิดท่ีรูน้ี บางเลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อ ปลายเลาขลุย่ มีรู ๔ รู เจาะตรงกันข้ามแต่เหล่ือมกันเล็กนอ้ ย ใชส้ าหรับรอ้ ยเชอื กแขวนเก็บหรือคล้องมือ จึงเรียกวา่ รรู ้อยเชอื ก รวมขล่ยุ เลาหนึ่งมี ๑๔ รูดว้ ยกัน รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีเก่าแก่ที่สุดชนิดหน่ึง จากหลักฐานที่พบ ขลุย่ ในหีบศพภรรยาเจ้าเมอื งไทยท่ีริมฝ่งั แม่น้าฮวงเหอ ซ่ึงมีหลกั ฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ากว่า ๒,๐๐๐ ปี ปัจจุบันขลุ่ยมีราคาสูง เน่ืองจากไม้รวกชนิดที่ทาขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทามากจึงใช้วัตถุอ่ืนมาเจาะรู ซ่ึงรวดเร็วกว่า เช่น ไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ ไม้ชิงชัน ไม้พยุง บางคร้ังอาจทาจากท่อพลาสติกแต่คุณภาพเสียง ไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้ ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ยผิวไม้แห้งสนิท ขลุ่ยใช้เป่าในวงเคร่ืองสาย ไทย วงมโหรี และในวงปพี่ าทยไ์ ม้นวม วงปี่พาทยด์ ึกดาบรรพ์ สว่ นประกอบของขลยุ่ - เลาขลุ่ย คือ ตัวขลุ่ย มีขนาดแตกต่างกันไปตามชนิดของขลุ่ย มักนิยมประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ ลง บนตวั ขลุ่ย เช่น ลายดอกพกิ ุล ลายหิน และลายลูกระนาด เป็นต้น ถ้าเป็นขลยุ่ ไม้ไผ่ นิยมจะทาลวดลาย ลงบนเลาขลยุ่ แต่ถา้ เป็นไม้เนื้อแขง็ เช่น ไม้ชงิ ชัน ไม้พยุง ไม้งิ้วดา ฯลฯ จะไมน่ ิยมทาลายลงบนเลาขลุ่ย แต่อาจจะมีการลงรัก ประกอบมุก ประกอบงาแทน - ดาก คอื ไม้อุดปากขลุ่ย นิยมใชใ้ นไมส้ ักทอง เหลากลมใหค้ บั แน่นกับร่องภายในของปากขลยุ่ ฝาน ให้เป็นช่องวา่ ง ลาดเอยี งตลอดชิน้ ดาก ใหเ้ ปา่ ลมผ่านไปได้ - รูเปา่ เปน็ รสู าหรับเป่าลมเข้าไป - รปู ากนกแกว้ เป็นรูท่ีเจาะร่องรับลม จากปลายดากภายในขลุ่ย อยู่ดา้ นเดียวกบั รูเปา่ อยู่สดุ ปลาย ดากพอดี เป็นรูปสี่เหล่ียมผนื ผ้า รปู ากนกแก้วน้ีทาให้เกดิ เสยี ง เทียบไดก้ ับล้นิ ของขล่ยุ - รูเยือ่ เปน็ รูสาหรับปิดวสั ดุท่ีทาให้เสียงส่ันพร้ิว มักใชเ้ ยื่อไม้ไผ่ หรือเยื่อหัวหอมปิด อยู่ดา้ นขวามือ ในปจั จบุ นั หาขลยุ่ ทีม่ รี ูเย่อื ไมค่ อ่ ยได้แล้ว ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏิบตั เิ ครอ่ื งดนตรีไทย 77 - รูค้า หรือรูน้ิวค้า เป็นรูสาหรับให้นิ้วหัวแม่มือปิด เพ่ือบังคับเสียง และประคองเลาขลุ่ยขณะเป่า อยดู่ า้ นลา่ งเลาขลุย่ ต่อจากรูปากนกแกว้ ไปทางปลายเลาขลุ่ย - รูบงั คบั เสยี ง เปน็ รทู ่ีเจาะเรียงอยูด่ า้ นบนของเลาขลุ่ย มีอยู่ ๗ รู ดว้ ยกนั - รูร้อยเชือก มี ๔ รู หรือ ๒ รูก็ได้ อยู่ทางส่วนปลายของเลาขลุ่ย โดยการเจาะทะลุบน-ล่าง และ ซ้าย-ขวา ให้เยอ้ื งกันในแต่ละคู่ ช่างบางคนได้กล่าวไว้ว่า ความจริงจุดประสงคห์ ลักไม่ได้ไว้ร้อยเชือก ที่ จริง ทาเพือ่ ใหเ้ สียงของขล่ยุ ได้ท่นี ัน่ เอง วธิ ีเปา่ ขลยุ่ เพยี งออ ให้เผยอริมฝีปากด้านบนและล่างจรดลงบนรูปากเป่า จัดเลาขลุ่ยให้ต้ังได้มุมประมาณ ๔๕ องศา กับลาตัวโดยทอดแขนไว้ข้างลาตัวพองาม (ไม่กางศอกมากจนเกินไป) เป่าลมให้เหมาะสมไม่เบา และแรงจนเกนิ ไป ท่านั่งเป่าขลุย่ เพยี งออ การเล่นเคร่ืองดนตรไี ทยทุกชนิด นักดนตรีต้องสารวมกริ ิยามารยาทปฏบิ ตั ิให้เรียบรอ้ ย ให้ความ เคารพต่อครูบาอาจารย์ เครื่องดนตรี ผู้ฟัง ตลอดจนนักดนตรีด้วยกันเอง การน่ังเป่าขลุ่ยต้องนั่งตัวตรง เพอื่ ให้ลมเดนิ สะดวก ไมน่ ัง่ กม้ หนา้ ถ้านง่ั กบั พนื้ ควรนงั่ พับเพียบ ทา่ จับขลยุ่ เพยี งออ การจับขล่ยุ แบบไทยโดยประเพณีนิยมมาแต่โบราณจะจับเอามือขวาอยู่ขา้ งบนมือซ้าย(แตถ่ ้า จับแบบสากลนิยมจับเอามือซ้ายไว้ด้านบนมือขวาไว้ด้านล่าง) ซ่ึงสันนิษฐานว่าคนส่วนใหญ่ถนัดมือขวา มากกวา่ มอื ซ้าย วธิ ีจับขลุ่ยเพยี งออ มือบนจับเลาขลุ่ย ๓ รูด้วยนิ้วชี้ น้ิวกลางและน้ิวนาง อยู่ในลักษณะท่ีพร้อมจะปิด-เปิดรู บังคับเสียง (ซ่ึงอยู่ด้านบนของเลาขลุ่ย) เรียงลงมาตามลาดับต้ังแต่รูที่อยู่บนสุดถึงรูท่ีสาม น้ิวหัวแม่มือ ปิดรูค้าด้านหลังไว้ พร้อมทั้งใช้น้ิวก้อยประคองด้านล่างของเลาขลุ่ยไว้มือล่างจับเลาขลุ่ยส่วนล่าง ๔ รู ด้วยน้ิวช้ี นิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วก้อย เรียงลงมาตามลาดับน้ิวหัวแม่มือยันขลุ่ยด้านหลัง จับเลาขลุ่ย ให้แขนสว่ นปลายทัง้ ขวาและซา้ ยไดฉ้ ากกบั เลาขล่ยุ พอประมาณโดยกางข้อศอกพองาม ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ัตเิ ครอ่ื งดนตรไี ทย 78 ลักษณะการวางน้ิว ลักษณะการวางนิ้วของมือซ้ายและมือขวา ให้วางลักษณะขวางกับเลาขลุ่ยโดยนิ้วอยู่เหนือรู บังคับเสียงประมาณ ๑ เซนติเมตรและใช้นิ้วบริเวณผิวหนังส่วนทน่ี ูนใต้ปลายน้ิว เป็นส่วนที่ใช้ปิด-เปิดรู บังคับเสียง การวางนิ้วเพื่อปิดรูบังคับเสียง ต้องพยายามปิดรูให้สนิท มิฉะน้ันจะทาให้สียงขลุ่ยที่เป่า ออกมา ดังผิดเพย้ี นโดยเฉพาะเสยี งโด (ด)เปน็ เสยี งทีเ่ ปา่ ยากท่ีสุด เทคนิคของขลยุ่ เพียงออ ๑.การเป่าเสียงส่ัน ต้องบังคับลมให้ออกมาเป็นช่วงๆ ให้ลมทยอยออกมาถ่ีๆ หรือห่างๆตาม ต้องการท่จี ะทาให้เกิด เสยี งคลา้ ยคลืน่ ตามอารมณข์ องเพลง ๒.การเป่าเสียงรัว หรือการพรมน้ิวทาได้โดยใช้นิ้วเปิดปิดสลับกันถี่ๆ ใช้สอดแทรกเพื่อให้ เพลงเกิดความไพเราะมาก ยงิ่ ขนึ้ ๓.การเป่าเสียงเอื้อน คือการใช้นิ้วค่อยๆเปิดบังคับลมให้เสียงขลุ่ยโรยจากหนักไปเบาหรือ จากเบาไปหนกั ทเี่ สียงใดเสียงหนง่ึ ๔.เสียงโหยหวน หวน ใช้ลมและนิ้วบังคับเพ่ือให้เสียงต่อเนื่องระหว่างสองเสียง เช่นเสียงคู่ สาม ค่หู า้ ซึง่ เปน็ เสยี งท่ีมคี วาม กลมกลนื กันมากเท่ากับเสียงโดกับเสียงซอล เป็นตน้ ๕.การหยุด หรือ การชะงักลม การเป่าขลุ่ยบางจังหวะควรมีการหยุด การเบา การเน้นเสียง บ้าง เพ่อื ให้เพลงเกดิ ความไพเราะมากขน้ึ ๖.เสียงเลียน หรือ เสียงควง คือการทาเสียงโดยใช้น้ิวต่างกันแต่ได้เสียงเดียวกัน ใช้เมื่อ ทานองเพลงช่วงนั้นยาว ทาได้โดยการเป่าเสียงตรงก่อน แล้วจึงเป่าเสียงเลียนและกลับมาเป่าเสียงตรง เม่ือหมดจังหวะการเป่าโดยใช้เสียงตรงและเสียงเลียนนี้จะทาให้เพลงเกิดความไพเราะได้อีกแบบหนึ่ง นอกจาก นย้ี งั มปี ระโยชน์อย่างมากในการเลือกขล่ยุ เพราะขล่ยุ ทด่ี เี สียงตรงกบั เสยี งเลยี นตอ้ งเท่ากนั การรกั ษาขลุ่ย ๑.ก่อนหรือหลังเป่าขลุ่ยควรทาความสะอาดโดยการขดั เช็ดทุกครั้ง แต่ห้ามนาไปลา้ งในอ่างนา้ หรือตากแสงแดดโดยตรง เพราะจะทาให้เกิดการยืดหรืดหดตัวได้ อันเป็นสาเหตุทาให้เสียงขลุ่ย เปล่ยี นไป ควรใช้แอลกอฮอลเ์ ชด็ เพ่ือฆา่ เช้ือบริเวณท่ีเป่าด้วย ๒.อย่าใช้ขลยุ่ รว่ มกบั ผู้อ่ืน เพราะอาจเปน็ แหลง่ แพรเ่ ชื้อได้ ๓.อยา่ ใหต้ กหลน่ เพราะขล่ยุ น้ีทาดว้ ยไม้หรือพลาสตกิ อาจแตกหักได้ ๔.ถา้ ไม่มคี วามร้จู ริงๆ อย่าไปตกแตง่ รขู ลยุ่ เพราะจะทาให้เสยี งเพย้ี นได้ ๕.หลงั การใชค้ วรเกบ็ ใสถ่ งุ ให้เรียบรอ้ ยเพ่ือป้องกันแมลงหรือสตั ว์เล็กๆเขา้ ไปอาศยั ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ัตเิ คร่อื งดนตรไี ทย 79 2. ซออู้ การเทียบเสียงซออู้ ใช้ขลุ่ยเพียงออเป่าเสียง ซอล โดยปิดมือบนและน้ิวค้า เป่าลมกลาง ๆ จะไดเ้ สียง ซอล เพ่ือเทียบเสยี งสายเอก ส่วนสายทุม้ ให้ปดิ มือลา่ งหมด จนถึงน้ิวก้อย เป่าลมเบา กจ็ ะได้ เสยี ง โด ตามต้องการ เพือ่ เทยี บเสียงสายทุ้ม ให้ตรงกับเสียงนนั้ การนง่ั สซี อ น่ังขัดสมาธิบนพื้น หากเป็นสตรใี ห้นั่งพบั เพียบขาขวาทับขาซา้ ย วางกะโหลกซอไว้ บนขาพับด้านซ้าย มือซ้ายจับคันซอให้ตรงกับที่มีเชือกรัดอก ให้ต่ากว่าเชือกรัดอกประมาณ 1 นิ้ว ส่วน มือขวาจบั คันสี-โดยแบ่งคันสอี อกเป็น 5 ส่วน แล้วจับตรง 3 ส่วนให้คนั สพี าดไปบนนิ้วช้ี และนิ้วกลางใน ลักษณะหงายมือ ส่วนนิ้วหัวแม่มือ ใช้กากับคันสีโดยกดลงบนน้ิวชี้ นิ้วนางและน้ิวก้อยให้งอติดกัน เพื่อ ทาหน้าท่ีดนั คันชักออกเมื่อจะสีสายเอก และ ดงึ เขา้ เม่ือจะสสี ายทมุ้ การสีซอ วางคันสีให้ชิดด้านใน ให้อยู่ในลักษณะเตรียมชักออก แล้วลากคันสีออกช้าๆด้วยการ ใช้วิธีสีออก ลากคันสีให้สุด แล้วเปล่ียนเป็นสีเข้าในสายเดียวกัน ทาเรื่อยไปจนกว่าจะคล่อง พอคล่องดี แล้ว ให้เปลี่ยนมาเป็นสีสายเอก โดยดันนิ้วนางกับนิ้วก้อยออกไปเล็กน้อย ซอจะเปลี่ยนเป็นเสียง ซอล ทันที ดงั น้ีคนั สี ออก เขา้ ออก เข้า เสียง โด โด ซอล ซอล ฝึกเรอ่ื ยไปจนเกิดความชานาญ ข้อควรระวัง ต้องวางซอให้ตรง โดยใช้มือซ้ายจับซอให้พอเหมาะ อย่าให้แน่นเกินไป อย่าให้หลวม จนเกินไป ข้อมือที่จับซอต้องทอดลงไปให้พอดี ขณะนั่งสยี ืดอกพอสมควร อย่าให้หลังโกงได้ มอื ที่คีบซอ ใหอ้ อกกาลังพอสมควรอยา่ ให้ซอพลิกไปมา 3. ซอด้วง การเทียบเสียงซอด้วง ใช้ขลุ่ยเพียงออเป่าเสียง ซอล โดยการปิดมือบน และ นิ้วค้า เป่าลม กลาง ๆ ก็จะได้เสียง ซอล ข้ึนสายทุ้มของซอด้วง ให้ตรงกับเสียงซอลนี้ ต่อไปเป็นเสียงสายเอก ใช้ขลุ่ย เป่าเสยี ง เร โดยปดิ นวิ้ ตอ่ ไปอกี 3 นว้ิ เป่าดว้ ยลมแรง กจ็ ะได้ เสียง เร ขนึ้ สายเอกใหต้ รงกับเสยี ง เร น้ี การนั่งสีซอ น่ังพับเพียบบนพ้ืน จับคันซอด้วยมือซ้าย ให้ได้ก่ึงกลางต่ากว่ารัดอกลงมา เล็กน้อย ให้ซอโอนออกกจากตัวนิดหน่อย คันซออยู่ในอุ้งมือซ้าย ตัวกระบอกซอวางไว้บนขา ให้ตัว กระบอกซออยู่ในตาแหน่งข้อพับติดกับลาตัว มือขวาจับคันสีด้วยการแบ่งคันสีให้ได้ 5 ส่วน แล้วจึงจับ ส่วนท่ี 3 ข้างท้าย ให้คันสีพาดไปบนมือนิ้วชี้ น้ิวกลางเป็นส่วนรับคันสี ใช้นิ้วหัวแม่มือกดกระชับไว้ น้ิวนางกับนิ้วก้อยงอไว้ส่วนใน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ในการดันคันสีออกมาหาสายเอก และ ดึงเข้าเม่ือ ตอ้ งการสสี ายท้มุ การสีซอ วางคันสีไว้ด้านใน ให้อยู่ในลักษณะเตรียมชักออก ค่อยๆลากคันสีออกให้เกิดเสียง ซอล จนสดุ คันชกั แลว้ เปล่ียนเป็นสีเข้าในสายเดยี วกัน (ทาเรอ่ื ยไปจนกว่าจะคล่อง) พอซ้อมสายในคลอ่ ง ดแี ล้ว จงึ เปล่ยี นมาสีสายเอกซ่ึงเป็นเสียง เร โดยการใช้นิว้ นางกับน้ิวก้อยมอื ขวา ดันคนั สีออก ปฏบิ ัติจน คลอ่ ง ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏิบัตเิ ครื่องดนตรไี ทย 80 4. จระเข้ การปฏิบัติจะเข้ การปฏิบัตจิ ะเข้ผ้บู รรเลงจาเปน็ ท่ีจะตอ้ งอาศัยความอดทน พากเพยี รในการ ฝึกซ้อมเพ่ือให้สามารถปฏิบัติจะเข้ได้อย่างไพเราะ โดยผู้บรรเลงจะต้องเรียนรู้ถึงเทคนิควิธีต่างๆ เพ่ือ สามารถนาไปใช้ในการปฏิบัติทานองเพลงต่างๆ ได้ ซึ่งการเตรียมความพร้อมก่อนการปฏิบัติจะเข้ จะต้องพิจารณาถึงรายละเอียดในส่วนต่างๆ ได้แก่ การวางจะเข้ การสารวจความพร้อมของจะเข้ ท่านั่ง การพันไม้ดีดและการใช้ไม้ดีด ท่าจับจะเข้ และการเทียบเสียง ซ่ึงในบทความน้ีจะนาเสนอข้อมูลที่ ตอ่ เนื่องจากบทความจะเข้ : การเตรียมความพร้อมก่อนการปฏิบัติ(1) ท่ไี ด้นาเสนอไปแล้วในคราวทผ่ี ่าน มา โดยบทความนจ้ี ะกลา่ วถึงทา่ จับจะเข้ และการเทียบเสียง 1. ท่าจับจะเข้ เมอ่ื พันไม้ดดี เรียบร้อยแล้ว ใหว้ างมอื ซา้ ย และมือขวา ดังนี้ 1.1 มอื ซา้ ยเปน็ มือบงั คับเสียง 1.1.1 ใหม้ อื อยู่ในลกั ษณะหย่งนิ้ว ไม่เหยียดนว้ิ มือตรง 1.1.2 กดด้วยบริเวณท้องนว้ิ ห่างจากปลายนิ้วประมาณ 1 เซนตเิ มตร โดยไม่กาง และไม่ เกรง็ น้ิวอ่นื 1.1.3 กดสายทางดา้ นซา้ ยของนม เพ่ือให้เกดิ เสียงตามต้องการ 1.1.4 ปลายน้ิวหัวแม่มือแตะไว้ท่ีข้างตัวจะเข้เพ่ือประคองไว้และเป็นจุดยันให้มืออยู่ใน ระดบั ทเี่ หมาะสม ไมย่ กข้ึน หรือเลือ่ นมือมากเกนิ ความจาเป็น 1.1.5 การวางน้วิ และการใช้นิ้ว การวางน้ิวและการใช้นิ้วเป็นสงิ่ สาคัญท่ีจะทาใหเ้ ล่นจะเข้ได้ดี และมที ่าทางทีส่ วยงามการ ลงน้ิวจะต้องกดคุ่มๆ บนแต่ละนมตามเสียงท่ตี ้องการปกติจะใช้นิ้ว 3 นิ้ว คือ นิ้วช้ี น้ิวกลาง และนิ้วนาง ส่วนน้ิวหัวแม่มือและน้ิวก้อยนั้น จะใช้ช่วยเม่ือเวลาดีดถ่วงจังหวะ(เสียงทิงนอย) เม่ือเล่นเสียงธรรมดาก็ ใช้แต่ 3 น้ิวกดคุม่ ๆ ดีดให้ไดเ้ สียงท่ีกังวานชัด เมอื่ ต้องการถ่วงจังหวะก็ใชน้ ้ิวหวั แมม่ ือดา้ นมเี ล็บ กดสาย ลวดให้ตรงกับเสียงที่น้ิวช้ีกดในขณะนั้น หากเสียงท่ีเล่นขณะน้ันไปตกที่นิ้วนางก็จะใช้นิ้วก้อยช่วยเมื่อ ต้องการดีดถ่วงจังหวะแตกต่างจากการใช้นิ้วหัวแม่มือตรงท่ีต้องคว่านิ้วลงแล้วใช้หลังเล็บกดสาย แต่ นิ้วกอ้ ยน้นั ใชป้ ลายน้วิ มือกดสายลงไป(นภิ า อภัยวงศ์. 2542 : 42) หลักท่ัวไปของการใช้นิ้วในการบรรเลงจะเข้สาหรับการใช้น้ิวแรกเพ่ือขึ้นต้นเพลงนั้น หาก ทานองของเพลงเริ่มดาเนินทานองจากเสียงต่าไปหาเสยี งสูง ผ้บู รรเลงจะตอ้ งใชน้ ิ้วนางเปน็ นวิ้ แรกในการ เร่ิมต้น หากทานองของเพลงเริ่มดาเนินทานองจากเสียงสูงไปหาเสียงต่า ผู้บรรเลงจะต้องใช้น้ิวช้ีเป็นน้ิว แรกในการเร่ิมต้น(ขาคม พรประสิทธ์.ิ 2548 : 17) ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏิบตั เิ ครอื่ งดนตรีไทย 81 นอกจากนี้ นิภา อภัยวงศ์ (2542 : 42 – 43) ได้กล่าวถึงศัพท์ที่ใช้ในการเรียกการวางน้ิว ลกั ษณะตา่ งๆ ดังน้ี น้ิวเรียง เป็นการใช้น้ิวชี้ กลาง และนาง กดบนนมจะเข้ เมื่อต้องการบรรเลงเสียงที่ ต่อเนือ่ งกนั เช่น ต้องการบรรเลงเสียงบนนมท่ี 1, 2, 3 หรือ นมที่ 7, 6, 5 ตามลาดับ น้ิวเรียงจะใช้ได้ทั้ง ลาดับขึ้นและลาดับลง หากบรรเลงเรียงลาดับข้ึน ก็จะเร่ิมด้วยนิ้วนางก่อนแล้วจึงใช้นิ้วกลางและนิ้วช้ี ตามลาดบั แต่ถ้าเล่นบรรเลงลาดับลงก็จะเริ่มดว้ ยน้วิ ชกี้ อ่ นแลว้ จงึ ใชน้ ิว้ กลางและนว้ิ นางตามลาดั นิ้วข้าม เป็นการใช้นิ้วนาง และนิ้วช้ีในการบรรเลงทานองที่ต้องเล่นข้ามเสียง ไม่ได้ เรียงลาดับกัน เชน่ ต้องการบรรเลงในเสียงนมท่ี 1 และนมท่ี 3 หรือจากนมที่ 5 ไปนมที่ 7 กจ็ ะเร่ิมด้วย การใชน้ ้ิวนางกดลงในเสียงแรก แลว้ จงึ กา้ วนิ้วชี้ไปกดเสียงทสี่ องในการดดี เสียงต่อมา ในทานองเดียวกัน หากเปน็ การไล่เสยี งลง เช่น จากนมที่ 3 ลงมาหานมที่ 1 ก็ต้องเร่ิมดว้ ยการใช้นว้ิ ช้ีก่อน แลว้ จึงตามด้วย การใช้นวิ้ นางในการบรรเลงตามลาดับ ทั้งนี้ เพ่อื เป็นการสะดวกรวดเร็วและดูสวยงามในการใช้น้วิ ในการ บรรเลง น้ิวรุก-น้ิวร่น หลังจากที่ใช้นิ้วเรียงและน้ิวข้ามในการบรรเลงแล้ว หากยังมีเสียงท่ียัง ตอ้ งการบรรเลงอยา่ งตอ่ เนือ่ งอีก ถ้าเป็นการบรรเลงที่ลาดับเสยี งข้นึ จะต้องใช้นวิ้ ช้ีกดเล่นรกุ นิว้ ข้นึ ไปยัง ตาแหนง่ เสยี งที่ตอ้ งการ เช่น การบรรเลงเสียงของนมที่ 1, 2, 3, 4, 5 ติดต่อกัน น้ิวที่ใช้เวลาดีดบนนมที่ 1, 2, 3 จะเป็นนิ้วเรยี ง คอื นว้ิ นาง นวิ้ กลาง และนว้ิ ชี้ ส่วนน้ิวที่กดเวลาดีดบนนมท่ี 4, 5 นั้นจะเป็นน้ิวช้ี ท่ีกดรุกข้ึนไป เรียกว่า “น้ิวรุก” ในทานองที่กลับกัน หากเป็นการบรรเลงลาดับเสียงลง ถ้ามีเสียงท่ียัง ต้องการเล่นต่อไปอีก หลังจากใช้น้ิวเรียงหรือนิ้วขา้ มไปแล้วก็จะใช้นิ้วนางกดลงเล่นเสียงต่อไป คล้ายกับ น้ิวรุก แต่เป็นการบรรเลงร่นลงมาโดยใช้นิ้วนาง ลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า “นิ้วร่น” โดยนิ้วรุกเป็นการใช้ น้ิวชใ้ี นการบรรเลงตอ่ เน่ืองขาขึน้ สว่ นนว้ิ ร่นเปน็ การใชน้ ้ิวนางในการบรรเลงต่อเน่อื งขาลง นิ้วสะบัดขึ้น คือ การใช้น้ิวนาง – กลาง – ช้ี กดเล่นเสียงเรียงกันสามเสียงจากต่าไปหา เสียงสูง เช่น กดนมท่ี 4, 5, 6 และกรีดนิ้วข้ึนจากนมอย่างรวดเร็ว ให้สัมพันธ์กับการใช้ไม้ดีดสะบัดสาม เสยี ง คือ เขา้ ออกเขา้ โดยเร็วเช่นกนั นวิ้ สะบดั ลง คอื การใชน้ ้วิ ช้ี – กลาง- นาง กดเล่นเสยี งเรียงกันสามเสียงจากเสียงสงู ไปหาเสยี ง ต่า เช่น กดนมที่ 6, 5, 4 และกรีดนิ้วขึ้นจากนมอย่างรวดเร็วให้สัมพันธ์กับการใช้ไม้ดีดสะบัดสามเสียง คอื เขา้ ออกเขา้ โดยเรว็ เช่นกัน 1.2 มือขวา เปน็ มอื ทด่ี ดี ใหเ้ กิดเสียง 1.2.1 คว่ามอื ที่พันไม้ดีดอย่างเหมาะสมแล้วในลักษณะตะแคงมอื ออกด้านนอกเล็กน้อย โดยใชส้ น้ มอื ทางดา้ นนวิ้ ก้อยวางเป็นจุดหลกั ในการปฏบิ ตั ิ ตรงจดุ ก่งึ กลางระหวา่ งโตะ๊ กับนมที่ 11 1.2.2 นิ้วหัวแม่มือจะต้องเหยียดตรงและไม่ดันไม้ดีดด้วยการงอนิ้วหัวแม่มือ ส่วนน้ิวที่ เหลอื จะอยู่เรียงชิดกับน้ิวช้ีเพ่อื เป็นหลักหรือกาแพงให้กับน้ิวช้ีได้พัก ในลักษณะเชน่ น้ีไม้ดีดจะอยู่ในแนว ตรงตลอดเวลา (ไมเ่ ขีย่ หรือควักสายระหว่างบรรเลง) ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ัตเิ คร่อื งดนตรีไทย 82 2. การเทียบเสียง จะเข้เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองสาย ฐานเสียงที่เกิดจะเกิดจากการส่ันสะเทือนของสายที่ ถูกดีดแล้วสายไปเสียดสีกับผิวหลังโต๊ะทองเหลือทาให้ได้เสียงที่ใสกังวานและไพเราะ ฉะน้ันควรหนุน สายจะเข้ให้ลอยขึ้นเพ่ือให้สายจะเข้สัมผัสกับหลังโต๊ะเพียงจุดเดียว โดยการเหลาผิวไม้ไผ่เล็กๆ รอง ระหว่างสายกับโต๊ะทองเหลอื งแลว้ ปรับเลือ่ นให้อยใู่ นตาแหนง่ ทีเ่ หมาะสม เนือ่ งจากหลงั โต๊ะทองเหลอื งมี ความโค้งมนเวลาดีดสายก็จะสามารถกระพือได้มากและเสียดสีกับโต๊ะได้ดี ซ่ึงเรียกว่า “กินแหน”(นิภา อภยั วงศ.์ 2542 : 40) ขา้ คม พรประสทิ ธ(ิ์ 2548 : 13) ได้กล่าวถึงการเทยี บเสียงจะเข้ไวด้ ังน้ี สายเอก ตรงกับเสียงโด การเทยี บเสียงตอ้ งเทียบใหเ้ ขา้ กับเสยี งตา่ สดุ ของขลุ่ยเพียงออ โดยปดิ นิ้วท้ังหมด สายทมุ้ ตรงกบั เสยี งซอล(ตา่้ ) การเทียบเสียงตอ้ งเทยี บเสียงตา่ ลงเป็นคสู่ ีข่ องสายเอก สายลวด ตรงกบั เสียงโด(ต้่า) การเทียบเสยี งต้องเทยี บเสียงเดียวกบั สายเอก หากแตใ่ ห้ระดับเสียงตา่ ลงมาเป็นค่แู ปด หากผู้เทียบเสียงจะเข้เป็นผู้หัดใหม่ ไม่สามารถฟังจากเสียงขลุ่ยเพียงออได้ วิธีเทียบเสียงอย่าง ง่ายคือ บิดสายเอกให้อยู่ในระดับเสียงที่พอประมาณ หลังจากนั้นเอาน้ิวช้ีกดนมท่ี 3 ของสายทุ้มเทียบ เสียงสายทุ้มให้เข้ากันกับเสียงสายเปล่าของสายเอก เมื่อได้เสียงที่ถูกต้องแล้วไห้ดีดสายเปล่าของสาย เอกกับสายเปล่าของสายลวดเทียบเสียงให้เข้ากันโดยระมัดระวงั ที่จะบิดสายให้ตึงจนเกินไปจนสายขาด ได้ วิธีเทียบเสียงสายลวดน้ันผู้เทียบเสียงสามารถดีดสายเปล่าสายกลางเทียบกับนมท่ี 4 ของสายลวด และฟังดูให้ได้เสียงทีเ่ ท่ากนั ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ัตเิ ครอ่ื งดนตรีไทย 83 5. ซอสามสาย ซอสามสายเป็นซอท่ีมีความงดงามเปน็ เลศิ มรี ายละเอียดของการประดิษฐ์เคร่ืองดนตรชี นิดนี้อยา่ ง วิจิตรบรรจง แสดงให้เห็นภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมการสร้างเครื่องดนตรีของไทยที่ประณีตมีความลึกซ้ึง ในการออกแบบเพ่อื อรรถประโยชน์ในการบรรเลงและเพื่อความงดงามด้วยตวั เคร่ืองดนตรีเอง ดงั นี้ เทริด เป็นส่วนท่ีอยู่ด้านบนสุดเหนือทวนบน มีลักษณะเหมือนปากลาโพงที่บานออกทางด้น ปลาย ทวนบน เป็นส่วนของคันซอ ทาด้วยไม้แก่นเช่น ไม้พยุง ไม้ชิงชัน ไม้มะเกลือ หรืออาจเป็นไม้ แก่นประดับงาช้างหรือใช้งาช้าง โดยสอดเข้าไปในกระโหลกซอ ทวนด้านบนของกระโหลกซอจะยาว ประมาณ 67 เซนตเิ มตร ลูกบิด ด้านทวนบนจะมีการเจาะรูเป็นโพรงสาหรับสอดลูกบิด 3 ลูก ลูกบิดมีความยาว ประมาณ 14 เซนติเมตร ทวนล่าง ทาด้วยโลหะเป็นเหล็ก เงิน นาค ถมเงิน ถมทอง มุก ฯลฯ นิยมทาเป็นลวดลาย ตา่ งๆเพอ่ื ความสวยงาม พรมบน เปน็ สว่ นทีเ่ ชือ่ มตอ่ ระหว่างทวนลา่ งกบั กระโหลก กระโหลก ทาด้วยกะลามะพร้าวพันธุ์ซอที่มีกะลานูนเป็นกระพุ้งออกมา 3 ปุ่มเรียกว่า “ปุ่ม สามเส้า” คล้ายวงแหวนสามวงวางอยู่ในรูปสามเหล่ียม กะลาท่ีจะนามาทากระโหลกซอสามสายน้ันจะ ผ่าตามขวางใหเ้ หลือสามปุ่มเปน็ รูปดอกจกิ ซึง่ ต่างจากกระโหลกซออู้ท่ีจะผ่าตามยาว ในปัจจุบันมกี ารนา ไม้มาขุดทากระโหลกซอสามสาย และมีการใช้แม่พิมพ์ดัดกะลา เพื่อเป็นการบังคับให้สัดส่วนของกะลา ใหม้ รี ปู ทรงเปน็ พสู ามเสา้ เหมือนธรรมชาติ หนังหน้าซอ นิยมใช้หนังลูกวัว หนังแพะ หนังแกะ หนังสัตว์เหล่าน้ีจะนามาขูดเอาขนออก แล้วนามาทาความสะอาดโดยแช่ในน้าข้ีเถ้าแกลบประมาณ 3 ช่ัวโมงแล้วจึงนาไปแช่ในน้าสะอาดอีก 5 ช่ัวโมง เพ่ือให้หนังคืนตัว มีการยืดหดมากขึ้น จึงจะสามารถนาไปข้ึนหน้าซอได้โดยไม่ขาดและหนังจะมี ความตึงมากเม่ือแห้งสนิทแล้ว หน้าซอสามสายจะมีสองแบบคือหน้าพระและหน้านาง เช่นเดียวกับ หน้าตวั พระตวั นางในการแสดงละคร สาย ใช้ไหมมาควั่นเกลียวมสี ามขนาดเรียงลาดับจากสายเล็กหรอื สายเอกที่อยู่ด้านนอกสุดของ ผ้สู ี สายกลางบ้างกเ็ รียกสายสอง สายใหญ่ท่สี ดุ ทอ่ี ยูด่ ้านในมกั เรยี กวา่ สายสาม หย่อง มีไว้รองรับสายท้ังสามท่ีพาดผ่านหน้าซอเพ่ือให้เกิดความส่ันสะเทือนจากการใช้คันชักสี ไปมาบนสายซอสามสาย ถ่วงหน้ามลี ักษณะเป็นโลหะประดบั ด้วยพลอย โลหะลงยา งาช้างแกะสลกั เป็นรูปวงกลม รูป ไข่ รูปหยดน้า ฯลฯ ติดไว้ที่หน้าซอด้วยคร่ัง วัตถุประสงค์ในการติดถ่วงหน้าน้ีไม่เพียงเป็นการประดับ ประดาเพือ่ ความสวยงามแต่ยังเปน็ การทาใหเ้ สียงซอดังกงั วาน เพราะกระโหลกซอสามสายไมม่ ่ีการเจาะ ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏบิ ัตเิ คร่ืองดนตรีไทย 84 ช่องระบายเสียง ดังนั้นเมื่อไม่มีถ่วงหน้าที่ช่วยเปิดทางให้เสียงดังลอดออกมาเสียงซอสามสายก็จะดังอู้อี้ อยู่ในกระโหลกซอเท่านน้ั หนวดพราหมณ์ เป็นการร้อยสายไหมถักเป็นเกลียวโดยยึดตดิ กับพรมลา่ งไว้สามเส้นเพ่ือใช้ผกู สายซอท้ัง สามเสน้ พรมล่าง เปน็ สว่ นท่ีเช่อื มตอ่ ระหว่างกระโหลกกับพรมล่าง เกลียวเจดยี ์ จะอยูด่ ้านล่างลงมาซึ่งเป็นสว่ นปลายของพรมล่าง คันชัก นิยมทาด้วยไม้แก้ว ไม้พยุง ไม้ชิงชัน ฯลฯ ทาเป็นรูปโค้ง มีปลายงอนยาว ความยาว ประมาณ 86 เซนติเมตร ผกู ตดิ ดว้ ยหางมา้ สขี าวที่มจี านวนประมาณ 250 – 300 เสน้ การประสมวงประเภทต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. วงขบั ไม้ 2. วงมโหรี 3. วงเครือ่ งสายผสม 4.การบรรเลงเด่ียว การใช้นิ้วของซอสามสาย มีลักษณะวิธีน่าสนเท่ห์อยมู่ าก มีชื่อเรียกกันแปลกๆ เช่น เรียกว่า นิ้วชุน นิ้วแอ้ นิ้วนาคสะดุ้ง นิ้วประ น้ิวพรม ฯลฯ การใช้น้ิวแต่ละประเภทล้วนแต่เพิ่มความไพเราะเสนาะโสต ให้แก่ผู้ฟงั ทงั้ สน้ิ ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี น้ิวชุน เป็นน้ิวที่ใช้แทงข้ึนเฉพาะสายเอก ไม่ใช่กดนิ้วลงตามตาแหน่งบนสายเอก การที่น้ิวใช้ แทงข้ึนบนสายเอกนั้นจะทาให้เสียงซอสามสายดงั กังวานหนักแนน่ กว่าที่ใช้นิ้วกดลงบนสาย ซึ่งไม่ควรใช้ เดด็ ขาด อกี ประการหนึ่งนิ้วชุนเป็นนิ้วที่ช้เลื่อนขึ้นเสอ่ื นลงตามสายซอจนกวา่ จะถึงระดับตาแหนง่ เสียงที่ แท้จรงิ ตามตอ้ งการ ครัน้ แล้วกเ็ ปล่ยี นนวิ้ ชนุ ใหเ้ ปน็ น้ิวประหรือนนวิ้ พรมต่อไป น้ิวแอ้ คือใช้น้ิวรูดสายข้ึนไปจากตาแหน่งเสียงเดิมของซอสามสายทาให้เสียงต่ากว่าเดิม คร่ึงเสยี ง และใหเ้ ขา้ หาเสียงทีแ่ ทจ้ รงิ ของตาแหน่งเสยี งในน้วิ ชี้ น้ิวแอ้น้ีใช้เฉพาะน้วิ ชน้ี ว้ิ เดยี วเทา่ นั้น จะ ใช้นิว้ อื่นไม่ได้เดด็ ขาด นิว้ แอ้น้ีตรงกบั นิ้วโอดของป่ี ผู้เล่นซอสามสายจงึ ต้องพยายามหา “เสียงใน” ให้ ตกนิ้วนเี้ ป็นสว่ นมากโดยเฉพาะเพลงเดยี่ ว น้ิวนาคสะดุ้ง เป็นน้ิวท่ีสืบต่อกันมาจากนิ้วชุน คือเป็นลักษณะของการใช้น้ิวสะดุ้ง ประดุจ พญานาคถูกจ้ีที่สะดือ กระแสเสียงของซอท่ีเกิดจากน้ิวนาคสะดุ้งนี้จะทาให้เกิดอารมณ์หวั่นไหวหวาด สะดุ้งแก่ผู้ฟัง เหมือนลักษณะพญานาคสะดุ้งเม่ือเห็นพญาครุฑฉะน้ัน การใช้น้ิวนาคสะดุ้งน้ีมีกฏเกณฑ์ อยู่วา่ จะตอ้ งเปดิ ซอใหเ่ ปน็ เสียงสายเปลา่ หน่งึ ครง้ั เสมอไป ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ัตเิ ครือ่ งดนตรีไทย 85 นิว้ ประน้ิวพรม น้ิวประนิว้ พรมน้ีเรยี กคู่กนั ไป เป็นการทาน้ิวประพรมลงไปบนซอเป็นระยะๆ หรือเป็นห้วงๆ กระแสเสียงจะยืดยาวเท่าไรกี่จังหวะท่ีประพรมนั้นแล้วแต่อัตราของจังหวะหรือคันสีเป็น ตน้ การเทยี บเสยี งซอสามสาย - สายเอก ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง ซอล และใช้ปลายน้ิวแตะท่ีข้างสายโดยใฃ้นิ้วช้ี จะ เป็นเสียง ลา, ใช้นิ้วกลางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียง ที, ใช้น้ิวนางแตะที่ข้างสายจะเป็นเสียงโด, ใช้ นิ้วกอ้ ยแตะทีข่ ้างสายจะเปน็ เสียง เร (เสยี งสงู ) , ใชน้ ิว้ กอ้ ยรดู ที่สายจะเปน็ เสยี ง มี (เสยี งสูง) - สายกลาง ถ้าปล่อยไม่จับสายจะเป็นเสียง เร และใช้นิ้วชี้กดลงบนสายจะเป็นเสียง มี, ใช้ น้วิ กลางกดลงบนสายจะเป็นเสยี ง ฟา, ใชน้ ้วิ นางกดลงบนสายเป็นเสียง ซอล - สายทุ้ม ถ้าปล่อยไม่จบั สายจะเป็นเสียง ลา และใชน้ ิ้วช้ีกดลงท่ีสายจะเปน็ เสียง ที, ใชน้ ว้ิ กลาง กดลงท่สี ายจะเป็นเสียง โด, ใชน้ ้ิวนางกดลงที่สายจะเปน็ เสียง เร ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏิบัตเิ ครื่องดนตรีไทย 86 หนว่ ยที่ 2 การปฏบิ ัติเครื่องดนตรไี ทยวงปพ่ี าทย์ 1. ป่ีใน ปี่ใน เป็นเคร่ืองเป่าท่ีมีลิ้น ผสมอยู่ในวงป่ีพาทย์มา แต่โบราณ ที่เรียกว่า \" ป่ใี น \" กเ็ พราะว่า ปี่ ชนิดน้ี เทียบเสยี งตรงกับระดับเสียงท่ีเรยี กว่า \" เสียงใน \" ซ่งึ เป็นระดับเสียงท่ีวงป่พี าทยไ์ มแ้ ขง็ บรรเลง เป็นพ้นื ฐาน ตัวเลา ทาด้วยไม้ชิงชัน หรือไม้พยุง กลึงให้ป่องกลาง และบานปลายท้ังสองข้าง ภายในเจาะ เป็นรูกลวงตลอดหัวท้าย มีรูสาหรับเปิดปิดนิ้ว 6 รู โดยให้ 4 รูบนเรียงลาดับเท่ากัน เวน้ ห่างพอควรจึง เจาะอีก 2 รู ระหว่างช่องตอนกลางของแต่ละรู จะกรีดเป็นเส้น ประมาณ 3 เส้นเพอ่ื ให้สวยงาม ตอน หัวและตอนท้าย ของเลาป่ีจะมวี สั ดุกลมแบน ทาด้วยยาง หรือไม้มาเสรมิ โดยเฉพาะตอนบนสาหรบั สอด ใส่ลิ้นป่ีเรียกว่า \" ทวนบน \" ส่วนตอนล่างจะใช้ตะกั่วมาต่อ สาหรับลดเล่ือนเสียงเรียกว่า \" ทวนล่าง \" ตัวเลาปี่นอกจากจะทาดว้ ยไม้ แล้วยังพบป่ีซง่ึ ทาดว้ ยหิน เปน็ ของเกา่ แต่โบราณ ลิน้ ป่ปี ระกอบดว้ ย กา้ พวด ทาดว้ ยโลหะ ลักษณะกลมเล็ก เรียว ภายในโปรง่ ข้างหนง่ึ เล็ก ข้างหนงึ่ ใหญ่ ใบตาล ใช้ใบตาลแก่และแกร่ง ตัดซ้อนเป็น 4 ช้ัน หรือ 4 กรีบ ผูกรัดด้วยเชือกในลักษณะ เงื่อน\" ตะกรุดเบ็ด \" ให้ติดกับกาพวดทางด้านเล็ก ส่วน ทางด้านใหญ่จะถักหรือเคียนด้วยเส้นเล็กๆ มี ขนาดพอดีกบั รูป่ีดา้ นบน (รูเป่า) เพื่อสอดใสล่ ิ้นป่ีให้แนน่ หลกั การเปา่ ปี่ ผ้เู ปา่ นง่ั ในท่าพับเพยี บ หรือขัดสมาธิ ลาตวั ตรง จับปใ่ี ห้รบู งั คับเสียงอยู่ดา้ นบน โดยประเพณี นิยมใชม้ ือ อยดู่ ้านบน มือซ้ายอยู่ด้านล่าง และให้น้ิวหัวแม่มือค้าอยู่ ดา้ นใต้เลาป่ีเพื่อให้ปี่อยู่ในตาแหน่ง ทเี่ หมาะสม ใชน้ ว้ิ ชี้ น้ิวกลาง และน้ิวนางของท้ังสองมอื เปิดปิดรบู งั คบั เสียงให้มีเสียงสูงตา่ ตามท่ีต้องการ ส่วนนิ้วก้อยทั้งสอง จะใช้ประคองป่ี แขนท้ังสองข้างยกข้ึนและกางออกพองาม ให้ข้อศอกอยู่ต่ากว่า ระดบั หัวไหล่ ผเู้ ป่าต้องอมลนิ้ ป่ีจนริมฝีปากชิดทวนบน ตะแคงลน้ิ ปี่ 45 องศา การใช้ลมเป่าปี่ ๒ ลกั ษณะ คือ การใช้ลมตรงจากปอด (ทรวงอก) และการใช้ลมท่ีถูกบังคับจากภายในกระพุ้งแก้ม ทั้งน้ีใช้สลับกัน ในลักษณะท่เี รียกวา่ \"ระบายลม \" คอื การสบู ลมจากจมูกไปเกบ็ ไวท้ ่กี ระพุง้ แก้ม แล้วบีบลมจากกระพุ้ง แก้มไปยงั ลน้ิ ในขณะเดยี วกนั ก็สูบลมเข้ามายังกระพุ้งแก้ม ซ่งึ ทาตอ่ เนื่องกัน วิธีเปา่ ป่ี จากหลักการเปา่ ป่ีดงั กลา่ ว ก่อให้เกิดวิธีเปา่ และเสยี งปีท่ ี่เปน็ พื้นฐานดงั นี้ 1. เสียงตือ คอื เสยี งเร 2. เสยี งฮอ คือเสยี งเร (เสียงเดยี วกบั เสยี งที่ 1 แตน่ ิ้วตา่ งกนั 3. เสยี งแฮ คอื เสยี งมี ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏิบัตเิ ครอ่ื งดนตรไี ทย 87 4. เสยี งฮอื ฮอๆ คอื เสยี งซอล-มี 5. เสยี งตอ คอื เสยี งลา 6. เสยี งแต คอื เสยี งที 7. เสยี งออื คือเสียงเรบน (แหบ) 8. เสียงอ๊อื คือเสียงมีบน (แหบ) 9. เสยี งออื คอื เสียงเรบน (แหบ)เหมือนกบั เลข ๗ 10. เสียงตอ คอื เสียงลา (เหมอื นกบั หมายเลข ๕ 11. เสียงตือ คือเสียงซอล (แต่เป็นเสียงบน ท่ีใช้บังคับนิ้วเช่นเดียวกับตือ-เร แต่ใช้ลมดัน ตา่ งกัน 12. เสยี งแต่ คือเสียงฟา 13. เสยี งตอื คอื เสยี งซอล (เหมอื นหมายเลข ๑๑) 14. เสียงตอลอ็ ค คือเสียงลา - (แต่ตา่ งกันเนื่องจากการบงั คับลิ้นป)่ี 15. เสยี งต๋อย คือเสียงลา-เร ในวงป่ีพาทย์ ปี่มีหน้าท่ีเป่าโดยดาเนินทานองถ่ีๆบ้าง โหยหวนเป็นเสียงยาวบ้าง มีวิธีดาเนิน ทานองที่ผูกพันเป็นกลอน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของป่ี ดังท่ีเรียกว่า \" ทางป่ี \" ซึ่งประกอบไปด้วย วิธกี ารเป่าดงั ต่อไปน้ี -- เปา่ เก็บ เปน็ การเป่าดาเนินทานองด้วยพยางคถ์ ่ๆี รว่ มไปกับทานองเพลง ด้วยวธิ ีระบายลม -- เปา่ โหย เปน็ การเปา่ ทานองบางตอนให้มีเสียงยาวๆ โดยลากผา่ นเสียงหนง่ึ ไปยังอกี เสียงหนึง่ -- เป่าตอด เป็นการบังคับเสียงให้เกดิ ความชดั เจน ด้วยการใช้ลิน้ ตอดบริเวณปลายลิน้ ปี่ -- เป่าควงเสียง เป็นการบงั คบั เสยี งที่ตามออกมา ในระดับเสียงเดียวกัน -- เป่าพรม เป็นการเป่าให้มีพยางค์ถ่ีๆ ในเสียง เดียวกัน ด้วยการเปิดปดิ นิ้วเร็วๆ ซ่ึงสามารถทา ได้ 2 อยา่ ง คือ พรมนิว้ เดียว (เกดิ เสยี งคู่ 2) และพรม ๒ นว้ิ (เกิดเสียงคู่สาม) จะเกิดเสียงถี่ รัวจนริก -- เป่าปรบิ เป็นการบงั คบั ลม และนิ้วให้เกิดเสียงสัน่ ในลักษณะสัน้ -- เปา่ ครนั่ เปน็ การทาให้เสียงปส่ี ะดดุ สะเทือน เช่นเดียวกบั การขบั ร้อง นอกจากน้ันปี่ในยงั สามารถเปา่ ล้อเลียนเสียงร้องได้อย่างชัดเจน เช่น เป่าในเพลงฉุยฉาย และ สามารถเปา่ เดย่ี วประกอบการแสดงไดอ้ ยา่ งสนิทสนม ในชุด \" จับนาง \" ด้วยเพลงเชิดนอก ในบันดาเครื่องเป่าด้วยกัน ปใ่ี นเป็นเคร่ืองเป่าท่ีมีความพิศดาร มีความเปน็ พิเศษ ท้ังตัวปี่ และ ตวั ผเู้ ป่า กลา่ วคอื 1. มรี ูเป่า 6 รู แตส่ ามารถเปา่ ได้ถงึ 17 - 21 เสียง 2. มีรเู ป่า 6 รู ที่เรียงระยะไมเ่ ทา่ กัน แต่สามารถเป่าเสียงไดเ้ รยี งกนั มากกว่า 6 เสียงขึน้ ไป ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรีไทย 88 3. มีวิธีเป่าตดิ ต่อกันยาวนานโดยไม่หยุดหายใจ ด้วยวธิ ีระบายลม ซ่ึงไม่เหมือนกับเครื่องใดใด ในโลก ป่ีนอก, ป่ีนอกต่า, ปี่กลาง ท้ังสามชนิด เป็นปี่ท่ีมีลักษณะเช่นเดียวกับป่ีในทุกอย่าง เพียงแต่มี ขนาดและเสียง ตลอดจนวิธกี ารนาไปใช้แตกต่างกนั คอื ปี่นอก มีขนาดเล็กสุด ใช้เป่าในวงปี่พาทย์ชาตรี ในการเล่นโนราห์ หนังตลุง และละคอน ชาตรี ต่อมาได้เข้ามาบรรเลงผสมในวงปพี่ าทย์ไม้แขง็ เครอื่ งคู่และ เครือ่ งใหญ่ โดยเปา่ ควบคไู่ ปกับปีใน มี ระดบั เสยี ง สูงกวา่ ปใี น มวี ธิ เี ป่าคลา้ ยคลึงกบั ปใ่ี น ป่ีนอกต่้า มีขนาดใหญ่กว่าป่ีนอก มีเสียงต่ากว่าปี่นอก จึง เรียกว่า \" ปี่นอกต่า \" เคยใช้เป่า ในวงป่ีพาทย์มอญมาสมัยหนึ่ง ในปัจจุบันมิได้พบเห็นในวงปี่พาทย์ อาจเป็นด้วยหาคนเป่าได้ยาก หรือ ความไม่รู้เท่า ตลอดจนความไม่ปราณีตของผู้บรรเลง ที่ใช้ป่ีมอญเป่าในขณะบรรเลงเพลงไทยในวงปี่ พาทย์มอญ ซ่ึงทาให้อรรถรสของเพลงไทยผิดเพี้ยนไป ต่อมาเมื่อการค้นคว้าหาข้อเปรียบเทียบของปี่ท้ัง 4 ชนิด พบว่าปี่นอกต่าใช้เป่าอยู่ในวง \" ตุ่มโมง \" ประกอบพิธีศพของผู้มีบันดาศักด์ิทางภาคพ้ืนอิสาน ใต้มาแต่เดิม และในการเล่นโนราห์ชาตรีของชาวภาคใต้ในปัจจุบัน พบว่าได้ใช้ป่ีนอกต่าเป่ากันเป็น พ้นื ฐาน สาหรบั วิธกี ารเป่าปน่ี อกต่า เช่นเดยี วกับไปใน และป่ีนอก เพียงแตใ่ ชน้ ้ิวและเสียงทแี่ ตกตา่ งกัน ปี่กลาง เป็นปี่ที่มีสัดส่วนและเสียงอยู่กลางระหว่างปี่นอกกับป่ีใน จึงเรียกป่ีชนิดนี้ว่า \" ป่ี กลาง \"ใช้เป่าประกอบการเล่นหนังใหญ่มาแต่โบราณ ซึ่งเป็นต้นกาเนิดให้เกิดเสียง \" ทางกลาง \" ขึ้น ปจั จุบันไมใ่ คร่ไดพ้ บเห็น มวี ธิ ีการเปา่ เช่นเดยี วกับปน่ี อกและป่ใี น เพียงแตผ่ ดิ กันท่ีนิ้วและระดับเสยี ง 2. ป่ีชวา เป็นเคร่ืองเป่าอีกประเภทหน่ึงที่มีล้ิน ซ่ึงนาแบบอย่างมาจากชวา เข้าใจว่าเข้ามา เมืองไทยใน คราวเดียวกับกลองแขก โดยเฉพาะในการเป่าเพลงประกอบการรา \" กริซ \"ในเพลง \" สะระหม่า \" ใน สมยั กรงุ ศรอี ยุธยาตอนต้น \" ๑ \" พบว่าปช่ี วาใชเ้ ปา่ รว่ มกับกลองในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคและ สถลมาคร นอกจากนน้ั ยงั พบเหน็ ปี่ชวาเป่าประกอบการเล่นกระบ่ี-กระบอง และการชกมวย ในงานศพในสมัยโบราณ ป่ีชวาจะเป่าร่วมวงกับกลองมาลายูที่เรียกว่า \" วงกลองสี่ปี่หน่ึง \" ประโคมเป็นระยะๆ ต่อมาลดกลองมาลายูเหลือ 2 ลูก เรยี กวา่ \" วงบัวลอย \" ซ่งึ เป็นเครื่องประโคมศพ มาอีกระยะหน่ึง ตอ่ มาวงบวั ลอยได้เข้ามาผสมกับวงปีพ่ าทยไ์ มแ้ ข็ง โดยเปลี่ยนแปลงเคร่อื งดนตรีบางช้ิน ในวงป่ีพาทย์ออกเรียกวงนั้นว่า \" ปี่พาทย์นางหงส์ \" ใช้บรรเลงประคมในงานศพมาอีกระยะหนึ่ง (ปัจจุบันปี่พาทย์นางหงส์มิได้พบเหน็ ในงานศพ เพราะนิยมใชว้ งปี่พาทยม์ อญมาแทน) ส่วนประกอบและ ลักษณะของปช่ี วามีดงั น้ี ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏบิ ตั เิ คร่อื งดนตรีไทย 89 ตัวเลา ทาด้วยไม้จริง แบ่งเป็น 2 ท่อนๆแรก เรียกว่า \" เลาป่ี \" กลึงให้กลมเรียวยาว ภายใน โปร่ง ตลอด ตอนโคนกลึงให้ใหญ่ออกเล็กน้อย มีลูกแก้วคั้น ตอนบนของลาปี่ ใต้ลูกแก้วเจาะรู ๗ รู เรยี งลาดับ สาหรบั ปิดเปิด และมี \" รูน้ิวคา้ \" อยู่ด้านหลงั ใกลก้ ับลกู แกว้ อีกท่อนหน่งึ เรียกว่า \" ลาโพงป่ี \" ทาด้วยไม้จริง กลึงให้กลมเรียว ปลายบานเหมือนดอกลาโพง ภายในโปร่ง ตอนกลางกลึงเป็นลูกแก้ว คัน่ ตอนบนจะหุ้มดว้ ยแผน่ โลหะบางๆโดยรอบ สวมรับกบั ตวั ลาป่ีได้พอดี ลนิ้ ป่ี ทาด้วยใบตาลแก่ แกร่ง ตัดพับซอ้ นเป็น 4 กลีบ สอดใส่ในทป่ี ลาย \" กาพวด \" ซงึ่ ทาดว้ ย โลหะกลมเล็กยาว ภายในโปร่ง ผูกด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ด้วยเงื่อนตระกรุดเบ็ด เคียนด้วยด้ายที่โคน กาพวด เพื่อสอดใส่ให้แน่นในรูปี่ เฉพาะลิ้นปี่ชวาจะมี \" กระบังลม \" ซึ่งดาด้วยไม้ หรือกะลา บางกลม สาหรับรองรับริมฝีปากขณะเป่า สาหรับตัวเลาป่ีชวา นอกจากจะทาด้วยไม้แล้ว ยังสามารถทาให้ สวยงามดว้ ยงาทั้งเลา หรือทาด้วยไมป้ ระดับงา วิธีเป่าปี่ชวา ทา่ น่ัง น่ังท่าขัดสมาธิ หรือพับเพียบ ลาตัวตรง โดยประเพณีนิยมใช้มือขวาอยู่บน มือซ้ายอยู่ล่าง ปิด เปดิ รูด้วยนิว้ ทง้ั สองมอื กางแขนพองาม วธิ เี ป่า เป่าด้วยลมในปาก ผ่านล้ิน ด้วยวิธีการใช้ลมตรงจากปอด และเป่าด้วยการเก็บลมจากกระพุ้ง แก้มท่ีเรียกว่า \" ระบายลม \" สามารถเป่าได้ถึง 17-20 เสียงเรียงลาดับจากต่าไปหาสูง ลักษณะของวิธี เป่ามีดงั น้ี 1. เปา่ เก็บ คือการเป่าใหม้ พี ยางคถ์ ๆ่ี ดาเนนิ ติดตอ่ กนั ตลอด 2. เป่าโหย คือการเป่าที่มีเสียงยาวไหลเล่ือนระหว่างเสียงหนึ่งไปอีกเสียงหน่ึงอย่างสนิท สนม 3. เปา่ ตอด คือการเป่าบงั คบั เสียงใหเ้ กิดความชดั เจน ดว้ ยใช้ลนิ้ คนตอดทีป่ ลายลิ้นป่ี 4. เป่าควงเสียง คือการเป่าบังคับใหเ้ สียง ท่ีตามออกมาในระดบั เดยี วกัน โดยใช้นิ้วบังคับ ต่างกัน 5. เปา่ พรม คือการเปา่ ให้มพี ยางค์ถๆ่ี ดว้ ยการขยบั นิ้วทร่ี ูปิดเปดิ เรว็ ๆ 6. เป่าปริบ คอื การเป่าทบ่ี งั คบั ลม และน้วิ ใหเ้ สยี งส่นั ในลักษณะส้ัน 7. เปา่ คร่นั คือการเป่าให้เสียงสะดุด หรือสะเทือน ด้วยการบังคับลมให้สะเทือนมา จากลาคอเช่นเดยี วกับการรอ้ งคร่นั การเปา่ ดาเนินทานองในรปู แบบตา่ งๆ ท่ีเรียกว่า \" ทางปี่ \" ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏิบตั เิ คร่ืองดนตรไี ทย 90 ลกั ษณะการใชล้ ม มี 2 อย่างๆหนึ่ง ใช้ลมตรงจากปอด (ทรวงอก) อีกอย่างหนึ่ง ใช้ลมจากกระพุ้งแก้มในลักษณะ ทเ่ี รยี กวา่ \" ระบายลม \" การเปา่ ปชี่ วาในรูปแบบตา่ งๆ -- เป่าประกอบการเล่นกระบ่ี-กระบอง -- เปา่ ประกอบชกมวย -- เป่าวงบัวลอย -- เปา่ ในวงเครอื่ งสายปี่ชวา 3. ป่ีมอญ เป็นเครื่องเป่าอีกประเภทหนึ่งท่ีมีลิ้น ไทยเราได้แบบอย่างมาจากมอญ ปัจจุบันยังใช้เป่าอยู่ใน วงป่ีพาทย์มอญ มีเสียงดังกังวานมาก เสียงของป่ี \" โหย \" เป็นเสียงท่ีไพเราะเยือกเย็น ระคนเศร้า มี สว่ นประกอบดังนี้ ตัวเลา แบ่งเป็น 2 ท่อนๆหนึ่งเรียกว่า \" ตัวเลา \" ทาด้วยไม้จริง กลึงให้กลมเรียวยาว ภายใน โปร่งตลอด ตอนปลายกลึงผายออกเล็กน้อย ถัดลงมากลึงเป็นลูกแก้วค่ัน สาหรับผูกพันเชือกโยงกับตัว ลาโพง ทีต่ ัวเลาด้านหน้าเจาะรู 7 รู เรียงตามลาดับเพื่อปิดเปิดน้วิ บังคับเสยี ง ด้านหลังตอนบนเจาะ อีก 1 รู เป็น \" รูนิ้วค้า \" อีกท่อนหน่ึงเรียกว่า\"ลาโพง\" ทาด้วยโลหะทองเหลือง ลักษณะคล้ายดอกลาโพง แต่ใหญ่กว่า ปลายผายบานงุ้มขึ้น ตอนกลางและตอนปลายตีเป็นลูกแก้ว ตัวเลาป่ี จะสอดใส่เข้าไปใน ลาโพง โดยมีเชือกเคียนเป็นทักษิณาวัฏ ในเงื่อน \" สับปลาช่อน \" ยดึ ระหว่างลูกแก้วลาโพงป่ีกับลูกแก้ว ตอนบนของเลาปี่ ลิ้นป่ีทาด้วยใบตาลแก่ และแกร่ง มีกาพวด เชอื กกระบงั ลม ลักษณะเช่นเดียวกบั ลน้ิ ปชี่ วา แต่มขี นาด ใหญ่กว่า ทา่ น่ัง นั่งในท่าขัดสมาธิ หรือพับเพียบ ลาคัวตรง มือขวาอยู่บน มือซ้ายอยู่ล่าง ใช้นิ้วท้ังส่ีของมือทั้ง สอง ปดิ เปิดรูบังคบั เสียง เฉพาะน้วิ หัวแมม่ อื ปิดเปดิ รูนว้ิ ค้า วธิ เี ปา่ เนื่องจากลาโพงป่ีใหญ่มีน้าหนักมาก เวลาเป่าให้ลาโพงปี่วางกับพื้นเอียง 45 องศา เสียงปี่จะ กระทบพื้น จึงเป็นส่วนหนึ่งท่ีให้เสียงป่ีมอญดังกังวานมาก วิธีเป่าของป่ีมอญ มีลักษณะคล้ายคลึงกับป่ี ชวาผิดกนั ทเี่ สียงของป่ี สามารถเป่าจากเสยี งตา่ ไปหาสูงได้ เสยี ง มีวธิ เี ป่าดังนี้ 1. เป่าเปน็ เสียงยาวๆ ไลเ่ สยี งเรยี งลาดับ 2. เป่าเกบ็ 3. เปา่ โหย 4. เปา่ ตอด ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏิบัตเิ คร่อื งดนตรไี ทย 91 5. เปา่ ควงเสียง 6. เปา่ พรม 7. เป่าครนั่ 8. เปา่ ปริบ เป่าดาเนินทานอง โดยผสมวิธีดังกล่าวเป็น \" ทางปี่ \" สาหรับลมท่ีใช้เป่าก็เช่นเดียวกับปี่ชวา และป่ีใน คือ ใช้ลม 2 อย่างๆหน่ึงเป็นลมตรงมาจากปอด และอีกอย่างหน่ึงลมท่ีมาจากกระพุ้งแก้ม อัน เน่ืองมาจากการระบายลม 4. ระนาดเอก ระนาดเอกเปน็ เครอื่ งตีชนดิ หน่งึ ทวี่ ิวัฒนาการมาจากกรับ แต่เดิมคงใช้กรบั สองอันตีเป็นจงั หวะ ต่อมาก็เกิดความคิดว่า ถ้าเอากรับหลาย ๆ อันวางเรียงราดลงไป แล้วแก้ไขประดิษฐ์ให้มีขนาดลดหล่ัน กัน แลว้ ทารางรองอุ้มเสียง และใช้เชอื กร้อยไม้กรับขนาดต่าง ๆ กันนน้ั ให้ติดกนั และขึงไวบ้ นรางใชไ้ ม้ตี ให้เกิดเสียง นาตะกั่วผสมกับข้ีผึ้งมาถ่วงเสียงโดยนามาติดหัวท้ายของไม้กรับน้ัน ให้เกิดเสียงไพเราะ ยิ่งข้ึน เรียกไม้กรับที่ประดิษฐ์เป็นขนาดต่างๆกันน้ันว่า ลูกระนาด เรียกลูกระนาดท่ีผูกติดกันเป็นแผ่น เดยี วกันว่า ผืน ระนาดเอกใช้ในงานมงคล เป็นเคร่ืองดนตรีทเ่ี ปน็ มงคลในบ้าน บรรเลงในวงป่ีพาทย์และ วงมโหรี โดยระนาดเอกนี้ทาหนา้ ที่เป็นผ้นู าวงดนตรี ลกั ษณะท่วั ไป สว่ นประกอบของระนาดเอก มี 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ผืน ราง และไมต้ ี - ผืน ประกอบด้วยลูกระนาด ซ่ึงทาด้วย ไม้ชิงชัน หรือไม้แก่น เช่น ไม้ไผ่บง ไม้มะหาด ไม้ พะยูงก็ได้ ผืนระนาดไม้เน้ือแข็ง เสียงจะแกร่ง และดังคมชัดเหมาะสาหรับบรรเลงในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ส่วนผืนระนาดที่ทาจากไม้ไผ่จะให้เสียงท่ีนุ่มนวล เหมาะสาหรับวงปี่พาทย์ไม้นวมและวงป่ีพาทย์ผสม เครื่องสาย ลูกระนาดมีทั้งหมด 21-22 ลูก โดยลูกท่ี 22 มีชื่อเรียกว่า ลูกหลีก หรือ ลูกหลิบ ท่ีท้องของ ลูกระนาดจะคว้านและใช้ข้ีผึ้งผสมกับตะก่ัวถ่วงเพ่ือให้เกิดความแตกต่างระหว่างเสียง โดยเสียงจากผืน ระนาดข้ึนอยกู่ ับส่วนประกอบ 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรก ขึ้นอยู่กบั ขนาดใหญ่-เล็ก ของไม้ที่ใช้ทา ส่วน ที่สอง ข้ึนอยู่กับการคว้านท้องไม้ลูกระนาดว่ามาก-น้อยเพียงใด ส่วนที่สามขึ้นกับปริมาณมาก-น้อยของ ตะกั่วที่ถว่ งใตล้ กู ระนาดแตล่ ะลูก ลกู ระนาดทัง้ หมดจะถูกเจาะรูเพอื่ ร้อยเชือก และแขวนบนรางระนาด - ราง เป็นส่วนท่ีเป็นกล่องเสียงของระนาด ทาให้หน้าท่ีอุ้มเสียง นิยมทาด้วยไม้สักและทา ด้วยน้ามันขัดเงา ปัจจุบันการใช้ระนาดท่ีทาด้วยไม้และทาด้วยน้ามันลดความนิยมลง นักดนตรีนิยมใช้ รางระนาดที่แกะสลักลวดลายไทยและลงรักปิดทองเพื่อความสวยงาม บางโอกาส อาจมีการฝังมุก ประกอบงา ซึ่งราคาก็จะสูงตามไปด้วย จากการรณรงค์พิทักษ์สัตว์ป่าที่มีอยู่ท่ัวไป รางประกอบงาจึง ไม่ได้รับความนิยม รูปร่างระนาดเอกคล้ายเรือบดแต่โคง้ เรียวกวา่ ตรงกลางของส่วนโคง้ มีเท้าท่ใี ชส้ าหรับ ตั้ง เป็นเท้าเดียวคล้ายพานแว่นฟ้า ปลายทั้งสองข้างของส่วนโค้งเรียกว่า โขน จะมีขอสาหรับห้อยผืน ระนาดข้างละ 2 อัน - ไม้ระนาด เป็นส่วนที่เก่ียวข้องกับการให้เกิดเสียงโดยตรง มี 2 ชนิด คือ ไม้แข็ง และไม้นวม ไม้แขง็ พันด้วยผ้าอยา่ งแนน่ และชมุ ด้วยรักจนเกดิ ความแขง็ เวลาตจี ะมีเสียงดงั และคมชัด เหมาะกบั วงปี่ ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ตั เิ คร่อื งดนตรีไทย 92 พาทย์ไม้แข็ง วงป่ีพาทย์มอญ และวงปี่พาทย์นางหงส์ ส่วนไม้นวม เป็นไม้ตีระนาดที่พันจากผ้า และใช้ ด้ายรัดหลาย ๆ รอบเพ่ือความสวยงาม มีเสียงนุ่มนวล บรรเลงในวงป่ีพาทย์ไม้นวม วงมโหรี วงป่ีพาทย์ ผสมเครื่องสาย และวงปพี่ าทย์ดึกดาบรรพ์ ขนาดของระนาดเอก ลูกต้นมีขนาด 39 ซม กว้างราว 5 ซม และหนา 1.5 ซม มีขนาดลดหล่ัน ลงไปจนถึงลูกที่ 21 หรอื ลูกยอดท่ีมขี นาด 29 ซม เมอ่ื นาผนื ระนาด มาแขวนบนรางแล้ว หากวัดจากโขน หัวรางขา้ งหน่ึงไปยงั โขนหัวรางอีกขา้ งหน่งึ จะมีความยาวประมาณ 120 ซม การฝกึ หัดบรรเลง 1. ท่านั่ง ท่าน่ังท่ีนิยมในการบรรเลงระนาดเอกมี 2 ลักษณะ คือ การนั่งขัดสมาธิ และน่ังพับ เพียบ โดยท่าน่ังแบบขัดสมาธิถือเป็นท่าน่ังที่เหมาะสมสาหรับการบรรเลงระนาดเอกมากที่สุด เพราะ เป็นท่าน่ังที่มีความเป็นธรรมชาติ มีความสะดวก ผ่อนคลาย ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบรรเลงได้ดี ท่สี ุด 2. การจับไม้ ให้ก้านของไม้ระนาดอยู่ในร่องของอุ้งมือ นิ้วทุกน้ิวช่วยควบคุมการจับไม้ มือท้ัง สองคว่าลง ข้อศอกทามุมฉาก ตาแหน่งแขนซ้ายและขวาขนานกัน ตาแหน่งของนิ้วอาจแตกต่างกันบ้าง แบง่ ออกเปน็ 3 ลักษณะ คือ 2.1 การจับแบบปากกา ตาแหน่งของน้ิวช้ีอยู่บนไม้ระนาด การเร่ิมฝึกหัดระนาดเอกควร ฝึกหัดโดยลักษณะน้ี ซึ่งนอกจากมีความงดงามแล้วยังมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงในการสร้าง เสยี ง 2.2 การจับแบบปากไก่ ตาแหน่งของน้ิวชี้จะตกไปอยู่ด้านตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือ ก้านของ ไม้ระนาดอยูใ่ นตาแหนง่ กงึ่ กลางระหวา่ งปลายน้วิ กับข้อบนของน้วิ 2.3 การจับแบบปากนกแกว้ ตาแหนง่ ของก้านไมร้ ะนาดอยใู่ นตาแหน่งเส้นข้อนว้ิ ของข้อบน ต้าแหน่งของเสียง เม่ือเปรียบเทียบระนาดเอกกับเครื่องดนตรีไทยชนิดอ่ืน ระนาดเอกเป็น เคร่ืองดนตรีที่มีระดับเสียงมากที่สุด โดยมีจานวน 21-22 ระดบั เสียง ความท่ีมีจานวนระดับเสียงถึง 22 เสียง ทาให้มีความกว้างของระดับเสียงครอบคลุมถึง 3 ช่วงทบเสียง ส่งผลให้การเดินทานองของเสียง เป็นไปอยา่ งไม่ซ้าซากจาเจอยู่ที่ชว่ งระดับเสียงใดเสียงหนึ่ง หลักการตรี ะนาด หลกั ปฏบิ ตั ิท่ัวไป 1. ตตี รงกลางลกู ระนาด 2. การเคล่ือนของมือ โดยท่ีมือซ้ายและมือขวาต้องอยู่ในแนวขนานกัน ตาแหน่งของหัวไม้อยู่ กงึ่ กลางลกู ระนาด และเอียงตามทศิ ทางของผนื ระนาด ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองการปฏบิ ตั เิ คร่ืองดนตรีไทย 93 3. การยกไม้ เสยี งของระนาดเอกจะดงั มากหรือน้อย ขึ้นอยกู่ ับพลังในการตี ควรยกไม้ระนาดให้ สงู จากผืนระนาดประมาณ 6 นิ้วสาหรบั ตีฉาก และ 2 น้ิวสาหรับตีสมิ 4. น้าหนกั มือ ตอ้ งลงน้าหนกั ของมือซา้ ยและมอื ขวาให้เทา่ กนั 5. ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้ม น้ันเป็นเครื่องดนตรีที่ถูกสร้างข้ึน ร.3 (รัชกาลท่ี 3) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยหู่ ัว ซึง่ เป็นการสรา้ งเลียนแบบระนาดเอก ใช้ไมช้ นดิ เดยี วกันกับระนาดเอกหรอื ไมไ้ ผ่ ลูกระนาดทุ้ม มีจานวนน้ันมีจานวนท้ังหมด 17 ลูก รางระนาดทุ้มน้ันถูกประดิษฐ์ให้มีรูปร่างคล้ายหีบไม้ แต่เว้าตรง กลางให้โค้ง โขนปิดหัวท้ายเพ่ือเป็นท่ีแขวนผืนระนาดน้ัน ถ้าหากวัดจากโขนด้านหน่ึงไปยังโขนอีกด้าน หนง่ึ มเี ทา้ เตี้ยรองไว้ 4 มมุ ราง หนา้ ทีใ่ นวงของระนาดทุ้มนนั้ ทาหน้าท่ีเดินทานองรอง ในทางของตนเองซึง่ จะมจี งั หวะโยน ล้อ ขัด ทที่ าให้เกดิ ความไพเราะและเติมเตม็ ชอ่ งวา่ งของเสยี ง อันเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ของระนาดทุ้ม 6. ฆอ้ งวงใหญ่ ฆ้องวงใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่วิวัฒนาการมาจากฆ้องรางของอินโดนีเซีย สันนิษฐาน ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนประกอบของฆ้องวงใหญ่ประกอบด้วยลูกฆ้องและวงฆ้อง ลูก ฆ้องมี 16 ลูกทาจากทองเหลือง เรียงจากลูกเล็กด้านขวา วงฆ้องสูงประมาณ 24 เซนติเมตร ใช้หวายโป่งทาเป็นราง ให้หวายเส้นนอกกับเส้นในห่างกนั 14-17 เซนติเมตร ใช้หวาย 4 อัน ดา้ นลา่ ง 2 อนั ขดเปน็ วงขนานกัน เวน้ ที่ไว้ให้นักดนตรเี ขา้ ไปบรรเลง ฆ้องวงใหญ่เป็นเคร่ืองดนตรีที่สาคัญที่สุด เพราะคนท่ีจะเล่นดนตรีในวงปี่พาทย์ต้อง มาเรยี นฆอ้ งวงใหญ่ก่อน ฆอ้ งวงใหญ่ทาหน้าท่เี ดนิ ทานองหลกั ซง่ึ ถือเป็นแม่บทของเพลง ฆ้องวงใหญ่ใชเ้ ลน่ ในวงปพ่ี าทย์ วงปพ่ี าทย์นางหงส์ และวงมโหรี ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องการปฏิบตั เิ ครือ่ งดนตรีไทย 94 ทางเพลงกบั เสยี งฆอ้ งวงใหญ่ ทางที่ 1 ทางในลด หรือทางเพียงออล่าง เสียงโดอยู่ท่ีฆอ้ งลกู ที่ 3 และ 10 ซ่งึ ฆอ้ งลกู ที่ 10 น้ีมี ช่ือวา่ ลกู เพียงออ จึงเรยี กว่าทางเพยี งออ ทางที่ 2 ทางใน เรยี กตามชอ่ื ปใ่ี น ที่ใช้ประกอบในเสียงน้ี เสียงโดอย่ทู ฆี่ ้องลกู ท่ี 4 และ 11 ทางที่ 3 ทางกลาง เรียกตามชื่อป่กี ลาง ท่ีใชป้ ระกอบในเสียงน้ี เสยี งโดอยู่ที่ฆ้องลกู ท่ี 5 และ 12 ทางที่ 4 ทางนอกต้่า หรือทางเพียงออบน หรือทางมโหรี เรียกตามช่ือ ขลุ่ยเพียงออ หรือ ปี่ นอกต่า ทีใ่ ช้ประกอบในเสียงน้ี ซึ่งทางนีเ้ ปน็ ทางของมโหรแี ละเคร่ืองสาย เสียงโดอยทู่ ี่ฆอ้ งลกู ท่ี 6 และ 13 ทางที่ 5 ทางนอก หรอื ทางกรวด หรือทางเสภา หรอื ทางไม้แข็ง เรียกตามชื่อ ป่ีนอก หรือ ขลุ่ย กรวด ทใี่ ช้ประกอบในเสียงน้ี และทางน้ียังใช้บรรเลงประกอบกับเสภา เสียงโดอยู่ท่ฆี อ้ งลูกท่ี 7 และ 14 ทางท่ี 6 ทางแหบหรือทางกลางแหบ เรียกตามการเป่าของ ป่ีกลาง ท่ีต้องเป่าเป็นทางแหบ เสียงโดอยูท่ ฆ่ี ้องลกู ท่ี 1, 8 และ 15 ทางที่ 7 ทางชวา เรียกตามช่ือ ปี่ชวา ท่ีใช้ประกอบในเสียงนี้ และทางนี้ยังใช้ประกอบการ บรรเลงท่ีผสมป่ชี วา เสียงโดอยูท่ ่ฆี ้องลกู ที่ 2, 9 และ 16” ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งจงั หวะ และหนา้ ทับเพลงไทย 96 จังหวะ และหน้าทับเพลงไทย ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย
วิชาเอกดนตรีไทย เร่อื งจังหวะ และหนา้ ทับเพลงไทย 97 จังหวะ ความหมายของคาวา่ \"จังหวะ\" คาว่า “จังหวะ” หมายถึง ระยะที่สม่าเสมอ เช่น หัวใจเห็นเป็นจังหวะ ระยะท่ีกาหนดไว้เป็น ตอน ๆ เช่น เพลงจังหวะช้า จังหวะเร็ว พูดเป็นจังหวะ โดยปริยายหมายความว่า โอกาสอันควร เช่น เจา้ นายกาลงั โกรธ ไม่มจี งั หวะจะเข้าพบ (พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน, พ.ศ. 2552 : 126) บุญธรรม ตราโมท (2545 : 50) ได้อธิบายเร่ืองของจังหวะและหน้าทับ ไว้ในหนังสือดุริยางค ศาสตร์ไทยภาควชิ าการไว้ว่า \"จังหวะ\" คานี้ต้องแยกออกเป็น 3 หัวขอ้ คือ จังหวะทั่วไป จังหวะฉิ่ง และ จงั หวะหน้าทบั 1) จังหวะทั่วไป หมายถึง ส่วนย่อยของบทเพลงซึ่งดาเนินไปโดยเวลาอันสม่าเสมอ ส่วนย่อยท่ีแบ่งออกจากบทเพลงน้ี อาจกระจายส่วนลงไปได้ไมม่ ีทสี่ ุด แต่ต้องอยู่ในบังคับว่า ส่วนท่สี ้ันลง ไปน้ันจะต้องแบ่งดว้ ย 2 หาร (เฉพาะดุริยางค์ไทย) และเมื่อสว่ นย่อยนั้นส้ันลงเท่าใด กต็ ้องมีจานวนมาก ขน้ึ เปน็ 2 คณู 2) จงั หวะฉิ่ง หมายถึง จงั หวะที่เดินไปตามจังหวะทวั่ ไป ฉง่ิ ใช้ตีสลบั ไปมา โดยมากใช้ “ฉ่งิ ” ตีทีหน่ึง สลับกับ “ฉับ” ตีทีหน่ึง ฉ่ิงเป็นจังหวะเบา และฉับเป็นจังหวะหนัก โดยคงต้องเป็นตามจังหวะ ท่ัวไปเสมอ 3) จังหวะหน้าทับ หมายถึง การถือหน้าทับเป็นเกณฑ์นับจังหวะ หมายความว่า เมื่อหน้า ทบั ได้ตีไปจบ 1 เท่ยี ว ก็ให้นับเป็น 1 จงั หวะหนา้ ทบั โดยมากใช้แตห่ นา้ ทับทเ่ี ป็นประเภทหน้าทบั ปรบ ไก่ หรอื หน้าทับสองไม้ และอตั ราจงั หวะ 3 ช้ัน หรอื 2 ช้นั หรือชนั้ เดียวเท่านั้น ส่วนเพลงที่มหี น้าทบั ยาว ๆ มิได้ถือเอาหน้าทับที่ประจา เพลงน้ันมาเป็นเกณฑ์กาหนดนับ คงต้องกาหนดเอาด้วยหน้าทับปรบไก่ หรือสองไม้ ในอัตราจงั หวะท่ี กล่าวมา เป็นเกณฑ์นบั จังหวะ เช่น เพลงตระนิมิต (2 ช้ัน) หน้าทบั ประจา เพลงจะต้องตีหน้าทับพิเศษ โดยหน้าทับพิเศษน้ีอนุโลมให้เรียกช่ือตามเพลงน้ัน ๆ ได้ จึงเป็น “หน้าทับ ตระ” ซง่ึ มีความยาวเทา่ กับทานองเพลง เม่ือบรรเลงย่อมจะตอ้ งจบพรอ้ มกัน ฉะน้นั เพอ่ื ตรวจใหท้ ราบว่า มีจังหวะก็ต้องใช้หน้าทับปรบไก่ 2 ชั้น เข้า ตรวจสอบ จึงได้ 8 เที่ยว เป็นอันว่า เพลงตระนิมิต นี้ มี 4 จังหวะหน้าทบั (ปรบไก)่ หรอื 2 หนา้ ทับพเิ ศษ (หน้าทบั ตระนมิ ิต) หนา้ ทบั ตะโพน หน้าทับ หมายถึง วิธีการตีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนัง (กลอง) ท่ีมีรูปแบบและแบบแผน ตามหลักการและหลกั เกณฑ์ ซ่ึงบรมครทู างดนตรีไทยไดว้ างรากฐานไว้อย่างครบถ้วนถูกต้อง โดยแต่เดิม นั้น ได้แบ่งหน้าทับออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทท่ี 1 เป็นประเภท บังคับอัตราจังหวะหน้าทับ ที่ เรียกกันว่า \"หน้าทับปรบไก่\" และ ประเภทที่ 2 เป็นประเภทที่ ไม่บังคับอัตราจังหวะหน้าทับ ท่ีเรียกว่า ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย
วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งจงั หวะ และหน้าทับเพลงไทย 98 \"หน้าทับสองไม้\" แต่ต่อมามีการพัฒนาในเรื่องหน้าทับที่ใช้กากับเพลง ให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ในตัว ของหนา้ ทบั ดังนนั้ หน้าทบั จงึ ถกู แบง่ ประเภทของหน้าทับ ออกเป็น 3 ประเภท ดังน้ี คือ 1. หนา้ ทับพ้ืนฐาน (ไดแ้ ก่ หน้าทับปรบไก่ และหน้าทบั สองไม้) 2 หนา้ ทับพิเศษ 3. หน้าทบั เฉพาะ หนา้ ทับพ้ืนฐาน หน้าทับพื้นฐาน หมายถึง หน้าทับท่ีประดิษฐ์ขึ้นมาจากพื้นฐานของเพลงพ้ืนบ้านโบราณ เพลง ปรบไก่ ที่มีคาร้องว่า “ฉ่า ฉ่า ฉ่า ช้า ชะฉ่า ไฮ้” นามาแปลงเป็นหน้าทับของตะโพนชื่อ “หน้าทับปรบ ไก่” โดยมี ลักษณะการตีหน้าทับดังน้ี “พลึง ปะ ตุ๊บ พลึง พลึง ตุ๊บ พลึง” โดยเป็นหน้าทับท่ี “บังคับ อัตราจังหวะหน้าทับ และเพลงพื้นบ้านอีกแบบหนึ่งที่มีการด้นคา ท่ีเรียกว่า “ด้นสองไม้” ของโบราณ นามาแปลงเป็นหน้าทับของ ตะโพนช่ือ “หน้าทับสองไม้” โดยมีลักษณะการตีหน้าทับดังนี้ “ตุ๊บ พลัง พลัง พลึง” เป็นหน้าทับท่ี “ไม่บังคับ อัตราจังหวะหน้าทับ” ซ่ึงท้ัง 2 หน้าทับนี้ถือได้ว่าเป็นพ้ืนฐานของ หน้าทับในคร้ังแรก ๆ ของไทย จึงสมควรเรียก หน้าทับท้ัง 2 หน้าทับ น้ีว่า “หน้าทับพ้ืนฐาน” โดยแต่ เดิมมแี ตอ่ ตั ราจังหวะหน้าทบั 2 ช้ัน และชัน้ เดยี วเท่าน้ัน หนา้ ทับพืน้ ฐาน (แบบบงั คบั อัตราจงั หวะหนา้ ทับ) หมายเหตุ หน้าทับปรบไก่ ท่ีตีโดยตะโพนน้ัน ไม่มีหน้าทับ 3 ช้ัน มาต้ังแต่สมัยสุโขทัย จนถึง สมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ต่อมาในรัชกาลท่ี 3 เกิดเพลงอัตราจังหวะ 3 ชั้นข้ึนมา และได้พัฒนาต่อมา เป็นเพลงเถา ตะโพนมิให้ถูก นามากากับจังหวะหน้าทันในเพลง 3 ชั้น และเพลงเถา แต่จะใช้ “กลอง สองหน้า และ กลองแขก” ตีหน้าทับ ปรบไก่และหน้าทับสองไม้แทน โดยบรมครูทางด้านดนตรีไทยได้ ประดิษฐ์หน้าทับปรบไก่ และหน้าทับสองไม้ ท่ี ใช้กับกลองสองหน้า และกลองแขก ข้ึนมาใหม่เพ่ือใช้ แทนตะโพน ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรีไทย เรอื่ งจังหวะ และหนา้ ทับเพลงไทย 99 หน้าทับพ้ืนฐาน (แบบไม่บังคับอตั ราจงั หวะหน้าทบั ) หน้าทับสองไม้ 2 ช้นั ของตะโพน ทใ่ี ชก้ ากับเพลงต่างๆ สามารถแบง่ ออกได้เปน็ 3 กลมุ่ หมายเหตุ หน้าทับสองไม้ ท่ีใช้กากับในเพลงเร่ือง ห้องแรกสามารถตีเสียงสลับได้ เป็นเสียง เท่ง สลับ กับ ตงิ หนา้ ทบั กลองแขก หน้าท่ีของกลองแขก คือ การตีควบคุมแนวเพลงและตรวจวัดความถกู ต้อง อีกท้ังสร้างอรรถรส ให้เกิดขึ้นกับเพลง ซึ่งทั้งหมดน้ีจะอยู่ในเรื่องของการตีท่ีมีหน้าทับกากับเพลง โดยจะแบ่งประเภทของ หน้าทับ ไดป้ ระเภทคอื 1) หน้าทบั พนื้ ฐาน (หน้าทบั ปรบไก่และหน้าทบั สองไม)้ 2) หนา้ ทับพเิ ศษ 3) หน้าทับเฉพาะ กลองแขกเข้ามาในสมัยอยธุ ยาตอนปลาย พ.ศ. 2275 ตรงกบั สมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั บรม โกษฐ์โดยเพลงและหน้าทับน้ัน ชาวสยามประเทศเรียกชื่อตามจังหวะหน้าทับที่ได้รับมาว่า\"สะระหม่า\" และเป็นการให้เกียรติต่อวัฒนธรรมที่ได้รับเอาแบบแผนมาจึงเรียกหน้าทับนี้ว่า\"สะระหม่าแขก\" ซ่ึงเป็น จงั หวะ หน้าทับทีไมม่ ใี ช้ในสยามประเทศ เพราะเป็นจังหวะหนา้ ทับที่ไม่เปน็ จังหวะคู่ตามแผนของจงั หวะ หน้าทับของชาวสยาม แต่กลับเป็นจังหวะหน้าทับท่ีเป็น \"จังหวะคี\" คือลงจังหวะที่จังหวะท่ี 3 ถึงจะ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย
วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอื่ งจังหวะ และหน้าทับเพลงไทย 100 นบั เป็นหนง่ึ หน้าทับ ซึ่งเมื่อทาการศึกษาค้นควา้ แลว้ จะตรงกับคาว่า \"อนิพัท\" ของภาษาไทย ซ่ึงแปลว่า \"ไม่สม่าเสมอ\" โดยจังหวะในลักษณะน้ีจะพบในพิธกี รรมของศาสนาพราหมณ์ (ฮนิ ดู) ในดนตรีพิธีกรรมที่ นชาพระเขี้ยวแก้ว ในประเทศ ศรีลังกาและอินเดีย แสดงวา่ ชวาได้รบั อิทธิพลดนตรีน้ีมาจากอินเดยี และ ศรีลังกา โดยนามาใชก้ บั การแสดงรากรชิ ของชาวชวา ตอ่ มาสยามจงึ ได้รับวัฒนธรรมมาอกี ต่อหนงึ่ ต่อมาได้นาวงป่ีชวากลองแขก มาใช้แทนวงปี่ชวากลองมลายู ซึ่งแต่เติมวงป่ีชวากลองมลายูใช้ ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ มาแต่โบราณ เม่ือได้รับวงปี่ชวากลองแขกเข้ามาในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย จงึ ได้นาวงปี่ชวากลองมลายูไปใชใ้ นงานพระบรมศพและพระศพจา้ นาย แลว้ นาวงป่ชี วากลอง แขกมาใช้แทนวงปี่ชวากลองมลายู ในงานพระราชพิชีต่าง ๆ ท้ังทางสถลมารค และทางชลมารค ซึ่งมี หลักฐานอ้างอิงของกรมพระยาดารงราชานุภาพ ในเร่ืองตานานกลองแขก โดยวงป่ีชวากลองแขก ได้ พัฒนาหน้าทับจากหน้าทับสะระหม่าแขก มาเป็นหน้าทับสะระหม่าไทย หรือสะระหม่าใหญ่ ของสยาม ประเทศในภายหลัง โดยอ้างอิงจากหลักฐานการอัญเชิญพระแก้วมรกตเข้ามาประดิษฐานในกรุงธนบุรี ณ วดั อรณุ ราชวราราม ในสมัยของพระเจา้ ตากสินมหาราช และกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วัตพระแก้ว ในสมัย ของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ด้วยกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค พ.ศ. 2325 โดย หน้าทับสะระหม่าใหญ่ หรือสะระหม่าไทย น้ัน ในสมัยกรุงธนบุรีมีหน้าทับสะระหม่าใหญ่ก่ีไม้น้ัน ไม่ ปรากฏหลักฐาน มาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์มีปรากฎอยู่ประมาณ 9 ไม้ (ข้อมูลจากรศ.สหวัฒน์ ปลื้ม ปรีชา ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมากจากครูพร้ิง ดนตรีรส และครูพร้ิง กาญจนผลิน และได้อธิบายไว้ว่า ใน สมัยกรงุ รัตนโกสินทรต์ อนต้นมีไม้กลองสะระหม่าใหญ่ถงึ 20 ไมก้ ลอง) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 9 มีการใช้ ไม้กลองเพลงสะระหม่าใหญ่ ในกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เพียง 3 ไม้ คือ ไม้ต้น ไม่โปรย ไม้ แดก เทา่ น้ัน ในสมัยรัชกาลท่ี 2 เกิดกลองสองหน้าข้ึนในวงป่ีพาทย์เสภา เพลงที่ใช้ก็ยังคงเป็นเพลงสองชั้น และชั้นเดยี ว ไม่มหี ลกั ฐานใดกล่าวถงึ กลองแขกวา่ ไดม้ ีการนามาใชใ้ นสมัยนดี้ ้วย ในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดเพลงสามช้ัน โดยพระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก) ก็ไม่มีหลักฐานใด กล่าวถงึ กลองแขก วา่ ได้มกี ารนามาใชร้ วมวงหรือไม่ ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีหลักฐานอ้างองิ วา่ ได้มีการนาวงปชี วากลองแขกมารวมวงกับวงเคร่ืองสาย และเรียกช่อื วงน้ีวา่ \"วงกลองแขกเครอ่ื งใหญ\"่ ซ่งึ ตอ่ มาเรียกชื่อวา่ \"วงเคร่ืองสายปีชวา\" จนถึงปจั จุบนั น้ี ในเรื่องของหน้าทับท่ีกลองแขกจะใช้ตีกากับเพลงต่าง ๆ ทวี่ งกลองแขกเคร่ืองใหญ่บรรเลงนัน้ ก็ ต้องยึด รปู แบบและวิธีเล่นจากวงเครื่องสาย ว่าเล่นเพลงอะไรเป็นหลัก ดังน้ันสามารถสันนิษฐานไดจ้ าก เพลงที่บรรเลงในวงเคร่ืองสาย ซึ่งหนา้ ทับทีใ่ ช้กากับเพลงคงต้องเป็นหน้าทับปรบไก่ และหน้าทับสองไม้ เป็นหลัก ซ่ึงสาเหตุตรงน้ีจะเห็นได้ว่า กลองแขกน้ันแต่เติมในสมัยอยุธยาตอนปลายมีหน้าทับสะระหม่า แขก ท่ีได้รับมาจากชวา ต่อมาในรัชกาลที่ 1 ได้มีหน้าทับสะระหม่าไทย เม่ือมาในรัชกาลท่ี 4 ป่ีชวา กลองแขก ต้องมารวมวงกับวงเครื่องสายและต้องบรรเลงเพลงในรูปแบบของวงเครื่องสาย ดังนั้นหน้า ทับที่ใช้อยู่เดิม ต้องมีการพัฒนาในเร่ืองของหน้าทับให้ใช้กากับเพลงในวงเคร่ืองสายได้ ซ่ึงแต่เดิมมีหน้า ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182